++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2555

เครียด...วุ้ย!

เครียด...วุ้ย!

ชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งป้อนอาหารให้ภรรยาสาวสวยที่นอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ใจกลางกรุงเทพ ใบหน้าสวยของภรรยามองหน้าสามีด้วยอาการที่นิ่งเฉยตาแป๋ว เพราะไม่สามารถขยับตัวได้ เนื่องจากเป็นอัมพาตที่มาจากการสำ ลักอาหาร แล้วเศษอาหารไปติดหลอดลม จนสมองขาดออกซิเจน แล้วก็มานอนเป็นผักปลาอยู่ตรงนั้น ชายผู้สามีแสดงสีหน้าเบื่อโลกเสียเต็มประดาในขณะป้อนอาหารอยู่

พี่วิด ข้าราชการวัยเกษียณ ที่อยู่กับบ้านทำงานผ่านอินเตอร์เน็ท และต้องง่วนกับหมาสิบสองตัวที่เลี้ยงไว้ รักแสนรักราวกับลูก ใช้เวลากับหมาทั้งสิบสองตัวไม่น้อยในแต่ละวัน แต่ทุกวันประมาณตีสี่จะได้ยินเสียงคนข้างบ้านด่ากัน หยาบคายด้วยคำพูดเหมือนปล่อยสัตว์ออกจากปากเป็นอยู่ประจำ จนพี่วิดต้องเรียกเธอคนนนั้นว่าผู้อำนวยการสวนสัตว์

บ๊อบ หนุ่มน้อยวัยยี่สิบสามปีทำงานฝ่ายจัดซื้อของบริษัทคอมพิวเตอร์แห่งหนึ่ง ที่ต้องปรับตัวอย่างมากกับงานที่เป็นจริงเป็นจังงานแรกในชีวิต และรู้สึกว่าตัวเองไม่ปลอดภัยกับงานที่ทำและเสี่ยง เพราะอาจมีเรื่องผลประโยชน์หรือส่วนได้เสียที่เขาไม่รู้
แต่ถ้าเขามีสติ เขาจะรู้ว่าอะไรเป็นหน้าที่ของเขา และทำงานของเขาให้ตรงกับหน้าที่เท่านั้นเอง เพียงแต่ต้องคอยระวังความเผลอเรอของตัวเอง แทนที่จะนึกถึงแต่การลาออกจากงานที่เพิ่งทำได้ไม่กี่สัปดาห์ และไม่มีประสบการณ์อื่นที่จะหางานใหม่ที่ดีกว่านี้ทำได้

ส้ม สาวธนาคารที่หมกมุ่นกับงานมาก รับโทรศัพท์มือถือจากลูกค้าแทบทั้งวัน จนรับไม่ไหว เปลี่ยนเป็นมาใช้บลูทูธแทนก็แล้ว แต่ก็ยังมีปัญหา เพราะชอบกดสวิทซ์วางสายระหว่างคุยกับลูกค้าอย่างไม่รู้ตัวและเผลอไปบ่อยๆ เธอโกรธจนตบหน้าตัวเองต่อหน้าสามี จนทำให้เขาอึ้ง

ชัย อดีตหนุ่มธนาคารที่เกษียณตนเองก่อนอายุ เพราะเบื่องาน แล้วก็หันมาหมกมุ่นกับตัวเอง มัวแต่มองย้อนอดีตที่รุ่งเรืองของตน จนไม่สามารถเหลียวกลับมาเผชิญหน้ากับปัจจุบัน หลบหน้าหลบตาผู้คน แทนที่จะหางานใหม่ทำ จนเลยวัยที่จะหางานได้ แล้วมาก็นั่งสูบบุหรี่เป็นงานอดิเรก ประคับประคองชีวิตกับเงินที่เหลืออยู่ก้อนสุดท้ายอย่างกระเหม็ด กระแหม่ นอกจากกนั้นก็ไม่รู้ว่าเขาเหลืออะไร

โกวิทหนุ่มกลางคนวัยห้าสิบ ทำงานทางด้านการเงิน จนก่อร่างสร้างตัวได้เป็นปึกแผ่น ชอบออกไปตีกอล์ฟกับเพื่อนๆ จนสุดท้ายก็ออกลูกออกหลานมีแค๊ดดี้หรือผู้ช่วยในสนามเป็นกิ๊กสาว กำลังม่วนชื่นกับสาวคราวลูก แต่ก็กลัวเมียจับได้อย่างวิตกและหวาดระแวง

โก๋เพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันของโกวิท ผู้ที่ตัดใจจากแค๊ดดี้กิ๊กสาววัยสามสิบสอง เพราะเกรงว่าครอบครัวจะแตกแยก และเกือบแตกแหกเป็นชิ้นจริงๆเพราะกิ๊กสาวไปแสดงตัวถึงบ้านโก๋ ดีแต่ภรรยาของเขารักและให้อภัย บ้านก็เลยไม่ร้าวหรือร้าง แต่ทุกวันนนี้โก๋ก็ยังพร่ำเพ้อรำพันถึงกิ๊กสาวที่ไปมีผัวใหม่และค้ายาเสพติดอย่างอาลัยอาวรณ์ จนเพื่อนฝูงที่ไม่เข้าใจในเสน่หาของเขา อยากจะให้สักป้าบ ดีแต่ว่าโก๋เริ่มหันหน้าสนใจในธรรมะเพื่อให้คลายความคิดถึงกิ๊กสาวอย่างยากเย็น แต่เขาก็ยังพร่ำบ่นว่าอีกนานกว่าเขาจะเบื่อหน่ายคลายกำหนัด

ปี๊ดชายกลางคนที่ใช้ชีวิตโดยธรรม สมถะประหยัด อยู่กับภรรยาคู่ทุกข์จนแก่เฒ่า ด้วยที่มีภรรยาเป็นผู้มีรายได้เป็นหลักในครอบครัว การใช้จ่ายและส่งลูกสองตนเรียนหนังสือจนจบจึงเป็นภาระของฝ่ายหลังเป็นส่วนใหญ่ ในวัยเหนื่อยที่ไกลจากวัยหนุ่ม เริ่มมีเสียงกระทบกระทั่งกันหนักขึ้น แต่สุดท้ายก็รอมชอมกันได้ เพราะความเข้าใจกันที่เป็นทุนเดิม อย่างไรก็ตามเสียงกระทบก็ยังลอยลมมาให้ได้ยินบ้างนานๆครั้ง

นิดหญิงสาวที่เรียกร้องพร่ำหาแต่ความต้องการของตัวเอง ทุกเรื่องทุกราวจะพูดถึงตัวเองเป็นบรรทัดฐาว่าอยากจะได้อะไรอย่างไม่รู้ตัว
ในการใช้ชีวิร่วมกับใครก็ตาม เธอไม่เคยสนใจว่าผู้ที่เกี่ยวข้องรู้สึกเช่นใด ราวกับตัวเองเป็นศูนย์กลางของ จักรวาล แม้พระอาทิตย์พระจันทร์ยังต้องชิดหลบลับขอบฟ้าให้ คนที่อยู่ดนเดียวท่ามกลางผู้คนล้อมรอบจะทำเช่นใดดี

ตามหาแก่นธรรมตอนนี้ ผมขอยกตัวอย่างชีวิตที่ขาดธรรมเป็นที่พึ่งส่วนหนึ่งมาเล่าให้ฟัง เพื่อเป็นสะเก็ดชีวิตสำหรับผู้มีฝุ่นละอองเข้าตาให้รู้จักการเดินทางของชีวิตให้คุ้มค่าที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ที่มีชีวิตมิได้ยาวนานนักเลย แต่ทุกคนชอบจะลืมความจริงข้อนี้ไป มัวแต่จมปรักเรื่องราวของตนเองและผู้อื่น จนขาดความใส่ใจที่จะรู้จักตนเองอย่างถ่องแท้ และแก้ไขในสิ่งผิด มันมีเวลากันไม่มากนักหรอกครับ ที่จะหายใจรดทิ้ง แล้วบ่นว่าเครียดวุ้ย

ก่อนจะถึงเวลานอนตากลับ ลองพิจารณาดูสิครับ ว่าสุดท้ายจะเหลืออะไร เหมือนควันบุหรี่ที่บางคนเหม็นแสบจมูก เหมือนน้ำหอมที่ผู้คนรดร่ำบนตัวแล้วเดินผ่านไป สุดท้ายมันก็จางหายไปเป็นไปตามกฎอนิจจลักษณะ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

ธรรมะสวัสดี

ตุ๋ย

วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2555

อคติ

อคติ

dungtrin



อคติเป็นอาการที่จิตเอียงข้างกะเท่เร่
มองไม่เห็นคนอย่างที่เขาเป็น
แต่เห็นเขาอย่างที่เราคิด
และถ้ามองอะไรด้วยอคติ
คุณก็แทบไม่มีทางพูดถึงสิ่งนั้นด้วยเหตุผล

อคติมีรากหรือที่ยืนเป็นรักเกินไป
เกลียดเกินไป ไม่รู้แล้วอยากแสดงว่ารู้
หรือกลัวจนขลาดเกินกว่าจะแสดงออก
ความคิดและคำพูดที่ยืนพื้นอยู่บนอะไรที่ "เกินไป" เหล่านี้
นับเป็นอคติได้ทั้งสิ้น

ทุกคนรู้ว่าอคติเป็นสิ่งไม่ดี
แต่ขณะเดียวกันก็อดมีไม่ได้
เนื่องจากอคติเปรียบเสมือนเงาดำติดตัวมาแต่ไหนแต่ไร
จะให้สลัดทิ้ง หรือสั่งตัวเองว่าจงอย่าเกิดอคติอีกเลย
ก็คงเป็นไปไม่ได้
เอาแค่วิธีตีค่าใครให้ตรงตามที่เขาเป็น
เราก็บวกลบคูณหารตามความชอบใจส่วนตัวเข้าไปไม่รู้เท่าไหร่แล้ว

และความจริงประจำโลกนี้ก็ตลกดีครับ
มนุษย์รักที่จะตัดสินคนอื่นด้วยอคติ
แต่เอาเป็นเอาตายเรียกร้องให้คนอื่นตัดสินตนด้วยความเป็นธรรม
นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาช้านาน และจะยังคงเกิดขึ้นต่อไปไม่สิ้นสุด

เมื่อเกิดอคติ คุณไม่มีทางหยุดคิดทันที
แต่มีทาง "รู้สึกถึงเงาดำของอคติ" ได้ทันใด
เมื่อรู้สึกได้ถึงเงาดำ ก็จะเห็นว่าดำมากหรือดำน้อย
เวลาผ่านไปก็จะรู้สึกว่ามันไม่มากไม่น้อยเท่าเดิม
นั่นแหละ จะค่อยคลายคืนความรู้สึกยึดมั่นในอคติเสียได้

พอจับได้ไล่ทัน
เห็นบทบาททางความคิดอันเป็นเงามืด
อันเกิดจากความรักมากไป เกลียดมากไป
ไม่รู้มากไป ตลอดจนกลัวมากไป
จิตคืนสู่ความเป็นกลางอย่างมีเหตุผล
รับฟังทุกสิ่งด้วยใจปลอดโปร่ง
อคติก็หายไปเกินครึ่งหรือทั้งหมดได้จริงๆครับ

ดังตฤณ
สิงหาคม ๕๔

วันเสาร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2555

สิ่งที่จะพลิกโฉมความจริงในสมมุติสัจจะ ก็คือ

สิ่งที่จะพลิกโฉมความจริงในสมมุติสัจจะ ก็คือ

การรู้ตัว การรู้ตัวเป็นการรู้ที่แท้จริง รู้ความจริงแท้ในโลก รู้ความจริงในอริยสัจจะคือ ทุกข์ ที่มาแห่งทุกข์ สภาวะแห่งการพ้นทุกข์ และหนทางแห่งการหลุดพ้นจากทุกข์ ที่องค์พระบรมครูของเราคือพระสัมมา สัมพุทธเจ้า ผู้ที่ทรงตรัสรู้เองในพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ และทรงมาโปรดสรรพสัตว์ทั้งหลายเช่นเรา ความจริงอันประณีตที่ทรงตรัสรู้ยากนักที่จะหามหาบุรุษใดในโลกทำได้ เพราะทรงบำเพ็ญบารมีมานานแสนนาน...
สิ่งที่พระองค์ทรงตรัสล้วนเป็นสัจจะหรือความจริงแท้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะโดยสมมุติสัจจะ เพื่อให้เหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายหรือเทวดาทั้งปวงได้อยู่กันอย่างศานติธรรม ในสมมุติสัจจะ และวิมุตตีสัจจะหรือปรมัตถ์สัจจะ เพื่อให้เหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย เทวดาทั้งปวงได้บรรลุธรรมกันอย่างศานติหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง

วันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2555

ห้องเรียนที่ชื่อว่า "โลก"

ห้องเรียนที่ชื่อว่า "โลก"



ขอบคุณ...ความคิด
ที่ช่วยให้เราได้ใช้อวัยวะที่ชื่อ "สมอง" บ่อยๆ
แม้บาง ครั้ง...ที่ความคิดจะมีมากเกินไปจน "ล้น"
แต่หลาย ครั้ง...ที่เราหยุดทำ เรื่องไร้สาระได้
ก็เพราะสิ่งๆ นี้ห้ามเอาไว้

ขอบคุณ...ความฝัน
ที่ช่วย ทำ ให้เกิดสิ่งดีๆ ขึ้นมา
เพราะเราอยากเห็นมันกลายเป็นความจริง
และ บางครั้งอีกเหมือนกันที่มันก็สอนให้เราเข้าใจด้วยว่า
"ความฝัน" บางอย่าง เป็นได้แค่ "ความฝัน"
เปลี่ยนเป็นความจริงไม่ได้

ขอบคุณ...ความจริง
ที่ทำให้รู้สึกได้ว่า
ตัวเองยังยืนอยู่บนโลก

ขอบคุณ...ความทุกข์
ที่บอกอะไรเราได้อย่าง ตรงไปตรงมา
ไม่เหมือนกับ...ความสุข
ที่บางทีก็ทำให้ เราหลงเพลิดเพลินจนลืมพิจารณาตัวเอง

ขอบคุณ...ความรัก
ที่ทำให้จิตใจเราอ่อนโยน ไม่แข็งกระด้าง
รู้จักการให้ และ เสียสละ
แม้ว่าความรักในระหว่างคน สองคนนั้น
จะต้องมีคนหนึ่งที่รักมากกว่า...อยู่เสมอ...

ขอบคุณ...ความหลง
ที่บอกให้ เรารู้ว่า
ยังมีอีกคำที่คนชอบเข้าใจผิด
ว่าเป็น...ความรัก

ขอบคุณ...ความแตกต่าง
ที่ทำให้โลกนี้สวยงาม และไม่น่าเบื่อ
การยอมรับความแตกต่างของเรากับคนอื่น
จะ ทำให้ประตู ของมิตรภาพ...เปิดออกตลอดเวลา

โลก...คือห้องเรียนห้อง ใหญ่ที่สุด เท่าที่ฉันได้เคยเรียนมา
และเป็นที่แห่งเดียวก็ว่าได้ที่คน เรียนกับคน ให้คะแนนคือคนๆ เดียวกัน
...นั่นคือ ตัวเราเอง...

ทุกวิชาที่ได้เรียน ไม่มีวิชาไหนที่ผ่านไปง่ายๆ
แต่ก็ไม่มีวิชาไหนที่ยาก เกินกว่าจะเรียนรู้

นี่คือบางสิ่งที่ฉันได้มาจากห้องเรียน...ห้อง นี้
และอยากจะเอ่ยคำว่า...

วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2555

ข้อคิดจากเรื่ิองของใจ

ข้อคิดจากเรื่ิองของใจ

๑.เส้นเลือดเล็กหรือใหญ่มันสำคัญเหมือนกันหมดแหละ ลองตีบหรือแตกสักเส้นสองเส้นสิ เรื่องใหญ่จะตามมาเป็นอัมพฤกษ์ หรืออัมพาตปากเบี้ยวแล้วจะเข้าใจ บุญเล็กบาปเล็กบุญใหญ่บาปใหญ่ก็เช่นกัน ลองทำดูสิ จะรู้ผลไม่นาน เหมือนเส้นเลือดนี่ ไม่ต่างกันเลย หมั่นดูแลไม่ทำบาป บำเพ็ญบุญ แล้วเส้นเลือดจะแข็งแรง สบาย (พี่เกษม)
๒.คนที่ไม่เคยหิว หรือคนที่ไม่เคยอิ่ม ใครว่าไม่ทุกข์หรือทุกข์แตกต่างกัน (สะมะชัยโย)

Fwd: ตามหาแก่นธรรม 94 เรื่องของใจ
Thammasatu ธรรมะสาธุ เวบดีดีมีธรรมะ

วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2555

มาดูวิธีกินแต่พออิ่ม ช่วยให้อ่อนวัยกันค่ะ

มาดูวิธีกินแต่พออิ่ม ช่วยให้อ่อนวัยกันค่ะ

1 . ตักอาหารที่คิดว่ากินแล้วอิ่มพอดีไว้ในจาน เพื่อควบคุมปริมาณการกินของตนเอง

2. เคี้ยวอาหารช้าๆ หากกินเร็ว กว่าจะรู้ตัวก็แน่นท้องเสียแล้ว

3. สังเกตความอิ่มของตนเองก่อนตักอาหารเพิ่ม

4. ควรวางแผนการกินอาหารทุกครั้งก่อนไปงานเลี้ยง โดยเฉพาะอาหารบุฟเฟต์


5. ท่องคาถาระงับความหิวไว้ว่า “กินเพื่ออยู่ (นานๆ) ไม่ใช่อยู่เพื่อกิน (เยอะๆ)”

กินแต่พออิ่มและอย่าลืมเลือกอาหารที่มีประโยชน์ด้วยนะคะ



**ขอบคุณที่มา ... ชีวจิต และภาพในอินเตอร์เน็ต

************************************************************

" กินเพื่ออยู่ ไม่อยู่เพื่อกิน " ดีที่สุดเนาะ จะได้อยู่มีอายุ อยู่กินได้นานๆ เรียกว่า.." กินอย่างพอเพียง " ดีที่สุดเนาะ..

มื้อที่ควรเป็นมื้อที่หนักสุด ได้อ่านเจอมาจากคุณหมอ คุณหมอบอกว่า มื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุดของคนเราที่ร่างกายต้องการ..ขอให้กินให้มากหน่อย..พอมามื้อกลางวันก็ให้กินพอกลางๆ พอแล้ว..พอตกมื้อเย็น หากเปลี่ยนจากข้าวมาเป็นซุปข้น ผัก ผลไม้ จะดีที่สุด เพราะร่างกายคนเราต้องการพัก ไม่ต้องใช้พลังงานทำอะไรแล้ว กินมากเกินไปกะเพาะก็จะต้องทำงานหนัก ทั้งต้องย่อยต้องส่งสารอาหารไปตามอวัยวะต่างๆของร่างกายอีก..

ขอแถมให้อีกนิดหนึ่ง..คุณหมอบอกว่า กินแต่ล่ะมื้อเอาแค่พอเพียงพอ..ในช่วงว่างๆ อาจชั่วโมง หรือสองชั่วโมง..กินอาหารเสริมจำพวกผลไม้ ถั่ว ธัญพืช ขนมที่ไม่มีรสหวาน อาจเป็นคุ้กกี้ธัญพืช หรือเครื่องดื่มผลไม้ก็ได้ นับว่าดีค่อยๆจิบ ค่อยๆเคี้ยว..จะเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายเราขยับตัวได้ง่าย ไม่อ่อนเพลียเกินไป..

อ้อ..คุณหมอให้จิบน้ำใสสะอาดบ่อยๆก็ดี..หรือหากใครเป็นตะคริว แสดงว่าร่างกายของเราต้องการน้ำ ในขณะเป็นตะคริว คุณหมอให้ดื่มน้ำ ดื่มจิบๆสักอึก สองอึก ค่อยๆจิบ ตะคริวก็จะคลายตัว ทำให้เราหายได้..นิสจะใช้วิธีที่ได้คำแนะนำมาจากคุณหมอแบบนี้บ่อยๆ ด้วยอยู่ๆตะคริวจะเป็นตรงใต้ลิ้นปี่..ขวดน้ำดื่มต้องมีอยู่ใกล้ๆมือไว้เลย พอเป็นตะคริว ก็หยิบขวดน้ำมาจิบๆ ที่ล่ะอึกสองอึก ตะคริวจะคลายตัวเองได้จริงๆ ทำให้เราไม่ต้องเกร็งตัว..

สรุป..กินมากรู้สึกแน่นท้อง นั่นแหละทำให้แก่เร็ว..แต่ค่อยๆกินค่อยๆเคี้ยว รู้สึกอิ่มๆ..ก็วางช้อนก่อน..อีกสัก 2 ชั่วโมงก็ค่อยกินใหม่ นั่นแหละจะทำให้ตัวเลขอายุไปข้างหน้า..แต่หน้าตาย้อนกลับไปเป็นเด็กได้ใหม่..อิอิ

วันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2555

สมถะยานิกที่เจริญสมถะกรรมฐานที่นิยมกินลมเป็นอาหารวิเศษจะรู้ได้ดีว่า

สมถะยานิกที่เจริญสมถะกรรมฐานที่นิยมกินลมเป็นอาหารวิเศษจะรู้ได้ดีว่า

สมถะยานิกที่เจริญสมถะกรรมฐานที่นิยมกินลมเป็นอาหารวิเศษจะรู้ได้ดีว่าลมหายใจมันมีค่าและด้อยค่า หากมันวิ่งเข้าวิ่งออกมันก็มีค่ารักษาชีวิต หากมันวิ่งเข้าแล้วไม่ออกหรือวิ่งออกแล้วไม่เข้า มันหมดค่าอย่างสิ้นเชิง เพราะชีวิตที่ประกอบด้วยลมหายใจในกายนี้มันแสดงเช่นนั้น
ความจริงอันพิสุทธิ์ก็คือการพิจารณาลมแล้วรู้ว่าสักแต่ว่าธาตุลม ธาตุดิน ธาตุน้ำ และธาติไฟมาประชุมกันเป็นกายนี้และมีผู้รู้หรือใจที่เป็นส่วนประกอบมาดำรงอินทรีย์นี้ไว้
การเจริญกรรมฐานทั้งปวงก็เพื่อให้เราตระหนักรู้ถึงความจริงในสมมุติสัจจะและวิมุตติสัจจะ เพื่อเข้าสูพุทธภาวะแห่งการหยั่งรู้ที่เรียกว่าวิสังขารหรือไม่ปรุงแต่งทั้งปวง
ท่านผู้อ่านที่รัก ผู้ที่เป็นครูของผู้เขียน ที่ได้แสดงความรัก ความชอบ ความเกลียด ความชัง ร่วมทุกข์และสุขกันมานานแสนนาน ทั้งภพนี้และภพก่อนหน้านี้ ผู้ที่เคยแสนฉลาดและโง่เขลา หากท่านหยั่งรู้ถึงตัวผู้รู้ สมมุติที่อมทุกข์ก็จะกลายเป็นวิมุตติที่คลายทุกข์และหลุดพ้นทันที แค่พลิกหลังมือมาเป็นหน้ามือ โดยการพลิกฝ่ามืออย่างมีสติสัมปชัญญะเท่านั้นเอง เอวัง

ของขวัญที่แท้จริง สำหรับตัวเองและให้ผู้อื่น

ของขวัญที่แท้จริง สำหรับตัวเองและให้ผู้อื่น



“รอยยิ้มเย็นเย็นเป็นตัวอย่าง
สรรสร้างไมตรีดีนักหนา
รอยยิ้มเย็นเย็นเป็นตัวยา
รักษาโรคจิตถอนพิษใจ
ไม่ต้องเรียนหรอกหนาภาษายิ้ม
เพียงทำใจให้อิ่มก็ยิ้มได้
จะซื้อหารอยยิ้มให้อิ่มใจ
ซื้อเท่าไหร่ก็ไม่อิ่มต้องยิ้มเอง”

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นปัจจุบันซึ่งเป็นปัญหาใกล้ตัว ที่ทุกวงการพูดถึงอย่างกว้างขวาง ก็คือผลกระทบ อันเนื่องมาจาก “ภาวะโลกร้อน”

เคยถามคนฟังว่า “โยม วิธีการแก้ไขภาวะโลกร้อน ทำอย่างไร?”

หลายคนตอบมาเยอะมาก บางคนก็บอกว่าอย่าตัดต้นไม้ บางคนก็บอกว่าให้ช่วยกันปลูกต้นไม้ บางคนก็บอกว่าให้ช่วยกันลดใช้พลังงาน

แต่วันนั้นมีเด็กที่มาฟังอยู่ด้วย ตอบน่ารักมากว่า “ใช้แป้งตรางู” เพราะถ้าตัวเราเย็น เราก็ไม่ต้องเปิดแอร์

ความไร้เดียงสาของเด็กทำให้เกิดเสียงหัวเราะ และรอยยิ้มของผู้ที่ได้ฟัง

การยิ้มก็ถือว่าเป็นของขวัญอีกอย่างหนึ่ง เป็นการเพิ่มเสน่ห์ให้กับตนเองโดยที่ไม่ต้องลงทุน และอาวุธที่ดีที่สุดก็คือ “รอยยิ้ม”

ยิ้มด้วยความบริสุทธิ์ใจ จริงใจ ตื่นนอนตอนเช้าในทุกๆวัน สิ่งที่เราควรทำกันก็คือ “การยิ้มให้กับตัวเราเอง” ที่หน้ากระจก และบอกกับตัวเองว่า “วันนี้ต้องดีกว่าเมื่อวาน” ก็จะทำให้เป็นเช้าที่สดใส

พูดถึงของขวัญที่แท้จริงอีกสิ่งหนึ่ง

ของขวัญที่เราจะมอบให้แก่กันได้โดยง่าย คือ การรู้จักฟังในการพูดคุย แต่ปัจจุบันคนส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยยอมฟัง ได้แต่พูด ปัญหาความวุ่นวายทั้งหลาย ในปัจจุบันที่เกิดขึ้นก็เพราะ เราไม่ยอมฟังกัน

“ถ้าจะฟังต้องเงียบก่อน ถ้าไม่เงียบก็ฟังกันไม่รู้เรื่อง”

คำว่า Silent ในภาษาอังกฤษแปลว่า “เงียบ” ถ้าเราลองเอาตัวอักษรมาสลับกัน ก็จะได้เป็น Listen ที่แปลว่า“ฟัง”

คนโบราณบอกว่า “ทำบุญก่อนกิน สมาทานศีลก่อนออกจากบ้าน ล้างจิตวิญญาณ แล้วสมาทานศีลก่อนนอนอีกครั้ง”

นี่คือการให้ของขวัญแก่ตนเอง พอให้ของขวัญแก่ตนเองแล้ว ก็อย่าลืมทำตนเองให้เป็นของขวัญ แก่คนรอบข้างด้วย

วิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกปัจจุบัน ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่เกิดวิตกกังวล ท้อแท้ สะพรึงกลัว และเศร้าสลดใจกับข่าวที่เกิดขึ้น เช่น เหตุการณ์สึนามิที่ญี่ปุ่น โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิด น้ำท่วมทางภาคใต้ แผ่นดินไหวที่ภาคเหนือ หนาวจัดที่ภาคกลาง

ที่ควรคำนึงก็คือ “มีปัญหาอย่าท้อแท้ หนทางแก้มีเสมอ จงใช้สติปัญญาแก้ไขปัญหาชีวิต อย่าใช้อารมณ์แก้ไขปัญหาชีวิต ทุกปัญหามีทางออก”

ดังนั้น การมอบของขวัญที่แท้จริง คือ การมอบรอยยิ้มให้แก่ตนเอง ให้แก่ผู้อื่น รู้จักฟังผู้อื่น ไม่เบียดเบียน ไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนเองและผู้อื่นนั่นเอง

ข้อคิดจากการบรรยาย “ของขวัญที่แท้จริง” โดยพระอาจารย์ประสงค์ ปริปุณฺโณ ในโครงการ “เรายกวัดมา ไว้ที่เซเว่นฯ” โครงการปฏิบัติธรรมนำสมัย ของ บมจ. ซีพี ออลล์ ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น ซึ่งจัดทุกวันศุกร์ เวลา 11.30-13.25 น. ชั้น 11 ซีพี ทาวเวอร์

(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 130 กันยายน 2554 โดย พระอาจารย์ประสงค์ ปริปุณฺโณ วัดบางปลากด จ.นครนายก)

ขี้ลืม

ขี้ลืม




ตามหาแก่นธรรมตอนนี้ ผู้เขียนจะเขียนในหัวข้อว่า"ขี้ลืม"ข้างต้น พอดีเจอบทความที่หัวข้อสอดคล้องกันและน่าอ่านก็เลยคัดลอกมาให้อ่านกันด้านล่างตรงหมายเหตุ หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านกันตามสมควรนะคะ
เรื่องลืมนี้มีหลายประเด็นชวนให้คิดเหมือนกัน เช่นบางคนอยากลืมดันไม่ลืม บางคนไม่อยากลืมดันลืม
บางคนก็แกล้งลืมเพราะจำไม่ได้ว่าไปรับปากอะไรใครไว้บ้าง ขืนทำเป็นจำได้ก็จะต้องมาตามชดใช้กันอีกมาก ก็เลยลืมมันเสียอย่างนั้นแหละ ไม่ได้ลืมเพราะ ขาดสมาธิในการฟัง ที่เรียกว่าฟังหูซ้ายทะลุหูขวา ไม่ได้ลืมเพราะป่วยและมีอาการไม่สบาย เครียด กังวลกับการเจ็บป่วย หรือเป็นโรคทางสมอง อุบัติเหตุ และ...แก่เพราะอยู่นาน

หากลืมบ่อยๆก็ใส่คำว่าขี้เข้าไปข้างหน้าแล้วอ่านว่าขี้ลืม การลืมอาจจะเป็นการลืมชั่วครั้งชั่วคราวแล้วจำขึ้นมาได้ หรืออาจจะเป็นเรื่องที่ลืมจนจำไม่ได้เลยก็มี เพราะเหตุการณ์ผ่านมานานแล้ว ตามกฎอนิจจลักษณะ หรือไม่เที่ยง เกิดขี้น ตั้งอยู่ ดับไป
มีหลายๆคน( ส่วนน้อย )ที่ลืมอดีตชาติที่ขวนขวายกันมากที่อยากจะรู้ว่าในอดีตชาติตัวเองเป็นใครเป็นมาอย่างไร เพียงแต่ลืมสนใจว่าอดีตในชาตินี้ตน เองทำดีหรือทำชั่วอะไรมาบ้าง
บางคนเสาะแสวงหาแต่อดีตในชาติก่อนจนบ้านช่องแตกกระเจิงก็มี เพราะทิ้งลูกทิ้งเมีย จนหนีหายกันไปหมด
เรื่องอดีตชาติเป็นเรื่องที่ไม่มีสาระสำหรับปัจจุบันเลย แต่พอเปิดหัวข้อคุยกันเรื่องเหล่านี้ผู้คนมักจะนั่งเม้าท์กันตรึม
จนมีคนหลายคนเอาอดีตชาติมาอ้างว่าเเคยกิดเป็นเจ้าคนนายคนในสมัยก่อน เอามาหากินกับคนโง่กว่าและที่หลอกได้ ก็มีไม่น้อย
เพราะมักจะอ้างเรื่องกรรมที่ตนสามารถแก้ให้คนอื่นได้ มาเป็นหัวข้อล้วงเงินในกระเป๋าผู้อื่น ที่น่าแปลกก็คือหลอกเอาเงินได้สำเร็จเป็นส่วนใหญ่ของคนที่ ถูกหลอก
การอ้างอดีตชาติที่ทุกคนจำไม่ได้เป็นเรื่องพ้นวิสัยที่จะรู้ นอก จากพระพุทธองค์ แต่ก็ยังมีผู้คนงมงายกันทั่วโลกที่อยากรู้เรื่องราวในอดีตชาติของตน จากที่เราได้ยินได้ฟังข่าวสารจากนานาประเทศ
แม้กระทั่งมีการตรวจสอบเรื่องคนระลึกชาติที่มีที่อยู่เป็นตัวเป็นตนหรือเป็นหลักฐานของคนทั่วโลกมากมาย ที่ตามตรวจสอบและค้นหาความจริงกันได้ชนิดจับต้นมาชนปลายกัน แล้วสรุปเป็นเอกสารรายงานทางวิทยาศาสตร์ขึ้นมาอีกด้วย
เรื่องระลึกชาตินี้ ถ้าดูจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างมีหลักฐานนั้น ย่อมแสดงให้เห็นว่าการเวียนว่ายตายเกิดนั้นมีจริง ไม่ได้ตายแล้วดับสูญไปไหนในวัฎสงสาร และสอดคล้องกับเรื่องกรรมที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้
การลืมกับการจำได้หมายรู้หรือสัญญา เป็นธรรมะฝ่ายตรงกันข้ามกัน
บางคนลืมแม้กระทั่งการขี้หรือการถ่ายอุจจาระให้เป็นเวลา จนท้องผูกและเป็นปัญหาในเวลาต่อมา นอกจากจะลืมการขี้ที่ได้กล่าวมาแล้ว ยังลืมกองขี้อีกหลายกองนับแต่ขี้เกียจ ขี้อิจฉา ขี้โอ่ ขี้อวด ขี้โกง ขี้หึง ขี้ระแวงฯลฯ ล้วแต่นนำทุกข์มาให้ทั้งสิ้น
ลืมแม้กระทั่งชีวิตที่เกิดมาจากดิน น้ำ ลมไฟ มาประชุมกับใจจนเป็นกายและใจหรือชีวิตนี้ ลืมแม้กระทั่งใจเป็นนายกายเป็นบ่าว จึงมัวแต่ใช้กายนี้เบียดเบียนผู้อื่นเพื่อให้ตนได้เสพวัตถุเท่านั้น
สุดท้ายก็จมบนกองทุกข์และหาทางออกไม่ได้มีแต่อบายภูมิที่แปลว่าที่ๆหาความเจริญไม่ได้ตั้งแต่ เดรัจฉาน นรก เปรต และอสูรกายภูมิเป็นที่เกิด
ลืมแม้กระทั่งร่างกายเที่ปรียบดั่งกองขี้ กองคูถและกองมูตร ตั้งแต่ผมสวยก็มีขี้รังแค ตาสวยก็มีขึ้ตา หูสวยก็มีขี้หู จมูกสวยก็มีขี้มูก ฟันสวยก็มีขี้ฟัน ร่างกายสวยงามก็เต็มไปด้วยขี้ไคล ขี้และเชื้อโรคมากมายซึ่งอยู่ในร่างกายเดียวกันกับที่ชวนให้ผู้คนหลงใหลและเพ้อหา
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ลืมแล้วนำมาให้เกิดทุกข์ทั้งสิ้น เพราะไม่รู้ความจริงแท้ของชีวิต และการลืมในขี้ต่างๆดังกล่าวข้างต้น ที่ตนเองเป็นผู้ยึดมั่นถือมั่นในกายและใจนี้รวมทั้งขี้นั้นเป็นของตน
และเพื่อที่จะหาทางออกจากการเป็นผู้ขี้ลืมความเจริงแท้โปรด......อย่าลืม ( ว.วชิรเมธี )

วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2555

ผลงานแห่งชีวิต

ผลงานแห่งชีวิต

ตลอดชีวิต ของ ท่านอาจารย์พุทธทาส ท่านย้ำอยู่เสมอว่า "ธรรมะ คือ หน้าที่"
เป็นการทำหน้าที่ เพื่อความอยู่รอด ทั้งทางฝ่ายกาย และฝ่ายวิญญาณ ของมนุษย์
และ ท่าน ได้ทำหน้าที่ ในฐานะ ทาสผู้ซื่อสัตย์ ของพระพุทธเจ้า ทุกอณูแห่งลม
หายใจ เข้าออก จนแม้วาระสุดท้าย แห่งชีวิต จึงไม่น่าสงสัยเลยว่า ผลงาน ที่ท่าน
สร้างสรรค์ ไว้ เพื่อ เป็น มรดก ทางธรรมนั้น จะมีมากมาย สักปานใด ซึ่งจะขอ
นำมากล่าวเฉพาะ ผลงานหลักๆ ดังนี้ คือ

๑. การจัดตั้ง สถานปฏิบัติธรรม สวนโมกขพลาราม และ สวนโมกข์นานาชาติ

๒. การร่วมกับ คณะธรรมทาน ในการออกหนังสือพิมพ์ "พุทธสาสนา"
ราย ๓ เดือน นับเป็นหนังสือพิมพ์ ทาง พระพุทธศาสนา เล่มแรก ของไทย
เริ่มตีพิมพ์ เมื่อเดือน พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๗๖ และ ต่อเนื่องมา จนถึงปัจจุบัน
เป็นเวลารวม ๖๑ ปี นับเป็นหนังสือพิมพ์ ทาง พระพุทธศาสนา ที่มีอายุยืนยาว
ที่สุดของไทย

๓. การพิมพ์หนังสือ ชุด "ธรรมโฆษณ์" ซึ่งเป็นหนังสือที่ รวบรวม พิมพ์จาก
ปาฐกถาธรรม ที่ท่านแสดงไว้ในวาระต่างๆ และ งานหนังสือเล่ม เล่มอื่นๆ
ของท่าน โดยแบ่งออก เป็น ๕ หมวด คือ

๑. หมวด"จากพระโอษฐ์" เป็นเรื่องที่ท่านค้นคว้าจากพระไตรปิฎก
ฉบับ ภาษา บาลี โดยตรง
๒. หมวด"ปกรณ์พิเศษ" เป็นคำอธิบายข้อธรรมะ ที่เป็นหลักวิชา
และหลักปฏิบัติ
๓. หมวด"ธรรมเทศนา"เป็นคำบรรยายแบบเทศนาในเทศกาลต่างๆ
๔. หมวด"ชุมนุมธรรมบรรยาย" เป็นคำขยายความ ข้อธรรมะ เพื่อ
ให้เข้าใจได้อย่างถูกต้อง
๕. หมวด"ปกิณกะ" เป็นการอธิบายข้อธรรมะ เบ็ดเตล็ด ต่างๆ
ประกอบ ความเข้าใจ

ปัจจุบัน หนังสือชุดนี้ ได้ตีพิมพ์ เป็นหนังสือ ขนาด ๘ หน้ายก หนาเล่มละ
ประมาณ ๕๐๐ หน้า จำนวน ๖๑ เล่ม แล้ว ที่ยังรอการจัดพิมพ์ อีกประมาณ
ร้อยเล่ม

๔. การปาฐกถาธรรมของท่าน ที่ก่อให้เกิดกระแสการวิพากษ์ วิจารณ์ ทั้งในแง่
วิธีการ และ การตีความพระพุทธศาสนา ของท่าน กระตุ้นให้ผู้คนกลับมาสนใจ
ธรรมะกันอย่างลึกซึ้งแพร่หลายมากขึ้น ครั้งสำคัญๆ ได้แก่ ปาฐกถาธรรม เรื่อง
"ภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม" "อภิธรรมคืออะไร" "ปฏิจจสมุปบาท คืออะไร"
"จิตว่าง หรือ สุญญตา" "นิพพาน" "การทำงาน คือ การปฏิบัติธรรม"
"การศึกษาสุนัขหางด้วน" เป็นต้น

๕. งานประพันธ์ ของท่านเอง เช่น "ตามรอยพระอรหันต์" "ชุมนุมเรื่องสั้น"
"ชุมนุมเรื่องยาว" "ชุมนุมข้อคิดอิสระ" "บทประพันธ์ของ สิริวยาส"
(เป็นนามปากกา ที่ท่านใช้ ในการเขียน กวีนิพนธ์) เป็นต้น

๖. งานแปลจากภาษาอังกฤษของท่าน เล่มสำคัญ คือ "สูตรของเว่ยหล่าง"
"คำสอนของฮวงโป" ทั้งสองเล่ม เป็นพระสูตรที่สำคัญของพุทธศาสนา
นิกายเซ็น เป็นต้น

เกี่ยวกับ งานหนังสือนี้ ท่านเคยให้สัมภาษณ์ กับพระประชา ปสนฺนธมฺโม ว่า

"เราได้ทำสิ่งที่มันควรจะทำ ไม่เสียค่าข้าวสุกของผู้อื่นแล้ว เชื่อว่า มันคุ้มค่า
อย่างน้อย ผมกล้าพูดได้อย่างหนึ่งว่า เดี๋ยวนี้ ไม่มีใครในประเทศไทย บ่นได้ว่า
ไม่มีหนังสือธรรมะอ่าน ก่อนนี้ ได้ยินคนพูดจนติดปาก ว่า ไม่มีหนังสือธรรมะ
จะอ่าน เราก็ยังติดปาก ไม่มีหนังสือธรรมะจะอ่าน ตอนนี้ บ่นไม่ได้อีกแล้ว"

ท่านอาจารย์ พุทธทาส ได้ละสังขาร กลับคืน สู่ ธรรมชาติ อย่างสงบ
ณ สวนโมกขพลาราม เมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๓๖ สิริรวม อายุ ๘๗ ปี
นับได้ ๖๗ พรรษา คงเหลือไว้แต่ ผลงาน ที่ ทรง คุณค่า แทนตัวท่าน
ให้อนุชน คนรุ่นหลัง ได้ สืบสาน ปณิธาน ของท่าน รับมรดก ความเป็น
"พุทธทาส" เพื่อ พุทธทาส จะได้ไม่ตาย ไปจาก พระพุทธศาสนา
ดังบทประพันธ์ ของท่าน ที่ว่า
พุทธทาส จักอยู่ไป ไม่มีตาย แม้ร่างกายจะดับไปไม่ฟังเสียง
ร่างกายเป็น ร่างกายไป ไม่ลำเอียง นั่นเป็นเพียงสิ่งเปลี่ยนไปในเวลา
พุทธทาส คงอยู่ไป ไม่มีตาย ถึงดีร้ายก็จะอยู่คู่ศาสนา
สมกับมอบ กายใจ รับใช้มา ตามบัญชาองค์พระพุทธไม่หยุดเลย
พุทธทาส ยังอยู่ไป ไม่มีตาย อยู่รับใช้ เพื่อนมนุษย์ไม่หยุดเฉย
ด้วยธรรมโฆษณ์ตามที่วางไว้อย่างเคย โอ้เพื่อนเอ๋ยมองเห็นไหมอะไรตายฯ
แม้ฉันตาย กายลับ ไปหมดแล้ว แต่เสียงสั่ง ยังแจ้ว แว่วหูสหาย
ว่าเคยพลอดกันอย่างไรไม่เสื่อมคลาย ก็เหมือนฉันไม่ตาย กายธรรมยัง
ทำกับฉัน อย่างกะฉัน นั้นไม่ตาย ยังอยู่กับ ท่านทั้งหลายอย่างหนหลัง
มีอะไรมาเขี่ยไค้ ให้กันฟัง เหมือนฉันนั่ง ร่วมด้วย ช่วยชี้แจง
ทำกับฉัน อย่างกะฉัน ไม่ตายเถิด ย่อมจะเกิด ผลสนอง หลายแขนง
ทุกวันนัด สนทนา อย่าเลิกแล้ง ทำให้แจ้ง ที่สุดได้ เลิกตายกันฯ

“ชา” ของดีที่ไม่ควรมองข้าม

ชาวโลกรู้จัก “ชา” กันมาเป็นระยะเวลายาวนานแล้ว บ้างก็ว่ามีสรรพคุณต่างๆ นานา บ้างก็จิบชาเพื่อความสุขส่วนตัว บ้างก็ว่ากินคู่กับอาหารนั้นจะได้รสชาติดี แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม “108 เคล็ดกิน” ก็ยังอยากจะแนะนำ “ชา” ให้ได้รู้จักกันมากขึ้น

ชา เป็นพืชที่มาจากพืชในตระกูลคาเมลเลีย ไซเนนซิส เป็นพืชที่มีลักษณะเป็นพุ่ม ใบเขียว ชาสามารถแยกอย่างง่ายๆ ได้ 6 ประเภท ได้แก่ ชาขาว ชาเหลือง ชาเขียว ชาอูหลง ชำดำ และชาผูเอ่อร์ ซึ่งชาทุกชนิดสามารถทำได้จากต้นชาต้นเดียวกัน แต่ผ่านกรรมวิธีการผลิตที่แตกต่างกันออกไป

ในใบชาจะมีเอนไซม์ที่ชื่อว่า โพลีฟีนอลออกซิเดส ซึ่ง โพลีฟีนอล เป็นสารประกอบชีวภาพที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และมีสรรพคุณเป็นสารแอนติออกซิเดนซ์ นอกจากนี้ สารฟลาโวนอยด์ ที่พบในใบชายังมีสรรพคุณช่วยดัก และทำลายอนุมูลอิสระ และยังทำงานร่วมกับวิชามินซี เสริมความแข็งแรงให้กับผนังหลอดเลือด

ประโยชน์ของชายังไม่ได้มีเพียงเท่านี้ ชายังช่วยลดไขมันและระดับคอเรสเตอรอลในหลอดเลือด ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันโรคหัวใจและมะเร็ง ช่วยขจัดสารพิษในร่างกาย นอกจากนี้แล้วชายังมีผลทางด้านจิตใจ กลิ่นและรสชาติช่วยให้ผ่อนคลายปลอดโปร่ง ลดความเครียด

อย่าลืม

อย่าลืม ว่าเราเกิดมาเป็นคนได้นั้นแสนยาก
อย่าลืม ว่าเรามีอายุแสนสั้น
อย่าลืม ว่าพ่อแม่ไม่ได้อยู่กับเราไปตลอด
อย่าลืม ว่าเรามิได้อยู่คนเดียวในโลก
อย่าลืม ว่าชีวิตของเราขึ้นอยู่กับบุคคลอื่นอยู่เสมอ
อย่าลืม ว่าชีวิตนี้มิใช่ " ของเรา "
อย่าลืม ว่าชีวิตเป็นสิ่งไม่เที่ยง <อนิตจัง>
อย่าลืม ว่าชีวิตเป็นทุกข์ <ทุกขัง>
อย่าลืม ว่าชีวิตมิใช่ของของเรา <อนัตตา>
อย่าลืม ว่าวันหนึ่งเราจะแก่
อย่าลืม ว่าวันหนึ่งเราจะเจ็บ
อย่าลืม ว่าวันหนึ่งเราจะตาย
อย่าลืม ว่าวันหนึ่งเราจะพลัดพราก
อย่าลืม ว่าเรามีกรรมเป็นสมบัติของตน
อย่าลืม ว่าสรรพสิ่งเป็นไปตามเหตุปัจจัย
อย่าลืม ว่าตนต้องเป็นที่พึ่งของตน
อย่าลืม ว่าสันติสุขส่วนบุคคลคือสันติสากลของโลก
อย่าลืม ว่าเรามีสิทธิ์ที่จะไม่ทุกข์-ไม่โง่
อย่าลืม ว่าเราสามารถ นิพพาน ที่นี่และเดี๋ยวนี้
อย่าลืม ว่าเวลาไม่อาจรีไซเคิล

ท้ายนี้ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านผู้อ่านจะไม่ขี้ลืมอีกต่อไป หากอยู่ในปัจจุบันขณะและพิจารณาปัจจุบันธรรม ที่เป็นทางออกของทุกข์ทั้งปวง ไม่ต้องคำนึงถึงอดีตที่ผ่านมาแล้ว และอนาคตที่ยังไปไม่ถึงอีกต่อไป เอวัง


ธรรมะสวัสดี

คนตาบอดกับโคมไฟ.....นิทานเซน

ยังมีตรอกสายหนึ่งที่ทั้งมืดทั้งแคบ ทั้งยังไม่มีดวงไฟส่องทางให้ความสว่างแม้แต่น้อย ดังนั้นเมื่อถึงยามค่ำคืน การเดินทางในตรอกแห่งนี้จึงเป็นไปด้วยความยากลำบาก

คืนวันหนึ่ง มีพระรูปหนึ่งเดินผ่านเข้ามายังตรอกดังกล่าวเพื่อมุ่งหน้าไปยังอาราม ทว่าด้วยความที่ตรอกนี้มืดมิดกระทั่งนิ้วมือทั้งห้าของตนเองยังไม่อาจมอง เห็นได้ เมื่อเดินไปเรื่อยๆ พระรูปนี้จึงทั้งเดินไปชนผู้อื่น และถูกผู้อื่นเดินมาชนไม่หยุดหย่อน สร้างความลำบากยิ่งนัก

ในตอนนั้นเอง มีคนผู้หนึ่งถือโคมไฟเดินเข้ามายังตรอกดังกล่าว พลันทำให้ในตรอกเกิดแสงสว่างขึ้นพอสมควร พระรูปนั้นได้ยินคนเดินผ่านทางกล่าวว่า "คนตาบอดผู้นั้นช่างแปลกนัก ตนเองมองไม่เห็นแท้ๆ ใยต้องถือโคมไฟให้วุ่นวาย" เมื่อพระได้ยินก็รู้สึกแปลกใจ รอจนกระทั้งคนตาบอดถือโคมไฟคนนั้นเดินผ่านมา จึงเอ่ยถามขึ้นว่า "ขออภัย ท่านตาบอดจริงๆ หรือ?"

คนผู้นั้นตอบว่า "ถูกแล้ว ข้าเกิดมาก็พิการ ตาสองข้างมองไม่เห็น สำหรับข้านั้นไม่ว่าจะยามเช้าสายบ่ายเย็นล้วนไม่ต่างกัน ทั้งยังไม่ทราบว่าแสงสว่างหน้าตาเป็นเช่นไร"

พระได้ยินดังนั้นก็ยิ่งงุนงงมากขึ้น เอ่ยถามต่อไปว่า "เช่นนั้นท่านจะถือโคมไฟไปเพื่ออะไร?"

คนตาบอดตอบว่า "เนื่องเพราะข้าเคยได้ยินคนพูดกันว่าในยามกลางคืนไร้แสงสว่าง คนตาดีทั้งหลายก็เป็นเช่นเดียวกับข้าคือมองไม่เห็นสิ่งใด ดังนั้นข้าจึงถือโคมไฟไปไหนมาไหนเสมอ"

พระได้ยินดังนั้นก็เกิดความซาบซึ้งใจ เอ่ยคำ อมิตาพุทธออกมา และกล่าวต่อไปว่า "ท่านช่างมีเมตตาธรรม ห่วงใยเพื่อนมนุษย์"

มิคาดคนตาบอดกลับกล่าวว่า "ผิดแล้ว ข้าทำไปเพื่อตัวเอง"

"ทำเพื่อตัวเองอย่างไร?" พระถามต่อด้วยความสงสัยใจ

คนตาบอดอธิบายว่า เมื่อครู่ท่านเดินอย่างมืดมนในตรอกใช่โดนคนเดินสวนไปมาชนเอาหรือไม่ ท่านดูข้าเองนั้นแม้เป็นคนตาบอด แต่ข้าไม่โดนผู้อื่นเดินชนเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนข้าก็เป็นเช่นเดียวกับท่านคือโดนคนเดินมาชนเอาบ่อยครั้ง แต่เมื่อข้าถือโคมไฟทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ที่ข้าจุดโคมไปไหนมาไหนด้วยนั้นข้าจุดเพื่อให้แสงสว่างกับผู้อื่น และเพื่อให้ผู้อื่นมองเห็นตัวข้า ตังแต่นั้นมาข้าก็ไม่โดนผู้ใดเดินชนอีกเลย


ปัญญาเซน : การช่วยเหลือผู้อื่น ประโยชน์สูงสุดล้วนกลับคืนมาสู่ผู้ให้

วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2555

ความสุข

ความสุข

หนังสือ time magazine บอกว่า ที่อเมริกา มีงานวิจัยพบว่าคนที่มีความสุขมากที่สุดในโลก คือพระในพุทธศาสนา
> โดย ทดสอบด้วยการ สแกนสมองพระที่ทำสมาธิและได้ผลลัพธ์ออกมาว่าเป็นจริง
>
> + หลักความเชื่อของศาสนาพุทธ คือ เหตุที่ทำให้เกิดความสุข นั้นก็คืออยู่กับปัจจุบัน ขณะปล่อยวางได้ในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ควบคุมความอยาก ที่ไม่มีสิ้นสุด
>
> + ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่ทะเลาะ และใช้หลักเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ให้อภัยตัวเองและผู้อื่น มีจิตใจเมตตา กรุณา และเสียสละเพื่อผู้อื่น
>
> + อริยะ สัจ 4 สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบและบอกไว้ด้วย ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค แท้จริงแล้วก็คือทางเดินไปหาคำว่า "ความ สุข"
> เพราะ ถ้าเมื่อไรเรา กำจัด "ความ ทุกข์" ได้ แล้วความสุขก็ จะเกิดขึ้น
>
> + อุปสรรค ของความสุขก็ คือแรงปรารถนา และ ตัณหา คนเราจะมีความสุขไม่ขึ้นอยู่กับว่า"มี เท่าไร"
> แต่ ขึ้นอยู่ที่ว่า เรา "พอ เมื่อไร" ความ สุขไม่ได้ขึ้น กับจำนวนสิ่ง ของที่เรามี หรือเราได้...
>
> + ดังนั้นวิธีจะมี ความสุขอันดับ แรกต้อง "หยุด ให้เป็น และ พอใจให้ได้" ถ้า เราไม่หยุดความอยากของเราแล้วละก็
> เรา ก็จะต้องวิ่ง ไล่ตามหลายสิ่ง ที่เรา "อยาก ได้" แล้ว นั่นมันเหนื่อย และความทุกข์ ก็จะตามมา...
>
> + ข้อ ต่อมาที่ทำให้ เราเป็นสุขคือ การมองทุกอย่าง ในแง่บวก ชีวิตแต่ละวัน แน่นอนเราต้อง เจอทั้งเรื่องดีและไม่ดี ถ้าเราอยากจะมีความสุข เราต้อง
> เริ่มด้วยการมองแต่สิ่งดีๆ มองให้เป็นบวก เพื่อใจเราจะได้ เป็นบวก คิดถึงสิ่งที่เราทำสำเร็จแล้วในวันนี้ สิ่งดีๆที่เราได้ทำ
>
> + ข้อ ต่อมาคือการให้ หมายรวมถึงการให้ในรูปแบบ สิ่งของหรือ เงิน เรียกว่าบริจาค และการให้ความเมตตากรุณาต่อกัน
> ให้ อภัยทั้งตัวเองและคนอื่น สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัย ทำให้เรามีความ สุข....
>
> + การ ปล่อยวางให้ได้ ในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว และที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่ว่าเรื่องจะ ร้ายแรงและ เศร้าโศกเพียงใด
> จำไว้ว่ามันจะโดนเวลาพัดพามันไปจากเรา ไม่ช้าก็ เร็ว เราจะผ่านพ้นไปได้....และยอมรับในความเป็นจริงของชีวิต
> ไม่ ว่าจะเป็น เรื่องที้เราไม่ชอบเพียงใด ไม่ว่าผิดหวัง สูญเสีย เจ็บป่วย ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา
> ทุกคนต้องได้ผ่านบททดสอบนี้ทั้งสิ้น ไม่ว่าเราจะเป็นใคร...
>
> + ทำตนเองให้สดใส ด้วยการยิ้มให้ตนเอง ทำคนอื่นให้สดใสได้ ด้วยการยิ้มให้เขา การยิ้มไม่ต้องลงทุนอะไรเลย
> แต่สร้างความสดใสได้มาก ทำให้เราเป็น สุขอยู่เสมอ เพราะความสุขมันอยู่ใกล้แค่นี้เอง แค่ที่ใจข องเรานี่เอง
>
> ยิ้มแย้มอย่างแจ่มใส เห็นใครทักก่อน
> นี่คือ.. วิธีแสดงเสน่ห์แบบง่ายๆ แต่ให้ผลมาก
>
> การให้อภัยไม่ต้องลงทุนอะไรเลย แต่การแก้แค้นลงทุนมาก
>
> เขาด่าว่าเราไม่ถึงนาที เขาอาจลืมไปแล้วด้วย แต่เรายังจดจำ ยังเจ็บใจอยู่... นี่เราฉลาดหรือโง่กันแน่
>
> บ่นแล้วหมดปัญหาก็น่าบ่น บ่นแล้วมีปัญหา ไม่รู้จะบ่นหาอะไร
>
> เรายังเคยเข้าใจผิดผู้อื่น ถ้าคนอื่นเข้าใจเราผิดบ้าง ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องแปลกอะไร ทำไมต้องเศร้าหมอง
> ในเมื่อเราไม่ได้เป็นอย่างที่ใครเข้าใจ
>
> อย่าโกรธฟุ่มเฟือย อย่าโกรธจุกจิก อย่าโกรธไม่เป็นเวลา อย่าโกรธมาก จะเสียสุขภาพกาย และสุขภาพจิต
>
> แม้จะฝึกให้เป็นผู้ไม่โกรธไม่ได้ แต่ฝึกให้เป็นผู้ไม่โกรธบ่อยได้ ฝึกให้เป็นผู้รู้จักให้อภัยได้
>
> การนินทาว่าร้ายเป็นเรื่องของเขา การให้อภัยเป็นเรื่องของเรา
>
> การชอบพูดถึงความดีของเขา คือความดีของเรา การชอบพูดถึงความไม่ดีของเขา คือความไม่ดีของเรา
>
> โทษคนอื่นแก้ไขอะไรไม่ได้ โทษตนเองแก้ไขได้
>
> แก้ตัวไม่ได้ช่วยอะไร แต่แก้ไขช่วยให้ดีขึ้น
>
> การนอนหลับเป็นการพักกาย การทำสมาธิเป็นการพักใจ คนส่วนใหญ่พักแต่กาย ไม่ค่อยพักใจ
>
> รู้จักทำใจให้รักผู้บังคับบัญชา รู้จักทำใจให้รักลูกน้อง รู้จักทำใจให้รักเพื่อนร่วมงาน
> สวรรค์ก็อยู่ที่ทำงาน
>
> เกลียดผู้บังคับบัญชา เกลียดลูกน้อง เกลียดผู้ร่วมงาน นรก ก็อยู่ที่ทำงาน
>
> การที่เรายังต้องแสวงหาความสุข แสดงว่าเรายังขาดความสุข
> แต่ถ้าเรารู้จักทำใจให้เป็นสุขได้เอง ก็ไม่ต้องไปดิ้นรนแสวงหาที่ไหน
>
>
> อ่อนน้อม อ่อนโยน อ่อนหวาน นั้นดี.... อ่อนข้อให้เขาบ้างก็ยังดี แต่...อ่อนแอนั้น ไม่ดี
>
> ในการคบคน ศิลปะใดๆ ก็สู้ความจริงใจไม่ได้
>
> จงประหยัด คำติ แต่อย่าตระหนี่ คำชม
>
> อภัยให้แก่กันในวันนี้ ดีกว่าอโหสิให้กันตอนตาย
>
> ถ้าคิดทำความดี ให้ทำได้ทันที
> ถ้าคิดทำความชั่ว ให้เลิกคิดทันที
> ถ้าเลิกคิดไม่ได้ ก็อย่าทำวันนี้
> ให้ผลัดวันไปเรื่อยๆ
>
> ถึงจะรู้ร้อยเรื่องพันเรื่อง ก็ไม่สู้รู้เรื่องดับทุกข์
> โลกสว่างด้วยแสงไฟ ใจสว่างด้วยแสงธรรม
> แสงธรรมส่องใจ แสงไฟส่องทาง
>
> ผู้สนใจธรรม สู้ผู้รู้ธรรมไม่ได้
> ผู้รู้ธรรม สู้ผู้ปฎิบัติธรรมไม่ได้
> ผู้ปฎิบัติธรรม สู้ผู้ที่เข้าถึงธรรมไม้ได้
>
> มีทรัพย์มาก ย่อมมีความสะดวกมาก
> มีธรรมะมาก ย่อมมีความสุขมาก
>
> เมื่อก่อนยังไม่มีเรา
> เราเพิ่งมีมาเมื่อไม่นานมานี้เอง
> และอีกไม่นานก็จะไม่มีเราอีก
> จึงควรรีบทำดี ในขณะที่ยังมี...เรา
>
> “ ขอขอบคุณ ผู้ที่ได้จัดทำบทความนี้ จึงขอ ส่งต่อ ให้เพื่อนๆๆ เพื่อให้มีสติมากขึ้น และพร้อมที่ จะสู้ต่อไป

19 ข้อ ชวนคิดชวนทำ พิชิตความผิดหวัง

19 ข้อ ชวนคิดชวนทำ พิชิตความผิดหวัง


ใครบางคนเคยกล่าวไว้อย่างน่าฟังว่า “เราไม่มีทางจะเรียนรู้ในการฝึกความกล้าหาญและความอดทนได้เลย หากมีแต่ความสมหวังและสุขสบายบนโลกใบนี้”

ความผิดหวังทำให้ทุกข์ใจ และอาจส่งผลร้ายต่อร่างกาย ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยตามมา แต่หากรู้จักเรียนรู้ที่จะเอาชนะความผิดหวังให้ได้ ก็เหมือนมีเกราะป้องกันภัยให้กับใจและกายของตัวเอง

บางที 19 ข้อคิดสั้นๆต่อไปนี้ จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันความผิดหวังให้คุณ


1. เพชรในตม : อย่ามองว่า สิ่งไม่ดีหรือเรื่องไร้ สาระทุกอย่าง จะต้องเลวร้ายเสมอไป เพราะมีคำกล่าวในพุทธศาสนาว่า “ดอกบัวจะเบ่งบานอย่างงดงามที่สุด ต้องหยั่งรากลึกถึงโคลนตม” หรือที่มักพูดกันว่า ดอกบัวเกิดจากโคลนตม

2. ทำสิ่งที่ดีเยี่ยม : จงปล่อยให้ความผิดหวัง เป็นแรงผลักดันให้คุณทำสิ่งที่ดีเยี่ยม ดังเช่นไข่มุกที่เกิดจากเม็ดทรายเล็กๆที่หลุดเข้าไปในเปลือกหอยนางรม ทำให้มันระคายเคือง จึงขับสารเคมีออกมาเคลือบจนกลายเป็นไข่มุกที่สวยสดงดงาม

3. ทำงานหนัก : ความสำเร็จเกิดจากพรสวรรค์ แค่ 1 เปอร์เซ็นต์ อีก 99 เปอร์เซนต์คือการทำงานหนัก

4. วางรากฐานให้มั่นคง : เปรียบดั่งการปลูกต้นไผ่ ซึ่งเป็นพืชที่โตเร็วที่สุดโนโลก ตอนเริ่มต้น มันอาจดูไม่สวยงาม เพราะไร้กิ่งก้าน แต่มันมีรากที่อยู่ลึก และแตกแขนงไปทั่ว พร้อมที่จะเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน เราจึงควรวางรากฐานชีวิตให้มั่นคง แข็งแรง เพื่อการเติบโตอย่างถาวร เช่นกัน

5. มีความเพียร : จงมีความเพียรดั่งพระมหาชนก ที่เรือถูกพายุพัดล่มลงในมหาสมุทร ลูกเรือตายหมด เหลือเพียงพระมหาชนก ที่ทรงอดทนว่ายน้ำในมหาสมุทร ด้วยความเพียร 7 วัน 7 คืน จนนางมณีเมขลาได้มาช่วยไว้

6. อย่าลัดขั้นตอน : เฉกเช่นวงจรชีวิตของผีเสื้อ ขณะที่มันดิ้นรนโผล่ออกจากรูเล็กๆของรังไหม ปีกก็จะค่อยๆงอกออกจากลำตัว แต่หากคุณหวังดี อยากช่วยผีเสื้อให้ออกมาโดยเร็ว จึงช่วยเปิดรูด้วยการทำลายรังไหม คุณรู้มั้ยว่า การทำเช่นนั้นเป็นการลัดวงจรการเจริญเติบโตของผีเสื้อ ทำให้ปีกจะไม่งอกออกมา หรือแม้ว่างอก ก็จะไม่สมบูรณ์สวยงาม

7. มีพลังเชื่อมั่น : จงเข้าใจว่า ปัญหาและอุปสรรคเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อมันเกิดขึ้น ท้อแท้ได้แต่อย่าท้อถอย ควรเผชิญหน้ากับมันและพูดว่า “ฉันจะมีพลังมากกว่าแก แกไม่อาจเอาชนะฉันได้หรอก” ยิ่งคุณมีพลังเหนือกว่ามากเท่าใดยิ่งดี

8. มีรอยร้าวบ้าง : รอยร้าวหรือข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นในชีวิตคู่ อาชีพการงาน หรือแผนการในชีวิต มิได้หมายความว่า มันจะทำเลนเนิร์ด โคเฮน ชาวแคนาดา อดีตพระสงฆ์ในพุทธศาสนาบอกว่า “รอยร้าวที่เกิดขึ้นในทุกสิ่งทุกอย่าง ทำให้แสงสว่างเล็ดลอดเข้ามาได้”





9. เขียนไดอารี่ : มีงานวิจัยทางจิตวิทยาระบุว่า การเขียนบันทึกระบายความรู้สึกเป็นทุกข์ เจ็บปวดและเหตุการณ์สะเทือนอารมณ์ จะช่วยผ่อนคลายความเครียด และเยียวยารักษาใจให้ดีขึ้นได้


10. ถอยห่างสักก้าว : บางครั้งคุณไม่อาจมองเห็นภาพใหญ่ทั้งหมดจนกว่าจะถอยห่างออกไป เพราะยามอยู่ใกล้ สิ่งที่เห็นก็คือจุดต่างๆ หลายรูปร่างและสีสัน แต่เมื่อคุณถอยออกไป มองจากระยะไกล คุณจะเห็นจุดต่างๆเหล่านั้นเป็นภาพที่ปรากฏเด่นชัดขึ้น เพราะฉะนั้น เมื่อคุณมีปัญหา ถอยมาสักเล็กน้อย แล้วพินิจมัน คุณจะเห็นปัญหาชัดเจนขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่หนทางแก้ไขที่ถูกต้อง

11. ล้มแล้วต้องลุก : สุภาษิตญี่ปุ่นสอนว่า “ล้ม 7 ครั้ง ลุกขึ้นยืน 8 ครั้ง” โดยไม่ได้บอกให้นั่งลงเมื่อเหนื่อยล้า หรือล้มคลานยามหวาดกลัว ประเทศญี่ปุ่นจึงสามารถ ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะประสบมหันตภัยสึนามิเมื่อเดือนมีนาคม ปี 2011

12. ผิดเป็นครู : ไม่มีใครสมบูรณ์แบบไปทั้งหมด ดังนั้น จึงมีคำกล่าวว่า “ผิดเป็นครู” เพื่อให้นำบทเรียนในอดีตที่ผิดพลาดมาศึกษาใคร่ครวญ ทบทวนเรื่องความผิดหวังและผิดพลาด เพื่อไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำอีก

13. เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง : เมื่อเกิดปัญญา เห็นจุดบกพร่องแล้ว ถือเป็นโอกาสอันดีในการเริ่มต้นใหม่อีกครั้งให้ดีกว่าเก่า

14. เดินหน้าไปเรื่อยๆ : เมื่อคุณเดินมาถึงทางแยกบนถนน จงเดินต่อไป เพราะนั่นหมายความว่า คุณจะเลือกเดินไปทางไหน ไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ขอให้เดินต่อไป

15. เมตตาต่อตัวเอง : อย่าดุด่าว่ากล่าวตัวเอง แต่จงให้ความรักและเมตตาตัวเอง เหมือนที่คุณปลอบโยนผู้อื่นยามที่เขามีทุกข์

16. ไปให้ตรงเป้าหมาย : บางครั้งความล้มเหลวผิดหวังที่เกิดขึ้น เป็นเหมือนข้อสะกิดใจให้คุณฉุกคิดได้ว่า ยังคงมุ่งมั่นที่จะทำสิ่งนั้นอยู่หรือไม่

17. เวลาและวารี ไม่เคยคอยใคร : บางช่วงชีวิตที่ประสบอุปสรรค คุณต้องเรียนรู้ที่จะแก้ไข และก้าวผ่านความทุกข์ยากนั้นไปให้ได้ เพราะชีวิตไม่อาจหยุดอยู่กับที่ ดั่งเวลาและสายน้ำที่ไหลผ่านไปไม่เคยหยุดนิ่ง

18. เชื่อมั่นในมหัศจรรย์ของชีวิต : ทุกเช้าที่ตื่นนอน จงบอกตัวเองเสมอว่า วันนี้คุณจะคิดดี พูดดี ทำดี แล้วคุณจะได้เห็นความมหัศจรรย์เกิดขึ้น เพราะคุณได้ดึงพลังบวกเข้ามาในชีวิต ทำให้เกิดสติปัญญา พร้อมที่จะแก้ไขปัญหาที่เข้ามาในแต่ละวันให้ลุล่วงไปด้วยดี

19. อย่าสิ้นหวัง : มีเพียงสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยหมดไปจากใจคน นั่นคือ ความหวัง ขอให้คุณหมั่นเติมพลังใจให้ตัวเองบ่อยๆ และพยายามมุ่งมั่นทำในสิ่งที่คุณต้องการให้สำเร็จ

>>>>> <<<<<


(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 132 พฤศจิกายน - ธันวาคม 2554 โดย ประกายรุ้ง)

วันเสาร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2555

ความเป็นพระ อยู่ที่ใจ

เมื่อถึงวันพระ หรือวันหยุดเสาร์อาทิตย์ หรือวันในโอกาสพิเศษ เช่น วันเกิด เป็นต้น เราตั้งใจไปวัด เพื่อบำเพ็ญบุญกุศล โดยการถวายสังฆทาน ถวายภัตตาหาร หรือถวายจตุปัจจัยไทยธรรมต่างๆ ด้วยเพราะเรานั้นมีศรัทธาในความเป็นพระของภิกษุสงฆ์ ว่าเป็นผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีศีลมีธรรม หรือมีความเชื่อว่าเป็นเนื้อนาบุญที่ดี

ความจริงแล้ว ผู้ที่มีความเป็นพระนั้นมิใช่เพียงเฉพาะภิกษุสงฆ์ แต่ ความเป็นพระนั้น อยู่ที่ใจ ซึ่งความเป็นพระนั้น อยู่ที่ว่าคนนั้นปฏิบัติดีปฏิบัติชอบหรือไม่ ผู้ที่อยู่รอบๆ ตัวเรานั้น มีผู้ที่มีศีลมีธรรม เป็นผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นผู้ที่มีความหวังดี มีเมตตา กรุณา มีความเอาใจใส่ ที่จะให้เราเป็นคนที่ดี เป็นคนที่อยู่ในศีลในธรรม ลองมานึกกันดูนะ คุณพ่อคุณแม่ของเราใช่หรือไม่ คุณพ่อคุณแม่ของเรานั้นแท้ที่จริงนั้นก็คือ พระในบ้านของเรานั่นเอง



พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า คุณพ่อคุณแม่ของเรานั้นเทียบได้กับ เป็นพระอรหันต์ พระพรหม ประจำบ้าน เป็นผู้ที่มีพระคุณ เป็นผู้ที่เราจะต้องเอาใจใส่เลี้ยงดูท่านด้วยเช่นเดียวกัน เรามาที่วัดนั้นมาถวายสังฆทาน หรือมาถวายภัตตาหารให้พระที่วัด โดยการประเคนด้วยมือสองข้าง ด้วยความเคารพต่อพระสงฆ์ ดังนั้นเมื่อเราอยู่ที่บ้าน หากมีโอกาสที่จะดูแลคุณพ่อคุณแม่ที่บ้าน เช่น เราตื่นเช้ามา ก็ตักข้าว แล้วก็ยกจานข้าวให้กับคุณพ่อคุณแม่ด้วยความเคารพ คุณพ่อคุณแม่ก็จะรู้สึกปลื้มใจ นี่ก็เป็นบุญอันยิ่งใหญ่ การทำให้คุณพ่อคุณแม่อิ่มอกอิ่มใจในความกตัญญูของเราที่เราเป็นลูกเป็นหลาน นี่ก็เป็นบุญที่เราได้แสดงออกด้วยความกตัญญูกตเวทีกับพระในบ้าน ก็คือคุณพ่อคุณแม่ของเรา หรือเราสามารถที่จะทำกุศลโดยการมอบปัจจัยให้กับคุณพ่อคุณแม่ อย่างลูกน้องของเราบางคนที่เป็นผู้ที่เริ่มทำงานใหม่ๆ หากมีความตั้งใจดี แม้ว่าจะได้เงินเดือนเป็นเดือนแรก เงินเดือนก็ไม่ได้มากมายอะไร ก็แบ่งเงินเดือนส่วนหนึ่ง มอบให้คุณพ่อคุณแม่ที่บ้านต่างจังหวัด อาจจะเริ่มที่เดือนละ 300-400 บาท แม้ว่าจะเป็นเงินน้อยนิด แต่เป็นความตั้งใจที่ดี เป็นความกตัญญูของลูกที่มีต่อคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งอยากจะมอบให้กับคุณพ่อคุณแม่ด้วยความรัก ด้วยความกตัญญู เงินน้อยนิดนี้ปรากฏว่าเป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่รู้สึกตื้นตันใจ เปรียบเสมือนยา ที่จะช่วยหล่อเลี้ยงหัวใจของแม่ เงินแม้เพียงน้อยนิด 300-400 บาท นี้ได้ช่วยหล่อเลี้ยงหัวใจคุณพ่อคุณแม่ให้อิ่มอกอิ่มใจ คุณพ่อคุณแม่ก็นำเงินนี้ เก็บไว้เพื่อไปทำบุญให้กับลูกๆ เมื่อถึงเวลาที่จะไปวัด ก็จะนำเงินนี้ไปทำบุญซึ่งเป็นบุญกุศลให้กับลูกๆ หลานๆของเรานั่นเอง



การแสดงความกตัญญู ต่อคุณพ่อคุณแม่ เทียบได้กับการถวายทานกับพระเช่นกัน เพราะว่าคุณพ่อคุณแม่ก็คือพระอรหันต์ของเรา อันนี้ก็ได้บุญเหมือนกัน ไม่จำเป็นที่จะต้องไปวัด ก็สามารถที่จะทำบุญให้กับพระที่อยู่รอบๆตัวเราได้

ถ้าเรามีลูกหลานซึ่งกำลังเล่าเรียนศึกษาอยู่ ก็บอกลูกหลานของเรา ให้ตั้งใจไปศึกษาเล่าเรียน เพื่อเป็นทานให้กับคุณพ่อคุณแม่ การที่ลูกหลาน ตั้งใจไปเรียนหนังสือ ก็เป็นการตอบแทนบุญคุณของคุณพ่อคุณแม่ซึ่งเป็นพระอรหันต์ในบ้าน ก็เป็นการสร้างความอบอุ่น มั่นใจ ชื่นใจให้กับคุณพ่อคุณแม่ ลูกหลาน ก็จะได้บุญ คุณพ่อคุณแม่ก็จะได้บุญไปด้วย ลูกหลาน ก็จะได้ประสบความสำเร็จในชีวิต ด้วยการที่ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนเป็นทาน บุญกุศลนี้จะได้ย้อนกลับมาที่ลูกหลานของเรา





ในกรณีที่เราเป็นผู้ที่มีอาชีพการงานอยู่ เราก็สามารถที่จะทำบุญกับนายจ้างของเราด้วยการตั้งใจทำงานเป็นทานนั่นเอง เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณของนายจ้าง ที่เป็นผู้ที่มีพระคุณ เป็นผู้ที่ประพฤติดีประพฤติชอบ ทำกิจการงานที่เป็นประโยชน์ และก็ทำให้เราได้มีอาชีพการงานทำ การตั้งใจทำงานเป็นทาน เป็นการทำบุญที่ยิ่งใหญ่เช่นเดียวกัน บุญนี้เราก็สามารถทำได้ทุกวัน เราสามารถตั้งใจทำงานเป็นทานทุกวัน เราก็ได้บุญทุกวัน เพราะเราทำงานด้วยความขยันขันแข็งและความซื่อสัตย์สุจริต



ถ้าเราซึ่งเป็นนายจ้าง มีจิตใจที่ดี มีเมตตา ให้อภัยกับลูกน้อง ถือได้ว่าเป็นการให้อภัยทาน ซึ่งเป็นการทำทานที่ยิ่งใหญ่ ด้วยท่านมีจิตใจที่ดีให้อภัย ให้โอกาสที่จะให้เขาได้แก้ตัวใหม่ ปรับปรุงตัวใหม่ เพื่อเขาจะได้ไม่ทำผิดพลาดได้อีก แต่ถ้าหากท่านให้โอกาสเขาแล้ว เขาก็ยังอาจจะทำผิดทำพลาดอยู่ด้วยความไม่รู้ เราก็ให้ความรู้ให้ปัญญาเป็นทาน ก็ถือว่าเป็นการทำบุญที่ยิ่งใหญ่กับลูกน้องของเราเช่นเดียวกัน การให้ความรู้เป็นวิทยาทานนั้นเป็นสิ่งประเสริฐ เป็นการทำทานที่ได้บุญมาก หากเราให้ธรรมะกำกับไปด้วย ก็จะทำให้เกิดความรู้ที่เป็นปัญญาที่ดี ( สัมมาทิฏฐิ ) เพื่อที่จะได้ใช้ปัญญาในทางที่ถูกที่ควร เป็นการทำสัมมาอาชีพ เพื่อที่จะมีรายได้ โดยที่ว่างานนั้นต้องเป็นงานที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน

นั่นคือ เราสามารถที่จะทำบุญอันยิ่งใหญ่ให้กับผู้ที่เป็นพระที่อยู่รอบๆ ตัวเราได้ตลอดเวลา เราก็มาดูว่ามีคนอื่นอีกมั้ยที่อยู่รอบๆ ตัวเรา ครูบาอาจารย์ ผู้ใหญ่ที่นับถือ หรือกัลยาณมิตร ที่เป็นผู้ที่หวังดีต่อเรา เป็นผู้ที่มีศีลมีธรรม เราก็สามารถที่จะไปทำความดีกับท่านได้ โดยการไปกราบไหว้ท่าน ไปเยี่ยมเยียนท่าน นำหนังสือดีๆ ธรรมะดีๆ ไปมอบให้กับท่าน ก็ถือว่าเราได้ถวายสังฆทานกับพระที่อยู่รอบๆตัวเรา นี่ก็เป็นการที่เราสามารถที่จะทำบุญทำทานให้กับผู้ที่เป็นพระที่อยู่รอบๆตัวเรา ได้โดยไม่จำเป็นต้องมาวัดก็จะได้บุญได้กุศลเช่นเดียวกัน



ถ้าเราเป็นผู้มีศีลมีธรรม ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เราก็มีความเป็นพระในตัวเรา ที่เราจะต้องเพิ่มพูนคุณงามความดีให้กับตัวเราเองด้วย ด้วยการหมั่นดูแลสุขภาพ ทานอาหารที่เป็นประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และเราต้องทำบุญให้กับตัวเรา ด้วยการเก็บออมเงินให้กับตัวเราเองเพื่อสำหรับใช้จ่ายในอนาคต

การมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน คือการใช้จ่ายเงินที่หามาได้ในปัจจุบัน หาได้เท่าไหร่ ก็ใช้จ่ายอย่าให้เกินเงินที่หามาได้ และให้มีเงินเหลือเก็บไว้ในอนาคตด้วย อย่าใช้เงินล่วงหน้าจากบัตรเครดิต เพราะเท่ากับว่า เรากำลังนำเงิน

ที่จะหาได้ในอนาคตมาใช้ในปัจจุบัน และให้ปัญญากับตัวเราเป็นทาน โดยการหมั่นศึกษาหาความรู้ เพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน และเข้าใจหลักธรรมในการดำเนินชีวิต



ด้วยความเป็นพระ นั้นอยู่ที่ใจ เราจึงสามารถสร้างบุญ สร้างกุศลด้วยการทำมหาทานกับผู้ที่มีความเป็นพระที่อยู่รอบๆ ตัวเราได้ตลอดกาล ด้วยการทำทานด้วยจตุปัจจัย ด้วยการให้อภัยเป็นทาน ด้วยการให้ความเคารพ แสดงออกด้วยความกตัญญุกตเวทิตาธรรม ด้วยการตั้งใจทำงานเป็นทาน ด้วยการให้ธรรมะเป็นทาน ด้วยการให้ปัญญาเป็นทาน เราก็จะเป็นผู้ที่มีความสุข ความเจริญ ประสบความสำเร็จ และความก้าวหน้าในการดำเนินชีวิตตลอดไป

เจริญพร

พระถวิล ฐานุตฺตโม

ทำไม..ขี้ลืม ( โดยธารดาว ทองแก้ว )

๑.ทำไม..ขี้ลืม ( โดยธารดาว ทองแก้ว )


อาการหลงลืมเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่หากว่านานๆจะลืมสักครั้ง แต่ถ้าใครขี้ลืมบ่อยๆสมองไม่จดจำอะไรเลย แม้จะเป็นเรื่องสำคัญๆที่อยู่ใกล้ตัว อย่างนี้ก็น่าเป็นห่วงสมองของคนๆนั้นเสียแล้ว
ใครที่ไม่อยากให้สมองแก่ก่อนวัยเป็นคนขี้หลงขี้ลืม ป้ำๆเป๋อๆซึ่งเป็นบุคคลิกที่ไม่ดี เป็นคนไม่มีเสน่ห์ ไม่มีประสิทธิภาพ ก็ต้องหมั่นฝึกฝนใช้สมองให้มาก
สมองของคนเราก็เหมือนมีด ยิ่งลับยิ่งคม แม้ร่างกายจะเสื่อมไปตามวัย แต่สมองยังใช้การได้ดีตามสภาพ ถ้ามีการใช้งานอยู่ตลอดเวลา
ความจำเกี่ยวข้องกับสมองเป็นหลัก ซึ่งกระบวนการจำมีตั้งแต่การรับเข้า ( เหมือนเวลาคุยแล้วมีเครื่องบันทึกเทป )เพราะฉะนั้นเครื่องรับเข้าจะต้องดีก่อน แล้วจึงมีการบันทึกข้อมูลที่ถูกต้องลงไปในสมอง จากนั้นก็จะมีการเรียกข้อมูลออกมาใช้ ซึ่งถ้ามีข้อบกพร่องเกิดขึ้นในขั้นตอนใดก็จะทำให้กระบวนการจดาจำเสียไปได้
บางคนช่องรับเข้าไม่ดี ( เช่นมีคนกำลังพูดให้ฟัง แต่เราใจลอยไปคิดถึงเรื่องอื่น )ก็จะจับใจความสำคัญได้ไม่หมด( เหมือนเด็กๆสมัยนี้ที่เวลาทำการบ้าน แล้วเปิดเพลงฟังหรือดูโทรทัศน์ไปด้วย เครื่องรับเปิดไม่เต็มร้อย ผลก็ออกมาไปเต็มร้อยเหมือนกันน
จิตใจคือต้นเหตุสำคัญของการลืมเป็นหลัก นั่นคือความเครียด ความวิตกกังวลและความฟุ้งซ่าน ซึ่งทำให้คนเราขาดสมาธิความคิดแตกกระจาย
ส่วนสาเหตุทางร่างกาย มักเกิดจากการที่สมองเสื่อมจากวัยที่เพิ่มขี้น ซึ่งก็เป็นไปตามธรรมชาติ หรือเกิดจาการป่วยทางสมอง อุบัติเหตุ สมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง หรือความกังวลใจกับความเจ็บป่วย พลังการจดจำจึงมีน้อย
อาการขี้ลืมที่น่าเป็นห่วงก็คือความสามารถในการดำเนินชีวิตหรือความสามารถในการทำงานลดลงจนเสียหาย
โดยหลักการแล้ว ความจำของคนเราขึ้นอยู่กับความเข้มข้น ของการเอาใจใส่เป็นสำคัญ ไม่ควรอ่านหนังสือ ฟังเพลงหรือดูโทรทัศน์ไปพร้อมๆกัน
การแก้ปัญหาก็คือฝึกการใช้สมองหรือลับสมอง ซึ่งสมองก็เหมือนอวัยวะอื่นๆ ในร่างกายที่เสื่อมแล้วก็เสื่อมเลยไม่มีการสร้างขึ้นมาใหม่ (ยกเว้นเม็ดเลือด) แต่ถ้ามีการฝึกฝนอยู่เสมอ สมองจะแก่ช้ากว่าร่างกาย ซึ่งความรู้ในทางการแพทย์จะบอกเราว่า เซลล์สมองของคนเรามีจำนวนมากมาย และในความเป็นจริง เราก็ไม่ได้ใช้สมองที่มีอยู่ทั้งหมดหรอก ตัวอย่างเช่น ถ้ามีสมองอยู่ ๑๐๐ ส่วน เราอาจจะใช้สมองเพียงแค่ ๒๐ ส่วน เท่านั้นเอง และถึงแม้ว่าสมองจะตายไปเหลือเพียง ๖๐-๗๐% เราก็ยังสามารถฉลาดขึ้นได้อีกเรื่อยๆ เพราะส่วนที่เหลืออยู่ ยังไงเราก็ใช้มันไม่หมด
คนที่มีลักษณะหรืออุปนิสัยเรื่อยๆ เฉื่อยๆ ไม่ค่อยสนใจสิ่งต่างๆ รอบตัว มีสิทธิจะเป็นโรคสมองฝ่อได้มาก เพราะขบวนการของสมองไม่ค่อยได้ใช้งาน ไม่เหมือนกับคนที่ชอบอ่านหนังสือ ซึ่งจะมีผลต่อการทำงานของสมอง เมื่อใช้บ่อยๆ (คิด - พูด - อ่าน)
เซลล์สมองซึ่งมีเส้นใยเป็นขา เป็นแขนก็จะเชื่อมต่อกัน ซึ่งหากยิ่งใช้บ่อย มันก็จะเชื่อมโยงกันเป็นโครงข่าย ทำให้คิดอะไรเป็นระบบ มีหลักการมีเหตุผล แต่หากไม่ค่อยได้ใช้สมองขบคิด เส้นใยเหล่านี้จะหดลง ไม่ต่อกัน ความจำก็จะไม่เป็นระบบ ดังนั้นเมื่อเกิดปัญหาต่างๆ ขึ้น ในชีวิตประจำวัน แล้วรู้จักแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอยู่เสมอ ก็นับเป็นการลับสมองที่ดีมาก อย่างหนึ่งง
การฝึกสมาธิช่วยให้ความจำดีขึ้น โดยเฉาะคนที่ชอบคิดฟุ้งซ่าน วิตกกังวลจนลืมอยู่เสมอ สมาธิช่วยได้ในเรื่องของความจำทุกขั้นตอนและสมาธิยังช่วยเรื่องอื่นอีกมากมายในชีวิต
นิสัย ๑๐ อย่างที่ทำร้ายสมอง


๑. ไม่กินอาหารเช้า การไม่กินอาหารเช้า ไม่เพียงแต่จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำเท่านั้น แต่ยังเป็นสาเหตุให้ร่างกายมีสารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ หากทำจนเป็นนิสัย ในระยะยาวจะทำให้สมองเสื่อมเร็วขึ้น
๒. กินอาหารมากเกินไป เห็นไหมว่าทุกอย่างต้องพอดีจึงจะมีประโยชน์ การกินมากเกินไป จะทำให้ หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว ซึ่งจะเป็นสาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น
๓. การสูบบุหรี่ ในบุหรี่มีสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพมากมายหลายสิบชนิด และ แน่นอน หากใครสูบจนติดและไม่คิดเลิก ไม่นานคุณอาจโชคร้ายเป็นโรคสมองฝ่อโดยไม่รู้ตัว (ถ้าสมองใช้งานไม่ได้ การมีชีวิตอยู่ก็แทบไม่มีความหมายอะไร)
๔. กินอาหารหวานมากเกินไป อาหารเหล่านี้จะไปขัดขวางการดูดซึมโปรตีน และสารอาหารที่มีประโยชน์ ต่อร่างกาย เป็นสาเหตุให้ร่างกายขาดสารอาหาร เมื่อได้รับอาหารน้อย สมองก็ทำงานไม่เต็มที่
๕. การอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ ทั้งนี้เพราะสมองเป็นอวัยวะที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกาย ดังนั้นหากเราหายใจเอาอากาศเสียเข้าไปมากๆ เป็นประจำ จะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อย ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของสมอง ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง
๖. การอดนอน การอดนอนเป็นระยะเวลานานๆ จะทำให้เซลล์สมองเสียหายและตายได้ (เร็วกว่าที่ควรจะเป็น)
๗. การนอนคลุมโปง เรื่องนี้หลายคนอาจนึกไม่ถึง เพราะการนอนคลุมโปง จะทำให้เราได้รับออกซิเจน ไม่เต็มที่ เมื่ออากาศไม่เพียงพอ การทำงานของสมองก็ไม่เต็มร้อย
๘. ใช้สมองในขณะเจ็บป่วย ยามเจ็บไข้ ไม่สบาย ก็เป็นการฟ้องอยู่แล้วว่าร่างกายต้องการการพักผ่อน แต่หากเรายังดื้อรั้นที่จะใช้สมองในการคิดหรือทำงานยามที่ร่างกายอ่อนแอ ก็เหมือนเป็นการทำร้าย สมองไปด้วย และผลงานที่ออกมาก็ไม่ค่อยดีนักหรอกในชีวิต
๙. ขาดการใช้ความคิด การคิด วิเคราะห์ ฝึกแก้ปัญหาต่างๆ เป็นการฝึกสมองที่ดีที่สุด การอยู่นิ่งๆ เฉยๆ ไม่สนใจอะไรเลยจะทำให้สมองฝ่อ
๑๐. พูดน้อยเกินไป นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ย้ำยืนยันว่า ทุกสิ่งทุกอย่างต้องอยู่ในภาวะสมดุล จึงจะเกิด ประโยชน์สูงสุด เพราะการฝึกพูดอย่างมีสาระ เป็นสิ่งที่ต้องใช้สมองกลั่นกรอง ดังนั้นทักษะ ทางการพูด จึงเป็นสิ่งที่แสดงถึงประสิทธิภาพของสมองด้วย

วันศุกร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2555

อุตรดิตถ์ชวนร่วมงานสืบสานงานศิลป์ถิ่นลับแลง

อุตรดิตถ์ จัดงานสืบสานงานศิลป์ถิ่นลับแลง ครั้งที่ 2 ในวันที่ 21 ม.ค. 2555 ณ บริเวณหน้าอนุสาวรีย์เจ้าฟ้าฮ่ามกุมาร ต.ฝายหลวง อ.ลับแล ภายในงานมีกิจกรรมน่าสนใจ อาทิ ขบวนฟ้อนเมือง ขบวนแห่เครื่องสูงสักการะ ขบวนแห่สักการะอนุสาวรีย์เจ้าฟ้าฮ่ามกุมาร ระบำซอ การเสวนาเชิงวิชาการ การแสดงสินค้าพื้นเมือง การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมของชาวไทยวน

จังหวัดอุตรดิตถ์ ร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุตรดิตถ์ สภาวัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ ภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้นำท้องถิ่น และประชาชนในพื้นที่จังหวัดอุตรดิตถ์ ร่วมกันจัด "โครงการสืบสานงานศิลป์ถิ่นลับแลง" ครั้งที่ 2 ประจำปี 2555 ขึ้น ในวันที่ 21 ม.ค. 2555 เริ่มตั้งแต่เวลา 08.30 น. ณ บริเวณหน้าอนุสาวรีย์เจ้าฟ้าฮ่ามกุมาร ตำบลฝายหลวง อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์

โครงการนี้จัดขึ้นเพื่อเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณี รวมทั้งแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทางด้านวัฒนธรรมระหว่างกลุ่มไทยวน คือ ไท - ยวนเมืองอุตรดิตถ์ (อำเภอเมืองอุตรดิตถ์) ไท - ยวนน้ำอ่าง (อำเภอตรอน) ไท - ยวนท่าปลา (อำเภอท่าปลา) ไท - ยวนบ่อทอง (อำเภอทองแสนขัน) และไท - ยวนลับแลง (อำเภอลับแล) และเชื่อมสัมพันธ์กับกลุ่มชนล้านนาเชียงใหม่

ภายในงานมีกิจกรรมน่าสนใจ ได้แก่ ขบวนฟ้อนเมือง ขบวนแห่เครื่องสูงสักการะ - ขบวนแห่สักการะอนุสาวรีย์เจ้าฟ้าฮ่ามกุมาร ระบำซอ กิจกรรมทางวัฒนธรรมต่างๆ การเสวนาเชิงวิชาการ การแสดงสินค้าพื้นเมือง การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทางด้านวัฒนธรรมระหว่างกลุ่มไทยวน นอกจากนี้ยังมีการเชิญ ดร.เจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ มาเป็นแขกรับเชิญ รวมทั้งช่างฟ้อนเล็บจากจังหวัดเชียงใหม่

สำหรับความเป็นมาของชุมชนลับแล จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ทำให้ทราบว่าชนกลุ่มแรกที่มาอยู่บริเวณเมืองลับแลในปัจจุบันนั้นอพยพมาจากอาณาจักรเชียงแสนโบราณ เมืองลับแลมีภูมิประเทศเป็นป่าเขาสลับซับซ้อน มีลักษณะภูมิอากาศเย็น ในยามพลบค่ำ แม้พระอาทิตย์ยังไม่ตกดินก็จะมืดเร็ว เพราะมีดอยม่อนฤษีเป็นฉากกั้นแสงอาทิตย์ ป่านี้จึงได้ชื่อว่า “ป่าลับแลง” (แลงแปลว่าอากาศเย็น) ต่อมาเกิดการเพี้ยนเป็น “ลับแล” ซึ่งกลายมาเป็นชื่ออำเภอลับแลในปัจจุบัน

ทั้งนี้ผู้สนใจเข้าร่วมงานสามารถติดต่อได้ที่ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ กลุ่มส่งเสริมศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม โทร.055-403093

3 ท่านอน ลดปวดหลัง

ความ เครียด น้ำหนักส่วนเกิน การยกของผิดวิธี และท่านอนที่ไม่เหมาะสม ล้วนเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดอาการปวดหลังได้นะคะ คณะผู้เชี่ยวชาญจากมาโยคลินิก (Mayo Clinic) แนะนำ 3 ท่านอนที่จะช่วยป้องกันและบรรเทาอาการปวดหลังดังนี้ค่ะ

1. นอนตะแคงข้างก่ายหมอน นอนตะแคงข้างที่ถนัด หนุนหมอนที่ศีรษะตามปกติ งอเข่าทั้งสองข้างและวางหมอนหนุนไว้ระหว่างขาทั้งสองข้าง เพื่อป้องกันไม่ให้เข่าที่อยู่ด้านบนแตะที่นอน มิเชิ่นนั้นกระดูกสันหลังส่วนล่างจะพลิก ซึ่งก่อให้เกิดอาการปวดหลังและสะโพกได้

2. นอนหงายหนุนเข่า นอนหงายหนุนหมอนที่ศีรษะ ปล่อยตัวตามสบายโดยวางหมอนหนุนอีกใบไว้ใต้หัวเข่าทั้งสองข้าง เพื่อช่วยรักษาความโค้งของกระดูกสันหลังส่วนล่าง ท่านี้เหมาะสำหรับผู้มีอาการปวดหลังที่ไม่รุนแรงมากนัก

3. นอนคว่ำหนุนหน้าท้อง หากคุณไม่สามารถนอนท่าอื่นๆ ได้ และจำเป็นต้องนอนคว่ำ ให้นอนหนุนหมอนบริเวณช่วงคอและหน้าอกส่วนบน โดยหันใบหน้าไปด้านใดด้านหนึ่ง และนำหมอนหนุนอีกใบวางไว้ใต้บริเวณสะโพก เพื่อผ่อนคลายความตึงของแผ่นหลัง และหากยังรู้สึกตึงหรือเจ็บปวดอยู่ให้นำหมอนหนุนที่ศีรษะออก

ถนอมหลังของคุณโดยการยกสิ่งของด้วยท่าท่างที่ถูกต้อง และออกกำลังกายด้วยการรำกระบองเป็นประจำ เป็นวิธีป้องกันอาการปวดหลังได้ดีเยี่ยม


ที่มา : ชีวจิต

ปิด ปิด ปิด (พุทธทาสภิกขุ)

ปิด ปิด ปิด (พุทธทาสภิกขุ)
โดยว.วชิรเมธี (W.Vajiramedhi) เมื่อ 19 พฤษภาคม 2010 เวลา 8:25 น.


ปิด-ปิดตา: อย่าสอดส่าย ให้เกิดเหตุ



บางประเภท แกล้งทำบอด ยอดกุศล

มัวสอดรู้ สอดเห็น จะเป็นคน

เอาไฟลน ตนไป จนใหม้พอง ;


ปิด-ปิดหู: อย่าให้แส่ ไปฟังเรื่อง

ที่เป็นเครื่อง กวนใจ ให้หม่นหมอง

หรือเร้าใจ ให้ฟุ้งซ่าน พาลลำพอง

ผิดทำนอง คนฉลาด อนาถใจ ;


ปิด-ปิดปาก: อย่าพูดมาก เกินจำเป็น

จะเป็นคน ปากเหม็น เขาคลื่นใส้

ต้องเกิดเรื่อง เยิ่นเย้อ เสมอไป

ถ้าหุบปาก มากไว้ ได้แท่งทองฯ

พิธีทำบุญเกิด และพิธีทำบุญอายุ

พิธีทำบุญเกิด และพิธีทำบุญอายุนั้น จัดขึ้นเพื่อความต้องการความสุขสวัสดีมีอายุยืนยาวเจริญวัฒนาต่อไปในภายภาค หน้า ส่วนใหญ่หากเป็นการทำบุญวันครบรอบวันเกิด โดยทั่วไปก็ไม่ค่อยจัดใหญ่โตอะไรนัก แค่ทำบุญตักบาตรพระในตอนเช้า หรือถวายภัตตาหารพระที่วัด เสร็จแล้วจึงถวายจตุปัจจัยไทยธรรมตามศรัทธา เมื่อพระสวดเจริญพระพุทธมนต์ให้พร อนุโมทนา และ กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล ก็เป็นอันเสร็จพิธี
ทำบุญวันเกิด


ในสมัยพุทธกาล มีพราหมณ์ ๒ คนผัวเมีย พาลูกน้อยของตนไปหาพราหมณ์ที่เป็นสหายซึ่งถือพรตบำเพ็ญตบะ เมื่อพราหมณ์ ๒ ผัวเมียทำความเคารพ พราหมณ์ที่บำเพ็ญตบะได้กล่าวอำนวยพรว่า " ขอจงจำเริญอายุยืนนาน" แต่เมื่อให้บุตรของตนทำความเคารพ พราหมณ์ผู้บำเพ็ญตบะหาได้กล่าวอวยพรให้ตามธรรมเนียมไม่ โดยบอกเหตุผลบอกว่า ลูกน้อยของพราหมณ์ ๒ ผัวเมียจะต้องตายภายใน ๗ วัน

พราหมณ์ผู้บำเพ็ญตบะ ได้แนะนำให้พราหมณ์ ๒ ผัวเมียพาลูกไปหาพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ได้ตรัสแถลงเช่นเดียวกัน และแนะนำอุบายป้องกัน โดยการนิมนต์พระสงฆ์สวดพระปริตรตลอด ๗ วัน ซึ่งพราหมณ์ทั้งสองก็กระทำตามครั้นถึงวันที่ ๗ พระพุทธองค์เสด็จไปด้วยพระองค์เอง ทำให้ยักษ์ผู้ได้รับพรมาเพื่อฆ่ากุมารไม่อาจทำอันตรายพระกุมารนั้นนอนฟังพระ ปริตรอยู่ ด้วยพุทธานุภาพประกอบกับอายุไม่ถึงการดับแห่งขาร ทำให้ทารกนั้นรอดพ้นอันตราย และมีอายุยืนยาวถึง ๑๒๐ ปี

ประเพณีทำบุญวันเกิด เกิดขึ้นเนื่องจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงทำเป็นตัวอย่างตั้งแต่ยังทรงผนวช ไม่ใช่ทำอย่างจีนหรือฝรั่ง ด้วยทรงพระราชดำริเห็นว่าการมีอายุยืนมาบรรจบรอบปีครั้งหนึ่งๆ ไม่ตายไปเสียก่อนเป็นลาภอันประเสริฐ ควรยินดี เมื่อรู้สึกยินดีก็ควรจะบำเพ็ญกุศล ที่เป็นประโยชน์แก่ตนและแก่ผู้อื่น ให้สมกับที่มีน้ำใจยินดี และไม่ประมาท เพราะไม่สามารถจะรู้ได้ว่าจะอยู่ไปบรรจบรอบปีเช่นนี้อีกหรือไม่ ถึงวันเกิดปีหนึ่งเป็นที่เตือนใจครั้งหนึ่ง ให้รู้สึกว่าอายุล่วงไปต่อความตายอีกก้าวหนึ่งชั้นหนึ่ง เมื่อรู้สึกเช่นนั้น จะได้บรรเทาความมัวเมาประมาทในชีวิตเสียได้ นี้เป็นพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งเป็นสาเหตุให้ มีการทำบุญวันเกิดขึ้นเรียกว่าเฉลิมพระชนมพรรษา การที่ทรงทำในครั้งนั้นปรากฏว่ามีการสวดมนต์เลี้ยงพระ ๑๐ รูป เป็นการน้อยๆ เงียบๆ ครั้นต่อมาก็มีเจ้านายขุนนางทำบุญวันเกิดกันชุกชุมขึ้น แต่การทำบุญเกี่ยวกับพระลดลง เป็นแค่ประชุมคนแสดงเกียรติยศให้ปรากฏว่ามีผู้นับถึอมาก ตั้งโรงครัวเลี้ยงกันไปวันยังค่ำการมหรสพก็มีละครเป็นพื้น และนำของขวัญไปให้กันมีการเลี้ยงดูกันอย่างสนุกสนานให้ศีลให้พรกัน ถ้าเป็นวันเกิดเจ้านายขุนนางชั้นผู้ใหญ่พระเจ้าแผ่นดินก้พระราชทานพระราช หัตถเลขาให้พรด้วย พระราชทานของขวัญด้วย สมัยนั้นการทำบุญถือเป็นเกียรติใหญ่ เมื่อถึงวันเกิดของใครก็อึงคนึงเป็นการใหญ่ตั้งแต่เริ่มงานจนงานแล้ว และถือว่าถ้าไม่ไปช่วยงานวันเกิดกันแล้วเป็นไม่ดูผีกันทีเดียว

สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อทรงผนวชเป็นสามเณรก็ทรงทำบุญวันพระราชสมภพ ตามอย่างพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว วิธีทำก็มี สวดมนต์ เลี้ยงพระและแจกสลากสิ่งของต่างๆ แก่พระสงฆ์ ทรงทำตลอดมาจนกระทั่งเสวยราชย์และทำเป็นการใหญ่เช่น หล่อพระพุทธรูปอายุ เรียกว่า “หล่อพระชนมพรรษา” ทั้งมีการตกแต่งตามชาลาพระบรมมหาราชวัง ให้เป็นการครึกครื้นสนุกสนาน ตามริมน้ำและตามถนนก็สว่างไสวไปด้วยแสงประทีปโคมชวาลา จึงได้เกิดมีการแต่งซุ้มไฟประกวดประขันกันขึ้นและมีเหรียญพระราชทานแก่ผู้ แต่งซุ้มไฟเป็นรางวัล อนึ่งในวันนั้นได้มีผู้ไปลงนามถวายพระพร พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการอ่านคำถวายพระพรอันเป็นเครื่องหมายแสดงความจงรักภักดี จึงถือเป็นประเพณีเนื่องด้วยทำบุญวันเกิดมาจนปัจจุบันนี้

วิธีปฏิบัติ ในการทำบุญวันเกิดอาจเลือกปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างก็ได้ ดังนี้
๑. ตักบาตรพระสงฆ์เท่าอายุหรือเกินอายุหรือกี่รูปก็ได้ตามสะดวก
๒. บำเพ็ญกุศลอุทิศแก่บรรพบุรุษ ที่เรียกว่า ทักษิณานุประทานก่อนแล้วจึงบำเพ็ญกุศลเนื่องในวันเกิด
๓. ทำบุญ สวดมนต์ เลี้ยงพระ หรือมีพระธรรมเทศนาด้วย
๔. ถวายสังฆทาน
๕. ทำทานช่วยชีวิตสัตว์ เช่นปล่อยนก ปล่อยปลา ฯลฯ หรือส่งเงินไปบำรุงโรงพยาบาลหรือกิจกรรมด้านสังคมสงเคราะห์อื่นๆ
๖. รักษาศีลหรือบำเพ็ญภาวนา
๗. กราบขอรับพรจากพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย หรือผู้ที่ตนเคารพนับถือ
๘. บำเพ็ญคุณประโยชน์อื่นๆ โดยมุ่งที่การให้ มากกว่า เป็นการรับ

อานิสงส์หรือผลดีของการทำบุญวันเกิด

การทำบุญวันเกิด คือการปรารภวันเกิดและทำความดีในวันนั้นเป็นเหตุให้ได้รับผลดีหรืออานิสงส์ตอบแทน ดังมีพุทธภาษิตความว่า

“ผู้ให้อาหาร ชื่อว่า ให้กำลัง ผู้ให้ผ้า ชื่อว่า ให้ผิวพรรณ ผู้ให้ยาน ชื่อว่า ให้ความสุข ผู้ให้ประทีป ชื่อว่า ให้ดวงตา” (พระไตรปิฏก เล่มที่ ๑๕ ข้อ ๑๓๘ หน้า ๔๔ ) และพระพุทธภาษิต ความว่า

“ผู้ให้สิ่งที่น่าพอใจ ย่อมได้สิ่งที่น่าพอใจ ผู้ให้สิ่งที่เลิศ ย่อมได้สิ่งที่เลิศ ผู้ให้สิ่งประเสริฐ ย่อมได้สิ่งที่ประเสริฐ ผู้ให้สิ่งที่ประเสริฐสุด ย่อมได้สิ่งที่ประเสริฐสุด “ (พระไตรปิฏก เล่มที่ ๒๒ ข้อ ๔๔ หน้า ๖๖)

ข้อเสนอแนะ

๑. กิจกรรมในการทำบุญวันเกิดควรเน้นคุณค่าทางจิตใจมากกว่าวัตถุ เช่นทำจิตใจให้สงบแจ่มใสและ ทำบุญตามศรัทธา

๒. ควรเป็นกิจกรรมที่มุ่งบำเพ็ญประโยชน์แก่ผู้อื่นหรือส่วนรวม เช่นการบริจาคทาน สมทบทุนเพื่อ สาธารณประโยชน์ ใช้แรงงานของตนเองเพื่อส่วนรวม

๓. ควรมุ่งเน้นให้เป็นการประหยัด จัดงานวันเกิดในวงครอบครัวไม่ควรจัดหรูหราฟุ่มเฟือย

๔. ควรอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย ไม่จำเป็นต้องจัดแบบต่างประเทศ เช่นตัดเค้กวันเกิดจุดเทียน หรือเป่าเทียน ร้องเพลงภาษาต่างประเทศอวยพรวันเกิด ฯลฯ

๕. ในกรณีที่ผู้น้อยไปรดน้ำอวยพรวันเกิดผู้ใหญ่ นิยมอ้างคุณพระศรีรัตนตรัยก่อนแล้วจึงมีคำอวยพร ส่วน ของขวัญที่จะให้นั้น ควรทำด้วยน้ำพักน้ำแรงหรือของที่ประดิษฐ์ด้วยฝีมือตนเอง ถ้าเป็นดอกไม้ควรเป็น ดอกไม้ที่ปลูกในประเทศไทย กรณีที่ผู้ใหญ่อวยพรวันเกิดผู้น้อย ผุ้ใหญ่ควรกล่าวถ้อยคำอันเป็นมงคลแก่ ผู้รับพร
ทำบุญอายุ

การทำบุญอายุ มักนิยมทำกัน เมื่ออายุ ๒๕ ปี ซึ่งเรียกว่าเบญจเพสแผลงมาจาก ปัญจวีสะ คำว่าเบญจเพส ก็ แปลว่า ๒๕ นั่นเอง ถือกันว่าตอนนี้เป็นตอนสำคัญ เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่จะย่างขึ้นสู่สภาวะผู้ใหญ่ ตั้งตนให้เป็นหลักเป็นฐาน ถ้าดีก็ดีกันในตอนนี้ ถ้าเอาดีไม่ได้ก็อาจจะเสียคน ด้วยเหตุนี้จึงมีการทำบุญเมื่ออายุ ๒๕ ปีเพื่อส่งให้เจริญงอกงามต่อไป ต่อจากนั้นก็ทำเมื่ออายุ ๕๐ หรือ ๖๐ ปีอีกครั้งหนึ่ง เพราะถือกันว่าตอนนิอายุย่างเข้ากึ่งหนึ่งของศตวรรษแล้ว และเจริญมากถึงที่สุดแล้ว ต่อไปร่างกายก็มีแต่จะทรุดโทรมลงทุกวัน การทำบุญที่อายุปูนนี้จึงเป็นการทำโดยไม่ประมาท ร่างกายเสื่อมลงไปๆ จึงควรทำบุญไว้ เพื่อเป็นประกันในเมื่อจวนจะหมดลมจะได้นึกว่าทำดีไว้มากแล้ว ถึงตายก็ตายอย่างสงบ อนึ่งการทำบุญอายุนี้ บางทีทำกันเมื่อมีอายุครบ ๒ รอบ ๓ รอบ ๔ รอบ ไปจนถึง ๕ -๖ รอบฯลฯ รอบหนึ่งมี ๑๒ ปีถ้าบรรจบปีเกิดในรอบไหนก็ทำในรอบนั้นวิธีปฏิบัติ อานิสงส์ผลดีหรือข้อเสนอแนะ เช่นเดียวกับการทำบุญวันเกิด

วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2555

นโยบายผลประโยชน์ทับซ้อน ขูดรีดประชาชนโดยใช้สื่อให้ข้อมูลด้านเดียว เพื่อลดการต่อต้านจากประชาชน

น่าสงสารประชาชน ผู้ฝักใฝ่และรักประชาธิปไตย และรักพรรคการเมืองหนึ่ง ด้วยใจบริสุทธิ์ แต่ตอนนี้กำลังโดนพรรคการเมืองนั้น ตอบแทนบุญคุณ ด้วยนโยบายผลประโยชน์ทับซ้อน ขูดรีดประชาชนโดยใช้สื่อให้ข้อมูลด้านเดียว เพื่อลดการต่อต้านจากประชาชน ฟาดกำไรอื้อซ่าซ้ำซาก แต่ คนเสื้อแดงยังตามไม่ทันเกมส์ ยังหลงละเลิงกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ, แก้ไขมาตรา 112 ประชาธิปไตยจอมปลอม แต่ความเดือดร้อนไล่ล่าตามมาติดๆยังไม่รู้สึกตัว ประชาชนถูกเบี่ยงเบนประเด็น ความสนใจ จากสื่อบางสื่อ ที่ให้ข้อมูลด้านเดียว ประชาชนน่าจะร่วมบอยคอท สื่อเหล่านั้น ดีไหม

ที่บอกว่าขึ้นราคานั้นเพื่อนำเงินไปสร้างสาธารณูปโภค แต่ขอโทษทีคะ กำไร อแบ่งปันเอกชนผู้ถือหุ้น ถ้าจะเอาเงินไปสร้างสาธารณูปโภค คุณต้องขึ้นภาษี เก็บเข้าหลวงทั้งหมด ไม่ใช่วัดครึ่งกรรมการครึ่ง

Sivaporn Butkanit เราน่าจะจัดทำข้อมูล ..ผู้ถือหุ้น ปตท.เผยแพร่ประชาสัมพันธ์บ้างนะคะ เผยแพร่แบบย้ำเตือน เปิดเผยข้อมูลการส่งออกพลังงานและผลกำไรในแต่ละช่วงปี ย้ำเตือนให้คนที่ไม่สนใจเลย หรือธุระไม่ใช่ ได้รู้จักคิดถึงผลกระทบที่ตัวต้องมีส่วนรับรู้และร่วมช่วยกันแก้ปัญหาชาติเป็นปากเป็นกระบอกเสียงให้กับประเทศชาติ ..การให้เขาร่วมแสดงความคิดเห็นร่วมบางคนอาจไม่ถนัดบางคนอาจคิดตามไม่ทัน หรืออาจไม่ทันคิด

ททท. สุรินทร์เชิญชมศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน 16 ประเทศทั่วโลก

ททท. สุรินทร์เชิญชมศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน 16 ประเทศทั่วโลก

จังหวัดสุรินทร์ โดยมหาวิทยาลัยราชภัฎสุรินทร์ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กำหนดจัดงาน “เทศกาลการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านนานาชาติ ครั้งที่ 7” (7th SIFF) ในวันที่ 15-25 มกราคม 2555 ณ มหาวิทยาลัยราชภัฎสุรินทร์ และสวนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา เพื่อสร้างเครือข่ายทางวัฒนธรรมนานาชาติ โดยอาศัยศิลปะ ดนตรีและนาฏศิลป์ เป็นสายเชื่อมสัมพันธ์จากคนทั่วทุกมุมโลก และยังเป็นการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านของประเทศไทย ให้ทั่วโลกได้รู้จัก ตลอดจนเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดสุรินทร์

นางสาวบุณยานุช วรรณยิ่ง ผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานสุรินทร์ กล่าวว่า ศิลปวัฒนธรรมในแต่ละท้องถิ่น แต่ละภูมิภาคของโลกมีความแตกต่างและหลากหลายเนื่องมาจากภูมิประเทศ ภูมิอากาศ วิถีการดำรงชีวิต ภาษา และขนบธรรมเนียมวัฒนธรรม ทำให้งานศิลปกรรมต่างๆ มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิลปะการแสดงพื้นบ้าน มหาวิทยาลัยราชภัฎสุรินทร์จึงได้จัดงานเทศกาลการแสดงศิลปะพื้นบ้านนานาชาติขึ้น โดยครั้งนี้เป็นครั้งที่ 7 ซึ่งจะมีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมประเพณี ภาษา สร้างความเข้าใจในแต่ละชนชาติเพื่อสันติภาพของโลก ส่งผลให้ได้รับความสนใจจากนานาประเทศ พร้อมส่งศิลปินนักแสดงเข้าร่วมการแสดงในครั้งนี้ถึง 16 ประเทศจำนวนศิลปิน ร่วม 300 คน ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อิตาลี ตุรกี อิสราเอล อัลจีเรีย ลิธัวเนีย ศรีลังกา อินเดีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม สปป.ลาว กัมพูชา เมียนมาร์ บังคลาเทศ และประเทศไทย

กิจกรรมที่น่าสนใจอาทิเช่น พิธีเปิดงานเทศกาล การแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านานาชาติ ครั้งที่ 7 (7th SIFF) พร้อมด้วยขบวนพาเหรดของนักแสดง จาก 16 ประเทศ พิธีเปิดงานและสาธิตการแสดงศิลปะพื้นบ้านนานาชาติในวันที่ 16 ม.ค. การประชุมสัมมนาวิชาการนานาชาติ มหกรรมการแสดงแบบผ้าพื้นบ้านนานาชาติ และการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านนานาชาติครั้งที่ 7 นอกจากนี้ยังมีพิธีชุมนุมเพื่อสันติภาพโลกในวันที่ 20 ม.ค. ณ วัดป่าวังน้ำทิพย์ อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร พร้อมทั้งการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านนานาชาติด้วย

สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฎสุรินทร์ โทร. 0 4404 1590, 0 4404 1631, 0 4451 5127 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานสุรินทร์ โทร. 0 4451 4447

การยึดสมบัติชาติเป็นของนักการเมือง กำลังเดินหน้าไปอีกก้าว โดย เฉพาะเรื่อง ปตท.

Paisal Puechmongkol
- การยึดสมบัติชาติเป็นของนักการเมือง กำลังเดินหน้าไปอีกก้าว โดย เฉพาะเรื่อง ปตท. ได้ตบหน้าพวกที่จะทวงสมบัติชาติคืน ด้วยการให้กระทรวงขายหุ้น ปตท ออกไป อีก ๒% จะทำให้พ้นสภาพรัฐวิสาหกิจ กลายเป็นเอกชนเต็มรูป แล้วใช้อำนาจรัฐจัดการได้เต็มที่แหละโยม
- นอกจาก ปตท.ที่จะถูกยึดเป็นของนักการเมืองแล้ว ก็มี การบินไทยอีกแห่งหนึ่ง ที่เขาจะให้กระทรวงการคลังลดถือหุ้นเพื่อให้พ้นจากความเป็นรัฐวิสาหกิจและเป็นของเอกชน และยังไงของแถุมอีกคือทำให้ยอดหนี้ของรัฐวิสาหกิจทั้ง ๒ แห่งราว ๑ ล้านๆบาทไม่เป็นหนี้ของรัฐ เปิดโอกาสให้กู้เงินมาผลาญเล่นอีก ๑ ล้านๆบาท แฮ่มๆๆๆ เข้ากระเป๋าได้อีก ๓๐ % ปากมันแผล็บๆๆ

Ananta Boonsopon พระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ตั้งรัฐวิสาหกืจที่สำคัญ ๆ ไว้มากมาย เพื่อเป็นหลักประกันนประโยชน์สุขของประชาชนไทย แต่บัดนี้รัฐวิสาหกิจที่สำคัญ ๆ ถูกแปรรูปไปในรูปแบบต่าง ๆ โดยนักการเมืองและพรรคการเมืองต่าง ๆ ทำให้ผลประโยชน์ไปตกอยู่ที่กลุ่มทุนบางกลุ่ม บนความทุกข์ร้อนของประชาชนและประเทศชาติโดยรวม จนยากที่จะเอากลับมาเป็นของประชาชนอย่างเดิม นอกจากจะทำความเข้าใจปรัชญาของรัฐวิสาหกิจเพื่อประชาชนและประเทศชาติเสียใหม่ให้ถูกต้อง และมีรัฐบาลที่เป็นของประชาชน เพื่อประชาชน โดยตัวแทนที่แท้จริงของประชาชนเท่านั้น ( ซึ่งผมได้ให้ความเห็นไว้ใน "ทิศสยาม" )

พรหมภูเบศวริ์ พรหมเมศ ครับ รัชกาลที่ ๕ พระองค์ ทรงมีพระเนตรที่ยาวไกล ได้สร้าง "ฐานทางเศรษฐกิจ " ไว้ให้ปวงชน เพื่อเป็นรากฐานในการสร้าง "ระบอบประชาธิปไตย".ซึ่งพระองค์มีความตั้งพระทัย ..ให้เกิดขึ้นใน สยามประเทศ.

สหพร ทิพย์จำนงค์ ถ้าประชาชนต้องการก็เอากลับมาได้ครับ..แต่
หลายปีที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงกลับด้านของความจริงได้กระทำกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเข้าใจให้เข้าทางพวกสามานย์ที่มีอำนาจในการกำหนดเศรษฐกิจและการปกครอง
แนวทางรัฐวิสาหกิจที่ถูกสร้างเพื่อชดเชยส่วนต่าง ลดช่องว่างและการเหลื่อมล้ำ แปลว่าไม่แสวงหาผลกำไร(เป็นหลัก)...มีการสร้างความเข้าใจผิดว่าขาดทุนต้องขายทิ้ง..เพราะเมื่อขาดทุนก็ทำให้บริการแย่ ประชาชนไม่ได้รับความสะดวก ต้องขาย....ถามว่า..บอร์ดบริหารนั้นเป็นตัวแทนจากฝ่ายใหนบ้าง?

เปลี่ยนหนึ่งได้สิบ

เปลี่ยนหนึ่งได้สิบ

dungtrin

นิสัยเสียหายไปหนึ่ง นิสัยดีมักมาแทนเป็นสิบ!

เวลาผ่านไป นิสัยคนค่อยๆเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
จะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม
ทุกสิบปีเราจะพบว่าพฤติกรรมบางอย่างต่างไป
หรือไม่ก็ถึงขั้นเปลี่ยนเป็นตรงกันข้าม
ราวกับจะเป็นศัตรูของตนเองในอดีตได้

พระพุทธเจ้าตรัสว่ารุ่งอรุณของชีวิตดีๆ
คือการได้พบกัลยาณมิตรดีๆ
และกัลยาณมิตรที่ดีที่สุดในโลก
ทั้งในแง่ของความเป็นแรงบันดาลใจในการทำดี
ตลอดจนการมีคำสอนที่ชัดเจนเป็นขั้นเป็นตอนให้ทุกคน
ก็เห็นจะได้แก่บรมครูคือพระพุทธองค์นั่นเอง

แต่จะนับถือศาสนาพุทธไม่พอ
ต้องรู้ด้วยว่าจะเอาชีวิตของตัวเอง
ไปเชื่อมให้ติดกับพุทธศาสนาได้อย่างไร
ถ้าไม่มีใครชี้ให้
ก็จำเป็นต้องสำรวจตนเองตามจริงด้วยใจเป็นกลาง
ว่าจิตวิญญาณของเรามีความเป็นปฏิปักษ์กับความดีใดบ้าง
ความดีที่จะมีน้ำใจคิดให้ทาน
ความดีที่จะห้ามใจไม่ก่อบาปก่อเวร
ความดีที่จะทำให้สติให้เจริญ
เพื่อเข้าใจให้ถูก และเข้าให้ถึงความสุขสูงสุดที่พึงได้มาก่อนตาย

เริ่มจากเพิ่มนิสัยดีขึ้นมาสักอย่าง
โดยทั่วไปเพียงนิสัยดีเริ่มเกิดได้วันเดียว
นิสัยเสียมักถูกกระทบโดยตรงหรือโดยอ้อมไปอีกหลายวัน
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าตั้งใจจะสังเกตแง่ดีของคนอื่น
เอามาพูด เอามาคุยถึงเพียงสองสามครั้งในวันเดียว
ไอร้อนในปากที่ชอบให้ร้ายชาวบ้าน
เหมือนจะลดอุณหภูมิลงได้จนถึงวันพรุ่งแล้ว

ถ้าสำรวจตัวเองจริงและเอาจริงแล้ว
คุณจะพบว่ากำจัดนิสัยเสียสำเร็จอย่างเดียว
ได้บุญกว่าตระเวนทำบุญร้อยวัดเสียอีก
ยกตัวอย่างเช่นเมื่อความขี้เกียจหายไป
ชีวิตใหม่ก็มาแทน
เราจะพร้อมทำอะไรดีๆได้แทบทุกอย่าง
โดยเฉพาะถ้าความขี้เกียจนั้นหายไปด้วยธรรมะ
ไม่ใช่ด้วยความโลภอยากได้เงิน

นิสัยหนึ่งๆคือกรรมที่ทำมาเป็นอาจิณ
นิสัยจึงเป็นเส้นทางกรรมชีวิตโดยตรง
ปีนี้สั่งสมไว้อย่างไร
อีกสิบปีข้างหน้าก็รับอานิสงส์สอดคล้องตามนั้น
และตลอดชีวิตนี้สั่งสมไว้อย่างไร
ชีวิตหน้าก็จักเป็นทายาทรับผลที่สร้างทำไว้เป็นมรดกต่อไป

สถานที่บางแห่งเป็นแหล่งรวมความสว่าง
ตลอดจนเป็นบ่อเกิดความดีที่จะตามมาเป็นพรวน
น่ายินดีที่ช่วงปีใหม่นี้เราเห็นที่จอดรถ RCA เกือบว่างวาย
ขณะที่ที่จอดรถของวัดวากลับเต็มแน่นจนต้องแย่งกัน
ฤานี่จะเป็นนิมิตหมายใหม่ของจริง
มิใช่สักแต่เป็นปีใหม่ตามคำสมมุติเรียกไปอย่างนั้นเอง?



ดังตฤณ
มกราคม ๕๕

อนาคตของพระบรมธาตุ

อนาคตของพระบรมธาตุ

เมื่อกาลเวลาล่วงเลยไปจนถึง พ.ศ. ๕๐๐๐
พระบรมธาตุทั้งหลายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
จะเสด็จไปสู่ที่พระเจดียฐาน ณ เกาะลังกา และดำรงคงอยู่ตลอด
เพื่อจะทรงสงเคราะห์ชาวสิงหฬ ให้เกิดสวัสดิมงคล
ด้วยการกระทำพิธีสักการบูชาพระคุณพระองค์ท่านก่อนพระพุทธศาสนาใกล้จะสูญสิ้นไป

ครั้นถึง พ.ศ. ๔๙๙๙ และล่วงได้ ๑๑ เดือน กับ ๒๒ วัน
ซึ่งตรงกับวันพฤหัสบดี เดือน ๖ ขึ้น ๙ ค่ำ เป็นเวลาคิมหันต์ฤดู ปีชวด
นักษัตรอัฐศก เวลารุ่งอรุณ
พระบรมธาตุทุกพระองค์จะเสด็จไปยังสถานที่ประชุมทันที
แล้วทรงกระทำยมกปาฏิหาริย์

ด้วยพุทธฤทธิ์อันวิเศษ บังเกิดเป็นพระพุทธนิเวศน์ และพระวรกายสูง ๑๘ ศอก
เปล่งรัศมีอก ๖ ประการ มีพระบวรสัณฐานงดงามยิ่งนัก ดวงพระพักตร์ผุดผ่อง
ดังสีสุวรรณ พระรูปองค์เสด็จขึ้นประทับบนบัลลังก์ในควงต้นพระศรีมหาโพธิ์

ทรงพระสมาธิและกระทำยมกปาฏิหาริย์ โปรด สัตว์ คนธรรพ์ เทวดา ฤาษี กินนร
นาคราช ทั้งอสูรพร้อมหน้านั่งแน่นเหนือแผ่นดิน พระองค์ตรัสพระธรรมเทศนา
โปรดสัตว์อยู่ ๗ วัน
มีผู้ฟังในครั้งนั้นถึงสี่อสงไขยสองล้านสามแสนหกสิบเจ็ดพันโกฏิ
แล้วพระเพลิงก็พวยพุ่งขึ้นเผาพลาญพระรูปองค์ให้หมดสิ้นไป ในวันพุทธ เดือน
๖ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปีชวด นักษัตร อัฐศก พระพุทธศาสนาก็สิ้นสุดลงเพียง ๕๐๐๐
ปีเต็ม...

โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน

เวียนหัว...ทรงตัวไม่อยู่หนึ่งสัญญาณอันตราย!! (เดลินิวส์)

เคย ไหมที่อยู่ดี ๆ ก็เกิดอาการหน้ามืด วิงเวียนศีรษะ คล้าย ๆ บ้านหมุนโดยไม่รู้สาเหตุ กระเพาะอาหารปั่นป่วน อยากจะอาเจียนออกมา พอลุกขึ้นยืนก็ทรงตัวไม่อยู่จะล้มเสียให้ได้!??

ลักษณะอาการเช่นนี้ อาจเป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่า คุณกำลังเข้าข่ายเป็น "โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน"

นพ.วัชชิระ ตีระพิพัฒนกุล เวชศาสตร์ครอบครัว ศูนย์ตรวจสุขภาพ โรงพยา บาลปิยะเวท อธิบายถึงลักษณะ ของโรคน้ำในหูไม่เท่ากันให้ฟังว่า คำว่า โรคน้ำในหูไม่เท่ากันนั้นเป็นภาษาที่เรียกกันทั่วไป แต่ทางการแพทย์จะเรียกว่า "โรคแรงดันน้ำในช่องหูชั้นในผิดปกติ"

ปกติหูชั้นในจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่มีลักษณะคล้ายก้นหอย ทำหน้าที่รับเสียง อีกส่วนหนึ่งเป็น อวัยวะรูปร่างคล้ายเกือกม้า ซึ่งมีอยู่ 3 ชิ้นด้วยกัน ทำหน้าที่เกี่ยวกับการทรงตัว

หู ชั้นในนอกจากจะแบ่ง ตามหน้าที่แล้ว ยังแบ่งตามโครงสร้างได้เป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นกระดูก กับส่วนที่เป็นเยื่อหุ้มภายใน ส่วนที่เป็นกระดูกจะห่อหุ้มส่วนที่เป็นเยื่อหุ้มภายใน โดยในส่วนที่เป็นเยื่อหุ้มภายในจะมีของเหลวอยู่ เมื่อเกิดโรคแรงดันน้ำในช่องหูชั้นในผิดปกติ ของเหลวที่อยู่ในส่วนที่เป็นเยื่อหุ้มภายในจะคั่งมาก ทำให้การไหลเวียนไม่สะดวก แรงดันที่เพิ่ม ขึ้นในหูชั้นใน จะขัดขวางการทำงานของกระแสประสาทที่เกี่ยวกับการได้ยินและการทรงตัว ทำให้สูญเสียการได้ยินและความสมดุล เกิดอาการเวียนศีรษะขึ้น

โรค ๆ นี้ไม่ได้พบบ่อยนัก ในจำนวนของคนไข้ที่เข้ามาพบแพทย์ ด้วยอาการเวียนศีรษะ อาเจียน จะมีเพียงร้อยละ 7 เท่านั้นที่เป็นโรคนี้

ฉะนั้น ในการวินิจฉัยโรคจะต้องใช้อาการเฉพาะ เพื่อแยกโรคอื่นที่เกี่ยวกับหูออกไปเสียก่อน โดยใช้วิธีการตรวจเพิ่มเติมในส่วนของหูชั้นใน ซึ่งบางครั้งอาจไม่พบความผิดปกติ แต่อาจตรวจโรคอื่นที่ไม่ใช่โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน เช่น หูน้ำหนวก ซึ่งเกิดในหูชั้นกลาง แต่ก็อาจจะกระ ทบไปถึงหูชั้นในด้วย

ต่อมา คือภาวะหูชั้นในอักเสบเฉียบพลัน ซึ่งภาวะนี้จะประกอบไปด้วย 2 โรคด้วยกัน เรียกว่า ภาวะของการทรงตัวผิดปกติอย่างเดียวกับโรคที่หูชั้นในผิดปกติแบบเฉียบพลัน ซึ่งจะมีทั้งที่ระบบการทรงตัวเสียและการได้ยินเสียไปด้วย และอีกโรคหนึ่งที่พบบ่อย ๆ คือ บางทีคนไข้ไปตรวจกับหมอแล้วหมอพบว่า หินปูนที่เกาะอยู่ในหูชั้นในหลุด ตรงนี้จะเป็นเรื่องของโรคเกี่ยวกับหูที่หมอจะแยกออกไปจากโรคน้ำในหูไม่เท่า กัน เมื่อแยกโรคออกแล้วคนไข้มาด้วยอาการเฉพาะจึงจะบอกได้ว่าคน ๆ นั้น เป็นโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน

ลักษณะเฉพาะที่ว่านั้น คือ เวียนศีรษะคล้ายบ้านหมุน ร่วมด้วยหูอื้อ หรือมีเสียงในหูอื้อ ๆ ๆ อยู่ในหูตลอดเวลา อาจจะได้ยินข้างเดียวหรือทั้ง 2 ข้าง ก็แล้วแต่พยาธิสภาพว่าจะเป็นข้างเดียวหรือเป็นทั้ง 2 ข้าง โดยหูอื้อ อาจจะเป็นชั่วคราวหรือถาวรก็ได้ ถ้าเป็นระยะแรก จะสูญเสียการได้ยินโดยจะเป็นแค่ชั่วคราว หลังจากหายเวียนศีรษะแล้วการได้ยินจะกลับมาเป็นปกติ แต่ถ้าที่มีอาการวิงเวียนบ่อย ๆ หรือเป็นมานานอาการหูอื้อมักจะถาวร

ที่ สำคัญ คือ อาการมึนงง เวียนศีรษะคล้ายบ้านหมุนเหล่านี้จะเป็นอยู่ไม่นานมากนัก โดยจะมึนเวียนหัวอยู่ประมาณ 20 นาที ถึง 2 ชั่วโมงก็จะหาย แล้วไม่ นานก็จะกลับมาปวดหัวหรือมีอาการ ดังกล่าวอีก โดยจะมีลักษณะเป็น ๆ หาย ๆ ซึ่งอาการเหล่านี้เป็นลักษณะเฉพาะของโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน

โรคนี้มีโอกาสเป็นได้ทุกเพศ และทุกวัย เพราะเป็นโรคที่ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด พบมากในวัยทำงานที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป แต่ มีปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการดำเนินโรคได้ โดยพบว่าอาหารที่มีปริมาณเกลือโซเดียมสูง หรืออาหารที่มีรสเค็ม สามารถกระตุ้นให้เกิดอาการได้ เช่นเดียวกับ การสูบบุหรี่ ดื่มสุรา ความเครียด และสภาวะแวดล้อมที่มีเสียงดังอึกทึก

การรักษา

เนื่องจากโรคนี้ไม่มีความจำเพาะของพยาธิสภาพ หมอจะรู้แต่เพียงว่าความดันในหูไม่เท่ากัน ส่วนใหญ่จะรักษาตามอาการที่ตรวจพบ โดยจะให้ยาขับปัสสาวะ เพื่อลดสภาวะอาการ บวมและคั่งของน้ำในหูชั้นใน รวมทั้งยาขยายหลอดเลือด ยาลดอาการเวียนศีรษะและคลื่นไส้อาเจียน ตลอดจนยากล่อมประสาท และยานอนหลับ เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยผ่อนคลายและนอนหลับได้เป็นปกติ

การป้องกัน

ทำได้โดย เมื่อทราบภาวะที่จะกระตุ้นให้เกิดโรคแล้ว อะไรที่เป็นภาวะเสี่ยงก็ ควรลดภาวะนั้น ๆ อาทิ หลีกเลี่ยงการดื่มสุรา ชา กาแฟ การสูบบุหรี่ ลดการบริโภคอาหารที่มีรสชาติเค็ม นอกจากนี้ การปฏิบัติตัวเพื่อให้ลดภาวะและอาการของโรคเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในชีวิต ประจำวัน ได้แก่ ลดภาวะเครียด ควบคุมอารมณ์ให้เบิกบานแจ่มใส และลดงานบางอย่างที่มากจนเกินไป

รวมทั้งหาเวลาออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ พยายามหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น เช่น อยู่ในที่ที่มีเสียงดังเป็นเวลานาน ตลอดจน แสงแดดจ้าหรืออากาศที่ร้อนอบอ้าว

นพ.วัชชิระ กล่าวทิ้งท้ายว่า เมื่อมีอาการของโรค อย่าตระหนกกับอาการ เพราะไม่ได้เป็นโรคที่ทำให้เกิดการเจ็บป่วยมากนัก ไม่ได้ทำให้ล้มหมอนนอนเสื่อ แต่ถ้าเป็นมากจนกระทั่งรบกวนการทำงาน ควรดูแลตนเองด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

อย่าเครียด เมื่อรู้ว่าเครียดควรหาวิธีผ่อนคลายหยุดการทำงานสักพัก เมื่อดีขึ้นจึงค่อยกลับไปทำงานต่อ รวมทั้งลดการบริโภคอาหารรสเค็มจัด หลีกเลี่ยงอาหารที่ ใส่เกลือมาก ๆ ลดการดื่มสุรา หากมีอาการเวียนหัวบ้านหมุนเมื่อไรควรรีบมาพบแพทย์ เพื่อแพทย์จะได้วินิจฉัยแยกโรคให้ชัดเจน จะได้ทำการรักษาได้อย่างถูกต้องและทันท่วงทีต่อไป

ปหาราทสูตร

ปหาราทสูตร

ว่าด้วยท้าวปหาราทะจอมอสูร คือ พระผู้มีพระภาคตรัสถามจอมอสูรปหาราทะที่มาเฝ้าว่า มหาสมุทรมีอะไรเป็นสิ่งน่าอัศจรรย์ที่ทำให้พวกอสูรยินดี จอมอสูรทูลตอบว่า มหาสมุทรมีสิ่งน่าอัศจรรย์ ๘ ประการ แล้วย้อนถามพระผู้มีพระภาคว่า พระธรรมวินัยมีอะไรเป็นธรรมน่าอัศจรรย์ที่ทำให้ภิกษุทั้งหลายยินดี ทรงตอบว่า มีธรรมน่าอัศจรรย์ ๘ ประการเช่น ทั้งสิ่งน่าอัศจรรย์ของมหาสมุทรและธรรมน่าอัศจรรย์ของพระธรรมวินัยมีข้อสรุปเปรียบเทียบกันได้ดังต่อไปนี้

สิ่งที่น่าอัศจรรย์ของมหาสมุทร
ธรรมอันน่าอัศจรรย์ของพระธรรมวินัย

๑. ลาดต่ำลงไปโดยลำดับ ไม่ลึกชันลงไปทันที
๑. มีการศึกษาบำเพ็ญปฏิบัติโดยลำดับ ไม่ใช่จะบรรลุอรหัตตผลได้โดยทันที

๒. มีปกติคงที่ ไม่ล้นฝั่ง
๒. ไม่ล่วงละเมิดสิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้

๓. ไม่อยู่ร่วมกับซากศพ มีแต่ซัดซากศพขึ้นบกทันที
๓. สงฆ์ไม่ยอมอยู่ร่วมกับบุคคลผู้ทุศีลประชุมกันนำเขาออกไปทันที

๔. มหานทีหลายสายเช่นคงคา ยุมนา อจิรวดี เมื่อไหลงลงไปสู่มหาสมุทรแล้ว ก็ละชื่อเดิมของตน
๔. วรรณะ ๔ เหล่า คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศุทร เมื่อออกจากเรือนบวชในพระธรรมวินัยแล้วก็ละชื่อและโคตรเดิมของตน

๕. แม่น้ำที่ไหลออกจากมหาสมุทร และสายฝนจากฟ้าตกลงมามหาสมุทร
๕. แม้ภิกษุจำนวนมากปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ก็ไม่ทำให้นิพพานพร่องหรือเต็มได้

๖. มีรสเดียว คือรสเค็ม
๖. มีรสเดียว คือวิมุตติรส

๗. มีรัตนะมาก คือ แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ สังข์ ศิลา แก้วประพาฬ เงิน ทอง ทับทิม แก้วตาแมว
๗. มีรัตนะมาก คือสติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘

๘. เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ขนาดใหญ่ คือปลาติมิติมิงคละ ปลาติมิรมิงคละ อสูร นาค คนธรรพ์
๘. เป็นที่อยู่ของผู้ใหญ่ คือพระโสดาบัน บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งโสดาบัน ฯลฯ พระอรหันต์ บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งอรหัตตผล

ปหาราทสูตร
ว่าด้วยท้าวปหาราทะจอมอสูร

[๑๙] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ควงต้นสะเดาอันเป็นที่อยู่ของนเฬรุยักษ์ เขตเมืองเวรัญชา ครั้งนั้น ท้าวปหาราทะจอมอสูร (จอมอสูร ในที่นี้หมายถึงผู้เป็นใหญ่แห่งเหล่าอสูร จอมอสูรมี ๓ ตน คือจอมอสูรเวปจิตติ จอมอสูรราหู และจอมอสูรปหาราทะ) เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้ว ยืนอยู่ ณ ที่สมควร พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับท้าวปหาราทะจอมอสูร ดังนี้ว่า

"ปหาราทะ พวกอสูรต่างพากันยินดีในมหาสมุทรบ้างไหม"

ท้าวปหาราทะจอมอสูรกราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกอสูรต่างพากันยินดีในมหาสมุทร"

พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า "ปหาราทะ ในมหาสมุทร มีสิ่งที่น่าอัศจรรย์ไม่เคยปรากฎเท่าไร ที่พวกอสูรพบเห็นแล้วต่างพากันยินดีในมหาสมุทร"

ท้าวปหาราทะจอมอสูรกราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในมหาสมุทร มีสิ่งที่น่าอัศจรรย์ ไม่เคยปรากฎ ๘ ประการ ที่พวกอสูรพบเห็นแล้วต่างพากันยินดี

สิ่งที่น่าอัศจรรย์ ไม่เคยปรากฎ ๘ ประการ อะไรบ้าง คือ

๑. มหาสมุทรต่ำไปโดยลำดับ ลาดไปโดยลำดับ ลึกลงไปโดยลำดับ ไม่ลึกชันดิ่งไปทันที การที่มหาสมุทรต่ำไปโดยลำดับ ลาดไปโดยลำดับ ลึกลงไปโดยลำดับ ไม่ลึกชันดิ่งไปทันที นี้เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ ไม่เคยปรากฎประการที่ ๑ ในมหาสมุทรที่พวกอสูรพบเห็นแล้วต่างพากันยินดีในมหาสมุทร

๒. มหาสมุทรมีปกติคงที่ ไม่ล้นฝั่ง การที่มหาสมุทรมีปกติคงที่ ไม่ล้นฝั่งนี้เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ ไม่เคยปรากฎประการที่ ๒ ในมหาสมุทรที่พวกอสูรพบเห็นแล้วต่างพากันยินดีในมหาสมุทร

๓. มหาสมุทรไม่อยู่ร่วมกับซากศพ ย่อมซัดซากศพขึ้นฝั่งจนถึงบนบกทันที การที่มหาสมุทรไม่อยู่ร่วมกับซากศพ ย่อมซัดซากศพขึ้นฝั่งจนถึงบนบกทันที นี้เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ ไม่เคยปรากฎประการที่ ๓ ในมหาสมุทร ที่พวกอสูรพบเห็นแล้วต่างพากันยินดีในมหาสมุทร

๔. มหานทีทุกสายคือ คงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหี ไหลลงสู่มหาสมุทรแล้วย่อมละชื่อและโคตรเดิมของตน รวมเรียกว่า "มหาสมุทร" ทั้งสิ้น การที่มหานทีทุกสาย คือคงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหีไหลลงสู่มหาสมุทรแล้วย่อมละชื่อและโคตรเดิมของตน รวมเรียกว่า "มหาสมุทร" ทั้งสิ้น นี้เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ ไม่เคยปรากฎประการที่ ๔ ในมหาสมุทรที่พวกอสูรพบเห็นแล้วต่างพากันยินดีในมหาสมุทร

๕. แม่น้ำสายใดสายหนึ่งในโลก ที่ไหลรวมลงสู่มหาสมุทร และสายฝนตกลงจากฟากฟ้า ก็ไม่ทำให้มหาสมุทรพร่อง หรือเต็มได้ การที่แม่น้ำสายใดสายหนึ่งในโลก ที่ไหลรวมลงสู่มหาสมุทร และสายฝนตกลงจากฟากฟ้า ก็ไม่ทำให้มหาสมุทรพร่องหรือเต็มได้ นี้เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ ไมเคยปรากฎประการที่ ๕ ในมหาสมุรที่พวกอสูรพบเห็นแล้วต่างพากันยินดีในมหาสมุทร

๖. มหาสมุทรมีรสเดียว คือรสเค็ม การที่มหาสมุทรมีรสเดียว คือรสเค็ม นี้เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ ไม่เคยปรากฎประการที่ ๖ ในมหาสมุทรที่พวกอสูรพบเห็นแล้วต่างพากันยินดีในมหาสมุทร

๗. มหาสมุทรมีรัตนะมาก มีรัตนะหลายชนิด คือ แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ สังข์ ศิลา แก้วประพาฬ เงิน ทอง ทับทิม แก้วตาแมว การที่มหาสมุทรมีรัตนะมาก มีรัตนะหลายชนิด คือ แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ สังข์ ศิลา แก้วประพาฬ เงิน ทอง ทับทิม แก้วตาแมว นี้เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ ไม่เคยปรากฏประการที่ ๗ ในมหาสมุทรที่พวกอสูรพบเห็นแล้วต่างพากันยินดีในมหาสมุทร

๘. มหาสมุทรเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ขนาดใหญ่ คือ ปลาติมิติมิงคละ ปลาติมิรมิงคละ อสูร นาค คนธรรพ์ มีลำตัว ๑๐๐ โยชน์ก็มี มีลำตัว ๒๐๐ โยชน์ก็มี มีลำตัว ๓๐๐ โยชน์ก็มี มีลำตัว ๔๐๐ โยชน์ ก็มี มีลำตัว ๕๐๐ โยชน์ก็มี การที่มหาสมุทรเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ขนาดใหญ่ คือ ปลาติมิติมิงคละ ปลาติมิรมิงคละ อสูร นาค คนธรรพ์ มีลำดัว ๑๐๐ โยชน์ก็มี ฯลฯ มีลำตัว ๓๐๐ โยชน์ก็มี มีลำตัว ๔๐๐ โยชน์ก็มี มีลำตัว ๕๐๐ โยชน์ก็มี นี้เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ ไม่เคยปรากฎประการที่ ๘ ในมหาสมุทรที่พวกอสูรพบเห็นแล้วต่างพากันยินดีในมหาสมุทร

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในมหาสมุทรมีิสิ่งที่น่าอัศจรรย์ ไม่เคยปรากฎ ๘ ประการนี้แล ที่พวกอสูรพบเห็นแล้วต่างพากันยินดีในมหาสมุทร

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุทั้งหลายต่างพากันยินดีในธรรมวินัยนี้บ้างไหม"

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า "ปหาราทะ ภิกษุทั้งหลายต่างพากันยินดีในธรรมวินัยนี้"

ท้าวปหาราทะจอมอสูร ทูลถามว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในธรรมวินัยนี้มีธรรมที่น่าอัศจรรย์ ไม่เคยปรากฏเท่าไร ที่ภิกษุทั้งหลายพบเห็นแล้วต่างพากันยินดีในธรรมวินัยนี้"

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า "ปหาราทะ ในธรรมวินัยนี้ มีธรรมที่น่าอัศจรรย์ไม่เคยปรากฎ ๘ ประการ ที่ภิกษุทั้งหลายพบเห็นแล้วต่างพากันยินดีในธรรมวินัย

ธรรมที่น่าอัศจรรย์ ไม่เคยปรากฏ ๘ ประการมีอะไรบ้าง คือ

๑. ธรรมวินัยนี้มีการศึกษาไปตามลำดับ (การศึกษาไปตามลำดับ ในที่นี้หมายถึงการศึกษาสิกขา ๓ คือ ศีล สมาธิ และปัญญา) มีการบำเพ็ญไปตามลำดับ (การบำเพ็ญไปตามลำดับ ในที่นี้หมายถึงการบำเพ็ญธุดงค์ ๑๓) ไม่ใช่มีการบรรลุอรหัตตผลโดยทันที เหมือนมหาสมุทรต่ำไปโดยลำดับ ลาดไปโดยลำดับ ลึกลงไปโดยลำดับ ไม่ลึกชันดิ่งไปทันที การที่ธรรมวินัยนี้มีการศึกษาไปตามลำดับ มีการบำเพ็ญไปตามลำดับ มีการปฏิบัติไปตามลำดับ ไมใช่มีการบรรลุอรหัตตผลโดยทันที นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์ ไม่เคยปรากฎประการที่ ๑ ในธรรมวินัยนี้ที่ภิกษุทั้งหลายพบเห็นแล้วต่างพากันยินดีในธรรมวินัยนี้

๒. สาวกทั้งหลายของเราย่อมไม่ละเมิดสิกขาบทที่เราบัญญัติไว้ แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต เหมือนมหาสมุทรที่มีปกติคงที่ ไม่ล้นฝั่ง การที่สาวกทั้งหลายของเราไม่ละเมิดสิกขาบทที่เราบัญญัติไว้ แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์ ไม่เคยปรากฎประการที่ ๒ ในธรรมวินัยนี้ที่ภิกษุทั้งหลายพบเห็นแล้วต่างพากันยินดีในธรรมวินัยนี้

๓. บุคคลใดผู้ทุศีล มีธรรมเลวทราม ไม่สะอาด มีความประพฤติที่น่ารังเกียจ มีการงานปกปิด ไม่ใช่สมณะ แต่ปฏิญญาว่าเป็นสมณะ ไม่ใช่พรหมจารี (ไม่ใช่พรหมจารี แต่ปฏิญญาว่าเป็นพรหมจารี หมายถึงตนเองไม่มีศีล หมดสภาพความเป็นภิกษุ แตยังเรียกตนว่า "เป็นภิกษุ" แล้วร่วมอยู่ร่วมฉันกับภิกษุอื่นผู้มีศีล ใช้ิสิทธิถือเอาลาภที่เกิดขึ้นในสงฆ์) แต่ปฏิญญาว่าเ่ป็นพรหมจารี เน่าภายใน ชุ่มด้วยราคะ เป็นเหมือนหยากเยื่อ สงฆ์ก็ไม่อยู่ร่วมกับบุคคลนั้น ย่อมประชุมกันนำเธอออกไปทันที แม้เธอจะนั่งอยู่ในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ก็ยังห่างไกลจากสงฆ์ และสงฆ์ก็ห่างไกลจากเธอ เหมือนมหาสมุทรไม่อยู่ร่วมกับซากศพ ย่อมซัดซากศพขึ้นฝั่งจนถึงบนบกทันที การที่บุคคลใดผู้ทุศีล มีธรรมเลวทราม ไม่สะอาด มีความประพฤติที่น่ารังเกียจ มีการงานปกปิด ไม่ใช่สมณะ แต่ปฏิญญาว่าเป็นสมณะ ไม่ใช่พรหมจารี แต่ปฏิญญาว่าเป็นพรหมจารี เน่าภายในชุ่มด้วยราคะ เป็นเหมือนหยากเยื่อ สงฆ์ไม่อยู่ร่วมกับบุคคลนั้น ย่อมประชุมกันนำเธอออกไปทันที แม้เธอจะนั่งอยู่ในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ ก็ยังห่างไกลจากสงฆ์ และสงฆ์ก็ห่างไกลจากเธอ นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์ ไม่เคยปรากฎประการที่ ๓ ในธรรมวินัยนี้ี่ภิกษุทั้งหลายพบเห็นแล้วต่างพากันยินดีในธรรมวินัยนี้

๔. วรรณ ๔ เหล่านี้ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ออกจาเรือนบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว ย่อมละชื่อและโคตรเดิมของตน รวมเรียกว่า "สมณศากยบุตร" ทั้งสิ้น เหมือนมหานทีทุกสาย คือคงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหีไหลลงสู่มหาสมุทรแล้ว ย่อมละชื่อและโคตรเดิมของตน รวมเรียกว่า "มหาสมุทร" ทั้งสิ้น การที่วรรณะ ๔ เหล่านี้ คือ กษัตริย พราหมณ์ แพศย์ ศุทร ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว ย่อมละชื่อและโคตรเดิมของตน รวมเรียกว่า "สมณศากยบุตร" ทั้งสิ้น นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์ ไม่เคยปรากฎประการที่ ๔ ในธรรมวินัยนี้ที่ภิกษุทั้งหลายพบเห็นแล้วตางพากันยินดีในธรรมวินัยนี้

๕. แม้หากภิกษุจำนวนมากปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ก็ไม่ทำให้นิพพานพร่องหรือเต็มได้เหมือนแม่น้ำสายใดสายหนึ่งในโลกที่ไหลรวมลงสู่มหาสมุทร และสายฝนตกลงจากฟากฟ้า ก็ไม่ทำให้มหาสมุทรพร่องหรือเต็มได้ การที่แม้หากภิกษุจำนวนมากปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ก็ไม่ทำให้นิพพานพร่องหรือเต็มได้ นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์ ไม่เคยปรากฎประการที่ ๕ ในธรรมวินัยที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วต่างพากันยินดีในธรรมวินัยนี้

๖. ธรรมวินัยนี้มีรสเดียว คือวิมุตติรส เหมือนมหาสมุทรมีรสเดียวคือ รสเค็ม การที่ธรรมวินัยนี้มีรสเดียว คือวิมุตติรส นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย ไม่เคยปรากฎประการที่ ๖ ในธรรมวินัยนี้ที่ภิกษุทั้งหลายพบเห็นแล้วต่างพากันยินดีในธรรมวินัยนี้

๗. ธรรมวินัยนี้มีรัตนะมาก มีรัตนะหลายชนิด คือ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘ เหมือนมหาสมุทรที่มีรัตนะมาก มีรัตนะหลายชนิด คือ แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ สังข์ ศิลา แก้วประพาฬ เงิน ทอง ทับทิม แก้วตาแมว การที่ธรรมวินัยนี้มีรัตนะมาก มีรัตนะหลายชนิด คือสติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์ ไม่เคยปรากฏประการที่ ๗ ในธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลายพบเห็นแล้วต่างพากันยินดีในธรรมวินัยนี้

๘. ธรรมวินัยนี้เป็นที่อยู่ของผู้ใหญ่ คือพระโสดาบัน บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งโสดาปัตติผล พระสกทาคามี บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งสกทาคามิผล พระอนาคามี บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งอนาคามิผล พระอรหันต์ บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่ออรหัตตผล เหมือนมหาสมุทรเป็นที่อยู่อาศัััััยของสัตว์ขนาดใหญ่ คือ ปลาติมิติมิงคละ ปลาติมิรมิงคละ อสูร นาค คนธรรพ์ มีลำตัว ๑๐๐ โยชน์ก็มี มีลำตัว ๒๐๐ โยชน์ก็มี มีลำตัว ๓๐๐ โยชน์ก็มี มีลำตัว ๕๐๐ โยชน์ก้ฒี การที่ธรรมวินัยนี้เป็นที่อยู่ของผู้ใหญ่ คือพระโสดาบัน บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งโสดาปัตติผล พระสกทาคามี บุคคลผ้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งสกทาคามิผล พระอนาคามี บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งอนาคามิผล พระอรหันต์ บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่ออรหัตตผล นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์ ไม่เคยปรากฎ ประการที่ ๘ ในธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลายพบเห็นแล้วต่างพากันยินดีในธรรมวินัยนี้

ปหาราทะ ในธรรมวินัยนี้ มีธรรมที่น่าอัศจรรย์ไม่เคยปรากฏ ๘ ประการนี้แล ที่ภิกษุทั้งหลายพบเห็นแล้วต่างพากันยินดีในธรรมวินัยนี้


ปหาราทะสูตรที่ ๙ จบ

อนุปุพพิกถา ธรรมสำหรับฟอกใจให้เข้าถึงอริยสัจ๔

อนุปุพพิกถา ธรรมสำหรับฟอกใจให้เข้าถึงอริยสัจ๔
**********************************
1.เหตุที่ต้องแสดงอนุปุพพิกถา
2.อนุปุพพิกถา เปรียบกับการซักผ้า
3.อนุปุพพิกถา ในพระไตรปิฏก
4.อนุปุพพิกถา ใครแสดง
5.อนุปุพพิกถา นั้นสำคัญมาก
6.อนุปุพพิกถา ในปัจจุบัน
7.สรุปจากใจผู้เขียน
******************************
1.เหตุที่ต้องแสดงอนุปุพพิกถา

หลังจากที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรม[1]แล้วทรงประกาศธรรมเป็นเวลา๔๕ ปี ช่วงเวลานี้พระองค์ต้องประสบกับปัญหาและอุปสรรคมากมาย[2] แต่ก็ทรงแก้ไขปัญหาและอุปสรรคนั้นได้อย่างเรียบร้อย ด้วยเหตุที่พระองค์ทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงใช้สอนเพื่อพ้นจากทุกข์ นั้นคือ อริยสัจ ๔ ซึ่งเป็นธรรมขั้นสูง ยากที่บุคคลทั่วไปจะเข้าใจได้ ปัญหานี้เองพระองค์จึงทรงมีวิธีการเตรียมความพร้อมของผู้ฟังให้มีสภาวะจิตใจที่ประณีตขึ้น โดยการแสดงธรรมโดยเริ่มจากธรรมที่เข้าใจง่ายๆ เช่น ทาน จนไปถึงธรรมที่มีความลุ่มลึกขึ้นไปตามลำดับ[3] วิธีการแสดงธรรมไปตามลำดับเพื่อเตรียมจิตใจให้ประณีตขึ้นนี้เรียกว่า ?อนุปุพพิกถา? เมื่อบุคคลใดได้ฟังอนุปุพพิกถาแล้ว จิตใจเขาจะเป็นจิตที่สมควรได้รับธรรมขั้นสูงขึ้นไป นั่นคืออริยสัจ๔ เมื่อจิตเข้าถึงอริยสัจ๔ แล้วจิตเกิดดวงตาเห็นธรรม[4] ซึ่งเปรียบเหมือนผ้าขาวสะอาดปราศจากมลทินควรรับน้ำย้อมได้เป็นอย่างดี


2.อนุปุพพิกถา เปรียบกับการซักผ้า

การเปรียบเทียบขั้นตอนการแสดงอนุปุพพิกถากับขั้นตอนการซักผ้า จะเห็นภาพชัดเจนมากขึ้น ขั้นแรกเป็นการโน้มน้าวใจผู้ฟังก่อน เมื่อสนใจแล้วจึงแสดงอนุปุพพิกถาและอริยสัจ๔ ขั้นแรกนี้เปรียบเหมือนกับต้องแช่ผ้าไว้ก่อนเพราะผ้ามีสิ่งสกปรกติดแน่นอยู่ เปรียบได้ว่า บางครั้งมีบุคคลบางพวกที่มีปัญหา คือยังไม่สนใจที่จะมานั่งฟังธรรมกับพระองค์ ฉะนั้นก่อนที่จะแสดงอนุปุพพิกถา พระองค์จะทรงโน้มน้าวใจ เพื่อสร้างศรัทธาให้อยากฟังธรรมก่อน เพราะบุคคลบางพวกมีสภาวะจิตใจที่ไม่พร้อมจะฟังธรรมจากพระองค์ เช่น ยังสงสัยในคำสอน ยังสงสัยในตัวผู้สอน ยังมีจิตที่เคร้าหมองอยู่ จะเห็นว่าปัญหาแรกที่พระพุทธเจ้าทรงเผชิญก็คือ ผู้ที่พระองค์จะทรงโปรดนั้น ยังไม่สนใจที่จะมานั่งฟังธรรมกับพระองค์ ดังนั้นพระองค์จึงทรงโน้มน้าวใจในรูปแบบต่างๆ ตามความแตกต่างของปัญหาในแต่ละคน และก็ประสบผลสำเร็จเสมอมา คือ พระองค์สามารถสร้างศรัทธาเบื้องต้นให้บุคคลเหล่านั้นหันมาสนใจนั่งฟังธรรมกับพระองค์อย่างตั้งใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าศึกษาว่าพระพุทธเจ้าทรงแก้ไขปัญหานั้นอย่างไร เพื่อจะได้นำวิธีการนั้น ใช้เป็นแนวทางให้เกิดประโยชน์ในสมัยปัจจุบัน


3.อนุปุพพิกถา ในพระไตรปิฏก

ในการแสดงอนุปุพพิกถานั้น ในพระไตรปิฏกจะแสดงไว้ว่า เมื่อบุคคลที่พระพุทธเจ้าจะทรงโปรด สนใจเข้ามานั่งใกล้พร้อมที่จะฟังธรรมแล้ว พระองค์จึงทรงแสดง อนุปุพพิกถา อันประกอบด้วย ทานกถา สีลกถา สัคคกถา กามทีนวกถา เนกขัมมานิสัขกถา หลังจากฟังจนจบและเข้าใจแล้ว จิตผู้นั้นจะเป็นจิตที่ประณีตขึ้น เมื่อพระองค์ทราบดังนั้นจึงทรงแสดงอริยสัจ๔ ซึ่งเป็นธรรมขั้นปรมัตถ์ เป็นธรรมเพื่อให้เข้าถึงความพ้นทุกข์อย่างแท้จริง เมื่อได้ฟังและรู้ธรรมแล้วบางคนก็บรรลุเป็นพระโสดาบัน บางคนก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ บางคนก็ขอถึงซึ่งพระรัตนตรัย เนื้อหาในพระไตรปิฏกก็มีเพียงแค่นี้ จะสังเกตุว่ารูปแบบและวิธีการแสดงอนุปุพพิกถานั้นไม่ได้แสดงไว้ บอกเพียงว่า อนุปุพพิกถา ประกอบด้วย ทานกถา สีลกถา สัคคกถา กามทีนวกถา เนกขัมมานิสัขกถา เมื่อพิจารณาในแต่ละหัวข้อธรรม เช่น ทานกถา พระพุทธเจ้าจะทรงสอนเรื่องทาน ไว้มากมาย ทำให้ไม่ทราบว่าในขณะที่พระองค์สอนอนุปุพพิกถาในเรื่องทานกถานั้นมีเนื้อหาและลีลาการเทศนาธรรมเป็นอย่างไร สัมพันธ์กับหัวข้อธรรมอื่น คือ สีลกถา สัคคกถา กามทีนวกถา เนกขัมมานิสัขกถา อย่างไร และอนุปุพพิกถาทำไมจะต้องมีหัวข้อธรรม ๕ ข้อ ดังกล่าวด้วย เหล่านี้ล้วนเป็นปัญหาและอุปสรรคของการแสดงอนุปุพพิกถาของคนในสมัยปัจจุบัน แต่ก็มีนักปราชญ์ได้อธิบายในหนังสือบรมธรรม ภาคปลาย ของท่านพุทธทาส ว่า ผู้แสดงอนุปุพพิกถา ต้องสามารถทำให้ผู้ฟังเข้าใจชนิดที่เรียกว่า ทำให้เกิดความเห็นแจ้งโดยอาศัย ประสบประการณ์ทางจิตวิญญาณที่มีอยู่ (spiritual experience) จึงจะเข้าใจและพัฒนาจิตใจให้ละเอียดประณีตขึ้นพร้อมที่จะเข้าใจในปรมัตถธรรม คืออริยสัจ๔ ต่อไป


4.อนุปุพพิกถา ใครแสดง

ผู้แสดงอนุปุพพิกถานั้นมี ๕ ท่าน คือ พระทีปังกรพุทธเจ้า, พระมังคลพุทธเจ้า, พระวิปัสสีพุทธเจ้า, พระโคตมพุทธเจ้า และพระโมคคัลลานะอรหันต์สาวก อนุปุพพิกถาถูกแสดงครั้งแรก ในสมัยพระทีปังกรพุทธเจ้า ทรงแสดงแก่ยักษ์ชื่อนารทะ พร้อมด้วยยักษ์หนึ่งหมื่น ทั้งหมดตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล นอกจากนี้อนุปุพพิกถายังถูกแสดงในสมัยของพระมังคลพุทธเจ้าทรงแสดงแก่อานันทกุมาร พร้อมทั้งบริษัท ๙๐ โกฏิ จนสำเร็จเป็นพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา๔ หลังจากนั้นในสมัยพระวิปัสสีพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงแสดงอนุปุพพิกถาแก่คู่พระอัครสาวก ชื่อขัณฑะและติสสะ

ในสมัยพระโคตมพุทธเจ้าพระองค์ทรงแสดง อนุปุพพิกถาบ่อยครั้งมากโดยเฉพาะกับฆราวาสผู้ยังไม่รู้ธรรม นอกจากนั้นพระอรหันตสาวกคือพระโมคคัลลานะ ยังเคยแสดงอนุปุพพิกถากับนางฟ้าบนสวรรค์ด้วย อนุปุพพิกถายังถูกแสดงโดยพระอุปคุต ซึ่งเป็นพระอรหันตสาวกรุ่นหลังๆ

พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ และพระอรหันตสาวก ถือว่าเป็นผู้รู้ธรรม และมีปัญญายอดเยี่ยม ย่อมแสดงธรรมได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่มีข้องสงสัยในธรรม ผู้รับฟังจึงเข้าใจธรรมได้ดี ปัญหาเกี่ยวกับตัวผู้แสดงธรรมจึงไม่มี


5.อนุปุพพิกถา นั้นสำคัญมาก

ธรรมะ คือ ความจริงที่สอนไปตามลำดับโดยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงสอนให้รู้แจ้งในสัจธรรม แต่การรู้แจ้งในธรรมะนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ในทางตรงกันข้ามจะรู้แจ้งธรรมะได้นั้นต้องศึกษาปฎิบัติไปตามลำดับขั้นตอน ดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

?... ธรรมวินัยนี้มีการศึกษาไปตามลำดับ มีการบำเพ็ญไปตามลำดับ ไม่ใช่มีการบรรลุอรหัตตผลโดยทันที เหมือนมหาสมุทรต่ำไปโดยลำดับ ลาดไปโดยลำดับ ลึกลงไปโดยลำดับ ไม่ลึกชัน ดิ่งไปทันที...? [5]


อีกตัวอย่างหนึ่งที่พระพุทธเจ้าทรงอธิบายขั้นตอนการบรรลุอรหัตตผล ซึ่งต้องมีการศึกษาปฏิบัติไปเป็นลำดับขั้นตอน ดังพุทธพจน์ที่ว่า
? ภิกษุทั้งหลาย เราไม่กล่าวการบรรลุอรหัตตผลด้วยขั้นเดียวเท่านั้น

แต่การบรรลุอรหัตตผล ย่อมมีได้ด้วยการบำเพ็ญสิกขาโดยลำดับ

ด้วยการบำเพ็ญกิริยาโดยลำดับ ด้วยการบำเพ็ญปฏิปทาโดยลำดับ

การบรรลุอรหัตตผล ย่อมมีได้ด้วยการบำเพ็ญสิกขาโดยลำดับ

ด้วยการบำเพ็ญกิริยาโดยลำดับ ด้วยการบำเพ็ญปฏิปทาโดยลำดับ เป็นอย่างไรคือ กุลบุตรในศาสนานี้ เกิดศรัทธาแล้วย่อมเข้าไปหา เมื่อเข้าไปหาย่อมนั่งใกล้ เมื่อนั่งใกล้ย่อมเงี่ยโสตลงสดับ เงี่ยโสตลงสดับแล้วย่อมฟังธรรม ครั้นฟังธรรมแล้วย่อมทรงจำไว้ ย่อมพิจารณาเนื้อความแห่งธรรมที่ทรงจำไว้แล้ว เมื่อพิจารณาเนื้อความอยู่ ธรรมทั้งหลายย่อมควรเพ่งพินิจ เมื่อมีการเพ่งพินิจธรรมอยู่ ฉันทะย่อมเกิด กุลบุตรนั้นเกิดฉันทะแล้ว ย่อมอุตสาหะ ครั้นอุตสาหะแล้ว ย่อมไตร่ตรอง ครั้นไตร่ตรองแล้ว ย่อมอุทิศกายและใจ เมื่ออุทิศกายและใจแล้ว ย่อมทำให้แจ้งสัจจะอันยอดเยี่ยมด้วยนามกาย และเห็นแจ่มแจ้งสัจจะอันยอดเยี่ยมนั้นด้วยปัญญา

ภิกษุทั้งหลาย ถ้าศรัทธาไม่มี การเข้าไปหา การนั่งใกล้ การเงี่ยโสตลงสดับการฟังธรรม การทรงจำธรรม การพิจารณาเนื้อความ ความเพ่งพินิจธรรม ฉันทะ อุตสาหะ การไตร่ตรอง และการอุทิศกายและใจก็ไม่มี เธอทั้งหลายเป็นผู้ปฏิบัติพลาด เป็นผู้ปฏิบัติผิด โมฆบุรุษเหล่านี้ได้ก้าวออกไปจากธรรมวินัยนี้ไกลเท่าไร?[6]



จากพุทธพจน์เบื้องต้น จะเห็นว่าแนวทางการปฏิบัติธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำคือการศึกษาและปฏิบัติไปตามลำดับขั้นตอน ซึ่งรูปแบบที่เห็นได้ชัดเจนและปรากฏบ่อยๆในพระไตรปิฏกซึ่งการปฏิบัติธรรมที่ตรงตามแนวทางนี้ก็คือ การศึกษาตามแนวอนุปุพพิกถา ซึ่งมีรูปแบบและวิธีการสอนไปตามลำดับขั้นตอน มีด้วยกัน ๖ ขั้นตอน คือ

ขั้นตอนที่ ๑ พรรณาถึงเรื่องทาน (ทานกถา

ขั้นตอนที่ ๒ พรรณาถึงเรื่องศีล (สีลกถา

ขั้นตอนที่ ๓ พรรณาถึงเรื่องสวรรค์ (สัคคกถา

ขั้นตอนที่๔ พรรณาถึงเรื่องโทษ ความต่ำทราม ความเศร้าหมองแห่งกาม(กามาทีนวกถา

ขั้นตอนที่๕ พรรณาถึงเรื่องอานิสงส์แห่งการออกจากกาม (เนกขัมมานิสังสกถา

ขั้นตอนที่ ๖ ประกาศสามุกกังสิกธรรมเทศ หรือ อริยสัจ ๔(จะแสดงก็ต่อเมื่อผู้ฟังมีจิตควรรับฟังอริยสัจ ๔ เท่านั้น


6.อนุปุพพิกถา ในปัจจุบัน

ปัจจุบันการเทศนาธรรมของพระสงฆ์ส่วนใหญ่ไม่เป็นไปตามแนวอนุปุพพิกถา กล่าวคือ ผู้เทศนา(ธรรมกถึก เทศนาตามใจผู้ฟัง บ้างก็แสดงธรรมขั้นสูงเกินไปจนทำให้ผู้ฟังส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ บ้างก็แสดงธรรมขั้นพื้นฐานอย่างเดียวโดยไม่พัฒนาให้สูงขึ้นตามลำดับ จากปัญหาเหล่านี้อาจเป็นไปได้ว่า การที่คนในสมัยปัจจุบัน ไม่สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนได้ก็เพราะเหตุที่ว่าส่วนหนึ่งไม่ได้ฟังธรรมตามลำดับขั้น การเทศนาธรรมของนักเทศน์ในปัจจุบัน ถึงแม้ถึงแม้ผู้เทศน์จะไม่มีคุณสมบัติเหมือนพระพุทธองค์ก็ตาม แต่ก็ควรที่จะยึดแนวทางตามพุทธวิธี หรือรูปแบบการเทศนาธรรมอนุปุพพิกถาที่พระพุทธองค์แสดงไว้เป็นแบบอย่าง ปัจจุบันการเผยแผ่พระพุทธศาสนาจำเป็นจะต้องมีการประยุกต์ปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำผิดเพี้ยนไปจากหลักการในพระพุทธศาสนาดั้งเดิมมากจนเกินไป ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาถึงหลักการต่างๆ ที่ใช้ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในครั้งพุทธกาล เพื่อเป็นแนวทางในการประยุกต์ใช้ในสังคมปัจจุบัน

7.สรุปจากใจผู้เขียน

อนุปุพพิกถาเป็นธรรมที่สำคัญมากจริงๆ นะครับ ผมหวังว่าบทความนี้จะกระตุ้นเตือนให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในวงการพระพุทธศาสนาได้นำอนุปุพพิกถามาใช้เป็นแนวทางตามแบบอย่างของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อประโยชน์แก่ผู้รับฟังส่วนมาก ซึ่งจะมีผลให้พระพุทธศาสนาของเรามีความมั่นคงสืบต่อไป ครับ

๑๓ พ.ค.๒๕๕๐ อภิชาติ พรสี่

http://www.palungjit.com/club/apichartp4/

**********************************

[1] ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ มี ๒ นัย คือ หลักอิทัปปัจจยตา และหลักปฏิจจสมุปบาท ตรัสในช่วงหลังตรัสรู้ใหม่ๆ (วิ.ม.(ไทย ๔/๗/๑๑ พรหมยาจนกถา, ส่วนอีกนัยหนึ่งคือ อริยสัจ๔ ตรัสในช่วงโปรดปัญจ-วัคคีย์ ( วิ.ม.(ไทย ๔/๑๖/๒๓-๒๔ ปัญจวัคคิยกถา, ทั้งสองนัยโดยสาระแล้วเป็นอันเดียวกัน ปฏิจจสมุปบาทและนิพพานเป็นแต่ตัวธรรมล้วนๆตามธรรมชาติ ส่วนอริยสัจ๔ เป็นหลักธรรมในรูปที่มนุษย์จะเข้าไปเกี่ยวข้อง(พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตฺโต,พุทธธรรม,หน้า ๙๐๑.)

[2] ปัญหาที่ทรงประสบ เช่นปัญหาเรื่องความเชื่อเดิมๆ เพราะสังคมอินเดียทั้งก่อนและในสมัยพระพุทธเจ้า คนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพราหมณ์ มีสำนักที่เด่นๆ ๖ สำนัก ซึ่งเจ้าสำนักล้วนมีอายุมากกว่าพระพุทธเจ้า จึงไม่ยอมรับคำสอนของพระพุทธเจ้าและมองว่าเป็นคู่แข่งกับตน (ที.สี.(ไทย๙/๑๕๐/๖๐ สามัญญผลสูตร, เจ้าสำนักทั้ง ๖ ได้แก่ ๑.ปูรณะ กัสสปะ, ๒.มักขลิ โคสาล, ๓.อชิตะ เกสกัมพล,๔.ปกุธะ กัจจายนะ, ๕.สัญชัย เวลัฏฐบุตร, ๖.นิครนถ์ นาฏบุตร (ม.ม.(ไทย๑๒/๓๑๒/๓๔๙ จูฬสาโรปมสูตร

[3] ดังพุทธพจน์ที่ว่า ?ธรรมวินัยนี้มีการศึกษาไปตามลำดับ มีการบำเพ็ญไปตามลำดับ มีการปฏิบัติไปตามลำดับ ไม่ใช่มีการบรรลุอรหัตตผลโดยทันที? องฺ.อฎฺฐก.(ไทย ๒๓/๑๙/๒๔๘ ปหาราทสูตร

[4] เมื่อยสกุลบุตร ได้ฟังอนุปุพพิกถาและอริยสัจ๔ จบลง เกิดดวงตาเห็นธรรมว่า ?สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวงมีความดับไปเป็นธรรมดา? เป็นการเห็นธรรมของพระโสดาบัน เมื่อยสกุบุตรได้ฟังธรรมครั้งที่ ๒ จิตหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่ถือมั่น สำเร็จเป็นพระอรหันต์ (วิ.ม.(ไทย ๔/๒๕/๓๑ ปัพพัชชากถา

[5] ปหาราทสูตร. องฺ.อฏฺฐก. ๒๓/๑๙/๒๔๘ ดูเปรียบเทียบกับ วิ.จู. ๗/๓๘๕/๒๘๒ และ ขุ.อุ. ๒๕/๑๑๘/๑๑๐(มหามกุฎ

[6] กีฏาคิริสูตร. ม.ม. ๑๓/๑๘๓/๒๑๒

คำถาม การบำเพ็ญไปตามลำดับ
ธรรมะ คือ ความจริงที่สอนไปตามลำดับโดยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงสอนให้รู้แจ้งในสัจธรรม แต่การรู้แจ้งในธรรมะนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ในทางตรงกันข้ามจะรู้แจ้งธรรมะได้นั้นต้องศึกษาปฎิบัติไปตามลำดับขั้นตอน ดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

... ธรรมวินัยนี้มีการศึกษาไปตามลำดับ มีการบำเพ็ญไปตามลำดับ ไม่ใช่มีการบรรลุอรหัตตผลโดยทันที เหมือนมหาสมุทรต่ำไปโดยลำดับ ลาดไปโดยลำดับ ลึกลงไปโดยลำดับ ไม่ลึกชัน ดิ่งไปทันที...


อีกตัวอย่างหนึ่งที่พระพุทธเจ้าทรงอธิบายขั้นตอนการบรรลุอรหัตตผล ซึ่งต้องมีการศึกษาปฏิบัติไปเป็นลำดับขั้นตอน ดังพุทธพจน์ที่ว่า

ภิกษุทั้งหลาย เราไม่กล่าวการบรรลุอรหัตตผลด้วยขั้นเดียวเท่านั้น
แต่การบรรลุอรหัตตผล ย่อมมีได้ด้วยการบำเพ็ญสิกขาโดยลำดับ
ด้วยการบำเพ็ญกิริยาโดยลำดับ ด้วยการบำเพ็ญปฏิปทาโดยลำดับ
การบรรลุอรหัตตผล ย่อมมีได้ด้วยการบำเพ็ญสิกขาโดยลำดับ
ด้วยการบำเพ็ญกิริยาโดยลำดับ ด้วยการบำเพ็ญปฏิปทาโดยลำดับ

การบำเพ็ญไปตามลำดับ บำเพ็ญไปตามลำดับอย่างไร

เราอาศัยโลกอยู่...เพื่ออะไร ?

อาศัยโลกอยู่เพื่อ...สร้างความดี

+++++++++++++++++++

โลกที่เราอาศัยอยู่นี้ หรือสิ่งต่างๆที่เรากำลังครอบครองอยู่ทั้งหมดล้วนแต่เป็นของโลกโดยแท้จริงทั้งสิ้น เพราะขาดความเข้าใจ ต่อความเป็นจริงของชีวิต จึงหลงคิดยึดถือกันว่า....สิ่งนั้น สิ่งนี้เป็นของเรา นั่นก็เมียเรานี่ก็ผัวเรา และนั่นก็ลูกเรา ส่วนตัวของเราแท้ๆก็ยังไม่มี แล้วจะมี สิ่งต่างๆ หรือลูกเมียมาแต่ที่ไหน คล้ายๆกับว่าเราโกหกตัวเอง....เมื่อเราโกหกตัวเองหลอกตัวเอง หลงขี้ตู่ยึดเอาสิ่งต่างๆที่เป็นของโลกมาโอบกอดไว้เป็นของตนย่อม ต้องถูกลงโทษ คือได้รับความทุกข์ทรมานเป็นผลตอบแทน ใครโอบกอดไว้มากเท่าใด....เขาคนนั้นย่อมได้รับความทุกข์ทรมาน มากเท่านั้น

แต่คนที่ฉลาด เขาจะคิดแค่เพียงว่า....เราเกิดมาในโลกนี้ หอบ เอามาเพียงความเปลือยเปล่า เท่านั้น มาอาศัยโลกอยู่เพื่อสร้างความดี สิ่งต่างๆที่โลกมีอยู่ เราขอหยิบยืมใช้ก่อนเท่าที่จำเป็น เพื่อยังชีวิตให้อยู่รอดปลอดภัยและจะขอใช้สิ่งต่างๆของโลกอย่างทะนุ ถนอม ระมัดระวังใช้อย่างพอดี ไม่สะสม ไม่กักตุน เมื่อเสร็จ กิจของการเกิด มาเพื่อสร้างความดีแล้ว จะยกสิ่งต่างๆที่หยิบยืมมา คืนกลับให้โลกทั้งหมด....หากเราฝึกคิดให้เป็น คิดให้มีสาระเพียงเท่านี้ ก็สามารถปลดเปลื้องความทุกข์ต่างๆที่มีให้เบาบางหรือ หมดสิ้นลงไปได้....


เพื่อ...เผชิญทุกข์ด้วยใจที่สงบ

++++++++++++++++++

คนเราเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น ก็เกิดการสับสน วุ่นวาย จนต้องเป็นทุกข์ใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นจนเกินเหตุเลยไม่เป็นอันกินอันนอน แม้จะยืนเดินนั่งหรือจะอยู่ในอิริยาบถใดๆ ก็มีแต่ความร้อนรุ่มคอยแต่ วิตกกังวลจนทำอะไรไม่ถูก มองปัญหาไม่เห็น แก้ไขปัญหาไม่ได้ เมื่อไม่รู้จะแก้ไขปัญหาอย่างไร ก็เอา แต่ไปบนบานศาลเจ้า เข้าหาคนทรง หมอดู หรือดื่มเหล้า เที่ยวเตร่ สรวลเสเฮฮา กับเพื่อนฝูง จนกลายเป็นการสะสมปัญหาพอกพูนความทุกข์ไปมากกว่าเก่า จึงเป็นการยากที่จะแก้ไขปัญหา หรือความทุกข์ใจให้หมดลงได้
ส่วนคนที่เคยฝึกคิดอย่างมีสาระ ย่อมมีมุมมองการคิดที่ดี มีความฉลาดมีความกล้าหาญ ที่จะเผชิญหน้ากับความทุกข์ที่เกิดขึ้นด้วยดวงใจที่สงบเย็นมีสติอันสุขุมในการคิดที่จะไม่ให้เกิดความทุกข์ขึ้นแก่ตน และยังคงคอยเฝ้าต้อนรับกับความทุกข์ต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตอย่างไม่สะทก สะท้านเหมือนดังต้นไม้นานาพันธุ์ ที่เฝ้ารอการมาเยือนของฤดูกาล อย่างสงบนิ่ง....



สุดท้าย..ถึงท้อแท้แต่อย่าแพ้พ่าย

+++++++++++++++++++


ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นในชีวิตจะหนักหรือเบาจงอย่าคิดให้เกิดการท้อแท้ อ่อนใจ เพราะการท้อแท้อ่อนใจนั้น มันจะทำให้ชีวิตของเราเหมือนกับว่าตายไปแล้วซีกหนึ่ง หมั่นฝึกคิดอย่างมีสาระ เพื่อสร้างเสริมเติมแรงใจให้กับชีวิตอยู่เสมอ แล้วสักวันหนึ่ง.... เราอาจจะกลับมายืนอย่างมั่นคง ตรงที่เคยล้มอยู่นั่นเอง....หรือเราอาจจะเกิดความท้อแท้ อ่อนใจต่อปัญหาที่กำลัง ประสบอยู่ให้คิดถือเสียว่า...ถึงจะท้อแท้ แต่เราจะแพ้ไม่ได้ เพราะคนที่รอคอยความหวังจากเรายังมีอยู่....หากเราแพ้เสียคนหนึ่ง อีกหลายคนคงต้องลำบาก.....

ขอบคุณหนังสือ..ทุกข์หรือสุข อยู่ที่เราคิด..โดย..อธิปัญโญภิกขุ

พระโลกนาถ(ซัลวาโตเล ซิโอฟฟี) พระฝรั่งหัวใจสิงห์ -- คริสตศาสนาเป็นส่วนหนึ่งของพุทธศาสนา

***บทความลงไว้เพื่อให้อ่านกันเฉพาะสมาชิกภายในเวปแดนนิพพานกรุณาอย่านำบทความนี้ไปโพสยังที่ต่างๆ นะครับ (จากหนังสือตามรอยพระพุทธบาทเล่ม ๔)

พระโลกนาถ ภิกษุชาวอิตาเลี่ยน ผู้โด่งดัง ได้เดินทางเข้ามาเมืองไทยเมื่อปี ๒๔๗๖ เพื่อชักชวนพระภิกษุสามเณรไทย ให้ร่วมเดินทางเผยแผ่ศาสนาไปทั่วโลก ก่อให้เกิดความตื่นเต้นในหมู่พุทธบริษัทสมัยนั้นเป็นอันมาก มีพระเณรเดินทางตามพระโลกนาถจำนวนไม่น้อย

มีเอกสารชิ้นหนึ่งของผู้ใช้นามปากกาว่า ป.สาครบุตร์ ตีพิมพ์การเทศน์ของท่าน จากหนังสือของพุทธธรรมสมาคม ได้รับการสนับสนุนจาก เจ้าแก้วนวรัฐ แจกจ่าย เมื่อวันที่ ๖ เมษายน ปี พ.ศ. ๒๔๗๗ โดยสรุปเป็นประเด็นไว้อย่างย่อ เนื้อหานี้อาจะทำให้คนรุ่นหลังรู้จักตัวตนของพระฝรั่งหัวใจสิงห์รูปนี้มากขึ้น

เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๔๗๖ พระโลกนาถ ภิกษุชาวอิตตาเลี่ยนรูปหนึ่ง ได้จารึกไปถึงจังหวัดเชียงใหม่ ท่าไนด้แสดงธรรม ณ วิหารวัดเจดีย์หลวง เป็นภาษาอังกฤษ เป็นภาษาไทยสู่อุบาสก อุบาสิกาทั้งหลายฟัง พอจะสรุปได้ว่า

๑. ท่านว่า ... สมเด็จพระสัมมาสุมพุทธเจ้าของเราเป็นมหาราชาธิราชที่อัศจรรย์ในโลก โดยสมภพ(เกิด) ในราชตระกูลที่สูงสุด อุดมพร้อมและแวดล้อมไปด้วยความสุขต่างๆ ดังปรากฏอยู่ในพุทธประวัติของเราแล้ว เป็นต้น


๒. ในการที่จะปลดเปลื้องตัณหาต่างๆ ท่านว่าต้องเริ่มด้วยการรักษาศีล ๕ เพราะศีล ๕ เป็นบรรทัดบังคับให้ดำเนินไปตามทาง และเป็นบันไดตอนแรก จะก้ามขึ้นขั้นสุดทีเดียวไม่ได้

๓. ท่านได้แสดงประวัติพุทธศาสนาและประวัติคริสศาสนา ได้พิสูจน์ว่า คริสตศาสนาเป็นส่วนหนึ่งของพุทธศาสนาเท่านั้น จึงยังไม่ครบบริบูรณ์ พระเยซู ได้เป็นสาวกของพระพุทธองค์ คือ ได้มาร่ำเรียนพระพุทธศาสนายังประเทศอินเดีย ภายหลังที่พระพุทธองค์เข้านิพพานแล้ว ๕๐๐ ปีเศษ พระเยซูได้มาร่ำเรียนอยู่ถึง ๑๕ ปี

แต่เวลาไปเผยแผ่ศาสนานั้น ได้มีเวลาทำอยู่เพียง ๓ ปี พร้อมด้วยมีหมู่มีคณะคอยกีดกันอยู่รอบข้าง และมีศัตรูคอยปองร้ายอยู่มากมาย ถึงกับภายหลังได้ลงทัณฑ์พระเยซูอย่างทราบกันทั่วๆ ไปแล้ว ฉะนั้น รสพระธรรมที่มีอยู่พร้อมมูลในพระไตรปิฏก ของพระพุทธศาสนา จึงไม่ประจักษ์มากเท่าใด

ในคำสั่งสอนของพระเยซู หากว่าพระเยซู ได้มีพระชนม์สั่งสอนอยู่อีกนานปี คล้ายคลึงกับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว คำสั่งสอนในคริสตศาสนา คงจะได้ชิดคำสั่งสอนในพระพุทธศาสนาเข้ามาอีกเป็นอันมาก

ฉะนั้นสำหรับผู้ที่นับถือคริสตศาสนาอยู่แล้ว เพื่อจะให้การปฏิบัติเต็มเปี่ยมอย่างองค์พระเยซูมุ่งไว้แล้ว ก็ยังเสริมได้โดยการเรียนพระธรรมในพระพุทธศาสนาต่อเติมและถือปฏิบัติให้ครบถ้วนทั้งนี้ จะขึ้นชื่อว่าได้เป็น "สาวกของพระเยซู" หรือ "สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมของพุทธเจ้าอย่างแท้จริง..."

--------------------------------------------------------------------------------------------

ต่อมามีผู้พบหลักฐานบนกระดาษ มีอายุกว่า ๑,๕๐๐ ปี เขียนเป็นภาษาทิเบต โปรเฟสเซอร์ นิคเล่อร์ส โรห์ลิคจึงได้นำเอกสาร โบราณมาเปิดเผยต่อชาวโลก โดยปรากฏค้นคว้าเป็นการวิจัยว่า

" ...อิลซา หรือพระเยซู ในวัยเด็กได้เดินทางไปอินเดีย กับกองคาราวาน พร้อมกับบิดา มารดาของตน บิดามีอาชีพค้าขายระหว่างซีเรีย กับอินเดีย บิดาได้ฝากอาศัยอยู่กับพระสงฆ์ในพุทธศาสนาในฐานะเป็นศิษย์ และได้กลับไปบ้านเกิดเมืองนอนในปาเลสไตน์ เมื่อมีอายุได้ ๒๙ ปี

ณ เวลานั้น นาลันทา เป็นศูนย์กลางการศึกษาของพระพุทธศาสนา กำลังมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักไปทุกอาณาจักร ไม่มีข้อสงสัยใดๆ เลย ว่าชายหนุ่มนามว่า "เยซู" ซึ่งเป็นบุคคลแห่งประวัติศาสตร์ผู้นี้ จะไม่เข้ารับการศึกษาที่นั่น

มันสามารถพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่า การที่เยซูได้ศึกษาปฏิบัติจิตของชาวพุทธที่นั่น ทำให้เยซูได้เดินทางขึ้นสู่ทิเบต และได้เข้าวัดเพื่อฝึกหัดญาณและอิทธิ แม้แต่คัมร์ภีไบเบิลเองก็ไม่มีการบันทึกเรื่องราวตอนนี้ ขาดหายไปในช่วงสถานที่และการงานที่เขาได้กระทำระกว่างวัยเด็กจนถึงอายุ ๒๙ ปีว่าเป็นอย่างไร

---------------------------------------------------------------------------------------------------
นอกจากนี้ ศาสตราจารย์ ปอล คารัสล์ ยังได้พบจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีว่า พระพุทธศาสนาได้เผยแผ่เข้าสู่ทวีปยุโรปตั้งแต่โบราณ ก่อนที่ศาสนาคริสต์จะเกิดขึ้นในโลก ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านไปนั้น ได้มีการติดต่อสัมพันธ์ระหว่างอินเดีย ยุโรป และเอเซียตะวันตก ทำให้มีการถ่ายทอดวัฒนธรรมท้องถิ่นไปพร้อมด้วยในเวลาเดียวกัน

แต่เนื่องจากเป็นเวลาที่เนิ่นนานมาก การค้นหาร่องรอยต่างๆ จึงได้ยากเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้ เนื่องจากหลักฐานโบราณคดีได้ถูกทำลาย โดยนักบวชและศาสนิกในยุคหลังจนแทบหมดสิ้น Dr. Mahaffy ได้พบหลักฐานทางโบราณคดี เป็นสิ่งก่อสร้างพุทธสถาน พร้อมทั้งเครื่องใช้ของพระภิกษุสงฆ์ รวมทั้งศิลาจารึกพระสูตรที่มีอายุก่อนคริสตกาลถึง ๔๐๐ ปี

ดร. โกลด์ สิฮาห์ ยังได้ค้นพบหลักฐาน ทางโบราณคดีว่า ศาสนาพุทธได้เข้าไปเผยแผ่และเจริญอยู่ในเกาะอังกฤษอีกด้วย ซึ่งเป็นสมัยก่อนที่จะมีคริสตศาสนา ในกรณีนี้ คณะวิจัยได้ค้นพบ มีเอกสารหลักฐานยืนยัน โดยนักบวชยุคแรกเริ่ม เอกสารบันทึกนั้นเป็นของ ออริเก้น แห่งอเล็กซานเดรีย เขาได้บันทึกยืนยันไว้ด้วยตนเองว่า

"ศาสนาพุทธได้เจริญเป็นอย่างมาก ได้ตั้งศาสนสถาน และมีเหล่าพระสงฆ์สามเณรเป็นจำนวนมาก รวมทั้งสถานศึกษาทางพุทธศาสนา ตั้งอยู่ทั่วไปบนเกาะอังกฤษ ก่อนที่ศาสนาคริสต์จะแผ่ไปถึง..."

และยิ่งปราศจากข้อสงสัยใด เพราะเราได้รับการยืนยันจากหลักฐาน โดยการค้นคว้าของ ดี.เอแมคเคนซี่ ในเอกสารงานวิจัยของชื่อ "พระพุทธศาสนาบนเกาะอังกฤษ ก่อนคริสตศาสนา" พยานหลักฐานทางโบราณคดี ซึ่งปรากฏบนเกาะอังกฤษ

ซึ่งหมายถึงหินแกะสลักเป็นพระสงฆ์และสามเณร หินสลักเป็นอักษรบรรยายพระสูตรในพระพุทธศาสนา เอกสารโบราณมากมายได้ถูกนำมาเผยแพ่และพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์และประวัติศาสตร์ว่า ศาสนาพุทธได้เจริญอย่างกล้าแข็งอยู่บนเกาะอังกฤษ ก่อนที่อังกฤษจะรู้เรื่องคริสตศาสนา...!

ในการประชุมคณะกรรมการประวัติศาสตร์โลก ซึ่งจัดขึ้นในปี ค.ศ. ๑๙๒๖ (พ.ศ. ๒๔๙๖) ที่เมืองลานาว ได้ปรากฏเหตุการณ์สำคัญในการประชุมนี้ ที่ชาวโลกควรรับรู้ก็คือ โปรเฟสเซอร์ เมสรอฟบ์ ที.เซ็ธ ได้นำเสนองานวิจัยค้นคว้าของท่านต่อคณะกรรมการบันทึกประวัติศาสตร์โลก เนื้อหางานวิจัยของท่านส่วนหนึ่ง มีดังนี้

หนังสือประวัติศาสตร์เรื่อง ทารอน โดย ผู้แต่งชื่อ เซนอบ ซึ่งมีชีวิตอยู่ในยุคต้นๆ ของคริสต์คาทอลิก อาร์เมเนีย ได้กล่าวว่าในช่วงศตวรรษที่ ๒ ก่อนคริสต์ศักราช มีศาสนาพุทธเข้ามาตั้งอย่างมั่นคงใน อาร์เมเนีย ที่มีชาวพราหมณ์อาศัยอยู่ก่อนแล้ว ๔๕๐ ปี

พวกเขาเหล่านั้นได้เปลี่ยนไปนับถือศาสนาพุทธ และพวกเขาเหล่านี้ได้สร้างเมือง หมู่บ้าน วัดวาอารามหลายแห่ง ต่อมาพวกนี้ได้ทำลายวัดวาอารามของพวกเขา เข่นฆ่าพวกพระทั้งหลาย ข้าพเจ้าได้รู้เห็นป็นพยานด้วยตัวข้าพเจ้าเอง ต่อการทำลายเหล่านี้

และจากความโหดร้ายทีได้รับ ทำให้ชาวพุทธเหล่านี้ จำเป็นต้องเปลี่ยน ไปนับถือศาสนาคริสต์ แล้วผสมผสานกับชาวอาร์เมเนีย จากนั้นจึงกลายเป็นชนชาติหนึ่ง มีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่า เอเซียตะวันตกและยุโรป มีชาวพุทธและศาสนาพุทธ มันเป็นที่แน่ชัดว่ามีผู้ทำลายพระพุทธศาสนาและเข้ายึดครอง ได้เผาทำลายห้องสมุดอเล็กซานเดรีย จนคัมร์ภีต่างๆ เสียหายไปหมด...!!!

บางส่วนจากหนังสือตามรอยพระพุทธบาทเล่ม ๔


ที่มา:http://www.dannipparn.net