++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เรื่องเล่าของแม่ เมื่อ 37 ปีที่แล้ว

เรื่องเล่าประทับใจ

เรื่องเล่าของแม่ เมื่อ 37 ปีที่แล้ว วันที่ในหลวงทรงยื่นพระหัตถ์มาลูบศีรษะ.... ‪#‎ในหลวงในดวงใจ‬

แม่เล่าให้ฟังว่า...เมื่อ ๓๗ ปีที่แล้วตอนเราอายุ ๖ ขวบ วันนั้นเป็นวันเข้าพรรษาแม่พาไปถวายผ้าอาบน้ำฝนที่วัดสามปลื้ม เสร็จแล้วเราชวนแม่ไปไหว้พระที่วัดพระแก้ว แม่ก็พาขึ้นรถเมล์ไทยประดิษฐ์ สายรอบเมืองจากวัดไปลงที่ท่าช้าง แวะซื้อดอกไม้เพื่อไปไหว้พระแก้วมรกตที่หน้าประตูวิเศษไชยศรี วันนั้นคนเยอะมากเพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จะเสด็จมาทรงบำเพ็ญพระราชกุศลที่วัดพระแก้วพอดี แม่บอกเราว่าคงจะเข้าไปไหว้ข้าง
ในโบสถ์ไม่ได้แล้ว เพราะในหลวงจะเสด็จฯ ให้เราเอาดอกไม้ที่ซื้อมาถวายในหลวงแทน แล้วแม่ก็พยายามพาเราเข้าไปด้านในจนถึงริมกำแพงแก้วรอบโบสถ์ ยืนรอสักพักท่านทรงเสด็จพระราชดำเนินมาถึง แม่บอกให้เรายื่นมือไปถวายดอกไม้แล้วกราบด้วย ท่านแย้มพระสรวลเล็กน้อยแล้วทรงรับดอกไม้ไปจากมือเรา เราบอกแม่ว่ากราบไม่ได้เพราะไม่มีที่นั่งลงกราบ แม่บอกว่าให้ยืนกราบก็ได้ พอเรากราบเสร็จท่านทรงยื่นพระหัตถ์มาลูบศีรษะเรา.....

"นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น"
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะฯ ข้าพระพุทธเจ้า นายนรรัตน์ ดิษยบุตร บุตรของนายรื่น และนางประจวบ ดิษยบุตร

Cr:ใต้ร่มพระบารมีในหลวง

วิธีการสุดเจ๋งให้ปลาแข็งแรง ตัวใหญ่ ไม่เป็นโรค

เพียงนำยาคุมกำเนิด 1 เม็ด บด+ ละลายน้ำ ผสมอาหารปลา 1 กก. ผึ่งให้แห้ง แล้วนำไปเลี้ยงปลาหมอตัวช่วยสุดเจ๋งให้ปลาแข็งแรง ตัวใหญ่ ไม่เป็นโรค
จาก SMS Farmer Info - 14ส.ค.2556 - 15.15 น.

ความดีอยู่ที่ "เราทำ" มิใช่อยู่ที่ "คำเขาว่า"


อ่านหนังสือออก สำคัญ
อ่านเหตุการณ์ออกสำคัญกว่า
อ่านคนอื่นออก สำคัญยิ่ง
อ่านตนเองออก สำคัญที่สุด

......ความดี ..........
เมื่อทำอย่างบริสุทธ์ิใจแล้ว
......จงทำต่อไป.......
แม้ใครนินทา ก็อย่านำมาใส่ใจ
.......เพราะคนดี.......
ย่อมไม่นินทาใคร มีแต่ให้อภัย
       
เงินซื้อเพชรนิลจินดาได้
..แต่ซื้อความงามไม่ได้
เงินซื้อความสนุกชั่วคราวได้
..แต่ซื้อความสุขไม่ได้
เงินซื้อเพื่อนร่วมเดินทางได้
..แต่ซื้อเพื่อนแท้ไม่ได้

หยุดความโกรธ   ด้วยการให้อภัย
หยุดความอาลัย   ด้วยการปล่อยวาง

การยอมแพ้ไม่ได้หมายความว่า...เราอ่อนแอเสมอไป
บางครั้งมันหมายความถึง...
ความเข้มแข็งที่จะปล่อยให้บางอย่างผ่านไป


ธรรมะรักษาครับ

ถวิล  พัวภูมิเจริญ

ธีรสิทธิ์  อมรแสนสุข

เคล็ด(ไม่)ลับ ติดตั้งประตูห้องน้ำอย่างไรให้ปลอดภัยต่อผู้สูงอายุ



1. บานประตู ควรเป็นแบบเปิดออกนอกห้องน้ำ เพราะในกรณีเกิดอุบัติเหตุ จะทำให้ผู้ที่เข้าไปช่วยเหลือ สามารถเปิดประตูโดยที่ไม่โดนผู้สูงอายุ
2. ประตูห้องน้ำห้ามใช้กลอน
3. ลูกบิดประตูห้องน้ำ ไม่ควรเป็นลูกบิดแบบปุ่มกลมๆ หมุนๆ ตามบ้านทั่วไป เพราะผู้สูงอายุกำลังข้อมือไม่ดี ควรใช้แบบที่มีก้านจับเพราะมือจะไม่ลื่นหลุดได้ง่าย หลักอันเดียวกันนี้ควรใช้กับก๊อกน้ำด้วย
4. ตัวล็อกลูกบิด ควรเลือกแบบที่สามารถเปิดจากด้านนอกได้ คือใช้เหรียญบิดเพื่อเปิดเข้าไปช่วยเหลือได้ง่าย

แอดมินพระจันทร์

โหยหาความรัก แต่ยังหวั่นใจ



ปุจฉา - กราบนมัสการหลวงพ่อค่ะ ลูกมีเรื่องทุกข์ค่ะ ลูกสับสนใจของลูกมาก คือเรื่องของของเป็นแบบนี้ค่ะ ลูกเลิกกับแฟนที่คบกันมา ๑๐ ปีค่ะ สาเหตุเพราะเค้ามีคนใหม่ ตัวลูกเองก็กว่าจะทำใจได้กว่าจะผ่านมาได้ซึ่งตอนนี้ก็ไม่รู้ว่า ผ่านมันไปได้จริงๆรึยัง มาเกือบ ๑๐ เดือนได้แล้วค่ะ พักหลังได้รับการติดต่อจากเค้ามาตลอด (ทั้งๆที่ยังไม่เลิกกับแฟน ยังมาบอกว่าลืมลูกไม่ได้) ลูกจิตใจยังไม่นิ่งพอทำให้ลูกเศร้ามาก อะไรหลายๆอย่างมันไม่สามารถกลับมาเหมือนเดิมได้อีก ในใจลูกมันสับสน

หลวงพ่อคะหลังจากที่ลูกตัดใจเลิกกับเค้ามา ลูกมีคนดีดี คนที่มีทั้งความพร้อมทั้งหน้าตา การงาน เข้ามาให้ลูกได้รู้จักและศึกษา แต่ไม่ว่าเค้าจะทำดีแค่ไหนใจลูกก็คิดอยู่เสมอว่ามันจะเป็นแบบนี้นานแค่ไหน จะตลอดไปรึป่าว คนคนเหล่านั้นจากลูกไป ลูกก็มีความคิดว่าสิ่งเหล่านี้มัน แค่ส่วนหนึ่งของชีวิตเท่านั้น ไม่ใช่ทั้งหมด ทุกอย่างเข้ามาให้เราได้เรียนรู้ แต่ทำไมค่ะทำไมใจลูกยังโหยหาความรักอยู่ ทุกวันนี้ลูกเปิดโอกาสเปิดใจแต่พอเอาเข้าจริงๆลูกกลับปฏิเสธมัน ลูกเป็นอะไรไปแล้ว

พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา - ฟังดูคุณยังตัดใจจากคนรักเก่าไม่ได้ ทั้งนี้เพราะคุณเองยังโหยหาความรักจากคนอื่น แต่คุณเองก็รู้จากประสบการณ์ว่าเขาไม่ใช่คนที่คุณจะฝากใจไว้ได้ อันที่จริงไม่ว่าใครถึงจะดีแค่ไหน ก็ไม่สามารถฝากใจไว้กับเขาได้อย่างตลอดหรือปลอดภัยเลย เพราะไม่มีใครที่จีรังยั่งยืนได้ ถึงจะดีแค่ไหน เขาก็ต้องตายจากเราไม่ช้าก็เร็ว ยังไม่ต้องพูดถึงคนที่เปลี่ยนนิสัยใจคอกลายเป็นคนไม่น่ารัก เห็นแก่ตัว หรือเจ้าชู้

คนเราโหยหาความรัก เพราะข้างในนั้นพร่องความรัก สาเหตุสำคัญที่ทำให้พร่องความรักก็คือ ขาดความรักตนเองอย่างแท้จริง (ซึ่งอาจเกิดจากความรู้สึกว่าคนอื่นไม่รักเรา ก็เลยรู้สึกไม่ดีกับตนเอง) คุณลองหันมารักตนเองให้มากขึ้น เห็นคุณค่าของตนเองมองเห็นว่าเรามีอะไรบ้าง อย่ามองแค่ว่าเราขาดอะไร ที่สำคัญคืออย่าเอาคุณค่าของตัวเองไปผูกติดไว้กับใครหรืออะไร ขณะเดียวกันก็ควรเผื่อแผ่ความรักหรือมีน้ำใจให้คนอื่นด้วย เมื่อคุณให้ความรักอย่างบริสุทธิ์ใจ คุณย่อมได้รับความรักกลับมาเอง แต่ถ้าเอาแต่เรียกร้องหรือคาดหวังความรักจากผู้อื่น คุณกลับจะไม่ได้ ยิ่งอยากได้ กลับยิ่งไม่ได้ แต่พอไม่อยากได้ กลับได้มา

"ชื่อดอกไม้" พระราชทาน

ตามรอยพ่อ
"ชื่อดอกไม้" พระราชทาน
ครั้งหนึ่ง ขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ ทรงเยี่ยมเยือนราษฎรยังพื้นที่แห่งหนึ่งในต่างจังหวัด
ในระหว่างที่ทั้งสองพระองค์กำลังทรงพระดำเนินอยู่นั้นเอง สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทอดพระเนตรเห็นดอกไม้ป่าชนิดหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะแปลกตา ทำให้พระองค์ทรงสนพระทัยยิ่ง จึงทรงกราบทูลถามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวถึงชื่อของดอกไม้ดังกล่าว
ด้วยพระอารมณ์ขันที่มีในพระราชหฤทัย "ในหลวง"โปรดให้เรียกชื่อดอกไม้นี้ว่า...
"สิริฉงน"
***
คู่บุญบารมีของแผ่นดิน ขอทั้งสองพระองค์จงทรงพระสิริสวัสดิ์ ทรงพระเกษมสำราญ มีพระพลานามัยแข็งแรง ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ทุกข์หรือเหตุร้ายที่เกิดขึ้นนั้นสามารถเปิดใจให้เราเห็นสัจธรรม

ทุกข์หรือเหตุร้ายที่เกิดขึ้นนั้นสามารถเปิดใจให้เราเห็นสัจธรรมได้เสมอ ว่าไม่มีอะไรที่เราจะฝากใจไว้ได้เลย เพราะล้วนแต่ไม่เที่ยง บกพร่องบีบคั้น และยึดมาเป็นของเราไม่ได้เลยสักอย่าง

แต่สาเหตุที่เราไม่เห็นสัจธรรมเหล่านี้เวลาเกิดเหตุร้าย ก็เพราะใจมัวแต่คร่ำครวญ โกรธแค้น จึงไม่มีสติมากพอที่จะใคร่ครวญสิ่งที่เกิดขึ้น ผลก็คือเสียอย่างน้อยสองสถาน คือ นอกจากเสียสิ่งที่รักแล้ว ใจก็ยังเสียด้วย หนักกว่านั้นคือ เสียสุขภาพ(เพราะเครียดจัด) เสียงาน (เพราะไม่มีสมาธิ) และเสียสัมพันธภาพ (เพราะระบายอารมณ์ใส่คนรอบตัว)

ในทางตรงข้าม หากตั้งสติให้ดี พิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยปัญญา แม้จะเสียสิ่งที่รัก แต่ก็ได้ธรรม ซึ่งมีคุณค่ามหาศาล เพราะนอกจากจะยกใจให้พ้นจากทุกข์จากเหตุการณ์เฉพาะหน้าแล้ว ยังเป็นภูมิคุ้มกันใจมิให้เป็นทุกข์ในวันหน้าอีกด้วย

พระไพศาล วิสาโล
http://www.visalo.org/article/secret255607.htm

รักษาอาการคัน เชื้อรา-รังแค

รักษาอาการคัน เชื้อรา-รังแค ด้วยน้ำส้มควันไม้ครั้งละ 1 ฝ่ามือ สระผมที่เปียกหมาด แล้วหมักทิ้งไว้ 3 นาที ทำอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง รังรองหายขาด
จาก SMS Farmer Info - 12 ส.ค.2556 - 15.15 น.

มีเงินมากมาย มีอำนาจล้นฟ้า ก็ไม่อาจป้องกันความแก่ ความเจ็บ และความตายได้

ไม่ว่ามีเงินมากมาย มีอำนาจล้นฟ้า ก็ไม่อาจป้องกันความแก่ ความเจ็บ และความตายได้ (ทำได้อย่างมากก็แค่ชะลอเท่านั้น) ใช่แต่เท่านั้น เงินทองและอำนาจก็ล้วนเป็นสิ่งไม่เที่ยง ไม่จิรัง ไม่มั่นคง แปรเปลี่ยนได้ตลอดเวลา ในเมื่อตัวมันเองยังไม่มั่นคง มันจะไปค้ำยันชีวิตเราให้มั่นคงได้อย่างไร

ใช่หรือไม่ว่า ความมั่นคงของชีวิตนั้นแท้จริงเป็นของชั่วคราว หรือพูดให้ถูกต้องกว่านั้นก็คือ มันเป็นมายาภาพ ที่เราหลงคิดว่าเป็นความจริง ตราบใดที่เรายังหลงในมายาภาพดังกล่าว เราจะไม่มีวันพบกับความสุขที่แท้จริงได้เลย ต่อเมื่อเราเห็นความจริงว่าไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้หรือมั่นคงอย่างแท้จริงเลย เราจึงจะพบกับความสงบเย็น เพราะจิตไม่ลุ่มหลงยึดติดกับสิ่งใด ๆ อีกต่อไป ไม่ว่ามีอะไร ก็รู้ว่าสักวันหนึ่งมันย่อม “หมด” ไป ดังนั้นเมื่อวันนั้นมาถึง จึงไม่ทุกข์ ไม่เศร้าโศก เสียใจ หรือโกรธแค้น จิตใจยังคงเป็นปกติ มั่นคง ไม่หวั่นไหว

โลกและชีวิตนี้เต็มไปด้วยความผันผวนแปรปรวน เมื่อใดเราเปิดใจยอมรับและเห็นความจริงดังกล่าว ไม่ยึดหรืออยากให้ทุกอย่างเที่ยงแท้มั่นคงหรือเป็นไปตามใจเรา ความผันผวนนั้นจะไม่อาจทำให้เราทุกข์ได้ต่อไป ถ้าไม่อยากทุกข์ใจเพราะความผันผวนดังกล่าว ก็ควรพากเพียรสั่งสมความดีและฝึกใจให้เห็นความจริงดังกล่าว อย่ามัวแต่แสวงหาเงินทองหรือสะสมวัตถุจนมองข้ามสิ่งที่สำคัญและประเสริฐกว่าไปเลย

http://www.visalo.org/article/budTisco.htm

ความผิดหวัง



ถ้าเราไม่เบียดเบียนชีวิตใด
เพื่อความหวังของเราแล้ว
ความหวังจะเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจไฉน

ความหวังที่สร้างความสดชื่น เบิกบาน
เป็นความหวังที่ควรหวังต่อไป
ถ้าเราไม่ยอมเป็นทาสของความหวังแล้ว
ความหวังจะไม่ทำให้เราผิดหวังเลย

ชีวิตที่พบแต่ความผิดหวังนั้น
เพราะเขาทำเพื่อความหวังมากกว่าความจริง

จงใช้ชีวิตตอบสนองความเป็นจริงเฉพาะหน้า
แล้วรอคอยความหวังต่อไป
ด้วยความเข้าใจและสดชื่น เบิกบาน
แม้ไม่สมหวัง ก็สร้างมันขึ้นมาใหม่

ความผิดหวังเป็นธรรมดาของชีวิต
โศกเศร้าเสียใจ ก็ไร้ประโยชน์
ด้วยความหวัง และความผิดหวังไม่ใช่ความผิด

กรุ๊ปเลือดแต่ละกรุ๊ปจะโสดนานแค่ไหน ..

กรุ๊ปเลือดแต่ละกรุ๊ปจะโสดนานแค่ไหน ..

A : เหงา แต่กูอยู่ได้
B : ทนโสดได้ไม่นาน
O : ยิ่งโสดนาน ยิ่งฟุ้งซ่าน
AB : ชินแล้วกับการอยู่คนเดียว

LIKE ✓ SHARE ✓

วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556

อุเบกขา คือ วางใจเป็นกลางใช่หรือไม่



Napitch Klang ปุจฉา - กราบนมัสการพระอาจารย์ ขอเรียนถามว่า อุเบกขากับการวางใจให้เป็นกลาง เหมือนหรือต่างกันอย่างไรเจ้าค่ะ กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะ _/\_

พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา - มีความหมายเหมือนกัน อุเบกขาใช้ได้กับเหตุการณ์ภายนอกและอารมณ์ภายใน เช่น ได้คำสรรเสริญ ก็ไม่ฟู ถูกตำหนิ ก็ไม่แฟบ เวลานั่งสมาธิ จิตสงบ ก็ไม่ไขว่คว้ายึดติด ๆ หงุดหงิด ก็ไม่ผลักไส มีความรู้สึกเป็นกลางต่ออารมณ์เหล่านั้น

อุเบกขายังหมายรวมถึงการปล่อยให้เหตุการณ์ต่าง ๆ ให้ดำเนินไปตามครรลองคลองธรรม ไม่แทรกแซงให้คลาดเคลื่อนจากความถูกต้อง เช่น แม่รักลูกก็จริง แต่เมื่อรู้ว่าครูกำลังจะทำโทษลูกเพราะลอกการบ้านเพื่อน แม่ก็ยอมให้ครูทำโทษลูก ไม่เข้าไปช่วยแก้ต่าง (หรือโกหก) ให้ลูกพ้นผิด เพราะรู้ดีว่าหากทำเช่นนั้นก็จะเป็นการทำร้ายลูกและผิดต่อหลักธรรม อุเบกขาจึงมีคู่กับเมตตาและกรุณา เพื่อไม่ให้เมตตากรุณาไปในทางที่ผิด

วิธีป้องกันแมลงเชื้อรา และทำให้ผิวขนุนสวยงาม

การนำถุงปุ๋ย กระดาษหรือถุงปูน มาพับเป็นรูปถุงเป็ดหัวท้าย แล้วนำไปห่อผลขนุนที่อายุ 60 วัน จะช่วยป้องกันแมลงเชื้อรา  และทำให้ผิวขนุนสวยงาม
จาก SMS Farmer Info - 15 ส.ค.2556 - 15.15 น.

ใจเขาใจเรา



อยู่ในสังคมมนุษย์
สิ่งที่ต้องระวังไม่ใช่มนุษย์เสมอไป
ใจที่เห็นแก่ตัวของเรานั่นแหละ
คือสิ่งที่ควรระมัดระวังให้มาก

เมื่อการกระทำต้องเกี่ยวพันกับผู้อื่น
ไม่ต้องเอาใครไปใส่ใจใคร
อย่าเอาเปรียบเขาก็พอ

เมื่อมิได้คำนึงถึงสวัสดิภาพของตนเอง
แต่ก็ต้องระมัดระวังสวัสดิภาพของผู้อื่น
เราไม่โกรธ เราไม่กลัว เราไม่เจ็บ
แต่ผู้อื่นอาจจะโกรธ อาจจะเจ็บ และอาจจะกลัว

ถึงคราวที่จำเป็นต้องกระทำแล้ว
ก็ลงมือกระทำด้วยสติปัญญาเถิด
ไม่ต้องมัวไปคำนึงถึงใจเรา ใจเขา
หรือแม้แต่ใจใครทั้งสิ้น

ของฝากจากแม่รุ่ง มะนาว

Rungmanee Mekhasobhon ของฝากจากแม่รุ่ง

มะนาว

ตอนปลูกบ้านสวนเสร็จใหม่ ๆ มีคนเสนอให้ตัดมะนาว 2 ต้นหน้าบ้านทิ้ง โทษฐานบังบ้านสวย

แต่ไม่สำเร็จหรอกค่ะ งานนี้ไม่ใช่การคัดค้านอย่างเอาการเอางานของโยคีที่รักต้นไม้เป็นชีวิตจิตใจ แต่รวมถึงตัวดิฉันเองด้วย เพราะชอบนักหนาค่ะ พวกต้นมะนาว มะกรูด พืชตระกูลส้มทั้งหลาย

ที่ว่าชอบนั้น ชอบตั้งแต่โครงสร้างต้นเรื่อยไปทุกสีทุกอย่างที่ประกอบกันเป็นมะนาว เรียกว่าทั้งรูป ทั้งรสและทั้งกลิ่น บางอารมณ์ก็สมมติให้ต้นมะนาวเป็น “ต้นส้มแสนรัก” อย่างที่ “มัทนี เกษกมล” เคยแปลให้อ่าน เขียนถึงตรงนี้อยากจะกลับไปอ่านอีกสักรอบ เพื่อพิสูจน์ว่าอ่านในวัยนี้จะยังอ่อนไหวเหมือนเมื่อวันวานหรือไม่

แต่ตอนนี้กลับมาที่เรื่องมะนาวที่บ้านสวนต่อกันดีกว่านะคะ

มะนาวที่บ้านสวนมีอยู่ไม่ถึง 10 ต้น แต่ที่เชิดหน้าชูตาเจ้าของบ้านมากมาย ก็คือน้องมะนาว 2 ต้นที่เคยถูกเสนอโทษประหารนั่นเองค่ะ

2 ต้นนี้ทีแรกก็นึกรักแค่เพราะเป็นมะนาว แต่นานวันเข้าก็ยิ่งทั้งรักและปลื้ม ไม่ทราบเป็นเพราะรู้ตัวว่าเคยมีผู้ประสงค์ร้ายแต่เจ้าของบ้านใจดีไม่ฟันทิ้งหรือเปล่า จึงออกลูกให้ได้เก็บกันไม่ขาดสาย จนถึงวันนี้ก็ยังให้ผลผลิตสัปดาห์ละกว่า 100 ลูก ทุกสัปดาห์ เรียกได้ว่าออกกันทั้งปี ไม่ว่าจะเป็นช่วงมะนาวลูกละ 10 – 12 บาทหรือเหลือลูกละ 2 บาทกว่าอย่างทุกวันนี้

ขอย้ำกว่าเฉพาะ 2 ต้นนี้เท่านั้น

เขียนอย่างนี้ หลายคนคงนึกว่าดิฉันคงจะล่ำซำเพราะมะนาวเป็นแม่นมั่น มิได้ค่ะ ดิฉันยังคงไม่มีรายได้จากสวนเหมือนเดิม เพราะแจกแค่มารดาตัวเองและญาติพี่น้อง เพื่อนพ้อง เพื่อนบ้าน เลยเถิดไปถึงคุณหมอ คุณพยาบาลที่ดูแลดิฉันและครอบครัว 100 – 200 ลูกในแต่ละสัปดาห์ อันตรธานไปในเวลาอันรวดเร็ว ไม่เหลือให้ทำมะนาวดองอย่างที่บางคนเคยแนะนำ

“แจกเข้าไปอย่าได้ถอย” – เพลงมาร์ชมะนาวประจำสวนแม่รุ่งค่ะ

มะนาว 2 ต้นที่ว่านี้ ขึ้นชื่อมาก ไม่ทำให้เจ้าของเสียหน้าแม้สักน้อย เพราะไม่ว่าลูกเล็กหรือลูกใหญ่ จะเปลือกบาง ให้น้ำเยอะ และรสชาติก็เปรี้ยวกำลังดีสมเป็นมะนาว ไม่ถึงกับเปรี้ยวปรี๊ดเลยเถิดเหมือนบางต้น

คงอยากทราบกันแล้วใช่ไหมคะว่า มะนาว 2 ต้นที่ว่านี้พันธุ์อะไร

“ลุงนึง” เจ้าของสวนเดิมที่ทุกวันนี้ได้รับการสถาปนาให้เป็นผู้ดูแลสวน “ป้ารุ่ง – ลุงวสันต์” ยืนยันด้วยความภาคภูมิใจว่าเป็น “มะนาวไข่” พอได้ยินชื่อก็อย่านึกว่าลูกจะรีเป็นรูปไข่นะคะ ลักษณะเป็นผลกลมค่ะ ถ้าเรียกแบบเต็มยศก็ต้องเรียกว่า “มะนาวไข่กลม”

แต่ลุงก็ไม่ทราบหรอกนะคะว่าเป็นพันธุ์ “มะนาวไข่กลมดกพิเศษ” ที่เอา “มะนาวแป้นรำไพ” ผสมกับ “มะนาวไข่ปราจีนฯ” หรือเปล่า แต่ไม่น่าจะใช่ อย่างไรก็ตาม ขนาดไม่ดกพิเศษ ยังเก็บกันเหนื่อยขนาดนี้ ถ้าดกพิเศษเห็นจะต้องขอแรงคนที่รับแจกไปช่วยกันเก็บแล้วละค่ะ

มะนาวถือได้ว่าเป็นผลไม้คู่เรือนของคนไทยเราชนิดหนึ่ง ไม่ใช่คู่เฉพาะเรือนของ “แม่นาก” เท่านั้น (ฮา) เพราะฉะนั้นเวลาเอามะนาวไปให้ใคร ต่างยินดีกันอย่างออกหน้าออกตา เพราะสามารถนำไปปรุงรสอาหารคาวหวานได้สารพัด จะทำเป็นเครื่องดื่มก็ดี บางคนติดน้ำโซดาสียังขอแอบบีบมะนาวเติมเกลือก็ยังมี

คุณค่าทางโภชนาการที่เรารับรู้กันทั่วไปก็คือมีวิตามินซีสูง ไม่เพียงเท่านั้น น้ำมะนาวยังมีฤทธิ์เป็นกรด มีกรดอินทรีย์หลายชนิด ผิวมะนาวเองนอกจากมีน้ำมันหอมระเหยแล้ว ยังมีทั้งวิตามินซีและเอ รวมทั้งแร่ธาตุอื่น ๆ โดยเฉพาะฟอสฟอรัสและแคลเซียม สูงกว่าน้ำมะนาวเสียอีก เพราะฉะนั้น รับประทานเปลือกมะนาวกันบ้างนะคะ อาหารที่เราทานเปลือกมะนาวกันมากหน่อยเห็นจะเป็นเมี่ยงคำ...

สรรพคุณทางยานั้น ใบมะนาวเอามาต้มดื่มได้ ช่วยละลายเสมหะ ขับลม แก้ท้องอืด ท้องเสีย ส่วนผลก็เอามาคั้น มาปรุงรสอาหาร ช่วยแก้กระหายน้ำ แก้ร้อนใน และทำให้เจริญอาหาร เช่นเดียวกับเปลือกมะนาว บางคนนิยมนำเปลือกมาตากแห้งและชงดื่มแบบชาก็มี สำหรับรากสด แก้ฟกช้ำดำเขียว และแก้ปวดด้วยค่ะ

สมัยเด็ก ๆ จำได้ว่าเวลาหกล้มหัวโน แม่มักจะเอาดินสอพองทาและเอาลูกมะนาวคลึง ช่วยลดอาการบวมได้ แต่บางคนก็เอาน้ำมะนาวผสมกับดินสอพองพอกเลย

ผ่านไปตำบลหินตั้ง อำเภอเมืองนครนายก แวะทักทายกันได้ ถ้าอยู่สวน ยินดีต้อนรับ

ป.ล. เตรียมถุงไปเก็บมะนาวด้วยนะคะ

อย่าลืมแวะไปแลกเปลี่ยนแบ่งปันประสบการณ์กันที่เพจ Man Nature นะคะ

ร้ายขายยาที่ขายยาฆ่าเหา ยาคุมกำเนิด บาปไหม



พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo
Kokoyaya Kazum Hoshi ปุจฉา - ร้ายขายยาที่ขายยาฆ่าเหา ยาคุมกำเนิด บาปไหมคะ

พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา - มิจฉาวณิชชา หรือการค้าขายที่ไม่ควรประกอบข้อ ๑ ก็คือ การค้าขายยาพิษ เพราะส่งเสริมการฆ่า ยาฆ่าเหานั้นสามารถจัดอยู่ในการค้าขายประเภทนี้ แม้เป็นการฆ่าที่เทียบไม่ได้กับการฆ่ามนุษย์หรือสัตว์ใหญ่ก็ตาม จะว่าไปแล้วยาฆ่าเหานั้น จัดอยู่ใน “พื้นที่สีเทา” เพราะแม้จะเป็นการฆ่าแมลง แต่ก็ส่งผลดีต่อสุขภาพ

ส่วนยาคุมกำเนิดนั้น หากเป็นการป้องกันการปฏิสนธิ ก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิดศีลโดยตัวมันเอง แต่ถ้ามีจุดมุ่งหมายเพื่อฆ่าตัวอ่อน ก็ถือว่าผิดศีล การขายยาคุมกำเนิดก็เท่ากับว่ามีส่วนสนับสนุนการฆ่า

วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556

มินท์ มาลีวัลย์ เจมิน่า จากเจ้าแม่เพลงอกหักสู่เพลงธรรมะ


เดิมมาลีวัลย์นับถือศาสนาคริสต์ นิกายแคทอลิก และเป็นคนที่เคร่งครัดในศาสนาอยู่พอตัว พอมองย้อนกลับไป เธออดแปลกใจไม่ได้ว่า ทำไมเธอถึงชอบทำบุญทำทานมาตั้งแต่เด็ก ทั้งที่พ่อแม่ไม่ได้สอน แปลกที่มินท์วัยเด็กจะคอยถามพี่เลี้ยงเสมอถึง "ผ้าเหลือง"

"ตอนเช้าพี่เลี้ยงไปใส่บาตรที่ตลาดก็จะติดตามเขาไป แต่จะคอยปิดคุณพ่อเป็นประจำ คุณพ่อไม่ทราบ ทุกวันอาทิตย์ต้องไปโบสถ์ (คริสต์) ทุกวันพุธตอนเย็นก็ต้องไป ก่อนเข้าเรียน ตอนนั้นเรียนที่ที่รุ่งฤดีก็ต้องเข้าโบสถ์ก่อน เป็นอะไรที่ ถ้าไม่ได้พูดว่าเราเป็นแคทอริก หรือพุทธ ก็ถือว่ามินท์เป็นคนที่อยู่กับศาสนามาตลอด จะอยู่ศาสนาอะไรเราก็จะเคร่ง อยู่ตรงไหนก็จะเคร่ง มีระเบียบวินัยกับสิ่งที่เราอยู่ตลอดเวลา"

พออายุประมาณ 14-15 เธอเริ่มมีความรู้สึกว่าอยากทำบุญมากขึ้น "โดยที่คุณพ่อก็ยังไม่ทราบ" เธอทำเสียงแผ่วกระซิบเล็กน้อยตอนท้ายประโยคเหมือนกลัวคุณพ่อได้ยิน

หลังจากพ่อเสียเป็นจุดเริ่มต้นให้มาลีวัลย์หันมาทางพุทธมากขึ้น แต่ยังไปโบสถ์คริสต์อยู่เสมอ

"สำหรับมินท์คิดว่า ถ้าเราทำดี ไม่ว่าทำดีอะไรก็ตาม มันไม่มีอะไรที่ผิด เรารู้อยู่แก่ใจ ดีชั่วเราอยู่แก่ใจ เรารู้อยู่ว่าเราทำอะไร"

มาลีวัลย์เข้าสู่วิถีพุทธมากขึ้น เริ่มทำบุญมากขึ้น ช่วงแรกที่ยังไม่ได้ศึกษาทางธรรมเธอจะเน้นเรื่องการให้ทานเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะการบริจาคทรัพย์เพื่อสร้างโบสถ์ศาลา แต่ยังไม่ได้ก้าวเดินบนเส้นทางรักษาศีล หรือภาวนาเต็มตัว เวลานี้เธอยังสวดมนต์ตามทางแคทอริกสร้างสันติในใจ

จนกระทั่งเริ่มบวชชีพราหมณ์ และเข้ามาศึกษา โดยมีคุณยายแนะนำพาไปวัดมเหยงค์ จังหวัดอยุธยากับเพื่อน ได้เรียนรู้ปฏิบัติธรรมสมาธิครั้งแรก ได้นอนในศาลาร่วมกับผู้ปฏิบัตินับร้อยชีวิตครั้งแรกอีกเช่นกัน

"ก็แปลกใจนะว่า เออ เราก็ทำได้ เรารู้สึกดีที่ได้สวดมนต์ รู้สึกว่าสวดมนต์แบบไทยเป็นแบบนี้เอง " มาลีวัลย์เหลือบมองเพดานเหมือนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

8 ปีที่แล้ว มาลีวัลย์ได้รู้จักกับยุวพุทธิกสมาคม และเข้าร่วมกิจกรรมปฏิบัติกับหลวงพ่อเกษมอยู่สองสามครั้งแล้วเว้นหายไปอีกหลายปี จนมาเจอเพื่อนกัลยาณมิตรแนะนำให้มาปฏิบัติ วิปัสนากรรมฐานที่ยุวพุทธฯ เธอเล่าว่า ช่วงนั้นตรงกับเดือนสิงหาคม วันแม่พอดี คิดว่าเหมาะเพราะจะได้ทำบุญให้คุณแม่ที่เสียไปแล้ว

หลังจากนั้นมาลีวัลย์เข้าออกยุวพุทธฯ เป็นประจำ ปฏิบัติธรรมเดือนเว้นเดือน บางครั้งยอมปฏิเสธงานร้องเพลงเพื่อเข้าปฏิบัติธรรม เธอมีความรู้สึกว่า "นี่แหละ เป็นสิ่งหนึ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตเรา สิ่งหนึ่งที่เติมเต็มชีวิตเราได้"

"มันเหมือนกับว่า เรา lost มาตลอดชีวิต ตั้งแต่คุณพ่อเสีย เรารู้สึกว่าชีวิตมันไม่มีอะไรเลย เราจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร หรือชีวิตมันมีอยู่แค่นี้เองเหรอ อยู่ไปวันๆ"

พอมาที่ยุวพุทธก็ได้เรียนรู้โลกทางธรรมมากขึ้น เป็นจุดประกายให้ศึกษาธรรม ถึงขนาดเจ้าตัวบอกว่าอยากเรียนอภิธรรมด้วยซ้ำ ผลจากการปฏิบัติทำให้เธอรู้สึกถึงคุณค่าของชีวิต รู้ว่าชีวิตมีค่ามาก กว่าจะเกิดมาสักครั้ง

"ทางพุทธบอกว่ามันยากแสนยาก แล้วเราจะปล่อยให้ชีวิตสูญเปล่าไปอย่างนั้นเหรอ ทั้งที่ทุกนาทีมีค่า ทุกนาทีมีค่าจริงๆ " มินท์ย้ำเสียง

พอได้พบกับสิ่งดีงามแห่งชีวิต มาลีวัลย์จึงชี้ชวนให้มิตรที่รู้จัก และสนิทกันเข้าร่วมเดินทางธรรมด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นชรัส เฟื่องอารมณ์ หรือแต๋ม ไพบูลย์ เกิดเขียวแก้ว หรือปั่น

"เราเริ่มจากคนในบ้าน และครอบครัวก่อน แล้วชักชวนคนในวงการ มีพี่แต๋ม เป็นผู้ที่มีพระคุณคนหนึ่ง เรารู้สึกว่าต้องรีบเลย บอกพี่แต๋มว่า พี่แต๋มเข้ามาปฏิบัติไหม ตอนแรกใช้เวลานานเหมือนกัน พอสามเดือนผ่านไปเราก็ถามเขาอีก พี่เขาก็บอกว่า เออ แกพูดจริงหรือเปล่าวะ"

ก่อนที่ชรัส เฟื่องอารมณ์ นักร้องเสียงสุขุมลุ่มลึกตอบตกลง มินท์เล่าว่าเธอต้องใช้ลูกอ้อนบอกกับแต๋มว่า "พี่ พี่ไปเถอะนะ เพื่อมินท์ ให้มินท์มีโอกาสตอบแทนบุญคุณพี่หน่อย "มาลีวัลย์ทอดเสียงออดอ้อนตามคำเล่า

คำตอบจากพี่แต๋ม เจ้าของเสียงเพลงอมตะ "เพราะฉะนั้น" (ฉันจึงทรนง) ตอบกลับมาว่า "แกชอบใช้คำพูดแบบนี้ 'ตอบแทนบุญคุณ' ทำให้ฉันใจอ่อน " ก่อนส่งเสียงละห้องตามมาดว่า "อ้ะ ไปก็ได้"

นอกจากชรัสแล้ว ยังมีปั่น ไพบูลย์ เกิดเขียวแก้วที่ได้รับชักชวนเข้าร่วมกิจกรรม ได้เรียนรู้อะไรบางสิ่งบางอย่าง และสร้างความประทับใจจนชายหนุ่มหนุ่มโรแมนติกอย่าง ปั่นน้ำตาคลอ

เจตนาชักชวนคนรู้จักให้ร่วมปฏิบัติธรรมของมาลีวัลย์ ไม่มีอะไรซับซ้อนมากไปกว่า ในเมื่อเธอได้รับประสบการณ์ดีจากการปฏิบัติธรรม อยากให้คนอื่นได้รับสิ่งดีๆ บ้าง

ฟังเพลงธรรมะ เพื่อเยาวชน
http://www.youtube.com/watch?v=oey0_XSwoRc

พบกับคุณมาลีวัลย์ ชรัส เฟื่องอารมย์ และ ไมค์ ภิรมย์พร
ได้ในงาน เพ็ญภาวนา ปฏิบัติบูชา "ญาณสังวร" ช่วงดนตรีมีธรรม
วันพุธที่ 21 สิงหาคมนี้ ที่ สวนปทุมวนานุรักษ์
17.00 - 21.00 น.

กิจกรรมอื่น ๆ

- สวดมนต์ทำวัตรเย็น

- ฟังธรรมบรรยายแล้วร่วมภาวนา กับพระครูวินัยธรทรงศักดิ์ วิโนทโก (หลวงพ่อเอี้ยน) สำนักวิปัสสนารังสันติบรรพต จ.พัทลุง

- ฟังเสวนาธรรม หัวข้อ "อิสรภาพแห่งลมหายใจ" โดย อ.ประเสริฐ อุทัยเฉลิม ลูกศิษย์พระอาจารย์นวลจันทร์ ผู้เขียนหนังสือ "ดูจิต หนึ่งพรรษา" และ "ดูจิต ชั่วพริบตา"

รายละเอียดอ่านเพิ่มเติมได้จาก http://bit.ly/166DbgE
ขอบคุณเจ้าภาพจัดงาน ยุวพุทธิกสมาคมฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก กรุงเทพธุรกิจ

วิธีเพิ่มแคลเซี่ยมในอาหารปล

วิธีเพิ่มแคลเซี่ยมในอาหารปลา นำเศษระดูกไก่บด อาหารปลา รำละเอียดอย่างละ 1 กก. ผสมแล้ววเติมน้ำเล็กน้อย  ให้ปลากิน ป้องกันไม่ให้ปลาหักแตกง่าย
จาก SMS Farmer Info - 16 สค 2556 - 15.15 น.

6 ขั้นตอนเพื่อสร้างแรงจูงใจในการทำงานและความผูกพันในองค์กร เพื่อรักษาคนเก่งขององค์กร





 



กุญแจสำคัญที่จะรักษาพนักงานไว้คือการสนับสนุนและการสร้างความผูกพันต่อองค์กร



การรักษาผู้มีศักยภาพสูงขององค์กรนั้นเป็นสิ่งสำคัญในทุกสถานการณ์ โดยเฉพาะในขณะที่ตลาดแรงงานมีการแข่งขันสูงซึ่งส่งผลให้อัตราการย้ายงานสูงขึ้นเช่นกัน ดังนั้นการรักษาพนักงานที่มีศักยภาพสูงไว้จึงเป็นเรื่องที่องค์กรต้องให้ความสำคัญ

ผู้นำในองค์กรที่ประสบความสำเร็จตระหนักว่าผู้มีศักยภาพสูงขององค์กรนั้นทำงานเพื่อองค์กรด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่เพราะถูกบังคับ ดังนั้นองค์กรจึงควรปฏิบัติต่อเขาเหล่านั้นเหมือนเป็นผู้ที่ทุ่มเทและเสียสละต่อองค์กรโดยไม่ได้คำนึงถึงเพียงภาวะตลาดทั่วไปเท่านั้น

แม้ผลตอบแทนมักจะเป็นปัจจัยหลักที่พนักงานคำนึงถึงเมื่อกำลังพิจารณางานใหม่ แต่ก็ยังไม่ใช่ปัจจัยที่สามารถรักษาผู้ที่มีศักยภาพสูงได้ในระยะยาว ถึงกระนั้นกลยุทธ์การรักษาบุคลากรขององค์กรส่วนใหญ่ก็ยังคงมุ่งที่ผลตอบแทนอยู่ อาทิเช่น โบนัสระยะยาว การให้สิทธิซื้อหุ้น เป็นต้น

องค์กรต้องให้ความสำคัญกับการรักษาและจูงใจผู้มีศักยภาพสูงขององค์กรโดยมุ่งเน้นไปที่สองประเด็นหลัก ประเด็นแรก คือการเพิ่มความผูกพันของพนักงานที่มีต่อองค์กร และประเด็นที่สองคือการพัฒนาระบบที่สามารถสนับสนุนการทำงานของพนักงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

เพื่อปลูกฝังความผูกพันที่มีต่อองค์กรให้อยู่ในระดับสูง องค์กรอาจมองทางเลือกอื่นนอกจากผลตอบแทนในรูปแบบของเงินให้มากขึ้น อาทิเช่น โอกาสการเติบโตในหน้าที่การงาน การมอบหมายหน้าที่การทำงานที่มีความสำคัญ การฝึกอบรม และการให้คำชื่นชม และเพื่อให้สิ่งเหล่านี้ประสบผลสำเร็จ องค์กรควรสร้างความชัดเจนในการเชื่อมโยงระหว่างผลการปฏิบัติงานและผลตอบแทน รวมทั้งผลการประเมินต้องสะท้อนถึงการให้ผลตอบแทนและความก้าวหน้าในสายอาชีพด้วย

ผลการวิจัยจากบริษัทเฮย์กรุ๊ปแสดงให้เห็นว่าการมีความผูกพันต่อองค์กรของพนักงานเพียงอย่างเดียวนั้นไม่ได้ช่วยยืนยันความมีประสิทธิภาพขององค์กร



แม้องค์กรหลายแห่งจะมีความผูกพันต่อองค์กรของพนักงานในระดับสูง แต่ผลการปฏิบัติงานขององค์กรก็ยังไม่อยู่ในระดับที่คาดหวัง แม้ในหลายองค์กรจะมีการทำการสำรวจความผูกพันต่อองค์กรของพนักงาน แต่ก็พบว่าคะแนนความผูกพันนั้นยังไม่มีความเชื่อมโยงกับผลการปฏิบัติงานขององค์กร ดร.มานะ โลหเตปานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเฮย์กรุ๊ป ภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าว



สิ่งที่ขาดไปคือการสนับสนุนพนักงานเพื่อให้พนักงานที่มีแรงจูงใจเหล่านั้นสามารถทำงานได้อย่างประสบความสำเร็จ อันที่จริงแล้วผลการวิจัยของเราได้ระบุว่าองค์กรที่ถูกจำแนกอยู่ในกลุ่มองค์กรที่พนักงานมีความผูกพันต่อองค์กรสูงมีการเติบโตทางด้านรายได้สูงกว่าองค์กรในกลุ่มที่พนักงานมีความผูกพันต่อองค์กรต่ำกว่าถึง 2.5 เท่า อย่างไรก็ตามองค์กรที่ทั้งความผูกพันต่อองค์กรและการสนับสนุนพนักงานอยู่ในระดับสูงนั้นมีการเติบโตทางด้านรายได้สูงกว่าถึง 4.5 เท่า แต่คุณจะมั่นใจได้อย่างไรว่าองค์กรกำลังทำหน้าที่สนับสนุนพนักงานได้อย่างดีที่สุด



ลำดับแรก คุณต้องแน่ใจว่าคุณได้มอบหมายงานแต่ละงานให้กับพนักงานที่เหมาะสมกับงานนั้นๆ ที่สุด เพราะการมอบหมายงานที่ไม่เหมาะสมกับพนักงานสามารถทำให้พนักงานขาดแรงจูงใจซึ่งทำให้ไม่สามารถทำงานให้ได้ผลลัพธ์อย่างที่องค์กรคาดหวัง



การบริหารจัดการผู้มีศักยภาพสูงนั้น ผู้นำต้องพิจารณาถึงความสามารถของพนักงานที่เหมาะสมกับคุณสมบัติที่งานนั้นๆต้องการ อีกทั้งผู้นำจำเป็นต้องคำนึงถึงขอบเขตของงานนั้นว่าสามารถดึงความสามารถที่โดดเด่นของพนักงานออกมาได้ และใช้สิ่งเหล่านั้นให้เป็นประโยชน์มากที่สุด และผู้นำยังจำเป็นต้องขจัดอุปสรรคในการปฏิบัติงาน เช่น งานที่ไม่จำเป็นหรือซ้ำซ้อน ทั้งนี้เพื่อสร้างความมั่นใจว่าบรรยากาศในการทำงานสนับสนุนการทำงานที่มีประสิทธิภาพสูง

สร้างบรรยากาศการทำงานที่เหมาะสม


สุดท้าย องค์กรจำเป็นต้องเข้าใจและสร้างบรรยากาศในการทำงานที่ดี ซึ่งประโยชน์ของบรรยากาศในการทำงานที่ดีมักถูกละเลย หากแต่ผลการวิจัยของเราแสดงให้เห็นว่าบรรยากาศในการทำงานมีผลต่อผลประกอบการทางธุรกิจถึง 30% ในการสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดีนั้น ผู้นำต้องมีทักษะที่เหมาะสมในการสร้างความผูกพันและสนับสนุนพนักงาน



โดยเหล่าผู้นำต้องเข้าใจวิธีการกระจายอำนาจในการตัดสินใจให้แก่พนักงานในการทำงานแต่ละชิ้น เพื่อที่พนักงานจะได้รู้สึกเป็นผู้รับผิดชอบและได้ตัดสินใจในงานนั้น หากสามารถทำได้องค์กรจะสามารถดึงศักยภาพของพนักงานออกมาได้มากที่สุด ซึ่งพนักงานเหล่านี้จะเป็นผู้ที่พร้อมทุ่มเทและเสียสละเพื่อความสำเร็จขององค์กรนั้นๆ และผลักดันองค์กรให้มีความสามารถในการแข่งขันที่สูงกว่าคู่แข่ง



6 ขั้นตอนเพื่อสร้างแรงจูงใจในการทำงานและความผูกพันในองค์กร
สิ่งที่องค์กรพึงกระทำในการสร้างความผูกพันและสร้างแรงจูงใจของพนักงาน


1.) สื่อสารอย่างชัดเจนถึงความเชื่อมโยงระหว่างผลการปฏิบัติงานและผลตอบแทนของพนักงาน


2.) สร้างความมั่นใจในการประเมินผลการปฏิบัติงานที่สามารถแยกแยะผู้มีผลการปฏิบัติงานดีได้


3.) ขจัดอุปสรรคในการทำงานที่สามารถส่งผลกระทบในเชิงลบต่อการสนับสนุนพนักงาน เช่น งานที่ไม่จำเป็นหรือซ้ำซ้อน


4.) เลือกคนให้เหมาะสมกับงานโดยคำนึงถึงคุณสมบัติของตำแหน่งงานและความสามารถของผู้ที่จะดำรงตำแหน่งงานนั้น


5.) ติดตามและพัฒนาบรรยากาศในการทำงานโดยผู้นำต้องมีความสามารถและมีรูปแบบการบริหารงานที่เหมาะสมเพื่อจูงใจพนักงาน


6.) มุ่งเน้นถึงผลตอบแทนที่ไม่ได้อยู่แค่ในรูปของเงินเท่านั้น เช่น โอกาสการเติบโตในหน้าที่การงาน การพัฒนาในด้านต่างๆ และการยกย่องชมเชยพนักงาน



"ไม่เพียงแต่ความผูกพันต่อองค์กรของพนักงานที่มีประสิทธิภาพเท่านั้นที่สามารถรักษาผู้ที่มีศักยภาพสูงขององค์กรไว้ แต่ยังต้องมีการสนับสนุนพนักงานควบคู่กันไปด้วย" ดร.มานะกล่าว



อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสร้างความผูกพันของพนักงานต่อองค์กรสามารถสร้างผลประกอบการที่ดีขึ้นให้องค์กรอย่างไร ได้ที่เว็บไซต์ www.haygroup.com/insight

เพื่อนที่ดีเหมือนดวงดาว


- เพื่อนที่ดีเหมือนดวงดาว คุณจะไม่ได้เห็นพวกเขาตลอดเวลา แต่คุณจะรู้ว่าเขาอยู่ที่นั่นเสมอ @S4L13_
- จงนับถือตัวเองให้มากพอที่จะรู้ว่า คุณคู่ควรกับสิ่งที่ดีที่สุด #ThaiQuote
- ประสบการณ์ คือของขวัญ อุปสรรคนั้น คือบทเรียน ‏@kpoon_arsenal
-  ทุกความรัก ต้องมี ความเสียใจ ทุกการจากไป ต้องมี เริ่มใหม่เสมอ อย่าท้อ... ‏@aood_da
- "ต่อให้คุณ"___ดีพอ ,หรือ" พอดี " แต่ถ้าคุณ ..."เจอกับคน> "ไม่พอสักที" ____ !!"ความดี..ที่มีก็ไร้ค่า :))) ‏@nam_nize

นั่งสมาธิแล้วรู้สึกว่าตัวหลุดหรือตัวยืดขึ้น



พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo
Glass Rattanayong ปุจฉา – เรียนพระ อาจารย์ค่ะ อยากถามจารย์ว่าเวลานั่งสมาธิแล้วรู้สึกว่าตัวหลุดหรือตัวยืดขึ้นค่ะ ทั้งที่สติรู้ตลอดเวลาเป็นอย่างทั้งที่นั่งและไม่นั่งค่ะหรือทำอะไร เพลินเพลินค่ะ

พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา - ไม่ว่าจะมีอาการใด ๆ เกิดขึ้นกับกายและใจ คุณเพียงแต่รู้เฉย ๆ ก็พอแล้ว ไม่ต้องทำอะไรกับอาการนั้น ๆ ถ้า “เห็น” มัน แต่ไม่ “เป็น”มัน ก็ไม่เกิดปัญหาอะไร จะทำเช่นนั้นได้ก็ต้องอาศัยสติ ถ้าคุณมีสติรู้ตลอดเวลาอย่างที่เล่า ก็จะพบว่ามันไม่ได้สร้างปัญหาอะไรแก่คุณ

วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556

คอนเสิร์ต "รอการผ่าตัดหัวใจ จีน ปุถุชน" 5 ต.ค.2556

@ฝากข่าวคอนเสิร์ต ถึงเพื่อนผองน้องพี่ทุกท่าน*วันเสาร์ที่ 5ตุลาคม56 จะจัดคอนเสิร์ตที่เขาใหญ่ ที่บ้านเขาแคบ ต.หนองน้ำแดง อ.ปากช่อง จ.โคราช ชื่อคอนเสิร์ต "รอการผ่าตัดหัวใจ จีน ปุถุชน"โดยการจัดงานครั้งนี้เกิดจากผู้ใหญ่ใจดีหลายท่าน และกลุ่มต่างๆ ร่วมแรงร่วมใจกันจัดงานนี้ อย่างไงจะแจ้งรายละเอียดต่างๆ และศิลปินที่จะมาเล่นในงาน ให้ทราบอย่างเป็นทางการอีกครั้งครับ (วันที่27ส.ค. 22ก.ย.เข้าพบหมอ และ วันที่29ตุลาคม56 จีน ปุถุชน เข้าโรงพยาบาลศิริราช ผ่าตัดหัวใจ อย่างเป็นทางการ)

ดอกไม้ประจำชาติไทย



หลายคนคงจำได้ว่างานดอกไม้ระดับโลกที่เชียงใหม่นั้นแต่ก่อนคนไทยก็เรียกกันว่า “พืชสวนโลก” ฉันนึกถึงคำๆนึงที่คนโบราณเขาพูดกันว่า “เปิ่น” คำว่า เปิ่น เป็นคำที่คนแต่ก่อนเคยพูดดูถูกกันว่าเป็นคนโง่เง่าเต่าตุ๋น ถ้าใครถูกว่าเปิ่นแสดงว่าเป็นคนขาดความรู้หรืออาจหมายความว่าเป็นคนบ้านนอกคอกนา

ฉันเป็นคนชี้แจงเรื่องนี้ว่า “ไม่มีใครในโลกนี้เขาเรียกกันว่าพืชสวนโลก นอกจากคนไทยที่อยากจะเอางานมาจัดในประเทศถึงขนาดก่อตั้งสมาคมพืชสวนขึ้นมาเพื่อต้องการงานนี้อย่างเห็นได้ชัด”

ตัวฉันเองถูกเชิญไปร่วมงานดังกล่าวแล้วมาหลายปี เพราะงานนี้เป็นงานของกลุ่มประเทศในยุโรปตะวันตกที่ไปกวาดต้อนเอาคนแอฟริกามาไว้ในครอบครอง เมื่อไปกวาดต้อนเอาคนแอฟริกามาก็ต้องหาอาชีพให้เขาทำ .
ความจริงแล้วในภายหลังเราพึ่งมาเรียกกันว่างานราชพฤกษ์ เธอรู้ไหมว่าใครเป็นคนตั้งชื่อนี้ ฉันจะบอกให้ก็ได้ว่าแต่ก่อนประเทศสยามยังไม่มีดอกไม้ประจำชาติ

ต่อมาวันหนึ่งได้มีบุคคลรวม 5 คนด้วยกัน

คนหนึ่งได้แก่คุณเขต นามสกุลศรียาภัย ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีนครกรุงเทพและมีความรู้เรื่องต้นไม้ คนที่สองได้แก่อาจารย์กสิน สุวตพันธุ์ นักพฤกษศาสตร์ประจำกรมเกษตรและการประมง คนที่สามได้แกคุณครูวงศ์ บุญโยรส ซึ่งเป็นครูของหม่อมเจ้าลักษณากรณ์ เกษมสันต์

เจ้านายพระองค์นี้สนพระทัยเรื่องราวและความรู้วิชาพฤกษศาสตร์ และดำรงตำแหน่งหัวหน้ากองพืชพรรณ กรมเกษตรและการประมง

คนสุดท้ายคือตัวฉันเองซึ่งช่วงนั้นมีอายุน้อยที่สุด

เราเรียกประชุมกันหลายหนในที่สุดก็ค้นหาต้นไม้ซึ่งมีดอกอยู่ในธรรมชาติของเมืองไทย

เราได้พบว่าต้นไม้ที่เป็นพรรณไม้ธรรมชาติของเมืองไทยและมี
ดอกสีเหลืองซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนา ในที่สุดเราก็ตกลงกันว่าจะใช้ดอกราชพฤกษ์เป็นดอกไม้ประจำชาติ เราประชุมกันมานานหลายปีแล้ว แต่ตัวฉันเองก็ยังจำได้ว่าเราได้ตกลงกันไว้แบบนี้ เพราะฉะนั้นเมื่อกล่าวถึงดอกไม้ประจำชาติ ฉันก็เป็นคนนึกได้ก่อน ว่าในอดีตเราเคยประชุมกันไว้แล้ว จึงไปค้นเอกสารซึ่งเก็บไว้ที่กระทรวงเกษตรฯ แล้วเราก็พบเอกสารนั้นจริงๆ นี่แหละเป็นที่มีของงานราชพฤกษ์

เมื่อเราพิจารณาสร้างพุทธมณฑล ในช่วงแรกเราได้เอาต้นราชพฤกษ์ไปปลูกไว้ริมถนนรอบพุทธมณฑล แต่ในที่สุดต้นราชพฤกษ์มันก็ไม่ทนปากหนอนเจาะลำต้น

หนอนเจาะลำต้นนั้นมีลักษณะตัวหนอนที่มีผิวบางมากเพราะเป็นลูกหนอนของด้วงปีกแข็ง จึงใช้ลำต้นของต้นไม้เป็นสิ่งห่อหุ้มร่างกาย ส่วนปากหนอนลูกด้วงปีกแข็งนั้นมันมีสีดำและแข็งมาก จนสามารถเจาะเป็นรูชอนไชเข้าไปในลำต้นแทบจะทั่วถึง

ในที่สุดต้นราชพฤกษ์ที่ปลูกไว้รอบพุทธมณฑลมันก็ตายแทบไม่เหลือ

ความจริงแล้วการปราบหนอนเจาะลำต้นนั้น ใช้สำลีชุมแก๊สไข่เน่า ที่เรียกว่าคาร์บอนไบซัลไฟด์ก็เพราะกลิ่นมันเหมือนกับไข่เน่า สารชนิดนี้มีลักษณะเป็นน้ำ ถ้าใช้สำลีชุมแล้วยัดเข้าไปในรูของลำต้นเสร็จแล้วเอาดินเหนียวอุดรุให้หมดปรากฏตัวหนอนตายเรียบ แก๊สไข่เน่าก็คือธาตุคาร์บอนกับแร่กัมถัน Cs2
สารละลายชนิดนี้ใช้ทำลายศัตรูพืชที่เจาะต้นไม้ใหญ่ได้ทุกอย่าง และสารละลายชนิดนี้มีจำหน่ายตามร้านขายเครื่องเคมี

ต้นราชพฤกษ์มีธรรมชาติขึ้นอยู่ในแถบภาคอีสานอย่างกว้างขวาง
ภาคอีกสานในหน้าแล้งนั้นเราจะได้เห็นดอกราชพฤกษ์บานเหลืองไปทั้งป่า

ช่วงที่ฉันเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ฉันสนใจเดินทางไปตั้งค่ายสร้างโรงเรียนกับนิสิตเป็นประจำทุกปี หลายครั้งหลายหนต้องไปอาบน้ำในปลักควายเต็มไปด้วยปลิงตัวใหญ่ๆ

แต่ฉันก็รู้ว่าธรรมชาตินั้น ถ้าด้านหนึ่งมันสูญเสียก็ย่อมมีอีกด้านหนึ่งมาทดแทน

ลูกค่ายเกษตรของฉันทุกคน เธอจำได้หรือเปล่าว่าดอกราชพฤกษ์ในภาคอีกสานนั้นในฤดูแล้งมันสวยงามขนาดไหน
ต้นราชพฤกษ์เป็นพืชตระกูลถั่ว ฝักราชพฤกษ์ในร้านขายยาจีนเขานิยมเอาไปทำยารักษาโรค ภายในฝักมีน้ำตาลในอัตราค่อนข้างสูง

สภาพแวดล้อมในภาคอีสานนั้นมันมีเสน่ห์ก็เพราะความสวยงามของดอกราชพฤกษ์นี่แหละ

ระพี สาคริก — ที่ บ้านระพี สาคริก

เตือนสาวอยากสวย... เล็บปลอมพิษภัยเยอะ


สาวรักสวยรักงามที่นิยมต่อเล็บปลอม เพื่อความเด่นตรงปลายนิ้วมีอันต้องผงะ เพราะผลการตรวจจากห้องแล็บของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขพบว่า จากการตรวจกาวที่ใช้ติดจำนวน 23 ตัวอย่าง พบสารเคมีอันตรายชนิด เอธิล ทู ไซยา โนอะคริเลต ถึง 21 ตัวอย่าง ซึ่งมีปริมาณถึงร้อยละ 0.22 – 99 ในส่วนผสมเลยทีเดียว หากใช้แบบไม่ระมัดระวังโดยไม่มีเครื่องป้องกันอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อเยื่อบุตา ระบบทางเดินหายใจและเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงได้

มีคำเตือนจาก นพ.นิพนธ์ โพธิ์พัฒนชัย อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ว่า การต่อเล็บปลอมที่นิยมในประเทศไทยในขณะนี้ มีอยู่ด้วยด้วยกัน 2 ชนิด คือ

1.เล็บปลอมที่ทำขึ้นจากสารเคมี ไม่มีลวดลาย ต้องทำที่ร้านทำเล็บ โดยผู้ที่ผ่านการอบรมในการเขียนรูป การขึ้นรูปซึ่งจะมีราคาแพง

2 คือ เล็บปลอมที่ทำจากพลาสติก ส่วนใหญ่จะมีลวดลายอยู่แล้วราคาไม่แพงสามารถหาซื้อได้จากร้านค้าทั่วไป และชนิดนี้มักเป็นที่นิยมของสาวๆ เพราะสามารถทำได้ด้วยตนเองเพียงการนำเล็บปลอมมาติดกับเล็บจริง โดยใช้กาวเป็นตัวเชื่อมติด

การใช้กาวติดด้วยตนเองแบบไม่ระมัดระวัง หรือไม่มีเครื่องป้องกัน เช่น ถุงมือผ้าปิดจมูก หมอชี้ว่าอาจเกิดอันตรายต่อผู้ใช้ได้ เนื่องจากกาวที่ใช้เชื่อมติดเป็นชนิด เอธิล ทู ไซยาโนอะคริเลต เป็นสารที่ใช้ยึดติดแบบแห้งเร็ว หรือรู้จักกันในชื่อ ซูเปอร์กลู เป็นส่วนประกอบหลัก ซึ่งอาจทำผู้สัมผัสสารนี้เกิดอาการแพ้ได้ โดยเฉพาะผู้ที่ไวต่อสารเคมีและไอระเหย และยังทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุตาและทางเดินหายใจ หากแพ้มากๆอาจมีอาการช็อกร่วมด้วย
******************* ******************
เครดิต: เรื่องโดย ชีวอโรคยา นำมาจาก TeeNee.com

แบ่งปันความรู้ทั่วไป เพื่อความพอเพียง และสุขภาพที่ดี โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม

ชีวอโรคยา อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีไม่พึ่งสารเคมี ไม่ต้องรอให้ป่วยไปเสียค่ารักษาพยาบาลแพงๆ

ติดตามข้อมูลข่าวสารการดูแลตัวเองวิถีธรรมชาติ ไม่พึ่งสารเคมีได้ที่ Facebook ชีวอโรคยา
www.facebook.com/pages/ชีวอโรคยา/135957369811772

วิธีฆ่าพยาธิในสุนัข

วิธีฆ่าพยาธิในสุนัข  นำใบน้อยหน่า 1 กำมือใหญ่ๆ ตำให้ละเอียด ผสมน้ำครึ่งแก้วกรองเอาแต่น้ำผสมกะทิ อย่างละเท่าๆกัน กรองให้สุนัขกิน
จาก SMS Farmer Info - 11 ส.ค.2556 - 15.15 น.

» Q&A กับ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ...เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา



Q : แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเริ่มมาจากอะไร ?

A : เริ่มมาจากปัญหาที่เรา...ไปเจอนั่นแหละ โลกเวลานี้ก็บริโภคเสียจนกระทั่งเกินเหตุ แล้วก็เกิดวิกฤตซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ้าพูดไปแล้วมีตัวเลขน่ากลัวมาก คือว่า...ชาวโลกบริโภคทรัพยากรธรรมชาติไปในอัตรา ๓ ต่อ ๑ คือบริโภคไป ๓ ส่วน แต่ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติชดเชยกลับมาได้เพียง ๑ ส่วน

ถ้าเราบริโภคในอัตราความเร็วอย่างนี้ก็หมด น้ำมันก็เริ่มมีสงครามแย่งน้ำมันกันแล้วใช่ไหม อีกหน่อยก็มีสงครามแย่งน้ำ สงครามแย่งทรัพยากรกัน แล้วก็มันไม่เพียงพอกับประชากรที่เพิ่มขึ้น ๆ ในขณะนี้ ก็คูณไปสิ มากขึ้น ๆ

เพราะฉะนั้นพอมันเป็นอย่างนี้ หันมาดูประเทศไทยมันก็แบบเดียวกันอีก โลกาภิวัตน์...เราก็ตามโลก มุ่งหาความร่ำรวย มุ่งหาความเจริญเติบโต

แล้วถ้าตัวเองไม่สร้างฐานรากทางเศรษฐกิจและสังคมเอาไว้อย่างมั่นคง พอเศรษฐกิจโตแล้วมันก็แตกเป็นฟองสบู่แบบที่เห็นกันมาหลายครั้งแล้ว โตแล้วก็แตก คือไม่ได้สร้างฐานราก

ก็เลยพระราชทานแนวหลักมาว่า ให้ใช้ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง ชีวิตหลักเช่นทางสายกลาง โดยพระราชทานหลัก ๓ ประการมาให้

◌◌◌◌◌◌◌◌


หลัก ๓ ประการนั่นก็คือว่า...

● ประการที่ ๑ : ทำอะไรต่าง ๆ นั้นใช้เหตุใช้ผลเป็นเครื่องนำทางได้ไหม ?...อย่าเปลี่ยนตามกระแส

คือตามกระแสโลกเราก็รู้อยู่แล้ว โลกทุกวันนี้มันนำไปสู่ความหายนะซ้ำแล้วซ้ำเล่า เราก็ไม่ควรจะตาม เราควรจะมีแนวทางของเรา

เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีเหตุมีผล อย่าไปตามกระแส อย่าไปทำอะไรให้มันล้นไปจนกระทั่งเกิดทุกข์ เพราะคำว่าแตกเนี่ย เศรษฐกิจแตกเพราะเราเป่าให้มันแตก มันต้องโตเสียก่อนแล้วมันถึงจะแตก ลูกโป่งมันต้องเป่าก่อนแล้วมันถึงจะแตก

ฉันใดฉันนั้น ถ้าคิดมันก็เป็นสติเตือนใจ แต่เราไม่ชินกับการทำอะไรด้วยเหตุด้วยผล

◌◌◌◌◌◌◌◌


● ประการที่ ๒ : ทำอะไรพอประมาณได้ไหม ?

คือต้องตรวจดูสภาพก่อนว่าสภาพตัวเราแข็งแรงแค่ไหนอย่างไร ศักยภาพของเราอยู่ตรงไหน เราแข็งจุดไหนบ้าง เราอ่อนจุดไหนบ้าง ตรวจสอบศักยภาพของเราเสียก่อน แล้วทำตามพอประมาณของเราในขณะนั้น ในระดับใดระดับหนึ่งที่มันเหมาะสมกับขนาดของเรา

ผมมักจะชอบเปรียบเทียบกับมวย เราจะไปถึงแชมป์โลกได้ต้องบอกว่ารุ่นไหน ถ้ารุ่นเล็กนี่มาเลย อันนั้นคือความพอประมาณ ศักยภาพเต็มประมาณของเราอยู่ตรงนี้เราสู้ได้ แต่ถ้าชกรุ่นใหญ่ขึ้นไป เราไปไม่ไหว มันเกินจากเราแล้ว

อันนี้คือความพอประมาณ ต้องตรวจสอบสภาพแวดล้อมของเรา มันควรจะเอาเรื่องอะไรมาเป็นที่ตั้งหรือเป็นฐาน

◌◌◌◌◌◌◌◌


● ประการที่ ๓ : จะทำอะไรก็ตามนั้นต้องมี...ภูมิคุ้มกัน !!

คือทำอย่างไรให้นึกถึงวันพรุ่งนี้ว่าพรุ่งนี้มันไม่แน่ ต้องมีหลักประกันอยู่ตลอดเวลา ต้องมีเงินออมไว้หน่อยได้ไหม

สำหรับระดับบุคคลเนี่ยพรุ่งนี้อาจจะไม่สบายก็ได้ เพราะฉะนั้นมีเท่าไหร่ใช้หมด เกิดเจ็บไข้ได้ป่วยจะทำอย่างไร

อย่างเรื่องพลังงาน ดีเซลมันแพงขึ้น ๆ เราจะแสวงหาน้ำมันดีเซลจากพืชหรืออะไรต่ออะไรมาเป็นหลักประกันเรา เราจะได้ไม่ต้องพึ่งภายนอก

ชีวิตเราไม่ต้องขึ้นอยู่กับคนอื่นเขามากเกินไปจนกระทั่งมันขาดอิสรภาพไป อันนี้คือภูมิคุ้มกันที่เราต้องมีตลอดเวลา เพราะว่าอะไรกระทบมาเราจะได้ไม่เดือดร้อน อย่างน้อยเรามีเกราะกำบังของเราไว้

◌◌◌◌◌◌◌◌


อันนั้นคือคำหลัก ๓ ประการ มีเหตุมีผล ต้องยึดความพอประมาณ รู้ศักยภาพของเรา และก็มีภูมิคุ้มกัน

แต่ทรงเน้นว่า...ทั้งหลายทั้งปวงนี้ต้องตั้งอยู่บนฐานจริยธรรมคุณธรรม

คือคนเราต้องมีคุณธรรมต้องมีจริยธรรม ถ้าปราศจากข้อนี้แล้วไม่มีประโยชน์ ร่ำรวยไปถ้าสังคมมันเต็มไปด้วยความทุจริต หรือไม่ซื่อตรง หรือคดโกงกัน หรือเอาเปรียบกัน เบียดเบียนกัน มันก็ไม่มีประโยชน์

เพราะฉะนั้นสังคมทั้งสังคมจะต้องมีจริยธรรมคุณธรรม คือคนต้องดี แล้วเศรษฐกิจพอเพียงที่พระองค์ทรงวางไว้จะได้นำเราไปสู่ "ความร่ำรวยที่ยั่งยืน" ...ไม่ใช่จนลงหรือให้รัดเข็มขัด

ตรงกันข้าม ให้ร่ำรวยแล้วยั่งยืน !!

พระองค์ท่านตรัสว่า เราต้องสร้างรากหรือลงเสาเข็มให้แข็งแรงเสียก่อน แล้วค่อยสร้างบ้าน เพราะฉะนั้นพอบ้านเสร็จแล้วก็จะแข็งแรง

ฉันใดฉันนั้น นี่คือเศรษฐกิจง่าย ๆ เศรษฐกิจพอเพียง แล้วบางคนบอกจะทำเมื่อไหร่ ทำวันนี้พรุ่งนี้ได้เลย ตัวเราเองมีงบเท่านี้ รายได้เท่านี้ ก็อยู่แค่นี้

ไม่ใช่รายได้เท่านี้แต่ไปซื้ออะไรที่มันแพงมาประดับบารมีตามกระแสสังคม ไม่ใช้เหตุใช้ผล มีเงินแค่ซื้อรถคันเล็ก ๆ แต่กลับไปผ่อนรถคันโต ก็แบกไม่ไหว

อาหารการกินก็กินให้มันพอดี กินแพงเกินไป กินมากเกินไปมันก็จุก ไขมันก็เพิ่ม อยู่อย่างเรียบง่ายอยู่อย่างธรรมดาอยู่กับสติอย่างถาวร

◌◌◌◌◌◌◌◌


» บทเสริมท้ายเรื่อง :

ตลอดเวลากว่า ๓๐ ปีที่ ดร. สุเมธได้ถวายงานรับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทำให้ท่านได้รับข้อคิดและบทเรียนอันมีค่ามากมายไม่ว่าในแง่การงานหรือการใช้ชีวิต

ทั้งจากพระบรมราโชวาทในวาระต่าง ๆ และจากการที่ได้ทรงกระทำพระองค์เป็นเยี่ยงอย่าง อาทิ

● การทำงานทั้งหลายต้องทำด้วยใจ ทำด้วยความสนุก

● ทำงานด้วยความรู้ ความรู้จะหยุดนิ่งไม่ได้ ต้องขวนขวายเก็บบันทึกไว้ ความรู้จะต้องพัฒนาอยู่เรื่อย ๆ

● ให้สนุกกับการแก้ปัญหา เห็นปัญหากระโดดเข้าใส่

● ตั้งตนอยู่บนพื้นฐานของความเมตตาและสร้างความสุขให้ผู้อื่น

● หัวสมองต้องทำงานอยู่ตลอด ต้องช่างสังเกต ดูสถานการณ์รอบข้าง อย่าปล่อยให้จิตใจเลื่อนลอย ต้องมี-สติติดตัวตลอด เมื่อมีสติก็มีปัญญา ปัญญาทำให้หูตาสว่าง ไม่หลง

● อย่าฉวยโอกาส ต้องซื่อสัตย์สุจริตระหว่างปฏิบัติงานเป็นที่ตั้ง ฯลฯ


หากเหนืออื่นใด การถวายงานรับใช้ใกล้ชิด ยังทำให้ท่านได้เห็นอย่างชัดเจนถึงพระวิริยะอุตสาหะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการปฏิบัติพระราชกรณียกิจ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ความสุข” ในการ “ทรงงาน” เพื่อพสกนิกรของพระองค์


◌◌◌◌◌◌◌◌


Credit : นิตยสารสารคดี ฉบับที่ 256

มนุษย์เหมือนกับรถยนต์ตรงที่...

People Magazine
มนุษย์เหมือนกับรถยนต์ตรงที่...
- ต้องเติมพลังงานเพื่อการดำรงชีวิต
- มีคันเร่งเพื่อเพิ่มควมเร็วไปข้างหน้า
- มีการใช้เบรคเพื่อหยุดยามจำเป็น
- มีการเข้าเกียร์เพื่อผ่อนช้าและแซงบางจังหวะ
- มีการบำรุงรักษาสภาพทั้งภายในและภายนอก
และผู้คนมักประเมินค่าจากรูปลักษณ์และนามสกุลที่ใช้

by : เหลนเสือฝ้าย
05/08/2556 - 07:17 น.

งานสืบรักษ์ป่า ก้าวสู่ปีที่ 24 สืบ นาคะเสถียร

“ป่าอนุรักษ์ผืนนี้ นับได้ว่าเป็นผืนป่าธรรมชาติที่มีคุณค่าและมีความสำคัญยิ่ง
ต่อการอนุรักษ์ไว้ในรูปแบบของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า
เพื่อให้ยังคงสภาพความเป็นธรรมชาติที่ประกอบไปด้วยความหลากหลายของสภาพป่า
ชนิดพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ ตลอดจนเป็นผืนป่าอนุรักษ์ที่จะสามารถคุ้มครองความอยู่รอดของสัตว์ป่า
มิให้สูญพันธุ์ไป จากการทำลายโดยรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการล่า การตัดไม้ทำลายสภาพป่า
ซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่เฉพาะของสัตว์ป่าแต่ละชนิด
รวมกระทั่งถึงการพัฒนาที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการรักษาระบบนิเวศวิทยาของสิ่งมีชีวิต”

สืบ นาคะเสถียร
---
ดูภาพใหญ่ http://www.huaikhakhaeng.net/images/seub/ex/006.jpg
----
งานสืบรักษ์ป่า ก้าวสู่ปีที่ 24 สืบ นาคะเสถียร
วันที่ 31 สิงหาคม - 1 กันยายน ณ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง

อ่านรายละเอียดกิจกรรมได้ที่
http://goo.gl/HgjF1y

ฉัพพรรณรังสี วินทร์ เลียววาริณ



สยามประเทศในยุคหนึ่ง เมื่อนายกรัฐมนตรีท่านหนึ่งมีอำนาจล้นฟ้า มีผู้ประจบสอพลอท่านโดยบอกว่า “ท่านมีฉัพพรรณรังสีเปล่งออกจากร่าง”

ฉัพพรรณรังสีก็คือ แสงสว่างเรือง ความหมายของคนสอพลอคือ ท่านเป็นคนที่มีบารมีและบุญวาสน

การยกคนด้วยกันให้เป็นเทพที่มี ‘ฉัพพรรณรังสี’ มีในแทบทุกชาติ แต่ผู้นำที่ได้รับคำยกยอว่ามีแสงวิเศษก็ลาจากโลก ถูกลืมหายไปเช่นคนก่อน ๆ เป็นเช่นนี้มาตลอด และคงเป็นเช่นนี้ไปอีกนาน ตราบที่คนยังชอบคำชมปลอม ๆ มากกว่าคำจริง

ในทางวิทยาศาสตร์ แสงรังสีของมนุษย์เป็นสิ่งที่ได้รับการศึกษามานาน เป็นที่เชื่อกันมาแต่โบราณว่า สิ่งมีชีวิตทุกชนิดในโลกมีพลังบางอย่างในตัวเอง พลังนี้จะสูญหายไปเมื่อสิ่งมีชีวิตนั้นกลายเป็นสิ่งไร้ชีวิต

ในทางตะวันออกเชื่อว่าเป็น 'ปราณ' จีนเรียกว่า 'ชี่' ฝรั่งเรียกว่า 'พลังออรา' ในภาพยนตร์ชุด Star Wars ซึ่งก็ยืมความคิดตะวันออกใช้คำว่า 'The Force' ฯลฯ

ตามความเชื่อนี้คือ เมื่อร่างกายของเราแข็งแรง สดใส อิ่มใจ พลังแสงดังกล่าวจะเข้มข้น หากหดหู่หม่นหมองโศกเศร้า แสงนี้ก็จะอ่อนแรง และดับไปเมื่อสิ้นชีพ

จริงหรือไม่ ยังไม่มีคำยืนยันทางวิทยาศาสตร์ แต่ที่แน่ ๆ ก็คือมีคนโยงพลังดังกล่าวเข้ากับอำนาจเหนือธรรมชาติ ชีวิตหลังความตาย อำนาจจิต ฯลฯ

ในปี พ.ศ.2482 นักประดิษฐ์ชาวรัสเซียคนหนึ่งนาม เคอร์เลียน ค้นพบวิธีถ่ายรูปแบบใหม่ โดยการเชื่อมวัตถุนั้นกับกระแสไฟฟ้า เช่น ใบไม้ ภาพที่ถ่ายออกมาจะเป็นใบไม้ที่มีแสงสว่างเรืองออกมา

เคอร์เลียนสรุปว่า แสงสว่างดังกล่าวบ่งชี้ถึงอำนาจเหนือธรรมชาติ แต่นักวิทยาศาสตร์หลายคนก็เห็นแย้ง เพราะเมื่อทดลองถ่ายรูปสิ่งไร้ชีวิต เช่น เหรียญเงิน ก็พบว่ามันมีแสงเรืองออกมาเช่นกัน

ปัจจุบันเต็มไปด้วยการแสดงภาพรังสีที่ฉายออกจาก ‘สิ่งศักดิ์สิทธิ์’ เพื่อวัตถุประสงค์ทางการตลาด คนโง่ก็ตกเป็นเหยื่อของคนโกงไปตลอด

อย่างไรก็ตาม แม้เรื่องนี้ยังเป็นข้อถกเถียงกันระหว่างวงการวิทยาศาสตร์แท้กับเทียม ในทางจิตวิทยากลับเป็นเรื่องที่รับได้อย่างยิ่ง

ความเบื่อหน่าย ความเศร้าหมอง ความทุกข์เป็นเชื้อโรคที่ระบาดง่าย เหมือนการนั่งข้างคนสูบบุหรี่ ช้าหรือเร็วก็ต้องโดนหางเลขไปด้วย อยู่กับคนขี้ทุกข์ เราก็ทุกข์ไปโดยไม่รู้ตัว

เวลาเราอยู่ใกล้คนที่หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เราย่อมรู้สึกดีกว่าอยู่กับคนหน้าบูดบึ้งทั้งวัน ใกล้คนที่พูดจาไพเราะ เราย่อมสบายใจกว่าใกล้คนขี้บ่น หญิงสาวสวยแต่ไม่ยิ้ม คะแนนนิยมก็ลดหายลงไปทันที

ฉัพพรรณรังสีที่มองเห็นได้โดยไม่ต้องผ่านกระแสไฟฟ้า ย่อมสวยงามกว่า นั่นคือฉัพพรรณรังสีแห่งรอยยิ้ม เกิดขึ้นเมื่อคุณเป็นสุข รับรองว่าฉัพพรรณรังสีแบบนี้ เกิดขึ้นกับคุณอย่างฉับพลัน หากคุณทำให้คนอื่นเป็นสุข

วินทร์ เลียววาริณ, 23 สิงหาคม 2551
ข่าวหน้าหนึ่ง, www.winbookclub.com

วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เพราะไม่มีใครบนโลกนี้สามารถอยู่ได้อย่างอมตะ

เพราะไม่มีใครบนโลกนี้สามารถอยู่ได้อย่างอมตะ ไม่ว่าในชีวิตเราจะมีตัวช่วยมากเพียงใด ทั้งเงินทอง ชื่อเสียง อำนาจ ฯลฯ ก็ไม่สามารถเอาชนะความตายได้ ดังนั้นหนังสือเล่มนี้จึงพุ่งไปที่เรื่องความตายของสตีฟ จอบส์
ทั้งที่จอบส์ คือบุคคลผู้มีชื่อเสียงและเป็นไอคอนยุคใหม่ แต่เขากลับเลือกดำเนินชีวิตในทางสวนกับคำว่าทันสมัย ด้วยการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายตามคำสอนของพระพุทธเจ้า และที่น่านำมาเป็นตัวอย่างคือการเตรียมพร้อมรับมือกับความตายของเขา แต่อาจจะเป็นเรื่องยากทีเดียวสำหรับปุถุชนอย่างเรากับการเตรียมตัวเตรียมใจและทำใจยอมรับกับความตายที่ยืนรออยู่ข้างหน้า ซึ่งจอบส์สามารถทำได้...

สูตรปุ๋ยบำรุงไม้ผล

สูตรปุ๋ยบำรุงไม้ผล เปลือเงาะ 100 ส่วน + มูลสัตว์ 10 ส่วน +น้ำ  วางแบบ 3 ชั้น กลับกองทุกๆ 15 วัน นาน 2 เดือน  ใช้ 3 กระสอบ/ต้น บำรุงช่วงตัดแต่ง-ติดลูก-ลูกโต
จาก SMS Farmer Info - 13 ส.ค.2556 - 15.15 น.

ถ้าต้องการพระนิพพานต้องวางขันธ์ ๕

BuddhaSattha
ถ้าต้องการพระนิพพานต้องวางขันธ์ ๕
ธรรมโอวาท หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง

ให้พิจารณาว่า ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา
สังขาร วิญญาณ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
เราไม่มีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่มีในเรา
โดยให้พิจารณาเป็นปกติ เมื่อเห็นว่าขันธ์ ๕ ป่วย
ก็รักษา เพื่อให้ทรงอยู่ แต่เมื่อมันจะพังก็ไม่ตกใจ
หรือมันเริ่มป่วยไข้ ก็คิดว่า ธรรมดามันต้องเป็นอย่างนี้
... เราจะรักษาเพื่อให้ทรงอยู่ ถ้าทรงอยู่ได้
ก็จะอาศัยเพื่องานกุศลต่อไป ถ้าเอาไว้ไม่ได้มันจะผุพัง
ก็ไม่มีอะไรหนักใจ ความทุกข์จะเกิดแก่ตัวเองหรือใคร
อะไรก็ตาม ไม่ผูกจิตติดใจอย่างนี้
จนกระทั่งบรรลุอรหัตผล

ถ้าเราต้องการนิพพาน เราก็วางขันธ์ ๕ คือร่างกาย
เห็นว่าร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา
จนกระทั่งเราไม่ยึดถือในร่างกาย และทรัพย์สมบัติ
ภายนอกว่ามันเป็นเรา เป็นของเรา
ทุกสิ่งทุกอย่างถือว่าเป็นกฎธรรมดา
โลกทั้งโลกเราเห็นว่า เป็นความทุกข์
เราไม่ปรารถนาความเกิดอีก มีใจชุ่มชื่น
มีอารมณ์เบิกบาน มีจิตจับเฉพาะ
พระนิพพานเป็นอารมณ์ อย่างนี้เราก็ถึงพระนิพพาน

ทักท้วงอย่างไรไม่ให้เกลียดกัน



พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo
ปุจฉา - กราบนมัสการ ค่ะดิฉันขอโอกาสเรียนปรึกษาท่านว่า หากเราไม่เห็นด้วยกับการกระทำของเขา เราจะแสดงออกให้เขารู้ได้อย่างไรโดยปราศจากความรุนแรงและไม่เกลียดชังกันคะ ขอบพระคุณค่ะ

พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา - คุณควรพูดกับเขาอย่างสุภาพ พระพุทธเจ้าทรงแนะว่า เมื่อจะแนะนำหรือทักท้วงใคร ควรมีหลักดังนี้ ๑) เป็นความจริง ๒) มีประโยชน์ ๓) พูดด้วยคำสุภาพ ๔) มีเมตตา ๕) ถูกเวลา ข้อสุดท้ายนั้นสำคัญมาก แม้ทำ ๔ ข้อแรกได้ครบถ้วน แต่ถ้าพูดไม่ถูกเวลาก็มีปัญหาได้ กระทั่งคำชมพระพุทธเจ้าก็ยังทรงเน้นว่าต้องชมให้ถูกเวลาด้วย นับประสาอะไรกับการพูดแนะนำหรือทักท้วง

ในกรณีของคุณอาจไม่จำเป็นต้องพูดในเชิงแนะนำหรือทักท้วงก็ได้ แต่พูดว่าคุณรู้สึกและคิดอย่างไรกับการกระทำของเขา มันก่อผลเสียต่อตัวคุณและผู้ อื่นอย่างไร หากเขาทำ ด้วยเจตนาดี ก็ควรบอกเขาด้วยว่าคุณรับรู้เจตนาดังกล่าวของเขา ( หรือรับรู้เหตุผลของเขา) และหากเขาได้ทำสิ่งดี ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกัน คุณก็ควรพูดชมเขาด้วย

พร้อมกันนั้นควรเปิดโอกาสให้เขาชี้แจงหรืออธิบาย หากคุณฟังเขาเขาก็มีแนวโน้มที่จะฟังคุณมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดความรู้สึกโกรธ เคืองระหว่างคุณกับเขาลงได้

วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ปิดทองหลังพระ


ในคืนวันหนึ่งของปีพ.ศ. ๒๕๑๐ (ยศในขณะนั้นพันตำรวจโท..ขอสงวนนาม)
หลังจากได้รับพระราชทานเลี้ยงอาหารค่ำแล้ว ในวังไกลกังวล

ผมจำได้ว่า คืนนั้นผู้ที่โชคดีได้เข้าเฝ้าฯ รับพระราชทานพระจิตรลดา
เป็นนายตำรวจ 8 นาย และนายทหารเรือ 1 นาย....
พระเจ้าอยู่หัว เสด็จลงมาพร้อมด้วยกล่องใส่พระเครื่องในพระหัตถ์
ทรงอยู่ในฉลองพระองค์ชุดลำลอง ขณะที่ทรงวางพระลงบนฝ่ามือที่ผมแบรับอยู่นั้น
ผมมีความรู้สึกว่าองค์พระร้อนเหมือนเพิ่งออกจากเตา
ภายหลัง เมื่อมีโอกาสกราบบังคมทูลถาม จึงได้ทราบว่า พระเจ้าอยู่หัวทรงสร้างพระเครื่ององค์นั้น
ด้วยการนำเอาวัตถุมงคลหลายชนิดผสมกัน เช่น ดินจากปูชนียสถานต่าง ๆ ทั่วประเทศ
ดอกไม้ที่ประชาชนทูลเกล้าถวายในโอกาสต่าง ๆ และเส้นพระเจ้า(เส้นผม) ของพระองค์เอง
เมื่อผสมกันโดยใช้กาวลาเท็กซ์เป็นตัวยึดแล้ว จึงทรงกดลงในพิมพ์
(อ.ไพฑูรย์ เมืองสมบูรณ์ ซึ่งต่อมาเป็นศิลปินแห่งชาติ เป็นผู้แกะถวาย) โดยไม่ได้เอาเข้าเตาเผา
หลังจากที่ได้รับพระราชทานแล้ว ทรงพระกรุณาพระราชทานพระบรมราโชวาทมีความว่า

"พระที่ให้ไปน่ะ ก่อนจะเอาไปบูชา ให้ปิดทองเสียก่อน แต่ให้ปิดเฉพาะข้างหลังพระเท่านั้น"
พระราชทานพระบรมราชาธิบายด้วยว่า ที่ให้ปิดทองหลังพระ
ก็เพื่อเตือนตัวเองว่า การทำความดีไม่จำเป็นต้องอวดใคร
หรือประกาศให้ใครรู้ ให้ทำหน้าที่ เพื่อหน้าที่ และถือว่า
ความสำเร็จในการทำหน้าที่เป็นบำเหน็จรางวัลที่สมบูรณ์แล้ว

ผมเอาพระเครื่องพระราชทานไปปิดทองที่หลังพระแล้ว
ก็ซื้อกรอบใส่ หลังจากนั้นมา สมเด็จจิตรลดาหรือพระกำลังแผ่นดินองค์นั้น
ก็เป็นพระเครื่องเพียงองค์เดียวที่ห้อยคอผม
หลังจากที่ไปเร่ร่อนปฏิบัติหน้าที่อยู่ไกลห่างพระยุคลบาท
ผมได้มีโอกาสกลับไปเฝ้าฯ ที่วังไกลกังวลอีก ความรู้สึกเมื่อได้เฝ้าฯ
นอกจากจะเป็นความปีติยินดีที่ได้พระยุคลบาทอีกครั้งหนึ่งแล้ว
ก็มีความน้อยใจที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความตั้งใจ ลำบาก และเผชิญอันตรายนานาชนิด
บางครั้งจนแทบเป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ปรากฎว่ากรมตำรวจมิได้ตอบแทนด้วยบำเหน็จใด ๆ ทั้งสิ้น
ก่อนเสด็จขึ้นคืนนั้น ผมจึงก้มลงกราบบนโต๊ะเสวย แล้วกราบบังคมทูลว่า
ใคร่ขอพระราชทานอะไรสักอย่างหนึ่ง
พระเจ้าอยู่หัวตรัสถามว่า "จะเอาอะไร?"
และผมก็กราบบังคมทูลอย่างกล้าหาญชาญชัยว่า
จะขอพระบรมราชานุญาต ปิดทองบนหน้าพระ ที่ได้รับพระราชทานไป
พระเจ้าอยู่หัวตรัสถามเหตุผลที่ผมขอปิดทองหน้าพระ
ผมกราบบังคมทูลอย่างตรงไปตรงมาว่า..
พระสมเด็จจิตรลดาหรือพระกำลังแผ่นดินนั้น นับตั้งแต่ได้รับพระราชทานไปห้อยคอแล้ว
ต้องทำงานหนักและเหนื่อยเป็นที่สุด เกือบได้รับอันตรายร้ายแรงก็หลายครั้ง
มิหนำซ้ำกรมตำรวจยังไม่ให้เงินเดือนขึ้นแม้แต่บาทเดียวอีกด้วย

พระเจ้าอยู่หัวทรงแย้มพระสรวล (ยิ้ม) ก่อนที่จะมีพระราชดำรัสตอบด้วยพระสุรเสียงที่ส่อพระเมตตาและพระกรุณาว่า

"ปิดทองไปข้างหลังพระเรื่อย ๆ แล้วทองจะล้นออกมาที่หน้าพระเอง..."

***
พระมหากษัตริย์ผู้ทรงคุณอันประเสริฐ เปี่ยมด้วยทศพิธราชธรรม ทรงเป็นของขวัญอันล้ำค่าของปวงพสกนิกร ขอจงทรงพระสิริสวัสดิ์ ทรงพระเกษมสำราญ มีพระพลานามัยแข็งแรง ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

การวางแผนชีวิตแบบพุทธ



Sarun K Viriyasiripong - ในพุทธศาสนา มีการสอนเรื่องการตั้งเป้าหมายและวางแผนชีวิต อย่างไรครับ

พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา - พุทธศาสนาสอนว่า การดำเนินชีวิตของคนเราควรมีจุดหมาย ๓ ขั้น ขั้นแรกคือการบรรลุประโยชน์ปัจจุบัน (ทิฏฐธัมมิกัตถะ) ได้แก่ มีสุขภาพดี มีอาชีพสุจริต มีสถานภาพดี มีครอบครัวผาสุก เรียกง่าย ๆ ว่า ประโยชน์หรือความสุขทางโลก

ขั้นต่อมาคือ บรรลุประโยชน์เบื้องหน้า (สัมปรายิกัตถะ) หรือความสุขทางใจ ได้แก่ ความอบอุ่นใจ มีเครื่องยึดเหนี่ยวทางใจ (เพราะศรัทธา) มีความภูมิใจในชีวิตที่สะอาด (เพราะศีล) มีความอิ่มใจในชีวิตที่มีคุณค่า เอื้อเฟื้อผู้อื่น (เพราะมีจาคะ) มีความแกล้วกล้ามั่นใจในการแก้ปัญหาชีวิต (เพราะมีปัญญา) และมีความโล่งจิตมั่นใจ (เพราะทำกรรมดี)

ขั้นสุดท้ายคือ บรรลุประโยชน์สูงสุด (ปรมัตถะ) ได้แก่ จิตใจที่ไม่หวั่นไหวแม้มีอะไรมากระทบ มีจิตโปร่งโล่งเบา เกษมศานต์มั่นคงเป็นอิสระ ทั้งนี้เพราะมีปัญญารู้ทันธรรมดาของชีวิต

จะทำเช่นนั้นได้ก็ต้อง หมั่นฝึกฝนตน ตามหลักไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา โดยไม่จำเป็นต้องทำทีละอย่าง สามารถทำร่วมกันไปได้ แต่จุดเน้นอาจแตกต่างตามวัยและโอกาส

การแก้ปัญหากบมีสีดำ

การแก้ปัญหากบมีสีดำ ไม่น่ารับประทาน ให้นำดินจอมปลวกใส่ในบ่อเลี้ยงกบประมาณ 5-7 วันก่อนจับขาย กบจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองสวยงาม ขายได้ราคา
จาก SMS Farmer Info - 7 ส.ค.2556

***วิธีนอนหลับง่าย หลับสนิท หลับสบาย หลับลึก***



1. ฝึกเข้านอนให้ตรงเวลา ร่างกายของเราถูกสร้างมาให้ทำงานสอดคล้องกับความเป็นไปในธรรมชาติ นั่นแหมายความว่า เราควรพยายามนอนและตื่นเป็นเวลาเดิมทุกวันทุกเช้า ไม่ว่าเมื่อคืนจะนอนกี่ทุ่ม การชดเชยเวลา
นอนที่เสียไปด้วยการนอนตื่นสายในวันสุดสัปดาห์จะทำให้ตื่นยาก เมื่อถึงเช้าวันที่ต้องไปทำงาน

2. อาบน้ำอุ่นก่อนนอน เป็นการช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ ช่วยให้เลือดในร่างกายหมุนเวียนได้ดี และช่วยให้เรานอนหลับสบายขึ้น

3. ผ่อนลมหายใจ โดยเริ่มจากหายใจเข้าทางจมูก นับ 1-5 ในใจ จากนั้นปล่อยลมหายใจออกทางปากช้า ๆ ในระหว่างนั้น นับ 1-10 ในใจจะรู้สึกว่าร่างกายผ่อนคลายลงทันที ขณะเดียวกันควรปล่อยวางเรื่องเครียดไปพร้อม ๆ กันด้วย

4. ดื่มนมอุ่น ๆ สัก 1 แก้ว กรดอะมิโนในนมมีส่วนช่วยในการทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายและนอนหลับได้สบายขึ้น

5. จิบน้ำผึ้งสักครึ่งช้อนชา เพียง 5 นาทีหลังจากที่ดื่มน้ำผึ้งจะเข้าไปมีส่วนกระตุ้นให้สมองหลั่งสารซีโรโทนิน ซึ่งส่งผลให้เรารู้สึกผ่อนคลาย และช่วยทำให้คุณง่วงได้

6. ทำมือให้อุ่น การทำมือให้อุ่นจะสามารถลดความตึงเครียดลงได้ก่อนนอนอาจจะแช่มือในน้ำอุ่นสักครู่ ก็มีส่วนช่วยทำให้คุณนอนหลับได้ง่าย และสบายขึ้น

7. ออกกำลังกาย การออกกำลังกายอย่างหนัก 4 ชั่วโมงก่อนนอน อาจทำให้นอนยากขึ้น แต่หากทำก่อนหน้านั้นสัก 6 ชั่วโมง จะช่วยให้นอนหลับสบายขึ้นเมื่อถึงเวลานอน และหลับได้ลึกอีกด้วย

8. เลือกเสียงเพลงขับกล่อม บรรยากาศที่ดีช่วยให้เราเคลิบเคลิ้มได้ไม่ยาก ลองเลือกเพลงบรรเลงเบา ๆ ที่ช่วยผ่อนคลายจิตใจให้ดูสงบมาฟัง อาจจะช่วยเร่งให้การนอนได้เร็วและลึกขึ้น ควรตั้งเวลาปิดเพลงด้วยก็ดี เพราะขณะนอนหลับควรเป็นเวลาที่เงียบจะดีที่สุด

9. สร้างบรรยากาศในการนอน อุณหภูมิภายในห้องควรอยู่ที่ระดับเย็นสบาย ห้องนอนควรมืดสนิท โดยใช้ผ้าม่านเนื้อหนา เพื่อสร้างบรรยากาศในการนอน ความมืดสนิทจะช่วยให้หลับง่ายและเร็วขึ้น


สิ่งที่ไม่ควรทำก่อนเข้านอนสำหรับคนนอนยาก

1. ไม่เปิดวิทยุหรือโทรทัศน์ทิ้งไว้ เพราะแทนที่คุณจะได้นอนหลับอย่างเป็นสุขก็อาจจะฟังวิทยุหรือดูโทรทัศน์เพลินจนลืมความง่วงและนอนหลับได้ยากขึ้น

2. ควรหลีกเลี่ยงชากาแฟ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ก่อนนอนอย่างเด็กขาดเพราะจะทำให้ประสาทแข็งและนอนหลับได้ยากขึ้น

3. อย่าแบกงานขึ้นไปบนเตียง เพราะมันจะคอยหลอกคุณให้คิดวนเวียนอยู่กับเรื่องงานและตาสว่างจนเลยเวลานอน

4. อย่าจับจ้องกับเวลาว่าตอนนี้เวลาล่วงเลยไปดึกแค่ไหน การจดจ่อกับนาฬิกายิ่งทำให้คุณกระวนกระวายนอนหลับได้ยากขึ้น

ที่มา : modernmom/n3k.in.th
(ขอบคุณข้อมูลจาก สาระเพื่อสุขภาพ)

วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เมื่อใจชอบลบหลู่ ดูหมิ่นสิงศักดิ์สิทธิ์




ปุจฉา - กราบนมัสการพระอาจารย์ค่ะ ตอนนี้จิตใจของลูกเป็นทุกข์เหลือเกินค่ะ ด้วยเหตุเกิดจากจิตคิดในสิ่งที่ไม่ดีต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งที่ลูกเองไม่อยากคิด ในทางวิทยาศาสตร์นั้น จัดเป็นอาการทางจิตหรือโรคย้ำคิดย้ำทำ หลายครั้งขณะที่ลูกแสดงความเคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็มักจะมีความคิดว่าร้ายผุดขึ้นมาจนน่ากลัว ลูกพยายามวางใจ ดูจิต ไม่กดข่มแล้ว แต่ทุกครั้งที่เกิดเรื่องแบบนี้ ก็อดหวาดกลัวไม่ได้ หัวใจร้อนเหมือนโดนไฟ มันทรมานเหลือเกินค่ะ ตัวลูกเองก็อยากมีจิตที่ปกติเหมือนคนอื่นเขา อยากกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยใจที่ผ่องใส แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้เลย

ถ้าเราวางเฉยต่อความคิดนั่น ไม่กดข่ม ปล่อยให้มันคิดไป แล้วดับไปเอง ลูกก็ใจแข็งไม่มากพอ เพราะถ้าปล่อย ความคิดชั่วนั้นจะลามมากนัก ลูกกลัวเหลือเกินว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านจะโกรธลูกค่ะ พอครั้นจะกดข่มไม่ให้ ความคิดเกิดก็ทรมานในใจ กดไว้ไม่อยู่ดีนัก

ลูกควรวางใจอย่างไรดีคะ ควรฝึกคิดอย่างไร ให้จิตพ้นจากความกลัวขณะที่ลูกกราบไหว้ท่าน เพราะเพียงแค่ประนมมือไหว้เท่านั้น จิตชั่วมันจะผุดออกมาทันที มันเร็วจนน่าตกใจ สุดท้าย ลูกก็ทุกข์ เป็นวงจรมานานนักหนา ลูกขอคำปรึกษาจากพระอาจารย์ด้วยนะคะ สาธุค่ะ

พระไพศาล วิสาโล - สิ่งที่คุณเล่ามานั้น ไม่ได้เกิดกับคุณคนเดียว แต่เกิดกับคนเป็นจำนวนไม่น้อย (เป็นแต่เขาไม่ค่อยเปิดเผย เพราะกลัวว่าคนจะไม่เข้าใจ) ไม่ถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติ สิ่งที่คุณควรทำก็คือ รับรู้มันเฉย ๆ อย่ากดข่มมัน เพราะยิ่งกดข่ม หรือยิ่งต่อต้านผลักไส มันยิ่งผุดยิ่งโผล่ เหมือนยิ่งห้าม ก็ยิ่งยุ หลายคนได้ทำตามที่อาตมาแนะนำดังกล่าว ก็รู้สึกดีขึ้น

อาการแบบนี้จะเรียกว่าเป็นอุบายของมารก็ได้ มันไม่อยากให้เห็นคุณใฝ่ธรรม จึงหาทางกลั่นแกล้ง ถ้าคุณไปใส่ใจกับมัน คุณก็ตกหลุมมัน ถ้าไม่อยากตกหลุมมัน ก็อย่าไปสนใจมัน มันจะก่อกวนอย่างไร ก็ช่างมัน คุณต้องใจแข็งเหมือนกับเวลาเด็กเกเร ชอบก่อกวน เพื่อเรียกร้องความสนใจ เมื่อมันรู้ว่าวิธีนี้ไม่ได้ผล มันก็จะค่อย ๆ เลิกราไปเอง

อย่าไปห่วงว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะโกรธเคือง หรือคิดว่านี่เป็นการจาบจ้วงท่าน ท่านย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า นี่เป็นฝีมือของมาร ไม่ได้เกิดจากความตั้งใจของคุณ ขอให้คุณสบายใจ และทำตามที่อาตมาแนะนำ ก็จะดีขึ้นเรื่อย ๆ

เหตุใดฉันจึงไม่ยอมไปศึกษาต่อ เพื่อเอาปริญญาด็อกเตอร์จากเมืองนอก

ศาสตราจารย์ ระพี สาคริก
เหตุใดฉันจึงไม่ยอมไปศึกษาต่อ
เพื่อเอาปริญญาด็อกเตอร์จากเมืองนอก

การพึ่งพาตนเองคือสมบัติอันล้ำค่าของมนุษยชาติ แต่การแข่งขันกันระหว่างมนุษย์กับมนุษย์นั้นคือศัตรูอันร้ายกาจของการพึ่งพาตนเอง
ประเด็นนี้ฉันได้เคยสนทนากับท่านเจ้าคุณพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นปราชญ์การศึกษา ในฐานะที่ได้เคยร่วมงานกันปูพื้นฐานการศึกษาให้มหาวิทยาลัยสงฆ์มาในอดีต
ถ้าแต่ละคนรู้จักใช้ชีวิตในการเรียนรู้อดีตความเป็นมาของทุกสิ่งทุกอย่างโดยถือว่าอดีตจากการปฏิบัติของตัวเองเป็นพื้นฐานหลัก ภายในจิตใต้สำนึกย่อมหยั่งรู้ได้ว่า ชีวิตกับความเป็นมนุษย์นั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
โลกภายนอกได้ให้ชีวิตสัตว์และมนุษย์มาเพื่อกำหนดวิถีการเปลี่ยนแปลงคู่กันกับโลกได้ให้ชีวิตพืชพรรณอย่างหลากหลายมาไว้เพื่อให้สัตว์และมนุษย์มีโอกาสใช้เป็นอาหารและยารักษาโรค

ธรรมชาติได้กำหนดให้มนุษย์คือชีวิตที่วิวัฒนาการมาจนสุดอยู่ทีโค้งสุดท้าย แล้วมนุษย์ก็ทำลายกันเองตามหลักธรรม

หวนกลับไปพิจารนาสู่อดีตเราจะเห็นว่าสัตว์โลกที่วิวัฒนาการมาจนถึงมนุษย์นั้นได้มีพฤติกรรมทำลายกันเองมาตลอด แต่ยังไม่ถึงที่สุดจนกว่าวิวัฒนาการของสัตว์โลกจะเปลี่ยนแปลงมาถึงมนุษย์ชาติอันนับได้ว่าถึงโค้งสุดท้ายแล้ว

มนุษย์ย่อมหวนกลับมาทำลายตัวเอง ซึ่งเรื่องนี้พุทธทำนายก็ได้ชี้ไว้อย่างชัดเจน

ฉันได้บันทึกไว้ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่มีค่าเท่ากัน แม้ผงธุลีที่ปลิวอยู่ในอากาศในที่สุดก็ตกลงมากลายเป็นพื้นดินเป็นสัจธรรม ไม่มีสิ่งใดที่จะลอยอยู่ได้ในเมื่อโลกมีแรงดึงดูดหรืออีกนัยหนึ่งวัตถุขนาดใหญ่ย่อมมีแรงดึงดูดวัตถุขนาดเล็กเป็นธรรมดา

มนุษย์ทุกวันนี้แม้วิวัฒนาการมาจากชีวิตสัตว์ที่เล็กที่สุด แต่ก็ยังมีการกลัวความตายอยู่นั่นเอง

มนุษย์ชอบอ้างคำว่าประว่าประชาธิปไตย แต่มนุษย์ก็ไม่มีปัญญาเพราะหารู้ไม่ว่าทุกคนจะต้องเผชิญกับเผด็จการโดยธรรมชาตินั่นก็คือความตายนั่นเอง

หลายคนมักตั้งคำถามว่าเราเกิดมาทำไม แต่น้อยคนนักที่จะหยั่งรู้ความจริงได้ว่าเราเกิดมาก็เพราะต้องมุ่งวิถีชีวิตไปสู่ความตายอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น คงเหลือแต่การสร้างคุณงามความดีฝากไว้แก่โลกภายนอก

บ้านระพี สาคริก พหลโยธิน 41 จตุจักร กรุงเทพฯ 10900

ระพี สาคริก
2 กรกฎาคม 2556 — ที่ บ้านระพี สาคริก

วิธีกระตุ้นสะเดาให้ออกดอกก่อนฤดูกาลปกติ

วิธีกระตุ้นสะเดาให้ออกดอกก่อนฤดูกาลปกติ นำปุ๋ยยูเรีย 1 กก. + น้ำ 20 ลิตร คนจนละลายแล้วฉีดด้วยเครื่องพ่นแรงดันสูง ให้ทั่วต้น อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง
จาก SMS Farmer Info - 8 ส.ค.2556

"บทเรียนมีคุณ ค่าจากผู้สูงอายุ"...

"บทเรียนมีคุณ ค่าจากผู้สูงอายุ"...
โดย Karl A. Pillemer...
แนะ นำให้สอนลูกหลาน
http://www.huffingtonpost.com/karl-a-pillemer-phd/top-10-lessons-for-living_b_1133585.html
อาจารย์ท่านหนึ่ง ของ Cornell ชื่อ Karl Pillemer ซึ่ง ได้ไปสัมภาษณ์ชาวอเมริกัน ที่อายุเกิน 70 ปีขึ้นไปมากกว่า 1,200 คน โดยคำถามเด็ดนั้นอยู่ที่ว่า “จาก ประสบการณ์ชั่วชีวิตคุณ อะไรคือบทเรียนสำคัญที่สุดที่อยากจะฝากไว้ให้ลูกหลาน” แล้ว ก็นำมาเขียนเป็นหนังสือชื่อ 30 Lessons for Living ครับ แต่เขาได้คัดเลือกบทเรียนสำคัญ 10 ประการ ที่โดดเด่นเอาไว้ครับ โดยบทเรียนทั้ง 10 ประการ ประกอบด้วย
1. ให้ เลือกอาชีพโดยดูจากความต้องการ ภายในมากกว่าผลตอบแทนด้านการ เงิน โดยบรรดาผู้สูงวัยกล่าวว่าความผิดพลาดสำคัญในการเลือกอาชีพของเขา คือ การเลือกอาชีพโดยดูจากผลตอบแทนมากกว่าสิ่งที่ชอบและคุณค่าของอาชีพ
2. ให้ ปฏิบัติต่อร่างกายเหมือนกับต้อง ใช้งานไปอีกร้อยปี โดยให้ลดและเลิกพฤติกรรมที่ทำ ร้ายร่างกายเราไม่ว่าจะเป็นการ สูบบุหรี่ กินอาหารที่ไม่ดี หรือไม่ออกกำลังกาย พฤติกรรมเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เราเสียชีวิตในฉับพลัน แต่ทำให้เราเกิดความทรมานเมื่อ สูงวัย
3. ตอบ ตกลงต่อโอกาสที่เข้ามา โดยเมื่อมีโอกาสหรือความท้าทาย เข้ามา ต้องอย่า ปฏิเสธครับ เพราะส่วนใหญ่มักจะมาเสียใจหรือเสียดายในภายหลัง
4. เลือก คู่ด้วยความระมัดระวัง อย่ารีบร้อนตัดสินใจ ใช้เวลาในการดูและทำความรู้จักคนที่เราจะอยู่ด้วย อย่ารีบด่วนตัดสินใจที่จะอยู่ ด้วยกันจนกว่าจะรู้จักอีกฝ่าย หนึ่งอย่างถ่องแท้
5. เที่ยวให้มากไว้ (ชอบมากครับ) เมื่อ มีโอกาสให้เดินทาง ครับ คนสูงวัยส่วนใหญ่จะมองย้อนกลับมายังโอกาสต่างๆ ที่ได้ท่องเที่ยวเดินทาง และมองว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญ และมีคุณค่าของชีวิตเลยทีเดียว
6. ให้ พูดในสิ่งที่อยากจะพูด เนื่องจากเรามักจะเสียใจและ เสียดาย ว่าไม่ได้พูดในสิ่งที่เราอยากจะพูดกับหลายๆ คน เมื่อไม่มีโอกาส เราจะมีโอกาสแสดงความรู้สึกที่แท้จริงต่อผู้อื่นได้ ก็ต่อเมื่ออีกคนหนึ่งยังมีชีวิต อยู่เท่านั้นนะครับ
7. เวลา เป็นของมีค่า ชีวิตของเรานั้นแสนสั้น แต่ไม่ใช่ให้มานั่งเศร้า นะครับ แต่ให้ ทำในสิ่งที่สำคัญและมีค่าเดี๋ยว นี้ เนื่องจากยิ่งเราอายุมากขึ้น เราจะพบว่าเวลายิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็วขึ้น
8. ความ สุขเป็นสิ่งที่เราเลือกเอง ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจาก เงื่อนไขต่างๆ คำแนะนำหนึ่ง ก็คือ จง รับผิดชอบต่อความสุขของตัวเรา เองตลอดชีวิตเรา
9. การ ใช้เวลามานั่งกังวลต่อสิ่ง ต่างๆ นั้นเป็นการเสียเวลา ดังนั้น ให้ หยุดกังวลครับ หรือไม่ก็พยายามลดความกังวลลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความกังวลในสิ่งที่ไม่เกิด ขึ้น
10. คิด เล็ก-อย่าคิดใหญ่ ค่อยๆ ซึมซับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ แต่เป็นสิ่งที่ดีในชีวิตเรา และมีความสุขกับสิ่งเหล่านั้นครับ

วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ในขณะที่เราให้ทาน


"ในขณะที่เราให้ทาน สภาวะใจของเราเป็นเช่นไร หากเราให้แล้วตัดขาดจากใจเหมือนตัดบัวไม่เหลือใย ไม่มีอะไรเหลือติดอยู่เลย ให้แล้วก็ปลื้มปีติยินดี ไม่นึกเสียดายในภายหลัง บุญกุศลที่เกิดขึ้นย่อมจะยิ่งใหญ่ไพศาล เราต้องทำให้ได้อย่างนี้ เพื่อจะได้บุญอย่างเต็มเปี่ยมไม่มีหกไม่มีหล่นเลยแม้แต่น้อย"
พระเทพญาณมหามุนี

ขออนุโมทนาบุญกับมหาทานในเช้าวันนี้ด้วย สาธุ
.............................................................
เติมความสุข กำลังใจ สู่ความสำเร็จในการดำเนินชีวิตที่ดีงาม
www.facebook.com/ThanavuddhoStory

แรกดำรัส พ่อตรัส ปฐมวาท

จะกู่ร้องว่ารักพ่อให้ก้องโลก แฟนเพจ
พ่อผู้เสียสละ

.. แรกดำรัส พ่อตรัส ปฐมวาท
พ่อประกาศ บอกกล่าว ชาวสยาม
พ่อจะครอง ผืนแผ่นดิน ถิ่นไทยงาม
ด้วยคุณธรรม ประโยชน์สุข ทุกหมู่ไทย
..วันเดือนปี หมุนผันผ่าน กาลผันเปลี่ยน
หลายปีเวียน มาบรรจบ ครบศกใหม่
สองหมื่นวัน ผันและผ่าน กาลเปลี่ยนไป
น้ำพระทัย พ่อคงมั่น ในสัญญา
..พ่อทรงธรรม ทรงปฏิบัติ อย่างชัดเจน
ตามหลักเกณฑ์ ทฤษฎีใหม่ ใช้ศึกษา
สร้างอาชีพ สร้างพลัง สร้างนครา
สังคมไทย งดงามตา ด้วยบารมี
..พ่อทรงเป็น ยศยิ่งกว่า มหากษัตริย์
พ่อทรงเป็น นักปราชญ์ ศาสตราศี
พ่อทรงเป็น นักประดิษฐ์ คิดวิธี
พ่อทรงเป็น บุพการี ชีวีไทย ( ทั้งประเทศสยาม )

ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

อิฐแดงแก้ปัญหายุงไข่ในน้ำได้

เพียงนำอิฐแดงมาล้างแล้วตากแดดให้แห้ง นำไปเผาจนร้อนจัด แล้ววางในภาชนะใส่น้ำ ทำเพียงเดือนละครั้งเท่านั้น ช่วยแก้ปัญหายุงไข่ในน้ำได้
จาก SMS Farmer Info - 10 ส.ค.2556

มีข้อต่อตรงกลางที่เป็นสะพานให้ความทุกข์เข้ามาถึงใจ

เวลามีอะไรมากระทบใจ หรือกระทบกาย ไม่ใช่ว่าเราทุกข์ทันที มันจะมีข้อต่อตรงกลางที่เป็นสะพานให้ความทุกข์เข้ามาถึงใจ

เวลาเจอแดด เจอฝน เจอเสียงดัง เราไม่ได้ทุกข์ทันที มันต้องผ่านข้อกลางหรือสะพานก่อน ข้อกลางหรือสะพานนั้นคืออะไร ถ้าพูดอย่างง่ายๆ คือความหลงลืม ความไม่มีสติ เมื่อไม่มีสติ เวลามีอะไรมากระทบมันก็แล่นตรงไปถึงใจทันที ทำให้ทุกข์

เคยเล่าเรื่องหลวงปู่บุดดา ถาวโรแล้ว มีเสียงดังจากห้องข้างเคียง ทำให้ลูกศิษย์รำคาญ หงุดหงิด เพราะรบกวนหลวงพ่อที่กำลังจำวัด ลูกศิษย์จึงบ่นออกมาว่า เดินเสียงดังจัง หลวงพ่อแม้จะหลับแต่ก็ได้ยิน จึงพูดเบา ๆ ว่า “เขาเดินของเขาอยู่ดีๆ เราเอาหูไปรองเกี๊ยะเขาเอง”

เราเอาหูไปรองเกี๊ยะเขาเพราะอะไรเพราะเราไม่มีสติ เมื่อเสียงเกี๊ยะมากระทบหู เราไม่ได้ทุกข์ทันที มันต้องมีความหลงลืมเกิดขึ้นก่อน ความทุกข์ถึงจะเดินไปถึงใจได้ แต่ถ้าเรามีสติ ก็เหมือนกับเรากำลังชักสะพานออก เหมือนกับว่าข้อตรงกลางมันหลุด เสียงที่มากระทบก็ไม่สามารถกระเทือนไปถึงใจได้ เมื่อสะพานถูกชักออกแล้ว มันก็ไม่สามารถเข้ามาถึงใจได้

พระไพศาล วิสาโล

วันพฤหัสบดีที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2556

คำสอนของคุณแม่จันดี โลหิตดี จะประดับในใจเสมอ

คำสอนของคุณแม่จันดี โลหิตดี จะประดับในใจเสมอ
ด้วยความอาลัยยิ่ง
ธรรมทาน

นักปฏิบัติ หลงติดอยู่ที่ความพอใจ และไม่พอใจ เป็นเครื่องอยู่ เอาความพอใจ และไม่พอใจเป็นเครื่องอยู่ เมื่อพอใจ ได้สมใจก็เป็นสุข เมื่อไม่พอใจก็เกิดทุกข์ แต่ทั้งสุขและทุกข์ ก็ยังเป็นเงื่อนของสมมุติ

ไม่มีใครคิดที่จะอยู่ตรงกลาง ระหว่างสุขกับทุกข์ เพราะตรงนั้นไม่มีทั้งความพอใจ และไม่พอใจ แต่เป็นความพอ พอดี ผู้ที่หลงเพลิน เล่นอยู่กับความพอใจ และไม่พอใจ จึงได้หนังสือเดินทางแห่งการท่องเที่ยวของภพชาติติดตัวไปตลอด ความพอใจ และไม่พอใจ เป็นอาหารชั้นยอดเยี่ยมของกิเลส

คุณแม่จันดี โลหิตดี

อย่าได้พยายามอธิบายหรือโต้เถียงกับบุคคลที่ไม่ชอบท่าน

วาทกรรมสร้างสรรค์พลังบวก

อย่าได้พยายามอธิบายหรือโต้เถียงกับบุคคลที่ไม่ชอบท่านหรือท่านไม่ชอบพวกเขาให้เสียเวลาไปเลยนะ เพราะย่อมไม่มีใครฟังเหตุผลของใครหรอก เพราะทุกคนนั้นย่อมคิดว่าเหตุผลของตนถูกต้องที่สุด อยู่ห่างไกลกันไปเลยดีกว่า แผ่เมตตาและอโหสิกรรมต่อกันนั่นแหละเป็นหนทางอันประเสริฐและสงบ

เรื่องเล่าน่ารักๆ ของในหลวง..



เคยมีเรื่องเล่าให้ฟังว่า ในหลวงเสด็จไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อเยี่ยม เยียนราษฎรอยู่ครั้งหนึ่งพระองค์ ท่านทรงแจกพระเครื่องให้กับราษฎรจนหมดแล้วแต่ ราษฎร ผู้หนึ่งกราบบังคมทูลขอรับพระราชทานพระ เครื่องว่า 'ขอเดชะ ขอพระหนึ่งองค์' ในหลวง ทรงตรัสว่า 'ขอเดชะ พระหมด แล้ววันหนึ่งพระองค์ ท่านเสด็จ เยี่ยมเยียนพสกนิกรของท่านตามปกติที่ต่างจังหวัดก็มี ชาวบ้านมาต้อนรับในหลวงมากมายพระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาตามลาดพระ บาท ที่ แถวหน้าก็มีหญิงชราแก่คนหนึ่งได้ก้มลงกราบแทบพระบาท แล้วก็เอามือของแกมาจับพระหัตถ์ของในหลวง แล้วก็ พูดว่า 'ยายดีใจเหลือ เกินที่ได้เจอในหลวง' แล้วก็พูด ว่า ยายอย่างโน้น ยายอย่างนี้ * * * กตั้งมากมาย แต่ ในหลวงก็ทรงเฉยๆ มิได้ตรัสรับสั่งตอบว่ากระไร แต่ พวก ข้าราชบริพารก็มองหน้ากันใหญ่ กลัวว่าพระองค์จะทรงพอพระราชหฤหัยหรือไม่แต่พอพวกเราได้ยินพระองค์รับสั่ง ตอบว่ากับ หญิงชราคนนั้นทำให้เราถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ ไม่ไหว เพราะ พระองค์ทรงตรัสว่า ' เรียกว่ายายได้อย่าง ไร

อายุอ่อนกว่าแม่ ฉันตั้งเยอะต้องเรียกน้าซิถึงจะ ถูก'

วันพุธที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ต้นเเบบที่ดี..บ่งชี้อนาคตชาติ

Ton Unruan
ต้นเเบบที่ดี..บ่งชี้อนาคตชาติ

หลังจากปรากฏภาพการสอบผ่านสื่อ ระหว่างการสอบภาควิชาอุตสาหกรรมสิ่งทอ คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

ต่อมา..อาจารย์ผู้สอนชี้แจงว่า ตั้งใจจะแทรกเรื่องคุณธรรมจริยธรรม จึงถามนิสิตถึงการป้องกันทุจริตในเรื่องใกล้ตัวที่สุด ซึ่งนิสิตได้เสนอว่าเป็นเรื่องการสอบ มีผู้เสนอหลายรูปแบบอาทิ ทำข้อสอบหลายชุด ใช้กล่องมาครอบ แต่มาได้ข้อสรุปที่การใช้กระดาษเอสี่มาประดิษฐ์เป็นหมวก เพราะเคยเห็นบางประเทศใช้กัน แม้ว่าที่ผ่านมาในคณะไม่มีปัญหาเรื่องการทุจริตในการสอบ และไม่ได้บังคับให้นิสิตใช้วิธีการดังกล่าว

สื่อให้เห็นอะไร?

การแก้ไขปัญหาด้านทุจริตนั้น สามารถทำได้ทั้งที่ต้นเหตุ และปลายเหตุ นั่นคือ การส่งเสริมด้านจริยธรรม และการคิดค้นหาวิธีป้องกันการทุจริตที่ได้ผลในทางปฏิบัติ ซึ่งหากใช้ปัญญาโดยวางระบบให้ถี่ถ้วน ก็สามารถป้องกันปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่สิ้นเปลืองงบประมาณ ที่สำคัญ ทุกคนต้องร่วมมือกันและมีเป้าหมายอย่างเดียวกันเพื่อความโปร่งใส

หากเทียบกับการบริหารงานของรัฐบาลที่ผ่านมา..หลายนโยบายส่อในทางทุจริตมากหมาย เอาแค่โครงการจำนำข้าว..ก็มีช่องโหว่หลายจุด..แต่รัฐบาลไม่สนใจแก้ปัญหามากนัก..สิ่งที่ทำคือ พยายามย้ายคนที่เกี่ยวข้องออก เช่นรัฐมนตรี การอ้างเหตุผลประหลาดด้านการระบายข้าว โดยอ้างว่าเป็นความลับ หรือจะเข้าไปสุ่มตรวจ แต่ประกาศล่วงหน้าเป็นสัปดาห์ซึ่งมีเวลาพอที่จะมีการจัดฉากตบตาเจ้าหน้าที่

หากมองไปที่ประมุขฝ่ายบริหาร อย่างที่อธิบดี DSI ว่า ..มีข่าวให้พบเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่ามาสภาเพียงเพื่อลงชื่อประชุม ..รับประทานอาหาร .. หรืออยู่ในที่ประชุมอีกเล็กน้อย ก่อนออกไปปฏิบัติภารกิจข้างนอก เช่น เปิดป้าย เป็นประธานพิธีมอบรางวัล ประชุมการคัดเลือก Smart Lady Thailand เป็นต้น ..

จึงน่าคิดว่า ควรช่วยกันทำ “หมวกกันลืมสภา” ให้นายกฯ บ้างหรือไม่ เพราะนายกฯชอบอ้างให้คุยในสภา เป็นเรื่องสภา .. แต่นายกฯไม่ค่อยเข้าร่วมประชุมเลย

หรือความหมายที่นายกฯ ต้องการสื่อจริงๆ คือ ... ก็เป็นเรื่องของสภาไง นายกฯ ไม่จำเป็นต้องเกี่ยว? น่าคิดต่อว่า..ถึงเข้าไปเกี่ยว..จะมีอะไรดีกว่าเดิมบ้าง?

หมวกกันลอกข้อสอบ VS หมวกกันลืมสภา

คล้ายม้าแข่ง ห้ามแกว่งตา ดูขวา-ซ้าย
สั่งมองหน้า มุ่งเป้าหมาย ให้แลเห็น
ย่อมสามารถ กันโกงสอบ ได้ชัดเจน
แต่ซ่อนเร้น แก่นปัญหา คาเมืองไทย

(1) จิตสำนึก สุจริต ผิด-ชอบ-ชั่ว
(2) เห็นแก่ตัว มั่วไม่สน กฎเกณฑ์ไหน
(3) เลวส่วนน้อย สร้างภาระ คนส่วนใหญ่
(4) มีแบบอย่าง เคยทำไว้ ไม่ค่อยดี

(5) แก้ปลายเหตุ ยังดีกว่า ไม่แก้ไข
(6) สิ่งรอบตัว ประยุกต์ใช้ ไม่ก่อหนี้
(7) หลักป้องโกง คือระบบ ครบถ้วนถี่
(8) เสมอภาค ยากจน-มี มิลำเอียง

เปรียบเทียบกับ ความโปร่งใส ในรัฐบาล
แย่หย่อนยาน! แฝงคดใน! ไร้ตรงเที่ยง!
ย้ายคนออก! ปิดตัวเลข! ใครติเหวี่ยง!
นายกเลี่ยง! หนีปัญหา! สภาเมิน!

@ Ton Unruan


Cr. Posttoday- Dragon News Network

โลกนี้มีแต่คนบ้า

แม้จะเป็นพระอรหันต์ หรือจะเป็นพระพุทธเจ้าก็ยังถูกคนพวกหนึ่งหาว่าเป็นคนบ้า แต่อย่างนี้ไม่เป็นไร เพราะว่าไม่ได้เป็นคนบ้าจริง เป็นแต่เพียงถูกคนบ้าหาว่าเป็นคนบ้าเท่านั้นเอง เพราะว่าคนบ้านั้นมันไม่รู้สึกตัวว่ามันเองเป็นคนบ้า มันจัดตัวเองเป็นคนดี แล้วก็มองคนดีเป็นคนบ้า

คนธรรมดาสามัญทั่วไปนี้ ไม่รู้สึกว่าตัวเป็นคนบ้า ทั้งที่เป็นคนบ้า คือมีความอยากมากจนอายุไม่พอ ไม่รู้สึกว่าตัวเป็นคนบ้าก็จะไปพาลหาเรื่องว่าพระอรหันต์ หรือพระพุทธเจ้าเป็นคนบ้าเสียด้วยซ้ำไป เพราะไม่รู้จักบริโภคกามให้เต็มที่ซะก่อนแล้วจึงไปบวช

ทีนี้สำหรับคนบ้าที่โรงพยาบาลปากคลองสานนั้น มีคนหนึ่งที่แปลกมาก วันหนึ่งอาตมาไปธุระที่นั่น ไปเยี่ยมคนไม่สบายที่โรงพยาบาลนั้น คนบ้าคนหนึ่งเขาไม่ไหว้ คนบ้าแทบทั้งหมดก็ยกมือไหว้ แต่มีคนบ้าคนหนึ่งเขาไม่ไหว้ ไม่ไหว้อาตมา ทีนี้เพื่อนหลายๆ คนเขาบอกว่าให้ไหว้ ท่านมาแล้วให้ไหว้ ไอ้คนบ้าเขาก็ตอบว่าถ้ามาที่นี่แล้วบ้าทุกคนแหละ เราไม่ไหว้ บ้าเหมือนเราทุกคน เขาว่าอย่างนั้น นี่มันก็ยังดีที่ว่า คนบ้าคนนั้นมันรู้ว่าตัวเองบ้า

พุทธทาสภิกขุ
โลกนี้มีแต่คนบ้า ล้ออายุ ๒๕๑๑

มะเร็ง : สาเหตุตายอันดับหนึ่ง

มะเร็ง : สาเหตุตายอันดับหนึ่ง
.......................................

โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ติดต่อกันหลายสิบปี
ล่าสุดในปี พ.ศ.2554 มีผู้เสียชีวิต 61,082 ราย
คิดเป็นอัตราตาย 95.2 ต่อประชากร 100,000 คน
เฉลี่ยชั่วโมงละเกือบ 7 ราย!!!!
เป็นชาย 35,437 ราย และหญิง 25,645 ราย

และในระดับโลกมะเร็งเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ของโลกเช่นกัน ในปี พ.ศ. 2551 องค์การอนามัยโลกรายงานทั่วโลกมีผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับการตรวจวินิจฉัย 12.7 ล้านราย ในจำนวนนี้เสียชีวิต 7.6 ล้านราย ส่วนในปีพ.ศ. 2573 หรืออีก 17 ปีข้างหน้า คาดการณ์ว่าจะมีผู้ป่วยใหม่ 21.3 ล้านคน และจะมีผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 13 ล้านคน

นอกจากนั้นองค์การอนามัยโลกคาดมีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นปีละประมาณ 118,600 ราย และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยมะเร็งที่ผู้ชายป่วยมากที่สุด ได้แก่ มะเร็งตับ ปอด ลำไส้และทวารหนัก ต่อมลูกหมากและมะเร็งเม็ดเลือดขาว ส่วนในผู้หญิง ได้แก่ มะเร็งเต้านม ตับ ปากมดลูก ปอดลำไส้ใหญ่และทวารหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น

ขณะที่รายงานสุขภาพคนไทย 2556 ระบุว่า คนไทยเจ็บป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อหรือโรคเรื้อรังเพิ่มมากขึ้น ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะความดันโลหิตสูง หัวใจ และเบาหวาน ซึ่งมีอัตราผู้ป่วยในสูงถึง 1,187 คน , 936 คน, และ 849 คน ต่อประชากรแสนคนตามลำดับ โรคเหล่านี้มีต้นตอหลักจากพฤติกรรมทางสุขภาพในด้านต่างๆ ที่ไม่เหมาะสม หรือไม่ได้รับการส่งเสริมและป้องกันที่ดีพอ

ขณะเดียวกันโรคมะเร็งและอุบัติเหตุยังถือเป็นสาเหตุการเสียชีวิต 2 อันดับแรกของคนไทยที่สามารถป้องกันได้ โดยในปี 2554 คนไทยเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งถึง 95 คนต่อประชากรแสนคน เพิ่มขึ้นจาก 79 คน เมื่อปี 2546

ขอบคุณข้อมูลจาก กระทรวงสาธารณสุข

เครดิต: http://www.hfocus.org/node/4381

ลดระยะเวลาเลี้ยงกบให้เหลือ 2-3 เดือน

ลดระยะเวลาเลี้ยงกบจาก 3-5 เดือน ให้เหลือ 2-3 เดือน โดยให้กบกินอาหารสำเร็จรูปเช้า-เย็น และเปิดไฟแบล็คไลท์ช่วงกลางคืนเพื่อล่อแมลงมาให้กบกิน
จาก SMS Farmer Info - 5 ส.ค.2556

วันอังคารที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2556

"ลบ-ลบ พูดใหม่"



นายวารินทร์ บุษบรรณ อดีตผู้อำนวยการภาค สำนักงานส่งเสริมการเกษตรภาคใต้จังหวัดสงขลา เล่าถึงความประทับใจจากการทำงานสนองพระราชดำริไว้ตอนหนึ่งว่า

"...ดังเหตุการณ์เมื่อวันพุธ ที่ 13 สิงหาคม 2518 เป็นการเสด็จ ฯ ส่วนพระองค์ เพื่อติดตามผลการปฏิบัติงานที่ได้พระราชทานพระราชดำริไว้ เมื่อปี 2517 และครั้งนี้มีนายบุญ สุวรรณ์สี ผู้ใหญ่บ้านตำบลโคกเคียน ได้มารับเสด็จ และจะต้องถวายรายงานด้วย...

ท่านผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ได้มาตรวจเยี่ยมความพร้อมล่วงหน้า ผมก็ได้ร่วมคณะมาด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดซักซ้อมการกราบบังคมทูลถวายรายงานแก่ผู้ใหญ่บุญเป็นที่เรียบร้อย

พอถึงเวลาเสด็จ ฯ ผู้ใหญ่บุญได้กราบบังคมทูลว่า

...ขอเดชาใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ข้าพเจ้า อ.ส.บุญ สุวรรณ์สี"

เมื่อรู้สึกตัวว่าถวายรายงานผิด จึงพูดใหม่ว่า ..."ลบ-ลบ พูดใหม่"... เพราะคำพูดที่ถูกตามที่ซ้อมไว้ คือ ข้าพเจ้านายบุญ สุวรรณ์สี ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 1 ตำบลโคกเคียน อำเภอเมือง..."

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระสรวล ทุกคนที่ตามเสด็จก็ขำ ยิ้ม หัวเราะไปพร้อมกัน ทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และทุกคนจำชื่อ "ผู้ใหญ่บุญ" แม่น รู้จักดีในขบวนเสด็จ ฯ มากกว่าจำบุคคลอื่น ในการเสด็จ ฯ ไปยังจังหวัดนราธิวาสทุกครั้ง พอถึงสนามบินบ้านทอนจะถามหาผู้ใหญ่บุญทุกครั้ง..."

ที่มา : วารินทร์ บุษบรรณ. ในความทรงจำ. วารสารอันเนื่องมาจากพระราชดำริ. ปีที่ 5 ฉบับที่ 1
ประจำเดือนมกราคม - มีนาคม 2550.

ทุกข์หรือเหตุร้ายที่เกิดขึ้นนั้นสามารถเปิดใจให้เราเห็นสัจธรรม

ทุกข์หรือเหตุร้ายที่เกิดขึ้นนั้นสามารถเปิดใจให้เราเห็นสัจธรรมได้เสมอ ว่าไม่มีอะไรที่เราจะฝากใจไว้ได้เลย เพราะล้วนแต่ไม่เที่ยง บกพร่องบีบคั้น และยึดมาเป็นของเราไม่ได้เลยสักอย่าง

แต่สาเหตุที่เราไม่เห็นสัจธรรมเหล่านี้เวลาเกิดเหตุร้าย ก็เพราะใจมัวแต่คร่ำครวญ โกรธแค้น จึงไม่มีสติมากพอที่จะใคร่ครวญสิ่งที่เกิดขึ้น

ผลก็คือเสียอย่างน้อยสองสถาน คือ นอกจากเสียสิ่งที่รักแล้ว ใจก็ยังเสียด้วย หนักกว่านั้นคือ เสียสุขภาพ(เพราะเครียดจัด) เสียงาน (เพราะไม่มีสมาธิ) และเสียสัมพันธภาพ (เพราะระบายอารมณ์ใส่คนรอบตัว)

ในทางตรงข้าม หากตั้งสติให้ดี พิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยปัญญา แม้จะเสียสิ่งที่รัก แต่ก็ได้ธรรม ซึ่งมีคุณค่ามหาศาล เพราะนอกจากจะยกใจให้พ้นจากทุกข์จากเหตุการณ์เฉพาะหน้าแล้ว ยังเป็นภูมิคุ้มกันใจมิให้เป็นทุกข์ในวันหน้าอีกด้วย

พระไพศาล วิสาโล

http://www.visalo.org/article/secret255607.htm

หนังสือน่าอ่าน

หนังสือน่าอ่าน @ ห้องสมุดนิทรรศน์รัตนโกสินทร์
“พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว : จากความสนพระทัยในวิทยาศาสตร์สู่ความเป็นพระมหากษัตริย์นักดาราศาสตร์”
เลขเรียกหนังสือ 923.1593 ภ44พ 2555
หมวดหนังสือ พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจ
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ทรงคำนวณการเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงที่จะสังเกตการณ์ได้ ณ ตำบลหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ และได้เสด็จทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวงครั้งนั้น เพื่อพิสูจน์ผลการคำนวณดังกล่าว
วรรณกรรมอันควรค่าเล่มนี้ ได้รวบรวมความรู้จากการค้นคว้ามากมาย จากตำราโบราณ บันทึกจดหมายเหตุ คำบอกเล่าจากความทรงจำของบุคคลผู้เกี่ยวข้อง วารสาร แผนที่และภาพถ่ายตั้งแต่อดีต มาจัดระเบียบและตีความทำให้เกิดเป็นความรู้ใหม่เพื่อให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เป็นหลักฐานทางวิชาการและประโยชน์ในวงกว้างต่อไปในอนาคต

วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ชานมไข่มุก คุณหรือโทษ?


การศึกษามากมายที่ระบุถึงประโยชน์ของการดื่มน้ำชาเพื่อสุขภาพ เช่น สามารถช่วยลดความดันโลหิต ลดไขมันในหลอดเลือด และการมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยยับยั้งการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคมะเร็ง ซึ่งประโยชน์ต่าง ๆ เหล่านี้ จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับชนิดของชาและความเข้มข้นในการบริโภค แต่การบริโภคชาเปรียบเสมือนเหรียญสองด้าน คือ การดื่มชาในปริมาณที่มากเกินไปอาจเกิดผลเสียต่อสุขภาพได้ เช่น ท้องผูก นอนไม่หลับ เป็นต้น


แต่ชานมไข่มุก 1 แก้ว มิได้มีเพียงแต่น้ำชาเท่านั้น แต่ยังมีน้ำเชื่อม ครีมเทียม และไข่มุกเพิ่มขึ้นมา ข้อมูลทางโภชนาการระบุว่า ชานมไข่มุก 1 แก้ว ให้พลังงาน 240-360 กิโลแคลอรี่ (คาร์โบไฮเดรต 45-62 กรัม, ไขมัน 0-14 กรัม, โปรตีน 0.4-2 กรัม) ความแตกต่างของพลังงานและสารอาหารขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำเชื่อมและครีมเทียมที่ใส่ลงไป

โดยไข่มุกที่อยู่ในชานมไข่มุกนั้น ผลิตมาจากแป้งมันสำปะหลัง ซึ่งจัดอยู่ในอาหารหมวดเดียวกับแป้งและน้ำตาล โดยไข่มุก 30 กรัม ให้พลังงาน 100 กิโลแคลอรี่ ซึ่งพลังงานที่ได้จากการดื่มชานมไข่มุกใกล้เคียงกับการรับประทานก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟ 1 ชาม ที่ให้พลังงาน 326 กิโลแคลอรี่ (คาร์โบไฮเดรต 41 กรัม, ไขมัน 8 กรัม, โปรตีน 21 กรัม) หรือเปรียบเทียบปริมาณน้ำตาลที่ได้รับจากชานมไข่มุกจะเท่ากับข้าว 3-4 ทัพพี

ดังนั้น การบริโภคชานมไข่มุกเป็นประจำอาจนำไปสู่การเป็นโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งการดื่มชานมไข่มุกที่เหมาะสมคือ การดื่มโดยคำนึงถึงพลังงานที่ควรได้รับในแต่ละวัน โดยการทดแทนการดื่มชานมไข่มุกกับการลดการบริโภคอาหารในกลุ่มข้าว แป้ง หรือการลดปริมาณน้ำตาลที่ใส่ในชานมไข่มุกที่คุณสั่ง และหลีกเลี่ยงการใส่ครีมเทียมลงไปในชานมไข่มุกที่คุณสั่ง เพียงเท่านี้คุณก็จะสามารถลดอันตรายที่มาจากชานมไข่มุกได้

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.sanook.com/, รบกวนเข้าไปกดไลค์ลิ้งค์นี้หน่อยน้า_/\_ https://www.facebook.com/theAunzVtg

เรียบเรียงและโพสต์โดย : แอดมิน สุญญตา

เรื่อง "เสี่ยปลอม"



มนูญ มุกข์ประดิษฐ์ รองเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อดีตเลขาธิการสำนักงานกรรมการพิเศษ เพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (นักบริหารระดับ 11)
.....มีพระราชกระแสให้เจ้าหน้าที่ซึ่งรับสนองพระราชดำริไปจัดซื้อที่ดินเพื่อนำมาพัฒนาหรือนำมาจัดสรรแบ่งแปลงให้กับผู้ยากไร้ไว้เพื่อทำกิน ด้วยพระราชทรัพย์ของพระองค์เอง

.....เป็นการบังเอิญที่ผู้เขียนเป็นผู้หนึ่งซึ่งปลอมตัวเป็น "เสี่ย" นักจัดสรรที่ดินเข้าไปเจรจาซื้อที่ดินในรายนี้ด้วย จึงจำได้แน่ชัดถึงบรรยากาศของเหตุการณ์ในครั้งนั้นว่า มีชาวบ้านเป็นกลุ่มๆ ออกมายืนมองและซุบซิบกันทำนองแปลกประหลาดใจว่า เหตุใดจึงมีผู้สนใจจะซื้อที่ที่ไม่น่าสนใจแถวนี้ .....หรือว่าพวกเสี่ยที่มาถามซื้อที่ที่นี่เป็นพวกหลอกลวงสิบแปดมงกุฎ เพราะดูไปจริงๆ แล้วราศีของเสี่ยหรือเศรษฐีก็ไม่ได้จับอยู่ที่ใครเลย มิหนำซ้ำยังหน้าตาแปลกๆ บางคนสูงเกินไป บางคนคล้ำเกินไป บางคนใส่แว่นตาหนาเตอะ

.....ประโยคแรกๆ ที่ลุงเจ้าของบ้านและเจ้าของที่ถามไถ่ก็คือ "ใครคือคนที่จะมาซื้อที่" .....ก็ต้องตอบไปว่า "ผู้ใหญ่ ท่านจะมาซื้อที่" ครั้นลุงถามว่า "เอาที่แบบนี้ไปทำอะไรกัน" ก็ต้องตอบว่า "เอาไปทำประโยชน์" ประโยชน์อะไร จัดสรรหรือ? ทำคอนโดหรือ? ลุงก็ได้รับคำตอบให้งุนงงต่อไปว่า "ไม่ใช่ทั้งนั้น" ท้ายที่สุด ลุงและคณะชักตาเขียวและสีหน้าไม่ดี เหล่าบรรดากองเชียร์ชักพูดแซมขึ้นมาบ้างว่า "อีแบบนี้ ถ้าจะเสียเวลาเปล่า! เจ้าของเขาไม่รีบร้อนขายหรอก เพราะเงินทองก็พอมีไม่เดือดร้อน" คณะเสี่ยปลอมรู้สึกสถานการณ์จะคับขัน ก็เลยบอกว่าผู้ใหญ่จะเอาไปทำประโยชน์ให้กับประชาชนแถวนี้เอง ทำประโยชน์กับชุมชนนี้ไม่ได้เอาไปขายต่อ หรือจัดสรรเอากำไรเข้าพกเข้าห่อแต่อย่างใด ลุงถามว่า "มีด้วยหรือ ผู้ใหญ่แบบนี้...หรือจะเป็นนายก" พวกเรารีบแทรกว่า "ใช่แล้ว...นายกให้มาซื้อ" ลุงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง มองหน้าคนโน้นทีคนนี้ทีกลับไปกลับมา พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นปฏิทินที่แขวนไว้ข้างฝาเป็นภาพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกำลังทรงงานอยู่ในถิ่นทุรกันดารและเสี่ยปลอมทั้งหลายครบทุกคนยืนอยู่ข้างหลังพระองค์ ลุงมองหน้าทุกคนอย่างตกใจเล็กน้อย

"เอ๊ะ คนนี้ก็ใช่ คนนั้นก็ใช่...หรือว่าผู้ใหญ่ที่จะมาซื้อที่นั้นคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" เมื่อความแตก ลุงและชาวบ้านวัดมงคลก็ปีติตื่นเต้นเป็นล้นพ้น...ในท้ายที่สุด ลุงเจ้าของที่โดยการสนับสนุนของสมาชิกละแวกวัดมงคลและญาติพี่น้องทั้งปวงก็ตกลงขายที่จำนวน 15 ไร่ ให้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อนำมาทดลองแนวคิด "ทฤษฎีใหม่" ทางด้านเกษตรกรรม

.....ก่อนลาจากกัน ลุงเจ้าของที่ต่อว่าคณะเสี่ยปลอม "ไหนแต่แรกว่านายกมาซื้อที่ไง.." เสี่ยปลอมทั้งหลายไม่ตอบคำถามนี้ แต่ในใจทุกคนคิดว่า ก็ใช่น่ะสิ นายกแท้ๆ เลย แต่เป็น "นายกกิตติมศักดิ์มูลนิธิชัยพัฒนา"

ที่มา : บทความ "ใครมาซื้อที" โดย มนูญ มุกข์ประดิษฐ์ หนังสือ "ประทีป
แห่งแผ่นดิน"

Cr:ณีรนุช ณีรวรรณ

ทำยาก...ให้ง่าย

  ทำยาก...ให้ง่าย  “คนที่กำลังทุกข์ร้อนอย่างหนัก
    เอาเหตุผลหรือแม้แต่ธรรมะมาพูดกับเขา
    มักจะไม่ได้ผล”



สมปองเข้าไปหาจิตแพทย์ด้วยสีหน้าหม่นหมอง

“หมอครับช่วยผมด้วย ผมนอนไม่หลับมาเป็นปีแล้ว ทุกครั้งที่นอนบนเตียง ผมจะรู้สึกว่ามีใครซ่อนอยู่ใต้เตียง พอผมลงไปนอนใต้เตียง ก็มัก
ตงิด ๆ ว่ามีคนอยู่บนเตียง ผมเป็นอะไรรู้ไหมหมอ หมอช่วยผมที”

“คุณไม่เป็นอะไรมากหรอก คุณคิดมากไปเอง มาหาหมอทุกอาทิตย์ แล้วหมอจะช่วยคุณ แต่ระหว่างที่คุณอยู่บ้าน ขอให้คุณพูดกับตัวเองก่อนนอนสัก ๑๐๐ ครั้งทุกคืนว่าห้องนี้มีฉันคนเดียว ไม่มีใครอยู่ใต้เตียงหรือบนเตียงทั้งสิ้น”

อาทิตย์แล้วอาทิตย์เล่า ที่สมปองทำตามที่หมอว่า ทั้งพูดกับตัวเองคนเดียวและไปคลีนิกฟังหมอบรรยายนานนับชั่วโมง หนึ่งเดือนผ่านไปพร้อมกับเงินอีกหลายพันบาทที่จ่ายเป็นค่ารักษา สมปองก็หายหน้าไปจากคลินิก แล้ววันหนึ่ง หมอก็เจอสมปองโดยบังเอิญที่ห้าง สรรพสินค้า

“คุณหายไปไหน ไม่เห็นไปหาผมอีกเลย”

“ผมหายแล้วครับ”

“หายได้ยังไง หมอยังรักษาไม่ครบคอร์สเลย”

“ผมไปเจอหลวงพ่อที่อยุธยา ท่านแนะว่าให้ผมตัดขาเตียงออกซะ ก็เท่านั้นเอง”

สมปองมีปัญหาทางจิตใจ เขาเป็นคนคิดมาก อาจเป็นเพราะมีปมบางอย่างในใจ จิตแพทย์พยายามอธิบายให้เขาเข้าใจ และพาเขาสำรวจปมดังกล่าว ทั้งให้ทำแบบฝึกหัดมากมาย แต่ไม่เป็นผล ผิดกับหลวงพ่อซึ่งเข้าใจนิสัยของคนอย่างสมปองดี แทนที่ท่านจะใช้เหตุผลอธิบายให้เขาหายวิตกกังวล ท่านแนะวิธีแก้ที่ง่ายกว่านั้น เมื่อตัดขาเตียง ก็ไม่ต้องห่วงว่าจะมีคนอยู่ใต้เตียง เป็นอันว่าหมดปัญหา

การอธิบายด้วยเหตุผลนั้น ใช้ได้กับบางคน หรือใช้ได้ในบางสถานการณ์ คนที่กำลังทุกข์ร้อนอย่างหนัก เอาเหตุผลหรือแม้แต่ธรรมะมาพูดกับเขา มักจะไม่ได้ผล เพราะสมองไม่รับคำพูดจึงไม่เข้าหัว แต่พอหลวงพ่อรดน้ำมนต์ให้หรือให้สายสิญจน์ เขากลับสงบและเป็นผู้เป็นคนมากขึ้น วิธีนี้แม้ไม่ช่วยให้เขามีปัญญามากขึ้น แต่ก็ดึงสติของเขาให้กลับมาและตั้งหลักได้เร็ว คนที่มีการศึกษามักดูถูกหลวงพ่อหลวงปู่ที่ใช้วิธีแบบนี้
หาว่าเป็นไสยศาสตร์ ทำให้หลงงมงาย นั่นเป็นเพราะเขายังไม่เข้าใจจิตวิทยาของชาวบ้าน

เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ววิธีของหลวงพ่อเป็นการทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย ตรงกันข้ามกับวิธีการของจิตแพทย์ ซึ่งยุ่งยากซับซ้อน นอกจากใช้เวลานานแล้ว ยังสิ้นเปลืองทั้งเงินและคำพูด

คนที่มีความรู้มาก มีการศึกษามาก แม้จะมีข้อได้เปรียบหลายอย่าง แต่บางครั้งก็ทำให้เรื่องง่ายกลายเป็นเรื่องยาก

มีเรื่องเล่าว่าเมื่อสหรัฐอเมริกาสามารถส่งนักบินอวกาศไปโคจรรอบโลกได้สำเร็จเป็นครั้งแรก เกิดปัญหาขึ้นมาว่าปากกาหมึกซึมและปากกาลูกลื่นใช้ไม่ได้ในอวกาศ เพราะแรงโน้มถ่วงน้อยมาก ทำให้การบันทึกข้อมูลต่าง ๆ เป็นไปได้ยาก จึงมีการวิจัยและพัฒนาปากกาที่จะใช้ได้ในอวกาศ นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำหลายคนถูกดึงมาทำงานนี้ ปรากฏว่าหมดเงินไปหลายสิบล้านบาทกว่าจะได้ปากกาชนิดพิเศษ อเมริกาภูมิอกภูมิใจมาก ไปคุยอวดเรื่องนี้กับรัสเซียซึ่งเป็นคู่แข่ง แล้วถามรัสเซียว่า “เจอปัญหาแบบนี้แล้วทำยังไง” รัสเซียตอบว่า “ก็ใช้ดินสอแทนไง”

การทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย ต้องอาศัยการคิดนอกกรอบ ไม่ติดยึดกับทฤษฎีหรือความรู้ที่เรียนมา รวมทั้งหัดมองจากแง่มุมที่ดูเหมือนกลับหัวกลับหางด้วย การมองแบบนี้อาจช่วยให้เราเห็นในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น อย่างศุภมัยในเรื่องข้างล่าง

“รู้ไหมอะไรที่ฉลาดกว่าคน” ศุภมัยถามเพื่อนในวงอาหาร

“ก็ซุปเปอร์แมนไง” เพื่อนตอบ

“ผิด โลมาต่างหาก” ศุภมัยเฉลย

“มันฉลาดกว่าคนยังไง” เพื่อนสงสัย

“แกไม่เห็นเหรอ โลมาไม่ว่าตัวไหน เล็กหรือใหญ่ก็ตาม พอถูกจับได้ไม่กี่วัน ก็สามารถฝึกให้คนมายืนอยู่บนขอบสระและโยนปลาให้มันวันละสามเวลา”

*****************
จากหนังสือ สุขทุกลมหายใจ

พระไพศาล วิสาโล

วันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2556

การข่มขืนแบบใหม่!!

ช่วยกันแชร์ด้วยนะ.....เรื่องเตือนภัย..ด่วน !!!

การข่มขืนแบบใหม่!!

ผม ไม่แน่ใจว่าเหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นเมื่อไหร่แต่อย่างน้อยมันอาจจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด
ที่จะทำให้คุณได้ระมัดระวัง

ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับคุณ
ผู้หญิงคนที่ประสบกับเหตุการณ์นี้

เธอเพิ่งออกจากโรงพยาบาล

เรื่องมีอยู่ ว่า.... วันหนึ่งหลังเลิกงาน

ผมได้ฟังเรื่องราวกลยุทธ
ในการข่มขืนแบบใหม่จาก น้องสะใภ้
ซึ่งมันเกิดขึ้นแล้วกับเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง

หลังเลิกงานผู้หญิงคนนี้กำลังจะกลับบ้าน ระหว่างทางเธอเห็นเด็กตัวน้อยๆ
กำลังยืนร้องไห้ อยู่ข้างถนน

ด้วยความรู้สึกสงสารเด็ก เธอเดินเข้าไปหาและถาม ว่า' เกิดอะไรขึ้นจ๊ะ'

เด็กน้อยตอบ ว่า' ผมหลงทาง พี่ช่วยพาผมไปส่งที่บ้านหน่อยได้ไหมครับ

แล้วเด็กน้อยก็ยื่นกระดาษแผ่นเล็กๆ

แล้ว บอกว่าให้พาไปส่งตามที่อยู่ในนั้น
และด้วยความใจดีของเธอ

เธอมิได้สงสัยอะไรเลยแม้แต่น้อย

เธอก็พาเด็กไปส่งตามที่อยู่นั้น

พอถึงที่บ้านของเด็กน้อยตามที่อยู่ในนั้น

เธอก็กดกริ่ง ทันใดนั้นเอง

กริ่งที่ว่าถูกต่อสายไฟฟ้าแรงสูงเอา ไว้
แน่นอนมันช็อตเธอจนหมดสติ....

วันต่อมาเมื่อเธอตื่นขึ้นมาเธอพบว่า

เธออยู่ในบ้านร้างพร้อมกับร่างอันเปลือยเปล่า
เธอไม่ได้เห็นแม้กระทั่งใบหน้าของผู้ร้าย

นั่นคงเป็นคำถามว่าทำไมทุกวันนี้ อาชญากรรมถึงพุ่งไปหาคนที่ใจดี

ในครั้งต่อไปถ้ามีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอีก

ไม่ว่าจะกับใครก็ตาม
ขอให้จำไว้ว่า

อย่าพาเด็กไปในที่ที่เขาต้องการ

ยังไงให้พาไปที่สถานีตำรวจ จะดีกว่า

จำไว้ เมื่อพบเด็กหลงทาง

ทางที่ดีที่สุดควรพาไปที่สถานีตำรวจนะครับ

ยังไงช่วยกรุณาส่งข้อความนี้ไปยังเพื่อนผู้หญิงทุกๆคนด้วยนะครับ

มองพ่อแต่แง่ลบ ควรปรับอย่างไร



ปุจฉา - พระอาจารย์ครับผมมีเรื่องจะปรึกษาครับ ผมได้ยินมาว่าพ่อแม่ของเรานั้นเป็นพระอรหันต์ของลูก ตอนนี้แม่ของผมเสียแล้ว เหลือพ่อเพียงคนเดียว ซึ่งผมไม่ค่อยจะสนิทนัก(ผมสนิทกับแม่) แต่ด้วยความที่อยากตอบแทนบุญคุณท่าน ผมจะพยายามไปเยี่ยมท่านทุกอาทิตย์ แต่เวลาไปหาท่านทีไรผมจะรู้สึกไม่ค่อยดีนัก เพราะตัวผมนั้นสนใจในการปฏิบัติธรรม แต่พ่อของผมนั้นไม่มีความสนใจทางด้านนี้เลย แล้วยังเป็นคนขี้โมโห ชอบเล่นการพนันและยังเจ้าชู้ด้วย เวลาผมไปหาท่าน จิตใจของผมนั้นคิดอกุศลกับท่านตลอดเลย ซึ่งตัวผมนั้นก็พยายามที่จะไม่คิดแต่ก็อดไม่ได้ทุกที ถ้าเป็นแบบนี้ผมควรประพฤติปฏิบัติกับท่านอย่างไรดีครับ กราบนมัสการครับ

พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา - คุณควรมองเห็นด้านดีของท่านบ้าง ไม่ควรจดจ่ออยู่แต่ด้านไม่ดีของท่าน ถ้าเห็นแต่ด้านไม่ดีคุณจะรู้สึกแย่กับท่าน ด้านดีของท่านถ้ามองให้เป็นก็จะเห็นมากมาย เช่น ความดีที่ท่านได้ทำหรือเคยทำกับคุณโดยเฉพาะตอนเด็ก ๆ หรือความเป็นคนรักญาติพี่น้อง เป็นต้น

การที่คุณปฏิบัติธรรมนั้นดีแล้ว แต่อย่าติดยึดในความดีของตนมากไป มีหลายคนที่พอสนใจธรรมะแล้ว จะรู้สึกไม่ดีกับพ่อแม่ของตนเพราะเห็นความไม่ดีของท่านชัดขึ้น หรือเสียใจที่ท่านไม่ดีอย่างที่เขาคาดหวัง นานวันความรู้สึกไม่ดีหรีอเสียใจก็ขยายตัวกลายเป็นความเกลียดโกรธไป

คุณควรใช้ความดีที่มีอยู่เพื่อช่วยเหลือท่านให้ดีขึ้น ไม่ควรใช้ความดีไปพิพากษาท่านหรือมองท่านแบบติดลบ จนเกิดความรู้สึกปฏิเสธท่าน แทนที่จะรักท่าน ซาบซึ้งในบุญคุณของท่าน ก็กลายเป็นเกลียดท่านไปเลย แต่หากคุณจะมีความรู้สึกลบกับท่านก็อย่าปฏิเสธ อย่ารู้สึกผิดควรยอมรับ ความรู้สึกนั้นแต่อย่าปล่อยให้มันครอบงำใจ

ความดีนั้นควรใช้ให้เป็น เกี่ยวข้องให้ถูก ถ้าใช้ไม่เป็น เกี่ยวข้องไม่ถูก เช่นยึดติดถือมั่นมาก ก็จะเป็นทุกข์ได้ง่าย พูดอย่างท่านอาจารย์พุทธทาสก็คือ ถูกความดี “กัด” หรือมิเช่นนั้นก็ทำให้กลายเป็นคนหลงตัว ยกตนข่มท่าน มองเห็นคนอื่นไม่ขึ้น เพราะรู้สึกว่าตนเองดีกว่าเขา หรือเห็นเขาแย่กว่าตนเอง ใครที่อยู่ใกล้ “คนดี”แบบนี้ จะรู้สึกร้อน อึดอัด พาลให้รู้สึกไม่ดี กับ “คนดี”หรือคนธัมมะธัมโมไปเลย

วันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2556

คำสอนที่ว่า รู้ซื่อๆ...เห็นแล้วไม่เป็นอะไรกับอะไร? แปลว่าอะไร





ปุจฉา - หลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณบอกว่า รู้ซื่อๆ...เห็นแล้วไม่เป็นอะไรกับอะไร? มีเพื่อนผู้สนใจในธรรมหลายท่าน ไม่เข้าใจ ถึงเข้าใจก็แบบไม่ตรงความหมาย กราบขอให้หลวงพ่อไพศาล เมตตาช่วยชี้แนะด้วยครับ

พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา - รู้ซื่อ ๆ แปลว่า รู้เฉย ๆ ไม่ว่าอารมณ์ใดเกิดขึ้น บวกหรือลบ สุขหรือทุกข์ ก็เพียงแต่รู้เฉย ๆ โดยไม่ไขว่คว้าหรือผลักไส ไม่ยินดีหรือยินร้ายกับมัน รวมทั้งไม่พยายามควบคุมบังคับจิตเพื่อให้หยุดคิดหรือเพื่อให้สงบ

รู้ซื่อ ๆ ต้องอาศัยสติ ถ้าไม่มีสติหรือสติอ่อน ก็จะหลุดเข้าไปในความคิดหรือมีปฏิกิริยากับอารมณ์ที่เกิดขึ้น คือคลอเคลียไขว่คว้าหรือไม่ก็ปฏิเสธผลักไส ผลที่ตามมาคือ กลายเป็น "ผู้เป็น" เช่น ผู้โกรธ ผู้เศร้า ผู้เครียด พูดอีกอย่าง สติช่วยให้ "เห็น" หรือ "รู้" แต่ไม่ "เป็น"

ไม่เป็นอะไรกับอะไร ยังหมายความว่า ไม่มีความสำคัญมั่นหมายว่าเราเป็นนั่นเป็นนี่ เช่น เป็นคนเก่ง เป็นคนฉลาด เป็นคนโง่ เป็นคนดี (หรือพูดด้วยสำนวนของท่านอาจารย์พุทธทาสก็คือ “กูเป็นนั่นเป็นนี่” หรือ “นี่คือกู”)

แม้กระทั่งความเป็นครูบาอาจารย์ เป็นพระ เป็นเจ้านาย เป็นลูกน้อง ก็รู้ว่านั่นเป็นสมมติ ที่ต้องใช้ให้ถูกต้อง แต่ไม่ได้ยึดถือหรือสำคัญมั่นหมายว่า เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เพราะถ้าสำคัญมั่นหมายเช่นนั้นเมื่อไหร่ ก็จะทุกข์ได้ง่าย เช่น สำคัญมั่นหมายว่าฉันเป็นครูบาอาจารย์ ถ้านักเรียนไม่เชื่อฟัง ไม่ทำตามคำสั่งสอน ก็ทุกข์และอาจจะถึงกับโกรธเกลียดนักเรียนคนนั้น

ความสำคัญมั่นหมายดังกล่าวเกิดจากความหลงและลืมตัวด้วย สติและปัญญาจะช่วยให้เราไม่หลงยึดมั่น และไม่ตกเป็นทาสมัน แต่จะเป็นอิสระจากมัน หรือเป็นนายมัน รู้จักใช้ให้เกิดทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน

ป้องกันโรคฉี่หนู

ฝนตกต่อเนื่อง เกษตรกรไม่ควรให้สัตว์เลี้ยงอยู่ในที่ชื้นแฉะ หลีกเลี่ยงการลุยน้ำสกปรก สวมรองเท้าบูททุกครั้งเพื่อป้องกันโรคฉี่หนู
จาก SMS Farmer Info - 16 ส.ค.2556  - 15.15 น.

5 ผลไม้มงคล

ว่าด้วยเรื่องผลไม้มงคลกันดีกว่านะครับ ผลไม้มงคลที่นิยมมี5อย่าง ซึ่งมีความหมายแตกต่างกันไป ได้แก่ ลำไยคือผลไม้มงคลที่เชื่อว่า เป็นตัวแทนแห่งความรัก ความเป็นผู้นำ และความมีอำนาจวาสนา , ทุเรียนเป็นตัวแทนของความฉลาดหลักแหลม เข้มแข็ง สามารถป้องกันตนเองได้ , ลิ้นจี่ลิ้นจี่คือผลไม้ที่มีสีแดงสด ซึ่งคนจีนถือว่าเป็นสีแห่งความเป็นสิริมงคล , สับปะรดเป็นตัวแทนแห่งความรอบคอบ รอบรู้ สายตากว้างไกล , กล้วย เป็นตัวแทนแห่งการขยายสาขา กิจการ การมีบุตรสืบสกุล มีบริวารมาก
หวังว่าข้อมูลผลไม้ที่นำมาฝากจะเป็นประโยชน์แก่ทุกท่านนะครับ

วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2556

หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ รับสมัครงานหลายตำแหน่ง

หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ กำลังขยายงานธรรมสู่โลกออนไลน์
เปิดรับตำแหน่งงานเพิ่มเติม : ตำแหน่งผู้จัดการโครงการห้องหนังสือและสื่อธรรมออนไลน์

นอกจากนี้ยังมีงานในตำแหน่งอื่น ๆ
- นักจดหมายเหตุ ๑ อัตรา
- ผู้ประสานกลุ่มงานกิจกรรมและงานธรรม ๑ อัตรา (เทียบเท่าตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มงาน)
- ผู้ประสานกลุ่มงานบริหารจัดการ ๑ อัตรา (เทียบเท่าตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มงาน)
- เจ้าหน้าที่ห้องหนังสือและบริการ (งานจัดซื้อ) ๑ อัตรา
- เจ้าหน้าที่ธุรการและจัดซื้อ ๑ อัตรา
- เจ้าหน้าที่ธุรการและบุคคล ๑ อัตรา
- เจ้าหน้าที่เทคนิค บริหารอาคารสถานที่ (รายวัน) ๑ อัตรา

ดูรายละเอียด และ download แบบฟอร์มได้ที่

http://www.bia.or.th/new/index.php?option=com_flexicontent&view=items&cid=40%3Anews&id=369%3Ajob

รัชนก อินทนนท์ ยืนยันไม่ขอเข้ารับราชการตำรวจ

น้องเมย์ รัชนก อินทนนท์ ยืนยันไม่ขอเข้ารับราชการตำรวจ เนื่องจากต้องการมุ่งมั่นกับการเล่นแบดมินตันเพียงอย่างเดียว ก่อนหน้านี้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติประกาศว่าจะบรรจุน้องเมย์เป็นข้าราชการตำรวจชั้นประทวน (คลิปข่าว http://bit.ly/1eKTXUp)

18 สค. นี้ วันอาทิตย์นี้ หน้ากากขาว… ชุมนุมทั่วประเทศ….



หน้ากากขาว…. ขอจงชุมนุม พร้อมกันทั่วประเทศ
สื่อสารถึงกัน… ตระเตรียมตัวกันให้พร้อม
นัดหมายสถานที่… เวลา… รวมตัวกันอย่างพร้อมเพรียง…

รวมตัวสำแดงตน….อย่างพร้อมเพียง มีระเบียบ.. มีพลัง…
สื่อความหมาย… ถึงทุกคน… สื่อถึงทุกขบวนของประชาชน…

จงร่วมมือกัน….จัดขบวนของประชาชนให้รัดร้อยพลังเข้าด้วยกัน
ทำจิตใจให้กว้างและยิ่งใหญ่ เท่าประเทศไทย
สนธิกำลังครั้งสำคัญ… ชูธงโค่นล้มทุนสามานย์…

กองทัพประชาชนได้ลุกขึ้นมาแล้ว
เราจะโค่นล้มทุนสามานย์ เผด็จการทักษิณ ให้หมดสิ้นจากประเทศไทย

เมื่อต่อสู้… เราจะได้ชัยมา…!!!
เมื่อประชาชนต่อสู้… ประชาชนจะได้ชัยมา….!!!

"เรื่องเล่าจากลวดลายบนผืนผ้า"

พรุ่งนี้แ้ล้วนะคะ 17 สิงหาคม 2556 เวลา 14.00-16.00 น. กับกิจกรรมเสวนา "เรื่องเล่าจากลวดลายบนผืนผ้า" ณ นิทรรศน์รัตนโกสินทร์

ร่วมน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในการพลิกฟื้นชีวิตผ้าทอไทย

พบกับ.. ดร.สิริกร มณีรินทร์ พิธีกรกิตติมศักดิ์, นพ.พงศกร จินดาวัฒนะ เจ้าพ่อนวนิยายเกี่ยวกับผ้าโบราณ อาทิเช่น รอยไหม สาปภูษา กี่เพ้า ฯลฯ และ คุณสุทธิรัตน์ แก้วอาภรณ์ ตัวแทนจาก พิพิธภัณฑ์ผ้า ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ

สำรองที่นั่งได้ที่ โทร. 0-2621-0044 ต่อ 0, 128 หรือ 08-1655-8859

หมายเหตุ ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้นในการร่วมงานเสวนาค่ะ

ความผิดของใครล่ะ ฟูจิศรีราชา

วันที่ 17-7-13 ได้เข้าไปกินอาหารที่ฟูจิสาขาโรบินสันศรีราชา เช็กบิลมา 2,200฿ เราได้ให้บัตรเดบิตรธนาคารกรุงศรีไป พรักงานเดินมาบอกว่าบัตรรูดไม่ได้นะคะขอบัตรใหม่ด้วยคะ เราก้อให้บัตรอีกใบไป และพนักงานก้อเดินมาบอกว่ามีบัตรอีกมั้ยคะ จังหว่ะนั้นมี sms เข้ามา 2 ข้อความ ชำระ 2,200.00บ@FUJI (SRI RAC จาก x-0641 คงเหลือ 10,664.50บ(17/7/56,18:26) & ชำระ 2,200.00บ@FUJI (SRI RAC จาก x-0641 คงเหลือ 8,464.50บ(17/7/56,18:26) เงินเราหายไป 4,400฿ แต่มันบอกว่าไม่มีสลิปยืนยัน เราก็ให้ข้อความมันดูเป็นหลักฐาน และข้อความก้อเข้ามาอีกเครื่องนึงว่าชำระเงินทีีฟูจิ 2,200฿ เท่ากับกูจ่ายเงินมันไป 6,600฿ และมันก้อจาให้เราไปติดต่อกับธนาคารเอง ซึ่งตามจริงพวกมึงต้องจัดการให้กูไม่ใช่หรอ ให้กูวุ่นวายอยู่ 2 ชม. เงินก้อไม่ได้คืน พนักงานก็ไม่มีความรับผิดชอบจ่ายเงินคืนลูกค้าก่อนทั้งที่ลงไปธนาคารเค้าก้อบอกอยู่ว่าพนักงานต้องรับผิดชอบให้ลูกค้าก่อนนะ มันก้ออ้อนวอนว่าไม่อยากเสียเงินเคยควักจ่ายแต่หลักร้อยไม่เคยจ่ายหลักพัน มันโทรหาคุณแอ๋วผู้จัดการด้านเครดิตประจำพื้นที่ของฟูจิ คุณแอ๋วได้พูดจากับลูกค้าแบบส้นตีนมาก มันพูดว่าคุณจะซีเรียสทำไมคะ พนักงานเคยรูดบัตรผิดไป 17 ครั้ง ลูกค้ายังยิ้มได้เลย ดูมันพูดเหี้ยชิปหาย สุดท้ายอีพนักงานถ่ายบัตรประชาชนหร้าหลังและเขียนบรรยายเหตุการไว้ในกระดาษและสำนักงานใหญ่ก้อสัญญาว่าจะคืนเงินให้ภายในวันที่ 18-7-13 แต่พอถึงเมื่อวาน 18-7-13 ก้อมีพนักงานโทรจากธนาคารกรุงเทพโทรมาบอกเราว่าไม่ใช่ความผิดของฟูจินะคะมันเป็นความผิดของธนาคารกรุงศรีให้เราไปติดต่อขอเงินคืนเอง (ดูมันเหี้ยมะ) เราเลยบอกมันไปว่าเราจะไม่ทำอะไรทั้งนั้นเพราะเราเข้าไปใช้บริการกับฟูจิ ฟูจิต้องดำเนินการให้เราเพราะเรามีหบักฐานทุกอย่างที่คุณระบุว่าวันนี้เราต้องได้เงินคืนจำนวน 4,400฿ ธนาคารกรุงเทพเลยประสานงานให้และบอกว่าเงินจะเข้าภายในเย็นนี้นะคะ พอถึงตอนเย็นก้อยังไม่มีเงินเข้า มันก้อบอกอีกว่าน่าจะเป็นพรุ้งนี้นะคะ (ดูความเหี้ยของฟูจินะคือแม้งไม่รับเหี้ยไรทั้งนั้นโยนให้ธนาคารโยนให้ลูกค้าทุกอย่าง) เราก้ออึดใจรอถึงเที่ยงคืนสุดท้ายเงินก้อไม่ได้จนวันนี้วันที่ 19-7-13 แล้วเราก้อยังไม่ได้เราควรทำไงดี...


มันเคยทำกับคนอื่นมาแน่ๆ มันเลยได้ใจ ถ้าลูกค้าคนไหนเคยรูดบัตรแล้วไม่มีsmsบอกก็คงจะโดนโกง ถ้าแจ้งความตรงนั้นเลย เอาหลักฐานคาตา จะได้ไม่ต้องรอ ดูร้านใหญ่ก็จริงแต่ไม่มีความรับผิดชอบ โกงหน้าด้านๆทั้งที่ความผิดเป็นของร้านไม่ใช่ธนาคาร!!ร้านชุ่ยมาก

คำสอน...หลวงพ่อชา สุภัทโท

คำสอน...หลวงพ่อชา สุภัทโท

-:-เธอจงระวังความคิดเพราะมันจะกลายเป็นความประพฤติ

-:-เธอจงระวังความประพฤติเพราะมันจะกลายเป็นความเคยชิน

-:-เธอจงระวังความเคยชินเพราะมันจะกลายเป็นอุปนิสัย

-:-เธอจงระวังอุปนิสัยเพราะมันจะกำหนดชะตากรรมของเธอชั่วชีวิต

นิทานเรื่องยายผู้ไม่ยินดีในวิมาน




มีนิทานเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องของยายคนหนึ่งแกทำบุญสร้างโบสถ์ วิหาร สร้างวัด ให้ทานแก่บุคคล ถวายเครื่องอุปโภค บริโภคแด่พระสงฆ์จำนวนมาก

มีครั้งหนึ่งเทวดาท่านดลบันดาลให้ยายได้เห็นวิมาน อาหารที่เป็นทิพย์ พร้อมทั้งบริวารที่รอยายอยู่บนสวรรค์ และบอกกับยายว่านี่คือวิมานของยาย นี่คืออาหารของยาย นี่คือบริวารของยาย

เมื่อยายตายโลกมนุษย์แล้ว วิมานนี้ อาหารนี้ พร้อมทั้งบริวารเหล่านี้จะเป็นของยาย ด้วยหวังจะให้ยายยินดี แต่ยายกลับไม่ได้รู้สึกยินดีกับวิมาน อาหาร พร้อมทั้งบริวารเหล่านั้นเลย

เพราะยายเข้าใจในพระธรรม รู้ซึ้งในพระธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างดี ยายเห็นความ"ไม่เที่ยง" ยายเห็นว่าแม้แต่พรหมชั้นสูงสุดที่มีอายุยาวนานถึง ๘๔,๐๐๐ มหากัป

พระพุทธเจ้าท่านก็เรียกว่า “ท่านผู้มีอายุ" คือยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไปเมื่อหมดอายุก็ต้องจุติ(ดับ,ตาย)จากภพนั้นและมีกำเนิดในภพอื่นต่อไป ยายเห็นว่าความสุขนั้นเป็น "วิปรินามธรรม ที่สามารถแปรเปลี่ยนกลับเป็นทุกข์ได้"

ยายรู้ดีว่าบุญที่ยายทำนั้นจะเป็นเครื่องนำไปสู่สุคติสวรรค์ และยายอาจจะได้เสวยสุขอยู่บนสวรรค์ชั่วอายุหนึ่ง อาจจะสัก ๒๕๐๐ ปี แต่เมื่อหมดอายุจากภพนั้นแล้ว ยายกลัวว่ายายอาจจะได้มาเกิดเป็นมนุษย์ในสมัยกลียุค เป็นยุคที่โลกมนุษย์มีแต่ความทุกข์ยากลำบาก เป็นยุคที่ไม่มีธรรมะของพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว เป็นยุคที่พุทธศาสนาครบ ๕๐๐๐ ปีแล้ว

ศาสนาพุทธเสื่อมไปแล้วตามที่พระพุทธเจ้าท่านทรงพยากรณ์ไว้ ยายกลัวว่าจะประสบกับความทุกข์ในช่วงสมัยนั้น กลัวว่าจะไม่ได้พบกับสัจจธรรมในช่วงสมัยนั้น ยายจึงไม่รู้สึกยินดีในวิมาน อาหาร พร้อมทั้งบริวารเหล่านั้น


เมื่อเห็นในทุกข์อันเกิดจากภพ ยายจึงไม่ปรารถนาในภพ ยายปรารถนาที่จะออกจากภพ จึงเพียรศึกษาพระธรรม เพียรปฏิบัติตามองค์มรรควิธี เพื่อให้ถึงซึ่งความดับแห่งภพ

เวลาที่ยายทำบุญบริจาคทาน ยายก็ไม่ปรารถนาในภพ ไม่ปรารถนาว่าจะได้ไปสู่วิมาน อาหาร พร้อมทั้งบริวารในภพใดๆ เพราะยายรู้ดีว่านั่นคือ "ภวตัณหา"(ยินดีติดใจในภพ) ยายทำบุญบริจาคทานก็เพราะยายเพียรพยายามที่จะทำให้โลภะเบาบางลง


ยายรู้ว่าการทำบุญบริจาคทานเพื่อที่จะขจัดโลภะนี้คือกุศลที่มีอานิสงส์มากกว่าบุญ ไม่ใช่เป็นแค่บุญ เพราะการทำบุญอย่างเดียวไม่อาจทำให้ยายหลุดพ้นได้ แต่กุศลคือสิ่งที่ทำให้ยาย คิด พูด และกระทำสิ่งใดๆอย่างฉลาด รู้เท่าทัน โลภะ โทสะ โมหะ ต่างหากจะทำให้ยายหลุดพ้นได้

นอกจากนี้ ยายยังได้เพียรเจริญเมตตาธรรมก็เพื่อที่จะทำให้โทสะเบาบางลง เพื่อขจัดโทสะให้สิ้นไป ยายเพียรทำจิตให้ผ่องใสควรแก่งาน เพื่อน้อมไปสู่วิชชา ๓ เพื่อความสิ้นอาสวะ เพื่อละสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ให้ได้(เครื่องร้อยรัดสัตว์๑๐ อย่างให้วนเวียนอยู่ในวัฏฏะ)


"เพื่อบรรลุโสดาบันในชาตินี้ ซึ่งจะไม่มีความเสื่อมลงได้อีก เพื่อบรรลุสกทาคามีในชาตินี้ ซึ่งจะกลับมาเกิดในโลกนี้อีกเพียงครั้งเดียวก็จะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ เพื่อบรรลุอนาคามีในชาตินี้ ซึ่งจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในสวรรค์ชั้นพรหมสุทธาวาส ไม่กลับมาเกิดในโลกนี้อีก เพื่อบรรลุอรหันต์นิพพานในชาตินี้"


เพราะจุดมุ่งหมายของยาย คือปรมัตถประโยชน์ คือ ประโยชน์อย่างยิ่ง คือ นิพพาน


ยายเพียรทำอยู่อย่างนี้โดยที่ยายไม่ได้คำนึงถึง ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ คือประโยชน์ในปัจจุบัน และสัมปรายิกัตถประโยชน์ คือ ประโยชน์ในภายหน้าเลย


"เพราะยายรู้ดีว่า ประโยชน์สองอย่างนี้ยายจะพึงมีพึงได้อยู่แล้วจากการกระทำที่ดีเป็นบุญเป็นกุศลในปัจจุบันของยายโดยไม่จำเป็นต้องเพ่งเล็งขวนขวาย นี่คือจุดมุ่งหมายของยายผู้ไม่ยินดีในวิมาน อาหาร พร้อมทั้งบริวาร ในสุคติภพใดๆ"


และยายได้กล่าวภาษิตฝากถึงผู้ที่ยังปรารภนาในประโยชน์ว่า


“ ผู้ไม่เห็นในทุกข์

ย่อมไม่ปรารถนาที่จะออกจากทุกข์

ผู้ไม่เห็นในคุณของพระนิพพาน

ย่อมไม่ปรารถนาปรมัตถประโยชน์

ผู้ไม่เห็นในปรมัตถประโยชน์

ย่อมไม่ปรารภความเพียร"

วันพฤหัสบดีที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2556

19 วิธีในการบำรุงรักษา ถนอมสายตา

Cr. Vichai Love King



1. ปรับช่องแอร์ในรถให้ต่ำลง อย่าให้ลมเย็นพ่นเข่าตาโดยตรง เพราะลมเย็นพวกนี้จะเป็นสาเหตุให้ตาแห้ง ถ้าปล่อยไว้นานๆ กระจกตาก็อาจจะถลอกจนกลายเป็นปัญหาเรื้อรังได้

2. บลูเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่ดีต่อสายตามากๆและหาซื้อได้ไม่ยากเลย แค่ซื้อแยมบลูเบอร์รี่มาทาขนมปังทาน คุณก็จะได้รับสารอาหารแอนโธไซยาโนไซด์ ซึ่งช่วยบำรุงสายตาแล้ว

3. อย่ามองข้ามมันเทศ ของดีราคาย่อมเยาที่พ่อค้าเขาเดินขาย วิตามินในมันเทศจะช่วยปรับสายตาของคุณให้เห็นได้ชัดในที่มืด

4. เวลาทำกับข้าว อย่าลืมใส่หัวหอมแดงลงไปด้วย เพื่อให้สารต้านอนุมูลอิสระเคอร์ซิทินในหอมแดงจะช่วยป้องกันต้อหินให้คุณ

5. อย่าขี้เกียจเดิน เพราะผลการวิจัยบอกว่าเดินอย่างน้อยสัปดาห์ละ 4 ครั้งจะช่วยลดความดันในกระบอกตา ทำให้สายตาเป็นปกติ

6. กินปลาสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อไม่ให้ร่างกายขาดโอเมก้า-3 ที่จำเป็นสำหรับบำรุงสายตา

7. ลดขนมหวานๆ และอาหารมันจัด อาหารพวกนี้เกิดมาเพื่อเป็นศัตรูกับสุขภาพ รวมทั้งสายตาของคุณด้วย

8. ก่อนออกจากบ้านอย่าลืมใส่แว่นกันแดดเสมอ เพื่อป้องกันทั้งลม แดด ฝุ่นละออง และเชื้อโรค ที่จะแท็คทีมกันมาทำร้ายสายตาที่รักของเรา

9. ตรวจวัดความดันโลติตเป็นประจำทุกเดือน ความดันที่ผิดปกติมีผลโดยตรงต่อสายตามาก จึงไม่ควรมองข้ามการวัดความดัน ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลจะได้รักษาได้ทันท่วงที

10. สวมหมวกปีกกว้าง แว่นกันแดดอย่างเดียวอาจจะสู้กับแดดแรงมหาร้อนอย่างบ้านเราไม่ไหว หมวกปีกกว้างจึงเป็นอุปกรณ์เสริมอีกอย่างที่ขาดไม่ได้ เพื่อป้องกันรังสียูวีที่อาจจะเล็ดลอดเข้ามาทางด้านบนของแว่นกันแดด

11. อย่าละเลยการทำความสะอาดดวงตาด้วยน้ำยาล้างเครื่องสำอางค์ทุกคืน เพื่อป้องกันไม่ให้มาสคาร่าที่อาจจะเหลือตกค้างอยู่เข้าไปหมักหมมอยู่ในดวง ตาจนเกิดการติดเชื้อ

12. กินผักใบเขียวเป็นประจำทุกวัน ผักใบเขียวเป็นแหล่งรวมของสารลูเทอินและซีอาแซนธินที่ช่วยลดความเสี่ยงโรค ต้อกระจกและยิ่งซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในกระบอกตาได้ด้วย

13. ผักบีตสดๆเป็นของขวัญชั้นดีที่จะมอบให้ดวงตาของตัวเองได้ ผักชนิดนี้มีสารต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยปกป้องหลอดเลือดในกระบอกตา ทำให้ตาคุณมีเลือดไปเลี้ยงอย่างสมบูรณ์ ทำให้ตาคุณสวยและใส

14. เลิกทานอาหารที่เค็มจัด เพราะคนที่ติดรสเค็มจะมีโอกาสเป็นโรคต้อกระจกมากกว่าคนที่ชอบอาหารรสจืด

15. หมั่นซักผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัวบ่อยๆ เพื่อให้ผ้าส่วนตัวของคุณสะอาด ปราศจากเชื้อโรค ทีสำคัญไม่ควรใช้ผ้าเช็ดหน้าร่วมกับใคร เพราะในผ้าพวกนั้นอาจจะมีเชื้อโรคตาแดงซ่อนอยู่

16. น้ำหอมกลิ่นมะลิ วนิลลา หรือเปปเปอร์มินต์ มีสรรพคุณช่วยกระตุ้นระบบลิมบิกในสมอง ซึ่งจะไปกระตุ้นเซลล์รูปแท่งในจอตาอีกต่อหนึ่ง ทำให้คุณมองเห็นในที่มืดได้ชัดขึ้น แค่หยดน้ำหอมกลิ่นใดกลิ่นหนึ่งไว้ที่แขนเสื้อ ก็จะมีสายตาดีขึ้นได้แล้ว

17. อย่าเพ่งมองสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานเกินไป แม้การอ่านหนังสือก็ควรถอนสายตามองออกไปที่ไกลๆทุกๆ 30 นาที เพื่อพักสายตาไม่ให้เพลียหรือล้าถาวร

18. กินผักโขมสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ผักชนิดนี้มีสารลูเทอิน ซึ่งจะช่วยป้องกันต้อกระจกและภาวะศูนย์กลางประสาท

19. เปลี่ยนมาสคาร่าขวดใหม่ทุกๆ 3 เดือน ทุกครั้งที่มาสคาร่าสัมผัสตาคุณ จะต้องมีความสกปรกเล็กๆน้อยๆ ติดมาด้วย เมื่อมาหมักหมมปนกันนานเกิน 3 เดือนขึ้นไป มาสคาร่าขวดโปรดของคุณก็จะกลายเป็นแหล่งรวมเชื้อโรคไปโดยปริยาย

ขอบคุณข้อมูล : dek-d.com — with เอสเออีเอ็นจีดีเอชเอเอ็ม ใช้ชีวิต.