ตอนที่เกิดสึนามิถล่มญี่ปุ่น ดูภาพทางโทรทัศน์แล้วก็เห็นพลังของน้ำที่ไหลบ่าอย่างรวดเร็วทำลายบ้านเรือน หนทาง และต้นไม้ ข่าวว่ามีคนตายนับหมื่น หายนะที่เกิดขึ้นครั้งนี้ทำให้คนเริ่มกังวล และพูดถึงหนัง 2012 หรือ “วันสิ้นโลก” กันมากขึ้น
หนังเรื่องนี้ได้อิทธิพลจากคำทำนายหลายๆ แห่งที่บอกตรงกันว่า วันที่ 22 ธันวาคม 2012 จะเป็นวันสิ้นโลก เริ่มจากการที่ชนเผ่ามายาระบุวันสุดท้ายของปฏิทินว่าคือวันที่ 22 ธันวาคม 2012
เผ่ามายานี้มีชีวิตอยู่แถบประเทศกัวเตมาลา และแหลมยูคาทานในเม็กซิโก พวกเขาอยู่มาตั้งแต่ 2,000 ปีก่อนคริสต์กาล และอาณาจักรมายาได้ล่มสลายไปเมื่อประมาณ ค.ศ. 1500 โดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่สันนิษฐานกันว่า เป็นเพราะความแห้งแล้ง ทำให้คนขาดน้ำ และขาดอาหาร ภาพถ่ายจากดาวเทียมของนาซาวิเคราะห์ว่า ต้นไม้ ป่าไม้หมดไปก่อนการล่มสลายของอาณาจักร
พวกมายามีความเจริญมาก มีอักษรเขียนเป็นของตนเอง มีความรู้เรื่องดาราศาสตร์ มีความรู้ว่าโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ปีหนึ่ง 365 วัน พวกเขาคิดปฏิทินใช้เอง เป็นปฏิทินที่เราใช้กันอยู่ตราบเท่าทุกวันนี้
ที่สำคัญก็คือ มีปฏิทินนั้นมาสิ้นสุดลงในวันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 2012
น่าแปลกใจที่องค์การนาซา ระบุว่า ในปีเดียวกัน แกนโลกจะพลิกกลับ คือ จากขั้วโลกเหนือ ก็จะกลับเป็นขั้วโลกใต้ และในขณะที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ โลกก็จะไร้สนามแม่เหล็ก ในเวลาเดียวกันนั้น ดวงอาทิตย์ก็จะพลิกกลับขั้วเช่นกัน โดยจะแผ่สนามแม่เหล็กรังสีความร้อนสูง เนื่องจากโลกไม่มีสนามแม่เหล็กคอยป้องกันความร้อนของดวงอาทิตย์ ก็จะทำให้น้ำแข็งที่ขั้วโลกละลายเกิดน้ำท่วมใหญ่
นอกจากนี้ยังมีการทำนายอีกว่า ดาวเคราะห์ดวงใหม่ชื่อ “นิบิรุ” ซึ่งใหญ่กว่าดาวพฤหัสฯ 2 เท่า (ใหญ่กว่าโลก 5 เท่า) จะวิ่งมาชนโลก
ส่วนคำทำนายของฝรั่งก็มี เช่น นายกอร์ดอน สติลาเลียน ซึ่งตายไปแล้วฟื้นคืนชีพมาใหม่ บอกว่าเขาฝันเห็นโลกใหม่ที่มีรูปลักษณ์ต่างออกไป คือ แผนที่โลกเปลี่ยนไป ทวีปออสเตรเลียจะเล็กลง ประเทศไทยจะเหลือเพียงครึ่งเดียว และโลกจะถึงกาลอวสานในปี 2012 นี้
ในประวัติศาสตร์มักจะมีคำทำนายถึงวันสิ้นโลกเป็นระยะๆ แต่ครั้งดูจะได้รับความสนใจเป็นพิเศษ ยิ่งผู้คนเห็นคลื่นสึนามิถล่มญี่ปุ่น ก็ยิ่งวาดภาพออก นัยว่าญี่ปุ่นเองก็เคลื่อนตัวไป 6 ฟุตจากภัยครั้งนี้
สำหรับพระและโหรทั้งหลาย ก็ทายทำนองเดียวกัน มีหลวงปู่องค์หนึ่ง ผมจำชื่อไม่ได้แล้ว ก็บอกว่าพญานาคที่พ่นน้ำมาครึ่งหนึ่งแล้ว ก็จะพ่นน้ำจนหมด คนชั่วจะตาย ส่วนคนดีมีศีลธรรมก็จะอยู่ โหรคนหนึ่งบอกว่าปีหน้าภูเก็ตจะถูกกลืนหายไป เหลือเพียงครึ่งเดียว (ผมหวังว่าร้านอาหารอร่อยๆ ที่มีขนมจีนแกงปู และหมูฮ้องลือชื่อคงจะรอดนะครับ)
คนไทยอีกคนหนึ่งคือ ศาสตราจารย์นายแพทย์เทพนม เมืองแมน ผู้เชื่อในมนุษย์ต่างดาว และจานบิน เคยสัมภาษณ์มนุษย์ต่างดาว 2 คน ถามเรื่องโน้นเรื่อนี้ แต่ไม่ได้พูดถึงเรื่องปี 2012
การที่มีคนพูดว่าปี 2012 จะสิ้นโลก ก็เหลือเวลาอีกไม่นาน ต่างคนก็ต่างคิดว่า จะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างไร ผมเองคิดว่าได้กำไรชีวิตแล้ว อยู่มาเกือบ 70 ปี ที่จริงผมวางแผนไว้แล้วว่า พออายุ 70 ก็จะเลิกทำงาน ไปอยู่หัวหิน คอนโดฯ ผมอยู่ชั้น 12 ไม่ต้องกลัวสึนามิ เล่นกอล์ฟอาทิตย์ละ 2 วัน นวดแผนโบราณอาทิตย์ละ 2 หน กินของอร่อยๆ นั่งฟังเพลง และหาหนังดีๆ มาดู ถึงเวลานั้นผมก็คงหยุดเขียนคอลัมน์ เพราะคงไม่รู้จะเขียนอะไรแล้ว
น่าเห็นใจคนที่เพิ่งมีลูก หรือกำลังจะแต่งงาน หรือเพิ่งผ่อนรถผ่อนบ้านหมด หากโลกสลายปีหน้าปลายปีจริงๆ คงยุ่งมาก โดยเฉพาะธนาคารที่คนยังติดหนี้อยู่แยะมาก เพื่อนบางคนก็วางแผนว่า อยากทำในสิ่งที่อยากทำ แต่ยังไม่ได้ทำ แต่ผมคิดว่าสายเสียแล้ว เหลือเวลาอีกไม่นาน
ที่กลุ้มที่สุดเห็นจะได้แก่ นักการเมืองที่โกงไปแยะเลยอดใช้เงิน บางคนอยากเป็นรัฐมนตรีก็ยังไม่ได้เป็น การคิดถึงวันโลกแตก จะทำให้คนหันมาทำความดีมากขึ้น โลภ โกรธ หลง น้อยลง หรือไม่หนอ
แต่มาคิดดูอีกทีหนึ่ง ทำไมโลกจึงจะแตกง่ายๆ อย่างนี้ เรื่องการเปลี่ยนขั้วของโลก การที่รังสีแสงอาทิตย์จะทำให้ภูเขาน้ำแข็งละลาย น่าจะใกล้ความเป็นไปได้มากที่สุด เพราะมีความใหญ่โตพอที่จะก่อให้เกิดภัยพิบัติได้อย่างกว้างขวาง เรื่องน้ำท่วมโลกก็มีการเล่ากันมานานแล้ว มีบางคนเชื่อว่าจีน อเมริกา และรัสเซีย ร่วมกันแอบสร้างเรือลำมหึมาไว้คอยอพยพคนที่มีตังค์จ่ายหนีไป
พุทธศาสนาสอนให้เรามีสติอยู่กับปัจจุบัน เพราะวันวานเป็นอดีต อนาคตก็ยังมองไม่เห็น ปัจจุบันนี่แหละคือพุทธะ ดังนั้นแม้จะมีคำทำนายอย่างไร ก็ควรถือว่าเป็นอนุสติให้เรารู้ว่าคนเรานั้น แม้โลกจะไม่สลาย ตัวเราเองก็ต้องตาย สิ่งใดที่สะสมไว้ ก็เอาติดตัวไปไม่ได้ คงเหลือแต่คุณธรรมความดีให้คนได้จดจำคิดถึง อย่างเช่น หลวงตามหาบัว เป็นต้น ที่ผู้คนหลั่งไหลไปเคารพสักการะ
คิดได้เช่นนี้แล้วก็สบายใจได้ และไม่ต้องห่วงอะไรทั้งสิ้น แต่อย่าถึงกับท้อแท้ไม่ทำอะไร โดยอ้างเหตุว่าทำไปก็ไม่มีประโยชน์เพราะโลกจะแตกแล้ว หรือใช้เงินจนหมด แต่โลกก็ยังไม่แตก ก็จะอยู่อย่างลำบากเพราะไม่เหลืออะไรเลย
Theขี้ฝุ่นริมทาง
วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์. . .ปัญหาไม่ใช่แค่เรื่องความปลอดภัย! โดย ประสาท มีแต้ม
โดยปกติเมื่อพูดถึงปัญหาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ เขามักจะพิจารณาถึงหลักการสำคัญ 4 ข้อ คือ (1) ต้นทุน (2) ความปลอดภัย (3) การจัดการกับกากนิวเคลียร์ และ (4) การเพิ่มกระจายของความเสี่ยง (proliferation risk) แต่ถ้าพูดถึงโรงไฟฟ้าโดยรวมเขาจะพิจารณาเพิ่มอีก เช่น (1) การกระจายรายได้ (2) ความเป็นอิสระด้านพลังงาน และ (3) ปัญหาสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
เหตุการณ์ที่ญี่ปุ่นได้ส่งผลให้ชาวโลกต้องลุกขึ้นมาคิดถึงความเหมาะสมกันอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ได้มุ่งไปที่เรื่องความปลอดภัยเพียงอย่างเดียว
ในบ้านเรา การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ก็มีแผนการจะก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ถึง 5 โรง คิดเป็นร้อยละสิบของกำลังการผลิตทั้งหมดในช่วง 20 ปีข้างหน้า
บทความนี้จะกล่าวถึง 3 ประเด็นที่เหลือและขอเพิ่มเติมอีกหนึ่งที่ผมคิดว่าเป็นลักษณะพิเศษของวัฒนธรรมไทยเลยทีเดียว
ผมเริ่มต้นด้วยคำพูดของคุณอัล กอร์ ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพว่า “สมมติว่าเราสามารถแก้ปัญหาสำคัญ 2 อย่างได้แล้ว คือ (1) ปัญหาที่เก็บกากนิวเคลียร์ที่ปลอดภัย (2) ปัญหาการก่อการร้ายด้วยอาวุธนิวเคลียร์แล้ว เรายังคงสงสัยว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จะคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่”
ถ้าเปรียบเทียบกับหลักการ 4 ข้อข้างต้น อัล กอร์ ยังไม่ได้กล่าวถึงหลักการเรื่องความปลอดภัย ซึ่งในวันนี้เหตุการณ์ในญี่ปุ่นได้อธิบายและตอกย้ำตัวมันเองแล้วว่า อะไรเป็นอะไร
เรื่องอาวุธนิวเคลียร์เขากล่าวว่า “ในช่วงเวลา 8 ปีที่ผมอยู่ในทำเนียบขาว ปัญหาการแพร่กระจายอาวุธนิวเคลียร์ทุกปัญหาที่เราเผชิญอยู่ ล้วนเชื่อมโยงกับเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ เราชอบพูดกันมานานหลายสิบปีแล้วว่า ทุกวันนี้เทคโนโลยีนิวเคลียร์ (ทางทหารและพลเรือน)แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ใช่ แต่ถ้าคุณมีทีมนักวิทยาศาสตร์ที่สามารถสร้างเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ และคุณเป็นเผด็จการ คุณก็สามารถทำให้พวกเขาสามารถสร้างอาวุธนิวเคลียร์ให้คุณได้ในชั่วข้ามคืน นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในเกาหลีเหนือและอิหร่าน” (จากบทความของสันติ โชคชัยชำนาญกิจ)
สำหรับเรื่องต้นทุน จากงานวิจัยเรื่อง “Solar and Nuclear Costs-The Historic Crossover” ของ John O. Blackburn และ Sam Cunningham (ค้นได้จาก google) โดยการเปรียบเทียบต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากนิวเคลียร์กับแผงโซลาร์เซลล์ในรัฐ North Carolina พบว่า เมื่อกว่า 20 ปีมาแล้ว ต้นทุนจากแผงโซลาร์เซลล์มีราคาสูงกว่าพลังงานนิวเคลียร์จริง แต่ก็มีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ ในขณะที่ต้นทุนจากนิวเคลียร์มีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่นับจากปี พ.ศ. 2553 เป็นต้นมา ต้นทุนจากโซลาร์เซลล์กลับมีราคาถูกกว่าราคาจากนิวเคลียร์แล้ว และจะถูกกว่ามากขึ้น
งานศึกษาเรื่อง “Update of the MIT 2003 Future of Nuclear Power” (จาก google) ต้นทุนค่าก่อสร้างที่ไม่คิดค่าดอกเบี้ย (Overnight Cost) ได้เพิ่มขึ้นถึงเท่าตัวจากปี 2545 ถึงปี 2550 (จาก 2 เป็น 4 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเมกะวัตต์) หรือปีละ 15% ในขณะที่ค่าเชื้อเพลิงได้เพิ่มขึ้นจาก 0.47 เป็น 0.67 เซ็นต่อหน่วยความร้อนหนึ่งล้านบีทียู หรือเพิ่มขึ้น 57%
แต่ทาง กฟผ. ได้เสนอต้นทุนที่ต่ำกว่านี้มาก เพื่อที่จะนำไปโฆษณาให้ประชาชนยอมรับ นอกจากนี้ยังไม่สามารถอธิบายที่มาที่ไปของต้นทุนดังกล่าวได้
มาถึงเรื่องวัฒนธรรมที่คนทั่วไปไม่ได้คำนึงถึง อาจารย์ด้านพลังงานจากสถาบันแห่งหนึ่ง (ดร.จำนง สรพิพัฒน์) ได้เล่าให้ที่ประชุมฟังว่า “ที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ไต้หวัน วิศวกรคนหนึ่งกับรักษาความปลอดภัยคนหนึ่งทั้งสองรู้จักคุ้นเคยกันดี แต่วันหนึ่งวิศวกรลืมบัตรเข้า-ออก ลองทายดูซิว่าจะเกิดอะไรขึ้น และถ้าเป็นเมืองไทยจะเกิดอะไรตามมา”
ปรากฏว่า รปภ.ไม่อนุญาตให้เข้า ถ้าเป็นเมืองไทย รปภ.คงต้องยอมเพราะมิฉะนั้นแล้วอาจจะถูกไล่ออกได้
อีกเรื่องหนึ่ง ก่อนที่โรงไฟฟ้าเชอร์โนบิลจะระเบิด มีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้น ช่างเทคนิคอาวุโสได้เตือนวิศวกรจบใหม่ผู้เป็นหัวหน้าเวร เพื่อไม่ให้หัวหน้าทำอะไรบางอย่าง แต่วิศวกรผู้นี้ตอบไปว่า “ผมเป็นวิศวกร ผมต้องการจะแสดงให้หัวหน้าเห็นความสามารถ ผมต้องทำ”
ปัญหาด้านวัฒนธรรมดังกล่าว ในบ้านเรา “แข็งแกร่ง” มากกว่าที่อื่นใดในโลกนี้มั่ง!
ย้อนมาที่กรณีญี่ปุ่นซึ่งเราถือกันว่า คนของเขามีวินัยอย่างมาก แต่รายงานข่าวจากสำนักข่าวไทยว่า “บริษัทไฟฟ้าโตเกียวยอมรับว่า แจ้งรายงานเท็จเกี่ยวกับผลการตรวจตราโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกุชิมะ โรงที่ 1 ต่อหน่วยงานกำกับดูแลนิวเคลียร์สิบวันก่อนเกิดแผ่นดินไหว เทปโกยอมรับว่า ไม่ได้ตรวจสอบอุปกรณ์ 33 ชิ้นซึ่งมีอายุการใช้งานมานาน ขณะที่แผงจ่ายไฟฟ้าให้แก่วาล์วควบคุมอุณหภูมิของเตาปฏิกรณ์ตัวหนึ่งก็ไม่ได้รับการตรวจมานานถึง 11 ปี”
กลายเป็นว่าบริษัทใหญ่ๆ ที่ทำงานสำคัญมากๆ ในญี่ปุ่นก็เป็นเสียเองหรือนี่ หรือมันกำลังสะท้อนว่าระบบทุนใหญ่ๆ มันสามานย์เหมือนกันทั่วโลก
ถ้าเราย้อนไปดูประวัติการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั่วโลก พบว่าช่วงที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือช่วงทศวรรษ 1970 ด้วยเหตุผลว่าเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน แต่ได้มาซบเซาเอาหลังจากเหตุการณ์โรงไฟฟ้าเชอร์โนบิล 2529 แล้วทำท่าจะมาเฟื่องฟูใหม่อีกครั้งหลังปี 2543 จนมาถึงเหตุการณ์ในญี่ปุ่น
ข่าวหลายแหล่งรายงานว่าเริ่มมีการประท้วงกันแล้วทั้งในบ้านเราเอง และอีกหลายประเทศทั่วโลกรวมทั้งเยอรมนีที่รัฐบาลจะยืดอายุการใช้งานออกไปอีก 12 ปี
เรื่องที่อ้างว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์สามารถช่วยลดปัญหาโลกร้อนได้ เอาเข้าจริงก็เป็นเรื่องหลอกลวง (ดูการ์ตูนประกอบ) เพราะกว่าจะสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แล้วเสร็จต้องใช้เวลานานถึง 12-15 ปี นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า “ไม่ทันกาล” กับปัญหาโลกร้อนที่เพิ่มความรุนแรงมากขึ้นทุกวัน
เหตุการณ์ที่ญี่ปุ่นได้ส่งผลให้ชาวโลกต้องลุกขึ้นมาคิดถึงความเหมาะสมกันอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ได้มุ่งไปที่เรื่องความปลอดภัยเพียงอย่างเดียว
ในบ้านเรา การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ก็มีแผนการจะก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ถึง 5 โรง คิดเป็นร้อยละสิบของกำลังการผลิตทั้งหมดในช่วง 20 ปีข้างหน้า
บทความนี้จะกล่าวถึง 3 ประเด็นที่เหลือและขอเพิ่มเติมอีกหนึ่งที่ผมคิดว่าเป็นลักษณะพิเศษของวัฒนธรรมไทยเลยทีเดียว
ผมเริ่มต้นด้วยคำพูดของคุณอัล กอร์ ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพว่า “สมมติว่าเราสามารถแก้ปัญหาสำคัญ 2 อย่างได้แล้ว คือ (1) ปัญหาที่เก็บกากนิวเคลียร์ที่ปลอดภัย (2) ปัญหาการก่อการร้ายด้วยอาวุธนิวเคลียร์แล้ว เรายังคงสงสัยว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จะคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่”
ถ้าเปรียบเทียบกับหลักการ 4 ข้อข้างต้น อัล กอร์ ยังไม่ได้กล่าวถึงหลักการเรื่องความปลอดภัย ซึ่งในวันนี้เหตุการณ์ในญี่ปุ่นได้อธิบายและตอกย้ำตัวมันเองแล้วว่า อะไรเป็นอะไร
เรื่องอาวุธนิวเคลียร์เขากล่าวว่า “ในช่วงเวลา 8 ปีที่ผมอยู่ในทำเนียบขาว ปัญหาการแพร่กระจายอาวุธนิวเคลียร์ทุกปัญหาที่เราเผชิญอยู่ ล้วนเชื่อมโยงกับเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ เราชอบพูดกันมานานหลายสิบปีแล้วว่า ทุกวันนี้เทคโนโลยีนิวเคลียร์ (ทางทหารและพลเรือน)แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ใช่ แต่ถ้าคุณมีทีมนักวิทยาศาสตร์ที่สามารถสร้างเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ และคุณเป็นเผด็จการ คุณก็สามารถทำให้พวกเขาสามารถสร้างอาวุธนิวเคลียร์ให้คุณได้ในชั่วข้ามคืน นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในเกาหลีเหนือและอิหร่าน” (จากบทความของสันติ โชคชัยชำนาญกิจ)
สำหรับเรื่องต้นทุน จากงานวิจัยเรื่อง “Solar and Nuclear Costs-The Historic Crossover” ของ John O. Blackburn และ Sam Cunningham (ค้นได้จาก google) โดยการเปรียบเทียบต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากนิวเคลียร์กับแผงโซลาร์เซลล์ในรัฐ North Carolina พบว่า เมื่อกว่า 20 ปีมาแล้ว ต้นทุนจากแผงโซลาร์เซลล์มีราคาสูงกว่าพลังงานนิวเคลียร์จริง แต่ก็มีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ ในขณะที่ต้นทุนจากนิวเคลียร์มีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่นับจากปี พ.ศ. 2553 เป็นต้นมา ต้นทุนจากโซลาร์เซลล์กลับมีราคาถูกกว่าราคาจากนิวเคลียร์แล้ว และจะถูกกว่ามากขึ้น
งานศึกษาเรื่อง “Update of the MIT 2003 Future of Nuclear Power” (จาก google) ต้นทุนค่าก่อสร้างที่ไม่คิดค่าดอกเบี้ย (Overnight Cost) ได้เพิ่มขึ้นถึงเท่าตัวจากปี 2545 ถึงปี 2550 (จาก 2 เป็น 4 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเมกะวัตต์) หรือปีละ 15% ในขณะที่ค่าเชื้อเพลิงได้เพิ่มขึ้นจาก 0.47 เป็น 0.67 เซ็นต่อหน่วยความร้อนหนึ่งล้านบีทียู หรือเพิ่มขึ้น 57%
แต่ทาง กฟผ. ได้เสนอต้นทุนที่ต่ำกว่านี้มาก เพื่อที่จะนำไปโฆษณาให้ประชาชนยอมรับ นอกจากนี้ยังไม่สามารถอธิบายที่มาที่ไปของต้นทุนดังกล่าวได้
มาถึงเรื่องวัฒนธรรมที่คนทั่วไปไม่ได้คำนึงถึง อาจารย์ด้านพลังงานจากสถาบันแห่งหนึ่ง (ดร.จำนง สรพิพัฒน์) ได้เล่าให้ที่ประชุมฟังว่า “ที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ไต้หวัน วิศวกรคนหนึ่งกับรักษาความปลอดภัยคนหนึ่งทั้งสองรู้จักคุ้นเคยกันดี แต่วันหนึ่งวิศวกรลืมบัตรเข้า-ออก ลองทายดูซิว่าจะเกิดอะไรขึ้น และถ้าเป็นเมืองไทยจะเกิดอะไรตามมา”
ปรากฏว่า รปภ.ไม่อนุญาตให้เข้า ถ้าเป็นเมืองไทย รปภ.คงต้องยอมเพราะมิฉะนั้นแล้วอาจจะถูกไล่ออกได้
อีกเรื่องหนึ่ง ก่อนที่โรงไฟฟ้าเชอร์โนบิลจะระเบิด มีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้น ช่างเทคนิคอาวุโสได้เตือนวิศวกรจบใหม่ผู้เป็นหัวหน้าเวร เพื่อไม่ให้หัวหน้าทำอะไรบางอย่าง แต่วิศวกรผู้นี้ตอบไปว่า “ผมเป็นวิศวกร ผมต้องการจะแสดงให้หัวหน้าเห็นความสามารถ ผมต้องทำ”
ปัญหาด้านวัฒนธรรมดังกล่าว ในบ้านเรา “แข็งแกร่ง” มากกว่าที่อื่นใดในโลกนี้มั่ง!
ย้อนมาที่กรณีญี่ปุ่นซึ่งเราถือกันว่า คนของเขามีวินัยอย่างมาก แต่รายงานข่าวจากสำนักข่าวไทยว่า “บริษัทไฟฟ้าโตเกียวยอมรับว่า แจ้งรายงานเท็จเกี่ยวกับผลการตรวจตราโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกุชิมะ โรงที่ 1 ต่อหน่วยงานกำกับดูแลนิวเคลียร์สิบวันก่อนเกิดแผ่นดินไหว เทปโกยอมรับว่า ไม่ได้ตรวจสอบอุปกรณ์ 33 ชิ้นซึ่งมีอายุการใช้งานมานาน ขณะที่แผงจ่ายไฟฟ้าให้แก่วาล์วควบคุมอุณหภูมิของเตาปฏิกรณ์ตัวหนึ่งก็ไม่ได้รับการตรวจมานานถึง 11 ปี”
กลายเป็นว่าบริษัทใหญ่ๆ ที่ทำงานสำคัญมากๆ ในญี่ปุ่นก็เป็นเสียเองหรือนี่ หรือมันกำลังสะท้อนว่าระบบทุนใหญ่ๆ มันสามานย์เหมือนกันทั่วโลก
ถ้าเราย้อนไปดูประวัติการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั่วโลก พบว่าช่วงที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือช่วงทศวรรษ 1970 ด้วยเหตุผลว่าเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน แต่ได้มาซบเซาเอาหลังจากเหตุการณ์โรงไฟฟ้าเชอร์โนบิล 2529 แล้วทำท่าจะมาเฟื่องฟูใหม่อีกครั้งหลังปี 2543 จนมาถึงเหตุการณ์ในญี่ปุ่น
ข่าวหลายแหล่งรายงานว่าเริ่มมีการประท้วงกันแล้วทั้งในบ้านเราเอง และอีกหลายประเทศทั่วโลกรวมทั้งเยอรมนีที่รัฐบาลจะยืดอายุการใช้งานออกไปอีก 12 ปี
เรื่องที่อ้างว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์สามารถช่วยลดปัญหาโลกร้อนได้ เอาเข้าจริงก็เป็นเรื่องหลอกลวง (ดูการ์ตูนประกอบ) เพราะกว่าจะสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แล้วเสร็จต้องใช้เวลานานถึง 12-15 ปี นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า “ไม่ทันกาล” กับปัญหาโลกร้อนที่เพิ่มความรุนแรงมากขึ้นทุกวัน
หลักคำสอน....คติเตือนใจคำคมโดยท่าน ว.วชิรเมธี
1. คนธรรมดาทำบุญก็อยากได้บุญ คนมีปัญญาทำบุญหวังจะเกิดในภพใหม่ที่ดีกว่าเดิม แต่ชาวพุทธแท้ทำบุญเพื่อการปล่อยวางกิเลสอย่างสิ้นเชิง
2. สิ่งที่ตาเห็นอย่าเพิ่งสรุปว่ามี สิ่งที่คนยอมรับว่าดีอย่าเพิ่งบอกว่าเห็นด้วย
3. ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี
4. นักปราชญ์ตะวันตกกล่าวว่า อำนาจทำให้คนเสีย ยิ่งมีอำนาจเบ็ดเสร็จยิ่งเสียคนแบบเบ็ดเสร็จ
5. ดาบที่ดีต้องมีฝัก ความสามารถที่ดีต้องมีจริยธรรม
6. พ่อแม่ที่ดีต้องมีพรหมวิหาร 4 หน้า หน้า 1 เมตตา หน้า 2 คือ กรุณา หน้า 3 คือ มุทิตา หน้า 4 คือ อุเบกขา
7. ยามปกติเลี้ยงลูกด้วยเมตตา ยามมีปัญหาคอยช่วยเหลือด้วยกรุณา ยามลูกทำดีคอยส่งเสริมด้วยมุทิตา ยามลูกทำผิดปล่อยให้รับกรรมด้วยตัวเอง คือ อุเบกขา
8. รอยเท้าแรกที่เหยียบบนดวงจันทร์ไม่ใช่รอยเท้าของมนุษย์ แต่เป็นรอยเท้าแห่งจินตนาการ
9. การแก้กรรมคือการแก้ที่ความหลงผิด การแก้กรรมคือการเลิกทำความชั่ว ดังนั้นการแก้กรรมจึงไม่ใช่สำเร็จที่การสะเดาะเคราะห์หรือทำพิธีจากเกจิ
10. คนที่รู้เรื่องกรรมดีที่สุดคือตัวเราเอง คนที่แก้กรรมได้ดี่ที่สุดคือตัวของเรา การแก้กรรมต้องทำด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรม ไม่ใช่ด้วยพิธีกรรมแปลกๆ
11. คนขุดบ่อน้ำก็ลงต่ำอยู่ในดิน คนก่อกำแพงก็ขึ้นสูงตามกำแพงที่ก่อ ฉันนี้ฉันใดคนทั้งหลายก้เป็นเช่นนั้น จะสูงจะต่ำขึ้นอยู่กับการกระทำของตน
12. คนฉลาดชอบแกล้งโง่ คนโง่ชอบเสแสร้งว่าฉลาด ส่วนนักปราชญ์เรียนรู้ที่จะฉลาดและเรียนรู้ที่จะโง่
13. กฎแห่งกรรมไม่ต้องืวีซ่า กฎแห่งกรรมไม่ยกเว้นหน้าอินทร์หน้าพรหม กฎแห่งกรรมไม่มีวันหยุด กฎแห่งกรรมเที่ยงธรรมตลอดกาล
14. บิล เกตต์ เรียนไม่จบแต่พบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เพราะเป็นคนใฝ่เรียนรู้ด้วยตนเอง ปัญญาไม่ได้อยู่ในมหาวิทยาลัยแต่อยู่ในจิตใจที่ใฝ่รู้
15. อย่ายึดติดกับความหลัง อย่าฟังเสียงปาปมิตร (มิตรชั่ว) อย่ามัวคิดริษยา อย่าเสียเวลากับคนเลวทราม
16. คนส่วนใหญ่เรียกร้องสิทธิมนุษยชน แต่คนมีปัญญาเรียกร้องสิทธิที่จะไม่ทุกข์
17. ความไม่รู้เป็นยอดแห่งมลทิน ปัญญาเป็นยอดแห่งสิริมงคลความถ่อมตนเป็นยอดแห่งเสน่ห์
18. รถทุกคันล้วนมีเบรก รถทุกคันล้วนมีท่อไอเสีย คนทุกคนต้องมีเบรกคือสติ ต้องมีท่อไอเสียคือการปล่อยวาง
19. ความทุกข์ไม่เคยยึดติดเรา มีแต่เราต่างหากที่ยึดติดความทุกข์ ความสุขไม่เคยไปจากใจเรา มีแต่เราต่างหากที่ไม่เคยถนอมมันไว้ในใจของเรา
20. ยศ ทรัพย์ อำนาจเป็นเพียงมรรควิธีที่ทำให้ชีวิตนี้มีประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ โปรดอย่าเข้าใจผิดว่าเป็นเป้าหมายในการเกิดเป็นมนุ๋ย์
21. ทำผิดแล้วรู้สึกผิดต่อไปจะเป็นคนดี ทำผิดแล้วรู้สึกว่าเป็นความดีกาลกิณีจะเกิดขึ้นในไม่ช้า
22. ที่สุดของความรักคือรักโดยไม่ครอบครอง ที่สุดของการให้คือให้โดยไม่หวังผล ที่สุดของทานคืออภัยทาน ที่สุดของคนคือการเป็นคนธรรมดาที่มีความสุข
23. ความรักไม่เคยทำให้ใครทุกข์ การไม่รู้จักธรรมชาติของความรักต่างหากที่ทำให้เกิดทุกข์ ธรรมชาติของความรักคือเกิดขึ้นในเบื้องต้น ดำรงอยู่ในท่ามกลาง และแตกดับไปในที่สุด
24. โลกนี้มีผี 6 ตัวที่น่ากลัวกว่าผีไหนๆ 1 ผีสุรา 2ผีเที่ยวกลางคืน 3. ผีมหรสพ (ติดใจในความบันเทิงจนเกินพอดี) 4 ผีการพนัน 5 ผีคบคนชั่วเป็นมิตร (คนชั่วอยู่ไหนชอบเถลไถลไปสนิทสนม) 6 ผีขี้เกียจ ผี 6 ตัวนี้ต้องปราบด้วยปฏิบัติธรรม
2. สิ่งที่ตาเห็นอย่าเพิ่งสรุปว่ามี สิ่งที่คนยอมรับว่าดีอย่าเพิ่งบอกว่าเห็นด้วย
3. ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี
4. นักปราชญ์ตะวันตกกล่าวว่า อำนาจทำให้คนเสีย ยิ่งมีอำนาจเบ็ดเสร็จยิ่งเสียคนแบบเบ็ดเสร็จ
5. ดาบที่ดีต้องมีฝัก ความสามารถที่ดีต้องมีจริยธรรม
6. พ่อแม่ที่ดีต้องมีพรหมวิหาร 4 หน้า หน้า 1 เมตตา หน้า 2 คือ กรุณา หน้า 3 คือ มุทิตา หน้า 4 คือ อุเบกขา
7. ยามปกติเลี้ยงลูกด้วยเมตตา ยามมีปัญหาคอยช่วยเหลือด้วยกรุณา ยามลูกทำดีคอยส่งเสริมด้วยมุทิตา ยามลูกทำผิดปล่อยให้รับกรรมด้วยตัวเอง คือ อุเบกขา
8. รอยเท้าแรกที่เหยียบบนดวงจันทร์ไม่ใช่รอยเท้าของมนุษย์ แต่เป็นรอยเท้าแห่งจินตนาการ
9. การแก้กรรมคือการแก้ที่ความหลงผิด การแก้กรรมคือการเลิกทำความชั่ว ดังนั้นการแก้กรรมจึงไม่ใช่สำเร็จที่การสะเดาะเคราะห์หรือทำพิธีจากเกจิ
10. คนที่รู้เรื่องกรรมดีที่สุดคือตัวเราเอง คนที่แก้กรรมได้ดี่ที่สุดคือตัวของเรา การแก้กรรมต้องทำด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรม ไม่ใช่ด้วยพิธีกรรมแปลกๆ
11. คนขุดบ่อน้ำก็ลงต่ำอยู่ในดิน คนก่อกำแพงก็ขึ้นสูงตามกำแพงที่ก่อ ฉันนี้ฉันใดคนทั้งหลายก้เป็นเช่นนั้น จะสูงจะต่ำขึ้นอยู่กับการกระทำของตน
12. คนฉลาดชอบแกล้งโง่ คนโง่ชอบเสแสร้งว่าฉลาด ส่วนนักปราชญ์เรียนรู้ที่จะฉลาดและเรียนรู้ที่จะโง่
13. กฎแห่งกรรมไม่ต้องืวีซ่า กฎแห่งกรรมไม่ยกเว้นหน้าอินทร์หน้าพรหม กฎแห่งกรรมไม่มีวันหยุด กฎแห่งกรรมเที่ยงธรรมตลอดกาล
14. บิล เกตต์ เรียนไม่จบแต่พบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เพราะเป็นคนใฝ่เรียนรู้ด้วยตนเอง ปัญญาไม่ได้อยู่ในมหาวิทยาลัยแต่อยู่ในจิตใจที่ใฝ่รู้
15. อย่ายึดติดกับความหลัง อย่าฟังเสียงปาปมิตร (มิตรชั่ว) อย่ามัวคิดริษยา อย่าเสียเวลากับคนเลวทราม
16. คนส่วนใหญ่เรียกร้องสิทธิมนุษยชน แต่คนมีปัญญาเรียกร้องสิทธิที่จะไม่ทุกข์
17. ความไม่รู้เป็นยอดแห่งมลทิน ปัญญาเป็นยอดแห่งสิริมงคลความถ่อมตนเป็นยอดแห่งเสน่ห์
18. รถทุกคันล้วนมีเบรก รถทุกคันล้วนมีท่อไอเสีย คนทุกคนต้องมีเบรกคือสติ ต้องมีท่อไอเสียคือการปล่อยวาง
19. ความทุกข์ไม่เคยยึดติดเรา มีแต่เราต่างหากที่ยึดติดความทุกข์ ความสุขไม่เคยไปจากใจเรา มีแต่เราต่างหากที่ไม่เคยถนอมมันไว้ในใจของเรา
20. ยศ ทรัพย์ อำนาจเป็นเพียงมรรควิธีที่ทำให้ชีวิตนี้มีประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ โปรดอย่าเข้าใจผิดว่าเป็นเป้าหมายในการเกิดเป็นมนุ๋ย์
21. ทำผิดแล้วรู้สึกผิดต่อไปจะเป็นคนดี ทำผิดแล้วรู้สึกว่าเป็นความดีกาลกิณีจะเกิดขึ้นในไม่ช้า
22. ที่สุดของความรักคือรักโดยไม่ครอบครอง ที่สุดของการให้คือให้โดยไม่หวังผล ที่สุดของทานคืออภัยทาน ที่สุดของคนคือการเป็นคนธรรมดาที่มีความสุข
23. ความรักไม่เคยทำให้ใครทุกข์ การไม่รู้จักธรรมชาติของความรักต่างหากที่ทำให้เกิดทุกข์ ธรรมชาติของความรักคือเกิดขึ้นในเบื้องต้น ดำรงอยู่ในท่ามกลาง และแตกดับไปในที่สุด
24. โลกนี้มีผี 6 ตัวที่น่ากลัวกว่าผีไหนๆ 1 ผีสุรา 2ผีเที่ยวกลางคืน 3. ผีมหรสพ (ติดใจในความบันเทิงจนเกินพอดี) 4 ผีการพนัน 5 ผีคบคนชั่วเป็นมิตร (คนชั่วอยู่ไหนชอบเถลไถลไปสนิทสนม) 6 ผีขี้เกียจ ผี 6 ตัวนี้ต้องปราบด้วยปฏิบัติธรรม
สหรัฐฯ แทรกแซงปัญหาภายในลิเบีย จะมีผลต่อการเมืองระหว่างประเทศ โดย ว.ร.ฤทธาคนี
แม้นว่าพันเอกกัดดาฟี จะเป็นอันธพาลจอมเกเรที่ถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังการวางระเบิดดิสโกเธคกลางกรุงเบอร์ลิน มีคนตายนับสิบ และการระเบิดเครื่องบินโดยสารสายการบินแพนแอม อเมริกัน เที่ยวบินที่ 103 ซากเครื่องบินกระจายทั่วเมืองล็อกเคอร์บีในสกอตแลนด์ และทั้งสองรายการที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1986 และอะไรๆ อีกมากที่เกี่ยวกับการก่อการร้ายจึงถูกลงโทษ โดยอดีตประธานาธิบดีเรแกนแห่งสหรัฐฯ โดยความเห็นชอบของท่านผู้หญิงมาร์กาเรต แทตเชอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษที่อนุญาตให้ฝูงบินโจมตี F-111 ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ บินออกจากฐานทัพในอังกฤษถล่มเพื่อสังหารพันเอกกัดดาฟี ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่นิยมใช้กันในการสงครามเรียกว่า ยุทธการเด็ดหัว หรือ Decapitation และแผนการโจมตีล้มเหลวไม่สามารถสังหารพันเอกกัดดาฟีสำเร็จ แถมยังมีลูกระเบิดหลงพลาดไปโดนสถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศส ซึ่งเหตุการณ์นั้นไทยงดออกเสียงสนับสนุนสหรัฐฯ ในเวทีสหประชาชาติ หลังจากการโจมตีโดยพลการ
พันเอกกัดดาฟีหรือหมาบ้าทะเลทรายเคยให้การสนับสนุนขบวนการแยกดินแดนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย แต่เมื่อคุณหญิงแสงดาว สยามวาลา ผู้นำสตรีมุสลิมแห่งชาติ ได้เข้าพบพันเอกกัดดาฟี และอธิบายถึงสถานภาพของชาวไทยมุสลิม ภายใต้การอุปถัมภ์ของพระมหากษัตริย์แห่งประเทศไทย พันเอกกัดดาฟี จึงยุติการสนับสุนขบวนการแยกดินแดนซึ่งเป็นการแทรกแซงการเมืองและสังคมไทย
ในการนี้ สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ทรงตรัสถึงคุณหญิงแสงดาวเมื่อ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2548 ว่า “ท่านเป็นคนกล้า และเป็นคนที่รักชาติ พยายามอย่างยิ่งที่จะเตือนทุกคนให้ทุกคนทราบว่า ประเทศนี้แต่ไหนแต่ไรมา การเลือกนับถือศาสนาทุกคนมีอิสระเสรีที่จะเลือกนับถือศาสนา ปฏิบัติศาสนกิจของตนอย่างเต็มที่ เป็นการยืนยันให้โลกรู้ว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่ทุกเชื้อชาติศาสนา สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างร่มเย็นเป็นสุข”
พันเอกกัดดาฟีเดิมเป็นเด็กในอาณัติของอังกฤษเจ้าอาณานิคมลิเบียมาก่อน พันเอกกัดดาฟีเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนายร้อยแซนด์เฮิร์สต์ และอังกฤษคาดหวังว่าจะเป็นเด็กในโอวาท แต่อังกฤษคิดผิดเพราะไม่สามารถที่จะควบคุมกัดดาฟีได้ โดยที่อังกฤษเห็นแววต่อต้านอังกฤษตั้งแต่กรณีอังกฤษ ฝรั่งเศส และอิสราเอล รวมหัวกันบุกยึดครองสุเอซจากอียิปต์ในปี ค.ศ. 1956 กัดดาฟีปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือกับอังกฤษในครั้งนั้น ซึ่งสหรัฐฯ เองก็ต่อต้านการบุกยึดครองสุเอซด้วยกำลังทหารของอังกฤษ ฝรั่งเศส และอิสราเอลด้วย เกรงว่าอียิปต์จะเอาใจไปอยู่ค่ายคอมมิวนิสต์โซเวียต แต่ก็เป็นไปตามนั้น เพราะอดีตประธานาธิบดีนัสเซอร์รับการช่วยเหลือจากโซเวียตจนเป็นชาติที่มีกำลังรบแข่งแกร่งคุกคามอิสราเอล
ลิเบียเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของตะวันออกกลาง ตามนัยสำคัญ 2 ประการคือ ประการที่ 1 เป็นเมืองท่าสำคัญทางยุทธศาสตร์นาวี และยุทธศาสตร์พาณิชย์นาวีในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และประการที่ 2 เป็นประเทศผลิตน้ำมันในสัดส่วนประมาณร้อยละ 2 ของน้ำมันโลก
พันเอกกัดดาฟีก็เหมือนกับนักการเมืองผู้แสวงอำนาจทั่วไป ที่ปลุกระดมประชากรด้วยเชื้อชาติ ศาสนา และเสรีประชาธิปไตย ให้มีการเลือกตั้ง แต่เมื่อเข้าไปมีอำนาจก็จะใช้หลักประชานิยมเป็นกลไกสร้างเงื่อนไขเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีอำนาจถาวร และลดโอกาสคู่แข่งทางการเมืองด้วยยุทธวิธีเถื่อนฆ่าทิ้งหรือกลไกทางกฎหมายทำลายล้าง
ลักษณะเช่นนี้เป็นหลักพื้นฐานที่นักการเมืองที่มากด้วยกิเลสมักยึดถือเป็นสูตรสำเร็จในการรักษาอำนาจของตน ซึ่งคนไทยเองก็ได้สัมผัสมาแล้วในยุคเผด็จการทหารจนเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 แต่เงื่อนไขในกลุ่มประเทศตะวันออกกลางนั้นง่ายกว่าที่ใช้ต่อต้านลัทธิอาณานิคมครอบงำของตะวันตกและความขัดแย้งของศาสนาที่มีอดีตอันขมขื่นหลายร้อยปีมาแล้วเป็นกุญแจในการสร้างฐานมวลชนสนับสนุน
ในประเทศไทยใช้เงื่อนไข “ประชาชนนิยมยุทธศาสตร์เอื้ออาทร” จนประชาชนถูกมอมเมาด้วยทุนนิยมสามานย์ให้รอแต่เงินที่รัฐบาลมอบให้โดยไม่ต้องลงทุน ซึ่งมิใช่รัฐสวัสดิการที่เกิดความเสมอภาค และเกื้อกูลในเชิงสร้างสรรค์ในการดำรงชีพ แต่กฎหมายเกื้อกูลให้นักธุรกิจการเมืองสามารถแสวงประโยชน์จากกฎหมายลงทุน เช่น การซื้อขายหุ้น เช่น กรณีที่ทักษิณขายหุ้นชินคอร์ป เป็นเงินนับแสนล้านบาท แต่ไม่ต้องเสียภาษีเพราะมีกฎหมายเอื้อประโยชน์
พันเอกกัดดาฟีก็เป็นเผด็จการในร่างประชาธิปไตย เพราะได้อำนาจจากการเลือกตั้งในปี ค.ศ. 1969 และค่อยๆ เปลี่ยนกฎหมายรัฐธรรมนูญที่สหประชาชาติเขียนให้ก่อนที่จะให้เอกราชในปี ค.ศ. 1952 จนสามารถครองอำนาจแบบถาวร และยังมีการถ่ายทอดอำนาจเหมือนกันกับผู้นำหลายประเทศ รวมทั้งผู้นำกัมพูชาด้วยที่ต้องการให้ลูกชายก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี
กลุ่มประเทศอาหรับตั้งแต่ตูนิเซีย อียิปต์ และลิเบียที่ผู้นำใช้พลังประชาชนสร้างอำนาจรัฐถาวร แต่ก็มีผู้คนกลุ่มหนึ่งเบื่อหน่ายต่อการปกครองแบบถาวรและหมดโอกาสที่จะเข้ามามีส่วนในการบริหารประเทศบ้างจึงออกมาต่อต้าน จึงถูกปราบปรามเป็นเรื่องธรรมดาเพราะเส้นแบ่งเขตระหว่างการเรียกร้องประชาธิปไตย การรักษาความสงบเรียบร้อยและการสร้างเสถียรภาพรัฐล่อแหลมต่อการใช้อำนาจรัฐปราบปรามด้วยความรุนแรงที่ต้องการสลายพลังผู้ต่อต้านอำนาจรัฐ อันเป็นภาพไม่น่าดูหรือดูแล้วมีความทารุณ แต่ตามหลักของเซอร์ไอแซค นิวตัน คือ Action เท่ากับ Reaction โดยกฎนี้เองมักจะเกิดความสมดุลตามมา เพราะจะไม่มีอำนาจอะไรยั่งยืน โดยเฉพาะเผด็จการที่ในที่สุดก็ถูกโค่นล้มไปเอง
หากเป็นเช่นนี้แล้ว สหรัฐฯ และกลุ่มชาติตะวันตกก็ไม่ควรแทรกแซง เพราะเป็นการสร้างทฤษฎีครองโลกยุคใหม่ที่กลุ่มชาติมหาอำนาจตะวันตกใช้สหประชาชาติเป็นเครื่องมือ และถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ในจีนเหมือนกรณีเหตุการณ์เทียนอันเหมินที่เติงเสี่ยวผิง สั่งสลายฝูงชนทำให้คนตายกว่า 3,000 คน สหรัฐฯ และกลุ่มประเทศมหาอำนาจตะวันตกจะร่วมมือรุมโจมตีจีน ซึ่งเชื่อว่าจีนต้องตอบโต้รุนแรงกว่าลิเบียเป็นร้อยเท่า แล้วไทยเราจะเข้าข้างใคร
เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ที่ว่า การแทรกแซงของชาติมหาอำนาจเป็นการประกาศศักดาถึงขอบเขตอำนาจทางทหารที่จะแทรกแซงได้ทุกเรื่อง และการนี้อาจจะทำให้เกิดความไม่สมดุลหรือสหรัฐฯ และกลุ่มชาติตะวันตกมีความต้องการที่จะครอบครองแหล่งน้ำมันอีกแหล่งหนึ่ง การแทรกแซงของชาติตะวันตกย่อมสร้างอำนาจต่อรองให้หลายประเทศที่อาจยอมลงทุนขายผลประโยชน์ของชาติให้กับชาติตะวันตกก็เป็นได้แม้กระทั่งกรณีไทยกับกัมพูชา ที่ผบ.ทบ ไม่ยอมให้อินโดนีเซียเข้าแทรกแซงแม้กระทั่งเป็นแค่ผู้สังเกตการณ์ เราอาจจะต้องถูกชาติตะวันตกบังคับเอาก็ได้
พันเอกกัดดาฟีหรือหมาบ้าทะเลทรายเคยให้การสนับสนุนขบวนการแยกดินแดนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย แต่เมื่อคุณหญิงแสงดาว สยามวาลา ผู้นำสตรีมุสลิมแห่งชาติ ได้เข้าพบพันเอกกัดดาฟี และอธิบายถึงสถานภาพของชาวไทยมุสลิม ภายใต้การอุปถัมภ์ของพระมหากษัตริย์แห่งประเทศไทย พันเอกกัดดาฟี จึงยุติการสนับสุนขบวนการแยกดินแดนซึ่งเป็นการแทรกแซงการเมืองและสังคมไทย
ในการนี้ สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ทรงตรัสถึงคุณหญิงแสงดาวเมื่อ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2548 ว่า “ท่านเป็นคนกล้า และเป็นคนที่รักชาติ พยายามอย่างยิ่งที่จะเตือนทุกคนให้ทุกคนทราบว่า ประเทศนี้แต่ไหนแต่ไรมา การเลือกนับถือศาสนาทุกคนมีอิสระเสรีที่จะเลือกนับถือศาสนา ปฏิบัติศาสนกิจของตนอย่างเต็มที่ เป็นการยืนยันให้โลกรู้ว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่ทุกเชื้อชาติศาสนา สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างร่มเย็นเป็นสุข”
พันเอกกัดดาฟีเดิมเป็นเด็กในอาณัติของอังกฤษเจ้าอาณานิคมลิเบียมาก่อน พันเอกกัดดาฟีเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนายร้อยแซนด์เฮิร์สต์ และอังกฤษคาดหวังว่าจะเป็นเด็กในโอวาท แต่อังกฤษคิดผิดเพราะไม่สามารถที่จะควบคุมกัดดาฟีได้ โดยที่อังกฤษเห็นแววต่อต้านอังกฤษตั้งแต่กรณีอังกฤษ ฝรั่งเศส และอิสราเอล รวมหัวกันบุกยึดครองสุเอซจากอียิปต์ในปี ค.ศ. 1956 กัดดาฟีปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือกับอังกฤษในครั้งนั้น ซึ่งสหรัฐฯ เองก็ต่อต้านการบุกยึดครองสุเอซด้วยกำลังทหารของอังกฤษ ฝรั่งเศส และอิสราเอลด้วย เกรงว่าอียิปต์จะเอาใจไปอยู่ค่ายคอมมิวนิสต์โซเวียต แต่ก็เป็นไปตามนั้น เพราะอดีตประธานาธิบดีนัสเซอร์รับการช่วยเหลือจากโซเวียตจนเป็นชาติที่มีกำลังรบแข่งแกร่งคุกคามอิสราเอล
ลิเบียเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของตะวันออกกลาง ตามนัยสำคัญ 2 ประการคือ ประการที่ 1 เป็นเมืองท่าสำคัญทางยุทธศาสตร์นาวี และยุทธศาสตร์พาณิชย์นาวีในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และประการที่ 2 เป็นประเทศผลิตน้ำมันในสัดส่วนประมาณร้อยละ 2 ของน้ำมันโลก
พันเอกกัดดาฟีก็เหมือนกับนักการเมืองผู้แสวงอำนาจทั่วไป ที่ปลุกระดมประชากรด้วยเชื้อชาติ ศาสนา และเสรีประชาธิปไตย ให้มีการเลือกตั้ง แต่เมื่อเข้าไปมีอำนาจก็จะใช้หลักประชานิยมเป็นกลไกสร้างเงื่อนไขเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีอำนาจถาวร และลดโอกาสคู่แข่งทางการเมืองด้วยยุทธวิธีเถื่อนฆ่าทิ้งหรือกลไกทางกฎหมายทำลายล้าง
ลักษณะเช่นนี้เป็นหลักพื้นฐานที่นักการเมืองที่มากด้วยกิเลสมักยึดถือเป็นสูตรสำเร็จในการรักษาอำนาจของตน ซึ่งคนไทยเองก็ได้สัมผัสมาแล้วในยุคเผด็จการทหารจนเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 แต่เงื่อนไขในกลุ่มประเทศตะวันออกกลางนั้นง่ายกว่าที่ใช้ต่อต้านลัทธิอาณานิคมครอบงำของตะวันตกและความขัดแย้งของศาสนาที่มีอดีตอันขมขื่นหลายร้อยปีมาแล้วเป็นกุญแจในการสร้างฐานมวลชนสนับสนุน
ในประเทศไทยใช้เงื่อนไข “ประชาชนนิยมยุทธศาสตร์เอื้ออาทร” จนประชาชนถูกมอมเมาด้วยทุนนิยมสามานย์ให้รอแต่เงินที่รัฐบาลมอบให้โดยไม่ต้องลงทุน ซึ่งมิใช่รัฐสวัสดิการที่เกิดความเสมอภาค และเกื้อกูลในเชิงสร้างสรรค์ในการดำรงชีพ แต่กฎหมายเกื้อกูลให้นักธุรกิจการเมืองสามารถแสวงประโยชน์จากกฎหมายลงทุน เช่น การซื้อขายหุ้น เช่น กรณีที่ทักษิณขายหุ้นชินคอร์ป เป็นเงินนับแสนล้านบาท แต่ไม่ต้องเสียภาษีเพราะมีกฎหมายเอื้อประโยชน์
พันเอกกัดดาฟีก็เป็นเผด็จการในร่างประชาธิปไตย เพราะได้อำนาจจากการเลือกตั้งในปี ค.ศ. 1969 และค่อยๆ เปลี่ยนกฎหมายรัฐธรรมนูญที่สหประชาชาติเขียนให้ก่อนที่จะให้เอกราชในปี ค.ศ. 1952 จนสามารถครองอำนาจแบบถาวร และยังมีการถ่ายทอดอำนาจเหมือนกันกับผู้นำหลายประเทศ รวมทั้งผู้นำกัมพูชาด้วยที่ต้องการให้ลูกชายก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี
กลุ่มประเทศอาหรับตั้งแต่ตูนิเซีย อียิปต์ และลิเบียที่ผู้นำใช้พลังประชาชนสร้างอำนาจรัฐถาวร แต่ก็มีผู้คนกลุ่มหนึ่งเบื่อหน่ายต่อการปกครองแบบถาวรและหมดโอกาสที่จะเข้ามามีส่วนในการบริหารประเทศบ้างจึงออกมาต่อต้าน จึงถูกปราบปรามเป็นเรื่องธรรมดาเพราะเส้นแบ่งเขตระหว่างการเรียกร้องประชาธิปไตย การรักษาความสงบเรียบร้อยและการสร้างเสถียรภาพรัฐล่อแหลมต่อการใช้อำนาจรัฐปราบปรามด้วยความรุนแรงที่ต้องการสลายพลังผู้ต่อต้านอำนาจรัฐ อันเป็นภาพไม่น่าดูหรือดูแล้วมีความทารุณ แต่ตามหลักของเซอร์ไอแซค นิวตัน คือ Action เท่ากับ Reaction โดยกฎนี้เองมักจะเกิดความสมดุลตามมา เพราะจะไม่มีอำนาจอะไรยั่งยืน โดยเฉพาะเผด็จการที่ในที่สุดก็ถูกโค่นล้มไปเอง
หากเป็นเช่นนี้แล้ว สหรัฐฯ และกลุ่มชาติตะวันตกก็ไม่ควรแทรกแซง เพราะเป็นการสร้างทฤษฎีครองโลกยุคใหม่ที่กลุ่มชาติมหาอำนาจตะวันตกใช้สหประชาชาติเป็นเครื่องมือ และถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ในจีนเหมือนกรณีเหตุการณ์เทียนอันเหมินที่เติงเสี่ยวผิง สั่งสลายฝูงชนทำให้คนตายกว่า 3,000 คน สหรัฐฯ และกลุ่มประเทศมหาอำนาจตะวันตกจะร่วมมือรุมโจมตีจีน ซึ่งเชื่อว่าจีนต้องตอบโต้รุนแรงกว่าลิเบียเป็นร้อยเท่า แล้วไทยเราจะเข้าข้างใคร
เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ที่ว่า การแทรกแซงของชาติมหาอำนาจเป็นการประกาศศักดาถึงขอบเขตอำนาจทางทหารที่จะแทรกแซงได้ทุกเรื่อง และการนี้อาจจะทำให้เกิดความไม่สมดุลหรือสหรัฐฯ และกลุ่มชาติตะวันตกมีความต้องการที่จะครอบครองแหล่งน้ำมันอีกแหล่งหนึ่ง การแทรกแซงของชาติตะวันตกย่อมสร้างอำนาจต่อรองให้หลายประเทศที่อาจยอมลงทุนขายผลประโยชน์ของชาติให้กับชาติตะวันตกก็เป็นได้แม้กระทั่งกรณีไทยกับกัมพูชา ที่ผบ.ทบ ไม่ยอมให้อินโดนีเซียเข้าแทรกแซงแม้กระทั่งเป็นแค่ผู้สังเกตการณ์ เราอาจจะต้องถูกชาติตะวันตกบังคับเอาก็ได้
ครูแบบนี้ยังมีอยู่ เราช่วยกันคนละนิดละหน่อยก้อช่วยสังคมได้เยอะแล้วครับ
สวัสดี ครับ
ผม ชื่อ กัมปนาท สุขนิตย์ ครูสอน วิชาชีววิทยา
โรงเรียนชาติตระการวิทยา
จ.พิษณุโลก
ตั้งแต่สอนมา เป็นโรงเรียนประจำอำเภอ ที่ กันดารและห่าง ไกลความเจริญ มากที่สุด
มีนักเรียนประมาณ 1,000 คน
แต่ มีครูแค่ 30 คนเอง .....
อาคารเรียนใช้การได้จริง 1 หลัง
ซึ่ง ไม่พอกับจำนวน นักเรียน.....
ปีนี้สอบ ติดมหาวิทยาลัย ประมาณ 60 กว่า คน จาก 160 คน ครับ ........
แต่เด็กที่ อ.ชาติตระการ ฐานะทางบ้านไม่ค่อยดี จึงไม่ค่อยได้เรียนต่อ
ขอรับบริจาค หนังสือเรียน หรือหนังสือสอบเข้าเอนทรานซ์ หรือ หนังสือเสริมบทเรียน
(ถ้าได้ชีท อ.อุ๊ อ.เผ่า อ.ต่าง ๆ จะดีมากครับ)
หรือ text book ระดับ ชั้นมัธยมศึกษา หรือ อุปกรณ์การทดลองต่าง ๆ ......ที่ไม่ได้ใช้แล้ว
เอามาให้นัก เรียนที่ โรงเรียนชาตระการวิทยา เพราะเด็กที่นี่ไม่ มีหนังสือดี ๆ อ่าน และจะได้สอบเข้า มหาวิทยาลัย มากกว่านี้
(เงินไม่รับครับ เพราะใช้ยากและไม่อยากมีปัญหาภายหลัง)
กรุณาส่ง
โรงเรียนชาติตระการวิทยา
124 หมู่ 4 ต.ป่า แดง อ.ชาติตระการ
จ.พิษณุโลก 65170
ขอบคุณมากครับ .....
สำหรับโอกาสที่นักเรียนโรงเรียนชาติตระการวิทยาจะได้รับ
กัมปนาท สุขนิตย์
ช่วยส่งต่อกันหน่อย นะ 100 mail ได้ สัก 1 เล่ม ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย : )
ผม ชื่อ กัมปนาท สุขนิตย์ ครูสอน วิชาชีววิทยา
โรงเรียนชาติตระการวิทยา
จ.พิษณุโลก
ตั้งแต่สอนมา เป็นโรงเรียนประจำอำเภอ ที่ กันดารและห่าง ไกลความเจริญ มากที่สุด
มีนักเรียนประมาณ 1,000 คน
แต่ มีครูแค่ 30 คนเอง .....
อาคารเรียนใช้การได้จริง 1 หลัง
ซึ่ง ไม่พอกับจำนวน นักเรียน.....
ปีนี้สอบ ติดมหาวิทยาลัย ประมาณ 60 กว่า คน จาก 160 คน ครับ ........
แต่เด็กที่ อ.ชาติตระการ ฐานะทางบ้านไม่ค่อยดี จึงไม่ค่อยได้เรียนต่อ
ขอรับบริจาค หนังสือเรียน หรือหนังสือสอบเข้าเอนทรานซ์ หรือ หนังสือเสริมบทเรียน
(ถ้าได้ชีท อ.อุ๊ อ.เผ่า อ.ต่าง ๆ จะดีมากครับ)
หรือ text book ระดับ ชั้นมัธยมศึกษา หรือ อุปกรณ์การทดลองต่าง ๆ ......ที่ไม่ได้ใช้แล้ว
เอามาให้นัก เรียนที่ โรงเรียนชาตระการวิทยา เพราะเด็กที่นี่ไม่ มีหนังสือดี ๆ อ่าน และจะได้สอบเข้า มหาวิทยาลัย มากกว่านี้
(เงินไม่รับครับ เพราะใช้ยากและไม่อยากมีปัญหาภายหลัง)
กรุณาส่ง
โรงเรียนชาติตระการวิทยา
124 หมู่ 4 ต.ป่า แดง อ.ชาติตระการ
จ.พิษณุโลก 65170
ขอบคุณมากครับ .....
สำหรับโอกาสที่นักเรียนโรงเรียนชาติตระการวิทยาจะได้รับ
กัมปนาท สุขนิตย์
ช่วยส่งต่อกันหน่อย นะ 100 mail ได้ สัก 1 เล่ม ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย : )
“วิถีใต้” ในสายน้ำ ธรรมชาติกับความยั่งยืนของชุมชน
สายน้ำ เป็นสิ่งสำคัญที่หล่อเลี้ยงชีวิตคนไทยมาช้านาน สำหรับภาคใต้นับเป็นดินแดนที่ประชากรในพื้นที่ได้ดำรงวิถีเคียงคู่กับสายน้ำมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งน้ำทะเล แม่น้ำ ลำคลอง และพื้นที่บริเวณชายฝั่ง
ทั้งนี้เพราะความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งน้ำนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เป็นทั้งแหล่งอาหาร แหล่งทำมาหากิน และยังเป็นถิ่นอาศัยของชุมชนต่างๆอีกมากมาย และนี่คือส่วนหนึ่งของชุมชนที่ดำรงวิถีเคียงคู่กับสายน้ำแห่งดินแดนภาคใต้ที่มีความน่าสนใจ มีอัตลักษณ์ และทรงเสน่ห์ไม่น้อยเลย อีกทั้งยังเป็นชุมชนที่ทาง“กรมประชาสัมพันธ์” เล็งเห็นในคุณค่า จึงพยายามผลักกันให้เป็นที่รับรู้ต่อสาธารณชนมากขึ้น
การเลี้ยงปูนิ่มของชาวบ้านเกาะแลหนัง
ชุมชนบ้านเกาะแลหนัง
บ้านเกาะแลหนัง อ.เทพา จ.สงขลา มีลักษณะเป็นเกาะที่อยู่ใกล้ชายฝั่ง และยังได้รับอิทธิพลจากกระแสน้ำจืดจากคลองตูหยงและคลองบ้านปรังที่ไหลผ่านหมู่บ้าน จึงมีระดับความเค็มของน้ำน้อยกว่าพื้นที่อื่น ซึ่งทำให้สภาพของน้ำเหมาะสมต่อการวางไข่ และเจริญเติบโตของลูกปลา ส่งผลให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาที่อุดมสมบูรณ์อย่างมาก
แต่เมื่อมีประชากรมากขึ้น การใช้ทรัพยากรจากธรรมชาติก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว คล้ายกับชุมชนอีกหลายแห่งที่มีสภาพไม่ต่างกัน มีการทำบ่อกุ้ง เผาถ่านไม้โกงกาง นายทุนเข้ามาตัดโค่นต้นไม้ จนทำให้ป่าชายเลนที่เคยอุดมสมบูรณ์สูญหายไปเกือบหมด
ร่วมมือกันฟื้นฟูป่าชายเลนในชุมชน
จนในที่สุดชาวบ้านในชุมชนก็หันกลับมาร่วมมือกันแก้ไขปัญหาป่าชายเลน โดยการนำของนายมานะ แม ผู้ใหญ่บ้าน ประสานงานกับตำรวจตระเวนชายแดน ร่วมกันปลูกป่าโกงกางเฉลิมพระเกียรติ เพื่อฟื้นฟูป่าชายเลนและปรับปรุงระบบนิเวศของชุมชนบ้านเกาะแลหนังให้มีสภาพดีขึ้น นอกจากนั้นก็ยังใช้ EM บอล บำบัดและฟื้นฟูน้ำที่เคยเสียจากสารพิษต่างๆ จนสภาพน้ำและความสมบูรณ์ของผืนดินเริ่มกลับคืนมาใกล้เคียงของเดิม สัตว์น้ำหลากหลายชนิดก็กลับมาอาศัยอยู่ในบริเวณชุมชน
เห็นได้จากการเลี้ยงปูนิ่มของชาวบ้าน ที่เริ่มมาจากการไปดูงานในพื้นที่อื่น และมองเห็นศักยภาพของบ้านเกาะแลหนังที่มีพันธุ์ปูตามธรรมชาติอยู่อีกมาก เมื่อนำมาปรับปรุงวิธีการเลี้ยงให้เข้ากับสภาพพื้นที่ ก็ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ได้ปูที่มีคุณภาพดี เนื้อแน่น และไม่มีกลิ่นสาบ
นอกเหนือจากความเข้มแข็งของชุมชนเอง ก็ยังมีหน่วยงานทหารเข้าไปร่วมพัฒนาหมู่บ้านให้มีความเข้มแข็งขึ้น ตามนโยบาย “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” โดยกองร้อยทหารพรานที่ 4202 และหน่วยพัฒนาสันติที่ 42-1 เข้ามาช่วยพัฒนาอาชีพ และความเป็นอยู่ของชาวบ้าน ตั้งแต่ปี 2551 ซึ่งก็มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นหมู่บ้านที่มีความเข้มแข็ง พึ่งตัวเองได้ เป็นแหล่งอาหารทางทะเล และเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศในอนาคต
กลับจากทะเลก็ช่วยกันคัดแยกปลา
ชุมชนบางตาวา
ต.บางตาวา อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ชุมชนที่ราบลุ่มชายฝั่งทะเล มีคลองตุยง และคลองสายหมอไหลผ่าน ด้วยพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ด้วยสัตว์น้ำนานาชนิด อาชีพหลักของชาวบ้านในหมู่บ้านนี้จึงเป็นอาชีพประมง
วิถีชาวประมงช่วงนอกฤดูมรสุม เริ่มต้นขึ้นก่อนพระอาทิตย์จะฉายแสง ช่วงตี 4 ตี 5 ก็เริ่มออกทะเลหาปลา เมื่อกลับมาถึงฝั่งในช่วงสาย ก็นำปลาที่ได้ไปขายในตลาด
เสาะดิ๊ก ดาเส็ง ชาวประมงในชุมชนบางตาวา
เสาะดิ๊ก ดาเส็ง ชาวประมงในชุมชนบางตาวา เล่าว่า ปลาที่หามาได้ก็นำไปขายเองโดยไม่ต้องผ่านคนกลาง ทำให้ได้เงินมาหมุนเวียนในครอบครัวตัวเอง อาหารการกินก็หาได้เอง ทำกินกันแบบพอเพียง ไม่ต้องไปพึ่งพาใคร ไม่ต้องออกไปหางานทำที่อื่น แต่ถ้าเป็นช่วงมรสุมก็จะออกไปวางอวนดักปู 2-3 วันจึงจะออกเรือไปเก็บครั้งหนึ่ง ระหว่างว่างก็จะถักอวน ซ่อมอวนที่มีอยู่ หรือรับจ้างถักอวนให้คนภายนอก หรือไม่ก็ซ่อมแซมเรือเพื่อใช้ออกหาปลาในช่วงนอกมรสุม
เรือฆอและที่ชาวบ้านใช้ทำประมง
และหากว่าปลาที่นำไปขายนั้นเหลือกลับมา ก็จะนำมาแปรรูปเป็นปลาเค็มปลอดสาร เนื่องจากวัตถุดิบที่ใช้ก็สามารถหาได้จากทะเล นำไปขายกันสดๆ ไม่มีสารเจือปนใดๆ และเมื่อนำมาทำปลาเค็มตากแห้งจึงได้ปลาเค็มที่ปลอดสารเจือปนต่างๆ ปลอดภัยกับคนที่บริโภคเข้าไปด้วย
นอกจากปลาเค็มปลอดสารที่เป็นสินค้าของชุมชนบางตาวาแล้ว ก็ยังมีการรวมกลุ่มประดิษฐ์เรือฆอและ ที่เป็นเอกลักษณ์ของเรือประมงในแถบภาคใต้ ซึ่งจะเห็นได้ว่าชาวประมงในชุมชนเองก็ใช้เรือฆอและสีสดลวดลายสวยงามออกไปทำการประมงในทะเล ฝีมือในการประดิษฐ์ลวดลายลงบนเรือจึงปรับเปลี่ยนมาใช้ในการประดิษฐ์เรือฆอและจำลองให้คนภายนอกได้เห็น
อนุรักษ์ธรรมชาติเพื่อเป็นแหล่งอาหารของชุมชน
ชุมชนบาลาดูวอ
บ้านบาลาดูวอ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี พื้นที่ติดอ่าวปัตตานี ที่อุดมสมบูรณ์ด้วยป่าชายเลนขนาดใหญ่ มีพื้นที่ครอบคลุมถึง 3 ตำบล อุดมด้วยไม้ชายเลนหลายพันธุ์ สัตว์น้ำหลากชนิด รวมถึงนกฝูงใหญ่ที่อพยพมาอยู่ในพื้นที่
อาชีพของชาวบ้านชุมชนบาลาดูวอก็เหมือนกับชุมชนบนสายน้ำอื่นๆ คือ ทำอาชีพประมงเป็นหลัก ที่นี่จะมีทั้งการเลี้ยงปลาในกระชัง วางลอบดักปู เก็บหอย และยังมีสาหร่ายผมนาง ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของชุมชน
การเลี้ยงปูดำในตะกร้า
นอกจากนี้ ชาวบ้านก็ยังรวมกลุ่มกันจัดตั้งกลุ่มเลี้ยงปูดำเพื่อทำปูนิ่ม เพิ่มรายได้ให้กับชาวชุมชนนอกเหนือจากการทำประมง โดยได้รับการส่งเสริมจากหน่วยงานภาครัฐ ที่พยายามช่วยให้ชาวบ้านสามารถพึ่งพาตนเองได้ และชุมชนเกิดความเข้มแข็ง
การเลี้ยงปูดำของที่นี่ จะเลี้ยงอยู่ในตะกร้า ใช้เนื้อปลาที่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ มาเป็นอาหารของปู ซึ่งการเลี้ยงปูดำให้เป็นปูนิ่มจะใช้ระยะเวลาการเลี้ยงประมาณ 2 สัปดาห์ เมื่อลูกปูโตขึ้นก็จะลอกคราบเอง จากนั้นก็จะนำปูที่ลอกคราบแล้วมาแช่ในน้ำจืด ก็สามารถส่งขายได้
อุโมงค์ป่าชายเลนอันอุดมสมบูรณ์ที่บ้านบาลาดูวอ
สำหรับป่าชายเลนในชุมชนบาลาดูวอ เปิดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ นักท่องเที่ยวสามารถที่จะไปล่องเรือชมธรรมชาติ ล่องผ่านอุโมงค์ป่าชายเลนที่มีความยาวประมาณ 300 เมตร ชมวิถีชีวิตชุมชนบน ในยามเย็นก็จะเห็นนกจำนวนมากบินกลับเข้ารัง
สิ่งหนึ่งที่ชาวบ้านให้ความสำคัญเป็นอย่างมากก็คือ การอนุรักษ์ธรรมชาติ โดยเฉพาะการดูแลป่าชายเลนให้อยู่ในสภาพที่อุดมสมบูรณ์ เพื่อให้เป็นแหล่งอาหาร และแหล่งประกอบอาชีพของชุมชนต่อเนื่องไปในอนาคต
วิถีชีวิตของชาวชุมชนบนสายน้ำทั้งสามแห่ง เป็นตัวอย่างของการอยู่ร่วมกันของคนกับธรรมชาติ พึ่งพาอาศัยและเกื้อกูลกัน การทำลายธรรมชาติก็เหมือนกับการทำลายวิถีของชุมชนด้วยเช่นกัน ฉะนั้น การอยู่อย่างพอเพียง ดูแลธรรมชาติในชุมชน ก็ช่วยให้วิถีของชุมชนบนสายน้ำนั้นยั่งยืนต่อไป
ทั้งนี้เพราะความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งน้ำนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เป็นทั้งแหล่งอาหาร แหล่งทำมาหากิน และยังเป็นถิ่นอาศัยของชุมชนต่างๆอีกมากมาย และนี่คือส่วนหนึ่งของชุมชนที่ดำรงวิถีเคียงคู่กับสายน้ำแห่งดินแดนภาคใต้ที่มีความน่าสนใจ มีอัตลักษณ์ และทรงเสน่ห์ไม่น้อยเลย อีกทั้งยังเป็นชุมชนที่ทาง“กรมประชาสัมพันธ์” เล็งเห็นในคุณค่า จึงพยายามผลักกันให้เป็นที่รับรู้ต่อสาธารณชนมากขึ้น
การเลี้ยงปูนิ่มของชาวบ้านเกาะแลหนัง
ชุมชนบ้านเกาะแลหนัง
บ้านเกาะแลหนัง อ.เทพา จ.สงขลา มีลักษณะเป็นเกาะที่อยู่ใกล้ชายฝั่ง และยังได้รับอิทธิพลจากกระแสน้ำจืดจากคลองตูหยงและคลองบ้านปรังที่ไหลผ่านหมู่บ้าน จึงมีระดับความเค็มของน้ำน้อยกว่าพื้นที่อื่น ซึ่งทำให้สภาพของน้ำเหมาะสมต่อการวางไข่ และเจริญเติบโตของลูกปลา ส่งผลให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาที่อุดมสมบูรณ์อย่างมาก
แต่เมื่อมีประชากรมากขึ้น การใช้ทรัพยากรจากธรรมชาติก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว คล้ายกับชุมชนอีกหลายแห่งที่มีสภาพไม่ต่างกัน มีการทำบ่อกุ้ง เผาถ่านไม้โกงกาง นายทุนเข้ามาตัดโค่นต้นไม้ จนทำให้ป่าชายเลนที่เคยอุดมสมบูรณ์สูญหายไปเกือบหมด
ร่วมมือกันฟื้นฟูป่าชายเลนในชุมชน
จนในที่สุดชาวบ้านในชุมชนก็หันกลับมาร่วมมือกันแก้ไขปัญหาป่าชายเลน โดยการนำของนายมานะ แม ผู้ใหญ่บ้าน ประสานงานกับตำรวจตระเวนชายแดน ร่วมกันปลูกป่าโกงกางเฉลิมพระเกียรติ เพื่อฟื้นฟูป่าชายเลนและปรับปรุงระบบนิเวศของชุมชนบ้านเกาะแลหนังให้มีสภาพดีขึ้น นอกจากนั้นก็ยังใช้ EM บอล บำบัดและฟื้นฟูน้ำที่เคยเสียจากสารพิษต่างๆ จนสภาพน้ำและความสมบูรณ์ของผืนดินเริ่มกลับคืนมาใกล้เคียงของเดิม สัตว์น้ำหลากหลายชนิดก็กลับมาอาศัยอยู่ในบริเวณชุมชน
เห็นได้จากการเลี้ยงปูนิ่มของชาวบ้าน ที่เริ่มมาจากการไปดูงานในพื้นที่อื่น และมองเห็นศักยภาพของบ้านเกาะแลหนังที่มีพันธุ์ปูตามธรรมชาติอยู่อีกมาก เมื่อนำมาปรับปรุงวิธีการเลี้ยงให้เข้ากับสภาพพื้นที่ ก็ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ได้ปูที่มีคุณภาพดี เนื้อแน่น และไม่มีกลิ่นสาบ
นอกเหนือจากความเข้มแข็งของชุมชนเอง ก็ยังมีหน่วยงานทหารเข้าไปร่วมพัฒนาหมู่บ้านให้มีความเข้มแข็งขึ้น ตามนโยบาย “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” โดยกองร้อยทหารพรานที่ 4202 และหน่วยพัฒนาสันติที่ 42-1 เข้ามาช่วยพัฒนาอาชีพ และความเป็นอยู่ของชาวบ้าน ตั้งแต่ปี 2551 ซึ่งก็มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นหมู่บ้านที่มีความเข้มแข็ง พึ่งตัวเองได้ เป็นแหล่งอาหารทางทะเล และเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศในอนาคต
กลับจากทะเลก็ช่วยกันคัดแยกปลา
ชุมชนบางตาวา
ต.บางตาวา อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ชุมชนที่ราบลุ่มชายฝั่งทะเล มีคลองตุยง และคลองสายหมอไหลผ่าน ด้วยพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ด้วยสัตว์น้ำนานาชนิด อาชีพหลักของชาวบ้านในหมู่บ้านนี้จึงเป็นอาชีพประมง
วิถีชาวประมงช่วงนอกฤดูมรสุม เริ่มต้นขึ้นก่อนพระอาทิตย์จะฉายแสง ช่วงตี 4 ตี 5 ก็เริ่มออกทะเลหาปลา เมื่อกลับมาถึงฝั่งในช่วงสาย ก็นำปลาที่ได้ไปขายในตลาด
เสาะดิ๊ก ดาเส็ง ชาวประมงในชุมชนบางตาวา
เสาะดิ๊ก ดาเส็ง ชาวประมงในชุมชนบางตาวา เล่าว่า ปลาที่หามาได้ก็นำไปขายเองโดยไม่ต้องผ่านคนกลาง ทำให้ได้เงินมาหมุนเวียนในครอบครัวตัวเอง อาหารการกินก็หาได้เอง ทำกินกันแบบพอเพียง ไม่ต้องไปพึ่งพาใคร ไม่ต้องออกไปหางานทำที่อื่น แต่ถ้าเป็นช่วงมรสุมก็จะออกไปวางอวนดักปู 2-3 วันจึงจะออกเรือไปเก็บครั้งหนึ่ง ระหว่างว่างก็จะถักอวน ซ่อมอวนที่มีอยู่ หรือรับจ้างถักอวนให้คนภายนอก หรือไม่ก็ซ่อมแซมเรือเพื่อใช้ออกหาปลาในช่วงนอกมรสุม
เรือฆอและที่ชาวบ้านใช้ทำประมง
และหากว่าปลาที่นำไปขายนั้นเหลือกลับมา ก็จะนำมาแปรรูปเป็นปลาเค็มปลอดสาร เนื่องจากวัตถุดิบที่ใช้ก็สามารถหาได้จากทะเล นำไปขายกันสดๆ ไม่มีสารเจือปนใดๆ และเมื่อนำมาทำปลาเค็มตากแห้งจึงได้ปลาเค็มที่ปลอดสารเจือปนต่างๆ ปลอดภัยกับคนที่บริโภคเข้าไปด้วย
นอกจากปลาเค็มปลอดสารที่เป็นสินค้าของชุมชนบางตาวาแล้ว ก็ยังมีการรวมกลุ่มประดิษฐ์เรือฆอและ ที่เป็นเอกลักษณ์ของเรือประมงในแถบภาคใต้ ซึ่งจะเห็นได้ว่าชาวประมงในชุมชนเองก็ใช้เรือฆอและสีสดลวดลายสวยงามออกไปทำการประมงในทะเล ฝีมือในการประดิษฐ์ลวดลายลงบนเรือจึงปรับเปลี่ยนมาใช้ในการประดิษฐ์เรือฆอและจำลองให้คนภายนอกได้เห็น
อนุรักษ์ธรรมชาติเพื่อเป็นแหล่งอาหารของชุมชน
ชุมชนบาลาดูวอ
บ้านบาลาดูวอ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี พื้นที่ติดอ่าวปัตตานี ที่อุดมสมบูรณ์ด้วยป่าชายเลนขนาดใหญ่ มีพื้นที่ครอบคลุมถึง 3 ตำบล อุดมด้วยไม้ชายเลนหลายพันธุ์ สัตว์น้ำหลากชนิด รวมถึงนกฝูงใหญ่ที่อพยพมาอยู่ในพื้นที่
อาชีพของชาวบ้านชุมชนบาลาดูวอก็เหมือนกับชุมชนบนสายน้ำอื่นๆ คือ ทำอาชีพประมงเป็นหลัก ที่นี่จะมีทั้งการเลี้ยงปลาในกระชัง วางลอบดักปู เก็บหอย และยังมีสาหร่ายผมนาง ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของชุมชน
การเลี้ยงปูดำในตะกร้า
นอกจากนี้ ชาวบ้านก็ยังรวมกลุ่มกันจัดตั้งกลุ่มเลี้ยงปูดำเพื่อทำปูนิ่ม เพิ่มรายได้ให้กับชาวชุมชนนอกเหนือจากการทำประมง โดยได้รับการส่งเสริมจากหน่วยงานภาครัฐ ที่พยายามช่วยให้ชาวบ้านสามารถพึ่งพาตนเองได้ และชุมชนเกิดความเข้มแข็ง
การเลี้ยงปูดำของที่นี่ จะเลี้ยงอยู่ในตะกร้า ใช้เนื้อปลาที่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ มาเป็นอาหารของปู ซึ่งการเลี้ยงปูดำให้เป็นปูนิ่มจะใช้ระยะเวลาการเลี้ยงประมาณ 2 สัปดาห์ เมื่อลูกปูโตขึ้นก็จะลอกคราบเอง จากนั้นก็จะนำปูที่ลอกคราบแล้วมาแช่ในน้ำจืด ก็สามารถส่งขายได้
อุโมงค์ป่าชายเลนอันอุดมสมบูรณ์ที่บ้านบาลาดูวอ
สำหรับป่าชายเลนในชุมชนบาลาดูวอ เปิดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ นักท่องเที่ยวสามารถที่จะไปล่องเรือชมธรรมชาติ ล่องผ่านอุโมงค์ป่าชายเลนที่มีความยาวประมาณ 300 เมตร ชมวิถีชีวิตชุมชนบน ในยามเย็นก็จะเห็นนกจำนวนมากบินกลับเข้ารัง
สิ่งหนึ่งที่ชาวบ้านให้ความสำคัญเป็นอย่างมากก็คือ การอนุรักษ์ธรรมชาติ โดยเฉพาะการดูแลป่าชายเลนให้อยู่ในสภาพที่อุดมสมบูรณ์ เพื่อให้เป็นแหล่งอาหาร และแหล่งประกอบอาชีพของชุมชนต่อเนื่องไปในอนาคต
วิถีชีวิตของชาวชุมชนบนสายน้ำทั้งสามแห่ง เป็นตัวอย่างของการอยู่ร่วมกันของคนกับธรรมชาติ พึ่งพาอาศัยและเกื้อกูลกัน การทำลายธรรมชาติก็เหมือนกับการทำลายวิถีของชุมชนด้วยเช่นกัน ฉะนั้น การอยู่อย่างพอเพียง ดูแลธรรมชาติในชุมชน ก็ช่วยให้วิถีของชุมชนบนสายน้ำนั้นยั่งยืนต่อไป
เมตตา แก้ความโกรธพยาบาท
(สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
เมตตา คือ ภาวะของจิตที่มีเยื่อใยไมตรีจิตมิตรใจคิดเกื้อกูลด้วยสุขประโยชน์ ปราศจากอาฆาตพยาบาทขึ้งเคียดโกรธแค้น แสดงออกทางสีหน้าและสายตาที่สงบแช่มชื่น มองดูด้วยสายตาอันแสดงถึงใจที่เอิบอาบด้วยความปราถนาดีให้มีความสุข ปราศจากความมุ่งร้ายที่เป็นภัยเวรทั้งปวง
เมตตานี้เป็นพรหมวิหารธรรมข้อหนึ่งที่พึงอบรมให้มีขึ้นในจิต วิธีอบรม คือ ระวังใจมิให้โกรธแค้นขัดเคืองอาฆาตพยาบาท เมื่อ ภาวะของจิตเช่นนั้นเกิดขึ้น ก็พยายามสงบระงับเสีย หักคิดว่าตนเองรักสุข ต้องการความสุขฉันใด คนอื่นสัตว์อื่นทั้งปวงก็ฉันนั้น และตนเองปราถนาสุขแก่คนซึ่งเป็นที่รักที่พอใจฉันใด ก็ควรปราถนาสุขแก่คนอื่นสัตว์อื่นฉันนั้น
เมื่อทำความสงบอาฆาต พยาบาทและทำไมตรีจิตมิตรใจให้เกิดขึ้นได้แล้ว ก็หัดแผ่จิตเช่นนี้ออกไปแก่คนอื่นสัตว์อื่นโดยเจาะจง หรือโดยไม่เจาะจงทั่วไป ด้วยใจที่คิดปราถนาสุขประโยชน์ ดังเช่นคิดว่า…
“จงอย่ามีเวร อย่าเบียดเบียน อย่ามีทุกข์ มีสุขรักษาตนให้สวัสดีเถิด”
อัน ที่จริงภาวะของจิตที่มีความรักใคร่ปราถนาให้เป็นสุข ย่อมมีอยู่ในตนและในคนที่เป็นที่รักอยู่เป็นปรกติ แต่ยังเจือด้วยราคะสิเนหาบ้าง เจือด้วยอาฆาตพยาบาทในผู้อื่นสัตว์อื่นบ้าง นี้จึงนับว่าเป็นภาวะของจิตที่เป็นสามัญธรรมดา
พระบรมศาสดาทรงสั่งสอนธรรม ก็คือทรงสั่งสอนให้ปรับปรุงสิ่งที่มีอยู่เป็นสามัญธรรมดานี้แหละ ให้ เป็นธรรม คือเป็นคุณเกื้อกูลขึ้นมา คือให้ปรับปรุงความรักใคร่ปราถนาสุขดังกล่าวให้เป็นคุณอันบริสุทธิ์ที่ เกื้อกูลกว้างขวางออกไป มิให้คับแคบเฉพาะตนและคนซึ่งเป็นที่รักในวงแคบของตน หรือจำเพาะพวกของตน แต่ให้แผ่กว้างออกไป
ตลอดจนถึงไม่มีจำกัดไม่มีประมาณ และให้ปราศจากอาฆาตพยายาบาท ทั้งให้บริสุทธิ์จากราคะสิเนหาด้วย เพราะว่าอาฆาตพยาบาทเป็นศัตรูที่ห่างของเมตตา ราคะสิเนหาเป็นศัตรูที่ใกล้ของเมตตา
ความ รักใคร่ที่เป็นสามัญธรรมดาของโลกย่อมเจือด้วยสิ่งทั้งสองนี้ ส่วนที่เป็นเมตตาอันบริสุทธิ์ย่อมปราศจากสิ่งทั้งสองนั้น ทางปฏิบัติอบรมก็ต้องอบรมสิ่งที่มีอยู่เป็นธรรมดาโลกนี้แหละ ให้เป็นธรรมขึ้นมา และย่อมเป็นเครื่องคุ้มครองโลก
ดังภาษิตที่ว่า “โลโกปตฺถมฺภิกา เมตฺตา…เมตตาเป็นธรรมเครื่องคุ้มครองโลก” ดังนี้
ที่มา ศีลและพรหมวิหาร ๔ : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
เมตตา คือ ภาวะของจิตที่มีเยื่อใยไมตรีจิตมิตรใจคิดเกื้อกูลด้วยสุขประโยชน์ ปราศจากอาฆาตพยาบาทขึ้งเคียดโกรธแค้น แสดงออกทางสีหน้าและสายตาที่สงบแช่มชื่น มองดูด้วยสายตาอันแสดงถึงใจที่เอิบอาบด้วยความปราถนาดีให้มีความสุข ปราศจากความมุ่งร้ายที่เป็นภัยเวรทั้งปวง
เมตตานี้เป็นพรหมวิหารธรรมข้อหนึ่งที่พึงอบรมให้มีขึ้นในจิต วิธีอบรม คือ ระวังใจมิให้โกรธแค้นขัดเคืองอาฆาตพยาบาท เมื่อ ภาวะของจิตเช่นนั้นเกิดขึ้น ก็พยายามสงบระงับเสีย หักคิดว่าตนเองรักสุข ต้องการความสุขฉันใด คนอื่นสัตว์อื่นทั้งปวงก็ฉันนั้น และตนเองปราถนาสุขแก่คนซึ่งเป็นที่รักที่พอใจฉันใด ก็ควรปราถนาสุขแก่คนอื่นสัตว์อื่นฉันนั้น
เมื่อทำความสงบอาฆาต พยาบาทและทำไมตรีจิตมิตรใจให้เกิดขึ้นได้แล้ว ก็หัดแผ่จิตเช่นนี้ออกไปแก่คนอื่นสัตว์อื่นโดยเจาะจง หรือโดยไม่เจาะจงทั่วไป ด้วยใจที่คิดปราถนาสุขประโยชน์ ดังเช่นคิดว่า…
“จงอย่ามีเวร อย่าเบียดเบียน อย่ามีทุกข์ มีสุขรักษาตนให้สวัสดีเถิด”
อัน ที่จริงภาวะของจิตที่มีความรักใคร่ปราถนาให้เป็นสุข ย่อมมีอยู่ในตนและในคนที่เป็นที่รักอยู่เป็นปรกติ แต่ยังเจือด้วยราคะสิเนหาบ้าง เจือด้วยอาฆาตพยาบาทในผู้อื่นสัตว์อื่นบ้าง นี้จึงนับว่าเป็นภาวะของจิตที่เป็นสามัญธรรมดา
พระบรมศาสดาทรงสั่งสอนธรรม ก็คือทรงสั่งสอนให้ปรับปรุงสิ่งที่มีอยู่เป็นสามัญธรรมดานี้แหละ ให้ เป็นธรรม คือเป็นคุณเกื้อกูลขึ้นมา คือให้ปรับปรุงความรักใคร่ปราถนาสุขดังกล่าวให้เป็นคุณอันบริสุทธิ์ที่ เกื้อกูลกว้างขวางออกไป มิให้คับแคบเฉพาะตนและคนซึ่งเป็นที่รักในวงแคบของตน หรือจำเพาะพวกของตน แต่ให้แผ่กว้างออกไป
ตลอดจนถึงไม่มีจำกัดไม่มีประมาณ และให้ปราศจากอาฆาตพยายาบาท ทั้งให้บริสุทธิ์จากราคะสิเนหาด้วย เพราะว่าอาฆาตพยาบาทเป็นศัตรูที่ห่างของเมตตา ราคะสิเนหาเป็นศัตรูที่ใกล้ของเมตตา
ความ รักใคร่ที่เป็นสามัญธรรมดาของโลกย่อมเจือด้วยสิ่งทั้งสองนี้ ส่วนที่เป็นเมตตาอันบริสุทธิ์ย่อมปราศจากสิ่งทั้งสองนั้น ทางปฏิบัติอบรมก็ต้องอบรมสิ่งที่มีอยู่เป็นธรรมดาโลกนี้แหละ ให้เป็นธรรมขึ้นมา และย่อมเป็นเครื่องคุ้มครองโลก
ดังภาษิตที่ว่า “โลโกปตฺถมฺภิกา เมตฺตา…เมตตาเป็นธรรมเครื่องคุ้มครองโลก” ดังนี้
ที่มา ศีลและพรหมวิหาร ๔ : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
“Climate Cool” ลดโลกร้อน ตามสไตล์ นิสิต มมส.-นักศึกษา ม.ธรรมศาสตร์
Climate Cool สะกิดไอเดียวัยโจ๋ เปิดโอกาสสร้างโครงการช่วยโลกด้วยวิธีง่ายๆ นิสิต มมส. หยิบกระดาษเก่าเหลือใช้ ปรุงโฉมใหม่เป็นสมุดสุดสวย ด้านสาว มธ. ขอไปเล่านิทานสร้างแนวคิดให้เด็ก
โครงการ Climate Cool โดยความร่วมมือของ บริติช เคานซิล สถานทูตอังกฤษ นิตยสาร a day และ Youth Venture Thailand เพื่อสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่มีส่วนร่วมในการคิดและลงมือทำสิ่งดี ๆ ให้กับโลก ด้วยความเชื่อมั่นในศักยภาพของ คนรุ่นใหม่ที่สามารถเป็นส่วนหนึ่งที่จะเสนอคำตอบให้กับปัญหาสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน โดยจุดเด่นของโครงการ คือ ไม่เน้นการประกวดโครงการสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุด แต่เน้นการสนับสนุนคนรุ่นใหม่ที่มีความพร้อมที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้ได้คิด และทำกิจกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมในแบบของตนเอง
ไลฟ์ ออน แคมปัส มีโอกาสได้สัมภาษณ์ตัวแทนเจ้าของโครงการที่ผ่านการคัดเลือกประจำปีนี้ อย่าง “โครงการ CD Green Heart ใช้กระดาษอย่างรู้ค่าคืนชีวาให้โลกสดใส” โดยกลุ่มนิสิตจากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ที่รวมตัวกันตั้งทีม “CD Green Heart” ชวนชาว ม.มหาสารคาม มาทำสมุดทำมือที่ใช้กระดาษจากชีทและเอกสารการเรียน ที่แต่ละปีจะถูกทิ้งอย่างน่าเสียดาย เพื่อเป็นการรณรงค์ให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมเห็นคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติที่ มีอยู่ใกล้ๆตัวและสามารถทำได้ด้วยตัวเอง
กลุ่มนิสิตผู้คิดโครงการนี้ประกอบไปด้วย น.ส.กิติยา เจ้นลา , น.ส.เสาวลักษณ์ หมายมี , น.ส.วราพร ครามบุตร ,น.ส.สายแนน ชื่นชม , น.ส.เจษฎาภรณ์ พิณเหลือง , นายวัฒนะ บูรณ์เจริญ และ น.ส.โสลิยา สาแก้ว
เจษฎาภรณ์ พิณเหลือง ตัวแทนกลุ่ม กล่าวว่า แรงบันดาลใจในโครงการ มาจากการที่เราใช้กระดาษเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะชีทรายงานต่างๆ กระดาษเหลือใช้ก็มีมาก เมื่ออาจารย์ที่ปรึกษา แนะนำโครงการ Climate Cool จึงลองเขียนโครงการส่งมา จนกระทั่งได้รับคัดเลือก
“เราดูรายการโทรทัศน์ จึงทราบข้อมูลว่าคนไทยใช้กระดาษเปลืองมาก คนหนึ่งใช้ 60 กิโลกรัมต่อปี รวมถึงการตัดต้นไม้ก็มีปริมาณมาก จึงเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดโครงการนี้ขึ้น โดยเอากระดาษชีทเหลือใช้ ขนาด 70 แกรม และเรียบ นำด้านที่ยังเป็นกระดาษขาวมาใช้ใหม่อีกครั้ง โดยติดต่อกับโรงพิมพ์เพื่อขอความอนุเคราะห์ในการจัดทำรูปเล่ม เอากระดาษเหลือใช้มาทำเป็นปก การประสานงานของลายเซ็น นีน่า กุลนัดดา ลงบนปกเพื่อเป็นไอดอลแก่นิสิต และเพื่อช่วยในการประชาสัมพันธ์ให้คนสนใจได้มากขึ้น”
ชีทเหลือใช้ กลายเป็นสมุดใหม่สุดสวย
เจษฎาภรณ์ ทิ้งท้ายว่า กระดาษที่นำมาใช้ เป็นกระดาษมือสองทั้งหมด และได้พิมพ์เป็นต้นแบบ 500 เล่ม โดยได้จากปริมาณกระดาษที่ได้รับบริจาค นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมสร้างความตระหนัก อบรมเรื่องการใช้กระดาษ และการใช้พลังงาน การฝึกสมุดทำมือ เพื่อเป็นอีกแนวทาง ที่นำกระดาษเหลือใช้ นำมารีไซเคิลอีกครั้ง รวมถึงอาจจะต่อยอดกับชมรมต่างๆ ลงพื้นที่ในชนบทเพื่อเผยแพร่ความรู้ต่อไป
ส่วน “โครงการ EC-Cool” ของกลุ่มนักศึกษาลูกแม่โดม ม.ธรรมศาสตร์ ซึ่งประกอบไปด้วย น.ส.มิ่งขวัญ จันทร์พิมพ์ , น.ส.รพีพรรณ เหลืองธาดา , น.ส.นภัทร หาญนารากร และ น.ส.วริษฐา อาจทวีกุล เป็นการรวมพลังสาวๆจากคณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ที่อยากสร้างเทรนด์ใหม่ให้นักศึกษาใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ชวนกันไปอ่านนิทานสิ่งแวดล้อมให้เด็กๆที่บ้านเด็กอ่อนปากเกร็ดฟัง เพื่อปลูกจิตสำนึกให้เยาวชนตัวน้อยของชาติเกิดความรู้สึกรักและหวงแหนทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งยังเป็นการสร้างสีสันให้น้องๆได้ร่วมสนุกและฝึกฝนจินตนาการด้วย
จุดเริ่มต้นโครงการ มาจากปีที่แล้วเคยมีรุ่นพี่ทำโครงการ Climate Cool มาก่อน สาวๆ EC-Cool จึงอยากลองไอเดียดีๆ หากิจกรรมทำบ้าง จนเป็นโครงการง่ายๆ แต่ได้ผลยิ่งใหญ่ ผ่านการถ่ายทอดค่านิยม ความตระหนักให้กับเด็กๆ เรื่องภาวะโลกร้อน
“กลุ่มเป้าหมาย คือ เด็กอ่อนพญาไท เป็นเด็กโตอายุประมาณ 5-10 ขวบ พวกเราไปช่วยกันทำกิจกรรม โดยตอนแรกเด็กก็วุ่นมาก เพราะเป็นวัยกำลังซน เราก็ต้องใช้เทคนิคในการทำให้เด็กสนใจ จนกระทั่งผลลัพธ์ออกมาเป็นที่น่าพอใจ เพราะเด็กสามารถตอบคำถามได้หมด ว่าควรทำตัวอย่างไร กับปัญหาโลกร้อนที่เกิดขึ้น และใช้อะไรในการแก้ปัญหา”
เด็กๆสนใจฟังนิทาน
สาวๆลูกแม่โดม กล่าวต่อไปว่า เด็กกลุ่มนี้เป็นเด็กกำพร้า ในอีกทางหนึ่งจึงเป็นการมอบความอบอุ่น พร้อมทั้งปลูกฝังสิ่งดีๆด้านสิ่งแวดล้อมให้กับน้องๆ เพราะเป็นนิทานเรื่องโลกร้อนโดยตรง ให้เห็นถึงเหตุผลที่ทำให้เกิด มีความร้ายแรงแค่ไหน และจะลดโลกร้อนด้วยตัวเองง่ายๆอย่างไร
“การถ่ายทอดแนวคิดให้เด็กเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ เพราะเด็กเหล่านี้ต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีศักยภาพต่อไป เป็นพลังสำคัญในอนาคต ดังนั้นยึดตามคติไม้อ่อนดัดง่าย เด็กๆรู้อะไรตอนนี้ก็ย่อมทำสิ่งดีๆได้ในอนาคต” สาวๆ EC-Cool กล่าวสรุป
โครงการ Climate Cool โดยความร่วมมือของ บริติช เคานซิล สถานทูตอังกฤษ นิตยสาร a day และ Youth Venture Thailand เพื่อสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่มีส่วนร่วมในการคิดและลงมือทำสิ่งดี ๆ ให้กับโลก ด้วยความเชื่อมั่นในศักยภาพของ คนรุ่นใหม่ที่สามารถเป็นส่วนหนึ่งที่จะเสนอคำตอบให้กับปัญหาสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน โดยจุดเด่นของโครงการ คือ ไม่เน้นการประกวดโครงการสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุด แต่เน้นการสนับสนุนคนรุ่นใหม่ที่มีความพร้อมที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้ได้คิด และทำกิจกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมในแบบของตนเอง
ไลฟ์ ออน แคมปัส มีโอกาสได้สัมภาษณ์ตัวแทนเจ้าของโครงการที่ผ่านการคัดเลือกประจำปีนี้ อย่าง “โครงการ CD Green Heart ใช้กระดาษอย่างรู้ค่าคืนชีวาให้โลกสดใส” โดยกลุ่มนิสิตจากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ที่รวมตัวกันตั้งทีม “CD Green Heart” ชวนชาว ม.มหาสารคาม มาทำสมุดทำมือที่ใช้กระดาษจากชีทและเอกสารการเรียน ที่แต่ละปีจะถูกทิ้งอย่างน่าเสียดาย เพื่อเป็นการรณรงค์ให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมเห็นคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติที่ มีอยู่ใกล้ๆตัวและสามารถทำได้ด้วยตัวเอง
กลุ่มนิสิตผู้คิดโครงการนี้ประกอบไปด้วย น.ส.กิติยา เจ้นลา , น.ส.เสาวลักษณ์ หมายมี , น.ส.วราพร ครามบุตร ,น.ส.สายแนน ชื่นชม , น.ส.เจษฎาภรณ์ พิณเหลือง , นายวัฒนะ บูรณ์เจริญ และ น.ส.โสลิยา สาแก้ว
เจษฎาภรณ์ พิณเหลือง ตัวแทนกลุ่ม กล่าวว่า แรงบันดาลใจในโครงการ มาจากการที่เราใช้กระดาษเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะชีทรายงานต่างๆ กระดาษเหลือใช้ก็มีมาก เมื่ออาจารย์ที่ปรึกษา แนะนำโครงการ Climate Cool จึงลองเขียนโครงการส่งมา จนกระทั่งได้รับคัดเลือก
“เราดูรายการโทรทัศน์ จึงทราบข้อมูลว่าคนไทยใช้กระดาษเปลืองมาก คนหนึ่งใช้ 60 กิโลกรัมต่อปี รวมถึงการตัดต้นไม้ก็มีปริมาณมาก จึงเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดโครงการนี้ขึ้น โดยเอากระดาษชีทเหลือใช้ ขนาด 70 แกรม และเรียบ นำด้านที่ยังเป็นกระดาษขาวมาใช้ใหม่อีกครั้ง โดยติดต่อกับโรงพิมพ์เพื่อขอความอนุเคราะห์ในการจัดทำรูปเล่ม เอากระดาษเหลือใช้มาทำเป็นปก การประสานงานของลายเซ็น นีน่า กุลนัดดา ลงบนปกเพื่อเป็นไอดอลแก่นิสิต และเพื่อช่วยในการประชาสัมพันธ์ให้คนสนใจได้มากขึ้น”
ชีทเหลือใช้ กลายเป็นสมุดใหม่สุดสวย
เจษฎาภรณ์ ทิ้งท้ายว่า กระดาษที่นำมาใช้ เป็นกระดาษมือสองทั้งหมด และได้พิมพ์เป็นต้นแบบ 500 เล่ม โดยได้จากปริมาณกระดาษที่ได้รับบริจาค นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมสร้างความตระหนัก อบรมเรื่องการใช้กระดาษ และการใช้พลังงาน การฝึกสมุดทำมือ เพื่อเป็นอีกแนวทาง ที่นำกระดาษเหลือใช้ นำมารีไซเคิลอีกครั้ง รวมถึงอาจจะต่อยอดกับชมรมต่างๆ ลงพื้นที่ในชนบทเพื่อเผยแพร่ความรู้ต่อไป
ส่วน “โครงการ EC-Cool” ของกลุ่มนักศึกษาลูกแม่โดม ม.ธรรมศาสตร์ ซึ่งประกอบไปด้วย น.ส.มิ่งขวัญ จันทร์พิมพ์ , น.ส.รพีพรรณ เหลืองธาดา , น.ส.นภัทร หาญนารากร และ น.ส.วริษฐา อาจทวีกุล เป็นการรวมพลังสาวๆจากคณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ที่อยากสร้างเทรนด์ใหม่ให้นักศึกษาใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ชวนกันไปอ่านนิทานสิ่งแวดล้อมให้เด็กๆที่บ้านเด็กอ่อนปากเกร็ดฟัง เพื่อปลูกจิตสำนึกให้เยาวชนตัวน้อยของชาติเกิดความรู้สึกรักและหวงแหนทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งยังเป็นการสร้างสีสันให้น้องๆได้ร่วมสนุกและฝึกฝนจินตนาการด้วย
จุดเริ่มต้นโครงการ มาจากปีที่แล้วเคยมีรุ่นพี่ทำโครงการ Climate Cool มาก่อน สาวๆ EC-Cool จึงอยากลองไอเดียดีๆ หากิจกรรมทำบ้าง จนเป็นโครงการง่ายๆ แต่ได้ผลยิ่งใหญ่ ผ่านการถ่ายทอดค่านิยม ความตระหนักให้กับเด็กๆ เรื่องภาวะโลกร้อน
“กลุ่มเป้าหมาย คือ เด็กอ่อนพญาไท เป็นเด็กโตอายุประมาณ 5-10 ขวบ พวกเราไปช่วยกันทำกิจกรรม โดยตอนแรกเด็กก็วุ่นมาก เพราะเป็นวัยกำลังซน เราก็ต้องใช้เทคนิคในการทำให้เด็กสนใจ จนกระทั่งผลลัพธ์ออกมาเป็นที่น่าพอใจ เพราะเด็กสามารถตอบคำถามได้หมด ว่าควรทำตัวอย่างไร กับปัญหาโลกร้อนที่เกิดขึ้น และใช้อะไรในการแก้ปัญหา”
เด็กๆสนใจฟังนิทาน
สาวๆลูกแม่โดม กล่าวต่อไปว่า เด็กกลุ่มนี้เป็นเด็กกำพร้า ในอีกทางหนึ่งจึงเป็นการมอบความอบอุ่น พร้อมทั้งปลูกฝังสิ่งดีๆด้านสิ่งแวดล้อมให้กับน้องๆ เพราะเป็นนิทานเรื่องโลกร้อนโดยตรง ให้เห็นถึงเหตุผลที่ทำให้เกิด มีความร้ายแรงแค่ไหน และจะลดโลกร้อนด้วยตัวเองง่ายๆอย่างไร
“การถ่ายทอดแนวคิดให้เด็กเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ เพราะเด็กเหล่านี้ต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีศักยภาพต่อไป เป็นพลังสำคัญในอนาคต ดังนั้นยึดตามคติไม้อ่อนดัดง่าย เด็กๆรู้อะไรตอนนี้ก็ย่อมทำสิ่งดีๆได้ในอนาคต” สาวๆ EC-Cool กล่าวสรุป
ทำความรู้จัก “โพแทสเซียมไอโอไดด์” กับอุบัติเหตุทางนิวเคลียร์
จากอุบัติเหตุทางนิวเคลียร์ที่เกิดขึ้น ของโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ที่ประเทศญี่ปุ่น ทำให้เกิดรั่วไหลของสารกัมมันตรังสีออกสู่บรรยากาศภายนอก ประชาชนชาวญี่ปุ่นและอีกหลายประเทศเกิดความกังวลว่าจะได้รับสารกัมมันตรังสีเข้าสู่ร่างกาย จึงมีการหาซื้อโพแทสเซียมไอโอไดด์มากินเพื่อป้องกันพิษจากไอโอดีนรังสี
หลายคนอาจจะยังไม่รู้จักกับโพแทสเซียมไอโอไดด์ “108 เคล็ดกิน” จึงอยากบอกต่อความรู้ที่ได้รับมาจาก กลุ่มงานด้านวิชาการ สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ เพื่อความเข้าใจอย่างถูกต้อง
ก่อนอื่นจะต้องรู้ก่อนว่า ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุทางนิวเคลียร์ สารกัมมันตรังสีที่เกิดการรั่วไหลออกมานั้นจะมีอยู่หลายชนิด เช่น ไอโอดีน-131 ซีเซียม-137 ซีนอน-137 เป็นต้น ซึ่งจะเกิดอันตรายมากน้อยแค่ไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับปริมาณที่รั่วไหลออกมา รวมถึงคุณสมบัติในการสลายตัวของสารแต่ละชนิดด้วย
ในร่างกายของคนปกติ ต่อมไทรอยด์จะดูดซึมไอโอดีนไปสร้างไทรอยด์ฮอร์โมน ซึ่งมีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโต และควบคุมการทำงานของอวัยวะต่างๆ สำหรับ “โพแทสเซียมไอโอไดด์” ก็คือไอโอดีนที่อยู่ในรูปเกลือที่เสถียร (ไม่ใช่ไอโอดีนรังสีที่รั่วไหลออกมา) แต่ในกรณีของอุบัติเหตุทางนิวเคลียร์ เราจะหายใจเอาไอโอดีนรังสีเข้าไปสะสมที่ต่อมไทรอยด์อย่างรวดเร็ว และจะทำลายเซลล์ของต่อมไทรอยด์ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดมะเร็งต่อมไทรอยด์ได้
แต่เนื่องจากต่อมไทรอยด์ไม่สามารถแยกได้ว่าอะไรคือไอโอดีนรังสี หรือไอโอดีนเสถียร และไอโอดีนทั้งสองชนิดสามารถดูดซึมได้อย่างรวดเร็วในต่อมไทรอยด์ ดังนั้น ในกรณีการเกิดอุบัติทางนิวเคลียร์ ถ้าได้กินไอโอดีนเสถียรที่อยู่ในรูปของโพแทสเซียมไอโอไดด์ในปริมาณที่เพียงพอก่อนที่จะได้รับไอโอดีนรังสี ต่อมไทยรอยด์ก็จะไม่จับไอโอดีนรังสีอีก เนื่องจากต่อมไทรอยด์มีความสามารถในการจับไอโอดีนได้ในปริมาณจำกัด จึงเป็นที่มาของการ ซื้อโพแทสเซียมไอโอไดด์มากินเพื่อป้องกันพิษจากไอโอดีนรังสี
ในส่วนของคนไทยนั้นมีความจำเป็นหรือไม่ในการกินโพแทสเซียมไอโอไดด์ ทางกระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศแล้วว่าในตอนนี้ประเทศไทยยังไม่ได้รับผลกระทบ ทั้งจากการปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสีในอาหารและเครื่องดื่ม และจากรายงานการเฝ้าระวังระดับกัมมันตภาพรังสีทั่วประเทศ ของสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ ก็ยังไม่พบการแพร่กระจายของฝุ่นผงกัมมันตรังสีจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ดังนั้นจึงยังไม่จำเป็นที่จะต้องซื้อหาโพแทสเซียมไอโอไดด์มากิน
แต่สำหรับผู้ที่จะเป็นจะต้องกินโพแทสเซียมไอโอไดด์ อย่างเช่น คนที่จะต้องเดินทางเข้าไปในพื้นที่เสี่ยง จะต้องไปรับคำแนะนำอย่างถูกต้องจากแพทย์และเภสัชกร เนื่องจากเป็นยาชนิดเข้มข้น และอาจเกิดผลข้างเคียงจากการแพ้ยาได้ เช่น เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน มีไข้ ร้อนในปากและลำคอ ปวดท้อง ท้องเสีย เป็นต้น ซึ่งหากว่ากินยาเกินขนาด หรือกินถี่กว่าที่ได้รับคำแนะนำ ก็ไม่ได้ช่วยให้ยาออกฤทธิ์ดีขึ้น แต่จะไปกระตุ้นอาการแพ้ให้รุนแรงมากขึ้น และเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
ข้อควรระวังอีกหนึ่งอย่างที่ควรรู้ คือ โพแทสเซียมไอโอไดด์ ไม่ควรใช้กับบุคคลที่มีอาการดังนี้ 1.ผู้ที่มีประวัติแพ้ไอโอดีน 2.เป็นโรคผิวหนังบางชนิด 3.ผู้ป่วยโรคไทรอยด์ 4.ผู้ป่วยโรคหลอดลมอักเสบเฉียบพลัน นอกจากนี้ ผู้ที่มีความจำเป็นจะต้องได้รับโพแทสเซียมไอโอไดด์ จะต้องปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา
หลายคนอาจจะยังไม่รู้จักกับโพแทสเซียมไอโอไดด์ “108 เคล็ดกิน” จึงอยากบอกต่อความรู้ที่ได้รับมาจาก กลุ่มงานด้านวิชาการ สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ เพื่อความเข้าใจอย่างถูกต้อง
ก่อนอื่นจะต้องรู้ก่อนว่า ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุทางนิวเคลียร์ สารกัมมันตรังสีที่เกิดการรั่วไหลออกมานั้นจะมีอยู่หลายชนิด เช่น ไอโอดีน-131 ซีเซียม-137 ซีนอน-137 เป็นต้น ซึ่งจะเกิดอันตรายมากน้อยแค่ไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับปริมาณที่รั่วไหลออกมา รวมถึงคุณสมบัติในการสลายตัวของสารแต่ละชนิดด้วย
ในร่างกายของคนปกติ ต่อมไทรอยด์จะดูดซึมไอโอดีนไปสร้างไทรอยด์ฮอร์โมน ซึ่งมีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโต และควบคุมการทำงานของอวัยวะต่างๆ สำหรับ “โพแทสเซียมไอโอไดด์” ก็คือไอโอดีนที่อยู่ในรูปเกลือที่เสถียร (ไม่ใช่ไอโอดีนรังสีที่รั่วไหลออกมา) แต่ในกรณีของอุบัติเหตุทางนิวเคลียร์ เราจะหายใจเอาไอโอดีนรังสีเข้าไปสะสมที่ต่อมไทรอยด์อย่างรวดเร็ว และจะทำลายเซลล์ของต่อมไทรอยด์ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดมะเร็งต่อมไทรอยด์ได้
แต่เนื่องจากต่อมไทรอยด์ไม่สามารถแยกได้ว่าอะไรคือไอโอดีนรังสี หรือไอโอดีนเสถียร และไอโอดีนทั้งสองชนิดสามารถดูดซึมได้อย่างรวดเร็วในต่อมไทรอยด์ ดังนั้น ในกรณีการเกิดอุบัติทางนิวเคลียร์ ถ้าได้กินไอโอดีนเสถียรที่อยู่ในรูปของโพแทสเซียมไอโอไดด์ในปริมาณที่เพียงพอก่อนที่จะได้รับไอโอดีนรังสี ต่อมไทยรอยด์ก็จะไม่จับไอโอดีนรังสีอีก เนื่องจากต่อมไทรอยด์มีความสามารถในการจับไอโอดีนได้ในปริมาณจำกัด จึงเป็นที่มาของการ ซื้อโพแทสเซียมไอโอไดด์มากินเพื่อป้องกันพิษจากไอโอดีนรังสี
ในส่วนของคนไทยนั้นมีความจำเป็นหรือไม่ในการกินโพแทสเซียมไอโอไดด์ ทางกระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศแล้วว่าในตอนนี้ประเทศไทยยังไม่ได้รับผลกระทบ ทั้งจากการปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสีในอาหารและเครื่องดื่ม และจากรายงานการเฝ้าระวังระดับกัมมันตภาพรังสีทั่วประเทศ ของสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ ก็ยังไม่พบการแพร่กระจายของฝุ่นผงกัมมันตรังสีจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ดังนั้นจึงยังไม่จำเป็นที่จะต้องซื้อหาโพแทสเซียมไอโอไดด์มากิน
แต่สำหรับผู้ที่จะเป็นจะต้องกินโพแทสเซียมไอโอไดด์ อย่างเช่น คนที่จะต้องเดินทางเข้าไปในพื้นที่เสี่ยง จะต้องไปรับคำแนะนำอย่างถูกต้องจากแพทย์และเภสัชกร เนื่องจากเป็นยาชนิดเข้มข้น และอาจเกิดผลข้างเคียงจากการแพ้ยาได้ เช่น เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน มีไข้ ร้อนในปากและลำคอ ปวดท้อง ท้องเสีย เป็นต้น ซึ่งหากว่ากินยาเกินขนาด หรือกินถี่กว่าที่ได้รับคำแนะนำ ก็ไม่ได้ช่วยให้ยาออกฤทธิ์ดีขึ้น แต่จะไปกระตุ้นอาการแพ้ให้รุนแรงมากขึ้น และเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
ข้อควรระวังอีกหนึ่งอย่างที่ควรรู้ คือ โพแทสเซียมไอโอไดด์ ไม่ควรใช้กับบุคคลที่มีอาการดังนี้ 1.ผู้ที่มีประวัติแพ้ไอโอดีน 2.เป็นโรคผิวหนังบางชนิด 3.ผู้ป่วยโรคไทรอยด์ 4.ผู้ป่วยโรคหลอดลมอักเสบเฉียบพลัน นอกจากนี้ ผู้ที่มีความจำเป็นจะต้องได้รับโพแทสเซียมไอโอไดด์ จะต้องปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา
คำนึงถึงวีระและราตรี โดย “วิสัย”
ผมไม่รู้จักวีระและราตรีเป็นการส่วนตัว แต่ได้ติดตามข่าวคราวของบุคคลทั้งสองตั้งแต่ถูกจับไปขึ้นศาลที่กัมพูชา ด้วยความห่วงใย โดยเฉพาะวีระซึ่งมีข่าวว่าเจ็บป่วย มีโรคประจำตัวหลายโรค ไม่ทราบว่าเท็จจริงเพียงใด เพราะประวัติการเจ็บป่วยเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่ไม่เปิดเผยอยู่แล้ว
วีระและราตรีจะถูกจับตัวไปในขณะที่ยังอยู่บนแผ่นดินของประเทศไทยหรือไม่ ไม่ใช่ประเด็นที่จะเขียนถึงในวันนี้ ผมมีความห่วงใยเรื่องความเจ็บป่วยของวีระมากกว่า ข่าวเรื่องสภาพความเป็นอยู่ที่ย่ำแย่ในเรือนจำกัมพูชา ผมพอเห็นภาพได้ แม้แต่คุณพนิช ซึ่งมีสุขภาพดีก่อนไปถูกจำคุก ยังได้รับโรคร้ายมาจากเรือนจำกัมพูชา วีระซึ่งมีโรคประจำตัวอยู่แล้วตามข่าว ย่อมติดโรคได้ง่ายและโรคประจำตัวที่เป็นอยู่ เมื่อตกอยู่ในสภาพของความกดดัน เครียดและสภาพแวดล้อมที่มีผลเสียต่อสุขภาพ โรคอาจกำเริบรุนแรง จนอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ส่วนราตรีแม้ไม่มีข่าวว่าเจ็บไข้ได้ป่วย แต่ก็น่าเป็นห่วงทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต
ข่าวเกี่ยวกับวีระและราตรีที่ผมทราบจากสื่อมวลชน มีแต่ด้านลบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเจ็บป่วยที่กำเริบขึ้นและไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะควร ไม่ได้รับการอนุญาตให้เยี่ยมจากญาติหรือเยี่ยมได้ยากมาก สิ่งเหล่านี้ถ้าเป็นความจริงย่อมขัดกับหลักมนุษยธรรมเป็นอย่างยิ่ง ผมไม่ได้ยินว่ารัฐบาลไทย โดยกระทรวงยุติธรรม หรือกระทรวงการต่างประเทศและสถานทูตไทยในกัมพูชาได้มีปฏิกิริยาที่เป็นทางการแต่อย่างใดเลย แถมมีข่าวในสื่อมวลชนเสียอีกว่าเจ้าหน้าที่เรือนจำกัมพูชาแสดงความสงสัยว่า เหตุใดสถานทูตไทยในกัมพูชาไม่ค่อยสนใจความเป็นอยู่ของวีระในเรือนจำเลย
ความจริงแล้วการปฏิบัติต่อผู้ถูกคุมขังในเรื่องที่เป็นปัญหาข้างต้นนั้น ไม่ว่าจะเรื่องการอนามัยเรือนจำ การเจ็บไข้ได้ป่วย การรักษาโรครวมทั้งการให้เยี่ยมเยียน มีแนวทางกำหนดไว้นานแล้วใน มาตรฐานขั้นต่ำของสหประชาชาติสำหรับปฏิบัติต่อผู้ถูกคุมขัง ซึ่งทั้งประเทศไทยและกัมพูชาต่างก็เป็นสมาชิกของสหประชาชาติ ชอบที่จะปฏิบัติตาม แม้มาตรฐานขั้นต่ำนี้จะไม่มีสภาพบังคับเป็นกฎหมาย แต่ก็เป็นแนวทางเพื่อให้สมาชิกของประชาคมโลกที่เจริญแล้ว ได้ปฏิบัติต่อผู้ถูกคุมขังอย่างมีมนุษยธรรมไม่ว่าจะเป็นผู้กระทำผิดหรือไม่ก็ตาม
โดยสภาพความเป็นจริง กัมพูชาอาจไม่สามารถพัฒนาเรือนจำให้มีมาตรฐานสูงส่งได้ แต่ผมก็เชื่อว่าผู้บริหารกิจการราชทัณฑ์ของกัมพูชาให้ความเคารพ และยอมรับมาตรฐานขั้นต่ำของสหประชาชาติในฐานะสมาชิกของสหประชาชาติ และสมาชิกของประชาคมผู้บริหารราชทัณฑ์แห่งเอเชียและแปซิฟิค ซึ่งมีการประชุมพบปะกันทุกปี นั่นหมายความว่า ผู้ถูกคุมขังในเรือนจำกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นคนเขมรหรือคนต่างชาติย่อมได้รับการอนุญาตให้ญาติเยี่ยมได้ตามสมควร โดยมีระเบียบกำหนดระยะเวลาแน่นอน
และเมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย ทั้งผู้ถูกคุมขังชาวเขมรและชาวต่างชาติ จะได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ตามมาตรฐานการแพทย์ของกัมพูชาและมาตรฐานสากล หากเรือนจำกัมพูชาไม่สามารถให้การดูแลได้ จำเป็นต้องส่งผู้ป่วยไปยังสถานที่เหมาะสมหรือแม้แต่โรงพยาบาลภายนอกเรือนจำ ผู้ถูกคุมขังก็สมควรได้รับสิทธิเช่นนั้น เว้นแต่มีข้อจำกัดหรือข้อห้ามที่ชอบด้วยเหตุผล แต่ก็ต้องมีการเยียวยาทดแทนที่ยอมรับได้
สำหรับวีระและราตรี การได้รับการเยี่ยมไม่น่าจะยากเย็นเหมือนกับที่ปรากฏในข่าว และหากมีความเจ็บป่วยซึ่งทางเรือนจำกัมพูชามีศักยภาพในการดูแลรักษาไม่เพียงพอ ก็สมควรได้รับการดูแลจากแพทย์ภายนอกเรือนจำ โดยจะนำแพทย์เข้าไปรักษาในเรือนจำหรือส่งตัววีระออกไปรักษานอกเรือนจำก็ได้ และถ้าเรือนจำกัมพูชามีงบประมาณไม่เพียงพอ สถานทูตไทยในกัมพูชาควรยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือตามหน้าที่ หากสถานทูตไทยไม่มีงบประมาณค่ารักษาหรือค่ายา ผมเชื่อว่าญาติมิตรของวีระพร้อมช่วยเหลืออยู่แล้ว เพียงแต่สถานทูตไทยแจ้งให้ญาติทราบเท่านั้น
สิ่งที่ผมเขียนเป็นแนวทางที่เป็นสากล ประเทศต่างๆ อาจปฏิบัติได้ดีกว่าหรือด้อยกว่านี้ไปบ้าง แต่ก็ควรพยายามปฏิบัติ สำหรับประเทศไทยปฏิบัติอยู่เป็นปกติและหลักการเหล่านี้ก็มีอยู่ในกฎหมายราชทัณฑ์ของไทย สถานทูตของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะประเทศในยุโรปหรืออเมริกาทราบดีและมีการประสานงานกับกรมราชทัณฑ์อยู่เป็นประจำ
บนพื้นฐานของมนุษยธรรม ผมจึงอยากขอร้องให้รัฐบาลไทยโดยกระทรวงยุติธรรมและกระทรวงการต่างประเทศผ่านทางสถานทูตไทยในกัมพูชา ได้ดูแลในเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด หรือถ้าดำเนินการอยู่แล้วก็กรุณาแถลงข่าวให้ประชาชนไทยได้ทราบบ้างว่าวีระและราตรีซึ่งเป็นประชาชนไทยเช่นกัน ได้รับการดูแลตามหลักการนี้มากน้อยเพียงใด
วีระและราตรีจะถูกจับตัวไปในขณะที่ยังอยู่บนแผ่นดินของประเทศไทยหรือไม่ ไม่ใช่ประเด็นที่จะเขียนถึงในวันนี้ ผมมีความห่วงใยเรื่องความเจ็บป่วยของวีระมากกว่า ข่าวเรื่องสภาพความเป็นอยู่ที่ย่ำแย่ในเรือนจำกัมพูชา ผมพอเห็นภาพได้ แม้แต่คุณพนิช ซึ่งมีสุขภาพดีก่อนไปถูกจำคุก ยังได้รับโรคร้ายมาจากเรือนจำกัมพูชา วีระซึ่งมีโรคประจำตัวอยู่แล้วตามข่าว ย่อมติดโรคได้ง่ายและโรคประจำตัวที่เป็นอยู่ เมื่อตกอยู่ในสภาพของความกดดัน เครียดและสภาพแวดล้อมที่มีผลเสียต่อสุขภาพ โรคอาจกำเริบรุนแรง จนอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ส่วนราตรีแม้ไม่มีข่าวว่าเจ็บไข้ได้ป่วย แต่ก็น่าเป็นห่วงทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต
ข่าวเกี่ยวกับวีระและราตรีที่ผมทราบจากสื่อมวลชน มีแต่ด้านลบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเจ็บป่วยที่กำเริบขึ้นและไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะควร ไม่ได้รับการอนุญาตให้เยี่ยมจากญาติหรือเยี่ยมได้ยากมาก สิ่งเหล่านี้ถ้าเป็นความจริงย่อมขัดกับหลักมนุษยธรรมเป็นอย่างยิ่ง ผมไม่ได้ยินว่ารัฐบาลไทย โดยกระทรวงยุติธรรม หรือกระทรวงการต่างประเทศและสถานทูตไทยในกัมพูชาได้มีปฏิกิริยาที่เป็นทางการแต่อย่างใดเลย แถมมีข่าวในสื่อมวลชนเสียอีกว่าเจ้าหน้าที่เรือนจำกัมพูชาแสดงความสงสัยว่า เหตุใดสถานทูตไทยในกัมพูชาไม่ค่อยสนใจความเป็นอยู่ของวีระในเรือนจำเลย
ความจริงแล้วการปฏิบัติต่อผู้ถูกคุมขังในเรื่องที่เป็นปัญหาข้างต้นนั้น ไม่ว่าจะเรื่องการอนามัยเรือนจำ การเจ็บไข้ได้ป่วย การรักษาโรครวมทั้งการให้เยี่ยมเยียน มีแนวทางกำหนดไว้นานแล้วใน มาตรฐานขั้นต่ำของสหประชาชาติสำหรับปฏิบัติต่อผู้ถูกคุมขัง ซึ่งทั้งประเทศไทยและกัมพูชาต่างก็เป็นสมาชิกของสหประชาชาติ ชอบที่จะปฏิบัติตาม แม้มาตรฐานขั้นต่ำนี้จะไม่มีสภาพบังคับเป็นกฎหมาย แต่ก็เป็นแนวทางเพื่อให้สมาชิกของประชาคมโลกที่เจริญแล้ว ได้ปฏิบัติต่อผู้ถูกคุมขังอย่างมีมนุษยธรรมไม่ว่าจะเป็นผู้กระทำผิดหรือไม่ก็ตาม
โดยสภาพความเป็นจริง กัมพูชาอาจไม่สามารถพัฒนาเรือนจำให้มีมาตรฐานสูงส่งได้ แต่ผมก็เชื่อว่าผู้บริหารกิจการราชทัณฑ์ของกัมพูชาให้ความเคารพ และยอมรับมาตรฐานขั้นต่ำของสหประชาชาติในฐานะสมาชิกของสหประชาชาติ และสมาชิกของประชาคมผู้บริหารราชทัณฑ์แห่งเอเชียและแปซิฟิค ซึ่งมีการประชุมพบปะกันทุกปี นั่นหมายความว่า ผู้ถูกคุมขังในเรือนจำกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นคนเขมรหรือคนต่างชาติย่อมได้รับการอนุญาตให้ญาติเยี่ยมได้ตามสมควร โดยมีระเบียบกำหนดระยะเวลาแน่นอน
และเมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย ทั้งผู้ถูกคุมขังชาวเขมรและชาวต่างชาติ จะได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ตามมาตรฐานการแพทย์ของกัมพูชาและมาตรฐานสากล หากเรือนจำกัมพูชาไม่สามารถให้การดูแลได้ จำเป็นต้องส่งผู้ป่วยไปยังสถานที่เหมาะสมหรือแม้แต่โรงพยาบาลภายนอกเรือนจำ ผู้ถูกคุมขังก็สมควรได้รับสิทธิเช่นนั้น เว้นแต่มีข้อจำกัดหรือข้อห้ามที่ชอบด้วยเหตุผล แต่ก็ต้องมีการเยียวยาทดแทนที่ยอมรับได้
สำหรับวีระและราตรี การได้รับการเยี่ยมไม่น่าจะยากเย็นเหมือนกับที่ปรากฏในข่าว และหากมีความเจ็บป่วยซึ่งทางเรือนจำกัมพูชามีศักยภาพในการดูแลรักษาไม่เพียงพอ ก็สมควรได้รับการดูแลจากแพทย์ภายนอกเรือนจำ โดยจะนำแพทย์เข้าไปรักษาในเรือนจำหรือส่งตัววีระออกไปรักษานอกเรือนจำก็ได้ และถ้าเรือนจำกัมพูชามีงบประมาณไม่เพียงพอ สถานทูตไทยในกัมพูชาควรยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือตามหน้าที่ หากสถานทูตไทยไม่มีงบประมาณค่ารักษาหรือค่ายา ผมเชื่อว่าญาติมิตรของวีระพร้อมช่วยเหลืออยู่แล้ว เพียงแต่สถานทูตไทยแจ้งให้ญาติทราบเท่านั้น
สิ่งที่ผมเขียนเป็นแนวทางที่เป็นสากล ประเทศต่างๆ อาจปฏิบัติได้ดีกว่าหรือด้อยกว่านี้ไปบ้าง แต่ก็ควรพยายามปฏิบัติ สำหรับประเทศไทยปฏิบัติอยู่เป็นปกติและหลักการเหล่านี้ก็มีอยู่ในกฎหมายราชทัณฑ์ของไทย สถานทูตของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะประเทศในยุโรปหรืออเมริกาทราบดีและมีการประสานงานกับกรมราชทัณฑ์อยู่เป็นประจำ
บนพื้นฐานของมนุษยธรรม ผมจึงอยากขอร้องให้รัฐบาลไทยโดยกระทรวงยุติธรรมและกระทรวงการต่างประเทศผ่านทางสถานทูตไทยในกัมพูชา ได้ดูแลในเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด หรือถ้าดำเนินการอยู่แล้วก็กรุณาแถลงข่าวให้ประชาชนไทยได้ทราบบ้างว่าวีระและราตรีซึ่งเป็นประชาชนไทยเช่นกัน ได้รับการดูแลตามหลักการนี้มากน้อยเพียงใด
บีโอไอ:บีโอไอแฟร์ 2011 “โลกสดใส ไทยยั่งยืน” พาวิลเลียนสร้างจากวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
จากอดีตถึงปัจจุบัน นโยบายส่งเสริมการลงทุนมีการปรับปรุงเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพการดำเนินธุรกิจ และสภาพแวดล้อมทางสังคมอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนให้เกิดการลงทุนที่สร้างการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อประเทศไทย ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ ได้ออกมาตรการส่งเสริมการลงทุน ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการรักษาสิ่งแวดล้อมหลายมาตรการ ได้แก่ การส่งเสริมกิจการนำวัสดุที่ไม่ต้องการใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ โดยจะต้องมีกระบวนการผลิตโดยนำวัสดุกลับมาใช้ซ้ำ (Reuse) การแปรรูปวัสดุเพื่อใช้ใหม่ (Recycling) และการสกัดวัสดุเพื่อนำมาใช้ใหม่ (Recovery) โดยมีกิจการที่ขอรับการส่งเสริมในกลุ่มดังกล่าว รวมประมาณ 40 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวมกว่า 4,500 ล้านบาท
นอกจากนี้ บีโอไอยังมีมาตรการส่งเสริมกิจการผลิตวัสดุและผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือ Eco - Friendly Products เช่น การผลิตเคมีภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการผลิตบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีกิจการที่ขอรับการส่งเสริมในกลุ่มดังกล่าว รวมประมาณ 6 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวมกว่า 4,750 ล้านบาท
สำหรับทิศทางส่งเสริมการลงทุน ซึ่งบีโอไอได้กำหนดนโยบายการส่งเสริมการลงทุนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเริ่มในปีที่ผ่านมา 2553-2555 ก็มีมาตรการส่งเสริมการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมโดยตรงด้วย ได้แก่ มาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อการประหยัดพลังงาน การใช้พลังงานทดแทน และการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อจูงใจให้โครงการต่างๆ ลงทุนปรับเปลี่ยนเครื่องจักร เพื่อให้สามารถประหยัดพลังงาน เปลี่ยนไปใช้พลังงานทดแทน และลดปริมาณของเสียทางอากาศและน้ำด้วย
และในช่วงปลายปีนี้ จะเป็นโอกาสดีที่ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมชั้นนำของไทย จะได้จัดแสดงศักยภาพทั้งด้านเทคโนโลยี และกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ให้ประชาชนคนไทยได้สัมผัสและเชื่อมั่นในศักยภาพของอุตสาหกรรมไทย ในงาน บีโอไอแฟร์ 2011 “โลกสดใส ไทยยั่งยืน” หรือ “Going Green for the Future” ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10 - 25 พฤศจิกายน 2554 ที่อิมแพค เมืองทองธานี
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การจัดแสดงศาลานิทรรศการของเจ้าภาพ คือ บีโอไอ สอดคล้องกับชื่องาน ดังนั้น ไทยแลนด์ พาวิลเลียน และ บีโอไอ พาวิลเลียน จึงได้รับการออกแบบและเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะทำให้ไม่ต้องสิ้นเปลืองทรัพยากร และนำวัสดุที่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ รวมทั้งจะช่วยประหยัดพลังงานที่ใช้ตลอด 16 วันของการจัดแสดง
วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะนำมาใช้ในการก่อสร้างและตกแต่งไทยแลนด์ พาวิลเลียน ได้แก่ กระจกเขียวตัดแสง มีคุณสมบัติในการป้องกันรังสี UV และดูดกลืนพลังงานความร้อนจากดวงอาทิตย์ที่ส่องมากระทบผิวกระจกได้ถึงร้อยละ 35-50 จึงช่วยประหยัดค่าไฟในส่วนของเครื่องปรับอากาศ
ภาพพิมพ์ที่ใช้ตกแต่ง จะใช้หมึกพิมพ์ที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นน้ำหมึกชนิดอาบรังสีอัลตราไวโอเลต ไม่มีส่วนผสมสารละลายทางเคมี (Solvent) ที่เป็นตัวทำลายสภาวะสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ
“บีโอไอ พาวิลเลียน ถูกก่อสร้างด้วยโครงสร้างอาคารที่ไม่ใช่คอนกรีตเสริมแรงที่หลังเสร็จงานต้องทุบทำลาย ทำให้สิ้นเปลืองทรัพยากรส่วนโครงอาคารหลักเป็น Rooftop base ที่ไม่ต้องขึ้นโครงสร้างใหม่ รวมทั้งจะนำผนังมีชีวิต Vertical garden มาใช้เพื่อช่วยลดความร้อนจากภายนอก และลดโหลดการใช้งานเครื่องปรับอากาศ และใช้ผ้าใบทนไฟ สะท้อนแสงอาทิตย์และความร้อนได้มากกว่าร้อยละ 90”
แผ่นกรีนบอร์ด เป็นวัสดุทดแทนไม้ ที่มีคุณสมบัติคล้ายไม้เนื้อแข็ง ใช้เป็นฉนวนกันความร้อนและเสียงได้ดี สามารถรับน้ำหนักและกันน้ำได้ดี นอกจากนี้ยังจะใช้ไม้อัดจากเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น เปลือกข้าว แกลบ เปลือกผลไม้ต่างๆ สำหรับการตกแต่งภายในอาคาร ซึ่งมีความแข็งแรง ทนทานสามารถกันน้ำได้
ในขณะที่ บีโอไอ พาวิลเลียน จะถูกก่อสร้างด้วยโครงสร้างอาคารที่ไม่ใช่คอนกรีตเสริมแรง ที่หลังเสร็จงานต้องทุบทำลาย ทำให้สิ้นเปลืองทรัพยากร ส่วนโครงอาคารหลักก็เป็น Rooftop base ที่ไม่ต้องขึ้นโครงสร้างใหม่ ลดการใช้ทรัพยากร รวมทั้งจะนำผนังมีชีวิต Vertical garden มาใช้ เพื่อช่วยลดความร้อนจากภายนอก และลดโหลดการใช้งานเครื่องปรับอากาศ และใช้ผ้าใบทนไฟ สะท้อนแสงอาทิตย์และความร้อนได้มากกว่าร้อยละ 90
นอกจากนี้ อาคารศูนย์ประสานงานบีโอไอแฟร์ 2011 หรือออร์กาไนเซอร์ ออฟฟิศ ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าทางเข้าการจัดแสดงศาลากลางแจ้ง ริมทะเลสาบ ก็จะก่อสร้างด้วยไม้ไผ่ล้อมรอบห้องที่ทำการด้วย เพื่อลดการใช้ทรัพยากรในการก่อสร้างอาคาร
ด้านภาคเอกชนชั้นนำที่จะร่วมแสดงในงานบีโอไอแฟร์ 2011 ปลายปีนี้ ต่างก็เริ่มประกาศแนวคิดในการสร้างพาวิลเลียนกันบ้างแล้ว โดยนอกจากจะจัดแสดงเทคโนโลยี และนวัตกรรมแล้ว ยังจะจัดแสดงภายใต้แนวคิด เทคโนโลยีสีเขียว ดังนั้น ประชาชนคนไทยไม่เพียงจะได้ชมเทคโนโลยีใหม่ๆ เท่านั้น แต่จะได้เห็นถึงนวัตกรรมการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
ติดต่อขอข้อมูล ติชม และเสนอแนะความคิดเห็นได้ที่ศูนย์บริการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน 0-2553-8111 หรือที่ head@boi.go.th
ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ ได้ออกมาตรการส่งเสริมการลงทุน ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการรักษาสิ่งแวดล้อมหลายมาตรการ ได้แก่ การส่งเสริมกิจการนำวัสดุที่ไม่ต้องการใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ โดยจะต้องมีกระบวนการผลิตโดยนำวัสดุกลับมาใช้ซ้ำ (Reuse) การแปรรูปวัสดุเพื่อใช้ใหม่ (Recycling) และการสกัดวัสดุเพื่อนำมาใช้ใหม่ (Recovery) โดยมีกิจการที่ขอรับการส่งเสริมในกลุ่มดังกล่าว รวมประมาณ 40 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวมกว่า 4,500 ล้านบาท
นอกจากนี้ บีโอไอยังมีมาตรการส่งเสริมกิจการผลิตวัสดุและผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือ Eco - Friendly Products เช่น การผลิตเคมีภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการผลิตบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีกิจการที่ขอรับการส่งเสริมในกลุ่มดังกล่าว รวมประมาณ 6 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวมกว่า 4,750 ล้านบาท
สำหรับทิศทางส่งเสริมการลงทุน ซึ่งบีโอไอได้กำหนดนโยบายการส่งเสริมการลงทุนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเริ่มในปีที่ผ่านมา 2553-2555 ก็มีมาตรการส่งเสริมการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมโดยตรงด้วย ได้แก่ มาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อการประหยัดพลังงาน การใช้พลังงานทดแทน และการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อจูงใจให้โครงการต่างๆ ลงทุนปรับเปลี่ยนเครื่องจักร เพื่อให้สามารถประหยัดพลังงาน เปลี่ยนไปใช้พลังงานทดแทน และลดปริมาณของเสียทางอากาศและน้ำด้วย
และในช่วงปลายปีนี้ จะเป็นโอกาสดีที่ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมชั้นนำของไทย จะได้จัดแสดงศักยภาพทั้งด้านเทคโนโลยี และกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ให้ประชาชนคนไทยได้สัมผัสและเชื่อมั่นในศักยภาพของอุตสาหกรรมไทย ในงาน บีโอไอแฟร์ 2011 “โลกสดใส ไทยยั่งยืน” หรือ “Going Green for the Future” ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10 - 25 พฤศจิกายน 2554 ที่อิมแพค เมืองทองธานี
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การจัดแสดงศาลานิทรรศการของเจ้าภาพ คือ บีโอไอ สอดคล้องกับชื่องาน ดังนั้น ไทยแลนด์ พาวิลเลียน และ บีโอไอ พาวิลเลียน จึงได้รับการออกแบบและเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะทำให้ไม่ต้องสิ้นเปลืองทรัพยากร และนำวัสดุที่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ รวมทั้งจะช่วยประหยัดพลังงานที่ใช้ตลอด 16 วันของการจัดแสดง
วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะนำมาใช้ในการก่อสร้างและตกแต่งไทยแลนด์ พาวิลเลียน ได้แก่ กระจกเขียวตัดแสง มีคุณสมบัติในการป้องกันรังสี UV และดูดกลืนพลังงานความร้อนจากดวงอาทิตย์ที่ส่องมากระทบผิวกระจกได้ถึงร้อยละ 35-50 จึงช่วยประหยัดค่าไฟในส่วนของเครื่องปรับอากาศ
ภาพพิมพ์ที่ใช้ตกแต่ง จะใช้หมึกพิมพ์ที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นน้ำหมึกชนิดอาบรังสีอัลตราไวโอเลต ไม่มีส่วนผสมสารละลายทางเคมี (Solvent) ที่เป็นตัวทำลายสภาวะสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ
“บีโอไอ พาวิลเลียน ถูกก่อสร้างด้วยโครงสร้างอาคารที่ไม่ใช่คอนกรีตเสริมแรงที่หลังเสร็จงานต้องทุบทำลาย ทำให้สิ้นเปลืองทรัพยากรส่วนโครงอาคารหลักเป็น Rooftop base ที่ไม่ต้องขึ้นโครงสร้างใหม่ รวมทั้งจะนำผนังมีชีวิต Vertical garden มาใช้เพื่อช่วยลดความร้อนจากภายนอก และลดโหลดการใช้งานเครื่องปรับอากาศ และใช้ผ้าใบทนไฟ สะท้อนแสงอาทิตย์และความร้อนได้มากกว่าร้อยละ 90”
แผ่นกรีนบอร์ด เป็นวัสดุทดแทนไม้ ที่มีคุณสมบัติคล้ายไม้เนื้อแข็ง ใช้เป็นฉนวนกันความร้อนและเสียงได้ดี สามารถรับน้ำหนักและกันน้ำได้ดี นอกจากนี้ยังจะใช้ไม้อัดจากเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น เปลือกข้าว แกลบ เปลือกผลไม้ต่างๆ สำหรับการตกแต่งภายในอาคาร ซึ่งมีความแข็งแรง ทนทานสามารถกันน้ำได้
ในขณะที่ บีโอไอ พาวิลเลียน จะถูกก่อสร้างด้วยโครงสร้างอาคารที่ไม่ใช่คอนกรีตเสริมแรง ที่หลังเสร็จงานต้องทุบทำลาย ทำให้สิ้นเปลืองทรัพยากร ส่วนโครงอาคารหลักก็เป็น Rooftop base ที่ไม่ต้องขึ้นโครงสร้างใหม่ ลดการใช้ทรัพยากร รวมทั้งจะนำผนังมีชีวิต Vertical garden มาใช้ เพื่อช่วยลดความร้อนจากภายนอก และลดโหลดการใช้งานเครื่องปรับอากาศ และใช้ผ้าใบทนไฟ สะท้อนแสงอาทิตย์และความร้อนได้มากกว่าร้อยละ 90
นอกจากนี้ อาคารศูนย์ประสานงานบีโอไอแฟร์ 2011 หรือออร์กาไนเซอร์ ออฟฟิศ ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าทางเข้าการจัดแสดงศาลากลางแจ้ง ริมทะเลสาบ ก็จะก่อสร้างด้วยไม้ไผ่ล้อมรอบห้องที่ทำการด้วย เพื่อลดการใช้ทรัพยากรในการก่อสร้างอาคาร
ด้านภาคเอกชนชั้นนำที่จะร่วมแสดงในงานบีโอไอแฟร์ 2011 ปลายปีนี้ ต่างก็เริ่มประกาศแนวคิดในการสร้างพาวิลเลียนกันบ้างแล้ว โดยนอกจากจะจัดแสดงเทคโนโลยี และนวัตกรรมแล้ว ยังจะจัดแสดงภายใต้แนวคิด เทคโนโลยีสีเขียว ดังนั้น ประชาชนคนไทยไม่เพียงจะได้ชมเทคโนโลยีใหม่ๆ เท่านั้น แต่จะได้เห็นถึงนวัตกรรมการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
ติดต่อขอข้อมูล ติชม และเสนอแนะความคิดเห็นได้ที่ศูนย์บริการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน 0-2553-8111 หรือที่ head@boi.go.th
อิฐสองก้อน
อาจารย์พรหม หรือ พระวิสิทธิสังวรเถร เป็นชาวอังกฤษ เป็นลูกศิษฐ์หลวงปู่ชา (เกจิอาจารย์ที่ท่านอาจารย์กมลวัลย์นับถือเป็นอย่างมาก)
ก่อนจะไปก่อตั้งวัดป่าโพธิญาณใกล้เมืองเพิร์ธ ที่ออสเตรเลีย
ช่วงก่อตั้งวัดป่าโพธิญาณเมื่อปี ๒๕๒๖ พระอาจารย์พรหม เล่าว่า””
หลังจากซื้อที่ดินแล้วเงินก็แทบไม่เหลือ ต้องสร้างวัดด้วยมือของตัวเอง
ตั้งแต่ผสมปูนจนถึงการก่อกำแพงอิฐ..
ท่านเล่าว่า.. ตอนที่ลงมือทำก็รู้สึกว่า ได้ทำอย่างประณีตที่สุด
จนกระทั่งกำแพงอิฐเสร็จสิ้นลง..
แต่พอถอยออกมายืนดู ก็พบว่า ก่ออิฐพลาดไป ๒ ก้อน..!!
อิฐกำแพงเรียงเรียบสวย แต่มีอยู่ ๒ ก้อนที่เอียง ๆ..
พระอาจารย์พรหมขอเจ้าอาวาสทุบกำแพงทิ้งเพื่อก่อใหม่
แต่เจ้าอาวาสไม่ยอม..
จากนั้นเป็นต้นมา.. ทุกครั้งที่พระอาจารย์พรหมพาแขกเยี่ยมวัด
ท่านจะพยายามหลีกเลี่ยงไม่พาแขกเดินผ่านกำแพงบริเวณนี้..
เพราะอายที่ก่ออิฐผิดพลาดไป ๒ ก้อน..
จนกระทั่งวันหนึ่ง.. พระอาจารย์พรหมกำลังเดินกับผู้มาเยี่ยมวัดคนหนึ่ง..
เขาเห็นกำแพงอิฐนี้แล้วก็เปรยขึ้นมาว่า "กำแพงนี่สวยดี"..
พระอาจารย์พรหมถามด้วยอารมณ์ขันว่า..
"คุณลืมแว่นสายตาไว้ที่รถหรือเปล่า คุณไม่เห็นหรือว่า
มีอิฐ ๒ ก้อนที่ก่อผิดพลาดจนกำแพงดูไม่ดี.."
แต่แล้ว ผู้มาเยี่ยมชมคนนี้ก็เอ่ยประโยคที่ทำให้
พระอาจารย์พรหมเปลี่ยนแปลงทัศนคติทั้งหมดที่เคยมีต่อกำแพงนี้
พร้อมกับเปลี่ยนแง่มุมที่มีต่อชีวิต..
ผู้เยี่ยมชมคนนั้นบอกว่า.. "ผมเห็นอิฐที่วางไม่ดีสองก้อนนั้น
แต่ผมก็ได้เห็นด้วยว่า.. มีอิฐอีก ๙๙๘ ก้อนที่ก่อไว้อย่างสวยงาม"
"นับเป็นครั้งแรกในรอบ ๓ เดือน ที่อาตมาสามารถมองเห็นอิฐก้อนอื่น ๆ
บนกำแพงนั้น นอกเหนือจากเจ้า ๒ ก้อนที่เป็นปัญหา..
ไม่ว่าจะเป็นอิฐที่อยู่ด้านบน ด้านล่าง ด้านซ้าย และด้านขวา
ของเจ้าอิฐ ๒ ก้อนนั้นล้วนแต่เป็นอิฐที่ก่อไว้อย่างดีไม่มีที่ติ..
ยิ่งไปกว่านั้นจำนวนอิฐที่ดี มีมากกว่าเจ้าอิฐไม่ดี ๒ ก้อนนั้น"
ช่วง ๓ เดือนที่ผ่านมา.. สายตาของพระอาจารย์พรหมเฝ้ามองแต่อิฐ ๒ ก้อนนั้น
ท่านยอมรับว่าสายตาของท่านมืดบอดต่อสิ่งอื่น ๆ..
ท่านอยากทลายกำแพง เพราะมองเห็นแต่อิฐ ๒ ก้อนที่ผิดพลาด..!!
แต่ทันทีที่ความรู้สึกเปิดกว้าง มองเห็นอิฐก้อนดี ๆ จำนวนมากบนกำแพงนี
กำแพงเดิมที่อยากทลาย ก็กลับงดงามขึ้นมาทันที..
"ใช่ ... กำแพงนี้สวยดี"
พระอาจารย์พรหมหันไปบอกกับผู้มาเยี่ยมคนนั้น
จนถึงวันนี้.. พระอาจารย์พรหมก็นึกไม่ออกแล้วว่า..
อิฐก้อนที่ผิดพลาด ๒ ก้อนนั้นอยู่ตรงไหนของกำแพง
“ทัศนคติ” ในการมองโลกที่เปลี่ยนแปลง
ทำให้อิฐ ๒ ก้อนนั้นเลือนหายจากความทรงจำ
พระอาจารย์พรหมเปรียบเปรยว่า คู่ชีวิตที่ตัดสัมพันธ์
หรือหย่าร้างกันก็เพราะทั้งคู่เพ่งมองแต่ "อิฐที่ไม่ดี ๒ ก้อน"
ในตัวคู่ชีวิตของเขา...
คนที่คิดท้อแท้ อยากฆ่าตัวตายก็เพราะเรามองเห็นแต่ "อิฐ ๒ ก้อน" ในตัวเราเอง
ทั้งที่ในความเป็นจริง นอกจาก "อิฐ ๒ ก้อน" ที่ผิดพลาดแล้ว
ยังมี "อิฐก้อนที่ดี" และ "อิฐก้อนที่ดีจนไม่มีที่ติ" มากมายอยู่ในตัวเรา
เพียงแต่เรามองไม่เห็นเท่านั้น
ท่านอาจารย์พรหมเตือนสติว่า..
อย่าให้ความผิดพลาดของ "อิฐที่ไม่ดี" เพียง "๒ ก้อน"
ทำให้เราต้องทำลายกำแพงดี ๆ จนพัง..
ก่อนจะไปก่อตั้งวัดป่าโพธิญาณใกล้เมืองเพิร์ธ ที่ออสเตรเลีย
ช่วงก่อตั้งวัดป่าโพธิญาณเมื่อปี ๒๕๒๖ พระอาจารย์พรหม เล่าว่า””
หลังจากซื้อที่ดินแล้วเงินก็แทบไม่เหลือ ต้องสร้างวัดด้วยมือของตัวเอง
ตั้งแต่ผสมปูนจนถึงการก่อกำแพงอิฐ..
ท่านเล่าว่า.. ตอนที่ลงมือทำก็รู้สึกว่า ได้ทำอย่างประณีตที่สุด
จนกระทั่งกำแพงอิฐเสร็จสิ้นลง..
แต่พอถอยออกมายืนดู ก็พบว่า ก่ออิฐพลาดไป ๒ ก้อน..!!
อิฐกำแพงเรียงเรียบสวย แต่มีอยู่ ๒ ก้อนที่เอียง ๆ..
พระอาจารย์พรหมขอเจ้าอาวาสทุบกำแพงทิ้งเพื่อก่อใหม่
แต่เจ้าอาวาสไม่ยอม..
จากนั้นเป็นต้นมา.. ทุกครั้งที่พระอาจารย์พรหมพาแขกเยี่ยมวัด
ท่านจะพยายามหลีกเลี่ยงไม่พาแขกเดินผ่านกำแพงบริเวณนี้..
เพราะอายที่ก่ออิฐผิดพลาดไป ๒ ก้อน..
จนกระทั่งวันหนึ่ง.. พระอาจารย์พรหมกำลังเดินกับผู้มาเยี่ยมวัดคนหนึ่ง..
เขาเห็นกำแพงอิฐนี้แล้วก็เปรยขึ้นมาว่า "กำแพงนี่สวยดี"..
พระอาจารย์พรหมถามด้วยอารมณ์ขันว่า..
"คุณลืมแว่นสายตาไว้ที่รถหรือเปล่า คุณไม่เห็นหรือว่า
มีอิฐ ๒ ก้อนที่ก่อผิดพลาดจนกำแพงดูไม่ดี.."
แต่แล้ว ผู้มาเยี่ยมชมคนนี้ก็เอ่ยประโยคที่ทำให้
พระอาจารย์พรหมเปลี่ยนแปลงทัศนคติทั้งหมดที่เคยมีต่อกำแพงนี้
พร้อมกับเปลี่ยนแง่มุมที่มีต่อชีวิต..
ผู้เยี่ยมชมคนนั้นบอกว่า.. "ผมเห็นอิฐที่วางไม่ดีสองก้อนนั้น
แต่ผมก็ได้เห็นด้วยว่า.. มีอิฐอีก ๙๙๘ ก้อนที่ก่อไว้อย่างสวยงาม"
"นับเป็นครั้งแรกในรอบ ๓ เดือน ที่อาตมาสามารถมองเห็นอิฐก้อนอื่น ๆ
บนกำแพงนั้น นอกเหนือจากเจ้า ๒ ก้อนที่เป็นปัญหา..
ไม่ว่าจะเป็นอิฐที่อยู่ด้านบน ด้านล่าง ด้านซ้าย และด้านขวา
ของเจ้าอิฐ ๒ ก้อนนั้นล้วนแต่เป็นอิฐที่ก่อไว้อย่างดีไม่มีที่ติ..
ยิ่งไปกว่านั้นจำนวนอิฐที่ดี มีมากกว่าเจ้าอิฐไม่ดี ๒ ก้อนนั้น"
ช่วง ๓ เดือนที่ผ่านมา.. สายตาของพระอาจารย์พรหมเฝ้ามองแต่อิฐ ๒ ก้อนนั้น
ท่านยอมรับว่าสายตาของท่านมืดบอดต่อสิ่งอื่น ๆ..
ท่านอยากทลายกำแพง เพราะมองเห็นแต่อิฐ ๒ ก้อนที่ผิดพลาด..!!
แต่ทันทีที่ความรู้สึกเปิดกว้าง มองเห็นอิฐก้อนดี ๆ จำนวนมากบนกำแพงนี
กำแพงเดิมที่อยากทลาย ก็กลับงดงามขึ้นมาทันที..
"ใช่ ... กำแพงนี้สวยดี"
พระอาจารย์พรหมหันไปบอกกับผู้มาเยี่ยมคนนั้น
จนถึงวันนี้.. พระอาจารย์พรหมก็นึกไม่ออกแล้วว่า..
อิฐก้อนที่ผิดพลาด ๒ ก้อนนั้นอยู่ตรงไหนของกำแพง
“ทัศนคติ” ในการมองโลกที่เปลี่ยนแปลง
ทำให้อิฐ ๒ ก้อนนั้นเลือนหายจากความทรงจำ
พระอาจารย์พรหมเปรียบเปรยว่า คู่ชีวิตที่ตัดสัมพันธ์
หรือหย่าร้างกันก็เพราะทั้งคู่เพ่งมองแต่ "อิฐที่ไม่ดี ๒ ก้อน"
ในตัวคู่ชีวิตของเขา...
คนที่คิดท้อแท้ อยากฆ่าตัวตายก็เพราะเรามองเห็นแต่ "อิฐ ๒ ก้อน" ในตัวเราเอง
ทั้งที่ในความเป็นจริง นอกจาก "อิฐ ๒ ก้อน" ที่ผิดพลาดแล้ว
ยังมี "อิฐก้อนที่ดี" และ "อิฐก้อนที่ดีจนไม่มีที่ติ" มากมายอยู่ในตัวเรา
เพียงแต่เรามองไม่เห็นเท่านั้น
ท่านอาจารย์พรหมเตือนสติว่า..
อย่าให้ความผิดพลาดของ "อิฐที่ไม่ดี" เพียง "๒ ก้อน"
ทำให้เราต้องทำลายกำแพงดี ๆ จนพัง..
วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2554
วิธีไล่หนูง่ายๆ และประหยัดเงิน
วิธีไล่หนูง่ายๆ และประหยัดเงิน นำไม้ยี่โถตากแดดให้แห้งแล้วบดเป็นผงนำไปโรยตามซอกที่หนูชอบอยู่หนูก็จะหนีไป
จาก SMS FarmerInfo by DTAC - 26 ก.พ.2554
จาก SMS FarmerInfo by DTAC - 26 ก.พ.2554
ในการหมักปุ๋ย มักเกิดแก๊สไข่เน่า
ในการหมักปุ๋ย มักเกิดแก๊สไข่เน่าซึ่งเป็นกรดกำมะถันเป็นอันตรายต่อพืช วิธีแก้ ให้ผสมน้ำตาล 1 ส่วนกับน้ำ 5 ส่วน เติมลงในถังหมักโดยไม่ต้องกวน
จาก SMS FarmerInfo by DTAC - 28 มีค 2554
จาก SMS FarmerInfo by DTAC - 28 มีค 2554
การเลือกซื้อกุ้
การเลือกซื้อกุ้ง ควรเลือกกุ้งสดที่ไม่มีกลิ่นเหม็น เนื้อแน่น ครีบและหางเป็นมัน สีสดใสและหัวกุ้งติดแน่นไม่หลุดออก
จาก SMS FarmerInfo by DTAC - 27 มีค 2554
จาก SMS FarmerInfo by DTAC - 27 มีค 2554
ต้น (ดอก)แก้ว เป็นไม้มงคล
ต้น (ดอก)แก้ว เป็นไม้มงคล ตามความเชื่อของไทย การปลูกไว้ในบ้านจะช่วยทำให้ผู้อยู่อาศัย มีจิตใจบริสุทธิ์ ประพฤติดี เป็นที่ยกย่องแก่คนทั่วไป
จาก SMS FarmerInfo by DTAC - 27 มีค 2554
จาก SMS FarmerInfo by DTAC - 27 มีค 2554
การใช้ NAA
การใช้ NAA อัตรา 100 มิลลิกรัม / ลิตรกับสัปปะรดขณะดอกเริ่มแห้ง จะทำให้ผลใหญ่ + น้ำหนักมากขึ้น แต่จะแก่ช้าลง 1-4 สัปดาห์ และไม่เหมาะต่อการส่งโรงงาน
จาก SMS FarmerInfo by DTAC - 25 มีค 2554
จาก SMS FarmerInfo by DTAC - 25 มีค 2554
แก้พิษสัตว์ต่อย
แก้พิษสัตว์ต่อย (ตะขาบ, แมงมุม แมงป่อง) ตำใบมะละกอสด ให้ละเอียดผสมน้ำปูนแดงพอกบริเวณที่ถูกกัดต่อย อาการปวดแสบปวดร้อนจะหายไปภายใน 5 ต
จาก SMS FarmerInfo by DTAC - 24 มีค 2554
จาก SMS FarmerInfo by DTAC - 24 มีค 2554
สำหรับหนุ่มสาว ที่กำลังลดความอ้วน
สำหรับหนุ่มสาว ที่กำลังลดความอ้วน การพกน้ำมันหอมระเหยกลิ่นลาเวนเดอ-กุหลาบ ติดตัวไว้เสมอแล้วดม เมื่อเริ่มหิว จะช่วยลดความอยากอาหารลง
จาก SMS FarmerInfo by DTAC - 19 มีค 2554
จาก SMS FarmerInfo by DTAC - 19 มีค 2554
การทดสอบน้ำผึ้งแท้
การทดสอบน้ำผึ้งแท้ ให้เทน้ำผึ้งลงบนกระดาษฟาง ถ้าน้ำผึ้งไม่ซึมลงข้างล่าง ก็แสดงว่า น้ำผึ้งนั้นแท้ ถ้าซึมลงข้างล่าง ก็แสดงว่า ไม่แท้
จาก SMS FarmerInfo by DTAC - 26 มีค 2554
จาก SMS FarmerInfo by DTAC - 26 มีค 2554
การใช้ใบมันสำปะหลังเป็นอาหารเสริม
การใช้ใบมันสำปะหลังเป็นอาหารเสริมในการเลี้ยงไก่ นอกจากให้คุณค่าทางอาหารแล้วยังช่วยประหยัดต้นทุน
จาก SMS FarmerInfo by DTAC - 29 มีค 2554
จาก SMS FarmerInfo by DTAC - 29 มีค 2554
วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2554
10 วิธีง่ายๆ ใช้ระงับความโกรธ
ห่างไกลเกิน คนข้างที่ห่างไกล อย่าน้อยใจให้คอยนาน
1. หลีกเลี่ยง "การหลีกเลี่ยง" กับ "การหลีกหนี" แตกต่างกันนะครับ การหลีกเลี่ยงไม่ได้หมายความว่าคุณขลาดกลัว หรือไม่เป็นลูกผู้ชาย ตรงกันข้ามวิธีนี้กลับเป็นสิ่งที่แสดงวุฒิภาวะในการควบคุมอารมณ์ของคุณต่าง หาก คุณอาจจะออกมาเดินเล่น ผ่อนคลาย ประนีประนอม หรือไม่ก็พับงาน - กิจกรรมนั้นไว้ว่ากันวันหลังที่อารมณ์ดีขึ้นแล้ว ต้องจำให้ขึ้นใจนะครับว่าไม่ใช่การหลีกหนีโดยไม่รับผิดชอบ หรือก่อความเสียหายไว้ให้คนอื่นต้องตามแก้
2. ระบาย นะครับ ไม่ใช่ "ระเบิด" และต้องรู้จักเลือกคนที่เราจะระบายด้วยนะ ควรเป็นคนที่เข้าใจ และไว้ใจได้ เพราะขืนไประบายกับคนที่ไม่เข้าใจ และพวกปากประชาสัมพันธ์แทนที่จะระบายจะทำให้คุณสบายใจ สบายหัว การระบายโดยไม่เลือกนิสัย และสันดานของบุคคลที่สาม อาจกลายเป็นการจุดชนวนระเบิดตูมใหญ่ให้คุณดีๆ นี่เอง
3. กิน มี ใครจะปฏิเสธบ้างว่าการกินคือ วิธีสร้างสุขอย่างดีวิธีหนึ่งของมนุษย์ โดยเฉพาะการกินอาหารอร่อยถูกปาก คุณเอ๋ย...สุขอย่าบอกใคร ทุกครั้งที่ลิ้นได้รับรสอันโอชะของอาหารจานโปรด เชื่อสิว่าความโกรธจะดับวูบลงราวกับโยนไม้ขีดไฟลงแม่น้ำเลยละ โดยเฉพาะอาหารจำพวกขนมหวาน เพราะมีการพิสูจน์แล้วว่า สามารถดับพิษแห่งความโกรธได้ชะงัด อ้อ...อย่าโกรธบ่อยจนอ้วนก็แล้วกัน
4. ดื่ม โดยเฉพาะดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ รสซาบซ่า ฉ่ำใจ อาจจะเป็น น้ำเปล่า น้ำผลไม้ น้ำอัดลมเย็นเจี๊ยบสักแก้ว จะซดเฮือกๆ ให้หายโกรธ หรือค่อยๆ จิบละเลียดช้าๆ ก็ไม่ว่ากัน ตราบใดที่ความเย็นยังบรรเทาความร้อนได้ น้ำเย็นก็สามารถบรรเทาความโกรธได้ตราบนั้น ที่สำคัญถ้าคุณระงับความโกรธด้วยแอลกอฮอล์เย็น อย่าเมาแล้วขับ หรือหลับข้างถนนก็แล้วกัน
5. หัวเราะ มีหลาย อย่างที่จะทำให้คุณหัวเราะได้ การพูดคุยกับคนที่มีอารมณ์ขัน การอ่านหนังสือ ดูตลกในทีวี หรือแม้แต่การส่องกระจกดูหน้าตาตัวเองที่กำลังโกรธเกรี้ยวเป็นไอ้บ้าอยู่ก็ ตาม เอาเป็นว่าทุกเรื่อง ทุกคนที่กระตุ้นต่อมฮาของคุณได้ก็โอเค ทุกครั้งที่โกรธ จงหัวเราะดังๆ ให้เท่ากับความโกรธที่มันจุกอกอยู่ รับรองว่าต่อมฮาฆ่าความโกรธกระจาย (แต่อย่าเผลอหัวเราะตอนเจ้านายกำลังด่าคุณก็แล้วกัน)
6. ร้องไห้ การ ร้องไห้เป็นกลไกของร่างกายตามธรรมชาติที่ช่วยระบายความเครียด ความคับข้องในจิตใจให้หมดสิ้นไป รวมทั้งการระบายความโกรธ ดังนั้น ผู้ชายร้องไห้จึงไม่ใช่เรื่องแปลก เว้นเสียแต่ว่าคุณจะแหกปากร้องไห้ หรือสะอื้นฮักๆ ต่อหน้าธารกำนัล ถ้าโกรธตอนอยู่คนเดียวแล้วไม่รู้จะทำยังไงหรืออยากจะร้องไห้ ลองปล่อยน้ำตาให้ไหลโดยไม่ต้องบังคับดูสิ แล้วคุณจะรู้ว่าร้องไห้ช่วยไล่ความโกรธได้จริงๆ
7. ร้องเพลง เพลงอะไร กับใคร ที่ไหน ร้องไปเถอะ จะร้องเบาๆ หรือแหกปากร้องก็เอาเลย สังคมไทยไม่เคยรังเกียจคนร้องเพลง (ยกเว้นร้องเพลงรักในงานศพ) นักจิตวิทยาบอกว่า การร้องเพลงจะช่วยให้กล้ามเนื้อที่ตึงเครียดผ่อนคลาย และหายโกรธได้ ถ้าโกรธจนนึกไม่ออกว่าจะร้องเพลงอะไร ขอแนะนำว่าให้ร้องเพลงไทยยอดนิยมตลอดกาล "เพลงชาติ" หรือ "เพลงช้าง" ที่ร้องได้ตั้งแต่ชั้น ป. 1 รับรองว่าทั้งคนร้อง คนฟังฮาครืน ครื้นเครง
8. พักผ่อน หากิจกรรมที่คุณทำแล้วเพลิดเพลิน ออกกำลังกายช้อปปิ้ง ดูหนัง ฟังเพลง อะไรก็ได้ที่ทำแล้วคุณรู้สึกว่าได้ผ่อนคลายความตึงเครียด ความโกรธ และไม่ทำให้ตัวเองและคนอื่นเดือดร้อนทำไปเถอะ มีข้อแม้อยู่นิดเดียวว่าการพักผ่อนนั้น อย่าทำให้คุณเสียงาน และเสียเงินจนเกินไปก็แล้วกัน
9. นอนหลับ เคย สังเกตไหมว่า เวลาที่คุณโกรธ หรือเครียดมากๆ เป็นเวลานานๆ คุณจะรู้สึกหนักหัว และง่วงนอนมากๆ นั่นแหละคือ สัญญาณที่ร่างกายต้องการบอกคุณว่า ถ้าได้หลับเต็มอิ่มสักงีบ อารมณ์โกรธของคุณจะได้รับการปลดปล่อยโดยกลไกธรรมชาติ หากจะพูดถึงกระบวนการระบายความโกรธในขณะนอนหลับคงจะยืดยาวน่าเบื่อ เอาเป็นว่าถ้าไม่เชื่อลองนอนหลับดูก็แล้วกัน
10. ให้อภัย ฟังดูแล้วอาจจะพระเอ๊กพระเอก แต่ทุกครั้งที่เราให้อภัยคนที่ทำให้โกรธ เชื่อสิว่าถึงไม่ได้อะไร แต่เราก็ภาคภูมิใจ สบายใจอยู่ลึกๆ การให้อภัยคือ การปล่อยวาง และให้โอกาสทั้งตัวเองและผู้อื่น ให้โอกาสผู้อื่นได้แก้ตัว ปรับปรุงตัว ให้โอกาสตัวเองได้เป็นผู้ให้ ได้ฝึกนิสัย และจิตใจตัวเองให้เย็นลง และรู้จักปล่อยวาง รู้สึกดีทั้งผู้ให้ และผู้ได้รับการอภัยเลยละ
1. หลีกเลี่ยง "การหลีกเลี่ยง" กับ "การหลีกหนี" แตกต่างกันนะครับ การหลีกเลี่ยงไม่ได้หมายความว่าคุณขลาดกลัว หรือไม่เป็นลูกผู้ชาย ตรงกันข้ามวิธีนี้กลับเป็นสิ่งที่แสดงวุฒิภาวะในการควบคุมอารมณ์ของคุณต่าง หาก คุณอาจจะออกมาเดินเล่น ผ่อนคลาย ประนีประนอม หรือไม่ก็พับงาน - กิจกรรมนั้นไว้ว่ากันวันหลังที่อารมณ์ดีขึ้นแล้ว ต้องจำให้ขึ้นใจนะครับว่าไม่ใช่การหลีกหนีโดยไม่รับผิดชอบ หรือก่อความเสียหายไว้ให้คนอื่นต้องตามแก้
2. ระบาย นะครับ ไม่ใช่ "ระเบิด" และต้องรู้จักเลือกคนที่เราจะระบายด้วยนะ ควรเป็นคนที่เข้าใจ และไว้ใจได้ เพราะขืนไประบายกับคนที่ไม่เข้าใจ และพวกปากประชาสัมพันธ์แทนที่จะระบายจะทำให้คุณสบายใจ สบายหัว การระบายโดยไม่เลือกนิสัย และสันดานของบุคคลที่สาม อาจกลายเป็นการจุดชนวนระเบิดตูมใหญ่ให้คุณดีๆ นี่เอง
3. กิน มี ใครจะปฏิเสธบ้างว่าการกินคือ วิธีสร้างสุขอย่างดีวิธีหนึ่งของมนุษย์ โดยเฉพาะการกินอาหารอร่อยถูกปาก คุณเอ๋ย...สุขอย่าบอกใคร ทุกครั้งที่ลิ้นได้รับรสอันโอชะของอาหารจานโปรด เชื่อสิว่าความโกรธจะดับวูบลงราวกับโยนไม้ขีดไฟลงแม่น้ำเลยละ โดยเฉพาะอาหารจำพวกขนมหวาน เพราะมีการพิสูจน์แล้วว่า สามารถดับพิษแห่งความโกรธได้ชะงัด อ้อ...อย่าโกรธบ่อยจนอ้วนก็แล้วกัน
4. ดื่ม โดยเฉพาะดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ รสซาบซ่า ฉ่ำใจ อาจจะเป็น น้ำเปล่า น้ำผลไม้ น้ำอัดลมเย็นเจี๊ยบสักแก้ว จะซดเฮือกๆ ให้หายโกรธ หรือค่อยๆ จิบละเลียดช้าๆ ก็ไม่ว่ากัน ตราบใดที่ความเย็นยังบรรเทาความร้อนได้ น้ำเย็นก็สามารถบรรเทาความโกรธได้ตราบนั้น ที่สำคัญถ้าคุณระงับความโกรธด้วยแอลกอฮอล์เย็น อย่าเมาแล้วขับ หรือหลับข้างถนนก็แล้วกัน
5. หัวเราะ มีหลาย อย่างที่จะทำให้คุณหัวเราะได้ การพูดคุยกับคนที่มีอารมณ์ขัน การอ่านหนังสือ ดูตลกในทีวี หรือแม้แต่การส่องกระจกดูหน้าตาตัวเองที่กำลังโกรธเกรี้ยวเป็นไอ้บ้าอยู่ก็ ตาม เอาเป็นว่าทุกเรื่อง ทุกคนที่กระตุ้นต่อมฮาของคุณได้ก็โอเค ทุกครั้งที่โกรธ จงหัวเราะดังๆ ให้เท่ากับความโกรธที่มันจุกอกอยู่ รับรองว่าต่อมฮาฆ่าความโกรธกระจาย (แต่อย่าเผลอหัวเราะตอนเจ้านายกำลังด่าคุณก็แล้วกัน)
6. ร้องไห้ การ ร้องไห้เป็นกลไกของร่างกายตามธรรมชาติที่ช่วยระบายความเครียด ความคับข้องในจิตใจให้หมดสิ้นไป รวมทั้งการระบายความโกรธ ดังนั้น ผู้ชายร้องไห้จึงไม่ใช่เรื่องแปลก เว้นเสียแต่ว่าคุณจะแหกปากร้องไห้ หรือสะอื้นฮักๆ ต่อหน้าธารกำนัล ถ้าโกรธตอนอยู่คนเดียวแล้วไม่รู้จะทำยังไงหรืออยากจะร้องไห้ ลองปล่อยน้ำตาให้ไหลโดยไม่ต้องบังคับดูสิ แล้วคุณจะรู้ว่าร้องไห้ช่วยไล่ความโกรธได้จริงๆ
7. ร้องเพลง เพลงอะไร กับใคร ที่ไหน ร้องไปเถอะ จะร้องเบาๆ หรือแหกปากร้องก็เอาเลย สังคมไทยไม่เคยรังเกียจคนร้องเพลง (ยกเว้นร้องเพลงรักในงานศพ) นักจิตวิทยาบอกว่า การร้องเพลงจะช่วยให้กล้ามเนื้อที่ตึงเครียดผ่อนคลาย และหายโกรธได้ ถ้าโกรธจนนึกไม่ออกว่าจะร้องเพลงอะไร ขอแนะนำว่าให้ร้องเพลงไทยยอดนิยมตลอดกาล "เพลงชาติ" หรือ "เพลงช้าง" ที่ร้องได้ตั้งแต่ชั้น ป. 1 รับรองว่าทั้งคนร้อง คนฟังฮาครืน ครื้นเครง
8. พักผ่อน หากิจกรรมที่คุณทำแล้วเพลิดเพลิน ออกกำลังกายช้อปปิ้ง ดูหนัง ฟังเพลง อะไรก็ได้ที่ทำแล้วคุณรู้สึกว่าได้ผ่อนคลายความตึงเครียด ความโกรธ และไม่ทำให้ตัวเองและคนอื่นเดือดร้อนทำไปเถอะ มีข้อแม้อยู่นิดเดียวว่าการพักผ่อนนั้น อย่าทำให้คุณเสียงาน และเสียเงินจนเกินไปก็แล้วกัน
9. นอนหลับ เคย สังเกตไหมว่า เวลาที่คุณโกรธ หรือเครียดมากๆ เป็นเวลานานๆ คุณจะรู้สึกหนักหัว และง่วงนอนมากๆ นั่นแหละคือ สัญญาณที่ร่างกายต้องการบอกคุณว่า ถ้าได้หลับเต็มอิ่มสักงีบ อารมณ์โกรธของคุณจะได้รับการปลดปล่อยโดยกลไกธรรมชาติ หากจะพูดถึงกระบวนการระบายความโกรธในขณะนอนหลับคงจะยืดยาวน่าเบื่อ เอาเป็นว่าถ้าไม่เชื่อลองนอนหลับดูก็แล้วกัน
10. ให้อภัย ฟังดูแล้วอาจจะพระเอ๊กพระเอก แต่ทุกครั้งที่เราให้อภัยคนที่ทำให้โกรธ เชื่อสิว่าถึงไม่ได้อะไร แต่เราก็ภาคภูมิใจ สบายใจอยู่ลึกๆ การให้อภัยคือ การปล่อยวาง และให้โอกาสทั้งตัวเองและผู้อื่น ให้โอกาสผู้อื่นได้แก้ตัว ปรับปรุงตัว ให้โอกาสตัวเองได้เป็นผู้ให้ ได้ฝึกนิสัย และจิตใจตัวเองให้เย็นลง และรู้จักปล่อยวาง รู้สึกดีทั้งผู้ให้ และผู้ได้รับการอภัยเลยละ
FW: Open Up .. สิ่งที่ชาวญี่ปุ่นใช้รับมือกับภัยธรรมชาติร้ายแรงที่สุดในรอบศตวรรษ
TNN ติดตามข่าวแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของญี่ปุน อย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันแรกด้วยความรู้สึกตกตะลึงและตามมาด้วยความน่าสะพรึงกลัวต่อพลังมหาศาลของธรรมชาติด้วย ความสงสาร และ เห็นใจอย่างจับใจ ต่อทุกข์แสนสาหัส ที่ประชาชนญี่ปุ่นประสบอยู่ในปัจจุบัน
ในระหว่างติดตามดูข่าวทางโทรทัศน์ และ อินเตอร์เนตเหล่านี้... ท่ามกลางความโหดร้ายน่ากลัว เรากลับพบความดีงามที่ทำให้เรารู้สึกทึ่งและชื่นชม นั่นคือ ความสงบ นิ่งของชาวญี่ปุ่น ภายหลังเหตุการณ์รุนแรง ที่ทำลายชีวิต ทรัพย์สิน และสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีพ เราไม่พบข่าวการบุกทุบร้านสะดวกซื้อ เพื่อแย่งชิงอาหาร น้ำ ฯลฯ ทั้งที่ทุกแห่ง ต่างขาดแคลนอย่างสาหัส แต่สิ่งที่เราพบเห็นตามข่าว ก็คือ “วินัย” ของชาวญี่ปุ่น ที่อดทน รอคอย และ ร่วมด้วยช่วยกัน ทำให้รู้สึกว่าสิ่งนี้นั่นเองที่จะเป็น “เคล็ดลับ” สำคัญที่สุด ที่ชาวญี่ปุ่นใช้เพื่อรับมือกับภัยธรรมชาติร้ายแรงในครั้งนี้
ลองจินตนาการดูนะคะว่า หากปราศจาก ความอดทน วินัย เช่นนี้ สถานการณ์ที่เลวร้ายในปัจจุบัน จะยิ่งเพิ่มความร้ายแรงมากขึ้นเพียงใด ???
วันนี้ OPEN UP ขอเผยแพร่เรื่องราวน่าประทับใจที่ได้ไปอ่านเจอ จากนักเรียนไทยในญี่ปุ่นที่เปิดเผยบรรยากาศหลังเกิดแผ่นดินไหวใหญ่และคลื่นยักษ์สึนามิถล่มใน Twitter ของเขา และมีคนนำมาแปลเป็นภาษาไทยค่ะ
เรื่องราวดีๆที่เกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤติการณ์ในประเทศญี่ปุ่น
(จาก Link http://prayforjapan.jp/tweet.html ศูนย์กลางข่าวสารแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น โดย สนญ. และ สนทญ.)
เรื่องที่หนึ่ง ข้าพเจ้าได้เห็นเด็กน้อยพูดกับพนักงานรถไฟ “ขอบคุณค่ะ/ครับ ที่เมื่อวานพยายามอย่างสุดชิวิตทำให้รถไฟเดินรถได้อีกครั้ง” พนักงานรถไฟร้องไห้ ส่วนข้าพเจ้าร้องไห้ฟูมฟายไปแล้ว (คืนวันที่เกิดแผ่นดินไหว รถไฟซึ่งเป็นการคมนาคมหลักของชาวญี่ปุ่นหยุดวิ่ง กว่าจะวิ่งได้ก็หลังเที่ยงคืนไปแล้ว)
เรื่องที่สอง ที่ดิสนีย์แลนด์ คนติดกลับบ้านไม่ได้จำนวนมาก และทางร้านขายของก็ได้เอาขนมมาแจกนักท่องเที่ยว ก็ได้มีนร.ม.ปลายหญิงกลุ่มหนึ่งไปเอามาจำนวนมาก มากเกินพอ แว่บแรกที่ข้าพเจ้ารู้สึกทันทีคือ อะไรวะ เอาไปซะเยอะ! แต่วินาทีต่อมากลายเป็นความรู้สึกตื้นตันใจ เพราะเด็กกลุ่มนั้นเอาขนมไปให้เด็กๆ ซึ่งพ่อแม่ไม่สามารถไปเอาเองได้เพราะต้องอยู่ดูแลลูกๆ
เรื่องที่สาม ในซุปเปอร์มาร์ทแห่งหนึ่ง ของตกระเกะระกะเพราะแรงแผ่นดินไหว แต่คนซื้อก็เดินไปช่วยกันเก็บของ แล้วก็หยิบส่วนที่ตนอยากซื้อไปต่อคิวจ่ายเงิน ในรถไฟที่เพิ่งเปิดให้ใช้บริการ และคนที่ตกค้างจำนวนมากกำลังเดินทางกลับ ก็ได้เห็นคนแก่คนหนึ่งลุกให้สตรีมีครรภ์นั่ง คนญี่ปุ่นแม้ในภาวะฉุกเฉินเช่นนี้ ก็ยังมีน้ำใจ มีระเบียบ
เรื่องที่สี่ ในคืนแรกที่เกิดแผ่นดินไหว รถไฟไม่วิ่ง ทำให้คนจำนวนมากต้องเดินกลับบ้านแทนการนั่งรถไฟ ขณะที่ข้าพเจ้าต้องเดินกลับจากมหาวิทยาลัยมายังที่พัก ร้านรวงก็ปิดหมดแล้ว ข้าพเจ้าได้ผ่านร้านขนมปังร้านหนึ่งซึ่งปิดไปแล้ว แต่คุณป้าเจ้าของร้านก็ได้เอาขนมปังมาแจกฟรีแก่คนที่กำลังเดินกลับบ้าน ในภาวะฉุกเฉินเช่นนี้ น้ำใจที่มีให้กันทำให้หัวใจข้าพเจ้าอบอุ่น ตื้นตัน
เรื่องที่ห้า ในขณะที่รอรถไฟให้กลับมาวิ่งได้ ข้าพเจ้าก็ได้รออยู่ในอาคารสถานีอย่างเหน็บหนาว โฮมเลสก็ได้แบ่งปันแผ่นกล่องกระดาษให้ โฮมเลสที่ข้าพเจ้ามองด้วยหางตาทุกวันที่มาใช้สถานี คืนนั้นทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด
เรื่องที่หก (เรื่องราวคืนรถไฟไม่วิ่งเยอะหน่อยนะครับ) ด้วยระยะเวลาสี่ชั่วโมงที่ต้องเดินเท้ากลับบ้าน ก็ได้ผ่านหน้าบ้านหลังหนึ่ง ตาก็ไปสะดุดกับแผ่นกระดาษที่เขียนว่า “เชิญใช้ห้องน้ำได้ค่ะ” หญิงสาวท่านหนึ่งได้เปิดบ้านตัวเองให้แก่คนที่กำลังเดินกลับบ้านได้ใช้ วินาทีที่ได้เห็นแผ่นกระดาษนั้น น้ำตามันก็ไหลออกมาเอง น้ำใจคนญี่ปุ่น
เรื่องที่เจ็ด แม้ว่าไฟดับ ก็ยังมีคนที่สู้ทำงานให้ไฟกลับมาติด น้ำไม่ไหลก็ยังมีคนไม่ยอมแพ้ทำให้น้ำกลับมาไหล เกิดปัญหากับโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ก็มีคนที่พร้อมจะเข้าพื้นที่เพื่อซ่อมมัน ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้กลับมาสู่สภาพปกติด้วยตัวมันเอง ขณะที่พวกเราอยู่ในบ้านอันอบอุ่นแล้วก็พร่ำบ่นว่าเมื่อไรไฟมันจะติด น้ำจะไหลน้า ก็มีคนที่อยู่ข้างนอกท่ามกลางความหนาวเหน็บกำลังพยายามสู้อยู่
เรื่องที่แปด ในจังหวัดจิบะ คนลุงคนหนึ่งที่หลบภัยอยู่ก็ได้เปรยออกมาว่า ต่อจากนี้ไปจะเป็นอย่างไรน้า เด็กหนุ่มม.ปลายก็ตอบกลับไปว่า ไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง ต่อจากนี้ไปเมื่อเป็นผู้ใหญ่ พวกผมจะทำให้มันกลับมาเหมือนเดิมแน่นอน (ไม่เป็นไร พวกเรายังมีอนาคต!!!)
เรื่องที่เก้า ขณะที่กำลังได้รับความช่วยเหลือ หลังจากที่ติดอยู่บนหลังคาบ้านมากว่า 42 ชั่วโมง คุณลุงก็ได้กล่าวว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรครับ เคยมีประสบการณ์สึนามิที่ชิลีมาแล้ว ต่อจากนี้ไปพวกเรามาช่วยฟื้นฟูบ้านเมืองกันนะ” แกกล่าวด้วยรอยยิ้ม (สิ่งสำคัญสำหรับพวกเราคือ ต่อจากนี้ไปเราจะทำอะไรต่างหาก)
OPEN UP หวังว่าเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ จะสะท้อนใจให้เราเห็นถึงสิ่งสำคัญที่ช่วยให้สถานการณ์ที่เลวร้ายคลี่คลายและผ่านพ้นไป นั่นก็คือ น้ำใจ วินัย และสปิริต ค่ะ สำหรับใครที่อยากจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือชาวญี่ปุ่นในครั้งนี้ มีหลายหน่วยงานนะคะที่พวกเราจะสามารถไปร่วมบริจาคเงินหรือสิ่งของ ตลอดจนช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ที่เปิดโอกาสให้เรามีส่วนร่วมในการช่วยเหลือค่ะ ถ้ามีกำลังและโอกาส...ก็ร่วมด้วยช่วยกันนะคะ J
***************************************************
ติดตามเรื่องต่อไปได้ใหม่ในครั้งหน้าค่ะ!!
ท่านใดมีข้อติชมสามารถส่งกลับมาได้ที่
Outlook: Napaporn Saengkaew
เรายินดีรับฟังความคิดเห็นและคำแนะนำจากทุกท่านค่ะ
บอ กอ Open-Up
เปิดโลกทัศน์ เปิดใจ เปิดความคิดสู่สิ่งใหม่ เพื่อหัวใจที่สุขกว่า
••••••••••••••
Internal Communication
Communication & Brand Management Group
ในระหว่างติดตามดูข่าวทางโทรทัศน์ และ อินเตอร์เนตเหล่านี้... ท่ามกลางความโหดร้ายน่ากลัว เรากลับพบความดีงามที่ทำให้เรารู้สึกทึ่งและชื่นชม นั่นคือ ความสงบ นิ่งของชาวญี่ปุ่น ภายหลังเหตุการณ์รุนแรง ที่ทำลายชีวิต ทรัพย์สิน และสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีพ เราไม่พบข่าวการบุกทุบร้านสะดวกซื้อ เพื่อแย่งชิงอาหาร น้ำ ฯลฯ ทั้งที่ทุกแห่ง ต่างขาดแคลนอย่างสาหัส แต่สิ่งที่เราพบเห็นตามข่าว ก็คือ “วินัย” ของชาวญี่ปุ่น ที่อดทน รอคอย และ ร่วมด้วยช่วยกัน ทำให้รู้สึกว่าสิ่งนี้นั่นเองที่จะเป็น “เคล็ดลับ” สำคัญที่สุด ที่ชาวญี่ปุ่นใช้เพื่อรับมือกับภัยธรรมชาติร้ายแรงในครั้งนี้
ลองจินตนาการดูนะคะว่า หากปราศจาก ความอดทน วินัย เช่นนี้ สถานการณ์ที่เลวร้ายในปัจจุบัน จะยิ่งเพิ่มความร้ายแรงมากขึ้นเพียงใด ???
วันนี้ OPEN UP ขอเผยแพร่เรื่องราวน่าประทับใจที่ได้ไปอ่านเจอ จากนักเรียนไทยในญี่ปุ่นที่เปิดเผยบรรยากาศหลังเกิดแผ่นดินไหวใหญ่และคลื่นยักษ์สึนามิถล่มใน Twitter ของเขา และมีคนนำมาแปลเป็นภาษาไทยค่ะ
เรื่องราวดีๆที่เกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤติการณ์ในประเทศญี่ปุ่น
(จาก Link http://prayforjapan.jp/tweet.html ศูนย์กลางข่าวสารแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น โดย สนญ. และ สนทญ.)
เรื่องที่หนึ่ง ข้าพเจ้าได้เห็นเด็กน้อยพูดกับพนักงานรถไฟ “ขอบคุณค่ะ/ครับ ที่เมื่อวานพยายามอย่างสุดชิวิตทำให้รถไฟเดินรถได้อีกครั้ง” พนักงานรถไฟร้องไห้ ส่วนข้าพเจ้าร้องไห้ฟูมฟายไปแล้ว (คืนวันที่เกิดแผ่นดินไหว รถไฟซึ่งเป็นการคมนาคมหลักของชาวญี่ปุ่นหยุดวิ่ง กว่าจะวิ่งได้ก็หลังเที่ยงคืนไปแล้ว)
เรื่องที่สอง ที่ดิสนีย์แลนด์ คนติดกลับบ้านไม่ได้จำนวนมาก และทางร้านขายของก็ได้เอาขนมมาแจกนักท่องเที่ยว ก็ได้มีนร.ม.ปลายหญิงกลุ่มหนึ่งไปเอามาจำนวนมาก มากเกินพอ แว่บแรกที่ข้าพเจ้ารู้สึกทันทีคือ อะไรวะ เอาไปซะเยอะ! แต่วินาทีต่อมากลายเป็นความรู้สึกตื้นตันใจ เพราะเด็กกลุ่มนั้นเอาขนมไปให้เด็กๆ ซึ่งพ่อแม่ไม่สามารถไปเอาเองได้เพราะต้องอยู่ดูแลลูกๆ
เรื่องที่สาม ในซุปเปอร์มาร์ทแห่งหนึ่ง ของตกระเกะระกะเพราะแรงแผ่นดินไหว แต่คนซื้อก็เดินไปช่วยกันเก็บของ แล้วก็หยิบส่วนที่ตนอยากซื้อไปต่อคิวจ่ายเงิน ในรถไฟที่เพิ่งเปิดให้ใช้บริการ และคนที่ตกค้างจำนวนมากกำลังเดินทางกลับ ก็ได้เห็นคนแก่คนหนึ่งลุกให้สตรีมีครรภ์นั่ง คนญี่ปุ่นแม้ในภาวะฉุกเฉินเช่นนี้ ก็ยังมีน้ำใจ มีระเบียบ
เรื่องที่สี่ ในคืนแรกที่เกิดแผ่นดินไหว รถไฟไม่วิ่ง ทำให้คนจำนวนมากต้องเดินกลับบ้านแทนการนั่งรถไฟ ขณะที่ข้าพเจ้าต้องเดินกลับจากมหาวิทยาลัยมายังที่พัก ร้านรวงก็ปิดหมดแล้ว ข้าพเจ้าได้ผ่านร้านขนมปังร้านหนึ่งซึ่งปิดไปแล้ว แต่คุณป้าเจ้าของร้านก็ได้เอาขนมปังมาแจกฟรีแก่คนที่กำลังเดินกลับบ้าน ในภาวะฉุกเฉินเช่นนี้ น้ำใจที่มีให้กันทำให้หัวใจข้าพเจ้าอบอุ่น ตื้นตัน
เรื่องที่ห้า ในขณะที่รอรถไฟให้กลับมาวิ่งได้ ข้าพเจ้าก็ได้รออยู่ในอาคารสถานีอย่างเหน็บหนาว โฮมเลสก็ได้แบ่งปันแผ่นกล่องกระดาษให้ โฮมเลสที่ข้าพเจ้ามองด้วยหางตาทุกวันที่มาใช้สถานี คืนนั้นทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด
เรื่องที่หก (เรื่องราวคืนรถไฟไม่วิ่งเยอะหน่อยนะครับ) ด้วยระยะเวลาสี่ชั่วโมงที่ต้องเดินเท้ากลับบ้าน ก็ได้ผ่านหน้าบ้านหลังหนึ่ง ตาก็ไปสะดุดกับแผ่นกระดาษที่เขียนว่า “เชิญใช้ห้องน้ำได้ค่ะ” หญิงสาวท่านหนึ่งได้เปิดบ้านตัวเองให้แก่คนที่กำลังเดินกลับบ้านได้ใช้ วินาทีที่ได้เห็นแผ่นกระดาษนั้น น้ำตามันก็ไหลออกมาเอง น้ำใจคนญี่ปุ่น
เรื่องที่เจ็ด แม้ว่าไฟดับ ก็ยังมีคนที่สู้ทำงานให้ไฟกลับมาติด น้ำไม่ไหลก็ยังมีคนไม่ยอมแพ้ทำให้น้ำกลับมาไหล เกิดปัญหากับโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ก็มีคนที่พร้อมจะเข้าพื้นที่เพื่อซ่อมมัน ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้กลับมาสู่สภาพปกติด้วยตัวมันเอง ขณะที่พวกเราอยู่ในบ้านอันอบอุ่นแล้วก็พร่ำบ่นว่าเมื่อไรไฟมันจะติด น้ำจะไหลน้า ก็มีคนที่อยู่ข้างนอกท่ามกลางความหนาวเหน็บกำลังพยายามสู้อยู่
เรื่องที่แปด ในจังหวัดจิบะ คนลุงคนหนึ่งที่หลบภัยอยู่ก็ได้เปรยออกมาว่า ต่อจากนี้ไปจะเป็นอย่างไรน้า เด็กหนุ่มม.ปลายก็ตอบกลับไปว่า ไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง ต่อจากนี้ไปเมื่อเป็นผู้ใหญ่ พวกผมจะทำให้มันกลับมาเหมือนเดิมแน่นอน (ไม่เป็นไร พวกเรายังมีอนาคต!!!)
เรื่องที่เก้า ขณะที่กำลังได้รับความช่วยเหลือ หลังจากที่ติดอยู่บนหลังคาบ้านมากว่า 42 ชั่วโมง คุณลุงก็ได้กล่าวว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรครับ เคยมีประสบการณ์สึนามิที่ชิลีมาแล้ว ต่อจากนี้ไปพวกเรามาช่วยฟื้นฟูบ้านเมืองกันนะ” แกกล่าวด้วยรอยยิ้ม (สิ่งสำคัญสำหรับพวกเราคือ ต่อจากนี้ไปเราจะทำอะไรต่างหาก)
OPEN UP หวังว่าเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ จะสะท้อนใจให้เราเห็นถึงสิ่งสำคัญที่ช่วยให้สถานการณ์ที่เลวร้ายคลี่คลายและผ่านพ้นไป นั่นก็คือ น้ำใจ วินัย และสปิริต ค่ะ สำหรับใครที่อยากจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือชาวญี่ปุ่นในครั้งนี้ มีหลายหน่วยงานนะคะที่พวกเราจะสามารถไปร่วมบริจาคเงินหรือสิ่งของ ตลอดจนช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ที่เปิดโอกาสให้เรามีส่วนร่วมในการช่วยเหลือค่ะ ถ้ามีกำลังและโอกาส...ก็ร่วมด้วยช่วยกันนะคะ J
***************************************************
ติดตามเรื่องต่อไปได้ใหม่ในครั้งหน้าค่ะ!!
ท่านใดมีข้อติชมสามารถส่งกลับมาได้ที่
Outlook: Napaporn Saengkaew
เรายินดีรับฟังความคิดเห็นและคำแนะนำจากทุกท่านค่ะ
บอ กอ Open-Up
เปิดโลกทัศน์ เปิดใจ เปิดความคิดสู่สิ่งใหม่ เพื่อหัวใจที่สุขกว่า
••••••••••••••
Internal Communication
Communication & Brand Management Group
สึนามิ-ฟุกุชิม่า-ซูชิ...เพราะเราอยู่บนโลกใบเดียวกัน โดย พญ.ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล
สึนามิ-ฟุกุชิม่า-ซูชิ เพราะเราอยู่บนโลกใบเดียวกัน โดย พญ.ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล
งดรับประทานปลาดิบนำเข้าจากญี่ปุ่นก่อน เป็นเวลาอย่างน้อย 3 เดือนโดยประมาณ
เชื่อว่าข่าวที่เกิดขึ้น คงจะทำให้ทุกท่านรู้สึกสลดหดหู่กันไปไม่น้อย แต่ผู้เขียนอยากให้คุณผู้อ่านทุกท่านตั้งสติค่ะ เรียนรู้จากความสูญเสียที่เกิดขึ้น มองอย่างเป็นรูปธรรมถึงเหตุผล การแก้ไข การป้องกันที่เราจะช่วยกันได้คนละไม้คนละมือ และที่สำคัญคือ อย่าลืมมองถึงผลกระทบที่อาจจะตามมา ทั้งเรื่องไกลตัว และเรื่องใกล้ตัวที่เราอาจลืมนึกถึงไป
คุณผู้อ่านคงทราบข่าวกันดีว่า การเคลื่อนตัวของเปลือกโลกที่เกิดขึ้นนี้ ไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายให้กับบ้านเรือนของประชาชนทั่วไป แต่ยังสร้างความสั่นสะเทือนไปถึงโรงงานผลิตพลังงานจากนิวเคลียร์ ฟุกุชิม่า ไดอิจิ ส่งผลให้เกิดการรั่วไหลของกัมมันตภาพรังสีจากโรงงาน ไม่เพียงแต่ผู้คนที่อยู่อาศัยในละแวกนั้นที่จะได้รับผลกระทบ พบว่ากัมมันตภาพรังสียังมีการรั่วไหลลงสู่ผืนทะเลโดยรอบ
รายงานจากเพนตากอนพบว่า ตัวอย่างน้ำทะเลที่ห่างจากโรงงานออกไปถึง 60 ไมล์ ยังพบสารกัมมันตภาพ ซึ่งคาดว่าจะเป็น ซีเซี่ยม-137 (Cesium-137) และ ไอโอดีน-131 (Iodine-131) ปนเปื้อนอยู่ เจ้าสารไอโอดีน-131นี้เป็นกัมมันภาพรังสีเดียวกับที่เคยรั่วเมื่อสมัยโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิล และพบว่าทำให้เกิดโรคมะเร็งต่อมธัยรอยด์ถึง 6,000-7,000 รายในครั้งนั้น ข่าวว่ารัฐบาลญี่ปุ่นกำลังเร่งดำเนินการแจกยาโพแทสเซี่ยมไอโอไดด์ให้กับประชาชนในพื้นที่ ซึ่งเจ้ายาที่แจกนี้จะเข้าไปช่วยขัดขวางเจ้าสารกัมมันตภาพรังสี ไม่ให้ไปสะสมที่ต่อมธัยรอยด์มากนัก และช่วยลดความเสี่ยงต่อมะเร็งต่อมธัยรอยด์ในผู้ที่ได้รับสารกัมมันภาพรังสีได้ แต่แน่นอนว่า เจ้าหน้าที่คงไม่สามารถแจกยาหรือกระทำการใดๆ เพื่อลดการสะสมของสารกัมมันตภาพรังสี ให้กับเหล่าปลาในพื้นที่แถบนั้น จึงแน่นอนว่าปลาและน้ำทะเลโดยรอบจะถูกปนเปื้อนโดยสารไอโอดีน-131นี้ อย่างไรก็ตาม เจ้าสารไอโอดีน-131นี้ มีอายุขัย หรือที่เรียกกันภาษาวิทยาศาสตร์ว่า half-life เพียง 8 วัน นั่นหมายความว่า มันน่าจะหายไปหมดจากอากาศและน้ำโดยรอบในเวลาประมาณ 80 วัน ...
แต่ข่าวร้ายคือ เจ้าสารกัมมันตภาพรังสีอีกตัวหนึ่งคือ ซีเซี่ยม-137 นั้นมีอายุขัย หรือ half-life ถึง 30 ปี นั่นหมายความว่ามันจะอยู่ในน้ำทะเล หมู่ปลาเล็กใหญ่ในห่วงโซ่อาหารได้นานนับร้อยปี!! พบว่าสารซีเซี่ยม-137นี้สัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งเม็ดเลือดหรือลิวคีเมีย มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด และมะเร็งลำไส้ใหญ่
มาถึง ณ จุดนี้ คุณผู้อ่านพอนึกภาพออกหรือยังคะ ว่าการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกเพียงเล็กน้อย ก่อให้เกิดแผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์สึนามิ คร่าชีวิตเพื่อนร่วมโลกของเราไปร่วมหมื่น จะส่งผลชิ่งกระทบมาถึงการสั้นลงของอายุขัยของเราได้อย่างไร “มันมากับปลาค่ะ!!!” นับจากนี้ไป ปลาดิบอร่อยๆชั้นดีที่นำเข้าจากญี่ปุ่น ซึ่งเราไม่มีทางจะทราบได้ว่ามาจากท้องทะเลส่วนใหญ่ในญี่ปุ่น และแน่นอนว่า ระบบการตรวจสอบกัมมันภาพรังสีปนเปื้อนในอาหารนำเข้าของไทยเรา ก็คงน่าเชื่อถือเกินกว่าที่เราจะเชื่อถือได้ ว่าจะตรวจสอบอะไรพบ
อย่างไรก็ตาม เหล่าบรรดา “ปลาดิบเลิฟเวอร์” ทั้งหลาย อย่าเพิ่งโห่ไล่ผู้เขียนลงจากเวทีค่ะ ที่ว่ามานี้ ไม่ได้จะบอกว่าให้เลิกบริโภคปลาดิบจากญี่ปุ่น เพราะผู้เขียนเองก็ทำไม่ได้เช่นกัน แต่เราต้องฉลาดบริโภคค่ะ ด้วยความกังวลต่อสุขภาพแต่มีใจรักการทานปลา ผู้เขียนจึงค้นคว้าหาทิป การรับประทานปลาที่น่าจะช่วยให้ชาวซูชิเลิฟเวอร์ผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปด้วยกัน
1. งดรับประทานปลาดิบนำเข้าจากญี่ปุ่นก่อน เป็นเวลาอย่างน้อย 3 เดือนโดยประมาณ เพราะอย่างที่ว่าไปว่า เจ้าไอโอดีน-131นั้น จะคงอยู่ได้ประมาณ 80 วันในบรรยากาศ อาจหันไปรับประทานปลาดิบจากฝั่งอลาสก้า ปลาดิบที่เลี้ยงในฟาร์ม หรือหันมารับประทานปลาไทยๆที่นำมานึ่ง ทอด ต้ม บ้าง (แต่ปลาดิบไทยเนี่ย... อาจอันตรายกว่าปลาดิบจากลุ่มน้ำแถบฟุกุชิม่านะคะ!!)
2. หลังจากพ้นสามเดือนไปแล้ว หากอยากจะรับประทานปลาดิบญี่ปุ่น พยายามเลือกรับประทานปลาตัวเล็ก ที่อายุขัยสั้น อยู่ตอนปลายของห่วงโซ่อาหาร ซึ่งจะมีการสะสมของสารกัมมันตภาพรังสี และสารพิษต่างๆน้อยกว่า รายชื่อเมนูปลอดภัย(กว่า)ได้แก่ ฮิราเมะซาชิมิ ออยสเตอร์ หอยเชลล์(scallop) กุ้ง เป็นต้น ส่วนปลาตัวใหญ่อายุยืนยาวเช่น ทูน่า นั้น แน่นอนว่า อาจยังมีซีเซี่ยม-137ตกค้างอย
3. หากจับพลัดจับผลู ต้องไปร้านอาหารญี่ปุ่นในช่วงสามเดือนนี้ อาจสั่งเป็นเป็นประเภทที่ทำสุกแล้ว เช่น แคลิฟอร์เนียโรล ซึ่งมีเนื้อปูสุกและปลาไหลปรุงสุกเป็นส่วนประกอบหลัก
4. แน่นอนว่า แม้จะไม่มีการรั่วไหลจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ในอาหารที่เรารับประทานกันอยู่ในปัจจุบัน ก็มีการปนเปื้อนของสารกัมมันตรังสี และสารพิษต่างๆอยู่แล้วในระดับต่ำๆ ที่ร่างกายเราพอจะรับและกำจัดได้ ดังนั้น การดูแลตัวเองขั้นพื้นฐานเช่น การดูแลรักษาตับซึ่งเป็นโรงงานกำจัดสารพิษในร่างกายให้แข็งแรง ด้วยการไม่ดื่มสุรา และรับประทานผักในกลุ่มบร็อคโคลี่ หรือ กะหล่ำดอก ซึ่งมีสาร Indole-3-carbinol ช่วยการทำงานของเอนไซม์ขับสารพิษภายในตับหรือ การออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อลดปริมาณไขมันส่วนเกิน อันเป็นแหล่งสะสมของสารพิษให้น้อยที่สุด ก็ถือเป็นการดูแลสุขภาพพื้นฐาน ที่ควรจะปฏิบัติกันอย่างต่อเนื่องเป็นประจำนะคะ
โลกจะแตกสลายตามคำทำนายจริงหรือไม่ ไม่มีใครอาจรู้ได้ ความตายเป็นสิ่งที่พุทธศาสนิกชนอย่างเราควรระลึกเสมอว่าเป็นเรื่องใกล้ตัว และเป็นความจริงที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ แต่ไม่ได้หมายความว่า เราควรจะละเลยสุขภาพหรือการดูแลตนเอง ในทางตรงข้าม เรากลับต้องดูแลสุขภาพกายและใจของตัวเอง ของคนรัก ของครอบครัว ของเพื่อนร่วมงาน ของเพื่อนร่วมชาติ และของเพื่อนร่วมโลก ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ในแต่ละวัน ใช้ชีวิตอย่างมีสติ รับประทานอาหารอย่างมีสติ ใช้ทรัพยากรโลกอย่างมีสติ เพราะวันนี้หรือวันหน้า อาจเป็นวันสุดท้ายของคุณและโลกใบนี้
งดรับประทานปลาดิบนำเข้าจากญี่ปุ่นก่อน เป็นเวลาอย่างน้อย 3 เดือนโดยประมาณ
เชื่อว่าข่าวที่เกิดขึ้น คงจะทำให้ทุกท่านรู้สึกสลดหดหู่กันไปไม่น้อย แต่ผู้เขียนอยากให้คุณผู้อ่านทุกท่านตั้งสติค่ะ เรียนรู้จากความสูญเสียที่เกิดขึ้น มองอย่างเป็นรูปธรรมถึงเหตุผล การแก้ไข การป้องกันที่เราจะช่วยกันได้คนละไม้คนละมือ และที่สำคัญคือ อย่าลืมมองถึงผลกระทบที่อาจจะตามมา ทั้งเรื่องไกลตัว และเรื่องใกล้ตัวที่เราอาจลืมนึกถึงไป
คุณผู้อ่านคงทราบข่าวกันดีว่า การเคลื่อนตัวของเปลือกโลกที่เกิดขึ้นนี้ ไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายให้กับบ้านเรือนของประชาชนทั่วไป แต่ยังสร้างความสั่นสะเทือนไปถึงโรงงานผลิตพลังงานจากนิวเคลียร์ ฟุกุชิม่า ไดอิจิ ส่งผลให้เกิดการรั่วไหลของกัมมันตภาพรังสีจากโรงงาน ไม่เพียงแต่ผู้คนที่อยู่อาศัยในละแวกนั้นที่จะได้รับผลกระทบ พบว่ากัมมันตภาพรังสียังมีการรั่วไหลลงสู่ผืนทะเลโดยรอบ
รายงานจากเพนตากอนพบว่า ตัวอย่างน้ำทะเลที่ห่างจากโรงงานออกไปถึง 60 ไมล์ ยังพบสารกัมมันตภาพ ซึ่งคาดว่าจะเป็น ซีเซี่ยม-137 (Cesium-137) และ ไอโอดีน-131 (Iodine-131) ปนเปื้อนอยู่ เจ้าสารไอโอดีน-131นี้เป็นกัมมันภาพรังสีเดียวกับที่เคยรั่วเมื่อสมัยโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิล และพบว่าทำให้เกิดโรคมะเร็งต่อมธัยรอยด์ถึง 6,000-7,000 รายในครั้งนั้น ข่าวว่ารัฐบาลญี่ปุ่นกำลังเร่งดำเนินการแจกยาโพแทสเซี่ยมไอโอไดด์ให้กับประชาชนในพื้นที่ ซึ่งเจ้ายาที่แจกนี้จะเข้าไปช่วยขัดขวางเจ้าสารกัมมันตภาพรังสี ไม่ให้ไปสะสมที่ต่อมธัยรอยด์มากนัก และช่วยลดความเสี่ยงต่อมะเร็งต่อมธัยรอยด์ในผู้ที่ได้รับสารกัมมันภาพรังสีได้ แต่แน่นอนว่า เจ้าหน้าที่คงไม่สามารถแจกยาหรือกระทำการใดๆ เพื่อลดการสะสมของสารกัมมันตภาพรังสี ให้กับเหล่าปลาในพื้นที่แถบนั้น จึงแน่นอนว่าปลาและน้ำทะเลโดยรอบจะถูกปนเปื้อนโดยสารไอโอดีน-131นี้ อย่างไรก็ตาม เจ้าสารไอโอดีน-131นี้ มีอายุขัย หรือที่เรียกกันภาษาวิทยาศาสตร์ว่า half-life เพียง 8 วัน นั่นหมายความว่า มันน่าจะหายไปหมดจากอากาศและน้ำโดยรอบในเวลาประมาณ 80 วัน ...
แต่ข่าวร้ายคือ เจ้าสารกัมมันตภาพรังสีอีกตัวหนึ่งคือ ซีเซี่ยม-137 นั้นมีอายุขัย หรือ half-life ถึง 30 ปี นั่นหมายความว่ามันจะอยู่ในน้ำทะเล หมู่ปลาเล็กใหญ่ในห่วงโซ่อาหารได้นานนับร้อยปี!! พบว่าสารซีเซี่ยม-137นี้สัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งเม็ดเลือดหรือลิวคีเมีย มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด และมะเร็งลำไส้ใหญ่
มาถึง ณ จุดนี้ คุณผู้อ่านพอนึกภาพออกหรือยังคะ ว่าการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกเพียงเล็กน้อย ก่อให้เกิดแผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์สึนามิ คร่าชีวิตเพื่อนร่วมโลกของเราไปร่วมหมื่น จะส่งผลชิ่งกระทบมาถึงการสั้นลงของอายุขัยของเราได้อย่างไร “มันมากับปลาค่ะ!!!” นับจากนี้ไป ปลาดิบอร่อยๆชั้นดีที่นำเข้าจากญี่ปุ่น ซึ่งเราไม่มีทางจะทราบได้ว่ามาจากท้องทะเลส่วนใหญ่ในญี่ปุ่น และแน่นอนว่า ระบบการตรวจสอบกัมมันภาพรังสีปนเปื้อนในอาหารนำเข้าของไทยเรา ก็คงน่าเชื่อถือเกินกว่าที่เราจะเชื่อถือได้ ว่าจะตรวจสอบอะไรพบ
อย่างไรก็ตาม เหล่าบรรดา “ปลาดิบเลิฟเวอร์” ทั้งหลาย อย่าเพิ่งโห่ไล่ผู้เขียนลงจากเวทีค่ะ ที่ว่ามานี้ ไม่ได้จะบอกว่าให้เลิกบริโภคปลาดิบจากญี่ปุ่น เพราะผู้เขียนเองก็ทำไม่ได้เช่นกัน แต่เราต้องฉลาดบริโภคค่ะ ด้วยความกังวลต่อสุขภาพแต่มีใจรักการทานปลา ผู้เขียนจึงค้นคว้าหาทิป การรับประทานปลาที่น่าจะช่วยให้ชาวซูชิเลิฟเวอร์ผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปด้วยกัน
1. งดรับประทานปลาดิบนำเข้าจากญี่ปุ่นก่อน เป็นเวลาอย่างน้อย 3 เดือนโดยประมาณ เพราะอย่างที่ว่าไปว่า เจ้าไอโอดีน-131นั้น จะคงอยู่ได้ประมาณ 80 วันในบรรยากาศ อาจหันไปรับประทานปลาดิบจากฝั่งอลาสก้า ปลาดิบที่เลี้ยงในฟาร์ม หรือหันมารับประทานปลาไทยๆที่นำมานึ่ง ทอด ต้ม บ้าง (แต่ปลาดิบไทยเนี่ย... อาจอันตรายกว่าปลาดิบจากลุ่มน้ำแถบฟุกุชิม่านะคะ!!)
2. หลังจากพ้นสามเดือนไปแล้ว หากอยากจะรับประทานปลาดิบญี่ปุ่น พยายามเลือกรับประทานปลาตัวเล็ก ที่อายุขัยสั้น อยู่ตอนปลายของห่วงโซ่อาหาร ซึ่งจะมีการสะสมของสารกัมมันตภาพรังสี และสารพิษต่างๆน้อยกว่า รายชื่อเมนูปลอดภัย(กว่า)ได้แก่ ฮิราเมะซาชิมิ ออยสเตอร์ หอยเชลล์(scallop) กุ้ง เป็นต้น ส่วนปลาตัวใหญ่อายุยืนยาวเช่น ทูน่า นั้น แน่นอนว่า อาจยังมีซีเซี่ยม-137ตกค้างอย
3. หากจับพลัดจับผลู ต้องไปร้านอาหารญี่ปุ่นในช่วงสามเดือนนี้ อาจสั่งเป็นเป็นประเภทที่ทำสุกแล้ว เช่น แคลิฟอร์เนียโรล ซึ่งมีเนื้อปูสุกและปลาไหลปรุงสุกเป็นส่วนประกอบหลัก
4. แน่นอนว่า แม้จะไม่มีการรั่วไหลจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ในอาหารที่เรารับประทานกันอยู่ในปัจจุบัน ก็มีการปนเปื้อนของสารกัมมันตรังสี และสารพิษต่างๆอยู่แล้วในระดับต่ำๆ ที่ร่างกายเราพอจะรับและกำจัดได้ ดังนั้น การดูแลตัวเองขั้นพื้นฐานเช่น การดูแลรักษาตับซึ่งเป็นโรงงานกำจัดสารพิษในร่างกายให้แข็งแรง ด้วยการไม่ดื่มสุรา และรับประทานผักในกลุ่มบร็อคโคลี่ หรือ กะหล่ำดอก ซึ่งมีสาร Indole-3-carbinol ช่วยการทำงานของเอนไซม์ขับสารพิษภายในตับหรือ การออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อลดปริมาณไขมันส่วนเกิน อันเป็นแหล่งสะสมของสารพิษให้น้อยที่สุด ก็ถือเป็นการดูแลสุขภาพพื้นฐาน ที่ควรจะปฏิบัติกันอย่างต่อเนื่องเป็นประจำนะคะ
โลกจะแตกสลายตามคำทำนายจริงหรือไม่ ไม่มีใครอาจรู้ได้ ความตายเป็นสิ่งที่พุทธศาสนิกชนอย่างเราควรระลึกเสมอว่าเป็นเรื่องใกล้ตัว และเป็นความจริงที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ แต่ไม่ได้หมายความว่า เราควรจะละเลยสุขภาพหรือการดูแลตนเอง ในทางตรงข้าม เรากลับต้องดูแลสุขภาพกายและใจของตัวเอง ของคนรัก ของครอบครัว ของเพื่อนร่วมงาน ของเพื่อนร่วมชาติ และของเพื่อนร่วมโลก ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ในแต่ละวัน ใช้ชีวิตอย่างมีสติ รับประทานอาหารอย่างมีสติ ใช้ทรัพยากรโลกอย่างมีสติ เพราะวันนี้หรือวันหน้า อาจเป็นวันสุดท้ายของคุณและโลกใบนี้
“ระบบวิเคราะห์ฝ่าเท้าวินิจฉัยโรค” ผลงานเด่นจากนิสิต มก. ศรีราชา
นิสิต มก. สร้างระบบวิเคราะห์ฝ่าเท้าเพื่อการวินิจฉัยโรค เพิ่มความสะดวกในการรักษาโรคทางเท้าในบุคคลที่มีเท้าผิดปกติ คว้ารางวัลที่การประกวดโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย
นายยุทธพงศ์ อุณหทวีทรัพย์ และ น.ส.ณัฐกานต์ ลิขิตผลจรูญ นิสิตสาขาวิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ ศรีราชา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา ประดิษฐ์ คิดค้น “ระบบวิเคราะห์ฝ่าเท้าเพื่อการวินิจฉัยโรค” Foot analysis system for diagnosis โดยมีอาจารย์ไพรัช สร้อยทอง อาจารย์สาขาวิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ เป็นที่ปรึกษาโครงงานวิจัย
โครงงานชิ้นนี้ ยังได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับที่ 2 การแข่งขันพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 13 (The Thirteenth Nation Software Contest : NSC 2011) ในงานมหกรรมประกวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 10 จัดการแข่งขันโดย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
โดยผลงานนี้ทำการศึกษาเพื่ออำนวยความสะดวกแก่แพทย์ผู้รักษาในการตรวจสอบโรคทางเท้า ในบุคคลที่มีเท้าผิดปกติ โดยเฉพาะโรคเท้าแบนที่ส่งผลกระทบต่ออาการทางเท้า เช่น โรครองช้ำ โรคตาปลา โรคเท้าพอง โรคเท้าปุก และอาการเจ็บเอ็นร้อยหวาย ซึ่งผู้จัดทำโครงงานได้ทำการติดตั้งอุปกรณ์เสริมเพิ่มเติม คือ กล้องเว็บแคมในการใช้งานเครื่องโพโดสโคปที่ใช้ในการวิเคราะห์วินิจฉัยลักษณะฝ่าเท้าของผู้ป่วย (เครื่องโพโดสโคป คืออุปกรณ์ที่ใช้ในการส่องเท้าทำด้วยกระจกนิรภัยมีลักษณะเป็นกระจกใส โดยให้ผู้ป่วยขึ้นไปยืนบนกระจกใส เพื่อตรวจสอบความผิดปกติของเท้าและมีกระจกเงาที่สามารถปรับมุมมองอยู่ด้านล่าง) และระบบการไหลเวียนโลหิตบริเวณฝ่าเท้า ซึ่งสามารถช่วยให้แพทย์ตรวจรักษาโรคและอาการของผู้ป่วยได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยใช้แนวคิดจากเครื่องโพโดสโคป ที่ไม่สามารถประเมินผลการไหลเวียนของโลหิตด้วยตาเปล่าได้เป็นระดับจึงทำให้การรักษาอาการเท้าแบนไม่มีประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์เท่าที่ควร
โครงงานชิ้นนี้มีการพัฒนาโครงงาน 2 ส่วน คือ ส่วนแรกจะเป็นด้านการพัฒนาเครื่องโพโดสโคปให้สามารถดูภาพฝ่าเท้าได้จากจอแสดงผล และสามารถนำภาพฝ่าเท้าที่ได้ไปประเมินผล
ส่วนที่สองจะเป็นการพัฒนาทางด้านโปรแกรมประยุกต์ ให้สามารถตอบประเมินอาการผิดปกติของเท้าโดยวัดอัตราส่วนของฝ่าเท้า เพื่อตรวจสอบความผิดปกติของรูปเท้า ประเมินการไหลเวียนของโลหิตจากภาพทั้งก่อนและหลังการใส่อุปกรณ์เสริมอุ้งฝ่าเท้า ให้แสดงผลเป็นระดับตามเกณฑ์ที่อ้างอิงไว้ได้ เก็บข้อมูลการรักษาและนำมาประกอบการวินิจฉัยโรคและการติดตามผลในการรักษาผู้ป่วยของแพทย์ผู้รักษา
จุดมุ่งหมายของการพัฒนาโครงการนี้ คือ สามารถอำนวยความสะดวกในการวินิจฉัยโรคและการชี้แจงอาการของแพทย์ให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น เพิ่มความสามารถในการชี้แจงให้ผู้ป่วยเข้าใจถึงอาการและลักษณะของโรคได้ง่ายขึ้น สามารถลดต้นทุนในการสั่งซื้ออุปกรณ์ที่ใช้ในการตรวจรักษาโรคจากต่างประเทศ ซึ่งมีราคาแพงกว่าการผลิตเอง
รวมทั้งสามารถตรวจสอบการไหลเวียนของโลหิตบริเวณฝ่าเท้า ตรวจสอบความสัมพันธ์การลงน้ำหนักเท้าและสีของฝ่าเท้า และสามารถวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงสีของฝ่าเท้าหลังจากการใช้อุปกรณ์เสริมฝ่าเท้าแล้ว เมื่อการพัฒนาโครงการสิ้นสุด สามารถนำระบบนี้ไปใช้ในการช่วยเหลือผู้ป่วยโรคทางเท้าได้ แพทย์ผู้ทำการรักษาสามารถประเมินการรักษาได้แม่นยำมากขึ้น ทราบความน่าเชื่อถือของการวัดรอยพิมพ์ฝ่าเท้าจากภาพถ่ายแบบดิจิตอลผ่านเครื่องโพโดสโคปในกรณีผู้ตรวจและวัดกระทำ ณ เวลาที่แตกต่างกัน และที่สำคัญ คือ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้ออุปกรณ์ที่มีราคาแพงจากต่างประเทศอีกด้วย
นายยุทธพงศ์ อุณหทวีทรัพย์ และ น.ส.ณัฐกานต์ ลิขิตผลจรูญ นิสิตสาขาวิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ ศรีราชา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา ประดิษฐ์ คิดค้น “ระบบวิเคราะห์ฝ่าเท้าเพื่อการวินิจฉัยโรค” Foot analysis system for diagnosis โดยมีอาจารย์ไพรัช สร้อยทอง อาจารย์สาขาวิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ เป็นที่ปรึกษาโครงงานวิจัย
โครงงานชิ้นนี้ ยังได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับที่ 2 การแข่งขันพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 13 (The Thirteenth Nation Software Contest : NSC 2011) ในงานมหกรรมประกวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 10 จัดการแข่งขันโดย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
โดยผลงานนี้ทำการศึกษาเพื่ออำนวยความสะดวกแก่แพทย์ผู้รักษาในการตรวจสอบโรคทางเท้า ในบุคคลที่มีเท้าผิดปกติ โดยเฉพาะโรคเท้าแบนที่ส่งผลกระทบต่ออาการทางเท้า เช่น โรครองช้ำ โรคตาปลา โรคเท้าพอง โรคเท้าปุก และอาการเจ็บเอ็นร้อยหวาย ซึ่งผู้จัดทำโครงงานได้ทำการติดตั้งอุปกรณ์เสริมเพิ่มเติม คือ กล้องเว็บแคมในการใช้งานเครื่องโพโดสโคปที่ใช้ในการวิเคราะห์วินิจฉัยลักษณะฝ่าเท้าของผู้ป่วย (เครื่องโพโดสโคป คืออุปกรณ์ที่ใช้ในการส่องเท้าทำด้วยกระจกนิรภัยมีลักษณะเป็นกระจกใส โดยให้ผู้ป่วยขึ้นไปยืนบนกระจกใส เพื่อตรวจสอบความผิดปกติของเท้าและมีกระจกเงาที่สามารถปรับมุมมองอยู่ด้านล่าง) และระบบการไหลเวียนโลหิตบริเวณฝ่าเท้า ซึ่งสามารถช่วยให้แพทย์ตรวจรักษาโรคและอาการของผู้ป่วยได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยใช้แนวคิดจากเครื่องโพโดสโคป ที่ไม่สามารถประเมินผลการไหลเวียนของโลหิตด้วยตาเปล่าได้เป็นระดับจึงทำให้การรักษาอาการเท้าแบนไม่มีประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์เท่าที่ควร
โครงงานชิ้นนี้มีการพัฒนาโครงงาน 2 ส่วน คือ ส่วนแรกจะเป็นด้านการพัฒนาเครื่องโพโดสโคปให้สามารถดูภาพฝ่าเท้าได้จากจอแสดงผล และสามารถนำภาพฝ่าเท้าที่ได้ไปประเมินผล
ส่วนที่สองจะเป็นการพัฒนาทางด้านโปรแกรมประยุกต์ ให้สามารถตอบประเมินอาการผิดปกติของเท้าโดยวัดอัตราส่วนของฝ่าเท้า เพื่อตรวจสอบความผิดปกติของรูปเท้า ประเมินการไหลเวียนของโลหิตจากภาพทั้งก่อนและหลังการใส่อุปกรณ์เสริมอุ้งฝ่าเท้า ให้แสดงผลเป็นระดับตามเกณฑ์ที่อ้างอิงไว้ได้ เก็บข้อมูลการรักษาและนำมาประกอบการวินิจฉัยโรคและการติดตามผลในการรักษาผู้ป่วยของแพทย์ผู้รักษา
จุดมุ่งหมายของการพัฒนาโครงการนี้ คือ สามารถอำนวยความสะดวกในการวินิจฉัยโรคและการชี้แจงอาการของแพทย์ให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น เพิ่มความสามารถในการชี้แจงให้ผู้ป่วยเข้าใจถึงอาการและลักษณะของโรคได้ง่ายขึ้น สามารถลดต้นทุนในการสั่งซื้ออุปกรณ์ที่ใช้ในการตรวจรักษาโรคจากต่างประเทศ ซึ่งมีราคาแพงกว่าการผลิตเอง
รวมทั้งสามารถตรวจสอบการไหลเวียนของโลหิตบริเวณฝ่าเท้า ตรวจสอบความสัมพันธ์การลงน้ำหนักเท้าและสีของฝ่าเท้า และสามารถวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงสีของฝ่าเท้าหลังจากการใช้อุปกรณ์เสริมฝ่าเท้าแล้ว เมื่อการพัฒนาโครงการสิ้นสุด สามารถนำระบบนี้ไปใช้ในการช่วยเหลือผู้ป่วยโรคทางเท้าได้ แพทย์ผู้ทำการรักษาสามารถประเมินการรักษาได้แม่นยำมากขึ้น ทราบความน่าเชื่อถือของการวัดรอยพิมพ์ฝ่าเท้าจากภาพถ่ายแบบดิจิตอลผ่านเครื่องโพโดสโคปในกรณีผู้ตรวจและวัดกระทำ ณ เวลาที่แตกต่างกัน และที่สำคัญ คือ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้ออุปกรณ์ที่มีราคาแพงจากต่างประเทศอีกด้วย
เรื่องเล่าดีๆ จากญี่ปุ่น ในวันแผ่นดินไหว
เรื่องเล่าดีๆ " จากญี่ปุ่น" ในวันแผ่นดินไหว
ผมได้อ่านข้อความจากเพื่อนคนหนึงที่ไปเรียนต่อปริญญาเอกที่ญี่ปุ่น เป็นข้อความที่นักเรียนไทยแปลมาจากข้อความของ ชาวญี่ปุ่นหนึ่ง หลายคนคงได้อ่านหรือได้ฟังเรื่องราวของชาวญี่ปุ่นในยามที่เขาประสพภัยมาบ้างแล้ว นี้คงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่ผมได้อ่านแล้วก็น้ำตาซึมอย่างไม่รู้ตัว ก่อนอ่านทำความเข้าใจก่อนนะครับว่า "ข้าพเจ้า" คือคนญี่ปุ่นที่เป็นคนเขียนเรื่องนี้ขึ้นในสิ่งที่เค้าพบเจอ
เรื่องแรก ข้าพเจ้าได้เห็นเด็กน้อยพูดกับพนักงานรถไฟว่า "ขอบคุณค่ะ/ครับ ที่เมื่อวานพยายามอย่างสุดชีวิตทำให้รถไฟเดินรถอีกครั้ง" พนักงานรถไฟได้ฟังแล้วร้องไห้ ส่วนข้าพเจ้าร้องไห้ฟูมฟายไปแล้ว ( เพราะคืนวันที่เกิดแผ่นดินไหว รถไฟหยุดวิ่งกว่าจะวิ่งได้ก็หลังเที่ยงคืนไปแล้ว หลายคนไม่ได้กลับบ้าน หลายคนต้องเดินกลับ)
เรื่องที่สอง ที่ดิสนีย์แลนด์ คนติด ไม่สามารถกลับบ้านได้จำนวนมากและทางร้านขายของได้เอาขนมใสแจกนักท่องเที่ยว ก็ได้มีนักเรียนม.ปลายหญิงกลุ่มหนึ่งไปเอามาจำนวนมาก มากเกินพอ แว่บแรก ข้าพเจ้ารู้สึกทันทีคือ “อะไรวะ เอาซะเยอะเลย” แต่วินาทีต่อมากลายเป็นความรู้สึกตื้นตันใจ เพราะเด็กกลุ่มนั้นเอาขนมไปให้เด็กๆที่พ่อแม่ไม่สามารถไปเอาเองได้เพราะต้องดูแลลูกๆ
เรื่องที่สาม ในซุปเปอร์แห่งหนึ่ง ของตกระเกะระกะเพราะแรงแผ่นดินไหว แต่คนซื้อก็เดินไปช่วยกันเก็บของ แล้วก็หยิบส่วนที่ตนอยากซื้อไปต่อคิวจ่ายเงิน และ ในรถไฟที่เพิ่งเปิดให้ใช้บริการ มีคนที่ตกค้างจำนวนมากกำลังเดินทางกลับก็ได้เห็นคนแก่คนหนึ่งลุกให้สตรีมีครรภ์นั่ง คนญี่ปุ่นแม้ในภาวะฉุกเฉินเช่นนี้ ก็ยังมีน้ำใจ มีระเบียบ
เรื่องที่สี่ ในคืนแรกที่เกิดแผ่นดินไหว รถไฟไม่วิ่ง ทำให้คนจำนวนมากต้องเดินกลับบ้านแทนการนั่งรถไฟ ขณะที่ข้าพเจ้าต้องเดินกลับจากมหาลัยมายังที่พัก ร้านรวงก็ปิดหมดแล้ว ข้าพเจ้าได้ผ่านร้านขนมปังร้านหนึ่งซึ่งปิดไปแล้ว แต่คุณป้าเจ้าของร้านก็ได้เอาขนมปังมาแจกฟรีแก่คนที่กำลังเดินกลับบ้าน แม้ภาวะฉุกเฉินเช่นนี้ น้ำใจเช่นนี้ทำให้หัวใจข้าพเจ้าอบอุ่น ตื้นตัน
เรื่องที่ห้า ในขณะที่รอรถไฟให้กลับมาวิ่งได้ ข้าพเจ้าก็ได้รออยู่ในอาคารสถานีอย่างเหน็บหนาว โฮมเลส (คนจรจัด) ก็ได้แบ่งปันแผ่นกล่องกระดาษให้ โฮมเลสที่ข้าพเจ้ามองด้วยหางตาทุกวันที่มาใช้สถานี คืนนั้นทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด
เรื่องที่หก (เรื่องราวคืนรถไฟไม่วิ่งเยอะหน่อยนะครับ) ด้วยระยะเวลาสี่ชั่วโมงที่ต้องเดินเท้ากลับบ้าน ก็ได้ผ่านหน้าบ้านหลังหนึ่งตาก็ไปสะดุดกับแผ่นกระดาษที่เขียนว่า " เชิญใช้ห้องน้ำได้ค่ะ" หญิงสาวท่านหนึ่งได้เปิดบ้านตัวเองให้แก่คนที่กำลังเดินกลับบ้านได้ใช้ วินาทีที่ได้เห็นแผ่นกระดาษนั้นน้ำตามันก็ไหลออกมาเอง น้ำใจคนญี่ปุ่น
เรื่องที่เจ็ด แม้ว่าไฟดับ ก็ยังมีคนที่สู้ทำงานให้ไฟกลับมาติด น้ำไม่ไหลก็ยังมีคนไม่ยอมแพ้ทำให้น้ำกลับมาไหล เกิดปัญหากับโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ก็มีคนที่พร้อมจะเข้าพื้นที่เพื่อซ่อมมัน ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้กลับมาสู่สภาพปกติด้วยตัวมันเอง ขณะที่พวกเราอยู่ในบ้านอันอบอุ่นแล้วก็พร่ำบ่นว่าเมื่อไรไฟมันจะติด น้ำจะไหลน้าา ก็มีคนที่อยู่ข้างนอกท่ามกลางความหนาวเหน็บกำลังพยายามสู้อยู่
เรื่องที่แปด ในจังหวัดจิบะ คนลุงคนหนึ่งที่หลบภัยอยู่ก็ได้เปรยออกมาว่า ต่อจากนี้ไปจะเป็นอย่างไรน้า เด็กหนุ่มม.ปลายก็ตอบกลับไปว่า ไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง ต่อจากนี้ไปเมื่อผมเป็นผู้ใหญ่ พวกผมจะทำให้มันกลับมาเหมือนเดิมแน่นอน (ไม่เป็นไร พวกเรายังมีอนาคต!!!)
เรื่องที่เก้า ขณะที่กำลังได้รับความช่วยเหลือ หลังจากที่ติดอยู่บนหลังคาบ้านมากว่า 42ชั่วโมง คุณลุงก็ได้กล่าวว่า "ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรครับ เคยมีประสบการณ์สึนามิที่ชิลีมาแล้ว ต่อจากนี้ไปพวกเรามาช่วยฟื้นฟูบ้านเมืองกันนะ" แกกล่าวด้วยรอยยิ้ม (สิ่งสำคัญสำหรับพวกเราคือ ต่อจากนี้ไปเราจะทำอะไรต่างหาก)
เรื่องสุดท้าย ก่อนหน้านี้เมืองมันสว่างเกินไป เกินที่จะมองเห็นดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน แต่จริงๆแล้วดาวสวยเช่นนี้เอง ชาวเซนไดทุกคนลองแหงนมองขึ้นไปข้างบนดูซิ (ตรงนี้ไม่มั่นใจว่าแปลว่า ชาวเซนไดทุกคนมองขึ้นไปบนฟ้า รึเปล่า)
ขอบคุณ คุณ ฉั่ว Kyoto ในการแปลข้อความพวกนี้เป็นภาษาไทย ให้พวกเราทุกคนได้อ่านกัน
ขอบคุณเพื่อนผมที่อยู่ที่นั้น และฝากข้อความมาให้อ่าน และเค้าบอกว่าที่นั้นสบายดี กลายเป็นว่าแทนทีผมจะให้กำลังใจเพื่อนฝ่ายเดียว แต่เค้าได้ให้กำลังใจผมกลับมาจนเต็มหัวใจ
สุดท้าย “คนไทยในยามวิกฤต ช่วงน้ำท่วมหรือสึนามิ เราก็เคยได้เห็นน้ำใจคนไทยแบบนี้เช่นกัน”
: ชีวิตยิ้มๆ 15 มี.ค. 54 23:09:00
ผมได้อ่านข้อความจากเพื่อนคนหนึงที่ไปเรียนต่อปริญญาเอกที่ญี่ปุ่น เป็นข้อความที่นักเรียนไทยแปลมาจากข้อความของ ชาวญี่ปุ่นหนึ่ง หลายคนคงได้อ่านหรือได้ฟังเรื่องราวของชาวญี่ปุ่นในยามที่เขาประสพภัยมาบ้างแล้ว นี้คงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่ผมได้อ่านแล้วก็น้ำตาซึมอย่างไม่รู้ตัว ก่อนอ่านทำความเข้าใจก่อนนะครับว่า "ข้าพเจ้า" คือคนญี่ปุ่นที่เป็นคนเขียนเรื่องนี้ขึ้นในสิ่งที่เค้าพบเจอ
เรื่องแรก ข้าพเจ้าได้เห็นเด็กน้อยพูดกับพนักงานรถไฟว่า "ขอบคุณค่ะ/ครับ ที่เมื่อวานพยายามอย่างสุดชีวิตทำให้รถไฟเดินรถอีกครั้ง" พนักงานรถไฟได้ฟังแล้วร้องไห้ ส่วนข้าพเจ้าร้องไห้ฟูมฟายไปแล้ว ( เพราะคืนวันที่เกิดแผ่นดินไหว รถไฟหยุดวิ่งกว่าจะวิ่งได้ก็หลังเที่ยงคืนไปแล้ว หลายคนไม่ได้กลับบ้าน หลายคนต้องเดินกลับ)
เรื่องที่สอง ที่ดิสนีย์แลนด์ คนติด ไม่สามารถกลับบ้านได้จำนวนมากและทางร้านขายของได้เอาขนมใสแจกนักท่องเที่ยว ก็ได้มีนักเรียนม.ปลายหญิงกลุ่มหนึ่งไปเอามาจำนวนมาก มากเกินพอ แว่บแรก ข้าพเจ้ารู้สึกทันทีคือ “อะไรวะ เอาซะเยอะเลย” แต่วินาทีต่อมากลายเป็นความรู้สึกตื้นตันใจ เพราะเด็กกลุ่มนั้นเอาขนมไปให้เด็กๆที่พ่อแม่ไม่สามารถไปเอาเองได้เพราะต้องดูแลลูกๆ
เรื่องที่สาม ในซุปเปอร์แห่งหนึ่ง ของตกระเกะระกะเพราะแรงแผ่นดินไหว แต่คนซื้อก็เดินไปช่วยกันเก็บของ แล้วก็หยิบส่วนที่ตนอยากซื้อไปต่อคิวจ่ายเงิน และ ในรถไฟที่เพิ่งเปิดให้ใช้บริการ มีคนที่ตกค้างจำนวนมากกำลังเดินทางกลับก็ได้เห็นคนแก่คนหนึ่งลุกให้สตรีมีครรภ์นั่ง คนญี่ปุ่นแม้ในภาวะฉุกเฉินเช่นนี้ ก็ยังมีน้ำใจ มีระเบียบ
เรื่องที่สี่ ในคืนแรกที่เกิดแผ่นดินไหว รถไฟไม่วิ่ง ทำให้คนจำนวนมากต้องเดินกลับบ้านแทนการนั่งรถไฟ ขณะที่ข้าพเจ้าต้องเดินกลับจากมหาลัยมายังที่พัก ร้านรวงก็ปิดหมดแล้ว ข้าพเจ้าได้ผ่านร้านขนมปังร้านหนึ่งซึ่งปิดไปแล้ว แต่คุณป้าเจ้าของร้านก็ได้เอาขนมปังมาแจกฟรีแก่คนที่กำลังเดินกลับบ้าน แม้ภาวะฉุกเฉินเช่นนี้ น้ำใจเช่นนี้ทำให้หัวใจข้าพเจ้าอบอุ่น ตื้นตัน
เรื่องที่ห้า ในขณะที่รอรถไฟให้กลับมาวิ่งได้ ข้าพเจ้าก็ได้รออยู่ในอาคารสถานีอย่างเหน็บหนาว โฮมเลส (คนจรจัด) ก็ได้แบ่งปันแผ่นกล่องกระดาษให้ โฮมเลสที่ข้าพเจ้ามองด้วยหางตาทุกวันที่มาใช้สถานี คืนนั้นทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด
เรื่องที่หก (เรื่องราวคืนรถไฟไม่วิ่งเยอะหน่อยนะครับ) ด้วยระยะเวลาสี่ชั่วโมงที่ต้องเดินเท้ากลับบ้าน ก็ได้ผ่านหน้าบ้านหลังหนึ่งตาก็ไปสะดุดกับแผ่นกระดาษที่เขียนว่า " เชิญใช้ห้องน้ำได้ค่ะ" หญิงสาวท่านหนึ่งได้เปิดบ้านตัวเองให้แก่คนที่กำลังเดินกลับบ้านได้ใช้ วินาทีที่ได้เห็นแผ่นกระดาษนั้นน้ำตามันก็ไหลออกมาเอง น้ำใจคนญี่ปุ่น
เรื่องที่เจ็ด แม้ว่าไฟดับ ก็ยังมีคนที่สู้ทำงานให้ไฟกลับมาติด น้ำไม่ไหลก็ยังมีคนไม่ยอมแพ้ทำให้น้ำกลับมาไหล เกิดปัญหากับโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ก็มีคนที่พร้อมจะเข้าพื้นที่เพื่อซ่อมมัน ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้กลับมาสู่สภาพปกติด้วยตัวมันเอง ขณะที่พวกเราอยู่ในบ้านอันอบอุ่นแล้วก็พร่ำบ่นว่าเมื่อไรไฟมันจะติด น้ำจะไหลน้าา ก็มีคนที่อยู่ข้างนอกท่ามกลางความหนาวเหน็บกำลังพยายามสู้อยู่
เรื่องที่แปด ในจังหวัดจิบะ คนลุงคนหนึ่งที่หลบภัยอยู่ก็ได้เปรยออกมาว่า ต่อจากนี้ไปจะเป็นอย่างไรน้า เด็กหนุ่มม.ปลายก็ตอบกลับไปว่า ไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง ต่อจากนี้ไปเมื่อผมเป็นผู้ใหญ่ พวกผมจะทำให้มันกลับมาเหมือนเดิมแน่นอน (ไม่เป็นไร พวกเรายังมีอนาคต!!!)
เรื่องที่เก้า ขณะที่กำลังได้รับความช่วยเหลือ หลังจากที่ติดอยู่บนหลังคาบ้านมากว่า 42ชั่วโมง คุณลุงก็ได้กล่าวว่า "ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรครับ เคยมีประสบการณ์สึนามิที่ชิลีมาแล้ว ต่อจากนี้ไปพวกเรามาช่วยฟื้นฟูบ้านเมืองกันนะ" แกกล่าวด้วยรอยยิ้ม (สิ่งสำคัญสำหรับพวกเราคือ ต่อจากนี้ไปเราจะทำอะไรต่างหาก)
เรื่องสุดท้าย ก่อนหน้านี้เมืองมันสว่างเกินไป เกินที่จะมองเห็นดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน แต่จริงๆแล้วดาวสวยเช่นนี้เอง ชาวเซนไดทุกคนลองแหงนมองขึ้นไปข้างบนดูซิ (ตรงนี้ไม่มั่นใจว่าแปลว่า ชาวเซนไดทุกคนมองขึ้นไปบนฟ้า รึเปล่า)
ขอบคุณ คุณ ฉั่ว Kyoto ในการแปลข้อความพวกนี้เป็นภาษาไทย ให้พวกเราทุกคนได้อ่านกัน
ขอบคุณเพื่อนผมที่อยู่ที่นั้น และฝากข้อความมาให้อ่าน และเค้าบอกว่าที่นั้นสบายดี กลายเป็นว่าแทนทีผมจะให้กำลังใจเพื่อนฝ่ายเดียว แต่เค้าได้ให้กำลังใจผมกลับมาจนเต็มหัวใจ
สุดท้าย “คนไทยในยามวิกฤต ช่วงน้ำท่วมหรือสึนามิ เราก็เคยได้เห็นน้ำใจคนไทยแบบนี้เช่นกัน”
: ชีวิตยิ้มๆ 15 มี.ค. 54 23:09:00
12 เทคนิค .. กันสมองเหี่ยว
เรื่องของการปลุกระดมสมองให้สดชื่นแจ่มใสเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็ต้องการ เพราะเมื่อสมองแจ่มใส ปลอดโปร่ง อะไรก็ดีตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็น การฟัง พูด อ่าน เขียน จดจำ หรือความคิด
กลับกัน หากสมองเหี่ยว ฝ่อ ไม่สดใส อาจจะเกิดจากความเครียด หรือการหมกมุ่นกันเรื่องใดเรื่อง หนึ่งนานๆ หรือ ขาดการพักผ่อน ทักษะดังกล่าวก็จะลดน้อยถอยไป กรรมวิธีที่จะทำให้สมองแข็งแรงไป อย่างยืนยาวนั้น สถาบันดีสปายน์ไคโรแพรคติก เทคนิคมาแนะนำ
> 1. ดื่มน้ำให้พอ เพราะสมองของคนเราประกอบด้วยน้ำถึง 85% ดังนั้นเมื่อร่างกายขาดน้ำ สมอง ก็ จะทำงานช้าลง ทำให้กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดอะไรไม่ค่อยออก
แต่การดื่มน้ำนั้นแต่ละคนจะมีความต้องการน้ำไม่เท่ากันขึ้นอยู่กันน้ำหนัก และพฤติกรรมต่างๆ ทั้งการ เคลื่อนไหว และการบริโภค แต่โดยเฉลี่ยแล้ว ผู้ใหญ่ควรดื่มน้ำวันละ 3-5 ลิตร ส่วนเด็ก 2-3 ลิตร
> 2. หายใจลึกๆ ช่วยส่งพลังงานไปถึงสมอง ถ้านั่งหายใจ หลังก็ควรจะตั้งตรง จะช่วยให้ออกซิเจน เข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น และถ้านั่งนานเนไปควรเปลี่ยนอิริยาบถ ยืดเส้น ยืดสาย เพื่อให้ปอดขยาย
> 3. เลือกรับประทานอาหาร ที่มีไขมันดีทดแทนไขมันในสมองที่สึกหรอ อาทิ น้ำมันปลา สารสกัดจากใบ แปะก๊วย ปลาแซลมอน อีฟนิ่งพริมโรส วิตามินซี
> 4. ตั้งโปรแกรมให้สมอง โดยใช้ความตั้งมั่นตั้งใจอย่างจริงจัง สมองจะค่อยๆ ปรับพฤติกรรมให้ไปสู่ เป้าหมายได้
> 5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ ช่วยให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ไปกระตุ้นพลังออร่าให้สว่างสดใสจะ
> ช่วยดึงดูดสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต
> 6. ฝึกสมาธิพัฒนาอารมณ์ ให้สมองผ่อนคลาย จะช่วยทำให้มีจินตนาการมีความคิดสร้างสรรค์ สามารถทำได้ทั้งตื่นเช้าหรือก่อนนอนทุกวัน
> 7. ออกกำลังกาย กระตุ้นการทำงานของสมองพร้อมกับดื่มน้ำบ่อยๆ
> 8. หาอะไรใหม่ๆ ให้ชีวิต เช่น รู้จักคนใหม่ๆ อ่านหนังสือเล่มใหม่ ขับรถเส้นทางใหม่ หรือแลก เปลี่ยนทัศนคติใหม่ๆ กับเพื่อน สมองจะหลั่งสารแห่งความสุข (เอ็นดอร์ฟิน) และสารแห่งการเรียนรู้ โดปามีน ทำให้เกิดการอยากเรียนรู้อย่างมีความสุข
> 9. รู้จักให้อภัยและลดความโกรธ จะทำให้สูญเสียพลังงานน้อยลง และยังเป็นการช่วยลดภาระให้กับ สมอง
> 10. พูดเรื่องดีๆ กับตัวเองซ้ำๆ ให้เกินวันละ 100 ครั้ง
> 11. บันทึกสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันลงในสมุดบันทึก ช่วยทำให้สมองคิดในเชิงบวก ทำให้หลับฝันดี มี สมาธิ
> 12. พักผ่อนให้เพียงพอ โดยช่วงเวลา 21.00 น. จะเป็นช่วงเวลานอนที่ดีที่สุด
เรื่องนี้ไม่ใช่เหมาะสำหรับเด็ก แต่เป็นเรื่องที่ทุกเพศ ทุกวัยสามารถปฏิบัติได้เป็นการยืดอายุสมอง ให้ อยู่กับเราไปได้นานเท่านาน!!
กลับกัน หากสมองเหี่ยว ฝ่อ ไม่สดใส อาจจะเกิดจากความเครียด หรือการหมกมุ่นกันเรื่องใดเรื่อง หนึ่งนานๆ หรือ ขาดการพักผ่อน ทักษะดังกล่าวก็จะลดน้อยถอยไป กรรมวิธีที่จะทำให้สมองแข็งแรงไป อย่างยืนยาวนั้น สถาบันดีสปายน์ไคโรแพรคติก เทคนิคมาแนะนำ
> 1. ดื่มน้ำให้พอ เพราะสมองของคนเราประกอบด้วยน้ำถึง 85% ดังนั้นเมื่อร่างกายขาดน้ำ สมอง ก็ จะทำงานช้าลง ทำให้กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดอะไรไม่ค่อยออก
แต่การดื่มน้ำนั้นแต่ละคนจะมีความต้องการน้ำไม่เท่ากันขึ้นอยู่กันน้ำหนัก และพฤติกรรมต่างๆ ทั้งการ เคลื่อนไหว และการบริโภค แต่โดยเฉลี่ยแล้ว ผู้ใหญ่ควรดื่มน้ำวันละ 3-5 ลิตร ส่วนเด็ก 2-3 ลิตร
> 2. หายใจลึกๆ ช่วยส่งพลังงานไปถึงสมอง ถ้านั่งหายใจ หลังก็ควรจะตั้งตรง จะช่วยให้ออกซิเจน เข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น และถ้านั่งนานเนไปควรเปลี่ยนอิริยาบถ ยืดเส้น ยืดสาย เพื่อให้ปอดขยาย
> 3. เลือกรับประทานอาหาร ที่มีไขมันดีทดแทนไขมันในสมองที่สึกหรอ อาทิ น้ำมันปลา สารสกัดจากใบ แปะก๊วย ปลาแซลมอน อีฟนิ่งพริมโรส วิตามินซี
> 4. ตั้งโปรแกรมให้สมอง โดยใช้ความตั้งมั่นตั้งใจอย่างจริงจัง สมองจะค่อยๆ ปรับพฤติกรรมให้ไปสู่ เป้าหมายได้
> 5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ ช่วยให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ไปกระตุ้นพลังออร่าให้สว่างสดใสจะ
> ช่วยดึงดูดสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต
> 6. ฝึกสมาธิพัฒนาอารมณ์ ให้สมองผ่อนคลาย จะช่วยทำให้มีจินตนาการมีความคิดสร้างสรรค์ สามารถทำได้ทั้งตื่นเช้าหรือก่อนนอนทุกวัน
> 7. ออกกำลังกาย กระตุ้นการทำงานของสมองพร้อมกับดื่มน้ำบ่อยๆ
> 8. หาอะไรใหม่ๆ ให้ชีวิต เช่น รู้จักคนใหม่ๆ อ่านหนังสือเล่มใหม่ ขับรถเส้นทางใหม่ หรือแลก เปลี่ยนทัศนคติใหม่ๆ กับเพื่อน สมองจะหลั่งสารแห่งความสุข (เอ็นดอร์ฟิน) และสารแห่งการเรียนรู้ โดปามีน ทำให้เกิดการอยากเรียนรู้อย่างมีความสุข
> 9. รู้จักให้อภัยและลดความโกรธ จะทำให้สูญเสียพลังงานน้อยลง และยังเป็นการช่วยลดภาระให้กับ สมอง
> 10. พูดเรื่องดีๆ กับตัวเองซ้ำๆ ให้เกินวันละ 100 ครั้ง
> 11. บันทึกสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันลงในสมุดบันทึก ช่วยทำให้สมองคิดในเชิงบวก ทำให้หลับฝันดี มี สมาธิ
> 12. พักผ่อนให้เพียงพอ โดยช่วงเวลา 21.00 น. จะเป็นช่วงเวลานอนที่ดีที่สุด
เรื่องนี้ไม่ใช่เหมาะสำหรับเด็ก แต่เป็นเรื่องที่ทุกเพศ ทุกวัยสามารถปฏิบัติได้เป็นการยืดอายุสมอง ให้ อยู่กับเราไปได้นานเท่านาน!!
อันธพาลใหญ่อยู่ในตัวเรา (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
ธรรมโอวาท
ของ
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี
บันทึกไว้เมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๔๙
(คัดลอกบางส่วนจาก หนังสือให้พากันจำ ปีที่พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๕๐,หน้า ๑๕๓ )
"อันธพาลมันอยู่ในจิต"
แต่มันไปวาดภาพว่า คนนั้นเป็นอันธพาลต่อเรา คนนี้เป็นอันธพาลต่อเรา
ตัวเราเป็นอันธพาลใหญ่ไม่ดูตัวเอง
พอย้อนจิตเข้ามาดูนี้แล้ว อันธพาลนี้ดับปุ๊บ นอกนั้นไม่มี
คือ ใจนี้เองเป็นตัวอันธพาล ให้พากันจำเอา
ดูตั้งแต่ภายนอกไม่ดูตัวเอง ไม่เกิดประโยชน์อะไร ให้ดูตัวเอง
สอนให้รู้ กรรมฐานสอนอย่างนี้แหล่ะ
อยู่ด้วยกันให้มีความเสมอภาคต่อท่านต่อเรา อย่าไปถือว่าคนนั้นยิ่งคนนั้นหย่อน มันเพ่งนะนั่น
เพ่งอันนั้นยิ่งอันนี้หย่อน อันนั้นเลว อันนี้ดีแล้วเป็นข้าศึกกับตัวเอง
แล้วก็เป็นอันธพาลยกโทษคนอื่น ใช้ไม่ได้เลย ให้ต่างคนต่างดูตัวเอง
มาอยู่ด้วยกันเป็นผู้ปฏิบัติธรรม อย่าเอากิเลสมาเผากัน
อย่างยกโทษยกกรณ์กันมีแต่เรื่องกิเลสมาเผากันนะ
ถ้าปฏิบัติธรรมให้ดูตัวเอง มันคิดไม่ดีไม่งามมันออกจากเรา
ดูตัวนี้มันก็ดับ ที่จะไปคิดเรื่องใครไม่คิดเพราะตัวอันธพาลมันอยู่กับเรา
เราทันมันแล้วแย็บออกมารู้ทันที มันก็ดับทันที
ถ้าไม่รู้มันต่อสายยาวเหยียดไปไม่หยุดนะ เอาเท่านั้นล่ะวันนี้
..ขอน้อมถวายเป็นอาจาริยบูชาแด่หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน..
--
ของ
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี
บันทึกไว้เมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๔๙
(คัดลอกบางส่วนจาก หนังสือให้พากันจำ ปีที่พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๕๐,หน้า ๑๕๓ )
"อันธพาลมันอยู่ในจิต"
แต่มันไปวาดภาพว่า คนนั้นเป็นอันธพาลต่อเรา คนนี้เป็นอันธพาลต่อเรา
ตัวเราเป็นอันธพาลใหญ่ไม่ดูตัวเอง
พอย้อนจิตเข้ามาดูนี้แล้ว อันธพาลนี้ดับปุ๊บ นอกนั้นไม่มี
คือ ใจนี้เองเป็นตัวอันธพาล ให้พากันจำเอา
ดูตั้งแต่ภายนอกไม่ดูตัวเอง ไม่เกิดประโยชน์อะไร ให้ดูตัวเอง
สอนให้รู้ กรรมฐานสอนอย่างนี้แหล่ะ
อยู่ด้วยกันให้มีความเสมอภาคต่อท่านต่อเรา อย่าไปถือว่าคนนั้นยิ่งคนนั้นหย่อน มันเพ่งนะนั่น
เพ่งอันนั้นยิ่งอันนี้หย่อน อันนั้นเลว อันนี้ดีแล้วเป็นข้าศึกกับตัวเอง
แล้วก็เป็นอันธพาลยกโทษคนอื่น ใช้ไม่ได้เลย ให้ต่างคนต่างดูตัวเอง
มาอยู่ด้วยกันเป็นผู้ปฏิบัติธรรม อย่าเอากิเลสมาเผากัน
อย่างยกโทษยกกรณ์กันมีแต่เรื่องกิเลสมาเผากันนะ
ถ้าปฏิบัติธรรมให้ดูตัวเอง มันคิดไม่ดีไม่งามมันออกจากเรา
ดูตัวนี้มันก็ดับ ที่จะไปคิดเรื่องใครไม่คิดเพราะตัวอันธพาลมันอยู่กับเรา
เราทันมันแล้วแย็บออกมารู้ทันที มันก็ดับทันที
ถ้าไม่รู้มันต่อสายยาวเหยียดไปไม่หยุดนะ เอาเท่านั้นล่ะวันนี้
..ขอน้อมถวายเป็นอาจาริยบูชาแด่หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน..
--
วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2554
เสียงธรรม มงคลชีวิต 38 ประการ โดย พระธรรมวิสุทธิกวี (พิจิตร ฐิตวณฺโณ) วัดโสมนัสวิหาร กรุงเทพฯ
เสียงธรรม มงคลชีวิต 38 ประการ
โดย พระธรรมวิสุทธิกวี (พิจิตร ฐิตวณฺโณ)
วัดโสมนัสวิหาร กรุงเทพฯ
มงคลที่ 1.ไม่คบคนพาล
อย่าคบมิตร ที่พาล สันดานชั่ว
จะพาตัว เน่าดิบ จนฉิบหาย
แม้ความคิด ชั่วช้า อย่ากล้ำกราย
เป็นมิตรร้าย ภายใน ทุกข์ใจครัน
มงคลที่ 2.การคบบัณฑิต
ควรคบหา บัณฑิต เป็นมิตรไว้
จะช่วยให้ พ้นทุกข์ สบสุขสันต์
ความคิดดี เลิศล้ำ ยิ่งสำคัญ
ควรคบกัน อย่าเขว ทุกเวลา
มงคลที่ 3.การบูชาบุคคลที่ควรบูชา
ควรบูชา ไตรรัตน์ ขัตติเยศร์
ผู้วิเศษ ก่อเกื้อ เหนือเกศา
ครูอาจารย์ เจดีย์ ที่สักการ์
ด้วยบุปผา ปฏิบัติ สวัสดิ์การ
มงคลที่ 4.การอยู่ในถิ่นอันสมควร
เป็นเมืองกรุง ทุ่งนา หรือป่าใหญ่
ทางมา-ไป ครบครัน ธัญญาหาร
มีคนดี ที่ศึกษา พยาบาล
ปลอดภัยพาล ควรอยู่กิน ถิ่นนั้นแล
มงคลที่ 5.เคยทำบุญมาก่อน
กุศลบุญ คุณล้ำ เคยทำไว้
จะส่งให้ สวยเด่น เช่นดวงแข
ทั้งทรัพย์ยศ ไมตรี มีเย็นแด
เพราะกระแส บุญเลิศ ประเสริฐนัก
มงคลที่ 6 การตั้งตนชอบ
ต้องตั้งตน กายใจ ในทางถูก
เร่งฝังปลูก ตนไว้ ให้ถูกหลัก
เมื่อตัวตน ยังมี เป็นที่รัก
ควรพิทักษ์ ให้งาม ตามเวลา
มงคลที่ 7 ความเป็นพหูสูต
การสนใจ ใฝ่คว้า หาความรู้
ให้เป็นผู้ แก่เรียน เพียรศึกษา
มีศีลดี สติมั่น เกิดปัญญา
ย่อมนำพา ตัวรอด เป็นยอดดี
มงคลที่ 8 การรอบรู้ในศิลปะ
ศิลปะ ต่างอย่าง ทางอาชีพ
ควรเร่งรีบ เรียนรู้ ชูศักดิ์ศรี
มีบางคน จนอับ กลับมั่งมี
ฉลาดดี มีศิลป์ หากินพอ
มงคลที่ 9 มีวินัยที่ดี
อันวินัย นำระเบียบ สู่เรียบร้อย
คนใหญ่น้อย เปรมปรีดิ์ ดีนักหนา
วินัยสร้าง กระจ่างข้อ ก่อศรัทธา
เพราะรักษา กติกา พาร่วมมือ
ไม่พูดเท็จ พูดสอดเสียด และพูดมาก
ละความยาก สร้างวิบาก ฝากยึดถือ
คนหมู่มาก มักถางถาก ปากข่าวลือ
ต้องสัตย์ซื่อ ถือวินัย ใช้ร่วมกัน
มงคลที่ 10 กล่าววาจาอันเป็นสุภาษิต
เปล่งวจี สัจจะ นวลละม่อม
กล่าวเลลี้ยกล่อม ไพเราะ กาลเหมาะสม
เจือประโยชน์ เมตตา ค่านิยม
รื่นอารมณ์ ผู้ฟัง ดังเสียงทอง
มงคลที่ 11 การบำรุงบิดามารดา
คนที่หา ได้ยาก มากไฉน
เพราะว่าใน โลกนี้ มีเพียงสอง
คือพ่อแม่ เกิดเกล้า เหล่าลูกต้อง
ตอบสนอง พระคุณ ได้บุญแรง
มงคลที่ 12 การสงเคราะห์บุตร
เป็นมารดา บิดา ทำหน้าที่
ให้บุตรมี พำนัก เป็นหลักแหล่ง
ส่งเสริมบุตร ธิดาตน กุศลแรง
ย่อมส่องแสง เพิ่มพูน ตระกูลวงศ์
มงคลที่ 13.การสงเคราะห์ภรรยา
มีคู่ครอง ต้องไม่ทำ ให้ช้ำจิต
จะพาผิด ไปข้าง ทงผุยผง
ต้องสงเคราะห์ แก่กัน ให้มั่นคง
รักยืนยง ด้วยกัน ถึงวันตาย
มงคลที่ 14.ทำงานไม่คั่งค้าง
จะทำงาน การใด ตั้งใจมั่น
อย่าผัดวัน ทำเล่น เช้า เย็น สาย
ไม่ทิ้งคา อากูล มากมูลมาย
เร่งคลี่คลาย ให้เสร็จ สำเร็จการ
มงคลที่ 15.การให้ทาน
ควรบำเพ็ญ ซึ่งทาน คือการให้
ท่านว่าไว้ สวยงาม สามสถาน
หนึ่งให้ของ สองธรรมะ ขนะมาร
อภัยทาน ที่สาม งามเหลือเกิน
มงคลที่ 16.การประพฤติธรรม
การประพฤติ ตามธรรม คำพระสอน
ไม่เดือดร้อน ถอนทุกข์ ยามฉุกเฉิน
คนรักธรรม ธรรมรักษ์คน ผลเจริญ
นั่ง,ยืน,เดิน นอน,สุข ทุกข์ไม่มี
มงคลที่ 17.การสงเคราะห์ญาติ
เมื่อยามญาติ อัตคัด เกินขัดข้อง
ควรหาช่อง สงเคราะห์ ไม่เลาะหนี
เขาซาบซึ้ง ถึงคุณ อบอุ่นดี
หากถึงที เราจน ญาติสนใจ
มงคลที่ 18 ทำงานไม่มีโทษ
งานรับจ้าง ล้างชาม ก็ตามเถิด
หากไม่เกิด โทษทัณฑ์ นั่นสดใส
เมื่อได้ช่อง ต้องจำ กระทำไป
ได้กำไร ทุกทาง ไม่ว่างงาน
มงคลที่ 19 ละเว้นจากบาป
กรรมชั่วช้า ลามก ต้องยกเว้น
หากขืนเล่น ด้วยกัน ถูกมันผลาญ
งดเว้นบาป กำราบให้ ไกลสันดาน
ในดวงมาลย์ ไม่ร้อน และอ่อนเพลีย
มงคลที่ 20 สำรวมจากการดื่มน้ำเม
ของมึนเมา ทุกชนิด พิษคล้ายเหล้า
ใครเสพเข้า น่าตำหนิ สติเสีย
เกิดโรคร้าย แรงร้อน กายอ่อนเพลีย
ใครงดเสีย เป็นสุข ไปทุกวัน
มงคลที่ 21 ไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย
ไม่ประมาท คือมี สติพร้อม
คอยหน่วงน้อม ธรรมคุณ ไม่ผลุนผลัน
ธรรมอันใด ไม่ดี หลีกหนีพลัน
ธรรมดีนั้น ยึดแน่น ไม่แคลนคลอน
มงคลที่ 22 มีความเคารพ
ความเคารพ นับถือ คือเสน่ห์
ไม่โลเล เหมือนลิง วิ่งหลอกหลอน
ทั้งต่อหน้า ลับหลัง พึงสังวร
ย่อมงามงอน สวยสง่า ราคาแพง
มงคลที่ 23 มีความถ่อมตน
ไม่พองลม ก้มหัว เจียมตัวด้วย
มรรยาทสวย นิ่มนวล สิ้นส่วนแข็ง
เหมือนงูพิษ ถอดเขี้ยว หมดเรี่ยวแรง
ยามแถลง นอบน้อม พร้อมใจกาย
มงคลที่ 24 มีความสันโดษ
ความสันโดษ พอใจ ในสิ่งของ
เช่นเงินทอง ของตน แม้ล้นหลาย
เมื่อมีน้อย จ่ายน้อย ค่อยสบาย
ความจนหาย เลยลับ กลับมั่งมี
มงคลที่ 25 มีความกตัญญู
กตัญญู รู้บุญ คุณพ่อแม่
คนเฒ่าแก่ แลอาจารย์ ท่านทรงศีล
จอมมุนินทร์ ปิ่นเกล้า เจ้าธานี
หาวิธี แทนคุณ สมดุลกัน
มงคลที่ 26 การฟังธรรมตามกาล
การฟังธรรม ตามกาล ผ่านมาถึง
ควรคำนึง นิ่งนั่ง ฟังขยัน
ย่อมจะเกิด ปัญญา สารพัน
ตั้งใจมั่น ฟังดี นี่สมควร
มงคลที่ 27 มีความอดทน
ความอดทน ตรากตรำ ยามลำบาก
เจ็บไข้มาก ทนได้ ไม่โหยหวน
ถูกเขาด่า ให้ฟัง นั่งหน้านวล
ยิ้มเสสรวล ด้วยขันติ งามวิไล
มงคลที่ 28 เป็นผู้ว่าง่าย
ควรเป็นคน สอนง่าย ไม่ตายด้าน
ก่อรำคาญ ค่ำเช้า ไม่เข้าไหน
ไม่ซัดโทษ ของตน ให้คนใด
เมื่อมีใคร สอนพร่ำ ให้นำมา
มงคลที่ 29 การได้เห็นสมณะ
การพบเห็น สมณะ ผู้สงบ
แล้วนอบนบ ถามไถ่ ไตรสิกขา
หมั่นฝึกหัด ทุกวัน ด้วยปัญญา
ย่อมชักพา จิตตรง มงคลมี
มงคลที่ 30 การสนทนาธรรมตามกาล
ยามหดหู่ ฟุ้งซ่าน กาลสงสัย
เป็นสมัย ไต่ถาม ตามเหตุผล
เพื่อบรรเทา คลี่คลาย หายกังวล
ควรจะสน- ทนาธรรม ตามที่ควร
มงคลที่ 31 การบำเพ็ญตบะ
พึงบำเพ็ญ ตบะ ละกิเลส
อันเป็นเหตุ หักห้าม กามฉันท์
มุ่งทำลาย ถ่ายบาป สาบสูญพันธุ์
เข้าสู่ขั้น สุโข ฌาณโกลีย์
มงคลที่ 32 การประพฤติพรหมจรรย์
เร่งประพฤติ พรหมจรรย์ อันประเสริฐ์
เพื่อให้เกิด สุขล้วน โดยถ้วนถี่
ตั้งแต่ทาน ถึงสิกขา บรรดามี
สมบูรณ์ดี พรหมจรรย์ ย่อมมั่นคล
มงคลที่ 33 การเห็นอริยสัจ
การรู้เห็น ความจริง สิ่งเที่ยงแท้
ไม่ผันแปร สี่ชนิด ไม่ผิดหลง
ตัดตัณหา มูลราก พรากทุกข์ลง
เป็นการส่ง ข้ามฟาก จากสาคร
มงคลที่ 34 การทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน
ทำให้แจ้ง นิพพาน ผลาญสังโยชน์
ตรวจตราโทษ ธาตุ ขันธ์ หมั่นฝึกถอน
เอาอรหัต มรรคญาณ เผาราญรอน
ดับทุกข์ร้อน นิพพาน สำราญนัก
มงคลที่ 35 การมีจิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรม
ท่านผู้ใด ใจดำรง อยู่คงที่
ในเมื่อมี โลกธรรม ครอบงำหนัก
เช่น ลาภ ยศ สุข เศร้า เข้าง้างชัก
มิอาจยัก โยกท่าน ให้หวั่นใจ
มงคลที่ 36 การมีจิตไม่โศกเศร้า
คราวพลักพราก จากญาติ ขาดชีวิต
ถูกพิชิต จองจำ ทำโทษใหญ่
มีสติ คุมจิต เป็นนิตย์ไป
ไม่เสียใจ โศกเศร้า เฝ้าประคอง
มงคลที่ 37 มีจิตปราศจากกิเลส
หมดราคะ โทสะ โมหะแล้ว
จิตผ่องแผ้ว เลิศดี ไม่มีสอง
ย่อมมีค่า สูงจริง ยิ่งเงินทอง
เหมือนสูริย์ส่อง ท้องฟ้า สง่างาม
มงคลที่ 38 มีจิตเกษม
จิตเกษม เปรมปรีดิ์ ดีตลอด
เป็นจิตปลอด จากโอฆ ในโลกสาม
เครื่องผูกมัด สลัดหมด แสนงดงาม
เข้าถึงความ สุขสันต์ นิรันดร
โดย พระธรรมวิสุทธิกวี (พิจิตร ฐิตวณฺโณ)
วัดโสมนัสวิหาร กรุงเทพฯ
มงคลที่ 1.ไม่คบคนพาล
อย่าคบมิตร ที่พาล สันดานชั่ว
จะพาตัว เน่าดิบ จนฉิบหาย
แม้ความคิด ชั่วช้า อย่ากล้ำกราย
เป็นมิตรร้าย ภายใน ทุกข์ใจครัน
มงคลที่ 2.การคบบัณฑิต
ควรคบหา บัณฑิต เป็นมิตรไว้
จะช่วยให้ พ้นทุกข์ สบสุขสันต์
ความคิดดี เลิศล้ำ ยิ่งสำคัญ
ควรคบกัน อย่าเขว ทุกเวลา
มงคลที่ 3.การบูชาบุคคลที่ควรบูชา
ควรบูชา ไตรรัตน์ ขัตติเยศร์
ผู้วิเศษ ก่อเกื้อ เหนือเกศา
ครูอาจารย์ เจดีย์ ที่สักการ์
ด้วยบุปผา ปฏิบัติ สวัสดิ์การ
มงคลที่ 4.การอยู่ในถิ่นอันสมควร
เป็นเมืองกรุง ทุ่งนา หรือป่าใหญ่
ทางมา-ไป ครบครัน ธัญญาหาร
มีคนดี ที่ศึกษา พยาบาล
ปลอดภัยพาล ควรอยู่กิน ถิ่นนั้นแล
มงคลที่ 5.เคยทำบุญมาก่อน
กุศลบุญ คุณล้ำ เคยทำไว้
จะส่งให้ สวยเด่น เช่นดวงแข
ทั้งทรัพย์ยศ ไมตรี มีเย็นแด
เพราะกระแส บุญเลิศ ประเสริฐนัก
มงคลที่ 6 การตั้งตนชอบ
ต้องตั้งตน กายใจ ในทางถูก
เร่งฝังปลูก ตนไว้ ให้ถูกหลัก
เมื่อตัวตน ยังมี เป็นที่รัก
ควรพิทักษ์ ให้งาม ตามเวลา
มงคลที่ 7 ความเป็นพหูสูต
การสนใจ ใฝ่คว้า หาความรู้
ให้เป็นผู้ แก่เรียน เพียรศึกษา
มีศีลดี สติมั่น เกิดปัญญา
ย่อมนำพา ตัวรอด เป็นยอดดี
มงคลที่ 8 การรอบรู้ในศิลปะ
ศิลปะ ต่างอย่าง ทางอาชีพ
ควรเร่งรีบ เรียนรู้ ชูศักดิ์ศรี
มีบางคน จนอับ กลับมั่งมี
ฉลาดดี มีศิลป์ หากินพอ
มงคลที่ 9 มีวินัยที่ดี
อันวินัย นำระเบียบ สู่เรียบร้อย
คนใหญ่น้อย เปรมปรีดิ์ ดีนักหนา
วินัยสร้าง กระจ่างข้อ ก่อศรัทธา
เพราะรักษา กติกา พาร่วมมือ
ไม่พูดเท็จ พูดสอดเสียด และพูดมาก
ละความยาก สร้างวิบาก ฝากยึดถือ
คนหมู่มาก มักถางถาก ปากข่าวลือ
ต้องสัตย์ซื่อ ถือวินัย ใช้ร่วมกัน
มงคลที่ 10 กล่าววาจาอันเป็นสุภาษิต
เปล่งวจี สัจจะ นวลละม่อม
กล่าวเลลี้ยกล่อม ไพเราะ กาลเหมาะสม
เจือประโยชน์ เมตตา ค่านิยม
รื่นอารมณ์ ผู้ฟัง ดังเสียงทอง
มงคลที่ 11 การบำรุงบิดามารดา
คนที่หา ได้ยาก มากไฉน
เพราะว่าใน โลกนี้ มีเพียงสอง
คือพ่อแม่ เกิดเกล้า เหล่าลูกต้อง
ตอบสนอง พระคุณ ได้บุญแรง
มงคลที่ 12 การสงเคราะห์บุตร
เป็นมารดา บิดา ทำหน้าที่
ให้บุตรมี พำนัก เป็นหลักแหล่ง
ส่งเสริมบุตร ธิดาตน กุศลแรง
ย่อมส่องแสง เพิ่มพูน ตระกูลวงศ์
มงคลที่ 13.การสงเคราะห์ภรรยา
มีคู่ครอง ต้องไม่ทำ ให้ช้ำจิต
จะพาผิด ไปข้าง ทงผุยผง
ต้องสงเคราะห์ แก่กัน ให้มั่นคง
รักยืนยง ด้วยกัน ถึงวันตาย
มงคลที่ 14.ทำงานไม่คั่งค้าง
จะทำงาน การใด ตั้งใจมั่น
อย่าผัดวัน ทำเล่น เช้า เย็น สาย
ไม่ทิ้งคา อากูล มากมูลมาย
เร่งคลี่คลาย ให้เสร็จ สำเร็จการ
มงคลที่ 15.การให้ทาน
ควรบำเพ็ญ ซึ่งทาน คือการให้
ท่านว่าไว้ สวยงาม สามสถาน
หนึ่งให้ของ สองธรรมะ ขนะมาร
อภัยทาน ที่สาม งามเหลือเกิน
มงคลที่ 16.การประพฤติธรรม
การประพฤติ ตามธรรม คำพระสอน
ไม่เดือดร้อน ถอนทุกข์ ยามฉุกเฉิน
คนรักธรรม ธรรมรักษ์คน ผลเจริญ
นั่ง,ยืน,เดิน นอน,สุข ทุกข์ไม่มี
มงคลที่ 17.การสงเคราะห์ญาติ
เมื่อยามญาติ อัตคัด เกินขัดข้อง
ควรหาช่อง สงเคราะห์ ไม่เลาะหนี
เขาซาบซึ้ง ถึงคุณ อบอุ่นดี
หากถึงที เราจน ญาติสนใจ
มงคลที่ 18 ทำงานไม่มีโทษ
งานรับจ้าง ล้างชาม ก็ตามเถิด
หากไม่เกิด โทษทัณฑ์ นั่นสดใส
เมื่อได้ช่อง ต้องจำ กระทำไป
ได้กำไร ทุกทาง ไม่ว่างงาน
มงคลที่ 19 ละเว้นจากบาป
กรรมชั่วช้า ลามก ต้องยกเว้น
หากขืนเล่น ด้วยกัน ถูกมันผลาญ
งดเว้นบาป กำราบให้ ไกลสันดาน
ในดวงมาลย์ ไม่ร้อน และอ่อนเพลีย
มงคลที่ 20 สำรวมจากการดื่มน้ำเม
ของมึนเมา ทุกชนิด พิษคล้ายเหล้า
ใครเสพเข้า น่าตำหนิ สติเสีย
เกิดโรคร้าย แรงร้อน กายอ่อนเพลีย
ใครงดเสีย เป็นสุข ไปทุกวัน
มงคลที่ 21 ไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย
ไม่ประมาท คือมี สติพร้อม
คอยหน่วงน้อม ธรรมคุณ ไม่ผลุนผลัน
ธรรมอันใด ไม่ดี หลีกหนีพลัน
ธรรมดีนั้น ยึดแน่น ไม่แคลนคลอน
มงคลที่ 22 มีความเคารพ
ความเคารพ นับถือ คือเสน่ห์
ไม่โลเล เหมือนลิง วิ่งหลอกหลอน
ทั้งต่อหน้า ลับหลัง พึงสังวร
ย่อมงามงอน สวยสง่า ราคาแพง
มงคลที่ 23 มีความถ่อมตน
ไม่พองลม ก้มหัว เจียมตัวด้วย
มรรยาทสวย นิ่มนวล สิ้นส่วนแข็ง
เหมือนงูพิษ ถอดเขี้ยว หมดเรี่ยวแรง
ยามแถลง นอบน้อม พร้อมใจกาย
มงคลที่ 24 มีความสันโดษ
ความสันโดษ พอใจ ในสิ่งของ
เช่นเงินทอง ของตน แม้ล้นหลาย
เมื่อมีน้อย จ่ายน้อย ค่อยสบาย
ความจนหาย เลยลับ กลับมั่งมี
มงคลที่ 25 มีความกตัญญู
กตัญญู รู้บุญ คุณพ่อแม่
คนเฒ่าแก่ แลอาจารย์ ท่านทรงศีล
จอมมุนินทร์ ปิ่นเกล้า เจ้าธานี
หาวิธี แทนคุณ สมดุลกัน
มงคลที่ 26 การฟังธรรมตามกาล
การฟังธรรม ตามกาล ผ่านมาถึง
ควรคำนึง นิ่งนั่ง ฟังขยัน
ย่อมจะเกิด ปัญญา สารพัน
ตั้งใจมั่น ฟังดี นี่สมควร
มงคลที่ 27 มีความอดทน
ความอดทน ตรากตรำ ยามลำบาก
เจ็บไข้มาก ทนได้ ไม่โหยหวน
ถูกเขาด่า ให้ฟัง นั่งหน้านวล
ยิ้มเสสรวล ด้วยขันติ งามวิไล
มงคลที่ 28 เป็นผู้ว่าง่าย
ควรเป็นคน สอนง่าย ไม่ตายด้าน
ก่อรำคาญ ค่ำเช้า ไม่เข้าไหน
ไม่ซัดโทษ ของตน ให้คนใด
เมื่อมีใคร สอนพร่ำ ให้นำมา
มงคลที่ 29 การได้เห็นสมณะ
การพบเห็น สมณะ ผู้สงบ
แล้วนอบนบ ถามไถ่ ไตรสิกขา
หมั่นฝึกหัด ทุกวัน ด้วยปัญญา
ย่อมชักพา จิตตรง มงคลมี
มงคลที่ 30 การสนทนาธรรมตามกาล
ยามหดหู่ ฟุ้งซ่าน กาลสงสัย
เป็นสมัย ไต่ถาม ตามเหตุผล
เพื่อบรรเทา คลี่คลาย หายกังวล
ควรจะสน- ทนาธรรม ตามที่ควร
มงคลที่ 31 การบำเพ็ญตบะ
พึงบำเพ็ญ ตบะ ละกิเลส
อันเป็นเหตุ หักห้าม กามฉันท์
มุ่งทำลาย ถ่ายบาป สาบสูญพันธุ์
เข้าสู่ขั้น สุโข ฌาณโกลีย์
มงคลที่ 32 การประพฤติพรหมจรรย์
เร่งประพฤติ พรหมจรรย์ อันประเสริฐ์
เพื่อให้เกิด สุขล้วน โดยถ้วนถี่
ตั้งแต่ทาน ถึงสิกขา บรรดามี
สมบูรณ์ดี พรหมจรรย์ ย่อมมั่นคล
มงคลที่ 33 การเห็นอริยสัจ
การรู้เห็น ความจริง สิ่งเที่ยงแท้
ไม่ผันแปร สี่ชนิด ไม่ผิดหลง
ตัดตัณหา มูลราก พรากทุกข์ลง
เป็นการส่ง ข้ามฟาก จากสาคร
มงคลที่ 34 การทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน
ทำให้แจ้ง นิพพาน ผลาญสังโยชน์
ตรวจตราโทษ ธาตุ ขันธ์ หมั่นฝึกถอน
เอาอรหัต มรรคญาณ เผาราญรอน
ดับทุกข์ร้อน นิพพาน สำราญนัก
มงคลที่ 35 การมีจิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรม
ท่านผู้ใด ใจดำรง อยู่คงที่
ในเมื่อมี โลกธรรม ครอบงำหนัก
เช่น ลาภ ยศ สุข เศร้า เข้าง้างชัก
มิอาจยัก โยกท่าน ให้หวั่นใจ
มงคลที่ 36 การมีจิตไม่โศกเศร้า
คราวพลักพราก จากญาติ ขาดชีวิต
ถูกพิชิต จองจำ ทำโทษใหญ่
มีสติ คุมจิต เป็นนิตย์ไป
ไม่เสียใจ โศกเศร้า เฝ้าประคอง
มงคลที่ 37 มีจิตปราศจากกิเลส
หมดราคะ โทสะ โมหะแล้ว
จิตผ่องแผ้ว เลิศดี ไม่มีสอง
ย่อมมีค่า สูงจริง ยิ่งเงินทอง
เหมือนสูริย์ส่อง ท้องฟ้า สง่างาม
มงคลที่ 38 มีจิตเกษม
จิตเกษม เปรมปรีดิ์ ดีตลอด
เป็นจิตปลอด จากโอฆ ในโลกสาม
เครื่องผูกมัด สลัดหมด แสนงดงาม
เข้าถึงความ สุขสันต์ นิรันดร
*สังคมไทยจะแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมได้สำเร็จเพื่อหลีกเลี่ยงการล่มสลายในอนาคต อันเนื่องมาจากหายนภัยของโลกร้อนได้หรือไม่?
ไม่มีใครอยู่เหนือวิถีธรรมชาติได้หรอก หากชาวโลกยังคงยึดอัตตาแห่งตนเป็นที่ตั้งในการสัมพันธ์กับธรรมชาติ และการพัฒนาเศรษฐกิจที่ตกอยู่ในวังวนของวัตถุนิยม และบริโภคนิยมอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ปลายทางของเส้นทางแห่งอัตตานี้ ย่อมเป็นหายนะอย่างไม่ต้องสงสัย หากชาวโลกไม่สามารถหวนคืนกลับสู่วิถีที่ปรองดองกับธรรมชาติได้ ธรรมชาติก็ต้องเอาคืนด้วยการปรับตัวอย่างรุนแรง เพื่อสร้างสมดุลใหม่อีกครั้ง เพราะเราจะต้องไม่ลืมสัจธรรมที่ว่า ฟ้านั้นอยู่ค้ำคน แต่คนมิได้อยู่ค้ำฟ้า!
หากชาวโลกปรับตัวล่าช้าในการกลับมาเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติอีกครั้ง การเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงโดยพลังของธรรมชาติ จะทำให้สังคมมนุษย์หลังจากนั้นไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป ลองคิดดูให้ดี ฟ้าให้ธรรมชาติแก่มนุษย์มา ฟ้าประทานต้นไม้ทุกต้นให้แก่มนุษย์ โดยมีความหลากหลายเชิงพืชพรรณอย่างนับจำนวนไม่ถ้วน ฟ้าให้ต้นไม้มาเพื่อเป็นต้นแบบของการให้ สำหรับให้มนุษย์ได้เรียนรู้ความจริงจากธรรมชาติ ธรรมชาตินั้นสอนมนุษย์อยู่ตลอดเวลา แต่มนุษย์เคยเรียนรู้อะไรจากธรรมชาติบ้างเล่า?
ต้นไม้ไม่เคยอิจฉาริษยากัน ต้นไม้ไม่เคยแก่งแย่งสถานที่กัน มีแต่เกื้อกูลกัน ต้นไม้แต่ละต้นต่างทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องทำอวดใคร ต้นไม้ทุกต้นล้วนทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุดเป็นประโยชน์สูงสุดให้สรรพสิ่งก็เพียงพอแล้วโดยไม่สนใจในสายตาผู้อื่นเลยว่าจะเห็น “ความดี” ของตนหรือไม่
ธรรมชาติคือผู้ให้ที่แท้จริง มนุษย์ต่างหาก เคยคิดให้อะไรแก่ธรรมชาติบ้างหรือไม่? เคยรู้สึกสำนึกขอบคุณธรรมชาติ ขอบคุณอากาศ ขอบคุณน้ำ ขอบคุณดิน ขอบคุณต้นไม้ทุกต้น ขอบคุณสัตว์ทุกชนิด ขอบคุณทุกสรรพสิ่งที่โอบอุ้มชีวิตของพวกตนเสมอมาบ้างหรือไม่?
ขุนเขา แผ่นดินเป็นที่รองรับการเหยียบย่ำของผู้คนมาชั่วกาลนาน แต่มันก็มิเคยเอ่ยปากขอร้องคำสรรเสริญยกย่อง ชื่นชมจากผู้คนที่ตักตวงผลประโยชน์จากมัน
ทะเล มหาสมุทรเป็นที่รองรับของขยะ สิ่งโสโครกปฏิกูลทั้งปวงจากชาวโลกมานมนาน แต่มันก็มิเคยพร่ำบ่นน้อยใจ และติเตียนเหล่ามนุษย์ผู้อกตัญญูทั้งหลายนี้
ดวงอาทิตย์ให้แสงสว่าง ความอบอุ่นแก่สรรพชีวิตมาโดยอย่างเท่าเทียมกัน แต่มันก็มิเคยเอ่ยปากขอสิ่งตอบแทนจากเหล่าสรรพชีวิตทั้งหลายเลย
ด้วยเหตุนี้ ทั้งขุนเขา แผ่นดิน ทะเล มหาสมุทร และดวงอาทิตย์จึงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เคารพสักการะของผู้คนผู้มีหัวใจดีงาม อันเนื่องมาจากคุณสมบัติแห่ง “ความยิ่งใหญ่ด้วยจิตใจอันเสียสละอย่างไม่มีเงื่อนไข” นี้นั่นเอง
โลกนี้มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างสรรพสิ่งต่างๆ ในลักษณะของการเกื้อกูลกันและกัน โลกไม่ได้เกิดมาเพียงเพื่อมนุษย์เท่านั้น โลกไม่ได้เป็นของมนุษย์เพียงผู้เดียว แต่โลกคือ รูปธรรมแห่งวิถีของธรรมชาติผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ที่สร้างสรรพสิ่งให้เกื้อกูลกันเรื่อยมา
“คลื่นซัดฝั่งทราย ฟองฟ่องขาวกระจาย ประกายสีเงินนวลตา เมฆขาวลอยมา ท้องฟ้าชวนมอง ไม่มีใครเป็นเจ้าของ เสรีภาพตามครรลอง ผู้ครอง คือ ฟ้าดิน”
โลกทัศน์ที่มองว่า โลกต้องรับใช้มนุษย์ อัตตาที่ยึดติดว่าโลกใบนี้เกิดมาเพื่อมนุษย์เท่านั้น รังแต่จะสร้างปัญหาให้แก่สังคมโดยรวม เพราะมุมมองดังกล่าวเป็นการมองอย่างแยกส่วนต่อโลก การที่ผู้คนจำนวนมากบนโลกใบนี้กำลังต่อสู้แข่งขันกันเองตั้งแต่เกิดไปจนตาย ด้วยระดับความดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มุมมองของผู้คนในยุคปัจจุบันยึดติดแน่นกับอัตตาหรือ “ตัวกูของกู” มากจนมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งรอบข้างในลักษณะที่เห็นแก่ตัว และมุ่งตอบสนองต่ออัตตามากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งนำไปสู่วิกฤตต่างๆ ขึ้นมากมายอย่างที่เราเห็น
ชีวิตนี้ความจริงแล้วมีมุมมองที่มากกว่าวัตถุด้านเดียว เพราะยังมีมุมมองเชิงจิตวิญญาณ มุมมองเชิงสังคม มุมมองของสำนึกต่อส่วนรวม และโลกดำรงอยู่ด้วย การมีมุมมองต่อชีวิตอย่างบูรณาการเช่นนี้ได้ จึงเป็นก้าวสำคัญที่จะนำพาตัวเรากลับคืน และปรองดองกับวิถีธรรมชาติได้อีกครั้ง
จงอย่าลืมว่า การที่มนุษย์มีวิวัฒนาการขึ้นมาบนดวงดาวดวงนี้ได้ โลกใบนี้ของเราต้องผ่านการวิวัฒนาการมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งอย่างยาวนานกว่าที่จักรวาลจะสร้างโลกที่เหมาะสม และเอื้อต่อการดำรงอยู่ของมนุษย์อย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้ องค์ความรู้ใหม่ๆ ทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับวิวัฒนาการของโลก และจักรวาล รวมทั้งกลไกการสร้างสรรค์ของธรรมชาติ ทำให้เราจะต้องสำนึกขอบคุณเกือบทุกๆ สิ่งที่ช่วยสร้างภาวะที่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตให้แก่มนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นสาหร่าย ดวงจันทร์ แพลงก์ตอน แนวปะการัง เม็ดทราย ชายหาด จุลินทรีย์ สัตว์ต่างๆ ฝน น้ำ อากาศ บรรยากาศ ฯลฯ
คำขอบคุณมากมายนับไม่ถ้วนที่เราต้องขอบคุณการสร้างสรรค์ของธรรมชาติเพื่อการดำรงอยู่ของเรา และเพื่อให้เราเรียนรู้วิถีการดำรงอยู่อย่างปรองดองร่วมกับธรรมชาติในหนทางที่สร้างสรรค์อารยธรรมของตนให้พัฒนากลมกลืน และสอดคล้องไปกับสมดุลของสรรพสิ่ง และการพึ่งพาช่วยเหลือเกื้อกูลกันระหว่างสรรพสิ่ง
ธรรมชาติคือครูผู้ยิ่งใหญ่ ผู้สอนให้เราเห็นถึงความหมายของกลางวัน และกลางคืน ความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ และความอ่อนโยนของดวงจันทร์ ความหมายของการว่ายเวียนเปลี่ยนผันของฤดูกาล พลังแห่งการกำเนิดชีวิตของทะเล ความหนักแน่นของขุนเขา ความไม่รู้หลับของเกลียวคลื่น สายธารที่ไหลมาบรรจบเป็นแม่น้ำที่หวนคืนสู่ทะเล ความรู้สึกที่ไร้กังวลของเมฆที่ลอยล่อง สิ่งเหล่านี้ธรรมชาติได้สอนเราอยู่เสมอว่า มนุษย์เราควรจะมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆ เยี่ยงไร
“หยาดน้ำค้างหยดเดียวสะท้อนโลกทั้งใบ แสงจันทร์อำไพกระจ่างอยู่ในใจข้า”
การที่ดวงจันทร์บนท้องฟ้าทั้งดวงมาสงบนิ่งอยู่ในหยดน้ำค้างบนใบหญ้าเพียงหยดเดียว สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันของธรรมชาติภายนอกกับธรรมชาติภายในตัวเรา แต่บัดนี้มนุษย์โลกกำลังทำลายความสมดุลเหล่านั้นเพียงเพื่อจะนำธรรมชาติมาขับเคลื่อนรับใช้อารยธรรมทางวัตถุของตน ด้วยความบ้าคลั่งแห่งอัตตาของมนุษย์ เรากำลังทรยศต่อธรรมชาติผู้เป็นครูผู้ยิ่งใหญ่ของเราอย่างขาดสำนึกผิดชอบชั่วดี
“ฟ้าอยู่ในคน ฤาคนอยู่ในฟ้า ใต้หล้าหนึ่งฟ้า ใจข้าหนึ่งเดียว”
เราจะต้องรู้จักปล่อยวางอย่างสิ้นเชิง สลายตัวตนทั้งผู้รู้ และสิ่งที่ถูกรู้ มีแต่การ “รู้” อย่างบริสุทธิ์ล้วนๆ เท่านั้น ทุกอย่างหลอมรวมเป็นหนึ่งเข้ากับความจริงของธรรมชาติ ทั้งตัวเราและสิ่งรอบข้างกลายเป็นหนึ่งเดียว เราเป็นหนึ่งเดียวกับทุกสิ่ง หากเรามีจิตกระจ่างที่จะมองทะลุซึ้งความวุ่นวายของระบบจนแลเห็นความเป็นหนึ่งเดียวของสรรพสิ่ง เราจะไม่เคยโดดเดี่ยวเพราะความโดดเดี่ยวถูกสร้างขึ้นมาจากอัตตาของเราเอง เพื่อแบ่งแยกจากสิ่งอื่น อัตตาเดียวกันนี้แหละที่ทำให้เราหันคมดาบใส่ผู้อื่น ก่อให้เกิดสงครามทุกรูปแบบ และสร้างความโลภที่ไม่สิ้นสุดขึ้นมา
“ใจสบายคือใจเซน ใจเย็นเพราะใจเบา ใจเราคือใจเขา ใจไม่เอาคือใจจริง”
ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่คนส่วนใหญ่บนโลกใบนี้ ควรหันมาทบทวนวิถีของตัวเอง เพื่อหวนคืนกลับมาอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างเกื้อกูลกันอีกครั้ง ถึงเวลาแล้วหรือยังที่คนส่วนใหญ่ควรหันมายอมรับกันตรงๆ ว่า ที่ผ่านมา พวกตน “หลงทาง” เพราะไม่คำนึงถึงสิ่งใดนอกจากการสะสมความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ โดยละเลยเรื่องอื่นๆ อย่างทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศ และจิตวิญญาณ โดยเห็นว่ามีความสำคัญน้อยกว่ามาก
“สันโดษในริมธาร วิเวกในพงไพร กระจ่างใจในท้องฟ้า เจิดจ้าในแสงตะวัน”
...ฉันนั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ริมคลอง ขณะที่ฝนกำลังตกพรำๆ เมื่อจิตกับกายของฉันรวมเป็นหนึ่ง ฉันก็ใช้พลังแห่งจิตนาการของฉันค่อยๆ สลายโครงกระดูก และร่างกายส่วนอื่นๆ ของฉัน จนตัวฉันกลายเป็น “หยดน้ำ” ที่ค่อยๆ ไหลซึมลงไปในแผ่นดินใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ที่ฉันกำลังบำเพ็ญสมาธิอยู่ “หยดน้ำ” นี้ค่อยๆ ไหลลงสู่ลำคลอง กลายเป็นหยดน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาที่กำลังไหลลงสู่ทะเลอ่าวไทย
สายลมได้พัดพาหยดน้ำนั้นให้ไหลขึ้นเริงร่าอยู่บนยอดคลื่น ภายหลังจากที่ลมสงบลง ทะเลใหญ่คืนสู่ความนิ่งงันราวกับผืนกระจก “หยดน้ำ” นี้ก็ค่อยๆ ดำดิ่งลงไปสู่พื้นมหาสมุทรที่ลึกล้ำที่สุดราวกับอยู่ที่หว่างกลาง “ใจน้ำ” ของท้องมหาสมุทรนั้น
หากชาวโลกปรับตัวล่าช้าในการกลับมาเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติอีกครั้ง การเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงโดยพลังของธรรมชาติ จะทำให้สังคมมนุษย์หลังจากนั้นไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป ลองคิดดูให้ดี ฟ้าให้ธรรมชาติแก่มนุษย์มา ฟ้าประทานต้นไม้ทุกต้นให้แก่มนุษย์ โดยมีความหลากหลายเชิงพืชพรรณอย่างนับจำนวนไม่ถ้วน ฟ้าให้ต้นไม้มาเพื่อเป็นต้นแบบของการให้ สำหรับให้มนุษย์ได้เรียนรู้ความจริงจากธรรมชาติ ธรรมชาตินั้นสอนมนุษย์อยู่ตลอดเวลา แต่มนุษย์เคยเรียนรู้อะไรจากธรรมชาติบ้างเล่า?
ต้นไม้ไม่เคยอิจฉาริษยากัน ต้นไม้ไม่เคยแก่งแย่งสถานที่กัน มีแต่เกื้อกูลกัน ต้นไม้แต่ละต้นต่างทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องทำอวดใคร ต้นไม้ทุกต้นล้วนทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุดเป็นประโยชน์สูงสุดให้สรรพสิ่งก็เพียงพอแล้วโดยไม่สนใจในสายตาผู้อื่นเลยว่าจะเห็น “ความดี” ของตนหรือไม่
ธรรมชาติคือผู้ให้ที่แท้จริง มนุษย์ต่างหาก เคยคิดให้อะไรแก่ธรรมชาติบ้างหรือไม่? เคยรู้สึกสำนึกขอบคุณธรรมชาติ ขอบคุณอากาศ ขอบคุณน้ำ ขอบคุณดิน ขอบคุณต้นไม้ทุกต้น ขอบคุณสัตว์ทุกชนิด ขอบคุณทุกสรรพสิ่งที่โอบอุ้มชีวิตของพวกตนเสมอมาบ้างหรือไม่?
ขุนเขา แผ่นดินเป็นที่รองรับการเหยียบย่ำของผู้คนมาชั่วกาลนาน แต่มันก็มิเคยเอ่ยปากขอร้องคำสรรเสริญยกย่อง ชื่นชมจากผู้คนที่ตักตวงผลประโยชน์จากมัน
ทะเล มหาสมุทรเป็นที่รองรับของขยะ สิ่งโสโครกปฏิกูลทั้งปวงจากชาวโลกมานมนาน แต่มันก็มิเคยพร่ำบ่นน้อยใจ และติเตียนเหล่ามนุษย์ผู้อกตัญญูทั้งหลายนี้
ดวงอาทิตย์ให้แสงสว่าง ความอบอุ่นแก่สรรพชีวิตมาโดยอย่างเท่าเทียมกัน แต่มันก็มิเคยเอ่ยปากขอสิ่งตอบแทนจากเหล่าสรรพชีวิตทั้งหลายเลย
ด้วยเหตุนี้ ทั้งขุนเขา แผ่นดิน ทะเล มหาสมุทร และดวงอาทิตย์จึงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เคารพสักการะของผู้คนผู้มีหัวใจดีงาม อันเนื่องมาจากคุณสมบัติแห่ง “ความยิ่งใหญ่ด้วยจิตใจอันเสียสละอย่างไม่มีเงื่อนไข” นี้นั่นเอง
โลกนี้มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างสรรพสิ่งต่างๆ ในลักษณะของการเกื้อกูลกันและกัน โลกไม่ได้เกิดมาเพียงเพื่อมนุษย์เท่านั้น โลกไม่ได้เป็นของมนุษย์เพียงผู้เดียว แต่โลกคือ รูปธรรมแห่งวิถีของธรรมชาติผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ที่สร้างสรรพสิ่งให้เกื้อกูลกันเรื่อยมา
“คลื่นซัดฝั่งทราย ฟองฟ่องขาวกระจาย ประกายสีเงินนวลตา เมฆขาวลอยมา ท้องฟ้าชวนมอง ไม่มีใครเป็นเจ้าของ เสรีภาพตามครรลอง ผู้ครอง คือ ฟ้าดิน”
โลกทัศน์ที่มองว่า โลกต้องรับใช้มนุษย์ อัตตาที่ยึดติดว่าโลกใบนี้เกิดมาเพื่อมนุษย์เท่านั้น รังแต่จะสร้างปัญหาให้แก่สังคมโดยรวม เพราะมุมมองดังกล่าวเป็นการมองอย่างแยกส่วนต่อโลก การที่ผู้คนจำนวนมากบนโลกใบนี้กำลังต่อสู้แข่งขันกันเองตั้งแต่เกิดไปจนตาย ด้วยระดับความดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มุมมองของผู้คนในยุคปัจจุบันยึดติดแน่นกับอัตตาหรือ “ตัวกูของกู” มากจนมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งรอบข้างในลักษณะที่เห็นแก่ตัว และมุ่งตอบสนองต่ออัตตามากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งนำไปสู่วิกฤตต่างๆ ขึ้นมากมายอย่างที่เราเห็น
ชีวิตนี้ความจริงแล้วมีมุมมองที่มากกว่าวัตถุด้านเดียว เพราะยังมีมุมมองเชิงจิตวิญญาณ มุมมองเชิงสังคม มุมมองของสำนึกต่อส่วนรวม และโลกดำรงอยู่ด้วย การมีมุมมองต่อชีวิตอย่างบูรณาการเช่นนี้ได้ จึงเป็นก้าวสำคัญที่จะนำพาตัวเรากลับคืน และปรองดองกับวิถีธรรมชาติได้อีกครั้ง
จงอย่าลืมว่า การที่มนุษย์มีวิวัฒนาการขึ้นมาบนดวงดาวดวงนี้ได้ โลกใบนี้ของเราต้องผ่านการวิวัฒนาการมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งอย่างยาวนานกว่าที่จักรวาลจะสร้างโลกที่เหมาะสม และเอื้อต่อการดำรงอยู่ของมนุษย์อย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้ องค์ความรู้ใหม่ๆ ทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับวิวัฒนาการของโลก และจักรวาล รวมทั้งกลไกการสร้างสรรค์ของธรรมชาติ ทำให้เราจะต้องสำนึกขอบคุณเกือบทุกๆ สิ่งที่ช่วยสร้างภาวะที่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตให้แก่มนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นสาหร่าย ดวงจันทร์ แพลงก์ตอน แนวปะการัง เม็ดทราย ชายหาด จุลินทรีย์ สัตว์ต่างๆ ฝน น้ำ อากาศ บรรยากาศ ฯลฯ
คำขอบคุณมากมายนับไม่ถ้วนที่เราต้องขอบคุณการสร้างสรรค์ของธรรมชาติเพื่อการดำรงอยู่ของเรา และเพื่อให้เราเรียนรู้วิถีการดำรงอยู่อย่างปรองดองร่วมกับธรรมชาติในหนทางที่สร้างสรรค์อารยธรรมของตนให้พัฒนากลมกลืน และสอดคล้องไปกับสมดุลของสรรพสิ่ง และการพึ่งพาช่วยเหลือเกื้อกูลกันระหว่างสรรพสิ่ง
ธรรมชาติคือครูผู้ยิ่งใหญ่ ผู้สอนให้เราเห็นถึงความหมายของกลางวัน และกลางคืน ความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ และความอ่อนโยนของดวงจันทร์ ความหมายของการว่ายเวียนเปลี่ยนผันของฤดูกาล พลังแห่งการกำเนิดชีวิตของทะเล ความหนักแน่นของขุนเขา ความไม่รู้หลับของเกลียวคลื่น สายธารที่ไหลมาบรรจบเป็นแม่น้ำที่หวนคืนสู่ทะเล ความรู้สึกที่ไร้กังวลของเมฆที่ลอยล่อง สิ่งเหล่านี้ธรรมชาติได้สอนเราอยู่เสมอว่า มนุษย์เราควรจะมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆ เยี่ยงไร
“หยาดน้ำค้างหยดเดียวสะท้อนโลกทั้งใบ แสงจันทร์อำไพกระจ่างอยู่ในใจข้า”
การที่ดวงจันทร์บนท้องฟ้าทั้งดวงมาสงบนิ่งอยู่ในหยดน้ำค้างบนใบหญ้าเพียงหยดเดียว สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันของธรรมชาติภายนอกกับธรรมชาติภายในตัวเรา แต่บัดนี้มนุษย์โลกกำลังทำลายความสมดุลเหล่านั้นเพียงเพื่อจะนำธรรมชาติมาขับเคลื่อนรับใช้อารยธรรมทางวัตถุของตน ด้วยความบ้าคลั่งแห่งอัตตาของมนุษย์ เรากำลังทรยศต่อธรรมชาติผู้เป็นครูผู้ยิ่งใหญ่ของเราอย่างขาดสำนึกผิดชอบชั่วดี
“ฟ้าอยู่ในคน ฤาคนอยู่ในฟ้า ใต้หล้าหนึ่งฟ้า ใจข้าหนึ่งเดียว”
เราจะต้องรู้จักปล่อยวางอย่างสิ้นเชิง สลายตัวตนทั้งผู้รู้ และสิ่งที่ถูกรู้ มีแต่การ “รู้” อย่างบริสุทธิ์ล้วนๆ เท่านั้น ทุกอย่างหลอมรวมเป็นหนึ่งเข้ากับความจริงของธรรมชาติ ทั้งตัวเราและสิ่งรอบข้างกลายเป็นหนึ่งเดียว เราเป็นหนึ่งเดียวกับทุกสิ่ง หากเรามีจิตกระจ่างที่จะมองทะลุซึ้งความวุ่นวายของระบบจนแลเห็นความเป็นหนึ่งเดียวของสรรพสิ่ง เราจะไม่เคยโดดเดี่ยวเพราะความโดดเดี่ยวถูกสร้างขึ้นมาจากอัตตาของเราเอง เพื่อแบ่งแยกจากสิ่งอื่น อัตตาเดียวกันนี้แหละที่ทำให้เราหันคมดาบใส่ผู้อื่น ก่อให้เกิดสงครามทุกรูปแบบ และสร้างความโลภที่ไม่สิ้นสุดขึ้นมา
“ใจสบายคือใจเซน ใจเย็นเพราะใจเบา ใจเราคือใจเขา ใจไม่เอาคือใจจริง”
ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่คนส่วนใหญ่บนโลกใบนี้ ควรหันมาทบทวนวิถีของตัวเอง เพื่อหวนคืนกลับมาอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างเกื้อกูลกันอีกครั้ง ถึงเวลาแล้วหรือยังที่คนส่วนใหญ่ควรหันมายอมรับกันตรงๆ ว่า ที่ผ่านมา พวกตน “หลงทาง” เพราะไม่คำนึงถึงสิ่งใดนอกจากการสะสมความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ โดยละเลยเรื่องอื่นๆ อย่างทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศ และจิตวิญญาณ โดยเห็นว่ามีความสำคัญน้อยกว่ามาก
“สันโดษในริมธาร วิเวกในพงไพร กระจ่างใจในท้องฟ้า เจิดจ้าในแสงตะวัน”
...ฉันนั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ริมคลอง ขณะที่ฝนกำลังตกพรำๆ เมื่อจิตกับกายของฉันรวมเป็นหนึ่ง ฉันก็ใช้พลังแห่งจิตนาการของฉันค่อยๆ สลายโครงกระดูก และร่างกายส่วนอื่นๆ ของฉัน จนตัวฉันกลายเป็น “หยดน้ำ” ที่ค่อยๆ ไหลซึมลงไปในแผ่นดินใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ที่ฉันกำลังบำเพ็ญสมาธิอยู่ “หยดน้ำ” นี้ค่อยๆ ไหลลงสู่ลำคลอง กลายเป็นหยดน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาที่กำลังไหลลงสู่ทะเลอ่าวไทย
สายลมได้พัดพาหยดน้ำนั้นให้ไหลขึ้นเริงร่าอยู่บนยอดคลื่น ภายหลังจากที่ลมสงบลง ทะเลใหญ่คืนสู่ความนิ่งงันราวกับผืนกระจก “หยดน้ำ” นี้ก็ค่อยๆ ดำดิ่งลงไปสู่พื้นมหาสมุทรที่ลึกล้ำที่สุดราวกับอยู่ที่หว่างกลาง “ใจน้ำ” ของท้องมหาสมุทรนั้น
มีสติเท่าทันความโกรธ
ท่านพุทธทาสได้กล่าวอยู่เสมอว่า ในการเรียนธรรมะ จะมีคำที่เป็นคำเดียวกันแต่คนละความหมาย เป็นความหมายในภาษาคนทั่วไปพูดกัน กับความหมายในทางธรรมะ
คำว่า สติ นี่ก็เหมือนกัน เราพูดคำว่าสติกัน มักจะกว้างไปถึง ยังมีสติอยู่ คือยังไม่หลับหรือสลบไป หรือพูดในความหมายว่า มีสติอยู่ก็คือยังไม่บ้า แต่ในทางธรรมนั้น บางทีทำงานอยู่ คิดอยู่ แต่ไม่มีสติก็มี คือไม่ระลึกขึ้นมา ไม่ตระหนักชัด ไม่รู้สึกตัว
ดังนั้น เวลาที่เราโกรธ แน่นอนว่า อารมณ์ของคนเรานั้นพุ่งเร็ว บางคนแถมมีหางเครื่องพ่วงมายาว เช่น โกรธปุ๊บ ไม่เพียงแต่ไม่รู้ว่าตัวโกรธ ยังมือไวหยิบข้าวของเหวี่ยงไปเลยก็มี อารมณ์เร็วขนาดนี้ สติที่ไหนจะไล่จับทัน เป่านกหวีดแล้วก็ยังไม่หยุดวิ่งเลยเชียว
พอเป็นอย่างนี้แล้ว อะไรต่อมิอะไรก็จะตามมายาว พร้อมด้วยเรื่องร้อนร้อยแปด ทั้งคำพูดจา การตัดสินใจ การกระทบกระทั่งไปจนถึงกระแทก
ดังนั้น สิ่งที่ต้องฝึกฝนในประการนี้ก็คือฝึกตั้งสตินั่นเอง ให้ระลึกรู้ตัว ว่าเรากำลังเป็นอะไร ใหม่ ๆก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นอะไรใจเย็น ๆ ฝึกไปเรื่อย ๆ หลังจากเล่นซ่อนหากันสักระยะหนึ่งแล้วเราจะพบว่าหาสติเจอในที่สุด
เมื่อเจอแล้วต่อไปพอเรากำลังโกรธ โกร้ธ โกรธ อยู่ฉับพลันทันใดนั้น มันก็จะแว๊บมายืนตรงหน้า บอกให้เรามีสติ
เราจะรู้สึกตัวว่า เอ๊ะ ! นี่เรากำลังโกรธอยู่นี่ พอนึกได้อย่างนี้อะไร ๆ แถว ๆนั้น ที่ครอบครองบรรยากาศอยู่ทั้งมวลก็จะเปลี่ยนไปเหมือนมีคนมายกกาน้ำที่กำลังเดือดลงจากเตา เปิดฝาให้ไอน้ำร้อนพุ่งออกมาตามสบาย แล้วหย่อนน้ำแข็งลงไป เราจะเริ่มเป็นคนที่พูดจารู้เรื่องขึ้น ทำให้คนอื่นพูดรู้เรื่องตามไปด้วย หรืออย่างน้อย ก็มีสติพอที่จะขอพักขอเวลานอก แยกย้ายกันไปสงบสติอารมณ์ แล้วค่อยกลับมาคุยกันใหม่ ในบรรยากาศดี ๆ ก็ทำให้ปัญหาต่าง ๆ คลี่คลายหรือตกลงกันได้ ในแนวทางที่ไม่มีความโกรธเข้ามาเอี่ยวด้วย
คำว่า สติ นี่ก็เหมือนกัน เราพูดคำว่าสติกัน มักจะกว้างไปถึง ยังมีสติอยู่ คือยังไม่หลับหรือสลบไป หรือพูดในความหมายว่า มีสติอยู่ก็คือยังไม่บ้า แต่ในทางธรรมนั้น บางทีทำงานอยู่ คิดอยู่ แต่ไม่มีสติก็มี คือไม่ระลึกขึ้นมา ไม่ตระหนักชัด ไม่รู้สึกตัว
ดังนั้น เวลาที่เราโกรธ แน่นอนว่า อารมณ์ของคนเรานั้นพุ่งเร็ว บางคนแถมมีหางเครื่องพ่วงมายาว เช่น โกรธปุ๊บ ไม่เพียงแต่ไม่รู้ว่าตัวโกรธ ยังมือไวหยิบข้าวของเหวี่ยงไปเลยก็มี อารมณ์เร็วขนาดนี้ สติที่ไหนจะไล่จับทัน เป่านกหวีดแล้วก็ยังไม่หยุดวิ่งเลยเชียว
พอเป็นอย่างนี้แล้ว อะไรต่อมิอะไรก็จะตามมายาว พร้อมด้วยเรื่องร้อนร้อยแปด ทั้งคำพูดจา การตัดสินใจ การกระทบกระทั่งไปจนถึงกระแทก
ดังนั้น สิ่งที่ต้องฝึกฝนในประการนี้ก็คือฝึกตั้งสตินั่นเอง ให้ระลึกรู้ตัว ว่าเรากำลังเป็นอะไร ใหม่ ๆก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นอะไรใจเย็น ๆ ฝึกไปเรื่อย ๆ หลังจากเล่นซ่อนหากันสักระยะหนึ่งแล้วเราจะพบว่าหาสติเจอในที่สุด
เมื่อเจอแล้วต่อไปพอเรากำลังโกรธ โกร้ธ โกรธ อยู่ฉับพลันทันใดนั้น มันก็จะแว๊บมายืนตรงหน้า บอกให้เรามีสติ
เราจะรู้สึกตัวว่า เอ๊ะ ! นี่เรากำลังโกรธอยู่นี่ พอนึกได้อย่างนี้อะไร ๆ แถว ๆนั้น ที่ครอบครองบรรยากาศอยู่ทั้งมวลก็จะเปลี่ยนไปเหมือนมีคนมายกกาน้ำที่กำลังเดือดลงจากเตา เปิดฝาให้ไอน้ำร้อนพุ่งออกมาตามสบาย แล้วหย่อนน้ำแข็งลงไป เราจะเริ่มเป็นคนที่พูดจารู้เรื่องขึ้น ทำให้คนอื่นพูดรู้เรื่องตามไปด้วย หรืออย่างน้อย ก็มีสติพอที่จะขอพักขอเวลานอก แยกย้ายกันไปสงบสติอารมณ์ แล้วค่อยกลับมาคุยกันใหม่ ในบรรยากาศดี ๆ ก็ทำให้ปัญหาต่าง ๆ คลี่คลายหรือตกลงกันได้ ในแนวทางที่ไม่มีความโกรธเข้ามาเอี่ยวด้วย
เปิดหลังปก ถกถึงแก่น! กับ3นักเขียนสาววัยใส
"นักเขียน" เป็นอาชีพที่ใครหลายคนฟันธงว่า "ไส้แห้ง" ตลอดกาล หลายคนมีฝีมือทางขีดๆเขียนๆอยู่บ้างพอตัวแต่กลัวอด จึงไม่หาญกล้ามากพอที่จะยึดการเขียนเป็นอาชีพสักเท่าไหร่ ในขณะที่คนอื่นๆทั่วไปอาจมุ่งเรียนแพทย์ เภสัช หรือวิศวะฯ แต่เด็กกลุ่มหนึ่งกลับเลือกที่จะเดินเข้ามาในเส้นทางของการเป็นนักเขียนทั้งที่ยังเรียนอยู่ด้วยซ้ำ
โดยเฉพาะงานเขียนประเภทนิยายแนวรักโรแมนติกที่กำลังมาแรงและครองตลาดหนังสือวัยรุ่นอยู่ในขณะนี้ แน่นอนว่านิยายรักๆมีออกมาเดือนละหลายเล่ม นั่นหมายถึงนักเขียนหน้าใหม่ก็ต้องมีมากขึ้นด้วย และเป็นการต้อนรับสัปดาห์หนังสือที่กำลังจะมาถึง ไลฟ์ ออน แคมปัส อาสาพาไปรู้จักนักเขียนหน้าใหม่ที่โด่งดังจนมีแฟนคลับเป็นของตัวเอง ของ 3 สาววัยใสที่พวกเธอกระซิบว่าการเป็นนักเขียนที่ดี ก็เริ่มจากการเป็นนักอ่านที่ดีทั้งนั้น
สาวเหนืออย่าง "ซิน" อรุโณทัย วรรณถาวรหรือกุหลาบน้ำเงิน นักศึกษาชั้นปีที่ 3 สาขาสื่อใหม่(New media) คณะการสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก้าวสู่การเป็นนักเขียนของสถาพรบุ๊คส์ จากการฟังเพลงและดูตัวอย่างภาพยนตร์ เธอเล่าว่า เริ่มแต่งนิยายมาตั้งแต่ป.5 เมื่อฟังเพลงหรือดูตัวอย่างหนัง ทำให้เกิดจินตนาการตามเพลงที่ฟังบวกกับชอบอ่านนิทานและนิยายอยู่แล้วเป็นทุนเดิม ก็นึกสนุกจึงนำมาแต่งเป็นนิยาย
"สมัยนั้นชอบอ่านจินตนิยายของพนมเทียน อย่างจุฬาตรีคูณ เพราะเรื่องราวมันเกิดจากจินตนาการล้วนๆ แต่นักเขียนเขาเล่าเรื่องจนเห็นภาพ มันน่าติดตามและสนุก และยังใช้สำนวนภาษาที่สวยงาม โดยเฉพาะเรื่องจุฬาตรีคูณหลงรักมากๆเลยค่ะ อ่านมา 5 รอบแล้ว ชอบเนื้อเรื่อง ชอบภาษา และคาแรกเตอร์ของตัวละครที่มีเสน่ห์ ทำให้เกิดแรงบันดาลใจอยากแต่งนิยายได้เก่งๆบ้าง"
ซินบอกอีกว่า ถ้าอยากเป็นนักเขียน ก็ต้องเป็นนักอ่านมาก่อน เพราะการอ่านหนังสือมากๆจะทำให้เรารู้พล็อตเรื่อง รู้ศัพท์ต่างๆ เลือกใช้คำเป็น รู้จักวางโครงเรื่องและคาแรกเตอร์ของตัวละคร รวมถึงการบรรยายฉากต่างๆ ก็ได้เรียนรู้ว่าต้องบรรยายอย่างไร ซึ่งเป็นเหมือนการเก็บความรู้จากการอ่านโดยต้องอ่านให้ได้ทุกแนว เพื่อเก็บความรู้ให้ได้หลากหลายที่สุด
"เคยจดเป็นลิสมาค่ะว่าการบรรยายฉากแบบนี้ต้องเขียนยังไง ใช้คำแบบไหน มันทำให้เห็นแนวทางว่าเราอยากเขียนแนวไหน คือก็อ่านมาทุกแนว ศึกษาการเขียนทุกแนวค่ะ ไม่ชอบปิดกั้นความคิดตัวเอง แต่ส่วนตัวชื่นชอบแนวโรแมนติกเพราะ เราเขียนแล้วมันไหลลื่น เล่นภาษาได้เรื่อยๆ คือเรื่องความรักมันมีหลายแบบ หลายแง่มุมมากๆ เล่นได้ไม่รู้จบ แล้วยิ่งเป็นรักโรแมนติกมันก็เป็นความฝันของหญิงสาวทุกคนที่อยากมีความรักที่สวยงาม ก็เขียนออกมาได้ดี"
สาวเหนือวัยใส แย้มให้ฟังอีกว่า เทรนของนิยายสมัยนี้นักเขียนชอบแต่งตามกระแส หากช่วงนั้นๆกระแสเรื่องไหนดีก็จะเขียนผลงานแนวนั้นออกมาเยอะจนล้นตลาด เช่น แนวแฟนตาซีโรงเรียนเวทมนต์ หรือแนวรักวัยรุ่นหวานแหววสไตล์เกาหลี และล่าสุดมีกระแสของนิยายแนวเกมออนไลน์ที่คนเล่นเกมจะหลุดเข้าไปในเกมนั้น แล้วไปเจอเหตุการณ์ต่างๆในเกม ต้องสู้กับด่านอุปสรรคต่างๆให้ผ่านแต่ละเลเวลไปเรื่อยๆ เป็นต้น
"รู้สึกว่าปัจจุบันตลาดต้อนรับนักเขียนหน้าใหม่มากขึ้น สำนักพิมพ์เองก็เปิดรับมากขึ้น ตอนนี้ คิดว่าวงการไม่ซบเซานะคะ ถ้าจะเขียนนิยายแนวนี้บวกกับการตลาดดีก็ขายได้ เพราะคนอ่านก็เยอะกว่าเดิม แต่ปัญหาคือตอนนี้หนังสือล้นตลาด นักเขียนหน้าใหม่เกิดขึ้นมาเยอะมาก บางคนเขียนตามกระแสอย่างเดียว น่าจะต้องคัดกรองตรงนี้ด้วย และเห็นว่าหนังสือในไทยอยู่ได้ไม่นานเพราะเกาะกระแสตามตลาด พอเวลาผ่านไปคนอ่านเริ่มเบื่อ กลายเป็นว่าสำนักพิมพ์ยัดเยียดให้คนอ่าน ทำให้นักเขียนต้องผลักดันตัวเองเยอะ วิธีแก้น่าจะอยู่ที่นักเขียนรู้จักสร้างตัวตนของตัวเองขึ้นมามีจรรยาบรรณและความคิดสร้างสรรค์ที่มากขึ้น"
ซินเล่าอีกว่า เธอชอบการเป็นนักเขียน เพราะมีความสุขสามารถเป็นงานอดิเรกหรือทำเป็นอาชีพก็ได้ หากเป็นไปได้ก็อยากยึดการเขียนเป็นอาชีพอย่างเดียว เพราะการได้ทำในสิ่งที่รักและชื่นชอบจริงๆ จะทำให้งานนั้นออกมาได้ดีกว่า หากต้องทิ้งสิ่งที่ชอบไปทำงานอย่างอื่น หรือถัดไปเป็นเรื่องรองก็เป็นสิ่งที่น่าเสียดาย อย่างไรก็แล้วแต่ เธอมองว่าการทำงานใดๆก็ต้องอาศัยความอดทน ความพยายาม และความมุ่งมั่นทั้งนั้น
"ยุคปัจจุบันก็ต้องยอมรับว่าในชีวิตจริงเราก็อยากทำงานในสาขาที่เราเรียนมา ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันมันบังคับด้วย ถ้ายึดเป็นอาชีพหลักก็รู้สึกว่ามันไม่มั่นคงเท่าไหร่ ตอนที่ไปเรียนด้านการเขียนเพิ่มเติมที่สถาพรบุ๊คส์ อาจารย์ก็บอกว่าอย่าเป็นนักเขียนอย่างเดียว ต้องมีอาชีพหลัก เพราะในไทยเองก็ยังไม่ให้การสนับสนุนด้านการเขียนนิยายเหล่านี้มากนัก นักเขียนไทยก็ยังไส้แห้งอยู่ดี หนูก็คิดว่าอยากทำควบคู่กันไปทั้ง 2 อย่าง เรื่องล่าสุดที่เขียนอยู่คือ ปริศนาเงากุหลาบค่ะ"
ด้าน "ลูกชุบ" ชลธิชา บุญรัตนพิทักษ์ นักศึกษาชั้นปีที่ 1 สาขาการตลาด สถาบันRaffles International College Bangkok Thailand ซึ่งใช้นามปากกาชื่อเดียวกันกับชื่อเล่นของเธอเอง เธอเห็นว่า สมัยนี้วงการวรรณกรรมเปิดกว้างให้นักเขียนหน้าใหม่มากขึ้น เธอเริ่มการเป็นนักเขียนโดยการแต่งนิยายลงอินเตอร์เนต ซึ่งช่วงนั้นนิยายที่กำลังเป็นกระแสอยู่คือแนวแฟนตาซีมีออกมาเยอะมาก แต่ส่วนตัวชอบแนวรักโรแมนติกจึงอยากเขียนแนวนี้ออกสู่สายตาคนอ่าน
"เริ่มแต่งนิยายเองอายุ 12-13 ปี มันเกิดจากว่าเราอ่านนิยายหลายๆเรื่องแล้วไม่ถูกใจ ก็เลยเริ่มแต่งเอง แต่เราเขียนแนวรักโรแมนติกเพราะมันใกล้ตัวกว่า มีความถนัดมากกว่า ตอนนี้ก็เขียนมาก็ประมาณ 25-26 เรื่อง ซึ่งเรื่องล่าสุด คือ Sin Story เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับความรู้จักผิดชอบชั่วดีของคนเราค่ะ โดยส่วนตัวคิดว่างานเขียนสมัยนี้มีมาตรฐานแตกต่างกัน บางสำนักพิมพ์ก็ไม่ระวังในการกระจายสื่อ อย่างเอานิยายที่ติดเรทมากๆมาขายให้เด็กๆอ่าน และบ้านเราก็ยังไม่มีการจัดเรทหนังสือ ปัจจุบันมีแบบนี้เยอะมาก ก็คิดว่าควรระมัดระวังเรื่องนี้มากขึ้นค่ะ"
สาวอินเตอร์ยังแสดงความเห็นอีกว่า นิสัยรักการอ่านของเธอช่วยเรื่องการแต่งนิยายได้มาก เพราะเธอเชื่อว่าถ้าได้อ่านนิยายของใคร ก็เหมือนได้เข้าไปในโลกของคนเขียนด้วย ตัวตนของเขาถูกถ่ายทอดลงในงานเขียน บางทีก็ได้มุมมองใหม่ๆที่เรานึกไม่ถึง ทำให้เราไม่ยึดติดกับความคิดอย่างใดอย่างหนึ่งมากเกินไป เหมือนเป็นการเพิ่มความรู้ได้รับรู้มุมใหม่ๆจากการอ่านงานเขียนของคนอื่น
"ก็อ่านเยอะค่ะ ส่วนตัวแล้วไม่จำกัดแนว เปิดกว้างมากๆ เวลาเขียนก็เปลี่ยนเทคนิคไปเรื่อยๆ ใส่มุมมองใหม่ๆเข้าไป การอ่านเยอะมันมีส่วนช่วยในการพัฒนาผลงานและวิธีการเขียนของเราได้ ก็อยากแนะนำนักเขียนหน้าใหม่ที่เพิ่งเริ่มเข้าวงการว่าให้เป็นตัวของตัวเองดีกว่า ยอมรับว่า ณ จุดๆหนึ่งเราก็อยากขายได้ ก็เข้าใจว่าต้องเขียนตามกระแสบ้าง แต่ว่าไม่อยากให้หลุดจากความเป็นตัวเอง ยังไงสุดท้ายแล้วเราก็ต้องเขียนให้เป็นตัวเราเองค่ะ"
ลูกชุบมองถึงอนาคตในแวดวงนักเขียนว่า ตอนนี้นักเขียนหน้าใหม่เกิดบ่อย แต่จะอยู่ได้นานหรือไม่ก็อยู่ที่การพัฒนาตัวเองของแต่ละคน ส่วนนิยายแนวรักหวานแหวว เธอคิดว่าสามารถเติบโตไปได้ไกลกว่านี้และต้องมีคุณภาพมากกว่านี้ ซึ่งนิยายแนวนี้มีมาประมาณ 5-7 ปีแล้ว มันก็เริ่มเติบโตมาเรื่อยๆ เป็นเพราะสำนักพิมพ์และผู้ใหญ่เปิดกว้าง และให้พื้นที่กับนักเขียนหน้าใหม่เพิ่มมากขึ้นด้วย
มาดูมุมมองของลูกแม่โดมกันบ้าง "อาย" กานตริน ลีละหุต นักศึกษาชั้นปีที่1 สาขาวารสารศาสตร์ ภาคอินเตอร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เจ้าของนามปากกา "เจ้าหญิงผู้เลอโฉม" เล่าว่า เธอเดินสู่เส้นทางนักเขียนโดยมีจุดเริ่มต้นที่การชอบอ่านหนังสือมาก่อนเหมือนคนอื่นๆ แต่เมื่ออ่านไปสักพักก็เริ่มอยากเขียนเองบ้าง
"พออ่านเยอะมันก็เกิอยากเขียนขึ้นมา ตอนแรกก็เขียนลงเวปก่อน ช่วงแรกอ่านแฮร์รี่ พอตเตอร์ จากนั้นก็อ่านอย่างอื่นด้วย หลายๆแนว แต่มีโอกาสมาเขียนนิยายรักเพราะ ช่วงนั้นสำนักพิมพ์แจ่มใสกำลังดังในหมวดนิยายที่เป็นรักโรแมนติก ก็มีนิยายแปลของเกาหลีเข้ามาด้วย เพื่อนๆที่โรงเรียนอ่านกันเยอะมากตอนนั้น เราก็รู้สึกว่าแนวนี้มันเข้ากับเราดี ก็เลยลองเขียนแนวรักโรแมนติกดูค่ะ แต่งานเขียนของเราออกแนวสืบสวนสอบสวน ชอบเขียนเรื่องที่หักมุม ตื่นเต้น น่าสนใจ อยากให้คนอ่านไม่เบื่อ"
อายเล่าต่อว่า เนื่องจากเป็นคนรักการอ่านมัน ทำให้ได้เทคนิคต่างๆมาช่วยในการเขียนนิยายได้เยอะมาก เมื่ออ่านมาเยอะก็มีความรู้เยอะ ได้เรียนรู้ทักษะการเขียนจากหนังสือหลายๆเล่มที่อ่าน ได้เห็นทักษะการบรรยายฉากของนักเขียนท่านอื่นๆ เราก็เรียนรู้ว่าต้องใช้สำนวนแบบไหนจึงจะดีที่สุด ได้เรียนรู้ว่าจะต้องบรรยายอย่างไรให้ฉากดูสมจริง บรรยายสีหน้าตัวละครอย่างไรให้เห็นภาพ
อายเสริมอีกว่า วงการนักเขียนบ้านเราตอนนี้เปิดกว้างมากขึ้น เด็กๆอ่านนิยายกันมากขึ้น แม้ว่าจะเป็นนิยายแนวรักหวานแหวว ก็ยังมีคนติดตามอยู่ ตอนนี้นิยายแนวนี้ก็พัฒนาขึ้นไปเยอะ ทั้งแนวเรื่อง ทั้งเนื้อหาใหม่ๆ ก็มีการแทรกอะไรใหม่ๆเข้ามา ส่วนตัวก็เอาแนวสืบสวนเข้ามาอยากให้มันแหวกแนวออกไปบ้างจะได้ไม่เหมือนใคร ส่วนฟีดแบคก็ถือว่าดีเพราะมีแฟนคลับมากขึ้น
"อาชีพนักเขียนสามารถทำเป็นอาชีพหลักได้ ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน แต่ส่วนตัวแล้วอยากทำงานอื่นควบคู่ไปด้วย แต่ไม่ทิ้งการเขียนแน่นอน เพราะเป็นสิ่งที่ชอบมาก และยังจะทำต่อไปเรื่อยๆ ในอนาคตก็คิดว่าอาจมีนักเขียนใหม่ๆเกิดขึ้นมาเป็นแสนๆคน เพราะการเป็นนักเขียนสมัยนี้เหมือนเป็นเซเลบในสังคม และทำให้วัยรุ่นหันมาอ่านนิยายกันเยอะ และไม่ว่าจะอ่านหนังสืออะไรก็ให้ความรู้ได้ทั้งนั้น จึงรู้สึกดีที่เด็กไทยอ่านหนังสือกันมากขึ้นค่ะ" อายกล่าวทิ้งท้าย
โดยเฉพาะงานเขียนประเภทนิยายแนวรักโรแมนติกที่กำลังมาแรงและครองตลาดหนังสือวัยรุ่นอยู่ในขณะนี้ แน่นอนว่านิยายรักๆมีออกมาเดือนละหลายเล่ม นั่นหมายถึงนักเขียนหน้าใหม่ก็ต้องมีมากขึ้นด้วย และเป็นการต้อนรับสัปดาห์หนังสือที่กำลังจะมาถึง ไลฟ์ ออน แคมปัส อาสาพาไปรู้จักนักเขียนหน้าใหม่ที่โด่งดังจนมีแฟนคลับเป็นของตัวเอง ของ 3 สาววัยใสที่พวกเธอกระซิบว่าการเป็นนักเขียนที่ดี ก็เริ่มจากการเป็นนักอ่านที่ดีทั้งนั้น
สาวเหนืออย่าง "ซิน" อรุโณทัย วรรณถาวรหรือกุหลาบน้ำเงิน นักศึกษาชั้นปีที่ 3 สาขาสื่อใหม่(New media) คณะการสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก้าวสู่การเป็นนักเขียนของสถาพรบุ๊คส์ จากการฟังเพลงและดูตัวอย่างภาพยนตร์ เธอเล่าว่า เริ่มแต่งนิยายมาตั้งแต่ป.5 เมื่อฟังเพลงหรือดูตัวอย่างหนัง ทำให้เกิดจินตนาการตามเพลงที่ฟังบวกกับชอบอ่านนิทานและนิยายอยู่แล้วเป็นทุนเดิม ก็นึกสนุกจึงนำมาแต่งเป็นนิยาย
"สมัยนั้นชอบอ่านจินตนิยายของพนมเทียน อย่างจุฬาตรีคูณ เพราะเรื่องราวมันเกิดจากจินตนาการล้วนๆ แต่นักเขียนเขาเล่าเรื่องจนเห็นภาพ มันน่าติดตามและสนุก และยังใช้สำนวนภาษาที่สวยงาม โดยเฉพาะเรื่องจุฬาตรีคูณหลงรักมากๆเลยค่ะ อ่านมา 5 รอบแล้ว ชอบเนื้อเรื่อง ชอบภาษา และคาแรกเตอร์ของตัวละครที่มีเสน่ห์ ทำให้เกิดแรงบันดาลใจอยากแต่งนิยายได้เก่งๆบ้าง"
ซินบอกอีกว่า ถ้าอยากเป็นนักเขียน ก็ต้องเป็นนักอ่านมาก่อน เพราะการอ่านหนังสือมากๆจะทำให้เรารู้พล็อตเรื่อง รู้ศัพท์ต่างๆ เลือกใช้คำเป็น รู้จักวางโครงเรื่องและคาแรกเตอร์ของตัวละคร รวมถึงการบรรยายฉากต่างๆ ก็ได้เรียนรู้ว่าต้องบรรยายอย่างไร ซึ่งเป็นเหมือนการเก็บความรู้จากการอ่านโดยต้องอ่านให้ได้ทุกแนว เพื่อเก็บความรู้ให้ได้หลากหลายที่สุด
"เคยจดเป็นลิสมาค่ะว่าการบรรยายฉากแบบนี้ต้องเขียนยังไง ใช้คำแบบไหน มันทำให้เห็นแนวทางว่าเราอยากเขียนแนวไหน คือก็อ่านมาทุกแนว ศึกษาการเขียนทุกแนวค่ะ ไม่ชอบปิดกั้นความคิดตัวเอง แต่ส่วนตัวชื่นชอบแนวโรแมนติกเพราะ เราเขียนแล้วมันไหลลื่น เล่นภาษาได้เรื่อยๆ คือเรื่องความรักมันมีหลายแบบ หลายแง่มุมมากๆ เล่นได้ไม่รู้จบ แล้วยิ่งเป็นรักโรแมนติกมันก็เป็นความฝันของหญิงสาวทุกคนที่อยากมีความรักที่สวยงาม ก็เขียนออกมาได้ดี"
สาวเหนือวัยใส แย้มให้ฟังอีกว่า เทรนของนิยายสมัยนี้นักเขียนชอบแต่งตามกระแส หากช่วงนั้นๆกระแสเรื่องไหนดีก็จะเขียนผลงานแนวนั้นออกมาเยอะจนล้นตลาด เช่น แนวแฟนตาซีโรงเรียนเวทมนต์ หรือแนวรักวัยรุ่นหวานแหววสไตล์เกาหลี และล่าสุดมีกระแสของนิยายแนวเกมออนไลน์ที่คนเล่นเกมจะหลุดเข้าไปในเกมนั้น แล้วไปเจอเหตุการณ์ต่างๆในเกม ต้องสู้กับด่านอุปสรรคต่างๆให้ผ่านแต่ละเลเวลไปเรื่อยๆ เป็นต้น
"รู้สึกว่าปัจจุบันตลาดต้อนรับนักเขียนหน้าใหม่มากขึ้น สำนักพิมพ์เองก็เปิดรับมากขึ้น ตอนนี้ คิดว่าวงการไม่ซบเซานะคะ ถ้าจะเขียนนิยายแนวนี้บวกกับการตลาดดีก็ขายได้ เพราะคนอ่านก็เยอะกว่าเดิม แต่ปัญหาคือตอนนี้หนังสือล้นตลาด นักเขียนหน้าใหม่เกิดขึ้นมาเยอะมาก บางคนเขียนตามกระแสอย่างเดียว น่าจะต้องคัดกรองตรงนี้ด้วย และเห็นว่าหนังสือในไทยอยู่ได้ไม่นานเพราะเกาะกระแสตามตลาด พอเวลาผ่านไปคนอ่านเริ่มเบื่อ กลายเป็นว่าสำนักพิมพ์ยัดเยียดให้คนอ่าน ทำให้นักเขียนต้องผลักดันตัวเองเยอะ วิธีแก้น่าจะอยู่ที่นักเขียนรู้จักสร้างตัวตนของตัวเองขึ้นมามีจรรยาบรรณและความคิดสร้างสรรค์ที่มากขึ้น"
ซินเล่าอีกว่า เธอชอบการเป็นนักเขียน เพราะมีความสุขสามารถเป็นงานอดิเรกหรือทำเป็นอาชีพก็ได้ หากเป็นไปได้ก็อยากยึดการเขียนเป็นอาชีพอย่างเดียว เพราะการได้ทำในสิ่งที่รักและชื่นชอบจริงๆ จะทำให้งานนั้นออกมาได้ดีกว่า หากต้องทิ้งสิ่งที่ชอบไปทำงานอย่างอื่น หรือถัดไปเป็นเรื่องรองก็เป็นสิ่งที่น่าเสียดาย อย่างไรก็แล้วแต่ เธอมองว่าการทำงานใดๆก็ต้องอาศัยความอดทน ความพยายาม และความมุ่งมั่นทั้งนั้น
"ยุคปัจจุบันก็ต้องยอมรับว่าในชีวิตจริงเราก็อยากทำงานในสาขาที่เราเรียนมา ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันมันบังคับด้วย ถ้ายึดเป็นอาชีพหลักก็รู้สึกว่ามันไม่มั่นคงเท่าไหร่ ตอนที่ไปเรียนด้านการเขียนเพิ่มเติมที่สถาพรบุ๊คส์ อาจารย์ก็บอกว่าอย่าเป็นนักเขียนอย่างเดียว ต้องมีอาชีพหลัก เพราะในไทยเองก็ยังไม่ให้การสนับสนุนด้านการเขียนนิยายเหล่านี้มากนัก นักเขียนไทยก็ยังไส้แห้งอยู่ดี หนูก็คิดว่าอยากทำควบคู่กันไปทั้ง 2 อย่าง เรื่องล่าสุดที่เขียนอยู่คือ ปริศนาเงากุหลาบค่ะ"
ด้าน "ลูกชุบ" ชลธิชา บุญรัตนพิทักษ์ นักศึกษาชั้นปีที่ 1 สาขาการตลาด สถาบันRaffles International College Bangkok Thailand ซึ่งใช้นามปากกาชื่อเดียวกันกับชื่อเล่นของเธอเอง เธอเห็นว่า สมัยนี้วงการวรรณกรรมเปิดกว้างให้นักเขียนหน้าใหม่มากขึ้น เธอเริ่มการเป็นนักเขียนโดยการแต่งนิยายลงอินเตอร์เนต ซึ่งช่วงนั้นนิยายที่กำลังเป็นกระแสอยู่คือแนวแฟนตาซีมีออกมาเยอะมาก แต่ส่วนตัวชอบแนวรักโรแมนติกจึงอยากเขียนแนวนี้ออกสู่สายตาคนอ่าน
"เริ่มแต่งนิยายเองอายุ 12-13 ปี มันเกิดจากว่าเราอ่านนิยายหลายๆเรื่องแล้วไม่ถูกใจ ก็เลยเริ่มแต่งเอง แต่เราเขียนแนวรักโรแมนติกเพราะมันใกล้ตัวกว่า มีความถนัดมากกว่า ตอนนี้ก็เขียนมาก็ประมาณ 25-26 เรื่อง ซึ่งเรื่องล่าสุด คือ Sin Story เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับความรู้จักผิดชอบชั่วดีของคนเราค่ะ โดยส่วนตัวคิดว่างานเขียนสมัยนี้มีมาตรฐานแตกต่างกัน บางสำนักพิมพ์ก็ไม่ระวังในการกระจายสื่อ อย่างเอานิยายที่ติดเรทมากๆมาขายให้เด็กๆอ่าน และบ้านเราก็ยังไม่มีการจัดเรทหนังสือ ปัจจุบันมีแบบนี้เยอะมาก ก็คิดว่าควรระมัดระวังเรื่องนี้มากขึ้นค่ะ"
สาวอินเตอร์ยังแสดงความเห็นอีกว่า นิสัยรักการอ่านของเธอช่วยเรื่องการแต่งนิยายได้มาก เพราะเธอเชื่อว่าถ้าได้อ่านนิยายของใคร ก็เหมือนได้เข้าไปในโลกของคนเขียนด้วย ตัวตนของเขาถูกถ่ายทอดลงในงานเขียน บางทีก็ได้มุมมองใหม่ๆที่เรานึกไม่ถึง ทำให้เราไม่ยึดติดกับความคิดอย่างใดอย่างหนึ่งมากเกินไป เหมือนเป็นการเพิ่มความรู้ได้รับรู้มุมใหม่ๆจากการอ่านงานเขียนของคนอื่น
"ก็อ่านเยอะค่ะ ส่วนตัวแล้วไม่จำกัดแนว เปิดกว้างมากๆ เวลาเขียนก็เปลี่ยนเทคนิคไปเรื่อยๆ ใส่มุมมองใหม่ๆเข้าไป การอ่านเยอะมันมีส่วนช่วยในการพัฒนาผลงานและวิธีการเขียนของเราได้ ก็อยากแนะนำนักเขียนหน้าใหม่ที่เพิ่งเริ่มเข้าวงการว่าให้เป็นตัวของตัวเองดีกว่า ยอมรับว่า ณ จุดๆหนึ่งเราก็อยากขายได้ ก็เข้าใจว่าต้องเขียนตามกระแสบ้าง แต่ว่าไม่อยากให้หลุดจากความเป็นตัวเอง ยังไงสุดท้ายแล้วเราก็ต้องเขียนให้เป็นตัวเราเองค่ะ"
ลูกชุบมองถึงอนาคตในแวดวงนักเขียนว่า ตอนนี้นักเขียนหน้าใหม่เกิดบ่อย แต่จะอยู่ได้นานหรือไม่ก็อยู่ที่การพัฒนาตัวเองของแต่ละคน ส่วนนิยายแนวรักหวานแหวว เธอคิดว่าสามารถเติบโตไปได้ไกลกว่านี้และต้องมีคุณภาพมากกว่านี้ ซึ่งนิยายแนวนี้มีมาประมาณ 5-7 ปีแล้ว มันก็เริ่มเติบโตมาเรื่อยๆ เป็นเพราะสำนักพิมพ์และผู้ใหญ่เปิดกว้าง และให้พื้นที่กับนักเขียนหน้าใหม่เพิ่มมากขึ้นด้วย
มาดูมุมมองของลูกแม่โดมกันบ้าง "อาย" กานตริน ลีละหุต นักศึกษาชั้นปีที่1 สาขาวารสารศาสตร์ ภาคอินเตอร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เจ้าของนามปากกา "เจ้าหญิงผู้เลอโฉม" เล่าว่า เธอเดินสู่เส้นทางนักเขียนโดยมีจุดเริ่มต้นที่การชอบอ่านหนังสือมาก่อนเหมือนคนอื่นๆ แต่เมื่ออ่านไปสักพักก็เริ่มอยากเขียนเองบ้าง
"พออ่านเยอะมันก็เกิอยากเขียนขึ้นมา ตอนแรกก็เขียนลงเวปก่อน ช่วงแรกอ่านแฮร์รี่ พอตเตอร์ จากนั้นก็อ่านอย่างอื่นด้วย หลายๆแนว แต่มีโอกาสมาเขียนนิยายรักเพราะ ช่วงนั้นสำนักพิมพ์แจ่มใสกำลังดังในหมวดนิยายที่เป็นรักโรแมนติก ก็มีนิยายแปลของเกาหลีเข้ามาด้วย เพื่อนๆที่โรงเรียนอ่านกันเยอะมากตอนนั้น เราก็รู้สึกว่าแนวนี้มันเข้ากับเราดี ก็เลยลองเขียนแนวรักโรแมนติกดูค่ะ แต่งานเขียนของเราออกแนวสืบสวนสอบสวน ชอบเขียนเรื่องที่หักมุม ตื่นเต้น น่าสนใจ อยากให้คนอ่านไม่เบื่อ"
อายเล่าต่อว่า เนื่องจากเป็นคนรักการอ่านมัน ทำให้ได้เทคนิคต่างๆมาช่วยในการเขียนนิยายได้เยอะมาก เมื่ออ่านมาเยอะก็มีความรู้เยอะ ได้เรียนรู้ทักษะการเขียนจากหนังสือหลายๆเล่มที่อ่าน ได้เห็นทักษะการบรรยายฉากของนักเขียนท่านอื่นๆ เราก็เรียนรู้ว่าต้องใช้สำนวนแบบไหนจึงจะดีที่สุด ได้เรียนรู้ว่าจะต้องบรรยายอย่างไรให้ฉากดูสมจริง บรรยายสีหน้าตัวละครอย่างไรให้เห็นภาพ
อายเสริมอีกว่า วงการนักเขียนบ้านเราตอนนี้เปิดกว้างมากขึ้น เด็กๆอ่านนิยายกันมากขึ้น แม้ว่าจะเป็นนิยายแนวรักหวานแหวว ก็ยังมีคนติดตามอยู่ ตอนนี้นิยายแนวนี้ก็พัฒนาขึ้นไปเยอะ ทั้งแนวเรื่อง ทั้งเนื้อหาใหม่ๆ ก็มีการแทรกอะไรใหม่ๆเข้ามา ส่วนตัวก็เอาแนวสืบสวนเข้ามาอยากให้มันแหวกแนวออกไปบ้างจะได้ไม่เหมือนใคร ส่วนฟีดแบคก็ถือว่าดีเพราะมีแฟนคลับมากขึ้น
"อาชีพนักเขียนสามารถทำเป็นอาชีพหลักได้ ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน แต่ส่วนตัวแล้วอยากทำงานอื่นควบคู่ไปด้วย แต่ไม่ทิ้งการเขียนแน่นอน เพราะเป็นสิ่งที่ชอบมาก และยังจะทำต่อไปเรื่อยๆ ในอนาคตก็คิดว่าอาจมีนักเขียนใหม่ๆเกิดขึ้นมาเป็นแสนๆคน เพราะการเป็นนักเขียนสมัยนี้เหมือนเป็นเซเลบในสังคม และทำให้วัยรุ่นหันมาอ่านนิยายกันเยอะ และไม่ว่าจะอ่านหนังสืออะไรก็ให้ความรู้ได้ทั้งนั้น จึงรู้สึกดีที่เด็กไทยอ่านหนังสือกันมากขึ้นค่ะ" อายกล่าวทิ้งท้าย
สดุดึ “ย่าโม” วีรสตรีแห่งโคราช
ท้าวสุรนารี หรือ คุณหญิงโม หรือ ย่าโม ตาม ตำนานระบุว่าเป็นชาวเมืองนครราชสีมาแต่กำเนิด เกิดเมื่อปีเถาะ พ.ศ.2314 ในแผ่นดินของพระเจ้าตากสินมหาราช สมัยกรุงธนบุรี เมื่อเติบโตขึ้น ก็ได้สมรสกับนายทองคำ ซึ่งต่อมาได้เลื่อนบรรดาศักดิ์ขึ้นมาจนกระทั่งเป็นพระยาสุริยเดช คุณหญิงโมจึงได้เป็น คุณหญิง ตามตำแหน่งของสามี
ในช่วงสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เกิดกบฏเจ้า อนุวงศ์ขึ้น ด้วยเหตุที่ เจ้าอนุวงศ์ เจ้าผู้ครองนครเวียงจันทน์ ต้องการที่จะยกทัพเข้ามาตีกรุงเทพฯ โดยระหว่างทางที่ยกทัพมานั้น เจ้าอนุวงศ์ก็จะเกลี้ยกล่อมให้บรรดาหัวเมืองต่างๆ เข้าร่วม หากเจ้าเมืองใดขัดขืนก็ให้ฆ่าทิ้งเสีย ราษฎรและเจ้าเมืองต่างๆ พากันกลัวอำนาจจึงยอมเข้าร่วมด้วยหลายเมือง
จนเมื่อมีกำลังมากพอแล้วก็ยกกองทัพมาพร้อมกันที่เมืองนครราชสีมา ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่เจ้าเมืองนครราชสีมาไม่อยู่ ไปราชการที่ต่างเมือง เจ้าอนุวงศ์จึงสั่งให้ผู้ที่ดูแลเมืองอยู่ในขณะนั้น กวาดต้อนครัวเรือนชาวนครราชสีมาไปยังเวียงจันทน์ ซึ่งรวมถึงคุณหญิงโมด้วย ทางด้านพระยาสุริยเดช สามีของคุณหญิงโม ที่เดินทางไปราชการพร้อมกับเจ้าเมืองพอทราบข่าว ก็ได้กลับมาช่วยครอบครัวและชาวเมือง
คุณหญิงโมนั้นได้ช่วยวางแผนขบคิดกับผู้นำฝ่ายชาย และได้ควบคุมกำลังฝ่ายผู้หญิงช่วยหนุนการสู้รบอย่างองอาจกล้าหาญ โดยการออกอุบายขอมีด ขวาน ปืน ไว้เพื่อใช้หาเสบียงมาประทังชีวิตระหว่างเดินทาง จัดหญิงสาวให้แม่ทัพนายกอง และมอมเหล้าจนเมามาย จากนั้นก็ทำการต่อสู่ด้วยอาวุธที่เก็บรวบรวมไว้
แม้จะมีอาวุธอยู่เพียงน้อยนิด แต่ด้วยความสามัคคีและความมุ่งมั่น ชาวเมืองนครราชสีมาก็สามารถที่จะรบชนะกองทัพของเจ้าอนุวงศ์ได้ ทำให้เจ้าอนุวงศ์ต้องถอยทัพกลับไป วีรกรรมของคุณหญิงโมในครั้งนี้ ได้ทราบถึงพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานบำเหน็จความชอบ แต่งตั้งขึ้นเป็น ท้าวสุรนารี
และเพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อท้าวสุรนารี หรือ ย่าโม ทางจังหวัดนครราชสีมา ได้ร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานนครราชสีมา จัดงาน “งานฉลองวันแห่งชัยชนะของท้าวสุรนารี” หรือ “งานย่าโม” ขึ้นในระหว่างวันที่ 23 มีนาคม - 3 เมษายน ของทุกปี
เนื่องมาจากใน วันที่ 23 มีนาคม 2369 เป็นวันที่เจ้าอนุวงศ์ยกทัพออกจากเมืองนครราชสีมา และถือว่าเป็นวันที่ท้าวสุรนารีและชาวเมืองโคราชได้รับชัยชนะ งานประเพณีที่จัดขึ้นจึงเป็นการระลึกถึงวีรกรรมที่กล้าหาญในครั้งนั้น
สำหรับในปีนี้ “งานฉลองวันแห่งชัยชนะของท้าวสุรนารี” จัดขึ้นระหว่างวันที่ 23 มีนาคม - 3 เมษายน 2554 ณ บริเวณสนามหน้าศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งภายในงานมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย อาทิ ขบวนแห่ของดีเมืองโคราช การรำบวงสรวงสักการะอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารีโดยกลุ่มสตรีชาวโคราช กว่า 10,000 คน(ในวันที่ 23 มีนาคม 2554) พิธีบวงสรวงอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารีโดยพราหมณ์ราชสำนักราชวัง นิทรรศการของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนทั่วเมือง กิจกรรมถนนย้อนยุคเมืองโคราช การแสดงแสง สี เสียง วีรสตรีผู้กล้าท้าวสุรนารี เป็นต้น
ทั้งนี้ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานจังหวัดนครราชสีมา โทร. 0-4424-3798 องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา โทร. 0-4424-4842 เทศบาลนครนครราชสีมา โทร. 0-4424-5933, 0-4423-4763
ในช่วงสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เกิดกบฏเจ้า อนุวงศ์ขึ้น ด้วยเหตุที่ เจ้าอนุวงศ์ เจ้าผู้ครองนครเวียงจันทน์ ต้องการที่จะยกทัพเข้ามาตีกรุงเทพฯ โดยระหว่างทางที่ยกทัพมานั้น เจ้าอนุวงศ์ก็จะเกลี้ยกล่อมให้บรรดาหัวเมืองต่างๆ เข้าร่วม หากเจ้าเมืองใดขัดขืนก็ให้ฆ่าทิ้งเสีย ราษฎรและเจ้าเมืองต่างๆ พากันกลัวอำนาจจึงยอมเข้าร่วมด้วยหลายเมือง
จนเมื่อมีกำลังมากพอแล้วก็ยกกองทัพมาพร้อมกันที่เมืองนครราชสีมา ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่เจ้าเมืองนครราชสีมาไม่อยู่ ไปราชการที่ต่างเมือง เจ้าอนุวงศ์จึงสั่งให้ผู้ที่ดูแลเมืองอยู่ในขณะนั้น กวาดต้อนครัวเรือนชาวนครราชสีมาไปยังเวียงจันทน์ ซึ่งรวมถึงคุณหญิงโมด้วย ทางด้านพระยาสุริยเดช สามีของคุณหญิงโม ที่เดินทางไปราชการพร้อมกับเจ้าเมืองพอทราบข่าว ก็ได้กลับมาช่วยครอบครัวและชาวเมือง
คุณหญิงโมนั้นได้ช่วยวางแผนขบคิดกับผู้นำฝ่ายชาย และได้ควบคุมกำลังฝ่ายผู้หญิงช่วยหนุนการสู้รบอย่างองอาจกล้าหาญ โดยการออกอุบายขอมีด ขวาน ปืน ไว้เพื่อใช้หาเสบียงมาประทังชีวิตระหว่างเดินทาง จัดหญิงสาวให้แม่ทัพนายกอง และมอมเหล้าจนเมามาย จากนั้นก็ทำการต่อสู่ด้วยอาวุธที่เก็บรวบรวมไว้
แม้จะมีอาวุธอยู่เพียงน้อยนิด แต่ด้วยความสามัคคีและความมุ่งมั่น ชาวเมืองนครราชสีมาก็สามารถที่จะรบชนะกองทัพของเจ้าอนุวงศ์ได้ ทำให้เจ้าอนุวงศ์ต้องถอยทัพกลับไป วีรกรรมของคุณหญิงโมในครั้งนี้ ได้ทราบถึงพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานบำเหน็จความชอบ แต่งตั้งขึ้นเป็น ท้าวสุรนารี
และเพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อท้าวสุรนารี หรือ ย่าโม ทางจังหวัดนครราชสีมา ได้ร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานนครราชสีมา จัดงาน “งานฉลองวันแห่งชัยชนะของท้าวสุรนารี” หรือ “งานย่าโม” ขึ้นในระหว่างวันที่ 23 มีนาคม - 3 เมษายน ของทุกปี
เนื่องมาจากใน วันที่ 23 มีนาคม 2369 เป็นวันที่เจ้าอนุวงศ์ยกทัพออกจากเมืองนครราชสีมา และถือว่าเป็นวันที่ท้าวสุรนารีและชาวเมืองโคราชได้รับชัยชนะ งานประเพณีที่จัดขึ้นจึงเป็นการระลึกถึงวีรกรรมที่กล้าหาญในครั้งนั้น
สำหรับในปีนี้ “งานฉลองวันแห่งชัยชนะของท้าวสุรนารี” จัดขึ้นระหว่างวันที่ 23 มีนาคม - 3 เมษายน 2554 ณ บริเวณสนามหน้าศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งภายในงานมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย อาทิ ขบวนแห่ของดีเมืองโคราช การรำบวงสรวงสักการะอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารีโดยกลุ่มสตรีชาวโคราช กว่า 10,000 คน(ในวันที่ 23 มีนาคม 2554) พิธีบวงสรวงอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารีโดยพราหมณ์ราชสำนักราชวัง นิทรรศการของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนทั่วเมือง กิจกรรมถนนย้อนยุคเมืองโคราช การแสดงแสง สี เสียง วีรสตรีผู้กล้าท้าวสุรนารี เป็นต้น
ทั้งนี้ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานจังหวัดนครราชสีมา โทร. 0-4424-3798 องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา โทร. 0-4424-4842 เทศบาลนครนครราชสีมา โทร. 0-4424-5933, 0-4423-4763
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)