++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2551

Clip video ครูอุดม จันทกูล - เพลงปู้เหลียงฉิง



ครูอุดม จันทกูล มาเป่าเพลงบรรเลงใน เพลงปู้เหลียงฉิง ในรายการพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ ห้องส่ง ASTV News1 เมื่อ 25 ธ.ค.2551 ด้วยสำเนียงที่ไพเราะจับใจมากๆ ดนตรีดีจริงๆ และยังทำ CD ออกมาจำหน่าย แผ่นละ 100 บาท รายได้สมทบทุนให้กับ ASTV หาซื้อได้ที่บ้านเจ้าพระยา

ครูอุดม จันทกูล, เพลงปู้เหลียงฉิง, ศิลปินพันธมิตรกู้ชาติ, ASTV

เปิดใจ “ครู พธม.เชียงราย” “ผ้าง พลชัย” กลางดงเสื้อแดง

       เ ชียงราย – เปิดใจ “ผ้าง พลชัย” อดีตครูวัย 63 ปี เลือดปักษ์ใต้ ที่ปักหลักสอนหนังสือในถิ่นเหนือสุดแห่งสยาม ดินแดนเมืองพ่อขุนฯ มานานกว่า 30 ปี ที่หลังเกษียณอายุราชการแล้วก็หันเหมาเป็นดีเจคลื่นวิทยุชุมชน ที่ผลักดันก่อตั้งขึ้นด้วยใจที่รักอิสระในการแสดงความคิดความเห็น ก่อนที่จะปักหลักถ่ายทอดสัญญาณ ASTV เผยแพร่การชุมนุมของ พธม.อย่างต่อเนื่อง ให้คนเชียงรายได้รับรู้ ท่ามกลางแรงกดดันจาก “ระบอบแม้ว” ทุกทิศทางมาจนถึงทุกวันนี้
      
       “เชียงราย” ได้ชื่อว่าเป็นอีกจังหวัดหนึ่งที่ “ระบอบทักษิณ” แผ่อิทธิพลคลุมพื้นที่เหนียวแน่นมากที่สุด โดยจะสังเกตได้จากการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นมา นักการเมืองในระบอบทักษิณไม่ว่าจะเป็นจากพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน ต่างได้รับเลือกตั้งแบบยกจังหวัดทั้ง 8 คนโดยตลอด รวมถึงการเลือกตั้งในระดับท้องถิ่น และการโยกย้ายข้าราชการ โดยเฉพาะฝ่ายปกครอง ตำรวจ ที่เก้าอี้สำคัญๆ ล้วนแต่มีคนในเครือข่าย “ระบอบแม้ว” ครอบครองอยู่ ผ่านการจัดการจาก “ยงยุทธ ติยะไพรัช” หรือยุทธ ตู้เย็น มือทำงานของ “ทักษิณ” ที่ยังคงจงรักภักดีจนถึงทุกวันนี้ ทำให้ทั่วทั้งพื้นที่ ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของ “ระบอบทักษิณ” ใครที่มีความเห็นแตกต่างทางการเมืองจึงถือว่าเป็นศัตรู และถูกข่มขู่คุกคามไปต่างๆ นานา ทั้งจากเจ้าหน้าที่รัฐและสมุนนักการเมือง ดังนั้นจึงมีคนน้อยรายนักที่จะอาจหาญออกมาแสดงจุดยืนในระบอบประชาธิปไตยว่า มีความเห็นที่แตกต่างออกไปจากคนในระบอบทักษิณ
      
       อย่างไรก็ตาม เ ชียงรายที่ถือว่าเป็นพื้นที่ “สีแดง” เต็มพื้นที่ ยังคงมีเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เกิดขึ้นและดำรงอยู่อย่างหาญกล้ากลางถิ่นสีแดง หนึ่งในนั้นคือ “ผ้าง พลชัย” อดีตข้าราชการครูวัย 63 ปี ที่ “รัก” ที่จะเรียกตัวเอง c]tถูกเรียกว่า “ครูผ้าง” ซึ่งปักหลักตั้งวิทยุชุมชนทางคลื่นเอฟเอ็ม 107.75 เมกะเฮิรตซ์ เลขที่ 108 หมู่ 2 ต.ห้วยไคร้ อ.แม่สาย จ.เชียงราย เพื่อถ่ายทอดเสียงการชุมนุมของ พธม.และสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวีอย่างต่อเนื่อง นับเป็นการท้าทายต่อระบอบทักษิณในพื้นที่อย่างยิ่ง
       

      
       ทำให้ตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา วิทยุชุมชนแห่งนี้ได้รับแรงกดดันสารพัด ทั้งจังหวัดสั่งปิด ข่มขู่ ยกพวกไปประท้วงทำลายข้าวของ ขว้างระเบิดขวด ฯลฯ แต่ “ครูผ้าง” ก็ยังยืนหยัดทำหน้าที่อยู่ได้จนถึงปัจจุบัน
      
       “ สาเหตุที่ผมทำอย่างนี้เพราะผมต้องการรักษาสิทธิขั้นพื้นฐานของชีวิตเอาไว้ นั่นคือการมีสิทธิที่จะได้คิด ได้ยิน ได้ฟัง ได้เห็น ได้แสดงความคิดเห็น ได้อย่างอิสระโดยไม่ผิดหลักกฎหมาย ซึ่งผมก็เป็นของผมอย่างนี้มาตลอดตั้งแต่ยังเป็นครูสอนหนังสืออยู่แล้ว ไม่ใช่พึ่งมาเป็นหลังตั้งวิทยุชุมชนแล้ว แต่เป็นวิญญานอิสระในการแสดงความคิดความเห็น ถ้าคนเราไม่สามารถมีอิสระในชีวิตตรงนี้ได้ไม่ต้องเป็นคนดีกว่า” เสียงตอบอันหนักแน่นตอกย้ำเข็มมุ่งทางความคิดของ “อดีตครู” ผู้นี้ได้เป็นอย่างดี

ผ้าง พลชัย อดีตข้าราชการครู ที่หันมาเอาดีด้วยการเป็นดีเจวิทยุชุมชน
       “ครูผ้าง” โดยพื้นเพเดิมเป็นชาวนครศรีธรรมราช ในปี 2507 จบการศึกษาในระดับประกาศนียบัตรชั้นต้น (ปกส.ต้น) จากโรงเรียนฝึกหัดครู จ.นครศรีธรรมราช (ในปี 2537 สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ บริหารการศึกษา) หลังจากจบการศึกษาในระดับ ปกส.ต้น ด้วยวัยเพียง 18 ปี ก็ได้นั่งรถไฟสายใต้เข้ากรุงเทพฯ ต่อไปยัง จ.ลำปาง และต่อรถยนต์อีก 1 วันเต็มเพื่อเข้ารับบรรจุเป็นข้าราชการครูครั้งแรกที่โรงเรียนบ้านป่าแดง ต.เกาะช้าง อ.แม่สาย จ.เชียงราย และปักหลักใช้ชีวิตในเมืองเหนือเรื่อยมา
      
       ตลอดเวลาหลายสิบปีของ “ครูผ้าง” บนผืนแผ่นดินภาคเหนือ ได้ทำให้หนุ่มใต้คนนี้กลายเป็นคนเหนือเต็มตัว โดยเป็นอาจารย์อยู่หลายโรงเรียนจนกระทั่งเกษียณอายุราชการในตำแหน่งผู้อำนวย การโรงเรียนบ้านห้วยไคร้ เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ.2548
      
       ตลอดชีวิตการเป็นครูมีจุดเด่น คือ ความตรงไปตรงมา ไม่เหมือนใคร จึงทำให้ได้รับเลือกให้เป็นทั้งตัวแทนครูในเชียงราย ในคณะกรรมการการประถมศึกษา จ.เชียงราย (กปจ.) อย่างต่อเนื่อง ,เป็นกรรมการสหกรณ์ออมทรัพย์ครูเชียงราย ที่มาจากคนที่มีอาชีพครูเป็นคนแรกโดยตัดระบบ “เอาใจนาย” ทำให้คนที่มีอาชีพครูได้เป็นกรรมการสหกรณ์ออมทรัพย์ครูเชียงรายได้ทั้งระบบ รวมทั้งได้รับเลือกให้เป็นประธานสหกรณ์ออมทรัพย์ครูเชียงรายเป็นคนแรกด้วย ฯลฯ
      
       ณ โรงเรียนบ้านห้วยไคร้ อาจารย์ผ้างจะมีความผูกพันมากกว่าแห่งอื่นๆ เพราะเป็นทั้งอาจารย์สอน ครูใหญ่และผู้อำนวยการรวมกันนานถึง 32 ปี โดยตลอดระยะเวลาดังกล่าวเป็นที่รู้กันดีในวงการครูว่า “ครูผ้าง” เป็นผู้ที่ให้ความสนใจในความเคลื่อนไหวทางการเมือง แต่ไม่ได้ฝักใฝ่การเมือง เพียงต้องการรักษาสิทธิในการรับฟัง รับชม และรู้เท่าทันการเมือง
      
       ดังนั้นในช่วงที่ว ิทยุชุมชนผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดทั่วประเทศ “ครูผ้าง” ก็ได้ร่วมกับโรงเรียนจัดตั้งวิทยุชุมชนโรงเรียนบ้านห้วยไคร้ทางคลื่นเอฟเอ็ม 105 เมกะเฮิรตซ์ เป็นครั้งแรกเมื่อ 10 ธันวาคม 2547 โดยยึดเอาวันรัฐธรรมนูญเป็นวันก่อตั้งสถานี
      
       เนื้อหานอกจากจะเป็นการเผยแพร่ความรู้ด้านการศึกษาแล้ว ในยามว่างระหว่างเวลา 09.00-12.00 น. ครูผ้าง ยังนำเอาหนังสือพิมพ์แต่ละฉบับไปอ่านและวิเคราะห์ เพื่อให้ความรู้กับผู้รับฟังเป็นประจำแต่ด้วยการวิเคราะห์อย่างตรงไปตรงมาจึ งไปขัดใจนักการเมืองในพื้นที่ จึงถูกจังหวัดโดยคำสั่งผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย สั่งปิดในปี 2548 ทั้งๆ ที่มีเนื้อหาไม่ได้ต่างจากรายการวิเคราะห์ข่าวอื่นๆ

แม้ว่าจะอยู่ในพื้นที่แวดล้อมด้วยกลุ่มเสื้อแดง แต่ผ้าง พลชัย ไม่เคยหวั่น
       ในช่วงนั้นชีวิตของ “ครูผ้าง” ก็เกิดการเปลี่ยนไปด้วย เพราะถูกจับตาจากฝ่ายการเมืองด้วยความระแวงว่าจะลงสมัครเป็นนักการเมืองในพื ้นที่เพื่อแข่งขันในตำแหน่ง โดยบางหน่วยงาน เช่น สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย (สวท.) ซึ่งเคยเชิญเขาไปร่วมรายการเป็นบางครั้งก็งดการติดต่อ บุคคลที่เคยติดต่อสมาคมก็เริ่มหดหายไปเหลือเพียงเพื่อนแท้ เป็นต้น
      
       แต่ด้วยความที่เป็นนักสู้โดยสายเลือดจึงควักกระเป๋าตัวเอง จัดตั้งวิทยุชุมชนคลื่นใหม่คือ เอฟเอ็ม 107.75 เมกะเฮิรตซ์ เป็นวิทยุชุมชนห้วยไคร้ โดยใช้บ้านของตัวเองเป็นสถานีเพื่อสานต่ออุดมการณ์ในปีเดียวกันจนสำเร็จ
      
       กระทั่งในเ ดือนกันยายน 2548 ครูผ้าง มีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์และเกษียณอายุราชการ จึงทำให้มีเวลาในการบริหารจัดการวิทยุชุมชนห้วยไคร้ตามอุดมการณ์ในการรักษาส ิทธิในการคิด รับฟัง การเห็นและแสดงความคิดเห็นอย่างเป็นอิสระต่อไปผ่านทางวิทยุชุมชนดังกล่าว
       

       อย่างไรก็ตาม มิวาย ถูกนักการเมืองและคนของนักการเมืองในพื้นที่ข่มขู่ในรูปแบบต่างๆ อยู่เป็นประจำ เพราะมีการนำข่าวสารมาวิพากษ์วิจารณ์ผ่านรายการอย่างตรงไปตรงมา
      
       นอกจากการข่มขู่และไม่พอใจจากฝ่ายการเมือง ยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดูถูกไปต่างๆ นานา ทำให้ครูผ้าง ตัดสินใจลงสมัครเป็นสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ในปี 2549 ก่อนคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) จะปฏิวัติยึดอำนาจจากรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยไม่ได้มีการเตรียมตัวมาก่อนแต่ก็ได้คะแนนเสียงที่ไม่ได้จัดตั้งมากถึง 8,000 คะแนน ชนิดเหนือความคาดหมายและใช้เป็นข้ออ้างของ “ครูผ้าง”ได้เป็นอย่างดีว่าการต่อสู้ทางการเมืองที่ผ่านมา ก็เพราะมีคนสนับสนุนเกือบหมื่นคนดังกล่าวโดยที่ตัวเขาเองไม่ได้มีผลประโยชน์ ทางการเมืองใดๆ
      
       ก ระทั่งปี 2549 หลังการปฏิวัติยึดอำนาจ สังคมไทยเริ่มมีความแตกแยกอย่างชัดเจน ครูผ้าง บอกว่า ช่วงนั้นเขามองว่า มีการใช้สื่อโฆษณาชวนเชื่อ ปลุกปั่นชาวบ้าน และข่าวสารจากสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี มีความเป็นจริง ตรงไปตรงมา ตรงตามอุดมการณ์ของตัวเอง จึงลงทุนซื้อจานดาวเทียมเข้าเชื่อมต่อสัญญาณและถ่ายทอดสัญญาณสดจากสถานีโทรท ัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี ตั้งแต่เวลา 05.00-13.00 และ 16.00-01.00 เป็นประจำทุกวัน โดยช่วงที่ไม่ได้ถ่ายทอดสดก็จะเปิดเพลงร่วมสมัยตามวัย หรือไม่ก็เปิดให้ผู้ที่สนใจเกี่ยวกับการบ้านการเมืองโทรศัพท์เข้าไปแสดงความ คิดเห็น โดยมีตัวเขาจัดรายการด้วยตัวเอง
      
       รายการดังกล่าวยังคงเส้นคงวา แม้จะต้องถูกข่มขู่คุกคามและทำร้ายมาจนถึงทุกวันนี้ก็ตาม
      
       ครูผ้าง กล่าวว่า ผมยังคงยืนยันจะเปิดวิทยุชุมชนห้วยไคร้ในลักษณะนี้ต่อไป เพราะเห็นว่าเอเอสทีวี ดีที่สุดในบรรดาสถานีต่างๆ เพราะวิทยุของเราเน้นเรื่องข่าวเป็นหลัก สิ่งสำคัญผมยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยในเรื่องของการมีสิทธิเสรีภาพในการคิด การฟัง การเห็นและการแสดงความคิดเห็น ไม่ใช่ว่าเราแสดงความเห็นอะไรไม่ได้เลย หรือคนที่เห็นต่างกลายเป็นศัตรูกับระบอบทักษิณไปหมด
      
       “ผมยืนยันว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นผมจะสู้ต่อไป เพราะมันเป็นจิตวิญญาณของผมที่รักอิสระในการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง หากว่าคนเราไม่มีอิสระตรงจุดนี้ก็ไม่ควรจะเป็นคนอีกต่อไป”
      
       ถ ามว่า ความหวังของ “ครูผ้าง” คืออะไร เขายืนยันว่า ไม่ได้อยู่ที่พรรคประชาธิปัตย์สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ และทำให้นักการเมืองในระบอบทักษิณหมดสิ้นอำนาจไป แต่ต้องการให้เกิด “การเมืองใหม่” มี “คนรุ่นใหม่มาสานต่ออุดมการณ์” ด้วยหวังว่าการเมืองใหม่จะเกิดขึ้นนั่นคือการที่ประชาชนมีความรู้เท่าทันนัก การเมืองและมีอิสรเสรีในการแสดงความคิดความเห็น จนทำให้การเมืองมีความโปร่งใส การบริหารประเทศก็จะรุดหน้า เพราะหากการเมืองไม่โปร่งใส การบริหารประเทศก็จะล้มเหลว และประเทศไทยก็จะอยู่ในวงจรความขัดแย้งเช่นนี้ตลอดไป
       

ท้าลมหนาว กับ "5 อุทยานฯ" ทั่วไทย

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์     15 ธันวาคม 2551 14:23 น.
http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9510000147289

 อากาศหนาวๆ ทะเลหมอกสวยๆ เป็นสิ่งที่หลายคนถวิลหาเมื่อถึงฤดูหนาวซึ่งถือเป็นฤดูแห่งการท่องเที่ยว ดังนั้นในแต่ละปี อุทยานแห่งชาติต่างๆซึ่งมีคุณสมบัติตรงตามที่กล่าวมานี้จึงเป็นจุดมุ่งหมายข องนักท่องเที่ยวนับพันนับหมื่นคน ที่หลั่งไหลกันมาชมบรรยากาศอันงดงามของแหล่งท่องเที่ยวในเมืองไทย
      
       แต่ในปีนี้อุทยานแห่งชาติบางแห่งมีการจำกัดการรับนักท่องเที่ยวที่จะ เข้าไปภายในอุทยานฯ เพราะฉะนั้นก่อนเดินทางควรตรวจสอบกับทางเจ้าหน้าที่เสียก่อนก็จะทำให้ไม่เสี ยเที่ยวและไม่เสียอารมณ์ด้วย
      
       พิชิต "ภูกระดึง" สัมผัสลมหนาวแห่งดินแดนอีสาน
      
       "อุทยานแห่งชาติภูกระดึง" ถือว่าเป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมสำหรับผู้ที่พิสมัยการขึ้นเขาและส ัมผัสความหนาวเย็นบนยอดภู ด้วยความสูงนับพันเมตรจากระดับน้ำทะเล ต้องเดินผ่าน "ซำ" หรือที่พักระหว่างทางเดินต่างๆ เช่น ซำแฮก ซำบอน ซำกกกอก ฯลฯ รวมแล้วกว่า 5 กิโลเมตร ประกอบกับเป็นทางสูงชัน ทำให้ภูกระดึงเป็นสิ่งท้าทายให้ผู้คนอยากจะไปถ่ายรูปกับป้าย "ครั้งหนึ่งในชีวิต เราคือผู้พิชิตภูกระดึง" ให้ได้
      
       สภาพธรรมชาติบนภูกระดึงอันอุดมสมบูรณ์และหลากหลาย มีทั้งป่าสนเขา ป่าดิบ ทุ่งหญ้า น้ำตก หน้าผาสวยๆ และมีอากาศที่เย็นสบาย ทำให้ภูกระดึงเป็นยอดภูที่หลายๆ คนประทับใจ โดยเฉพาะเมื่อช่วงหน้าหนาวมาเยือนเช่นนี้ เป็นช่วงที่เหมาะแก่การมาสัมผัสลมหนาวบนยอดภูกระดึงเป็นอย่างยิ่ง
      
       แหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจบนภูกระดึงนั้นก็มีมากมาย โดยจุดท่องเที่ยวที่ถือเป็นไฮไลต์ คือ "ผาหล่มสัก" ลานหินกว้างที่มีต้นสนต้นหนึ่งขึ้นอยู่ชิดริมกับชะง่อนผาที่ยื่นออกไปกลางอา กาศ ถือเป็นสัญลักษณ์ของที่ใครเห็นก็ต้องรู้ว่านี่คือภูกระดึง บริเวณผาหล่มสักนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเทือกเขาสลับซับซ้อนในเขตจังหวั ดเพชรบูรณ์ และเป็นจุดหนึ่งที่จะชมพระอาทิตย์ตกได้อย่างชัดเจนและงดงามมาก
      
       "ผานกแอ่น" ลานหินเล็กๆ ที่เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่งดงามมาก อีกทั้งยังเป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์เบื้องล่างเป็นท้องทุ่งและเ ทือกเขา และบริเวณริมทางเดินใกล้ผานกแอ่นเป็นสวนหินมีดอกกุหลาบป่าขึ้นอยู่เป็นดงใหญ ่ จะบานสะพรั่งเต็มต้นในเดือนมีนาคม-เมษายน ส่วน "ผาหมากดูก" ก็เป็นลานหินสำหรับชมพระอาทิตย์ตกที่อยู่ใกล้กับที่พักมากที่สุด และสามารถชมทิวทัศน์ภูผาจิตในเขตอุทยานแห่งชาติน้ำหนาวได้ด้วย
      
       นอกจากนั้นบนภูกระดึงก็ยังมีแหล่งเที่ยวอีกหลายแห่ง อาทิ สระอโนดาต สระน้ำตามธรรมชาติมีน้ำตลอดปี มีต้นสนสองใบและสามใบขึ้นตามรอบสระ ลานวัดพระแก้ว เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2463
       ลานหินพระพุทธเมตตา เป็นจุดชมพันธุ์ไม้บนลานหิน เช่น ดุสิตา กระดุมเงิน เอื้องม้าวิ่ง
      
       น้ำตกบนภูกระดึงก็มีหลายแห่งที่น่าสนใจ เช่น น้ำตกเพ็ญพบใหม่ น้ำตกผ่านผาหินรูปโค้ง ในหน้าหนาวช่วงเดือนธันวาคมจะมีใบเมเปิ้ลสีแดงผลัดใบร่วงหล่นลอยไปตามผิวน้ำ ส่วนน้ำตกโผนพบ ก็เป็นน้ำตกใหญ่ ตัวน้ำตกมี 8 ชั้น สูงประมาณ 30 เมตร จะมีน้ำมากในช่วงปลายฝนต้นหนาว

พระมหาธาตุนภเมทนีดล เจดีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อถวายในหลวงบนดอยอินทนนท์
       เที่ยว "อินทนนท์" ชมดอยสูงสุดในสยาม
      
       "ดอยอินทนนท์" ดอยที่ทอดตัวสืบเนื่องมาจากเทือกเขาหิมาลัย หลังคาโลกอันหนาวเย็น ด้วยความสูง 2,565 เมตรจากระดับน้ำทะเล ทำให้ดอยอินทนนท์ถือเป็นดอยที่สูงที่สุดแห่งสยาม มีอากาศหนาวเย็นและชุ่มชื้นตลอดทั้งปี
      
       นักท่องเที่ยวนิยมขึ้นไปเที่ยวชมบนยอดดอยอินทนนท์ ซึ่งนอกจากจะเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทยแล้ว ยังมีอากาศที่หนาวเย็น และหนาวจัดจนมีน้ำค้างแข็ง หรือ "แม่คะนิ้ง" ในฤดูหนาว อีกทั้งต้นไม้ในบริเวณยอดดอยก็จะแตกต่างจากที่อื่นเพราะมีสภาพเป็นป่าโบราณ ตามต้นไม้มีเฟิร์นและมอสหลายชนิดจับเขียวครึ้ม และยังมีพันธุ์ไม้ดอก เช่น กุหลาบป่าที่มีดอกใหญ่โต เรียกว่า "กุหลาบพันปี"
      
       นอกจากนี้ ยังมี "ลานข้าวตอกฤๅษี" ซึ่งเป็นชื่อของมอสชนิดหนึ่งที่ขึ้นอยู่หนาแน่นเต็มลานหิน มีสีเขียวสลับสีน้ำตาลอ่อนๆ มอสชนิดนี้จะขึ้นได้เฉพาะที่สูง ความชื้นมาก และอากาศหนาวเย็นเท่านั้น และด้านบนยังเป็นที่ประดิษฐาน "สถูปบรรจุอัฐิเจ้าอินทวิชยานนท์" อดีตเจ้าเมืองเชียงใหม่ด้วย
      
       บนดอยอินทนนท์ยังเป็นที่ตั้งของ "โครงการหลวงอินทนนท์-ขุนวาง" ที่คิดค้นและวิจัยพืชผักผลไม้นานาชนิด อาทิ สตรอเบอรี่ กีวีฟรุต องุ่นไร้เมล็ด กาแฟอราบิก้า และพวกไม้ดอกเช่น กุหลาบ แคกตัส เยอบีร่า ไฮเดรนเยีย โพรเทีย เบญจมาศ หน้าวัว เยอบีร่า รวมทั้งยังมีการวิจัยเลี้ยงปลาเรนโบว์เทราท์ได้สำเร็จแห่งแรกและแห่งเดียวใน ประเทศไทยอีกด้วย
      
       นักท่องเที่ยวที่ขึ้นมายังดอยอินทนนท์ยังสามารถมาไหว้พระธาตุ 2 องค์เพื่อเป็นสิริมงคลต่อตัวเองได้ที่ "พระมหาธาตุนภเมทนีดล" เจดีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อถวายในหลวง เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ เมื่อ พ.ศ.2530 และ "พระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ" เจดีย์ซึ่งสร้างถวายพระราชินีในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ เมื่อ พ.ศ.2535

ชมทะเลหมอกสวยๆที่ อช.ห้วยน้ำดัง
       ชมทะเลหมอกงามที่ "ห้วยน้ำดัง"
      
       แหล่งชมทะเลหมอกที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางไปเยี่ยมเยือนมากที่สุดอีกแห่งหนึ่งก็คือที่ "อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง" อุทยานแห่งชาติที่มีพื้นที่ครอบคลุมท้องที่อำเภอแม่แตง อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน
      
       นักท่องเที่ยวนิยมมากางเต็นท์บริเวณจุดกางเต็นท์ และตื่นแต่เช้าเพื่อมารอชมทะเลหมอก และชมพระอาทิตย์ขึ้น ซึ่งหากวันไหนอากาศเป็นใจก็จะได้เห็นหมอกหนาลอยเรี่ยอยู่ระหว่างไหล่เขามองด ูคล้ายทะเล เป็นที่ประทับใจของนักท่องเที่ยวหลายๆคน
      
       นอกจากการชมทะเลหมอกแล้ว นักท่องเที่ยวก็ยังสามารถชมวิวสวยๆได้ที่จุดชมวิวบริเวณห้วยน้ำดัง (ดอยกิ่วลม) เป็นจุดชมวิวที่สวยงามมากที่สุด มีชื่อเสียงมากในด้านการคอยชมพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกในช่วงฤดูหนาว จุดชมวิวดอยช้าง อยู่บนดอยช้างขึ้นไปทางเหนือของห้วยน้ำดัง สามารถมองเห็นสภาพธรรมชาติของทิวเขาอันสลับซับซ้อน ทะเลหมอกในตอนเช้าตรู่ได้ชัดเจน
      
       แต่หากอากาศหนาวจัดจนทนไม่ไหว ก็ต้องมาหาความอบอุ่นกันที่โป่งน้ำร้อนโป่งเดือด น้ำพุร้อนขนาดใหญ่ จำนวน 3-4 บ่อ และยังมีบ่อเล็กๆ กระจายอยู่ทั่วไป อุณหภูมิน้ำผิวดินประมาณ 90-99 องศาเซลเซียส น้ำพุร้อนจะพุ่งจากใต้ดินตลอดเวลา บางครั้งพุ่งสูงถึง 2 เมตร และ โป่งน้ำร้อนท่าปาย ที่มีน้ำร้อนผุดขึ้นมาจากดิน น้ำร้อนจะไหลรวมกันเป็นธารน้ำร้อนขยายเป็นบริเวณกว้าง อุณหภูมิประมาณ 80 องศาเซลเซียส
      
       นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีน้ำตกห้วยน้ำดัง เป็นน้ำตกที่เกิดจากลำห้วยน้ำดัง มีโขดหินมากมาย สภาพโดยทั่วๆ ไปชุ่มชื้นไปด้วยพันธุ์ไม้ป่าดิบชื้นและโขดหินที่สวยงาม น้ำตกแม่เย็น เป็นน้ำตกที่เกิดจากลำห้วยแม่เย็นหลวง ซึ่งจะไหลลงมาสู่แม่น้ำปายต่อไป เป็นน้ำตกขนาดใหญ่สูง มีน้ำไหลตลอดปี และกิจกรรมสำหรับคนชอบผจญภัยก็คือการล่องแพลำน้ำแม่แตง เดินทางตามเส้นทางทัวร์ป่าจากน้ำพุร้อนโป่งเดือดจนถึงบ้านปางป่าคา หรือบ้านป่าข้ามหลาม จากนั้นเริ่มล่องแพใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง จะถึงบ้านสบก๋วยซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดของการล่องแพ

ชมทะเลหมอกใกล้กรุงที่ อช.แก่งกระจาน
       ชมทะเลหมอกใกล้กรุงที่ "แก่งกระจาน"
      
       ใช้เวลาเพียงสองสามชั่วโมงจากกรุงเทพมหานคร นักท่องเที่ยวก็สามารถชมทะเลหมอกได้ง่ายๆไม่ต้องไปไกลถึงภาคเหนือ ที่ "อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน" ในจังหวัดเพชรบุรี อุทยานแห่งชาติที่มีพื้นที่มากที่สุดในประเทศ มีอาณาเขตครอบคลุมจังหวัดเพชรบุรีและประจวบคีรีขันธ์ ทั้งยังเป็นป่าต้นน้ำของแม่น้ำเพชรบุรีและแม่น้ำปราณบุรีอีกด้วย
      
       แม้อากาศบนยอดเขาจะไม่หนาวจัดจนมีน้ำค้างแข็งเหมือนยอดดอยทางภาคเหนื อ แต่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานก็มีทะเลหมอกที่สวยไม่แพ้ภูไหนๆ โดยจุดชมทะเลหมอกนั้นอยู่บนเขาพะเนินทุ่งด้านบนอุทยาน ไม่ไกลจากจุดกางเต็นท์มากนัก การเดินทางขึ้นเขาพะเนินทุ่งนั้นจะเปิดให้ขึ้นและลงเป็นเวลา เนื่องจากเส้นทางด้านบนนั้นค่อนข้างแคบ รถสวนกันลำบาก จึงต้องสลับกันขึ้นลง นักท่องเที่ยวที่ต้องการขึ้นไปบนเขาพะเนินทุ่งจึงควรตรวจสอบเวลาการขึ้นลงกั บทางอุทยานเสียก่อน
      
       ณ จุดชมทะเลหมอกที่เขาพะเนินทุ่งนี้ หากมองลงไปเบื้องล่างจะเห็นทิวเขาสลับซับซ้อน มองเห็นป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ แต่ในช่วงหน้าหนาวอย่างนี้ก็จะมีหมอกหนาเป็นปุยมาบดบัง สร้างความประทับใจให้นักท่องเที่ยวมานักต่อนัก และที่จุดเดียวกันนี้ก็ยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามด้วยเช่นกัน
      
       นอกจากการชมทะเลหมอกแล้ว กิจกรรมในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานก็ยังมีอีกมากมาย เช่น การดูผีเสื้อ ซึ่งมีผีเสื้อให้ชมกว่า 250 ชนิด การดูนก โดยผืนป่าแก่งกระจานแห่งนี้เรียกได้ว่าเป็นสวรรค์ของนักดูนกเลยทีเดียว โดยมีรายงานการสำรวจพบนกเกือบ 400 ชนิด โดยเฉพาะนกเงือกซึ่งในประเทศไทยมีทั้งหมด 12 ชนิด นั้น พบได้ที่ป่าแก่งกระจานถึง 6 ชนิด และนักท่องเที่ยวยังจะได้พบกับค่างแว่นถิ่นใต้ เจ้าถิ่นในแถบนี้ที่มีชื่อตามลักษณะของมันคือมีวงกลมสีขาวรอบตาเหมือนกับใส่ แว่น ลำตัวและแขนขามีขนสีเทาปกคลุม
      
       หรือหากใครไม่อยากขึ้นไปจนถึงพะเนินทุ่ง จะมากางเต็นท์นอนเล่นชมบรรยากาศบริเวณริมเขื่อนแก่งกระจาน เขื่อนดินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศก็ได้เช่นกัน โดยบริเวณนี้ก็เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกน้ำที่สวยงามไม่แพ้ที่ไหนๆ

ลานหินปุ่ม ฝีมือธรรมชาติอันน่าอัศจรรย์ที่ อช.ภูหินร่องกล้า
       เรียนรู้ประวัติศาสตร์กลางธรรมชาติที่ "ภูหินร่องกล้า"
      
       หากใครได้มาเยือน "อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า" ก็จะได้รู้เรื่องราวประวัติศาสตร์การเมืองไทยในช่วงปี พ.ศ.2511-2525 โดยบริเวณนี้เคยเป็นฐานที่มั่นใหญ่ในการเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ เป็นผลเกิดปัญหาความมั่นคงทางการเมืองขึ้น แต่หลังจากเหตุการณ์สงบ ต่อมาในปี พ.ศ.2527 ก็ได้มีการพัฒนาพื้นที่ ส่งผลให้ภูหินร่องกล้าเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 48 ของประเทศ มีอาณาเขตครอบคลุมรอยต่อสองจังหวัด คือ อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย และอำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก
      
       แหล่งท่องเที่ยวต่างๆ บนอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าก็ถือว่าสวยงามไม่แพ้ที่ไหน ไม่ว่าจะเป็น "ลานหินแตก" ล านหินที่มีลักษณะพิเศษตรงที่เป็นหินที่มีรอยแตกเป็นแนวเป็นร่องเหมือนแผ่นดิ นแยก รอยแตกนี้บางรอยก็มีขนาดแคบ บางรอยกว้างพอก้าวข้ามได้ แต่บางรอยกว้างมากจนไม่สามารถกระโดดข้ามได้ สันนิษฐานว่าอาจจะเกิดจากการโก่งตัวหรือเคลื่อนตัวของผิวโลกจึงทำให้พื้นหิน นั้นแตกเป็นแนวนอกจากนี้บริเวณหินแตกยังปกคลุมไปด้วยมอส ไลเคนส์ ตะไคร่ เฟิน และกล้วยไม้ชนิดต่างๆ
      
       ส่วน "ลานหินปุ่ม" ก็มีลักษณะพิเศษตามชื่อที่เป็นเป็นลานหินผุดขึ้นเป็นปุ่มมีขนาดไล่เลี่ยกัน คาดว่าเกิดจากการสึกกร่อนตามธรรมชาติของหินทางเคมีและฟิสิกส์ ในอดีตบริเวณนี้ใช้เป็นที่พักฟื้นของคนไข้เนื่องจากอยู่บนหน้าผา จึงมีลมพัดเย็นสบายเหมาะแก่การนั่งพักผ่อน
      
       และ "ผาชูธง" นอกจากจะเป็นหน้าผาสูงชันสามารถเห็นทิวทัศน์ได้กว้างไกล และเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวนงามแห่งหนึ่งแล้ว บริเวณนี้ก็ยังเคยเป็นสถานที่ที่ผกค.จะขึ้นไปชูธงแดง (ฆ้อนเคียว) ทุกครั้งที่รบชนะทหารของรัฐบาลอีกด้วย
      
       *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *
      
       "อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์" ตั้งอยู่ที่ 119 หมู่7 ต.บ้านหลวง อ. จอมทอง จ. เชียงใหม่ 50160 สอบถามโทร.0-5328-6730, 0-5328-6728
      
       "อุทยานแห่งชาติภูกระดึง" ตั้งอยู่ที่ หมู่ 1 ต.ศรีฐาน อ.ภูกระดึง จ.เลย เปิดให้ท่องเที่ยวเที่ยวบนยอดภูกระดึงในช่วงเดือนต.ค.-พ.ค. สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร.0-4287-1333
      
       "อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า" ตั้งอยู่ที่ อ.นครไทย จ.พิษณุโลก 65120 สอบถามโทร.0-5523-3527
      
       "อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง" ตั้งอยู่หมู่ที่ 5 ต.กึ๊ดช้าง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ 50150 สอบถามโทร.0-5324-8491, 0-5326-3910, 08-4908-1531
      
       "อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน" ตั้งอยู่ใน ต.แก่งกระจาน อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี 76170 สอบถามโทร.0-3245-9293

ชวดแล้วฉลู

โดย สำราญ รอดเพชร 23 ธันวาคม 2551 18:31 น.

.*ผูกโบว์สายรุ้งไว้ปลายฟ้า
หว่านดาวศรัทธาแห่งความหวัง
สืบเจตนาตุลาพลัง
สืบใจจริงจังของ อังคณา *

……….

ลาทีปีเก่าอันเศร้าแสน
ปีแห่งความคับแค้นคร่ำครวญหา
ความถูกต้องเป็นธรรมอันงามตา
เพื่อชาติ ศาสนา สถาบัน

บันทึกไว้..ปีหนู ปีสู้รบ
สิบเอ็ดศพทบร่างลงกลางฝัน
หกร้อยคนเลือดหลั่งลงกลางควัน
ระเบิดบาปกระสุนลั่นร้อยวันคืน

ไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวตาย ไม่เคยหนี
ยิ่งต่อตียิ่งอารยะขัดขืน
สนามบิน –ทำเนียบรัฐชัดเสียงปืน
ยังหยัดยืนหยัดสู้..แม้ยากเย็น

ไม่เคยเห็นก็ได้เห็น...เป็นเช่นนั้น..
อีกร้อยวันพันปี ไม่มีเห็น
การเมืองบ้าฆ่าไทยหัวใจกระเด็น
การเมืองบาปฆ่าเข่นคนกลางเมือง...

กราบวิญญาณวีรภาพสามัญชน
กราบหัวใจเข้มข้นคนเสื้อเหลือง
ผู้ลุกป้องสถาบันอันรองเรือง
ให้นับเนื่องเนิ่นนานนับนิรันดร์

กราบใจแกร่งคนดีดีที่เสียสละ
ทั้งเงินทองอวัยวะเพื่อสร้างสรรค์
“การเมืองใหม่” แม้ยาก..แต่ฝ่าฟัน
สร้างความฝัน ความหวัง ให้รังรอง

..............

ลาทีปีเก่าอันเศร้าแสน
เปลี่ยนความแค้นเป็นพลังเถิดทั้งผอง...
โจทย์ฉลู..สู้อย่างไรไม่เลือดนอง
แต่เราต้องฉลองชัยให้แผ่นดิน..!!

ศึกษาบทเรียนปีหนูปีสู้รบ
ปีฉลูต้องนับศพพวกโหดหิน
พวกปล้นบ้าน นักการเมืองพันธุ์โกงกิน
ต้องพังภินท์ตายทั้งเป็นเซ่นเวรกรรม.
23 ธ.ค.51

………….

* เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เขียนถึง “น้องโบว์” อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ ที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ 7 ตุลา 2551

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9510000150788

ททท.นครนายกชวนดูดาวรับลมหนาวที่ “อุทยานวังตะไคร้”

       
       ททท.นค รนายก ชวนเดินทางท่องเที่ยวตั้งแคมป์พักแรม ชวนนอนเต็นท์ ดูดาว รับลมหนาว พร้อมแนบชิดธรรมชาติริมเขาใหญ่ ณ อุทยานวังตะไคร้ ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2551 ถึง กุมภาพันธ์ 2552
     
       อธิชา โรจนสุวรรณ ผู้อำนวยการสำนักงาน ททท. สำนักงานนครนายก กล่าวว่า ช่วงฤดูหนาวนี้ กิจกรรมตั้งแคมป์พักแรม นับว่าเป็นกิจกรรมท่องเที่ยวที่นำคนให้มาใกล้ชิดกับธรรมชาติ ซึ่งการเดินทางมาพักแรมแบบแคมป์ปิ้งได้อะไรมากกว่าที่เราคาดคิด ประสบการณ์แปลกใหม่จึงนำกลับมาปรับใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันได้เป็นอย่าง ดี
      
       ทั้งนี้ “อุทยานวังตะไคร้” น ับเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมอันดันต้นๆของเมืองไทย และเป็นสถานที่ให้ความรู้ทางด้านพฤกษศาสตร์และสถานพักผ่อนหย่อนใจ ได้เพิ่มกิจกรรมและทางเลือกในการเดินทางมาพักผ่อนให้กับนักท่องเที่ยวในช่วง วันหยุด โดยเปิดบริการพื้นที่สำหรับกางเต็นท์ดูดาว รับลมหนาว พร้อมทั้งแนบชิดกับธรรมชาติเชิงเขาใหญ่ในช่วงค่ำคืน
     
       สำหรับในเขตพื้นที่อุทยานวังตะไคร้นี้สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้ม ากกว่า 100 หลัง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และมีเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัย  ผู้ที่สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานวังตะไคร้  โทร.08-1989-0365, 0-3738-5164 หรือที่ ททท.สำนักงานนครนายก  โทร.0-3731-2282, 0-3731-2284

....http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9510000148858

การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างกับสมบัติทางแม่เหล็กของสารเชิงซ้อนพอลินิวเคลียร์

การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างกับสมบัติทางแม่เหล็กของสารเชิงซ้อนพอลินิวเคลียร์
คอปเปอร์(II) ที่มีลิแกนด์สะพานเอไซด์ ร่วมกับ ได-2-พิริดิลามีนและคาร์บอกซิเลต:
การสังเคราะห์ โครงสร้างผลึก และสมบัติแม่เหล็ก
Magneto-structural correlation in azido-bridged polynuclear Cu(II) complexes with di-2-pyridylamine and carboxylate as co-ligands: Synthesis, X-ray structures and magnetism
Thidarat Chotkhun (ธิดารัตน์ โชติขันธ์)*
Dr. Sujittra Youngme (ดร.สุจิตรา ยังมี)**
Dr. Somying Leelasubcharoen (ดร.สมหญิง ลีลาทรัพย์เจริญ)***
Dr. Narongsak Chaichit (ดร.ณรงค์ศักดิ์ ชัยชิต)****
Dr. Chaveng Pakawatchai (ดร.เชวง ภควัตชัย)*****
บทคัดย่อ
งานวิจัยนี้ได้สังเคราะห์ ศึกษาโครงสร้างผลึก สมบัติทางสเปกโทรสโกปี สมบัติทางแม่เหล็ก และความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างกับสมบัติทางแม่เหล็กของสารเชิงซ้อนพอลินิวเคลียร์คอปเปอร์(II) ที่มีเอไซด์เป็นลิแกนด์สะพาน [Cu2 (dpyam)2(μ1,1-N3)2(O2CH)2] (1), [Cu2(dpyam)2 (μ1,1-N3)2(O2CCH3)2] (2), [Cu2(dpyam)2(μ1,1-N3)2(O2CCH2CH3)2] (3) และ [Cu3(dpyam)2(μ1,1-N3)2(μ-OCOCH3)2(μ-OOCCH3)2].2H2O (4) (dpyam = di-2-pyridylamine)จากการศึกษาโครงสร้างผลึกด้วยเทคนิคการเลี้ยวเบนของรังสีเอกซ์แบบผลึกเดี่ยว พบว่าสาร 1-3 เป็นสารเชิงซ้อนไดนิวเคลียร์ ซึ่งมีลิแกนด์เอไซด์ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างคอปเปอร์(II) ทั้งสองแบบ end-on ทำให้คอปเปอร์(II) แต่ละไอออนมีโครงสร้างแบบสแควร์พิรามิดัลที่บิดเบี้ยว ในขณะที่สาร 4 เป็นสารเชิงซ้อนไตรนิวเคลียร์ ที่มีลิแกนด์สะพานสามลิแกนด์ (เอไซด์เป็นสะพานแบบ end-on และลิแกนด์อะซิเตตอีกสองสะพาน) และกรณีของสาร 4 นั้น ไอออนคอปเปอร์(II) มีสิ่งแวดล้อมหรือโครงสร้างร่วมกัน 2 แบบ คือ สแควร์พิรามิดัลที่บิดเบี้ยว และออกตระฮีดรอนที่บิดเบี้ยว จากการศึกษาสมบัติทางแม่เหล็ก พบว่าสาร 1-3 มีอันตรกิริยาแบบเฟอร์โรแมกเนติก ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างไอออนคอปเปอร์(II) ทั้งสองและมีค่า singlet-triplet splitting (J) เท่ากับ + 63.3, + 63.8 และ + 5.1 cm-1 ตามลำดับ ส่วนสาร 4 มีอันตรกิริยาแบบแอนติเฟอร์โรแมกเนติกและมีค่า J เท่ากับ - 10.2 cm-1
คำสำคัญ : คอปเปอร์(II) โครงสร้างผลึก สะพานเอไซด์ ได-2-พิริดิลามีน สมบัติทางแม่เหล็ก
Key words : Cu(II), Crystal structure, Azido bridge, Di-2-pyridylamine, Magnetism
* Master student, Master of Science in Chemistry, Department of Chemistry, Faculty of Science, Khon Kean University
** Associate Professor, Department of Chemistry, Faculty of Science, Khon Kean University
*** Assistant Professor, Department of Chemistry, Faculty of Science, Khon Kean University
**** Associate Professor, Department of Physics, Faculty of Science and Technology, Thammasat University
***** Assistant Professor, Department of Chemistry, Faculty of Science, Prince of Songkla University Rangsit


ABSTRACT
The polynuclear Cu(II) complexes [Cu2(dpyam)2(μ1,1-N3)2(O2CH)2] (1), [Cu2(dpyam)2(μ1,1-N3)2(O2CCH3)2] (2), [Cu2(dpyam)2(μ1,1-N3)2(O2CCH2CH3)2] (3) and [Cu3(dpyam)2(μ1,1-N3)2(μ-OCOCH3)2(μ-OOCCH3)2].2H2O (4) weresynthesized and characterized by spectroscopic and crystallographic methods. Complexes 1-3 consist of a dinuclear unit in which both Cu(II) ions are connected through two end-on azido bridges providing a distorted square pyramidal geometrywith a CuN4O chromophore, whereas 4 is a trinuclear unit, both Cu(II) ions are triply-bridged by double acetato and single azido bridges. In case of 4, the coordination geometry around each of the terminal Cu(II) ions is distorted squarepyramidal, while the central Cu(II) ion is elongated octahedral. The magnetic properties were measured in the range from 5 to 300 K and correlate with the molecular structures. Three dinuclear complexes show a weak to medium ferromagnetic exchange interactions between the Cu(II) ions dominated by the bridging azido ligands, with a singlet-triplet splitting (J) of + 63.3, + 63.8 and + 5.1 cm-1, for complexes 1, 2 and 3, respectively. However, complex 4 reveals a weak antiferromagnetic coupling with a J value of - 10.2 cm-1.
จากการประชุมทางวิชาการ เสนอผลงานวิจัย ระดับบัณฑิตศึกษา ครั้งที่ 9
วันศุกร์ที่ 19 มกราคม 2550 ณ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
The 9th Symposium on Graduate Research, KKU. 19 January 2007

MV เสียดสี การเมือง- เพลง มอบให้ นปก

MV เสียดสี การเมือง- เพลง มอบให้ นปก

เตรียมตัวรับมือ 10 วิกฤตชาติในปี 2552

โดย สุวิชชา เพียราษฎร์     29 ธันวาคม 2551 18:38 น.


       
ส่งท้ายปีเก่า :
      
        หากมองย้อนทบทวนเหตุการณ์ต่างๆ ในปี 2551 ที่กำลังจะผ่านไปในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้คงไม่มีใครปฏิเสธว่า เป็นปีแห่ง ‘วิกฤต’ จริงๆ
      
        วิกฤตทั้งเศรษฐกิจ และการเมือง ซึ่งผลกระทบของมันลุกลามแพร่กระจายเป็นวงกว้างและรุนแรงที่สุดในรอบหลายๆ ปีที่ผ่านมา
      
        จากพิษปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพหรือซับไพรม์ของสหรัฐฯ ที่เดิมก็กัดแทะกินลึกอยู่ในระบบเศรษฐกิจโลกมาเรื่อยๆ และปะทุขึ้นอีกครั้งจนส่งผลให้สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจ ะล้มละลายได้ พังครืนลงมา ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ สร้างความหวั่นวิตกต่อตลาดเงิน-ตลาดทุนไปทั่วโลก
      
        มิหนำซ้ำ ภาวะเศรษฐกิจไทยที่ตายซากอยู่แล้วยังถูกซ้ำเติมด้วยปัญหาการเก็งกำไรราคาน้ำ มัน ราคาขายปลีกน้ำมันที่ทำสถิติสูงสุดใหม่วันเว้นวันช่วงนั้นส่งผลให้เงินเฟ้อพ ุ่งทะยานคุกคามความเป็นอยู่ของคนไทยอึดอัดแทบตาย
      
        ขณะที่ภาคการเมือง การเข้ามาของรัฐบาลนอมินีของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทั้งรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้กลายเป็นฝันร้ายที่ประชาชนจะไม่มีวันลืม
      
        เหตุเพราะรัฐบาลทั้งสองชุดเข้ามาเจตนามุ่งหวังแต่เพียงแก้ปัญหารักษาผลประโย ชน์ให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ คนคนเดียว จนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยลุกฮือขับไล่สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ก ารเมืองภาคประชาชนที่ต่อสู้ยืดเยื้อยาวนานกว่า 193 วัน
      
        กระนั้นการต่อสู้ของพันธมิตรฯ ก็แลกมาด้วยการสูญเสียบาดเจ็บ และเสียชีวิตด้วยฝีมือของรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สั่งสลายการชุมนุมหน้ ารัฐสภาในวันที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แถลงนโยบายเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551
      
        ต้อนรับปีใหม่ :
      
        สำหรับปี 2552 ปีใหม่ที่รออยู่ วิกฤตทั้งสองนี้แนวโน้มจะเป็นเช่นใด จะคลี่คลายขึ้นหรือไม่? ขณะเดียวกันจะมีวิกฤตอื่นๆ ซุกซ่อนโผล่ขึ้นมาเป็นปัญหาแทรกซ้อน กระทบต่อการดำรงชีวิตของเราคนไทยอะไรอีกบ้าง?
      
        โอกาสนี้ กองบรรณาธิการ “ASTV ผู้จัดการรายวัน” ร ่วมกับสำนักพิมพ์บ้านพระอาทิตย์ ได้รวบรวมเรียบเรียงจากการค้นคว้าหาข้อมูลสัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้องเพื่อตอบโจท ก์ดังกล่าว โดยได้จัดทำเป็นเล่มในรูปแบบพ็อกเกตบุ๊กให้อ่านง่ายๆ ในชื่อ “10 วิกฤตชาติ’52” ซึ่งก็นับเป็นปีที่ 3 ติดต่อแล้ว
      
        ในหนังสือเล่มนี้จะชี้ให้เห็นว่าด้วยปัจจัยพื้นฐาน และวิกฤตที่ยังคงต่อเนื่องจากปี2551 คนไทยยังจะต้องเจอวิกฤตในวิกฤต, วิกฤตที่สุดซึ่งซุกซ่อนความร้ายแรงไว้บั่นทอนทำลายชีวิตความเป็นอยู่อีกนานั ปการในปี 2552
      
        เริ่มผลพวงจาก “วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์” ซึ่งขณะนี้ชัดเจนมากกว่าเศรษฐกิจโลกปี 2552 ไม่อาจหลีกเลี่ยงภาวะถดถอย วิกฤตจะแพร่กระจายความรุนแรงลงสู่ภาคธุรกิจต่อเนื่อง ซึ่งนั่นก็หมายถึง การจ้างงาน การตกงานที่จะเกิดขึ้นมากมายมหาศาลอย่างไม่ต้องสงสัย
      
        ไม่เฉพาะแต่กลุ่มคนทำงานในภาคธุรกิจ ความเลวร้ายของเศรษฐกิจถดถอย ส่งออกหดตัวก็จะพลอยทำให้สินค้าเกษตรที่เคยขายได้ราคา เกษตรกรเคยมีช่วงเวลากอบโกยราวกับตกหลุมทอง ปีนี้ภาวะเช่นนั้นก็จะไม่หวนคืนมาอีกแล้ว
      
        เช่นเดียวกันกับผู้บริโภคทั่วๆ ไปที่ยังจะต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตพลังงาน โดยเฉพาะที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น น้ำมัน และแก๊ส ความล้มเหลวของการจัดการภาครัฐได้ให้บทเรียนแก่เราเมื่อปี 2551 มาแล้วอย่างแสนสาหัส หากรัฐบาลใหม่ไม่แก้ปัญหานี้ ทุกอย่างก็น่าจะยังคงอยู่ในวงจรความไม่สมดุลของการใช้พลังงานเหมือนเดิม
      
        ความหวังการฟื้นฟูเศรษฐกิจก็คงต้องรอดูฝีมือรัฐบาลใหม่ เช่นเดียวกับภาคการเมืองที่ปัญหาถูกหมักหมมมานาน การเปลี่ยนขั้วอำนาจ คลื่นใต้น้ำก่อกวนความไม่สงบจากกลุ่มอำนาจเก่าจากนี้ไป ตุลาการภิวัฒน์กับนอมินีทักษิณจะเป็นปมที่น่าสนใจยิ่งว่าจะเกิดผลอะไรตามมาอ ีก
      
        อย่างไรก็ดี ท่ามกลางวิกฤตการเมืองที่ต่อเนื่องมาจากปี 2551 สิ่งที่เห็นชัดเจนอีกอย่างก็คือ วิกฤตสื่อ โดยปีที่แล้วสื่อต่างๆ ได้แปรเปลี่ยนจากการทำหน้าที่สื่อมวลชนก้าวล่วงไปสู่การกำหนดข่าวเพื่อเป้าห มายทำลายศัตรูทางการเมือง รวมถึงการล้มล้างสถาบันอย่างชัดเจนนั้นจะยังเป็นปัญหาต่อไปแค่ไหน อย่างไร
      
        ทั้งหมดนี้เป็นปรากฏการณ์ที่น่าจับตามองในปีวัว!
      
        เมื่อรวมกับอีก 2 วิกฤตซึ่งผ่านการมองและกลั่นออกมาจากประสบการณ์จริงของ อ.ธรณ์ ธำรงนาสวัสดิ์ ได้แก่ วิกฤตการศึกษา และวิกฤตสิ่งแวดล้อมและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ก็จะรวมเป็น 10 วิกฤตชาติที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2552
      
        ทั้งนี้ กองบรรณาธิการฯ หวังว่า ปัญหาแม้จะหนักหนาสาหัส วิกฤตภัยแม้จะนำมาซึ่งความเสียหาย แต่ตราบใดที่มีข้อมูลเป็นเครื่องนำทาง เป็นเข็มทิศให้ชีวิตได้เตรียมพร้อมที่จะต่อสู้ ก็เชื่อได้ว่า เราคนไทยจะผ่านมันออกไปได้เหมือนๆ ทุกครั้งที่ผ่านมา
      
        ลาทีปีเก่า และขอสวัสดีปีใหม่ครับ.
      
       ท ่านผู้อ่านสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพิ่มเติมได้ที่ เอ็มบล็อก http://mblog.manager.co.th/suwitcha67 หรือ E-mail suwitcha@manager.co.th

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9510000153053

เตือน ปชช.ระวัง “โรคพิษสุนัขบ้าหน้าหนาว” เผยปี 51 ตายแล้ว 5 ราย

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    


       สธ.เตือนประชาชนอย่าชะล่าใจโรคพิ ษสุนัขบ้าในฤดูหนาว หากถูกสุนัขบ้ากัดแล้วไม่ ไปพบแพทย์เพื่อฉีดวัคซีน จะมีโอกาสตาย 100 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2551 นี้พบผู้เสียชีวิตแล้ว 5 ราย ด้านอธิบดีกรมควบคุมโรค แนะหลังถูกสุนัขกัด ต้องรีบล้างแผลด้วยน้ำและสบู่ให้สะอาดหลายๆ ครั้ง และพบแพทย์ อย่ารักษาเองตามความเชื่อผิดๆ เช่นกินตับสุนัขที่กัด การใช้ยาฉุนยัดแผล เป็นอันตรายถึงชีวิต
      
       นายแพทย์ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ในช่วงหน้าหนาวนี้ สิ่งที่ประชาชนมักมองข้ามเรื่องหนึ่งคือ โรคพิษสุนัขบ้า (Rabies) หรือที่เรียกว่า โรคหมาบ้า โรคหมาหว้อ ซึ่งคนไทยยังเข้าใจกันว่าโรคนี้มักเกิดในฤดูร้อน ซึ่งแท้จริงแล้วโรคนี้พบในฤดูหนาว และเป็นฤดูกาลแพร่โรคพิษสุนัขบ้าในสัตว์ โดยเฉพาะสุนัข เนื่องจากหน้าหนาวของไทยเริ่มประมาณเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นฤดูกาลผสมพันธุ์ของสุนัข สุนัขตัวผู้จะต่อสู้เพื่อแย่งชิงสุนัขตัวเมียและปกป้องอาณาเขต หากตัวใดมีเชื้อโรคพิษสุนัขบ้า เชื้อจะถ่ายทอดทางน้ำลายไปสู่ตัวอื่น และนำเชื้อมาสู่คนโดยการกัด ข่วน หรือเลีย หลังรับเชื้อแล้วส่วนมาก คนจะแสดงอาการป่วยประมาณ 4 วัน จนถึง 3-4 ปีก็ได้ แต่ส่วนใหญ่ไม่เกิน 1 ปี
       
       ฉ ะนั้น จึงขอเตือนประชาชนอย่าชะล่าใจหลังถูกสุนัขกัด ต้องรีบล้างแผลให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่หลายๆครั้ง ใส่ยารักษาแผลสดแล้วไปพบแพทย์ เพื่อฉีดวัคซีน จะป้องกันการเกิดโรคได้ หากหลังถูกกัดแล้วปล่อยไว้จนมีอาการป่วย จะเสียชีวิตทุกราย เนื่องจากโรคนี้ไม่มียารักษา
      
       จากการเฝ้าระวังโรคพิษสุนัขบ้าในปี 2551 ตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงขณะนี้ ทั่วประเทศพบผู้ป่วย 5 ราย ที่จังหวัดสระแก้ว เลย หนองบัวลำภู สุรินทร์ และกทม. เสียชีวิตทั้งหมด เนื่องจากไม่ได้ฉีดวัคซีนป้องกันหลังถูกกัด สถานการณ์โรคปีนี้ลดลงกว่าปี 2550 ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 18 ราย สัตว์ที่เป็นแหล่งแพร่เชื้อมากที่สุด คือสุนัข
      
       ด้านนายแพทย์หม่อมหลวงสมชาย จักรพันธุ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ต่อปีมีผู้ถูกสุนัขกัดและได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า เฉลี่ยปีละ 400,000 กว่าราย สุนัขทุกวัยมีโอกาสเป็นโรคนี้ ลูกสุนัขก็เป็นได้ โดยได้รับเชื้อมาจากแม่ขณะเลียปากลูกสุนัข อาการของสุนัขที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้า มีทั้งแบบซึมและแบบดุร้าย โดยชนิดซึม สุนัขจะหลบซุกตัวในมุมมืด ถ้าถูกรบกวน อาจจะกัด บางตัวอาจแสดงอาการคล้ายกระดูกหรือก้างติดคอ ทำให้เจ้าของเข้าใจผิด คิดว่ากระดูกติดคอ พยายามล้วงปากสุนัขเพื่อหาเศษกระดูก ทำให้ติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้าโดยไม่รู้ตัว ส่วนชนิดดุร้ายจะมีอาการทางประสาท กระวนกระวาย หงุดหงิด ดุร้าย กัดทุกสิ่งที่ขวางหน้า ในระยะสุดท้ายสุนัขจะมีขากรรไกรแข็ง ปากอ้า ลิ้นห้อย น้ำลายไหล วิ่งไม่มีจุดหมาย อัมพาต และตายในที่สุด
      
       โรคพิษสุนัขบ้าจัดเป็นโรคติดต่อจากสัตว์มาสู่คนที่มีความรุนแรงมาก ผู้ที่มีอาการป่วยจะเสียชีวิตทุกราย อาการของโรคนี้ คือมีไข้ ปวดเมื่อยตามตัว คันบริเวณรอยแผลที่ถูกสัตว์กัด อาการคันลามไปที่อื่น ต่อมาจะหงุดหงิด น้ำลายไหลมาก กล้ามเนื้อคอกระตุกเกร็ง บางรายอาจมีอาการแขนขาอ่อนแรง มักป่วยอยู่ประมาณ 2 ถึง 6 วัน และเสียชีวิตเนื่องจากกล้ามเนื้อ ระบบทางเดินหายใจเป็นอัมพาต การป้องกันที่ได้ผลที่สุดล้างแผลให้สะอาดแล้วไปรับการฉีดวัคซีนหลังถูกกัด
      
       ท ั้งนี้ สาเหตุประการหนึ่งที่ทำให้คนไทยจำนวนหนึ่งเสียชีวิตจากโรคนี้ เนื่องจากมีความเชื่อในการรักษาผิดๆ หลังถูกสุนัขกัด และบอกต่อๆ กันมา เช่น เชื่อว่าโรคพิษสุนัขบ้าเป็นเฉพาะหน้าร้อนเท่านั้น เชื่อว่าเมื่อถูกสุนัขกัด ให้ใช้รองเท้าตบแผล หรือใช้เกลือขี้ผึ้งบาล์ม หรือใช้ยาฉุนยัดในแผล การรดน้ำมนต์หลังถูกสุนัขกัด หรือเชื่อว่า เมื่อถูกสุนัขกัด ให้ฆ่าแล้วนำตับสุนัขมากิน คนก็จะไม่ป่วยเป็นโรคพิษสุนัขบ้า เป็นต้น ความเชื่อเหล่านี้ ทำให้ผู้ที่ถูกสุนัขกัด จึงไม่ไปพบแพทย์เพื่อฉีดวัคซีนป้องกัน
      
       นพ.ม.ล.สมชาย กล่าวต่อว่า ขณะนี้วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าในคนมีความปลอดภัยสูง ฉีดเพียง 5 เข็ม และไม่ต้องฉีดทุกวัน คนท้องที่ถูกสุนัขกัดก็ฉีดได้ โดยการฉีดวัคซีนทันทีที่สัมผัสกับเชื้อโรค และหลังถูกสุนัขกัดขอให้ล้างแผลด้วยน้ำสบู่ให้สะอาด จะช่วยให้เชื้อโรคต่างๆที่มีอยู่ในน้ำลายสุนัขหลุดไปจากแผลพร้อมกับน้ำสบู่แ ละล้างสบู่ออกให้หมด วิธีการล้างแผลขอให้ล้างให้ลึกถึงก้นแผล จะลดอัตราการเกิดโรคลงได้กว่าร้อยละ 50
      
       อ ย่างไรก็ตาม การล้างแผลแล้วไปพบแพทย์ เป็นการป้องกันที่ปลายเหตุ วิธีที่ดีที่สุดในการกำจัดโรคพิษสุนัขบ้า ก็คือการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าให้แก่สุนัข โดยเริ่มฉีดครั้งแรกเมื่อสุนัขอายุตั้งแต่ 2 เดือน แล้วฉีดกระตุ้นอีกครั้งใน 2-3 เดือนต่อมาและฉีดซ้ำทุกปี และหลีกเลี่ยงไม่ให้สัตว์ กัด เลีย หรือโดนน้ำลายสัตว์ โดยเฉพาะเด็กๆ ที่ชอบเล่นกับสุนัข หากโดนกัด ขอให้รีบล้างแผลด้วยน้ำกับสบู่หลายๆ ครั้ง ใส่ยาฆ่าเชื้อ เช่น ทิงเจอร์ไอโอดีน แอลกอฮอล์ แล้วรีบพาไปพบแพทย์โดยเร็ว


http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9510000152505

เปลือยตัวตน "พธม.พิจิตร" รุ่นน้อง “อ้วน-ภูมิธรรม” ผู้ปฏิเสธ “ระบอบแม้ว”

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์     29 ธันวาคม 2551 00:06 น.

     ศูนย์ข่าวภาคเหนือ – เปลือยชีวิตและตัวตน “สมเกียรติ โสภณพงศ์พิพัฒน์” หนึ่งในแกนนำ พธม.พิจิตร - เมืองชาละวัน หนุ่มใหญ่วัย 48 ปี อดีตมือทำงานที่เคยร่วมปลุกปั้นนโยบายรากหญ้าร่วมกับ “อ้วน-ภูมิธรรม” จนมองเห็นหุบเหวแห่งหายนะใน “ระบอบทักษิณ” ก่อนกระโดดเข้าร่วมขับเคลื่อนกับ พธม.ตั้งแต่ปี 48-49 จนสามารถผลักดันเวทีปราศรัยใหญ่ของพันธมิตรฯให้เกิดขึ้นที่พิจิตรได้เป็นจัง หวัดแรก ๆ ของภาคเหนือถิ่น ทรท. ย้ำผลสำเร็จการเมืองใหม่ พธม.ต้องมีตัวแทนในสภาฯแทนยืมจมูกคนอื่นหายใจ
      
       การเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ในพื้นที่ภาคเหนือ หนึ่งในพื้นที่ฐานเสียงหลักของพรรคไทยรักไทยในอดีต สืบทอดถึงพรรคพลังประชาชน และเพื่อไทย ตั้งแต่ปี 2548-2549 ต่อเนื่องมาถึงศึกใหญ่ 2551 ในจำนวน 17 จังหวัดภาคเหนือนั้น “พิจิตร – เมืองชาละวัน” เป็นจังหวัดหนึ่งที่ พธม.สามารถเปิดเวทีปราศรัยใหญ่ โดยมีคนพิจิตรและจังหวัดใกล้เคียง เข้าร่วมรับฟังการปราศรัยจากแกนนำมากกว่าเรือนหมื่นขึ้น เป็นจังหวัดแรก ๆ ของภาคเหนือ
      
       ใ นบรรดาเพื่อนพ้องน้องพี่ พธม.พิจิตร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ กำแพงเพชร อุตรดิตถ์ สุโขทัย ฯลฯ หรือกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ปฏิเสธไม่ได้ว่า คนหนึ่งที่อยู่เบื้องหลัง ร่วมกำหนดแนวทางการเคลื่อนไหว พธม.ภาคเหนือตอนล่าง สร้างสรรค์การเมืองใหม่ มาต่อเนื่องตั้งแต่ยุคปี 48-49 เป็นต้นมาก็คือ “เกียรติ – สมเกียรติ โสภณพงศ์พิพัฒน์” หนุ่มใหญ่วัย 48 ปี ศิษย์เก่ารามคำแหง เอ็นจีโอพันธุ์แท้รุ่นน้อง “อ้วน-ภูมิธรรม เวชยชัย” คนเดือนตุลาฯ ลูกมือ “แม้ว-ทักษิณ ชินวัตร” ที่หันหลังให้รุ่นพี่ เพื่อเดินหน้าขับไล่ “ทักษิณ” อย่างเต็มตัว
      
       “สมเกียรติ” หรือที่หลายคนเรียกว่า พี่เกียรติ บอกว่า สมัยก่อนเขาเป็นสมาชิกยุวธิปัตย์ มาตั้งแต่สมัยเรียน แต่สุดท้ายก็ลาออก เพราะเห็นว่าอุดมการณ์ของ ปชป. ก็ไม่ใช่แนวทางการสร้างการเมืองใหม่ในอุดมคติอย่างแท้จริง

“พันธมิตรฯ พิจิตร” ในวันเตรียมต้อนรับนายสมชัย หทยะตันติ ผู้ว่าฯพิจิตร ที่เป็นสาวกแม้ว
   
       “พี่เกียรติ” นับเป็นเอ็นจีโอ รุ่นแรก ๆ ของพิจิตร ที่มีส่วนสร้างสรรค์งานมวลชนในพื้นที่ ถูกรับเชิญไปร่วมงานของแวดวงราชการหลายหน่วยงาน ที่คุ้นหน้าคุ้นตาดี ก็คือ พิธีกร วาทศิลป์ การพูดบนเวทีและบุคลิกที่เรียบง่ายเข้ากับมวลชนได้ดีทำให้วันนี้ “พี่เกียรติ” หนึ่งในแกนนำพันธมิตรฯพิจิตร ก้าวสู่การเป็นอาจารย์ หรือเป็นครูสอนผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตจังหวัดพิจิตร ในระดับปริญญาตรี สาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงครามจังหวัดพิษณุโลก ศูนย์จังหวัดพิจิตร
      
      
       เขาบอกว่า เดิมทีตนเป็นคนย่านสามเสน กรุงเทพฯ พ่อแม่ค้าขาย ร่ำเรียนมหาวิทยาลัยรามคำแหง สาขารัฐศาสตร์ ซึ่งดูเหมือนว่าอนาคตควรจะเติบโตในสายการปกครองอย่างปลัดอำเภอ แต่บังเอิญว่า ช่วงที่เรียนอยู่รามฯ เน้นหนักไปที่ทำกิจกรรม ตึกกิจกรรมคือสถานที่พักพิงและหลับนอน การออกค่ายเป็นเรื่องปกติของคนทำกิจกรรมของนักศึกษา จุดนี้เองทำให้ต้องเลือกทางเดินมาสู่ชนบท ช่วงนั้นการเรียนจบใหม่ๆบัณฑิตทุกคนก็ต้องหางานทำให้มั่นคง เขาก็เลือกเป็นพนักงานเอกชนที่โรงงานน้ำตาลแห่งหนึ่งของจังหวัดกำแพงเพชร
      
       แต่เมื่อรู้ว่า ตัวเองนั้นไม่ใช่ ประจวบเหมาะนิสัยที่ชอบทำงานกับมวลชนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เขียนโครงการศึกษาในงานพัฒนาชุมชน ขอทุนวิจัยจากต่างประเทศ ซึ่งยุคนั้นต้องยอมรับว่า มีเงินจากประเทศพัฒนาแล้ว ส่งผ่านมาให้ประเทศไทยในฐานะประเทศกำลังพัฒนามาก อย่างทุนออสเตรเลียให้มากว่า 100 ล้านบาท เพื่อทำการศึกษาวิจัยพัฒนาชุมชนต่อเนื่องกัน เช่น งานเกษตรผสมผสาน, ธนาคารข้าว, ธนาคารควาย ฯลฯ ที่มีบทสรุป งานเสริมสร้างแนวคิดและช่วยเหลือชุมชนให้พึ่งพาตนเอง กระทั่งใกล้ปี 2537 เงินทุนจากต่างประเทศเริ่มร่อยหรอ ปรับทิศทางไปยังประเทศที่ด้อยพัฒนากว่าไทย

       ประสบการณ์ที่ได้ทำงานองค์กรพัฒนาเอกชน มาหลายปี จนนั่งเป็นประธานคณะกรรมการและกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนภาคเหนือตอน ล่าง ทำให้ทราบว่า ควรทำงานในกระดาษให้ออกเป็นจริงขึ้นมา และบังเอิญว่า แนวความคิดไปตรงกับผู้นำชุมชนและชาวบ้านแถบอำเภอสามง่าม หรือวชิรบารมี ในปัจจุบัน ชาวบ้านที่ถูกหล่อหลอมและปลูกฝังแนวคิดช่วยเหลือชุมชนตนเอง สามารถระดมทุนเริ่มต้นจากคนร่วมๆ 500 คน รวมเงินได้ 3 แสนบาทก่อตั้งสหกรณ์ชาวนาวชิรบารมี จำกัด ในปี 37 เป็นนิติบุคคลที่มีสมาชิก 1,600 ครอบครัวในปัจจุบัน มีสินทรัพย์ 160 ล้านบาท
      
       แนวคิดของสหกรณ์ มีจุดมุ่งหมายให้คนในชุมชนหรือชาวนาทั้งอำเภอวชิรบารมี เกื้อกูลกัน และทำให้สหกรณ์เป็นส่วนหนึ่งของชุมชน จนกระทั่งเกิดกระแสโลกาภิวัตน์ และนโยบายต่างๆเช่น กองทุนหมู่บ้านฯลฯ ของ “รัฐบาลทักษิณ” ทำให้คนในชุมชนละทิ้งการพึ่งพาสหกรณ์
      
       “พี่เกียรติ”บอกอีกว่า นโยบายที่ล้มเหลวของ “ระบบทุนนิยมทักษิณ” ทำลายงานพัฒนาชุมชนที่ เอ็นจีโอ ทำมาหลายปี แต่ก็ไม่ได้โยนบาปให้รุ่นพี่เอ็นจีโอ อย่าง “ภูมิธรรม เวชยชัย”มือทำงานของ “ทักษิณ"

สมเกียรติ พร้อมเครือข่ายพันธมิตรฯ กว่า 200 คน ในวันที่ร่วมทำบุญให้วีรชนคนกล้าที่เสียชีวิตเมื่อ 7 ตุลาคม ที่วัดคลองคู้ ต.ท่าหลวง อ.เมือง จ.พิจิตร และร่วมกันทอดผ้าป่าสามัคคี ซื้อจานดาวเทียม ASTV ถวายให้พระ
   
       “ยอมรับว่า ในยุคแรกของไทยรักไทย ผมก็เข้าไปร่วมงานกับรุ่นพี่คือ ภูมิธรรม เวชยชัย ในการผลักนโยบายรากหญ้า เพราะช่วงนั้นเบื่อหน่ายการทำงานที่เชื่องช้าของระบบราชการ กระทั่ง นโนบายรากหญ้าของทักษิณ ที่นำมาใช้อย่างหนักและจมดิ่งไปเรื่อยๆ ทำให้ชาวบ้านลุ่มหลงในวัตถุนิยมมากเกินไป ไม่ได้ปล่อยให้ชาวบ้านคิดเองทำเองตามวัตถุประสงค์แรกๆ จนตกเป็นทาสทุนนิยม ทำให้ผมต้องกระโดดเข้าสู่เวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพื่อขับไล่รัฐบาลทักษิณ ในระยะหลายปีที่ผ่านมา”
      
       ในมุมมองของ “สมเกียรติ” เห็นว่า สหกรณ์ ถือเป็นกลไกที่บ่งชี้ถึงการพึ่งพาของคนในชุมชน แต่ไม่ใช่จะประสบความสำเร็จทุกสหกรณ์ จะต้องดูพื้นฐานและที่มาของการก่อตั้งมากกว่า ถ้าให้ภาครัฐจัดตั้งกันเอง รับรองว่า เจ๊งเกือบทุกแห่ง ณ วันนี้ สหกรณ์จังหวัดพิจิตร จะมีชาวนาทั้งอำเภอวชิรบารมี ซื้อปุ๋ย น้ำมันดีเซล อุปกรณ์การเกษตรทุกอย่าง รวมไปถึงการนำผลผลิต ข้าวเปลือก มาขายที่สหกรณ์ทั้งหมดรวมทั้งสิ้น 2-3 หมื่นตันต่อฤดูกาล เพราะชาวบ้านทราบดีว่า หากนำข้าวไปขายหรือจำนำ โรงสีแห่งอื่นจะถูกกดราคา มีปัญหาตุกติก แต่มาขายข้าวที่สหกรณ์ฯ จะไม่มีปัญหาอย่างนั้น เพราะที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของเขา
      
       หลักการนี้สอดคล้องกับคำว่า “การเมืองใหม่” ก็คือ ประชาชนมีส่วนร่วมหรือเป็นเจ้าของประเทศ ผลที่เป็นรูปธรรมในบทบาทสหกรณ์ จึงมีส่วนสนับสนุนให้ชาวบ้านเริ่มคิดเอง เพียงแต่ทุกวันนี้จะต้องมี “สื่อ” ไปบอก ชาวบ้านว่า อะไรดี อะไรไม่ดี เพราะต้องยอมรับว่าเดี๋ยวนี้ชาวบ้านไม่ได้โง่ เพียงแต่เขารับรู้ข่าวสารเพียงด้านเดียว โดยเฉพาะจากรัฐเท่านั้น
      
       ก ่อนจบการสนทนา “พี่เกียรติ” ย้ำว่า ผมยังเชื่อว่า การนำพาประเทศสู่การเมืองใหม่ จะต้องตั้งพรรคการเมือง เพื่อให้มีตัวแทนของตนไปนั่งอยู่ในระบบรัฐสภา เพราะการที่จะไปพึ่ง ส.ส. หรือพึ่งพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งที่มีนโยบายหรือแนวคิดเหมือนกับพัน ธมิตรฯนั้น คงยาก! เข้าตำรา ยืมจมูกเขาหายใจ ที่สุดท้ายอาจถูกเจ้าของจมูกแปรเจตนาไปแสวงหาผลประโยชน์เข้าพรรค เข้าพวกตนเองแทน
      


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9510000152694

เวที พธม.โคราช ฉลองชัยส่งท้ายปีคึกคัก-ปชช.อีสานหลั่งไหลร่วมเนืองแน่น

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์     28 ธันวาคม 2551 21:35 น.

       ศูนย์ข่าวนครราชีมา – เวทีใหญ่ ฉลองชัยชนะประชาชนพันธมิตรฯ โคราช คึกคัก หลานย่าโม และ ปชช.อีสาน หลั่งไหลร่วมเนืองแน่น เผย นักรบมือตบร่วมรับประทานอาหารสังสรรค์ชื่นมื่น ท่ามกลางศิลปินกู้ชาติผลัดเปลี่ยนขึ้นบรรเลงเพลง สลับการปราศรัยเต็มเติมปัญญาของบรรดาแกนนำ พธม.นำทัพโดย “สมเกียรติ-พิภพ” ยันให้โอกาสรัฐบาล“นายกฯ มาร์ค” แต่ต้องทำงานหนักเพื่อชาติ-ปชช.ห้ามแก้ รธน.เอื้อทักษิณ และเชือดเด็ดขาดคอร์รัปชั่น นักการเมือง-ตร.ชั่วเข่นฆ่า ปชช.
      
       วันนี้ (28 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวทีชุมนุมปราศรัยใหญ่ “สร้างสรรค์ปีใหม่ 2552 บทเรียนเลือด หลอมรวมร่วมศรัทธา จักฟันฝ่า สานฝันอย่างมั่นคง” ที่ สมัชชาประชาชนภาคอีสาน 19 จังหวัด ร่วมกับกลุ่มภาคีมวลชนคนโคราชรักประชาธิปไตย และ เครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) จ.นครราชสีมา และภาคอีสาน ร่วมกันจัดขึ้น ที่ บริเวณลานข้างอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ย่าโม) ถ.ชุมพล อ.เมือง จ.นครราชสีมา นั้น บรรยากาศคึกคักมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากได้เปิดเวทีอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่เวลา 17.00 น.เป็นต้นมา
      
       โดยมีเครือข่ายพันธมิตรฯ และประชาชนใน จ.นครราชสีมา รวมทั้งจังหวัดใกล้เคียงให้ความสนใจเดินทางเข้าร่วมงานอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางการระดมกำลังตำรวจจาก สภ.เมืองนครราชสีมา ทั้งในและนอกเครื่องแบบมาอำนวยความสะดวกการจราจรและดูแลความสงบเรียบร้อยอย่ างเต็มที่
      
       ทั้งนี้ ประชาชนนักรบมือตบทุกคน ต่างได้ร่วมกันรับประทานอาหารที่บรรดาแม่ยกพันธมิตรฯ พ่อค้านักธุรกิจและคณะกรรมการจัดงาน ได้จัดตั้งซุ้มอาหาร ขนมหวาน ผลไม้ และเครื่องดื่ม ให้บริการฟรีร่วม 20 ซุ้ม อย่างเอร็ดอร่อย พร้อมหาซื้อสินค้าของที่ระลึกพันธมิตรฯ กู้ชาติ เช่น มือตบ เสื้อ หมวก ผ้าพันคอ ผ้าโพกหัว กันจำนวนมาก
      
       ส่วนกิจกรรมบนเวทีปราศรัย ได้มีบรรดาศิลปินกู้ชาติ ผลัดเปลี่ยนกันขึ้นบรรเลงเพลงสร้างความครึกครึ้นสนุกสนาน สลับกับการขึ้นปราศรัยเติมเต็มปัญญา ข้อมูล สถานการณ์บ้านเมืองของแกนนำพันธมิตรฯ อยู่ตลอดเวลา
      
       เริ่มจากการเปิดเวทีความบันเทิงด้วยวงดนตรี บอยโคราช ตามด้วย วงแฮ้งคอดำ, วงสหภาพ จากนั้นเป็นการปราศรัยของ ผศ.ดร.สามารถ จับโจร นักวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา, การแสดงดนตรี ของ วงจุ๋ม ด่านเกวียน, การปราศรัยของ อ.สมัคร สถติย์นิลรัตน์ แกนนำองค์กรครูโคราช, นายอธิวัช บุญชาติ, ดร.ทวิช จิตสมบูรณ์ นักวิชาการมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) และ นพ.พินิจจัย นาคพันธุ์ แพทย์ประจำโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา
      
       ผศ.ดร.สามารถ จับโจร นักวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา กล่าวว่า ตนเชื่อว่าประชาชนชาวพันธมิตรฯ หลายคน คงคลางแคลงใจในการจัดตั้งรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะการดึงเอา “กลุ่มเพื่อนเนวิน” ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มการเมือง “ยี้” ที่สุดในประเทศเข้าร่วมรัฐบาล หลังจากประชาชนได้ร่วมกันลุกขึ้นต่อสู้ครั้งประวัติศาสตร์ขับไล่รัฐบาลทรราช หุ่นเชิดระบอบทักษิณ ต้องสูญเสียชีวิต ทรัพย์สิน และบาดเจ็บพิการ อีกเป็นจำนวนมาก จนชัยชนะเป็นของประชาชนในครั้งนี้
      
       อย่างไรก็ตาม พวกเราพร้อมที่จะให้โอกาส รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีได้บริหารแก้ปัญหาประเทศชาติ แต่ทั้งนี้ รัฐบาลนายกฯ อภิสิทธิ์ ต้องทุ่มเททำงานเพื่อผลประโยชน์ประเทศชาติและประชาชนอย่างเต็มที่บนความถูกต ้องชอบธรรม ต้องไม่แก้รัฐธรรมนูญเพื่อเอื้อประโยชน์ ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพวก ได้พ้นผิดจากคดีทุจริตโกงชาติกินเมืองทั้งหลาย และที่สำคัญ รัฐบาลต้องดำเนินการกับตำรวจ และนักการเมืองผู้มีส่วนร่วมในการสั่งเข่นฆ่าประชาชน ในเหตุการณ์ 7 ตุลาทมิฬ และเหตุการณ์อื่นๆ อย่างเด็ดขาดถึงที่สุดและไม่มีละเว้น
      
       ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ล่าสุด เมื่อเวลา 20.30 น.ได้มีประชาชนเดินทางเข้าร่วมเวทีปราศรัยที่บริเวณลานย่าโม อย่างเนืองแน่น เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนหลายพันคนแล้ว ซึ่งหลายคนจับจองพื้นที่บริเวณหน้าเวทีเต้นรำตามจังหวะเพลงกู้ชาติอย่างสนุก สุดเหวี่ยง
      
       โดยยังมีวงดนตรีศิลปินกู้ชาติ และ แกนนำพันมิตรฯ ชื่อดังอีกหลายคนรอขึ้นเวทีอย่างต่อเนื่องไปจนถึงเวลา 24.00 น.คืนนี้ เช่น หรั่ง ร็อคเคสตร้า, นายพิภพ ธงไชย 1 ใน 5 แกนนำพันธมิตรฯ รุ่นที่ 1, กำปั่น บ้านแท่น ศิลปินเพลงโคราช, นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และ เลขาธิการสมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย, วง ประทีป ขจัดพาล, ทพ.ศุภผล เอี่ยมเมธาวี เลขาธิการสมัชชาประชาชนภาคอีสาน 1 9 จังหวัด, นายพิเชฐ พัฒนโชติ อดีต ส.ว.นครราชสีมา, ศิลปิน แหลมผู้จัดกวน, นายยุทธยง ลิ้มเลิศวาที ผู้จัดรายการสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี (ASTV), การแสดงดนตรี ของ ซูซู
      
       หลังจากนั้น เวลา 23.20 น.นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ 1 ใน 5 แกนนำพันธมิตรฯ รุ่นที่ 1 ขึ้นเวทีปราศรัย และ ปิดเวทีปราศรัยอย่างเป็นทางการ ในเวลา 24.00 น.ด้วย วงซูซู, หรั่ง ร็อคเคสตร้า พร้อมแกนนำ นำโดย นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์, ทพ.ศุภผล เอี่ยมเมธาวี, นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ และ คณะกรรมการจัดงาน ก่อนอ่านบทกวี และร่วมกันร้องเพลง เสียงเทียนแห่งธรรม, คำมั่นสัญญา, สดุดีมหาราชา และ สรรเสริญพระบารมี

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9510000152683

พธม.โคราชตั้งเวทีใหญ่หน้าย่าโม พร้อมรับ ปชช.เรือนหมื่นร่วมฉลองชัย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์     28 ธันวาคม 2551 16:29 น.

ศูนย์ข่าวนครราชสีมา- เครือข่ายพันธมิตรฯ โคราชจัดตั้งเวทีลานย่าโม เปิดปราศรัยใหญ่ “สร้างสรรค์ปีใหม่ 2552 บทเรียนเลือด หลอมรวมร่วมศรัทธา จักฟันฝ่า สานฝันอย่างมั่นคง” พร้อมรับคลื่นพลังปชช.ร่วมฉลองชัยชนะการต่อสู้ภาคประชาชนส่งท้ายปีเก่าต้อนร ับปีใหม่ คืนวันนี้ เผย “สมเกียรติ-สมศักดิ์-พิภพ” นำทัพใหญ่ แกนนำพันธมิตรฯ ขึ้นปราศรัย คาดพันธมิตรฯ โคราชและภาคอีสานแห่ร่วมงานมากกว่า 1 หมื่นคน
      
       ช่วงบ่ายวันนี้ (28 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บริเวณข้างลานอนุสาวรีย์ท้าวสรุนารี (ย่าโม) ถ.ชุมพล อ.เมือง จ.นครราชสีมา กลุ่มสมัชชาประชาชนภาคอีสาน 19 จังหวัดและภาคีมวลชนคนโคราชรักประชาธิปไตย ได้เร่งจัดตั้งเวทีขนาดใหญ่ขนาดกว่า 20 เมตร พร้อมติดตั้งเครื่องขยายเสียง และหลอดไฟฟ้าบริเวณโดยรอบ รวมทั้งติดป้ายฉากหลังเวทีขนาดใหญ่ ระบุข้อความ “สร้างสรรค์ปีใหม่ 2552 บทเรียนเลือด หลอมรวมร่วมศรัทธา จักฟันฝ่า สานฝันอย่างมั่นคง” ทั้งนี้ เพื่อรองรับกลุ่มเครือข่ายพันธมิตรฯ และประชาชนทั้งใน จ.นครราชสีมา และจังหวัดต่างๆในภาคอีสานที่จะเดินทางมาร่วมเวทีปราศรัยใหญ่ดังกล่าว ในคืนนี้ หลังจากร่วมกันชุมนุมใหญ่กู้ชาติ ขับไล่รัฐบาลทรราชอันธพาลหุ่นเชิดระบอบทักษิณ ที่กรุงเทพฯ ตลอดเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา
      
       นางสารภี บุญประตูชัย แกนนำกลุ่มภาคีมวลชนคนโคราชรักประชาธิปไตย เปิดเผยว่า ขณะนี้ทีมงานได้จัดเตรียมเวทีและสถานที่พร้อมแล้ว ซึ่งการจัดเวทีปราศรัยใหญ่ส่งท้ายปีครั้งนี้ เริ่มตั้งแต่เวลา 17.00-24.00 น. จะเริ่มเปิดเวทีโดยศิลปินพื้นบ้าน จุ๋ม ด่านเกวียน ขึ้นขับกล่อมด้วยเสียงเพลง และมีศิลปินกู้ชาติเดินทางมาร่วมงานเป็นจำนวนมากกว่า 10 วง เช่น วงซูซู , หรั่ง ร็อคเคสตร้า, ประทีป ขจัดพาล, วสันต์ สิทธิเขตต์, แฮงค์ สหภาพ, กำปั่น บ้านแท่น ศิลปินเพลงโคราช และ วงสะเก็ดระเบิด เป็นต้น
      
       ที่สำคัญได้มีวิทยากรชื่อเข้าร่วมขึ้นปราศรัยบนเวที เพื่อให้ความรู้ข้อมูลเหตุการณ์บ้านเมืองและการต่อสู้ของภาคประชาชน เช่น นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์, นายพิภพ ธงไชย, นายสมศักดิ์ โกศัยสุข 3 ใน 5 แกนนำพันธมิตรฯ รุ่นที่ 1, นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และเลขาธิการสมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย, นายพิเชฐ พัฒนโชติ อดีต ส.ว.นครราชสีมา, ทพ.ศุภผล เอี่ยมเมธาวี เลขาธิการสมัชชาประชาชนภาคอีสาน 19 จังหวัด, ผศ.ดร.สามารถ จับโจร นักวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา และ ดร.ทวิช จิตสมบูรณ์ นักวิชาการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี เป็นต้น และจะมีตัวแทนพันธมิตรฯ ที่เดินทางไปร่วมชุมนุมใหญ่ กรุงเทพฯ ขึ้นเวทีเล่าประสบการณ์การต่อสู้ภาคประชาชนด้วย
      
       นอกจากนี้ยังมีการจัดพิธีเปิดผ้าแพร ปีแห่งการต่อสู้ภาคประชาชน 2552 พร้อมปล่อยลูกโป่งการเมืองภาคประชาชนจำนวนกว่า 100 ลูก และ ปล่อยบอลลูนอีก 9 ลูก เพื่อเป็นการถวายความจงรักภักดีแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
      
       “ การจัดเวทีปราศรัยใหญ่ ฉลองชัยส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ครั้งนี้ถือเป็นการผนึกกำลังครั้งใหญ่ที่ สุดของเครือข่ายพันธมิตรฯ ในจ.นครราชสีมา และภาคอีสานที่ร่วมกันต่อสู้กับระบอบทักษิณ ซึ่งคาดว่าจะมีเครือข่ายพันธมิตรฯและประชาชนใน จ.นครราชสีมา จังหวัดใกล้เคียง เช่น จ.สุรินทร์ บุรีรัมย์ ชัยภูมิ ขอนแก่น และ จ.อุดรธานี เดินทางมาร่วมงานนับหมื่นคน โดยรอบบริเวณงานจะมีการจัดซุ้มบริการอาหารฟรีกว่า 30 ซุ้มและมีกิจกรรมให้นักรบกู้ชาติได้ร่วมสนุกอีกจำนวนมาก” นางสารภี กล่าว

กรมอนามัยหนุนขนมไทยปรับสูตรเพื่อสุขภาพ ลดกะทิ-เกลือ 25 เปอร์เซ็นต์

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์     29 ธันวาคม 2551 14:51 น.

       กรมอนามัยหนุนขนมไทยอ่อนหวาน มอบประกาศนียบัตรร้านผู้ประกอบการทำขนมไทย จ.สมุทรสงคราม ปรับสูตรขนมหวาน 10 เมนู ทั้งถั่วแปบ ขนมชั้น ข้าวตู ฯลฯ ลดน้ำตาล กะทิ เกลือ 25% แต่อร่อยเหมือนเดิม หวังปรับพฤติกรรมติดหวาน มัน เค็ม
      
       วันที่ 29 ธันวาคม ที่กรมอนามัย นพ.ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา อ ธิบดีกรมอนามัย กล่าวในการเปิดตัวขนมไทยอ่อนหวานและมอบประกาศนียบัตรให้กับผู้ประกอบการผู้ผ ลิตขนมไทยว่า กรมอนามัยร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดโครงการรณรงค์ การผลิตขนมไทยสูตรดั้งเดิม แต่ลดน้ำตาลลงเพื่อให้ขนมไทยเป็นขนมที่ดีต่อสุขภาพ เ นื่องจากปัจจุบันคนไทยบริโภคน้ำตาลแบบฟุ่มเฟือย โดยบริโภคน้ำตาลเกินกว่ามาตรฐานกำหนด 3 เท่า คือ บริโภคน้ำตาลสูงถึงคนละ 29.6 กิโลกรัมต่อปี หรือเฉลี่ยวันละ 20 ช้อนชา ขณะที่ค่ามาตรฐานกำหนดให้บริโภคได้ไม่เกินคนละ 10 กิโลกรัมต่อปี หรือเฉลี่ยวันละ 6-8 ช้อนชาเท่านั้น ส่งผลให้มีคนไทยอ้วนลงพุง 10 ล้านคน ทำให้เกิดโรคเรื้อรังตามมาเช่น โรคหัวใจ เบาหวานความดันสูง ไขมันในเส้นเลือดอุดตัน เป็นต้น
      
       “โดยเร็วๆ นี้ กรมอนามัยจะร่วมมือกับ สสส.เพื่อจัดเวทีพัฒนาศักยภาพผู้ผลิตขนมไทยทั้งประเทศให้ผลิตขนมอ่อนหวาน และตั้งแต่ในปี 2552นี้ ทุกหน่วยงานในกระทรวงสาธารณสุขจะเป็นหน่วยงานแรกที่นำร่องในการรณรงค์ใช้ขนม ไทยอ่อนหวาน ผลไม้สด และน้ำสมุนไพรไม่หวาน ในการจัดเลี้ยงทุกกิจกรรมแทนคอฟฟี่เบรกและเบเกอรี่ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุขเป็นตัวอย่างที่ดีในการเลือกบริโภคแ ต่อาหารที่ไม่ทำร้ายสุขภาพ และเป็นการช่วงส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนอีกช่องทางหนึ่ง” นพ.ณรงค์ศักดิ์ กล่าว
      
       ด้านนายสง่า ดามาพงษ์ ผู้จัดการศูนย์บริหารแผนงานโภชนาการเชิงรุก ของกรมอนามัย และสสส.กล่าวว่า น ักวิชาการจากกองโภชนาการร่วมทำงานในแผนโภชนาการเชิงรุก เริ่มพัฒนาสูตรขนมไทยที่ จ.สมุทรสงคราม โดยลดปริมาณน้ำตาล กะทิ เกลือ ที่ให้ลดหวาน มัน เค็ม ลงร้อยละ 25 แต่ขนมยังอร่อยและคงตัวเหมือนเดิม โดยได้นำร่องผลิตขนมไทยอ่อนหวาน 10 ชนิด ได้แก่ ถั่วแปบ ขนมชั้น ข้าวตู ทองเอก เม็ดขนุน ขนมใส่ไส้ ขนมกล้วย เผือกกวน ถั่วกวน และหยกมณี เพื่อให้ผู้บริโภคเลือกอร่อยได้ แต่ก็ได้รับพลังงานจากขนมหวานลดลงด้วย
      
       “ขนมหวานทั้ง 10 ชนิด เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค ร้านค้า และแม่ค้าที่ปรับเปลี่ยนสูตรขนมไทยให้อ่อนหวานลง โดยได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี ในขณะที่ผู้ผลิตขนมเองก็ลดต้นทุนการใช้น้ำตาลในการผลิตขนมได้มาก ทำให้มีกำไรเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน” นายสง่ากล่าว
      
       นายสง่า กล่าวด้วยว่า สำหรับปริมาณที่แนะนำให้รับประทานต่อวันนั้น ร่างกายต้องการพลังงานเฉลี่ย วันละ 1,600-2,000 กิโลแคลอรี ในจำนวนนี้เป็นพลังงานจากอาหารว่าง หรือขนม ไม่เกิน ร้อยละ 10 หรือประมาณ 150-200 กิโลแคลอรี โ ดยปริมาณขนมไทยที่แนะนำให้รับประทานต่อวันเพื่อไม่ให้ได้รับพลังงานเกินความ ต้องการ เช่น ทองเอก 4 ชิ้น ได้พลังงาน 96 กิโลแคลอรี ปุยฝ้าย 7 ชิ้น ได้พลังงาน 102 กิโลแคลอรี หม้อแกง 1 ชิ้น ได้พลังงาน 102 กิโลแคลอรี หยกมณี 3 ชิ้น 95 กิโลแคลอรี ขนมชั้น 1 ชิ้น ได้พลังงาน 115 กิโลแคลอรี เม็ดขนุน 6 ชิ้น ได้พลังงาน 113 กิโลแคลอรี เป็นต้น

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9510000152926
8---------

กาลเวลา และความเปลี่ยนแปลง

โดย ปราโมทย์ นาครทรรพ     29 ธันวาคม 2551 18:46 น.
ท่านผู้อ่านที่เคารพ วันที่ท่านผู้อ่านออนไลน์จะได้อ่านบทความนี้ก็คือ ค่ำหรือกลางคืนวันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม 2551 สำหรับท่านที่จะเข้ามาอ่านทีหลัง จะได้อ่านเมื่อใดก็สุดแท้แต่ความสะดวกที่ท่านจะเปิดเข้ามา ส่วนท่านที่คอยอ่านจากหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์ ก็จะได้อ่านในวันอังคารที่ 30 ธันวาคม 2551
      
        อีก 2 วัน ก็จะถึงวันขึ้นปีใหม่ ผมขอถือโอกาสสวัสดีปีใหม่แด่ท่านผู้อ่านโดยทั่วถึงกันทุกคน
      
        ขอให้ตลอดปี 2552 ที่จะถึงนี้เป็นปีที่สุขสำราญบานใจของท่านและบ้านเมือง ขออย่าได้มีความเครียดเหมือนหนูติดจั่นอย่างกับในปีหนูที่ผ่านมาเลย
      
        ที่ผมเริ่มคุยกับท่านผู้อ่านด้วยเรื่องวันเดือนปี กับความสะดวกที่ท่านจะสามารถอ่านหนังสือได้นั้น ดูจะเป็นเรื่องธรรมดาเฉยๆ ถ้าไม่คิดอะไร หรือบางทีสำหรับบางคนก็คิดไม่ออกหรือไม่เห็นจะต้องคิดอะไรเลย ก็มันเป็นอย่างนี้เองไม่ใช่หรือ ผมก็จะตอบว่า ไม่ใช่ดอกครับ เมื่อก่อนมันหาเป็นเช่นนี้ไม่
      
        เดี๋ยวนี้ เกือบจะทันทีที่ผมเขียนเสร็จ ท่านก็จะได้อ่านทันทีหรือจะเลือกอ่านเมื่อใดก็ได้ตามสะดวก แถมจะอ่านแบบออนไลน์หรืออ่านในหน้าหนังสือพิมพ์จริงๆ หรือไม่ก็จากอินเทอร์เน็ตอี-เมลที่เพื่อนฝูงส่งมาให้เป็นกลุ่มๆ ก็ยังได้อีก ผมจึงเก็บเอาเรื่องนี้มา ตอกย้ำให้ท่านผู้อ่านเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงและความมหัศจรรย์ของกาลเวลา กับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่ร่นโลก ร่นเวลา ร่นระยะที่มนุษย์จะติดต่อสื่อสารกันได้ อย่างช้าที่สุดก็ประเดี๋ยวเดียว ถ้าจะให้เร็วที่สุดก็ทำได้เดี๋ยวนั้น คือในเวลาจริงในขณะนั้นๆ ที่ฝรั่งเรียกว่า Real Time หรือเวลาจริงเลยทีเดียว
      
        นี่ต้องนับว่ามหัศจรรย์ยิ่งสำหรับคนที่เกิดภายในครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 20 เหมือนอย่างผม และศตวรรษที่ 20 นี้ ก็เป็นศตวรรษที่มหัศจรรย์ที่สุดสำหรับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของโลก และความมหัศจรรย์อันหลังนี้ก็เกิดจากความมหัศจรรย์ของมันสมองของมนุษย์
      
        มนุษย์บางคนคิดและเชื่อว่า มนุษย์จะเดินทางไปสู่โลกพระจันทร์ได้ และในที่สุดยังไม่ถึงปลายศตวรรษดี มนุษย์ก็สามารถไปเหยียบโลกพระจันทร์
      
        ผมเกิดที่เชียงใหม่แต่ไปโตเป็นหนุ่มเรียนชั้นม.ปลายที่โรงเรียนหนองคายวิทยา คาร ร่วมโรงเรียนกับพล.อ.สุจินดา คราประยูร อดีตนายกรัฐมนตรี ตอนที่พล.อ.สุจินดากับผมเดินทางเข้ามาเรียนต่อในกรุงเทพฯ นั้น ถนนลาดยางระหว่างหนองคายกับอุดรธานียังไม่มี รถไฟก็ยังไปไม่ถึงหนองคาย ผมต้องขึ้นรถไฟจากอุดรฯ ไปค้างคืนที่โรงแรมฟ้าสางที่สถานีรถไฟโคราช รุ่งขึ้นเช้าจึงขึ้นรถต่อมาถึงกรุงเทพฯ ค่ำพอดี
      
        ในช่วงนั้นแหละ ที่นักวิทยาศาสตร์อเมริกันเริ่มคิดถึงการเดินทางไปโลกพระจันทร์ แต่กว่าคนจะไปโลกพระจันทร์ได้จริงๆ ผมก็เกือบจะเดินทางไปเรียนต่อเมืองนอกพอดี ผมมีสิทธิเลือกว่าจะไปอังกฤษ ฝรั่งเศส หรืออเมริกา ผมเลือกไปอเมริกาประเทศที่เกิดหลังประเทศไทยตั้ง 500 ปี
      
        ตอนที่ผมออกเดินทางนั้น ยังไม่มีเครื่องบินเจ็ต ผมเลือกไปทางยุโรป ซึ่งอย่างเร็วก็จะต้องค้างปารีส หรือโคเปนเฮเกน หรือแฟรงก์เฟิร์ตหนึ่งคืน ถ้าจะให้สบายๆ ก็ขยายเวลาเป็น 2 คืน คือแวะพักกลางทางที่เมืองเดลฮีของอินเดียเสียก่อน
      
        ตลอดเวลาที่ผมเรียนอยู่กรุงเทพฯ คิดถึงพ่อแม่ใจจะขาดอย่างไร ก็ไม่เคยคิดที่จะโทรศัพท์ไปถึง เพราะจะต้องไปพูดได้ที่เดียวคือไปรษณีย์กลาง บางรัก คงได้อาศัยแต่จดหมายปิดสแตมป์หรือไม่ก็ฝากคนไป ปิดเทอมทีจึงจะได้กลับไปเยี่ยมบ้านครั้ง
      
        พอไปอยู่อเมริกาก็อีก คนที่ผมคอยใจจดใจจ่อที่สุดในรอบสัปดาห์หนึ่งๆ ก็คือบุรุษไปรษณีย์ เรื่องจะโทรศัพท์ก็อย่าไปฝันถึง สมัยโน้นอย่าว่าแต่มือถือเลย แม้โทรศัพท์ประจำบ้านมีกันทุกหลังคาเรือนก็โทร.ทางไกลข้ามประเทศยังไม่ได้ เรื่องจะกลับมาเยี่ยมบ้านตอนปิดเทอมก็อย่าได้ฝันเลย ค่าเครื่องบินแพงและการไปมาก็ยังเรียกไม่ได้ว่าสะดวก
      
        เห็นหรือยังครับ ท่านเจ้าของศตวรรษที่ 21 ซึ่งโทรศัพท์มือถือ และจานดาวเทียมบุกเข้าไปถึงท้องนาของภูมิภาคที่ทุรกันดารที่สุด
      
        สมัยโน้น ความคิดถึงบ้านมันช่างเป็นความสุขที่ปวดร้าวทรมานเสียเหลือเกิน เพื่อนผมหลายคนทั้งหญิงและชายต้องถอนหมั้นไปมีคู่ใหม่ เพราะไม่สามารถเอาชนะความหงอยเหงา ระยะทางและกาลเวลาได้
      
        ความคิดถึงบ้านทำให้ผมต้องเกณฑ์ให้พวกพ้อง ซึ่งอยู่ต่างมหาวิทยาลัยพากันเขียนคอลัมน์ “คิดถึงเมืองไทย” ส่งมาให้
      
        นสพ.ประชาธิปไตยรายวัน สมัยที่คุณไสว พรหมิ เป็นบรรณาธิการ พูดไปทำไมมี นอกจากจะไม่ได้ค่าเขียนแล้ว แม้แต่ค่าแสตมป์ก็ยังไม่มี แต่ที่มีค่ายอดยิ่งคือทางโรงพิมพ์ส่งหนังสือไปให้อ่านทางเมล์อากาศสัปดาห์ละ ครั้ง แค่นั้นเราก็ซึ้ง และเขียนส่งกันอย่างมีวินัยยอดเยี่ยมมิเคยขาด ต้นฉบับทั้งหมดเขียนด้วยลายมือ ผู้ที่ช่วยผมประสานงานอย่างเข้มแข็งในช่วงต้นๆ คือ ดร.กมล สมวิเชียร และดร.วารินทร์ วงศ์หาญเชาว์ วารินทร์จากไปแล้ว และกมล หลังจากที่ได้ดีในพรรคประชาธิปัตย์ แต่ก็ไม่วายฝันสลายกับการเมืองแบบกงจักรกวนน้ำเน่าแบบไทยๆ ตัดสินใจไปหากินเป็นศาสตราจารย์สอนหนังสืออยู่ในอเมริกา
      
        เมื่อเปรียบเทียบกับความสะดวกของการสื่อสารคมนาคมของยุคนี้แล้ว ผมรู้สึกว่าเราแทบจะอยู่กันคนละโลก ความแตกต่างในเรื่องนี้ผมอยากรู้จริงๆ ว่าความคิดและระบบพฤติกรรมของบุคคล สังคม และระบบการเมืองของเราจะแตกต่างกันแค่ไหนอย่างไร อย่างใดจึงจะเรียกว่าดีขึ้น อย่างใดจึงจะเรียกว่าเลวลง เอามาตรฐานอะไรเป็นเครื่องตัดสิน
      
        ปีใหม่นี้ หลังจากเป็นสิบๆ ปีมาแล้ว ผมมีโอกาสอยู่บ้านเป็นปีแรก เพิ่งกลับมาถึงจากการไปเยี่ยมเพื่อนฝูงในประเทศเพื่อนบ้าน คืนนี้เตรียมจะไปออกเอเอสทีวีตอน 3 ทุ่ม ยังไม่รู้ว่าเรื่องอะไร
      
        ผมเลยถือโอกาสไปกราบสวัสดีญาติผู้ใหญ่ นอกจากคุณอาหมอเสม พริ้งพวงแก้ว แพทย์รุ่นน้องของพ่อ ซึ่งปีนี้อายุย่าง 98 ปีแล้ว ยังแข็งแรงและรื่นเริง ท่านบ่นเสียดายอดีตนายกฯ คนหนึ่งบอกว่าดีได้ตั้ง 2 ปีแล้วไม่น่าจะดีแตกเลย เสียดายจริงๆ ผมมีโอกาสไปเยี่ยมพี่สาวลูกป้า พี่แท้ๆ ของศาสตราจารย์บำรุงสุข สีหะอำไพ ชื่อพี่ไขแสง สุวรรณศร พี่แสงอายุ 86 ปีแล้ว ยังร่าเริงแจ่มใส ถึงจะเป็นเบาหวานอ่อนๆ และเดินเหินขัดบ้าง ก็ยังไปได้สบายๆ
      
        แต่ที่อยากจะเล่าก็คือ พอผมกับน้องสาวคนสุดท้องชื่ออังสนา พันธุ์เจริญ ซึ่งกลับมาเยี่ยมจากอเมริกา โผล่หน้าเข้าไป ทั้งๆ ที่ในบ้านอยู่กัน 3 คน ทำไมจึงบอกว่าคนมาคอยอยู่เต็มบ้านตั้ง 3 ชั่วโมงแล้ว
      
        ปรากฏว่าแท้ที่จริงคือหลานสาว หลานเขย และลูกๆ ครอบครัวของสมปอง สงวนบรรพ์ อุปทูตไทยประจำรัสเซียคอยอยู่บนจออินเทอร์เน็ต ซึ่งใช้เครื่องและระบบที่เรียกว่าสไกต์ ทำให้สามารถพูดจาเห็นหน้ากันได้หมดโดยไม่เสียเงินเลย ทั้งๆ ที่เขาอยู่บนอพาร์ตเมนต์ที่กรุงมอสโก อากาศหนาวเหน็บต่ำกว่าสิบดีกรี
      
        เรื่องที่ว่านี้อาจจะธรรมดาๆ สำหรับคนสมัยใหม่ แต่สำหรับผมแล้วมันช่างมหัศจรรย์เสียจริงๆ
      
        ผมจึงเฝ้าแต่คิดว่า เราจะถ่ายทอดความมหัศจรรย์นี้มาเป็นความมั่งคั่งและศานติสุขในสังคมไทยได้อย่างไร
      
        ความรู้และเทคโนโลยีทุกวันนี้ ถ้าเรา “เข้าถึง” “สู้ราคาได้” และมี “ปัญญาในการเลือก” เราก็จะเป็นนายของมัน และนำมาใช้ให้เป็นคุณได้อย่างแน่นอน และแน่นอนที่สุดตัวชี้วัดก็คือ “ความรู้” และ “ความรู้สึก” ในเรื่องของความ “พอเพียง”
      
        ท่านผู้อ่านที่เคารพ ปีใหม่ปีนี้ สบายๆ หายเครียดนะครับ และอีกครั้ง ขอให้มีความสุขอย่าง “พอเพียง” และ “เพียงพอ” ทุกท่านนะครับ
      
        สวัสดีปีใหม่ครับ

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9510000153057


    กาลเวลาเดินผ่านไป สำหรับท่านผู้กระทำสิ่งเป็นประโยชน์แก่บ้านเมืองแล้ว เวลานั่นแสนจะคุ้มค่ามากๆนะครับ

แต่กาลเวลาไม่เคยส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงในกรมสรรพากรประเทศไทยเลยครับผม
         คนทำมาค้าขายสุจริตโดนจับตามองอย่างไปคลาดสายตา ต้นทุนสต๊อคจับตาทุกหยด เมื่อขายสินค้าคนสุจริตก็ต้องออกใบกำกับภาษี ในสินค้าก็มี VAT แนบไปด้วยสินค้าก็เลยราคาสูงกว่า ผู้เลี่ยงและปล้น VAT เจ้าอื่นๆ ลูกค้าก็เลยไม่ต้องการซื้อ เพราะ ร้านนั้นมี VAT ราคาแพงกว่าร้านโน้น ซึ่งไม่ต้องมี VAT พ่วงก็ได้
         คนทำมาค้าขาย ร้านค้าปล้นชาติ ปล้นภาษี ปล้น VAT ขายใบกำกับภาษี กลับทำตัวเลขสวยงาม ผ่านการตรวจอย่างสบายใจ ไม่มีสิ่งใดที่มองแล้วว่า ไม่ปกติ ก็คือ โกงภาษีอย่างปกติ ยอมรับได้ว่าทำแบบนี้ดูอย่างไรก็ไม่ผิด
ค้าขายเจริญรุ่ งเรือง ซื้อง่ายขายคล่อง ลูกค้าเต็มร้าน วันๆขายสินค้าอย่างสนุกมือ เพราะราคาขายไม่ต้องมี VAT ไม่ต้องออกใบกำกับภาษี แถมด้วยสามารถ ขายใบกำกับภาษีหาเงินเข้ากระเป๋าได้อีกด้วย มีแต่สบายและสบาย เพราะได้ปล้นชาติแล้ว
                ผมขอเสียมารยาทบ่นหน่อยนะครับท่านอาจารย์ คือว่า สิ้นปีแล้วได้รัฐบาลใหม่แล้ว มีความหวังใหม่ๆแล้ว และกำลังใกล้จะหมดหวังแล้วด้วยครับผม ทำการค้าแบบซื่อตรง มีแต่จน และยิ่งจน ครับท่านอาจารย์
mlocal

    สุขสันต์วันปีใหม่นะค่ะ อาจารย์ ขอให้มีสุขภาพกายและใจแข็งแรง คอยให้ความรู้ ประสบการณ์ตลอดชีวิตถ่ายทอดมาให้พวกเรารับรู้ เพื่อถ่ายทอดต่อไปอีก และ ช่วยชาติต่อไป ตามแต่กำลังอาจารย์จะเอื้อนะค่ะ
ขอให้พระคุ้มครองค่ะ
ด้วยความปรารถนาดี ขอบคุณที่ให้ความรู้ค่ะ
pin

ฟัง “ธรรมะผ่านมือถือ” ผ่อนคลายความเครียด

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 27 ธันวาคม 2551 13:26 น.




“จน เครียด....”   “จน เครียด...ตกงาน”  “โอ้ย ...เซ็งเป็ด”  สารพัดปัญหาที่รุมเร้า ทั้งปัจจัยภายใน(ใจ)  ปัจจัยภายนอก  หลากเรื่องราวที่เกิดขึ้น ที่เราทุกคนไม่สามารถควบคุมหรือกำจัดได้  โดยเฉพาะในห้วงเวลาที่ผ่านมา ความเครียดของคนไทยส่วนใหญ่เกิดจากความไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน   ยิ่งเมื่อไม่นานมานี้ เราได้รับทราบว่า คนไทยทุกวันนี้มีสถิติความสุขลดลง โดยเฉพาะคนเมือง เหล่านี้ล้วนมีเหตุจากทุกข์ จากปัญหา เกิดจากความเครียดที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา ทั้งเรื่องของเศรษฐกิจ การเมือง หรือแม้แต่กระแสสังคมที่เข้ามากระทบ
      
       สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น ได้เกาะกุมจิตใจคนไทยมาเป็นระยะเวลานาน จนบางครั้งต้อง มาย้อนมองกันว่า เราจะมีทางออก หาทางแก้เกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร เพื่อไม่ให้ปัญหาและความเครียดเข้ามารุมเร้า
      
       " ธรรมะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน สมัยก่อนเราอาจจะเข้าวัดกันได้ทุกวัน ต่อมามีรายการธรรมะในช่วงเช้า ตี 4 ตี 5 เหล่านี้ก็ยังไม่เหมาะกับชีวิตประจำวันของคนยุคใหม่ แม้แต่การมีสื่ออินเทอร์เน็ต เทปเสียง หรือซีดี แต่จากประสบการณ์ เราพบว่าคนยุคนี้ก็ไม่ฟังต่อเนื่องเป็นชั่วโมงๆ อาจด้วยเวลาที่มีจำกัด หรือไม่มีความตั้งใจที่จะฟังยาวๆ ช่องทางที่จะเข้าถึงธรรมดูแล้วมีไม่กี่ทาง มือถือน่าจะสะดวกที่สุด"
      
       แต่ไม่เป็นไร วันนี้เรามีทางออก เรามีช่องทางให้คนไทยเราๆ ท่านๆ ได้มีโอกาสคลายเครียด แม้จะเป็นเพียงระยะสั้น กับเวลาเพียง 1-3 นาที ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรให้สมอง ให้ความคิดได้ผ่อนคลาย เพราะเมื่อเร็วๆ นี้   มีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน ร่วมกันจัดกิจกรรมดี เพื่อเผยแพร่คำสั่งสอนของพุทธศาสนาผ่านโทรศัพท์มือถือภายใต้ชื่อ “ธรรมะใกล้มือ” หรือ "Dhamma4U"
      
       ท่านพุทธทาส ต้นกำเนิดนักเผยแพร่พระศาสนา
      
       จะว่าไปแล้วการเผยแพร่พระศาสนา คำสั่งสอนต่างๆ ล้วนเกิดขึ้นมานาน ขึ้นอยู่กับวิธีการ ว่า จะใช้รูปแบบใด การสอนอย่างไหนจึงจะเข้าถึงประชาชนผุ้ฟังทุกคน อย่างกรณีที่ใช้อุปกรณ์ในการสื่อสาร การใช้เทคโนโลยีในการเผยแพร่คำสอน เราพบว่าท่านพุทธทาส ท่านคือหนึ่งในผู้ที่นำเทคโนโลยีมาประกอบการบรรยาย ประกอบคำสอน เราจะพบว่า ท่านมีอุปกรณ์เครื่องมือ เครื่องบันทึกเสียง เครื่องกระจายเสียงมากมายหลายชุด หลายรูปแบบ  หลายยุคหลายสมัย
      
       ด ังนั้นการที่เรานำคำสอนทางพุทธศาสนามาเผยแพร่ผ่านโทรศัพท์มือถือ  น่าจะเป็นการต่อยอดหรือขยายช่องทางใหม่ที่สามารถเข้าถึงคนไทยทุกคน ด้วยมองว่าทุกวันนี้ คนไทยส่วนใหญ่ มีผู้ใช้โทรศัพท์มือถือทั้งสิ้น และการเข้าร่วมโครงการกับ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือเอไอเอส น่าจะเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่สามารถเผยแผ่พระธรรมคำสอนสู่พุทธศาสนิกชนได้กว้ างที่สุด ซึ่งเป็นการพิจารณาจากตัวเลขผู้ใช้บริการ ที่มีกว่า 26 ล้านราย
      
       เกี่ยวกับเรื่องนี้ น.พ.เกษม วัฒนชัย ประธานคณะกรรมการ จัดตั้งหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ  กล่าวว่า การจัดกิจกรรมนี้ เกิดจากความร่วมมือระหว่างกัน ทั้ง หอจดหมายเหตุ กับ เอไอเอส ที่ร่วมกันเปิดโครงการ “ธรรมะใกล้มือ”  ด้วยเจตนาและแนวคิดที่ว่า ทำอย่างไรถึงจะจัดหา “สื่อทางธรรมะ” ที่เข้าถึงได้โดยสะดวก สามารถดึงดูดความสนใจ และท้ายที่สุดได้สาระกลายเป็นบริการเสริมทางโทรศัพท์มือถือของเอไอเอส โดยผู้รับไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ
      
       ขณะที่น.พ.บัญชา พงษ์พานิช กรรมการ และเลขานุการมูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ กล่าวว่า  บนความร่วมมือในการจัดทำครั้งนี้  เริ่มจากอาสาสมัครของหอจดหมายเหตุ จะเป็นฝ่ายคัดสรรบทธรรมะที่น่าสนใจ นำมาตัดต่อและสรุปย่อไว้เป็นหมวดหมู่ โดยมี บริษัท เพลย์เวิร์ค  โดยมี เอไอเอส ช่วยพัฒนาให้เป็นบริการเสริมทางโทรศัพท์มือถือ ซึ่งระบบทั้งหมดยังเชื่อมต่อเข้ากับฐานข้อมูลหลักของหอจดหมายเหตุที่เว็บไซต ์ www.dhamma4U.com ให้สามารถสืบค้นย้อนหลังได้อีกด้วย
      
       นักธรรมรุ่นใหม่ร่วมเผยแผ่
      
       ในการเผยแพร่ธรรมครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการนำบทคำสอน คำบรรยยายของท่านพุทธทาสมาเผยแผ่แล้วยังได้รับความเมตตาอย่างสูงจากพระคุณเจ ้าอีก 3 รูป คือ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) พระไพศาล วิสาโล และ พระมหาวุฒิชัย วรเมธี (ว.วชิรเมธี) อนุญาตให้นำเสียงของท่านเผยแผ่
      
       ทั้งนี้ พุทธศาสนิกชนที่เข้ามาร่วมรับฟังคำสอน จะได้รับทราบเรื่องราวคำสอนมากมายหลายรูปแบบ เพราะมีทั้ง “บริการทางเสียง” (IVR) ผ่านเลขหมาย *272  มีความยาวประมาณ 1-3 นาที และ“ข้อความสั้น” (SMS)
      
       โ ดยในรูปแบบ“บริการทางเสียง” (IVR) จะมีให้เลือกถึง 7 หัวข้อ ได้แก่ ธรรมะวันนี้, ธรรมะคลายเครียด, ธรรมะกับการงานและอาชีพ, ธรรมะกับความรัก, ธรรมะกับครอบครัว, ธรรมะกับการสร้างสุข และธรรมะประจำวัน
      
       แต่หากเป็นรูปแบบ “ข้อความสั้น” (SMS) เอไอเอสจะดำเนินการจัดส่งเป็น “คติธรรมสอนใจ” ให้ผู้สมัครใช้บริการวันละ 1 ข้อความ ที่สำคัญลูกค้าผู้ใช้สามารถ "อัปเดต" ธรรมะวันละคลิป ซึ่งฝ่ายผู้ให้บริการจะมีการป้อนข้อมูลอย่างต่อเนื่อง  ซึ่งธรรมะบนมือถือนี้เริ่มให้บริการแล้วตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม ที่ผ่านมา และตั้งแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน จะเริ่มให้บริการ SMS คติธรรมสอนใจวันละ 1 ข้อความ โดยการสมัครขอใช้บริการฟรี จากนั้นประมาณปลายเดือนธันวาคม จะเริ่มให้บริการ MMS, WAP โดยผู้ใช้บริการสามารถเชื่อมต่อเพื่อเข้าฟัง และดาวน์โหลดคำสอนได้จากเว็บไซต์ dhamma4U.com ซึ่งผู้ใช้บริการจะเสียค่าบริการเวลาตามอัตราปกติในการเปิดระบบ WAP หรืออินเทอร์เน็ต
      
       2 นาที กับธรรมะสร้างกำลังใจ
      
       จาก 7 หัวข้อที่ได้กำหนดขึ้น คือ ธรรมะวันนี้, ธรรมะคลายเครียด, ธรรมะกับการงานและอาชีพ, ธรรมะกับความรัก, ธรรมะกับครอบครัว, ธรรมะกับการสร้างสุข และธรรมะประจำวัน ผู้ที่มีส่วนสำคัญในการพิจารณาและคัดเลือกคำสอนดีๆ ให้พุทธศาสนิกชนได้รับทราบรับฟังนั้น เกิดจากทีมอาสาสมัคร ที่เข้ามาร่วมงานกับหอจดหมายเหตุฯ และเป็นต้นคิดเรื่องการนำคลิปธรรมะเผยแผ่ผ่านมือถือ
      
       ท างหอจดหมายเหตุฯ ได้จัดอาสาสมัครเพื่อมาช่วยกันคัดสรรไฟล์เสียงโดยแบ่งทีมไว้ 5-6 คน แต่ละคนแบ่งซีดีของพระแต่ละรูปซึ่งเทศน์ไว้ครั้งละเป็นชั่วโมงๆ แล้วทยอยตัดเป็นไฟล์ย่อย ซึ่งต้องอาศัยความรู้ทางธรรมไม่น้อย เพื่อที่จะสามารถเลือกเนื้อหาได้อย่างเหมาะสม ที่สำคัญเนื้อหาต้องไม่ผิดเพี้ยน จากสาระเดิม
      
       สำหรับบทคำสอนต่างๆ เหล่านี้ ได้รับการอนุเคราะห์จาก พระพรหมคุณาภรณ์ ท่านมอบซีดีมา 100 แผ่น ท่าน ว.วชิรเมธี  มอบไฟล์ภาพและเสียง โดยท่านทยอยส่งมาอย่างต่อเนื่อง เพราะท่านเทศน์วันละ 3 รอบ จากนั้นนำมาทำเป็นคลิป 2-4 นาที  ก็จะได้บทคำสอนประมาณ  2,000-3,000 คลิป ซึ่งจากจุดเริ่มต้นช่วงแรกถือว่าได้ประโยชน์มากค่านานัปการ
      
       ไม่น่าเชื่อนะว่า โทรศัพท์มือถือที่เป็นเครื่องมือสื่อสารสมัยใหม่ เป็นเครื่องมือสื่อสารแห่งยุค ไม่มีข้อจำกัดด้านเวลาและสถานที่ ขณะนี้ได้เข้ามาเป็นสื่อกลาง ในการจรรโลงพระพุทธศาสนา
      
       เมื่อเราเห็นถึงความตื่นตัวของภาคเอกชน   เห็นถึงการแสดงออกซึ่งความรับผิดชอบ “ต่อสังคม” ท ำให้เราอดตื่นเต้น ตื่นตา ตื่นใจไปกับเรื่องนี้ด้วยไม่ได้   การเบ่งบานของกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR: Corporate Social Responsibility) ที่เกิดขึ้น เสมือนการบอกกล่าวด้วยว่า ภาคเอกชน ผู้ประกอบธุรกิจห้างร้านต่างๆ ได้ยกระดับไปอีกก้าวหนึ่ง ไปสู่การแบ่งปันต่อสังคม เป็นการทำหน้าที่พลเมือง (ธุรกิจ) ที่ดี พร้อมตอบแทนและคืนกำไรสู่สังคม
      
       Company Related Links :
       AIS
       Dhamma4U



http://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9510000151548