++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2552

สีสันแห่งสายน้ำ มหกรรมลอยกระทงใน 7 พื้นที่หลักทั่วไทย

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 29 ตุลาคม 2552 17:55 น.
สีสันแห่งสายน้ำ มหกรรมลอยกระทง กรุงเทพมหานคร
สีสันแห่งสายน้ำ มหกรรมลอยกระทง กรุงเทพมหานคร ๓๑ ตุลาคม-๒
พฤศจิกายน ๒๕๕๒ ณ บริเวณสวนสาธารณะสะพานพระราม ๘
และบริเวณแม่น้ำเเจ้าพระยา (ตั้งแต่สะพานกรุงเทพ-สะพานกรุงธน)
กรุงเทพมหานคร

กิจกรรม : ชมฟรี ขบวนเรือประดับไฟฟ้า ประเพณีลอยกระทง
ระหว่างวันที่ ๓๑ ตุลาคม - ๒ พฤศจิกายน๒๕๕๒ เวลา ๑๙.๓๐-๒๒.๐๐ น.
บริเวณริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา สะพานกรุงเทพถึงสะพานกรุงธน
กรุงเทพมหานคร

สัมผัสบรรยากาศพิเศษสุดของงานลอยกระทง ในแบบฉบับกรุงรัตนโกสินทร์ชมฟรี
ระหว่างวันที่ ๓๑ ตุลาคม - ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ เวลา ๑๘.๓๐-๒๑.๓๐ น.
ณ สวนสาธารณะสะพานพระราม ๘ กรุงเทพมหานคร อิ่มอร่อยกับอาหารนานาชนิด
ชมขบวนเรือประดับไฟฟ้าในมุมมองที่ดีที่สุด ดื่มด่ำกับการแสดงศิลปวัฒนธรรม
บรรยากาศตลาดย้อนยุค
ท่องเที่ยวทางน้ำชมสีสันของแม่น้ำเจ้าพระยายามค่ำคืนกับสมาคมเรือไทย
ร้านอาหาร โรงแรม ริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาตลอดทั้งเดือน พฤศจิกายน ๒๕๕๒

เทศกาลลอยกระทงตามประทีป ศูนย์ศิลปาชีพ บางไทรฯ
เทศกาลลอยกระทงตามประทีป ศูนย์ศิลปาชีพ บางไทรฯ วันจันทร์ที่ ๒
พฤศจิกายน ๒๕๕๒ เวลา ๑๖:๐๐-๐๑:๐๐ น. ณ ศูนย์ศิลปาชีพ บางไทรฯ
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

ครั้งแรก!! ของเทศกาลลอยกระทง
ที่จะนำทุกท่านย้อนรำลึกถึงค่ำคืนที่เต็มไปด้วยสีสันของความสุข
และความประทับใจในวันวานเมื่อครั้งคุณพ่อยังหนุ่ม คุณแม่ยังสาว
ท่ามกลางแสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ ณ คุ้งน้ำที่งดงามที่สุดแห่งเจ้าพระยา

กิจกรรมภายในงาน

ตลาดนัดวันวาน ตลาดที่จำลองบรรยากาศและสินค้าเมื่อวันวาน
สนุกกับการเดินชมและเลือกซื้อของฝาก ของใช้หรือของเล่น
ที่ทำให้ท่านหวนนึกถึง

ตลาดโต้รุ่งริมน้ำ อร่อยกับอาหารคาวหวานหลากหลายชนิด
หลายอย่างหากินได้อยาก เช่น ข้าวเสียโป ในบรรยากาศย้อนยุค
ลมพัดเย็นริมฝั่งน้ำเจ้าพระยา

ลานเพลงดังเมื่อวันวาน สนุก
แลซาบซึ้งกับเสียงเพลงดังเมื่อวันวานที่กังวาลในใจ
ด้วยท่วงทำนองดนตรีสุนทราภาณ์ในอดีต ให้บริการเสียงเพลงตั้งแต่แดดร่มลมตก
๑๘: ๐๐ - ๐๑: ๐๐ น. มิตรรักแฟนเพลงห้ามพลาด!!

ซุ้มการละเล่นย้อนยุค สนุก สนานและสร้างรอยยิ้มทุกครอบครัว
และคู่รักด้วยเกมส์การละเล่นเมื่อวันวานจากซุ้มของผู้สนับสนุนหลัก
และผู้สนับสนุนรองกว่า ๑๐ คูหา ใหญ่บ้าง กลางบ้าง
แต่รับรองว่าได้ยิ้มกันเมื่อยปากและเรียกเสียงหัวเราะกับผู้พบเห็น
ข้อสำคัญ ผู้ชนะอาจจะได้ของรางวัลมากมายติดมือกลับบ้าน

เวทีร่วมสมัย สนุก กับคอนเสิร์ต...เวทีนี้ไม่มีค่าย
แดนซ์กระจายกับสไตล์เพลงป๊อบ และเคป๊อบ ฟิล์ม รัญภูมิ โตคงทรัพย์
ศิลปินหมายเลขหนึ่งของค่ายอาร์เอส และนักแสดงที่มีความสามารถ
ตระการตากับคอนเสิร์ต
ของสุดยอดเอนเตอร์เทนเนอร์ขั้นเทพวินาทีนี้...ไม่มีใครไม่รุ้จัก
โปงลางสะออน สนุกสนาน เฮฮา กับศิลปินลูกทุ่งมาแรง จากเวทีการประกวด
"ดันดารา" ทางช่อง ๓ ปิดท้ายการแสดงคอนเสิร์ต
กับความมันส์จากสุดยอดวงร็อคอันดับหนึ่งของวงการ บอดี้สแสม (B๐dy Slam)
หรือ โปเตโต้ (P๐tat๐)
ศิลปินวงร็อคค่ายแกรมมี่ที่มีแฟนเพลงจำนวนมากทั่วประเทศกับผลงานเพลงฮิตติด
ปากหลายเพลง

ประเพณียี่เป็ง จังหวัดเชียงใหม่
ประเพณียี่เป็ง จังหวัดเชียงใหม่

๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๒
๑๗.๐๐ - ๒๓.๐๐ น. การแสดงสินค้าหัตถกรรมเครื่องเงิน เครื่องเขิน ถนนวัวลาย
๑๘.๐๐ - ๒๔.๐๐ น. การประกวดร้องเพลงไทยเพลงลูกทุ่ง
และการแสดงศิลปะพื้นบ้าน หน้าสำนักงานเทศบาล

๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๒
๑๗.๐๐ - ๒๓.๐๐ น. การแสดงสินค้าหัตถกรรมพื้นบ้านล้านนา ถนนคนเดิน
ถนนราชดำเนิน
๑๘.๐๐ - ๑๙.๐๐ น. พิธีเปิดงาน "ประเพณีเดือนยี่เป็ง ประจำปี ๒๕๕๒"
ข่วงประตูท่าแพ
๑๘.๐๐ - ๒๒.๐๐ น. ขบวนแห่โคมยี่เป็ง ครั้งที่ ๑๘ ย่านไนท์บาซาร์
ข่วงประตูท่าแพ - ห้างพันธุ์ทิพย์พลาซ่าร์
๑๘.๐๐ - ๒๔.๐๐ น. การประกวดหนูน้อยยี่เป็ง หน้าสำนักงานเทศบาล
๑-๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๒
๑๘.๐๐ - ๒๔.๐๐ น. การประกวดเทพียี่เป็งเชียงใหม่ ข่วงประตูท่าแพ

๑-๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๒
ตลอดทั้งวัน การจัดซุ้มประตูป่า วัดในเมืองเชียงใหม่
๐๙.๐๐ - ๒๑.๐๐ น. นิทรรศการ "สืบสานตำนานโคมยี่เป็งล้านนา" วัดอินทขิล
๐๙.๐๐ - ๒๒.๐๐ น. วัฒนธรรมชนเผ่า ๖ เผ่า, ชมเขาวงกต,เทศน์มหาชาติ วัดเจ็ดสิน
ประเพณีตั้งธรรมหลวง, ตามขันข้าว, แข่งขันโคมไฟลอดบ่วง วัดโลกโมฬี
๑๐.๐๐ - ๒๓.๐๐ น. สืบฮีต สานฮอย ฮอมปอย
ไหว้สาพระสิริมังคลายี่เป็ง พุทธสถานเชียงใหม่
๑๘.๐๐ - ๒๔.๐๐ น. การจัดลานโคมยี่เป็งล้านนาเทิดพระเกียรติฯ ข่วงประตูท่าแพ
๑๘.๐๐ - ๒๒.๐๐ น. "ประทีปเบิกฟ้า ยี่เป็งล้านนาเชียงใหม่"
ประตูช้างเผือก - ประตูเชียงใหม่
๑๘.๐๐ - ๒๔.๐๐ น. การประกวดกระทงลอยน้ำ และกระทง VIP
ลำน้ำปิงหน้าเทศบาล - สะพานนวรัฐ
๒๐.๐๐ - ๒๒.๐๐ น. การแสดงแสง สี เสียง กลางลำน้ำปิง หน้าสำนักงานเทศบาล
๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๒
๐๘.๐๐ - ๑๐.๓๐ น. พิธีบวงสรวงศาลพระภูมิ,
เจดีย์ขาว,ขอขมาแม่น้ำปิง หน้าเทศบาล, ท่าน้ำศรีโขง
๐๙.๐๐ - ๑๒.๐๐ น. การประกวดโคมลอย และโคมลอยยักษ์ หน้าสำนักงานเทศบาล
๐๙.๐๐ - ๑๗.๐๐ น. การประกวดกระทงฝีมือใบตอง ดอกไม้สด หน้าสำนักงานเทศบาล
๐๙.๐๐ - ๑๗.๐๐ น. การแข่งขันกีฬาทางน้ำ ถ่อแพ, ดำน้ำ, พายกาละมัง
ลำน้ำปิงหน้าสำนักงานเทศบาล
๑๘.๐๐ - ๒๓.๐๐ น. การประกวดขบวนแห่กระทงเล็ก ข่วงประตูท่าแพ - หน้าเทศบาล

๒-๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๒
๑๙.๐๐ - ๒๔.๐๐ น. การจุดพลุ ถวายเป็นพุทธบูชา แพกลางน้ำหน้าเทศบาล
๑๙.๐๐ - ๒๔.๐๐ น. การปล่อยกระทงสายสืบสานล้านนา ลำน้ำปิงหน้าสำนักงานเทศบาล

๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๒
๑๘.๐๐ - ๒๔.๐๐ น. การประกวดขบวนแห่กระทงใหญ่ ชิงถ้วยพระราชทานฯ
ข่วงประตูท่าแพ - หน้าสำนักงานเทศบาล
๑๘.๐๐ - ๒๓.๐๐ น. "อนุรักษ์วัฒนธรรมสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่น
ประเพณียี่เป็ง" วัดเมืองสาตรน้อย

งานประเพณีลอยกระทง เผาเทียน เล่นไฟ จังหวัดสุโขทัย
งานประเพณีลอยกระทง เผาเทียน เล่นไฟ จังหวัดสุโขทัย ๓๑ ตุลาคม - ๒
พฤศจิกายน ๒๕๕๒ ณ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย

ประเพณีลอยกระทงนั้น
ไม่มีหลักฐานระบุแน่ชัดว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อใด
แต่เชื่อว่าประเพณีนี้ได้สืบต่อกันมายาวนานตั้งแต่สมัยสุโขทัย
โดยในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง เรียกประเพณีลอยกระทงนี้ว่า "พิธีจองเปรียญ"
หรือ "การลอยพระประทีป" และมีหลักฐานจากศิลาจารึกหลักที่ ๑
กล่าวถึงงานเผาเทียนเล่นไฟว่าเป็นงานรื่นเริงที่ใหญ่
ที่สุดของกรุงสุโขทัย
ทำให้เชื่อกันว่างานดังกล่าวน่าจะเป็นงานลอยกระทงอย่างแน่นอน

จังหวัดสุโขทัย กรมศิลปากร และ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
จึงร่วมกันจัดงานประเพณีลอยกระทง เผาเทียนเล่นไฟ จังหวัดสุโขทัย
ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๐
เพื่อเป็นการฟื้นฟูประวัติศาสตร์ประเพณีลอยกระทงและส่งเสริมการเดินทางท่อง
เที่ยวจังหวัดสุโขทัย โดยให้ชื่องานตามคำในศิลาจารึกว่า "งานเผาเทียน
เล่นไฟ" จุดเน้นที่สำคัญของงานนี้ คือ การฟื้นฟูประเพณีลอยกระทง เผาเทียน
เล่นไฟ พลุ ตะไล ไฟพะเนียง ดอกไม้ไฟชนิดต่าง ๆ จังหวัดสุโขทัย
โดยกำหนดจัดขึ้นทุกปี ในวันเพ็ญเดือน ๑๒ (ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒)
หรือประมาณเดือนพฤศจิกายน ของทุกปี

สำหรับการจัดงานประเพณีลอยกระทง เผาเทียน เล่นไฟ จังหวัดสุโขทัย
ประจำปี ๒๕๕๒ กำหนดจัดขึ้น ระหว่างวันที่ ๓๑ ตุลาคม - ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ ณ
บริเวณอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย มีการจัดประกวดกระทง การแสดง แสง เสียง
เกี่ยวกับประวัติศาสตร์กรุงสุโขทัย ตลอดจนการแสดงนาฎศิลป์ และมหรสพต่าง ๆ

ประเพณีลอยกระทงสายไหลประทีปพันดวง จังหวัดตาก
ประเพณีลอยกระทงสายไหลประทีปพันดวง จังหวัดตาก

วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๒
๑๘.๐๐ - ขบวนแห่อัญเชิญพระประทีป ถ้วยพระราชทานฯ และ
ขบวนแห่กระทงสายทุกสาย พร้อมกันที่หน้าศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
๑๙.๐๐ - ขบวนแห่เริ่มเคลื่อนไปตามถนนจรดวิถีถ่องจนถึงสี่แยกสัญญาณไฟจราจร
เชิงสะพานตากสินมหาราชานุสรณ์
และเลี้ยวซ้ายล่องไปตามถนนกิตติขจรเข้าสู่บริเวณจัดงาน -
ขบวนแห่อัญเชิญถ้วยพรราชทาน แลขบวนแห่ทุกขบวน
ผ่านหน้าอาคารกิตติคุณไปตั้ง ณ บริเวณที่กำหนด
๒๐.๓๐ - การแสดงบนเวที
๒๑.๐๐ - ประธานในพิธีเดินทางมาถึง
๒๑.๓๐ - ทำพิธีอัญเชิญพระประทีป และ ถ้วยพระราชทานฯ ประดิษฐาน ณ
เวทีกลางน้ำ - พิธีเปิดงานประเพณีลอยกระทงสายไหลประทีป ๑๐๐๐ ดวง
พิธีอัญเชิญกระทงพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ พร้อมพระบรมวงศานุวงศ์รวม ๑๐
พระองค์ ลงลอยเป็นปฐมฤกษ์ ชมการลอยประทีป ๘๐๐๐ ดวง

วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๒
๐๙.๐๐ - ชมกระทงนำ กระทงกะลา กระทงปิดท้าย
ของกระทงทุกสายที่ส่งเข้าประกวด ณ อาคารหอกิตติคุณ -
ชมการแข่งขันศิลปหัตถกรรม ณ อาคารหอกิตติคุณ - ชมสินค้า "หนึ่งตำบล
หนึ่งผลิตภัณฑ์"
๑๙.๐๐ - เชิญชมการแข่งขันการลอยกระทงสายไหลประทีป ๑๐๐๐ ดวง
ชิงถ้วยพระราชทานฯ - ทำพิธีขอขมาพระแม่คงคา -
เริ่มต้นการแข่งขันการลอยกระทงสายของชุมชนต่างๆ

วันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๒
๐๙.๐๐ - ชมการแข่งขันศิลปหัตถกรรม ณ อาคาหอกิตติคุณ - ชมสินค้า
"หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์"
๑๙.๐๐ - เชิญชมการแข่งขันการลอยกระทงสายไหลประทีป ๑๐๐๐ ดวง
ชิงถ้วยพระราชทานฯ - ทำพิธีขอขมาพระแม่คงคา-
เริ่มต้นการแข่งขันการลอยกระทงสายของชุมชนต่างๆ

วันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๒
๐๙.๐๐ - ชมการแข่งขันศิลปหัตถกรรม ณ อาคาหอกิตติคุณ - ชมสินค้า
"หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์"
๑๙.๐๐ - เชิญชมการแข่งขันการลอยกระทงสายไหลประทีป ๑๐๐๐ ดวง
ชิงถ้วยพระราชทานฯ - ทำพิธีขอขมาพระแม่คงคา -
เริ่มต้นการแข่งขันการลอยกระทงสายของชุมชนต่างๆ

วันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ (วันตัดสิน)
๐๙.๐๐ - ชมการแข่งขันศิลปหัตถกรรม ณ อาคารหอกิตติคุณ - ชมสินค้า
"หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์"
๑๙.๐๐ - เชิญชมการแข่งขันการลอยกระทงสายไหลประทีป ๑๐๐๐ ดวง
ชิงถ้วยพระราชทานฯ - ทำพิธีขอขมาพระแม่คงคา-
เริ่มต้นการแข่งขันการลอยกระทงสายของชุมชนต่างๆ

ประเพณีลอยกระทงกาบกล้วยเมืองแม่กลอง จังหวัดสมุทรสงคราม
ประเพณีลอยกระทงกาบกล้วยเมืองแม่กลอง จังหวัดสมุทรสงคราม วันที่ ๒
พฤศจิกายน ๒๕๕๒ ณ อุทยาน ร.๒, วัดช่องลม อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม

จังหวัดสมุทรสงครามนี้เป็นจังหวัดที่มีแม่น้ำแม่กลองไหลผ่าน
มีลำคลองกว่า 300 สาย จึงมีวิถีชีวิตที่ผูกพันกับสายน้ำ
ผนวกกับภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ประหยัด เรียบง่าย พอเพียง
จึงเกิดเป็นประเพณีลอยกระทงกาบกล้วยเมืองแม่กลอง
โดยจังหวัดสมุทรสงครามได้รื้อฟื้นประเพณีนี้ขึ้นมา
โดยกระทงกาบกล้วยของที่นี่นั้นมีขั้นตอนการทำโดยนำธูปไปจุ่มในน้ำมันยางแล้ว
คลี่ผึ่งแดดจนแห้ง แล้วนำมาชุบด้วยเทียน
กลายเป็นธูปและเทียนในอันเดียวกัน จากนั้นนำต้นกล้วยมาหั่นเป็นท่อนๆ
ยาวประมาณ 8-10 นิ้ว ลอกออกทีละกาบ
และนำธูปที่เตรียมไว้มาปักลงบนกาบกล้วย
และหากใครมีฝีมือก็จะแกะสลักกาบกล้วยนั้นเป็นลวดลายที่สวยงาม
ก่อนจะนำลงลอยในแม่น้ำคืนวันลอยกระทง

นอกจากนั้นภายในงานก็ยังมีกิจกรรมการแสดงดนตรีลูกทุ่งจากโรงเรียน
อัมพวันวิทยาลัย (แชมป์ออฟเดอะแชมป์รายการชิงช้าสวรรค์ประจำปี 2551)
ชมการแสดงโขนเยาวชนกลุ่มยุวศิลปิน มูลนิธิ ร.2ร่วมรำวงย้อนยุค
และชมนิทรรศการกระทงกาบกล้วยเมืองแม่กลอง และพิธีทอดผ้าป่าทางน้ำ
รวมถึงการประกวดนางนพมาศและหนูน้อยนพมาศ

เทศกาลโคมไฟ...สีสันเมืองใต้
เทศกาลโคมไฟ...สีสันเมืองใต้ วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ - ๒๘
กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ ณ บริเวณสวนสาธารณะเทศบาลนครหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา

พบกับ "๙ มหัศจรรย์โคมไฟแห่งความสุข" โฉมใหม่
๑. โคมไฟน้ำแข็ง ต้นตำรับจากเมืองฮาร์บิ้น สาธารณะรัฐประชาชนจีน
สุดพิเศษ...สัมผัสความหนาวเย็นของอากาศอุณภูมิติดลบ ๓๐
องศาเซลเซียส(เสมือนยืนอยู่บนขั่วโลกเหนือ)
๒. โคมไฟ ๑๔ จังหวัด สีสันเมืองใต้
๓. โคมไฟไทย ๔ ภาค พบกับมิติใหม่กับความคิดสร้างสรรค์โคมไฟ
"มงคลชีวิต มงคลแห่งท้องถิ่น" ใน ๔ ภาคของประเทศไทย
๔. โคมไฟจินตนาการโลกของเด็ก
๕. โคมไฟนานาชาติ
๖. โคมไฟโลกสัตว์ โคมไฟสัตว์ที่อยู่ในโซนทวีปต่างๆ
๗. โคมไฟกลางน้ำ "สัตว์มงคลแห่งเทพนิยายทั่วโลก" ดินแดนแห่งความสุข
๘. โคมไฟ Hi Light จำลองงานเทศกาลต่างๆของประเทศไทย
๙. การประกวดโคมไฟร่วมสมัยและโคมไฟแบรนด์สินค้าต่างๆ

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมการแสดงจากศิลปิน
การเลือกซื้อสินค้าและเครื่องดื่ม ภายในงานอีกมากมาย

http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9520000129671

สบศ.จัดโขน-ลิเกยิ่งใหญ่เทิดพระเกียรติในหลวง เตรียมชม! 3-7 ธ.ค.นี้

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 28 ตุลาคม 2552 14:34 น.
สบศ.จัดโขน-ลิเก ยิ่งใหญ่เทิดพระเกียรติในหลวง วันที่ 3-7 ธ.ค.นี้
แบ่งเค้กไทยเข้มแข็งได้ 35 ล้านหนุนนักเรียนนาฏศิลป์ 4 ภาคจัดการแสดง
หวังฟื้นฟูวัฒนธรรมท้องถิ่น-เรียนรู้ศิลปะภูมิภาคอื่น

วันนี้ (28 ต.ค.) นายกมล สุวุฒโฑ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์
(สบศ.) กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กล่าวภายหลังประชุมผู้บริหาร วธ.ว่า
จากการที่ สบศ.ได้รับงบประมาณจากโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งของรัฐบาล
35 ล้านบาทเพื่อเผยแพร่การแสดงและถ่ายทอดผลงานด้านศิลปะนาฏศิลป์ไทยนั้น
ขณะนี้ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับการดำเนินงานแล้ว แบ่งเป็น 2 ระดับ คือ
1.การแสดงมรดกภูมิปัญญาท้องถิ่น การแสดงพื้นบ้านแต่ละท้องถิ่น อาทิ ลิเก
ลำตัด หมอลำ ฯลฯ โดยจะจัดให้มีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมแต่ละภาค ยกตัวอย่าง
นำการแสดงลำตัดของแม่ขวัญจิต ศรีประจันต์
ซึ่งเป็นการแสดงพื้นบ้านของภาคกลาง ไปจัดแสดงในภาคเหนือ ภาคอีสาน หรือ
ภาคใต้ ให้เด็กและเยาวชนในท้องถิ่นได้เรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมของคนไทยในภาคอื่นๆ
และ 2.การแสดงในราชสำนัก เช่น โขน ละคร
ตามมาตรฐานการแสดงที่สืบทอดมาแต่โบราณให้คงอยู่ต่อไป

อธิการบดีสบศ. กล่าวต่อไปว่า สำหรับผู้แสดง สบศ.
ได้มอบหมายให้วิทยาลัยนาฏศิลป์ 12 แห่งทั่วประเทศเปิดโอกาสให้นักเรียน
นักศึกษาในสังกัด ร่วมแสดงด้วย มีระยะเวลาดำเนินการ 8-10 เดือน
รวมไปถึงจัดหาสถานที่จัดแสดงในแต่ละจังหวัด เช่น ศาลากลาง ศาลาประชาคม
หรือลานแสดงวัฒนธรรม เพื่อ ให้ประชาชนได้รับชมการศิลปนาฎดุริยางค์
ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของชาติ และเป็นการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม
สำหรับสถานที่จัดแสดงในส่วนกลาง จัดไว้ 3 แห่ง คือ สวนสันติชัยปราการ
โบสถ์ติดกับโรงละครแห่งชาติ และศาลาเฉลิมกรุง รองรับผู้ชมได้ 300-400 คน
ทั้งนี้ การแสดงที่ศาลาเฉลิมกรุงจะมีการเก็บค่าเข้าชมในราคาถูกเพื่อนำเงินไปสร้าง
แหล่งเรียนรู้ทางศิลปะวัฒนธรรมด้วย
โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำตารางการแสดงของแต่ละภาค
คาดว่าจะแล้วเสร็จเร็วๆ นี้ เพื่อเสนอให้ที่ประชุมผู้บริหาร
วธ.รับทราบต่อไป

"ที่ สำคัญ สบศ.ยังได้รับมอบหมายให้จัดการแสดงเทิดพระเกียรติ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 82
พรรษา ตั้งแต่วันที่ 3-7 ธันวาคมนี้ที่ลานแสดงกลางแจ้ง
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร การแสดงแต่ละภาค ได้แก่ ภาคเหนือ อาทิ
การแสดงตีกลองสบัดชัย การฟ้อนรำ ภาคกลาง อาทิ เพลงพื้นบ้าน รำตัด
เพลงเรือ เพลงฉ่อย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อาทิ โปงลาง รำวง รำแคน ภาคใต้
การแสดงมโนรา หนังตลุง ลิเกฮูลู ส่วนการแสดงโขน ละคร ในราชสำนัก
จะมีการแสดงชุดโขน นางลอย ศึกพรหมาสตร์ เป็นต้น" อธิการบดี สบศ.กล่าว

แม่.แม่..แม่

เมื่อคุณเกิดมาในโลกนี้ แม่อุ้มคุณไว้ในอ้อมอก
คุณขอบคุณแม่ด้วยการเปล่งเสียงร้องไห้

เมื่อคุณอายุ 1 ขวบ แม่ป้อนข้าวและอาบน้ำให้คุณ คุณขอบคุณแม่โดยการร้องไห้งอแง
เมื่อคุณอายุ 2 ขวบ แม่สอนให้คุณหัดเดิน
คุณขอบคุณแม่ด้วยการวิ่งหนีทุกครั้งที่แม่เรียกหา
เมื่อคุณอายุ 3 ขวบ แม่ทำอาหารทุกอย่างให้คุณด้วยความรัก
คุณขอบคุณแม่ด้วยการโยนจานลงบนพื้น
เมื่อคุณอายุ 4 ขวบ แม่ให้ดินสอสีแก่คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการระบายสีเลอะเต็มบ้าน
เมื่อคุณอายุ 5 ขวบ แม่แต่งชุดสวยๆ(หรือหล่อๆ)ให้คุณไปเที่ยว
คุณขอบคุณแม่ด้วยการทำชุดเลอะโคลน
เมื่อคุณอายุ 6 ขวบ แม่ไปส่งคุณที่รร.
คุณขอบคุณแม่ด้วยการร้องไห้ตะโกนว่า ' ไม่ไป... ไม่ไป... ไม่ไป... ''
เมื่อคุณอายุ 7 ขวบ แม่ซื้อไอศกรีมให้คุณ < /FONT>
คุณขอบคุณแม่ด้วยการทำมันหกเลอะเทอะไปทั่ว
เมื่อคุณอายุ 8 ขวบ แม่ซื้อลูกบอลให้คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการทำกระจกเพื่อนบ้านแตก
เมื่อคุณอายุ 9 ขวบ แม่สอนให้คุณเล่นเปียโน คุณขอบคุณแม่ด้วยการไม่เคยแม้แต่จะซ้อม

เมื่อคุณอายุ 10 ขวบ แม่พาคุณไปเรียนพิเศษและพาไปงานวันเกิดเพื่อน
คุณขอบคุณแม่ด้วยการกระโดดลงจากรถโดยไม่คิดที่จะหันกลับมามอง
เมื่อคุณอายุ 11 ขวบ แม่พาคุณกับเพื่อนไปดูหนัง
คุณขอบคุณแม่ด้วยการขอที่นั่งคนละแถว(หรือขอให้แม่ไม่ต้องดู)
เมื่อคุณอายุ 12 ขวบ แม่เตือนคุณว่าอย่าดูทีวี
คุณขอบคุณแม่ด้วยการรอให้แม่ไปข้างนอกแล้วดูต่อ
เมื่อคุณอายุ 13 ปี แม่บอกให้คุณตัดผม คุณขอบคุณแม่ด้วยการด่าแม่ว่า '
แม่นี่...ไม่มีรสนิยมเลย ไม่ต้องกะหนู(ผม)หรอก '
เมื่อคุณอายุ 14 ปี แม่จ่ายเงินซัมเมอร์แคมป์
ที่แพงแสนแพงเพื่อให้คุณได้เรียนสิ่งที่ดีๆ
คุณขอบคุณแม่ด้วยการไม่เขียนจดหมายหาแม่ซักกะฉบับ
เมื่อคุณอายุ 15 ปี แม่กลับบ้านหลักงานเลิกอยากกอดคุณสักกอด
คุณขอบคุณแม่ด้วยการขังตัวเองอยู่ในห้อง
เมื่อคุณอายุ 16 ปี แม่สอนคุณขับรถ คุณขอบคุณแม่ด้วยการขับรถหนีแม่ไปเที่ยว
เมื่อคุณอายุ 17 ปี แม่จ่ายค่าเรียนกวดวิชา
คุณขอบคุณแม่ด้วยการให้แม่ส่งข้างนอกเพื่อจะได้ไม่อายเพื่อน
เมื่อคุณอายุ 18 ปี แม่ร้องไห้ในวันที่คุณจบชั้นมัธยม
คุณขอบคุณแม่ด้วยการฉลองยันเช้า
เมื่อคุณอายุ 19 ปี แม่รอโทรศัพท์สายสำคัญ คุณขอบคุณแม่ด้วยการใช้สายตลอดคืนนั้น

เมื่อคุณอายุ 20 ปี แม่ถามว่าคุณมีแฟนรึยัง คุณขอบคุณแม่ด้วยการตอบว่า '
แม่อย่ามายุ่งกะหนู(ผม)เลย '
เมื่อคุณอายุ 21 ปี แม่แนะนำอาชีพของแม่ให้คุณทำในอนาคตของคุ ณ
คุณขอบคุณแม่ด้วยการพูดว่า ' หนู(ผม)ไม่อยากเป็นอย่างแม่ '
เมื่อคุณอายุ 22 ปี แม่อยากกอดคุณในวันรับปริญญา
คุณขอบคุณแม่ด้วยการกอดกับเพศตรงข้ามกับคุณ
เมื่อคุณอายุ 23 ปี แม่ซื้ออพาร์ตเม้นท์และเฟอร์นิเจอร์ให้แก่คุณ
คุณขอบคุณแม่ด้วยการว่ากับเพื่อนๆลับหลังว่า '
มันช่างเชยและน่าเกลียดเสียนี่กระไร '
เมื่อคุณอายุ 24 ปี แม่บอกให้คุณพาแฟนของคุณมาหาแม่ เมื่อคุณพามา
แม่ถามพวกคุณว่าอนาคตวางแผนไว้ว่าอย่างไร
คุณขอบคุณแม่ด้วยการจ้องเขม็งและพูดว่า ' แม่จะมายุ่งอะไรกะหนูอีกเนี่ย '
เมื่อคุณอายุ 25 ปี ( สำหรับผู้ชาย)แม่ช่วยออกค่าสินสอดให้กับคุณ
และบอกกับคุณว่าแม่รักคุณมากขนาดไหน คุณขอบคุณแม่ด้วยการพูดว่า '
อายคนอื่นเขาน่า แม่ '
( สำหรับผู้หญิง)แม่ช่วยออกค่าใช้จ่ายในงานแต่งงานให้คุณ
และบอกว่าแม่รักคุณมากขนาดไหน < /FONT> คุณขอบคุณแม่ด้วยการพูดว่า '
หนูอยากไปอยู่ต่างประเทศเพื่อจะได้สวีทกับแฟนโดนไม่มีแม่ '

เมื่อคุณอายุ 30 ปี แม่โทรมาหาและแนะนำวิธีเลี้ยงเด็ก
คุณขอบคุณแม่โดยการบอกว่า ' สมัยนี้มันเปลี่ยนไปแล้วล่ะค่ะแม่ '

เมื่อคุณอายุ 40 ปี แม่โทรมาชวนคุณไปงานวันเกิดญาติ
คุณขอบคุณแม่และญาติว่า ' ตอนนี้ไม่ว่างเลย '

เมื่อคุณอายุ 50 ปี แม่ชราและไม่สบาย อยากให้คุณดูแล
คุณขอบคุณแม่ด้วยการบอกว่า ' มันเป็นภาระนะแม่ หนูมีงานอีกเยอะแยะ '
และแล้ววันหนึ่ง แม่จากคุณไปอย่างสงบ และทุกอย่างที่คุณไม่เคยทำมาก่อน
จะเหมือนฟ้าผ่าในใจคุณ
โปรดใช้เวลาสักนิด แสดงออกถึงความลึกซึ้งแด่ ' แม่ '
ไม่มีอะไรมาแทนแม่ได้ แม้ว่าบางคราวแม่จะไม่ใช่คนที่เข้าใจคุณมากที่สุด
หรือเห็นด้วยกับคุณ แต่ก็คือ ' แม่ ' ของคุณ
และเชื่อได้ว่าจะทำทุกอย่างเพื่อคุณ รับฟังคุณ ความกังวลของคุณ
ลอง ถามตัวเองดู คุณมีเวลาที่จะฟังความเศร้า ความกังวลใจไม่ว่าจากการงาน
จากงานบ้าน หรือจากงานในครัวของแม่ไหม
คุณเคยนึกถึงความทุกข์ของแม่ที่ต้องทำทุกอย่างเพื่อคุณและทุกคนไหม
รักแม่ให้มาก แม้ว่าจะคิดเห็นแตกต่างการ เพราะเมื่อแม่จากไป
จะเหลือเพียงความเสียใจและความทรงจำเท่านั้น

อย่าเพิกเฉยกับคนที่ใกล้หัวใจคุณที่สุด รัก ' แม่ ' ให้มากกว่ารักตัวเอง
แสดงให้แม่รู้ว่าคุณก็ ' รัก ' ก่อนที่จะทำได้เพียงบอกรักกับ ' รูป '
ของแม่เท่านั้น
ถ้าใครเป็นคนที่รัก ' แม่ '
โปรดส่งข้อความนี้ไปให้ได้อย่างน้อย 9 คน
แล้วคุณจะโชคดี...................

อานิสงส์ ๑๐ ข้อ ของการไม่กินเนื้อสัตว์

จิตใจสว่างไสว


อานิสงส์ขั้นต้นของการไม่กินเนื้อสัตว์
ไม่ฆ่าสัตว์และไม่เบียดเบียนสัตว์คือจะทำให้ชีวิตของเราไม่ต้องตายด้วย
ปืนผาหน้าไม้ คมหอกคมดาบ ไม่ตายด้วยเหตุกาณ์อันน่าสยดสยอง

เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า
อานิสงส์ขั้นต้นของการไม่กินเนื้อสัตว์
ไม่ฆ่าสัตว์และไม่เบียดเบียนสัตว์คือจะทำให้ชีวิตของเราไม่ต้องตายด้วย
ปืนผาหน้าไม้ คมหอกคมดาบ ไม่ตายด้วยเหตุกาณ์อันน่าสยดสยอง หรือภัยพิบัติ
ต่างๆ ทั้งยังสามารถตัดกรรมในเรื่องการฆ่าและยุติการจองเวรกับสรรพสัตว์
ทั้งหลายอีกด้วย

องค์สมเด็จพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระผู้เปี่ยมล้นด้วย
พระเมตตาอันมิอาจประมาณได้ทรงรักใคร่สรรพสัตว์ทั้งหลายประดุจลูกในอุทร
ของ พระองค์เองเมื่อได้บรรลุอนุตตรสัมโพธิญาณสูงสุดแล้ว ก็ยังทรงมีพระทัย
ห่วงใยปรารถนาให้เวไนยสัตว์ทั้งหลาย ได้หลุดพ้นออกจากบ่วงกรรม
และระงับดับ การจองเวรซึ่งกันและกัน

ในบรรดาบาปกรรมทั้งหลายที่คนหลงผิดกระทำไปการเบียดเบียนฆ่า
ทำลาย ชีวิตผู้อื่นถือเป็นบาปกรรมที่ร้ายแรงที่สุดแม้ว่าจะกระทำลงไปโดยไม่เจตนา
ก็ยังต้องไปรับโทษ นับประสาอะไรกับการจงใจเจตนาฆ่าเขาให้ตายโทษทัณฑ์
นั้นจะยิ่งใหญ่หลวงและไม่อาจให้อภัยได้

ด้วยเหตุที่พระพุทธองค์ทรงมีพระประสงค์ให้เราทุกคนละเว้นจากการ
ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และเลิกเบียดเบียนผู้อื่นโดยเด็ดขาด
พระองค์จึงทรงบัญญัติศีลข้อ "ปาณาติบาต"
คือห้ามการฆ่าเป็นข้อที่สำคัญอันดับหนึ่ง

ขอให้เราจงมาร่วมกันศึกษาพิจาร ณาพระพุทธวจนะว่าด้วยเรื่อง
"อานิสงส์ ๑๐ ข้อของการไม่กินเนื้อสัตว์" เพื่อจักได้นำไปเป็นแนวทางในการ
ปฏิบัติและบำเพ็ญธรรมให้สูงขึ้นไป

ในพระสูตรของพระพุทธศาสนามหายานเล่าว่า

"สมัยหนึ่ง... องค์สมเด็จพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ได้เสด็จไปเทศนาโปรดบรรดาเหล่าพญานาคทั้งหลาย พระพุทธองค์ได้ทรงตรัส
ธรรมกถาวิสัชนาแสดงแก่พญานาคราชความว่า

"บุคคลใดหยุดการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และงดเว้นเสียจากการ
เสพเลือดเนื้อสัตว์ อีกทั้งยังชี้นำส่งเสริมให้หมู่ชนทั้งหลายหยุดฆ่า
หยุดเสพชีวิตเลือดเนื้อผู้อื่น"

บุคคลผู้นั้นย่อมห่างไกลจากอกุศลมูลทั้งปวง และบริบูรณ์พร้อม
ด้วยอานิสงส์ทั้ง ๑๐ ประการอันได้แก่:

๑.เป็นที่รักใคร่ของบรรดาเทพพรมตลอดจนมนุษย์ และสัตว์ทั้งหลาย

๒.จิตอันเป็นมหาเมตตาย่อมบังเกิดขึ้น

๓.สามารถตัดขาดความอาฆาตดับอารมณ์เหี้ยมโหดเครียดแค้นในใจลงได้

๔.ปราศจากโรคภัยร้ายแรงมาเบียดเบียนร่างกาย

๕.มีอายุมั่นขวัญยืน

๖.ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากวัชรเทพทั้งแปด

๗.ยามหลับนิมิตรเห็นแต่สิ่งที่ดีงามเป็นศิริมงคล

๘.ย่อมระงับการจองเวร สลายความอาฆาตแค้นซึ่งกันและกัน

๙.สามารถดำรงอยู่ในกระแสแห่งนิพพาน ไม่พลัดหลงตกลงสู่อบายภูมิ

๑๐.ทันทีที่ละสังขารจากโลกนี้ จิตญาณจะมู่งสู่คติภพ

เผย "ภูมิคุ้มใจ" วัยรุ่นลาว กับวิถีพิทักษ์วัฒนธรรม

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 29 ตุลาคม 2552 10:58 น.
บรรยากาศการใกล้ชิดกับบวรพุทธศาสนาของคนลาว
รายงานพิเศษโดย : เจิมใจ แย้มผกา

"ใน มิติวัฒนธรรม เราต้องดูประเทศลาวเป็นตัวอย่าง
ทุกวันนี้เหมือนเด็กของเราไปไกลเกินไปแล้ว
ตามตะวันตกจนลืมความเป็นตัวตนของเรา
ในขณะที่ลาวยังคงรักษาประเพณีไว้ได้เป็นอย่างดี
ยังคงไม่ทิ้งตัวตนและรากเหง้าของตนเอง
ผมห่วงว่าเด็กของเราจะลืมความเป็นตัวเอง"

ปากคำข้างต้นมาจากเบอร์หนึ่งแห่งกระทรวงวัฒนธรรม "ธีระ สลักเพชร"
ที่กล่าวภายหลังเดินทางเยือน ส.ป.ป.ลาว
เพื่อหารือกรอบความร่วมมือด้านวัฒนธรรมระหว่างไทย-ลาว...บ้านพี่เมืองน้อง
ที่ห่างกันเพียงแม่โขงกั้น

แต่นัยแห่งประโยคนี้กลับยาวกว่าเนื้อข้อความที่กล่าวออกมามากนัก
เมื่อได้เห็นภาพความเป็นระเบียบของเด็กและเยาวชน
ตลอดจนประชาชนทุกเพศทุกวัย
ที่ยังคงดำรงวิถีชีวิตตามแนวกรอบประเพณีดั้งเดิมที่สืบต่อกันมาอย่างยาวนาน


นายหมุนแก้ว ออละบุน รมว.แถลงข่าวและวัฒนธรรมสปป.ลาว
สตรีลาวยังคงนุ่งซิ่นในเวลาเรียนและเวลาราชการ
น้อยมากที่จะสวมกางเกงให้เห็น ภาพการห่มสไบเข้าวัดเข้าวา
เพื่อทำบุญสุนทาน
ภาพความสัมพันธ์อันสวยงามอบอุ่นระหว่างสมาชิกในครอบครัวและมิตรไมตรีที่
เผื่อแผ่ไปถึงเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียง

... เหล่านี้คือภาพที่เคยสวยงามและเคยแจ่มชัดในประเทศไทย
เมื่อกว่าห้าสิบปีที่แล้ว และค่อยๆ
เลือนจางไปตามกาลเวลาที่ย่างเข้าสู่ปัจจุบันสมัย

"หมุนแก้ว ออละบุน" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแถลงข่าวและวัฒนธรรม
ส.ป.ป.ลาว บอกเล่าถึงเคล็ดไม่ลับการสร้างภูมิคุ้มใจให้แก่เด็กและเยาวชนลาว
ให้รู้รัก รักษา และภาคภูมิใจวัฒนธรรมอันดีของประเทศลาว ว่า
ในลาวไม่มีการออกกฎหมายบังคับให้ "แม่หญิงลาว" ทุกคนสวมใส่ผ้าซิ่น
แต่กระทรวงแถลงข่าวฯ จะทำหน้าที่สร้างความเข้าใจ ปลุกจิตสำนึก
และรณรงค์ให้คนลาวทุกคนทราบว่าสิ่งใดดี สิ่งใดไม่ดี
สิ่งใดทำแล้วจะงดงามตามจารีตประเพณี และสิ่งใดเป็นการทำลายวัฒนธรรม

ชุดนักศึกษาลาว

"เราพยายามปลูกจิตสำนึกตั้งแต่ยังน้อยๆ สร้างครอบครัววัฒนธรรมลาว
ให้ความรู้พ่อแม่ ให้ไปสอนลูก เราก็จะได้ครอบครัววัฒนธรรม
มีครอบครัวแบบนี้มากๆ เราก็จะได้บ้านวัฒนธรรม ขยายเป็นชุมชน เป็นเมือง
เป็นประเทศ วัฒนธรรมนี่สำคัญมาก ถ้าไม่มีวัฒนธรรม ก็คือ ไม่มีประเทศชาติ
เพราะวัฒนธรรมจะเป็นเครื่องบอกตัวตนของคนในชาติ ซึ่งมีลักษณะเฉพาะ
ซึ่งหากเว้นเสียจากการมีวัฒนธรรมแล้ว เราก็จะไม่รู้ว่าเราเป็นใคร"

ฯพณฯ หมุนแก้ว อธิบาย ไม่ใช่ว่าสิ่งใหม่ๆ จากตะวันตกไม่ดี
ถ้าปฏิเสธการรับสิ่งใหม่ๆ จากตะวันตกไปโดยสิ้นเชิงเลย
ก็จะทำให้ลาวก้าวไม่ทันโลก
แต่ถ้ารับมากเกินไปก็จะเสียอัตลักษณ์ของวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมา ดังนั้น
จึงต้องเลือกว่าอะไรเหมาะอะไรดีกับประชาชนก็รับเข้ามา
พร้อมทั้งสร้างความรู้ให้ประชาชนเพื่อรู้เท่าทัน

"เราไม่ห้ามถ้าวัยรุ่นลาวแดนซ์แบบตะวันตก
แต่เราต้องไม่ลืมรูปแบบการฟ้อนของเรา"

รมว.แถลงการณ์ฯ แห่ง ส.ป.ป.ลาว
ได้บอกเล่าถึงมาตรการควบคุมสื่อลามกให้อยู่ห่างเด็กและเยาวชน ว่า
เป็นไปไม่ได้ที่จะปกปิดหรือห้ามปราม สิ่งที่ดีที่สุด คือ
การสอนให้เด็กของรู้จักเลือกเสพ

"อินเทอร์เน็ตสมัยนี้คลิกเดียวแลได้ทั่วโลก
เราจะไปปิดไปกั้นก็ไม่ได้ มันทำยาก สร้างเด็กเราให้เลือกเป็น
ให้มีสำนึกง่ายกว่ามาก"


ชุดนักเรียนประถมของลาว
ฟัง "ท่านหมุนแก้ว" ทิ้งท้ายไว้แบบนี้แล้วรู้สึกจุกในหัวอก
วิธีการสร้างภูมิคุ้มใจให้แก่เด็กๆ
ที่แสนเรียบง่ายทว่าได้ผลมหาศาลและไม่สิ้นเปลือง แถมเป็นการแก้ที่ชะงัด
เพราะในความเป็นจริง สิ่งล่อใจและสิ่งยั่วยุต่างๆ
ถูกระบบทุนนิยมผลิตขึ้นมาทุกวัน
การจะไปออกกฎหมายตามแก้หรือบังคับห้ามดูจะเป็นเรื่องยาก
สิ่งที่ได้ผลที่สุดคือการตัดไฟแต่ต้นลม คือ
การให้ความรู้กับทรัพยากรมมนุษย์ให้รู้จักเลือกอย่างที่ลาวกำลังทำอยู่นั่น
เอง

แต่ เมื่อแลกลับมามองสภาพสังคมในประเทศไทย
โดยเฉพาะในเมืองใหญ่แล้ว ภาพที่พ่อแม่ยุคใหม่ทิ้งลูกไว้ให้พี่เลี้ยง
หรือแม้กระทั่งให้โทรทัศน์เป็นพี่เลี้ยงลูก ภาพเด็กที่คำนำหน้ายังไม่เป็น
"นางสาว" ใส่สายเดี่ยว เอวลอย กางเกงขาสั้นเดินเที่ยวตามศูนย์การค้า
ภาพดาราวัยรุ่นที่ยังอายุแค่สิบแปดปีเดินเข้าไปใช้บริการเธคผับ
แล้วให้สัมภาษณ์เมื่อถูกถามว่า เข้ามาได้อย่างไร
เธอก็ตอบอย่างไร้สำนึกว่าตนเองเป็นบุคคลสาธาณะที่เด็กๆ
อาจมองเป็นแบบอย่างว่า "ใช้สองขาเดินเข้ามา" อย่างนี้แล้ว หนักใจแทน
"รัฐมนตรีธีระ" อยู่ครามครัน แต่ก็ต้องส่งกำลังใจไปให้หอบใหญ่ๆ
ให้ผลักดันและสร้างสำนึกวัฒนธรรมดีๆ ให้แก่เด็กไทยให้ได้
ไม่เช่นนั้นอีกไม่นาน เราอาจจะเห็นเด็กไทยที่เป็นเด็กไทยแต่ชื่อ
หากทว่าตัวตนไร้ซึ่งอัตลักษณ์ไปโดยสิ้นเชิง!

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000129087

เหล้าทำสูญงบชาติ 3.5 ล้านบาท/ปี มากกว่าค่าสร้าง "สุวรรณภูมิ"

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 29 ตุลาคม 2552 15:25 น.
"เอ็น จีโอ" แฉกลางวง "กมธ." เหล้าผลาญงบชาติปีละ 3.5 แสน
ลบ.มากกว่าค่าก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ นักดื่มหน้าใหม่พุ่งติดอันดับโลก
ส่วนปริมาณการกินเฉลี่ยต่อคนสูงใกล้ท็อปในเอเชีย โวย "เสธ.หนั่น"
ปธ.นโยบายรัฐ ทำเฉยไม่จริงใจ-มีผลประโยชน์ทับซ้อน "ไกรศักดิ์" ยอมรับ
ทุนเหล้า หนุนหลัง "นักการเมือง" เตรียมระดมทุก "กมธ." ยื่นหนังสือกดดัน
"สนั่น-อภิสิทธิ์" จริงจังปราบเหล้าปั่น-ผับรอบมหาลัย


ที่รัฐสภา เวลา 10.00 น. คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง
การสื่อสารมวลชน ที่มี นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ
ส.ส.สัดส่วนพรรคประชาธิปัตย์ ได้เชิญเครือข่ายองค์กรงดเหล้า
เจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.)
ให้ข้อมูลถึงปัญหาร้านเหล้ารอบสถานศึกษา
และปัญหาเหล้าปั่นที่มอมเมาเยาวชน นักเรียนนักศึกษา

นายสงกรานต์ ภาคโชคดี ผอ.เครือข่ายองค์กรงดเหล้า กล่าวว่า
สถานการณ์ของปัญหาที่มาจากเหล้าในสังคมไทยมีมากขึ้น
ยิ่งช่วงใกล้เทศกาลลอยกระทงจะมีเหตุการณ์เมาตกน้ำอีกจำนวนมาก
ค่าใช้จ่ายที่หมดกับสุราในสังคมไทยปีละ 2 แสนล้านบาท
มากกว่าค่าก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ นอกจากนี้
ยังต้องมีค่าเสียหายอันเกิดจากเหล้าปีละ 3.5 แสนล้านบาท
รัฐบาลเข้าใจผิดว่า การเก็บภาษีจากเหล้าได้มากเศรษฐกิจจะพัฒนา
เพราะธนาคารโลกก็ประกาศออกมาว่าหากประเทศไหนหยุดการดื่มเหล้าไม่ได้เศรษฐกิจ
จะไม่พัฒนา เห็นได้ชัดจากข้อมูลของกรมสรรพสามิตที่ว่ารัฐได้ภาษีจากเหล้า
1 บาท แต่รัฐบาลต้องจ่ายค่าเสียหาย 2 บาท

นพ.ทักษพล ธรรมรังสี ผอ.ศูนย์วิจัยสุรา กล่าวว่า
ประเทศไทยมีนักดื่มหน้าใหม่เกิดขึ้นมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก
โดยเฉลี่ยแล้วคนไทยทั้งประเทศดื่มเหล้าเฉลี่ยคนละ 6-7 ลิตรต่อปี
ถือว่ามากติดอันดับต้นๆ ของเอเชียใกล้เคียงกับญี่ปุ่นและเกาหลี

น.ส.จิราพร กมลรังสรรค์ นักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยราชพฤกษ์
กล่าวว่า ปัญหาเหล้าปั่นและร้านเหล้ารอบสถานศึกษาขณะนี้ระบาดอย่างหนักมอมเมาเยาวชน
นักศึกษาอย่างหนัก เมื่อเดือน ก.ย.ตนได้รวมตัวกับเพื่อนๆ ไปพบ พล.ต.สนั่น
ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี
ที่เป็นประธานคณะกรรมการนโยบายแอลกอฮอล์แห่งชาติ
เพื่อให้ออกมาตรการเด็ดขาดในการควบคุม ซึ่ง เสธ.หนั่น
ก็รับปากว่าเห็นด้วยและจะดำเนินการในเดือนต.ค.แต่จนถึงวันนี้แล้วยังไม่มี
การเรียกประชุม โดยอ้างว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
ต้องการให้ยุติเรื่องไว้ก่อน
ซึ่งตนและเพื่อนไม่เชื่อว่าจะเป็นเช่นนั้นเพราะนายอภิสิทธิ์
เคยตอบคำถามในเว็ปไซต์ชัดเจนว่าต้องการแก้ปัญหานี้อย่างเด็ดขาด

"พวก เราคิดว่า เสธ.หนั่น ไม่มีความจริงใจ
ในการแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง
ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับกลุ่มธุรกิจหรือไม่"
น.ส.จิราพร กล่าว

ด้าน พล.ต.ต.พงษ์สันต์ เจียมอ่อน รอง ผบช.น.ยอมรับว่า
ขณะนี้ร้านเหล้าที่อยู่รอบสถานศึกษา และเหล้าปั่นมีจำนวนมาก
ส่วนใหญ่ไม่มีใบอนุญาต เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมได้มากถึงเดือนละ 400 ร้าน
แต่ปัญหาคือบทลงโทษค่อนข้างเบา โดยหากขายเหล้าฝรั่งถูกปรับ 2,000 บาท
ส่วนเหล้าไทย 500 บาท นอกจากนี้
เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีอำนาจสั่งปิดด้วยซ้ำ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงท้ายของการประชุมนายไกรศักดิ์
กล่าวว่า เหล้าเป็นธุรกิจที่จ่ายเงินสนับสนุนนักการเมืองและพรรคการเมืองมายาวนาน
จึงทำให้รัฐบาลไม่สามารถมีนโยบายที่ขัดผลประโยชน์ของกลุ่มทุนเหล้าได้
เช่น การให้ชาวบ้านทำเหล้าได้เองในต่างประเทศเขาทำไวน์กันเป็นหมื่นยี่ห้อ
แต่เมืองไทยชาวบ้านทำไม่ได้ นอกจากนี้
ยังมีปัญหาที่ตำรวจผู้บังคับใช้กฎหมายมีข่าวว่าไปเปิดร้านเหล้าเสียเองใน
ย่านถ.รัชดาภิเษก

"ผม จะให้
กมธ.ชุดนี้ร่างหนังสือแล้วไปประสานงานกับกมธ.ส.ส.ทุกคณะให้ร่วมลงชื่อ
ส่งไปถึง พล.ต.สนั่น
ให้รีบออกมาตรการแก้ปัญหาเหล้าปั่นและร้านเหล้ารอบสถานศึกษาอย่างจริงจัง
และอีกฉบับหนึ่งจะส่งไปยังนายอภิสิทธิ์ ให้กดดัน พล.ต.สนั่น อีกทางหนึ่ง"
นายไกรศักดิ์ กล่าว

พระบรมราโชวาทที่ควรรับไว้เหนือเกล้า

โดย ศ.ดร.ลิขิต ธีรเวคิน 28 ตุลาคม 2552 15:14 น.
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในฐานะทรงเป็นพระประมุข มีพระเนตรอันยาวไกล
มีความเข้าพระทัยต่อสังคมไทยและการบริหารราชการแผ่นดิน
พระบรมราโชวาทที่ทรงพระกรุณาให้กับประชาชนชาวไทยทั่วไป
หรือต่อข้าราชการนั้น
เป็นสิ่งที่ทุกคนควรรับเหนือเกล้านำไปพินิจพิเคราะห์และนำไปปฏิบัติ
สิ่งซึ่งพระองค์ทรงกล่าวเน้นก็คือ ผลประโยชน์
ความเจริญรุ่งเรืองของประเทศชาติ ความสุขของประชาชน และการพัฒนาสังคม
โดยพระองค์ท่านทรงเน้นถึงความซื่อสัตย์สุจริต
การทำงานที่จริงจังการเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
การหลีกเลี่ยงจากการประพฤติปฏิบัติที่ก่อให้เกิดความเสียหาย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ปัญหาสังคมต้องแก้ด้วยภูมิปัญญา
และสังคมจะพัฒนาได้นั้นจะต้องมีความสามัคคีปรองดองกัน
นอกจากนั้นการแก้ปัญหาจะต้องแก้ให้ถูกทาง
มิฉะนั้นอาจจะทำให้เกิดความสับสนวุ่นวายและเพิ่มปัญหามากยิ่งขึ้น
พระองค์ทรงเน้นถึงการกระทำสิ่งที่ถูกต้อง สร้างความยุติธรรมในสังคม
มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และเอื้ออาทรต่อกัน ที่สำคัญที่สุด
การกระทำอันใดก็ตามจะต้องเป็นการกระทำที่เกิดประโยชน์ต่อแผ่นดิน

พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
นอกจากสะท้อนถึงความมีพระปรีชาสามารถในเรื่องการปกครองบริหารแล้ว
ยังถือได้ว่าประหนึ่งคำสอนที่เป็นธรรมะสำหรับการดำรงตนเพื่อให้เกิดความสุข
ความเจริญต่อตนเอง ต่อครอบครัว
แต่ที่สำคัญที่สุดคือต่อสังคมและประเทศชาติโดยรวม

สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรในยุคที่นายอุทัย พิมพ์ใจชน
เป็นประธานรัฐสภา
ได้มีการตัดตอนย่อพระบรมราโชวาทบางส่วนมาเพื่อเป็นแนวทางการปฏิบัติตามรอย
พระยุคลบาท โดยมีการตีพิมพ์เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2545
บางส่วนของพระบรมราโชวาทที่ได้มีการยกเอาส่วนที่ครอบคลุมหัวข้อดังกล่าวมา
เบื้องต้นมีดังต่อไปนี้ คือ

"...ประเทศของเรามีเอกราชอธิปไตยและความเจริญมั่นคงมาได้จนทุกวันนี้
เพราะคนไทยทุกหมู่เหล่ายึดมั่นในชาติบ้านเมือง
และรู้จักทำหน้าที่ของแต่ละฝ่ายแต่ละคนให้ประสานส่งเสริมกัน..."

"... การที่จะให้ประเทศชาติมีความมั่นคง มีความสุขและความเจริญ
ย่อมต้องอาศัยความสามัคคีและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
สำหรับผู้ที่ยังไม่เดือดร้อนนักก็ควรจะช่วยผู้ที่เดือดร้อนมากกว่า..."

"...การดำรงรักษาชาติประเทศนั้นมิใช่หน้าที่ของบุคคลผู้ใดหมู่ใดโดย
เฉพาะ หากแต่เป็นหน้าที่ของทุกๆ ฝ่าย ทุกๆ คน
ที่จักต้องร่วมมือกระทำพร้อมกันไป โดยสอดคล้องกัน เกื้อกูลกัน
และมีจุดมุ่งหมาย มีอุดมคติร่วมกัน..."

"... ความเจริญผาสุกและความตั้งมั่นของบ้านเมือง
เป็นสิ่งสำคัญสูงสุดที่บุคคลพึงรำลึกถึงและพึงประสงค์
และความเจริญมั่นคงนั้นจะเกิดขึ้นได้
ก็ต่อเมื่อประชาชนในชาติมีความอยู่ดีเป็นปกติสุขปราศจากทุกข์ยากเข็ญ..."

"...ความสามัคคีพร้อมเพรียงกันเป็นพื้นฐานที่สำคัญยิ่งในการปฏิบัติ
บริหารงานใหญ่ๆ เช่น งานของแผ่นดิน
และความสามัคคีนี้จะเกิดมีขึ้นมั่นคงได้
ก็ด้วยบุคคลในหมู่ในคณะมีคุณธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวผูกพันจิตใจของกันและ
กันไว้..."

"... เมื่อใดมีความเข้มแข็งมีความสามัคคีก็จะทำให้บ้านเมืองมีพลังยิ่งขึ้นเมื่อ
นั้น เมื่อบ้านเมืองมีพลังยิ่งขึ้น
ก็สามารถที่จะทำให้พวกเราเองมีความปลอดภัยและมีความก้าวหน้าในที่สุด"

"...ผู้ที่ปฏิบัติงานโดยดีโดยบริสุทธิ์แล้ว
ย่อมได้มีส่วนในการช่วยประเทศชาติให้อยู่เย็นเป็นสุข..."

"... ความมีใจจริงที่ขาดไม่ได้ในการทำงานมีสองประการ
ประการที่หนึ่ง คือ ความจริงใจต่อผู้ร่วมงาน
ซึ่งมีลักษณะประกอบด้วยความซื่อตรง เมตตา หวังดี
พร้อมเสมอที่จะร่วมมือช่วยเหลือและส่งเสริมกันทุกขณะ
ทั้งในฐานะผู้มีจุดประสงค์ที่ดีร่วมกัน
และในฐานะที่เป็นเพื่อนมนุษย์ร่วมชาติร่วมโลกกัน ประการที่สองได้แก่
ความจริงใจต่องาน
มีลักษณะเป็นการตั้งสัตย์อธิษฐานหรือการตั้งใจจริงที่จะทำงานให้เต็ม
กำลัง..."

"...ถ้าเราจะเอาแต่ชนะ มันก็ต้องมีแพ้ แต่ถ้าเราปรองดองกัน
มีแต่ชนะไม่มีแพ้..."

"...การแก้ไขปัญหานั้น ถ้าไม่ทำให้ถูกเหตุถูกทาง
ด้วยความรอบคอบระมัดระวัง
มักจะกลายเป็นการเพิ่มปัญหาให้มากและยุ่งยากขึ้น..."

"...ประโยชน์ส่วนรวมนั้นเป็นประโยชน์ที่แต่ละคนพึงยึดถือเป็นเป้า
หมายหลักในการปฏิบัติตนปฏิบัติงาน เพราะเป็นประโยชน์อันยั่งยืนแท้จริง
ซึ่งทุกคนมีส่วนได้รับทั่วถึงกัน..."

"... เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น
ทุกคนชอบที่จะทำความคิดความเห็นให้สอดคล้องกัน
ร่วมกันพิจารณาหาทางแก้ไขด้วยเหตุและผลตามเป็นจริงบนพื้นฐานอันเดียวกัน
ก็จะเห็นแนวทางปฏิบัติแก้ไขได้อย่างเที่ยงตรง ถูกต้อง และเหมาะสม..."

"...งานรักษาความมั่นคงของประเทศเป็นงานที่กว้างขวางและละเอียดลึก
ซึ้งเกี่ยวเนื่องถึงงานของบ้านเมืองทุกๆ ส่วน
ทั้งยังต้องปรับเปลี่ยนแผนและกระบวนการปฏิบัติให้ถูกต้องทันตามสถานการณ์
เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา..."

"... ความเพียรที่ถูกต้องเป็นธรรมและพึงประสงค์นั้น คือ
ความเพียรที่จะกำจัดความเสื่อมให้หมดไป และระวังป้องกันมิให้เกิดขึ้นใหม่
อย่างหนึ่ง กับความเพียรที่จะสร้างสรรค์ความดีความเจริญให้เกิดขึ้น
และระวังรักษามิให้เสื่อมสิ้นไปอย่างหนึ่ง ความเพียรทั้งสองประการนี้
เป็นอุปการะอย่างสำคัญแก่การปฏิบัติตนปฏิบัติงาน..."

"...การยึดมั่นในผลประโยชน์ของแผ่นดิน และความถูกต้องเป็นธรรม
เป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการ..."

"...การทำหน้าที่ได้สมบูรณ์เป็นทั้งรางวัลและประโยชน์อย่างประเสริฐ
จะทำให้บ้านเมืองไทยของเราอยู่เย็นเป็นสุขและมั่นคง..."

"...ไม่ว่าจะปฏิบัติภาระหน้าที่อันใดทั้งส่วนน้อยส่วนใหญ่ขอให้ปรารภประโยชน์ของชาติบ้านเมืองเป็นจุดหมายสูงสุด..."

"... เมื่อพบอุปสรรคใดๆ อย่าเพิ่งท้อแท้จะหมดกำลังใจง่ายๆ
จงตั้งใจทำให้ดี คิดหาทางที่จะแก้ไขผ่อนคลายอุปสรรคต่างๆ
ด้วยเหตุผลและหลักวิชา ไตร่ตรองด้วยความสุขุมรอบคอบ
และเยือกเย็นงานก็จะลุล่วงไปได้ด้วยดี..."

"...การช่วยเหลือสนับสนุนประชาชนในการประกอบอาชีพและตั้งตัว
ให้มีความพอกินพอใช้ก่อนอื่นเป็นพื้นฐานนั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวด
เพราะผู้ที่มีอาชีพและฐานะเพียงพอที่จะพึ่งตนเอง
ย่อมสามารถสร้างความเจริญก้าวหน้าระดับที่สูงขึ้นต่อไปได้โดยแน่นอน..."

"... ความสุขความเจริญที่แท้จริงอันควรหวังนั้น
เกิดขึ้นได้จากการกระทำและความประพฤติที่เป็นธรรม มีลักษณะสร้างสรรค์ คือ
อำนวยผลที่เป็นประโยชน์ทั้งแก่ตัวแก่ผู้อื่น
ตลอดถึงประเทศชาติโดยส่วนรวมด้วย..."

"...ความทุกข์เดือดร้อนของประชาชนนั้น
มิใช่เป็นความรับผิดชอบของผู้หนึ่งผู้ใดโดยเฉพาะ
แต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกัน
ที่จะต้องช่วยกันแก้ไขป้องกันโดยเต็มกำลัง..."

"... ความสุขความเจริญอันแท้จริงนั้น
หมายถึงความสุขความเจริญที่บุคคลแสวงหามาได้ด้วยความเป็นธรรม
ทั้งในเจตนาและการกระทำ
ไม่ใช่ได้มาด้วยความบังเอิญหรือด้วยการแก่งแย่งเบียดบังมาจากผู้อื่น..."

"...การที่จะทำงานให้สัมฤทธิผลที่พึงปรารถนา คือ
ที่เป็นประโยชน์และเป็นธรรมด้วยนั้น
จะอาศัยความรู้แต่เพียงอย่างเดียวมิได้จำเป็นต้องอาศัยความสุจริต
ความบริสุทธิ์ใจ และความถูกต้องเป็นธรรมประกอบด้วย..."

"...ปัญหาทุกอย่างไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ มีการแก้ไขได้
ถ้ารู้จักคิดได้ดี ปฏิบัติได้ถูก..."

"...ผู้ที่ทำงานดี มีความซื่อสัตย์สุจริตอย่าท้อใจ..."

จากพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทที่ยกมาข้างต้น
นอกจากจะสะท้อนถึงพระราชดำรัสอันลึกซึ้งขององค์พระประมุข
ยังสะท้อนถึงความเข้าพระทัยอย่างดีในปัญหาสังคม ระบบราชการ การบริหาร

ถ้าหากว่าประชาชนทั่วไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าราชการผู้ปฏิบัติหน้าที่
รับใช้ประชาชนและสังคม นำเอาประเด็นต่างๆ
ที่กล่าวมาเบื้องต้นอันเป็นส่วนสำคัญของพระบรมราโชวาทที่ทรงมีไว้หลายครั้ง
น่าจะเป็นแนวทางสำหรับการทำงานที่จะเอื้ออำนวยประโยชน์และได้ผลในที่สุด

มนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้มีหน้าที่รับผิดชอบต่องานสังคมและของประเทศชาติ
อาจจะต้องตั้งตัวอยู่ในความไม่ประมาท
จะต้องมีการเตือนสติตนเองถึงเรื่องศีลธรรมและจริยธรรม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อแนวทางปฏิบัติที่ได้มีการกลั่นกรองมาแล้วเป็นอย่างดี
ดังที่ปรากฏอยู่ในพระบรมราโชวาทที่กล่าวมาเบื้องต้น

ฮักเวียงสา เมื่อมาแอ่วน่าน/ปิ่น บุตรี

โดย ปิ่น บุตรี 28 ตุลาคม 2552 15:16 น.
โดย : ปิ่น บุตรี

สนง. เทศบาล ต.เวียงสา อดีตที่ว่าการ อ.สา ซึ่งในหลวงและพระราชินีเคยเสด็จมาประทับ
ได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างมาว่า ณ ที่นั่นนอก"น่าน"
มีคนเรียกปลาให้ขึ้นมาว่ายเหนือน้ำได้

โอ้!?! แม่เจ้า อะไรมันจะออกแนวพระสังข์ปานนั้น

กับเรื่องแบบนี้แค่ได้ยิน มันย่อมสู้การไปพิสูจน์ให้เห็นจะจะกับตาไม่ได้

ว่าแล้วผมก็เดินทางไปพิสูจน์ความจริงกัน ณ จุดต้นทางของเรื่องที่
"เมืองเวียงสา" อ.เวียงสา
ที่ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองน่านไปทางทิศใต้ประมาณ 25 กม.

รู้จักนามเวียงสา

เมืองเวียงสา(อ.เวียงสา) เดิมชื่อ "เวียงป้อ,เวียงพ้อ" หรือ
"เมืองป้อ,เมืองพ้อ" ตามตำนานเล่าว่า ถ้ามีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้น
จะมีการเรียกผู้คนที่มีอยู่จำนวนไม่มากนักในบริเวณนั้นมา"ป้อ"(รวม)กัน
ที่ปากแม่น้ำสา

ในอดีตเวียงป้อมีความสำคัญในฐานะเมืองประเทศราชของนครน่าน
จนกระทั่ง พ.ศ. 2440 มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติลักษณะการปกครองท้องที่
ร.ศ. 116 ได้เปลี่ยนแปลงการปกครองเวียงป้อไปขึ้นกับแขวงบริเวณน่านใต้
ต่อมาถูกตั้งเป็น"กิ่งอำเภอเวียงสา" แล้วได้รับการยกฐานะเป็น
"อำเภอบุญยืน" ในปี พ.ศ. 2461

ปี พ.ศ. 2482 เปลี่ยนชื่อจากอำเภอบุญยืนเป็น อำเภอสา
ก่อนเปลี่ยนเป็น อำเภอเวียงสาในปี พ.ศ. 2526 ซึ่ง 2 ชื่อหลัง
ตั้งตาม"ลำน้ำสา" ลำน้ำสำคัญของอำเภอที่มีต้นสาขึ้นอยู่เต็ม

อ.เวียงสา เป็นดังประตูสู่เมืองน่าน
เพราะถ้าจะเดินทางสู่น่านไปตามถนนสายหลักนั้น(ทางหลวงหมายเลข 101
กำแพงเพชร-น่าน) ต้องผ่าน อ.เวียงสาก่อน ซึ่งในวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ.
2501 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ
เสด็จฯเยี่ยมราษฎรภาคเหนือ จากแพร่สู่ที่ว่าการอำเภอสา(ชื่อในขณะนั้น)
ด้วยพระราชพาหนะรถจี๊ป และโปรดเกล้าให้พสกนิกรเข้าเฝ้าฯ ณ หน้ามุขชั้น
2ของที่ว่าการอำเภอสา
จากนั้นจึงเสด็จฯต่อไปยังศาลากลางจังหวัดน่านในขณะนั้น(ปัจจุบันคือ
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน)

การเสด็จฯครั้งนั้นของ 2
พระองค์ยังความปลาบปลื้มปีติของชาวอำเภอเวียงสามาจนถึงทุกวันนี้

เด็กๆตีกะหล๊กเรียกปลา
เที่ยวฮักเวียงสา

นอกจากจะเป็นประตูสู่น่าน
เป็นเมืองแรกที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ เสด็จมาประทับรอยพระบาทแรกในน่าน
เป็นเมืองที่มีคนเรียกปลาได้แล้ว เวียงสายังมีของดี
มีสิ่งน่าสนใจอีกหลายอย่าง

นั่นจึงทำให้ทางกลุ่ม"ฮักเมืองเวียงสา"กับชาวบ้านและภาคส่วนอื่นๆใน
อำเภอ ร่วมแรงร่วมใจกันจัดกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมขึ้น
เพื่อให้ผู้มาเยือนละวางความรีบเร่ง
และได้รับรู้ถึงมนต์เสน่ห์ของเมืองเล็กๆอันเรียบง่าย สงบงามแห่งนี้
โดยขอเป็นแหล่งท่องเที่ยวรองเชื่อมต่อจากเมืองน่าน

"ที่สำคัญกว่านั้น
คือเราอยากให้คนเวียงสารู้จักบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง
ซึ่งการท่องเที่ยวจะทำให้คนเวียงสาเกิดการเรียนรู้เพื่ออนุรักษ์ บอกกล่าว
อธิบาย ต่อนักท่องเที่ยวได้"

เฉาก๊วย หนึ่งในผู้มีบทบาทของกลุ่มฮักเมืองเวียงสาบอกกับผม
พร้อมทั้งไม่ลืมที่พูดถึงในสิ่งที่ผมเป็นห่วงว่า
พวกเขากับชาวบ้านจะทำการท่องเที่ยวเป็นอาชีพเสริมแบบพอเพียงเท่านั้น
ด้วยไม่อยากให้เมืองเวียงสาถูกธุรกิจท่องเที่ยวทำลายจนเสียศูนย์
เสียอัตลักษณ์ของชุมชนไป เพราะการท่องเที่ยวถือเป็นดาบ 2 คม
ที่ต้องรู้จักมันให้ดี

แอ่วของดีเวียงสา

ฟังคุณเฉาก๊วยอธิบายแล้ว
ทีนี้ก็ต้องไปตะลอนๆเที่ยวชมของดีในเมืองนี้กันเสียหน่อย
โดยให้เฉาก๊วยกับกลุ่มฮักเมืองเวียงสาเป็นคนพาชม

จุดแรกนั้นผมมุ่งไปชมสิ่งสนใจที่ติดค้างไว้ตั้งแต่ต้นเรื่องนั่นก็คือการไปดูคนเรียกปลา
ที่บ้านกะหล๊กน้ำน่านใต้

บ้านนี้เป็นบ้านไม้ใหญ่โตกว้างขวางติดริมแม่น้ำทิวทัศน์สวยงาม
กำลังทดลองจัดทำเป็นโฮมสเตย์
ทุกวันอาทิตย์จะมีการสอนภาษาล้านนาแก่ผู้ที่สนใจทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่
ใต้ถุนบ้าน ส่วนตรงลานริมน้ำหลังบ้านแขวน"กะหล๊ก"ไว้
มีลักษณะเป็นไม้คล้ายกระดึงผูกคอวัว
สมัยก่อนใช้ในการตีเรียกประชุมชาวบ้านหรือเคาะเรียกยามเกิดเหตุสำคัญ

แต่ปัจจุบันมีเทคโนโลยีอื่นเข้ามากะหล๊กจึงค่อยๆเลือนหายไป
แต่ที่บ้านหลังนี้เขาเก็บกะหล๊กไว้เพื่อตีเรียกปลาให้มากินอาหาร
โดยทุกๆวันคนในบ้านจะนำอาหารปลาใส่ตะกร้าที่แขวนไว้กับผูกรอก
แล้วจึงเคาะกะหล๊กเสียงดัง ป๊กๆๆๆ ส่งสัญญาณไปถึงปลา
จากนั้นปลาแถวนั้นจะว่ายน้ำมารออาหารกันที่ผิวน้ำ
เจ้าของบ้านก็ปล่อยอาหารให้ปลากินอย่างสบายใจ
โดยไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาจับเพราะชาวบ้านที่นี่เขาร่วมใจกันอนุรักษ์พันธุ์
ปลาในละแวกนี้ไว้

จักรยานเก่ามากมายที่เฮือนรถถีบ
นับเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่ไม่ต้องใช้คาถาแบบพระสังข์หรือไม่ต้อง
เป็นจอมขมังเวทย์แต่อย่างใด
แต่ภูมิปัญญาแบบนี้แหละสามารถเรียกความสนใจของนักท่องเที่ยวได้ไม่น้อยเลย

อีกจุดหนึ่งในเวียงสาที่แม้กระทั่งคนเวียงสาหลายยังไม่รู้ก็คือ
"เฮือนรถถีบ" ของคุณลุงสุพจน์ เต็งไตรรัตน์
ที่เดิมคุณลุงเปิดร้านซ่อมจักรยาน
ก่อนพัฒนามาเป็นตำแทนจำหน่ายจักรยานยุโรป

ต่อมาด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงคนหันไปใช้รถยนต์ มอเตอร์ไซค์
แทนจักรยาน คุณลุงจึงหันมาเปิดปั๊มแทน
ส่วนจักรยานนั้นด้วยใจรักจึงไม่ทิ้ง
หากแต่นำเก็บสะสมไว้และซื้อหาจักรยานเก่าๆหายากมาเพิ่มเติม อาทิ
จักรยานล้อโต 64 นิ้วที่ซื้อมาจากพิพิธภัณฑ์เยอรมัน
จักรยานเก่าแบบพับเห็บได้ และจักรยานเก่าจากยุโรปหลากหลายยี่ห้อ เช่น
ราเลย์ กาเซีย โบบินฮูด ฟิลิปส์ นิวฮัทสัน
แล้วเปิดให้ชมในรูปแบบพิพิธภัณฑ์ให้คนที่สนใจได้ชื่นชมกัน

ไหนๆก็พูดถึงจักรยานแล้ว คุณเฉาก๊วย
บอกว่าเวียงสาเป็นเมืองที่น่าปั่นจักรยานเที่ยวมาก
เพราะจะได้สัมผัสกับวิถีชิวิตอันเรียบง่ายของชาวบ้านอย่างใกล้ชิด
ทั้งอาคารบ้านเรือน การดำรงชีวิต การทอผ้า การทำเรือ การทำสวนผลไม้
ซึ่งที่นี่มีผลได้อร่อยๆหลายอย่าง อาทิ ขนุน กล้วย มะละกอ ลองกอง
โดยใครที่มาเที่ยวเวียงสานั้น
ทางชุมชนเขามีจักรยานเตรียมไว้ให้รองรับได้ประมาณ 100 คนเลยทีเดียว

พระพุทธรูปยืนในโบสถ์วัดบุญยืน
นอกจากของดีตามที่กล่าวมาแล้ว
เวียงสายังมีพระพุทธรูปไม้ตะเคียนที่ใหญ่มาก ณ ศูนย์วิปัสนาสุญญตวิโมกข์
เป็นอีกหนึ่งสิ่งชูโรง และมี"วัดบุญยืน"เป็นวัดคู่บ้านคู่เมือง

วัดบุญยืน มีอายุกว่า 200 ปีแล้ว ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามเทศบาล
ต.เวียงสา วัดนี้มีสิ่งน่าสนใจมากอยู่ที่โบสถ์ทรงล้านนาอิทธิพลสุโขทัย
มีประตูโบสถ์เป็นไม้แกะสลักรูปเทวดาและลวดลายพรรณพฤกษาอย่างปราณีตอ่อนช้อย
ภายในโบสถ์มีพระพุทธรูปยืนปางเปิดโลกเป็นพระประธาน
มีเสาโบสถ์ขนาดใหญ่ส่วนล่างเป็นปูนนำสายตาเข้าไปดูขรึมขลังเปี่ยมศรัทธายิ่ง
นัก

หลังออกจากการไหว้พระงามในโบสถ์วัดบุญยืน
ก่อนร่ำลาจากเมืองนี้ผมแวะยังจุดน่าสนใจสำคัญที่อยู่ตรงข้ามกับวัดนั่นก็คือ
สำนักงานเทศบาลตำบลเวียงสา เป็นเรือนไม้ 2 ชั้น รูปทรงสมส่วนกระทัดรัด

เดิมที่นี่คือที่ว่าการอำเภอสาซึ่งในหลวงและพระราชินีเคยเสด็จมา
ประทับ และโปรดเกล้าให้พสกนิกรเข้าเฝ้าฯ ณ มุขหน้าชั้น 2
ของที่ว่าการอำเภอตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น

นับได้ว่านี่คือหนึ่งในสถานที่ทรงคุณค่าที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และมีคุณค่าทางจิตใจอย่างสูงยิ่งของชาวเวียงสา

แต่ทว่าในยุคสมัยหนึ่ง
มีข้าราชการจำนวนหนึ่งกลับมองไม่เห็นความสำคัญในจุดนี้
กลับเห็นว่าควรทุบทิ้ง(เพราะเห็นเป็นอาคารไม้ไม่ทันสมัยทั้งที่ยังใช้งานได้
ดี)เพื่อสร้างอาคารตึก(ปูน)ใหญ่โตแทน
แต่ยังดีที่มีชาวบ้านและกลุ่มภาคีคนฮักเมืองน่านทัดทานไว้
เพราะเห็นเป็นอาคารทรงคุณค่า

นั่นจึงทำให้อาคารนี้ยังคงอยู่คู่เวียงสามาจนถึงทุกวันนี้พร้อมกับ
บอกเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์สำคัญของเมือง ซึ่ง ณ
วันนี้มีข่าวดีว่าทางเทศบาลตำบลจะปรับปรุงอาคารไม้หลังนี้เป็นพิพิธภัณฑ์
ท้องถิ่นเมืองเวียงสา ที่ก็ต้องคอยดูกันต่อไปว่าจะสัมฤทธิ์ผลเมื่อไหร่

อย่างไรก็ตามในเรื่องนี้
มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเทศบาลตำบลบ่นให้ผมและสาธารณะชนจำนวนหนึ่งฟังว่า
เมื่อครั้งที่ในหลวงและพระราชินีเสด็จมาที่นี่
พระองค์ท่านทั้งสองได้เสด็จประทับบนเก้าอี้ไม้ 2 ตัว
ซึ่งถือเป็นเก้าอี้ทรงคุณค่าที่จะนำมาเป็นไฮไลท์ในการจัดพิพิธภัณฑ์
แต่วันนี้เก้าอี้ 2 ตัวนั้นอันตรธานหายไปนานแล้ว
เพราะถูกนายอำเภอผู้นิยมสะสมของเก่าบางคนฉกไปตั้งแต่เมื่อครั้งอดีต(ซึ่งแก
ก็ไม่รู้ว่าใคร) นับเป็นเรื่องที่น่าเสียดายยิ่ง

เฮ้อ...ใครหนอช่างกล้าทำได้ถึงเพียงนี้
ซึ่งถ้าเรื่องนี้จริงตามที่เจ้าหน้าที่คนนั้นอ้าง
ก็ให้รู้ไว้ด้วยว่าการกระทำแบบนี้ของมันผู้นั้น
มีคนก่นด่าและสาปแช่งต่อพฤติกรรมอันไม่เหมาะสมตามไล่หลังอยู่เป็นจำนวนมาก

*****************************************

สอบถามข้อมูลท่องเที่ยวเวียงสาเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ประสานงานกลุ่มฮักเมืองเวียงสา
08-5864-8920,08-6118-9054

http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9520000128894

เคาะข่าวริมโขง : "นช.แม้ว" ยังดื้อแพ่ง ทวิตใส่ร้าย รบ.กลั่นแกล้งถอดยศ-ยึดเครื่องราชฯ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

รายการ "เคาะข่าวริมโขง" ออกอากาศทาง "อีสานทีวี" ช่วงเวลา
18.30-20.30 น.วันพุธที่ 28 ตุลาคม มี น.ส.วรรษมน ช่างปรีชา
เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยวันนี้ได้มีการเชิญ นายโสภณ องค์การณ์
อดีตบรรณาธิการข่าวเศรษฐกิจของหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น
และหนึ่งในพิธีกรรายการ NEWS HOUR สุดสัปดาห์ นายประพันธ์ คูณมี
น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก ว่าที่กรรมการบริหารพรรคการเมืองใหม่ และ
นายเทิดภูมิ ใจดี อดีตผู้นำแรงงานและนักการเมืองอาวุโส
มาร่วมพูดคุยถึงหลากหลายประเด็นที่น่าสนใจ โดยเฉพาะกรณี
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เสนอความเห็นมายังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
(สลค.) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.)
เรื่องการถอดยศและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
อดีตนายกรัฐมนตรี เนื่องจากต้องพิพากษาถึงที่สุดในจำคุกคดีที่ดินรัชดาฯ

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นร้อนรองลงมา นั่นคือ
กรณีท่าทีของสหภาพแรงงานการรถไฟฯ หลังจากที่ผู้บริหาร
ร.ฟ.ท.มีคำสั่งปลดพนักงานออก จำนวน 6 คน ฐานละเมิดคำสั่งศาลจังหวัดสงขลา
ขัดขวางการเดินรถไฟ

เริ่มต้นช่วงแรก น.ส.วรรษมน ได้ต่อสายสัมภาษณ์ นายสาวิทย์
แก้วหวาน ประธานสหภาพแรงงานการรถไฟฯ มาชี้แจงถึงท่าที
หลังจากที่ผู้บริหาร ร.ฟ.ท.มีการสั่งปลดพนักงานออกจำนวน 6 คน โดย
นายสาวิทย์ กล่าวว่า จุดยืนของสหภาพฯ ต่อกรณีดังกล่าว ยังเหมือนเช่นเดิม
โดยถ้าหากภายใน 3 วันต่อจากนี้ ผู้บริหาร
ร.ฟ.ท.ยังนิ่งเฉยกับปัญหาที่เกิดขึ้น ทางสหภาพฯ
ก็จำเป็นต้องหยุดเดินรถไฟต่อไป แต่ทั้งนี้ ขอยืนยันว่า
เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ใช่การกระทำเพื่อตัวเองและพวกพ้อง
เป็นเพราะต้องการให้ประชาชนมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินในการใช้บริการ
รถไฟ

ส่วนกรณีที่ นายอาคม เอ่งฉ้วน ส.ส.กระบี่ พรรคประชาธิปัตย์
ตั้งข้อสังเกตถึงการต่อสู้ของสหภาพฯ ว่า
สอดคล้องกับการดำเนินการของพรรคการเมืองบางพรรค และเห็นว่า
ข้อเรียกร้องที่สหภาพฯ ระบุว่า
การเดินรถไฟในเส้นทางดังกล่าวไม่ปลอดภัยนั้น เป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้น
นายสาวิทย์ กล่าวว่า จริงๆแล้ว ในฐานะที่ นายอาคม เป็น ส.ส.ภาคใต้
ก็น่าจะรู้ดี ว่าเส้นทางเดินรถไฟภาคใต้ปลอดภัยหรือไม่
โดยการที่ออกมาระบุว่า ตนสมควรจะลาออกจากตำแหน่งประธานสหภาพฯ ตนอยากให้
นายอาคม ลองมองดูปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะว่าข้อเสนอของสหภาพฯ
ที่เรียกร้องกับทางผู้บริหาร
ร.ฟ.ท.มีข้อไหนที่เป็นการหาผลประโยชน์เพื่อตนเองและพวกพ้อง
มีแต่ความคำนึงถึงความปลอดภัยประชาชน จะเดินรถไปได้อย่างไร
ในเมื่อหัวรถจักร มันไม่พร้อม ดังนั้น
จะมาบอกว่าประเด็นนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองได้อย่างไร
ในเมื่อที่ผ่านมา ปัญหามันอยู่ที่ผู้บริหาร ร.ฟ.ท.ไม่เคยสนใจที่จะแก้ไข
มิหนำซ้ำ วันนี้ยังมีการไล่พนักงานออก จำนวน 6 คน ตนอยากถามว่า
แบบนี้รัฐบาล และผู้บริหาร ร.ฟ.ท.ต้องการจะแก้ปัญหา
หรือต้องการปะทุให้เกิดความรุนแรง

นายสาวิทย์ กล่าวอีกว่า ทั้งหมดนี้ เป็นความพยายามจะทำให้การรถไฟฯ
กลายสภาพด้วยการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
และเปิดทางให้เอกชนเข้ามามีบทบาทในการบริหาร ดังนั้น
ขวากหนามที่ขวางทางเรื่องนี้อยู่ คือ สหภาพฯ
ที่ค้ำเส้นทางทำมาหากินนักการเมืองที่หวังผลประโยชน์จากการเช่าที่ดินของ
ร.ฟ.ท.จึงต้องกำจัดสหภาพฯ ด้วยวิธีดิสเครดิต ทำให้สังคมมองว่า สหภาพฯ
จับประชาชนเป็นตัวประกัน ทั้งที่ ตลอดเวลาที่ผ่านมา
สหภาพฯและพนักงานทุกคน ล้วนทำหน้าที่รับใช้ประชาชนด้วยความเต็มใจ
แม้องค์กรจะฝืดเคืองเพียงใด มีภาระหนักหนาสาหัสแค่ไหน
ทุกคนก็พร้อมทำเพื่อประชาชน แต่เวลากลับถูกประณาม
หาว่าไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง ดังนั้น ตนขอยืนยันว่า ท่าทีทุกอย่าง สหภาพฯ
ยังเหมือนเดิม คือ รัฐบาลและผู้บริหาร ร.ฟ.ท.
ต้องแก้ปัญหาที่ยืดเยื้อมานาน ไม่เช่นนั้น
เหตุการณ์เช่นนี้ก็จะเกิดขึ้นอีกไม่จบไม่สิ้น

ช่วงต่อมา น.ส.วรรษมน เปิดประเด็น กรณี สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
เสนอความเห็นมายังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.)
และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.)
เรื่องการถอดยศและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
อดีตนายกรัฐมนตรี เนื่องจากต้องพิพากษาถึงที่สุดในจำคุกคดีที่ดินรัชดาฯ

น.ส.อัญชะลี กล่าวเสริมว่า เมื่อเรื่องดังกล่าวมีความคืบหน้า
พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ทวิตข้อความตัดพ้อ บอกว่า ขอบคุณรัฐบาล
และทุกฝ่ายที่ซ้ำเติมตน ซึ่งตนไม่รู้อะไร เพราะเป็นเรื่องธรรมดา
ที่รัฐบาลกระสันอยากทำเรื่องนี้อยู่แล้ว ดังนั้น
เมื่อมีโอกาสเล่นงานและกลั่นแกล้ง จึงทำทุกวิถีทาง โดยถ้าหากฆ่าตนได้
คงทำไปนานแล้ว

นายโสภณ กล่าวประเด็นนี้ว่า ตนเชื่อว่า เรื่องนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ
คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่าตัวเองต้องถูกถอดยศและยึดเครื่องราชฯ คืน
แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ถือเป็นการว่าตามระเบียบที่บัญญัติไว้ ซึ่ง
พ.ต.ท.ทักษิณ ก็รู้ดี ว่าระบุไว้อย่างไร

นายประพันธ์ กล่าวประเด็นเดียวกัน ว่า
ตนอยากให้พี่น้องและกลุ่มคนเสื้อแดงที่ยังสู้ถวายหัวให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ
ลองมองดูความจริงว่า ที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ เคยพูดความจริงอะไรบ้าง
เพราะเห็นแต่ชอบพูดจาวกไปวนมา หาเรื่องผู้อื่น ซึ่งล่าสุด
ได้ออกมาโวยวายหาว่า รัฐบาลกลั่นแกล้ง ทั้งที่ตัวเองทำผิดจริง
โกงบ้านเมืองจริง แบบนี้จะหาว่าคนอื่นซ้ำเติม
โดยการที่รัฐบาลออกมาดำเนินการเรื่องนี้
ก็เนื่องจากถึงเวลาแล้วที่ระเบียบดังกล่าวได้ชัดเจน
ว่าสมควรจะถอดยศและยึดเครื่องราชฯ ในเมื่อศาลตัดสินคดีสิ้นสุดแล้ว
มีการสั่งจำคุกเป็นเวลา 2 ปี แต่ตัว พ.ต.ท.ทักษิณ
กลับไม่ยอมสู้ตามกระบวนการยุติธรรม ทั้งยังหลบหนีไปต่างประเทศ
ไม่กล้ากลับมา เช่นนี้แล้วใครกันแน่ที่ไม่ทำตามกฎหมาย

นายประพันธ์ กล่าวต่อว่า เรื่องนี้หากว่ากันไปตามจริง
ไม่ใช่ความผิดของรัฐบาลที่เพิ่งมาดำเนินการ แต่ต้องสืบดู
ว่าแท้จริงแล้วองค์กรใดที่เตะถ่วงเรื่องนี้มานาน ซึ่งก็คือ
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่สมัยนั้น พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ
ยังเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อยู่ เรื่องนี้ดูดองไว้ตั้งแต่สมัยนั้น
ทั้งที่มีการส่งไปครั้งแรกเมื่อเดือนมกราคม ปี 2551 เป็นเวลากว่า 1
ปีแล้ว ที่เรื่องนี้ไม่มีความคืบหน้า ดังนั้น หาก พ.ต.ท.ทักษิณ
และกลุ่มคนเสื้อแดงจะหาเรื่องว่าผู้อื่น องค์กรที่สมควรโดนต่อว่า คือ
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.อ.พัชรวาท อดีต
ผบ.ตร.ที่เตะถ่วงเรื่องนี้มาตลอด

น.ส.วรรษมน กล่าวว่า หลังจากเรื่องนี้ปรากฏเป็นข่าว ทางด้าน
นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
รีบออกมาตอบโต้บอกว่า เรื่องการดำเนินการถอดยศและยึดเครื่องราชฯ
พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่สามารถกระทำได้ เนื่องจากเป็นคดีทางการเมือง
ไม่ใช่คดีทุจริต พร้อมกับเถียงว่า
ทั้งที่มีหลายคนที่โดนคดีร้ายแรงกว่านี้ ทำไมถึงไม่มีการดำเนินการถอดยศ

นายประพันธ์ กล่าวประเด็นนี้ ว่า ถ้าหาก นายนพดล พูดเช่นนี้
ต้องออกมาระบุให้ชัดไปเลยว่า
มีข้าราชการคนไหนที่กระทำความผิดแล้วไม่ถูกถอดยศ
หลังศาลตัดสินคดีสิ้นสุดแล้ว เพราะเท่าที่ตนเห็นก็มีอยู่คนเดียว คือ
พ.ต.ท.ทักษิณ พ่อของ นายนพดล ที่ยังไม่โดนถอด
โดยคนพวกนี้เวลาที่ตัวเองทำผิดอะไร ไม่ยอมพูดถึงความเลวความชั่วของตนเอง
กลับโทษกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมหาว่ากลั่นแกล้ง

ซึ่งถือว่าเสียดายที่ นายนพดล ร่ำเรียนกฎหมายจนได้เป็นนักกฎหมาย
แต่กลับว่าความ พูดจาเหมือนเอาสีข้างเข้าถู แถมยังบอกว่า
หากมีการถอดยศและยึดเครื่องราชฯ คืน จะทำให้บ้านเมืองแตกแยก
โดยตนอยากบอกว่า หาก นายนพดล ไม่อยากให้บ้านเมืองแตกแยก
ก็ต้องหยุดเคลื่อนไหว และบอกให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาติดคุก
เนื่องจากกรณีนี้ต่อให้มีการเกณฑ์คนเสื้อแดงมาเป็นจำนวนมากเท่าไหร่
ก็ช่วยไม่ได้ ในเมื่อทำผิดกฎหมาย ก็ต้องได้รับการลงโทษ
ต้องทำอย่างที่เป็นการเคารพกฎหมายบ้านเมือง

น.ส.วรรษมน กล่าวว่า ทางด้านกลุ่มคนเสื้อแดง จ.เชียงใหม่
มีปฏิกิริยาต่อกรณีการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยบอกว่า หากจะมีการทำเช่นนั้น
ต้องมีการถอดยศ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ อดีตผู้บัญชาการประจำกรมตำรวจ ด้วย
เนื่องจากก็ทำผิดร้ายแรงเหมือนกัน ทำไมรัฐบาลถึงไม่ยอมดำเนินการถอดยศ

นายโสภณ กล่าวประเด็นนี้ ว่า ที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ
ชอบสร้างภาพทำให้กลุ่มคนเสื้อแดง เห็นว่าตัวเองอยู่เหนือกฎหมาย
ไม่ว่าจะทำอะไรกฎหมายก็เอาผิดตัวเองไม่ได้ แตะต้องไม่ได้
และชอบไปฟ้องคนอื่นและต่างประเทศ ว่า
ตัวเองถูกศาลไทยและกระบวนการยุติธรรมกลั่นแกล้ง
โดยดำเนินการสองมาตรฐานกับตัวเอง

นายเทิดภูมิ กล่าวเสริมประเด็นนี้ ว่า ไม่ว่าเรื่องอะไร
พ.ต.ท.ทักษิณ จะมองว่าตัวเองทำถูกหมดทุกอย่าง
ซึ่งถ้าหากใครไม่เห็นด้วยกับข้อนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ
และกลุ่มคนเสื้อแดงก็จะมองว่าฝ่ายศัตรู ทั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ
โกงบ้านเมือง ทุจริต คอร์รัปชันสารพัด แต่กลับไปบอกว่าต่างชาติ และ
สมเด็จฯฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ว่า ตัวเองถูกกลั่นแกล้ง
ไม่ได้รับความเป็นธรรม นอกจากนี้ ยังหลอกใช้กลุ่มคนเสื้อแดงและชาวรากหญ้า
ออกมาสู้เพื่อตัวเองให้พ้นจากความผิด รวมทั้งไม่อยากติดคุก
ซึ่งการกระทำแบบนี้ ถือว่าเป็นสันดานของคนที่ไม่ยอมแพ้
ทั้งที่เวลานี้ตัวเองไม่มีอะไรจะสู้แล้ว แต่ก็ไม่หยุดสร้างความวุ่นวาย
ซ้ำร้ายยังมีการใช้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี
มาเป็นเครื่องมือในการเดินเกมป่วนเมือง
สร้างภาพว่ามีนายทหารใหญ่ที่เกษียณไปแล้วหนุนหลัง หากทำผิดจริง
คงไม่เห็นปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในประเทศไทย โดยความจริง
คนพวกนี้ทำเพื่อเงินอย่างเดียว

นายประพันธ์ กล่าวเสริมว่า เหมือนกับที่ นายสตีเฟน ยัง
ออกมาตีแผ่ความชั่วว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชอบทำตัวเองอยู่เหนือกฎหมาย
โดยเคยใช้เงินซื้อเจ้าหน้าที่ศาลบางคน
เพื่อช่วยเหลือคดีที่ตัวเองและครอบครัวทำผิด แต่เวลานี้
กลับมาบอกว่าศาลไทยกลั่นแกล้ง ที่สั่งจำคุก 2 ปี เห็นได้ชัดว่า ธาตุแท้
พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเช่นไร

นายโสภณ กล่าวประเด็นนี้ ว่า ตอนนี้สิ่งที่เกิดขึ้น คือ
เป็นภาพของ พ.ต.ท.ทักษิณ สร้างความแตกแยกให้แก่ประเทศไทย
รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้าน เพราะไม่ว่าจะเป็นฝ่ายกัมพูชา หรือพม่า
ตอนนี้ก็เดือดร้อน เนื่องจากการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ตนจึงถือว่า
ในประวัติศาสตร์ชาติไทย นอกจาก ออกญาจักรี
ไม่เคยมีคนไทยคนไหนสร้างความแตกแยกให้แก่บ้านเมืองเท่า พ.ต.ท.ทักษิณ
ส่วนการกระทำของ สมเด็จฯ ฮุนเซน และ พล.อ.ชวลิต
ตนก็นับเป็นการชักศึกเข้าบ้านตัวเอง
เห็นแก่ผลประโยชน์จนทำให้ประเทศเสียหาย

นายประพันธ์ กล่าวปิดท้ายว่า
ตนอยากเตือนกลุ่มคนเสื้อแดงและบรรดารากหญ้า ที่ยังลุ่มหลงเห็นว่า
พ.ต.ท.ทักษิณ ยังเป็นคนดีอยู่ ขอให้อย่าตกเป็นเครื่องมือคนพวกนี้อีกเลย
เนื่องจากในความเป็นจริง หากมนุษย์คนหนึ่งกระทำความผิด
ก็ต้องได้รับการชดใช้กรรมเวรที่ก่อไว้ ก็เช่นเดียวกับกฎหมาย
ที่เมื่อกระทำผิด ก็ต้องรับผิดชอบกับการกระทำของตัวเอง
ไม่ใช่หลอกคนอื่นให้มาสู้เป็นกำแพงปกป้องตัวเองให้รอดพ้นจากความผิด
ซึ่งตนเห็นว่าหนีอย่างไรก็หนีไม่พ้นกับสิ่งที่ก่อไว้

http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9520000129152

วินทร์ เลียววาริณ-สุดยอดนักเขียนประเทศไทย

โดย ชัยสิริ สมุทวณิช 28 ตุลาคม 2552 15:06 น.
วันนี้ขอเขียนหนังสือและงานวรรณกรรมสักหน่อยนะครับ
เนื่องจากหนังสือพิมพ์ของเรานั้นไม่มีหน้าวรรณกรรมแล้ว
ผมก็เลยต้องเจียดคอลัมน์ซึ่งมีเนื้อที่ไม่มากนี้ขอมาเขียนถึงบ้าง

เรื่อง มีอยู่ว่าคุณวินทร์ เลียววาริณ
ได้กรุณาส่งหนังสือพร้อมเซ็นชื่อมาให้ 2 เรื่องด้วยกัน
ซึ่งถือว่าเป็นน้ำใจที่ผมได้รับสม่ำเสมออย่างต่อเนื่อง

คุณวินทร์ได้รับรางวัลซีไรต์
(รางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน) ถึง 2 ครั้ง คือได้ในปี
2540 และปี 2542 และผมเชื่อว่าคงจะได้เป็นสมัยที่ 3 ด้วยในไม่ช้า
วินทร์เป็นนักเขียนที่ทำให้รางวัลซีไรต์สมชื่อว่า "สร้างสรรค์"
อย่างแท้จริง เพราะเท่าที่ผมเห็นมา ยังไม่มีนักเขียนไทยคนใดที่มีความคิด
"สร้างสรรค์" ในงานวรรณกรรมเท่าวินทร์สักราย

วิ นทร์ยังมีรางวัลจากคณะกรรมการพัฒนาหนังสือแห่งชาติอีก 4 สมัย
และได้รับรางวัลศิลปาธรสาขาวรรณศิลป์ในปี 2549 ด้วย
ผลงานของวินทร์ถูกแปลเป็นภาษาต่างประเทศหลายภาษาด้วยกัน

ที่บ้านผมนั้น

เราเป็นแฟนพันธุ์แท้ในห้องสมุดมีหนังสือของเขาครบถ้วน
ส่วนใหญ่วินทร์ส่งให้หลายเล่ม ซ้ำกันเพราะลูกชายผมซื้อไว้ก่อน

พูด ถึงลูกชายเขาเรียนอยู่ฝรั่งเศส
มีเพื่อนเป็นลูกสาวของนักเขียนซีไรต์อีกคนหนึ่ง คือไพฑูรย์ ธัญญา
ดังนั้นหนังสือวินทร์ออกใหม่เมื่อไร เขาจะซื้อทันที 2 เล่ม
คือเอาให้ลูกสาวคุณไพฑูรย์ 1 เล่ม อีกเล่มเขานำไปอ่านที่ฝรั่งเศส

ลูกชายผมก็เป็นนักเขียน เขียนหนังสือดี และเก่งกว่าผมอีก
นามปากกาของเขาคนรู้จักมากกว่าพ่อ มีแฟนประจำเยอะมากจนผมแปลกใจ
เพราะบรรดาคุณป้ายังสาวซึ่งเป็นเพื่อนๆ
ของพ่อล้วนติดนามปากกาลูกชายผมกันงอมแงม

คุณ วินทร์นั้น เกิดมามีพรสวรรค์
เพราะเขาเขียนนวนิยายได้ทุกประเภททุกแนว แล้วเขียนได้สนุก
ผมเห็นว่าเป็นเพราะเขาไม่ได้แค่รู้กว้าง แต่รู้ลึกและรู้จริง
และดูเหมือนก่อนลงมือทำงานเขาวิจัยหาข้อมูลไว้มาก
เห็นจากงานเขามักมีเชิงอรรถ ซึ่งให้ประโยชน์ต่อผู้อ่านไปค้นคว้าต่อ
บางประโยคที่เราได้เห็นได้อ่านจนชินแต่ไม่รู้ที่มากระทั่งวินทร์เขียนถึงคือ
ประโยคที่ว่า

"ดูหนังดูละครแล้วย้อนดูตัว" ก็มาจาก รุไบยาต ของโอมาร์ คัยยาม

หนังสือที่วินทร์ส่งมาและผมอ่านอยู่คือ "ยามดึกหนาวหนาว
เขนยแนบแอบเอย" เป็นหนึ่งในนวนิยายวิทยาศาสตร์ (จาก 3 ชุด)

ผมอยากให้อ่านเรื่องนี้กันทุกๆ คน โดยเฉพาะเด็กๆ มันน่าสนใจมาก
เพราะจะได้แง่คิด มุมมอง และก็อาจเป็นจริงขึ้นมาได้

บางเรื่องก็แฝงด้วยอารมณ์ชวนขำไว้ เช่น
การเพาะครีบฉลามเพื่อการค้า เอาไปทำหูฉลาม เป็นต้น

หนังสือเล่มนี้อ่านสนุกให้ความรู้ที่หลากหลาย น่าสนใจมาก
และแน่นอนว่าวินทร์ค้นคว้าหาข้อมูล

เขาทำได้อีกครั้งด้วยนวนิยายวิทยาศาสตร์
และแบบที่ผมเกริ่นไว้ก่อนแล้ว เขาเขียนได้ทุกแนว

อีกเล่มหนึ่งที่เขาส่งมาหนากว่าเล่มแรกเท่าตัว คือ

"มังกรเซน"

ก่อนจะลงมืออ่าน ควรจำเป็นที่ต้องอ่านบทแรก "ตามรอยมังกรเซน"
เพื่อเข้าใจที่ผู้เขียนอธิบายเรื่องเบื้องต้นเสียก่อน

วินทร์กล่าวว่า การที่เขาเขียนเรื่องนี้
เขาค้นคว้าด้วยตำราหลายเล่ม ส่วนใหญ่จากต้นฉบับภาษาอังกฤษ
(ซึ่งแปลมาจากจีนหรือญี่ปุ่นอีกทอดหนึ่ง)

เขายังเตือนผู้อ่านว่า ตำนานเซนเป็นเรื่องจริงผสมเรื่องแต่ง
บางเรื่องก็ขาดหลักฐานทางประวัติศาสตร์รองรับ

ศัพท์ของเซนแม้อาจเป็นคำเดียวกับพุทธเถรวาท แต่ความหมายอาจต่างกัน

"ชีวิตไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากความว่างเปล่า

มองเผินๆ เหมือนมีสาระ

มองดีๆ สาระเหล่านี้ ปรุงแต่งจากมายา"

ถ้าเข้าใจความ "ว่าง" เหล่านี้ เราก็เข้าใจเซน (ดัดแปลงเล็กน้อย)
ในหนังสือช่วงท้ายของคำขึ้นต้นในหนังสือเล่มนี้ของวินทร์

เนื่อง จากผมไม่ได้ศึกษาเซน และไม่ได้เข้าใจเซน แต่รู้จัก
"ความว่างเปล่า" จากสุญญตา จึงไม่แปลกที่บางครั้งก็เข้าใจได้
การนั่งทำสมาธิในสมัยผมอยู่ต่างประเทศ
ทำให้มีประสบการณ์ว่าภาวะไร้ตัวตนเป็นอย่างไร

ผมเห็นว่าหนังสือของวินทร์เล่มนี้ เป็นวิชาแบบ "วิชาการ"
ในรูปของการกล่าวถึงเซน
เพื่อความเข้าใจให้ได้ศึกษาเรียนรู้ในทางรูปธรรมและนามธรรม

จะได้ประโยค ช่วยปลดตัวตนของคุณ

และช่วยให้คุณมองทะลุตัวคุณไปสู่อีกสภาวะหนึ่ง และรู้ถึงความไม่มี
และการ "มีอยู่" ทั้งที่ "ไม่มี"

หรือแม้กระทั่งการเกิดทวิลักษณะของการ "มีไม่มี" ในสถานะควบกัน
เหมือนคุณใช้มีดที่คมกริบกรีดอะไรสักอย่างโดยรวดเร็ว

มันบาดจากกัน ดูแล้วมันเหมือนไม่ขาด
ทิ้งไว้มันอาจสมานติดกันใหม่ก็ได้ เยื่อมันดึงเข้าหากันได้

แต่มันขาดหากคุณจับมันแยกกัน

อย่างนี้คือทวิลักษณะของ "ขาดไม่ขาด" ก็ว่าได้

ผมอาจให้ตัวอย่างที่ไม่ดีนัก

คราวนี้อยากย้อนกลับมาถึงรางวัลซีไรต์ซึ่งผมเห็นว่าดูจะเป็นรางวัลเดียวสำหรับวรรณกรรมที่คงความขลังติดต่อกันมา

เมื่อแรกตั้งรางวัลนั้น ผมอยู่การบินไทย มีส่วนร่วมโดยตรง

จริงๆ แล้วคนที่เริ่มคือทางโอเรียนเต็ล

เพราะผู้ริเริ่มนั้นมาจากที่นั่น

การ ประชุมในครั้งนั้นมีแต่ภาษาอังกฤษว่ารางวัลให้เป็นรางวัลสำหรับงาน
Creative writing ความจริงไม่ได้รวบรัดว่าเป็นแค่เรื่องสั้น, นวนิยาย
และบทกวีเท่านั้น

แต่มันรวมถึงสารคดีนานาประเภท,
เรื่องหรือหนังสือประวัติศาสตร์อัตชีวประวัติ, รวมเรื่องวิทยาศาสตร์ ฯลฯ
แม้แต่เรื่องสั้นหรืองานที่คิดใหม่ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน เช่น
"บุตรธิดาแห่งดวงดาว" ของ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล

คราวนี้มาถึงชื่อรางวัลที่เสนอในที่ประชุมกันมาก คือ
"รางวัลดีเด่นแห่งปี" "รางวัลยอดเยี่ยม"
แล้วก็เติมแห่งชาติอาเซียนอะไรกันเข้าไป

ผมค้านอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู
เพราะเห็นว่าตามเจตนาแล้วมันตกคำเฉพาะ และสำคัญที่สุดคือ "creative" คือ
"สร้างสรรค์" ไปอย่างไม่น่าเชื่อ

จึงเห็นว่า "รางวัลดีเด่นสร้างสรรค์ หรือสร้างสรรค์ดีเด่น

อ้าว แล้วคำว่า "วรรณกรรม" ไปอยู่ไหนล่ะ

ก็ "จนปัญญา"

ลงท้ายก็ให้ผมคิด

ผมคิดได้ทันที ก็บอกว่ามันควรเรียกว่า

"รางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยม" ให้เติม "แห่งอาเซียน"
เข้าไป ถ้าพวกเขา

ยอมรับ

นี่คือที่มาของชื่อ

แต่พวกกรรมการไม่ยอมรับเรื่องประเภทวรรณกรรมอื่นๆ
ทำให้ผมผิดหวังแต่ก็เห็นว่าไม่เป็นไร เพิ่มในตอนหลังได้

ใน 5-6 ปีแรก กรรมการทุกคนแปลกใจ
ที่คนซึ่งได้รางวัลล้วนแต่เป็นเพื่อนบ้าง เป็นลูกศิษย์ลูกหาผมทั้งนั้น
บางคนยังเป็นเพื่อนร่วมงานกันมาด้วย

ต่อมาอีกไม่กี่ปี รางวัลซีไรต์ก็ออกนอกลู่นอกทาง ผมก็ค้านโดยเปิดเผย

เชื่อหรือไม่ หลังออกจากการบินไทย
ผมไม่เคยได้รับเชิญไปงานพระราชทานรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียนอีกเลย

ผมก็ไม่ว่าอะไร เพราะชื่อนี้มาได้อย่างไร คนลืมไปหมดแล้ว

แต่ผมไม่ลืม เช่นเดียวกับการที่ผมกับแอ๊ด คาราบาว
ช่วยกันสร้างเพลงประจำการบินไทย "รักคุณเท่าฟ้า" ที่อยู่มา 20 กว่าปีแล้ว

K-RAS Mutation Test ถอดรหัสยีนรักษามะเร็งลำไส้

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 29 ตุลาคม 2552 10:59 น.
"โรคมะเร็งลำไส้ "
ถือได้ว่าเป็นภัยคุกคามชีวิตประชากรโลกที่น่ากลัวอยู่ในอันดับต้นๆ
จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก
ระบุว่ามีผู้ป่วยเสียชีวิตจากมะเร็งชนิดนี้มากกว่า 677,000 คนต่อปี
และเป็นอันดับ 3 ของผู้ป่วยโรคมะเร็งทั้งหมด
ในประเทศไทยพบอัตราการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยเฉลี่ยต่อปี ประมาณ 5,000
ราย

กลไกของการเกิดเซลล์มะเร็งนั้น
จะเกิดจากการแบ่งตัวของเซลล์อย่างไร้การควบคุม จากปัจจัยกระตุ้น
ที่เรียกว่า Growth factor มาจับที่ตัวรับที่ชื่อว่า Epidermal Growth
Factor Receptor (EGFR) ที่ผิวของเซลล์
และเกิดการส่งสัญญาณเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่สู่นิวเคลียส
ทำให้เซลล์เกิดการแบ่งตัวอย่างต่อเนื่อง
เมื่อแพทย์วินิจฉัยว่าผู้ป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่แล้ว
การรักษาก็ขึ้นอยู่กับระยะของโรค
ในระยะเริ่มต้นส่วนมากจะผ่าตัดเอาเนื้อร้ายออก
แล้วตามด้วยการให้เคมีบำบัดหรือการฉายรังสี
ซึ่งที่ผ่านมาปรากฏว่าผลการรักษาได้ผลดีบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง

เหตุที่เป็นเช่นนั้น
เนื่องจากการใช้ยารักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ในระยะลุกลามนั้นมีหลายแบบ
ก่อนที่แพทย์จะเลือกรักษาผู้ป่วยด้วยยาสูตรใด
แพทย์จะต้องประเมินผลการรักษาหรือผลข้างเคียงที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้าจากพื้น
ฐาน ข้อมูลด้านการตรวจต่างๆ ที่อ้างอิงได้
โดยในปัจจุบันได้มีการพัฒนานวัตกรรมการรักษาเฉพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็ง
และช่วยหยุดการเติบโตของเนื้อร้ายได้
โดยยาดังกล่าวมีเป้าหมายการออกฤทธิ์ที่ Epidermal Growth Factor Receptor
(EGFR) ซึ่งยาชนิดนี้ จะแย่งปัจจัยกระตุ้น Growth factor
เพื่อเข้าจับกับตัวรับ EGFR ที่ผิวของเซลล์
ทำให้ปิดกั้นสัญญานไม่ให้เซลล์มะเร็งเจริญเติบโต ยาดังกล่าวเรียกว่า
anti-EGFR monoclonal antibody therapy
อย่างไรก็ตามจากผลการศึกษาการใช้ยาดังกล่าวเพื่อรักษาผู้ป่วยมะเร็งลำไส้
ใหญ่ จะได้ผลการรักษาดีหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับลักษณะของยีน K-RAS ด้วย
โดยพบว่าผู้ป่วยที่มียีน K-RAS ปกติ
จะมีการตอบสนองที่ดีต่อการรักษาด้วยยาดังกล่าว

K-RAS (Kirsten Rat Sarcoma Virus Oncogene) คือ
ยีนที่สร้างโปรตีนทำหน้าที่ควบคุมการแบ่งตัวของเซลล์และเป็นยีนที่มีอยู่ใน
ทุกเซลล์ของร่างกาย ยีน K-RAS
เป็นหนึ่งในวงจรปฏิกิริยาลูกโซ่ที่ส่งสัญญาณจากผิวเซลล์สู่นิวเคลียส
ภายหลังจากเซลล์ถูกกระตุ้นด้วย Growth factor ในเซลล์ปกติ


ยีน K-RAS ทำหน้าที่ควบคุมการเติบโตของเซลล์โดยปิดการสร้างสัญญาณ
ทำให้การแบ่งตัวของเซลล์เป็นไปอย่างจำกัด แต่หากยีน K-RAS เกิด mutation
ไป จะส่งผลให้ไม่มีการหยุดสัญญาณดังกล่าวจึงเกิดการแบ่งตัวของเซลล์อย่างต่อ
เนื่อง ถึงแม้ว่าไม่มีปัจจัยกระตุ้นจากภายนอกเซลล์แล้วก็ตาม

สำหรับการ mutation ของยีน K-RAS
สามารถพบได้ทั่วไปในมะเร็งหลายชนิด รวมทั้งมะเร็งลำไส้ใหญ่
ที่พบว่าประมาณ 35-45% ของผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะลุกลาม จะมียีน
K-RAS ชนิด mutation ดังนั้น ทำให้ผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา
anti-EGFR Monoclonal antibody Therapy ดังนั้นจะเห็นได้ว่า การตรวจ
K-RAS เข้ามามีบทบาทสำคัญในการรักษาเฉพาะบุคคล เพื่อช่วยแพทย์ตัดสินใจว่า
ผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่แต่ละคน ควรรักษาด้วยยาในกลุ่ม anti-EGFR
monoclonal antibody therapy หรือไม่ เพราะการใช้ยาบางชนิดเช่น Cetuximab
และ Panitumumab จะไม่มีประสิทธิภาพในผู้ป่วยที่มียีน K-RAS ชนิด
mutation เป็นต้น ทั้งนี้
การที่สามารถเลือกผู้ป่วยที่จะได้รับประโยชน์มากที่สุดจากการรักษาด้วยยาใน
กลุ่ม anti-EGFR monoclonal antibody therapy
นอกจากจะเป็นการลดอาการที่ไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้นจากยาแล้ว
ยังช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายการรักษามะเร็งได้อย่างมากเลยทีเดียว

การตรวจหาชนิดของยีน K-RAS
ได้นำไปปฏิบัติตามแนวทางการรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ของ NCCN (the US
National Comprehensive Cancer Network) ปี 2008 อีกทั้ง
ยังเป็นข้อกำหนดในยุโรป ซึ่งจะอนุญาตให้ใช้ยาในกลุ่ม anti-EGFR
monoclonal antibody therapy
เฉพาะในผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะลุกลามที่มียีน K-RAS ชนิด wild type
ดังนั้นแพทย์ ต้องตรวจหาชนิดของยีน K-RAS ก่อนที่จะเริ่มทำการรักษา

สำหรับ วิธีการตรวจหาชนิดของยีน K-RAS
มักใช้ชิ้นเนื้อที่ลำไส้ใหญ่ส่งตรวจ ซึ่งวิธีการตรวจหา K-RAS mutation
test มีหลายวิธี แต่วิธีที่ได้ผลดี และมีวิธีการสะดวกมากที่สุด คือ วิธี
Polymerase Chain Reaction (PCR)
เป็นการตรวจที่จำเพาะต่อตำแหน่งที่มีโอกาสเกิด mutation
ซึ่งปัจจุบันมีชุดน้ำยาสำเร็จรูปซึ่งใช้หลักการ Real-time PCR
ที่มีความไวและความแม่นยำในการทดสอบสูงและสะดวกในการใช้งาน ได้แก่ การใช้
TheraScreen ซึ่งเป็น Test ที่ได้รับรองมาตรฐานจาก CE-Mark
และสำหรับผู้ที่สนใจในวิธีดังกล่าว
ในประเทศไทยมีการนำเข้ามาใช้งานโดยมีห้องปฏิบัติการที่ทดสอบอยู่ที่โรง
พยาบาลศิริราช สำหรับผู้ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการตรวจ K-RAS
mutation test สามารถสอบถามได้ที่โรงพยาบาลศิริราช โทรศัพท์ 0-2419-6605

หอพักชาย...อย่ายืนทับที่ /เรื่องลี้ลับ ม.รังสิต

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 28 ตุลาคม 2552 07:32 น.
กลับมาอีกครั้งตามคำเรียกร้องของ แฟนคลับ(คนชอบเรื่องผี)
หลังจากที่ Life On Campus ได้นำเสนอเรื่องเล่านศ.
แนวสยองขวัญสั่นประสาทประจำรั้วมหาวิทยาลัย อย่าง "มช." ไปแบบสดๆร้อน
เรียกได้ว่า สร้างสีสันให้กับบรรดาคนอ่านเป็นอย่างนี้ และทั้งนี้ Life On
Campus จึงไม่รอช้า หยิบเรื่องเด็ดจากสถาบันบ้านใกล้เรือนเคียงอย่าง
"ม.รังสิต" ที่ขึ้นชื่อเรื่องตำนานความน่ากลัวไม่น้อยไม่กว่ากัน

โดยกูรูตัวจริง เสียงจริงจากรั้วมหาวิทยาลัย
มาร่วมเล่าเรื่องราวขนหัวลุกให้เราได้ฟังกันแบบเต็มๆ กับ "ทวีศักดิ์
สุระขันธ์" ศิษย์เก่าสาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ
มหาวิทยาลัยรังสิต

** หอพักชาย...อย่ายืนทับที่

ที่หอชายเก่าในช่วงที่ใกล้จะสร้างหอเสร็จ มีการติดตั้งลิฟต์
และคืนนั้นมีคนงานกินเหล้ากันตามปกติ จนกระทั่งตี 1
มีคนงานคนหนึ่งตกลงไปที่ชั้นล่างใต้ลิฟต์แล้วปีนขึ้น มาไม่ได้
เพราะความเมา และคนงานคนนั้นก็เลยถูกลิฟต์ทับ
ในเวลาต่อมาหลังจากที่หอเปิดได้ไม่นานก็มีนักศึกษาเข้าอยู่เต็ม
และหอนี้ไม่เคยปิดเป็นเวลา จึงมีนักศึกษาเข้า - ออกเป็นประจำ จนตี 2
ของคืนหนึ่ง มีนักศึกษากลับมาจากข้างนอกแล้วเดินขึ้นลิฟต์ตามปกติ

หลัง จากกดชั้นที่พัก ลิฟต์ก็เคลื่อนที่ไปได้สักพักแล้วก็หยุด
พร้อมๆ กับไฟดับและมีเสียงร้องดังออกมาข้างนอก
จากนั้นลิฟต์ก็เปิดออกพร้อมฝุ่นตลบ
มีเสียงใครคนหนึ่งตะโกนว่าอย่ายืนทับที่
หลังจากนั้นก็มีการทำบุญหอกันมาทุกๆ ปี

** เด็กหัวจุก..ขอเล่นด้วย

ตนเป็นศิษย์เก่าเคยอยู่หอพักชาย
ซึ่งเป็นหอในของมหาวิทยาลัยรังสิตโดยเรื่องราวนี้
มาจากประสบการณ์จริงของเพื่อนตน
ระหว่างที่นั่งเล่นเกมคอมพิวเตอร์อยู่ในห้องนั้น
ได้ยินเสียงเด็กผู้ชายร้อง จึงมองหา และก็ไปสะดุดตาที่มุมห้อง เ

พราะมุมนั้นมีเด็กผู้ชายหัวจุกยืนหัวเราะเล่นอยู่
และเมื่อเห็นคนมองจึงวิ่งหนีโดยวิ่งทะลุผ่านกำแพงออกไปยังประตูห้องตรงข้าม
เรื่องเล่าในหอพักนั้นมีค่อนข้างหลายเรื่อง
แต่เหตุการณ์นี้เพื่อนของตนเป็นผู้เห็นเหตุการณ์เอง

ส่วน "อมรัช เทพพิบูล" ศิษย์เก่าสาขาคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ
มหาวิทยาลัยรังสิต มาพร้อมกับเรื่อง "ลิฟต์ชั้น 9"

เขาว่ากันว่ามีวิญญาณเฮี้ยนมากๆ โดยมีคนเล่าต่อๆกันมาว่า
มีผู้หญิง ผูกคอตายที่ราวบันไดทางลงจากชั้น 9 ไปยังชั้น 8 ปรากฏว่า
วิญญาณของผู้ ญ คนนี้ยังวนเวียนอยู่ในชั้น 9
จนต้องมีการนำหิ้งพระมาตั้งไว้ข้างลิฟต์เลยทีเดียว
และมีการตัดราวบันไดในส่วนนั้นทิ้งไป ( เหมือนกับการแก้เคล็ด )
แต่ก็มีผู้คนพบเรื่องประหลาดๆบ่อยๆ เช่น เวลารอลิฟต์
จะเหมือนมีคนนั่งดูเราอยู่ด้านหลังตรงราวบันได บ้างก็ลิฟต์เปิดชั้น 9
โดยไม่ทราบสาเหตุ บางคนก็บอกว่า ลิฟต์ที่เปิดชั้น 9
นานมากจนทำให้เกิดอาการขนลุกเลยทีเดียว

และต่อด้วย "ซุ้ม Photo"

ถ้าไปลองของหรือไปเดินเล่นคนเดียวตอนดึกๆ บริเวณซุ้ม Photo
จะเจอเกือบหมด โดยจะเห็นเป็นคนผู้คอตายห้อยอยู่มั่งล่ะ หรือไม่ก็มา 4 คน
แต่นับได้ 5 คน ขอบอกว่า น่ากลัวมาก

"ลิฟต์ตึก 5"

ใครที่อยากไปลองดี ลองของ หรือปากดี ต้องไปที่บริเวณลิฟต์ตึก 5
จะเจอ บางครั้งลิฟต์ก็เปิด-ปิดเอง
บางครั้งขึ้นลิฟต์ก็เหมือนมีคนขึ้นไปเป็นเพื่อนตลอด จนถึงขนาดที่ว่า
เห็นเป็นผู้หญิงเดินไปมา แถวหน้าลิฟต์ในบางครั้ง

http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9520000127189

เรื่องของในหลวงที่เรา(อาจ)ไม่เคยรู้

1.ทรงพระราชสมภพเวลา 08.45 น.
2.นายแพทย์ผู้ทำคลอดชื่อ ดับลิว สจ๊วต วิตมอร์ ทรงมีน้ำหนักแรกประสูติ 6 ปอนด์
3.พระนาม 'ภูมิพล' ได้รับพระราชทานจาก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 7
4.พระยศเมื่อแรกประสูติ คือ พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้า ภูมิพลอดุลยเดช
5.ทรงมีชื่อเล่น ว่า เล็ก หรือ พระองค์เล็ก

6.ทรงเคยเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนมาแตร์เดอี เพราะช่วงพระชนมายุ 5 พรรษา
ทรงเคยเข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ 1 ปี มีพระนามในใบลงทะเบียนว่า 'H.H
Bhummibol Mahidol' หมายเลขประจำตัว 449
7.ทรงเรียกสมเด็จพระราชชนนีหรือสมเด็จย่า อย่างธรรมดาว่า 'แม่'
8.สมัยทรงพระเยาว์ ทรงได้ค่าขนม อาทิตย์ละครั้ง
9.แม้จะได้เงินค่าขนมทุกอาทิตย์ แต่ยังทรงรับจ้างเก็บผักผลไม้ไปขาย
เมื่อได้เงินมาก็นำไปซื้อเมล็ดผักมาปลูกเพิ่ม
10.สมัยพระเยาว์ทรงเลี้ยงสัตว์หลายชนิดทั้งสุนัข กระต่าย ไก่ นกขุนทอง
ลิง แม้แต่งูก็เคยเลี้ยง ครั้งหนึ่งงูตายไปก็มีพิธีฝังศพอย่างใหญ่โต

11.สุนัขตัวแรกที่ทรงเลี้ยงสมัยทรงพระเยาว์เป็นสุนัขไทย
ทรงตั้งชื่อให้ว่า'บ๊อบบี้'

12.ทรงฉลองพระเนตร(แว่นสายตา)ตั้งแต่พระชันษายังไม่เต็ม 10 ขวบ
เพราะครูประจำชั้นสังเกตเห็นว่าเวลาจะทรงจดอะไรจากกระดานดำพระองค์ต้องลุกขึ้นบ่อยๆ
13.สมัยพระเยาว์ทรงซนบ้าง หากสมเด็จย่าจะลงโทษ จะเจรจากันก่อนว่า
โทษนี้ควรตีกี่ที ในหลวงจะทรงต่อรองว่า 3 ที มากเกินไป 2 ทีพอแล้ว
14.ระหว่างประทับอยู่สวิตเซอร์แลนด์นั้น
ระหว่างพี่น้องจะทรงใช้ภาษาฝรั่งเศส แต่จะใช้ภาษาไทยกับสมเด็จย่าเสมอ
15.ทรงได้รับการอบรมให้รู้จัก 'การให้'
โดยสมเด็จย่าจะทรงตั้งกระป๋องออมสินเรียกว่า 'กระป๋องคนจน' เอาไว้
หากทรงนำเงินไปทำกิจกรรมแล้วมีกำไร จะต้องถูก 'เก็บภาษี'
หยอดใส่กระปุกนี้ 10%
ทุกสิ้นเดือนสมเด็จย่าจะเรียกประชุมเพื่อถามว่าจะเอาเงินในกระป๋องนี้ไปทำอะไร
เช่น มอบให้โรงเรียนตาบอด มอบให้เด็กกำพร้า หรือทำกิจกรรมเพื่อคนยากจน

16.ครั้งหนึ่ง ในหลวงกราบทูลสมเด็จย่าว่าอยากได้รถจักรยาน
เพราะเพื่อนคนอื่นๆ เขามีจักรยานกัน สมเด็จย่าก็ตอบว่า
'ลูกอยากได้จักรยาน ลูกก็ต้องเก็บค่าขนมไว้สิ หยอดกระป๋องวันละเหรียญ
ได้มาก ค่อยเอาไปซื้อจักรยาน'

17.กล้องถ่ายรูปกล้องแรกของในหลวง คือ Coconet Midget
ทรงซื้อด้วยเงินสะสมส่วนพระองค์ เมื่อพระชนม์เพียง 8 พรรษา
18.ช่วงเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทรงปั่นจักรยานไปโรงเรียนแทนรถพระที่นั่ง
19. พระอัจฉริยภาพของในหลวง มีพื้นฐานมาจาก 'การเล่น' สมัยทรงพระเยาว์
เพราะหากอยากได้ของเล่นอะไรต้องทรง เก็บสตางค์ซื้อเอง หรือ ประดิษฐ์เอง
ทรงเคยหุ้นค่าขนมกับพระเชษฐา ซื้อชิ้นส่วนวิทยุทีละชิ้นๆ
แล้วเอามาประกอบเองเป็นวิทยุ แล้วแบ่งกันฟัง
20.สมเด็จย่าทรงสอนให้ในหลวงรู้จักการใช้แผนที่และภูมิประเทศของไทย
โดยโปรดเกล้าฯให้โรงเรียนเพาะช่างทำแผนที่ประเทศไทยเป็นรูปตัวต่อ
เลื่อยเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆเพื่อให้ทรงเล่นเป็นจิ๊กซอว์

21.ในหลวงทรงเครื่องดนตรีได้หลายชนิด เช่น เปียโน กีตาร์ แซกโซโฟน
แต่รู้หรือไม่ว่าเครื่องดนตรีชิ้นแรกที่ทรงหัดเล่นคือ หีบเพลง
(แอกคอร์เดียน)
22.ทรงสนพระทัยดนตรีอย่างจริงจังราวพระชนม์ 14-15 พรรษา
ทรงซื้อแซกโซโฟนมือสองราคา 300 ฟรังก์มาหัดเล่น
โดยใช้เงินสะสมส่วนพระองค์ครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งสมเด็จย่าออกให้
23.ครูสอนดนตร ีให้ในหลวง ชื่อ เวย์เบรชท์ เป็นชาว อัลซาส
24.ทรงพระราชนิพนธ์พลงครั้งแรก เมื่อพระชนมพรรษา 18 พรรษา
เพลงพระราชนิพนธ์แรกคือ...
'แสงเทียน' จนถึงปัจจุบันพระราชนิพนธ์เพลงไว้ทั้งหมด 48 เพลง
25.ทรงพระราชนิพนธ์เพลงได้ทุกแห่ง
บางครั้งไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องดนตรีช่วย
อย่างครั้งหนึ่งทรงเกิดแรงบันดาลพระทัย ทรงฉวยซองจดหมายตีเส้น 5
เส้นแล้วเขียนโน้ตทำนองเพลงขึ้นเดี๋ยวนั้น กลายเป็นเพลง
'เราสู้'

26. รู้ไหม.? ทรงมีพระอุปนิสัยสนใจการถ่ายภาพเหมือนใคร : เหมือนสมเด็จย่า
และ รัชกาลที่527. นอกจากทรงโปรดการถ่ายภาพแล้ว
ยังสนพระทัยการถ่ายภาพยนตร์ด้วย
ทรงเคยนำภาพยนตร์ส่วนพระองค์ออกฉายแล้วนำเงินรายได้มาสร้างอาคารสภากาชาดไทย
ที่ รพ.จุฬาฯ โรงพยาบาลภูมิพล
รวมทั้งใช้ในโครงการโรคโปลิโอและโรคเรื้อนด้วย
28. ทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง 'นายอินทร์' และ 'ติโต'
ทรงเขียนด้วยลายพระหัตถ์ แล้วให้เสมียนพิมพ์
แต่ 'พระมหาชนก' ทรงพิมพ์ลงในเครื่องคอมพิวเตอร์

29. ทรงเล่นกีฬาได้หลายชนิด แต่กีฬาที่ทรงโปรดเป็นพิเศษได้แก่ แบดมินตัน
สกี และ เรือใบ ทรงเคยได้เหรียญทองจากการแข่งขันเรือใบประเภทโอเค
ในกีฬาแหลมทอง(ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น'กีฬาซีเกมส์') ครั้งที่ 4 ปี พ.ศ.
2510
30. ครั้งหนึ่ง ทรงเรือใบออกจากฝั่งไปได้ไม่นานก็ทรงแล่นกลับฝั่ง
และตรัสกับผู้ที่คอยมาเฝ้าฯว่า
เสด็จฯกลับเข้าฝั่งเพราะเรือแล่นไปโดนทุ่นเข้า
ซึ่งในกติกาการแข่งเรือใบถือว่าฟาวส์ ทั้งๆที่ไม่มีใครเห็น
แสดงให้เห็นว่าทรงยึดกติกามากแค่ไหน

31. ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของโลกที่ได้รับสิทธิบัตรผลงานประดิษฐ์
คิดค้นเครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่มลอย หรือ
'กังหันชัยพัฒนา' เมื่อปี 2536
33. ทรงเป็นผู้ริเริ่มการพัฒนาเชื้อเพลิงน้ำมันจากวัสดุการเกษตรเพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทน
เช่น แก๊สโซฮอล์,ดีโซฮอลล์ และ น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์
ต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว
34. องค์การสหประชาชาติ ได้ถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์
แด่ในหลวงเมื่อ วันที่ 26 พฤษภาคม 2549
เพื่อสดุดีพระเกียรติคุณพระราชกรณียกิจด้านการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทย
โดยมี นายโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ เดินทางมาถวายรางวัลด้วยตนเอง
35. พระนามเต็มของในหลวง : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรา มหาภูมิพลอดุลยเดช
มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร

36. รักแรกพบ ของในหลวงและหม่อมสิริกิติ์เกิดขึ้นที่สวิสเซอร์แลนด์
แต่เหตุการณ์ครั้งนั้น สมเด็จพระบรมราชินีนาถฯทรงให้สัมภาษณ์ว่า
"น่าจะเป็นเกลียดแรกพบ มากกว่ารักแรกพบ"
เนื่องเพราะรับสั่งว่าจะเสด็จถึงเวลาบ่าย 4 โมง
แต่จริงๆแล้วเสด็จมาถึงหนึ่งทุ่ม ช้ากว่าเวลานัดหมายตั้งสามชั่วโมง
37. ทรงหมั้นกับ ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2492
และจัดพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ที่วังสระปทุม เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2493
โดยทรงจดทะเบียนสมรสเหมือนคนทั่วไป
ข้อความในสมุดทะเบียนก็เหมือนคนทั่วไปทุกอย่าง ปิดอากรแสตมป์ 10 สตางค์
เสียค่าธรรมเนียม 10 บาท
38. หลังอภิเษกสมรส ทรง"ฮันนีมูน"ที่หัวหิน

39. ทรงผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง
เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2499 และประทับจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร
เป็นเวลา 15 วัน
40. ระหว่างทรงผนวช พระอุปัชฌาย์และพระพี่เลี้ยง คือ สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช
41. ของใช้ส่วนพระองค์นั้นไม่จำเป็นต้องแพงหรือต้องแบรนด์เนม
ดังนั้นการถวายของให้ในหลวงจึงไม่จำเป็นจะต้องเป็นของแพง
อะไรที่มาจากน้ำใจจะทรงใช้ทั้งนั้น

42. เครื่องประดับ : ในหลวงไม่ทรงโปรดสวมเครื่องประดับ เช่น แหวน สร้อยคอ
ของมีค่าต่างๆ ยกเว้น นาฬิกา

43. พระเกศาที่ทรงตัดแล้ว :
ส่วนหนึ่งเก็บไว้ที่ธงชัยเฉลิมพลเพื่อมอบแก่ทหาร
อีกส่วนหนึ่งเก็บไว้สร้างวัตถุมงคล
เพื่อมอบแก่ราษฎรที่ทำคุณงามความดีแก่ประเทศชาติ

44. หลอดยาสีพระทนต์ ทรงใช้จนแบนราบเรียบคล้ายแผ่นกระดาษ
โดยเฉพาะบริเวณคอหลอด ยังปรากฏรอยบุ๋มลึกลงไปจนถึงเกลียวคอหลอด
ซึ่งเป็นผลจากการใช้ด้ามแปรงสีพระทนต์ช่วยรีด และ กดเป็นรอยบุ๋ม
45. วันที่ในหลวงเสียใจที่สุด คือ"วันที่สมเด็จย่าเสด็จสวรรคต"
มีหนังสือเล่าไว้ว่า "วันนั้นในหลวงไปเฝ้า แม่ถึงตีสี่ตีห้า
พอแม่หลับจึงเสด็จฯกลับ เมื่อถึงวัง ทางโรงพยาบาลก็โทรศัพท์มาแจ้งว่า
สมเด็จย่าสิ้นพระชนม์แล้ว ในหลวงรีบกลับไปที่โรงพยาบาล
เห็นแม่นอนหลับตาอยุ่บนเตียง ในหลวงคุกเข่าเข้าไปกราบที่อกแม่
ซบหน้านิ่งอยู่นาน ค่อยๆเงยพระพักตร์ขึ้นมาน้ำพระเนตรไหลนอง"
46. โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริจนถึงปัจจุบัน มีจำนวนกว่า 3,000 โครงการ

47. ทุกครั้งที่เสด็จฯไปยังสถานต่างๆจะทรงมีสิ่งของประจำพระองค์อยู่ 3
สิ่ง คือ แผนที่ซึ่งทรงทำขึ้นเอง(ตัดต่อเอง ปะกาวเอง) กล้องถ่ายรูป
และดินสอที่มียางลบ
48.ในหลวงทรงงานด้วยพระองค์เองทุกอย่างแม้กระทั่งการโรเนียวกระดาษที่จะนำมาให้ข้าราชการที่เข้าเฝ้าฯถวายงาน
49. เก็บร่ม : ครั้งหนึ่งเมื่อในหลวงเสด็จฯเยี่ยมโครงการห้วยสัตว์ใหญ่
เมื่อเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งมาถึง ปรากฏว่าฝนตกลงมาอย่างหนัก
ข้าราชการและราษฎรที่เข้าแถวรอรับเปียกฝนกันทุกคน เมื่อทรงเห็นดังนั้น
จึงมีรับสั่งให้องครักษ์เก็บร่ม
แล้วทรงเยี่ยมข้าราชการและราษฎรทั้งกลางสายฝน
50. ทรงศึกษาลักษณะอากาศทุกวัน
โดยใช้ข้อมูลที่กรมอุตุนิยมวิทยานำขึ้นทูลเกล้าฯ
ร่วมกับข้อมูลจากต่างประเทศที่หามาเอง
เพื่อป้องกันภัยธรรมชาติที่อาจก่อความเสียหายแก่ประชาชน
51. โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา เริ่มต้นขึ้นจากเงินส่วนพระองค์จำนวน
32,866.73บาท ซึ่งได้จากการขายหนังสือดนตรีที่พระเจนดุริยางค์
จากการขายนมวัว ก็ค่อยๆเติบโตเป็นโครงการพัฒนามาจนเป็นอย่างที่เราเห็นกันทุกวันนี้

52. เวลามีพระราชอาคันตุกะเสด็จมาเยี่ยมชมโครงการฯสวนจิตรลดา
ในหลวงจะเสด็จฯลงมาอธิบายด้วยพระองค์เอง เนื่องจากทรงรู้ทุกรายละเอียด
53. ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กราบบังคมทูลถามว่า
เคยทรงเหนื่อยทรงท้อบ้างหรือไม่ ในหลวงตอบว่า
"ความจริงมันน่าท้อถอยอยู่หรอก บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ว่าฉันท้อไม่ได้
เพราะเดิมพันของเรานั้นสูงเหลือเกิน เดิมพันของเรานั้นคือ บ้านเมือง คือ
ความสุขของคนไทยทั่วประเทศ"
54. ทรงนึกถึงแต่ประชาชน
แม้กระทั่งวันที่พระองค์ทรงกำลังจะเข้าห้องผ่าตัดกระดูกสันหลังในอีก 5
ชั่วโมง (20 กรกฎาคม 2549)
ยังทรงรับสั่งให้ข้าราชบริพารไปติดตั้งคอมพิวเตอร์เดินสายออนไลน์ไว้
เพราะกำลังมีพายุเข้าประเทศ พระองค์จะได้มอนิเตอร์
เผื่อน้ำท่วมจะได้ช่วยเหลือทัน
55. อาหารทรงโปรด : โปรดผัดผักทุกชนิด เช่น ผัดคะน้า ผัดถั่วงอก ผัดถั่วลันเตา
56. ผักที่ไม่โปรด : ผักชี ต้นหอม และตังฉ่าย

57. ทรงเสวย ข้าวกล้อง เป็นพระกระยาหารหลัก
58. ไม่เสวยปลานิล เพราะทรงเป็นผู้เลี้ยงปลานิลคนแรกในประเทศไทย
โดยใช้สระว่ายน้ำในพระตำหนักสวนจิตรลดาเป็นบ่อเลี้ยง
แล้วแจกจ่ายพันธุ์ไปให้กรมประมง
59. เครื่องดื่มทรงโปรด : โปรดโอวัลตินเป็นพิเศษ เคย เสวยวันหนึ่งหลายครั้ง
60. ทีวีช่องโปรด ทรงโปรดข่าวช่องฝรั่งเศส ของยูบีซี
เพื่อทรงรับฟังข่าวสารจากทั่วโลก
61. ทรงฟัง จส.100 และเคยโทรศัพท์ไปรายงานสถานการณ์ต่างๆใน กทม.ไปที ่
จส.100ด้วย โดยใช้พระนามแฝง

62. หนังสือที่ในหลวงอ่าน : ตอนเช้าตื่นบรรทม
ในหลวงจะเปิดดูหนังสือพิมพ์รายวันทั้งไทยและเทศ ทุกฉบับ
และก่อนเข้านอนจะทรงอ่านนิตยสารไทม์ส นิวสวีก เอเชียวีก ฯลฯ
ที่มีข่าวทั่วทุกมุมโลก
63. ร้านตัดเสื้อของในหลวง คือ ร้านยูไลย เจ้าของชื่อ ยูไลย ลาภประเสริฐ
ถวายงานตัดเสื้อในหลวงมาตั้งแต่ปี 2501 เมื่อนายยูไลยเสียชีวิต ก็มี
ลูกชาย นายสมภพ ลาภประเสริฐ มาถวายงานต่อ จนถึงตอนนี้ก็เกือบ 50 ปีแล้ว
64. ห้องทรงงานของในหลวง อยู่ใกล้ห้องบรรทม บนชั้น 8
ของตำหนักจิตรลดาฯเป็นห้องเล็กๆ ขนาด 3x4 เมตร ภายในห้องมีวิทยุ โทรทัศน์
โทรศัพท์ โทรสาร คอมพิวเตอร์ เครื่องบันทึกเสียง เครื่องพยากรณ์
แผนที่ ฯลฯ
65. สุนัขทรงเลี้ยง นอกจากคุณทองแดง สุวรรณชาด สุนัขประจำรัชกาล
ที่ปัจจุบันอยู่ที่พระราชวังไกลกังวล แล้ว ยังมีสุนัขทรงเลี้ยงอีก 33 ตัว

66. ในหลวง เกิดจากคำที่ชาวเหนือใช้เรียกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า
'นายหลวง' ภายหลังจึงเปลี่ยนเป็นในหลวง
67. ทรงเชี่ยวชาญถึง 6 ภาษา คือ ไทย ละติน ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน และ สเปน
68. อาชีพของในหลวง
เมื่อผู้แทนพระองค์ไปติดต่อเอกสารสำคัญใดๆทรงโปรดให้กรอกในช่อง
อาชีพของพระองค์ว่า 'ทำราชการ'
69. ในหลวงทรงพระเนตรเทียมข้างขวา
เป็นผลจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เมืองโลซานน์ สวิตเซอร์แลนด์
รถพระที่นั่งชนกับรถบรรทุกอย่างแรง ทำให้เศษกระจกเข้าพระเนตรข้างขวา
ตอนนั้นมีอายุเพียง 20 พรรษา และทรงใช้พระเนตรข้างซ้ายข้างเดียว
ในการทำงานบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชนชาวไทยมาตลอดกว่า 60 ปี
70. ครั้งหนึ่งหนังสือพิมพ์อเมริกันลงข่าวลือเกี่ยวกับในหลวงว่า
แซกโซโฟนที่ทรงอยู่เป็นประจำนั้นเป็นแซกโซโฟนที่ทำด้วยทองคำเนื้อแท้บริสุทธิ์
ซึ่งได้มีพระราชดำรัสว่า'อันนี้ไม่จริงเลย สมมติว่าจริงก็จะหนักมาก
ยกไม่ไหวหรอก'
71. ปีหนึ่งๆ ในหลวงทรงเบิกดินสอแค่ 12 แท่ง ใช้เดือนละแท่ง จนกระทั่งกุด

72. หัวใจทรงเต้นไม่ปรกติ ในหลวงเคยประชวรหนักจนหัวใจเต้นไม่ปกติ
เนื่องจากติดเชื้อไมโครพลาสม่า
ขณะขึ้นเยี่ยมราษฎรที่อำเภอสะเมิงติดต่อกันหลายปี
73. รู้หรือไม่ว่า
ในหลวงเป็นคนประดิษฐ์รูปแบบฟอนต์ภาษาในคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้
อย่าง ฟอนต์จิตรลดา ฟอนต์ภูพิงค์
74. ในนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี จัดขึ้นที่อิมแพ็ค
มีประชาชนเข้าชมรวม 6ล้านคน
75. ในหลวงเริ่มพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2493 จน 29
ปีต่อมาจึงมีผู้คำนวณว่าเสด็จพระ ราชทานปริญญาบัตร 490 ครั้ง
ประทับครั้งละ 3 ชม. ทรงยื่นพระหัตถ์พระราชทาน 470,000 ครั้ง
น้ำหนักปริญญาบัตรฉบับละ 3 ขีด รวมน้ำหนักทั้งหมด 141 ตัน
76. ดอกไม้ประจำพระองค์ คือ ดอกดาวเรือง

77. สีประจำพระองค์คือ สีเหลือง
78. นั่งรถหารสอง : ทรงรับสั่งกับข้าราชบริพารเสมอว่า
การนั่งรถคนละคันเป็นการสิ้นเปลือง จึงให้นั่งรวมกัน
ไม่โปรดให้มีขบวนรถยาวเหยียด

อ่านจบแล้ว ช่วยกันเผยแผ่จริยวัตรที่ดีงามของพระองค์ท่านให้มาก ๆ
เพื่อคนไทยจะได้รู้จัก และรักในหลวงของเรา ให้มาก ๆ ...สาธุ

รู้ไหมชาติก่อนใครเป็นอะไร

โดย สุรวิชช์ วีรวรรณ 29 ตุลาคม 2552 17:20 น.
เชื่อไหมครับว่า เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของผู้ทรยศและคนเนรคุณ 2 คน
ในประวัติศาสตร์
คือพระยาจักรีและพระยาละแวกนั้นเกิดร่วมสมัยกันในยุคสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ
แห่งกรุงศรีอยุธยา

แล้วกลับชาติมาเกิดร่วมสมัยกันอีกในปัจจุบัน

แต่เนื่องจากช่วงสองสามวันนี้ผมได้ยินมีการพูดสับสนกันระหว่างพระยา
ละแวกและพระยาจักรี จึงอยากทบทวนประวัติศาสตร์เบื้องต้นเสียก่อน

พระยาจักรี รับราชการในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ
กษัตริย์พระองค์ที่ 15 ของกรุงศรีอยุธยา
หลังอยุธยาทำสงครามช้างเผือกพ่ายแพ้แก่พม่าพระยาจักรีถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย
และเมื่อสิ้นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ
สมเด็จพระมหินทราธิราชเสด็จขึ้นครองราชย์
พระยาจักรีเห็นแก่ทรัพย์ที่พระเจ้าบุเรงนองประทานให้จึงอาสาเป็นหนอนบ่อนไส้
ในกรุงศรีอยุธยา
โดยเข้าไปในกรุงศรีอยุธยาทำทีเป็นว่าหลบหนีมาจากกรุงหงสาวดี

พระมหินทราธิราชทรงวางพระทัยพระยาจักรีจึงได้มอบให้ดำรงตำแหน่งเป็น
แม่ทัพใหญ่ พระยาจักรีจึงวางอุบายให้ทหารที่มีความสามารถไปประจำกองที่ไม่สำคัญ
และให้ทหารที่ไร้ฝีมือเป็นทัพหน้าคุมกำลังประจัญบานกับกองทัพของพระเจ้าบุ
เรงนอง แถมคนมีฝีมือก็ถูกหาเรื่องใส่ความให้ต้องโทษขังหรือเฆี่ยน
เพียงข้ามคืนกรุงศรีอยุธยาก็พ่ายแพ้ เสียกรุงให้กับพม่าเป็นครั้งแรก

เมื่อพระยาจักรีกลับไปเข้าเฝ้าพระเจ้าบุเรงนอง
พระเจ้าบุเรงนองมีพระราชโองการให้ประหารชีวิตพระยาจักรีเสีย เพราะเห็นว่า
พระยาจักรีนั้นทำได้แม้กระทั่งการทรยศบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง
ภายภาคหน้าก็คงจะสามารถทรยศกรุงหงสาวดีได้เช่นกัน
โดยตอกมือไว้กับหีบทองของรางวัลที่บุเรงนองประทานให้แล้วจับถ่วงน้ำ

ส่วนพระยาละแวก ช่วงที่พระมหาจักรพรรดิทำสงครามกับพม่าอยู่นั้น
ฝ่ายเขมรพระยาละแวกเห็นได้ทีจึงยกทัพเข้ามาทางปราจีนบุรีกวาดต้อนผู้คน
กลับไปเขมรจำนวนมาก

สมเด็จพระมหาจักรพรรดิจึงทรงรับสั่งให้ยกทัพไปถึงเมืองพระตะบองและ
ละแวก พระยาละแวก
เห็นท่าจะแพ้ในการศึกจึงมีราชสาสน์และเครื่องราชบรรณาการมาถวาย
และรับปากว่าจะเป็นข้าพระบาทตราบชั่วกัลปวสาน
เมื่อญวนยกทัพมาตีเมืองละแวก กองทัพไทยจึงยกกำลังไปช่วย

หลังไทยเสียกรุงให้แก่พม่าเพียงปีเดียว
พระยาละแวกจากเขมรได้ถือโอกาสเข้ามาปล้นและตีเมืองที่อยู่ภายใต้อยุธยา
กวาดต้อนผู้คนแถวจันทบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรากลับไปเขมรจำนวนมาก
รวมทั้งโจมตีเมืองธนบุรีจับชาวเมืองธนบุรีและนนทบุรีเป็นเชลยจำนวนมาก
และหมายจะบุกเข้าตีอยุธยาแต่ถูกทหารไทยยิงตายเป็นจำนวนมาก
ฝ่ายเขมรแตกทัพหนีกลับไปทางพระประแดง

เมื่อถึงยุคสมัยสมเด็จพระนเรศวรทรงตรัสว่า
"พระยาละแวกตระบัดสัตย์อีกแล้ว จึงต้องยกไปปราบให้ราบคาบ"
ผลการศึกกองทัพไทยไล่ตีเขมรไปจนสุดชายแดน ทหารเขมรล้มตายจำนวนมาก

ประวัติศาสตร์ที่คนไทยได้หันไปอุ้มชูเขมรในยุคบ้านเมืองแตกระส่ำนั้น
ไม่ใช่แค่ยุคพระยาละแวก
แต่ผ่านมาถึงยุคต้นรัตนโกสินทร์ที่เขมรถูกญวนรุกรานแล้วมาพึ่งพิงรัฐไทย
แต่พอปีกกล้าขาแข็งก็หันมาลอบกัดไทย รวมทั้งการพึ่งพิงไทยในยุคสงครามเย็น
สงครามกลางเมือง บ้านแตกสาแหรกขาด

พระยาจักรีนั้นเป็นคนไทยที่ทรยศต่อแผ่นดิน
ส่วนพระยาละแวกนั้นเป็นเขมรที่เนรคุณต่อแผ่นดินไทย

วันนี้มีคนไทยคนหนึ่งที่เรียกขานกันว่า บิ๊กจิ๋ว หรือพล.อ.ชวลิต
ยงใจยุทธ แห่งพรรคเพื่อไทย และสมเด็จพระมหาอัครมุนี ฮุนเซน
แห่งแผ่นดินกัมพูชา

พล.อ.ชวลิต บินไปพบฮุนเซนแล้วกลับมาบอกคนไทยด้วยความภาคภูมิใจว่า
ฮุนเซน ดูหมิ่นกระบวนการยุติธรรมของไทยว่า ไม่ให้ความเป็นธรรมต่อทักษิณ
และแม้ว่า ทักษิณจะเป็นนักโทษที่ทางการไทยต้องการตัว แต่ฮุนเซน
ปรารถนาจะสร้างบ้านให้ทักษิณเข้ามาอาศัยในแผ่นดินกัมพูชา

ฮุนเซนบอกบิ๊กจิ๋วว่า มีความรู้สึกว่า
ทักษิณไม่ได้รับความเป็นธรรม ในฐานะที่ ทักษิณทำอะไรให้กับประเทศเยอะแยะ
แต่ทำไมถึงวันนี้แม้กระทั่งแผ่นดินที่จะอยู่ก็ยังไม่มี

บิ๊กจิ๋วปล่อยให้ฮุนเซนประณามประเทศของตัวเองแล้วกลับมาเล่า
ยังไม่พอ เมื่อฮุนเซนมาประชุมอาเซียนซัมมิตที่เมืองไทย
ฮุนเซนก็ด่าประเทศไทยซ้ำอีก และประกาศว่า
ถ้าทักษิณเข้ามาอยู่ในกัมพูชาจะไม่ส่งทักษิณกลับไทยตามสนธิสัญญาส่งผู้ร้าย
ข้ามแดน เพราะเห็นว่า เป็นคดีการเมือง และเป็นอธิปไตยของกัมพูชา
หนำซ้ำยังเปรียบทักษิณกับอองซาน ซูจี

ทั้งๆ ที่คนไทยและทั่วโลกรู้ว่า ทักษิณนั้น
ใช้ระบอบประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือในการแสวงหาอำนาจและผลประโยชน์
ทักษิณละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ตากใบ กรือเซะ
และฆ่าตัดตอนยาเสพติดโดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรมอีกหลายพันชีวิต
และในจำนวนนั้นมีผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก

คดีที่ทักษิณหนีกระบวนการยุติธรรมไทยออกไปนั้น เป็นคคีอาญา
เพราะทักษิณหลบหนีคดีคำพิพากษาของศาลให้ติดคุกฐานใช้อำนาจในตำแหน่งนายก
รัฐมนตรีเพื่อเอื้อประโยชน์ให้เมียได้ทรัพย์สินของรัฐ

ที่สำคัญบิ๊กจิ๋วไปเยือนกัมพูชาในท่ามกลางความขัดแย้งตามแนวชายแดน
ที่ไทยยืนยันว่า พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร รอบเขาพระวิหารนั้นเป็นของไทย
แต่ถูกทหารเขมรเข้ามายึดครอง แต่เมื่อกลับจากเขมรพล.อ.ชวลิตพูดว่า
ปัญหาข้อขัดแย้งบริเวณตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา
โดยเฉพาะกรณีปราสาทพระวิหาร
ซึ่งกัมพูชาไม่ต้องการให้การเผชิญหน้ากันของทหารทั้งสองฝ่าย
อยากให้จะหมดไปโดยรวดเร็ว และทางกัมพูชาได้มีการเสนอมาหลายครั้งแล้ว
โดยอยากให้มีการแยกกำลังทหารออกจากกันและให้ห่างจากกัน

พอกลับจากกัมพูชา กลายเป็นว่า
บิ๊กจิ๋วคนที่เคยเป็นผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารสูงสุด
นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
แยกแยะไม่ออกหรือไม่มีข้อมูลหรือการข่าวเลยหรือว่า
วันนี้ใครเป็นฝ่ายรุกรานใคร ใครควรถอนกำลังออกไป ในฐานะเป็นคนไทย
บิ๊กจิ๋วควรพูดกับฮุนเซนเรื่องนี้ว่าอย่างไร

คำถามนี้จึงต้องถามบิ๊กจิ๋วและพรรคเพื่อไทยต่อว่า
มีนโยบายต่อพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรอย่างไร หรือว่า
เพื่อความสัมพันธ์กับกัมพูชาเราควรนิ่งเฉยเสียและปล่อยให้กัมพูชายึดครอง
แผ่นดินผืนนั้นไป

วันนี้กลุ่มคนเสื้อแดงที่สนับสนุนทักษิณนั้น
เห็นดีเห็นงามหรือมีความสุขหรือไม่ที่ฮุนเซนเข้ามาหมิ่นศักดิ์ศรีประเทศไทย
และคนไทยถึงบนแผ่นดินไทย
หลังจากที่คนไทยคนหนึ่งชื่อชวลิตกลับมาเล่าการถูกฮุนเซนดูหมิ่นศักดิ์ศรี
ประเทศของตัวเองด้วยความภาคภูมิใจมาแล้ว

ไม่เพียงแต่พระยาจักรีจะเหิมเกริมเท่านั้น
วันนี้เครือข่ายของพระยาจักรียังมีเครื่องมือสื่อสารที่เพียบพร้อมในการบั่น
ทอนสถาบันสำคัญของชาติ สื่อใต้ดินและบนดินของเครือข่ายเสื้อแดง
วิทยุชุมนุมมีการกล่าวพาดพิงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ในทางลบอย่างเปิดเผยและ
โล่งโจ้ง โดยที่รัฐบาลทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น

มีคนถามว่า ถ้าบิ๊กจิ๋ว คือ พระยาจักรี และฮุนเซน คือ
พระยาละแวกกลับชาติมาเกิด แล้วคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
ชาติก่อนเป็นอะไร

มีคนตอบผมว่า
ชาติก่อนคุณอภิสิทธิ์คงมีบรรดาศักดิ์เป็นพระอิฐหรือไม่ก็พระปูนรับราชการอยู่ที่ไหนสักแห่ง


surawhisky@hotmail.com

เคาะข่าวริมโขง : จับตา "ราเกซ" กลับไทย หวั่นโดนตัดตอนก่อนไขคดียักยอก "บีบีซี"

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 29 ตุลาคม 2552 21:37 น.
เคาะข่าวริมโขง : จับตา "ราเกซ" กลับไทยพรุ่งนี้
หวั่นโดนตัดตอนก่อนไขคดีดัง "ยักยอกทรัพย์ บีบีซี" ที่มีนักการเมือง
"ห้อยโหน" เอี่ยว ด้าน "เป็ดเหลิม-ไอ้ตู่" ป้อง "พ่อแม้ว" กลางสภา
ตั้งกระทู้ขู่นายกฯ ห้ามถอดยศ-ยึดเครื่องราชฯ แฉ "จิ๋ว-ตท.10"
ถูกวางหมากเดินเกมนอกสภา หมายล้มเจ้า นำประเทศเข้าสู่ "รัฐไทยใหม่"

รายการ "เคาะข่าวริมโขง" ออกอากาศทาง "อีสานทีวี" ช่วงเวลา
18.30-20.30 น.วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม มี นายชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย
น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยวันนี้ได้มีการเชิญ นายโสภณ
องค์การณ์ อดีตบรรณาธิการข่าวเศรษฐกิจของหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น
และหนึ่งในพิธีกรรายการ NEWS HOUR สุดสัปดาห์ และ นายอมร อมรรัตนานนท์
พิธีกรรายการสภาท่าพระอาทิตย์ ทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี
มาร่วมพูดคุยในรายการ ซึ่งวันนี้ประเด็นข่าวที่น่าสนใจและร้อนแรง คือ
กรณีลากตัว นายราเกซ สักเสนา อดีตที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่
ธนาคารกรุงเทพฯพาณิชย์การ จำกัด (มหาชน) หรือ บีบีซี
ผู้ต้องหาคดียักยอกทรัพย์ กลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย

รวมทั้งกรณีวิวัฒนาการกลุ่มคนเสื้อแดงตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ซึ่งมีแนวโน้มว่าพฤติกรรมเผาบ้านเผาเมือง
จะลุกลามใหญ่โตไปจนถึงการมวลชนและเงิน
เพื่อทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในประเทศไทย

น.ส.อัญชะลี กล่าวเปิดประเด็นกรณีการติดตามตัว นายราเกซ
มาดำเนินคดีในประเทศไทย หลังจากที่ไปอยู่ประเทศแคนาดา
เนื่องจากเกรงเรื่องความปลอดภัย ขณะนี้ ทางการไทยได้ประสานขอตัวมา
หลังจากคดีนี้ยืดเยื้อมาเป็นเวลานาน โดยวันพรุ่งนี้ (30 ต.ค.)
ต้องจับตาดูว่า นายราเกซ จะปรากฏตัวที่สนามบินหรือไม่
เพราะเจ้าตัวก็ไม่อยากกลับประเทศไทย เนื่องจาก
คดีนี้เกี่ยวข้องกับนักการเมืองใหญ่ในประเทศ ซึ่งอาจมีการตัดตอนปิดปาก
เพราะว่า นายราเกซ ถือเป็นหมากตัวสำคัญที่กุมความลับคดีนี้

นายโสภณ กล่าวเสริมประเด็นนี้ ว่า เดิมที นายราเกซ
เป็นเพียงนักรายงานข่าวหุ้นประจำสัปดาห์ธรรมดา โดยเมื่อตอนไม่มีชื่อเสียง
ยังไม่เป็นที่รู้จัก ก็ยังไม่ค่อยมีใครสนใจมากนัก
แต่หลังจากที่สั่งสมวิชาด้านหุ้น จนกลายเป็นนักวิเคราะห์หุ้น ชื่อ
นายราเกซ ก็ติดตลาด ต่อมาจึงกลายเป็นที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่
ธนาคารกรุงเทพฯพาณิชย์การ จำกัด (มหาชน) หรือ บีบีซี
โดยการกระโดดเข้าไปรับตำแหน่งดังกล่าว
ทำให้ได้รู้จักและมีสัมพันธ์กับคนใหญ่คนโตในแวดวงเศรษฐกิจมากมาย นายราเกซ
จึงเล็งเห็นช่องทางโยกย้ายถ่ายเงิน จน บีบีซี ถูกสั่งปิด ซึ่งการที่
นายราเกซ ต้องหนีออกนอกประเทศไทย
ก็เพราะเกรงว่าตัวเองจะไม่ได้รับความปลอดภัย จึงไปอยู่แคนาดา
โดยเจ้าตัวเคยให้สัมพันธ์ว่า
หากกลับประเทศไทยเชื่อว่าคงตายตั้งแต่เหยียบสนามบินก้าวแรก

นายชัชวาลย์ กล่าวว่า คดีนี้เกี่ยวข้องกับนักการเมืองหลายคน
โดยเฉพาะคนตัวสูง ชื่อห้อย แม้ว่าเรื่องจะเกิดขึ้นมาแล้ว
แต่ก็มีความพยายามดึงเรื่อง ทำให้ยืดเยื้อจนมาถึงทุกวันนี้
ยังจับตัวการสำคัญติดคุกหรือรับผิดไม่ได้

นายโสภณ กล่าวว่า คดียักยอกทรัพย์ บีบีซี ถือเป็นเรื่องมหากาพย์
ที่มีความสำคัญ เพราะช่วงที่เกิดเรื่องประเทศไทยต้องเจอสภาวะเศรษฐกิจแบบฟองสบู่แตก
ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีเครดิตบูโร ทำให้มีการกู้กันได้ง่าย
โดยไม่มีมาตรฐานการตรวจสอบหนี้เสียที่ดีพอ คนใหญ่คนโตที่มีพวกฟ้อง
จึงมาร่วมวงหาเงินใช้ การเมืองกลายเป็นตัวแปรสำคัญที่เข้ามาแทรกแซง
จนทุกวันนี้ เศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวไม่เต็มที่จากการที่ประสบปัญหาดังกล่าว

น.ส.อัญชะลี กล่าวเสริมว่า คืนนี้จะได้รู้แล้วว่า
ทางแคนาดาจะส่งตัว นายราเกซ กลับมารับโทษในประเทศไทย
แต่เรื่องที่น่าเป็นห่วง คือ หากมาถึงสนามบินที่ประเทศไทย
อาจเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันได้ เพราะคำพูดของ นายราเกซ
อาจทำให้นักการเมืองหลายคนต้องคุก ถ้าความจริงถูกเปิดเผย

ช่วงต่อมา น.ส.อัญชะลี หยิบยกประเด็นวิวัฒนาการของกลุ่มคนเสื้อแดง
มาพูดถึง หลังจากที่มีการเปิดเทปการอภิปรายของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง
ประธาน ส.ส.เพื่อไทย และนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย
ที่ตั้งกระทู้จี้ถาม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
กรณีถอดยศและยึดเครื่องราชฯ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

นายอมรเทพ กล่าวประเด็นนี้ ว่า การกระทำของ ร.ต.อ.เฉลิม หรือ
นายจตุพร ล้วนแล้วแต่ทำเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ
ซึ่งตนอยากย้อนให้เหตุถึงความเปลี่ยนแปลงที่อดีตนายกรัฐมนตรีได้ทำไว้กับ
ประเทศไทย คือ ในช่วงที่ไม่มี พ.ต.ท.ทักษิณ สถานการณ์ไม่เลวร้ายเท่านี้
แต่นับจากที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ก้าวเข้ามาเล่นการเมือง
ก็ทำให้ประเทศระส่ำระส่าย เพราะเกิดความแตกแยกของสังคม
ซ้ำที่แย่ไปกว่านั้น คือ เวลานี้ พ.ต.ท.ทักษิณ
ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ถึงสถาบันเบื้องสูงอย่างโจ่งแจ้ง
ซึ่งไม่เคยมีผู้ใดเคยทำมาก่อน ดังนั้น
ตนอยากเรียกร้องให้กองทัพปกป้องสถาบัน
เนื่องจากมีความพยายามทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิดต่อสถาบันเบื้องสูง
โดยมีการบิดเบือนข้อมูล ทั้งนี้
ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นที่ภาคเหนือกับภาคอีสาน

นายอมรเทพ กล่าวต่อว่า สำหรับแผน พ.ต.ท.ทักษิณ ตอนนี้
กำลังเดินเกมใช้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และเตรียมทหารรุ่น 10 มาสร้างกระแส
ซึ่งตนอยากให้จับตาดูดีๆ เพราะมีความเป็นไปได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ
จะใช้คนพวกนี้ เพื่อเล่นเกมนอกสภา ยิ่งไปกว่านั้น
มีการปล่อยข่าวถึงขนาดว่า ถ้าบ้านเมืองจำเป็นต้องเกิดการเปลี่ยนแปลง
ก็ต้องทำ โดยคนพวกนี้ไม่สนใจอะไรแล้ว นอกเหนือจากอำนาจที่ตนจะได้รับ
ซึ่งนับเป็นความน่ากลัวที่คนชั่วมีแผนจะดำเนินการไม่ดีต่อบ้านเมือง

นายอมรเทพ กล่าวอีกว่า ตอนนี้มีรายงานข่าวว่าเว็บไซต์ นายจักรภพ
เพ็ญแข ได้มีข้อความตั้งชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า "ทักษิณมหาราษฎร"
ซึ่งถือเป็นสิ่งไม่บังควร เพราะคำว่ามหาราช ใช้กับพระมหากษัตริย์
ที่ทรงเป็นที่รักของประชาชน

นายโสภณ กล่าวเสริมว่า พ.ต.ท.ทักษิณ
ถือเป็นความชั่วร้ายที่มีลมหายใจ และมีตัวตน
เพราะอดีตเวลาเราสัมผัสถึงความชั่วร้าย จะมองเห็นแต่นามธรรม แต่ในตัว
พ.ต.ท.ทักษิณ ชัดเจนว่า ทั้งรูปธรรมและนามธรรม
ล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย ซึ่งคนแบบนี้น่ากลัว
เนื่องจากเวลาทำอะไร ไม่มีจิตสำนึกของความเป็นคน
กล้าแสดงออกในสิ่งที่คนทั่วไปไม่ควรทำ ไม่กล้าพูด โดยคนพวกนี้
ทำเหมือนว่าจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ แต่การกระทำกลับตรงกันข้าม
เหมือนหวังดีแต่ประสงค์ร้าย ใช้ลูกสมุนปลุกปั่น ยุยงให้เกิดความเข้าใจผิด
หวังจะช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ ให้กลับประเทศและได้ทุกสิ่งทุกอย่างคืน

น.ส.อัญชะลี กล่าวว่า เมื่อก่อนสบประมาทกลุ่มคนเสื้อแดง ว่า
ไม่มีพลังเพียงพอจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่วันนี้สถานการณ์เปลี่ยน
เพราะพฤติกรรมเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
มีทั้งการจาบจ้วงสถาบันและการเผาบ้านเผาเมือง เพื่อสร้างความวุ่นวาย

นายชัชวาลย์ กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ
ต้องการแย่งประชาชนออกจากสถาบัน
โดยเริ่มจากการเอาประชานิยมเข้ามาหลอกล่อประชาชน และมีการแจกเงิน
ทำให้ประชาชนเสพติด พ.ต.ท.ทักษิณ และผลประโยชน์มาตลอด ดังนั้น
ประชาชนที่ไม่มีความรู้หรือรู้ไม่เท่าทัน ก็จะต้องเป็นเหยื่อ
โดนหลอกทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ
แต่ขณะนี้มีความพยายามลุกลามไปถึงการตั้งรัฐไทยใหม่
ที่เสมือนการลดของสถาบันพระมหากษัตริย์ลง
ก็เหมือนหลายประเทศที่มีกษัตริย์แต่อำนาจสูงสุดอยู่ที่ในมือผู้นำประเทศ

นายอมรเทพ กล่าวปิดท้ายว่า พอ พ.ต.ท.ทักษิณ
เล่นการเมืองทำให้คนไทยได้เห็นถึงธาตุแท้ โดยสมัยที่เป็นนายกรัฐมนตรี
ก็ใช้ตำแหน่งอำนาจของตัวเอง สกัดผู้อื่นที่จะเข้ามาทำประโยชน์
เพื่อจะได้เข้าไปแสวงหาผลประโยชน์เสียเอง ซึ่งตนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ
ประกอบอาชีพและหากินกับหลากหลายวงการ แต่มีอยู่ 2 อาชีพที่ พ.ต.ท.ทักษิณ
ไม่สนใจจะทำ คือขายโลงศพ กับ ขอทาน

รายงานพิเศษ : เป้าหมายสุดท้ายของ "แกนนำเสื้อแดง" คงไม่ใช่แค่ปลด "ประธานองคมนตรี"!!

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 29 ตุลาคม 2552 18:47 น.


อมรรัตน์ ล้อถิรธร.....รายงาน

แกนนำคน เสื้อแดง เริ่มรุกคืบสถาบันที่ใกล้ชิดกับพระมหากษัตริย์
มากขึ้นเรื่อยๆ จากก่อนหน้านี้ที่ปราศรัยเรียกร้องกดดันให้ "พล.อ.เปรม
ติณสูลานนท์" ประธานองคมนตรี และองคมนตรีบางท่านลาออก โดยอ้างว่า
อยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร 19 ก.ย.บ้าง ไม่เป็นกลางทางการเมืองบ้าง
ล่าสุด ผุดไอเดียใหม่ คราวนี้เล่นแรงถึงขั้นจี้ให้มีการแก้
รธน.หมวดพระมหากษัตริย์ เกี่ยวกับการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
เพื่อปิดทางไม่ให้ประธานองคมนตรีสามารถดำรงตำแหน่งดังกล่าวได้
ขณะที่หลายฝ่ายในสังคม มองว่า เจตนาของแกนนำเสื้อแดง
หาใช่แค่ต้องการดิสเครดิต พล.อ.เปรม แต่น่าจะหวังผล "กระทบชิ่ง" สถาบัน
หรืออาจเป็นส่วนหนึ่งของการ "ล้มสถาบัน" มากกว่า

คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายงานพิเศษ

คงไม่ใช่เรื่องที่เหนือความคาดหมาย ที่จู่ๆ แกนนำคนเสื้อแดง
(นายวีระ มุสิกพงศ์-นายจตุพร พรหมพันธุ์-นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ)
ก็ลุกขึ้นมาเรียกร้องและท้าทายให้รัฐบาลแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวดพระมหากษัตริย์
ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่ว่าด้วยการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
โดยไม่ต้องการให้ประธานองคมนตรี ซึ่งก็คือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ สามารถ
เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ เพราะคนเสื้อแดงไม่ไว้วางใจ พล.อ.เปรม
โดยอ้างว่า พล.อ.เปรม เลือกข้างทางการเมือง
และไม่อยู่ในฐานะที่จะแก้ปัญหาความขัดแย้งในประเทศได้อีกต่อไป

ทั้งนี้
รธน.หมวดพระมหากษัตริย์ที่ว่าด้วยการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
มีอยู่ 3 มาตรา คือ มาตรา 18 บัญญัติว่า
เมื่อพระมหากษัตริย์จะไม่สามารถประทับอยู่ในราชอาณาจักร
หรือจะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ด้วยเหตุผลใดก็ตาม
จะได้ทรงแต่งตั้งผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
และให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้ลงนามสนองพระบรมราชโองการ มาตรา 19 บัญญัติว่า
ในกรณีที่พระมหากษัตริย์มิได้ทรงแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามมาตรา
18 หรือในกรณีพระมหากษัตริย์ไม่สามารถทรงแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
เพราะยังไม่ทรงบรรลุนิติภาวะหรือเพราะเหตุอื่น
ให้คณะองคมนตรีเสนอชื่อผู้ใดผู้หนึ่ง
ซึ่งสมควรดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต่อรัฐสภา
เพื่อขอความเห็นชอบ เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว
ให้ประธานรัฐสภาประกาศในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์
แต่งตั้งผู้นั้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ... และมาตรา 20
บัญญัติว่า ในระหว่างที่ไม่มีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา
18 หรือ 19 ให้ประธานองคมนตรีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการชั่วคราวไปพลางก่อน

แกนนำคนเสื้อแดง และ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย อย่าง นายจตุพร
พรหมพันธุ์ ประกาศด้วยว่า หาก พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งครั้งต่อไป
นอกจากจะต้องนำ รธน.2540 กลับมาใช้แทน รธน.2550 แล้ว
ยังจะต้องแก้ไขหมวดพระมหากษัตริย์
ไม่ให้ประธานองคมนตรีสามารถรับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้
และต้องกำหนดว่า ผู้ที่จะรับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์นั้น
จะต้องเป็นองค์รัชทายาทเท่านั้น

แม้ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายที่แกนนำคนเสื้อแดงต้องการแก้
รธน.เพื่อลดความสำคัญ หรือดิสเครดิต พล.อ.เปรม
เพราะตั้งแต่กลุ่มเสื้อแดงเคลื่อนไหวสร้างความปั่นป่วนให้บ้านเมือง
ก็ปราศรัยโจมตี พล.อ.เปรม มาตลอดอยู่แล้ว เพียงแต่การเรียกร้องให้แก้
รธน.หมวดพระมหากษัตริย์ครั้งนี้ หลายฝ่ายมองว่า
นอกจากจะเป็นเกมการเมืองของกลุ่มเสื้อแดงที่ต้องการกระทบชิ่งไปยังสถาบันพระ
มหากษัตริย์แล้ว
ยังสะท้อนพฤติกรรมของกลุ่มเสื้อแดงที่มีการปราศรัยจาบจ้วงดูหมิ่นสถาบันมา
หลายต่อหลายครั้ง ว่า
เป้าหมายที่แท้จริงของคนกลุ่มนี้อาจไม่ใช่แค่ต้องการปิดช่องไม่ให้ประธาน
องคมนตรีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
แต่ยังอาจหวังผลถึงขั้นต้องการดิสเครดิต หรือล้มสถาบันด้วยหรือไม่?

ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.)
2550 พูดถึงพฤติกรรมของแกนนำเสื้อแดงที่ต้องการแก้
รธน.หมวดพระมหากษัตริย์
เพื่อไม่ให้ประธานองคมนตรีมีสิทธิเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ว่า
แกนนำคนเสื้อแดงอาจไม่ได้ต้องการแก้ รธน.มาตราดังกล่าวจริง
แต่น่าจะต้องการพูดกระทบไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์มากกว่า
เพราะรู้ว่าทรงชราภาพและทรงพระประชวร

"ผมคิด ว่าเขาคงไม่ได้มีเจตนาจะแก้ รธน.อย่างแท้จริง
ผมคิดว่าเขาต้องการที่จะกระแทกกระทั้น
หรือต้องการที่จะเลือกที่จะพูดเกี่ยวกับสถาบันมหากษัตริย์
เพราะเขาก็รู้อยู่ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงชราภาพ และทรงประชวร
ก็หาเรื่องพูดขึ้นมาว่า ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น
ใครจะเป็นคนสำเร็จราชการแทนพระองค์ ก็หาเรื่อง พูดให้คนคิด
(ถาม-อ.คิดว่าจะเกิดปัญหามั้ย
เพราะเขาบอกว่าถ้าเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งได้เป็นรัฐบาล เขาจะแก้แน่นอน
ไม่ใช่แค่เอา รธน.ปี 40 มาใช้ แต่จะแก้หมวดนี้ด้วย?)
ใครยกบ้านเมืองให้กับเขาเหรอ คนเราบางทีมันก็จองหอง คิดว่า
การที่เราชนะการเลือกตั้งนี่ เราทำได้ทุกอย่างในโลกอย่างนั้นเหรอ
การที่เราชนะการเลือกตั้งโดยที่ประชาชนเลือก ก็เพราะเหตุผลต่างๆ นานา
แต่ละคนเลือกเพราะคนนี้เคยมีบุญคุณ เลือกเพราะคนนี้เคยแจกเงิน
เลือกเพราะคนนี้เคยสัญญาเรื่องไหน พอเรารวมกันชนะ
เราจะบอกว่าเราทำอะไรก็ได้ในโลกนี้เนี่ย คุณคิดว่ามันใช่มั้ยล่ะ
มันไม่น่าจะใช่ แล้วก็ไม่มีคน 60 ล้านคนเนี่ย ที่จะงอมืองอเท้า
ปล่อยให้คนอยากจะทำอะไรก็ได้ เพราะมาจากการเลือกตั้ง
เพราะผ่านชนะการเลือกตั้ง จะทำอะไรก็ได้ อย่าเข้าใจว่า
การชนะการเลือกตั้งคือระบอบประชาธิปไตย เพราะระบอบประชาธิปไตย คือ
ระบอบที่เลือกตั้งเพื่อให้ได้ตัวแทนจากประชาชน และเมื่อได้ตัวแทนแล้ว
ตัวแทนต้องทำตามความต้องการของประชาชน
เราไม่ได้เลือกตั้งเพื่อยกบ้านเมืองให้กับตัวแทน
แต่ต้องทำตามความต้องการของประชาชน และประการที่ 3
ประโยชน์ต้องเป็นของประชาชน มันมีอยู่ 3 ส่วน
ประชาธิปไตยแค่ตัวแทนมาจาการเลือกตั้งหรือชนะการเลือกตั้ง
ถ้าคุณคิดว่าทำได้ทุกอย่าง แค่นี้ก็จองหอง
และแค่นี้ก็เป็นเผด็จการเรียบร้อยแล้ว ยังไม่ทันเลือกตั้งชนะเลย
มันก็สะท้อนหลายอย่าง"

ด้านนายวรินทร์ เทียมจรัส ส.ว.สรรหา และ 1
ในคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาติดตามการบังคับใช้กฎหมายและมาตรการเกี่ยวกับ
การพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ วุฒิสภา
พูดถึงกรณีที่แกนนำเสื้อแดงเรียกร้องให้แก้ รธน.หมวดพระมหากษัตริย์
เพื่อไม่ให้ประธานองคมนตรีสามารถเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้
พร้อมเสนอให้ตั้งองค์รัชทายาทเป็นผู้สำเร็จราชการแทนว่า โดยหลักการแล้ว
ไม่สามารถตั้งองค์รัชทายาทเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้
เพราะถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของสถาบัน นายวรินทร์ ยังชี้ด้วยว่า
จุดมุ่งหมายของผู้ที่กำลังเคลื่อนไหวเรื่องนี้
น่าจะเป็นเพราะไม่ต้องการสถาบันกษัตริย์มากกว่า

"จริงๆ แล้วในระบบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเนี่ย
ลักษณะของการจะทำ หลักการก็คือ The King can do no wrong นะ
เราจะต้องมีผู้สนองพระบรมราชโองการ ทีนี้มันจะแยกเป็น 2 ส่วน
ส่วนที่เป็นงานของรัฐบาล ส่วนที่เป็นงานของนิติบัญญัติ
ส่วนที่เป็นงานของตุลาการ ก็จะมีเจ้าภาพอยู่แล้ว
ทีนี้งานบางส่วนที่มันคาบเกี่ยวระหว่างสถาบันกับองค์กรอื่นๆ
ทั้งหมดเนี่ยจะต้องมีผู้สนองพระบรมราชโองการ ตรงนี้มันไม่มีไง
มันเว้นว่างตรงนี้ เพราะฉะนั้นยังไงมันก็ต้องมีอยู่ แต่ปัญหาว่า
เป้าหมายของการขอแก้เนี่ย เป้าหมายคือให้กระทบถึงสถาบันพระมหากษัตริย์
นั่นคือเป้าหมาย จริงๆ แล้วหลักการมันไม่มีหรอกที่อ้างมาน่ะ
แต่หลักการประชาธิปไตยมันเป็นอย่างนี้"

"(ถาม-ทำไมถึงมองว่าต้องการให้กระทบสถาบันพระมหากษัตริย์?)
เป้าหมายคือไม่เอาเจ้าไง คือ กลุ่มนี้ไม่เอาเจ้า ผมเรียนนิดหนึ่งว่า
ถ้าจะลงรายละเอียดนิดหนึ่งเนี่ย
คงต้องดูว่าคนกลุ่มนี้ที่กำลังเคลื่อนกลุ่มนี้ เขาทำอะไรไว้ในเขมรในลาว
ลักษณะก็คือการทำให้ประชาชนเนี่ยแบ่งแยก
แบ่งแยกเสร็จแล้วเนี่ยก็ทำให้มีการล้มสถาบัน ปรากฏการณ์ ณ
วันนี้มันทำให้คนไทยแตกเป็นฝักเป็นฝ่าย และสร้างเงื่อนไข
ท้ายที่สุดก็จะไปสู่กระบวนการตรงนั้น ทีนี้การล้มสถาบันโดยตรงเนี่ย
สำหรับประเทศไทยจะลำบากตรงที่ว่าความแน่นแฟ้นของประชาชนกับสถาบันเนี่ยยัง
อยู่ ฉะนั้นสิ่งที่เรียก ภาษาโบราณคือ "ตีวัวกระทบคราด" ก็คือ ชิ่งๆ ไป
ไปเข้าทางองคมนตรี (ถาม-แสดงว่าที่เขาบอกว่า เราไม่ไว้วางใจ พล.อ.เปรม
เพราะเลือกข้างทางการเมือง ไม่สามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งในประเทศได้
และบอกว่า ควรให้องค์รัชทายาทเป็นผู้สำเร็จราชการแทน ก็ฟังไม่ได้?)
มันไม่ได้ ตรงนี้จะตั้งองค์รัชทายาทมาทำหน้าที่องคมนตรีไม่ได้ ผิดหลักการ
และที่สำคัญที่สุดคือ องค์รัชทายาทเนี่ยเป็นส่วนหนึ่งของสถาบัน"

ด้านนายประเสริฐ ชิตพงศ์ ส. ว.สงขลา และ 1
ในคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
มองว่า การเคลื่อนไหวให้แก้ รธน.หมวดพระมหากษัตริย์ของแกนนำเสื้อแดง
ถือเป็นการก้าวล่วงสถาบัน ซึ่งไม่บังควรอย่างยิ่ง
และอาจเป็นเกมก้าวแรกของคนกลุ่มนี้ในการรุกคืบสถาบัน
แต่เพียงแค่ก้าวแรกที่กลุ่มนี้เสนอออกมา ก็ไม่ถูกหลักของการออกกฎหมายแล้ว

"ผม คิดว่าเป็นการก้าวล่วงถึงสถาบันมากเกินไปมากเกินเหตุ
เป็นความพยายามที่จะค่อยๆ ขยับเข้าไปหรือจะก้าวล่วงเข้าไปถึงสถาบัน
ผมคิดว่าเป็นการไม่บังควรเป็นอย่างยิ่ง เดี๋ยวอีกหน่อยได้ตรงนี้
แล้วก็จะไปเรื่องประเด็นอื่นต่อเนื่องไปเรื่อยๆ
ก็ค่อนข้างจะไม่เห็นด้วยต่อการเคลื่อนไหวในส่วนนี้
และเราพอจะอ่านเกมออกว่านี่เป็นการย่างก้าวแรกเพื่อไปสู่ก้าวอื่นๆ ต่อไป
แต่เมื่อย่างก้าวแรกแล้วไปบอกว่า อยากให้แก้เพราะไม่อยากให้ พล.อ.เปรม
เพราะไม่พอใจ พล.อ.เปรม ผมคิดว่าเป็นก้าวแรกที่
เพียงแต่เริ่มจะก้าวก็ไม่ถูกหลักอยู่แล้ว เพราะ
พล.อ.เปรมไม่ใช่คนที่จะอยู่กัลปาวสาน เป็นช่วงเวลาหนึ่ง แต่การแก้
รธน.เพราะไม่พอใจคนใดคนหนึ่งในช่วงเวลาหนึ่ง จะต้องไปแก้กฎหมายแก้
รธน.ผมคิดว่ามันไม่น่าจะถูกต้อง มันต้องเอาหลักการ เอาประเด็นสำคัญๆ
เอาเนื้อหาสาระมาเป็นเรื่องสำคัญมากกว่า"

ด้าน อ.อนันต์ เหล่าเลิศวรกุล แห่ง คณะอักษรศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พูดถึงกรณีที่แกนนำเสื้อแดงเรียกร้องให้แก้
รธน.หมวดพระมหากษัตริย์เพื่อไม่ให้ประธานองคมนตรีสามารถเป็นผู้สำเร็จราชการ
แทนพระองค์ได้ว่า
การเคลื่อนไหวเรื่องดังกล่าวของแกนนำเสื้อแดงนอกจากจะเป็นสร้างเงื่อนไขใหม่
ขึ้นมาเพื่อเป็นเกมทางการเมืองแล้ว
แกนนำเสื้อแดงยังมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนอย่างมากเกี่ยวกับการทำหน้าที่
ขององคมนตรีและการเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

"ประเด็น เรื่ององคมนตรีเนี่ย
ผมว่าทางกลุ่มเสื้อแดงเข้าใจผิดอย่างมาก
พระมหากษัตริย์นั้นทรงอยู่เหนือทางการเมือง
และไม่ได้เกี่ยวข้องใดใดกับทางการเมือง
แม้แต่ตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ก็ไม่ได้เป็นตำแหน่งที่จะให้คุณให้โทษใดใดทางการเมือง
เพราะเป็นตำแหน่งรักษาการแทนประมุขของประเทศเท่านั้นเอง หน้าที่หลักๆ
ตามที่ระบุใน รธน.ก็คือ
ก็ต้องลงนามในร่างกฎหมายก่อนที่จะประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ส่วนเรื่องอื่นๆ มันก็คงจะเป็นไปได้ยาก เช่น เรื่องของการประกาศสงคราม
แต่ทุกอย่างก็ต้องมีองค์กรซึ่งเป็นตัวแทนของอำนาจอธิปไตยของแต่ละองค์กรรับ
ผิดชอบอยู่ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรบริหาร องค์กรนิติบัญญัติ
หรือองค์กรตุลาการ
เพราะฉะนั้นไม่ว่าใครเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ก็ต้องทำงานในตำแหน่งผู้
สำเร็จราชการไปตามหน้าที่และไปตามขอบเขตของกฎหมาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามขอบเขตของ
รธน.ไม่สามารถที่จะให้คุณให้โทษใดใดทางการเมืองหรือแก่พรรคการเมืองใดพรรค
การเมืองหนึ่ง หรือบุคคลซึ่งเป็นนักการเมืองผู้ใดผู้หนึ่งได้"

"ซึ่งประเด็นตรงนี้ไม่ได้เป็นประเด็นอะไรที่จะมีสาระสำคัญอะไรที่จะ
ต้องมานั่งแก้มาตราที่ 20 นี้ ผมไม่เห็นประเด็น
การเสนอที่จะแก้แม้กระทั่งมาตราใดมาตราหนึ่งไม่จำเป็นจะต้องเป็นหมวดพระมหา
กษัตริย์เองเนี่ย มันจะนำไปสู่ความขัดแย้ง เพราะมีทั้งกระแสที่หนุนให้แก้
และเสนอให้ไม่แก้ไข ยิ่งเสนอในประเด็นที่ละเอียดอ่อน และความจำเป็นน้อย
ก็ดูราวประหนึ่งว่าทางฝ่ายเสื้อแดงเองเนี่ยไม่ได้คิดที่จะแก้ไข
รธน.เพื่อให้การแก้ไข รธน.นั้นมันนำไปสู่ทางออกใดใดทางการเมือง
แต่เป็นเหมือนกับการสร้างเงื่อนไขใหม่ขึ้นมา
...คำถามที่ควรจะต้องถามกลับไปกับทางกลุ่มคนเสื้อแดงก็คือ
จำเป็นอะไรถ้าหากไม่แก้ คงทุกตัวอักษรในหมวดพระมหากษัตริย์ไว้เนี่ย
จะมีผลใดใดต่อภาวะสะดุดทางการเมืองหรือเปล่า
หรือทำให้สิทธิเสรีภาพของประชาชนถูกลิดรอนหรือประชาชนไม่ได้รับความเสมอภาค
มั้ย"

เมื่อถามว่า คิดอย่างไรกรณีที่แกนนำเสื้อแดง(นายจตุพร พรหมพันธ์
เป็น ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทยด้วย) ประกาศว่า
ถ้าพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งได้เป็นรัฐบาล จะไม่เพียงนำ รธน.2540
กลับมาใช้เท่านั้น แต่จะแก้หมวดพระมหากษัตริย์ด้วย อ.อนันต์ บอกว่า
ถ้าประมวลพฤติกรรมของคนเสื้อแดงที่ขึ้นเวทีปราศรัยด้วยถ้อยคำที่หมิ่นพระบรม
เดชานุภาพซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็สะท้อนชัดเจนว่า คนกลุ่มนี้มีเป้าหมายอะไร
และต้องการเปลี่ยนแปลงอะไร

"จริงๆ แล้วมันก็สะท้อนว่าเขาคงรู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่งกับสถาบันพระมหากษัตริย์
ซึ่งผมไม่สามารถที่จะล่วงรู้ได้ว่าเขารู้สึกอย่างไร
แต่ถ้าเราปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดที่เขาปล่อยให้บุคคลคนแล้วคนเล่าขึ้นไป
บนเวทีของทางกลุ่มเสื้อแดง แสดงถ้อยคำที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ล่วงละเมิดพระมหากษัตริย์ หรือพฤติกรรมที่เขาทำ
การยื่นฎีกาเพื่อพระราชทานอภัยโทษให้ทักษิณที่รู้อยู่ว่าผิดกฎหมาย
ลักษณะแบบนี้ไม่เป็นผลดีกับสถาบันพระมหากษัตริย์เลย
อย่างกรณีของฎีกาเสื้อแดงก็เหมือนกัน ผมคิดว่ามือกฎหมายของเขา
อย่าว่าแต่มือกฎหมายเลย แม้กระทั่งคนอื่นก็รู้ว่ามันผิดกฎหมาย
แต่ก็ยังคงเสนอเรื่องนี้ขึ้นมา
และถ้าเกิดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทาน ใช้พระราชอำนาจอภัยโทษ
ก็เท่ากับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอยู่เหนืออำนาจตุลาการ ซึ่งเป็น 1
ในอำนาจอธิปไตย ซึ่งเป็นอำนาจที่ประชาชนเป็นเจ้าของ
ภาวะแบบนี้มันจะนำไปสู่ความขัดแย้งอย่างรุนแรง
และนำไปสู่ความล่มสลายของประชาธิปไตยในประเทศไทย
ผมคิดว่าเขามีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าเขาต้องการอะไร
และเขาต้องการเปลี่ยนแปลงอะไร และตราบเท่าที่ไม่บรรลุเป้าหมาย
เขาก็คงเคลื่อนไหวและกระทำการต่อไปเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เขาเสนอก็ไม่ได้ เรียกว่าไม่ได้ผิดความคาดหมาย
แต่ก็ประหลาดใจตรงที่ว่าเขาค่อนข้างอาจหาญ
และไม่ได้ดูใจของประชาราษฎรทั้งแผ่นดินเลย"

อ.อนันต์
ยังให้ข้อคิดเตือนสติคนไทยที่ยังคิดผิด-หลงผิดอยู่ด้วยว่า
เหตุการณ์เมื่อวันที่ 23 ต.ค.ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ
ลงจากห้องที่ประทับรักษาพระวรกาย
เพื่อไปสักการะพระรูปของพระราชบิดา-พระราชมารดา และพระบรมรูปรัชกาลที่ 5
ทั้งที่พระองค์ทรงพระประชวรอย่างหนักนั้น ไม่เพียงสะท้อนว่า
พระองค์ทรงเป็นห่วงประเทศและประชาชนมากกว่าห่วงพระชนม์ชีพของพระองค์เอง
แต่การเสด็จฯ ลงมาของพระองค์ยังสามารถบำรุงขวัญของประชาชนและสยบข่าวลือที่มีมาก่อนหน้า
และสร้างความเสียหายให้ตลาดหุ้นของไทยได้เป็นอย่างดี เมื่อ
คนไทยมีพระมหากษัตริย์ที่ทรงห่วงประเทศและประชาชนมากถึงเพียงนี้
แล้วทุกคนจะไม่ช่วยกันปกป้องและรักษาพระองค์ไว้หรือ?
สำหรับใครที่คิดผิดทำผิด อยากให้กลับใจ
ขอให้มองทุกอย่างให้รอบคอบก่อนจะทำอะไร เพราะบางที
การทำอะไรด้วยมิจฉาทิฐิ หรือคลั่งไคล้ในอุดมการณ์อย่างบ้าคลั่ง
เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์บางประการ
โดยวาดฝันว่าปลายทางจะกลายเป็นฮีโร่นั้น หากทำสำเร็จแล้วจะมีความหมายอะไร
ถ้าเราต้องสูญเสียบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญไป
แล้วฮีโร่จะยังคงภาคภูมิใจที่ได้ยืนอยู่บนซากปรักหักพังและความเสียหายของ
ประเทศชาติอย่างนั้นหรือ?

http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9520000129715