++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ผิดศีลอย่างไร จึงจะเรียกว่าผิดศีล ?

ศีลที่มีโทษ หรือ การผิดศีล นั้นมี ๔ อย่าง คือ
๑. ขัณฑสีล = ศีลขาด
ได้แก่ศีลของคฤหัสถ์ หรือบรรพชิตก็ตาม ที่มีสิกขาบทข้อต้น หรือข้อปลายอย่างใดอย่างหนึ่งขาดไป
เช่นในศีล ๘ ข้อปาณาติปาตาเวรมณี หรือข้ออุจจาสยนมหาสยนาเวรมณีข้อใดข้อหนึ่งขาดไป

๒. ฉิททสีล = ศีลทะลุ
ได้แก่สิกขาบทท่ามกลาง ข้อใดข้อหนึ่งขาดไป
เช่น ในศีล ๘ ข้อที่ ๒ ถึงข้อที่ ๗ข้อใดข้อหนึ่งขาดไป

๓. สพลสีล = ศีลด่าง
ได้แก่สิกขาบทท่ามกลางนั้นขาดไป ๒ หรือ ๓ ข้อ แต่ไม่เป็นลำดับติดกัน
เช่น ในศีล ๘ สิกขาบทข้อที่ ๒ กับข้อที่ ๔ หรือ ข้อที่ ๒ กับข้อที่ ๖ หรือ
ข้อที่ ๔ กับข้อที่ ๖ หรือ ข้อที่ ๒ ข้อที่ ๔กับ
ข้อที่ ๖ ขาดไปเป็นต้น

๔. กัมมาสสีล = ศีลพร้อย
ได้แก่สิกขาบทท่ามกลางนั้นขาดไป ๒ หรือ ๓ หรือ ๔ ข้อ ติดต่อกันเป็นลำดับติดกัน
(ถ้าขาดไปถึง ๔ ข้อ ก็นับว่าหนัก)
เช่น ในศีล ๘ สิกขาบทข้อที่ ๒ กับข้อที่ ๓ หรือ ข้อที่ ๒ ข้อที่ ๓ กับข้อที่ ๔ หรือ
ข้อที่ ๒ ข้อที่ ๓ ข้อที่ ๔ กับ ข้อที่ ๕ ขาดติดต่อกันไปโดยลำดับ เป็นต้น

ด้วยความปรารถนาดีค่ะ

การบวชอยู่บ้าน

บางคนจะสงสัยว่า บวชทำไมอยู่ที่บ้าน? มันก็พอจะตอบได้ว่า เราทำอย่างเดียวกัน ในวัตถุประสงค์ที่มุ่งหมายของคำว่า บวช แปลตามตัวหนังสือ ก็ว่า เว้นหมดจากที่ควรเว้น ก็คือ เว้นจากการปฏิบัติหรือการเป็นอยู่ชนิดที่เป็นทุกข์, สิ่งใดเป็นไปเพื่อความทุกข์ เราจะเว้นเสียโดยเด็ดขาด; ไม่ทำในใจว่า อยู่ที่บ้านหรืออยู่ที่วัด แต่ว่าโดยแท้จริงก็อยู่ที่บ้าน แต่ไม่ต้องทำในใจว่า อยู่ที่บ้านหรืออยู่ที่วัด, ทำในใจแต่การประพฤติปฏิบัติ ให้ตรงตามความหมายนั้นเท่านั้น คือว่า เว้นหมดจากสิ่งที่ควรเว้น ในทุกๆระดับ.

หรือแม้ว่าเราจะอาศัยคำอีกคำหนึ่ง คือคำว่า พรหมจรรย์ แปลว่า การประพฤติประเสริฐ, ประพฤติอย่างพรหม ก็ไม่ได้จำกัดว่าที่บ้านหรือที่วัด ถ้าประพฤติได้ก็ประพฤติ; อย่างจะถือศีลพรหมจรรย์อยู่ที่บ้าน ศีล 8 ศีล 10 นั้นก็ยังถือได้ คำว่า พรหมจรรย์ นั้นมีความหมายว่า การประพฤติอย่างเต็มที่หรือเคร่งครัด ติดต่อกันเป็นระยะยาว เป็นการปฏิบัติตลอดชีวิต อย่างนี้ก็ยังได้ พูดกันง่ายๆ ว่า ประพฤติพรหมจรรย์ที่บ้าน มันก็ยังทำได้.

ทีนี้เมื่อบุคคล บางคนไม่อาจจะออกไปบวช หรือว่าเป็นสตรี ไม่อาจจะบวชเป็นภิกษุณี ก็เสียใจ หรือน้อยใจ อย่างนี้ก็มี, หรือด้วยเหตุอย่างอื่นออกไปบวชไม่ได้ อย่างนี้ก็มี, ไม่ต้องเสียใจ ไม่ต้องน้อยใจ, พยายามประพฤติปฏิบัติในธรรมะ ซึ่งเป็นการปฏิบัติให้ดีที่สุดให้สูงที่สุด ตามที่จะทำได้ ก็จะเป็นการบวชอยู่ที่บ้าน เรียกว่า บวชอยู่ที่บ้าน. ฟังดูให้ดีๆ เพราะบวช นั้นคือการเว้นเสียจากสิ่งที่ควรเว้น, พรหมจรรย์นั้น หมายถึงการประพฤติข้อธรรมอย่างจริงจังเคร่งครัด แม้ในเรื่องเล็กๆน้อยๆ ถ้าทำอย่างเคร่งครัดติดต่อกันจนตลอดชีวิต ก็เรียกว่า พรหมจรรย์ได้เหมือนกัน. เดี๋ยวนี้เราจะถือเอาหลักปฏิบัติตามที่มีอยู่อย่างไรในพระพุทธศาสนานั้น เอามาถือไว้เป็นหลักปฏิบัติ ก็จะทำให้เกิดผลอย่างเดียวกัน กับพวกที่บวชออกไปอยู่ที่วัด หรือไปอยู่ที่ป่า, และในบางกรณี บวชอยู่ที่บ้าน จะทำได้ดีกว่าบางคนหรือบางพวก ที่ไปบวชเหลวไหลอยู่ที่วัด หรือแม้อยู่ในป่า ด้วยเหตุนี้แหละพอที่จะกล่าวได้ว่า เรื่องสถานที่นั้น ก็ไม่ได้สำคัญเด็ดขาด อะไรนัก, มันสำคัญหรือเด็ดขาดอยู่ที่การประพฤติกระทำมากกว่า ซึ่งขอให้ท่านทั้งหลายตั้งใจฟังให้ดีๆ ว่า การบวชอยู่ที่บ้านนั้น จะบวชกันได้อย่างไร?

หลักปฏิบัติในการบวชอยู่ที่บ้าน

การบวชอยู่ที่บ้านนั้น ก็ต้องอาศัยหลักธรรมะที่เป็นเนื้อแท้ หรือเป็นตัวแท้ของพระพุทธศาสนาที่มีอยู่เป็นหลักชัดเจนตายตัว ในที่นี้ จะเลือกเอามาสักหมวดหนึ่ง สำหรับยึดเป็นหลักปฏิบัติ แต่ก็มิได้เลือกเอาหมวด เช่น อริยอัฏฐังคิกมรรค เป็นต้น นั้นมันเป็นหลักทั่วไป ที่วัดก็ได้ ที่ไหนก็ได้, จะเอาชนิดที่สูงขึ้นไป ละเอียดขึ้นไปกว่านั้น คือหมวดธรรมที่มีชื่อว่า อินทรีย์ทั้ง 5, จำไว้ให้ดี.

อินทรีย์ทั้ง๕ คือ สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ๕ อย่างนี้ แต่ละอย่างเรียกว่า อินทรีย์. คำว่า อินทรีย์ แปลว่า สำคัญ ตัวการสำคัญ หลักการสำคัญ, ธรรมะทั้ง ๕ ข้อนี้ จะมีอยู่ในการปฏิบัติทั่วไป, จะทำสมาธิหรือเจริญภาวนาอย่างไร ก็ต้องทำให้มีอินทรีย์ครบทั้ง ๕.

ขอให้ฟังให้ดีว่า จะปฏิบัติธรรมะพวกไหนก็ตาม จะต้องปฏิบัติให้มีอินทรีย์ ในคำเหล่านั้น ครบทั้ง ๕ ที่เรียกว่า ๕, ๕ นี้ ก็คือ สัทธาวิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ดังที่กล่าวแล้ว.

๑. มีสัทธา-เชื่อในธรรม เป็นเครื่องดับทุกข์. ข้อแรก คือ สัทธา แปลว่า ความเชื่อ บวชอยู่ที่บ้านก็มีความเชื่อในธรรมะนั้นๆ ถึงที่สุด. เชื่อในอะไร? ถ้าถามว่า เชื่อในอะไร? ก็คือ เชื่อในธรรมที่เป็นเครื่องดับทุกข์ ที่รู้กันทั่วไป ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา หรือ อริยอัฏฐังคิกมรรค มีองค์ ๘ นี้ เป็นธรรมที่ดับทุกข์. เราได้ศึกษาแล้ว เห็นแล้ว มีความเชื่อว่าธรรมเหล่านี้ดับทุกข์ได้จริง หรือว่า ธรรมเหล่านี้เป็นที่พึ่งได้จริง, เชื่อลงไปเสียทีหนึ่งก่อน.

แล้วก็เชื่ออีกทีหนึ่ง คือ เชื่อตัวเอง ว่า ตัวเองนี่สามารถที่จะปฏิบัติธรรมะเหล่านั้น ในเนื้อในตัวของตน มีความถูกต้องเหมาะสมที่จะประพฤติปฏิบัติธรรมะเหล่านั้น, นี่ก็เป็นอีกเชื่อหนึ่ง รวมกันเป็น ๒ เชื่อ: เชื่อในสิ่งที่จะประพฤติปฏิบัติว่าดับทุกข์ได้, แล้วก็เชื่อว่า ตัวเองมีคุณธรรมที่จะดับทุกข์เหล่านั้นได้อย่างเพียงพอ.

นี่ มีศรัทธา อย่างนี้ แล้วก็อยู่ที่บ้าน บวชอยู่ที่บ้าน มันก็พอที่จะทำให้เกิดอำนาจ เกิดกำลัง กำลังภายในก็ได้, ใช้คำอย่างนี้กับเขาบ้าง. เกิดอำนาจเกิดกำลังในการที่จะปฏิบัติธรรมะเหล่านั้น คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งเป็นหลักทั่วไป; เช่นว่า รับศีล เอาไป ไปถือที่บ้าน ก็ต้องทำให้เป็นศีลของบุคคลที่มีศรัทธาอย่างแน่นแฟ้น แน่วแน่ โดยเชื่อว่า ศีลนั้นเป็นเครื่องดับทุกข์ได้, แล้วก็เชื่อว่า ตัวเองสามารถรักษาศีลได้ ให้มีความเชื่ออย่างนี้เถิด ก็จะเป็นผู้มีศรัทธา, แล้วก็มีอาการเหมือนกับว่า เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์อย่างยิ่ง มีความหนักแน่น จริงจัง เคร่งครัดในการปฏิบัตินั้นๆ.

ทีนี้ก็ปล่อยให้ศรัทธานั้นแหละ ดำเนินไปตามที่ควรจะมีในแต่ละวันๆ อำนาจของศรัทธา ทำให้มีการประพฤติจริง ทำจริง ถึงที่สุดแล้วก็มีกำลังใจที่เกิดมาแต่ศรัทธานั้นมากมาย ประพฤติปฏิบัติได้เต็มที่.

เดี๋ยวนี้ คนมีศรัทธากันแต่ปาก มีศรัทธากันแต่ผิวๆ ว่ามีศรัทธา มีศรัทธา แต่หาได้มีศรัทธาตัวจริงแท้ แท้จริงตามที่กล่าวมานี้ไม่, คือไม่ได้เชื่อแม้ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์โดยแท้จริง, แล้วก็ไม่ได้เชื่อว่า ตัวเองจะสามารถประพฤติปฏิบัติได้ ตามคำสอนเหล่านั้น. มาจัดการกันเสียใหม่ มาชำระสะสางกันเสียใหม่: อยู่ที่บ้าน แต่ให้มีศรัทธาเต็มเปี่ยมทั้ง ๒ ประการ คือมีศรัทธาในธรรมะ ที่จะประพฤติว่าดับทุกข์ได้จริง แล้วมีศรัทธาในตัวเอง, ตัวเองนั่นแหละ ว่าสามารถที่จะปฏิบัติธรรมะเหล่านั้นได้, รวมกำลังกันเป็น ๒ ฝ่ายอย่างนี้แล้ว ก็เป็นศรัทธาที่สมบูรณ์อยู่ที่บ้าน ก็มีลักษณะอาการเหมือนบวชอยู่ที่บ้าน.

๒. มีวิริยะ-มีความเพียรและกล้าหาญ

ทีนี้ ข้อที่ ๒ มีวิริยะ วิริยะแปลว่า ความเพียร หรือ ความกล้าหาญ, บวกกันทั้งความเพียรและความกล้าหาญเข้าด้วยกัน ก็เรียกว่า วิริยะ, ยิ่งมีศรัทธาในธรรมะหรือในตัวเองมาก่อนแล้ว วิริยะก็จะเข้มแข็งถึงที่สุด; อาศัยอำนาจของศรัทธา นั้นเป็นพื้นฐาน กระทำอย่างกล้าหาญ อย่างพากเพียร ในสิ่งที่ควรจะทำ ทุกเรื่องไม่ว่าเรื่องเกี่ยวกับโลก หรือ เกี่ยวกับเหนือโลก.

เรื่องที่เราจะต้องทำ ถ้ากล่าวกันแต่ใจความสรุปสั้นๆ แล้วก็จะมีอยู่ ๔ ประการ ด้วยกัน คือ มีความพากเพียรกล้าหาญในการที่จะป้องกัน, พากเพียรกล้าหาญ ในการที่จะสละ, พากเพียรกล้าหาญในการที่จะสร้างสรรค์, และพากเพียรกล้าหาญในการที่จะรักษา. คำ ๔ คำนี้มีความหมายคลุมหมดในหน้าที่ของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ป้องกัน สละ สร้าง และรักษา.

(๑) ป้องกัน คือ ป้องกันไม่ให้ สิ่งที่ไม่ควรจะเกิดจะมีนั้น เกิดมีขึ้นมา; เช่นศัตรูอย่างนี้ เราต้องใช้การป้องกันไม่ให้เกิด ไม่ให้มีขึ้นมา. กิเลสเป็นศัตรูร้ายกาจกว่าอะไรหมด ก็มีการป้องกัน อยู่อย่างถูกต้อง, ราวกับว่าป้องกันข้าศึกอันใหญ่หลวง ไม่ให้เกิดขึ้นได้.

แล้วก็อันที่ (๒) สละที่เกิดขึ้นแล้ว; ถ้าสิ่งที่ไม่พึงปรารถนานั้นได้เกิดขึ้นเสียแล้ว ก็ต้องพากเพียร เข้มแข็ง กล้าหาญ ในการที่จะสละมันออกไปเสีย.

ทีนี้ก็มาถึงส่วนที่ (๓) ต้องสร้างสรรค์ ได้แก่สิ่งที่ยังไม่มี ความดี ความงาม กุศล สุจริต ทุกอย่างทุกประการที่ควรจะมีในตนที่มันยังไม่เคยมี ก็ต้องสร้างให้มีขึ้นมา, ด้วยอาศัยความเชื่อในสิ่งนั้นๆ และเชื่อตัวเอง ว่าจะปฏิบัติได้ ดังที่กล่าวมาแล้วในข้อศรัทธา ก็สามารถจะสร้างสิ่งที่ยังไม่มีในตน, ความดีหรือกุศลที่ยังไม่มีในตน ให้เกิดมีขึ้นมาในตนให้จนได้, นี้เรียกว่า ในทางสร้างสรรค์.

ทีนี้ (๔) ข้อสุดท้าย ที่สร้างสรรค์ขึ้นมาได้เท่าไร เพียงไร ต้องมีการรักษา, มีการรักษา หรือจะถึงกับพัฒนาให้เจริญงอกงามยิ่งๆ ขึ้นไป เป็นหน้าที่สุดท้าย คือรักษา. เหมือนกับว่าหาเงินมาได้ มันก็ต้องรักษาให้อยู่ในสภาพที่ถูกต้อง, ให้ใช้จ่ายในลักษณะที่ถูกต้อง, ให้มีอยู่อย่างถูกต้อง.

เราอยู่ที่เรือน บวชอยู่ที่เรือน แต่มีวิริยะ: ความพากเพียร หรือกล้าหาญถึงที่สุด ในการที่จะป้องกันไม่ให้ความชั่วร้ายอกุศลบาปใดเกิดขึ้นในตน, ป้องกันได้เต็มที่. แล้วถ้ามีบาป มีอกุศลที่ได้เกิดขึ้นโดยพลั้งเผลอ ก็ละไปเสีย อย่างเต็มที่, แล้วก็สร้างที่มันยังไม่เกิด บุญกุศลความดีที่ยังไม่เกิด ก็สร้างให้เกิด, ทำให้เกิดขึ้นมา. ครั้นเกิดขึ้นได้แล้ว ก็รักษาให้เจริญรุ่งเรือง ยิ่งๆ ขึ้นไป, นี้เรียกว่า มีวิริยะอยู่ที่บ้านที่เรือน.

โดยมากไม่สนใจที่จะทำให้จริง คือปล่อยไปตามบุญตามกรรม: แต่เดี๋ยวนี้เราต้องการจะเป็นผู้บวช จะเป็นนักบวชอยู่ที่บ้าน ก็จะต้องตั้งใจเป็นพิเศษ ในฐานะที่ว่าเป็นนักบวช; แม้ว่าจะอยู่ที่บ้าน มีความระมัดระวัง ให้เกิดความถูกต้องในการที่จะป้องกัน หรือ สละ หรือ สร้าง หรือ รักษา ดังที่กล่าวมาแล้ว.

๓. มีสติ- ต้องใช้ในทุกกรณี

ทีนี้ ข้อถัดไป ก็คือ มีสติ, มีสติ สิ่งที่เรียกว่า สติ นี้เป็นธรรมะพิเศษ, เป็นธรรมะจำเป็นสำคัญที่จะต้องใช้ในทุกกรณี; ช่วยจำข้อความนี้ไว้ให้ดีๆ ว่าธรรมะที่จะ ต้องใช้ทุกกรณี ไม่ว่าที่ไหน อย่างไร ได้แก่ สติ. ทุกเรื่องมันต้องทำไป หรือเป็นไป ในความควบคุมของสติ; ถ้าไม่มีสติ มันก็ทำอะไรไม่ได้, แม้แต่จะลุกขึ้นยืนจะเดินไปมันก็ทำไม่ได้, มันก็หกล้มหกลุกซวนเซไป, แม้แต่จะรับประทานอาหาร ถ้ามันไม่มีสติ เดี๋ยวมันก็ป้อนอาหารเข้าจมูกไป, หรือว่าถ้าไม่มีสติ มันก็จะกินอาหารอย่างตะกละ อย่างที่เป็นกิเลส ไปคิดดูเองก็แล้วกันว่า เรื่องอะไร ทุกเรื่องที่อยู่ที่บ้านที่เรือน นับตั้งแต่ว่าจะทำงานชั้นหยาบ ตักน้ำ ผ่าฟืน ล้างหม้อล้างไห ก็ต้องทำไปด้วยความรู้สึกที่เรียกว่า สติ ถ้ามันเป็นเรื่องของกิเลสแล้ว ก็จะต้องระมัดระวังยิ่งขึ้น ดังนั้นจึงมีหลักในชั้นสูงว่า มีสติในทุกผัสสะ, มีสติในทุกผัสสะ.

สิ่งที่เรียกว่า ผัสสะ นี้ เข้าใจว่าคงจะเป็นที่เข้าใจกันอยู่แล้ว เพราะพูดกันมามากมายหลายสิบครั้งเต็มทีแล้ว พูดสรุปอีกทีหนึ่งก็ว่า เรา คนเรานี่ มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ๖ อย่างที่จะกระทบกันเข้ากับ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ ที่อยู่ข้างนอก ที่เป็นคู่กระทบ; เรียกว่า มันมีคู่ติดต่อ หรือ คู่กระทบ: ตาเป็นคู่กับรูป หูเป็นคู่กับเสียง จมูกเป็นคู่กับกลิ่น ลิ้นเป็นคู่กับรส ผิวหนังเป็นคู่กับโผฏฐัพพะที่จะมากระทบผิวหนัง; นี้เป็นฝ่ายกาย เป็นฝ่ายรูปธรรม, คู่สุดท้ายเป็น ฝ่ายนามธรรม คือ ใจ ที่จะรู้สึกกระทบต่อความรู้สึกคิดนึกของใจ ที่เรียกว่า ธัมมารมณ์ ใจนี้เป็นคู่กับธัมมารมณ์ จะต้องพบกันอยู่เสมอ คือ มันคิดนึกรู้สึกได้, จะอาศัยความจำแต่หนหลัง ที่จำอะไรๆ ไว้ได้มาก สิ่งเหล่านั้น ก็จะมากลายเป็นสิ่งสำหรับคิดนึกรู้สึกขึ้นมาแล้วก็กระทบใจ. นี้ก็เรียกว่า มีคู่กระทบ:

ตา ก็มีสิ่งสำหรับกระทบ คือ รูป,
หู ก็มีสิ่งสำหรับกระทบ คือ เสียง
จมูก ก็มีคู่กระทบ คือ กลิ่น
ลิ้น มีคู่กระทบ คือ รส
ผิวกาย ก็มีคู่กระทบ คือ โผฏฐัพพะ
ใจ ก็มีคู่กระทบ คือ ธัมมารมณ์

เป็นสิ่งที่อยู่กับเนื้อกับตัว หรือเป็นเนื้อเป็นตัวของตนอยู่แท้ๆ แต่แล้วคนก็ไม่รู้จัก นี่พิจารณาดูกันถึงข้อนี้ก่อนเถอะว่า มันเป็นเนื้อเป็นตัวของตัวอยู่กับตัวแท้ๆ แต่คนก็ไม่รู้สึก ไม่รู้จัก ว่ามันมีอยู่อย่างไร ในฐานะอย่างไร

ถ้าจะศึกษาธรรมะให้เป็นธรรมะกันจริงๆ แล้ว จะต้องรู้จักสิ่งสำคัญ ๖ คู่นี้ ให้แจ่มแจ้งชัดเจนแน่นอน รู้กันให้ทั่วถึงเกี่ยวกับเรื่องทั้ง ๖ นี้; เพราะว่าอะไรๆ มันก็สำเร็จมาจากอายตนะ ๖ คู่นี้, หรือว่า โลก โลกทั้งโลกมันจะมีปรากฏอยู่ได้ก็เพราะว่าเรามี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ. ถ้าเราไม่มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็คือ ไม่มีอะไร, มันก็คือไม่มีโลก ไม่มีอะไรทุกสิ่งทุกอย่าง. จงรู้จักสิ่งที่เรามี สำหรับทำให้สิ่งต่างๆ มี และเป็นเรื่องราวขึ้นมา ก็เพราะสิ่งทั้ง ๖ นี้, สิ่งทั้ง ๖ นี้จึงอยู่ในฐานะสำคัญว่า ถ้าจัดการกับมันถูกก็ดีไป ถ้าจัดการกับมันผิด ก็เป็นเรื่องร้ายเหลือที่จะร้าย ไม่มีอะไรจะร้ายยิ่งไปกว่านี้.

จึงขอชักชวนวิงวอนท่านทั้งหลายว่า จงรู้จักสิ่งทั้ง ๖ คู่นี้ให้ดีที่สุด ในฐานะที่มันมีอยู่ในตัวเรา หรือมันเป็นตัวเราอยู่นั่นเอง, แล้วก็มีสติเมื่อสิ่งนี้ทำหน้าที่: มีสติเมื่อตาทำหน้าที่เป็นรูป, มีสติเมื่อหูทำหน้าที่ได้ยินเสียง, มีสติเมื่อจมูกทำหน้าที่ดมกลิ่น, มีสติในเมื่อลิ้นทำหน้าที่รู้รส, มีสติเมื่อผิวหนังทำหน้าที่กระทบสิ่งที่มากระทบผิวหนัง, และมีสติเมื่อใจทำหน้าที่กระทบเข้ากับธัมมารมณ์ คือ ความรู้สึกนึกคิด ให้รู้โดยประจักษ์ว่ามันเป็นอย่างไร แล้วมันมีการกระทำสืบต่อต่อไปอย่างไร ซึ่งก็ควรจะทราบไว้ด้วยเหมือนกัน.

ยกตัวอย่างคู่แรก คือ ตากับรูป พอตากับรูปกระทบกัน มันก็เกิดวิญญาณทางตา คือการเห็นแจ้งทางตาขึ้นมา นี่เรียกว่า วิญญาณทางตา ตากับรูปที่มากระทบ และวิญญาณทางตา มีอยู่พร้อมกัน ๓ อย่างนี้ในหน้าที่เดียวกัน, นั่นแหละเรียกว่า ผัสสะ; ไม่ใช่เพียงแต่ตากระทบรูป นั้นมันพูดหยาบๆ เกินไป พูดตามพระบาลี ที่ชัดเจนแล้ว จะต้องมี ๓ เสมอ คือ มีอายตนะภายใน อายตนะภายนอก และ วิญญาณ ที่เกิดออกมาจากอายตนะนั้นๆ เหมือนอย่างในทางตาดังที่กล่าวแล้ว พอตาเห็นรูป กระทบกับรูป ก็เกิดการเห็นทางตา คือ จักษุวิญญาณ, เลยได้เป็น ๓ อย่าง คือ ตา อย่างหนึ่ง รูป อย่างหนึ่ง จักษุวิญญาณอย่างหนึ่ง, จักษุวิญญาณทำหน้าที่สัมผัสรูปทางตา นี่เรียกว่า จักษุสัมผัส, จักษุสัมผัส มีการสัมผัสทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ฯลฯ ก็เหมือนกันแหละ มันมีอยู่ ๓ อย่าง อย่างนี้ ทำหน้าที่รู้สึกอยู่ก็เรียกว่า ผัสสะ.

ทีนี้ ผัสสะมีแล้ว เช่น ผัสสะทางตามีแล้ว มันก็ จะเกิดเวทนา คือ ความรู้สึกที่พอใจ หรือไม่พอใจ หรือ เฉยๆ เป็นเวทนา ๓ อย่างขึ้นมา เรียกว่า เวทนาที่เกิดมาจากการสัมผัสโดยทางตา นี่เวทนาเกิดแล้ว มันไม่หยุดอยู่เพียงนั้น มันให้เกิดอันอื่นต่อไปอีก ถ้าในขณะสัมผัสนั้นเราเป็นคนโง่ คือ ไม่มีสติ หรือ ไม่มีปัญญา ใดๆ ในขณะที่สัมผัสทางตานั้น มันก็ เป็นสัมผัสโง่, มันก็ออกมาเป็น เวทนาโง่ ที่ไม่มีสติควบคุม. มันก็ปรุงความคิดนึกต่อไป คือ มีความยินดี เมื่อสัมผัสนั้นให้พอใจ ยินร้าย โกรธแค้นขัดเคือง เมื่อสัมผัสนั้น ไม่เป็นที่พอใจ หรือ เกิดพะวงหลงใหลอยู่ อยากจะรู้แต่ก็ไม่รู้ว่าอะไร อย่างนี้ เมื่อสัมผัสนั้น มันไม่แสดงว่าเป็นที่พอใจ หรือ ไม่เป็นที่พอใจ เมื่อเวทนานั้น ไม่ชัดลงไปว่า เป็นที่พอใจหรือ ไม่เป็นที่พอใจ.

นี่มัน เกิดโลภะ โทสะ โมหะ ขึ้นมาตรงนี้; ถ้ารับเอาด้วยความพอใจ ก็เกิดโลภะ รับเอาด้วยความไม่พอใจ ก็เกิดโทสะ รับเอาด้วยความไม่แน่ใจว่า พอใจหรือไม่พอใจ ก็เกิดโมหะ ถ้าเกิดโลภะ โทสะ โมหะ แล้ว มันเกิดไฟเสียแล้วนั่นเอง.

ทีนี้มันก็ จะเกิดสิ่งที่เรียกว่า ตัณหา คือ อยากต่อไป ในกรณีที่เกิดโลภะ คือ เวทนาเป็นที่ถูกใจ เกิดโลภะ มันก็เกิดตัณหา สำหรับจะได้ จะเอา จะมีไว้ หรือ จะหามาอีก; หรือถ้าหากว่ามัน เกิดโทสะ คืออารมณ์นั้นไม่น่าพอใจ เกิดโทสะ มันก็เกิดความอยาก คือ ตัณหา อยากจะฆ่าเสีย อยากจะทำลายเสีย หรืออยากจะผลักไสออกไปเป็นอย่างน้อย ตามแบบของโทสะ ถ้าว่ามัน ไม่แน่ว่าอย่างไร มันก็วนเวียนอยู่ที่นั่น เป็นลักษณะของ โมหะ.

นี่มัน เกิดโลภะ โทสะ โมหะ อย่างนี้แล้ว มันก็คือ เกิดไฟ, เกิดไฟขึ้นในจิตใจ ถ้ามีสติเสียแต่ในขณะผัสสะ แล้ว มันไม่เกิดอย่างนี้ มันกลายเป็นเกิดอีกทางหนึ่ง คือ ทางที่ให้รู้ว่า นี่อะไรนะ นี่อะไรนะ ควรทำอย่างไรนะ นี่ควรทำหรือไม่ควรทำ ควรทำอย่างไร ก็ทำไปตามที่ควรจะทำ ไม่มามัวยินดียินร้ายโกรธแค้นขัดเคืองอะไรอยู่ มันก็เลยไม่เกิดไฟ ไม่เกิดทุกข์ นี่เพราะ อำนาจสติ แท้ๆ ที่ป้องกันไว้ไม่ให้เกิดไฟขึ้นมา ในเมื่อมีการกระทบทางผัสสะ

เมื่อมีตัณหา เป็นความอยากแล้ว มันก็ ปรุงแต่ไปเป็น อุปาทาน คือ ผู้อยาก ความรู้สึกอยาก มันก็จะปรุง ให้เกิดความรู้สึกว่า มีผู้อยาก ซึ่งเป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้น ไม่ใช่ตัวตนอะไร; พอมีผู้อยากแล้ว มันก็ถึงที่สุดแล้ว ที่มันจะเป็นเรื่องสำหรับจะเป็นทุกข์ทรมาน คือมันมีความรู้สึกหนัก ด้วยความมีตัวตน ความมีตัวตน, และเมื่อมีตัวตนแล้ว มันก็มีอะไรเป็นของตน.

เมื่อเกิดตนขึ้นมาอย่างนี้แล้ว เกิดตนในความรู้สึก ไม่ใช่ตัวจริงอะไร เพียงแต่ในความรู้สึกว่าตัวตน มันเกิดตัวตนอย่างนั้นแล้ว มันก็เอาอะไรๆ มาเป็นของตน ทั้งภายนอกและภายใน เช่น ยึดถือเอาความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย มาเป็นของตน มันก็หนักเท่าไร ทุกข์เท่าไร ร้อนเท่าไร ทีนี้ ภายนอก มันก็ยึดถือเอา ทรัพย์สมบัติสิ่งของ บุตรภรรยาสามี เป็นต้นว่า เป็นของตน, มันก็หนักเท่าไร มันก็เลยหนักรอบด้าน หนักทุกทิศทุกทาง เพราะเมื่อผัสสะ ทำผิดเมื่อผัสสะ แล้วก็ ความทุกข์มันก็เกิด อย่างนี้.

ถ้ามีสติเมื่อผัสสะ คือได้ศึกษาฝึกฝนมาดี มีสติมีปัญญา แล้วก็มีสติมาทันเวลาที่มันมีอะไรมากระทบตา มันก็เป็นการกระทบที่ฉลาด เป็นสัมผัสที่ฉลาด คือสัมผัสด้วยสติ มันไม่หลงปล่อยให้กิเลสเกิด แต่มันกลับรู้ว่า ควรทำอย่างไร แล้วมันก็ทำไปในทางที่ควรทำ ให้เกิดประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมา ไม่เกิดโทษ ถ้าไม่มีสติ มันก็ไปเกิดกิเลส แล้วมันก็เกิดโทษ มันเป็นได้อย่างนี้ทั้ง ๖ ทางคือ ทั้งทาง ตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ มีวิธีที่จะปรุงแต่งจนเกิดความทุกข์กันอย่างนี้

นี่เป็นวิทยาศาสตร์ของธรรมชาติ เรื่องของความทุกข์ ในเรื่องของความทุกข์ ตามหลักแห่งพุทธศาสนาเป็นหลักวิทยาศาสตร์ตามธรรมชาติ ในพระพุทธศาสนาว่ามีอยู่อย่างนี้ ความสุข และ ความทุกข์ มันเกิดขึ้น เพราะทำผิดหรือทำถูกในขณะแห่งผัสสะ; มันไม่ได้เกิดมาจากผีสางเทวดา เคราะห์ โชค ดวงดาวอะไรที่ไหน พระองค์จึงตรัสว่า มันไม่ได้เกี่ยวกับผลกรรมแต่ชาติก่อนด้วยซ้ำไป มันเกิดมาจากการกระทำผิดหรือกระทำถูก ที่นี่และเดี๋ยวนี้ คือผัสสะ นั่นเอง นี้เราก็มีผัสสะชนิดที่มีสติ เราจึงต้องมีสติ เพื่อจะได้ควบคุมผัสสะ

คำว่า สติ นั้นน่ะ มันประกอบอยู่ด้วยปัญญาเสมอ คำว่า สติ นั้น ต้องประกอบด้วยปัญญาอยู่เสมอ สติ คือ ระลึกได้ ระลึกก็คือ ระลึกความจริงของความจริงว่า เป็นอย่างไร นั้นคือ ปัญญา สติขนเอาปัญญามาทันเวลา ที่มีการกระทบทางอายตนะนี้, มันก็ รู้ว่าควรทำอย่างไร มันก็เลยทำไปในทางที่ไม่เกิดทุกข์ ไม่เกิดความรัก ไม่เกิดความโกรธ ไม่เกิดความเกลียด ไม่เกิดความกลัว ไม่เกิดความอิจฉาริษยา ไม่เกิดความหึงความหวง ไม่เกิดความอาลัยอาวรณ์ ไม่เกิดอะไรต่างๆ ที่เป็นที่ตั้งแห่งความทนทุกข์ทรมาน นี่เรียกว่า มีสติ

บวชอยู่ที่บ้าน แต่มีสติอย่างนี้ ลองคิดดูคำนวณดู; บวชอยู่ที่บ้านโดยการมีสติอย่างนี้ อยู่ที่บ้านมันดีกว่าที่บวชอยู่ที่วัดหลายๆ องค์ ที่ไม่ประสีประสาอะไร ไม่รู้จักแม้แต่ว่ามีสติคืออะไรด้วยซ้ำไป นี่ขอให้สนใจว่า ที่บ้านก็บวชได้ บวชได้อย่างยิ่ง ถ้ามีสติสมบูรณ์ ในลักษณะอย่างที่กล่าวมานี้.

เรามีหลักว่า ในขณะที่สัมผัส สัมผัสหรือกระทบต้องมีสติ เมื่ออะไรมากระทบจิตทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ต้องมีสติ ให้เป็นการสัมผัสสิ่งนั้นๆ ด้วยสติ ก็เรียกว่า สัมผัสด้วยวิชชา, สัมผัสด้วยปัญญา มีความลืมหูลืมตา ก็กระทำไปอย่างถูกต้อง ไม่ผิดพลาดใดๆ ไม่อาจจะเกิดทุกข์ได้ นี่เรียกว่า เราสัมผัสโลกด้วยสติปัญญาอยู่ทุกวันๆ ทุกวันๆ ทุกวันๆ สัมผัสโลก คือ สิ่งทั้งปวงที่มากระทบ ด้วยสติด้วยปัญญา อยู่ตลอดเวลา ก็ไม่เกิดความทุกข์

บวชอยู่ที่บ้าน เป็นนักบวชอยู่ที่บ้าน ทำได้อย่างนี้ ก็คือ ปฏิบัติสูงสุด ตามหลักพระพุทธศาสนาอยู่แล้ว

นี่จำไว้ว่า ถ้าว่าทำผิดเมื่อผัสสะ คือเป็นสัมผัสด้วยความโง่ ด้วยอวิชชา แล้วก็เกิดทุกข์ ถ้าสัมผัสด้วยวิชชา รู้จริงตามที่เป็นจริงอย่างไร เรียกว่า เป็นสัมผัสด้วยวิชชาแล้วก็ไม่เกิดทุกข์ ฉะนั้นอย่าได้มีการสัมผัสด้วยความโง่, อย่าได้มีการกระทบหรือรับอารมณ์ใดๆ ด้วยความโง่ แต่ให้รับหรือ รู้สึกอารมณ์นั้นๆ ด้วยสติ ด้วยปัญญา และให้ฝึกฝนอยู่เป็นประจำ

เรื่องนี้ พูดมันก็พูดได้ และพูดง่าย; แต่พอถึงคราวที่จะทำมันไม่ง่ายนัก มันอาจจะพลั้งเผลอ หรือทำไม่ได้ ต้องมีความทุกข์กันเสียก่อน ตั้งหลายครั้งหลายหนแล้วจึงค่อยๆ ทำได้ จึงค่อยๆ ทำได้ นี่มันจึงจะสำเร็จประโยชน์ ค่อยๆ ทำได้ ฉะนั้น จะต้องฝึกฝนอยู่ให้ดีที่สุด เหมือนที่เขาฝึกฝนอะไร ๆ ที่เขาพอใจ อย่างพวกที่เล่นกีฬา เล่นศิลปะหาเงินหาทอง เขาฝึกเหลือประมาณ เช่นว่าจะเตะตะกร้อลอดบ่วงได้ อย่างนี้ต้องฝึกเหลือประมาณ นี้ก็เหมือนกันแหละ เราก็ฝึกเหลือประมาณ ฝึกที่จะให้มีสติ ทุกครั้งที่ผัสสะ, แล้วถ้ามันล้มเหลว เผลอไป ก็ละอายๆ ละอายแก่ตัวเอง ว่าไม่สมควรแก่เราเลย ที่เป็นผู้ไม่มีสติ ขาดสติ พลั้งเผลอจนเกิดความทุกข์ เราไม่ได้เกิดมาเพื่อความทุกข์ แล้วทำไมจึงมากลายเป็นมาเกิดเพื่อความทุกข์อย่างนี้ ก็เสียใจอย่างยิ่ง ละอายอย่างยิ่ง ทุกๆ คราวที่พลั้งพลาด เผลอไป จนเกิดความทุกข์ ไม่เท่าไรมันก็จะไม่เผลอ ก็จะเผลอน้อยเข้าจนไม่เผลอ

อุปมาสมมติเหมือนอย่างว่า มันเดินตกร่อง ตกร่องที่นอกชาน หรือตกร่องที่ไหนก็ตาม มันเดินไม่ดี ไม่ดูให้ดี แล้วมันตกร่อง เดินตกร่องนั้นมันทั้งเจ็บด้วย แล้วมันทั้งน่าละอายด้วย ใครเห็นก็ละอายเขา ถ้าคอยสังวรอยู่ว่า มันเจ็บด้วย มันละอาย มันน่าละอายอย่างยิ่งด้วย ก็จะระวังดีขึ้น เมื่อระวังดีขึ้น มันก็ไม่ตกร่องอีกต่อไป นี่แหละการที่จะมีสติอย่างดีที่สุด ต่อสิ่งที่เรียกว่า ผัสสะ นั้น ต้องตั้งใจอย่างนี้ ต้องอธิษฐานจิตอย่างดียิ่งที่จะไม่พลั้งเผลอ และกลัว ว่ามันเป็นทุกข์และละอาย ว่ามันเป็นสิ่งที่น่าละอาย

เดี๋ยวนี้เราไม่รู้สึกกันเสียทั้ง ๒ อย่าง หรือ ทั้งทุกอย่าง กลัวก็ไม่กลัว ละอายก็ไม่ละอาย มันก็เลยมีได้มากแล้วเป็นทุกข์อยู่ข้างใน; ก็เพราะว่าไม่มีใครรู้, แม้ว่าไม่มีใครรู้ แต่มันเป็นทุกข์อยู่ข้างใน ก็ขอให้กลัวและให้ละอายอย่างยิ่ง ยิ่งกว่าที่มันมาข้างนอก จนคนอื่นเขารู้หรือเขาหัวเราะเยาะ

นี่ผู้ที่มีธรรมะแล้ว ก็จะต้องมีความกลัวและความละอายอย่างยิ่งอยู่ประจำตัว มีหิริ มีโอตตัปปะ ในธรรมะที่เป็นภายในอย่างนี้แหละ มีประโยชน์ดียิ่งกว่าที่เป็นภายนอก เป็นเรื่องภายนอก หมายความว่าที่ใครๆ เขารู้เขาเห็น ก็ยังไม่สำคัญเท่าที่ไม่มีใครรู้เห็น เรารู้เห็นของเราแต่คนเดียว นี่มันสำคัญมาก มันเสียหายมาก มันเป็นสิ่งที่จะยอมให้มีขึ้นมาไม่ได้

นี่ขอให้สนใจ มีสติเท่านั้นแหละ มันก็รอดจากความทุกข์ในทุกกรณี มันไม่สร้างความทุกข์ขึ้นมาได้ เป็นเครื่องป้องกันไม่ให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาได้ ไม่ต้องไปโทษผีสางเทวดา ซึ่งเป็นความโง่อย่างยิ่ง เพิ่มขึ้นอีกเรื่องหนึ่ง มันโง่จนปล่อยให้ความทุกข์เกิดขึ้นแล้ว นี้มันก็โง่หนึ่งแล้ว ทีนี้มันก็ไปโทษผีสางเทวดา มันก็เป็นอีกโง่หนึ่ง มัน ๒ โง่ ๓ โง่ ซ้ำเข้าไป แล้วมันก็น่าละอายสักเท่าไร ขอให้คิดดู

ความสุข และความทุกข์เกิดขึ้น เพราะเราทำผิดหรือทำถูกเมื่อมีผัสสะ ที่เรียกว่า ตามกฏอิทัปปัจจยตา, มีพระบาลีตรัสไว้ ซึ่งควรจะนึกถึงด้วยเหมือนกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่า สุขทุกข์ไม่ได้เกิดมาจากพระเป็นเจ้า, สุขทุกข์ไม่ได้เกิดมาจากกรรมเก่า, และสุขทุกข์ก็ไม่ใช่ไม่มีเหตุ สุขทุกข์ก็มีเหตุ เหตุนั้นก็คือ ทำผิดหรือทำถูกต่อกฏอิทัปปัจจยตา ถ้าทำผิดต่อกฏอิทัปปัจจยตาก็เกิดทุกข์ ถ้าทำไม่ผิดก็ไม่เกิดทุกข์ ทำผิดต่อกฏอิทัปปัจจยตา ก็ทำเมื่อมีอารมณ์มากระทบนั่นเอง เมื่อมีผัสสะนั่นเอง, เป็นเวลาสำคัญที่สุด ที่จะต้องประพฤติให้ถูกต่อกฏอิทัปปัจจยตา แล้วมันก็ไม่เกิดความทุกข์

นี่ ถ้าทำสติได้ อย่างนี้ แม้บวชอยู่ที่บ้าน ก็ดีกว่าพวกที่บวชอยู่ที่วัดเป็นไหนๆ นี่พูดอย่างนี้มันชอบกลเหมือนกัน แล้วมันก็เสี่ยงอยู่ว่าจะอันตราย แต่ขอยืนยันว่า ถ้าบวชอยู่ที่บ้าน แล้วทำได้อย่างนี้ ดีกว่าพวกที่บวชอยู่ที่วัดโดยมากที่ไม่ทำอย่างนี้ ที่ไม่ได้ทำอย่างนี้ บวชละเมอๆ อยู่

๔. มีสมาธิ มุ่งนิพพานเป็นอารมณ์.

ทีนี้ อีกข้อต่อไป ก็ว่า มีสมาธิ กำหนดไว้ให้ดีๆ นะ ข้อที่ ๑ มีสัทธา อย่างที่ว่ามาแล้ว ข้อที่ ๒ มีวิริยะ ข้อที่ ๓ มีสติ นี้ข้อที่ ๔ มีสมาธิ, มีสมาธิ

สมาธิคืออะไร? ท่านบัญญัติความหมายไว้ดีที่สุด สมบูรณ์ที่สุด เป็นสมาธิใหญ่หลวงมหาศาลเลยว่า สมาธิ คือ เอกัคคตาจิตที่มีนิพพานเป็นอารมณ์, เอกัคคตาจิตที่มีนิพพานเป็นอารมณ์. อาตมารู้สึกว่าบางคนฟังไม่ถูกก็งง ไม่รู้ว่าอะไร. เอกัคคตาจิตที่มีนิพพานเป็นอารมณ์ ก็บอกเสียเลยว่า เอกัคคตาจิต คือ จิตที่มีความคิดเพียงสิ่งเดียว มุ่งเพียงสิ่งเดียว ตั้งอยู่ในสิ่งเดียว; เอกัคคะ แปลว่า มียอดยอดเดียว, เอกัคคตาจิต จิตที่มียอดยอดเดียว คือมันมุ่งอยู่ที่สิ่งสิ่งเดียว, นี้เรียกว่า เอกัคคตาจิต, และมัน มุ่งต่อพระนิพพานเท่านั้น, ไม่มุ่งต่ออันอื่น ก็เรียกว่ามันมีนิพพานเป็นอารมณ์. เอกัคคตาจิตที่มุ่งต่อพระนิพพานเป็นอารมณ์นั่นแหละคือใจความของสิ่งที่เรียกว่า สมาธิ มันจะทำสมาธิแบบไหน กี่แบบ กี่สิบแบบ ทำไปเถอะ ต่างๆ แปลกๆ กัน, ใจความของมันมันก็อยู่ที่ความมุ่งพระนิพพานเป็นอารมณ์ของจิตที่ตั้งไว้ เป็นอารมณ์เดียว เป็นสิ่งเดียว.

จะพูดให้ง่ายที่สุดเดี๋ยวนี้ ก็พูดว่า หวังพระนิพพานเป็นอารมณ์อยู่ตลอดเวลานั่นแหละ; เมื่อรู้จักพระนิพพานพอสมควรแล้ว การที่หวังพระนิพพานอยู่ตลอดเวลา นั่นแหละคือเอกัคคตาจิตที่มีพระนิพพานเป็นอารมณ์; อยู่ที่บ้านก็ทำได้, เมื่อกำลังเป็นทุกข์อยู่แล้วก็ยิ่งชวนให้ทำ, เป็นทุกข์ด้วยเรื่องใดๆ อยู่ ก็มุ่งต่อพระนิพพาน คือดับทุกข์เป็นอารมณ์. นี้โดยทั่วไปเราก็รู้ว่า เรามีชีวิตอยู่นี้เพื่อจะบรรลุนิพพาน จิตจึงมุ่งจ้องจดจ่ออยู่แต่พระนิพพานเพียงสิ่งเดียวเป็นอารมณ์ นี่คือความหมายของสมาธิ

ทีนี้ที่เขาทำสมาธิอย่างนั้น สมาธิอย่างโน้น เป็นขั้นตอนๆ หลายๆ ขั้นตอนน่ะ มันแยกซอยให้ละเอียด แต่เมื่อรวมความหมดแล้ว มันมุ่งต่อนิพพานเป็นอารมณ์. เช่นว่า สติกำหนดลมหายใจอยู่ ลมหายใจสั้น ลมหายใจยาว ลมหายใจออก ลมหายใจเข้าก็ตามเถอะ, ทำจิตให้เป็นสมาธิด้วยการกำหนดอย่างนี้ แต่มันมีนิพพานเป็นอารมณ์ที่หวังอยู่ข้างหน้า, คือทำสมาธินี้เพื่อจะดับทุกข์สิ้นเชิงในปลายทาง ในจุดหมายปลายทาง, ทำสมาธิขึ้นมาแล้ว ก็ทำเป็นวิปัสสนา เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา. แล้วก็เบื่อหน่ายคลายกำหนัด ก็หลุดพ้น มีนิพพานเป็นอารมณ์ ฉะนั้น ความหมายนี้ดีที่สุดแล้วว่า สิ่งที่เรียกว่า สมาธินั้น คือ เอกัคคตาจิตที่มีนิพพานเป็นอารมณ์.

ขอให้เราทุกคนดำรงจิตไว้ในลักษณะอย่างนี้ ในลักษณะอย่างนี้ คือว่ามีพระนิพพานเป็นที่หมาย มีพระนิพพานเป็นจุดหมาย, จะต้องถึงที่นั่นให้จงได้เร็วที่สุด โดยเร็วที่สุดเท่าไรก็ยิ่งดี. นี่คือ สมาธิที่มีประโยชน์ สมาธิโดยความหมายที่แท้จริง ที่มันมีประโยชน์ คือความมุ่งต่อพระนิพพานเป็นอารมณ์; อยู่ที่บ้านนั่นแหละ ทำอะไรก็ทำไปเถิด แต่ข้อใหญ่ใจความนั้นไม่ลืม ไม่ลืมว่าเรามีพระนิพพานเป็นที่จุดหมายปลายทาง ทั้งหมดที่เราทำนี้ มันจะรวมกันเข้า แล้วก็ไปสู่จุดหมายปลายทางคือนิพพาน.

สมมุติว่า จะทำนา มันก็หาข้าวให้ได้กินข้าว, ให้ได้กินข้าว แล้วก็มีชีวิตอยู่ แล้ว ก็ทำพระนิพพานให้แจ้ง. แม้แต่ ทำสวน ก็ได้เงินมากินมาใช้, ก็เพื่อจะมีชีวิตอยู่ เพื่อจะทำพระนิพพานให้แจ้ง. จะค้าขายหรืออาชีพอะไรอยู่ก็ตาม ต่อให้เป็นอาชีพถีบสามล้อเหงื่อไหลท่วมตัวอยู่ทั้งวันๆ มันก็ สามารถจะมีเอกัคคตาจิตที่มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ได้ โดยมุ่งหวังอยู่ว่า เราจะเลี้ยงชีวิตให้รอดอยู่ได้ เพื่อทำให้ปรากฏเฉพาะซึ่งภาวะที่ไม่มีความทุกข์เลย. ที่เรียกว่า นิพพาน คือชีวิตที่เยือกเย็น, ชีวิตที่เยือกเย็น ไม่มีความทุกข์เลย เรียกว่า นิพพาน เราจะมีที่นั่นเป็นจุดหมาย แม้ว่าจะทำงานอย่างต่ำ ล้างท่อถนน กวาดถนน ถีบสามล้อ แจงเรือจ้าง ก็ยังสามารถที่จะมุ่งพระนิพพานเป็นอารมณ์ ว่าจะต้องได้พบกันในโอกาสข้างหน้า

ทีนี้จะพูดให้สิ้นสุดเสียเลยว่า แม้เป็นคนขอทานนั่งขอทานอยู่ ก็ยังทำได้ เดี๋ยวนี้กูยังต้องขอทาน ก็ขอทานให้ชีวิตมันรอด ชีวิตมันรอดแล้วก็จะทำต่อไป, ปฏิบัติมีสติระวังสังวรเรื่อยไป แล้วก็จะมีนิพพานเป็นจุดหมายปลายทางได้เหมือนกัน. นี่ไม่ใช่แต่เป็นชาวบ้านธรรมดาแหละ; ให้เป็นขอทานอยู่ มันก็ยังมีโอกาส ยังมีความหวังจะมีสมาธิ; สมาธิ, สมาธิเรียกอย่างนี้แปลว่า เอกัคคตาจิตคือจิตดวงเดียว เดี่ยวโดด หนักแน่น มีพระนิพพานเป็นที่หมาย ฉะนั้น ใครๆ ทุกคน ที่เป็นฆราวาสอยู่ จงดำรงตนให้มีพระนิพพานเป็นที่หมาย เป็นจุดหมายปลายทาง ก็จะเรียกว่ามีสมาธิ เต็มตามความหมายของคำคำนี้

มีสติเป็นเครื่องชักนำให้จิตมีสมาธิ มีสติอย่างที่ว่ามาแล้ว ชักนำให้จิตมีสมาธิ รู้สึกตัวอยู่ เมื่อแรก ระลึกได้ แรกระลึกถึงความจริงความรู้อะไรได้ นี่ เรียกว่า มีสติ, ครั้นระลึกได้แล้ว รักษาความรู้นั้นไว้ ให้อยู่ยาวไป ก็เรียกว่า สติสัมปชัญญะ. สติกับสัมปชัญญะนั้น มันเป็นคู่แฝดกัน; สติคือความระลึกได้ สัมปชัญญะคือความรู้ตัว คือรักษาความระลึกได้นั้นให้ยังคงอยู่ เช่น สติระลึกถึงความถูกต้องอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมา แวบขึ้นมาได้ แล้วก็รักษาไว้ นั่นก็คือ สัมปชัญญะ; สติกับสัมปชัญญะก็ต้องทำงานร่วมกันอย่างนี้ ฉะนั้นเรา ถ้ามีสติสัมปชัญญะแล้ว จะไม่ทำอะไรผิดพลาด จะทำอะไรถูกต้อง ได้รับผลดีของสิ่งที่ต้องทำ.

ทีนี้ก็ มีสมาธิ ก็หมายความว่า จิตมันมั่นคง ตั้งมั่น ขณะนั้นก็ไม่มีกิเลสรบกวน ขณะนั้นจิตก็ ว่องไวในการที่จะคิดจะนึก หรือจะทำหน้าที่ของจิต คำว่า ทำสมาธิ, ทำสมาธิไม่ใช่หมายถึงไปนั่งหลับตาตัวแข็งทื่อเป็นท่อนไม้, ไม่ใช่หมายความว่าอย่างนั้น หมายความว่า ทำทุกอย่างทุกทาง กล่อมเกลาจิตใจให้เป็นจิตที่มีจุดหมายเดียว อารมณ์เดียว ที่เรียกว่า เอกัคคตา, แล้วมันก็ปราศจากกิเลส แล้วมันก็เข็มแข็ง มันก็เข็มแข็ง เพราะมันรวมแสงรวมกำลัง แล้วมันก็ไวต่อหน้าที่ของมัน จิตมีหน้าที่คิด จิตที่เป็นสมาธิจะไวต่อการคิด จิตที่ไม่เป็นสมาธิมันงุ่มง่ามเคอะคะ มันคิดไม่ได้ หรือมันไม่ไวต่อการคิด สมาธินั้นหมายความว่า จิตมีกำลังเข็มแข็งอยู่ที่จุดเดียว ไม่มีกิเลสรบกวน แล้วก็ว่องไวในหน้าที่ที่จะคิด จะนึก จะคิดจะนึก จะทำจะตัดสินใจ จะทำอะไรก็ตาม; ถ้าทำด้วยสมาธิมันทำได้ดี ทำด้วยจิตที่เป็นสมาธิ ฉะนั้นคนที่มีหน้าที่จะต้องคิดจะต้องนึกจะต้องตัดสินใจ จะต้องสั่งงานผู้อื่น อะไรก็ตาม จะต้องทำด้วยจิตที่เป็นสมาธิ

ทีนี้ก็ จะต้องฝึกให้เป็นสมาธิ มีสติชักหน่วงดึงจิตให้ติดอยู่ที่อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง ตามเวลาที่ต้องการจะทำอะไร ตามเวลาที่ต้องการจะทำอะไร ทำด้วยสมาธิเสมอไป คือว่าจะมีสมาธิจิตตั้องแต่ก่อนทำ แล้วก็เมื่อกำลังทำ และทำเสร็จแล้วด้วย ตั้งแต่ก่อนทำ ก็มีสมาธิในเรื่องนั้น กำลังทำอยู่ ก็มีสมาธิในเรื่องนั้น ทำเสร็จแล้วก็มีสมาธิในเรื่องนั้น มันจะผิดได้อย่างไร ลองคิดดูเถอะ มันไม่มีทางที่จะผิดได้ มันมีแต่จะถูกถึงที่สุด

ทีนี้เรา บวชอยู่ที่บ้าน ก็หาโอกาสที่จะฝึกสมาธิ เวลาที่เอาไปใช้เหลวไหลเสียวันหนึ่งๆ ตั้งมากมาย ขอเปลี่ยนเอามาทำสมาธิ, และ เมื่อกำลังทำการงานอยู่ ก็ทำสมาธิได้ โดยทำด้วยจิตที่เป็นสมาธิ ทำการงานอะไรอยู่ก็ตาม

ถ้าว่า เป็นชาวนา กำลังไถนาอยู่ กำลังไถนาอยู่ เดินตามหลังความยอยู่ ขอให้จิตมันอยู่ตรงที่ปลายไถนาอยู่ จิตอยู่ที่ปลายไถ ที่มันแหลมที่มันตัดดินอยู่ตรงนั้นเรื่อยไปมัน ก็เป็นการทำสมาธิตลอดเวลาที่ไถนา

ถ้าทำสวน เมื่อเอาจอบฟันดินลงไปกระทบดินยกขึ้นมานั้น ก็มีสมาธิอยู่ที่จอบมันตักดิน

เอาที่บ้านที่เรือนกันก็ได้, งานอื่นๆ นั่นมันมีค่า หรือว่ามันน่าดู. แต่เดี๋ยวนี้ เราเอางานชั้นต่ำสุดนะ ว่าถ้าเราจะต้องกวาดบ้าน กวาดพื้นบ้าน หรือกวาดลานบ้าน เมื่อกำลังกวาดอยู่นั้น ขอให้จิตมันกำหนดอยู่ที่ปลายไม้กวาดที่จดดิน ทำอย่างนั้นไม่ยาก จิตอยู่ที่ปลายไม้กวาด ที่จิดดินอยู่เรื่อยไปๆ กวาดเรื่อยไป จิตอยู่ตรงนั้นตลอดเวลา นี่เป็นสมาธิชั้นดี เป็นสมาธิชั้นดี

หรือว่าเมื่อล้างจาน, ก็ขอให้จิตมันอยู่ตรงที่ปลายนิ้วที่มันถูจาน เมื่อล้างจานธรรมดาสามัญ คนทั่วไปก็ต้องเอามือถูจาน ให้ปลายนิ้วที่ถูจานแตะจานอยู่ จิตกำหนดอยู่ที่ตรงนั้น จนกว่าจะล้างจานเสร็จ ก็เป็นการทำสมาธิที่ดีที่สุด เมื่อกำลังล้างจาน.

ทีนี้ เมื่อล้างหม้อ ล้างกะทะ ก็เหมือนกันนั่นแหละ; เมื่อเอาอะไรมาถูหม้อถูกะทะอยู่ เครื่องถูหม้อนั่นแหละ เมื่อมันจดจ่ออยู่กับหม้อหรือจดจ่ออยู่กับกะทะ มีจิตอยู่ที่ตรงนั้นสิ คุณก็เป็นผู้มีสมาธิ เหมือนกับนั่งสมาธิอยู่ในป่านั่นแหละ แต่ว่าเดี๋ยวนี้ทำสมาธิที่บ้าน.

ถ้าว่าจะผ่าฟืน เอ้า, ผ่าฟืน สมาธิอยู่ที่คมขวาน เมื่อไม้ฟืนกระทบขวาน แล้วแต่จะผ่ากันท่าไหน แต่ที่ตรงคมขวานที่ชำแรกไม้ออกไปนั้น จิตอยู่ที่ตรงนั้น.

ทีนี้ก็ ทำทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน; เมื่อยืนเท้าแตะพื้นตรงไหน กำหนดตรงนั้น เมื่อเดินก็เหมือนกัน มันจดลงไปแล้ว มันยกขึ้นมา มันจดลงไปมันยกขึ้นมา จิตอยู่ที่นั่น เมื่อนั่งก็นั่งถูกที่พื้น โดยไม่ได้กำหนดอะไรอื่น กำหนดที่ก้นมันแตะพื้นนั่นแหละ มันก็เป็นสมาธิ แต่เขามีอย่างอื่นหลายวิธี เช่นกำหนดลมหายใจ กำหนดพุทโธ อะไรก็ได้ แต่ที่แท้จริงแล้ว มันอยู่ที่สิ่งที่มันเป็นธรรมดาเป็นเจ้าของเรื่อง

นี่เรื่องบวชอยู่ที่บ้าน เห็นไหมเล่า พูดเรื่องบวชอยู่ที่บ้าน บวชอยู่แต่ที่บ้าน มีโอกาสจะทำ ประพฤติธรรมในเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา ได้อย่างมากมาย มีสติประกอบอยู่กับสมาธิในทุกๆ อิริยาบถ ทุกๆ การงาน นับตั้งแต่ว่าไถนา สมาธิจิตอยู่ที่ปลายไถที่ตัดดิน, ถ้าพายเรือ จิตอยู่ที่ปลายพายที่มันแตะน้ำ แจวเรือก็เหมือนกัน อยู่ที่แจวมันตัดน้ำ นี้จะเป็นสมาธิจริง สมาธิที่จะเอามาใช้เป็นประโยชน์อย่างอื่นได้ ทุกๆ ความหมาย ทุกๆ ชนิด

๕. มีปัญญา - รู้ความจริงที่ควรรู้

เอ้า ทีนี้ข้อสุดท้ายว่า มีปัญญา มีปัญญา ข้อ ๑ มีศรัทธา, ข้อ ๒ มีวิริยะ, ข้อ ๓ มีสติ, ข้อ ๔ มีสมาธิ, ข้อ ๕ มีปัญญา, ปัญญา แปลว่า ความรู้ คือ รู้สิ่งที่ควรรู้, รู้ความจริงที่ควรรู้ ความจริงที่ดับทุกข์ได้นั้น เป็นความจริงที่ควรรู้.

ขอให้รู้ความจริงนั้นอยู่ตลอดเวลา อยู่ตลอดเวลาด้วยสติ สติระลึกเอามา แล้ว สัมปชัญญะกำหนดเอาไว้ แล้วก็อยู่อย่างเป็นความรู้รอบ เป็นปัญญาอยู่ตลอดเวลา อย่าให้เกิดการปรุงแต่งในจิตจนเกิดความคิดชนิด ตัวกูของกู นี่คำพูดมันค่อนข้างจะหยาบคาย แต่มันจำเป็นว่า ความคิดชนิดที่มีความหมายเป็นตัวกู หรือเป็นของกูนั้น เป็นความคิดผิด พร้อมที่จะทำให้เกิดความทุกข์อย่างยิ่ง มันเป็นความคิดที่ผิด เป็นความรู้ที่ผิด เรียกว่าเป็นความผิดนั่นแหละ

นี้ปัญญาต้องรอบรู้ รู้ที่ถูก มันรู้ทุกอย่างที่ควรจะรู้ รู้ได้ทุกอย่างที่ควรจะรู้ แต่อย่าไปรู้ชนิดที่ว่าเป็นตัวกู เป็นของกู เป็นตัวตน เป็นของตน นี่มันก็เป็นของละเอียดประณีตลึกซึ้งอยู่มาก, คือมันจะต้องรู้จักทำความละเอียดประณีตในทางจิต, ความคิดมันปรุงแต่งกันได้อย่างที่ว่ามาแล้วในเรื่องของผัสสะ. นี้เราอย่าให้ความคิดหรือความรู้เกิดขึ้น มีความหมายเป็นตัวกู เป็นของกู

ทำงานด้วยความรู้อยู่ว่า ควรจะทำอย่างไร ฟังให้ดีๆ ว่า ถ้าทำงาน ทำงานอยู่ที่ออฟฟิศ หรือที่ไหนก็ตาม จงทำด้วยสติปัญญาที่รู้ว่า ควรทำอย่างไร แล้วระวังอย่าให้ความคิดประเภทตัวกูของกู, ทำเพื่อกู กูจะได้ กูจะอะไร อย่าให้เกิดขึ้นมา ความคิดความรู้สึกประเภทตัวกูของกูอย่าได้เกิดขึ้นมา อย่าให้ความอยากจะได้ผลงานเร็วๆ เกิดขึ้นมา อย่าให้ความหวังจะได้ผลงานเร็วๆ เกิดขึ้นมา. นั้นเป็นของผิดทั้งนั้น อันตรายทั้งนั้น มีแต่ความรู้ที่ถูกต้องว่า ทำอย่างไร ทำอย่างไร ที่ทำถูกต้องนั้นทำอย่างไร แล้วก็สนใจทำแต่อย่างนั้น นี้แหละเรียกว่า ทำงานอยู่ด้วยปัญญาอย่างยิ่ง ไม่เกิดความผิดพลาด ไม่เกิดความหวัง ไม่เกิดกิเลสตัณหา ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ทำให้เกิดความทุกข์

ฉะนั้นเรามี ความรู้ที่ถูกต้องเรื่องอิทัปปัจจยตา ว่ามันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยของมัน และว่า ตถตา มันจะต้องเป็นอย่างนั้นมันเป็นอย่างอื่นไม่ได้. มีความรู้เรื่องอิทัปปัจจยตา ตถตา เต็มที่แล้วก็ทำงานอยู่ ส่วนความหวังความอยากว่าจะได้ผล เอาผลมากิน มาใช้กันให้สนุกสนานเอร็ดอร่อยนั้น อย่าต้องมีผล ถ้ามีมันเป็นความคิดหรือความรู้สึกประเภทตัวกู-ของกู มันจะต้องเป็นทุกข์

ข้อนี้ก็ ในพระบาลีให้ตัวอย่างไว้อย่างดีที่สุด ที่อาตมาก็เอามาเล่าบ่อยๆ ว่า แม่ไก่ฟักไข่ให้ดีก็แล้วกัน ไม่ต้องคิดว่าลูกไก่จงออกมา, นี่แม่ไก่น่ะฟักไข่ให้ถูกต้องตามวิธีของธรรมชาติ; จะเขี่ย จะกก จะกลับ จะทำให้อุ่นให้เย็นอะไรก็แล้วแต่ ให้มันถูกต้องตามวิธีของการฟักไข่, แล้วลูกไก่ก็จะออกมาเอง โดยที่แม่ไก่ไม่ต้องหวังว่า ลูกไก่จงออกมา ลูกไก่จงออกมา, ถ้าแม่ไก่ตัวไหนมันหวังว่าลูกไก่จงออกมา บ่นว่า ลูกไก่จงออกมา มันเป็นแม่ไก่บ้า มันใช้ไม่ได้. คนนี้ก็เหมือนกันแหละ จงทำงานให้ถูกต้องด้วยสติปัญญา เกี่ยวกับการกระทำนั้น โดยไม่ต้องมีความคิดหวังเป็นตัวกูของกู ว่าออกมา จงออกมา จงได้มา จงได้กำไร จงอย่างนั้น จงอย่างนี้ ซึ่งเป็นเรื่องของตัวกู ของกูอย่างนั้น มันทำให้เป็นทุกข์เปล่าๆ แล้วมันก็ไม่ได้ด้วย แล้วมันจะทำให้งานเสียก็ได้

เดี๋ยวนี้ เราสอนกันผิดๆ อยู่บางอย่าง ที่ว่าให้ใช้ความหวังมากเกินไป; ที่จริง ถ้าความหวังมากเกินไป แทรกแซงเข้ามาในขณะทำงานแล้ว มันฟุ้งซ่าน ทำไม่ได้ดี ทำไม่ได้ถูกต้องอย่างดี มันต้องให้เหลือไว้ มีแต่สติปัญญา ว่าจะทำอย่างไรเท่านั้น ให้มีมากที่สุด ให้ทำอย่างดี ส่วนที่จะหวังผลอย่างนั้นอย่างนี้ อย่าให้มันเกิดขึ้นมาในความคิด มันมาทำให้ฟุ้งซ่าน ให้มีสมาธิแน่วแน่อยู่แต่ว่า ทำอย่างไร เรื่องนี้ทำอย่างไร เรื่องนี้ทำอย่างไร นั่นแหละเรียกว่า มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา มีจิตว่างจากความคิดความนึกรู้สึกว่าตัวตนหรือของตน ว่างจากความรู้สึกคิดนึกว่า ตัวกู-ของกู แล้วก็เป็นจิตว่างแหละ จะคิดอย่างไรก็ได้, จะคิดเรื่องจะทำให้ดีให้นันอย่างไรก็ได้ แต่อย่าให้มันแลบเลยไป ถึงว่า เพื่อตัวกู หรือของกู, กูจะเอา กูจะได้ พอความคิดเกิดขึ้นอย่างนั้น มันจะมืด มันจะกลุ้มมันจะร้อน มันจะเป็นทุกข์ นี่เรียกว่า เคล็ด หรือ ศิลปะ ในการที่จะทำงานให้ดีที่สุด โดยเฉพาะสำหรับพุทธบริษัท

เดี๋ยวนี้เราจะบวชอยู่ที่บ้าน เราจะบวชอยู่ที่บ้านขอให้มีการกระทำงานด้วยปัญญา, มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา ให้ได้ผลดีที่สุดของการที่เกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์เกิดมาแล้ว จะต้องได้อะไรดีที่สุด ก็ให้มันได้อย่างนั้นแหละ แล้วมันก็จะได้ด้วยการกระทำด้วยปัญญา อย่าทำด้วยกิเลสตัณหา หวังว่าจะได้อย่างนั้น หวังว่าจะได้อย่างนี้แก่ตัวกู แก่ของกู นั้นไม่ต้องไปหวังดอก เมื่อทำถูกต้องตามกฏของธรรมชาติแล้ว มันก็ต้องออกผลมาเอง, ไปหวังให้มันฟุ้งซ่าน; หรือจะเปรียบด้วยตัวอย่างง่ายๆ อีกทีหนึ่งว่า ไปซื้อลอตเตอรี่มาแล้ว อย่ามาหวังให้มันรบกวนจิตใจเป็นโรคประสาท, ซื้อแล้วก็แล้วไป ถึงเวลามันออกก็ไปตรวจดู มันถูกหรือไม่ถูก แต่บางคนเขาไม่ชอบอย่างนั้น เขาชอบซื้อเอามาทำให้มันบ้า ให้มันหวัง ให้มันนอนหวัง นั่งหวัง นอนหวัง แล้วในที่สุด มันจะเป็นโรคประสาท ได้จริงเหมือนกันแหละ

เราจงทำงานหรือมีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา อย่าประมาทปัญญา พอกพูนปัญญา คือความรู้สึกคิดนึกที่ถูกต้องอยู่ตลอดเวลา เมื่อจะทำงานก็มีปัญญาในงานที่จะทำ เมื่อทำงานอยู๋ ก็มีปัญญาในงานที่กำลังทำ เมื่อทำงานเสร็จได้ผลงาน ก็มีปัญญาอยู่ในการได้ผลงาน อย่าให้ได้ผลงานด้วยกิเลส ตัณหา แต่ได้ด้วยสติปัญญา อ๋อ มันอย่างนี้เองนี่ ทำอย่างนี้มันก็ได้อย่างนี้เอง ไม่ต้องไปหลงไหลมัวเมา ให้มันสูญเสียสติสัมปชัญญะ หรือจะเก็บผลงาน ไว้กินไว้ใช้รักษาไว้ ก็ด้วยสติปัญญา เก็บไว้ด้วยสติปัญญา อย่าให้มันทรมานใจ เมื่อจะเอาผลงานมากินมาใช้ ก็ทำด้วยสติปัญญา อย่าให้มันผิดพลาด เมื่อจะแบ่งปันให้แก่ผู้อื่นบ้าง ทำบุญทำทาน ก็ทำด้วยสติปัญญา; แปลว่าเป็นฆราวาสที่มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา ทั้งก่อนแต่ทำงานกำลังทำงาน ได้ผลงาน เก็บผลงาน ใช้ผลงาน กินผลงาน แบ่งปันผลงาน อะไรก็ทำด้วยปัญญา ไม่มีกระหืดกระหอบด้วยกิเลสตัณหา

บวชอยู่ที่บ้านทำได้จริงก็มีผลดีเท่าที่ควรได้.

นี่จะบวชอยู่ที่บ้าน แล้วจะเป็นพระอรหันต์อยู่ที่บ้าน; พอเป็นพระอรหันต์แล้ว มันก็เลิกหมด ไม่ต้องบวชต้องอะไรดอก เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้วมันเลิกบวช เลิกความหมายของคำว่า บวช, บวช หรือประพฤติพรหมจรรย์ ไม่ต้องมีแล้ว. แต่เดี๋ยวนี้ ยังไม่เป็นพระอรหันต์ ก็ขอให้เป็นผู้บวชด้วยจิตใจทั้งหมดทั้งสิ้นอยู่ที่บ้าน; โดยเฉพาะผู้หญิงไม่ต้องสนใจว่าผู้หญิงบวชไม่ได้. แต่เราบวชอยู่ที่บ้านได้อย่างนี้ แล้วเหมือนกัน หรืออย่างเดียวกัน หรือเท่ากัน แม้ไม่มีโอกาสไปบวชกับเขาบ้าง เขาบวชกันเกร่อหมด บวช ๙ วัน ไม่รู้ว่าจะได้ผลอย่างไร.

คุณค่าและประโยชน์ ของพระพุทธศาสนา

คุณค่าและประโยชน์
ของพระพุทธศาสนา
แสดง ณ วัดหินหมากเป้ง อ. ศรีเชียงใหม่ จ. หนองคาย
วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๑๙

การฟังเทศน์ต้องเข้าใจหลัก ถ้าฟังไม่ถูกฟังไม่เป็นก็จะไม่ค่อยได้ความเข้าใจ ธรรมะเป็นของสงบ เป็นเรื่องสงบ ถ้าหากเป็นเรื่องยุ่งแล้วไม่ใช่เรื่องธรรมเป็นเรื่องโลกไป เหตุนั้นเมื่อท่านเทศนาธรรม เราก็จะต้องทำตัวของเราคือ กาย วาจา ใจของเราให้สงบเสียก่อน สำหรับรับธรรมะอันสงบนั้น มันจึงจะเข้ากันได้กับธรรมที่ท่านแสดงเพื่อความสงบ เช่นนี้เราจึงจะเข้าใจและได้รับรสชาติของธรรมทำอย่างไรเราจึงจะสงบ ปรกติกายเราก็ไม่สงบ มีการเคลื่อนไหวไปมา วาจาก็พูดนั่นพูดนี่ ใจเราก็วอกแวก วุ่นวายส่งส่ายไม่สงบสักอย่างเดียว บางทีกายสงบวาจาสงบแต่ใจไม่สงบ ดังนั้นจึงต้องทำความสงบพร้อมกันทั้งสามอย่างแล้วจึงค่อยฟังธรรมต่อไป
วันนี้จะอธิบายถึงเรื่อง คุณค่าและประโยชน์ของพุทธศาสนา ศาสนาเป็นของดีมีค่าแต่คนเราไม่ค่อยเข้าใจถึงเรื่องพุทธศาสนา ก็เลยเห็นว่าศาสนาเป็นของไร้ค่าหาประโยชน์มิได้ หรือได้ประโยชน์น้อยมีค่าน้อยอย่างนี้เป็นต้น คนเรามักเข้าใจผิด ๆ คิดผิดจากหลักตามเป็นจริง พุทธศาสนาสอนกว้างขวาง คือว่าสอนคนทุกระดับที่เกิดมา แม้แต่สัตว์เดรัจฉานที่พอจะอบรมสั่งสอนได้พระองค์ก็สอนเหมือนกัน พุทธศาสนาสอนอะไร หรือศาสนาทุกศาสนาสอนอะไรกัน ศาสนาสอนให้ละความชั่วคือไม่ให้ประพฤติความชั่ว แล้วก็ให้ประกอบคุณงามความดี พูดง่าย ๆ ว่าละชั่วทำดี หลักของศาสนาทุกศาสนามีอย่างนี้ ตามลำพังการที่จะละการทำชั่วทางกายทางวาจานั้นมันทำได้ยากเพราะมีเจ้านายอยู่คนหนึ่งคือ ใจ มันเป็นตัวบังคับบัญชาให้กายให้วาจากระทำธุรกิจต่าง ๆ ด้วยเหตุนี้พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้พากันรักษาใจอีกทีหนึ่ง ควบคุมใจให้ได้อีกอย่างหนึ่งจึงจะครบพร้อมมูลบริบูรณ์ เราจะไปบังคับให้กาย วาจาละชั่วอย่างเดียวไม่ได้ เราต้องบอกหรือสอนให้ใจบังคับใจให้อยู่เสียก่อนจึงจะบังคับกายวาจาให้อยู่ในอำนาจได้ อันนี้เป็นหลักของพระพุทธศาสนา
ทีนี้มาพิจารณากันดูว่าหลักนี้จะเข้ากับสังคมของมนุษย์เราหรือไม่ ไม่ว่ายุคใดสมัยใดมันจะเข้ากันได้หรือไม่ ลองคิดดูยุคใดก็ตามคนต้องการทำชั่วหรือทำดีหากพูดถึงเรื่องข้อเท็จจริงแล้ว ทุกยุคทุกสมัยทุกคนต่างก็ชอบทำดีกันทั้งนั้นไม่มีใครต้องการชั่วสักคนเดียว จึงนับว่าเข้ากันได้กับหลักพุทธศาสนา พุทธศาสนากับสังคมนิยมนั้นเข้ากันได้ดีที่สุดทุกกาลสมัย ทีนี้ทำไมคนจึงละชั่ว ทำดีไม่ได้ทั้งๆ ที่เห็นอยู่รู้อยู่ว่ามันชั่วไม่ดี ที่ทำไม่ได้ก็เนื่องจากว่าพวกเราไม่เอาหลักของพุทธศาสนาไปใช้ก็เลยละชั่วไม่ได้ทำดีไม่ได้ แล้วคราวนี้เราจะไปโทษว่าศาสนาไม่มีค่าและไม่คุ้มค่าในการถือศาสนาในการปฏิบัติบำรุงศาสนาไม่ได้เด็ดขาด เมื่อผู้ไม่ปฏิบัติไม่ทำตามคำสอนของศาสนานั้นๆ แล้ว จะไปโทษศาสนาไม่ได้ ต้องโทษคนเราซิ แต่นี่คนเราไปโทษศาสนา ไม่ได้โทษบุคคลผู้กระทำกัน นี่พากันเข้าใจผิดอย่างนี้ คนเรายุคนี้สมัยนี้ส่วนใหญ่เข้าใจศาสนาผิดตรงนี้ หลักของศาสนาท่านสอนไว้อีกอันหนึ่งว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว หลักอันนี้เดี๋ยวนี้ยิ่งเข้าใจผิดกันมาก เข้าใจผิดอย่างฟ้าเป็นดินทีเดียว ชอบพูดกันว่า ทำชั่วได้ดีมีถมไป ทำดีได้ดีมีที่ไหน ท่องจดจำกันคล่องปากที่สุด ของไม่ดีแล้วช๊อบชอบใครๆ ก็ชอบเพราะถูกกับใจของตน ในทางพุทธศาสนากล่าวว่ามันถูกกับกิเลสของตน ชอบเพราะตนชอบทำชั่ว ทำดีไม่ได้เพราะไม่สามารถบังคับตนเองให้ทำดีได้ เลยชอบทำชั่ว ความชั่วมันเป็นของไหลเป็นของต่ำ ๆ นี่อาตมาพูดตามภาษาของบ้านเราง่าย ๆ ที่เราเรียกกันว่าเหลวไหล ทำไมจึงต้องเหลวไหล เพราะมันเหลว เมื่อมันเหลวก็ต้องไหล ไหลก็ต้องลงสู่ที่ต่ำ ความชั่วคือมันเหลวไหล มันตกลงไปที่ต่ำจึงต้านทานและกีดกันไว้ได้ยาก อันนี้เป็นเหตุให้คนไม่ค่อยเชื่อพุทธศาสนาที่สอนให้ละชั่วแล้วทำดี โดยมากเข้าใจตื้น ๆ กันว่าทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป เพราะคนใดคอยปล้นสะดมเขา ขโมยของเขา หรือขี้เกียจประกอบภาระกิจทำการงาน มีแต่ฉ้อโกงลักขโมยของเขากลับเป็นคนมั่งมี หรือแม้แต่ทำราชการก็เหมือนกัน ใครซื่อสัตย์ตรงไปตรงมานายไม่ค่อยจะเลี้ยง ต้องประจบประแจงจึงค่อยเลี้ยง การงานไม่ค่อยเอาเรื่องคอยหาอัฐหาเงินทองมาบำรุงให้เจ้า ๆ นาย ๆ อันนั้นเขาชอบเขาเลี้ยงไว้กินเลี้ยงไว้บำรุงกระเป๋าของเขา คนเห็นแบบนี้ทั่วไปจึงว่าทำชั่วได้ดี ถ้าใครทำดีตรงไปตรงมาแล้วทำราชการไม่ค่อยจะได้อยู่ใกล้ผู้หลักผู้ใหญ่ มักจะถูกโยกย้ายไปอยู่ในที่กันดาร นี่เขาเห็นกันอย่างนี้ทั้งบ้านทั้งเมืองเต็มบ้านเต็มเมืองก็เลยเข้าใจว่าทำ ชั่วได้ดีมีถมไป
ในทางพุทธศาสนาไม่ได้สอนเพียงแค่นี้ ไม่ได้สอนแต่กาย ศาสนาพุทธสอนทั้งกาย ทั้งใจ สอนทั้งวัตถุธรรมและนามธรรม สอนทั้งสองอย่างเป็นคู่กันไป ตัวอย่างเช่น ท่านสอนให้ขยันหมั่นเพียรทำมาหาเลี้ยงชีพประกอบภาระกิจและให้ตั้งอยู่ใน สุจริตธรรม นี่แสดงว่าสอนทั้งวัตถุธรรมและนามธรรมไปพร้อมกัน ไม่ใช่สอนให้กอบได้โกยเอา มีอะไรเอาทั้งนั้นได้แล้วเอาเลยโดยไม่คำนึงถึงว่าสุจริตหรือทุจริต อย่างนั้นไม่ใช่ พระองค์ไม่ได้ทรงสอนอย่างนั้น ทรงสอนให้รู้จักพอดีพองาม ให้รู้จักสิ่งที่ผิดสิ่งที่ถูก คือมีใจเป็นคนรู้ พระพุทธเจ้าทรงสอนอย่างนี้ เหตุนั้นที่ว่าเข้าใจกันในสมัยนี้ว่าทำชั่วได้ดีมีถมไปเช่นพวกฉ้อโกง ปล้นสะดม ปล้นจี้เรียกค่าไถ่ โจรสลัด โจรอากาศพวกนี้ร่ำรวยที่สุด คราวนี้สมมติว่าตัวของเราเป็นผู้ทำอย่างนั้น เราจะคิดอย่างใดบ้าง ในใจของเราจะเป็นอย่างไรบ้าง พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องใจไปพร้อม ๆ กัน เรามาลองพิจารณาตามที่พระองค์ทรงสอนดู เมื่อเราคิดที่จะฉ้อโกงปล้นสะดมเขาอย่างที่ว่านี้แหละ ใจเราจะต้องคิดแต่ส่วนตัวเห็นแก่กระเป๋าของเรา ไม่ได้คิดถึงความเดือดร้อนของคนอื่น หากว่าเขามาทำเช่นนั้นกับเราจะเห็นเป็นอย่างไรล่ะ แน่นอนเราก็จะต้องเดือดร้อนเสียใจเป็นทุกข์ เพราะฉะนั้นเมื่อเราไปทำกับเขา เขาก็เป็นทุกข์เดือดร้อน พระพุทธเจ้าทรงสอนให้รู้จักเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน เมื่อเราเชื่อฟังปฏิบัติตามเราก็ไม่ไปฉ้อโกงเขา และคนอื่น ๆ ก็เช่นเดียวกัน ก็จะอยู่ด้วยกันอย่างสงบมีความสุขพระองค์ทรงสอนทางใจอย่างนี้
ใจของคนนั้นมันต่ำเหลวไหล มันไหลลงไปทางต่ำ พระองค์ทรงสอนให้พัฒนาทางด้านจิตใจให้มันสูงขึ้นมา มันเห็นแก่ตัวก็ทรงสอนให้กำจัดเสีย และให้รู้จักเฉลี่ยความสุขแก่กันและกันตามสมควรแก่อัธยาศัย หรือทำเต็มความสามารถที่จะทำให้ยิ่งเป็นการดี ทีนี้มาคิดดูอีกต่อไปถึงผลประโยชน์ หากเราทำได้อย่างที่อธิบายมานั้นจะดีหรือไม่ โลกเรานี้จะเป็นสุขไหม แน่นอนไม่มีใครปฏิเสธ ถ้าเราต่างเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน มันก็เป็นญาติมิตรสนิทสนมกันทั่วหมดทั้งโลกเลย พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงสอนเพียงพวกเราพุทธศาสนิกชนเท่านั้น ตามที่ว่ามานี้เป็นการทรงสอนมนุษย์ชาวโลกทั้งหมด ตัวอย่างคำสั่งสอนอีกอย่างหนึ่ง เช่น เขาโกรธเราแล้วเราไม่โต้ตอบเขา เราไม่มีปากมีเสียงนิ่งเฉย เขาก็หาว่าเราโง่ ไม่ดีไม่มีความรู้ความฉลาดความสามารถโต้ตอบเทียมทันเขา แต่เราปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะเราได้ยินได้ฟังมา พระองค์ทรงสอนทุกคน แต่ว่าคนนั้นเขาไม่มีโอกาสที่จะได้ยินได้ฟัง ไม่มีโอกาสที่จะได้รู้เรื่องธรรมทั้งหลายที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเขาจึงไม่ สามารถระงับจิตใจของเขาได้ เราเป็นผู้ได้ยินได้ฟังเราจึงต้องปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เมื่อมาบวกลบกันแล้วจะเห็นว่าในระหว่างสองคน คนหนึ่งไม่มีธรรมอีกคนหนึ่งมีธรรมแบ่งครึ่งกันขึ้นก็ดีขึ้นมาเป็นครึ่งหนึ่ง แล้วในระหว่างสองคน คราวนี้ถ้าว่า ๒ พรรคหรือ ๒ ประเทศมันก็ดีขึ้นมาครึ่งหนึ่งแล้ว แล้วจะเอาอะไรกันอีก การคิดตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าให้คิดอย่างนี้จึงจะถูก จะเห็นว่าการที่พัฒนาจิตใจไปพร้อมกันกับทางด้าน วัตถุนั้น เป็นไปเพื่อความสุข ความเจริญอย่างแท้จริง และในเวลาเดียวกันพระพุทธศาสนาก็เจริญไปพร้อมกันด้วย เป็นการเจริญอย่างครบถ้วน พร้อมมูลบริบูรณ์ คุณค่าของพระพุทธศาสนาดีเด่นอย่างนี้มีประโยชน์มากอย่างนี้ถ้าปฏิบัติถูก เข้าใจถูกและปฏิบัติให้เป็นไปได้ตามคำสั่งสอนของพระองค์
พระพุทธเจ้าทรงสอนหลายเรื่องหลายอย่าง หลายปริยาย เช่นเรื่องคิหิปฏิบัติ คือคำสอนฆราวาส เริ่ม ต้นตั้งแต่เด็กขึ้นไป คือหน้าที่ของลูก ของบิดามารดา ของผู้ครองเรือนภรรยาสามี รู้จักให้สิทธิให้อำนาจแก่กันและกัน เห็นอกเห็นใจกัน รู้จักบุญคุณของกันและกัน สนองบุญคุณซึ่งกันและกัน ท่านสอนเบื้องต้นตั้งแต่ฆราวาสเรื่อยขึ้นไป มิใช่ท่านจะสอนให้เราออกบวชให้เราไปมรรคผลนิพพานด้วยกันทั้งหมด ไม่ใช่ ไม่ได้ทรงสอนอย่างนั้น หลักใหญ่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ชาวโลกมีธรรมะ ให้พวกเราปฏิบัติถูกต้องเท่านั้นเพราะเป็นการนำมาซึ่งความสุขความสบายแก่ตน การอยู่ด้วยกันนับตั้งแต่คนสองคนขึ้นไปต้องปฏิบัติถูกต้องตามหลักธรรมจึงจะ อยู่อย่างมีความสุขความสบายตามกำลังความสามารถของตน ถ้าพิจารณาต่อไปจะเห็นว่าดีขึ้นมากกว่านั้นอีกคือ คนเราถ้าาหากว่าเกิดขึ้นมาเพื่อประกอบอาชีพหาใส่ปากใส่ท้องเพียงอย่างเดียว ด้านจิตใจไม่เจริญมันก็ไม่ผิดอะไรกับสัตว์เดรัจฉานโดยทั่วไป ถึงแม้จะเจริญก้าวหน้ามากทางวัตถุด้วยประการต่าง ๆ ก็ตามเถิด ถ้าหากด้านจิตใจเสื่อมเสียแล้วเรื่องวัตถุที่เจริญนั้นไม่มีประโยชน์เลย มีแต่จะให้โทษทำลายซึ่งกันและกัน อาตมาจึงพูดเปรียบให้ฟัง การทำมาหากินที่แย่งกันแข่งขันกัน มีแค่นี้แล้วไม่พอทะเยอทะยานหาให้มากขึ้นอีก รวยไม่มีวันพอ จะมีความสุขจากเงินทองที่หามาไหม อีกพวกหนึ่งเขาทำมาหาเลี้ยงปากท้องพอกินพอใช้อยู่ไปวันหนึ่ง ๆ ไม่ต้องหาความร่ำรวยละ ขอให้มีอันอยู่อันกิน ต่างก็จงรักภักดีปรองดองซึ่งกันและกัน ลองคิดดูอะไรจะเป็นสุขกว่ากัน ทางพุทธศาสนาท่านสอนการพัฒนาทางด้านจิตใจไปพร้อม ๆ กันกับทางด้านวัตถุนั้นถูกไหมดีหรือไม่ เอาละถึงแม้สมัยนี้จะเจริญทางด้านวัตถุไปแล้วก็ตาม ถ้าหากว่าด้านจิตใจจะเจริญไปด้วยพร้อม ๆ กันพวกเราจะยิ่งได้ความสุขยิ่งกว่าปัจจุบันนี้อย่างนับไม่ถ้วนทีเดียว ถ้าหากพวกเราเข้าใจหลักของพระพุทธศาสนาอย่างถูกต้องแท้จริงแล้ว จะเห็นประโยชน์และคุณค่าของพระศาสนาจะมากมายหาที่เปรียบมิได้ ความสุขอะไรจะมาเท่าความสุขที่เกิดจากความสงสารเมตตาปรานีและโอบอ้อมอารี ซึ่งกันและกันไม่มี การมีเงินมีทองถ้าหากปราศจากคุณธรรมทั้งหลายนี้แล้วก็ไม่คุ้มค่ามีแต่จะนำมา ซึ่งความเดือดร้อนถ่ายเดียว นี่แหละถึงพูดว่าอยากอวดคุณค่าของศาสนา ศาสนามีประโยชน์อย่างนี้ แต่ว่าอาตมาเป็นผู้อวดถ้าพวกคุณทั้งหลายฟังไม่เข้าใจตามที่อธิบายมานี้มันก็ อย่างว่านั่นแหละ คุณทั้งหลายอาจจะไม่เห็นด้วยก็ได้
ที่ว่าศาสนาสอนถึงเรื่องนรกสวรรค์ชั้นฟ้านั้นอย่าเพิ่งไปพูดถึง เรื่องนั้นเลย อันนั้นของมองไม่เห็น มาเอาคำสอนของที่เห็นที่เป็นประโยชน์ในปัจจุบันนี่ดีกว่า ท่านสอนให้ทุกคนค่อยดีขึ้นมีการพัฒนาทั้งกายและใจทั้งทางด้านวัตถุและ นามธรรมให้เจริญไปพร้อม ๆ กัน คนยิ่งจะได้รับความสุขความสบาย ส่วนผู้ที่จะเจริญไปขั้นสูงนั้นมันไปเองหรอก เบื้องต้นขอให้ตั้งรากฐานของธรรมนี้เอาไว้ให้มั่นคงเสียก่อน เมื่อเห็นคุณค่าด้วยตนเองแล้วมีศรัทธาที่จะรักษาศีลห้าเป็นนิจหรือศีลแปด ตลอดชีวิต หรือจะบวชในพระพุทธศาสนาเป็นพระเป็นเณรอะไรก็ตาม อันนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก หากจะมีคำแย้งขึ้นมาว่าถ้าบวชเป็นพระมาก ๆ ก็เอาเปรียบผู้อื่นน่ะซิ ไม่ทำมาหากินพึ่งพาคนอื่นเขา กินแล้วก็ขี้เกียจขี้คร้านเลยไม่คิดที่จะทำประโยชน์ให้ประเทศชาติบ้านเมือง อันนั้นขอให้คิดทั่วถึงใหม่อีกที พวกลูก ๆ หลาน ๆ ของเราเกิดขึ้นมามันทำประโยชน์อะไรให้แก่เราบ้าง เรียนหนังสือจนกระทั่งจบก็เป็นเวลา ๒๐ ปีแล้ว เราหรือพ่อแม่ทั้งหลายต้องเลี้ยงดูมาหมดไปเท่าไรแล้ว มันทำประโยชน์อะไรให้แก่เราบ้าง บางคนผลาญทิ้งสิ้นไปตั้งเยอะแยะ เรียนสำเร็จแล้วทำอะไรให้แก่เราบ้าง และทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติมีกี่คนคิด ๆ ดูซิ คนพวกที่มาบวชในพุทธศาสนานั้นน่ะอย่างน้อยที่สุดก็ทรงไว้ซึ่งเพศสมณะ เป็นที่สำหรับให้พวกที่ยังไม่ได้บวชหรือพวกที่ยังไม่ได้คบค้าสมาคมได้เห็น ผู้ปฏิบัติดีมีศีลธรรม เป็นเครื่องวัดความดีของพวกชาวบ้านและญาติโยม ถึงพระจะเลวสักเท่าไรก็เรียกว่ายังพออดทนอยู่ได้ในพุทธศาสนา อย่างน้อยที่สุดศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ก็ยังมีถึงแม้จะไม่ครบ ๒๒๗ แต่ฆราวาสพวกเราบางคนตั้งแต่วันเกิดจนวันตายศีล ๕ สักตัวเดียวก็ไม่เคยรักษา เห็นความผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของพระภิกษุสามเณรก็อย่าเพิ่งถือว่าเลวทั้งหมด การเหมาเอาว่าพระภิกษุเหมือนกันทั้งหมดก็ยังไม่ถูก พุทธศาสนาไม่ได้หมายเอาที่พระหมายเอาการปฏิบัติต่างหาก พระนั้นอยู่ที่บุคคลแต่ศาสนาไม่ได้อยู่ที่บุคคล ศาสนาเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าบุคคลปฏิบัติผิด ก็เป็นเรื่องบุคคลผิด ไม่ใช่ศาสนาผิด ศาสนาก็ยังสอนตรงไปตรงมาอยู่ตามเดิม สอนให้ละชั่วทำดีอยู่ตามเดิมแต่คนไม่ปฏิบัติตาม เมื่อเราปฏิบัติตามคำสอนไม่ได้จะหาว่า ศาสนาไม่ดีไม่ได้ นี่ให้พิจารณาอย่างนี้ ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว ใครจะทำผิดทำเลวทรามอย่างไรเป็นเรื่องศาสนาเสื่อมหมด ยกให้ศาสนาไม่ดีทั้งนั้น บางทีแม้แต่คนเข้าวัดเข้าวามาฟังเทศน์ฟังธรรมรักษาศีลอบรมภาวนาทำกัมมัฏฐานแสดงกิริยาโกรธกริ้วขึ้นสักทีหนึ่งก็ โอโฮ ! กล่าวโทษว่าศาสนานี้ไม่ดีเลย เข้าวัดเข้าวาจนแก่จนเฒ่าแล้วยังละโลภโมโทสันไม่ได้ พูดอย่างนี้มันก็ผิดไป อย่าพูดอย่างนั้น นั่นเรื่องของบุคคล ศาสนาสอนให้ละ แต่บุคคลไม่ละ ไม่ทราบจะทำอย่างไร ถ้าเข้าใจได้อย่างนี้แล้วก็สบาย
เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วจะทำอย่างไร ขอตอบว่า เมื่อเขาไม่ทำ เราทำ พากันคิดมานะขึ้นสักคนหรือทุกคนคิดมานะขึ้นมา ลองดูซิ เขาไม่ทำเราทำ กระทำเป็นตัวอย่างเขา ทีนี้มันไม่เป็นเช่นนั้นน่ะซี ส่วนมากพอเห็นเขาไม่ทำเราก็เลยไม่ทำ เลยพลอยไม่ดีไปตามเขา เมื่อเราไม่ดีก็คอยกล่าวโทษคนอื่น ต่างคนต่างโทษซึ่งกันและกันเป็นเรื่องเดือดร้อนวุ่นวาย แล้วมันจะดีได้อย่างไร จึงว่าอย่าไปโทษศาสนา ศาสนาสอนดี สอนให้ทุกคนพัฒนาตนเองทั้งกายและใจ ไม่ได้สอนพัฒนาแต่กาย ชาวโลกเดี๋ยวนี้เขาสอนพัฒนากันแต่ส่วนทางกาย พัฒนาจนถึงขนาดนี้แล้วแทนที่โลกจะได้รับความสุขเยือกเย็นแต่โลกกลับเดือด ร้อนยิ่งกว่าเก่า นี่ก็แสดงว่าพัฒนายังไม่ถูกต้อง ถ้าหากพัฒนาตามทางพุทธศาสนาคือพัฒนาไปพร้อมกันทั้งกายและใจแล้ว ชาวโลกจะได้รับความเยือกเย็นสักขนาดไหน อันนี้ยังไม่มีใครทำ อย่างไรก็ตามเท่าที่อธิบายมานี้ก็พอให้เห็นคุณประโยชน์ของการพัฒนาพร้อม ๆ กันไปแล้วว่าคงจะมีความสุขแน่ ศาสนาสอนให้ได้รับความสงบไม่ใช่สอนให้เดือดร้อนวุ่นวาย เมื่อเราสงบแล้วคนอื่นยังไม่สงบก็ปล่อยไปเสียก่อน ถ้าทุกคนต่างพากันทำความสงบแล้วจะได้รับความสุขความเยือกเย็นขนาดไหน ลองหลับตาคิดดูก็แล้วกัน
ที่พากันมาอบรมทางศาสนามาฟังธรรมเทศนาในวันนี้จึงอยากอธิบายให้ เข้าใจ หลักสำคัญที่ท่านวางไว้ว่า ละชั่วทำดี หรือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ไม่ใช่ทำชั่วได้ดี คำว่า ดี ในที่นี้อย่าไปเข้าใจถึงเรื่องภายนอก ท่านหมายเอาภายใน เราทำชั่วแล้วใจไม่สบายนั่นแหละเรียกว่าไม่ดี สมมุติว่าเราขโมยสตางค์ของพ่อแม่มาสักห้าบาทสิบบาท ลองคิดดูสิพ่อแม่ของเราท่านก็คงไม่ว่าอะไรหรอก แต่จิตใจของเราจะรู้สึกอย่างไรบ้างในขณะที่ขโมยเอาของท่านไปนั้น หรือเราไปทำผิดในสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม คบค้าเพื่อนชั่ว ๆ เลว ๆ หรือไปทำความชั่วด้วยตนเองก็ตามภายในใจจะรู้สึกอย่างไรบ้าง คงมีความรู้สึกนึกคิดในสิ่งที่มันไม่ดี เรียกว่าเศร้าหมองในใจ ท่านเรียกว่า กิเลส ตรงนี้ต่างหากที่เรียกว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว การทำชั่วต้องทำลี้ลับไม่มีใครเปิดเผยแสดงว่ามันไม่ดีจึงต้องทำลี้ลับเปิด เผยไม่ได้ เปรียบเหมือนกับแผล สมมติว่าเป็นแผลที่หน้าแข้งเหวอะหวะเหม็นหึ่ง ใครจะไปเปิดให้คนเห็น เราต้องเอาผ้าพันไว้เพราะมันสกปรกไม่ดีไม่อยากให้ใครเห็น แต่ถ้าสิ่งที่ดี ๆ ละคราวนี้เราไม่ปิดบังเลยมีแต่อยากจะอวดให้พ่อแม่ ให้ผู้ที่เราเคารพนับถือได้รู้ได้เห็นด้วยซ้ำ ถึงจะไม่อวดก็ตามแต่ใจของเราอิ่มเอิบอยู่คนเดียว ยิ้มแย้มแจ่มใสทั้งกายและใจเปิดเผยได้เต็มที่ นั่นคือความดีทำดีได้ดี ถ้าเข้าใจว่าต้องมีคนเขาสรรเสริญเยินยอจึงจะเรียกว่าทำดีอันนั้นเข้าใจยัง ไม่ทันถูกยังไม่ถึงหลักพระพุทธศาสนา หลักของพระพุทธศาสนาต้องเข้าถึงใจของผู้ที่ทำ นี่ขอให้เข้าใจให้ถูกต้องว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วเป็นอย่างที่อธิบายมานี้ อย่าไปอาศัยคนอื่น คนเราทำดีทุกคนนั้นแหละ โดยส่วนมากทำอะไรทุกสิ่งทุกอย่างเข้าใจว่าเป็นของดีจึงทำ อันที่เห็นว่าเป็นของชั่วมักตัดสินเอาจากการที่สิ่งนั้นเป็นการฝ่าฝืนความคิดเห็นของตน การที่จะทราบว่าสิ่งใดเป็นของดีสิ่งใดเป็นของชั่วก็ขอให้วัดดูอย่างนี้ก็แล้วกัน คือถ้าว่าต้องปกปิดแล้วอย่าไปเข้าใจว่าของดี ถ้าทำโดยเปิดเผยแล้วเอาเถิดถึงจะไม่ดีเด่นอย่างไรเสีย มันก็ยังพอใช้ได้ ความดีขอให้วัดดูตรงนี้
อีกนัยหนึ่งอันความดีที่ว่านี้ถ้าทำอะไรลงไปแล้วคนชั่วสรรเสริญ อย่าไปเข้าใจว่าเป็นของดี คนดีสรรเสริญเราจึงค่อยเข้าใจว่าเป็นของดี คนดีเป็นคนชนิดใด คนดี ก็คือคนที่มีเหตุมีผลที่เรียกว่าความดี ดีอย่างไร ความดีที่เราทำนั้นไม่เบียดเบียนตนไม่ทำให้เสียผลประโยชน์ทั้งของตนและคนอื่น คือไม่เป็นเครื่องกระทบกระเทือนทั้งตนและคนอื่นจึงจะเรียกว่าดี ทำอะไรแม้จะดีแสนดีก็ตามแต่มันเป็นเครื่องกระทบกระเทือนคนอื่นแล้ว ความดีอันนั้นใช้ไม่ได้ ไม่ใช่ของดี นี่เป็นเครื่องวัดของดีของชั่ว เมื่อเข้าใจแล้วรู้แล้วก็มาวัดตัวของเราใจของเราดู แล้วมาวัดผลที่ทำนั่นอีก คือว่าไม่กระทบกระเทือนตนเอง ไม่ทำให้ตนและคนอื่นเดือดร้อนด้วยจึงจะเรียกว่าดี
ถ้าเราเข้าใจหลักของศาสนาโดยนัยที่อธิบายมานี้แล้ว จะสบายใจขึ้น และเรามีความพอใจที่จะเทอดทูนศาสนาให้สืบอยู่ถาวรต่อไป ถ้าเราเทอดทูนรักษาไว้มันจะเป็นการปฏิบัติอันดีงามชักนำคนอื่นให้ทำดีตามเรา อย่าเข้าใจว่าคนอื่นทำดีเสียก่อนแล้วเราถึงจะทำ อันนั้นใช้ไม่ได้ ที่ถูกนั้นถ้าเขาไม่ทำเราต้องทำก่อนเขา ให้เป็นตัวอย่างเขา ได้ชื่อว่าเราเป็นคนนำหรือเราเป็นคนรู้ ถ้าต่างคนต่างคอยให้คนอื่นทำเสียก่อนแล้วเราจึงค่อยทำ ตกลงเลยไม่มีใครทำสักคนเดียว สังคมหมู่นั้นจะเลอะหมดเหลวไหลเหมือนของเก่า คำว่าเลอะ-เหลวไหลแสดงว่ามันกลับคืนไม่ได้ ที่โบราณท่านแสดงไว้ว่านรกอยู่ต่ำใต้แผ่นดิน สวรรค์อยู่บนชั้นฟ้า มันก็อย่างนี้เอง นโยบายแยบคายของคนโบราณลึกซึ้งนักเราคิดไม่ถึงหรอก ของที่ชั่วไม่ดีต้องปกปิดอยู่ที่ต่ำเป็นนรกอยู่ใต้ดิน ของดีเป็นของเปิดเผยจิตใจแจ่มใส ของเบาเมื่อเปิดเผยมันก็ยกสูงขึ้นลอยขึ้นไปบนฟ้าน่ะซี เราไม่เข้าใจไปโทษนักปราชญ์โบราณว่าเขาสอนไม่มีเหตุผลหลอกลวงว่านรกอยู่ใต้ พื้นแผ่นดิน สวรรค์อยู่บนชั้นฟ้า สมัยนี้วิทยาศาสตร์เจริญมากเขาขึ้นไปเหยียบโลกพระจันทร์แล้วไม่เห็นมีสวรรค์ ชั้นฟ้าที่ไหน นี่แหละความเห็นของคนเรากับความเห็นตามหลักพุทธศาสนา มันไกลกันลิบลับอย่างฟ้ากับดิน ถ้าหากเราไม่ศึกษาตามนัยที่อธิบายมานี้แล้วเราจะไม่เข้าใจ
วันนี้อธิบายเพียงเท่านี้ เอวํ



นั่งภาวนา ๓๐ นาที
ท่านอาจารย์อบรมนำก่อน

ทำไมจึงต้องภาวนากัน ภาวนาทำไมจึงต้องหลับตา ทำไมจึงต้องนั่งขัดสมาธิ นี่แหละมันมีหลายเรื่อง คำว่า ภาวนา นั้นไม่ใช่แต่ว่าจะนั่งสมาธิหลับตาเท่านั้นจะอยู่ในท่าใดอิริยาบถใดได้ทั้งนั้น ภาวนา ไม่ใช่การได้ เป็นการทิ้ง ทิ้งของไม่ดี ชำระของไม่ดีที่มันติดอยู่ที่ใจของเราแต่เราไม่ทราบ ถ้าไม่ค้นหาก็ไม่ทราบและไม่ทราบจะเอาไปทิ้งที่ไหนด้วย เพราะเหตุนั้นจึงมาหัดภาวนาให้มันเห็นของไม่ดีที่อยู่ในใจของเรา แล้วทิ้งของอันไม่ดีนั้นเสีย นี่คือ การ ภาวนา ทีนี้เรายังไม่เคยเห็นใจ เราจึงมาฝึกหัดทำใจให้มันสงบให้มันนิ่งจึงจะเห็น คนเราวุ่นวายเดือดร้อนเพราะใจไม่สงบ ถ้าสงบแล้วไม่วุ่นวายไม่เป็นทุกข์ คนเป็นทุกข์กลุ้มใจเพราะคิดมาก ยึดโน่น ยึดนี่ ถือโน่น ถือนี่ นั่นเป็นของไม่ดี เรามาสำรวมใจ จับเอาตัวใจให้มันได้ ใจเป็นของไม่มีตัวเป็นนามธรรม เราจะเอาสติ คือผู้ระลึกได้เป็นตัวระลึก เมื่อระลึกอยู่ตรงไหนใจก็อยู่ตรงนั้น เช่นระลึกพุทโธไว้ที่กลางทรวงอกของเราก็ตาม หรือจะระลึกพุทโธเอาไว้ตามลมหายใจเข้า - ออกก็ตาม ทำความรู้สึกไว้ตรงนั้นแหละอย่าให้ไปรู้สึกที่ตรงอื่น ทำความรู้สึกเอาไว้เฉพาะตรงจุดที่เราตั้งเอาไว้ตรงนั้น คอยระวังรักษาให้อยู่ในที่เดียว นี่เรียกว่าการฝึกอบรมใจให้มาอยู่ในที่เดียวเสียก่อนเป็นเบื้องต้น การจะให้ใจอยู่มันยากเหมือนกัน ใจมันวิ่งว่อน วุ่นวายสารพัด เลยขี้เกียจรำคาญว่ามันยุ่งมากเหลือเกิน แท้ที่จริงมันไม่มาก เราไม่เคยรวมเข้ามาเลยไม่เห็น ปล่อยให้ของกระจายทั่วบ้านทั่วเมืองจะไปเห็นอะไร คราวนี้ดึงมารวมเข้าอยู่ที่เดียวเลยเห็นเป็นของมาก ความจริงมันมากยิ่งกว่าที่เห็นขณะนั่งภาวนานั้นอีกแต่เราไม่ได้อบรมใจเลยไม่ ทราบ นี่แหละประโยชน์ของการอบรมใจ หรือการนั่งภาวนา หัดรวมใจให้เห็นของไม่ดี คือ ใจมันวุ่นวาย จิตส่งสายไปแล้วไม่ได้รับความสุข เราวุ่นมานานแสนนานแล้วมันก็ไม่เป็นความสุขอะไรเลย พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ทำใจให้สงบจะเกิดความสุข คราวนี้เราจะมาลองหัดสำรวมดูมันจะได้รับความสุขอย่างที่ท่านว่าไหม มันจะเป็นความสุขอย่างไร จะสุขขนาดไหน เอามาเทียบกันดูทีหลัง ตอนนี้ขอให้ทำให้มันจริงลงไปเสียก่อน ทำใจให้อยู่ในจุดเดียวอย่างที่อธิบายนี้ อย่าไปคิดนึกอะไรให้มันมากมาย การคิดจะให้มันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้หรือคิดว่ามันเป็นอย่างนั้นแล้วจะเป็น อย่างนี้ ปรุงแต่งต่าง ๆ ใจก็ไม่อยู่นิ่งอีกแล้ว มันมีอาการไปอีกแล้ว เพ่งมองในอารมณ์อันเดียวนั่นแหละ อะไรเป็นใจ อะไรเป็นสติ สติ คือผู้ระลึกได้อยู่เสมอ ว่าตรงนี้ ๆ ทำความรู้สึกตรงนี้ให้จดจ่ออยู่ตรงนั้นให้ได้ ผู้ที่รู้สึกว่าอยู่ตรงนี้ ๆ ความรู้สึกนั้นแหละเป็นใจ รู้สึกอยู่ตรงไหนใจก็อยู่ตรงนั้น จับสติกับตัวใจให้มันได้เสียก่อน ให้รู้จักใจเสียก่อน เมื่อแรกหัดมันก็ดิ้นรนแส่สาย ถ้าเราไม่เอากันจริง ๆ จัง ๆ ให้ชนะมันก็ไม่นิ่งเหมือนกัน ปราบมันให้อยู่สักทีหนึ่งจึงจะเป็นวีรบุรุษได้ การภาวนาเป็นการผจญต่อสู้ ชนะตนได้สักทีนั่นแหละเป็นของดียิ่งกว่าการชนะผู้อื่น พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาไว้อย่างนี้
นั่งขัดสมาธิหรือจะนั่งแบบใดที่สบายก็ตามใจ เบื้องต้นมันจะต้องเมื่อย ปวดนั่นปวดนี่ ต่อไปก็จิตใจไม่สงบไม่อยู่มันส่งสาย นี่แหละคือสิ่งที่เราจะต้องต่อสู้กัน ใจเป็นใหญ่กว่าอะไรทั้งปวงหมด ถ้าเราคุมใจให้สงบไม่วุ่นวายส่งสายได้แล้ว ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าปวดนั่นปวดนี่จะหายไปโดยไม่รู้ตัว ถ้าใจไม่ไปยึดไม่ไปคำนึงถึงสิ่งใด เราจะเห็นประโยชน์ว่าความสุขเกิดขึ้นจากความสงบเห็นชัดขึ้นมาทันทีทีเดียว

http://www.thewayofdhamma.org/topic/top_39.html

8 ขั้นตอนเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ที่มั่นใจกว่าเดิม

เคยอยากลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเอง เสียใหม่ แต่ก็ไม่กล้าสักที วันนี้เรามาลองปรับใจ ปรับความคิด เปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ พร้อมความมั่นใจ ไปพร้อมๆ กัน เพื่อพร้อมเดินสู่จุดหมายหรือความฝันที่ตั้งไว้ ด้วย 8 เคล็ดลับดีๆ ….เริ่มที่

1. ทิ้งความกลัวไว้เบื้องหลัง ต้องอย่ากลัวที่จะเปลี่ยน แนะนำให้หากำลังใจจากเพื่อน หรือแรงบันดาลใจจากบุคคลในอุดมคติที่คุณชื่นชม ในการที่เขาประสบความสำเร็จในชีวิตหรือในเรื่องที่คุณต้องการจะเปลี่ยนมา แล้วก็ได้ค่ะ

2. คิดบวกเพิ่มพลัง เมื่อขจัดความกลัวหมดไปแล้ว มาเติมพลังความคิดบวกกันนะคะ เพราะคนที่คิดบวกหรือมองโลกในแง่ดี ย่อมมีโอกาสดีกว่าคนอื่นเสมอ โดยคิดว่าการเปลี่ยนตัวเองเป็นโอกาส โอกาสที่คุณจะได้ลองทำสิ่งใหม่ๆ และอาจค้นพบสิ่งใหม่ๆ ที่ดีกว่ารอคุณอยู่ข้างหน้า

3. ค้นหาสิ่งที่ตัวเองต้องการ เมื่อเติมพลังบวกกันแล้ว คราวนี้ก็ถึงเวลาค้นหาสิ่งที่ตัวเองต้องการจริงๆ จังๆ สักทีแล้ว หมดเวลาให้ชีวิตสร้างอะไรๆ ขึ้นมาเอง ต้องเปลี่ยนเป็นสร้างอะไรๆ ให้ชีวิตแทนแล้วนะคะ โดยสิ่งนั้นอาจเป็นจุดหมายในชีวิตหรือสิ่งที่คุณชอบก็ได้

4. สร้างความมั่นใจให้ตัวเอง ปรับรูปลักษณ์และบุคลิกภาพ ให้เป็นสาวรูปร่างสมส่วน และใส่ใจดูแลสุขภาพของตัวเองมากขึ้น โดยเริ่มวางแผนการกินอาหารให้เหมาะสม รับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ ทานผักและผลไม้เป็นประจำ และเลือกดื่มเครื่องดื่มไขมันต่ำ ที่มีใยอาหารก่อนอาหารมื้อเย็น จะช่วยให้อิ่มท้องและช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น แล้วอย่าลืมออกกำลังกายควบคู่อย่างวสม่ำเสมอด้วย จะทำให้คุณมั่นใจมากยิ่งขึ้นค่ะ

5. ลบอดีต คิดถึงปัจจุบัน ไม่มีใครสามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตได้ ปัจจุบันที่อยู่ตรงหน้าต่างหาก ที่เราสามารถเลือกและทำให้ดีที่สุดได้ การมองไปข้างหน้า มองไปยังเป้าหมายในการดำเนินชีวิตให้ชัดๆ ย่อมดีกว่า ที่จะมานั่งเสียดายกับสิ่งที่ผ่านไปแล้วค่ะ

6. ลงมือปฏิบัติทันที เมื่อปรับตัว ปรับใจ รู้ว่าตัวเองต้องการอะไรแล้ว ก็รีบลงมือทำทันที อย่าปล่อยให้เสียเวลาอีกต่อไป

7. บริหารเวลาอย่างฉลาด การรู้จักจัดสรรเวลาเป็นสิ่งจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงตัวเอง ลองเริ่มแบ่งเวลาของคุณตาม “กฎ 80-20” กล่าวคือ เราจะแบ่งเวลาให้สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตเราที่ 20% และอีก 80% ให้เวลากับสิ่งสำคัญที่รองๆ ลงไป แล้วคุณจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของการบริหารเวลาชีวิตไปในทางที่ดีขึ้น

8. เปิดใจรับรู้สิ่งใหม่ ด้วยใจปราศจากอคติ เพราะยังมีอีกหลายเรื่องในโลกใบนี้ที่เรายังไม่รู้ ลองเปิดใจ พร้อมรับสิ่งใหม่ๆ ที่กำลังผ่านเข้ามาในชีวิต บางทีสิ่งเหล่านั้นอาจนำพาโอกาสดีๆ ในอนาคตมาให้คุณก็เป็นได้

ขอ เพียงตั้งใจจริง เชื่อว่าคุณต้องสามารถเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ และทำในสิ่งที่คุณคิดฝันไว้ แถมไปถึงเป้าหมายในชีวิตที่อยากเป็นได้อย่างแน่นอนค่ะ สู้ๆ นะคะ...

มือ... แข็งแรงสุขภาพดีแค่ไหน วินิจฉัยได้จาก 'ม

: มือ... แข็งแรงสุขภาพดีแค่ไหน วินิจฉัยได้จาก 'ม


อ่านไว้เพื่อรู้มิใช่เพื่อวิตกกังวล



มือ... แข็งแรงสุขภาพดีแค่ไหน วินิจฉัยได้จาก

'มือ'



ผลวิจัยใหม่ระบุ มือและเล็บ เป็นแหล่งรายละเอียดสำคัญของสุขภาพของคนเรา

รวมถึงเบาะแสของโรคร้ายที่ซ่อนเร้น เช่น มะเร็ง

หญิงชราวัย 74 ปีที่ดูภายนอกสุขภาพดีสมวัยต้องไปพบแพทย์หลังมีตุ่มแข็งขึ้นบนฝ่ามือ

ตุ่มเหล่านั้นโตขึ้นและลามมาบรรจบกัน ทำให้มือแข็งเหมือนไม้กระดาน

ขยับเขยื้อนลำบากและปวด

แพทย์ไม่พบสิ่งผิดปกติใด ๆ แต่ภายหลังตัดสินใจตรวจหามะเร็งรังไข่ในหญิงชราหลังอ่านตำราแพทย์และพบว่าตุ่มแข็งดังกล่าว (Palmar fasciitis) เป็นสัญญาณบ่งชี้โรคมะเร็งรังไข่ แม้ยังไม่สามารถอธิบายได้ว่าเหตุใดเนื้อร้ายจึงมาสำแดงอาการถึงบนฝ่ามือ แต่ทฤษฎีหนึ่งที่ฟังดูมีเหตุผลก็คือ เซลล์มะเร็งผลิตสารเคมีที่เป็นตัวการของพังผืด

ดร.เกรแฮม อีสตัน แพทย์ประจำบ้านในลอนดอนและผู้จัดทำรายงาน ยืนยันว่ามือสามารถให้เบาะแสสำคัญเกี่ยวกับสุขภาพ

" ผมพยายามจับมือกับคนไข้เมื่อพบกันครั้งแรก ไม่ใช่เพื่อมารยาท แต่มืออัดแน่นด้วยข้อมูลสุขภาพทั่วไป ตั้งแต่ไทรอยด์ไปจนถึงโรคข้อกระดูกอักเสบ จริง ๆ แล้วหมอวิเคราะห์โรคคนไข้ได้จากมือมากกว่าจากใบหน้าเสียอีก"

----------------------------------------------------------

++ต่อไปนี้คือสัญญาณบนมือที่สื่อถึงปัญหาสุขภาพบางส่วน++



ฝ่ามือแดง ส่อเค้า: ตับแข็ง

มือบ่งบอกข้อมูลมากมายของสภาพตับ หนึ่งในสัญญาณสุดคลาสสิกของโรคตับแข็ง คือ ฝ่ามือแดง

ตับแข็งหมายถึงเนื้อเยื่อตับเต็มไปด้วยริ้วรอยแผล แม้ส่วนใหญ่เกี่ยวพันกับการดื่มหนัก แต่เป็นไปได้ที่โรคนี้เกิดจากอาการอื่น ๆ ที่จู่โจมอย่างเงียบเชียบ เช่น โรคตับอักเสบซี

อาการฝ่ามือแดง (Palmar erythema) มักเกิดขึ้นบริเวณขอบนอกของฝ่ามือใกล้นิ้วก้อย สาเหตุน่าจะเกิดจากการที่หลอดเลือดในผิวหนังโป่งพองเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสมดุลของฮอร์โมนที่เกิดจากโรคตับ



ข้อนิ้วอ้วน ส่อเค้า: คลอเรสเตอรอลสูง

ก้อนไขมันที่เอ็น (Tendon xanthoma) เป็นหนึ่งในสัญญาณของอาการอ้วนที่เป็นอันตรายถึงชีวิตที่เรียกว่า

ภาวะเลือดมีคอเรสเตอรอลมาก หรือ hypercholesterolemia

เมื่อกำมือแน่น ๆ จะเห็นเป็นก้อนบวมแข็งสีออกเหลือง ๆ ที่ข้อนิ้ว เอลเลน เมสัน พยาบาลแผนกโรคหัวใจและหลอดเลือดหัวใจของมูลนิธิหัวใจอังกฤษอธิบายว่าไขมันที่สะสมอยู่ในเอ็นมาเป็นปีจะกลายเป็นพังผืดและแข็ง

คนที่เป็นโรคนี้จะมีระดับคอเรสเตอรอลสูงมากตั้งแต่เกิดแต่ไม่แสดงอาการชัดเจนและหากไม่ใช้ยาบำบัดอาจเสียชีวิตจากอาการหัวใจวายตั้งแต่เด็ก



เล็บรูปช้อน

ส่อเค้า: โลหิตจาง

คนส่วนใหญ่เล็บจะมีลักษณะนูนขึ้นเหมือนพื้นผิวลูกบอล แต่ถ้าเล็บใครตรงกลางบุ๋มนั่นอาจเป็นสัญญาณของการขาดธาตุเหล็ก

เล็บรูปช้อน หรือ Koilonychias เป็นหนึ่งในสิ่งแรกที่แพทย์ค้นหาระหว่างวินิจฉัยว่าผู้ป่วยที่อ่อนเพลียและเซื่องซึมมีสาเหตุมาจากภาวะโลหิตจางหรือไม่ เชื่อกันว่าการขาดธาตุเหล็กทำให้เล็บอ่อนและแบนกระทั่งยุบลงในที่สุด



ปลายนิ้วบวม

ส่อเค้า: มะเร็งปอด

หากปลายนิ้วของคุณบวมอาจเป็นสัญญาณเตือนภัยของโรคร้ายแรง อย่างเช่น มะเร็งปอด วัณโรค หรือ

Mesothelioma ซึ่งเป็นโรคปอดร้ายแรงที่เกี่ยวข้องกับแร่ใยหิน แม้ลักษณะแบบนี้เคยได้รับการระบุครั้งแรก

โดยฮิปโปกราเตส บิดาแห่งแพทย์ศาสตร์ชาวกรีกเมื่อกว่า 2,000 ปีมาแล้ว แต่เพิ่งจะเมื่อเร็ว ๆ นี้เอง

ที่นักวิจัยของมหาวิทยาลัยลีดส์ของอังกฤษ ค้นพบสาเหตุว่าคือการสะสมของสาร PGE2 ที่ช่วยทำให้อาการอักเสบ

ในปอดบรรเทาลง โดยเชื่อว่าเนื้องอกในปอดอาจกระตุ้นให้ร่างกายผลิตสารชนิดนี้ออกมามากเกินความต้องการถึงสิบเท่า

จึงไปสะสมที่ปลายนิ้วและทำให้บวม



เล็บเขียว

ส่อเค้า: หัวใจล้มเหลว

หนึ่งในวิธีที่ง่ายที่สุดที่แพทย์จะตรวจสอบว่ามีออกซิเจนไหลเวียนในเลือดมากน้อยแค่ไหนคือดูจากเล็บ ริมฝีปาก หรือนิ้วเท้า ถ้าบริเวณเหล่านั้นเป็นสีชมพูหมายความว่าออกซิเจนไหลเวียนดี แต่ถ้าเขียวแปลว่าในร่างกายมีออกซิเจนต่ำ เนื่องจากเลือดไม่สามารถสูบฉีดไปทั่วร่างกายอย่างเหมาะสม

อาการที่ผิวหนังมีสีเขียว (cyanosis) อาจเป็นสัญญาณเตือนของภาวะหัวใจล้มเหลว เลือดที่มีออกซิเจนต่ำไม่ได้เป็นสีเขียวจริง ๆ เพียงแต่ดูสดน้อยกว่าเลือดที่มีออกซิเจนหล่อเลี้ยงสมบูรณ์เมื่อมองผ่านเล็บ ผู้หญิงที่เตรียมตัวเข้ารับการผ่าตัดมักถูกขอให้ล้างเล็บเพื่อศัลยแพทย์จะสามารถตรวจสอบสถานะออกซิเจนได้เร็วขึ้นระหว่างการผ่าตัด



เล็บลูกปัด

ส่อเค้า: โรคไขข้ออักเสบ

หากเล็บของคุณมีจุดเล็ก ๆ เหมือนลูกปัดหรือเหมือนถูกน้ำตาเทียนหยดใส่ อาจเป็นสัญญาณของโรคไขข้ออักเสบ แม้ข้อต่อยังไม่บวมหรือปวดก็ตาม ยิ่งเล็บมือหรือเล็บเท้า 'ประดับลูกปัด' มากแค่ไหนยิ่งหมายความถึงระดับความรุนแรงของโรค เชื่อว่าสาเหตุมาจากการอักเสบของหลอดเลือดใต้แผ่นเล็บเพราะโรคไขข้ออักเสบ



ตุ่มที่ข้อนิ้ว

ส่อเค้า: โรคข้อกระดูกอักเสบบริเวณสะโพก

ตุ่มขนาดเท่าเมล็ดถั่วที่กระดูกที่ทำให้เจ็บเมื่อจับแถวข้อนิ้ว อาจเป็นสัญญาณของโรคข้อกระดูกอักเสบในบริเวณอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น สะโพก หรือหัวเข่า มีการบันทึกเกี่ยวกับตุ่มเหล่านี้ (Heberden's nodes) โดยวิลเลียม เฮเบอร์ดีน แพทย์อังกฤษผู้โด่งดังในช่วงศตวรรษที่ 18 หนึ่งในงานศึกษาในทศวรรษ 1970 แสดงให้เห็นว่าผู้ป่วย 29 คนที่ก่อนหน้านั้นตรวจไม่พบอาการข้อต่ออักเสบบริเวณสะโพก มี 18 คนที่มีตุ่ม Heber den’s nodes ที่ข้อต่อนิ้ว



เล็บสองสี

ส่อเค้า: โรคไต

เล็บที่ขาวซีดบริเวณครึ่งล่างด้านที่อยู่ใกล้ผิวหนัง แต่ครึ่งบนออกสีน้ำตาล อาจบ่งชี้แนวโน้มไตวาย

บ่อยครั้งอาการที่เล็บสองสีเกิดขึ้นก่อนที่อวัยวะของผู้ป่วยจะเริ่มหยุดทำงาน ทำให้แพทย์ได้เบาะแสว่าจะเกิดสิ่งใดตามมา สาเหตุนั้นเชื่อว่ามาจากการสะสมของยูเรีย หรือของเสียที่ออกมาจากไตที่ตกผลึกอยู่ใต้ผิวหนังและเล็บ



ฝ่ามือชื้นเหงื่อ

ส่อเค้า: ต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไป

โรคต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไปเป็นอาการที่เกิดกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ไทรอยด์เป็นต่อมที่อยู่ใต้ลูกกระเดือก มีหน้าที่ผลิตฮอร์โมนควบคุมกระบวนการเผาผลาญอาหารของร่างกาย ดร.ซูซาน คลาร์ก แพทย์ที่ปรึกษาของโรงพยาบาลคิงส์ คอลเลจในลอนดอน อธิบายว่าภาวะที่ต่อมไทรอยด์ทำงานหนักเกินไป ทำให้ร่างกายนำแคลอรี่ไปใช้มากขึ้น และทำให้เกิดความร้อนสูงขึ้น ความรู้สึกร้อนและอาการเหงื่อออกมากจึงเป็นอาการบ่งชี้โรคนี้



มือโต

ส่อเค้า: เนื้องอกที่ต่อมใต้สมอง

ถ้ามือของคุณบวมและใหญ่ขึ้นหมายความว่าคุณอาจมีอาการที่เรียกว่า มือเท้าโตผิดปกติ (acromegaly) เท้า ริมฝีปาก หู ยังอาจได้รับผลกระทบจากต่อมใต้สมองที่ผลิตฮอร์โมนสร้างการเติบโต เนื่องจากสร้างเนื้องอกที่ไม่ทำให้เกิดมะเร็งที่ไปก่อกวนการผลิตฮอร์โมน

อาการนี้มักเกิดกับคนวัยกลางคน นอกจากจะรักษาด้วยการผ่าตัดหรือยาเพื่อให้เนื้องอกฝ่อลง แต่บางครั้งอาการนี้อาจเป็นอันตรายร้ายแรง

















--
Chuttaya Udomcharoenchaikit (Hui)

เกร็ดความรู้ที่ดีต่อชีวิต

เมื่อวานดูข่าวช่อง 3 มีข่าวนึงที่ทำให้ต้องหันมาตระหนักถึงบางอย่างใกล้ตัว

1. เรื่องขวดน้ำพลาสติกที่บรรจุน้ำดื่มที่ขาย ๆ กันตามห้างสรรพสินค้า หรือร้านสะดวกซื้อ เซเว่นอีเลฟเว่น ฯลฯ
ปัจจุบันเพิ่งมีคนตายเพราะการนำขวดพลาสติกดังกล่าวไปบรรจุน้ำดื่มครั้งแล้วครั้งเล่า โดยสารพิษชนิดหนึ่ง สามารถละลายออกมาปะปนกับน้ำดื่ม เนื่องจากขวดประเภทนี้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ครั้งเดียว อายุการใช้งานสั้น ๆ เท่านั้น ดังนั้นจึงไม่สมควรเสียดาย นำมาบรรจุน้ำดื่มอีก
รวมทั้งน้ำที่มากับขวด หากแม้ว่าเปิดกินไม่หมดแล้วเก็บไว้ในรถยนต์ ซึ่งรถดังกล่าวอาจจอดที่ ๆ ร้อน ๆ ความร้อนก็มีผลกับสารพิษที่มากับขวดได้ ดังนั้นเมื่อเปิดดื่มแล้ว ควรดื่มให้หมดภายในระยะเวลา 1 สัปดาห์ โดยเฉพาะหากเก็บขวดนั้นไว้ที่ร้อน ๆ ถ้าเก็บที่อุณหภูมิห้องจะปลอดภัยกว่า


2. ม่านพลาสติกที่แขวนในห้องน้ำเพื่อกั้นพื้นที่แห้ง กับเปียก
มีข่าวแจ้งมาว่ามีนักจุลชีววิทยา คนนึงในต่างประเทศ เค้าสังเกตว่าที่ม่านพลาสติกมีคราบดำๆ ทีแรกเค้าคิดว่าเป็นคราบสบู่ เค้าลองขูดแล้วเอาไปส่องกล้อง ปรากฏว่าคราบดำๆ ดังกล่าว เป็นแบตทีเรียชนิดร้ายแรง ที่เติบโตโดยอาศัย การผายลม การเลอ การไอ จาม ของมนุษย์เรานี่แหละ เป็นอาหารอย่างดีของมัน เค้าแนะนำว่า เราควรถอดไปซัก อาทิตย์ละครั้ง หรือ เดือนละ 2 ครั้งก็ได้ หรือถ้าไม่มีเวลาก็เดือนละครั้งก็ยังดี นอกจากนี้เค้าเตือนว่า อะไรที่เป็นพลาสติก ก็เข้าข่ายเหมือนกันหมด
โดยเจ้าเชื้อโรคเนี่ย มันจะเข้ามาทำอันตรายเรา ก็ต่อเมื่อ เราป่วย มีบาดแผล คนแก่ คนที่ผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ แล้วต้องกินยากดภูมิคุ้มกัน

3. เรื่องคนนอนดึก
เราควรพักผ่อนเข้านอนเวลา 3 ทุ่ม เนื่องจากร่างกายเรา ต้องการเวลาในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ขับของเสียตามอวัยวะต่าง ๆ ย่อยอาหารให้หมด ถ้ากินมื้อหนักตอนกลางคืน แถมนอนดึกอีก รับรองว่าอ้วนพุงพุ้ย แน่นอน ไขมันเผาผลาญไม่หมดมันเลยสะสมอ่ะ แต่ถ้านอนดึกเลี่ยงไม่ได้ เพราะขนงานมาทำ หรือติดงานอะไรก็ตาม ควรปฏิบัติดังนี้
3.1 งดเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู ไก่ เพราะย่อยยาก ลำไส้ต้องทำงานหนัก
3.2 หากเราอยากกินเนื้อสัตว์ ก็ควรช่วยลำไส้ด้วยการเคี้ยวให้ละเอียด ยิ่งเคี้ยวละเอียด ยิ่งดี จะได้แบ่งเบาภาระลำไส้
3.2 ดื่มน้ำขิง ผสม น้ำผึ้ง อุ่น ๆ หรือ น้ำอุ่นธรรมดา + น้ำผึ้ง หรือถ้าไม่มีอะไรเลย น้ำอุ่นธรรมดา สัก 1 แก้วก็ได้เหมือนกัน
3.3 เวลานอน ควรทำให้ช่วงท้อง / ฝ่าเท้าอุ่น โดยการห่มผ้า
3.4 ที่จริงมื้อดึก ควรเป็นมื้อเบา ๆ อย่างเช่น ผัก ผลไม้ นม ไข่ เนื้อปลา จะดีกว่า
3.5 ควรเลี่ยงน้ำเย็น น้ำอัดลม เพราะเพิ่มภาระให้ระบบภายในร่างกาย ร่างกายเราต้องความร้อนเพราะช่วยในการย่อยอาหาร หากดื่มแต่น้ำเย็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังมื้ออาหาร จะทำให้ร่างกายเราต้องพยายามปรับอุณหภูมิ ให้อุ่นเหมาะสมก่อน แล้วจึงนำไปใช้ การดื่มน้ำอัดลมก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพิ่มกรดให้ร่างกาย แถมมีน้ำตาลที่สะสมตามร่างกายอีก

**** ถ้าอยากกินเนื้อสัตว์ ควรกินเวลา 7.00 น - 9.00 น. เนื่องจากกระเพาะเรา มีสภาพเป็นกรดสูงมากที่สุด ดังนั้นมื้อเช้าจะจำเป็นมาก ๆ ถ้าอดมื้อเช้าไปนาน ๆ ขั้วกระเพาะเราจะเป็นปุ่มปม และนานเข้า ๆ ก็กลายเป็นมะเร็งในกระเพาะ

อย่าลืมดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้วนะ น้ำสะอาดจะช่วยล้างของเสีย ออกจากร่างกาย อย่าขี้เกียจลุกไปห้องน้ำเด็ดขาด

ห้ามอดหลับอดนอนตั้งแต่ ตีหนึ่ง เด็ดขาด เนื่องจาก ถุงน้ำดีกำลังย่อยไขมัน ถ้าอดนอนเวลานี้บ่อย ๆ จะเป็นนิ่วในถุงน้ำดี



ห้ามกินนมตอนเช้า แทนข้าวเช้า เนื่องจาก ตอนเช้ากระเพาะเป็นกรดสูงมาก นึกสภาพดูหากเราบีบน้ำมะนาวลงในนม จะเกิดปฏิกิริยาทางเคมี กลายเป็นคอลลอยด์ มันไม่ย่อย นะจ๊ะ ถ้าดื่มนมตอนท้องว่างแบบนี้ติดต่อกันเป็นประจำแทนข้าวเช้า ระวังมะเร็งในไขกระดูกนะจ๊ะ แต่ถ้าเป็นช่วงหลังอาหารเช้า หรือ ตอนบ่ายไปแล้ว หรือตอนเย็นดื่มได้ตามปกติจ้า มื้อเย็นอาจเป็นมื้อง่าย ๆ อย่างนม กับไข่ก็ไม่ว่ากัน

ถั่วต่าง ๆ รวมทั้งธัญพืชสารพัดอย่าง เช่น ลูกเดือย ข้าวฟ่าง ฯลฯ มีประโยชน์ต่อลำไส้ คือ ช่วยกวาดเชื้อโรค + แบตทีเรียชนิดไม่ดี ออกจากลำไส้เรา ควรกิน อาทิตย์ละครั้ง อย่างน้อย

พืชผักสีเขียว มีคลอโรฟิว ช่วยทำให้เม็ดเลือดลำเลียงออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ดี เซลแต่ละเซลล์จะแข็งแรงเมื่อมีออกซิเจนไปหล่อเลี้ยง
ก่อนเอาผักมากิน เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีสารพิษ อย่าลืมแช่น้ำส้มสายชู 45 นาทีนะจ๊ะ

ขอให้ถนอมสุขภาพร่างกายของเราให้ดีกันทุกคนนะจ๊ะ ด้วยความปรารถนาดี
ไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสร็จจ้า

ฟังเพลง ขอฟ้า ศิลปิน ชัช วัศพล

สวัสดี ครับ....ผม..ศิลปิน..ชัช วัศพล เจ้าของอัลบั้มเพลง..ชุด"ขอฟ้า"พระเอกหนัง..เรื่อง.."คนสู้ฟัด"ต้องขอฝากผลงานเพลง"ขอฟ้า"เพลงนี้..ใว้ในดวงใจ..ด้วยสักผลงานเพลง..น๊ะครับ..และ..ปี 2555 นี้ผมขอให้..ทุกๆท่าน จงประสพแต่สิ่งดีๆและเฮงๆๆๆๆ ตลอดทั้งปีน๊ะคร้าบๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ และถ้าใครที่ "กด ถูกใจ" เพลงนี้ ผมขอให้ร่ำรวยๆๆๆ ขอให้สวยๆๆๆ ขอให้หล่อๆๆๆ ขอให้โด่งดังๆๆๆ ขอให้มีสตังค์เยอะๆๆๆ และ สมหวังในความรัก..ด้วย.. น๊ะคร้าบๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


ททท.เชิญชมประเพณีแห่มาลัยข้าวตอก ในงานบุญมาฆบูชาบ้านฟ้าหยาด จ.ยโสธร

ททท.ชวนร่วมงานประเพณีแห่มาลัยข้าวตอกที่งดงามและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชุมชนลุ่มน้ำชีแห่งบ้านฟ้าหยาด อ.มหาชนะชัย จ.ยโสธร ระหว่างวันที่ 4-6 มี.ค. 55

นางสาวยุพา ปานรอด ผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานอุบลราชธานี (ผอ.ททท. สอบ.) เปิดเผยว่าในระหว่างวันที่ 4-6 มีนาคม 2555 เทศบาลตำบลฟ้าหยาด อ.มหาชนะชัย จ.ยโสธร กำหนดจัดงานประเพณีแห่มาลัย ขึ้นเพื่อสืบสานงานบุญมาฆบูชาอันเป็นงานบุญสำคัญของชุมชน โดยในงานดังกล่าวชุมชนต่างๆ จะนำข้าวตอกขาวที่คัดจากข้าวเปลือกข้าวเหนียวที่ดีที่สุดมาร้อยเป็นมาลัยสูงนับสิบเมตรและประดับตกแต่งอย่างงดงามหลากหลายรูปแบบ หลังจากนั้นจะมีกิจกรรมที่น่าสนใจหลายอย่าง อาทิ เช่น การประกวดการออกแบบของที่ระลึกมาลัยข้าวตอก ชมการสาธิตทำมาลัยข้าวตอก เลือกซื้อสินค้า OTOP จากกลุ่มต่างๆ ของอำเภอมหาชนะชัย ขบวนรถแห่มาลัยจากทุกชุมชน หมู่บ้านรวมกัน ณ บริเวณสนามหน้าที่ว่าการอำเภอมหาชนะชัย การแสดงบนเวทีกลาง การประกวดธิดามาลัย การแสดงวงดนตรีลูกทุ่งโรงเรียนศรีกระนวนวิทยาคม จ.ขอนแก่น ชมการแสดงของนักเรียนในเขตพื้นที่ อ.มหาชนะชัย ชมขบวนแห่มาลัยข้าวตอกและร่วมแห่มาลัยข้าวตอกไปทอดถวาย ณ วัดหอก่อง, วัดฟ้าหยาด
และวัดของแต่ละตำบลในเขต อ.มหาชนะชัย

มาลัยข้าวตอกดังกล่าวสื่อความหมายแทนดอกมณทารพ ซึ่งเป็นดอกไม้แห่งสรวงสวรรค์ที่จะบานเฉพาะในวันที่มีเหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า ซึ่งได้แก่ วันประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพานและวันที่ทรงแสดงธรรมจักกัปปวัตนสูตร การแห่มาลัยข้าวตอกเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาในวันมาฆบูชา เป็นประเพณีดั้งเดิมของชาวอีสานที่สืบทอดต่อเนื่องเฉพาะที่ชุมชนบ้านฟ้าหยาดแห่งนี้

ททท. จึงขอเชิญชวนผู้สนใจทุกท่านไปร่วมชื่นชมงานประเพณีแห่มาลัยบ้านฟ้าหยาด ซึ่งนอกจากจะได้ร่วมงานบุญมาฆบูชาที่มีเอกลักษณ์เฉพาะแล้วท่านยังสามารถเดินทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงจุดท่องเที่ยวที่สำคัญ ในจังหวัดยโสธรได้อย่างคุ้มค่า อาทิเช่น เส้นทางย้อนรอยเมืองสิงห์ท่า ค้นหาอดีตเมืองยโสธร โบสถ์คริสบ้านซ่งแย้ อ.ไทยเจริญ หัตถกรรมหมอนขวาน ผ้าขิดบ้านศรีฐาน รอยพระพุทธบาทและพระพุทธรูปหยกขาวที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ณ วัดพระพุทธบาทยโสธร ธาตุกู่จาน ธาตุก่องข้าวน้อย เป็นต้น

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานอุบลราชธานี โทร. 0-4524-3770, 0-4525-0714 และที่ www.tatubon.org

ขำขำ - หญิงสาวท้องแก่ใกล้คลอด

มีหญิงสาวท้องแก่ใกล้คลอดคนหนึ่งมาที่โรงพยาบาลเตรียมจะคลอดลูก

หญิงสาว : หมอคะหนูเป็นดาราโป๊ ถ้าลูกหนูคลอดออกมาแล้วบอกลักษณะให้หนูรู้ด้วยนะคะ เผอิญหนูไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อเด็กน่ะค่ะ

....................................................

พอสักพักเด็กก็คลอดออกมา
หมอ : ที่กองถ่ายหนูมีนิโกรด้วยใช่มั๊ย
หญิงสาว : ใช่ค่ะหมอ
หมอ : แล้วมีคนจีนด้วยใช่ไหม

หญิงสาว : ใช่เลยค่ะหมอ
แล้วเด็กก็ร้อง อุแว๊ ! ออกมา

หญิงสาว : ค่อยโล่งอกหน่อยหนูนึกว่าเด็กจะเห่าออกมาเสียอีก

หากพบปลาในแหล่งน้ำธรรมชาติป่วย

หากพบปลาในแหล่งน้ำธรรมชาติป่วย ไม่ควรให้น้ำเข้ามาในบ่อเลี้ยง ควรเผาหรือฝังปลาที่ตายแล้วโรยด้วยปูนขาวเพื่อป้องกันโรคระบาด

จาก FarmerInfo By DTAC - 23 ก.พ.2555 - 11.19

การปลูกตะไคร้หอมไว้รอบๆเล้าหมู

การปลูกตะไคร้หอมไว้รอบๆเล้าหมู หรือควันจากกาบมะพร้าวเผา มีประโยชน์ป้องกัน / ไล่ยุงในเล้าหมูได้ง่าย ตายและดีเยี่ยม
จาก FarmerInfo By DTAC - 19 ก.พ.2555 - 13.42 น.

มะม่วงต้องการน้ำมาก ช่วงติดผล

มะม่วงต้องการน้ำมาก ช่วงติดผล การให้น้ำเพิ่มทุก 7 วัน ทำให้ผลโตเต็มที่ ควรหยุดให้น้ำก่อนเก็บเกี่ยว 15 วัน เพื่อรสชาติที่ดี
จาก FarmerInfo By DTAC - 21 ก.พ.2555 - 12.03 น.

แมลงวันทองมักทำลายมะม่วงช่วงเปลี่ยนสีผล

แมลงวันทองมักทำลายมะม่วงช่วงเปลี่ยนสีผล จากเขียวเป็นเหลือง ควรใช้ใบกระเพราขยี้ออกให้กลิ่น ล่อแมลงมาติดกับดักแทนฟีโรโมนเพื่อตัดวงจร
จาก FarmerInfo By DTAC - 24 ก.พ.2555 - 12.03 น.

มะม่วงมีวิตามิน C สูง หากนำผลสุกมาปั่นพอกหน้า

มะม่วงมีวิตามิน C สูง หากนำผลสุกมาปั่นพอกหน้า หน้าจะใสเด้ง ทานบ่อยจะรู้สึกสดชื่น มีปัญหาเหงือกฟันให้เคี้ยวใบมะม่วง อาการจะดีขึ้น
จาก FarmerInfo By DTAC - 26 ก.พ.2555 - 12.03 น.

ททท.ชวนเสริมสิริมงคลให้ชีวิตในงาน “งานบุญนมัสการพระธาตุสัจจะและสมโภชระฆังใหญ่”

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเลย ขอเชิญผู้ที่สนใจร่วม “งานบุญนมัสการพระธาตุสัจจะ ประจำปี 2555 และสมโภชระฆังใหญ่” ระหว่างวันที่ 17-21 กุมภาพันธ์ 2555 ณ วัดลาดปู่ทรงธรรม พระธาตุสัจจะ ตำบลท่าลี่ อำเภอท่าลี่ จังหวัดเลย

นางอัจฉพรรณ บุญเจริญ ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานเลย กล่าวว่า พระธาตุสัจจะเป็นอีกหนึ่งสถานที่สำคัญของชาวจังหวัดเลย ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุพระอรหันต์ธาตุและปถวีธาตุพนม(ดินจาก-พระธาตุพนม) สร้างขึ้นเพื่อต่อชะตาพระธาตุพนมที่พังทลายลง มีลักษณะคล้ายพระธาตุพนม ฐาน 8 เหลี่ยม กว้าง 17 เมตร บนยอดสุดของพระธาตุประดับด้วยฉัตร 7 ชั้น บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ จำนวน 10 องค์ และที่สำคัญในปีนี้ยังจะได้ทำการสมโภช ระฆังใหญ่ที่มีความสูง 6.5 เมตร และเส้นผ่านศูนย์กลาง 3 เมตร จึงขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวและผู้ที่มีจิตศรัทธา มาลั่นระฆังใหญ่และฆ้องใหญ่ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ วัดลาดปู่ทรงธรรม โทร. 0-4288-9808 และ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเลย โทร. 0-4281-2812, 0-4281-1405 Email: tatloei@tat.or.th และที่ www.facebook.com/tatloei

ขำขำ - แม่ชี ...

แม่ชี ...

ฮิปปี้ผมยาวกระเถิบเข้านั่งประกบแม่ชีในที่นั่งแถวหน้าสุด
พอรถเมล์ปลอดผู้โดยสาร เจ้าหนุ่มก็ชวนดื้อๆ
“เราไปหาที่เงียบๆ ขึ้นสวรรค์กันเถอะ”

แม่ชีสั่นหน้าปฏิเสธ แล้วรีบลงเมื่อถึงป้ายถัดมา
พนักงานขับรถได้ยินเหตุการณ์โดยตลอด
พอรถแล่นออกจากป้าย จึงหันไปพูดกับฮิปปี้

“ถ้านายสนแม่ชีคนนี้จริง ๆ ชั้นจะบอกให้ ว่าทำไงถึงจะได้เผด็จศึก”

เจ้าหนุ่มผมยาวตอบว่า ทำไมจะไม่สนล่ะ พนักงานขับรถจึงแนะว่า

“ ทุกวันอังคารตอนเที่ยงคืน แม่ชีคนนี้จะไปสวดขอพรพระเจ้า
ที่สุสานประจำเมืองไม่เคยขาด
ถ้านายหาผ้ามาคลุมทำทีสวมรอยเป็นพระเจ้า นายจะสั่งอะไร
แม่ชีก็ต้องยอมทั้งนั้น”

คนขับช่วยวางแผนให้เสร็จสรรพ
ครั้นถึงเวลาที่ว่า เจ้าฮิปปี้ก็แต่งองค์ทรงเครื่อง สวมหน้ากากพระเจ้า
ไปดักซุ่มรอเหยื่ออยู่หลังต้นไม้

ทันใดนั้น แม่ชีปรากฎตัวเดินใกล้เข้ามา แล้วหยุดยืนสวดมนต์พึมพำ
ฮิปปี้กระโดดออกจากที่ซ่อน

“ข้าคือพระเจ้า ข้าได้ยืนคำขอของเจ้าแล้ว เจ้าจะได้ทุกสิ่งทุกอย่าง
ตามประสงค์ แต่เจ้าต้องขึ้นสวรรค์กับข้าก่อน”

แม่ชียินยอมโดยดี แต่เกี่ยงงอนนิดหน่อยว่า

“เพื่อเห็นแก่พรหมจรรย์ของลูก ได้โปรดละเว้นประตูหน้าเถอะนะเจ้าคะ”

พระเจ้าฟังก็ไม่ขัดข้อง หลังจากเสร็จสมอารมณ์หมาย
เจ้าฮิปปี้ก็ถอดหน้ากากออก พลางตะโกนว่า

“ฮ่า ฮ่า ผมคือฮิปปี้คนนั้นไง”

แม่ชีถอดหน้ากากมั่ง แล้วตะโกนดังกว่า
“ฮ่า ฮ่า อั๊วะ คนขับรถเมล์เฟ้ย”

"ป ล่ อ ย เ ดี๋ ย ว นี้ !"

พูดถึงเปาบุ้นจิ้น...ใครรู้ดีว่าถ้าท่านเปาตัดสินคดีไปอย่างไง ก็ต้องเป็นไปตามที่ท่านเปาลั่นวาจาทันที ใีครจะมาอ้อนวอนร้องห่มร้องให้ให้อภัยโทษแก่นักโทษนั้น ท่านเปาก็ไม่เคยใจอ่อนหรือลังเลที่จะสั่งประหารนักโทษ.....

ขณะที่เจ้าหน้าที่ศาลกำลังเอาหัวของนักโทษฆ่า 7 ศพ มาพาดที่เครื่องประหารหัวหมา เตรียมที่จะสับใบมีดลงที่คอของนักโทษ....แค่เพียงอึดใจเดียวก่อนที่ท่านเปาจะเอ่ยคำว่า "ประหาร" .... เมียของฆาตกรคนนั้นรู้ซึ้งถึงกิตติศัพท์ของท่านเปาเป็นอย่างดี และทนดูผัวตัวเองหัวขาดต่อหน้าต่อตาไม่ได้ จึงรีบย่องไปข้างหลังบัลลังก์ท่านเปา แล้วก็เอามืออ้อมใต้ที่นั่งท่านเปา แล้วบีบ "พวงสวรรค์" ของท่านเปาอย่างสุดแรงเกิด

ทันใดนั้น ท่านเปาก็ตะโกนลั่นศาลไคฟงด้วยเสียงที่ดุดันและน่าเกรงขาม ว่า.....

"ป ล่ อ ย เ ดี๋ ย ว นี้ !"

แล้วฆาตรกรรายนี้ก็รอดตายจากคดีนี้ โดยไม่มีการขออภัยโทษหรือนิรโทษกรรมแต่อย่างใดเลย

วิธีรักษาอาการปวดบวมหลังปลาดุกทะเล

วิธีรักษาอาการปวดบวมหลังปลาดุกทะเล ปลากระเบนแทง แช่บาดแผลในน้ำต้มใบผักบุ้งทะเลอุณหภูมิอุ่นพอดีๆ บรรเทาอาการปวดได้
จาก FarmerInfo By DTAC - 26 ก.พ.2555 - 12.03 น.

งดให้ปุ๋ยยางพาราช่วงหน้าแล้ง

งดให้ปุ๋ยยางพาราช่วงหน้าแล้ง เพราะทำให้ขาดน้ำ หากแตกกิ่งแขนงมาก ควรตัดออกบ้าง ป้องกันการโค่นล้ม/ ลดให้อาหาร คลุมดินยางอายุ 1-2 ปี
จาก FarmerInfo By DTAC - 27 ก.พ.2555 - 12.33 น.

ควรควบคุมการให้อาหารปลาหรือกุ้งในปริมาณพอดี

ควรควบคุมการให้อาหารปลาหรือกุ้งในปริมาณพอดี งดให้อาหารทันที หากอุณหภูมิน้ำในบ่อเลี้ยงต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียส

จาก FarmerInfo By DTAC - 27 ก.พ.2555 - 13.03 น.

แสงแดด อาจทำให้ต้นยางในพื้นที่แห้งแล้งเป็นแผลไหม้

แสงแดด อาจทำให้ต้นยางในพื้นที่แห้งแล้งเป็นแผลไหม้ ลดความเสียหายด้วยการทาสีปิดแผลหรือใช้ปูนขาวละลายน้ำ หมัก 2 วัน แล้วทาโคนต้น
จาก FarmerInfo By DTAC - 29 ก.พ.2555 - 12.03 น.

พระเครื่อง

วัตถุมงคลในพุทธศาสนา หรือเรียกกันโดยทั่วไปว่า พระเครื่องราง หรือ พระเครื่อง คือรูปสมมติของพระพุทธเจ้ามีขนาดเล็ก สร้างไว้สำหรับบรรจุไว้ในพุทธเจดีย์ เพื่อเป็นที่ระลึกถึงพระพุทธเจ้า และเพื่อสืบทอดพระศาสนา

ประวัติการสร้าง

สันนิษฐานว่าสร้างภายหลังการสร้างพระพุทธรูป (ราว พ.ศ. 500)ปรากฏเห็นเป็นหลักฐานชัดเจนในในสมัยทวารวดี (ราว พ.ศ. 400-พ.ศ. 1200)และ สมัยศรีวิชัย (พ.ศ. 1300) โดยสร้างพระเครื่องขึ้นเพื่อเป็นของที่ระลึกสำหรับผู้ที่มาเคารพสังเวชนีย สถาน เพื่อให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า ส่วนความหมายของคำว่าพระเครื่องในประเทศไทยนั้น เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่ท่านสั่งเครื่องจักรจากยุโรปมาเพื่อผลิตเหรียญกษาปณ์ ทำให้มีการผลิตเหรียญของเกจิอาจารย์ขึ้น ทำให้เรียกว่าพระที่ทำจากเครื่องจักรว่าพระเครื่อง หรือเรียกพระองค์เล็กๆ ที่เป็นพระพิมพ์เรียกเหมือนกันว่าพระเครื่อง

ความเชื่อและคตินิยม

พระเครื่องรางส่วนใหญ่ การสร้างสร้างให้มีขนาดเล็กเพื่อที่จะสามารถสร้างได้จำนวนมาก สำหรับบรรจุในพระพุทธเจดีย์ เพื่อว่าในอนาคตเมื่อพระพุทธศาสนาเสื่อมลง วัตถุต่างๆพังทลายยังสามารถพบรูปสมมุติของพระพุทธเจ้าเพื่อแสดงให้เห็นความ เจริญรุ่งเรื่องของพระพุทธศาสนา
ใช้เป็นเครื่องรางสำหรับคุ้มครองป้องกันในการออกศึกสงครามของคนโบราณ เป็นความเชื่อทางไสยศาสตร์อย่างหนึ่ง
ปัจจุบันนิยมนำมาห้อยคอเป็นเครื่องรางสำหรับคุ้มครองป้องกัน

---------- จดหมายที่ถูกส่งต่อ ----------
จาก: คิดไม่ซื่อ จริง ๆ นะ
วันที่: 17 กุมภาพันธ์ 2555, 8:16
หัวเรื่อง: คำถาม พระเครื่อง

พระเครื่อง คืออะไร? เช่าพระเครื่อง-บูชาพระเครื่อง เป็นเรื่องงมงายหรือไม่?

พระเครื่อง หรือ “พระพิมพ์ “ นั้นจริงๆ แล้วเกิด ขึ้นมา ประมาณ 1000 กว่าปี ร่วม 2000 ปีแล้ว พระเครื่ององค์แรกๆ นั้น จะเป็น “พระกริ่ง” หรือ พระไภสัชยคุรุ หรือ พระพุทธเจ้าหมอ นั้นเองแต่ในประเทศไทยนั้นเริ่มนิยม พระเครื่องกัน ในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยมีการนำพระเครื่องมาแขวนคอ หรือห้อยคอ พกติดตัวกันแล้ว ในปัจจุบัน คนไทย นิยมพระเครื่องกันมาก และสร้างพระเครื่องกันมากเช่นกัน สำหรับผม มองว่าพระเครื่องไม่ใช่เรื่องงมงาย ไร้สาระ เช่าพระเครื่อง- บูชาพระเครื่อง เพราะอะไรนั้น จะได้กล่าวดังต่อไปนี้

เราสร้างและมี(สะสม)พระเครื่อง เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข ดังต่อไปนี้

1. สร้างพระเครื่องเพื่อเป็นที่ ระลึก ในกับผู้บริจากทรัพย์ หรือ สมทบทุนฯ ในโอกาสต่าง เช่น สร้างโบถส์ สร้างวิหาร สร้างสิ่งก่อสร้างที่เป็น สาธารณูปโภค ต่างๆ ช่วยเหลือผู้ประสพภัยต่างเป็นต้น ทั้งนี้และทั้งนั้น เพื่อให้ผู้บริจากฯ ได้สามารถจับต้อง และระลึก ถึง ผลบุญ ที่ทำในครั้งนั้นได้

2. สร้างพระเครื่องเพื่อให้เป็นขวัญ และกำลังใจ ในการทำงาน ในการประกอบอาชีพที่สุจริต เช่น ตำรวจ ทหาร อาชีพที่ต้องเสี่ยงภัยต่างๆ ไม่เว้น แม้การเสี่ยงขาดทุน จากการลงทุนในธุรกิจต่างๆ

**** จาก ทั้ง 2 ข้อ จะเห็นว่า พระเครื่องมีไว้ ยึดเหนี่ยวจิตใจ จริงๆ

3. สร้างพระเครื่อง ไว้เพื่อสืบทอด พระพุทธศาสนา การสร้างพระเครื่องในลัษณะนี้ มีมานานมากร่วม 1000 ปี ก่อนหน้านี้แล้ว โดยการสร้างพระเครื่องจำนวนหนึ่ง(ส่วนใหญ่เป็น เลขมงคล) เช่น 84000 องค์ แล้วนำพระเครื่องหรือ พระพิมพ์ นั้นไปบรรจุไว้ ในเจดีย์ หรือ ใต้ฐานพระพุทธรูปบูชาองค์ใหญ่ หรือ ใต้หลังคาอุโบสถ แล้วปล่อยไวอย่างนั้น เมื่อระยะเวลาผ่านไป นานๆ หลายสิบปี หรือ หลายร้อยปี แล้วเกิดเหตุ ให้เจดีย์แตก (กุแตก) หรือ มีการเคลื่อนย้ายพระพุทธรูปบูชาองค์ใหญ่ หรือ โบสถ์เก่าชำรุดสุดโทรมเสียหาย เมื่อมีผู้คนมาพบเจอ พระเครื่อง ที่เก็บไว้นั้น อย่างน้อยๆ ก็ต้องนำไปศึกษา หาที่มาที่ไป และเห็น คุณค่า ว่าเป็นของเก่า ของโบราณ ทำให้ผู้นั้นต้องรู้พระศาสนาต่อไปอีก

จากผล ของทั้ง 3 ข้อ นั้นทำให้ปัจจุบัน มีการ เสาะแสวงหาพระเครื่องเก่า และพระเครื่องที่มีเจตนาการสร้างที่ดี มาครอบครองกัน ทำไม!!! ต้องหามาครอบครองกันด้วย ทั้งๆ ที่พระเครื่องบางองค์ แพงมาก ราคาเช่าหาบูชาระดับ 10 ล้านบาท ในความคิดของผมสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า

1. พระเกจิอาจารย์ ผู้สร้างพระเครื่องนั้นๆ ท่านเก่ง เป็นพระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ท่านได้มรณะภาพ(เสียชีวิต)ไป กว่า 100-600 ปี แล้ว และพระเครื่องคือส่วนหนึ่งเพื่อให้ ระลึกถึงท่าน

2. การสร้างโบสถ์ สร้างวิหาร สร้างสิ่งก่อสร้างที่เป็น สาธารณูปโภค ต่างๆ รวมทั้งช่วยเหลือผู้ประสพภัยต่างๆ นั้น ใช่ว่าจะทำหรือเกิดขึ้นกันได้ บ่อยๆ ครับ โบสถ์ วิหาร และสร้างสิ่งก่อสร้างต่างๆ ในแต่ละวัดแต่ละที่ ใช่ว่าจะพังทรุดโทรมกัน ง่ายๆ อย่างน้อยๆ ก็กินเวลา 80-200 ปี กันเลยที่เดียว

3. ถ้ารักชอบ พระเกจิอาจารย์ ท่านใด ก็เก็บของที่ท่านสร้างไว้เป็นที่ระลึก เมื่อท่านมรณะภาพ ไปแล้ว ของที่ระลึกนั้นๆ ก็เป็นตัวแทนท่าน (จะไม่ยอมให้ซื้อ-ขาย หรือเช่าบูชา กันในราคาถูกๆ เป็นแน่ ) หากหายหรือไม่มีแล้ว ก็เหมือนลืมท่าน (เป็นลูกศิษย์ ซะเปล่า! สมบัติชิ้น้ล็กๆ ที่พระอาจารย์ให้ไว้ยังรักษาไม่ได้ ว่างั้น!!!!)

สรุปก็คือ พระเครื่องมีไว้เพื่อความ ความสบายใจ เพื่อระลึกถึงสิ่งดีๆ ของตนที่ได้กระทำไว้ นั้นเอง ไม่เห็นว่าการ เช่าพระเครื่อง หรือ บูชาพระเครื่อง จะเป็นเรื่องงมงาย หรือ ไร้สาระเลย

:: โรคที่เกิดจาก ชีวิตเร่งรีบ :::

3 ความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน

ทุกวันนี้ชีวิตของคนเมืองส่วนใหญ่ล้วนเร่งรีบ ด้วยหน้าที่การงานไม่เปิดโอกาสให้เราเอ้อระเหยได้มากนัก และนั่นเองจึงเป็นที่มาของความเครียด การกินอาหารไม่ตรงเวลา อีกทั้งอาหารที่กินเข้าไปก็ไม่ได้เอื้อให้ดีต่อสุขภาพสักเท่าไร โรคภัยต่าง ๆ จึงเกิดขึ้นจากความเสียสมดุลของร่างกายนี่เอง

เรารวบรวมโรคยอดฮิต 3 โรค ที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน มาให้คุณตรวจสอบตัวเอง เพราะแม้ว่าเราไม่อาจจะทำให้การงานวุ่นวายน้อยลงได้ แต่เราหาวิธีรับมือกับสุขภาพของเราได้

1. กรดไหลย้อน

อาการ แสบร้อนบริเวณหน้าอกและลิ้นปี่ รู้สึกเหมือนมีรสขมของน้ำดีหรือรสเปรี้ยวของกรดในคอหรือปาก เรอบ่อย คลื่นไส้ จุกแน่นในหน้าอกคล้ายอาหารไม่ย่อย

สาเหตุ มีกรดหรือน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ไหลย้อนขึ้นมาบริเวณหลอดอาหาร จึงทำให้เกิดการอักเสบของหลอดอาหาร

วิธีรักษา

- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ น้ำอัดลม ชา กาแฟ ลดอาหารมัน ของทอด ของหวาน และงดสูบบุหรี่
- รับประทานอาหารให้เป็นเวลา หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารก่อนนอน อย่างน้อย 3 ชั่วโมง
- ลดน้ำหนัก ให้อยู่ในเกณฑ์ที่ไม่อ้วนเกินไป

หากไม่รักษา

อาจจะเป็นมะเร็งหลอดอาหารได้

2. กระเพาะอาหารอักเสบ

อาการ จะปวดแน่นกลางท้องแบบเรื้อรัง ปวดได้ทั้งเวลาหิวและอิ่ม

สาเหตุ เกิดจากกินอาหารผิดเวลา กินมากเกินไป กินอาหารที่ติดเชื้อแบคทีเรีย มีความเครียดสูง

วิธีรักษา

- งดอาหารเผ็ดจัด งดเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ น้ำอัดลม ชา กาแฟ และงดสูบบุหรี่
- อย่าเครียดเกินไป
- กินอาหารให้เป็นเวลา
- ออกกำลังสม่ำเสมอ

หากไม่รักษา

อาจจะลุกลาม กลายเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้

3. ความดันโลหิตสูง

อาการ ปวดหัว เวียนหัว เหนื่อยง่ายผิดปกติ อาจมีอาการแน่นหน้าอกหรือนอนไม่หลับ

สาเหตุ พักผ่อนไม่เพียงพอ

วิธีรักษา

- เลี่ยงอาหารที่มีรสเค็มจัด เพื่อลดปริมาณเกลือซึ่งจะทำให้เกิดความดันโลหิตสูงได้
- ลดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- ลดน้ำหนักตัว

หากไม่รักษา

หลอดเลือดในสมองแตก อัมพฤกษ์ อัมพาต หัวใจเต้นผิดจังหวะจนทำให้ถึงแก่ชีวิต

อาตมาว่าความรักมันเหมือนกับไวรัสตัวหนึ่ง

แต่คุณค่าของคนเราไม่ได้ถูกกำหนดด้วยสายตาของคนอื่น เขากล่าวหาในสิ่งที่ไม่จิรง คุณค่าของเราก็ยังมีเหมือนเดิม เป็นสิ่งที่เรากำลังสัมผัสอยู่ คนอื่นจะเห็นหรือไม่เห็น เป็นเรื่องของเขา ส่วนเรื่องของความรัก อาตมาว่าความรักมันเหมือนกับไวรัสตัวหนึ่ง ไม่ใช่คนรักกันเพราะบุคลิกตรงกัน ดวงตรงกัน ฯลฯ เท่าไรหรอก มันคล้ายกับเป็นปฏิกิริยาทางเคมี หรือไวรัสตัวหนึ่งมากกว่า ติดไวรัสกัน ติดไวรัสนั้นตลอดชีวิตก็มี หรืออาจจะติดไวรัสไปอาทิตย์สองอาทิตย์ก็ยังมี พอหายแล้วก็ไม่รักเสียแล้ว

มองอย่างนี้อาจจะแรงไปหน่อย แต่สิ่งที่ต้องระวังคือการเชื่อว่าเขารักเรา เราต้องเป็นคนดี เพราะตามเหตุผลนี้ถ้าเผื่อเขาเกิดไม่รักเรา ก็หมายความว่าเราต้องเป็นคนไม่ดีซิ สุขภาพจิตเราจะแย่ ที่แท้มันไม่ขึ้นอยู่กับความรู้สึกของคนอื่นเลย เราก็ต้องรู้จักตัวเองว่าเรามีอะไรอยู่ โดยไม่เข้าข้างตัวเอง ให้เราระลึกอยู่เสมอว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในใจเราไม่ใช่ของตายตัว คือคำว่าบุคลิกหรือจริตนิสัยก็เป็นเพียงแค่ชื่อตามความเคยชินต่างๆ ซึ่งเราเปลี่ยนได้ ถ้าเรามีศรัทธาและเห็นคุณค่าในการเปลี่ยน
โดย ชยสาโร ภิกขุ

#ความสงบคืออะไร?

#ความสงบคืออะไร?
มันคือการอยู่นิ่งๆทื่อๆไม่มีอะไรทำงั้นหรือ?
มันคือการอยู่นิ่งๆทื่อๆไม่มีอะไรเกิดขึ้นงั้นหรือ?
มันคือการอยู่นิ่งๆทื่อๆในสถานการณ์เงียบๆงั้นหรือ?
มันคือการอยู่นิ่งๆทื่อๆสงบใจอยู่ในที่กำบังงั้นหรือ?
มันคือการอยู่นิ่งๆทื่อๆฝืนใจเห็นดีเห็นชอบตามงั้นหรือ?
มันคือการอยู่นิ่งๆทื่อๆหลีกเลี่ยงความรุ่นแรงงั้นหรือ?
มันคือการอยู่นิ่งๆทื่อๆหลีกหนีความวุ่นวายงั้นหรือ?
หรือมันคือการศิโรราบจำยอมให้เพื่อให้เรื่องมันเงียบไปงั้นหรือ?

..เป็นไปได้หรือไม่ว่าเราจะมีชีวิตอยู่อย่างมีสติตื่นตัวปราศจากการครอบ งำ
ในทุกๆสถานการณ์ทั้งช่วง"เงียบๆ"ไม่มีอะไรเกิดขึ้นและช่วง"ปั่นป่วน"ล่อแหลม!
"มีใครบ้างอยู่อย่างสงบในขณะที่โคลนจับตัวกันแข็งขึ้น!แข็งขึ้น!
มีใครบ้างอยู่นิ่งๆจนกระทั่งถึงเวลาที่ต้องเคลื่อนไหว "
("..." เต๋าของเล่าจื่อ)
"..เมื่อไม่มีผู้คิดมีเพียงแต่ความคิด จากนั้นจะเกิดความรู้สึกตัวถึงการคิด
โดยปราศจากการคิด ความคิดก็หยุดลง..
..ผู้คิด คือความคิด ผู้สังเกตุ คือสิ่งที่ถูกสังเกตุ.."
("..." กฤษณมูรติ)
"..ปัญญาที่แท้จริงมาพร้อมกับความสามารถที่จะสงบ..
ความสงบเป็นสถานที่ ที่ความคิดสร้างสรรค์
กับทางออกของปัญหาต่างๆได้ถูกค้นพบ.."
("..." Eckhart Tolle)
"..ในสิ่งที่ถูกเห็นย่อมมีการเห็น
ในสิ่งที่ถูกฟังย่อมมีการฟัง
ในสิ่งที่ถูกคิดย่อมมีการคิด.."
("..." รินไซ เซนจิ)
"..จิตของเธอย่อมอยู่กับสิ่งที่เธอเฝ้ามองเสมอ
จิตดังกล่าวก็คือทุกสิ่งในเวลาเดียวกัน
จิตที่แท้จริงก็คือจิตที่เฝ้ามอง.."
("..." ซูซุกิ ชุนริว เซนจิ)
"..ห้วงเวลานั้นคล้อยเคลื่อนจากปัจจุบันไปสู่อดีต.."
("..." โดเงน เซนจิ)
"..พุทธะคือใจของท่าน และทางก็ไม่ได้ทอดไปไหน
อย่าแสวงหาสิ่งใดนอกจากทางนี้
หากท่านมุ่งเกวียนไปทางเหนือ
ในขณะที่ท่านประสงค์จะลงใต้
แล้วท่านจะถึงที่หมายได้อย่างไร.."
("..." เรียวกัน เซนจิ)
"..ชีวิตคือความต่อเนื่อง ที่นี่ เดี๋ยวนี้..
..การรู้วิธีควบคุม กำหนดระเบียบให้กับชีวิต คือเคล็ดลับ.."
("..." ไทเซน เดชิมารุ เซนจิ)
"หากคาถาที่ไม่ประกอบด้วยบทอันมีประโยชน์
แม้จะมีตั้ง ๑,๐๐๐ คาถาก็ตาม คาถาเดียวที่
บุคคลฟังแล้วสงบระงับได้ ยังประเสริฐกว่า"
("..." พุทธพจน์)
".. คนเรานี่เรื่องที่ยอมรับได้กลับไม่ยอมรับ..
..หมามันยังรู้จักอารมณ์ของมันเลยเวลาหิวมันก็คราง หงิงๆ
ใครไม่รู้จักอารมณ์ของตัวเองก็ตายเสียดีกว่า..
..การปฏิบัติคืออำนาจ.. "
("..." หลวงปู่ชา-พระโพธิญาณเถร)
"..ชีวิตคือกระแสความรู้สึกที่เป็น-อยู่
ไม่ใช่กระแสความนึกคิดในเรื่องราวความเป็น-อยู่.."
("..." Afol Mind.. )



---------- จดหมายที่ถูกส่งต่อ ----------
จาก: MaiY
วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2555, 14:45
หัวเรื่อง: {นานาสาระ ธรรมะสวัสดี: ฉบับที่ 10855} คำถาม ความสงบ
ถึง: dhammasawasdee


ความสงบ อยู่แห่งหนใด ….

หลวงปู่ชา สุกัทโธ วัดหนองป่าพง http://www.watnongpahpong.org/ จ.อุบลราชธานี

เคยไหมครับ ที่ช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต เราวิ่งหาหรือค้นหาคำว่า “สงบ”
สำหรับตัวผมเองแล้ว คำๆ นี้มันมักเข้ามาถามผมเสมอๆ ในช่วงที่ผมได้สูญเสียผู้หญิงที่ผมรักและเคารพที่สุดในชีวิตไปใหม่ๆ
จน มาวันหนึ่งผมได้มีโอกาสได้รับหนังสือธรรมมะเล่มหนึ่ง ที่ชื่อว่า “เหมือนกับใจ คล้ายกับจิต” ซึ่งหลวงปู่ชา สุภัทโท
ท่านได้เทศน์สอนญาติโยมแล้วลูกศิษย์ได้รวบรวมแล้วพิมพ์แจกในรูปของหนังสือธรรม มะเล่มเล็กๆ เพื่อมอบให้แก่ผู้คนทั่วไป
เป็นเครื่องมือ เตือนสติ ในการใช้ชีวิตตลอดจนเป็นกำลังใจในการดำเนินชีวิต ซึ่งสำหรับผมได้อ่านแล้วมี
บทๆ หนึ่งที่ผมไปสะดุดใจ ขึ้นครับ ท่านพระคุณเจ้า เล่าว่า

บ้านที่แท้จริง…..

บ้านข้างนอก ไม่ใช่บ้านที่แท้จริง
เป็นบ้านสมมติ บ้านอยู่ในโลก
ส่วนบ้านที่แท้จริงของเรา คือ ความสงบ
พระพุทธเจ้าทรงให้สร้างบ้านเรือนตัวเอง
โดยวิธีปล่อยวางให้มันถึง ความสงบ….

ณ วันนี้ยังไม่สายไปที่เราๆ ท่านๆ จะสร้างบ้านเรือนให้สวยงามและแข็งแรง
และอย่าลืมที่จะปัดกวาดเช็ดถูเพื่อให้ ความสงบ นั้นสะอาดสะอ้านและอยู่กับเราตลอดไป……



มีสมาชิกใหม่เม้นต์ว่า ช่วงนี้ไม่มีความสงบนะ ทำให้เกิดคำถามว่าสำหรับปุถุชนความสงบคืออะไร คนที่มีความสุขกับชีวิตประจำวันเขาจะมีความสงบไหม อย่างไร แล้วเป็นพระจะสงบกว่าชาวบ้านธรรมดาอย่างเราๆ หรือเปล่า

ความสงบ คืออะไร

บางที ที่ที่มีเสียงอึกทึกครึกโครม ก็สามารถอยู่อย่างสงบได้...

ธรรมะจาก ‘พระมิตซูโอะ’ ถึงทุกคู่ชีวิต

สำหรับชีวิตคู่ คงจะดีไม่ใช่น้อย ถ้าคนสองคน สามารถอ่านใจของกันและกันได้ แต่ในเมื่อมันเป็นไปไม่ได้ เพื่อให้ชีวิตดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น หรือทำให้ชีวิตสะดุดน้อยที่สุด หลายสัปดาห์ก่อน ทีมงาน Life and Family ได้เดินทางไปปลูกกล้วย คืนอาหารให้ช้างป่า ณ วัดสุนันทวนาราม อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี
ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่ทีมงานได้นั่งร่วมฟังสนทนากลุ่ม กับพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก เจ้าอาวาสวัดสุนันทวนาราม และได้รับหนังสือจากพระอาจารย์หลายเล่ม หนึ่งในนั้น คือ “คิดถูก ดับทุกข์ได้” และเห็นว่า ในเล่ม มีหลักคิดที่จะสามารถนำมาปรุงแต่งชีวิตรักให้กลมกล่อมได้ ทีมงานจึงยกข้อคิดจากหนังสือเล่มนี้ มาให้ท่านผู้อ่านได้นำไปประยุกต์ใช้กันครับ
*** ชีวิตคู่ คือ อาหาร 2 อย่างที่ต่างกัน
เป็นไปได้ง่ายว่า เมื่อชีวิตต้องโคจรมาอยู่คู่กัน อารมณ์ ความรู้สึก และทิฐิต่างๆ ย่อมไม่เหมือนกัน ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่ในขณะเดียวกัน เมื่อรู้ถึงความต่าง จึงต้องระวังความรู้สึก ความคิด และเข้าใจธรรมชาติที่แตกต่างด้วย
พระอาจารย์มิตซูโอะ เขียนบอกไว้ว่า คนแต่ละคน เหมือนอาหารแต่ละชนิด ที่มีรสชาติ และอุปนิสัยที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้น ชอบ หรือไม่ชอบ เป็นอารมณ์เฉพาะของตัวเอง ไม่ใช่ตัวเองชอบ ก็ถือว่าสิ่งนั้นดี หรือถ้าไม่ชอบ ก็ถือว่าไม่ดีเสมอไป ดังนั้น อย่าเอาความรู้สึกชอบ หรือไม่ชอบมาตัดสินว่า เขา/เธอ ดีหรือไม่ดี เพราะนั่นอาจกระแทกให้ชีวิตคู่เกิดรอยร้าวขึ้นได้ง่าย
*** โกรธเขา เขาไม่รับ เราต้องรับเอง
บางครั้ง ชีวิตคู่ อาจมีเรื่องที่ทำให้ใครคนใดโกรธได้ พระอาจารย์บอกว่า ถ้าเขา หรือเธอทำผิดจริงๆ ซึ่งถ้าคิดเป็น ความโกรธนั้นก็จะหายไป กระนั้น ไม่ว่าคู่ชีวิต จะทำแก้วแตก พูดไม่เพราะ ขี้เกียจ ไม่ช่วยงาน ควรลดความโกรธ ด้วยความไม่โกรธ เพราะมันเป็นความผิดของเขา อย่าเอามาเป็นความผิดใจ หรือทำลายใจของเรา แต่ขอให้คิดเสียว่า โกรธเมื่อไร ผิดทันที เพราะสมมติว่า เขา หรือเธอทำแก้วแตกโดยความประมาท ถ้ายิ่งโกรธ ใจก็จะเป็นทุกข์ตามไปด้วย
สำหรับกรณีบางคน ที่เมื่อมีความโกรธ มักจะมีนิสัย ‘ไม่ถูกใจหน่อยก็บ่น บ่นไปเรื่อย’ จนคนรอบข้างเกิดความรำคาญ ซึ่งตรงนี้ อันตรายมาก ทางที่ดี ขอให้ถามตัวเองก่อนว่า ถ้ามีใครบ่นกับเราแบบนั้นบ้าง เราจะชอบหรือไม่ แล้วเมื่อบ่นแล้ว ตัวเราสบายใจ หรือไม่สบายใจ
ดังนั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ควรเข้าใจปัญหา และงดใช้อารมณ์จนเกิดรอยร้าว เพราะบางคน นอกจากจะบ่นอย่างเดียวแล้ว ชอบขุดเรื่องในอดีตมาพูดพร่ำ นิสัยตรงนี้อาจนำมาซึ่งการไม่อยากเข้าหา หรือไม่อยากอยู่ใกล้ด้วยของคู่ชีวิต เนื่องจากสิ่งที่พูด บางครั้งทำร้ายจิตใจไม่ใช่น้อย
อย่างไรก็ดี พระอาจารย์เขียนแนะว่า ไม่ว่าคู่เรา จะทำให้โกรธ ควรตั้งสติ หยุดคิดก่อน และให้คิดทวนกระแส อย่าคิดตามอารมณ์ เช่น ไม่ควรคิดว่า ทำไมเขาไม่ทำอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างนี้ เพราะถ้ายิ่งคิด ก็จะเกิดการปรุงแต่ง จนเกิดภาพ เกิดชาติ และเกิดอัตตาตัวตนได้
“เมื่อรู้ว่าความโกรธไม่ดี ใครโกรธเราก็อย่ารับ และอย่าโกรธตัวเองในทุกสถานการณ์ สอดรับกับที่พระพุทธองค์ได้สอนไว้ว่า ความโกรธ เหมือนการทำอาหารให้คนอื่นกิน ถ้าเขาไม่กิน คนทำ (คนโกรธ) ก็ต้องกินเอง”
คงจะปฏิเสธได้ยากว่า เมื่อคนเราได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน การไม่ถูกใจกัน ถือเป็นเรื่องธรรมดา ถึงแม้ว่ารักกัน หรืออยู่ใกล้ชิดกันมากขนาดไหน ก็ไม่แคล้วที่จะเกิดปัญหาขึ้นได้ ฉะนั้น การแก้ปัญหาในชีวิตคู่ ให้แก้ที่ตัวเองก่อนเสมอ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกันก็จะค่อยๆ คลี่คลายตามไปเอง ด้วยการละความชั่วของตัวเอง ทำแต่ความดี ความถูกต้อง แล้วจะเข้าใจคู่ชีวิต ลดรอยร้าวที่จะเกิดการแตกหักตามมาได้มาก

"งานเทศกาลองุ่นหวานและของดีดำเนินสะดวก" : 1 - 31 มี.ค. 55 ณ บริเวณวัดราษฎร์เจริญธรรม (วัดสุน) จ.ราชบุรี

"งานเทศกาลองุ่นหวานและของดีดำเนินสะดวก" : 1 - 31 มี.ค. 55 ณ บริเวณวัดราษฎร์เจริญธรรม (วัดสุน) จ.ราชบุรี ภายในงานมีกิจกรรมมากมาย เช่น การประกวดองุ่นหวานและพืชผลทางการเกษตร การประกวดหนูน้อยองุ่นหวาน การแข่งขันกีฬาทางน้ำ การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชนพื้นบ้านของชาวดำเนินสะดวก สอบถามได้ที่ที่ทำการอำเภอดำเนินสะดวก โทร. 0-3224-1204 หรือที่ ททท. สำนักงานเพชรบุรี โทร.0-3247-1005-6

"งานประเพณีบุญข้าวจี่" : 1 - 31 มี.ค. 55 ณ วัดศรีจันทร์ ต.นาอ้อ จ.เลย

"งานประเพณีบุญข้าวจี่" : 1 - 31 มี.ค. 55 ณ วัดศรีจันทร์ ต.นาอ้อ จ.เลย ภายในงานมีกิจกรรมมากมาย เช่น ขบวนแห่, การสาธิตการทำของจี่ของแต่ละหมู่บ้าน, การแสดงสินค้าพื้นเมือง สินค้า OTOP สอบถามได้ที่เทศบาลตำบลนาอ้อ โทร. 0-423-4930 หรือที่ ททท. สำนักงานเลย โทร. 0-4281-2812

"เทศกาลมาฆปูรมีศรีปราจีน" : 29 ก.พ. - 8 มี.ค. 55 ณ วัดสระมรกตและโบราณสถานสระมรกต อ.ศรีมโหสถ จ.ปราจีนบุรี

"เทศกาลมาฆปูรมีศรีปราจีน" : 29 ก.พ. - 8 มี.ค. 55 ณ วัดสระมรกตและโบราณสถานสระมรกต อ.ศรีมโหสถ จ.ปราจีนบุรี กิจกรรมในงาน เช่น แต่งชุดขาวร่วมปฏิบัติธรรม ตักบาตรและถวายภัตตาหารเพลพระภิกษุ ชมการแสดงแสง สี เสียง เวียนเทียนรอบรอยพระพุทธบาทคู่ ชิมอาหารพื้นถิ่นในบรรยากาศตลาดย้อนยุค สอบถามได้ที่ททท. สำนักงานนครนายก โทร. 0-3731-2282, 0-3731-2284

อย่าออกมาเลย พี่น้องพันธมิตรที่รักทั้งหลาย "

อย่าออกมาเลย พี่น้องพันธมิตรที่รักทั้งหลาย " มันเป็นกรรมของประเทศ " ที่ผู้คน พรรคประชาธิปัตย์ เนวิน ภูมิใจไทย ทหาร อำมาตย์ ฯลฯ ได้ทำกรรมกับ พันธมิตร และประชาชนผู้รักชาติด้วยบริสุทธิ์ ประเทศไทย ได้มีโอกาสมาก เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ที่จะเปลี่ยนแปลง ระบบอันเลวร้าย โสมม คดโกง หลังปี 2549 ที่มีการปฏิวัติ และอีกครั้ง พรรค ประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ ได้เป็นนายก แต่!!!
อนิจจา !!! คนพวกนี้ มีความดี ความกล้าหาญ คุณธรรมไม่พอ ที่จะเปลี่ยนแปลง สังคมไทย ที่มันเน่าเฟะ ผู้คนไร้ศีลธรรม กฏหมู่อยู่เหนือกฏหมาย กิน ขี้ ปี้ นอน เบียดเบียนกันสุดๆ ก็เพราะว่า คนระบบชนชั้น ปกครอง คือนักการเมือง และ ข้าราชการ มัน " โกง กิน โกหก ปลิ้นปล้อน " ทำชั่ว ช้า เลว ทราม แค่ไหน ? ก็ยังยืนอยู่ได้ อย่างสง่าผ่าเผยและยิ่งประสบความสำเร็จในประเทศไทย เป็นตัวอย่าง ที่ เลว ให้ประชาชน และ เยาวชน ทั่วประเทศได้เห็น และจำเอาแบบอย่าง " ทำเลว ชั่ว แค่ไหน ไม่สำคัญ ขอให้ทำแล้วได้เงิน " สังคมก็ยอมรับ

มัน บ้า กันไปหมด แล้ว เลือกตั้ง ก็ ซื้อมันทั้งระบบ ก็เข้ามาทำชั่ว อีก ประชาชนหวังจะพึ่งอีกฝ่าย เรียกว่าอำมาตย์ ที่คิดว่ายังมีความดี คุณธรรม เหลืออยู่บ้าง ให้เปลี่ยนแปลง ปัดกวาด เช็ดถู รื้อ ระบบ คนที่มันแสนเลว ทำให้มัน สะอาดขึ้น แต่ !!! เมื่อมีโอกาส เวลา เงื่อนไข ที่ดีที่สุด พวกมันก็ไม่ทำ ประชาชนทั้งประเทศ ทั้งโลก เอาใจช่วย พวกมันก็ไม่ทำ แถม ยังมาไล่ฆ่า คุณสนธิ บีบพันธมิตร อีก พวกมันทำกันแบบนี้ ทำกรรมกับ คนดี กับประชาชนผู้รัก และ หวังดี ต่อชาติ อย่างบริสุทธิ์ " กรรมหนัก " มาก ทำอะไรกันไว้ ก็จงรับ กันไปเถอะ เวลา และ โอกาส ไม่เคยหวลกลับมาอีก " หมดเวลา และ เงื่อนไข ที่ดี " ที่ จะเปลี่ยนแปลงประเทศแล้ว

ตอนแดงเผา เมือง อภิสิทธิ์ เป็น นายก ข่าวดังไปทั่วโลก เป็นโอกาส ที่ ดีมาก ที่จะเปลี่ยนแปลง ระบอบ สังคมไทย จัดการกับคน " ชั่ว " ผู้คนทั้่งโลกเอาใจ ช่วย แต่ !!!
ข้าฯ เคารพ รัก คุณสนธิ อาจารย์สมเกียรติย์ ลุงจำลอง คุณปานเทพ และ แกนนำพันธมิตร ทุกท่านด้วยจริงใจ เพราะพวกท่านเป็นคนกลุ่มเดียวจริงๆ ในสังคมที่รักชาติด้วยใจบริสุทธิ์ หวังเห็น สังคมเปลี่ยนแปลงไปในทางดี ข้าฯ โหวตโน ภูมิใจมากๆๆๆ ทุกการกระทำมีเหตุผล เกี่ยว เนื่อง สัมพันธ์ กัน หมด " เด็ดดอกไม้ สะเทือน ถึงดวงดาว "
พี่น้องพันธมิตรที่รัก ที่โหวตโน จงภูมิใจเถิด พวกเราไม่ได้แพ้ พวกเขาต่างหากที่แพ้ อย่างไร?
ใคร ที่ สร้าง เวร ก่อ กรรม กันไว้ ใครที่ ไม่มีใจสัตย์ซื่อ ต่อแผ่นดิน และประชาชน อย่างแท้จริง ฟ้า ดิน ก็ จักลงโทษ พวก ที่ขัดแย้ง คดโกง ทำชั่วย่ำยี กันทุกวันนี้ เหยียบย่ำซ้ำเติม แผ่นดิน เกิดของตัวเอง อยุ่ทุกวี่ทุกวันก็อย่าหวังว่าจะได้อยู่ดี ตายดี
คุณสนธิ และ แกนนำ ทุกท่าน วางใจให้สงบเถิด ใครสร้างเหตุ ปัจจัย ชั่วกันไว้ ใครคิดฆ่าคุณสนธิ และเหยียบย่ำพี่น้องพันธมิตร ผู้มีจิตรรักชาติ ด้วยบริสุทธิ์ บางคน ก็ยอมเอาชีวิต เข้าแลก แต่ พวกคนใจคด มันกลับมองไม่เห็นสัจจะธรรม ความดี และ ก้าวข้ามผ่านศพ พี่น้องไป และ ไม่ยอมปัด กวาดเช็ด ถู ประเทศไทย ที่มันแสนสกปรก โสมมไปด้วย คนชั่ว ให้เป็นบุญกับประเทศไทย คนไทย " ประตูบุญ และ โอกาส " ได้ปิดไปแล้วสำหรับคนพวกนี้
ปล่อยให้คนสร้าง กรรม ได้ชดใช้กัน พี่น้องพันธมิตร และแกนนำที่รัก ปล่อยวาง เมื่อกรรม จัดสรรได้สาสมกับเหตุแล้ว เราค่อยมาว่ากันใหม่
ไม่ใช่พันธมิตรแต่ยืนอยู่เคียงข้างตลอด
คนไทยจากสวิส

วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

แนวทางปฏิบัติสู่ความสงบสุข ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

1. ฝึกสมาธิหรือนั่งเงียบๆทุกวัน นี่เป็นวิธีตรงที่จะทำให้ใจของเราสงบ และควบคุมจิตของเรา เพื่อให้เราจะได้มีความสงบสุข

2. ส่งพลังแห่งความเมตตาให้กับสิ่งมีชีวิตทั้งหลายตลอดทั้งวัน

3. ก่อนนอนทุกคืน ใช้เวลา 2 - 3 นาที ตรึกตรองสิ่งที่เราปฏิบัติมาตลอดทั้งวัน แล้วตั้งใจว่า จะแก้ไขให้ดีขึ้น

4. ควบคุมความโกรธ จำไว้เสมอว่าเมื่อมีคนมาด่าเรา เขากำลังช่วยเหลือเรา ให้เรามีประสบการณ์ที่ดีที่จะฝึกการควบคุมตัวเอง เขาเป็นอาจารย์ของเรา

5. ท่องชื่อผู้ที่เราศรัทธา หรือคำศักดิ์สิทธิ์ก็จะช่วยให้เรารู้สึกสบายใจ

6. ร้องเพลงที่ช่วยยกจิตวิญญาณของเราให้ดีขึ้นหรือเพลงที่เต็มไปด้วยคุณค่าของความเป็นมนุษย์

7. แสวงหาเพื่อนที่ดี

8. เรียนรู้ที่จะให้สันติแก่คนอื่น ปรนนิบัติและช่วยเหลือคนอื่นให้เขาสบายใจ

9. ฝึกเงียบ พูดคำพูดที่เบาๆ และสุภาพอ่อนโยน พูดแต่สิ่งที่ดี มีสาระ ถ้าไม่รู้จะพูดอะไรดีก็ให้นิ่งไว้

10. ฝึกการหายใจ หายใจช้าๆ ลึกๆ และสม่ำเสมอตลอดเวลา และให้เราตื่นตัวตลอด เวลาถ้ามีสิ่งใดมา
รบกวนระบบการหายใจของเรา ความสงบสุขมีความสัมพันธ์กับระบบหายใจมาก คนเจ้าอารมณ์และคนที่โกรธง่ายมักจะหายใจเร็ว แต่คนที่ฝึกสมาธิเป็นประจำจะรู้สึกสงบสุข และเต็มไปด้วยความสงบ จะหายใจช้าๆ ซึ่งการหายใจช้าๆ ลึกๆ และสม่ำเสมอจะช่วยให้เราสามารถบังคับตนเองได้ มีความสงบและมีความสุข

11. สะสมเพิ่มพูนคุณค่าของความเป็นมนุษย์ในชีวิตประจำวันของเรา

แนะนำแหล่งที่มา มาจากหนังสือบทเรียนแห่งชีวิตในโลกยุคใหม่ "แนวทางสู่ความสุข"
โดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ISBN 974-94126-1-3

ขอเพิ่มเติมนะคะ
ได้มีโอกาสอ่านบทความนี้ เลยอยากแบ่งปันให้กับทุกๆท่านครับ ทำได้ง่ายๆไม่อยากเลย

การที่ได้สงบจิตสงบใจไปนั่งในห้องพระ หรือการสวดมนต์ภาวนาก็เป็นแค่การทำจิตที่กำลังโกรธ หรือว้าวุ่นให้สงบลงเท่านั้น จะเห็นได้ว่าในวันหนึ่งๆ จิตของเราไม่ได้หยุดนิ่ง เราใช้พลังงานในรูปความคิด มีสภาพของจิตที่แปรปรวนไม่หยุดนิ่ง คิดระลึกเรื่องในอดีต คิดถึงอนาคต การสัมผัสในรูปแบบ รูป รส กลิ่น เสียง นำพาให้เกิดความรู้สึกซึ่งจิตจะเป็นตัวรับรู้และออกคำสั่งตลอดเวลา อารมณ์ของผู้ครองจิตแต่ละคนล้วนแปรปรวน วันหนึ่งๆ อาจมีหลายอารมณ์ เช้ามีความสุข บ่ายมีความทุกข์ เย็นมีความโกรธ อารมณ์ต่างๆ เหล่านี้ ย่อมผันผวนไปตามเหตุการณ์ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ถ้าผู้ครองจิตคนใด มีอารมณ์หวั่นไหว ขาดความสงบ ย่อมหาความสุขได้ยาก

พระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัล) วัดอัมพวัน เคยกล่าวไว้ว่า การจะล้างจิตให้สะอาด ทำได้ด้วยการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเท่านั้น ซึ่งข้อนี้เป็นการปฏิบัติที่ให้ผลโดยรวม แต่ถ้าจะชะล้างจิตให้สะอาดเป็นเรื่องๆ ไป โดยกระทำทุกครั้งที่จิตเกิดหวั่นไหว เพราะความโกรธ ความโลภ ความเศร้าโศก พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านสอนให้กำหนดจิตไว้ตรงลิ้นปี่ (อยู่ประมาณกลางหน้าอก ระหว่างลูกกระเดือกกับสะดือ) หลับตาทำสมาธิ หายใจเข้าออกลึกๆ ยาวๆ ถ้าเกิดจากความทุกข์ก็ให้ภาวนาว่า ทุกข์หนอๆๆๆๆๆ ถ้าเกิดจากความโกรธ เมื่อมีคนมาให้ร้ายเรา ก็ให้ภาวนาว่ารู้หนอๆๆๆๆๆๆ หรือ โกรธหนอๆๆๆๆๆ อย่างน้อยให้ทำนานสักครึ่งชั่วโมง ถ้าผู้ใดเป็นผู้คล่องแคล่วในการปฏิบัติก็จะเร็วกว่านั้น เมื่อปฏิบัติไปสักพัก ความรู้สึกโกรธหรือความทุกข์ของท่านก็จะคลี่คลายหายไปในที่สุด และมีความสุขเข้ามาแทนที่ นี่คือการล้างจิตให้สะอาดเป็นเรื่องๆ ไป หลวงพ่อสอนไว้ว่า “จำไว้นะ ถ้าตายขณะโกรธจะไปทางเดียวนะ นรก ถ้าตายขณะเกิดความโลภ จะไปเกิดเป็นเปรต ขณะเกิดโทสะร้ายแรง จิตจะเปลี่ยนเป็นสีดำ ถ้าตายในขณะนั้นจิตของตนเองนั่นแหละจะพาไปนรกทันที”

ผู้แสดงความคิดเห็น คมกริช นามมงคุณ (เบลล์) (komkom-dot-ko-at-hotmail-dot-com)

คาถาหาเงิน

คาถาหาเงิน
เมื่อเงินมาตั้งหน้าพากันเก็บ
เมื่อตอนเจ็บใข้มันบำรุงขันธ์
เมื่อมีมากอยากให้เพื่อแบ่งปัน
เมื่ออยากฝันว่ามีเงินหาต่อไป
แต่อย่าให้ฝันนั้นมันมาหลอก
เพราะความฝันนั้นกลับกลอกเป็นไฉน
อย่าไปเทียบว่ามีน้อยกว่าใครๆ
มีเท่าไรรู้จักใช้สบายแฮ

Wok Sawak Sawak

หมายกำหนดการ การเดินทางไปหลักเขตที่ 73 จ.ตราด วันที่ 2 - 3 มี.ค.2555

“ถอดรหัสลับกับกิโลเมตร ที่ 73 ตามล่าขุมทรัพย์ใต้ทะเลลึก ที่ จ.ตราด” วันที่ 2-3 มีนาคม 2555
วันที่ 2 มีนาคม 2555
06.00 น.รวมตัวกันที่ ปั้มแก๊ส ข้างสันติอโศก
07.00 น.ออกเดินทางไป จ.ตราด
12.30 น.ถึงศูนย์ราชการุณย์ ( สภากาชาด ) เขาล้าน จ.ตราด รับประทานอาหารกลางวัน ริมทะเล
14.00 น.เดินทางออกจากศูนย์การุณย์ มุ่งสู่กิโลเมตรที่ 73 บ้านหาดเล็ก อ.คลองใหญ่ จ.ตราด
15.00 น.ถึงหลักกิโลเมตรที่ 73 ชายแดนกัมพูชาด้าน จังหวัดตราด พร้อมฟังบรรยายจาก ม.ล.วัลวิภา จรูญโรจน์
16.00 น.เดินทางกลับ ศูนย์ราชการุณย์
17.00 น.ถึงศูนย์ราชการุณย์ เขาล้าน – พักผ่อนตามอัธยาศัย
18.00 น.รับประทานอาหารเย็น ฟังเพลง -ร่วมกิจกรรมสันทนาการ
19.00 น.ฟังคำบรรยาย จาก ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ และ อ.วีรพันธุ์ มาไลยพันธุ์ เรื่อง ขุมทรัพย์ใต้ทะเลในอ่าวไทย
21.00 น.ฟังการปราศรัยจาก อ.ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ และวิทยากรรับเชิญ
22.00 น.เข้าที่พัก

วันที่ 3 มีนาคม 2555
06.30 น.ดื่มด่ำกับบรรยากาศยามเช้า - ออกกำลังกาย
07.30 น.รับประทานอาหารเช้าริมทะเล
09.00 น.เดินทางออกจากศูนย์การุณย์ มุ่งหน้าสู่จ.ตราด
10.00 น.ถึงจังหวัดตราด ทำกิจกรรม เผยแพร่ความจริงเกี่ยวกับ ขุมทรัพย์ใต้ทะเลลึก ผลประโยชน์อยู่ในมือของใคร ประเทศใด
12.00 น.ร่วมรับประทานอาหารกลางวัน
13.00 น.เดินทางออกจาก จังหวัดตราด
18.00 น.ถึงกรุงเทพมหานครฯโดยสวัสดิภาพ
** โปรแกรมทัวร์อาจมีการเปลี่ยนแปลง แล้วแต่ความเหมาะสม จึงขออภัยไว้ณ.ที่นี้**
***** พัก 1 คืนที่ศูนย์ราชการุณย์ กลับกทม.วันที่ 3 มีนาคม สอบถามเพิ่มเติม 083-1978608 กีฟค่ะ *****

น้ำทุกหยดมีต้นน้ำ

หาก จะถามว่า พระพุทธเจ้าทรงประทานเครื่องมือสำหรับเป็นเกณฑ์ มาตรฐานที่ใช้วัดความเป็นคนดีเอาไว้บ้างไหม ขอตอบว่า พระพุทธเจ้าทรงประทาน เอาไว้ด้วยเหมือนกัน พระองค์ทรงเรียกเครื่องมือนั้นว่า

"ความกตัญญูกตเวทิตา"

กตัญญญูคือ รู้ว่าคนไหนทำคุณหรือมีคุณแก่ตนมาก่อน

กตเวทิตาคือ รู้ว่าควรตอบแทนคุณท่านอย่างไร แล้วหาทางตอบแทนให้สมกัน

พระ พุทธพจน์ง่ายๆที่พระองค์ตรัสไว้ให้ถือเป็นหลักในเรื่องนี้ก็คือ "ภูมิ เว สัปปุรสานัง กตัญญูกตเวทิตา" ความเป็น คนกฑัญณูกตเวทีคือ พื้นฐานของคนดี ต่อมาสมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสสเทว) ได้แต่งเลียนแบบ เพิ่มขึ้นมาอีกสำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในเมืองไทยดีกว่าจำนวนแรก คือ

นิมิตตัง สาธุรูปานัง กตัญญูกตเวทตา"

ความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี

คน เราทุกคนล้วนตกเป็นหนี้บุญคุณคนอื่นด้วยกันทั้งนั้น ใครก็ตามที่กล้า ประกาศตนว่า เขาได้ดีมีสุขอยู่ทุกวันนี้ เพราะผลแห่งการต่อสู้ของตนเองโดย ไม่เกี่ยวข้องกับใครเลยนั้น ต้องนับว่าเขาเป็นคนโกหก หรือไม่ก็เป็นคน
ประเภท วัวลืมตีน หรืออย่างเลวที่สุดก็เป็นคนเขลาเบาปัญญา ที่กล้าเอ่ยวาทะไม่ควร เอ่ยเช่นนี้ออกมาประจาน ตนเองต่อหน้าวิญญูชน

เมื่อ หันมองไปรอบตัวแล้วสำรวจด้วยใจเป็นกลาง เราจะพบว่าชีวิตเริ่มแรก ก็เป็นหนี้บุญคุณพ่อแม่ ต่อมาก็พี่น้อง ญาติสนิทมิตรสหาย ครูบาอุปัชฌาย์ อาจารย์ เพื่อนบ้าน สิงสาราสัตว์ กุ้งหอยปูปลา พืชผักผลไม้ แม่น้ำลำคลอง
อากาศ ผืนดินผืนน้ำ ป่าเขาลำเนาไพร ชาวไร่ชาวนา ต้นหอม ผักชี ข้าวเปลือก ข้าวสาร มังคุด ลิ้นจี่ ลำไย คนกวาดถนน คนเก็บขยะ คนส่งหนังสือพิมพ์.. นายกรัฐมนตรี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว บุรพมหากษัตริยาธิราช บรรพบุรุษ ฯลฯ

หากเรารู้จักมองโลกด้วยหลักอิทัปปัจจยตาที่ว่า "เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ" จะพบว่าชีวิต เรากับชีวิตคนอื่น สัตว์อื่น และ สิ่งอื่น ล้วนเกี่ยวพันกันเป็นห่วงโซ่แห่งความสัมพันธ์อันยืดยาว และกินขอบเขต กว้างขวางเกินกว่าจะประมาณได้ว่ามากมายเพียงไร และกินเวลามาเนิ่นนาน ขนาดไหน กี่ภพกี่ชาติแล้ว ที่เรา ต้องมาเกี่ยวข้องกันและเป็นหนี้บุญคุณกัน และกันไม่รู้จบสิ้น

ไม่มีใครในจักรวาลนี้เติบโตขึ้นมาเป็นตัวตนอยู่ ได้อย่างเสรีโดยไม่มีความ เกี่ยวข้องกับใครและใครเลย คนทุกคน บนโลกนี้หรือแม้แต่สรรพชีพสรรพสัตว์ ในจักรวาลล้วนมีที่มา เฉกเช่นเดียวกับน้ำทุกหยดล้วนมีต้นน้ำ คนที่ปฏิเสธ รากเหง้ากำพืดของตนไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อม จึงเป็นคนเลวในทัศนะของ พุทธศาสนา ส่วนคนที่ไม่เคยลืม
ที่มาของตนเองไม่ว่าจะยากดีมีจนหรือต่ำต้อย ด้อยค่าเพียงไร คือวิญญูชนคนดีที่น่ายกย่องสรรเสริญ

คนชนิดเช่นนี้ ถึงเทพก็ชม ถึงพรหมก็สรรเสริญ

หลวง พ่อสุเมโธ หรือ ท่านเจ้าคุณพระสุเมธาจารย์ (โรเบิร์ต แจ็คแมน) เจ้าอาวาสวัดป่าอมราวดี กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ คืออีกตัวอย่างของ คนดีตามมาตรฐานที่พระพุทธเจ้าทรงวางเอาไว้ ท่านเคยย้อนความหลังฝากไว้ เป็นบทเรียนแก่อนุชนอย่างน่าฟังดังต่อไปนี้

มีเรื่องหนึ่งอาตมาอยาก เล่าให้ฟัง ปีแรกที่อาตมาเป็นสามเณรอยู่ที่หนองคาย อาตมาได้พบพระรูปหนึ่ง เดินธุดงค์ไป ากอุบลฯ พระรูปนี้อายุเท่าอาตมา เคยทำงานในราชนาวีไทย อาตมาก็เคยอยู่ในกองทัพเรืออเมริกันในสงครามเกาหลี

ท่านเป็นพระไทย รูปแรกที่อาตมาได้พบที่พูดภาษาอังกฤษได้ แม้ว่าจะพูด ได้อย่าง งูๆ ปลาๆ แต่อาตมาก็ดีใจที่มีใครสักคนที่พอจะพูดด้วยได้ไนเวลานั้น ท่านเป็นพระที่เคร่งมาก ดูเคร่งครัดในพระวินัยทุกข้อ ฉันอาหารในบาตร ใช้จีวรสีกรักอย่างพระป่า แต่ในวัดที่อาตมาอยู่นั้น พระใช้จีวรสเหลืองส้ม อาตมาประทับใจในตัวท่านมาก

ท่านได้แนะนำว่าอาตมาควรจะไปอยู่กับหลวง พ่อชา ดังนั้นหลังจากได้ อุปสมบทเป็นพระภิกษุและท่านอุปัชฌาย์ อนุญาตแล้ว อาตมาก็ออกเดินทาง ไปอุบลฯกับท่านทันที แต่ระหว่างทางท่านก็ทำให้อาตมาเสื่อมศรัทธาและรู้สึก เบื่อหน่ายจนสุดจะทน เพราะท่านจุกจิกจู้จี้และมีเรื่องตำหนิพระอื่นๆอยู่ตลอดเวลา ท่านคิดว่าเราเท่านั้นเป็นพระดีที่สุด ซึ่งเป็นสิ่งที่อาตมารับไม่ได้ อาตมาได้แต่หวังว่า หลวงพ่อชาจะไม่เป็นเหมือนพระรูปนี้ ตอนนั้นชักไม่แน่ใจว่ากำลัง ทำอะไรกับตัวเอง

เมื่อไปถึงวัดหนองป่า พงและได้กราบหลวงพ่อแล้ว อาตมาก็รู้สึกโล่งใจ หายกังวลทันที ปีต่อมาพระรูปนั้นก็ลาสิกขา แล้วก็เป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง ท่านอดเหล้าได้เฉพาะช่วงที่อยู่ในสมณเพศเท่านั้นเอง พอลาสิกขาแล้วก็เลย เมาหยำเป กลายเป็นคนจรจัด น่าสมเพช เมื่ออาตมาทราบข่าวก็รู้สึกโกรธ และนึกรังเกียจ

เย็นวันหนึ่งเมื่อได้คุยเรื่องนี้กับหลวงพ่อ หลวงพ่อบอกอาตมาว่า "ท่านต้องกตัญญูต่อเขา เพราะเขาเป็นคนพา ท่านมาที่นี่ ไม่ว่าเขาจะ ประพฤติตัวหรือ เปลี่ยน แปลงไปอย่างไรก็ตาม ท่านก็ต้องถือเสมือนเขาเป็นครู คนหนึ่งของท่าน และแสดงความกตัญญู เพราะการที่เขาได้พาท่านมาที่นี่อาจจะ เป็นคุณความดีเพียง อย่างเดียวที่เคยทำในชั่วชีวิตนี้ เป็นสิ่งเดียวที่เขาจะภูมิใจได้ ไปบอกให้เขารู้สึกดีๆในเรื่องนี้ บางทีเขา อาจจะเปลี่ยนก็ได้"

แล้ว หลวงพ่อกเร่งเร้าให้อาตมาไปตามหาโยมคนนั้น ไปคุยกับเขา ขอบคุณที่พามาหาหลวงพ่อ ซึ่งอาตมารู้สึกว่าเป็น สิ่งที่งดงาม น่าปฏิบัติตาม จริงๆ ถ้าให้อาตมาไปพูดดูถูกเขา อย่างนี้ก็ง่าย...

"โยมทำให้อาตมาผิดหวังมาก โยมเคยตำหนิคนอื่น คิดว่าตัวเองเป็น พระดี
แล้วดูสิ ตอนนี้โยมเป็นยังไง"

บางทีเราก็อารมณ์เสียเพราะขัดเคืองที่เขาไม่เป็นไปอย่างทีเราคาดหวัง แต่ หลวงพ่อจะบอกว่า...

"อย่าไปทำอะไรอย่างนั้น เสียเวลาเปล่าๆ แล้วก็อันตรายด้วย ทำสิ่งดีๆจากจิตที่ประกอบด้วยความกรุณาดีกว่า..."

เมื่อ อาตมาได้พบเขาอีก เขาก็ยังดูโทรมอยู่อย่างเดิม ไม่มีอะไรดีขึ้น แต่ทุกครั้งที่เห็นอาตมา ดูเขาดีอกดีใจ เพราะ เขาจำได้ ในชีวิตของเขาคงมีไม่ กี่ครั้งหรอกที่จะได้รู้สึกดีๆ อย่างนั้น อาตมาก็รู้สึกดีใจ ที่ทำให้เขามีความสุข แม้จะเป็นเพียงชั่วขณะหนึ่ง คนที่มีความทุกข์มากๆนั้น ถ้าเราทำให้เขามีความสุข บ้าง แม้แค่สองสามครั้ง เราจะรู้สึก ปลื้มมาก

ครูบาอาจารย์หลายคนที่อาตมาสนใจผลงาน แต่ไม่เคยรู้จักเป็นส่วนตัว อย่างเช่น อลัน วัตต์ส (Alan Watts ) ผู้เขียน"วิถีแห่งเซ็น" (The way of zen) ซึ่งเป็นหนังสือเกี่ยวกับพุทธศาสนาเล่มหนึ่งที่อาตมาได้อ่านในระยะแรกๆ จำได้ว่า ประทับใจมาก อ่านแล้วอ่านอีกหลายเที่ยว แต่ต่อมาภายหลังอาตมาทราบว่าเขาชักไม่ได้เรื่องแล้ว เมื่อ อาตมามีโอกาสได้ไปฟังเขาพูดที่ซานฟรานชิสโก ยอมรับ ว่าเขาพูดเก่ง แต่ตอนนั้นคิดว่ายังไม่ดีพอ

แต่ปัจจุบันเมื่อระลึกย้อนกลับไป อาตมาก็รู้สึกขอบคุณและกตัญญูต่อ อลัน วัตต์ส ตลอดทั้งนักเขียนและ ครูบา อาจารย์อีกหลายๆคนที่เคยให้ความรู้ แก่อาตมาชีวิตส่วนตัวของเขาจะเป็นอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องของเรา ที่จะไป วิพากษ์วิจารณ์ หรือฝังใจอยู่กับความบกพร่องผิดพลาดของเขา

"ผู้มีเมตตาและกตัญญูต้องเลือกจดจำเฉพาะด้านที่ดีของผู้อื่นเท่านั้น"




คนที่ปฏิเสธรากเหง้ากำพืดของตน

ไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อม

จึงเป็นคนเลวในทัศนะของพุทธศาสนา

ส่วนคนที่ไม่เคยลืมที่มาของตนเอง

ไม่ว่าจะยากดีมีจนหรือต่ำต้อยด้อยค่าเพียงไร

คือวิญญูชนคนดีที่น่ายกย่องสรรเสริญ


--------------------------------------------------------


ว.วชิรเมธี