++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันเสาร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2549

เทคนิคการปรับปรุงบำรุงดินให้พืชผักงาม ลดการใช้ปุ๋ยและสารเคมี : นายขันติ หนูแดง

หากนับระยะทางระหว่างกรุงเทพกับอำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรีแล้ว ด้วยระยะทางเพียงร้อยกิโลเมตรนั้น นับว่าไม่ไกลเกินไปหากต้องมีการขนส่งสินค้าเกษตรที่เน่าเสียง่าย เช่น ผักหลากหลายชนิดตามฤดูกาลมาขายยังตลาดค้าส่งผักสดในกรุงเทพมหานคร

เป็นความโชคดีของคนกรุงเทพฯ และผู้บริโภคบริเวณใกล้เคียงที่ได้บริโภคผักสดปลอดสารพิษชนิดต่างๆ ตามฤดูกาลที่ปลูกจากไร่นาของ นายขันติ หมูแดง หมอดินอาสาที่มีใจมุ่งมั่นเจ้ารับการอบรมในการปรับปรุงบำรุงดินของตัวเองตามแนวทางการส่งเสริมการพัฒนาที่ดินจากสถานีพัฒนาที่ดินลพบุรี

เริ่มต้นการปลูกผักโดยพัฒนาดินรอบแรกด้วยการไถพรวนให้ลึกประมาณ 10 เซนติเมตร จัดการดินให้ร่วนซุยมากที่สุดแล้วหว่านปุ๋ยหมักที่ผลิตจากสารเร่ง พด.1 ของกรมพัฒนาที่ดินเพื่อเพิ่มจุลินทรีย์ให้กับดินประมาณไร่ละ 1 ต้น และหว่านเมล็ดปุ๋ยพืชสด (ปอเทือง) โดนหว่านให้กระจายทั่วแปลงด้วยอัตราเมล็ดพันธุ์ 8 กิโลกรัมต่อไร่ ให้น้ำทุกวัน

เมื่อปอเทืองออกดอกก็ไถกลบต้นลงดินและให้น้ำทุกวันเป็นเวลา 6 วัน หลังจากนั้นไถครั้งที่ 2 เพื่อช่วยให้มรการย่อยสลายได้ดีขึ้น ทิ้งไว้ 15 วัน จึงเริ่มปลูกพืชผักได้

การปลูกผักนอกจากจะต้องมีการจัดการดินที่ดีแล้ว หลักของการปลูกคือ ให้มีผลผลิตออกไล่เรียงอายุการเก็บเกี่ยวเป็นรุ่นๆไป และต้องให้มีพื้นที่เหลือให้วัชพืชขึ้นบ้างเพื่อให้แมลงศัตรูพืชได้อพยพไปอาศัยอยู่ในช่วงเวลาที่ไถกลบซากต้นผัก มิฉะนั้นแล้วแมลงศัตรูพืชจะไม่มีที่อาศัยและอาหาร ทำให้ต้องเข้าทำลายกัดกินพืชผักที่ปลูกไว้แทน

ในฤดูหนาว เริ่มต้นการปลูกพืชผักด้วยผักที่ชอบอากาศเย็นทุกชนิด เช่น กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก มะเขือเทศ

ส่วนในฤดูร้อน บริเวณหน้าดินจะมีอุณหภูมิสูงมาก หากหว่านเมล็ดผักในช่วงนี้เลยจะทำให้เมล็ดที่งอกถูกอากาศร้อนก็จะเหี่ยวเฉา จึงได้ปลูกปอเทืองไว้เป็นแถวเพื่อพรางแสง โดยหว่านห่างกันแถวละ 50 เซนติเมตร แล้วหว่านเมล็ดผักในระหว่างแถวของปอเทืองแทนเมื่อผักที่ปลูกไว้โตขึ้นก็ให้ตัดต้นปอเทืองทิ้งนำมาคลุมหน้าดินโดยไม่ต้องไถพรวน

ในฤดูฝน ความร้อนนั้นลดลงเนื่องจากความชื้นในอากาศมีมากแต่พระอาทิตย์อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรหรือพื้นที่ประเทศไทยมากที่สุดในช่วงเดือนกรกฏาคมถึงเดือนสิงหาคม ทำให้แดดหลังฝนตกนั้นร้อนมากและฝนที่ตกในช่วงนี้เป็นฝนเม็ดใหญ่ตามฤดูมรสุม ทำให้เม็ดฝนกระแทกใบผักรุนแรงมากที่สุด การปลูกผักในช่วงนี้ถ้าเป็นผักใบ ใบจะช้ำ และเมื่อใบสัมผัสกับผิวดิน จะทำให้ใบเป็นโรคเน่าได้ง่าย ดังนั้นจึงต้องปลูกพืชคลุมดินด้วยต้นปอเทืองเพื่อไม่ให้ใบผักสัมผัสกับดิน

การจัดการอีกวิธีโดยไม่ต้องใช้ปุ๋ยหมักก็คือ การปลูกพืชตระกูลถั่วก่อนการเก็บเกี่ยวผัก โดยให้เริ่มโรยเมล็ดปอเทืองเป็นแถวในที่ว่างๆ ระยะห่างประมาณ 60 เซนติเมตรระหว่างแถวผัก เมื่อเก็บเกี่ยวซากต้นผักแล้วประมาณ ระยะเวลาให้พอดีกับที่ปอเทืองจะออกดอก แล้วไถกลบเป็นพืชบำรุงดินต่อไป และในการรดน้ำให้ผสมน้ำหมักชีวภาพที่ผลิตจากสารเร่ง พด.2 ของกรมพัฒนาที่ดินด้วยทุกครั้งจะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตได้


นายขันติ หนูแดง
หมอดินอาสาประจำตำบลหนองแขม
19 หมู่ 8 ต.หนองแขม อ.โคกสำโรง จ.ลพบุรี


จากหนังสือ “ภูมิปัญญาเกษตรอินทรีย์ตามวิถีชีวิตเศรษฐกิจพอเพียง”
จัดทำโดย กรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กันยายน 2549

วันจันทร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2549

การสอนทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อการเรียนในระดับมหาวิทยาลัย

พีชยา สุริยวงศ์
ศูนย์ภาษา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี

ใน ประเทศไทยการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเป็นการสอนในฐานะภาษาต่างประเทศ ฉะนั้น ทักษะที่นักศึกษาไทยมีโอกาสใช้งานมากที่สุด และมีโอกาสฝึกฝนได้ด้วยตนเองมากที่สุด คือ ทักษะการอ่าน แต่อย่างไรก็ตามนักศึกษาไทยยังคงมีปัญหาเรื่องของการใช้ทักษะการอ่านเพื่อ ความเข้าใจอยู่ ผู้วิจัยจึงได้ทำการศึกษาโดยใช้วิธีการสอนทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจ เพื่อช่วยในการเรียนภาษาอังกฤษในระดับอุดมศึกษา และเพื่อส่งเสริมให้นักศึกษาเกิดเจตคติที่ดีต่อการอ่านภาษาอังกฤษ

กล ุ่ม ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ที่เรียนวิชาการอ่านภาษาอังกฤษทั่วไป (1550103) ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2548 จำนวน 33 คน โดยนักศึกษาได้รับการฝึกการใช้กระบวนการอ่านเพื่อความเข้าใจแบบ เอส คิว ไฟว์ อาร์ เป็นเวลา 10 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย 1) แบบสอบถามประเภทและความถี่ในการใช้กลวิธีการอ่าน 2) แบบสอบถามความคิดเห็นของนักศึกษาต่อการพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจของนักศึกษาเอง 3) สมุดบันทึกของนักศึกษา และ 4) การสัมภาษณ์

ผลการวิจัย พบว่า 1) นักศึกษามีการใช้กลวิธีการอ่าน ประเภทต่างๆในกระบวนการเอส คิว ไฟว์ อาร์ เพิ่มขึ้น ซึ่งความถี่ของกลวิธีการอ่านทุกๆประเภท อยู่ในระดับการใช้เป็นบางครั้งจนถึงใช้เป็นประจำหรือเกือบเป็นประจำ 2) นักศึกษาคิดเห็นว่า ความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของตนเองพัฒนาขึ้นในระดับ ที่น่าพึงพอใจ 3) นักศึกษามีเจตคติที่ดีต่อการสอนการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ


จาก การประชุมสัมมนาเชิงวิชาการ ครั้งที่ 1
วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การศึกษา และภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

1-3 พฤศจิกายน 2549
ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี

The 1st Conference Science, Technology, Education and Local Wisdom for Sustainable Development

1-3 November 2006
Udonthani Rajabhat University

วันอาทิตย์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2549

กินเพื่อสุขภาพ : เรื่องของคนกลัวไข่

"ไข่" เป็นอาหารพื้นฐานประจำบ้านธรรมดาๆ ที่แสนจะมีประโยชน์ เพราะ
มีโปรตีน ซึ่งช่วยทำให้ร่างกายเจริญเติบโต และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ แต่
มันน่าประหลาดใจว่า บางคนกลัวไข่!

โดยปรกติแล้ว นักโภชนาการจะไม่แนะนำให้คนสูงอายุ ซึ่งจัดว่าเป็นวัย
ที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายรับประทานไข่ เพราะแม้ว่าจะมีโปรตีนสูง แต่ไข่ก็มี
โคเลสเตอรอลสูงมากด้วย ซึ่งจะทำให้เกิดอาการไขมันอุดตันในเส้นเลือดตาม
มาหรือถ้าคนปรกติทานมากกว่าระดับที่เหมาะสมก็อาจทำให้เป็นโรคหัวใจ
หรือโรคอ้วนได้ อย่างไรก็ตาม มีคนบางประเภทที่ห่วงใยในสุขภาพ และระมัดระวังกับ
การเลือกรับประทานอาหารจัดให้ไข่อยู่ในประเภทอาหารต้องห้าม หรือถ้า
จะทานก็ไม่ทานไข่แดง โดยทานแต่ไข่ขาวซึ่งมีโคเลสเตอรอล ต่ำกว่าอย่างนี้
คงไม่ดีแน่...

แม้ว่าจะมีอาหารอื่นที่ให้โปรตีน แต่อาหารแต่ละชนิด จะมีปริมาณสารโปรตีน
ไม่เท่ากัน นอกจากนี้ไข่ยังเป็นแหล่งวิตามินเอ และวิตามินอี ที่สำคัญทุก ๆ
เซลล์ในร่างกายต้องการโคเลสเตอรอล เพื่อนำไปใช้ประโยชน์
สถาบันวิชาการต่างประเทศวิจัยมาแล้วว่า สำหรับคนปรกติที่แข็งแรงดี
คือ ไม่ได้เป็นโรคหัวใจ หรือมีระดับโคเลสเตอรอลสูงมาก จนต้องควบคุม
อาหารที่รับประทานอย่างเคร่งครัดแล้ว การรับ-ประทานไข่วันละ 1 ฟอง
ไม่ ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคข้างต้นมากขึ้น
ที่สำคัญเราควรให้ความสนใจที่ไขมันทั้งหมดที่รับประทานต่อวัน
มากกว่าที่จะสนใจว่าวันนี้ทานไข่ไปกี่ฟอง เพราะผู้ร้ายตัวจริงคือไขมันอิ่มตัว ไม่ใช่
อาหารที่มีโคเลสเตอรอลประเภทใด ประเภทหนึ่ง

กินเพื่อสุขภาพ : เบต้าแคโรทีน

เคยสงสัยกันไหมว่าทำไม "กินผักบุ้งแล้วตาหวาน" ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะ
ว่าผักบุ้งมีวิตามินเอ ซึ่งเป็นวิตามินที่จำเป็นที่สุดสำหรับหน้าต่างของ หัวใจเลยทีเดียว

นอกจากนี้ การวิจัยทางโภชนาการหลายสำนักบอกว่า การกินอาหาร ที่
มีวิตามินเอมากๆ ช่วยลดอัตราเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งได้ อาหารที่เป็นแหล่ง
วิตามินเอมีอยู่สองประเภท อย่างแรกคือ เรตินอล ที่พบในอาหาร จำพวก
สัตว์ และอีกประเภทคือ เบต้าแคโรทีน ซึ่งพบในพืช

แหล่งวิตามินเอที่ได้จากสัตว์ เป็นวิตามินเอบริสุทธิ์ ซึ่งจะดูดซึมได้เร็ว
ส่วนเบต้าแคโรทีน ต้องผ่านกระบวนการในร่างกาย ถึงจะเปลี่ยนไปเป็น
วิตามินเอได้ แต่การศึกษาต่อมาพบว่า เบต้าแคโรท ีนต่างหากที่ช่วยลดอัตราเสี่ยง
ต่อการเป็นมะเร็ง ไม่ใช่วิตามินเอที่สกัดจากสัตว์

ผักผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีน จะเป็นพวกที่มีสีเขียวเข้ม สีเหลืองหรือส้ม
แต่ที่สีสันน่ารับประทานที่สุด เห็นจะเป็นแครอท นอกจากดูน่าทานแล้ว ยัง
มีเบต้าแคโรทีนเพียบ แถมด้วยวิตามินเอ ไฟเบอร์ และโปแตสเซียม
แครอทสด ๆ มีเบต้าแคโรทีนมากที่สุด แต่ที่จริงแครอทสุกให้ วิตามินเอมากกว่า
เพราะความร้อนจะช่วยทำลายเซลล์ผนังแข็ง ๆ ซึ่งขัดขวางการดูดซึมวิตามินเอของร่างกาย
ถ้าจะให้ดี เวลาจะทานแครอท ก็ใช้ความร้อนแต่น้อย จะได้มีสารอาหาร
พร้อมทั้งวิตามินเอ และเบต้าแคโรทีน ถ้าต้มก็ใช้น้ำให้น้อยที่สุดเท่าที่เป็นไป
ได้ เนื่องจากสารอาหารบางอย่างจะถูกชะล้างไประหว่างการประกอบอาหาร

กินเพื่อสุขภาพ : น้ำตาล...ไม่หวานอย่างที่คิด

เขาว่ากันว่าคนทานรสหวานจัดเป็นคนดุ อันนี้ก็ไม่รู้ว่าเป็นความเชื่อหรือ
ความจริง แต่ที่แน่ๆ ทานน้ำตาลมากๆ เอวจะหายไปไม่รู้ตัว

รู้กันหรือเปล่าว่า สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในการควบคุมน้ำหนักไม่ใช่ไขมัน แต่
เป็นน้ำตาล! ต่อให้ระมัดระวังควบคุมไขมันมากขนาดไหน แต่ถ้ายังเติมน้ำ
ตาลไม่ยั้งล่ะก็ ... เสร็จแน่

พูดไปอาจจะไม่เชื่อ พวกอาหารไขมันต่ำ หรือไม่มีไขมัน ก็ทำให้คุณ
อ้วนได้ถ้ามีน้ำตาลฟรุกโตส อยู่ในปริมาณมาก เพราะร่างกายเราดูดซึม
อาหารพวกนี้ได้เร็ว ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ตามกลไกร่าง
กายแล้ว ตับอ่อนจะผลิตอินซูลินออกมาเพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือด
แต่ความจริงที่โหดร้ายก็คือ ถ้าเราไม่ได้ใช้ พลังงานมากพอ น้ำตาลก็จะถูก
เปลี่ยนไปเป็นไขมันสะสมไว้ในร่างกาย

อาหารรสหวาน ทำให้ชีวิตมีรสชาติ ทำให้รู้สึกสดชื่นกระชุ่มกระชวย
แต่การทานน้ำตาลมากเกินไปน่าจะเป็นโทษมากกว่าเป็น ประโยชน์ เพราะน้ำ
ตาลฟอก ถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดได้ง�าย พอระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น
อย่างรวดเร็ว อวัยวะที่จะต้องหัวหมุนก็คือตับอ่อน ที่จะต้องทำงานหนัก
ทางออกที่ดีที่สุดคือลดความหวานลงหน่อย ถ้าเลิกไม่ได้ก็เปลี่ยนมากิน
น�ำตาลแบบที่ยังไม่สกัดแทน เพราะผักหรือผลไม้ที่มีรสหวาน จะมีไฟเบอร์
น้ำ และแร่ธาตุอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ และมีกากอาหารที่ร่างกาย ไม่สามารถ
ดูดซึมได้ทั้งหมด

ถ้าเป็นไปได้ ลองเลิกทานน้ำตาลสัก 2-3 วันจะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น โดย
เฉพาะสำหรับบางคนที่มักจะทานน้ำตาลในปริมาณมาก อาจจะรู้สึก
หงุดหงิดสักหน่อย แต่เชื่อเถอะ ยิ่งเลิกยากเท่าไหร่ เวลาเลิกได้จะยิ่งรู้สึกดีมากขึ้น
เท่านั้น