++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2549

การรับสารสนเทศด้านการป้องกันอุบัติเหตุของนักเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในจังหวัดอำนาจเจริญ


การรับสารสนเทศด้านการป้องกันอุบัติเหตุของนักเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในจังหวัดอำนาจเจริญ
วิทยานิพนธ์ ศศ.ม. มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 2538.

ละมัย ร่มเย็น (2538 / 162-163) ศึกษาเรื่องการรับสารสนเทศด้านการป้องกันอุบัติเหตุของนักเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในจังหวัดอำนาจเจริญ ผลการศึกษาพบว่า ปัญหาในการเผยแพร่สารสนเทศของสื่อแต่ละประเภทแตกต่างกันไป เช่น สื่อบุคคล มีปัญหาด้านการใช้ภาษาที่เข้าใจยาก อธิบายเนื้อหาไม่ชัดเจน สื่อมวลชนมีปัญหาในด้านไม่มีรายการเกี่ยวกับการป้องกันอุบัติเหตุจราจร ให้รับชม รับฟัง สื่อเฉพาะกิจมีปัญหาในด้านการเผยแพร่สารสนเทศ กระทำไม่สม่ำเสมอ ไม่ต่อเนื่องกัน เวลาที่เผยแพร่ไม่ตรงเวลากับที่ผู้รับรับฟัง


การจัดอัตรากำลังบุคลากรพยาบาลโดยการวิเคราะห์ภาระงานหอผู้ป่วยใน ของโรงพยาบาลขอนแก่น


สุดาพร กุมพล, อรพิน นวพงศกร และสุพิพัฒน์ พระยาลอ. "การจัดอัตรากำลังบุคลากรพยาบาลโดยการวิเคราะห์ภาระงานหอผู้ป่วยใน ของโรงพยาบาลขอนแก่น", ขอนแก่นเวชสาร. ปีที่ 27 ฉบับที่ 3 : 211-222 ; กันยายน - ธันวาคม, 2546.


สุดาพร กุมพล, อรพิน นวพงศกร และสุพิพัฒน์ พระยาลอ (2546 : 211) ได้ศึกษา
ภาระงานการพยาบาลในหอผู้ป่วยของพยาบาลวิชาชีพและพยาบาลเทคนิค เพื่อใช้เป็นข้อมูลใน
การจัดสรรกำลังคนที่เหมาะสมและเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบงานการพยาบาล เก็บข้อมูล
โดยใช้วิธีจับเวลาแบบ time - motion ของบุคลากรแต่ละรอบเวรตลอด 24 ชั่วโมง เป็นเวลา 16 วัน ศึกษาในหอผู้ป่วยที่มีลักษณะงานแตกต่างกันของหอผู้ป่วยในจำนวน 12 หอผู้ป่วย กลุ่มตัวอย่างเป็นพยาบาลวิชาชีพและพยาบาลเทคนิคจำนวน 160 คน โดยแยกปฏิบัติกิจกรรมที่ทุกหอผู้ป่วยปฏิบัติเหมือนกัน (common care) และกิจกรรมเฉพาะสาขา (special care) พยาบาลวิชาชีพและพยาบาลเทคนิค ผู้ปฏิบัติแต่ละกิจกรรมเป็นผู้จับเวลาและบันทึกกิจกรรมทันทีภายหลังปฏิบัติแต่ละกิจกรรมเสร็จ ผู้ศึกษาขึ้นสังเกตการณ์และการสัมภาษณ์ร่วมด้วย ผลการศึกษาพบว่าหอผู้ป่วยที่มีปริมาณงานมาก พยาบาลวิชาชีพใช้เวลาเฉลี่ยต่อผู้ป่วยหนึ่งราย เวรเช้า เท่ากับ 21 นาที เวรบ่าย 19 นาที เวรดึก 16 นาที พยาบาลเทคนิคใช้เวลาเฉลี่ย เวรเช้า 18 นาที เวรบ่าย 16 นาที เวรดึก 16 นาที ส่วนหอผู้ป่วยที่มีปริมาณงานปานกลาง ค่าเฉลี่ยปริมาณเวลาต่อผู้ป่วยหนึ่งรายต่อ 1 เวร พบว่าพยาบาลวิชาชีพใช้เวลาเฉลี่ยเวรเช้า เท่ากับ 18 นาที เวรบ่าย 13 นาที เวรดึก 12 นาที พยาบาลเทคนิคใช้เวลาเฉลี่ย เวรเช้า 15 นาที เวรบ่าย 11 นาที เวรดึก 11 นาทีและพบว่าอัตราส่วนภาระงานเวรเช้าร้อยละ 40 เวรบ่ายร้อยละ 32 และเวรดึกร้อยละ 28 จากผลการศึกษาดังกล่าวเพื่อให้การจัดสรรอัตรากำลังพยาบาลที่เหมาะสม โรงพยาบาลขอนแก่นต้องเพิ่มบุคลากรพยาบาลใน 12 หอผู้ป่วย รวมทั้งสิ้นจำนวน 50 คน โดยหอผู้ป่วยอายุรกรรมหญิงเพิ่มขึ้น 11 คน เด็กเล็ก และเด็กโต หอผู้ป่วยละ 10 คน อายุรกรรมชาย 2 9 คน ศัลยกรรมชาย 5 คน ศัลยกรรมอุบัติเหตุ 4 คน และนรีเวช เพิ่ม 1 คน และควรจัดอัตรากำลังในเวรเช้ามากที่สุด รองลงมา คือเวรบ่ายและเวรดึกตามลำดับ


การจัดอัตรากำลังบุคลากรพยาบาลโดยการวิเคราะห์ภาระงานหอผู้ป่วยใน ของโรงพยาบาลขอนแก่น


สุดาพร กุมพล, อรพิน นวพงศกร และสุพิพัฒน์ พระยาลอ. "การจัดอัตรากำลังบุคลากรพยาบาลโดยการวิเคราะห์ภาระงานหอผู้ป่วยใน ของโรงพยาบาลขอนแก่น", ขอนแก่นเวชสาร. ปีที่ 27 ฉบับที่ 3 : 211-222 ; กันยายน - ธันวาคม, 2546.


สุดาพร กุมพล, อรพิน นวพงศกร และสุพิพัฒน์ พระยาลอ (2546 : 211) ได้ศึกษา
ภาระงานการพยาบาลในหอผู้ป่วยของพยาบาลวิชาชีพและพยาบาลเทคนิค เพื่อใช้เป็นข้อมูลใน
การจัดสรรกำลังคนที่เหมาะสมและเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบงานการพยาบาล เก็บข้อมูล
โดยใช้วิธีจับเวลาแบบ time - motion ของบุคลากรแต่ละรอบเวรตลอด 24 ชั่วโมง เป็นเวลา 16 วัน ศึกษาในหอผู้ป่วยที่มีลักษณะงานแตกต่างกันของหอผู้ป่วยในจำนวน 12 หอผู้ป่วย กลุ่มตัวอย่างเป็นพยาบาลวิชาชีพและพยาบาลเทคนิคจำนวน 160 คน โดยแยกปฏิบัติกิจกรรมที่ทุกหอผู้ป่วยปฏิบัติเหมือนกัน (common care) และกิจกรรมเฉพาะสาขา (special care) พยาบาลวิชาชีพและพยาบาลเทคนิค ผู้ปฏิบัติแต่ละกิจกรรมเป็นผู้จับเวลาและบันทึกกิจกรรมทันทีภายหลังปฏิบัติแต่ละกิจกรรมเสร็จ ผู้ศึกษาขึ้นสังเกตการณ์และการสัมภาษณ์ร่วมด้วย ผลการศึกษาพบว่าหอผู้ป่วยที่มีปริมาณงานมาก พยาบาลวิชาชีพใช้เวลาเฉลี่ยต่อผู้ป่วยหนึ่งราย เวรเช้า เท่ากับ 21 นาที เวรบ่าย 19 นาที เวรดึก 16 นาที พยาบาลเทคนิคใช้เวลาเฉลี่ย เวรเช้า 18 นาที เวรบ่าย 16 นาที เวรดึก 16 นาที ส่วนหอผู้ป่วยที่มีปริมาณงานปานกลาง ค่าเฉลี่ยปริมาณเวลาต่อผู้ป่วยหนึ่งรายต่อ 1 เวร พบว่าพยาบาลวิชาชีพใช้เวลาเฉลี่ยเวรเช้า เท่ากับ 18 นาที เวรบ่าย 13 นาที เวรดึก 12 นาที พยาบาลเทคนิคใช้เวลาเฉลี่ย เวรเช้า 15 นาที เวรบ่าย 11 นาที เวรดึก 11 นาทีและพบว่าอัตราส่วนภาระงานเวรเช้าร้อยละ 40 เวรบ่ายร้อยละ 32 และเวรดึกร้อยละ 28 จากผลการศึกษาดังกล่าวเพื่อให้การจัดสรรอัตรากำลังพยาบาลที่เหมาะสม โรงพยาบาลขอนแก่นต้องเพิ่มบุคลากรพยาบาลใน 12 หอผู้ป่วย รวมทั้งสิ้นจำนวน 50 คน โดยหอผู้ป่วยอายุรกรรมหญิงเพิ่มขึ้น 11 คน เด็กเล็ก และเด็กโต หอผู้ป่วยละ 10 คน อายุรกรรมชาย 2 9 คน ศัลยกรรมชาย 5 คน ศัลยกรรมอุบัติเหตุ 4 คน และนรีเวช เพิ่ม 1 คน และควรจัดอัตรากำลังในเวรเช้ามากที่สุด รองลงมา คือเวรบ่ายและเวรดึกตามลำดับ


การพัฒนาแผนกิจกรรมการเรียนรู้ทักษะการเขียนภาษาอังกฤษโดยใช้กิจกรรมโครงงาน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6


ผู้ศึกษาค้นคว้า นางสาวจุฑาพร บุญวรรณ กศ.ม. หลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม พ.ศ.2548
อ.ที่ปรึกษา อ.สมพร จินากุล

บทคัดย่อ
ภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากลที่มีความสำคัญในทุกประเทศ ทุกคนจำเป็นต้องเรียนรู้เพื่อเป็นพื้นฐานในการติดต่อกับสังคมภายนอกให้เกิด ผลในระดับที่ผู้ใช้ต้องการ ปัจจุบันครูสอนภาษาอังกฤษรู้จักใช้เทคนิคกระบวนการเรียนการสอนภาษา รู้จักปัญหาและความต้องการของผู้เรียน การสอนเขียน คือ ทักษะในการใช้ภาษาเขียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ การศึกษาค้นคว้าครั้วนี้จึงมีความมุ่งหมายเพื่อพัฒนาแผนกิจกรรมการเรียนรู้ ทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ โดยใช้กิจกรรมโครงงาน ที่มีประสิทธิภาพ 70/70 และศึกษาดัชนีประสิทธิผลของแผนกิจกรรมทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ โดยใช้กิจกรรมโครงงาน กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนหนองโสนวิทยา ตำบลขอนแตก อำเภอสังขะ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุรินทร์ เขต 3 ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2546 จำนวน 30 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ ได้แก่ แผนพัฒนาทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ แบบทดสอบก่อนหลังเรียน (Pre-Post Test) และแบทดสอบย่อยที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา My Family และ Myself สถิติที่ใช้ในการหาประสิทธิภาพของแผน คือ E1 และ E2 ส่วนสถิติที่ใช้ในการหาดัชนีประสิทธิผลของแผน คือ EI
ผลการศึกษาค้นคว้าปรากฏ ดังนี้
1. แผนพัฒนาทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ โดยใช้กิจกรรมโครงงาน มีประสิทธิภาพเท่ากับ 75-79 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 70/70
2. แผนพัฒนาทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ โดยใช้กิจกรรมโครงงานมีค่าดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.72 ซึ่งแสดงว่าหลังจากนักเรียนเรียนด้วยแผนพัฒนาทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ มีความรู้เพิ่มขึ้นร้อยละ 72
โดยสรุป แผนพัฒนาทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ โดยใช้กิจกรรมโครงงาน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ทำให้นักเรียนมีทักษะเขียนที่ดีขึ้น สามารถนำไปใช้เพื่อพัฒนาทักษะเขียนในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศของ นักเรียนให้บรรลุวัตถุประสงค์ได้


การพัฒนาแผนกิจกรรมการเรียนรู้ทักษะการเขียนภาษาอังกฤษโดยใช้กิจกรรมโครงงาน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6


ผู้ศึกษาค้นคว้า นางสาวจุฑาพร บุญวรรณ กศ.ม. หลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม พ.ศ.2548
อ.ที่ปรึกษา อ.สมพร จินากุล

บทคัดย่อ
ภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากลที่มีความสำคัญในทุกประเทศ ทุกคนจำเป็นต้องเรียนรู้เพื่อเป็นพื้นฐานในการติดต่อกับสังคมภายนอกให้เกิด ผลในระดับที่ผู้ใช้ต้องการ ปัจจุบันครูสอนภาษาอังกฤษรู้จักใช้เทคนิคกระบวนการเรียนการสอนภาษา รู้จักปัญหาและความต้องการของผู้เรียน การสอนเขียน คือ ทักษะในการใช้ภาษาเขียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ การศึกษาค้นคว้าครั้วนี้จึงมีความมุ่งหมายเพื่อพัฒนาแผนกิจกรรมการเรียนรู้ ทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ โดยใช้กิจกรรมโครงงาน ที่มีประสิทธิภาพ 70/70 และศึกษาดัชนีประสิทธิผลของแผนกิจกรรมทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ โดยใช้กิจกรรมโครงงาน กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนหนองโสนวิทยา ตำบลขอนแตก อำเภอสังขะ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุรินทร์ เขต 3 ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2546 จำนวน 30 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ ได้แก่ แผนพัฒนาทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ แบบทดสอบก่อนหลังเรียน (Pre-Post Test) และแบทดสอบย่อยที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา My Family และ Myself สถิติที่ใช้ในการหาประสิทธิภาพของแผน คือ E1 และ E2 ส่วนสถิติที่ใช้ในการหาดัชนีประสิทธิผลของแผน คือ EI
ผลการศึกษาค้นคว้าปรากฏ ดังนี้
1. แผนพัฒนาทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ โดยใช้กิจกรรมโครงงาน มีประสิทธิภาพเท่ากับ 75-79 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 70/70
2. แผนพัฒนาทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ โดยใช้กิจกรรมโครงงานมีค่าดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.72 ซึ่งแสดงว่าหลังจากนักเรียนเรียนด้วยแผนพัฒนาทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ มีความรู้เพิ่มขึ้นร้อยละ 72
โดยสรุป แผนพัฒนาทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ โดยใช้กิจกรรมโครงงาน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ทำให้นักเรียนมีทักษะเขียนที่ดีขึ้น สามารถนำไปใช้เพื่อพัฒนาทักษะเขียนในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศของ นักเรียนให้บรรลุวัตถุประสงค์ได้


การพัฒนาบุคลากรในการจัดการเรียนรู้ด้วยระบบทางไกลผ่านดาวเทียม ในโรงเรียนบ้านดอนงัว อำเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี


ผู้ศึกษาค้นคว้า นายสมบัติ เอื้อทาน กศ.ม. การบริการการศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม พ.ศ.2548
อ.ที่ปรึกษา ดร.วิสุทธิ์ ราตรี

บทคัดย่อ
โรงเรียนบ้านดอนงัวเป็นโรงเรียนหนึ่งที่จัดการศึกษาภาคบังคับ 9 ปี จัดการศึกษาตั้งแต่ระดับก่อนประถมศึกษา ถึงระดับมัธยมศึกษาตอนต้น มี 12 ห้องเรียน อัตรากำลังครู 14 คน ด้วยความขาดแคลนอัตรากำลังครูโรงเรียนจึงได้รับจัดสรรสื่ออุปกรณ์รับสัญญาณ ดาวเทียม เพื่อมาใช้จัดกิจกรรมการเรียนการสอน แต่สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งใหม่ ครูไม่มีประสบการณ์ ไม่มีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องนี้มาก่อนจึงนำมาใช้จัดกิจกรรมการเรียนการสอนไม่ดีเท่า ที่ควร โรงเรียนจึงต้องการทีจะพัฒนาบุคลากรเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมกรเรียนการสอน ด้วยระบบทางไกลผ่านดาวเทียม โดยมีความมุ่งหมายที่จะพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ ความเข้าใจ สามารถนำไปปฏิบัติจัดกิจกรรมการเรียนการสอนด้วยระบบทางไกลผ่านดาวเทียมใน ห้องเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนดังกล่าวมี 5 ขั้นตอน คือ ขั้นเตรียมการ ขั้นดำเนินการ ขันหลังจากศึกษาบทเรียนทางโทรทัศน์ ขั้นสรุปผลการเรียนรู้ และขั้นวัดผลประเมินผล การพัฒนาบุคลากรดังกล่าวใช้กลยุทธ์การพัฒนา 2 กลยุทธ์ คือ การประชุมเชิงปฏิบัติการ การนิเทศภายใน วิธีดำเนินการศึกษาค้นคว้าใช้หลักการวิจัยปฏิบัติการที่ประกอบด้วย การวางแผน (Planning) การปฏิบัติ (Action) การสังเกต (Observation) และการสะท้อนผล (Refection) โดยดำเนินการเป็น 2 วงรอบ มีกลุ่มผู้ศึกษาค้นคว้า 6 คน ประกอบด้วยผู้ศึกษาค้นคว้า ผู้ร่วมศึกษาค้นคว้า เป็นครูผู้สอนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นจำนวน 5 คน กลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 จำนวน 103 คน กลุ่มผู้ให้ข้อมูลประกอบด้วยวิทยาการจำนวน 3 คน ข้าราชการครูภายในโรงเรียนบ้านดอนงัว 2 คน ข้าราชการครูโรงเรียนปทุมวิทยากร จำนวน 2 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสังเกต แบบสัมภาษณ์ แบบรายงานผลการศึกษาดูงาน แบบบันทึกการประชุม และแบบบันทึกการนิเทศ ภายในกรวิเคราะห์ข้อมูลใช้วิธีการศึกษาข้อมูลที่รวบรวมได้หลายๆรอบ เพื่อหาความสัมพันธ์เชื่อมโยงของข้อมูลและแนวโน้มเพื่อนำไปสู่การวิเคราะห์ และแปรความหมาย แบ่งออกเป็น 3 ตอน คือ การวิเคราะห์ผลการพัฒนา ว่าหลังจากได้รับการพัฒนาแล้ว การวิเคราะห์ข้อมูลการพัฒนา ผู้ศึกษาค้นคว้าสามารถนำความรู้ไปปฏิบัติในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้ อย่างมีคุณภาพ การวิเคราะห์การพัฒนาตาระเบียบของทางราชการหรือการตอบสนองนโยบายของทาง ราชการ ที่เก่ยวข้องที่เป็นไปตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติอย่างถูกต้องและ สมบูรณ์
ผลการศึกษาค้นคว้า พบว่า ผู้ร่วมศึกษาค้นคว้าจากที่ไม่เคยมีประสบการณ์ ไม่มีความรู้ในเรื่องการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนด้วยระบบทางไกลผ่านดาว เทียมมาก่อนจึงไม่สามรถจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลังจากได้รับการพัฒนาโดยใช้กลยุทธ์การประชุมเชิงปฏิบัติการซึ่งประกอบด้วย กิจกรรมการพัฒนา คือ กิจกรรมการประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับวิทยากรที่มีความรู้ทำให้ผู้ร่วม ศึกษามีความรู้ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น กิจกรรมศึกษาดูงาน ทำให้ผู้ร่วมศึกษาค้นคว้าได้เห็นสภาพจริงของการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนทำ ให้มีความมั่นใจยิ่งขึ้นในการนำความรู้ที่ได้ ไปสู่การปฏิบัติจริงในห้องเรียน กลยุทธ์การนิเทศภายใน ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมการพัฒนา คือ กิจกรรมการสังเกตการสอน ทำให้ผ็ร่วมศึกษาค้นคว้าได้สังเกตการสอนและได้เห็นการสอนที่แท้จริงในการ จัดการเรียนการสอนด้วยระบบทางไกลผ่านดาวเทียม กิจกรรมการเยี่ยมห้องเรียน ทำให้ผู้ร่วมศึกษาค้นคว้าได้เยี่ยมชมการสอนของเพื่อนครูในชั้นเรียน โดยมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันในการจัดการเรียนการสอน กิจกรรมการให้คำปรึกษาหารือ ทำให้ผู้ศึกษาค้นคว้าได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและการแนะนำซึ่งกันและกันใน การจัดการเรียนการสอน ทำให้ครูผู้สอนมีความรู้ ความเข้าใจในกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนด้วยระบบทางไกลผ่านดาวเทียม และนำไปสู่การปฏิบัติในห้องเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นับว่าบรรลุวัตถุประสงค์ของการพัฒนา
โดยสรุป การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ ทำให้ครูผู้สอนได้รับการพัฒนา ทำให้โรงเรียนบ้านดอนงัว สามารถจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้ตามปกติ ถึงแม้ว่าโรงเรียนจะอยู่ในสภาวะขาดแคลนบุคลากร และวิธีการดังกล่าวยังสามารถนำไปใช้แก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรในโรงเรียน ขนาดเล็ก โรงเรียนในถิ่นทุรกันดาร ห่างไกล เป็นการสร้างโอกาส สร้างความเสมอภาคทางการศึกษาให้กับทุกคนในการเรียนรู้ด้วยระบบทางไกลผ่านดาว เทียมได้เป็นอย่างดี




การเปรียบเทียบผลการสอนตามรูปแบบวัฎจักรการเรียนรู้กับรูปแบบการสอนของ สสวท. ที่มีต่อทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และความคิดเชิงวิพากษ์วิจารณ์ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2


ผู้ศึกษาค้นคว้า นางสาวนุชจรี ศรีสวัสดิ์ กศ.ม. วิทยาศาสตร์ศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม พ.ศ. 2548
อ.ที่ปรึกษา รศ.ดร.ไพฑูรย์ สุขศรีงาม

บทคัดย่อ
วิทยาศาสตร์มีบทบาทที่สำคัญยิ่งในสังคมโลกปัจจุบันและอนาคต ซึ่งทำให้มนุษย์ได้พัฒนาความคิดเชิงเหตุผลและทักษะในการดำรงชีวิตของมนุษย์ ในการพัฒนาประเทศชาตินั้นจะต้องพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีความรู้ ความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์ ในการคิดตัดสินใจและรับเลือกการดำรงชีวิตที่เหมาะสมทันกับสภาพความเปลี่ยน แปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ดังนั้น ทุกประเทศจึงจัดให้มีการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนถึง ระดับอุดมศึกษา เพื่อให้ประชาชนมีความแตกฉานทางด้านวิทยาศาสตร์ การจัดการเรียนการสอนจึงเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยใช้เทคนิคการสอนที่หลากหลาย เพื่อให้นักเรียนเป็นผู้ที่มีคุณลักษณะเป็นคนเก่ง คนดี และมีสุขได้ การศึกษาครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบผลการเรียนรู้การ สอนแบบวัฎจักร การเรียนรู้และการสอนแบบ สสวท. ที่มีต่อทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และความคิดเชิงวิพากษ์วิจารณ์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จังหวัดยโสธร ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม โดยใช้การจับฉลาก เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบทดสอบวัดทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ จำนวน 8 ด้าน 40 ข้อ และความคิดเชิงวิพากษ์วิจารณ์ จำนวน 5 ด้าน จำนวน 60 ข้อ สถิติที่ใช้วิเคราะห์ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ และการทดสอบสมมติฐานใช้ t-test และวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบสองทาง (Two-way ANOVA) และวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบพหุคูณสองทาง (Two- way MANOVA)

ผลการศึกษาค้นคว้าปรากฏ ดังนี้

1. นักเรียนโดยส่วนรวมและจำแนกตามเพศ มีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน หลังเรียน โดยรวมและเป็นรายด้าน 6 ด้าน คือ ด้านการสังเกต ด้านการจัดประเภทสิ่งของ ด้านการวัด ด้านการใช้เลขจำนวนและการคำนวณ ด้านความสัมพันธ์ระหว่างมิติกับเวลา และด้านการจัดกระทำข้อมูลและสื่อความหมาย เพิ่มขึ้นจากก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และมีความคิดเชิงวิพากษ์วิจารณ์ หลังเรียนโดยรวมและเป็นรายด้าน 5 ด้าน คือ ด้านการยอมรับข้อตกลงเบื้องต้น ด้านการตีความ ด้านการสรุปความ และด้านการประเมินข้อโต้แย้ง เพิ่มขึ้นจากก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05

2. นักเรียนที่เรียนโดยใช้รูปแบบการสอนของวัฏจักรการเรียนรู้ มีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ขั้นพื้นฐาน โดยรวมและเป็นรายด้าน 5 ด้าน คือ ด้านการสังเกต ด้านการจัดประเภทสิ่งของ ด้านการใช้เลขจำนวนและการคำนวณ ด้านความสัมพันธ์ระหว่างมิติกับเวลา และด้านการจัดกระทำข้อมูลและสื่อความหมาย และมีความคิดเชิงวิพากวิจารณ์ โดยรวมและเป็นรายด้านทั้ง 5 ด้าน คือ ด้านการยอมรับข้อตกลงเบื้องต้น ด้านการตีความ ด้านการนิรมัย ด้านกาารสรุปความและด้านการประเมินข้อโต้แย้ง มากกว่านักเรียนที่เรียนโดยใช้รูปแบบการสอนของ สสวท. อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05

3. นักเรียนชายและนักเรียนหญิง มีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ขั้นพื้นฐาน และความคิดเชิงวิพากษ์วิจารณ์ โดยรวมและเป็นรายด้าน ไม่แตกต่างกัน

4. ไม่มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างเพศและรูปแบบการสอนที่มีต่อทักษะกระบวนการทางวิทยา ศาสตร์ ขั้นพื้นฐานและความคิดเชิงวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งโดยรวมและเป็นรายด้าน
โดยสรุป นักเรียนที่เรียนโดยใช้รูปแบบการสอนของวัฏจักรการเรียนรู้ มีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นและความคิดเชิงวิพากษ์วิจารณ์ โดยรวมและเป็นรายด้านมากกว่า นักเรียนที่เรียนโดยใช้รูปแบบการสอนของ สสวท. ครูวิทยาศาสตร์ สามารถนำไปจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้น พื้นฐานและความคิดเชิงวิพากษ์วิจารณ์ ของนักเรียนในระดับชั้นต่างๆให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น


วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2549

สกัดน้ำขิงช่วยเร่งราก-ใบ ทดแทนฮอร์โมนนำเข้าราคาแพง

ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกนี้ ไทยถือเป็นประเทศ ที่มีความหลากหลาย ของพืชสมุนไพร ไม่แพ้ประเทศอื่นเลย ทว่าการนำมาใช้ประโยชน์นั้น ยังน้อยนิดเหลือเกิน ทั้งที่ความจริงแล้วพืช หรือสมุนไพรชนิดหนึ่งๆ นั้นสามารถนำไปใช้ประโยชน์ ได้มากกว่าการนำมาบริโภค หรือกินเพียงอย่างเดียว

อย่าง เช่น ขิง ที่ผู้คนส่วนใหญ่คุ้นกับการใช้เป็นเครื่องเทศแต่งกลิ่นอาหาร เพิ่มรสชาติ หรือดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ ฯลฯ ขณะที่ประเทศแถบตะวันตกนำขิงไปทำเบียร์ (Ginger beer) เนื่องจากขิงมีฤทธิ์ร้อน ช่วยขับเหงื่อ ขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยเจริญอาหาร และทำให้ร่างกายอบอุ่น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ดูเหมือนเป็นเรื่องที่ทุกคนทราบกันดีอยู่แล้ว...

แ ต่สำหรับข้อมูลที่ คุณมณีรัตน์ ปัญญพงษ์ ประชาสัมพันธ์ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล ส่งมาให้ขอบอกว่าเป็นความรู้ใหม่ ที่ทำให้อีกหลายคนได้ทราบว่า จากนี้ไป ขิง จะไม่ได้เป็นเพียงแค่สมุนไพร เครื่องเทศที่ใช้ในการประกอบอาหาร ในครัวเท่านั้น หลังจากที่ นายกนก อุไรสกุล อาจารย์คณะวิชาพืชศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตพระนครศรีอยุธยา หันตรา ได้ศึกษาวิจัยและค้นพบว่า ขิงสามารถนำไปช่วยกระตุ้น ให้พืชสร้างรากใหม่ได้เป็นอย่างดี

เ กี่ยวกับเรื่องนี้ อาจารย์กนก เล่าความเป็นมาให้ ฟังว่า ปกติพืชแต่ละชนิดจะมีสารกลุ่มเทอปีน (Terphene) เป็นกลุ่มฮอร์โมนที่มีคุณสมบัติช่วยในการเจริญเติบโต สร้างเซลล์ แตกราก แตกใบใหม่อยู่แล้ว ซึ่งได้ทดลองสกัดฮอร์โมนจากพืชหลายชนิด ทั้งพริก แมงลักคา (กะเพราผี) สะเดา ตะไคร้หอม สาบเสือ หนาด ขิง ฯลฯ นำมาเปรียบเทียบกัน ปรากฏว่าน้ำสกัดจากขิงช่วยให้รากของกิ่งไม้ที่ใช้ในการทดลองออกรากเร็ว และปริมาณมากกว่าน้ำสกัดจากพืชชนิดอื่น

ในการท ดลองนักวิจัยได้ใช้สารสกัดจากขิงเปรียบเทียบกับฮอร์โมนเร่งราก ที่มีขายอยู่ทั่วไปในท้องตลาดชนิดหนึ่ง โดยใช้กิ่งโกศลจุ่มสารสกัดขิงและฮอร์โมนที่ซื้อมา จากนั้นนำไปแช่ในขวดเพื่อดูการเปลี่ยนแปลง ปรากฏว่ากิ่งโกศลทั้งสองออกรากจำนวนมากทั้งสองกิ่ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่มีความแตกต่างระหว่างน้ำสกัดขิงกับฮอร์โมนที่ซื้อมา นอกจากนี้ ยังได้นำไปทดลองฉีดพ่นรากของพืชเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ซึ่งมักพบว่าพืชเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเหล่านี้เวลานำออกจากขวดแล้วจะไม่ค่อยโ ต แต่ เมื่อลองใช้น้ำสกัดขิงฉีดพ่นไปที่รากพืชเหล่านี้ พบว่าโตเร็วขึ้น 1-2 เท่าตัว แถมใบยังเขียวขึ้นด้วย

การทำก็เพียงแ ค่สกัดเอาส่วนที่เป็นน้ำใสๆจากขิงสด (ขิงแก่) ผสมกับน้ำในอัตราส่วน 5 ซีซี ต่อน้ำ 1 ลิตร นำกิ่งพันธุ์จุ่มก่อนที่จะนำไปปักชำ หรือฉีดพ่นก็ได้ จะทำให้ อัตราการงอกของราก และการแตกใบอ่อนของพืชรวดเร็ว ไม่แพ้สารเคมีราคาแพงเลย ที่สำคัญ ขิงเป็นพืชที่เรารู้จักกันดี หาได้ง่ายในท้องถิ่น เกษตรกรสามารถทำไว้ใช้ในไร่สวนของตัวเองได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาสารเคมี

เกษตรกรที่มีความสนใจเ กี่ยวกับโลกของขิง ที่มีคุณค่ามากกว่าการนำมาประกอบอาหาร สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร.0-1586-1573 หรือที่กองประชาสัมพันธ์ราชมงคล โทร.0-2282-9340-41

ผลิตยางแผ่นคุณภาพดีประหยัดด้วยพลังงานแสงอาทิตย์

เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา กรมวิชาการเกษตร นำสื่อมวลชนสำนักต่างๆ หลายสิบชีวิตบินลัดฟ้าล่องใต้ สูดกลิ่นอายธรรมชาติ สัมผัสบรรยากาศ ในสวนยางพารา ที่ ศูนย์บริการวิชาการด้านพืช และปัจจัยการผลิตภูเก็ต หรือที่แต่ก่อนเรามักจะคุ้นหูกัน ในนาม สถานีทดลองยางภูเก็ต

นายไพโรจน์ สุวรรณจินดา เลขานุการกรมฯ บอกว่า ศูนย์ฯภูเก็ตเป็นอีกแห่งหนึ่ง ที่อยู่ในโครงการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ด้านการเกษตรในพื้นที่ ภาคใต้ ซึ่งถือว่าเป็นอีกมิติหนึ่งที่ทำให้นักท่องเที่ยวมีโอกาสและทางเลือกมากขึ้น ทั้งในด้านการอนุรักษ์ รวมไปถึงการท่องเที่ยวเชิงเกษตรสุขภาพ โดยพื้นที่ของศูนย์ส่วนใหญ่จะเป็นแปลงปลูกยาง พาราและพืชชนิดต่างๆ

ดังนั้น กิจกรรมหลัก จะเน้นด้านการเกษตร โดยเฉพาะในเรื่องของยาง พาราควบคู่ไปกับ การศึกษาพันธุ์ไม้ท้องถิ่นร่วม 200 ชนิด ที่ปลูกแซมในสวนยางรวมถึง การปลูกผักพื้นบ้าน ไม้ดอกบางชนิด ที่สามารถทนสภาพร่มเงาได้ และกิจกรรมที่นักท่องเที่ยว โดยเฉพาะชาวต่างชาติ ให้ความสนใจมาก ก็คือ การเปิดโอกาสให้ ทดลองกรีดยาง

และ...จุดหนึ่งที่นับว่ามีประโยชน์มากๆ ในช่วงเวลาที่รัฐประกาศขยายพื้นที่ปลูกยางพาราขณะนี้ก็คือ การสาธิตการทำยางแผ่นชั้นดี ซึ่งไม่ใช้ระบบการรมควัน แต่จะใช้วิธีการอบยางด้วย พลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งเป็นโรงงานต้นแบบที่คิดค้นโดยนายชิต ทัศนกุล ข้าราชการเกษียณ ของสถาบันวิจัยยาง

...สำหรับโรงงานต้นแบบอเนกประสงค์ บริเวณชั้นล่าง จะใช้พื้นสำหรับทำยางแผ่น ชั้นบนใต้หลังคาสังกะสีซึ่งเป็นห้อง สำหรับอบยางให้สุก ซึ่งมีทั้งหมด 6 ห้อง อบยางได้ห้องละ 218 แผ่น โดยหลังคาด้านนอกทาสีดำ เพื่อดูดความร้อนจากแสงอาทิตย์ บริเวณชายคามีหลังคา 2 ชั้น เพื่อเป็นช่องระบายไอน้ำออก...

ในส่วนขั้นตอนการผลิต นายปิเชน บุญสอน พนักงานเกษตรของศูนย์ฯ อธิบายว่า เริ่มแรกกรองเศษขยะออก จากนั้นจะผสมน้ำยางเพื่อทำยางแผ่น อัตราส่วน น้ำยาง 3/น้ำ 2 ส่วน ใส่น้ำกรดฟลอมิค อัตราส่วน 300 ซีซี/น้ำยาง 5 ลิตร กวนให้เข้ากัน ตักฟองออก ทิ้งไว้ 15-20 นาที ยางจะเริ่มจับตัวเป็นวุ้น เทลงบนพื้น นวดด้วยเหล็กให้สม่ำเสมอ โดยสัดส่วนดังกล่าวจะได้ยาง 1 แผ่น

นำเข้าเครื่องรีดเรียบ 2 ครั้ง และเข้ารีดดอก 1 ครั้ง เพื่อให้น้ำระเหยออกให้มากที่สุด และความหนาของแผ่นยาง จะต้องอยู่ที่ขนาด 2.5-3 มิล ซึ่งเป็นขนาดมาตรฐาน น้ำหนัก 1-1.2 กก./แผ่น จากนั้นนำไปแขวนไม้ ผึ่งลมทิ้งไว้ 1 วัน จึงลำเลียงขึ้นแขวนราว และดึงขึ้นอบในห้องชั้นบนใต้หลังคา หากแดดดีจะปล่อยทิ้งไว้ 3-4 วัน

การอบยางดังกล่าวจะได้ยางแผ่นชั้นดี ซึ่งราคารับซื้อจะสูงกว่ายางรมควันธรรมดา แถมยังไม่ ต้องเสียเวลานั่งเฝ้าและเสี่ยงต่อไฟไหม้ หลีกเลี่ยงความจนด้วยการประหยัดต้นทุน และขายให้ได้ราคาดีก็มีกำไร ต้นทุนต่ำขายราคาสูงมันก็ไม่จน ชาวสวนยางมือใหม่ที่สนใจอยาก ทำได้ ไม่จน ไปดูและสอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร.0-7631-1997, 0-7631-1049.

เพ็ญพิชญา เตียว

ปุ๋ยอินทรีย์อัดเม็ดเกษตรรวมพลังปูพื้นฐาน ผลิตข้าวคุณภาพชั้นเยี่ยม

การทำเกษตรในยุคปัจจุบัน ความสมดุลของสภาพแวดล้อม นับเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งที่ผ่านมา หลายหน่วยงานต่างรณรงค์ ให้ภาคเกษตรลดการใช้สารเคมี พร้อมกับหันมาส่งเสริม ให้ใช้น้ำหมักชีวภาพ และปุ๋ยอินทรีย์

จังหวัดสุรินทร์นอกจากเป็นพื้นที่นำร่อง ด้านการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แล้ว ชาวบ้านถิ่นนี้ยังมีการรวมกลุ่ม เพื่อผลิต ปุ๋ยอินทรีย์อัดเม็ดตราเกษตรรวมพลัง ไว้ใช้ใส่ในแปลงนาข้าว

นายเลื่อน บุญสด เกษตรกรบ้านบ่อแกะ ต.นาหนองไผ่ อ.ชุมพลบุรี จ.สุรินทร์ เล่าถึงที่มาของการทำปุ๋ยอินทรีย์ ใช้เองว่า ตั้งแต่เกิดมาก็อยู่ แต่ท้องทุ่งนา วัว ควาย ซึ่งสมัยก่อนทำนาข้าวไม่ต้องลงทุนสูง แต่เมื่อเทคโนโลยีเริ่มเข้ามาในหมู่บ้าน อะไรหลายอย่างเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือ สารบำรุงดินที่ต้องยอมรับว่า เรื่องระยะเวลากินขาดทันใจ

แต่! นานวันเริ่มสังเกตเห็นว่า ต้นทุนเริ่มสูงขึ้นทุกปี ดินที่ใส่ปุ๋ยเคมีเริ่มเสื่อมสภาพ ใส่น้อยไม่ได้ต้องเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อย ไม่มีทางแก้ไขหรือปรับสภาพดินได้ จึงมองวิธีการทำนาแบบสมัยเก่าปู่ย่า ที่หามูลวัวควาย ใส่ไร่นาไถกลบตอซัง ปรับปรุงบำรุงดิน

..การจะทำให้ข้าวมีคุณภาพนั้น นอกจากพันธุ์ข้าวดีแล้ว ดินต้องดีด้วย ซึ่งอินทรียวัตถุในดินก็คือปัจจัยสำคัญ และการหันมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ต้องยอมรับความจริงก่อนว่า ใช้ปุ๋ยเคมีได้ข้าวมากแต่ต้น ทุนจะสูง ส่วนใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ผลผลิตได้น้อยก็จริง แต่ไม่ต้องลงทุนมาก เมื่อนานวันกำไรก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ...

จึงคิดว่าอยากทำปุ๋ยประกอบกับ ทางบริษัทซี.พี.เขาส่งเจ้าหน้าที่มาอบรมเรื่อง การทำ น้ำหมักจุลินทรีย์ และส่งเสริมการ ทำสารชีวภาพ เพื่อใช้ปราบศัตรูพืช ดังนั้น จึงรวมกลุ่มกับเพื่อนบ้านเข้าอบรม และเริ่มทำปุ๋ยอินทรีย์ซึ่งจะใช้มูลสัตว์ เป็นหลัก โดยเริ่มแรกต้องทำน้ำหมักซึ่งจะใช้หอยเชอรี่30 กก. มาบดและคลุกกับกากน้ำตาล 10 กก. หมักทิ้งไว้ 3 เดือน จึงจะใช้น้ำหมักได้ ส่วนซากหอยที่เหลือสามารถนำไปต่อยอดได้อีก โดยใส่กากน้ำตาลหมักทิ้งอีกรอบ

สำหรับกรรมวิธีการทำ จะใช้น้ำหอยเชอรี่ประมาณ 5 ลิตร แกลบดำที่เผา 2 ส่วน มูลสัตว์ 7 ส่วน คลุกให้เข้ากัน หมัก 48 ชม. และจึงนำมาเข้าเครื่องฉีดน้ำหมัก โดยขณะที่เดินเครื่อง ให้ตักน้ำหอยเชอรี่หล่อ และใช้แรงงานคอยเกลี่ย เพื่อให้จับตัวเป็นเม็ด นำไปผึ่งลมให้แห้งทิ้งไว้ 3 วัน ซึ่งในแต่ละวันจะต้องมากวน ข้อสำคัญห้ามนำไปตากแดด เพราะจะทำให้จุลินทรีย์ตาย นอกจากนี้ ทางกลุ่มยังผลิตปุ๋ยผง เพื่อใช้สำหรับหว่านรองพื้นก่อนไถกลบ

ก่อนแยกจากกันลุงเลื่อน วีรบุรุษแห่งท้องทุ่งบ้านบ่อแกะ ยังฝากบอกว่า อยากให้ชาวนาปรับเปลี่ยนวิถีทางการผลิต ด้วยการทำนาอินทรีย์ เพราะจะทำให้ดินดี ข้าวที่ได้จะมีน้ำหนัก ราคาขายสูงและเรายังสามารถแข่งขันกับตลาดโลกได้อีกด้วย.

เพ็ญพิชญา เตียว

อิทธิพลของการเปลี่ยนแปลงทางระบบนิเวศต่อประชากรไรโซเบียมในดิน

จากการศึกษาจำนวนประชากรไรโซเบียมในบริเวณพื้นที่เขา พื้นที่เพาะปลูก และพื้นที่รกร้างว่างเปล่าจาก 3 ภาค คือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ โดยวิธี MPN Plant infection technique พ บ ว่า ภาคกลางมีปริมาณประชากรไรโซเบียมสูงในบริเวณเชิงเขา พื้นที่ปลุกพืชไร่ พืชหมุนเวียน และพื้นที่รกร้างว่างเปล่า ในบริเวณพื้นที่ยอดเขา และพื้นที่นาพบปริมาณไรโซเบียมในปริมาณต่ำ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีปริมาณไรโซเบียมในดินโดยทั่วไปค่อนข้างต่ำ และไม่มีความแตกต่างกันในจำนวนประชากรทั้งในพื้นที่ราบและพื้นที่ภูเขา ภาคเหนือพบว่าปริมาณประชากรไรโซเบียมสูงกว่าบริเวณเชิงเขา พื้นที่ที่ใช้ทำการปลูกพืชหมุนเวียน และพื้นที่รกร้างว่างเปล่า ในบริเวณพื้นที่ยอดเขาสูงและบริเวณที่ปลูกข้าวจะพบไรโซเบียมในปริมาณต่ำ จากการวิเคราะห์ตัวอย่างดินทั้ง 3 ภาค พบไรโซเบียมในดินทุกตัวอย่างแตกต่างกันตามสภาพแวดล้อมในบริเวณนั้นๆ ผลการศึกษาครั้งนี้เแสดงให้เห็นว่า ไรโซเบียมมีอยู่ทั่วไปในดิน เมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปจะส่งผลต่อปริมาณไรโซเบียมด้วย

คณะผู้วิจัย พิกุล หรรษานิมิตกุล, ชวลิต ฮงประยูร, นันทกร บุญเกิด และปราโมทย์ ศิริโรจน์

การศึกษาเพื่อเปรียบเทียบการเลือกกินอาหารของนกเงือก 3 ชนิด ในช่วงฤดูผสมพันธุ์ ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี

การศึกษาเพื่อเปรียบเทียบการเลือกกินอาหารของนกเงือก 3 ช นิด คือ นกกก นกเงือกสีน้ำตาล และนกเงือกคอแดง ในช่วงฤดูผสมพันธุ์ บริเวณเขาเขียว ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี ช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายน พ.. 2541 ถึงเดือนตุลาคม พ..2542 มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความหลากหลายของชนิดอาหาร และเปรียบเทียบการเลือกกินอาหารระหว่างนกเงือกทั้ง 3 ช นิด ตลอดจนศึกษาชีพลักษณ์ของผลไม้ที่เป็นพืชอาหารของนกเงือกดังกล่าว วิธีการศึกษาครั้งนี้ดำเนินการโดยเฝ้าสังเกตการกินอาหารของนกเงือกที่รังใน ซุ้มบังไพรตลอดช่วงฤดูผสมพันธุ์ด้วยกล้องส่องทางไกลในทุกรอบ 4 ว ัน บันทึกชนิด ลักษณะ และจำนวนอาหารที่ตัวผู้นำมาป้อนที่รัง เก็บตัวอย่างแต่ละชนิด นำมาวัดขนาด ชั่งน้ำหนัก บันทึกสี และวัดปริมาณน้ำตาล เพื่อศึกษาปริมาณการกินอาหาร และหาความสัมพันธ์ระหว่างการเลือกกินกับลักษณะของอาหารแต่ละชนิด รวมทั้งศึกษาช่วงเวลาออกดอกออกผลของต้นพืชอาหารภายในพื้นที่ศึกษาเป็นระยะ ทาง 3 กิโลเมตรในทุกรอบสัปดาห์ เพื่อนำมาหาความสัมพันธ์กับการเลือกกินผลไม้ของนกเงือกทั้ง 3 ช นิด การศึกษาวิจัยนี้สามารถนำไปใช้ในการจัดการ และอนุรักษ์แหล่งอาหาร ตลอดจนชนิดอาหารของนกเงือกได้อย่างเหมาะสม อันเป็นพื้นฐานสำคัญในการอนุรักษ์นกเงือกให้สามารถดำรงชีวิตในป่าธรรมชาติ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

คณะผู้วิจัย กนิษฐา อุ่ยถาวร, วิจักขณ์ ฉิมโฉม, นริศ ภูมิภาคพันธ์ และ วีรยุทธ์ เลาะจินดา




+ + + + + + + + + + + + + + + +
คนจุดตะเกียง : กลุ่มคนอยากเขียนในสิ่งที่อยากถ่ายทอดโดยไร้ขีดจำกัด
ทุกเรื่องที่อยากสื่อสารจากใจ

เชิญร่วมโหวต ศิลปินลูกทุ่งหญิงไทยในดวงใจของคุณ
http://onknow.blogspot.com/2007/05/blog-post_241.html

ผลของความชื้นต่ออัตราการฟักและผลของชนิดอาหารต่ออัตราการเติบโตของลูกตะพาบน้ำ AMYDA CATILAGINEA

การศึกษาเปรียบเทียบผลของความชื้นต่ออัตราการฟักไข่ตะพาบน้ำ Amyda cartilaginea ในกล่องพลาสติกที่มีฝาปิด และในวัสดุฟักที่มีความชื้นแตกต่างกัน 7 ระดับ (5-50%) พบว่า การฟักไข่ตะพาบน้ำในวัสดุที่มีความชื้น 30% ให้อัตราการฟักสูงสุดเท่ากับ 35.15% โดยใช้เวลาเฉลี่ยในการฟักไข่ไม่แตกต่างกันในแต่ละระดับความชื้น ซึ่งอยู่ในช่วงเวลา 74 –95 วัน เ มื่อศึกษาเปรียบเทียบอุณหภูมิภายนอกกล่องฟักและภายในกล่องฟักทุกระดับความชื ้น พบว่าไม่มีความแตกต่างกัน แต่อุณหภูมิภายนอกกล่องฟักแตกต่างจากอุณหภูมิของวัสดุฟักในทุกระดับความชื้น (P <> เมื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคว ามยาว ความกว้าง ความสูง และน้ำหนักของแม่ตะพาบน้ำ พบว่า มีความสัมพันธ์กัน แต่ลักษณะต่างๆข้างต้น ไม่มีความสมพันธ์กับจำนวนไข่ ขนาดไข่ และน้ำหนักไข่ แต่น้ำหนักของไข่ตะพาบน้ำมีความสัมพันธ์กับน้ำหนักลูกตะพาบน้ำ (r=0.65, p <>จากการศึกษาการเปลี่ยนแปลงของไข่ที่สังเกตได้จากภายนอก พบว่า ไข่ที่มีการพัฒนาของตัวอ่อนจะเกิดจุดกลมขาวของไข่ด้านบนของไข่ภายใน 48 ชั่วโมงหลังการวางไข่ การศึกษาผลของชนิดอาหารต่ออัตราการเติบโตของลูกตะพาบน้ำในช่วงเวลา 13 ส ัปดาห์ พบว่า การเติบโตของลูกตะพาบน้ำทั้งความกว้าง ความยาว และน้ำหนัก เมื่ออนุบาลด้วยอาหารตะพาบและอาหารปลากินเนื้อ ไม่มีความแตกต่างกันในแต่ละสัปดาห์ เมื่อเปรียบเทียบการกินอาหารในเวลา 8.00 . และ 16.00 . พบว่า ตะพาบน้ำมีการกินอาหารเวลา 8.00 . มากกว่าเวลา 16.00 . โดยกินอาหารทั้งสองชนิดในปริมาณรวมที่ไม่แตกต่างกันในแต่ละสัปดาห์ แต่ตะพาบน้ำที่อนุบาลด้วยอาหารตะพาบจะมีอัตราการแลกเนื้อ (Fc. Ratio) ต่ำกว่า และอัตราการรอดภายหลัง 13 สัปดาห์เท่ากับ 100% ทั้งสองการทดลอง

คณะผู้วิจัย วชิระ กิตติมศักดิ์, กำธร ธีรคุปต์



+ + + + + + + + + + + + + + + +
คนจุดตะเกียง : กลุ่มคนอยากเขียนในสิ่งที่อยากถ่ายทอดโดยไร้ขีดจำกัด
ทุกเรื่องที่อยากสื่อสารจากใจ

เชิญร่วมโหวต ศิลปินลูกทุ่งหญิงไทยในดวงใจของคุณ
http://onknow.blogspot.com/2007/05/blog-post_241.html

องค์ประกอบชนิดของปลาในคลองที่ผ่านป่าชายเลนซึ่งเป็นผลจากการใช้ที่ดินชายฝั่งบริเวณอ่าวตราด

จากการศึกษาองค์ประกอบชนิดของปลาในคลองที่ผ่านป่าชายเลนทั้ง 3 คลองบริเวณอ่าวตราดในฤดูน้ำมาก (สิงหาคม ตุลาคม 2540) และฤดูน้ำน้อย (ธันวาคม 2540 – กุมภาพันธ์ 2541) พบปลาทั้งหมด 111 ชนิด จาก 47 ครอบครัว จากการเก็บตัวอย่างด้วยอวนรุนและอวนลอย และจากการประเมินพื้นที่จากภาพถ่ายดาวเทียมบริเวณอ่าวตราดในปี 2530, 2535 และ 2540 พบว่า การใช้ที่ดินชายฝั่งที่แตกต่างกันบริเวณริมสองฝั่งคลองของทั้ง 3 คลอง ส่งผลให้สภาพแวดล้อมของทั้ง 3 คลองแตกต่างกัน และสะท้อนให้เห็นได้จากการพบองค์ประกอบชนิดของปลาแตกต่างกัน พบปลาทั้งหมด 95 ช นิดจากคลองบางพระ ซึ่งไหลผ่านป่าชายเลนที่ถูกปล่อยให้ฟื้นฟูเองตามธรรมชาติ และไม่มีการทำนากุ้งบริเวณริมสองฝั่งคลอง ส่วนดัชนีความหลากชนิดของปลาที่พบมีค่า 2.54 ในฤดูน้ำมากและ 3.10 ในฤดูน้ำน้อย ในขณะเดียวกัน พบปลาทั้งหมด 75 ช นิดจากคลองท่าพริก ซึ่งไหลผ่านป่าชายเลนที่ถูกทำลายและมีพื้นที่นากุ้งบริเวณริมสองฝั่งคลอง ดัชนีความหลากชนิดของปลาที่พบจากคลองท่าพริกมี่ค่า 2.41 ในฤดูน้ำมาก และ 3.02 ในฤดูน้ำน้อย ขณะที่พบปลาทั้งหมด 80 ช นิดจากคลองท่าเลื่อน ซึ่งพื้นที่ริมสองฝั่งคลองถูกปกคลุมด้วยป่าชายเลนธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ และไม่มีการทำนากุ้งบริเวณริมสองฝั่งคลอง อย่างไรก็ตาม ด้านในสุดของคลองท่าเลื่อนถูกกั้นด้วยประตูน้ำซึ่งจะเปิดระบายน้ำในฤดูน้ำมา กและอาจส่งผลกระทบต่อการกระจายของปลา โดยพบปลาน้อยที่สุดเพียง 39 ชนิด ในคลองนี้ในฤดูเดียวกัน ดัชนีความหลากชนิดของปลาที่พบในคลองท่าเลื่อนมีค่า 2.24 ในฤดูน้ำมาก และ 2.83 ในฤดูน้ำน้อย

คณะผู้วิจัย นวลจันทร์ สิงห์คราญ, สุรพล สุดารา



+ + + + + + + + + + + + + + + +
คนจุดตะเกียง : กลุ่มคนอยากเขียนในสิ่งที่อยากถ่ายทอดโดยไร้ขีดจำกัด
ทุกเรื่องที่อยากสื่อสารจากใจ

เชิญร่วมโหวต ศิลปินลูกทุ่งหญิงไทยในดวงใจของคุณ
http://onknow.blogspot.com/2007/05/blog-post_241.html

กระบวนการเรียนรู้การเข้าสู่อาชีพช้างทำบั้งไฟ จังหวัดยโสธร

ชื่อเรื่อง กระบวนการเรียนรู้การเข้าสู่อาชีพช้างทำบั้งไฟ จังหวัดยโสธร
ผู้ศึกษาค้นคว้า นายชัยวิชิต ทันพรม กศ.ม. การศึกษานอกระบบ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม พ.ศ.2548
อ.ที่ปรึกษา รศ.ดร.นารีรัตน์ รักวิจิตรกุล

บทคัดย่อ
อาชีพช่างทำบั้งไฟ เป็นอาชีพที่เกี่ยวข้องกับภูมิปัญญาท้องถิ่น และวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงควรส่งเสริมและพัฒนาอาชีพช่างทบั้งไฟ การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษากระบวนการเรียนรู้ของช่างทำบั้งไฟ อำเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร จากผู้ประกอบอาชีพช่างทำบั้งไฟที่มีความชำนาญและมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ ของสังคมในทางการทำบั้งไฟจำนวน 3 คน และกลุ่มผู้เป็นลูกศิษย์ ที่เป็นลูกมือเข้าไปเรียนรู้กับช่างผู้มีชื่อเสียง จำนวน 3 คน ใช้วิธีการศึกษาค้นคว้าเชิงคุณภาพ กรเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการศึกษาจากเอกสาร การสังเกต การสัมภาษณ์ การวิเคราะห์ข้อมูล การนำเสนอข้อมูลผลการศึกษาค้นคว้า ใช้การพรรณนาวิเคราะห์
ผลการศึกษาค้นพบว่า ช่างทำบั้งไฟในจังหวัดยโสธร ได้รับความรู้ถ่ายทอดมาจากบุคคลในครอบครัว กระบวนการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นในครอบครัว เกิดจากประสบการณ์ที่เห็นแบบอย่างการทำงานของผู้ใหญ่ที่เคยทำมาก่อน การสั่งสอนเป็นแบบลงมือปฏิบัติจริง ตอนแรกจะเป็นลักษณะให้ช่วยงาน ขณะที่ช่วยก็คอยให้คำแนะนำสั่งสอนเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ หลายครั้งหลายหนซ้ำๆ จนเกิดการเรียนรู้จนทำเป็นแล้ว จึงปล่อยให้ทำเองและจะคอยแนะนำเมื่อประสบกับปัญหาขึ้น จึงเป็นการเรียนรู้ที่ได้สัมผัสบ่อยครั้งและไดัสัมผัสจริง เกิดขึ้นอยู่ในวิถีชีวิต การเรียรู้จากแหล่งเรียนรู้ที่ไม่ใช่คนในครอบครัวของตนเองนั้นได้รับการถ่าย ทอดจากช่างผ็ชำนาญการโดยให้การสังเกตการปฏิบัติงาน กระบวนการทำงาน รวมทั้งสังเกตอุปกรณ์การทำงานที่มีอยู่ เมื่อพอเข้าใจในกระบวนการทำงานแล้ว จึงให้ลองปฏิบัติงานในส่วนง่ายๆก่อน จนสามารถปฏิบัติได้ครบถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้วจึงปล่อยให้ทำจริงทั้งระบบ ระหว่างนี้อาจซักถามในส่วนที่ไม่เข้าใจเพื่อจะได้มีการปรับปรุง จึงถือเป็นการเรียนรู้แบบค่อยเป็นค่อยไป โดยกรอาศัยการฝึกฝนเป็นหลัก การบอกการสอนเหล่านี้จะไม่เป็นกิจจะลักษณะ พอประสบปัญหาก็บอกก็แนะนำตามโอกาส กระบวนการเรียนรู้เรื่องการทำบั้งไฟเกิดขึ้นได้ 2 วิธี คือ การเรียนรู้โดยอ้อม เป็นการเรียนรู้จากการสังเกตและจดจำลอกเลียนแบบตามที่ครอบครัวได้ทำเป็นแบบ อย่างมาปฏิบัติตาม และการเรียนรู้โดยตรงเป็นการไปเรียนรู้การทำบั้งไฟกับช่างที่มีความรู้ความ ชำนาญกับช่างทำบั้งไฟโดยเฉพาะ จากประสบการณ์และเวลาในการเรียนรู้เกี่ยวกับการทำบั้งไฟมากกว่า 10 ปี เมื่อเริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับของสังคม มีผู้มาว่าจ้างให้ทำบั้งไฟ จึงมีความมั่นใจในการ ตัดสินใจประกอบอาชีพทำบั้งไฟ แรงจูงใจในการตัดสินใจประกอบอาชีพช่างทำบั้งไฟก็คือ รายได้ที่ดีคุ้มค่าเพราะถือเป็นอาชีพเสริมที่สร้างรายได้ที่ดี และทักษะการทำบั้งไฟที่ตนเองได้รับการยอมรับจากสังคม ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ตัดสินใจไปประกอบอาชีพช่างทำบั้งไฟ รวมทั้งความภาคภูมิใจในครอบครัวของตนเองที่ได้รับการสืบทอดเรื่องการทำบั้ง ไฟมาก่อน และภาคภูมิใจในภูมิปัญญาท้องถิ่นของตนเองที่สามารถรักษาภูมิปัญญาของท้อง ถิ่น ถือเป็นมูลเหตุทีสำคัญที่ทำให้ช่างตัดสินใจประกอบอาชีพช่างทำบั้งไฟ การถ่ายทอดการทำบั้งไฟของช่างทำบั้งไฟมีวิธีการสอนที่มีความคล้ายคลึงกัน คือ ช่างทำบั้งไฟจะใช้วิธีการสอนด้วยการสาธิต การทำให้ดูและให้ลูกศิษย์ปฏิบัติตาม การฝึกฝนทักษะและประสบการณ์ ครูจะถ่ายทอดความรู้ตามลักษณะความแตกต่างของศิษย์ เพราะแต่ละคนจะมีความสามารถ พื้นฐานความรู้จะแตกต่างกัน ฉะนั้นการฝึกฝนจึงแตกต่างกันไป การถ่ายทอดความรู้เรื่องการทำบั้งไฟจะสอนจากสิ่งที่ง่ายไปหาสิ่งที่ยากตาม ลำดับต่อเนื่องกันไปโดยปรับผ่อนให้เหมาะสมกับผู้เรียนแต่ละคน ทั้งยังเป็นการสอนจากประสบการณ์ของช่างทำบั้งไฟ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญโดยตรงอยู่แล้ว ทั้งหมดจึงเป็นการเรียนรู้ด้วยการลงมือกระทำจริง ปฏิบัติจากสถานที่จริง การประเมินผล ครูจะดูว่าศิษย์สามารถปฏิบัติได้และนำไปใช้ได้หรือไม่ กรประเมินนั้นจะประกอบด้วย การประเมินก่อนได้รับการถ่ายทอด การประเมินระหว่างถ่ายทอด และการประเมินหลังการถ่ายทอดสิ้นสุดลง เพราะการถ่ายทอดเรื่องการทำบั้งไฟนั้น เป็นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลคือครูกับศิษย์ ซึ่งต้องมีการวางเงื่อนไขต่างๆให้เกิดการยอมรับในบทบาทและสถานภาพซึ่งกันและ กัน การปฏิสัมพันธ์และความใกล้ชิดสนิทสนมรวมทั้งความพึงพอใจของครู ถ้าได้รับความไว้วางใจมากก็จะได้รับวิชาอย่างไม่ปิดบังอำพราง
โดยสรุป การส่งเสริมและพัฒนาอาชีพช่างทำบั้งไฟจะสัมพันธ์กับความนิยมในประเพณีบุญ บั้งไฟ ดังนั้นกระทรวงวัฒนธรรมควรกำหนดมาตรฐานการแข่งขันบั้งไฟ และจัดอบรมด้านการทำบั้งไฟที่ได้มาตรฐานและปลอดภัย เพื่อให้ประเพณีบุญบั้งไฟนำมาซึ่งการอนุรักษ์วัฒนธรรมที่ยั่งยืน


+ + + + + + + + + + + + + + + +
คนจุดตะเกียง : กลุ่มคนอยากเขียนในสิ่งที่อยากถ่ายทอดโดยไร้ขีดจำกัด
ทุกเรื่องที่อยากสื่อสารจากใจ

เชิญร่วมโหวต ศิลปินลูกทุ่งหญิงไทยในดวงใจของคุณ
http://onknow.blogspot.com/2007/05/blog-post_241.html

การพัฒนาอัตรากำลังกลุ่มการพยาบาล โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช สุพรรณบุรี

จันทิมา ไตรทาน และธนภรณ์ กุลทัพ. "การพัฒนาอัตรากำลังกลุ่มการพยาบาล โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช สุพรรณบุรี", วารสารกองการพยาบาล. ปีที่ 30 ฉบับที่ 2 : 61-77 ; พฤษภาคม-สิงหาคม, 2546.
จันทิมา ไตรทาน และธนภรณ์ กุลทัพ (2546 : 61) ได้ศึกษาปริมาณงานของหอผู้ป่วย
ในจากปริมาณเวลาที่บุคลากรพยาบาลใช้ในการปฏิบัติกิจกรรมพยาบาล และประเมินความ
ต้องการบุคลากรทางการพยาบาลในการพัฒนาจัดสรรอัตรากำลังของหน่วยงานในความรับผิด
ชอบของกลุ่มการพยาบาล โดยได้ทำการศึกษาหอผู้ป่วยใน 12 หอ ประกอบด้วย อายุรกรรม 2 หอผู้ป่วยใน, ศัลยกรรมและศัลยกรรมออร์โธปิดิกส์ 5 หอผู้ป่วยใน, กุมารเวชกรรม 3 หอผ้ป่วยใน, นรี
เวชและหลังคลอด ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม 2545 - 26 มีนาคม 2545 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ประกอบด้วย คู่มือจำแนกประเภทผู้ป่วย และแบบบันทึกเวลาการปฏิบัติกิจกรรมการพยาบาล
ของบุคลากรทางการพยาบาล วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าร้อยละ, ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตร
ฐาน ผลการวิจัยพบว่า ปริมาณเวลาที่บุคลากรทางการพยาบาลใช้ในการปฏิบัติกิจกรรมการ
พยาบาลทางตรง จำแนกตามแต่ละหอผู้ป่วยมีดังนี้ พยาบาลวิชาชีพในหอผู้ป่วยอายุรกรรมชายใช้
เวลามากที่สุด รองลงมาได้แก่ กุมารเวชกรรมชั้น 3 และอายุรกรรมหญิง มีค่าเฉลี่ยปริมาณเวลาเท่ากับ 3.22, 1.05 และ 1.04 ชั่วโมง/วัน ตามลำดับ และปริมาณเวลาที่บุคลากรการพยาบาลใช้ในการปฏิบัติกิจกรรมการพยาบาลทางอ้อมจำแนกในแต่ละหอผู้ป่วย พบว่า หอผู้ป่วยกุมารเวชกรรมชั้น 4 ใช้เวลามากที่สุด รองลงมาคือ นรีเวชกรรม กุมารเวชกรรม ชั้น 5 และอายุรกรรมชาย มีค่าเฉลี่ยปริมาณเวลาเท่ากับ 2.06, 1.56, 1.50 และ 1.47 ชั่วโมง/วัน ตามลำดับ เมื่อรวมปริมาณเวลาทั้งหมด พบว่า พยาบาลวิชาชีพของหอผู้ป่วยอายุรกรรมชายใช้ปริมาณเวลามากที่สุด รองลงมาได้แก่ กุมารเวชกรรมชั้น 4 และอายุรกรรมหญิง มีค่าเฉลี่ยปริมาณเท่ากับ 4.75, 2.57 และ 2.21 ชั่วโมง/วัน ตามลำดับ การประเมินความต้องการบุคลากรทางการพยาบาลตามปริมาณงานทั้งหมดของแต่ละหอผู้ป่วย พบว่า จำนวนบุคลากรทางการพยาบาลที่ควรจะมีเท่ากับ 211 คน แต่จำนวนบุคลากรทางการพยาบาลที่มีอยู่จริง 190 คน คิดเป็นร้อยละ 90.05 ผลการวิจัยครั้งนี้นำไปใช้ในการจัดอัตรากำลังบุคลากรทางการพยาบาลสอดคล้องกับภาระงานในแต่ละหอผู้ป่วยต่อไป

คนจุดตะเกียง : กลุ่มคนอยากเขียนในสิ่งที่อยากถ่ายทอดโดยไร้ขีดจำกัด
ทุกเรื่องที่อยากสื่อสารจากใจ

เชิญร่วมโหวต ศิลปินลูกทุ่งหญิงไทยในดวงใจของคุณ
http://onknow.blogspot.com/2007/05/blog-post_241.html

การกำหนดจำนวนชั่วโมงมาตรฐานการพยาบาล สำหรับการจัดอัตรากำลังของงานบริการพยาบาลผู้ป่วยใน โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก

ทองศรี อิ่มรส และมยุรี สุขุปัญญารักษ์. "การกำหนดจำนวนชั่วโมงมาตรฐานการพยาบาล สำหรับการจัดอัตรากำลังของงานบริการพยาบาลผู้ป่วยใน โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก", พุทธชินราชเวชสาร. ปีที่ 21 ฉบับที่ 1 : 54-62 ; มกราคม - เมษายน, 2547.

ทองศรี อิ่มรส และมยุรี สุขุปัญญารักษ์. (2547 : 54-55) ได้ศึกษาการกำหนดจำนวนชั่วโมงมาตรฐานการพยาบาลสำหรับจัดอัตรากำลังของงานบริการพยาบาลผู้ป่วยใน โรงพยาบาล
พุทธชินราช พิษณุโลก โดยการดำเนินงานตามรูปแบบวงจรเดมมิ่งเพื่อกำหนดจำนวนชั่วโมงมาตร
ฐานการพยาบาลและจัดอัตรากำลังสำหรับผู้ป่วยในของหอผู้ป่วยในและหอผู้ป่วยหนัก โรง
พยาบาลพุทธชินราช พิษณโลก ระหว่าง 1 มกราคม พ.ศ.2545 ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2545 รวม 9 เดือน กลุ่มประชากร ได้แก่ คณะกรรมการบริหารกลุ่มการพยาบาล 13 คนและหัวหน้ากับหัวหน้า
หอผู้ป่วยรวม 38 คน ประเมินคุณภาพการพยาบาลภายหลังจัดอัตรากำลังตามชั่วโมงการพยาบาลที่กำหนดด้วยตัวชี้วัด 5 ตัว ได้แก่ 1) อัตราการตาย 2) จำนวนวันนอนโรงพยาบาล 3) อัตราการติดเชื้อในโรงพยาบาล 4) อัตราการเกิดแผลกดทับ 5) อัตราดึงท่อช่วยหายใจออกโดยมิได้วางแผน โดยประเมินประสิทธิภาพการจัดอัตรากำลังด้วยอัตราส่วนผลผลิต (productive ratio) วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าอัตราส่วน ค่าความถี่ ค่าร้อยละและการทดสอบความแตกต่างของ t-test (paired t-test)


ผลการศึกษาพบว่าจำนวนชั่วโมงการพยาบาลงานบริการผู้ป่วยในที่หอผู้ป่วยใน เฉลี่ย 2.63-3.86 ชั่วโมง และหอผู้ป่วยหนักเฉลี่ย 14 ชั่วโมง (ค่ามาตรฐานเฉลี่ย 4.20 ชั่วโมง) คุณภาพตามตัวชี้วัดก่อนและหลังดำเนินการไม่แตกต่างกัน ยกเว้นอัตราการติดเชื้อในโรงพยาบาลและประสิทธิภาพการบริหารจัดการอัตรากำลัง มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P< 0.001) ซึ่งผลการดำเนินการพัฒนาครั้งนี้เป็นแนวทางหนึ่งในการกำหนดชั่วโมงการพยาบาล ที่ผู้บริหารสามารถใช้เป็นข้อมูลกำหนดอัตรากำลังและชั่วโมงมาตรฐานการพยาบาล งานบริการผู้ป่วยในได้

+ + + + + + + + + + + + + + + +
คนจุดตะเกียง : กลุ่มคนอยากเขียนในสิ่งที่อยากถ่ายทอดโดยไร้ขีดจำกัด
ทุกเรื่องที่อยากสื่อสารจากใจ

เชิญร่วมโหวต ศิลปินลูกทุ่งหญิงไทยในดวงใจของคุณ
http://onknow.blogspot.com/2007/05/blog-post_241.html

การบูรณาการรับรู้จากระยะไกลและระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เพื่อทำแบบจำลองเขตอันตรายจากเพลิงไหม้ กาฬสินธุ์

โสภณวิชญ์ คำพิลัง 2546. วิทยานิพนธ์ วท.. สาขาการรับรู้ระยะไกลและระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

.ที่ปรึกษา รศ.ดร.ชรัตน์ มงคลสวัสดิ์, รศ.วีรวรรณ ศิติสาร

ปัจจัยที่ทำให้เกิดเพลิงไหม้ ภายในชุมชนเมืองมีหลายปัจจัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตเทศบาลที่มีประชากรอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น มีความซับซ้อนของการใช้ประโยชน์ที่ดินและขาดวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับใช้ในการดับเพลิง ดังนั้น การศึกษานี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อทำแบบจำลองเขตอันตรายจากเพลิงไหม้ โดยการบูรณาการปัจจัยที่เกี่ยวข้องและประมวลผลด้วยการรับรู้จากระยะไกลและระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์

พื้นที่ศึกษาคือ เทศบาลเมืองจังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 16.96 ตารางกิโลเมตร โดยหลักในการวิเคราะห์นั้น เนื่องจากความรุนแรงของเพลิงไหม้ในเขตชุมชนเมือง พิจารณาจากปัจจัย การใช้ประโยชน์อาคาร แหล่งน้ำสำหรับดับเพลิงและความสามารถในการเข้าถึงพื้นที่อันตรายจากเพลิงไหม้ จึงได้สร้างชั้นข้อมูลทั้งสิ้น 3 ชั้น ชั้นข้อมูลประเภทอาคารได้จากการซ้อนทับทีละคู่ระหว่างการใช้ประโยชน์อาคารและวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้าง สำหรับชั้นข้อมูลแหล่งน้ำได้จากกระบวนการทับซ้อนระหว่างหัวดับเพลิง แหล่งน้ำผิวดินและบ่อบาดาล ส่วนความสามารถในการเข้าถึงหรือความกว้างของถนนนั้นได้จากภาพถ่ายทางอากาศ หลังจากนั้นชั้นข้อมูลปัจจัยอันตรายทั้ง 3 ถูกนำมาซ้อนทับ ผลที่ได้เป็นเขตอันตรายจากเพลิงไหม้ 3 ระดับ ได้แก่ เขตอันตรายมาก เขตอันตรายปานกลาง และเขตอันตรายน้อย

จาก ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า ไม่ปรากฏเขตอันตรายจากเพลิงไหม้ในระดับมาก เขตอันตรายในระดับปานกลางพบทางด้านทิศตะวันตกของเทศบาล ลักษณะของการใช้ประโยชน์ที่ดินส่วนใหญ่เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยซึ่งแบบจำลอง เขตอันตรายจากเพลิงไหม้ก็คือ การผสมผสานของหลายชั้นข้อมูล

แบบจำลองได้จากการคูณค่าพิสัยที่กำหนดให้ชั้นข้อมูลทุกๆชั้น ความน่าเชื่อถือของแบบจำลองถูกนำมาใช้เปรียบเทียบกับสถิติการเกิดเพลิงไหม้ ซึ่งรวบรวมโดยเทศบาล ประกอบกับข้อมูลที่ได้จากแบบสอบถามซึ่งออกโดยผู้วิจัย พบว่าผลที่ได้มีความน่าเชื่อถือ



+ + + + + + + + + + + + + + + +
คนจุดตะเกียง : กลุ่มคนอยากเขียนในสิ่งที่อยากถ่ายทอดโดยไร้ขีดจำกัด
ทุกเรื่องที่อยากสื่อสารจากใจ

เชิญร่วมโหวต ศิลปินลูกทุ่งหญิงไทยในดวงใจของคุณ
http://onknow.blogspot.com/2007/05/blog-post_241.html

Some management technique for nursing service administrators

Warsler. M.E. Some management technique for nursing service administrators : staffing. The Journal of Nursing Administration. 2(2) : 25-32 ; 1972.
Wolf, H. and Young, J.P. Staffing the nursing unit. Nursing Research. (summer), 236-237 ; 1965.


Wolf และ Young (1965 : 236-237) ได้ทำการศึกษาปริมาณงานการพยาบาลโดย

ตรงด้วยวิธีการคำนวณเวลาโดยเฉลี่ยที่ใช้ในการพยาบาลผู้ป่วยแต่ละประเภทของโรงพยาบาล

จอฮ์น ฮอบกินส์ (John Hopkins Hospital) ซึ่งได้แบ่งผู้ป่วยออกเป็น 3 ประเภท โดยคิดเวลาการ

พยาบาลตั้งแต่เวลา 06.00 น. ถึง 24.00 น. รวม 18 ชั่วโมง เก็บข้อมูลโดยการสังเกตโดยตรงแบบ

ต่อเนื่อง (Direct Continuous Observation) ได้ปริมาณความต้องการโดยตรงดังนี้
ผู้ป่วยประเภทที่ 1 หมายถึง ผู้ป่วยที่ดูแลตัวเอง (Self - Care) ต้องการการพยาบาล 0.5
ชั่วโมงต่อ 18 ชั่วโมง
ผู้ป่วยประเภทที่ 2 หมายถึง ผู้ป่วยที่ต้องการการดูแลระดับกลาง (Intermediate care)
ต้องการการพยาบาล 1 ชั่วโมงต่อ 18 ชั่วโมง
ผู้ป่วยประเภทที่ 3 หมายถึง ผู้ป่วยที่ต้องการการดูแลในระยะวิกฤติ (Intensive Care
or Total Care) ต้องการการพยาบาล 2.50 ชั่วโมง ต่อ 18 ชั่วโมง
จากการศึกษาได้กำหนดขึ้นเป็นสูตร คือ

I = 0.5N1 + N2 + 2.5N3

I = ดัชนีการพยาบาลโดยตรง (Direct Care Index)
N1 = จำนวนผู้ป่วยประเภทที่ 1

N2 = จำนวนผู้ป่วยประเภทที่ 2
N3 = จำนวนผู้ป่วยประเภทที่ 3
Wastler (1972 : 25-32) ได้แบ่งผู้ป่วยแต่ละแผนกการพยาบาล คือ แผนกอายุร

ศาสตร์ แผนกสูติศาสตร์ แผนกเด็กแรกเกิด และแผนกจิตเวชเป็น 5 ประเภท โดยแบ่งตามระดับ

ความต้องการการพยาบาลของผู้ป่วย ดังนี้
ผู้ป่วยประเภทที่ 1 ผู้ป่วยที่ให้การดูแลตัวเองได้ (Self Care) มีความต้องการ

การพยาบาลโดยเฉลี่ย 1.5 ชั่วโมง/คน/วัน
ผู้ป่วยประเภทที่ 2 ผู้ป่วยที่ต้องการการดูแลในระดับต่ำ (Minimal Care) มีความ

ต้องการการพยาบาลโดยเฉลี่ย 3.5 ชั่วโมง/คน/วัน
ผู้ป่วยประเภทที่ 3 ผู้ป่วยที่ต้องการการดูแลระดับกลาง (Intermediate Care) มี

ความต้องการการพยาบาลโดยเฉลี่ย 5.5 ชั่วโมง/คน/วัน
ผู้ป่วยประเภทที่ 4 ผู้ป่วยที่ต้องการการดูแลระดับต่ำกว่าระยะวิกฤติ (Modified

Intensive Care) มีความต้องการการพยาบาลโดยเฉลี่ย 7.5 ชั่วโมง/คน/วัน
ผู้ป่วยประเภทที่ 5 ผู้ป่วยที่ต้องการการดูแลระยะวิกฤติ (Intensive Care) มี

ความต้องการการพยาบาลโดยเฉลี่ย 12 ชั่วโมง/คน/วัน



+ + + + + + + + + + + + + + + +
คนจุดตะเกียง : กลุ่มคนอยากเขียนในสิ่งที่อยากถ่ายทอดโดยไร้ขีดจำกัด
ทุกเรื่องที่อยากสื่อสารจากใจ

เชิญร่วมโหวต ศิลปินลูกทุ่งหญิงไทยในดวงใจของคุณ
http://onknow.blogspot.com/2007/05/blog-post_241.html

Financial management for nurse managers

Hoffman, F.M., et. al., "Financial management for nurse managers". Journal of Nursing Administration. 16(2), 17-19 ; 1986.

Hoffman et al. (1986 : 17-19) ได้ทำการศึกษาชั่วโมงทำการมาตรฐาน โดยการ

สำรวจจำนวนเวลาที่บุคลากรพยาบาลได้ใช้ในการปฏิบัติงาน จำนวนเวลาที่ปฏิบัติงานทุกอย่าง

ให้แก่ผู้ป่วย โดยการสุ่มสังเกตในหน่วยงานพยาบาลแต่ละแห่งรวมกัน แล้วเฉลี่ยออกมาเป็นค่า

มาตรฐานความต้องการการพยาบาลของผู้ป่วยแต่ละประเภท โดยแบ่งผู้ป่วยออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้
ผู้ป่วยประเภทที่ 1 ผู้ป่วยที่มีอาการเบา ต้องการการดูแลน้อย
ผู้ป่วยประเภทที่ 2 ผู้ป่วยที่มีอาการปานกลาง ต้องการการดูแลปานกลาง
ผู้ป่วยประเภทที่ 3 ผู้ป่วยที่มีอาการหนัก ต้องการการดูแลมาก
ผู้ป่วยประเภทที่ 4 ผู้ป่วยที่มีอาการหนักมาก ต้องการการดูแลมากที่สุด

จากการศึกษาครั้งนี้พบว่า ค่าเฉลี่ยจำนวนชั่วโมงการปฏิบัติงานใน 24 ชั่วโมงจำแนกตาม

ประเภทบุคลากรพยาบาล เป็นดังนี้


พยาบาล 77.5 ชั่วโมง
ผู้ช่วยพยาบาล/เจ้าหน้าที่ห้องผ่าตัด 24.5 ชั่วโมง
พนักงานผู้ช่วยพยาบาล 22.5 ชั่วโมง

พยาบาลผู้ปฏิบัติทางคลินิก / หัวหน้าตึก 3.5 ชั่วโมง

ส่วนจำนวนเวลาที่ต้องการการดูแลของผู้ป่วยแต่ละระดับเป็นดังนี้
ผู้ป่วยประเภทที่ 1 4.6 ชั่วโมง/คน/วัน

ผู้ป่วยประเภทที่ 2 5.1 ชั่วโมง/คน/วัน
ผู้ป่วยประเภทที่ 3 8.2 ชั่วโมง/คน/วัน
ผู้ป่วยประเภทที่ 4 14.2 ชั่วโมง/คน/วัน

ข้อเสนอแนะที่ผู้วิจัยได้ให้ไว้มี 3 ข้อ คือ ข้อมูลเหล่านี้สามารถนำไปใช้ในระดับหน่วย

งานพยาบาล (Nursing Unit) ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน (ได้แก่ อายุรศาสตร์ ศัลยศาสตร์เฉพาะโรค

กุมารเวชห้องพักผู้ป่วยหนัก เป็นต้น) และใช้เป็นข้อมูลระดับโรงพยาบาล

+ + + + + + + + + + + + + + + +
คนจุดตะเกียง : กลุ่มคนอยากเขียนในสิ่งที่อยากถ่ายทอดโดยไร้ขีดจำกัด
ทุกเรื่องที่อยากสื่อสารจากใจ

เชิญร่วมโหวต ศิลปินลูกทุ่งหญิงไทยในดวงใจของคุณ
http://onknow.blogspot.com/2007/05/blog-post_241.html

การจัดอัตรากำลังตามภาระงานของหอผู้ป่วยในและหอผู้ป่วยหนักโรงพยาบาลสระบุรี

อนุรักษ์ พงษ์ภมร, นพมาศ พงษ์ประจักษ์ และนิยม สี่สุวรรณ. "การจัดอัตรากำลังตามภาระงานของหอผู้ป่วยในและหอผู้ป่วยหนักโรงพยาบาลสระบุรี", วารสารโรงพยาบาลสระบุรี. ปีที่ 27 ฉบับที่ 2 : 61-71 ; พฤษภาคม-สิงหาคม, 2545.

อนุรักษ์ พงษ์ภมร, นพมาศ พงษ์ประจักษ์ และนิยม สี่สุวรรณ (2545 : 61) ได้ศึกษา
ความต้องการพยาบาลเฉลี่ยต่อวันของผู้ป่วย 1 ราย อัตรากำลังที่พึงมี และความสอดคล้องของอัตรากำลังที่พึงมีกับอัตรากำลังที่มีจริงจำแนกตามหน่วยงานของหอผู้ป่วยในและหอผู้ป่วยหนัก โรงพยาบาลสระบุรี โดยศึกษาข้อมูลย้อนหลังจากจำนวนและประเภทผู้ป่วยที่ให้บริการ จำนวนและ
ประเภทของบุคลากรทางการพยาบาลงานผู้ป่วยในและงานผู้ป่วยหนัก ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2544 -
กันยายน 2545 จำนวน 26 หน่วยงาน โดยใช้เวลามาตรฐานตามความต้องการการพยาบาลของผู้
ป่วยแต่ละประเภทของกองการพยาบาล วิเคราะห์ข้อมูลโดยการแจกแจงความถี่ ร้อยละและค่า
เฉลี่ย

ผลการศึกษาพบว่า ความต้องการการพยาบาลเฉลี่ยต่อวันของผู้ป่วยใน งานหอผู้ป่วยในและ
งานหอผู้ป่วยหนักโรงพยาบาลสระบุรี เท่ากับ 3.95 ชั่วโมง/คน/วัน และ 11.40 ชั่วโมง/คน/วัน ตามลำดับ อัตรากำลังที่พึงมีของเจ้าหน้าที่ทางการพยาบาลงานหอผู้ป่วยในทั้งหมด 476.69 คน จำแนกเป็นหอผู้ป่วยในสามัญ หอผู้ป่วยพิเศษ จำนวน 435.49 คนและ 41.20 คน ตามลำดับ และงานหอผู้ป่วยหนัก 109.64 คน ความสอดคล้องของอัตรากำลังที่พึงมีกับอัตรากำลังที่มีจริงงานหอผู้ป่วยใน และงานหอผู้ป่วยหนัก ขาดอัตรากำลังจำนวน 116.69 คน คิดเป็นร้อยละ 24.48 และ 10.64 คน คิดเป็นร้อยละ 9.70 ตามลำดับ

+ + + + + + + + + + + + + + + +
คนจุดตะเกียง : กลุ่มคนอยากเขียนในสิ่งที่อยากถ่ายทอดโดยไร้ขีดจำกัด
ทุกเรื่องที่อยากสื่อสารจากใจ

เชิญร่วมโหวต ศิลปินลูกทุ่งหญิงไทยในดวงใจของคุณ
http://onknow.blogspot.com/2007/05/blog-post_241.html

การกำหนดเวลามาตรฐานและการศึกษาปรากฏการณ์การปฏิบัติตามวิธีปฏิบัติงานในกิจกรรมการพยาบาล

ไขแสง โพธิโกสุม และคณะ. "การกำหนดเวลามาตรฐานและการศึกษาปรากฏการณ์การปฏิบัติตามวิธีปฏิบัติงานในกิจกรรมการพยาบาล และการจัดอัตรากำลังกลุ่มงานการพยาบาล โรงพยาบาลหาดใหญ่", วารสารพยาบาลสงขลานครินทร์. ปีที่ 23 ฉบับที่ 1 : 60-86 ; มกราคม-เมษายน, 2546.

ได้ศึกษาปริมาณและเวลาการทำกิจกรรมการพยาบาลด้านการ ดูแลผู้ป่วยและด้านวิชาชีพ ศึกษาเวลามาตรฐาน ศึกษาปรากฏการณ์การปฏิบัติตามวิธีปฏิบัติงาน และศึกษาการจัดอัตรากำลังของกลุ่มงานการพยาบาล โรงพยาบาลหาด ใหญ่ กลุ่มตัวอย่างเป็นบุคลากรพยาบาลใน 22 หอผู้ป่วย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย เอกสารวิธีปฏิบัติงานที่ประกาศใช้ของกลุ่มงานการพยาบาล แบบบันทึกที่ใช้รวบรวมความถี่ และการสังเกตการใช้เวลาการทำกิจกรรมการพยาบาลได้ผ่านการหาความตรงจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 คน
และหาความเที่ยงโดยสังเกตพฤติกรรมการปฏิบัติของบุคลากรเป็นคู่ แบบสอบถามความคิดเห็น
ของบุคลากรต่อการใช้วิธีปฎิบัติงาน ได้ผ่านการหาความตรงจากผู้ทรงคุณวุติ 3 คน และหาความ
เที่ยงของแบบสอบถามมีค่าแอลฟ่าเท่ากับ .88 คู่มือการจัดอัตรากำลังแบบใหม่และแบบฟอร์มสร้างโดยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 10 คน และทดลองเก็บข้อมูลจริง 10 รายก่อนนำไปใช้จริง การเก็บข้อมูล ใช้การสังเกต การสอบถาม การสนทนากลุ่มและการสัมมนา วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้โปรแกรม SPSS โดยใช้สถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบค่าที ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา

ผลจากการวิจัยสรุปได้ดังนี้

1) กิจกรรมการพยาบาลด้านการ
ดูแลผู้ป่วย เป็นกิจกรรมการพยาบาลทางตรง 26 กิจกรรมโดยมีปริมาณการวัดสัญญาณชีพมากที่สุด รองลงมา คือ กิจกรรมการบันทึกทางการพยาบาล และเป็นกิจกรรมพยาบาลทางอ้อม 77 กิจกรรม โดยมีปริมาณการให้ยาทางปากสูงสุด รองลงมา คือ การให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ รวมถึงมีสัดส่วนการใช้เวลา (ร้อยละ) ของเวรเช้า : เวรบ่าย : เวรดึก = 41.62: 30.64: 27.73

2) เวลาที่ใช้ในกิจกรรมด้านวิชาชีพ มีกิจกรรมด้านวิชาการสูงสุด คือ การประชุม ( ค่าเฉลี่ย = 633.3 นาที/วัน) รองลงมา คือ การประชุมปรึกษาก่อน - หลังการพยาบาล และพบกิจกรรมด้านการวิจัยเพียง .33 นาที/วัน

3) เวลามาตรฐานในการทำกิจกรรมการพยาบาลด้านการดูแลผู้ป่วย 5 ลำดับแรก คือ การทำ
แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก การดูแลผู้ป่วยที่ล้างไตทางหน้าท้อง การรับผู้ป่วยใหม่ในหน่วยวิกฤติ
การจำหน่ายผู้ป่วยเสียชีวิต และการรับผู้ป่วยใหม่ มีค่าเฉลี่ยเวลาเท่ากับ 116.84, 85.36, 48.98, 47.89 และ 44.69 นาที ตามลำดับ

4) ปรากฏการณ์การปฏิบัติตามวิธีปฏิบัติงาน จำแนกได้เป็น 3 ระยะ
คือ ระยะเกิดความสับสนวุ่นวายและทำความเข้าใจวิธีปฎิบัติงาน ระยะการใช้ความพยายามทำตาม
วิธีปฏิบัติงานและระยะเข้าใจ และทำตามวิธีปฏิบัติงาน ซึ่งมีลักษณะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีกลยุทธ์ที่
ใช้เกี่ยวข้องใน 3 ด้าน คือ ด้านบุคลากร ด้านผู้นำ และการบริหารจัดการ และด้านคุณภาพการ
ทำงาน

5) วิธีการจัดอัตรากำลังแบบใหม่ ใช้วิธีการสังเกต โดยใช้สูตรจำนวนบุคลากร 24 ชั่วโมง
ข้างหน้าเท่ากับปริมาณกิจกรรมการพยาบาลใน 24 ชั่วโมงข้างหน้าคูณกับเวลามาตรฐาน และหาร
ด้วยชั่วโมงการทำงานของบุคลากรแต่ละคนในแต่ละเวร

6) ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยจำนวน
บุคลากรตามวิธีการจัดอัตรากำลังแบบเดิมสูงกว่าวิธีการจัดอัตรากำลังแบบใหม่ อย่างมีนัยสำคัญ
ทางสถิติที่ระดับ 0.5 เมื่อคิดเวลาการทำงานของพยาบาลต่อเวรที่ 6 1/2, 7 และ 8 ชั่วโมง



+ + + + + + + + + + + + + + + +
คนจุดตะเกียง : กลุ่มคนอยากเขียนในสิ่งที่อยากถ่ายทอดโดยไร้ขีดจำกัด
ทุกเรื่องที่อยากสื่อสารจากใจ

เชิญร่วมโหวต ศิลปินลูกทุ่งหญิงไทยในดวงใจของคุณ
http://onknow.blogspot.com/2007/05/blog-post_241.html

การพัฒนาแผนการเรียนรู้ภาษาอังกฤษโดยใช้กิจกรรมเกมและเพลงของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2

ผู้ศึกษาค้นคว้า นางจินตนา พรหมเมตตา กศ.ม. หลักสูตรและการสอน มหวิทยาลัยมหาสารคาม พ.ศ.2548
อ.ที่ปรึกษา ดร.ดำรง แสนสิงห์

บทคัดย่อ
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 การจัดการเรียนรู้ กำหนดให้ผู้สอนจัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมกรเรียนรู้อย่างหลากหลาย เพื่อให้เหมาะสมกับธรรมชาติ ความต้องการ ความสนใจและความถนัดของผู้เรียน แผนการเรียนรู้เป็นเสมือนเครื่องมือที่จะเป็นแนวทางให้การจัดการเรียนรู้ได้ บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ สำหรับการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อให้บรรลุวัตถประสงค์ไม่ประสบผลสำเร็จเท่า ที่ควร เนื่องจากยังขาดวิธีการสอนและสื่อการเรียนรู้ที่ดีที่จะทำให้ผู้เรียนเรียน รู้ได้อย่างมีความสุข สนุกกับการเรียนซึ่งการสอนโดยใช้เกมและเพลงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยแก้ ปัญหานี้ได้ ดังนั้น การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้มีความมุ่งหมาย (1) เพื่อพัฒนาแผนการเรียนรู้ภาษาอังกฤษโดยใช้กิจกรรมเกมและเพลง ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 (2) เพื่อศึกษาค่าดัชนีประสิทธิผลของแผนการเรียนรู้ภาษาอังดฤษโดยใช้กิจกรรมและ เพลง ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/1 โรงเรียนอัสสัมชันนครราชสีมา อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2547 จำนวน 1 ห้องเรียน 30 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า คือ แผนการเรียนรู้ภาษาอังกฤษโดยใช้กิจกรรมเกมและเพลงที่ผู้ศึกษาค้นคว้าสร้าง ขึ้นจำนวน 4 แผน ใช้เวลาสอน 12 ชั่วโมง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 30 ข้อ
ผลการศึกษาค้นคว้าปรากฏดังนี้
1. แผนการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเกมและเพลงชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ผู้ศึกษาค้นคว้าสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.33/82.67
2.ดัชนีประสิทธิผลของแผนการเรียนรู้ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มีค่าเท่ากับ 0.634 แสดงว่านักเรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นก่อนเรียนร้อยละ 63.40
โดยสรุป การพัฒนาแผนการเรียนรู้ภาษาอังกฤษโดยใช้กิจกรรมเกมและเพลง กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 เป้นแผนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ จึงควรส่งเสริมให้มีการนำแผนการเรียนรู้ภาษาอังกฤษโดยใช้กิจกรรมเกมและเพลง ไปประยุกต์ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนประกอบหน่วยการเรียนรู้ และระดับชั้นเรียนอื่นต่อไป


+ + + + + + + + + + + + + + + +
คนจุดตะเกียง : กลุ่มคนอยากเขียนในสิ่งที่อยากถ่ายทอดโดยไร้ขีดจำกัด
ทุกเรื่องที่อยากสื่อสารจากใจ

เชิญร่วมโหวต ศิลปินลูกทุ่งหญิงไทยในดวงใจของคุณ
http://onknow.blogspot.com/2007/05/blog-post_241.html

วันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2549

Poems From the Sanskrit in love

คุณค่าของความรัก
จะประจักษ์ยิ่งขึ้นเมื่อยามจากพราก
ยามอยู่ใกล้เธอ ไม่เห็นอะไรนอกจากเธอ
ยามอยู่ไกลเธอ เห็นทุกอย่างเป็นเธอ

ปรัชญาเมธี พูดผิดถนนัด
ว่าคุณสมบัติของสสาร
ต้องอยู่กับสสาร
ทำไมเธออยู่ที่โน่น
ฉันอยู่ที่นี่
ความงามของเธอ
เผาลนใจฉันได้

"ทำไมเธอมัวเฝ้าคิดถึงเขา
ชายอื่นที่ดีกว่านี้ไม่มีหรือ
จะมัวสัตย์ซื่อต่อเขาไปทำไม
เพื่อนสาวยุ เธอบอกว่าจุ๊ๆ อย่าเอ็ดไป
ที่รักของฉันอยู่ในหัวใจ
เดี๋ยวเขาจะได้ยิน

นิลุบลดุจนิลเนตรของทรามวัย
จมน้ำหายไปสิ้นแล้ว
จันทราดุจพักตร์แผ้วของกานดา
หลบซ่อนหน้าหลังปุยเมฆหนา
นางพญาหงศ์ที่เลียนลีลาของยุพิน
บินลับหายไปหมด ยังแต่ความมืดมิด
โอ้พรหมลิขิต ผู้หฤโหด
แม้สิ่งที่พอจะอนนุสรณ์ถึงเธอ
เพียงเล็กน้อยเหล่านี้
ท่านยังไม่ปราณีเหลือไว้ให้ข้ายล

กวีผู้ไม่เคยสัมผัสความยากไร้
ก็ได้แต่ใช้จินตนาการพรรณาจูงใจคน
ส่วนผู้ที่ยากจนแสนเดือดร้อน
ก็ไร้พรสวรรค์จะสรรคำมาบรรยาย
หัวใจที่ปวดร้าวของตน

ภาชนะที่สวยงาม ย่อมผ่านมือที่ปั้นทุบตีมาก่อน
แสงอาทิตย์ที่ร้อนแรง ช่วยตากผ้าให้แห้งได้
ท่าเรือที่ขึ้นลง อาจล่มพาคนจมน้ำตายได้
ไฟในเตาไฟที่แสนร้อน ยังอาศัยผิงให้หายหนาวได้
ไมม่มีอะไรดอก ที่ให้คุณและโทษถ่ายเดียว
เจ้าผ่านนโชคร้ายมาแล้ว บัดนี้กำลังอยู่ในอ้อมกอด
อันอ่อนนนุ่มของเธอ
กระแซะปทุมถันปันเอาไออุ่น ปลอดสรรพ
อันตราย
เธอกำลังพาเจ้าท่องสวรรคาลัย

จอห์น บร๊าฟ ศาสตราจารย์วิชาสันสกฤต University oof Cambridge แต่ง
เสรียฐพงษ์ วรรณปกษ์ แปล

....หน้าหนาวคราวนี้หนอ

.หน้าหนาวคราวนี้หนอ
สร้างเรือนหอรอไว้ให้สายสมร
นึกน้อยใจสาวเจ้าเอาแต่งอน
เหมือนแกล้งรอนเรือนรักให้หักลง

ถึงแสนงอนก็สู้ง้อขอดีด้วย
รักรูปสวยจับใจจนไหลหลง
แม้นมิได้แนบถนอมจอมอนงค์
พี่ประสงค์อยู่เป็นโสดสันโดษเอย


ราบ สีหราช

ความรัก vs ความจริง...ที่หลายคนไม่อยากยอมรับ


ทำไมคนเราต้องมีความรัก
ก็เพราะว่าเราทุกคนล้วนมีหัวใจ

ทำไมคนเราจึงต้องโหยหาความรักอยู่ตลอดเวลา
ก็เพราะเราต้องการใครสักคนมาช่วยเราดูแลหัวใจของเรา

ทำไมคนเราถึงไม่เคยพอกับความรัก
ก็เพราะว่าเราไม่ได้เกิดมาเพื่อรักใครคนเดียว

ทำไมคนบางคนถึงไม่เคยพบกับความรักสักที
ก็เพราะว่าเขาไม่เคยเปิดใจตัวเองให้ใคร

ทำไมคนบางคนไม่เคยเปิดใจตัวเองให้ใคร
ก็เพราะว่าเขาอาจจะกำลังรอใครสักคนอยู่

ทำไมคนบางคนถึงต้องอกหักอยู่บ่อย
ก็เพราะว่าเขาปล่อยใจตัวเองตกหลุมรักอยู่ตลอดเวลา

ไม่ต้องเสียใจที่เขาไม่รักเรา
เพราะเราและเขาอาจจะไม่ได้เกิดมาเพื่อรักกัน

ทำไมคนบางคนไม่เคยสมหวังกับความรัก
ก็เพราะว่าเขาอาจจะยังไม่เจอคู่แท้ของเขา

ทำไมคนบางคนยังไม่พบคู่แท้ของเขา
ก็เพราะว่าเขาอาจจะไม่เคยตามหาเลยก็ได้

ทำไมเราควรจะทำตัวเราให้ดูดีอยู่ตลอดเวลา
ก็เพราะว่าเราไม่รู้ว่าจะได้เจอคนที่ถูกใจเมื่อไร

ไม่ต้องเสียใจที่เรายังไม่เจอคนที่เรารัก
เพราะว่าเมื่อเราเจอเขาคนนั้นเมื่อไร
เราจะรู้ว่ามันคุ้มค่ามากแค่ไหนกับเวลาที่เรารอคอย

จงทะนุถนอมหัวใจของเราไว้ให้ดี
เพราะว่าเมื่อเราเจอคนที่ใช่ จะได้มอบมันให้เขาด้วยความภูมิใจ
อย่าปล่อยให้โชคชะตาลิขิตชีวิตเราทั้งหมด
แต่จงใช้มันเป็นเครื่องนำทางในการดำเนินชีวิต

โชคชะตาสามารถทำให้เราพบคนที่ถูกใจ
แต่ตัวเราเองเท่านั้นที่สามารถทำให้เขาคนนั้นรักเราได้ .....

วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2549

Detection of Circulating antibody of Parastrongylus cantonensis in sera with eosinophilic meningitis by Dot-Blot ELISA

Kanchana Tomanakan
Division of immunology, Department of Clinical Pathology, Khon Kaen Hospital.


Eposinophilic meningitis caused by Parastrongylus cantonensis, the rat lung worm is the major public health problem in Thailand. Human acquire this parasite by eating raw food containing infective larvae. A specific diagnosis of Parastrongyliasis is difficult to make because identification of parasite materials by biospy or chance finding is rarely possible. The purpose of this study was to develop alternative appeoaches of Parastrongylus cantonensis infection employing crude antigem by dot-biot ELISA. The investigation was cairred out between October 2003 to July 2004 in Khon Kaen which is endemic area. 132 sera from several villagers of this study area were divided into 5 groups. Group 1 consisted of 30 patients with Cryptococcal meningitis, group 2 were 22 cases of Bacterial meningitis, group 3 were 32 cases of eosinophilic meningitis, group 4 were other parasite infection ( 4 from Cysticercosis, 2 from Fascioliasis, 12 from Malaria) and group 5 were 30 negative healthy control. The result demonstrated that 26 cases of eosinophilic meningitis, were positive with Dot-blot ELISA. (81.3%) None of the other groups of sample reacted with this antigen. By the data obtained show that Dot-blot ELISA has potential in diagnosis of Eosinophilic meningitis caused by Parastrongylus cantonensis

จาก บทคัดย่อผลงานทางวิชาการ
การประชุมวิชาการกระทรวงสาธารณสุขครั้งที่ 13 ประจำปี 2548

การให้ธรรมเป็นทานชนะการให้ทั้งปวง

มาสร้างบุญบารมีกันเถอะ

1. นั่งสมาธิอย่างน้อยวันละ15นาที(หรือเดินจงกรมก็ได้)

อานิสงส์ - เพื่อสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดขึ้นทั้งภพนี้และภพหน้า * เพื่อจิตใจที่สว่างผ่อนปรนจากกิเลส ปล่อยวางได้ง่าย จิตจะรู้วิธีแก้ปัญหาชีวิตโดยอัตโนมัติ ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองไม่มีวันอับจน ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพกายและจิตแข็งแรง เจ้ากรรมนายเวร และญาติมิตรที่ล่วงลับจะได้บุญกุศล

2. สวดมนต์ด้วยพระคาถาต่างๆอย่างน้อยวันละครั้งก่อนนอน

อานิสงส์ - เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ชีวิตหน้าที่การงานเจริญก้าวหน้า เงินทองไหลมาเทมา แคล้วคลาด จากอุปสรรคทั้งปวง จิตจะเป็นสมาธิได้เร็ว แนะนำพระคาถาพาหุงมหากา,พระคาถาชินบัญชร, พระคาถายอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก เป็นต้น เมื่อสวดเสร็จต้องแผ่เมตตาทุกครั้ง

3. ถวายยารักษาโรคให้วัด,ออกเงินค่ารักษาให้พระตามโรงพยาบาลสงฆ์

อานิสงส์ - ก่อให้เกิดสุขภาพร่มเย็นทั้งครอบครัว โรคที่ไม่หายจะทุเลา สุขภาพกายจิตแข็งแรง อายุยืนทั้งภพนี้ และภพหน้า ถ้าป่วยก็จะไม่ขาดแคลนการรักษา

4. ทำบุญตักบาตรทุกเช้า

อานิสงส์ - ได้ช่วยเหลือศาสนาต่อไปทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ขาดแคลนอาหาร ตายไปไม่หิวโหย อยู่ในภพที่ไม่ ขาดแคลน ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์

5. ทำหนังสือหรือสื่อต่างๆเกี่ยวกับธรรมะแจกฟรีแก่ผู้คนเป็นธรรมทาน

อานิสงส์ - เพราะธรรมทานชนะการให้ทานทั้งปวง ผู้ให้ธรรมจึงสว่างไปด้วยลาภยศสรรเสริญ ปัญญา และ บุญบารมีอย่างท่วมท้น เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมให้ ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองอย่างไม่คาดฝัน

6. สร้างพระถวายวัด

อานิสงส์ - ผ่อนปรนหนี้กรรมให้บางเบา ให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง แคล้วคลาดจากอุปสรรค ทั้งปวง ครอบครัวเป็นสุข ได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์ของพุทธศาสนาตลอดไป

7. แบ่งเวลาชีวิตไปบวชชีพราหมณ์หรือบวชพระอย่างน้อย 9 วันขึ้นไป

อานิสงส์ - ได้ตอบแทนคุณพ่อแม่อย่างเต็มที่ ผ่อนปรนหนี้กรรมอุทิศผลบุญให้ญาติมิตรและเจ้ากรรมนายเวร สร้างปัจจัยไปสู่นิพพานในภพต่อๆไป ได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์ของพุทธศาสนาจิตเป็นกุศล

8. บริจาคเลือดหรือร่างกาย

อานิสงส์ - ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพแข็งแรง ช่วยต่ออายุ ต่อไปจะมีผู้คอยช่วยเหลือไม่ให้ตกทุกข์ได้ยาก เทพยดาปกปักรักษา ได้เกิดมามีร่างกายที่งดงามในภพหน้า ส่วนภพนี้ก็จะมีราศีผุดผ่อง

9. ปล่อยปลาที่ซื้อมาจากตลาดรวมทั้งปล่อยสัตว์ไถ่ชีวิตสัตว์ต่าง ๆ

อานิสงส์ - ช่วยต่ออายุ ขจัดอุปสรรคในชีวิต ชดใช้หนี้กรรมให้เจ้ากรรมนายเวรที่เคยกินเข้าไป ให้ทำมาค้าขึ้น หน้าที่การงานคล่องตัวไม่ติดขัด ชีวิตที่ผิดหวังจะค่อยๆฟื้นคืนสภาพที่สดใสเป็นอิสระ

10. ให้ทุนการศึกษา,บริจาคหนังสือหรือสื่อการเรียนต่าง ๆ ,อาสาสอนหนังสือ

อานิสงส์ - ทำให้มีสติปัญญาดี ในภพต่อ ๆ ไปจะฉลาดเฉลียวมีปัญญา ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนอย่างรอบรู้ สติปัญญาสมบูรณ์พร้อม

11.ให้เงินขอทาน, ให้เงินคนที่เดือดร้อน(ไม่ใช่การให้ยืม)

อานิสงส์ - ทำให้เกิดลาภไม่ขาดสายทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ตกทุกข์ได้ยาก เกิดมาชาติหน้าจะร่ำรวยและไม่มี หนี้สิน ความยากจนในชาตินี้จะทุเลาลง จะได้เงินทองกลับมาอย่างไม่คาดฝัน

12.รักษาศีล 5 หรือศีล 8

อานิสงส์ - ไม่ต้องไปเกิดเป็นเปรตหรือสัตว์นรก ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐครบบริบูรณ์ ชีวิตเจริญรุ่งเรือง กรรมเวรจะไม่ถาโถม ภัยอันตรายไม่ย่างกราย เทวดานางฟ้าปกปักรักษา



อานิสงส์10ข้อของการไม่กินเนื้อสัตว์

1. เป็นที่รักของบรรดาเทพ พรหม ตลอดจนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย
2. จิตอันเป็นมหาเมตตาย่อมบังเกิดขึ้น
3. สามารถตัดขาดความอาฆาต ดับอารมณ์เหี้ยมโหดเครียดแค้นในใจลงได้
4. ปราศจากโรคภัยร้ายแรงมาเบียดเบียนร่างกาย
5. มีอายุมั่นขวัญยืน
6. ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากเทพทั้งปวง
7. ยามหลับนิมิตเห็นแต่สิ่งที่ดีงามเป็นสิริมงคล
8. ย่อมระงับการจองเวร สลายความอาฆาตแค้นซึ่งกันและกัน
9. สามารถดำรงอยู่ในกระแสพระนิพพาน ไม่พลัดหลงตกลงสูอบายภูมิ
10. ทันทีที่ละสังขารจากโลกนี้ จิตจะมุ่งสู่สุคติภพ

อานิสงส์การจัดสร้างพระพุทธรูปหรือสิ่งพิมพ์อันเกี่ยวกับพระธรรมคำสอนเป็นกุศลดังนี้ : -

1. อกุศลกรรมในอดีตชาติแต่ปางก่อน จะเปลี่ยนจากหนักเป็นเบา จากเบาเป็นสูญ
2. สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง สรรพภยันตรายสลาย ปวงภัยไม่มีคนคิดร้ายไม่สำเร็จ
3. เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติแต่ปางก่อน เมื่อได้รับส่วนบุญไปแล้วก็จะเลิกจองเวรจองกรรม
4. เหล่ายักษ์ผีรากษส งูพิษเสือร้าย ไม่อาจเป็นภัยอยู่ในที่ใดก็แคล้วคลาดจากภัย
5. จิตใจสงบ ราศีผ่องใส สุขภาพแข็งแรง กิจการงานเป็นมงคล รุ่งเรืองก้าวหน้าผู้คนนับถือ
6. มั่นคงในคุณธรรม ความอุดมสมบูรณ์ปรากฏ (เกินความคาดฝัน) ครอบครัวสุขสันต์ วาสนายั่งยืน
7. คำกล่าวเป็นสัจจ์ ฟ้าดินปราณี ทวยเทพยินดี มิตรสหายปรีดา หนี้สินจะหมดไป
8. คนโง่สิ้นเขลา คนเจ็บหายได้ คนป่วยหายดี ความทุกข์หายเข็ญ สตรีจะได้เกิดเป็นชายเพื่อบวช
9. พ้นจากมวลอกุศล เกิดใหม่บุญเกื้อหนุน มีปัญญาล้ำเลิศ บุญกุศลเรืองรอง
10.สิ่งที่สร้างจะบังเกิดเป็นกุศลจิตแก่ทุกคนที่ได้พบเห็นเป็นเนื้อนาบุญอย่างเอนกทุกชาติของ ผู้สร้างที่เกิดจะได้ ฟังธรรมจากพระอริยเจ้าปัญญาในธรรมแก่กล้าสามารถได้อภิญญาหก สำเร็จโพธิญาณ

อานิสงส์การบวชพระบวชชีพราหมณ์

( บวชชั่วคราวเพื่อสร้างบุญ,อุทิศให้พ่อแม่เจ้ากรรมนายเวร )

1. หน้าที่การงานจะเจริญรุ่งเรือง ได้ลาภ ยศ สรรเสริญตามปรารถนา
2. เจ้ากรรมนายเวรจะอโหสิกรรม หนี้กรรมในอดีตจะคลี่คลาย
3. สุขภาพแข็งแรง สติปัญญาแจ่มใส ปัญหาชีวิตคลี่คลาย
4. เป็นปัจจัยสู่พระนิพพานในภพต่อๆไป
5. สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง โพยภัยอันตรายผ่อนหนักเป็นเบา
6. จิตใจสงบ ปล่อยวางได้ง่าย มองเห็นสัจธรรมแห่งชีวิต
7. เป็นที่รักที่เมตตามหานิยมของมวลมนุษย์มวลสัตว์และเหล่าเทวดา
8. ทำมาค้าขึ้น ไม่อับจน การเงินไม่ขาดสายไม่ขาดมือ
9. โรคภัยของตนเอง ของพ่อแม่ และของคนใกล้ชิดจะเบาบางและรักษาหาย
10.ตอบแทนพระคุณของพ่อแม่ได้เต็มที่สำหรับผู้ที่บวชไม่ได้เพราะติดภาระกิจต่าง ๆ ก็สามารถได้รับอานิสงส์เหล่านี้ ได้ด้วยการสร้างคนให้ได้บวชสนับสนุนส่งเสริมอาสาการให้คนได้บวช

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงตัวอย่างบุญที่ยกขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นถึงอานิสงส์ที่ ท่านพึงจะได้รับจงเร่งทำบุญเสียแต่วันนี้ เพราะเมื่อท่านล่วงลับท่านไม่สามารถสร้างบุญได้อีกจนกว่าจะได้เกิด หากท่านไม่มีบุญมาหนุนนำแรงกรรมอาจดึงให้ท่านไป สู่ภพเดรัจฉาน ภพเปรต ภพสัตว์นรก ที่ไม่อาจสร้างบุญสร้างกุศลได้ ต่อให้ญาติโยมทำบุญอุทิศให้ก็อาจไม่ได้รับบุญ ดังนั้นท่านจงพึ่งตนเองด้วยการสร้างสมบุญบารมีซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ท่านจะนำ ติดตัวไปได้ทุกภพทุกชาติเสียแต่วันนี้ด้วยเทอญ

***ส่งต่อก็ได้บุญคะ การให้ธรรมเป็นทานชนะการให้ทั้งปวง

สาธุ


วันอังคารที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2549

วิธีการแก้ปัญหาที่ผู้อื่นแก้ไม่ได้

จาก HOW TO BE TWICE AS SMART
โดย สก๊อตต์ วิทท์

การแก้ปัญหาที่คุณจะได้เรียนรู้ในโอกาสต่อไปนี้ จะเป็นวิธีที่ผิดแปลกไปจากที่คุณได้เคยเรียนรู้มา มันมิใช่วิธีเดียวกันกับที่คนส่วนมากนำมาใช้ในการแก้ปัญหา ทั้งนี้ เพราะคนส่วนมากนั้น มิใช่นักแก้ปัญหาที่ดีเท่าที่ควรจะเป็น

บุคคลซึ่งประสพความสำเร็จนั้น ส่วนใหญ่แล้ว เป็นเพราะเขาเรียนรู้ถึงวิธีที่จะจัดการกับปัญหา ที่คู่แข่งขันของเขาไม่อาจจะแก้ได้ ซึ่งเทคนิคในการแก้ปัญหาเดียวกันนี้ ย่อมจะยังประโยชน์ให้กับคุณด้วย มันจะทำให้คุณสามารถมองเห็นหนทาง ที่จะแก้ไข ในขณะที่เพื่อนร่วมงานของคุณ มองไม่เห็นเลยโดยสิ้นเชิง และคุณก็จะได้รับผลรางวัลจากมัน

วิธีการแก้ปัญหาใดที่จะช่วยคุณได้


เทคนิคในการแก้ปัญหา ซึ่งจะได้อธิบายไว้ในบทนี้ และในบทต่อไป เป็นเทคนิคอันจะนำประโยชน์มาสู่คุณได้ทุกกรณี
photoตลอด เวลาที่ผมได้ใช้ชีวิตในการทำงาน ซึ่งเกี่ยวข้องอยู่กับการสัมภาษณ์ และได้สนทนากับบุคคลที่ประสพความสำเร็จในชีวิตทั้งหลาย ผมได้บันทึกความสามารถพิเศษของเขาเหล่านั้นลงไว้ และคุณจะมั่นใจได้เลยว่า ความสามารถในการแก้ปัญหาของเขาเหล่านั้น จะอยู่ในคุณสมบัติประการแรกเสมอ

จากการที่ผมได้ศึกษาทั้งในชีวิตส่วนตัว และชีวิตในการทำงานของบุคคลเหล่านี้ ทำให้ผมได้รับความรู้เกี่ยวกับเทคนิคต่างๆ ซึ่งคุณจะหาอ่านได้จากในเเอกสารนี้ ซึ่งผมมีความเห็นว่า ถ้าเทคนิคเหล่านี้ เคยอำนวยประโยชน์ให้กับผู้อื่นมาแล้ว มันก็ย่อมอำนวยประโยชน์ให้กับคุณได้เช่นกัน ดังนี้
  1. มันย่อมทำให้คุณสามารถเผชิญกับปัญหาได้โดยไม่ย่อท้อ และทำให้มันปราชัยไปได้โดยง่าย
  2. มันจะเป็นตราที่ประทับอยู่บนตัวคุณ แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำ และการมีสายตาอันยาวไกล เพราะคุณสามารถจะลงมือปฏิบัติการได้ ในขณะที่ผู้อื่นยังตกอยู่ในภาวะวิตกกังวล
  3. มันจะช่วยส่งเสริมความเจริญก้าวหน้า ในหน้าที่การงานให้คุณอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นผลในการเลื่อนตำแหน่ง และการได้รับเงินเดือนขึ้น
  4. ช่วยให้คุณมีศักยภาพ ในการที่จะประสพความสำเร็จในธุรกิจได้ เพราะความสามารถอันยิ่งใหญ่ ในการผจญกับอุปสรรคที่ทำให้งานของคู่ต่อสู้ของคุณต้องช้าลง

การทำลายอุปสรรค 2 ประการ ที่สร้างความสับสนให้กับคนส่วนมาก


เมื่อผมบอกกับใครคนหนึ่งว่า มันมีวิธีการที่จะนำมาใช้ในการแก้ปัญหาที่ดีกว่าวิธีการที่พวกเขาใช้กันอยู่ ผมก็ได้รับการย้อนถามมาว่า "ใครละครับ ที่ต้องการวิธีการแก้ปัญหาที่ดีกว่านี้? เท่าที่ผมทำอยู่มันก็ดีอยู่แล้วนี่"

สิ่งที่คนเหล่านี้มิได้ตระหนัก และคุณเองก็อาจมิได้ตระหนัก ก็คือ ถ้า คุณมุ่งหน้าที่จะแก้ปัญหาที่มันยากลำบาก ด้วยวิธีการอันเป็นประเพณีนิยมหรืออีกนัยหนึ่ง ตามวิธีการที่ใครๆก็แก้กันแล้ว คุณจะต้องพบกับอุปสรรค 2 ประการ ที่เข้ามาขวางทางคุณได้ คือ
  1. การได้รับข้อมูลที่ผิดพลาด
  2. มีความมั่นใจที่ผิดพลาด
ซึ่งคุณจะได้เห็นถึงความสำคัญของอุปสรรค 2 ประการนี้ โดยเราจะพิจารณาในแต่ละข้อ เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่า คุณสามารถจะผ่านพ้นอุปสรรคนั้นไปได้ด้วยวิธีใด และจากนั้น เราจึงจะอธิบายไปถึงวิธีการต่อสู้กับปัญหาต่างๆที่เผชิญหน้าคุณอยู่

การขจัดอุปสรรคประการแรก :
แก้ไขความเข้าใจในข้อมูลที่ผิดพลาด และแก้ปัญหาที่ไม่อาจแก้ได้


คนส่วนมาก มักจะไม่คิดแก้ปัญหาทางด้านคณิตศาสตร์ ตามความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ แต่เป็นที่น่าแปลกใจอย่างยิ่ง ปัญหาจำนวนมากถูกแก้ด้วยวิธีเช่นนั้น ยกตัวอย่างเช่น
ถ้าคุณต้องการรู้ผลบวกของเลขจำนวนหนึ่ง มีคน 4 คนบอกกับคุณว่า ผลลัพธ์ของมันคือ 4,397 แต่มีอีกคนหนึ่งกล่าวว่า มันจะต้องเป็น 4,398 จึงจะถูก คุณจะต้องไม่ยอมรับทั้งสองคำตอบ แม้ว่าคำตอบใดคำตอบหนึ่งจะถูกต้อง แต่คุณจะต้องลองบวกเลขจำนวนนั้นด้วยตนเอง

แต่เมื่อมาถึงเรื่องของปัญหา เรากลับยอมรับในข้อมูลที่มีผู้ส่งมาให้อย่างหน้าชื่น โดยที่ไม่ยอมตรวจสอบข้อมูลความเป็นจริงเสียก่อน แล้วเราก็มานั่งสงสัยว่า ทำไมเราจึงแก้ปัญหาได้ไม่สำเร็จ ในเมื่อข้อมูลไม่ถูกต้อง คุณก็ย่อมไม่มีทางจะแก้ปัญหาได้ หรือถ้าจะแก้ได้ ก็ต้องใช้เวลานานมาก

มีหนังสือพิมพ์ฉบับประจำวันอาทิตย์ฉบับหนึ่ง ซึ่งผมเคยอ่าน ได้ตีพิมพ์แผนผังของการเล่นหมากรุก ซึ่งมีการวางหมากตามตำแหน่งต่างๆ หลังจากที่ได้มีการเดินหมากไปแล้วระยะหนึ่ง หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ ได้ท้าทายผู้อ่าน ได้พิจารณาดูเกมนี้ แล้วจะเห็นว่า ถ้ามีการเดินหมากอีกเพียง 2 ตา ก็จะสามารถชนะได้ พร้อมกับตั้งคำถามว่า การเดินหมากนั้น ควรทำอย่างไร

ผมใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วโมงในวันอาทิตย์นั้น แต่ก็มองไม่เห็นทางที่เกมนี้จะชนะกันไปได้ ด้วยการเดินหมากเพียงแค่ 2 ตา ไม่ว่าจะทดลองเดินอย่างไร ผมก็ไม่อาจหาคำตอบได้ ผมถึงกับเอากระดานหมากรุกออกมา และตั้งตัวหมากลงตามแบบที่พิมพ์ไว้ แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ช่วยอะไรเลย

ในที่สุดด้วยความหงุดหงิดใจ ผมก็มองดูวิธีการแก้ปัญหาที่พิมพ์ไว้ตรงท้ายหน้า และทันใดผมก็ได้เห็นว่า แผนผังการเดินหมากในตารางนั้นไม่ถูกต้อง เพราะมีหมากอยู่ตัวหนึ่ง ซึ่งวางอยู่ผิดตา เพราะการให้ข้อมูลที่ผิดพลาดนี่เอง ซึ่งทำให้ปริศนาดังกล่าวไม่อาจแก้ได้

กับปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงของคนเรา มันมิได้มีคำตอบที่พิมพ์ลงไว้ในท้ายหน้า คนบางคนต้องหาทางแก้เป็นชั่วโมง เป็นวัน หรือไม่ก็เป็นปี กว่าจะรู้ว่าตนเองได้รับข้อมูลที่ผิดพลาด หรือในบางครั้งก็ไม่รู้เลย

ตัวอย่างการแก้ปัญหา 3 เรื่อง


ในขณะที่คนบางคนกล่าวว่า การแก้ปัญหานั้น ในบางครั้งก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ นั่นหมายถึงว่า เขาได้ตั้งสมมติฐานอยู่บนข้อมูลที่เขามีอยู่ในมือ ซึ่งบางข้อมูลที่เขามีอยู่ หรืออาจจะทั้งหมด ล้วนแล้วแต่เป็นข้อมูลที่ผิดพลาด ส่วนบุคคลที่มีข้อมูลอันถูกต้องอยู่ในมือ ย่อมสามารถจะแก้ปัญหาที่คนอื่นเห็นว่ายากได้โดยง่าย

photoความ สามารถในการแก้ปัญหาที่ยุ่งยาก หรือแม้แต่ปัญหาที่แก้ไม่ได้ เนื่องจากการได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง เป็นสิ่งที่ข้องเกี่ยวอยู่ในชีวิต และหน้าที่การงานของผู้คนเป็นจำนวนมาก และต่อไปนี้ เป็นบางตัวอย่าง ของการแก้ปัญหา ซึ่งสามารถแก้ไขได้ด้วยการอาศัยหลักความจริง

สแตน. อี พำนักอยู่ในท้องถิ่น ซึ่งอากาศจะมีความเค็มผสมอยู่มาก โดยเฉพาะในฤดูหนาว ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาการเป็นสนิมขึ้นกับทั้งรถยนต์ และรถบรรทุก ผู้คนส่วนใหญ่ซึ่งอาศัยอยู่ในบริเวณเดียวกัน ยอมรับว่า การเป็นสนิมนั้น เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

แต่สแตน ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทรถแท๊กซี่ ไม่เคยต้องประสบกัญหาในเรื่องของสนิมเลย ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
คำตอบก็คือ สแตน มิได้ยึดถือในข้อมูลผิดๆ ที่คนส่วนมากเชื่อถือกัน เขามีความรู้เกินกว่าที่จะเชื่อในทฤษฎีที่ว่า การเกิดสนิม จะมีมากขึ้นในระหว่างฤดูหนาว

เขารู้ว่าในทุกๆ 10 องศาที่อุณหภูมิเพิ่มขึ้นเหนือจุดเยือกแข็ง อัตราของการผสมระหว่างธาตุกับก๊าซออกซิเจน จะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ซึ่งจุดนี้เป็นจุดสำคัญ เพราะการอ๊อกซ์เดชั่น ระหว่างธาตุ กับก๊าซออกซิเจน คือ กระบวนการที่ทำให้เกิดสนิม

คนส่วนมากที่อยู่บริเวณใกล้ชายทะเล ซึ่งมีความเค็มสูง จะล้างรถบ่อยครั้งในฤดูหนาว แต่พวกเขากลับแทบไม่ได้ล้างรถเลยในฤดูอื่นของปี ดังนั้น ด้วยการล้างรถตลอดฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน จึงทำให้สแตน สามารถขจัดปัญหาเรื่องสนิมให้หมดไปได้

เรื่องที่ 2 ในขณะที่ราคาค่าซื้อขายบ้านอันเป็นที่อยู่อาศัย เป็นปัญหาที่คู่สมรสมากมายหลายคู่ ซึ่งไม่มีโอกาสจะหลีกลี้ไปให้พ้นจากชีวิตที่ต้องเช่าบ้านอยู่ โจเอล กับ เกรซ เอ็น กลับได้พบวิธรการที่ดี
คู่สมรสส่วนมาก มักจะพบกับปัญหา ในการได้รับข้อมูลอย่างผิดพลาดที่ว่า การที่พวกเขาจะซื้อบ้านสักหลังหนึ่งนั้น จะทำได้ ก็ต่อเมื่อมีฐานะอยู่ในขั้นมีอันจะกินเท่านั้น แต่โจเอล กับเกรซ กลับสามารถแก้ปัญหาในการซื้อบ้าน และมีบ้านหลังเล็กๆ น่ารัก บนที่ดินครึ่งเอเคอร์ได้อย่างสบาย

ทั้งนี้ โดยโจเอล กับเกรซ ตกลงที่จะซื้อที่ดินทั้งหมด 10 เอเคอร์ และให้นายหน้าทำสัญญา ให้มีการแบ่งส่วนของที่ดินออกเป็นชิ้นๆ ละ 1/4 เอเคอร์ และให้ผู้ซื้อสามารถถือกรรมสิทธิ์ได้สองคน และแบ่งขายเสีนส่วนหนึ่ง ซึ่งเงินพิเศษที่ได้มาจากการนี้ สามารถทำให้เขาและเธอเอาไปดาวน์บ้านได้

เรื่องที่ 3 โรเจอร์ ดับบลิว เป็นสมุห์บัญชีของบริษัทขายเครื่องมือก่อสร้างแห่งหนึ่ง เขาสามารถจะช่วยบริษัทไว้ให้พ้นจากการล้มละลายได้ ด้วยการหารายได้แบบใหม่เข้าบริษัท เนื่องจากบริษัทดังกล่าว มีเครื่องจักรกลขนาดใหญ่อยู่หลายชิ้น และบางชิ้น ก็ได้แต่ตั้งอยู่ในบริษัทเช่นนั้น ทั้งนี้ เพราะเจ้าของบริษัทได้รับข้อมูลที่ผิดพลาดว่า เครื่องมือขนาดใหญ่เหล่านั้น ในปัจจุบันไม่มีผู้นิยมใช้แล้ว

แต่โรเจอร์ ได้เสนอให้มีการนำออกไปให้บริษัทอื่นเช่าเป็นรายวัน หรือรายสัปดาห์ ซึ่งการกระทำเช่นนี้ ทำให้เขาสามารถแก้ปัญหาทางด้านการเงินให้กับบริษัทได้ และโรเจอร์ ยังได้รับการเลื่อนตำแหน่ง เป็นผู้จัดการทั่วไปของบริษัทอีกด้วย

แต่ละบุคคลที่ได้ยกตัวอย่างมานี้ ได้แก้ปัญหาที่ดูเหมือนจะแก้ไม่ได้เลยในทรรศนะของผู้อื่น
อัน ที่จริงแล้ว การแก้ปัญหาต่างๆเหล่านี้ แทบจะมิได้ต้องใช้สติปัญญาแต่อย่างใดเลย เป็นแต่เพียงว่า ข้อมูลที่ผิดพลาด ได้ปิดบังภาพต่างๆไว้จากสายตา ซึ่งเขาควรจะมองเห็นมันเท่านั้นเอง

การรู้สาเหตุแห่งข้อมูลที่ผิดพลาด


มีเทคนิคมากมายในเอกสารนี้ ได้รับการพัฒนามาจากนักธุรกิจทั้งชายและหญิงที่ประสพความสำเร็จ ในโลกธุรกิจนั้น เป็นโลกที่เต็มไปด้วยการต่อสู้ และบุคคลเหล่านี้ ก็ได้ใช้อิทธิพลทางด้านจิตใจต่อสู้กับปัญหานานัปประการ เพื่อให้ตนเองสามารถรักษาตัวให้อยู่รอดมาได้

ในเมื่อเขาจะต้องพบกับคู่แข่งที่มีความสามารถทัดเทียมกัน ดังนั้น เขาจำเป็นจะต้องระมัดระวังในเรื่องของความผิดพลาดอย่างมาก ที่สุดและจะยอมรับในข้อมูลที่ผิดพลาดไม่ได้

นักธุจกิจประเภทที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่นี้ จะต้องมีความสามารถที่เหมือนกันอยู่ประการหนึ่ง คือ เขาจะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหลายด้วยตนเอง ประสบการณ์ได้สอบเขาว่า การเชื่อถือในข้อมูลที่ผิดพลาดนั้น มีราคาแพงเพียงไร

ประธานของบริษัทอุตสาหกรรมแห่งหนึ่ง ได้พูดเกี่ยวกับเรื่องข้อมูลที่ผิดพลาดในการสัมมนาระดับบริหารเมื่อเร็วๆนี้ ในการสัมมนา เขาได้ให้หัวข้อของสาเหตุแห่งการให้ข้อมูลทีผิดพลาด ซึ่งเขาได้พบมาดังนี้
  1. "ความจริง" จากบุคคลที่ถือประโยชน์ส่วนตัวเป็นสำคัญ
  2. การตั้งข้อสังเกต ของบุคคลผู้ซึ่งขาดประสบการณ์ ในหน้าที่การงานซึ่งตนทำอยู่
  3. การเตรียมข้อมูลด้วยวิธีการตั้งสมมติฐาน และผิดพลาด
  4. การเสนอรายงาน โดยมิได้ศึกษาถึงต้นเรื่องโดยละเอียดแน่ชัด
  5. การแสดงออกว่ามีความเชื่อมั่นล่วงหน้า ซึ่งมิได้ถูกต้องตั้งแต่แรก
photo ซึ่งเขาได้เล่าให้ที่ประชุมฟังว่า เมื่อใดก็ตามที่เขาต้องเผชิญหน้ากับปัญหา สิ่งแรกที่เขาจะต้องทำคือ ตรวจสอบข้อเท็จจริงเสียก่อน โดยยึดหลักว่า
  • มีความจริงประการใดที่ไม่อาจโต้แย้งได้
  • ข้อมูลใดที่ก่อให้เกิดการตั้งคำถามขึ้นมาได้
  • มีข้อมูลใดที่ขาดหายไป
เขากล่าวว่า "เมื่อคุณได้ตรวจสอบสมุหฐานแล้ว คุณอาจจะต้องพบกับความแปลกใจก็ได้ที่ว่า แท้ที่จริงแล้ว มันแทบมิได้มีปัญหาเกิดขึ้นเลย การได้รับข้อมูลที่ผิดพลาด หรือมีข้อมูลบางประการที่ขาดหายไป อาจทำให้คุณหลงเชื่อไปว่า มันมีปัญหาเกิดขึ้น ทั้งๆที่มันมิได้มีเลย"

และแม้ว่า ในบางครั้งมันจะมีปัญหาเกิดอยู่ แต่จากการตรวจสอบข้อเท็จจริง จะทำให้คุณสามารถตั้งรับได้ทัน ซึ่งคุณจะได้เห็นจากตัวอย่างในตอนต่อไป ซึ่งจะได้อธิบายถึงวิธีการนำความจริงเข้ามาใช้ เพื่อเป็นรากฐานที่จะทำให้การแก้ปัญหาง่ายขึ้น

ดังนั้น กฏประการแรกในการแก้ปัญหา ก็คือ คุณจะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อ
  • ก. พิจารณาว่า มีปัญหาเกิดขึ้นจริงหรือไม่ และ
  • ข. สร้างพื้นฐานอันมั่นคงในการแก้ปัญหานั้น
บุคคลที่ต้องประสพปัญหา ที่ท้าทายความสามารถในการแก้ปัญหาอยู่ทุกวัน จะแก้ปัญหานั้นตามหลักวิทยาศาสตร์ และการทำความเข้าใจในเรื่องของข้อมูลอันผิดพลาด คือ กฏแรกของหลักวิทยาศาสตร์

ขจัดอุปสรรคประการที่ 2
การมุ่งมั่นที่จะให้เกิดผลตามต้องการ


เมื่อใดก็ตาม ที่มีปัญหาเกิดขึ้น มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์อยู่ประการหนึ่ง คือ บังเกิด ความวิตกกังวลกับ ปัญหานั้น จนลืมไปว่า แท้ที่จริงแล้ว มันเป็นเพียงอุปสรรคที่เข้ามาขวางทางไว้ มิให้คุณเดินไปถึงเป้าหมายได้เท่านั้น คุณจะต้องให้ความสนใจในอุปสรรคดังกล่าวอย่างมาก จนทำให้มองไม่เห็นเป้าหมายที่ถูกปิดบังไว้ มิให้ประสพความสำเร็จ

เมื่อนักแก้ปัญหาที่มีความสามารถ ต้องเผชิญกับอุปสรรค เขาจะมองข้ามอุปสรรคนั้น ไปยังเป้าหมายที่ตนแสวงหาอยู่ พร้อมกันเขาก็จะพิจารณาแนวทางต่างๆ ที่ให้ตนเองได้บรรลุความสำเร็จตามเป้าหมายให้ได้ และบ่อยครั้งที่เขาได้พบว่า แท้ที่จริงแล้ว มันแทขจะไม่มีปัญหาใดๆ เกิดขึ้นเลย

ขอให้คุณลองใช้ความคิด เกี่ยวกับแนวความคิดทางด้านธุรกิจต่างๆ ที่ต้องถูกทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย ทั้งนี้เพราะเจ้าของแนวความคิดนั้น ไม่สามารถจะหาเงินในจำนวนที่พอเพียง เพื่อทำให้ตนเองทำงานให้บรรลุเป้าหมาย ตามแนวความคิดที่ตั้งไว้ได้ มันเป็นอุปสรรคที่ทำลายธุรกิจนั้น ๆ ตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่มต้นด้วยซ้ำ

สถานที่ซึ่งจะให้การสนับสนุนทางด้านการเงิน แก่ธุรกิจประ เภทต่างๆนั้น ก็เห็นจะมีแต่ธนาคาร ซึ่งมีอยู่มากมายประจำท้องถิ่นต่างๆ เพียง แต่ออกจะเป็นที่น่าเสียดาย ที่มีนักธุรกิจนับพัน ที่ได้พบว่า ธนาคารที่ตนเข้าไปขอการสนับสนุนนั้น มิได้ให้ความร่วมมือฉันท์มิตรด้วยเลย

ทั้งนี้ ดูคล้ายกับว่า ธนาคารทั้งหลายเหล่านั้น ไม่พอใจในการที่จะให้กู้เงิน โดยเฉพาะกับธุรกิจที่ยังมิได้พิสูจน์ผลให้เห็นชัด
แต่ถ้าคุณสามารถจะเสนอโครงการ ซึ่งได้ทดลองทำไปแล้ว และมีทางที่จะประสพความสำเร็จได้ คุณก็อาจจะกู้เงินมาดำเนินกิจการต่อได้
แต่ถ้าคุณขาดเงิน ที่จะมาดำเนินการตามแผนที่วางไว้ตั้งแต่แรกเล่า คุณจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่า ธุรกิจดังกล่าวนั้นจะได้ผล

สำหรับนักธุรกิจคนอื่นๆ อาจจะเห็นว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ และก็มีคนจำนวนมาก ที่ต้องยกเลิกธุรกิจที่ตนเคยดำริไว้ แต่ทว่า ไม่ใช่ผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งผมกำลังจะเล่าเรื่องของเธอให้คุณฟัง

เมื่อเส้นทางสายเดิมถูกตัดขาด


พาเมล่า เอส. เป็นแม่ม้ายสาวสวย ผู้เต็มไปด้วยแนวความคิด แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นกับเธอก็คือ แนวความคิดที่เธอมีอยู่นั้น จะต้องใช้เงินถึง 20,000 เหรียญ ซึ่งเธอไม่มี

ความคิดของเธอ ก็คือ จะตั้งศูนย์บริการคอมพิวเตอร์ให้เช่า แก่บรรดานักธุรกิจทั้งหลาย ซึ่งศูนย์บริการดังกล่าว จะอำนวยประโยชน์ให้กับทั้งนักกฏหมาย นักลงทุนในตลาดหุ้น นักลงทุนประเภทซื้อหุ้นโภคภัณฑ์ COMMODITY และอื่นๆ ซึ่งนักธุรกิจเหล่านี้ จะมาใช้บริการที่ศูนย์ หรือเช่าเครื่องไปตั้งไว้ในบ้านก็ได้

photo พาเมล่า กล่าวว่า " เพียงการพิมพ์ข้อมูลใส่ลงในเครื่องเพียงไม่กี่ตัว ลูกค้าก็สามารถจะได้รับรู้รายละเอียดที่ตนต้องการกลับมา ซึ่งโดยปรกติแล้ว เป็นการยากยิ่งที่จะให้รายละเอียดนั้นๆ แต่การที่จะเริ่มต้นธุรกิจนี้ ฉันจำเป็นจะต้องตั้งศูนย์บริการขึ้นตามจุดต่างๆ และจำเป็นจะต้องมีเงินสำรองไว้ใช้จ่ายในการโฆษณา รวมทั้งค่าใช้จ่ายจิปาถะในตอนเริ่มแรก และเพราะฉันมีประวัติในการทำกิจการเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์อยู่แล้ว ฉันก็คิดว่า มันย่อมมีทางเป็นไปได้ที่จะกู้เงินจำนวนนั้นมาจากธนาคาร แต่แล้วฉันก็ต้องพบกับความแปลกใจอย่างที่สุด"

ปรากฏว่า ธนาคารทุกแห่งที่เธอเข้าไปติดต่อ ต่างปฏิเสธที่จะให้เธอกู้เงินจำนวน 20,000 เหรียญนั้น ซึ่งเพเมล่าไม่รู้ว่า เพราะเธอเป็นเพียงผู้หญิง หรือเพราะเหตุผลที่ว่า แม้ว่าเธอจะมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องคอมพิวเตอร์มาอย่างดี แต่ก็มิได้หมายความว่า เธอจะต้องเป็นนักลงทุนที่ดี

ไม่ว่าเธอจะใช้ความพยายามเพียงใด เธอก็ไม่ประสพความสำเร็จ ในการเดินตามเส้นทางสายเดิม คือ แสวงหาเงินกู้เพื่อสนับสนุนธุรกิจ เช่นที่ใครๆเขาทำกัน

"ทันใดนั้นฉันก็เกิดความคิดขึ้นมา " พาเมล่าเล่าต่อ "ว่าฉันให้ความสนใจในเรื่องการหาเงินกู้มาสนับสนุนธุรกิจของตัวเองมากเกินไป ฉันทำให้มันกลายเป็น เป้าหมาย ไปโดยไม่รู้ตัว แทนที่จะตระหนักถึงเป้าหมายอันแท้จริงว่า ฉันต้องการเงิน 20,000 เหรียญ มาดำเนินงานตามโครงการ เพราะฉะนั้น เมื่อเป้าหมายเปลี่ยนไปอยู่ที่เงิน 20,000 เหรียญ ฉันจะได้เงินนั้นมาด้วยวิธีใดย่อมไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะความสำคัญมันอยู่ตรงที่ว่า ให้ได้เงินจำนวนนั้นมาก็แล้วกัน"

เมื่อได้ตระหนักชัดในสิ่งนี้ พาเมล่าก็เริ่มมองหาทางออกด้วยวิธีต่างๆ และในที่สุด ก็พบทางออกที่ง่ายที่สุด นั่นก็คือ เพิ่มเงินค่าจำนองบ้าน ที่ได้นำไปจำนองไว้กับธนาคารอีก 20,000 เหรียญ ซึ่งปรากฏว่า ทางธนาคารยินดีทำตามความประสงค์ของเธอ ขึ้นค่าจำนองให้ตามจำนวนเงินที่เธอต้องการ

ใช้เลนส์ขยาย


ซึ่งจากประสบการณ์นี้เอง ได้สอนให้พาเมล่า ได้รู้ซึ้งถึงบทเรียนอันสำคัญในอันที่จะพัฒนา และขยายธุรกิจของเธอออกไป จนประสพความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง
"เมื่อใดก็ตามที่ปัญหาเกิดขึ้น" เธอกล่าว "ฉันจะต้องเอาแว่นขยายมาใช้ มิใช่แว่นธรรมดา ที่ฉันพูดเช่นนี้ ก็หมายความว่า ฉันจะมองไกลไปให้ถึงเป้าหมาย มากกว่าที่จะมองติดอยู่แค่อุปสรรคที่ขวางกั้น และฉันก็ได้พบกับวิธีการแก้ปัญหา ซึ่งมิได้อยู่ไกลจนเกินความสามารถเลย"

และผมเองก็ได้พบว่า บุคคลที่ประสพความสำเร็จในธุรกิจทุกประการของชีวิต ก็ใช้วิธีการเดียวกันนี้ทั้งนั้น
ดังนั้น กฏประการที่ 2 ของการแก้ปัญหาก็คือ

"จงมองไปให้ถึงเป้าหมาย และพิจารณาหาทางออก ที่จะกระทำเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น"
ถ้าฟังดูอย่างผิวเผินแล้ว คล้ายกับว่า คุณพยายามที่จะหลีกเลี่ยงจากปัญหาเฉพาะหน้า แต่จะเป็นอะไรไปเล่า? ในเมื่อบุคคลผู้ประสบความสำเร็จในชีวิต เขาก็มีวิธีการที่จะหาทางออกที่ง่ายที่สุด เพื่อการแก้ปัญหาของตนเองด้วยกันทั้งนั้น

สมองที่ปลอดโปร่งแจ่มใส


เมื่อใดก็ตาม ที่คุณต้องเผชิญกับอุปสรรคอันขวางกั้นคุณไว้มิให้คุณสามารถแก้ปัญหาได้ง่าย คุณจะต้องรวบรวมพลังสมองให้ทำงานอย่างเต็มที่ ดังนั้น การที่คนเรามีสมองปลอดโปร่งแจ่มใส จึงทำให้สามารถที่จะเข้าใจ และนำพลังสมองนั้นมาใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ และยิ่งกว่านั้น บุคคลที่สามารถใช้พลังสมองได้อย่างเต็มที่ ย่อมสามารถค้นคว้าหาข้อมูล และทางออกได้มากกว่าคนอื่นๆ

ระบบการแก้ปัญหาที่ได้อธิบายไว้ในบทนี้ จะช่วยเพิ่มพลังสมองให้กับคุณ เพื่อนำมันไปใช้เป็นอาวุธได้ นั่นคือ
  • การเพิ่มพูนความเชี่ยวชาญ ในการคิดหาเหตุผล
  • การเพิ่มความสามารถ ในการมองหาหนทางแก้ปัญหาของจิตใต้สำนึก
  • ความสามารถในการแก้ปัญหา ด้วยวิธีการสร้างภาพพจน์
เมื่อคุณมีอาวุธ 3 ประการนี้อยู่ในมือ คุณย่อมสามารถวางผังของปัญหาไปจนกระทั่งถึงวิธีการแก้ไขได้โดยง่าย แต่ก่อนหน้าที่ผมจะอธิบายถึงวิธีการดังกล่าว คุณจะต้องรู้เสียก่อนว่า เพราะเหตุใด ระบบนี้จึงใช้ได้ผล

เครื่องมือที่จะช่วยเพิ่มพูนความเชี่ยวชาญในการหาเหตุผล


เมื่อคุณเผชิญหน้ากับปัญหานั้น คุณมักจะกระทำในประการใดประการหนึ่งหรือทุกประการ ดังนี้
  1. เกิดความยุ่งยากสับสนขึ้นในสมอง
  2. ปรึกษาหารือกับเพื่อนร่วมงาน
  3. ทดลองหาทางออกด้วยวิธีการผิดๆ ถูกๆ ต่างๆ เพื่อแก้ปัญหา
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ คือเทคนิคในการแก้ปัญหาตามแบบมาตรฐาน ซึ่งในบางครั้ง มันก็ได้ผล แต่กระนั้น แม้ว่ามันจะดูเป็นวิธีการที่น่าจะดี แต่คุณจะประสบความล้มเหลว ในการใช้พลังในการคิดหาเหตุผล ... ซึ่งเครื่องมือที่คุณสามารถจะนำมาใช้เพื่อเสริมสร้างพลังดังกล่าว เป็นเพียงเครื่องมือง่ายๆ เช่น กระดาษ ดินสอ กับเทปบันทึกเสียงแบบคาสเซทเท่านั้น

วิธีการหนึ่งของเทคนิคในการแก้ปัญหา ซึ่งจะได้แนะนำในบทนี้ ให้คุณวางผังการแก้ปัญหาลงบนกระดาษ ด้วยวิธีเขียนหัวข้อของปัญหาขึ้น และเมื่อคุณสามารถหาวิธีตามขั้นตอนในการแก้ปัญหานั้นๆแล้ว คุณก็จดบันทึกลงไป คนส่วนมากใช้วิธีการเขียนนี้ เพื่อเตือนความจำของตนเอง

แต่การบันทึกของคุณในครั้งนี้ จะมิใช่ด้วย้หตุผลเดียวกันกับพวกเขา นักจิตวิทยาได้ค้นพบว่า สมองของคนเรานั้น จะทำงานอย่างเคร่งครัดขึ้น เมื่อมีสิ่งที่จะวางให้ทำอยู่ตรงหน้า ความคิดของคุณอาจสับสน และคิดอะไรต่อมิอะไร ไปได้ร้อยแปดพันประการ ถ้าคุณมัวแต่พิศวง สงสัยอยู่กับปัญหาที่เกิดขึ้น

แต่ถ้าคุณได้ เขียนปัญหานั้นลงในกระดาษ เท่ากับคุณถูกบังคับให้ตั้งสมาธิอันแน่วแน่ อยู่แต่เฉพาะเรื่องราวที่เขียนขึ้นไว้ และถ้าคุณกระทำตามแนวทางที่ผมจะแนะนำต่อไป เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาได้แล้ว กระบวนการในการหาเหตุผลอย่างมีระบบ จะเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานขึ้นอีกมาก

photo บุคคลผู้จะต้องเผชิญอยู่กับปัญหาอยู่เสมอ ได้พบว่า การพกเทปติดตัวไว้สามารถช่วยเขาได้มาก ยกตัวอย่างเช่น เอ็ด เจ ซึ่งเป็นนักธุรกิจทางด้านโฆษณา
" งานของผมเต็มไปด้วยความวุ่นวายอยู่ตลอดเวลา ผมมักจะถูกขัดจังหวะเสมอ ในทุกครั้งที่ลงมือตั้งผังปัญหา กับวิธีการแก้ไขปัญหานั้นๆ " เอ็ดเล่า "มันทำให้ผมต้องวางปัญหาที่เกิดขึ้นไว้ แล้วก็หันไปทำเรื่องอื่นเสียก่อน และเมื่อเวลามันผ่านไป เพราะมีงานอื่นแทรกซ้อนเข้ามา ผมก็ลืมแนวความคิดต่างๆ ที่จะนำมาใช้ในการแก้ปัญหาแล้ว และผมก็ได้พบว่า ในบางครั้ง วิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดนั้น ผมมักจะคิดขึ้นมาได้ในระหว่างเวลาที่ขับรถอยู่"

"ทีนี้เนื่องจากผมพกเทปติดกระเป๋าไว้ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น มันก็เป็นการง่ายที่ผมจะบันทึกความคิดนั้นๆ ลงไว้ก่อนที่ตัวเองจะลืม เมื่อผมกลับมาที่สำนักงาน ผมก็จะเปิดเทปฟัง แล้วก็เอาแนวความคิดที่ได้มานั้น ใส่ลงในผังที่ทำไว้"

จิตใต้สำนึก สามารถช่วยให้คุณแก้ปัญหาได้อย่างไร


เมื่อคุณเริ่มเขียนปัญหาที่เกิดขึ้นลงในผัง คุณไม่เพียงแต่จะเขียนมันลงในหน้ากระดาษเท่านั้น แต่คุณยังส่งเรื่องราวของปัญหานั้นเข้าไปยังจิตใต้สำนึกได้อีกด้วย เท่ากับคุณสั่งให้มันหาวิธีการแก้ไขให้กับปัญหานั้น แม้ในขณะที่สามัญสำนึกของคุณจะเลยไปทำเรื่องอื่นแล้วก็ตาม

เนื่องจากมันเป็นจิตที่อยู่ใต้สำนึก ดังนั้น เราจึงไม่ใครรู้ว่า มีอะไรที่กำลังเกิดอยู่ภายในส่วนลึกของจิตใจเรา และเราแทบจะไม่เคนตระหนัก ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของมัน ในการที่จะช่วยแก้ปัญหาให้กับเราได้ด้วย และที่แน่นอนที่สุด ก็คือ คนส่วนมากไม่รู้วิธีที่จะใช้พลังจากจิตใต้สำนึกของตนให้เป็นประโยชน์

ศาสตราจารย์ทางด้านจิตวิทยา ซึ่งเป็นเพื่อนของผมคนหนึ่ง เปรียบเทียบจิตใจของมนุษย์เรา เป็นเช่น ภูเขาน้ำแข็ง เขากล่าวว่า
"ภูเขาน้ำแข็งนั้น 3 ใน 4 ส่วนของมัน จะจมอยู่ใต้ผิวหน้าของพื้นน้ำ ดังนั้น จะเหลือเพียงแค่ 1 ใน 4 ที่จะลอยพ้นน้ำขึ้นมาให้เรามองเห็นได้ คุณลองเปรียบเทียบส่วนที่ลอยอยู่เหนือน้ำ กับสามัญสำนึกของคนเรา คือเป็นส่วนที่จะให้เหตุผลกับคุณ และคิดถึงส่วนที่จมอยู่ใต้ผิวน้ำว่า เป็นจิตใต้สำนึก ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า 3 เท่าตัว และมีความสำคัญมากกว่าสามัญสำนึกถึง 3 เท่าด้วย"

มีคนเป็นจำนวนมาก ที่เคยได้ยินเรื่องราวการทำงานของจิตใต้สำนึก อย่างน่ามหัศจรรย์ใจมาแล้ว แต่น้อยคนนัก ที่จะคุ้นเคยกับบทบาทอันมีศักยภาพของมันในการแก้ปัญหา เขาไม่เคยรู้เลยว่า นั่นคือ อิทธิพลอันมีพลังที่สุดของจิตใจ

บุคคลที่สามารถใช้จิตใต้สำนึกช่วยแก้ปัญหาให้กับเขาได้ ต่างประสพความสำเร็จมาแล้วนับไม่ถ้วน และต่อไปนี้ เป็นบางประการสำคัญ ที่คุณควรจะมีความรู้เกี่ยวกับจิตใต้สำนึก

1.มันตกอยู่ใต้อำนาจของการเสนอแนะ
ซึ่งหมายความว่า มันยอมรับ ในความคิดเกือบจะทุกประการ ที่คุณใส่เข้าไปให้ ซึ่งเรื่องนี้แตกต่างไปกว่าสามัญสำนึก เพราะมันมิได้ถูกควบคุมอยู่ด้วยเหตุผล ดังนั้น มันจึงไม่โต้แย้งกับทุกสิ่งที่คุณบอกมัน ยกตัวอย่าง เช่น ถ้าคุณจะบอกกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า "ผมนี่แหละคือเอกอัครมหาเศรษฐี" จิตใต้สำนึกของคุณก็เชื่อตามนั้น แม้ว่าสามัญสำนึกจะรู้อยู่ว่า มันไม่เป็นความจริง

บางคนก็เปรียบเทียบมันว่า เป็นเสมือนนักสะกดจิต เมื่อนักสะกดจิตบอกกับใครสักคนหนึ่งว่า ขณะนี้ เขากำลังรู้สึกหนาวเหลือเกิน บุคคลผู้นั้นก็จะสั่นสะท้านขึ้นมาทันที แต่คุณไม่จำเป็นจะต้องเป็นนักสะกดจิตเลย เมื่อต้องการใช้ประโยชน์จากจิตใต้สำนึก

2. ในสมองของคุณนั้น มีความสามารถมากพอที่จะเก็บข้อมูลของหนังสือไว้ได้ถึง 90,000,000 เล่ม
ดังนั้น ภายในจุดใดจุดหนึ่งของสมอง มีข้อมูลที่คุณต้องการซุกซ่อนอยู่ และนั่นคือ หนทางในการแก้ปัญหา เกือบจะทุกประการที่คุณต้องเผชิญ ออกจะเป็นที่น่าเสียดายว่า ในสามัญสำนึกของคุณ มีเนื้อที่สำหรับเก็บข้อมูลต่างๆ เพียงน้อยนิด

3. เมื่อใดก็ตาม ที่คุณผจญกับอุปสรรคในการแก้ปัญหา คุณสามารถจะบอกกับจิตใต้สำนึกได้ว่า ณ ที่ใดที่หนึ่ง ลึกลงไปในจิตใจของคุณนั้น มันมีแนวความคิดอันจะนำไปสู่หนทางแก้ปัญหาอยู่
ดังนั้น แม้ว่าคุณจะหันไปทำงานอื่นแล้ว แต่จิตใต้สำนึกก็ยังทำงานให้คุณ ด้วยการค้นหาลงไปในความทรงจำ และเหตุการณ์ที่เข้ากับสภาพของสิ่งแวดล้อมที่กำลังเกิดปัญหาอยู่ และมันจะส่งผ่านข้อมูลขึ้นมายังสามัญสำนึก อย่างที่คุณอาจนึดไม่ถึงมาก่อนเลย

การใช้งานจิตใต้สำนึกในลักษณะนี้ ย่อมคล้ายคลึงกับการที่หลายครั้งหลายหน คุณรู้ว่ามันมีถ้อยคำ หรือชื่อของใครสักคนหนึ่ง ขึ้นมาติดอยู่ตรงริมฝีปาก แต่คุณคิดเท่าไร่ก็คิดไม่ออก หลังจากที่ใช้ความพยายามอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง คุณก็เลิกล้มความตั้งใจ แต่แล้ว เมื่อเวลาผ่านไป อาจจะเป็นชั่วโมงหรือเป็นวัน ในขณะที่คุณมิได้คิดถึงเรื่องนั้นอีกเลย ทั้งถ้อยคำ และชื่อ ก็สว่างวาบขึ้นมา ในดวงความคิด นั่นละ คือการทำงานของจิตใต้สำนึก

คุณรู้อยู่แล้วว่า มันจะต้องมีข้อมูลที่ถูกฝังลึกอยู่ในดวงความคิดของคุณตรงจุดใดจุดหนึ่ง แต่คุณไม่สามารถจะเอามันออกมาใช้ได้ในทันที ดังนั้น จิตใต้สำนึกจึงช่วยควานหาให้คุณ

แต่เมื่อมาถึงจุดนี้ โปรดจำไว้ด้วยว่า ผมมิได้กำลังบอกกับคุณ ถึงวิธีการที่คุณจะใช้จิตใต้สำนึก เป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาเลย ผมเพียงแต่เล่าถึงเหตุผลที่ว่า ทำไมมันจึงใช้ได้ผล ส่วนวิธีการที่จะแนะนำนั้น ขอให้อดใจรออีกสักนิด

ประหยัดเวลาในการใช้ความพากเพียร


วอลเตอร์ เอ็ม. ผู้จัดการฝ่ายผลิต ของบริษัทอุตสาหกรรมอิเล็คโทรนิคส์ใช้จิตใต้สำนึกเป็นเครื่องมือในการทำงาน เขากล่าวว่า "เมื่อมีความผิดพลาดเกิดขึ้นในงานของผม มันก็จะมีความผิดพลาดที่เชื่อมโยงกันไปหมด และใหญ่โตเกินกว่าความคาดหมายทีเดียว คุณจะเห็นว่า ผลิตภัณฑ์ของบริษัทเรานั้น ต้องประกอบด้วยอุปกรณ์ชิ้นเล็กชิ้นน้อย ที่เราสั่งซื้อมาจากบริษัทอื่นๆ ซึ่งถ้าอุปกรณ์ชิ้นใดชิ้นหนึ่ง เดินทางมาถึงเราไม่ทันเวลา ตามที่ได้กำหนดไว้ การผลิตทั้งหมดจะต้องยุติลงโดยสิ้นเชิง"

"เพราะฉะนั้น มันเป็นหน้าที่ของผม ที่จะต้องทำให้งานดำเนินไปได้ด้วยดี และคุณก็คงจะมองเห็นภาพว่า ผมจะต้องพบกับอะไรบ้าง เมื่อมีอุปกรณ์บางชิ้นขาดหายไป ผมจะต้องหามันมาให้ได้จากที่ใดที่หนึ่ง ขณะเดียวกัน ลูกค้าของเราก็ตั้งความหวังไว้ว่า เราจะต้องส่งของให้เขาทันเวลา ตามที่ได้ทำสัญญากันไว้"

"ถ้าจะเปรียบก็เหมือนกับการเล่นจิ๊กซอว์ (ตัวต่อ) นั่นเอง คือคุณจะต้องเอาชิ้นส่วนต่างๆ มาบรรจุลงให้ลงตัว เพื่อให้งานของบริษัทดำเนินไปได้ ทำให้ลูกค้าพอใจ และการผลิตดำเนินไปได้คล่องตัว โดยไม่มีอะไรติดขัด ในบางครั้ง มันก็จำเป็นจะต้องใช้ความพากเพียรอย่างเหลือเกิน ที่จะให้งานของเราลงตัว และออกมาเป็นผลอันน่าพอใจ"

"และตรงจุดนี้เองที่ผมจะเรียกพลังจากจิตใต้สำนึกออกมาใช้"
"ผมรู้ดีว่า ลึกลงไปในดวงความคิดนั้น มันมีองค์ประกอบ ที่พร้อมจะให้เรานำออกมาใช้ในทุกยามที่ต้องการ ดังนั้น สิ่งที่ผมมักจะทำอยู่เสมอ ก็คือ ปล่อยให้จิตใต้สำนึกเป็นผู้ให้คำตอบนั้นแก่ผม ถ้าปัญหาที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องที่ยุ่งยากซับซ้อน และไม่อาจแก้ไขได้ในทันที ผมจะพักมันไว้ก่อน เพราะรู้อยู่ว่า มันจะต้องมีวิธีแก้ได้แน่ และวิธีแก้ไขจะต้องเกิดขึ้นในความคิดของผมเอง"

photo "จากนั้น ผมจะทำจิตใจให้สบาย แล้วก็หยิบงานอื่นมาทำต่อไป ซึ่งไม่นานนัก โดยปรกติแล้ว มักจะเป็นภายในวันเดียวกันนั้นเอง หรืออย่างมากก็ภายใน 24 ชั่วโมง วิธีการแก้ปัญหาต่างๆ ก็จะปรากฏขึ้นในสมอง และมันมักจะเกิดขึ้น ในขณะที่ผมแทบไม่ได้นึกถึงมันเลย "

"ขณะที่วิธีการแก้ปัญหาเกิดขึ้นนั้น ผมก็จะจดมันลงไว้ หรือไม่ก็บันทึกลงไว้ในเทป หลังจากนั้น เมื่อมีโอกาส ผมก็จะเอาผังปัญหาออกมากาง และเริ่มมองดูว่า วิธีการแก้ปัญหาใดที่จะนำมาใช้ได้บ้าง และจะแก้ตรงจุดใด และผมก็สามารถแก้ไขปัญหานั้นๆ ให้ผ่านพ้นไปได้"

ความสามารถในการแก้ปัญหา ด้วยการมองให้เห็นภาพ


เมื่อคุณมองเห็นวิธีการแก้ปัญหา นั่นหมายความว่า คุณกระทำตามสามัญสำนึก แต่แนวความคิดต่างๆที่เกิดขึ้นกับคุณนั้น ส่วนใหญ่แล้ว เกิดขึ้นจากระดับของจิตใต้สำนึกทั้งสิ้น สูตรในการแก้ปัญหา ด้วยการมองให้เห็นภาพ ซึ่งจะได้เสนอไว้ในที่นี้ มิใช่จะได้ผลเสมอไป เพราะในบางครั้ง มันก็อาจจะไม่ก่อให้เกิดผลอะไรขึ้นมา แต่มันเป็นวิธีการง่ายๆ ที่จะนำมาใช้ และเป็นการใช้เวลาที่น้อยมาก ซึ่งมีค่าควรแก่การทดลอง

สิ่งที่คุณจะต้องปฏิบัติก็มีดังต่อไปนี้
  • จงหามุมสงบ ที่จะไม่มีผู้ใดเข้าไปรบกวนคุณได้
  • จงใช้ความคิด เกี่ยวกับผลลัพธ์ที่ดีที่สุดของปัญหา ที่คุณกำลังเผชิญอยู่ แล้วคุณจะยังไม่รู้ว่าจะหาทางแก้ไขมันได้อย่างไร แต่คุณก็รู้ถึงผลลัพธ์ที่คุณต้องการ จงมองให้เห็นภาพนี้ในจิตใจ ให้กระจ่างชัดที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้
  • จงย้อนหลังไปทีละขั้นตอน ประการแรก คุณมองเห็นภาพของผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้นแล้ว ต่อไปจงมองให้เห็นภาพว่า มีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้าที่ปัญหาจะได้รับการแก้ไข อะไรคือขั้นตอนสุดท้าย ที่จะนำวิธีการแก้ปัญหามาให้ และ และอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านั้น... และก่อนหน้านั้น?
ขอให้คุณใช้ความคิดย้อนหลังในลักษณะนี้ไปเรื่อยๆ มองให้เห็นภาพแต่ละขั้นตอน ในขณะที่ยังมองไม่เห็นทางแก้ไขปัญหา และในเวลาไม่นาน คุณก็จะมองเห็นภาพวิธีการแก้ปัญหาทั้งหมดได้

เหตุผลที่ว่า ทำไมการมองให้เห็นภาพดังกล่าวนี้ จึงมักนำมาใช้ในการแก้ปัญหาอย่างได้ผล นั่นก็คือ ในขณะนั้น จิตใต้สำนึกของคุณ ถูกบังคับให้ทำงานในทันที โดยปรกติแล้ว จิตใต้สำนึกของคนเราจะใช้เวลาอยู่ช่วงหนึ่ง ในการถ่ายทอดข้อมูลที่คุณต้องการออกมาให้

และ ด้วยเหตุผลนี้เอง เมื่อคุณต้องการความช่วยเหลือจากมัน คุณจึงจำเป็นจะต้องสร้างความปลอดโปร่งแจ่มใสให้เกิดขึ้น และหันไปหางานอื่นเสีย รอเวลาที่แนวความคิดอันถูกต้องจะปรากฏขึ้น การที่คุณพยายามมองย้อนหลังไปให้เห็นภาพในลักษณะนี้ เป็นการบังคับให้สมองสร้างจินตนาการขึ้น และจินตนาการนั้น ก็มีความสัมพันธ์อันใกล้ชิดอยู่กับจิตใต้สำนึก

บ่อยครั้งที่เราได้พบว่า ในการที่เราใช้ความคิดย้อนหลังนั้น จิตใต้สำนึกจะเสนอข้อมูลออกมาเพื่อให้เราสามารถมองย้อนหลังไปได้เรื่อยๆ และไม่นาน เราก็จะสามารถหาทางแก้ปัญหานั้นได้ โดยปรกติแล้ว ในการแก้ปัญหาด้วยวิธีการสร้างภาพย้อนหลังนี้ มักจะใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที ซึ่งถ้าคุณหาหนทางแก้ปัญหาด้วยวิธีปรกติธรรมดาแล้ว จะใช้เวลาเพียงเท่านี้ไม่ได้เลย ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า เทคนิคในการมองให้เห็นภาพย้อนหลังนั้น เป็นการรวบรวมพลังของจิตใต้สำนึกทั้งมวล รวมทั้งสามัญสำนึกออกมา และใช้ให้เป็นประโยชน์

วิธีทำให้ปัญหายากยิ่งง่ายขึ้น


บุคคลที่เป็นตัวอย่างของการทำปัญหายากยิ่ง ให้เป็นเรื่องง่ายนั้น เห็นจะได้แก่ บาร์รี่ อาร์ เหนือสิ่งอื่นใด ก็คือ เขาได้ทำอะไรบางอย่างที่คนส่วนมาก ไม่เคยคิดฝันถึงว่า จะทำเลยด้วยซ้ำ นั่นก็คือ เขาคิดตั้งธนาคารขึ้นมาจากเศษเงิน

บาร์รี่ มองเห็นความจำเป็นในการที่จะต้องมีการตั้งธนาคารขึ้น ในชุมชนที่เขาอยู่อาศัยที่ขยายตัวขึ้นทุกวัน ประสบการณ์ทางด้านการธนาคาร ก็คือ เขาเคยเป็นพนักงานรับจ่ายเงินของธนาคารอยู่ ชั่วระยะเวลาหนึ่ง หลังจากนั้น ก็ถูกย้ายไปประจำอยู่ที่ฝ่ายสินเชื่อ

เขายอมรับว่า แนวความคิดในการตั้งธนาคารนี้ เกิดขึ้นกับเขาอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งเขาได้อ่านบทความในนิตยสาร ที่แนะนำเกี่ยวกับสูตรในการสร้างผังเกี่ยวกับปัญหา ซึ่งคุณเองก็ได้เรียนรู้ในโอกาสต่อไป
ปัญหาของบาร์รี่ เกี่ยวกับการตั้งธนาคารนั้น อยู่ตรงที่ว่า มัน เป็นงานที่เขาไม่เคยทำมาก่อนเลย และยังมีคนอีกเป็นจำนวนมากที่มองเห็นว่า เขามิใช่บุคคลที่มีคุณสมบัติพอที่จะทำได้ เห็นได้ชัดว่า มันเป็นปัญหาใหญ่ ซึ่งคนส่วนมากไม่เคยคิดที่จะเผชิญ แต่บาร์รี่ก็ทำได้ ด้วยการย่อยงานจากชิ้นใหญ่ลงเป็นชิ้นเล็กๆ และสามารถจะทำได้

เขาใช้วิธีเขียนวิธีการแต่ละขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับการตั้งธนาคารลงไว้ และรู้ได้ในทันทีว่า งานชิ้นเล็กๆ นั้น เป็นงานที่สามารถทำได้โดยง่าย เมื่อค่อยๆทำไปทีละขั้นตอน สิ่งแรกที่บาร์รี่ทำก็คือ เขียนปัญหาของเขาลง

การเขียนปัญหาของตนเองลงไว้นั้น เป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันจะช่วยให้คุณสามารถเข้าใจได้ทันทีว่า ปัญหาที่ตนเองประสบอยู่คืออะไร และมันทำให้คุณเดินไปตามเส้นทางในการที่จะแก้ปัญหาอันเป็นอุปสรรคที่กีดขวาง เส้นทางนั้นไว้

คุณจะได้เห็นว่า ปัญหาของบาร์รี่นั้น มิใช่เรื่องของการคิด "ตั้งธนาคาร" ขึ้นเท่านั้น แต่มันยังเป็นปัญหาทางด้านความรู้ การสนับสนุนจากบุคคลในชุมชน และจำนวนเงินที่จะนำมาลงทุนตามต้องการ เมื่อเขารู้ปัญหาแล้ว บาร์รี่จึงเขียนขั้นตอนที่จะต้องทำ 4 ประการแรกขึ้น คือ
  1. ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับกฏหมายของรัฐและหนทางในการปฏิบัติ เพื่อการจัดตั้งธนาคารขึ้น หาความรู้จากหนังสือในห้องสมุด และเข้ารับการอบรมด้านการธนาคาร จากมหาวิทยาลัยในชุมชนแห่งนั้น
  2. ทำทะเบียนรายชื่อนักธุรกิจในเมืองที่อยู่อาศัย จากนั้นก็เสนอแนวความคิดต่อพวกเขา ในการจัดตั้งธนาคารทีละคน เพื่อหาความรู้ว่า จะมีผู้ใดให้ความสนใจที่จะร่วมลงทุนในการนี้บ้าง
  3. ทำสัญญาอย่างแน่นหนา และรับการร่วมลงทุนจากบุคคลที่มีความสนใจ
  4. ใช้งบประมาณจ่ากเงินลงทุน จ้างทนายความเพื่อให้การแนะแนวทางในการจัดตั้งบริษัทธนาคารขึ้น
แน่นอน ที่มันยังมีขั้นตอนอีกมาก ที่เกี่ยวกับการจัดตั้งธนาคารดังกล่าว แต่คุณก็สามารถจะมองเห็นได้จากขั้นตอน 4 ประการแรกนี้ว่า เป้าหมายอันสูงส่งของบาร์รี่ ได้กลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นมาในทันที ทั้งนี้ เพราะเขาพยายามแก้ปัญหาไปทีละขั้นตอน

ถ้าคุณจะไม่ได้ความรู้อะไรเลยจากการอ่านบทความชิ้นนี้ นอกเสียจากเป็นบทความที่คุณมองเห็นว่า ควรจะอ่านแล้ว คุณก็ยังได้รับประโยชน์ประการหนึ่ง คือ " ไม่มีสิ่งใดที่ยุ่งยากซับซ้อน จนเกินกว่าที่จะทำให้มันเป็นเรื่องง่าย พอที่จะทำความเข้าใจ และง่ายต่อการที่จะทำให้ประสพความสำเร็จตามขั้นตอนได้" ดังนั้น คนส่วนมากจึงได้ตระหนักว่า ถ้าปัญหาใหญ่ๆ ได้ถูกย่อยส่วนลงเป็นปัญหาเล็กๆแล้ว ย่อมเป็นการง่ายในการที่จะคิดแก้

การที่คุณประสพความสำเร็จในการแก้ไขขั้นตอนที่ 1 ย่อมนำไปสู่ความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาในขั้นตอนที่ 2 โดยอัตโนมัติ และก่อนที่คุณจะทันรู้ตัว คุณก็สามารถจะแก้ไขปัญหาอันยากยิ่งได้โดยตลอดแล้ว

การสร้างผังของปัญหาช่วยคุณได้อย่างไร?


photo คุณอาจจะรู้สึกแปลกใจ ที่ตลอดเวลาซึ่งผมพูดถึงกระบวนการในการแก้ปัญหาทีละขั้นตอนนั้น ผมมิได้เรียกมันว่า หัวข้อ เลย แต่เรียกมันว่า ผังปัญหา แทน ซึ่งผมมีเหตุผลประการสำคัญอยู่ในการนี้
การเขียนหัวข้อนั้น หมายถึงจะต้องเริ่มต้นตั้งแต่เรื่องแรกลงมาจนถึงเรื่องสุดท้าย ซึ่งจะไม่มีการแบ่งเป็นขั้นตอนไว้ แต่สำหรับการทำผังขึ้นนั้น คุณสามารถจะใส่ข้อมูลเข้าไปได้ทั้งด้านซ้ายและด้านขวา

ผู้ตั้งโปรแกรมในคอมพิวเตอร์ มีสิ่งหนึ่งที่เขาเรียกว่า FLOW - CHART ถ้าผู้ตั้งโปรแกรมรู้ล่วงหน้าว่า ทุกสิ่งทุกอย่างให้ผลออกมาอย่างไร เขาก็เพียงตั้งเป็นหัวข้อขึ้น และตั้งโปรแกรมไปทีละขั้นตอน และมันก็จะได้คำตอบออกมาเป็นหัวข้อแทนที่จะเป็นผัง แต่บ่อยครั้ง ในการตั้งโปรแกรมให้กับคอมพิวเตอร์นั้น ผลลัพธ์ของขั้นตอนหนึ่ง จะหมายถึงว่า ผลลัพธ์ในขั้นตอนต่อไป จะปรากฏออกมาอย่างไร

นักคอมพิวเตอร์ อาจจะใส่โปรแกรมเข้าไปเพื่อถามข้อมูลว่า จอหน์ สมิท ได้ต่อสภาพการเป็นสมาชิกขององค์กรหนึ่งหรือยัง จากนั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่า ข้อมูลจะออกมาอย่างไร ซึ่งจะได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่ 2 ซึ่งมีทางเลือกอยู่ 2 ประการ

ขั้นตอนที่ 1 ข้อมูล...จอห์น สมิท ได้ต่อสภาพการเป็นสมาชิกแล้วหรือยัง
ถ้าคำตอบออกมาว่า "ต่อแล้ว"
จะต้องทำตามขั้นตอน 2 A
ถ้าคำตอบออกมาว่า"ยัง"
จะต้องทำตามขั้นตอน 2 B


ขั้นตอน 2 A ขั้นตอน 2 B
ส่งบัตรสมาชิกไปให้จอห์น สมิท เพื่อใช้ได้ตลอดปีนั้น และตรวจสอบให้เขามีรายชื่ออยู่ในรายการผู้ชำระเงินค่าสมาชิกแล้ว ส่งจดหมายเตือนไปยังจอห์น สมิทว่า ขณะนี้สภาพความเป็นสมาชิกของเขาหมดอายุลงแล้ว และเชิญชวนให้เขาต่อสภาพการเป็นสมาชิกให้ทันที

ในขณะที่ขั้นตอนต่างๆ ได้ถูกเขียนขึ้นนั้น นักคอมพิวเตอร์มิได้รู้ผลลัพธ์ของขั้นตอนที่ 1 ว่า จะเป็นอย่างไร และรวมทั้งทางเลือกที่มีอยู่ในขั้นตอนที่ 2 ด้วย ซึ่ง ก็เช่นเดียวกัน เมื่อคุณเริ่มลงมือเขียนวิธีการแก้ปัญหาเกิดขึ้นนั้น คุณอาจจะไม่รู้ได้ในทันทีว่า ผลลัพธ์ที่จะออกมาในแต่ละขั้นตอนเป็นเช่นไร คุณก็จำเป็นจะต้องเขียนทางเลือกไว้

เคียท ที มหาเศรษฐี จากการสร้างตนเอง กล่าวว่า "ผมได้รับประโยชน์อย่างมหาศาล ในการวางผังในการแก้ปัญหาขึ้นไว้ เพราะทำให้ผมสามารถมองเห็นทางออกมากมาย ในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับผม" เคียท เป็นเศรษฐีที่ดิน ซึ่งโครงการของเขาเกี่ยวข้องอยู่กับการตั้งศูนย์การค้าคอนโดมิเนียม และสถานพักตากอากาศต่างๆ ซึ่งเพียงเท่านี้ คุณก็คงจะพอมองเห็นภาพแล้วว่า การวางแผนตามโครงการ และการทำให้มันประสพความสำเร็จนั้น เป็นสิ่งที่จะต้องเผชิญกับปัญหามากมาย แต่เคียท ก็สามารถจัดการกับปัญหาเหล่านั้น ได้ด้วยการเขียนลงในผังดังกล่าว

"ในตอนแรก ผมจะเขียนลงเพียงแค่ 1-2 ประโยค โดยเขียนเฉพาะแต่ตัวปัญหาว่า เป็นอย่างไร ซึ่งผมมองปัญหาในลักษณะนี้ ผมก็เริ่มมองเห็นวิธีการที่จะจัดการกับมัน ผมจะเขียนวิธีการแก้ปัญหาทีละขั้นตอนลงไป เมื่อผมจะต้องพบกับผลที่เกิดตามมาโดยมิได้คาดหมาย ผมก็จะเขียนถึงทางออกขึ้นไว้ และผมก็ได้พบว่า หลังจากที่ผมได้ลงมือเขียนถึงปัญหาลงไว้แล้ว แนวความคิดในการแก้ไข ก็จะเริ่มหลั่งไหลเข้าสู่สมอง" เคียทอธิบาย "ผมจะเขียนแนวความคิดที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับปัญหานั้นๆ เท่าที่คิดออกลง แม้ว่าในบางประการจะดูเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยก็ตาม แต่แล้ว เมื่อผมหยิบมันขึ้นมาทบทวนอีกครั้ง เอาความคิดต่างๆที่ปรากฏอยู่ มาประสมประสานกันเข้า ผมก็จะได้คำตอบในการแก้ปัญหาอย่างน่าพอใจ"

วิธีวางผังง่ายๆ - จากปัญหาถึงวิธีแก้ไข


ต่อไปนี้เป็นบันได 5 ขั้น ของวิธีการวางผังซึ่งจะช่วยแนะแนวให้แก่คุณ นับตั้งแต่ตัวปัญหาไปจนถึงวิธีการแก้ไข

  1. จงอธิบายถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ด้วยการเขียนลงไว้ 1-2 ประโยค
  2. แสดงถึงความต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนที่สุดเท่าที่จะทำได้
  3. เขียนหนทางในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในความคิดทุกประการของคุณลงไว้ ไม่ว่ามันจะเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ หรือเป็นไปไม่ได้ก็ตาม
  4. ศึกษาหนทางที่เป็นไปได้ตามที่คุณได้เขียนลงไว้ และทดลองนำไปใช้ดูก่อน โดยการเขียนลงไปในกระดาษ โดยเริ่มตั้งแต่ขั้นตอนแรกไปจนถึงบทสรุป คือ เมื่อแก้ปัญหาได้แล้ว ขณะเดียวกันก็เขียนแต่ละขั้นตอนที่จะต้องทำไปตามกระบวนการนั้นลงไว้ด้วย เมื่อถึงขั้นตอนอันจะก่อให้เกิดผลอันมิได้คาดหมาย ให้คุณเขียนทางออกไว้ ในลักษณะเดียวกันกับตัวอย่างผังคอมพิวเตอร์ที่ได้แสดงไว้
  5. ถ้าขั้นตอนแรก จากตัวปัญหาไปจนถึงวิธีการแก้ไขไม่เป็นที่พอใจ คุณก็ทดลองใช้วิธีการอื่นตามที่ได้เขียนลงไว้ต่อไป
แม้มันจะมิใช่สิ่งมหัศจรรย์ สำหรับการที่คุณจะเขียนปัญหา และหนทางในการแก้ไขปัญหานั้นๆ ลงบนหน้ากระดาษ แต่ผลที่ปรากฏตามมา เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์อย่างยิ่ง คุณจะได้พบว่า เมื่อคุณได้ทดลองทำอย่างจริงจังแล้ว สติปัญญาของคุณจะเฉียบแหลม เกิดความคิดใหม่ๆขึ้นมา และหนทางในการแก้ปัญหาก็จะชัดเจนขึ้น ทั้งที่คุณอาจจะมองไม่เห็นมาก่อน

และคุณยังจะได้ค้นพบวิธีแก้ปัญหาในหนทางที่เป็นไปได้อีกด้วย และต่อไปนี้ คือ ข้อเสนอแนะเล็กๆน้อยๆ อันจะเป็นประโยชน์แก่คุณ

  • ผู้จัดการบริษัทท่องเที่ยวแห่งหนึ่งกล่าวว่า "ผมปล่อยให้ปัญหาทิ้งค้างไว้ก่อน โดยหันไปทำงานอื่นแทน และแล้วเมื่อผมกลับมาอ่านผังนั้นอีกครั้ง ผมก็สามารถมองเห็นภาพและวิธีการแก้ปัญหาที่ชัดเจนขึ้น"
  • นายหน้าค้าหุ้นในนิวยอร์ค ใช้เวลาในยามว่าง คิดแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับเขา ชั่วโมงที่เหมาะสมที่สุด คือ ในระหว่างการเดินทางบนรถไฟในตอนเช้าและเย็น เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น เขาจะจดบันทึกลงไว้ในสมุดพก และเมื่อขึ้นนั่งบนรถไฟ เขาก็จะอ่านและใช้ความคิดในการแก้ปัญหานั้นทันที
  • ผู้จัดการฝ่ายขายในเมืองมินเนโปลิส กล่าวว่า การเขียนปัญหาของตัวเองลงเป็นสิ่งที่ช่วยเธอได้อย่างมาก "มันทำให้เกิดแนวความคิดติดต่อกันไปเรื่อยๆ และก่อนหน้าที่ฉันจะทันรู้ตัว ฉันก็มองเห็นหนทางมากมาย ที่จะนำมาพิจารณา เพื่อใช้ในการแก้ปัญหา"
  • สมาชิกสภาฯ แห่งแคลิฟอร์เนีย คนหนึ่งกล่าวว่า "ในบางครั้ง ผมก็เคยคิดว่า มันออกจะเป็นการกระทำที่เบาปัญญาอยู่ ในการที่ผมจะต้องเขียนปัญหา ซึ่งผมคุ้นชินกับมันดีอยู่แล้วลงไป รวมทั้งความต้องการในผลลัพธ์ด้วย แต่แล้ว ผมก็บังคับตัวเอง ให้มุ่งมั่นอยู่กับแนวความคิดใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นมา และผมรู้สึกแปลกใจที่มองเห็นหนทางแก้ปัญหาได้โดยง่าย"
เมื่อคุณนำเอาความรู้ในการวางผังปัญหา มาประสมประสานกับอาวุธในการแก้ปัญหาอื่นๆ ดังที่ได้เขียนไว้ในตอนต้นของเอกสารนี้แล้ว ก็เท่ากับคุณได้เตรียมพร้อมแล้วสำหรับการเผชิญหน้ากับปัญหาอย่างไม่เคยทำมา ก่อน และคุณจะสามารถสู้กับปัญหาได้ทุกรูปแบบ