“อย่าพยายามให้เป็นคนที่ประสบความสำเร็จ ควรพยายามให้เป็นคนที่มีคุณค่า”
“Try not to become a man of success. Rather become a man of value.”
Albert Einstein
Theขี้ฝุ่นริมทาง
วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556
Love Profile ถ้าเราเกิดมา เพื่อที่จะรักใครซักคน คนๆ นั้นจะรักเราตอบ
Love Profile
ถ้าเราเกิดมา เพื่อที่จะรักใครซักคน คนๆ นั้นจะรักเราตอบ
แต่ถ้าเราเกิดมา เพื่อที่จะรักใครหลายๆ คน
เชื่อเถอะว่า จะไม่มีใครรักเราจริงเลย แม้แต่คนเดียว
บางครั้ง ความรัก อาจเดินผ่านเข้ามาในชีวิตเราเพียงครั้งเดียว และไม่หวนคืนกลับมาอีก
เราไม่อาจรู้ได้เลยว่า ความรักครั้งนี้หรือครั้งไหน จะเป็นความรักครั้งสุดท้าย
มีหลายครั้งที่เราตามหา แต่ความรักกลับหนีไป
มีหลายครั้งที่เราไม่สนใจ แต่ความรักก็กลับเดินเข้ามา
อย่า...อย่ามองข้ามใครคนนึงไป เพียงเพราะหาเหตุผลที่จะรักไม่ได้
อย่า...ถามหาเหตุผลเมื่อจะรักใคร แต่ให้ถามสัมผัสจากหัวใจ ว่ารู้สึกอย่างไร
อย่า...มองหาความรักด้วยสายตา แต่ให้มองหาความรักด้วยหัวใจ
อย่า...เชื่อคำว่ารักที่ได้ยินจากหูทั้งสอง แต่ให้เชื่อคำว่ารักที่ดังก้องมาจากความรู้สึก และส่วนลึกของหัวใจ
ความรัก เป็นสิ่งที่มีค่า แต่มันจะไร้ค่า ถ้าไม่มอบให้ใคร
หากวันนึง เราพบใครซักคน ที่มองเห็นคุณค่าความรักของเราแล้วหล่ะก็
มอบความรักให้เขาไปเถอะ แล้วเราจะรู้ว่า... ความรักนั้น...มีค่า..และมีความหมายเพียงใด
ที่มา: http://thaistory.exteen.com/
"....ชีวิตคนเรากับโลกออนไลน์ การทำธุรกรรมจะเป็นยังไงต่อไป"
"....ชีวิตคนเรากับโลกออนไลน์ การทำธุรกรรมจะเป็นยังไงต่อไป"
" ถ้าโลกภายนอกเปลี่ยนแปลงเร็วกว่าโลกภายใน เราคงจบแน่นอน
วันนี้ โลกเปลี่ยนไปเร็วมาก แต่ถ้าเราอยากทำธุรกิจเกี่ยวกับออนไลน์ แต่ถ้าเราปรับตัวตามโลกภายนอกไม่ทัน เราก็คงจะอยู่ไม่ได้ คำว่าอยู่ไม่ได้ ไม่ได้หมายถึงว่า เราจะเสียอะไรทางธุรกิจ
แต่คุณจะไม่สามารถสร้างประโยชน์ให้กับทางธุรกิจได้ ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้ หลายคนทำธุรกิจทาง facebook ทาง instragram แต่ตอนนี้หลายคนเห็นช่องทางในการทำธุรกิจมากกว่านั้น เช่น โซเชียลเนตเวิร์ตที่ชื่อว่า pinterest สำหรับนำเสนองาน Art เฟอนิเจอร์ หรือ สิ่งสวยๆงามๆ คนเริ่มไปอยู่บน pinterest และเกิดโอกาสทางธุรกิจตรงนั้น
ทีนี้ ถ้าเราปรับตัวไม่ทัน เรายังอยู่บน facebook แต่ลูกค้าย้ายไปตรงนั้นแล้ว เราก็เสียโอกาสทางธุรกิจ หรือบางคน 3 ปีที่แล้ว เคยขายของได้ดีบน webboard แต่วันนี้ ยังไม่ move มาบน social network คุณก็จะเสียประโยชน์ทางธุรกิจ แล้วคนใหม่ๆก็จะเข้ามา เอาส่วนแบ่งทางการตลาดเหล่านี้ของคุณไป เดี๋ยวนี้ มีเด็กวัยรุ่นยุคใหม่ ทำงานกันสองคน ก็สามารถสร้างยอดขายหลักล้านได้ กับสินค้าบางประเภท เสื้อผ้า ไปเอามาจากประตูน้ำ เอามาขายบน facebook บวกเพิ่มอีก 200 บาท เดือนนึงยอดขายเป็นแสน ได้มากกว่าร้านที่ส่งให้อีก เราก็เคยเห็นมาแล้ว เพียงแต่ว่า ไอ้เสื้อผ้าชิ้นเดียวกันเนี่ย เค้าเอามาเปลี่ยนที่ content ให้เนื้อหามันน่าสนใจ ถ่ายภาพสวยขึ้น น่า shop น่าดู วิธีการส่ง ข้อมูลเข้าถึง วิธีการบริการที่เรียกว่า ถึงเนื้อถึงตัว และโดนใจลูกค้า ก็ทำให้ยอดขายมันดี ซึ่งเดี๋ยวนี้ โลกมันเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ มันเปลี่ยนไปเร็ว ถ้าเป็นไปได้ อยากจะให้ศึกษา trend ว่า trend ออนไลน์ ตอนนี้ เป็นยังไงบ้าง อย่าไปยึดติดกับเวบไซต์ เวบบอร์ด ตอนนี้ สิ่งที่กำลังมาแรงกว่า เวบไซต์ เวบบอร์ด มาก คือ Insite และ moblie site หรือ เวบบอร์ดบน mobile เพราะตอนนี้ คนใช้ internet บน mobile มันมากกว่า คนใช้ internet บน PC แล้วครับ แล้ว mobile ทำให้เกิดการซื้อขาย interac ได้ตลอดเวลา อย่างคนขึ้น BTS กด แกร๊กๆๆ จ่ายตังค์เสร็จแล้ว แต่ก่อนจะต้องนั่งรอหน้าคอม ถ้าคุณยังคงนั่งรอหน้าเวบ โอกาสทางการขายตอนคนอยู่บนรถไฟฟ้า หรือรถติด ก็ไม่มี (เสียโอกาส) แล้ว trend นี้ เราควรจะดูยังไง อย่างแรกคือ คุณควรจะดู trend ที่เกี่ยวกับธุรกิจของคุณ ถ้าคุณขายออนไลน์ คุณควรจะไปดูแล้วล่ะว่า ธุรกิจของคุณที่ใช้บน mobile มันเป็นยังไง ตอนนี้ เปอร์เซ็นต์คนที่ใช้ mobile อยู่ที่ 117% แสดงว่า ทุกวันนี้ คน 1 คนใช้ mobile มากกว่า 1 ไม่นับแทปเลต แสดงว่า ความสนใจในการทำธุรกิจบนเวบ ไม่ควรสนใจแค่บราวเซอร์บนเวบ จาก PC เท่านั้น ควรจะต้องทำในแบบ mobile site มั้ย ซึ่งตรงนี้ ถ้าเราปรับตัวได้ทัน ยอดขายเราก็จะโตอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้ ยอดขายบนเวบบอร์ดจะเริ่มลดลงแล้ว อีกอย่าง คือ จะต้องศึกษา trend ของธุรกิจข้างเคียง value chance เช่น ถ้าจะขายของออนไลน์ ธนาคารจะให้บริการอะไรเราบ้าง จะทำยังไงที่ลูกค้าจะซื้อของให้ง่ายขึ้น บริการที่ธนาคารให้มา จะทำให้ลูกค้าตัดสินใจได้ว่า สามารถจ่ายได้เลย หากเราปล่อยให้ช่องว่างระหว่างการตัดสินใจชอบ กับการตัดสินใจซื้อมันห่างมาก โอกาสทางการขายจะลดน้อยลงทันที ถ้าดูสินค้าแล้วชอบปุ๊บ จ่ายผ่านบัตรได้เลย หรือ ตัดบัญชีเงินฝากได้เลย คือ ได้ตังค์ ปิดการขายทันที ต้องศึกษา trend ของธุรกิจข้างเคียงว่า รอบตัวเค้าไปถึงไหนกันแล้ว ธนาคารให้บริการอะไร คนส่งของส่งแบบอื่นได้ไหม ยกตัวอย่าง เจ้าของร้านหนึ่ง ต้องไปรับของมาไว้ที่บ้าน แล้วแพ็คของส่ง EMS .เริ่มคิด แล้วทำไมต้องแพ็ค ถ้าไปบอกซัพพลายเออร์แพ็คของให้แล้วส่งให้เลยได่ไหม เพิ่มเงินให้อีกเท่านี้ ระยะเวลาในการจัดส่งสินค้าจะลดลงไปอีก 2-3 วัน ถ้าไปรับของมาเอง เสียเวลา เสียค่าน้ำมันรถไปเท่าไหร่ ค่าส่ง....
เรื่องการจัดส่งสินค้า trend เป็นไปยังไงบ้าง / บางครั้งคนทีส่งของให้เรา ทำหน้าที่ขายให้เราได้ไหม
ระวัง!... สำหรับผู้ใช้รถ…น่ากลัว.... ต้องอ่าน.....สำคัญ
ระวัง!... สำหรับผู้ใช้รถ…น่ากลัว.... ต้องอ่าน.....สำคัญ
ตอนนี้มันเล่นทั้งชายหญิงเลยนะ เคยประสบเหตุนี้แล้วกับตัวเอง ที่ถนนมเหศักดิ์ ซึ่งเชื่อม ถนนสาธรกับถนนสีลมเป็นเวลากลางวันระหว่างที่รถผมหยุดรอไฟเขียว มีชาย 2 คนเดินมาข้างหลัง ทั้งคู่กระตุกประตูหลัง คนละข้าง โชคดีที่ประตูล๊อก
1 ใน 2 คนนั้นพยายามดึงแรงขึ้นอีก แล้วทั้งคู่ก็เดินเร็วผ่านรถผม
แล้วปนไปในฝูงชน เดี๋ยวนี้ เหตุร้ายเกิดได้ตลอด ไม่ว่ามืดหรือสว่าง
เราคงต้องระวังอย่าเผลอเชียวละ
เหตุการณ์ที่ 1
ดิฉันจะมีนิสัยเมื่อขึ้นรถแล้วต้องกดเซ็นทรัลล๊อคทั้งก่อนสตาร์ทเครื่อง และก่อนดับเครื่อง มีรถเก๋งคันหนึ่งสีเงิน มีคนสองคนเดินลงมาจากรถแล้วก็เดินมาอย่างสุภาพ ขณะที่กำลังจัดของอยู่ เพลินๆก็ได้ยิน เสียงตึ๊กจากข้างหลัง ก็ตกใจรู้สึกตัวว่ามีคนพยายามเปิดประตูหลังของรถ แต่เพราะรถล๊อคพวกมันก็เดินกลับไปขึ้นรถเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คิดว่าเหลือเชื่อจริงๆ กลางวันแสกๆแท้ๆ ถ้าหากบังเอิญรถไม่ได้ล๊อค ไม่กล้าคิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น
อยากจะให้ทุกคนมีนิสัย ขึ้นรถต้องล๊อครถพวกผู้ร้ายมักจะลงมือจากเบาะหลัง เพราะจะควบคุมสถานการณ์ได้ง่าย
เหตุการณ์ที่ 2
หลังจาก จ่ายเงินค่าจอ ดรถเลี้ยวออกจากโรงพยาบาล ก็จอดติดไฟแดง
ขณะนั้น ( ยังไม่ ถึง 3 นาที ระบบล๊อคอัตโนมัติคงยังไม่ทำ งาน )
ชายหนุ่ม สองคนก็เข้ามานั่งที่เบาะหลังของรถ โชคดีที่พ่อแม่ของผมไหวตัวเร็วมาก รีบถอดเข็มขัดนิรภัย ดับเครื่อง ดึงกุญแจออกแล้วออกมายืนนอกรถโดยเร็ว คนทั้งสองคนนั้นก็ยังนั่งอยู่ในรถหน้าตาเฉย จนกระทั่งคุณแม่ของผมตะโกนใส่พวกเขาว่า พวกเรายังมีเพื่อนฝูงอยู่ในโรงพยาบาลอีกเยอะ
จะให้ เรียกพวกเขาลงมาคุยกับพวกแกไหม ?
พวกเขาจึงออกมาจากรถแล้วบอกว่าขอโทษขึ้นผิดคัน(นี่มันปล้นกันชัดๆ )
แล้วรถคันข้างหลัง ( มีคนอยู่ในรถสองคน ) ก็ขับมารับพวกเขาจากไป
น่ากลัวที่สุด
เหตุการณ์ที่ 3
ตอนจอดติดไฟแดง รถของผมอยู่ห่างจากทางแยกประมาณคันที่สามหรือสี่
สักครู่ หนึ่ง จู่ ๆ ก็มีมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งจอดอยู่ท้ายรถผม
บนรถมีชายหนุ่มอายุ ประมาณ 20 กว่า สองคน
แล้วที่น่าสงสัยก็คือ พวกเขาพยายามมองเข้ามาในรถของผม
ผมจึงจ้องพวกเขาอยู่ครู่หนึ่ง พอไฟเขียวก็ออกรถพร้อมมัน
ผมบังเอิญได้ยินหนึ่งในนั้นพูดขึ้นว่า "รถมันล๊อคหมด" แล้วก็ขับเลยไป
ขอให้ช่วยกัน Forward มากๆ ทั้งชายทั้งหญิงนะครับ ตำรวจเคยบอกว่ามักจะพบผู้หญิงถูกลอกคราบ ข่มขืน และถ่ายรูปแบล็คเมลล์ ตบทรัพย์มากราย ส่วนมากถูกยาสลบ
ส่งแค่คนสองคนก็ได้บุญมากแล้วครับ
Cr : Ammy Chanicha
ด้วยความปรารถนาดีจาก ยาง NITTO รับประกันคุณภาพจากการผลิตตลอดอายุการใช้งาน ดูแลคุณตลอดเส้นทาง
10ประการที่ญี่ปุ่นก้าวหน้าระดับโลก
1. ญี่ปุ่นสอนตั้งแต่ชั้น ประถม ๑ ถึง ประถม ๖ วิชาหนึ่ง ชื่อว่า “ทางสู่จริยธรรม” เพื่อเผชิญชีวิตในอนาคต
2.ไม่มีการสอบตก ตั้งแต่ ประถม ๑ ถึง มัธยมต้น เนื่องจาก จุดประสงค์ คือ การอบรม ปลูกฝังแนวคิด และ เสริมสร้างบุคลิกภาพ ไม่เพียงแต่ให้ความรู้และคำสั่ง
3. ถึงแม้เป็นประเทศที่รํ่ารวยที่สุดในโลก แต่พวกเขาไม่มีคนใช้ พ่อและแม่รับผิดชอบภายในบ้านและลูก ๆ.
4. เด็ก ๆ ทำความสะอาด ที่โรงเรียนทุกวัน ๑๕ นาที พร้อม ๆกับคุณครู , ซึ่งทำให้เกิดความเรียบง่ายและมีนิสัยรักความสะอาด
5. เด็กญี่ปุ่น จะนำแปรงสีฟันที่ถูกฆ่าเชื้อแล้ว จะแปรงฟันทุกครั้งหลังรับประทานอาหาร จึงทำให้ติดนิสัยรักสุขภาพตั้งแต่เยาว์วัย
6. ผู้อำนวยการโรงเรียนจะกินอาหารของนักเรียนก่อน เป็นเวลา ครึ่งชั่วโมง เพื่อความแน่ใจและความปลอดภัยของนักเรียน พวกเขาตระหนักอยู่เสมอว่า เด็กๆ เป็นอนาคตของญี่ปุ่นที่พวกเขาต้องปกป้อง
7. พนักงานทำความสะอาด พวกเขาเรียกกันว่า “นายช่างสุขภาพ” เงินเดือน ๕๐๐๐ ถึง ๘๐๐๐ ดอลล่าร์อเมริกา ตามระดับของการทดสอบและสัมภาษณ์
8. ห้ามใช้โทรศัพท์บนรถไฟ ภัตตาคาร สถานที่ปกปิด ที่ต้องการความเงียบ เป็นมาตรฐานที่ปฏิบัติใช้กันเคร่งครัดในบริการสาธารณะว่าห้ามใช้เสียง ...ที่ทุกคนต้องรู้จัก 'มารยาท'
9. ถ้าคุณไปร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ จะสังเกตว่าทุกคนเอาอาหารที่จำเป็นเท่านั้น จะไม่พบอาหารเหลือในจานเลย
10. โดยเฉลี่ยแล้ว ภายในเวลา ๑ ปี รถไฟจะช้ากว่ากำหนด ๗ วินาทีเท่านั้น _ ชาวญี่ปุ่นรู้ถึงคุณค่าของเวลา เคร่งครัด ตรงต่อเวลาวินาที และนาที
เพิ่งรู้ รู้เเล้ว รู้ทัน
Ton Unruan
เพิ่งรู้ รู้เเล้ว รู้ทัน
เพิ่งรู้ ว่าก่อหนี้ ห้าสิบปี ดีเป็นบ้า
เพิ่งรู้ รถไฟฟ้า กู้เงินมา ทำได้ใกล้
เพิ่งรู้ เพราะเพื่อนบ้าน ยังไม่พร้อม เลยไม่ไกล
เพิ่งรู้ พูดโชว์ป้าย คือผู้ร้าย หัวขโมย
รู้เเล้ว ข้อมูลอ่อน ดีเเต่อ้อน อ่านเเต่โพย
รู้เเล้ว ดีเเต่โบ้ย ดอกเตอร์เหลิม เหิมตอบเเทน
รู้เเล้ว ไม่ต้องกู้ งบเมืองไทย ไม่ขาดเเคลน
รู้เเล้ว คนต่างเเดน บอกไม่กู้ ขี้ตู่นัก
รู้ทัน ตอบไม่ได้ จึงมั่วไป อ้างเรื่องผัก
รู้ทัน ดื้อรั้นนัก เพราะพวกพรรค อยากได้งาน
รู้ทัน ต้องเเก้ไข เราต้องไป พึ่งพาศาล
รู้ทัน งบประมาณ จึงต้องค้าน อย่างสุดตัว
วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2556
99% of failures come from people who have the habit
“ร้อยละ 99 ของการล้มเหลวมาจากบุคคลที่มีอุปนิสัยที่หาข้ออ้างเสมอ”
“99% of failures come from people who have the habit of making excuses.”
George Washingtor Carver
“99% of failures come from people who have the habit of making excuses.”
George Washingtor Carver
มานี่สิลูก แม่มีอ่ะไรจะสอน (^-^)
มานี่สิลูก แม่มีอ่ะไรจะสอน (^-^)
แม่คงสอนให้ลูกฉลาดไม่ได้
ลูกต้องเรียนรู้และฉลาดด้วยไหวพริบและกึ๋นของลูกเอง
แม่คงสอนให้ลูกเรียนเก่งไม่ได้
ลูกต้องอยากรู้อยากเข้าใจในบทเรียนด้วยตัวของลูกเอง
แม่คงสอนให้ลูกเกรดสี่ทุกวิชาไม่ได้
เพราะแม่เองก็ไม่เคยได้เกรดสี่สักวิชา แฮ่ๆ
แม่อยากให้ลูกคิด และมองโลกในแง่ดี
อย่าคิดว่าใต้ฟ้านี้มีแต่เรื่องทำไม่ได้ เป็นไม่ได้
หัดคิดให้เป็นบวกไว้แหละดี
แม่อยากให้ลูกหัดฝัน
เมื่อไรลูกฝันเป็น ไม่ว่าจะเป็นใฝ่ฝัน หรือความฝัน
ลูกจะรู้ว่าโลกนี้มันน่าอยู่เพียงไหน
แม่อยากให้ลูกพูดแต่เรื่องดี พูดแต่เรื่องสวยงาม
จงเป็นคนสุดท้ายที่ให้ร้ายคนอื่น
และจงเป็นคนแรกที่ให้กำลังใจ และชื่นชม
แม่อยากให้ลูกทำเรื่องแปลกๆ
ลูกไม่จำเป็นต้องเดินตามชีวิตประจำวันของใคร
อย่าเก็บความคิดแปลก เพียงเพราะเห็นว่ามันไม่เหมือนใคร
แม่อยากสอนให้ลูกกล้าแดด กล้าฝน
เพราะภายใต้ไออุ่นของดวงอาทิตย์ลูกจะได้รับวิตามินดี
และภายใต้ฟ้าที่มีฝน มันจะทำให้ลูกร้องไห้โดยไม่มีใครเห็นน้ำตา
แม่อยากสอนให้ลูกออกกำลังกายทุกวัน
อย่างน้อยคนเราก็ต้องเคลื่อนไหวทะมัดทะแมง
ลูกได้ออกแรงเสียบ้าง ลูกจะแข็งแกร่งไม่อ่อนแอ
แม่อยากให้ลูกยิ้ม และอยู่กับโลกด้วยความรัก
ยิ้มอาจจะไม่ชนะทุกสิ่ง ยิ้มมากๆอาจจะดูเหมือนคนบ้า
แต่มันก็ดีกว่าหน้าบึ้งหน้างอเป็นไหนๆ
แม่อยากสอนให้ลูกรู้จักอดทน
ลูกต้องเรียนรู้ว่าลูกไม่มีทางได้ทุกๆอย่างที่ลูกหวังไว้
อดทนและอย่าได้เสียกำลังใจ
อย่าท้อและขอให้เริ่มใหม่อย่างมีพลัง
แม่อยากสอนให้ลูกเข่ยงขาขึ้นให้สูง
ไม่มีอะไรที่สูงไปกว่าสองมือเราจะเอื้อมคว้า
เพียงแค่ว่าเรายืนยันที่จะไม่ยืนอยู่กับที่
แม่อยากสอนให้เจ้ามีความสุข
แต่อย่าลืมทุกข์ด้วยล่ะลูก
คนที่ไม่เคยมีความทุกข์ เขาสุขจริงๆไม่เป็นหรอก เจ้าเอย
ไอคิวมันติดมาแต่บนฟ้าลูกจ๋า
ไม่ฉลาดก็มีความสุขได้ไม่ต้องห่วง
อย่าน้อยใจถ้าตามใครเขาไม่ทัน
อย่าเสียขวัญถ้าเราช้ากว่าใครๆ
อีคิวมันต้องหาเองบนโลกนี้ลูกเอ๋ย
ไม่ฉลาดก็น่ารักและมีความสุขได้
อย่ากลัวที่จะเปลี่ยนแปลงปรับปรุง
ลูกมีกำลังใจเป็นถุงจากแม่ ไม่ต้องกลัว
ฉันได้เรียนรู้"
ฉันได้เรียนรู้"
ฉันได้เรียนรู้…. ทำไมหน่ะหร๋อ...
ฉันก็ไม่รู้หรอกนะแต่ฉันรู้อยู่แค่อย่างเดียวว่า การที่เรา คบ การที่เรารัก คนหลายๆคนไปเรื่อยๆ ไม่ใช่สิ่งผิด นี้หน่า มันกลับทำให้ฉันได้เรียนรู้ด้วยซ้ำ เรียนรู้เกี่ยวกับความรัก...
ฉันได้เรียนรู้ว่า : รักแรกก็เหมือนฟันน้ำนมที่วันหนึ่งต้องหลุดไปเพื่อรอฟันแท้เข้ามาแทนที่ ฉันได้เรียนรู้ว่า : รักเราไม่เก่าเลย
ฉันได้เรียนรู้ว่า : คนที่รักกันจะเป็นอะไรอื่นไปไม่ได้ นอกจาก...คนที่รักกัน
ฉันได้เรียนรู้ว่า : บางครั้งคนที่รักกัน ก็รักกัน จนโกรธกันไม่ลง
ฉันได้เรียนรู้ว่า : สำหรับคนที่เข้าใจชีวิต...คนที่รักกันก็ทะเลาะกันได้ “แต่สุดท้ายก็ดีกัน”
ฉันได้เรียนรู้ว่า : การที่คนที่รักกันทะเลาะกัน ไม่ได้แปลว่าพวกเค้าไม่มีความสุข
ฉันได้เรียนรู้ว่า : คนที่รักกัน ยังไงก็รักกัน
ฉันได้เรียนรู้ว่า : คำว่า “แฟน” กับคำว่า “รักแท้” คนละคำกันแต่บางครั้งก็เป็นคำเดียวกัน ถ้าคุณเจอรักแท้กับแฟนของคุณ
ฉันได้เรียนรู้ว่า : คนรักกันไม่จำเป็นต้องคุยกันตลอดเวลา
ฉันได้เรียนรู้ว่า : “ใครๆก็ผิดพลาดได้ในอดีต รวมทั้งคนรักของเรา”
ฉันได้เรียนรู้ว่า : อย่าเสียดายเวลากับรักไม่แท้ถือเสียว่าเวลาเหล่านั้น เป็นประสบการณ์ชีวิตให้เราค้นพบตัวเองมากขึ้น
ฉันได้เรียนรู้ว่า : ความรักยืนยงต่อไปได้ไม่จบสิ้น ถ้ามีคำว่า "เห็นอกเห็นใจ” กัน
ฉันได้เรียนรู้ว่า : คนที่พูดว่า “ไม่มีใครรักคุณมากกว่าผม” สักวันเค้าอาจทิ้งคุณไป
ฉันได้เรียนรู้ว่า : วิธีตัดสินว่าผู้ชายผู้ชายคนไหนดีที่สุดเห็นจะต้องพึ่งสิ่งเดียว "เวลา”
ฉันได้เรียนรู้ว่า : ไม่จริงที่ผู้ชายน้อยใจไม่เป็น และผู้หญิงขี้น้อยใจกว่าผู้ชายเสมอ
ฉันได้เรียนรู้ว่า : คนที่อยู่ด้วยกันแต่ไม่มีใจให้กันท้ายที่สุดก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน
ฉันได้เรียนรู้ว่า : อย่าใช้เหตุผลกับคนรัก แต่ใช้ความเห็นใจกับคนรัก
ฉันได้เรียนรู้ว่า : บางครั้งอารมณ์ที่หงุดหงิดก็หายไปหมดแค่ได้คุยกับคนที่เรารัก ฉันได้เรียนรู้ว่า : ความรักทำให้โลกสดใส จริงจริง
ฉันได้เรียนรู้ว่า : ผู้ชายต่อสู้เพื่อให้ได้คนที่ตัวเองรักและต้องการ
ฉันได้เรียนรู้ว่า : ถึงคนคนนึงจะดีเท่าไหร่ตรงสเป็กตามที่เราต้องการเท่าไหร่แต่ยังไงก็ไม่ใช่คนที่เรารัก...ก็เป็นได้แค่ คนที่เราได้เจอ แต่ยังไงก็ไม่ใช่คนที่เรารัก
ฉันได้เรียนรู้ว่า : ฉันได้รู้ว่าอย่าลองใจคนรักด้วยการพูดถึงแฟนเก่า ใช่...คุณได้รู้ว่า เค้ารักเรา แต่...เค้าเจ็บ
ฉันได้เรียนรู้ว่า : คนรักถึงเกิดมาเพื่อรักเราแต่บางครั้งก็ไม่ได้เป็น "คนรักสำเร็จรูป” เพราะฉะนั้นบางครั้งไม่อาจได้ดั่งใจเรา ต้องอาศัยการพูดและการปรับตัวเพื่อแก้ไขกัน
ฉันได้เรียนรู้ว่า : เรามีวิธีบอกคนที่เรารักว่า บางครั้งบางเรื่องยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม
ฉันได้เรียนรู้ว่า : ถ้าเรายังเด็กจะคิดว่าฟันน้ำนม นั้นคือฟันตลอดไปของเรา แต่เมื่อโตขึ้นจะรู้ว่าไม่ใช่ แต่ ณ เวลานั้นเรามักคิดว่า...ใช่
ฉันได้เรียนรู้ว่า : ผู้หญิงหลายคนเจอประสบการณ์ตรงกัน ผู้ชายที่จีบเราอยู่ดีดีก็หายไปเฉยๆเลย...งง...เค้าเป็นกันหลายคนนะ
ฉันได้เรียนรู้ว่า : ผู้ชายหลายคนเมื่อ “ต้องการ” จะพูดว่า “รัก”
ฉันได้เรียนรู้ว่า : ไม่มีใครอกหักแล้วไม่เจ็บ เหมือนถอนฟัน แต่วันหนึ่งก็หายแต่หายแล้วจะเป็นยังไงต่อ ค่อยว่ากัน
ฉันได้เรียนรู้ว่า : มนุษย์เราต้องการความอบอุ่นและครอบครัว หลายคนเมื่อขาดตรงนี้พยายามหาสิ่งอื่นมาชดเชย แต่จะพบว่ามันชดเชยกันไม่ได้ เพราะเป็นคนละเรื่องกัน
ฉันได้เรียนรู้ว่า : ถ่านไฟเก่าจะเกิดได้กับคนที่เลิกกันเพราะไม่เข้าใจกันแต่ยังรักกัน แต่สำหรับคนที่เค้าเลิกกัน เพราะไม่รักกัน...”ถ่านไฟดับ”
ฉันได้เรียนรู้ว่า : ...ดีแล้วที่เราได้เลิกกับคนที่เราไม่แน่ใจมาตลอด เมื่อแผลหาย เราจะรู้ว่า เราทำถูกที่สุด
ฉันได้เรียนรู้ว่า :ความรักเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในชีวิตได้จริงจริง
ฉันได้เรียนรู้ว่า : ความรัก...มันมีอยู่จริง
ฉันได้เรียนรู้ว่า : ความรักเหมือนความสวย ซึ่งพระเจ้าไม่ได้ประทานมาให้คนทุกคน
ฉันได้เรียนรู้ว่า : สุดท้าย...รักก็คือรัก...ไม่รักก็คือไม่รัก
ฉันได้เรียนรู้ว่า : ถ้ายังไม่รู้ว่าคุณต้องการใคร มิวิธีพิสูจน์ "เวลา”
ฉันได้เรียนรู้ว่า : คนที่ไม่พูดว่า “หึง” ไม่ได้แปลว่า “ไม่หึง”
ฉันได้เรียนรู้ว่า : ผู้ชายบางคนไปจีบผู้หญิงอื่นเพียงเพื่อประชดแฟนตัวเอง ไม่ใช่เพราะชอบจริงๆ
ฉันได้เรียนรู้ว่า : ถ้ารักกันต้องคุยกันการคุยกันอย่างเปิดเผย ทำให้ไม่พะวงกัน นั้นแหละดีที่สุด
ฉันได้เรียนรู้ว่า : บทสรุปของความรักไม่ใช่การแต่งงาน นั้นเป็นตอนจบของละครเรื่องนึง แต่บทสรุปของความรักคือ "การที่เราสองคนได้ใช้ชีวิตร่วมกัน เติมเต็มกันและกัน
ที่มา พระธนวรรธน์ แซ่เจน
วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2556
-::- ครูที่แท้ -::-
-::- ครูที่แท้ -::-
เธอที่รัก ในโลกปัจจุบันนี้ การได้พบครูที่แท้นั้น เป็นเรื่องที่ยากเหลือเกิน เพราะในโลกที่เต็มไปด้วยความปลิ้นปล้อน หลอกลวงตลบตะแลงเช่นปัจจุบันนี้ "ครูที่แท้" จำเป็นต้องปลีกตัว เร้นกาย มุ่งหน้าฝึกฝนตัวเอง เคี่ยวกรำตัวเองอย่างเดียวเท่านั้น เนื่องจากคุณค่าที่มีอยู่ในตัวครูเช่นนี้ หาได้เป็นคุณค่าที่มี "มูลค่าตลาด" แต่ประการใดไม่
จริงอยู่หรอก ที่ยังมี "ครูที่แท้" อยู่เป็นจำนวนไม่น้อยในโลกนี้ แต่การได้พบพวกท่าน และได้ร่ำเรียนวิชาจากพวกท่าน นับว่าเป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญยิ่งนัก
ในเมื่อตัวเธอดำรงอยู่ในยุคที่ยากจะพานพบ "ครูที่แท้" ได้โดยง่ายเช่นนี้แล้ว ตัวเธอสมควรจะทำประการใดดี?
ก่อนอื่น เธอต้องเชื่อมั่นในตัวเธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เชื่อมั่นใน "พุทธภาวะ" หรือ "จิตเดิม" (อาตมัน) ที่ดำรงอยู่อย่างแน่นอนภายในตัวของเธอ เพราะเมื่อเธอมีความเชื่อมั่นเช่นนี้แล้ว ต่อให้คนอื่นหรือสังคมมองเธอในแง่ลบเพียงใด หรือมองว่าเธอเป็นคนเพี้ยนก็ตาม ตัวเธอก็จะหามีความหวั่นไหวไม่ และเมื่อเธอได้ฝึกฝนพัฒนาตนเองมาจนถึงระดับหนึ่งแล้ว เธอก็จะพบว่า "ครูที่แท้จริง" หาได้ดำรงอยู่เฉพาะคนที่สอนเธอเท่านั้นไม่ แต่ "ครูที่แท้" ก็คือ ตัวจักรวาลนั่นเอง นั่นคือ ทุก ๆ สิ่งในจักรวาลสามารถเป็นครูให้เธอได้
-
-
-
ต้นไม้ย่อมสามารถเป็นครูให้เธอได้
เพราะมันให้ร่มเงาอันร่มเย็นแก่คนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
ไม่ว่าคนผู้นั้นคิดจะตัดต้นไม้ หรือปลูกต้นไม้ก็ตาม
มิหนำซ้ำต้นไม้ยังออกดอกออกผลให้แก่ผู้คนทั้งปวงด้วย
ต้นไม้จึงเป็นครูผู้สอนจิตใจที่เสมอภาคให้แก่เธอ
ภูเขาก็ย่อมเป็นครูของเธอได้
เพราะไม่ว่าฝนจะตก แดดจะออก
ไม่ว่าร้อนหรือหนาว ไม่ว่าลมจะพัดหรือไม่พัด
ภูเขาก็ยังคงหนักแน่นมั่นคงไม่เสื่อมคลาย
ภูเขาจึงเป็นครูผู้สอนให้เธอ
อย่าไปวิตกกังวลกับอุปสรรคใด ๆ จนเกินเหตุ
นกเป็นสัตว์ที่ไม่เคยกลัดกลุ้มเกี่ยวกับเรื่องราวของวันพรุ่งนี้
มันดำรงชีวิตอยู่อย่างพอใจกับอาหารที่มันหาได้ในขณะนั้น
นกจึงสามารถเป็นครูของเธอได้ เพราะมันสอนให้เธอ . . .
อย่าไปมัววิตกกังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง
เพราะฉะนั้น ผู้ใดก็ตามที่สามารถเข้าถึง "ความจริง"
จากธรรมชาติในเรื่องนี้ได้ ผู้นั้น - - -
ย่อมสามารถค้นพบ "ครูที่แท้" ได้
---ในทุกหนทุกแห่ง---
=================+
.;. อาจารย์ สุวินัย ภรณวลัย .;.
เธอที่รัก ในโลกปัจจุบันนี้ การได้พบครูที่แท้นั้น เป็นเรื่องที่ยากเหลือเกิน เพราะในโลกที่เต็มไปด้วยความปลิ้นปล้อน หลอกลวงตลบตะแลงเช่นปัจจุบันนี้ "ครูที่แท้" จำเป็นต้องปลีกตัว เร้นกาย มุ่งหน้าฝึกฝนตัวเอง เคี่ยวกรำตัวเองอย่างเดียวเท่านั้น เนื่องจากคุณค่าที่มีอยู่ในตัวครูเช่นนี้ หาได้เป็นคุณค่าที่มี "มูลค่าตลาด" แต่ประการใดไม่
จริงอยู่หรอก ที่ยังมี "ครูที่แท้" อยู่เป็นจำนวนไม่น้อยในโลกนี้ แต่การได้พบพวกท่าน และได้ร่ำเรียนวิชาจากพวกท่าน นับว่าเป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญยิ่งนัก
ในเมื่อตัวเธอดำรงอยู่ในยุคที่ยากจะพานพบ "ครูที่แท้" ได้โดยง่ายเช่นนี้แล้ว ตัวเธอสมควรจะทำประการใดดี?
ก่อนอื่น เธอต้องเชื่อมั่นในตัวเธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เชื่อมั่นใน "พุทธภาวะ" หรือ "จิตเดิม" (อาตมัน) ที่ดำรงอยู่อย่างแน่นอนภายในตัวของเธอ เพราะเมื่อเธอมีความเชื่อมั่นเช่นนี้แล้ว ต่อให้คนอื่นหรือสังคมมองเธอในแง่ลบเพียงใด หรือมองว่าเธอเป็นคนเพี้ยนก็ตาม ตัวเธอก็จะหามีความหวั่นไหวไม่ และเมื่อเธอได้ฝึกฝนพัฒนาตนเองมาจนถึงระดับหนึ่งแล้ว เธอก็จะพบว่า "ครูที่แท้จริง" หาได้ดำรงอยู่เฉพาะคนที่สอนเธอเท่านั้นไม่ แต่ "ครูที่แท้" ก็คือ ตัวจักรวาลนั่นเอง นั่นคือ ทุก ๆ สิ่งในจักรวาลสามารถเป็นครูให้เธอได้
-
-
-
ต้นไม้ย่อมสามารถเป็นครูให้เธอได้
เพราะมันให้ร่มเงาอันร่มเย็นแก่คนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
ไม่ว่าคนผู้นั้นคิดจะตัดต้นไม้ หรือปลูกต้นไม้ก็ตาม
มิหนำซ้ำต้นไม้ยังออกดอกออกผลให้แก่ผู้คนทั้งปวงด้วย
ต้นไม้จึงเป็นครูผู้สอนจิตใจที่เสมอภาคให้แก่เธอ
ภูเขาก็ย่อมเป็นครูของเธอได้
เพราะไม่ว่าฝนจะตก แดดจะออก
ไม่ว่าร้อนหรือหนาว ไม่ว่าลมจะพัดหรือไม่พัด
ภูเขาก็ยังคงหนักแน่นมั่นคงไม่เสื่อมคลาย
ภูเขาจึงเป็นครูผู้สอนให้เธอ
อย่าไปวิตกกังวลกับอุปสรรคใด ๆ จนเกินเหตุ
นกเป็นสัตว์ที่ไม่เคยกลัดกลุ้มเกี่ยวกับเรื่องราวของวันพรุ่งนี้
มันดำรงชีวิตอยู่อย่างพอใจกับอาหารที่มันหาได้ในขณะนั้น
นกจึงสามารถเป็นครูของเธอได้ เพราะมันสอนให้เธอ . . .
อย่าไปมัววิตกกังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง
เพราะฉะนั้น ผู้ใดก็ตามที่สามารถเข้าถึง "ความจริง"
จากธรรมชาติในเรื่องนี้ได้ ผู้นั้น - - -
ย่อมสามารถค้นพบ "ครูที่แท้" ได้
---ในทุกหนทุกแห่ง---
=================+
.;. อาจารย์ สุวินัย ภรณวลัย .;.
สูตรไข่เค็มใบเตย
สูตรไข่เค็มใบเตย ล้างใบเตย หั่น+บด 1กก. เกลือเม็ดบด 1กก. ดินสอพอง 3กก. ผสมแล้วเติมน้ำครึ่งลิตร พอกไข่เป็ดที่ล้างสะอาด นาน 20-30 วัน
จาก SMS FarmerInfo by DTAC- 21 เม.ย.2556- 14.03 น.
อุปสรรคของชีวิต
อุปสรรคของชีวิต
เมื่อชีวิตเผชิญอุปสรรค
ต้องรู้จักว่านั่นเป็นธรรมดาของชีวิต
อย่าหวั่นไหว เมื่อเจออุปสรรค
เพราะอุปสรรคช่วยสร้างประสิทธิภาพ
ปัจจัยของความสำเร็จอันน่าภาคภูมิใจ
ไม่มีอะไรเกินกว่าอุปสรรค
ผู้ที่ไม่เคยต่อสู้กับอุปสรรค
ไฉนจะรู้จักความสามารถที่แท้จริงของตนได้
ก้อนหินน้อยขวางทางข้ามได้ก็ข้ามไป
ก้อนหินใหญ่ขวางทางเขยื้อนได้เขยื้อนไป
ภูเขาใหญ่ขวางทาง ถ้าต้องไปก็อ้อมไป
ผู้ที่สู้กับอุปสรรคที่ต้องหลีก
และผู้ท้อแท้ต่ออุปสรรคที่ต้องสู้
คือผู้หันหลังให้กับความจริง
และปิดหนทางแห่งความชอบธรรมเสียสิ้น
ที่เรามีปัญหา
แล้วเป็นทุกข์
ก็เพราะเรา
มัวคิดว่ามันเป็นปัญหา
มากกว่าคิดถึงการลงมือแก้ไข
ที่มา http://www.facebook.com/people.khon?fref=ts
วันเสาร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2556
ถ้าขาดอาหารเราอาจจะตายได้ภายใน 7 วัน
ถ้าขาดอาหารเราอาจจะตายได้ภายใน 7 วัน
ถ้าขาดอากาศ เราอาจจะตายภายใน 3 นาที
แต่ถ้าโอกาสดีๆ ที่เข้ามาชีวิต แล้วไม่คว้าไว้
เราอาจจะค้นหาไปทั้งชีวิต
ปรัชญา : พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต
ถ้าขาดอากาศ เราอาจจะตายภายใน 3 นาที
แต่ถ้าโอกาสดีๆ ที่เข้ามาชีวิต แล้วไม่คว้าไว้
เราอาจจะค้นหาไปทั้งชีวิต
ปรัชญา : พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต
กินตำลึงผิดเพศทำให้ท้องเสียได้
กินตำลึงผิดเพศทำให้ท้องเสียได้ ในการเก็บควรเลือกจากต้นที่มีใบหยักตื้น (ต้นตัวเมีย) แทนต้นที่มีใบหยักเว้าลึก (ต้นตัวผู้) ซึ่งทำให้ท้องเสีย
จาก SMS FarmerInfo by DTAC- 21 เม.ย.2556- 14.03 น.
เช้าวันหนึ่ง..ที่โรงพยาบาล...
เช้าวันหนึ่ง..ที่โรงพยาบาล...
“ขอให้ชั้นดูหน้าลูกหน่อยได้มั๊ยคะ”คุณแม่คนใหม่เอ่ยขึ้น เมื่อห่อผ้าน้อย ๆอยู่ในอ้อมกอดเธอ เธอค่อยๆคลี่ผ้าที่ห่อออกเพื่อมองใบหน้าเล็ก ๆ กรี๊ด ด ด ด ด.... เธอกรีดร้อง หมอต้องอุ้มเด็กออกไปอย่างรวดเร็ว เด็กทารกที่เกิดมา....ไม่มีใบหู
และแล้ว ....กาลเวลาพิสูจน์ว่า....การได้ยินของเจ้าหนูไม่มีปัญหา ปัญหามีเฉพาะสิ่งที่มองเห็นภายนอกคือ....ใบหูที่หายไป
หลายครั้งที่เจ้าหนูกลับจากโรงเรียนแล้ววิ่งมาบอกแม่
....เธอรู้ว่าหัวใจลูกปวดร้าวแค่ไหน... เจ้าหนูพูดโพล่งออกมาอย่างน่าเศร้า “พวกเด็กตัวโต พวกมันล้อผมว่า “นายตัวประหลาด”
จนกระทั่ง... เจ้าหนูเติบโตขึ้นหล่อเหลา
เป็นที่รักของเพื่อน ๆ เค้ามีพรสวรรค์ในด้านอักษรศาสตร์ วรรณคดี และดนตรี เค้าอาจได้เป็นหัวหน้าชั้น ... แต่เพราะเจ้าสิ่งนั้น...ทำให้เค้าไม่อยากเจอใคร “ลูกต้องพบปะกับผู้คนบ้างนะลูก” แม่กล่าวด้วยความสงสารลูก
.....พ่อของเด็กชายปรึกษากับหมอประจำครอบครัว
และได้รับข่าวดีจากหมอว่า...”ผมสามารถปลูกถ่ายใบหูได้รับถ้ามีผู้บริจาค แต่ใครล่ะจะเสียสละใบหูเพื่อเด็กน้อยคนนี้” คุณหมอกล่าว
จนกระทั่ง ...2 ปีผ่านไป พ่อบอกกับลูกชาย “ลูกเตรียมตัวไปโรงพยาบาลนะ
พ่อกับแม่หาคนบริจาคใบหูที่ลูกต้องการได้แล้ว...แต่นี่เป็นความลับ”
การผ่าตัดสำเร็จด้วยดี และแล้ว...คนคนใหม่ก็เกิดขึ้น
....เค้ากลายเป็นผู้มีพรสวรรค์... เป็นอัจฉริยะในโรงเรียน...ในวิทยาลัย จนเป็นที่กล่าวขานกันรุ่นต่อรุ่น
ต่อมาได้แต่งงาน...และทำงานเป็นข้าราชการในสถานทูต
วันหนึ่งชายหนุ่มถามผู้เป็นพ่อว่า “พ่อครับใครเป็นคนมอบใบหูให้ผมมา
ใครช่างให้ผมได้มากมาย แต่ผมไม่เคยทำอะไรเพื่อเค้าได้เลยสักนิด”
“พ่อไม่เชื่อว่าลูกจะตอบแทนเค้าได้หมดหรอกเรื่องนี้..เป็นความลับ เราตกลงกันแล้ว” พ่อตอบ
หลายปีผ่านไป....มันยังคงเป็นความลับ และแล้ว..วันนึง
วันที่มืดมิดที่สุดผ่านเข้ามา...ในชีวิตลูกชาย
แม่เค้าได้เสียชีวิตลง.. เค้ายืนข้างๆพ่อ...ใกล้!บศพของแม่
พ่อเรียกเค้า “ มานี่สิลูก..มานั่งใกล้ๆนี่..พ่อลูบผมแม่อย่างช้าๆ และนุ่มนวล..ผมสีน้ำตาลแดงถูกเสยขึ้นจนมองเห็น ใบหน้าที่มองดูเหมือนคนนอนหลับ
...และแล้วสิ่งที่ทำให้ลูกชาย ถึงกับต้องตะลึง.. ............ใบหูของแม่...หายไป
แม่ไม่มีใบหู...”นี่เป็นคำตอบที่ลูกอยากรู้มาตลอดชีวิต”...พ่อกระซิบผ่านลูกชา ย
“แม่บอกพ่อว่าเธอดีใจที่ได้ทำอย่างนี้+ตั้งแต่วันผ่าตัด...เธอไม่เคยตัดผมอีกเ ลย
ไม่มีใครมองเห็นว่าเธอไม่สวยจริงมั๊ย?
“ จงจำไว้” สิ่งมีค่าที่แท้จริง ...ไม่ได้อยู่ที่การมองเห็น...หากแต่อยู่ที่สิ่งที่เรามองไม่เห็น
...ความรักที่แท้จริง....ไม่ได้อยู่ที่เราได้ทำอะไรแล้วมีคนรับรู้ ...หากแต่อยู่ ู่ ที่สิ่งที่ เรากระทำแล้ว...ไม่มีใครรับรู้
.....ความรัก
บางครั้งไม่จำเป็นต้องพูดพร่ำเพรื่อ...
............อ่านบทความนี้แล้วลองกลับมาคิด............
ถ้าพรุ่งนี้เราตายไปบริษัทสามารถหาคนมาแทนเราได้ภายในไม่กี่วัน
แต่ครอบครัวเราต้องสูญเสีย และคิดถึงเราไปตลอด
เราใช้ชีวิตกับการทำงานมากกว่าครอบครัวหรือเปล่า?
ถ้ามากกว่า...มันช่าง..เป็นการลงทุนที่ไม่ฉลาดเลยจริงๆ
ข้อควรรู้ 28 ข้อ
ข้อควรรู้ 28 ข้อ
1. อย่าขับรถเร็วเกินกว่าที่เทวดาประจำตัวของคุณบินทันเป็นอันขาด
2. จงวางแผนล่วงหน้า : ฝนยังไม่ตกหรอกนะตอนโนอาห์สร้างเรือน่ะ
3. การแก้แค้นไม่ทำให้เรารู้สึกดีขึ้น เหมือนกับดื่มน้ำทะเลเวลาหิวน้ำนั่นแหละ
4. ความหมายของความสุขขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณอยากให้มันเป็น
... 5. “อย่ากลัวความฝันของคุณ : มันง่ายกว่าที่คิด”
6. นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ทุกๆ 4 คน จะมีคนหนึ่งที่สติเพี้ยนๆลองเช็คเพื่อนคุณสัก 3 คนสิ ถ้าทุกคนปกติดี ก็คุณน่ะแหละ
7. แบ่งปันรอยยิ้มของคุณให้กับทุกคน แต่ให้เก็บจุมพิตให้กับคนเพียงคนเดียว
8. บางครั้งวิธีช่วยที่ดีที่สุดที่คุณทำได้ก็คือ ผลักเขาแรงๆ(หมายถึงผลักดันให้เขาทำสิ่งที่ลังเลอยู่น่ะ)
9. น้ำตาจะให้คุณก็แค่ความเห็นอกเห็นใจ แต่เหงื่อจะทำให้คุณประสบความสำเร็จ
10. สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตนี้ไม่ใช่วัตถุ
11. มอบสองสิ่งให้กับลูกของคุณ อย่างหนึ่งคือรากฐานที่มั่นคง อีกอย่างก็คือ ปีกที่จะบินออกไปเอง
12.การออกกำลังกายที่ดีที่สุดสำหรับจิตใจคือการก้มลงแล้วช่วยคนอื่นให้ลุกขึ้น
13. คนคนหนึ่งอาจทำอะไรผิดพลาดได้หลายอย่างแต่มันจะกลายเป็นความพ่ายแพ้ไปจริงๆ เมื่อเขาเริ่มโยนความผิดไปให้คนอื่น
14. เพื่อนแท้คือคนที่เชื่อว่าคุณเป็นฟองไข่ที่สมบูรณ์แม้ว่าจริงๆแล้วคุณจะมีรอยร้าวไปแล้วครึ่งหนึ่ง
15. นี่คือวิธีที่จะรู้ว่าหน้าที่ของคุณบนโลกใบนี้จบสิ้นแล้วหรือยัง :ถ้าคุณยังมีชีวิตอยู่ มันก็ยังไม่จบ
16. ชีวิตเรียนรู้ได้จากการย้อนระลึกถึง แต่ชีวิตต้องก้าวไปข้างหน้า
17. การใช้ชีวิตอยู่บนโลกนั้นต้องเสียค่าใช้จ่ายแพงมากแต่เราก็ได้เดินทางรอบดวงอาทิตย์ฟรีๆเป็นของแถม
18. ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่มนุษย์เราจะร่ำรวยความผิดพลาดเกิดขึ้นเมื่อความร่ำรวย เริ่มครอบครองมนุษย์
19. เรารู้สึกดีที่มีความสำคัญ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือเป็นคนดี
20. มีแต่ปลาตายที่ลอยตามน้ำ
21. คุณค่าของคนคนหนึ่งบอกได้จากวิธีที่เขาปฏิบัติต่อคนที่เขาไม่ต้องการ
22. เงยหน้าขึ้นรับแสงตะวัน แล้วคุณจะไม่มีวันพบกับเงามืด -เฮเลนเคลเลอร์
23. คนอ่อนแอเท่านั้นที่ให้อภัยใครไม่เป็นการให้อภัยเป็นคุณสมบัติของผู้เข้มแข็ง
24. คำว่า listen (ฟัง) นั้นใช้ตัวอักษรชุดเดียวกับคำว่า silent (เงียบ)
25. ไม่มีผู้โดยสารบนยานอวกาศที่ชื่อว่า “โลก”พวกเราทุกคนล้วนแต่เป็นลูกเรือทั้งสิ้น
26. ในโลกนี้ไม่มีคนแปลกหน้าสำหรับเรามีแต่เพื่อนที่เรายังไม่ได้พบเท่านั้น
27. เมื่อคุณพูดความจริง คุณไม่จำเป็นต้องไปนั่งจำอะไรทั้งนั้น
28. เด็กๆต้องการความรักมากที่สุดเมื่อพวกเขาทำตัวไม่น่ารัก
เครคิต Chatree C Sinsup
วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2556
อิฐทีละก้อน
อิฐทีละก้อน
เด็กชายอเมริกันอัจฉริยะคนหนึ่งเรียนข้ามชั้นมาโดยตลอด เพราะสติปัญญาเหนือกว่าเพื่อนร่วมห้องหลายเท่า เมื่ออายุสิบสาม เขาสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศได้ ทุกอย่างน่าจะลงตัว แต่ปรากฏว่าเขามีปัญหาในการใช้ชีวิตมหาวิทยาลัยอย่างมาก เพราะแม้จะเรียนเก่ง สู้คนอื่นได้สบายๆ แต่กลับไม่อาจเข้ากับเพื่อนร่วมชั้นได้เลย เขาไม่มีเพื่อนไม่ใช่เพราะเขาไม่น่าคบแต่อย่างไร ปัญหาคือเขายังเป็นเด็กชาย มีความคิดอ่านแบบเด็กอยู่ ขณะที่เพื่อนร่วมชั้นเป็นหนุ่มสาววัยยี่ิสิบ คิดและมีพฤติกรรมอย่างหนุ่มสาว เขากับเพื่อนร่วมชั้นเป็นคนละรุ่นกันจริงๆ
พ่อแม่จำนวนมากให้ลูกเข้าเรียนเร็วกว่ากำหนด อาจเพราะอยากให้จบไวกว่าและเริ่มต้นเร็วกว่าคนอื่น อายุสี่ขวบเรียน ป. 1 แล้ว บ่อยครั้งเกิดปัญหาเข้ากับเพื่อนไม่ได้ เพราะพฤติกรรมและพัฒนาการของเด็กคนละวัยต่างกัน เด็กเก่งๆ บางคนเรียนข้ามชั้นตลอด อายุสิบแปดจบปริญญาตรี อายุยี่สิบจบปริญญาโท แต่ขาดวุฒิภาวะที่ส่วนใหญ่มาจากการสะสมด้วยเวลา
เรื่องบางเรื่องจำเป็นต้องดำเนินไปทีละขั้นเหมือนการก่อกำแพงอิฐสร้างบ้าน ต้องวางอิฐทีละก้อน เรียงทีละแถว เมื่อได้ที่แล้วก็วางอิฐทีละก้อนเป็นแถวที่สอง แถวที่สาม ไล่ขึ้นไปเรื่อยๆ ตามลำดับของมัน ไม่อาจผิดไปจากนี้ เราไม่สามารถก่ออิฐแถวบนสุดโดยไม่ก่อแถวล่างสุด อิฐทีละก้อนคือการก่อร่างอย่างมั่นคง อิฐทีละก้อนคือความเสถียร
แต่งานวางอิฐทีละก้อนดูชักช้าไม่ทันใจสำหรับคนรุ่นใหม่ ในยุคที่ทุกอย่างอยู่ในโหมด ‘เร็วที่สุด’ จึงชอบทางลัด ไม่ว่าทำอะไรก็อยากเห็นผลเร็วๆ มองไม่เห็นความสำคัญ หรือความจำเป็นของ ‘อิฐทีละก้อน’
เราสามารถเรียนจากครูที่ดีที่สุดคือธรรมชาติ ธรรมชาติมี ‘อิฐทีละก้อน’ ของมัน พืชสัตว์ใช้ชีวิตตามกำหนดเวลาของมัน ต้องจำศีลหลังจากสะสมอาหารจนมากพอ สืบพันธุ์หลังจากสร้างรังเสร็จแล้ว เป็นต้น เป็นลำดับเวลาของมัน ผลไม้ที่มนุษย์ลัดขั้นตอนรีบบ่มให้สุก รสชาติสู้ผลไม้ที่สุกตามธรรมชาติไม่ได้ สวยแต่รูปจูบไม่หอม
มนุษย์เราก็หนีไม่พ้นสัจธรรมข้อนี้ การเขียนหนังสือ การเป็นช่างมือหนึ่ง การเป็นมืออาชีพในสายต่างๆ ล้วนอาศัยกระบวนการแบบอิฐทีละก้อน ก้าวไปทีละขั้น ไม่มีทางลัด เซียนในทุกแขนงมาจากการฝึกฝนเรียนรู้แบบ ‘อิฐทีละก้อน’
การเป็นนักเขียนต้องใช้เวลาบ่ม การใช้ภาษาที่มีพลังต้องใช้เวลาเพาะ การเป็นพ่อครัว การเข้าใจคุณสมบัติของวัตถุดิบแต่ละชนิดกินเวลาศึกษา การรู้จักส่วนผสมที่ถูกปากต้องใช้เวลาฝึกฝน ฯลฯ
คนมีปัญญาจึงไม่รีบร้อน ทำงานไปเป็นขั้นเป็นตอน ไม่ข้ามผ่านรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ โดยคิดว่ามันไม่สำคัญ เพราะกำแพงที่ก่อด้วยอิฐไม่ครบก้อนนั้นไม่แข็งแรง และพังทลายได้
ชีวิตเราทุกคนประกอบด้วยอิฐจำนวนมาก หากแต่ละท่อนแต่ละจังหวะของชีวิตคือ อิฐหนึ่งก้อน ชีวิตเราทั้งชีวิตก็เป็นผลรวมของอิฐจำนวนมาก อิฐเหล่านี้บางก้อนสมบูรณ์ บางก้อนแตกร้าว บางก้อนเผาไฟมากไปจนดำเกรียม แต่อิฐทุกก้อนสำคัญ
คนที่ประสบความสำเร็จในงานต่างๆ มักมีประสบการณ์คล้ายกันคือ ‘อิฐ’ ก้อนแรกๆ เป็นอิฐที่ไม่สมบูรณ์มีตำหนิ เผาไม่ได้ที่ หรือเผามากไปจนเกรียม เหล่านี้คือการทดลอง การฝึกฝน การเคี่ยวกรำ ความเหนื่อยยากลำบาก แต่อิฐแต่ละก้อนมีความจำเป็นต้องมีอยู่ อิฐไม่สมบูรณ์เหล่านี้เป็นรากฐานของอิฐชั้นต่อๆ ไปที่ดีกว่าเดิม ก่อรวมเป็นงานชิ้นใหญ่
ยอดนักประดิษฐ์ของโลก ธอมัส เอดิสัน บอกว่า “ผมทำงานอย่างสนุกสนานสิบแปดชั่วโมงต่อวัน นอกจากงีบเล็กๆ แล้ว ผมนอนราว 4-5 ชั่วโมงต่อคืน”
เขาพิสูจน์ให้เราเห็นว่าอิฐไม่สมบูรณ์สำคัญเท่าๆ กับอิฐที่สมบูรณ์ เขาชี้ว่าหากผลงานชิ้นหนึ่งประกอบด้วยอิฐร้อยก้อน ไอเดียดีเป็นแค่อิฐก้อนหนึ่งเท่านั้น ที่เหลืออีก 99 ก้อนคือความเหน็ดเหนื่อย การลงมือทดลองทำ ล้มแล้วลุก ล้มแล้วลุก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
คู่แข่งของเอดิสัน นิโคลา เทสลา ซึ่งเป็นอัจฉริยะนักประดิษฐ์ ผู้คิดค้นกระแสไฟฟ้าสลับและผลงานต่างๆ มากมาย นอนวันละสองชั่วโมง ทำงานทดลองซ้ำแล้วซ้ำอีกจนสำเร็จ
อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ ผู้ประดิษฐ์โทรศัพท์ สอนหนังสือในมหาวิทยาลัยตอนกลางวัน กลางคืนเป็นนกฮูกราตรี ทำงานทดลองโทรศัพท์ของเขา ทดลองไปทีละขั้น ทดลองแล้วทดลองอีก ก่ออิฐทีละก้อนอย่างอดทน
การสั่งสอนเด็กจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องให้เด็กรู้ว่า ชีวิตไม่มีอะไรได้มาแบบลัดขั้นตอน เราไม่อาจมีความรู้โดยปราศจากการขวนขวาย ไม่มีทางได้ทักษะอย่างใดอย่างหนึ่งโดยไม่ต้องฝึกฝน
อย่าบ่นว่างานที่ทำน่าเบื่อ อย่ามองว่าความผิดพลาดเป็นความน่าเบื่อ จงมองว่ามันเป็นประสบการณ์ มองว่างานที่กำลังทำแต่ละวันนั้น เป็นเพียงอิฐก้อนหนึ่งในบรรดาหลายพันหลายหมื่นก้อนในชีวิตเรา
อิฐที่ถูกไฟเผาจนเกรียมอาจดูไม่สวย แต่มันแข็งแกร่งกว่าอิฐธรรมดา เพราะไฟช่วยเคี่ยวกรำให้มันแกร่ง
ประสบการณ์เลวร้ายไม่ใช่ความเลวร้าย และความล้มเหลวแต่ละครั้งไม่ใช่ความล้มเหลว หากเราใช้พวกมันเป็นอิฐที่รองรับอิฐก้อนต่อๆ ไป
วินทร์ เลียววาริณ
30 มีนาคม 2556
www.winbookclub.com
เด็กชายอเมริกันอัจฉริยะคนหนึ่งเรียนข้ามชั้นมาโดยตลอด เพราะสติปัญญาเหนือกว่าเพื่อนร่วมห้องหลายเท่า เมื่ออายุสิบสาม เขาสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศได้ ทุกอย่างน่าจะลงตัว แต่ปรากฏว่าเขามีปัญหาในการใช้ชีวิตมหาวิทยาลัยอย่างมาก เพราะแม้จะเรียนเก่ง สู้คนอื่นได้สบายๆ แต่กลับไม่อาจเข้ากับเพื่อนร่วมชั้นได้เลย เขาไม่มีเพื่อนไม่ใช่เพราะเขาไม่น่าคบแต่อย่างไร ปัญหาคือเขายังเป็นเด็กชาย มีความคิดอ่านแบบเด็กอยู่ ขณะที่เพื่อนร่วมชั้นเป็นหนุ่มสาววัยยี่ิสิบ คิดและมีพฤติกรรมอย่างหนุ่มสาว เขากับเพื่อนร่วมชั้นเป็นคนละรุ่นกันจริงๆ
พ่อแม่จำนวนมากให้ลูกเข้าเรียนเร็วกว่ากำหนด อาจเพราะอยากให้จบไวกว่าและเริ่มต้นเร็วกว่าคนอื่น อายุสี่ขวบเรียน ป. 1 แล้ว บ่อยครั้งเกิดปัญหาเข้ากับเพื่อนไม่ได้ เพราะพฤติกรรมและพัฒนาการของเด็กคนละวัยต่างกัน เด็กเก่งๆ บางคนเรียนข้ามชั้นตลอด อายุสิบแปดจบปริญญาตรี อายุยี่สิบจบปริญญาโท แต่ขาดวุฒิภาวะที่ส่วนใหญ่มาจากการสะสมด้วยเวลา
เรื่องบางเรื่องจำเป็นต้องดำเนินไปทีละขั้นเหมือนการก่อกำแพงอิฐสร้างบ้าน ต้องวางอิฐทีละก้อน เรียงทีละแถว เมื่อได้ที่แล้วก็วางอิฐทีละก้อนเป็นแถวที่สอง แถวที่สาม ไล่ขึ้นไปเรื่อยๆ ตามลำดับของมัน ไม่อาจผิดไปจากนี้ เราไม่สามารถก่ออิฐแถวบนสุดโดยไม่ก่อแถวล่างสุด อิฐทีละก้อนคือการก่อร่างอย่างมั่นคง อิฐทีละก้อนคือความเสถียร
แต่งานวางอิฐทีละก้อนดูชักช้าไม่ทันใจสำหรับคนรุ่นใหม่ ในยุคที่ทุกอย่างอยู่ในโหมด ‘เร็วที่สุด’ จึงชอบทางลัด ไม่ว่าทำอะไรก็อยากเห็นผลเร็วๆ มองไม่เห็นความสำคัญ หรือความจำเป็นของ ‘อิฐทีละก้อน’
เราสามารถเรียนจากครูที่ดีที่สุดคือธรรมชาติ ธรรมชาติมี ‘อิฐทีละก้อน’ ของมัน พืชสัตว์ใช้ชีวิตตามกำหนดเวลาของมัน ต้องจำศีลหลังจากสะสมอาหารจนมากพอ สืบพันธุ์หลังจากสร้างรังเสร็จแล้ว เป็นต้น เป็นลำดับเวลาของมัน ผลไม้ที่มนุษย์ลัดขั้นตอนรีบบ่มให้สุก รสชาติสู้ผลไม้ที่สุกตามธรรมชาติไม่ได้ สวยแต่รูปจูบไม่หอม
มนุษย์เราก็หนีไม่พ้นสัจธรรมข้อนี้ การเขียนหนังสือ การเป็นช่างมือหนึ่ง การเป็นมืออาชีพในสายต่างๆ ล้วนอาศัยกระบวนการแบบอิฐทีละก้อน ก้าวไปทีละขั้น ไม่มีทางลัด เซียนในทุกแขนงมาจากการฝึกฝนเรียนรู้แบบ ‘อิฐทีละก้อน’
การเป็นนักเขียนต้องใช้เวลาบ่ม การใช้ภาษาที่มีพลังต้องใช้เวลาเพาะ การเป็นพ่อครัว การเข้าใจคุณสมบัติของวัตถุดิบแต่ละชนิดกินเวลาศึกษา การรู้จักส่วนผสมที่ถูกปากต้องใช้เวลาฝึกฝน ฯลฯ
คนมีปัญญาจึงไม่รีบร้อน ทำงานไปเป็นขั้นเป็นตอน ไม่ข้ามผ่านรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ โดยคิดว่ามันไม่สำคัญ เพราะกำแพงที่ก่อด้วยอิฐไม่ครบก้อนนั้นไม่แข็งแรง และพังทลายได้
ชีวิตเราทุกคนประกอบด้วยอิฐจำนวนมาก หากแต่ละท่อนแต่ละจังหวะของชีวิตคือ อิฐหนึ่งก้อน ชีวิตเราทั้งชีวิตก็เป็นผลรวมของอิฐจำนวนมาก อิฐเหล่านี้บางก้อนสมบูรณ์ บางก้อนแตกร้าว บางก้อนเผาไฟมากไปจนดำเกรียม แต่อิฐทุกก้อนสำคัญ
คนที่ประสบความสำเร็จในงานต่างๆ มักมีประสบการณ์คล้ายกันคือ ‘อิฐ’ ก้อนแรกๆ เป็นอิฐที่ไม่สมบูรณ์มีตำหนิ เผาไม่ได้ที่ หรือเผามากไปจนเกรียม เหล่านี้คือการทดลอง การฝึกฝน การเคี่ยวกรำ ความเหนื่อยยากลำบาก แต่อิฐแต่ละก้อนมีความจำเป็นต้องมีอยู่ อิฐไม่สมบูรณ์เหล่านี้เป็นรากฐานของอิฐชั้นต่อๆ ไปที่ดีกว่าเดิม ก่อรวมเป็นงานชิ้นใหญ่
ยอดนักประดิษฐ์ของโลก ธอมัส เอดิสัน บอกว่า “ผมทำงานอย่างสนุกสนานสิบแปดชั่วโมงต่อวัน นอกจากงีบเล็กๆ แล้ว ผมนอนราว 4-5 ชั่วโมงต่อคืน”
เขาพิสูจน์ให้เราเห็นว่าอิฐไม่สมบูรณ์สำคัญเท่าๆ กับอิฐที่สมบูรณ์ เขาชี้ว่าหากผลงานชิ้นหนึ่งประกอบด้วยอิฐร้อยก้อน ไอเดียดีเป็นแค่อิฐก้อนหนึ่งเท่านั้น ที่เหลืออีก 99 ก้อนคือความเหน็ดเหนื่อย การลงมือทดลองทำ ล้มแล้วลุก ล้มแล้วลุก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
คู่แข่งของเอดิสัน นิโคลา เทสลา ซึ่งเป็นอัจฉริยะนักประดิษฐ์ ผู้คิดค้นกระแสไฟฟ้าสลับและผลงานต่างๆ มากมาย นอนวันละสองชั่วโมง ทำงานทดลองซ้ำแล้วซ้ำอีกจนสำเร็จ
อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ ผู้ประดิษฐ์โทรศัพท์ สอนหนังสือในมหาวิทยาลัยตอนกลางวัน กลางคืนเป็นนกฮูกราตรี ทำงานทดลองโทรศัพท์ของเขา ทดลองไปทีละขั้น ทดลองแล้วทดลองอีก ก่ออิฐทีละก้อนอย่างอดทน
การสั่งสอนเด็กจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องให้เด็กรู้ว่า ชีวิตไม่มีอะไรได้มาแบบลัดขั้นตอน เราไม่อาจมีความรู้โดยปราศจากการขวนขวาย ไม่มีทางได้ทักษะอย่างใดอย่างหนึ่งโดยไม่ต้องฝึกฝน
อย่าบ่นว่างานที่ทำน่าเบื่อ อย่ามองว่าความผิดพลาดเป็นความน่าเบื่อ จงมองว่ามันเป็นประสบการณ์ มองว่างานที่กำลังทำแต่ละวันนั้น เป็นเพียงอิฐก้อนหนึ่งในบรรดาหลายพันหลายหมื่นก้อนในชีวิตเรา
อิฐที่ถูกไฟเผาจนเกรียมอาจดูไม่สวย แต่มันแข็งแกร่งกว่าอิฐธรรมดา เพราะไฟช่วยเคี่ยวกรำให้มันแกร่ง
ประสบการณ์เลวร้ายไม่ใช่ความเลวร้าย และความล้มเหลวแต่ละครั้งไม่ใช่ความล้มเหลว หากเราใช้พวกมันเป็นอิฐที่รองรับอิฐก้อนต่อๆ ไป
วินทร์ เลียววาริณ
30 มีนาคม 2556
www.winbookclub.com
ยป้องกันอาการปลาท้องบวมและโรคครีบแดง
บดฟ้าทะลายโจรตากแห้ง 500 กรัม คลุมเคล้ากับอาหารปลา 100 กก. น้ำ 50 ลิตร แล้วให้ปลาดุกกินเช้าเย็น ช่วยป้องกันอาการปลาท้องบวมและโรคครีบแดง
จาก SMS FarmerInfo by DTAC- 19 เม.ย.2556- 14.03 น.
ผู้ชายที่เจ้าชู้ ชอบซื้อผู้หญิงกลางคืน
ปุจฉา - กราบนมัสการค่ะ เรียนถามว่าผู้ชายที่เจ้าชู้ ชอบซื้อผู้หญิงกลางคืน อายุก็ 60 แล้ว ทำไมยังหยุดเรื่องนี้ไม่ได้ เรียนถาม ว่า เค้าทำกรรมอะไรมาหรือเจ้าค่ะ และชาติต่อๆไปเค้าอาจจะเกิดมาเป็นผู้หญิงกลางคืนเองได้เปล่าเจ้าค่ะ และผู้หญิงที่ทำงานกลางคืน คนขายบริการทางเพศ ทำกรรมสิ่งใดมา เพราะยุคปัจจุบันนี้เห็นมีมากมายเหลือเกิน กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะ
พระไพศาล วิสาโล - ที่เขามีพฤติกรรมเช่นนี้ ก็เพราะกรรมในปัจจุบันนั่นแหละ คือ ครุ่นคิดหมกมุ่นแต่ในทางกาม นอกจากมองไม่เห็นโทษของกามแล้ว ยังขาดการฝึกฝนตนให้มีความอดกลั้นต่อราคะหรือสามารถเข้าถึงความสุขที่เหนือจากกาม รวมทั้งอาจมีเพื่อนไม่ดี แวดล้อมด้วยสิ่งยั่วยุ ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของกรรมคือการกระทำในปัจจุบันชาติทั้งนั้น อาจเริ่มแต่วัยเด็กหรือวัยรุ่นเลยก็ได้
ส่วนคนที่มีอาชีพนี้ส่วนใหญ่ก็เพราะเลือกแล้ว แต่ก็มีไม่น้อยเพราะถูกบีบบังคับ(เพราะคนหรือสถานการณ์ก็แล้วแต่) ซึ่งมักเป็นผลจากการกระทำของตนด้วยไม่มากก็น้อย เช่น ใช้ชีวิตอย่างใจแตก หรือเชื่อคนง่ายจึงถูกหลอกให้มามีอาชีพนี้ หรือพลั้งเผลอแล้วไม่มีทางออก จึงต้องมามีอาชีพนี้เพื่อความอยู่รอด
ทั้งหมดนี้แยกไม่ออกจากสภาพสังคมที่ทั้งส่งเสริม ผลักดัน หรือบีบคั้นให้ผู้คนต้องมีพฤติกรรมแบบนี้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายบริการ
ที่มา http://www.facebook.com/visalo?fref=ts
อย่าปล่อยให้อะไรๆ มันสายเกินไป... ชีวิตคน...ถึงมันจะไม่สั้นนัก...แต่มันก็ใช่ว่าจะยาวนานตลอดไ
ขอเวลาแค่ 1 นาที เพื่อเตือนสติคน....อ่านให้จบนะ ดีจริงๆ
มีชายหนุ่มไฟแรง ที่มุมานะทำงานอย่างมุ่งมั่น
เขามีความฝันจะสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์กับแฟนสาว
เธอจะมารอ..ที่หน้าประตูบ้าน..ของเขา หลังจากที่เขาเลิกงาน
เขาพบเธอ..ก็ยิ้มแย้ม ..ยินดีต้อนรับ.. สนทนากัน..แล้วเธอก็กลับไป
วันนี้เขากลับถึงบ้าน ช้ากว่าปกติมาก
แต่แปลกที่ยังเห็นเธอยืนรอที่หน้าบ้านเขา.. เช่นทุกวัน
“ โทษทีนะที่รัก วันนี้มีงานด่วน เลยกลับมาช้าไปหน่อย ”
เธอยังยิ้มให้เขา “ คุณทำงานจนมีรถ มีบ้านอย่างที่ตั้งใจแล้ว
ทำไมยังทำงานหนักอีกล่ะ ?”
“ ผมอยากมีบ้านที่มีบริเวณมากกว่านี้ มีรถที่ดูโอ่อ่ามากกว่านี้
.. เพื่อคุณนะจ๊ะ ”
เวลาผ่านไป 1 ปี
หญิงสาวมาหาเขาบ้าง ไม่มาบ้าง แต่เขาไม่มีเวลามาใส่ใจกับเรื่องอย่างนี้
วันหนึ่งเธอเอ่ยถามเขา
“ คุณมีเงินมากพอจะซื้อบ้านหลังใหญ่รึยัง ?”
“ ขอเวลาอีกสักหน่อย ผมอยากซื้อแหวนวงใหม่ มาเปลี่ยนให้คุณด้วย ”
เขาจุมพิตมือที่สวมแหวนทองวงเล็กเบาๆ
“ ฉันบอกหรือว่า ฉันอยากได้แหวนวงใหม่ ?”
“ ผมอยากให้สิ่งที่ดีที่สุดเสมอ...ที่รัก ”
3 เดือนแล้ว..ที่เขาไม่เห็นเธอที่หน้าประตูบ้าน วันนี้เขามีบ้านหลังใหญ่
เขาจึงตัดสินใจลางาน 1 วัน เพื่อไปหาเธอ
เขาขับรถคันหรู ผ่านเส้นทางที่ขรุขระ อย่างยากลำบาก
‘ เธอต้องใช้ทางเส้นนี้มาหาเราทุกวันเหรอเนี่ย ?’ เขารำพึง
เมื่อมาถึง แม่ของเธอออกมาต้อนรับและมอบกล่องไม้ใบหนึ่งให้เขา
และบอกเส้นทางที่เป็นสถานที่ ที่เธออยู่ ที่ซึ่งเขาจะพบเธอได้
เนินเขาเล็ก ๆ รายล้อมไปด้วยดอกไม้ มีแท่นหินสลักชื่อหญิงสาว ตั้งอยู่กลางเนิน
น้ำตาของลูกผู้ชายไหลรินออกมา มือสั่นเทาของเขา เปิดกล่องไม้อย่างช้า ๆ
ข้างในกล่องอัดแน่นไปด้วยกระดาษแผ่นเล็ก ๆ
เขาเริ่มอ่านข้อความ..ทีละใบ...ทีละใบ.....
“ วันนี้ ..คุณกลับมาช้า ..ฉันรอ 2 ชั่วโมง ..ไม่เป็นไร ..ฉันรักคุณ ”
“ วันนี้ฝนตก ..ฉันยังรอ ..แต่ไม่เจอคุณ.. ไม่เป็นไร .. แต่ฉันยังรักคุณ ”
“ ฉันเริ่มป่วย.. จนไปหาคุณไม่ได้ ..คุณคงไม่ทันได้สังเกต.. ไม่เป็นไร...
แต่ฉันยังรักคุณ ”
“ วันนี้ ..คุณบอกจะเปลี่ยนแหวนวงใหม่..
คุณคงลืมว่า..ฉันตอบตกลง..จะแต่งงานกับคุณ ..เพราะแหวนวงนี้
แต่ไม่เป็นไร..ฉันยังรักคุณ ”
ชายหนุ่มได้เรียนรู้แล้วว่า.......
บางทีสิ่งที่เขาไขว่คว้ามาตลอดชีวิต
อาจเทียบไม่ได้กับสิ่งเล็กน้อย ที่เขาเคยได้รับ จนเป็นเรื่องปกติของทุกวัน
รถคันหรูแล่นไกลออกไป เหลือไว้เพียงกล่องแหวนเพชร ราคาแพง หน้าหลุมศพ
ที่ดูไม่เหลือค่าอะไร ..สำหรับเขา..อีกต่อไป
“ ผมมีบ้านหลังใหญ่..แต่คงกว้างไป สำหรับการที่จะต้องอยู่คนเดียว
ผมมีรถราคาแพง แต่ไม่รู้จะขับไปรับใคร ให้มานั่งเคียงคู่ ..เพื่อไปที่ไหน ๆด้วยกัน
ผมมีเวลาอยู่กับงานครึ่งชีวิต แต่ไม่เคยมีเวลา ที่จะได้อยู่กับคนที่..ผมรัก
ตอนนี้ผมมีเงินมากมาย แต่ไม่อาจซื้อเวลาเพียง 1 นาที ที่จะบอกว่า ‘ รักเธอ ’..
ผมมีทุกอย่างเพียบพร้อมตามที่ผมฝัน แต่ขาดส่วนที่สำคัญที่สุด ..ที่อยากให้ย้อนกลับมา..จะได้ไหม ?”..
ลองก้าวออกจากโต๊ะทำงานก่อนตะวันจะตกดินสักวันสองวันต่อสัปดาห์
หันกลับไปเอาใจใส่คนที่รักเราบ้าง อาจจะไม่ใช่แค่แฟนหรือคนรัก
บางที พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ก็เฝ้ารอ 1 นาทีจากเราเหมือนกัน
ณ วันนี้...อย่างน้อยเราก็ยังมีเวลาเหลือมากกว่า 1 นาทีที่บางคนโหยหา...
อย่าปล่อยให้อะไรๆ มันสายเกินไป...
ชีวิตคน...ถึงมันจะไม่สั้นนัก...แต่มันก็ใช่ว่าจะยาวนานตลอดไป.............
เงินทองที่มากมายจากการทำงานหักโหม...
บางทีอาจได้คืนกลับมาเพียงแค่โลงราคาแพงจากน้ำพักน้ำแรง
ในครึ่งชีวิตที่ผ่านมา ....................
http://www.facebook.com/people.khon?fref=ts
วันพฤหัสบดีที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2556
"เสียดายที่ไม่ได้..."
"เสียดายที่ไม่ได้..."
หากมนุษย์ทุกคนทราบได้ว่าตนเองจะจากโลกนี้ไปในวันใด เราอาจไม่ต้องมาบอกกับตัวเองด้วยประโยคข้างต้นก็เป็นได้ เพราะเราคงมุ่งมั่นทำสิ่งที่ฝันให้ประสบความสำเร็จก่อนที่เราจะจากโลกนี้ไปเป็นแน่แท้ แต่เป็นที่น่าเสียดายกว่า ทั้ง ๆ ที่มนุษย์เราไม่มีความสามารถล่วงรู้อนาคตดังกล่าว และไม่ทราบเลยว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ยังมีคนหลายคน "ทิ้ง" ช่วงเวลาสำคัญ หรือคนสำคัญไปด้วยความประมาท กว่าจะมาตระหนักได้ถึงคุณค่าของสิ่งเหล่านั้น ก็เป็นเวลาที่ความตายมารออยู่เบื้องหน้าแล้ว
นั่นจึงเป็นที่มาของการรวบรวม "สิ่งที่ทรงคุณค่าในชีวิตมนุษย์" ที่คนส่วนหนึ่งทำตกหล่นไปในระหว่างช่วงเวลาที่พวกเขายังมีชีวิตโดยผู้รวบรวมเป็นนางพยาบาลชาวออสซี่ชื่อ Bronnie Ware เธอทำงานอยู่ในหวอดผู้ป่วยระยะสุดท้าย และเป็นผู้ให้กำลังใจแก่คนไข้เหล่านั้นก่อนที่ความตายจะมาพรากพวกเขาไป พร้อมกันนั้น เธอได้รวบรวมสิ่งที่ผู้ป่วยก่อนตายรู้สึกเสียดาย และเสียใจเอาไว้มากมายในบล็อกชื่อ Inspiration and Chaiเมื่อข้อมูลเหล่านั้นได้รับการสะสมเอาไว้มากขึ้น ๆ ก็นำไปสู่หนังสือชื่อ "The Top Five Regrets of the Dying" ในที่สุด ซึ่งวันนี้ ทีมงาน Life & Family ขอนำบางส่วนของประสบการณ์ล้ำค่าที่ไม่ควรพลาดทั้ง 5 ประการของผู้ที่จากโลกนี้ไปแล้วมาฝากกัน จะมีอะไรบ้างนั้น ไปติดตามกันเลยค่ะ
1. เสียดายที่ไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างที่ตนเองต้องการ
ความต้องการของคนอื่น ๆ ที่อยากให้ชีวิตคุณเป็นนั่น เป็นนี่ ทำอย่างโน้น ทำอย่างนี้ ประกอบอาชีพนั้น อาชีพนี้ ทำไมไม่รวยอย่างคนอื่นเขาบ้าง ฯลฯ ทั้งหมดล้วนทำให้คุณมีชีวิตอยู่ท่ามกลางความคาดหวังของคนรอบข้าง แต่ในวันที่ความตายใกล้จะพรากคุณไปจากโลกนี้ คุณจะค้นพบความจริงว่า การใช้ชีวิตบนความคาดหวังของคนอื่นนั้นได้ทำให้คุณพลาดอะไรไปหลายอย่าง รวมถึงความฝันในใจส่วนลึกที่ไม่อาจทำให้มันเป็นจริง แต่คนส่วนใหญ่มักไม่ตระหนักในข้อนี้ จนกระทั่งวันที่พวกเขาต้องจากโลกนี้ไป ที่น่าเสียใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือหลายคนที่เพิ่งตระหนักได้พบว่า ทั้งหมดนั้นล้วนขึ้นอยู่กับ "ตัวพวกเขาเอง" ว่าจะเลือกทำมันหรือไม่
2. ทำงานหนักเกินไปจนลืมชีวิตครอบครัว
คุณพ่อคุณแม่หลายท่านที่กำลังทำงานตัวเป็นเกลียวในขณะนี้อาจตอบว่าตนเองไม่สามารถทำงานให้น้อยลงได้ เพราะนั่นอาจหมายถึงชีวิตครอบครัวที่อาจพังลงถ้าหากขาดรายได้มาหล่อเลี้ยง แต่ในมุมของคนที่ใกล้จะจากโลกนี้ไป พวกเขากลับสะท้อนในสิ่งที่ตรงกันข้าม เมื่อพวกเขาพบว่า สิ่งสำคัญยิ่งที่พวกเขาพลาดไปขณะหันไปทุ่มเวลาส่วนใหญ่ให้กับงานก็คือ เวลาที่จะสร้างสายใยแห่งความผูกพันระหว่างคนในครอบครัว พ่อกับลูก สามีกับภรรยา
"คนไข้ที่ฉันดูแล และโดยมากจะเป็นผู้ชายรู้สึกเสียดายที่พวกเขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำงาน ทำให้พลาดโอกาสที่จะสร้างเวลาดี ๆ ร่วมกับลูกและภรรยาในช่วงที่พวกเขายังเด็ก รวมถึงบางคนก็ไม่ได้ใส่ใจคู่สมรสของตนดีนัก" นางพยาบาลแวร์กล่าว พร้อมกันนี้เธอได้เผยด้วยว่า ในผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่เป็นผู้หญิงก็มีหลายคนเช่นกันที่รู้สึกเสียใจและเสียดาย แต่เนื่องจากว่าส่วนใหญ่ผู้สูงอายุเหล่านี้มีชีวิตในยุคที่ผู้หญิงยังเป็นช้างเท้าหลัง ไม่ได้แบกรับหน้าที่หาเลี้ยงครอบครัวเหมือนเช่นในปัจจุบัน ความรู้สึกจึงไม่รุนแรงมากเท่าฝ่ายชาย
3. เสียใจที่ไม่ได้พูดในสิ่งที่รู้สึก
ความอดทน หรือความไม่กล้าพูดในสิ่งที่เราคิดออกไป บางครั้งอาจทำเพื่อไม่ต้องการให้ปัญหาลุกลามบานปลาย แต่คนส่วนใหญ่ที่เลือกจะอดทน สงบปากสงบคำนั้น บางคนต้องแบกรับผลแห่งความเจ็บปวดนั้นเอาไว้ชั่วชีวิต หลายคนจากโลกนี้ไปพร้อม ๆ กับความขมขื่น
4. เสียใจที่ไม่ได้ใช้เวลากับเพื่อนคุ้มค่า
บ่อยครั้งที่เรามักตระหนักถึงคุณค่าของเพื่อนดี ๆ ที่เรามีอยู่ก็ต่อเมื่อเพื่อนคนนั้นจากโลกนี้ไปแล้ว ซึ่งนั่นอาจหมายความว่า ต่อให้คุณอยากคุยกับเขา ปรับทุกข์ เล่าเรื่องในอดีต และหัวเราะกันอีกแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถมานั่งตรงหน้า มายิ้ม มาหัวเราะ หรือเห็นอกเห็นใจไปกับคุณได้อีกแล้ว และน่าเสียดายที่ช่วงเวลาสุดท้ายของคนกลุ่มนี้ก็มักไม่ได้พบเจอเพื่อน ๆ ในอดีตเช่นกัน
5. เสียใจที่ไม่ได้เลือกที่จะมี "ความสุข"
การเลือกที่จะมีความสุขในชีวิตเป็นสิ่งที่หลายคนไม่ทันได้ตระหนักในคุณค่าของมัน แม้ว่าคุณจะสามารถเลือกเองได้ก็ตาม ทำให้มีผู้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกตัวอีกที วาระสุดท้ายในชีวิตก็มารออยู่เบื้องหน้าแล้ว สำหรับสาเหตุที่ทำให้มนุษย์เราไม่สามารถมีความสุขในชีวิตได้นั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเราติดอยู่กับรูปแบบการใช้ชีวิตเดิม ๆ หรือนิสัยเดิม ๆ อีกสาเหตุหนึ่งอาจมาจากความกลัวการเปลี่ยนแปลง นั่นจึงทำให้เราทนอยู่กับวิถีชีวิตแบบเดิม ๆ แล้วก็หลอกตัวเอง และหลอกคนอื่น ๆ ว่า ฉันพอใจกับชีวิตแบบนี้
แม้ความเสียใจทั้ง 5 ประการนี้จะเป็นประสบการณ์ที่น่าเศร้าที่เกิดขึ้นกับคนรุ่นหนึ่งที่จากโลกนี้ไปแล้ว แต่เราก็เชื่อว่าสารที่เขาพยายามส่งมาถึงคนในยุคปัจจุบันล้วนเป็นความหวังดี ไม่ต้องการให้คนรุ่นหลัง ต้องพลาดพลั้งตกลงไปในวงจรเดียวกัน แต่จะกระทบจิตใจคนที่ยังมีชีวิตอยู่ได้มากน้อยเพียงใด เป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องนำกลับไปขบคิดกันให้มากนั่นเอง
หากมนุษย์ทุกคนทราบได้ว่าตนเองจะจากโลกนี้ไปในวันใด เราอาจไม่ต้องมาบอกกับตัวเองด้วยประโยคข้างต้นก็เป็นได้ เพราะเราคงมุ่งมั่นทำสิ่งที่ฝันให้ประสบความสำเร็จก่อนที่เราจะจากโลกนี้ไปเป็นแน่แท้ แต่เป็นที่น่าเสียดายกว่า ทั้ง ๆ ที่มนุษย์เราไม่มีความสามารถล่วงรู้อนาคตดังกล่าว และไม่ทราบเลยว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ยังมีคนหลายคน "ทิ้ง" ช่วงเวลาสำคัญ หรือคนสำคัญไปด้วยความประมาท กว่าจะมาตระหนักได้ถึงคุณค่าของสิ่งเหล่านั้น ก็เป็นเวลาที่ความตายมารออยู่เบื้องหน้าแล้ว
นั่นจึงเป็นที่มาของการรวบรวม "สิ่งที่ทรงคุณค่าในชีวิตมนุษย์" ที่คนส่วนหนึ่งทำตกหล่นไปในระหว่างช่วงเวลาที่พวกเขายังมีชีวิตโดยผู้รวบรวมเป็นนางพยาบาลชาวออสซี่ชื่อ Bronnie Ware เธอทำงานอยู่ในหวอดผู้ป่วยระยะสุดท้าย และเป็นผู้ให้กำลังใจแก่คนไข้เหล่านั้นก่อนที่ความตายจะมาพรากพวกเขาไป พร้อมกันนั้น เธอได้รวบรวมสิ่งที่ผู้ป่วยก่อนตายรู้สึกเสียดาย และเสียใจเอาไว้มากมายในบล็อกชื่อ Inspiration and Chaiเมื่อข้อมูลเหล่านั้นได้รับการสะสมเอาไว้มากขึ้น ๆ ก็นำไปสู่หนังสือชื่อ "The Top Five Regrets of the Dying" ในที่สุด ซึ่งวันนี้ ทีมงาน Life & Family ขอนำบางส่วนของประสบการณ์ล้ำค่าที่ไม่ควรพลาดทั้ง 5 ประการของผู้ที่จากโลกนี้ไปแล้วมาฝากกัน จะมีอะไรบ้างนั้น ไปติดตามกันเลยค่ะ
1. เสียดายที่ไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างที่ตนเองต้องการ
ความต้องการของคนอื่น ๆ ที่อยากให้ชีวิตคุณเป็นนั่น เป็นนี่ ทำอย่างโน้น ทำอย่างนี้ ประกอบอาชีพนั้น อาชีพนี้ ทำไมไม่รวยอย่างคนอื่นเขาบ้าง ฯลฯ ทั้งหมดล้วนทำให้คุณมีชีวิตอยู่ท่ามกลางความคาดหวังของคนรอบข้าง แต่ในวันที่ความตายใกล้จะพรากคุณไปจากโลกนี้ คุณจะค้นพบความจริงว่า การใช้ชีวิตบนความคาดหวังของคนอื่นนั้นได้ทำให้คุณพลาดอะไรไปหลายอย่าง รวมถึงความฝันในใจส่วนลึกที่ไม่อาจทำให้มันเป็นจริง แต่คนส่วนใหญ่มักไม่ตระหนักในข้อนี้ จนกระทั่งวันที่พวกเขาต้องจากโลกนี้ไป ที่น่าเสียใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือหลายคนที่เพิ่งตระหนักได้พบว่า ทั้งหมดนั้นล้วนขึ้นอยู่กับ "ตัวพวกเขาเอง" ว่าจะเลือกทำมันหรือไม่
2. ทำงานหนักเกินไปจนลืมชีวิตครอบครัว
คุณพ่อคุณแม่หลายท่านที่กำลังทำงานตัวเป็นเกลียวในขณะนี้อาจตอบว่าตนเองไม่สามารถทำงานให้น้อยลงได้ เพราะนั่นอาจหมายถึงชีวิตครอบครัวที่อาจพังลงถ้าหากขาดรายได้มาหล่อเลี้ยง แต่ในมุมของคนที่ใกล้จะจากโลกนี้ไป พวกเขากลับสะท้อนในสิ่งที่ตรงกันข้าม เมื่อพวกเขาพบว่า สิ่งสำคัญยิ่งที่พวกเขาพลาดไปขณะหันไปทุ่มเวลาส่วนใหญ่ให้กับงานก็คือ เวลาที่จะสร้างสายใยแห่งความผูกพันระหว่างคนในครอบครัว พ่อกับลูก สามีกับภรรยา
"คนไข้ที่ฉันดูแล และโดยมากจะเป็นผู้ชายรู้สึกเสียดายที่พวกเขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำงาน ทำให้พลาดโอกาสที่จะสร้างเวลาดี ๆ ร่วมกับลูกและภรรยาในช่วงที่พวกเขายังเด็ก รวมถึงบางคนก็ไม่ได้ใส่ใจคู่สมรสของตนดีนัก" นางพยาบาลแวร์กล่าว พร้อมกันนี้เธอได้เผยด้วยว่า ในผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่เป็นผู้หญิงก็มีหลายคนเช่นกันที่รู้สึกเสียใจและเสียดาย แต่เนื่องจากว่าส่วนใหญ่ผู้สูงอายุเหล่านี้มีชีวิตในยุคที่ผู้หญิงยังเป็นช้างเท้าหลัง ไม่ได้แบกรับหน้าที่หาเลี้ยงครอบครัวเหมือนเช่นในปัจจุบัน ความรู้สึกจึงไม่รุนแรงมากเท่าฝ่ายชาย
3. เสียใจที่ไม่ได้พูดในสิ่งที่รู้สึก
ความอดทน หรือความไม่กล้าพูดในสิ่งที่เราคิดออกไป บางครั้งอาจทำเพื่อไม่ต้องการให้ปัญหาลุกลามบานปลาย แต่คนส่วนใหญ่ที่เลือกจะอดทน สงบปากสงบคำนั้น บางคนต้องแบกรับผลแห่งความเจ็บปวดนั้นเอาไว้ชั่วชีวิต หลายคนจากโลกนี้ไปพร้อม ๆ กับความขมขื่น
4. เสียใจที่ไม่ได้ใช้เวลากับเพื่อนคุ้มค่า
บ่อยครั้งที่เรามักตระหนักถึงคุณค่าของเพื่อนดี ๆ ที่เรามีอยู่ก็ต่อเมื่อเพื่อนคนนั้นจากโลกนี้ไปแล้ว ซึ่งนั่นอาจหมายความว่า ต่อให้คุณอยากคุยกับเขา ปรับทุกข์ เล่าเรื่องในอดีต และหัวเราะกันอีกแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถมานั่งตรงหน้า มายิ้ม มาหัวเราะ หรือเห็นอกเห็นใจไปกับคุณได้อีกแล้ว และน่าเสียดายที่ช่วงเวลาสุดท้ายของคนกลุ่มนี้ก็มักไม่ได้พบเจอเพื่อน ๆ ในอดีตเช่นกัน
5. เสียใจที่ไม่ได้เลือกที่จะมี "ความสุข"
การเลือกที่จะมีความสุขในชีวิตเป็นสิ่งที่หลายคนไม่ทันได้ตระหนักในคุณค่าของมัน แม้ว่าคุณจะสามารถเลือกเองได้ก็ตาม ทำให้มีผู้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกตัวอีกที วาระสุดท้ายในชีวิตก็มารออยู่เบื้องหน้าแล้ว สำหรับสาเหตุที่ทำให้มนุษย์เราไม่สามารถมีความสุขในชีวิตได้นั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเราติดอยู่กับรูปแบบการใช้ชีวิตเดิม ๆ หรือนิสัยเดิม ๆ อีกสาเหตุหนึ่งอาจมาจากความกลัวการเปลี่ยนแปลง นั่นจึงทำให้เราทนอยู่กับวิถีชีวิตแบบเดิม ๆ แล้วก็หลอกตัวเอง และหลอกคนอื่น ๆ ว่า ฉันพอใจกับชีวิตแบบนี้
แม้ความเสียใจทั้ง 5 ประการนี้จะเป็นประสบการณ์ที่น่าเศร้าที่เกิดขึ้นกับคนรุ่นหนึ่งที่จากโลกนี้ไปแล้ว แต่เราก็เชื่อว่าสารที่เขาพยายามส่งมาถึงคนในยุคปัจจุบันล้วนเป็นความหวังดี ไม่ต้องการให้คนรุ่นหลัง ต้องพลาดพลั้งตกลงไปในวงจรเดียวกัน แต่จะกระทบจิตใจคนที่ยังมีชีวิตอยู่ได้มากน้อยเพียงใด เป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องนำกลับไปขบคิดกันให้มากนั่นเอง
ชมรายการ คนค้นคน ตอน ป้าต้อย...ซุปตาเมืองนนท์
"เป็นกะเทย ป้ายอมรับ แต่ป้าจะไม่ยอมทำไม่ดี ไม่ได้อยากได้ของใคร ไม่อยากเป็นปัญหาของใคร"
ป้าต้อย สาวประเภทสองวัย 53 ปี เธอคือซุปตาร์เมืองนนท์ เพราะชื่อเสียงเรียงนามของเธอเป็นที่รู้จักดีของชาวเมืองนนทบุรี เวลามีงานบุญ งานบวช หรือวันไหนที่ตรงกับวันพระ ก็จะเห็นป้าต้อยไปช่วยเป็นโฆษก คอยประกาศเชิญชวนให้ญาติโยมมาร่วมกันทำบุญ รวมทั้งคอยไปสร้างสีสัน เรียกเสียงหัวเราะให้กับงานบุญต่างๆ มาโดยตลอด จนเป็นภาพที่ชินตา ป้าต้อย ยึดอาชีพขายขนมใส่ไส้มากว่า 35 ปี นับว่าเธอเป็นแม่ค้าขนมใส่ไส้คนเดียว ในประเทศไทยเลยก็ว่าได้ ที่ใส่ชุดราตรีเดินขายขนม เธอมีเอกลักษณ์การขายที่โดดเด่น เพราะเธอจะส่งเสียงร้องว่า “ไส้ ไส้ ไส้ ไส้ ไส้ จ้า” นอกจากนี้ ป้าต้อยยังเป็นแม่ค้าที่มีวลีฮิตติดปากว่า “สบายใจดี” เพราะไม่ว่าจะถามอะไรเธอก็ตาม เธอก็จะยิ้มแฉ่งพร้อมกับตอบว่า “ก็มันสบายใจดี” แม้การแต่งตัว แต่งหน้าของป้าต้อยในแต่ละวัน อาจจะทำให้ลูกค้ารู้สึกแปลกๆ หรือมีข้อสงสัยในตัว ป้าต้อยอยู่บ้าง แต่กระนั้นก็ยังช่วยอุดหนุนขนมแกจนขายหมดทุกวัน
ป้าต้อย เป็นคนที่น่าสงสารคนหนึ่ง เพราะเธอเกิดมาเป็นคนที่สติไม่ค่อยสมประกอบ แถมพ่อแม่ของตัวเองยังเกลียดชัง ป้าต้อยจึงใช้ชีวิตอยู่กับยายตาบอดตามลำพังมาตั้งแต่เล็กๆ เมื่อป้าต้อยโตจนเริ่มทำงานได้ ป้าต้อยก็เป็น เสาหลักในการหารายได้เลี้ยงดูยายไม่ว่าจะทำงานเก็บขยะ รับจ้างเก็บศพหมาที่โดนรถชนไปทิ้ง รวมทั้งขายขนมใส่ไส้ ดังนั้นในชีวิตของเธอ เธอจึงรักยายมากที่สุด เพราะยายมอบความรัก ความอบอุ่นให้กับเธอ ยามเมื่อยายเจ็บป่วยไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ป้าต้อยก็ดูแลยายเป็นอย่างดี ทั้งเรื่องข้าวปลาอาหาร ดูแลทำความสะอาด เรื่องการขับถ่ายอย่างไม่รังเกียจ จนชาวบ้านต่างชื่นชมว่าป้าต้อยเป็นคนกตัญญู ครั้นเมื่อยายเสียชีวิต ป้าต้อยก็ใช้ชีวิตตามลำพังมาโดยตลอด แต่ในหัวใจของเธอยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ความคิดถึงยายอยู่เสมอ หลายๆ คนที่รู้เบื้องหลังชีวิตของป้าต้อย ต่างก็ชื่นชมและยกย่องว่าป้าต้อยเป็นคนดีคนหนึ่ง เพราะถึงแม้เธอจะสติปัญญาไม่สมประกอบ แต่ยังเป็นคนที่รู้จักทำมาหากิน ไม่ขอใครกิน ไม่เบียดเบียนใคร และไม่ทำให้ใครเดือดร้อน
ป้าต้อยเป็นคนที่ขยันทำมาหากินไม่เคยมีวันหยุด ไม่ว่าฝนจะตก อากาศจะร้อนขนาดไหน ป้าต้อยก็ไม่สนใจ เธอจะตั้งหน้าตั้งตาขายขนมท่าเดียว ยกเว้นแต่ว่าวันไหนที่คนทำขนมใส่ไส้หยุด หรือเธอต้องไปร่วมงานบุญสำคัญๆ เธอถึงจะยอมหยุด
ภาพโดยคุณ Nakarin Nareephon หลังมหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
ชมรายการ คนค้นคน ตอน ป้าต้อย...ซุปตาเมืองนนท์
ป้าต้อย สาวประเภทสองวัย 53 ปี เธอคือซุปตาร์เมืองนนท์ เพราะชื่อเสียงเรียงนามของเธอเป็นที่รู้จักดีของชาวเมืองนนทบุรี เวลามีงานบุญ งานบวช หรือวันไหนที่ตรงกับวันพระ ก็จะเห็นป้าต้อยไปช่วยเป็นโฆษก คอยประกาศเชิญชวนให้ญาติโยมมาร่วมกันทำบุญ รวมทั้งคอยไปสร้างสีสัน เรียกเสียงหัวเราะให้กับงานบุญต่างๆ มาโดยตลอด จนเป็นภาพที่ชินตา ป้าต้อย ยึดอาชีพขายขนมใส่ไส้มากว่า 35 ปี นับว่าเธอเป็นแม่ค้าขนมใส่ไส้คนเดียว ในประเทศไทยเลยก็ว่าได้ ที่ใส่ชุดราตรีเดินขายขนม เธอมีเอกลักษณ์การขายที่โดดเด่น เพราะเธอจะส่งเสียงร้องว่า “ไส้ ไส้ ไส้ ไส้ ไส้ จ้า” นอกจากนี้ ป้าต้อยยังเป็นแม่ค้าที่มีวลีฮิตติดปากว่า “สบายใจดี” เพราะไม่ว่าจะถามอะไรเธอก็ตาม เธอก็จะยิ้มแฉ่งพร้อมกับตอบว่า “ก็มันสบายใจดี” แม้การแต่งตัว แต่งหน้าของป้าต้อยในแต่ละวัน อาจจะทำให้ลูกค้ารู้สึกแปลกๆ หรือมีข้อสงสัยในตัว ป้าต้อยอยู่บ้าง แต่กระนั้นก็ยังช่วยอุดหนุนขนมแกจนขายหมดทุกวัน
ป้าต้อย เป็นคนที่น่าสงสารคนหนึ่ง เพราะเธอเกิดมาเป็นคนที่สติไม่ค่อยสมประกอบ แถมพ่อแม่ของตัวเองยังเกลียดชัง ป้าต้อยจึงใช้ชีวิตอยู่กับยายตาบอดตามลำพังมาตั้งแต่เล็กๆ เมื่อป้าต้อยโตจนเริ่มทำงานได้ ป้าต้อยก็เป็น เสาหลักในการหารายได้เลี้ยงดูยายไม่ว่าจะทำงานเก็บขยะ รับจ้างเก็บศพหมาที่โดนรถชนไปทิ้ง รวมทั้งขายขนมใส่ไส้ ดังนั้นในชีวิตของเธอ เธอจึงรักยายมากที่สุด เพราะยายมอบความรัก ความอบอุ่นให้กับเธอ ยามเมื่อยายเจ็บป่วยไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ป้าต้อยก็ดูแลยายเป็นอย่างดี ทั้งเรื่องข้าวปลาอาหาร ดูแลทำความสะอาด เรื่องการขับถ่ายอย่างไม่รังเกียจ จนชาวบ้านต่างชื่นชมว่าป้าต้อยเป็นคนกตัญญู ครั้นเมื่อยายเสียชีวิต ป้าต้อยก็ใช้ชีวิตตามลำพังมาโดยตลอด แต่ในหัวใจของเธอยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ความคิดถึงยายอยู่เสมอ หลายๆ คนที่รู้เบื้องหลังชีวิตของป้าต้อย ต่างก็ชื่นชมและยกย่องว่าป้าต้อยเป็นคนดีคนหนึ่ง เพราะถึงแม้เธอจะสติปัญญาไม่สมประกอบ แต่ยังเป็นคนที่รู้จักทำมาหากิน ไม่ขอใครกิน ไม่เบียดเบียนใคร และไม่ทำให้ใครเดือดร้อน
ป้าต้อยเป็นคนที่ขยันทำมาหากินไม่เคยมีวันหยุด ไม่ว่าฝนจะตก อากาศจะร้อนขนาดไหน ป้าต้อยก็ไม่สนใจ เธอจะตั้งหน้าตั้งตาขายขนมท่าเดียว ยกเว้นแต่ว่าวันไหนที่คนทำขนมใส่ไส้หยุด หรือเธอต้องไปร่วมงานบุญสำคัญๆ เธอถึงจะยอมหยุด
ภาพโดยคุณ Nakarin Nareephon หลังมหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
ชมรายการ คนค้นคน ตอน ป้าต้อย...ซุปตาเมืองนนท์
ลูกชายมหาเศรษฐีแห่งมาเลเซีย ดื่มด่ำในพระธรรมไม่ยอมสึกจากพระ
ลูกชายมหาเศรษฐีแห่งมาเลเซีย ดื่มด่ำในพระธรรมไม่ยอมสึกจากพระ ปฏิเสธที่จะรับมรดกของครอบครัวซึ่งมูลค่าราว 9.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ($9.5 billion -2011)แต่กลับเลือกเดินบนเส้นทางของการเจริญสมาธิภาวนาตามแนวปฏิบัติสายพระป่าของไทย
อาจารย์สิริปันโน (Ajahn Siripanno) หรือ Ven Siripanyo
เป็นลูกชายคนเดียวของมหาเศรษฐี ที. อนันดากริชนัน
(Tan Sri Ananda Krishnan) เป็นมหาเศรษฐี
ผู้ใจบุญสุนทานชาวศรีลังกาเชื้อสายทมิฬ
ซึ่ง Forbes จัดอันดับความรวยเป็นอันดับ 2 ของมาเลเซีย
และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
(2nd richest man in Malaysia & Southeast Asia and 89th in the world according to Forbes.)
ครอบครัวนี้มีลูกสาว 2 คน และมีลูกชายเพียง 1 คน
คือ อาจารย์สิริปันโน
ท่านจบการศึกษาจากประเทศอังกฤษ
และสามารถพูดได้ถึง 8 ภาษา
ท่านได้เลือกที่จะอุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่อ 18 ปีที่แล้ว
และไม่เคยมองย้อนกลับมาอยากใช้ชีวิตฆราวาส
ท่านปฏิเสธโอกาสที่จะทำงานเพื่อเข้ามาดูแล
และขยายอาณาจักรธุรกิจของบิดา
รวมทั้งปฏิเสธที่จะรับมรดกของครอบครัว
ซึ่งมูลค่าราว 9.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ($9.5 billion -2011)
แต่กลับเลือกเดินบนเส้นทางของการเจริญสมาธิภาวนา
ตามแนวปฏิบัติสายพระป่าของไทย
กราบอนุโมทนา สาธุ ครับ
Credit:Fanpage:New Heart New World - โลกเปลี่ยนไป เมื่อใจเปลี่ยนแปลง
คนสุราษฎร์ฯมีวิธีป้องกันแพะ วัว ควาย แทะเล็มใบมะพร้าว
จากอดีตถึงปัจจุบัน คนสุราษฎร์ฯมีวิธีป้องกันแพะ วัว ควาย แทะเล็มใบมะพร้าวในต้นที่ยังไม่โตมากจนได้รับความเสียหาย ด้วยการทามูลควายสดทั่วใบ
จาก SMS FarmerInfo by DTAC- 22 เม.ย.2556- 14.03 น.
-::- มหาบุรุษ -::-
-::- มหาบุรุษ -::-
°.. อย่าบ่น อดทนอย่างยอดเยี่ยม
°.. อย่าเป็นคนร้องทุกข์
°.. ใครคิดอย่างไร อย่าสนใจคำของคนมากนัก
°.. อย่าสนใจความลับของใคร
°.. ทำสิ่งร้ายให้กลายเป็นดี
จดจำบทเรียนจากสิ่งที่ผิดพลาด ด้วยความฉลาดคิด
#-นโปเลียนมหาราช จักรพรรดิ์ฝรั่งเศส-#
-----------------------------------------------+
°.. ไม่รู้จักบ่นหรือร้องทุกข์
°.. ไม่ต้องการทราบว่า คนอื่นจะคิดเห็นว่าเราเป็นคนอย่างไร
°.. เมื่อเราคิดรอบคอบ มั่นใจแล้ว จงทำไปด้วยจิตใจที่ที่แข็งแกร่ง °.. ไม่บอกความลับของตนเองแก่ใคร
°.. และไม่ต้องการสอดรู้สอดเห็นความลับของใคร
°.. ไม่คิดว่าตนเองเคราะห์ร้าย
สามารถนำสถานการณ์ต่างๆมาทำประโยชน์แก่ตนเองได้ทั้งสิ้น
:: พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ ::
ผู้ชายร้องไห้
ผู้ชายร้องไห้
“ ถ้าไม่นับเด็กผู้ชาย วัยกระเตาะ .. คุณเคยเห็นผู้ชายร้องไห้สักกี่ครั้งในชีวิต..? “
คงเห็นกันได้ไม่บ่อยครั้งนัก…
สังคมเป็นตัวบ่งชี้ให้ผู้ชายถูกเลี้ยงดูให้โตมาพร้อมกับความเข้มแข็ง
ไม่ว่าจะมาจากภายในหรือแค่ภายนอกก็ตาม
“ ลูกผู้ชาย เค้าไม่ร้องไห้กัน “
เรามักจะได้ยินมันเสมอๆ ทั้งที่ผู้ชายเองก็รู้สึกได้เท่าๆ กับผู้หญิง ..
แต่เวลาผู้หญิงร้องไห้ กับ ผู้ชายร้องไห้ มันให้ความรู้สึกที่แย่ต่างกัน ...
แต่ถ้ามีคนถามว่า ผู้ชายที่ร้องไห้เนี่ยมันดูอ่อนแอ มากไหม….
คงตอบพร้อมด้วยรอยยิ้มว่า …
“ผู้ชายที่ร้องไห้ และ ยอมรับตัวเองว่าร้องไห้ เป็นผู้ชายที่น่านับถือ ที่สุด
เพราะอย่างน้อยคุณก็ไม่ได้หลอกลวงความรู้สึกของตัวเอง …”
แล้วสาเหตุที่ทำให้ผู้ชายเนี่ย มันมีเหตุผลจากอะไรบ้าง ???????
วันนี้ ฉันทำให้ผู้ชายคนนึงยืนร้องไห้ อยู่ตรงหน้า
ทั้งที่ชีวิตทั้งชิวิตไม่เคยเลยสักครั้งที่จะได้เห็นน้ำตาจากผู้ชายคนนี้ ..
ไม่ว่าชีวิตที่ผ่านมาจะสาหัสสากรรณ์ขนาดไหน
“ฮีโร่ในดวงใจ” ผู้ชายที่มีความอดทน และ เข้มแข็งที่สุด ในสายตาฉัน…
ผู้ชายที่สอนให้ฉันอดทน เข้มแข็ง และไม่ยอมแพ้ก็อะไรง่ายๆ
สอนให้ฉันรู้จักดูแลตัวเอง และเอาชนะสายตาดูถูกของใครต่อใคร ….
ผู้ชายที่ไม่เคยมีแววตาอ่อนโยน หรือคำปลอบประโลมใดๆ ในยามที่ฉันรู้สึกท้อแท้จนไม่อยากจะทำอะไร
แต่ผู้ชายคนนี้มักมีคำพูดที่ทำให้ฉันได้คิด และลุกขึ้นมาสู้ด้วยตัวของตัวเองเสมอ…
ผู้ชายกระด้างไร้หัวจิตหัวใจ ในสายตาฉันเมื่อวันก่อน…
วันนี้ฉันทำให้เค้ายืนร้องไห้อยู่ตรงหน้าอย่างไม่อายใคร…
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ฉันคงรู้สึกแปลกใจกับภาพที่เห็น..
แต่วันนี้ฉันกลับรู้สึกเสียใจที่เป็นต้นเหตุให้ผู้ชายคนนี้ต้องร้องไห้…
ฉันร้องไห้ไปกับผู้ชายตรงหน้า..
ผู้ชายที่ก่อนหน้านี้ฉันคิดเสมอว่า เค้าไม่เคยรัก ไม่เคยห่วงฉันสักนิด
แต่วันนี้เค้าร้องไห้ ร้องไห้เพื่อฉัน…
หลายต่อหลายครั้งที่ฉันร้องไห้เพียงลำพัง กับคำพูด กับการกระทำที่เค้าแสดงออกให้เห็น …
เค้าไม่เคยใส่ใจในความเป็นไป หรือความรู้สึกของฉันสักครั้ง
และด้วยเหตุผลนี้หละมั้งที่ทำให้ฉันเองรู้สึกห่างไกลจากเค้า
ทั้งที่เรายังอยู่บ้านเดียวกัน แต่ต่างคนก็ต่างอยู่ ต่างคนก็ต่างทำหน้าที่ของตัวเอง ..
เค้าทำงาน ฉันก็เรียน ..
และพยายามอย่างที่สุดที่จะทำงานไปด้วยเพื่อช่วยเหลือตัวเอง และจะได้รบกวนผู้ชายคนนี้ให้น้อยที่สุด ….
อีก 20 นาทีข้างหน้าฉันต้องเข้าห้องผ่าตัด เพื่อผ่าตัดเนื้องอกในสมอง ซึ่งการผ่าตัดครั้งนี้แพทย์รับประกันไม่ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับฉันบ้าง ภายหลังจากการผ่าตัดเสร็จสิ้นลง ..
ฉันอาจจะหาย หรือฉันอาจจะพิการ เป็นอัมพฤก อัมพาต
ตาข้างซ้ายที่มองไม่เห็นเมื่อไม่กี่วันมานี้อาจจะปิดสนิทตลอดไป
หรือฉันอาจต้องกลายเป็นเจ้าหญิงนิททรา ถ้าการผ่าตัดครั้งนี้ล้มเหลว….
ผู้ชายคนเดิม ยืนอยู่ตรงหน้า ถามฉันทั้งน้ำตาว่า
“ทำไมลูก ทำไมไม่ยอมบอกพ่อก่อนหน้านี้ ทำไมไม่บอกพ่อสักคำ ”
ถ้าเป็นเมื่อ 6 ปีก่อนฉันคงตอบด้วยความรู้สึกอยากจะเอาชนะว่า
“ไม่คิดว่ามันจะสำคัญอะไรกับใคร”
แต่วันนี้ความรู้สึกมันเปลี่ยนไปแล้ว ฉันโตขึ้น ฉันได้คิด
ฉันได้พิจารณาถึงเหตุ และผลของการกระทำของผู้ชายคนนี้….
เมื่อ 6 ปีก่อน ฉันแอบเห็นพ่อคุยกับรูปภาพของแม่ในห้องพระ
ในคืนวันที่ฉันรับพระราชทานปริญญาบัตร พ่อบอกกับแม่ว่า …
“วันนี้เป็นวันที่พ่อเป็นสุขที่สุด ลูกเรามีงานดีๆ ทำ เรียนจบและรับปริญญาอย่างที่พ่อหวัง
พ่อหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งกับสิ่งที่ผ่านมา “
พ่อนั่งนิ่งๆ อยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน ก่อนที่จะสวดมนต์ไหว้พระอย่างเคย
ฉันแอบเห็นรอยยิ้มจางๆ ของพ่อในเช้าอีกวันที่ฉันเอาใบปริญญาบัตรที่พ่วงด้วยเกียรตินิยมของฉัน
ไปให้พ่อแทนของขวัญวันเกิดของพ่อ พ่อให้สร้อยและร๊อกเกตที่ทำจากทองคำขาวให้ฉันเส้นนึง ..
ข้างในเป็นรูปของพ่อกับแม่ ฉันไม่เคยถอดมันออกจากคอฉันเลยนับจากวันที่พ่อสวมมันให้กับมือของพ่อเอง …
วันนั้นเป็นวันที่ฉันได้พูดคุยกับพ่อได้นานที่สุด พ่อให้ข้อคิดดีๆ มากมายกับฉัน
และที่สำคัญพ่อทำให้ฉันรู้สึกว่าพ่อเองก็รู้สึกว่าฉันเป็นลูกพ่อเหมือนกัน ….
หลังจากวันนั้นฉันพยายามที่จะเรียนรู้ผู้ชายคนนี้มากขึ้น พยายามเข้าใจการกระทำ
และเหตุผลถึงบางครั้งจะเป็นเหตุผลที่ฉันคิดขึ้นเพื่อปลอบใจตัวเอง ฉันพยายามอย่างที่สุดที่แบ่งเบาภาระที่ผู้ชายคนนี้แบกมาทั้งชีวิตให้มากที่ สุดเท่าที่ลูกอย่างฉันจะทำได้ ฉันยอมรับว่าหลายปีที่ผ่านมาฉันทำงานอย่างหนัก ฉันเหนื่อย เหนื่อยมาก
เพื่อแลกกับความเป็นอยู่ที่สะดวกสบายขึ้นของคนในบ้าน …
แต่ฉันเองก็ภูมิใจเสมอกับสิ่งที่ตัวเองทำให้ผู้ชายคนนี้
ภาพของการต่อสู้ชีวิตของผู้ชายคนนี้มักจะทำให้ฉันมีกำลังใจเสมอๆ
เวลาที่ตัวเองกำลังจะล้ม หรือ กำลังร้องไห้ …..
แต่แล้ววันนึงฉันก็พบว่า ก้อนเนื้องอกในสมองของฉัน มันเริ่มทำให้ฉันดำเนินชีวิตแบบปกติไม่ได้เสียแล้ว..
ฉันต้องได้รับการผ่าตัดอย่างเร่งด่วนที่สุดตามคำแนะนำของแพทย์….
ฉันตัดสินใจบอกพ่อในคืนวันก่อนผ่าตัดหลังจากเก็บเรื่องนี้เป็นความลับมาเป็นปี
พ่อตามมาที่โรงพยาบาล แล้วเข้าไปคุยกับหมออยู่ประมาณ 15 นาทีแล้วกลับเข้าดูฉันในห้องพัก ..
พ่อเงียบ เงียบมาก เงียบเสียจนฉันเดาไม่ออกว่าผู้ชายตรงหน้ากำลังคิดอะไรอยู่
พ่อเอาแต่นั่งนิ่งๆ อยู่ข้างๆ เตียงฉัน นั่งอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งเช้า…
พ่อมองดูนาฬิกาครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วที่สุดก็ลุกมายืนข้างๆ เตียงฉัน มองหน้าฉัน
พูดพร้อมๆ กับน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นสาย
“ทำไมลูก ทำไมไม่ยอมบอกพ่อก่อนหน้านี้ ทำไมไม่บอกพ่อสักคำ ”
ฉันขอโทษผู้ชายตรงหน้าทั้งน้ำตา …
และอธิบายถึงสิ่งที่ฉันคิดให้เค้าฟัง …
ฉันคิดไปสารพัดตั้งแต่ วันแรกที่ฉันทราบจากหมอว่าฉันเป็นโรคนี้
ระหว่างการที่ฉันพูดกับการที่ฉันเงียบ อย่างไหนที่จะทำให้พ่อเจ็บปวดน้อยที่สุด
แล้วฉันก็เลือกที่จะเงียบ และเก็บเรื่องนี้ไว้เพียงคนเดียว
ฉันกลัวจะทำให้พ่อเป็นห่วง เป็นกังวล ไปกับเรื่องราวของตัวเอง
และไม่อยากให้พ่อมาเป็นทุกข์ ไม่สบายใจ หรือลำบากเพื่อฉันอีกแล้ว
หลังจากที่รู้ฉันก็พยายามแล้วที่จะหาทางรักษามัน แต่พระเจ้าไม่เข้าข้างฉัน
ฉันจึงต้องทำให้พ่อเป็นทุกข์อยู่อย่างนี้ …
ฉันจำได้ในสิ่งที่พ่อบอกพ่อสอน พ่อสอนให้ฉันเข้มแข็ง สอนให้ฉันสู้ สอนให้ฉันไม่ยอมแพ้
และวันนี้ เวลานี้ฉันก็กำลังต่อสู้กับโรคบ้าๆ นี่ด้วยความหวังว่าฉันจะต้องหาย เพื่อกลับมาดูแลพ่อ
เพื่อให้พ่อได้อยู่อย่างสบายกว่าทุกวันนี้ พ่อเหนื่อยมาพอแล้ว เหนื่อยมาทั้งชีวิตก็ว่าได้
ฉันอยากเห็นพ่อเป็นสุข และสบายกว่านี้ ฉันจึงทำทุกอย่าง อดทน และเข้มแข็ง
และนี่ก็คงจะเป็นอีกบทพิสูจน์หนึ่งที่จะพิสูจน์ความตั้งใจจริงของฉัน…..
พ่อกอดฉัน พร้อมพูดทั้งน้ำตาว่า ..
” พ่อขอโทษ ที่ไม่ค่อยได้ใส่ใจกับรู้สึกหรือความเป็นไป ของลูกเลย
พ่อคิดเสมอว่าลูกเป็นคนเก่ง ลูกเข้มแข็ง และลูกก็เอาตัวรอดได้ในสังคมทุกวันนี้
ขณะที่น้องของลูกไม่เหมือนลูก น้องยังเป็นเด็กไม่รู้จักโต พ่อถึงห่วงน้อง ดูแลน้อง
จนบางครั้งก็ดูเหมือนพ่อเป็นห่วงลูกน้อยกว่าที่ควรจะเป็น แต่พ่อก็รักลูกนะ
พ่อรู้ว่าลูกทำทุกอย่างเพื่อน้องเพื่อพ่อ หลายต่อหลายครั้งที่พ่อทำให้ลูกร้องไห้
แต่พ่ออยากให้ลูกรู้ว่าพ่อต้องการให้ลูกเข้มแข็ง เป็นที่พึ่งของน้องเพราะพ่อไม่รู้ว่า
พ่อเองจะอยู่กับลูกไปได้นานแค่ไหน แต่จำไว้นะลูก ว่า พ่อรักลูก ไม่ได้น้อยไปกว่าน้องเลย “
“ขอบคุณค่ะพ่อ หนูก็รักพ่อ รักที่สุด”
เรากอดกันทั้งน้ำตา ฉันรู้สึกอบอุ่นอย่างที่สุด
ฉันจำได้ว่าพ่อไม่เคยกอดฉันเลยนับจากวันที่แม่จากไปเมื่อ 18 ปีก่อน
ไม่ว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นกับฉัน
ฉันรู้แต่ว่าวินาทีนี้ฉันต้องสู้ ต้องเข้มแข็ง ฉันจะเป็นอะไรไปไม่ได้
ไม่ใช่เพื่อใครแต่เพื่อผู้ชายที่ร้องไห้อยู่ตรงหน้า “ผู้ชายที่ฉันรักที่สุด”
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ขอบคุณบทความจาก http://thaistory.exteen.com/
เมื่อเรายังต้องอยู่กับความคิด...
เมื่อเรายังต้องอยู่กับความคิด...
เราก็ต้องพยายามเป็นนายของความคิด ไม่ใช่เป็นทาส เราก็ใช้ความคิดนี่แหละเป็นเครื่องมือพาเราเข้าใจความจริงแท้ ที่เป็นปรมัตถ์ ที่ไม่มีการปรุงแต่ง
เมื่อเราเห็นความจริงอย่างที่มันเป็น เช่น เห็นธรรมชาติว่าเป็นไตรลักษณ์ แปรเปลี่ยนเสมอ ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เป็นกลาง ๆ ตามธรรมชาติ เราก็จะปล่อยวางและเป็นอิสระจากสิ่งต่าง ๆ ได้
พระไพศาล วิสาโล
ที่มา http://www.facebook.com/visalo?fref=ts
เนกขัมมะ คือ การออกจากกาม...
เนกขัมมะ คือ การออกจากกาม...
ออกทางกาย ได้แก่ การออกบวช ประการหนึ่ง
ออกทางใจ ได้แก่ การทำจิตให้เป็นสมาธิ
จนสงบ สงัดจากกาม จากอกุศลธรรมทั้งหลาย ประการหนึ่ง
เหตุทำให้จิตใจสงบ และมีความสุข
ตัดกังวลห่วงใยอันเกี่ยวกับกาม ด้วยประการทั้งปวง
พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงยกขึ้น
โดยเป็นอานิสงส์ของเนกขัมมะ...
มีจิตบริสุทธิ์ผ่องใส
สมควรที่จะรับพระธรรมที่สูงขึ้นไป เหมือนอย่าง
ผ้าที่ซักให้สะอาด ปราศจากมลทินต่าง ๆ
ควรที่จะรับน้ำย้อมได้แล้ว
จึงได้ทรงแสดง อริยสัจ ๔
- สมเด็จพระสังฆราช
-----------
ขอเชิญร่วม ทำจิตให้เป็นสมาธิ สงบ สงัด จากกาม
และจากอกุศลธรรมทั้งหลาย ร่วมบวชใจ เดือนละครั้ง
งานเพ็ญภาวนา ปฏิบัติบูชาญาณสังวร
Full Moon Meditation Night
ทุกคืนวันเพ็ญตลอดปี ๒๕๕๖
ครั้งต่อไป วันพฤหัสที่ ๒๕ เมษายน เวลา ๑๗.๐๐ - ๒๑.๐๐ น.
ณ สวนปทุมวนานุรักษ์ ด้านหลังสยามพารากอน
(สวนนี้ไม่อยู่ในวัดปทุมวนาราม และไม่เกี่ยวข้องกับทางวัด)
ชมภาพบรรยากาศได้ที่
https://www.facebook.com/media/set/?set=a.10151417662345535.528871.293506240534&type=3
หมายเหตุ ท่านสามารถเดินทางมาร่วมกิจกรรมช่วงใดตามสะดวก แผนที่และการเดินทาง ดูได้จาก http://bit.ly/10Xfpj9
ที่มา http://www.facebook.com/visalo?fref=ts
ปัญหาเกี่ยวกับเพื่อนฝูง
ปุจฉา - กราบนมัสการ พระคุณท่าน ดิฉันมีปัญหาที่แก้ไม่ได้อยู่เรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับหมู่เพื่อนฝูง ซึ่งคิดหนทางเท่าไรก็แก้ไม่ได้เสียที เลยจะขอรบกวนสอบถามและนำหลักธรรมมาประยุกย์ใช้เพื่อไม่เกิดความเสียหายแก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
เรื่องมีอยู่ว่า น.ส.A ไม่ค่อยอยู่ในกลุ่มเพื่อน เลยไม่ค่อยได้คุยกับใครนอกจากดิฉัน ถ้ามีงานที่ทำส่งอาจารย์ นส.A จะจับคู่กับ นส.B เสมอ แต่ปัญหาที่เกิดคือ นส.A เรียนเก่งกว่า นส.B มาก แต่งานส่วนใหญ่ นส.B เป็นคนทำ เหตุผลเพราะ นส.B ชอบนำกลับไปทำที่บ้าน ทำให้นส. A ไม่ได้ทำอะไรเลย ทำให้เวลาทำงานคู่กันทีไรจะมีปัญหาสะสมอย่างนี้เรื่อยมา.....
จนอยู่มาวันหนึ่ง สอบเสร็จใกล้ปิดเทอม อาจารย์มอบหมายงานให้ทำเป็นงานคู่ กำหนดส่ง อีกห้าวัน เนื่องด้วย นส.A ต้องรีบกลับบ้านเพื่อไปฝึกงาน(ฝึกงานใกล้บ้าน) เลยนัด นส. B ทำ แต่นส.B ก็อยากกลับบ้านก่อนไปฝึกงาน (ฝึกงานไกลบ้าน) นส. B เลยรับปากว่าจะทำส่ง เวลาผ่านไป 2 วันทุกคนเข้าฝึกงาน งานหนัก ไม่มีเวลาทำงานส่งอาจารย์ นส. A โทรมาให้นส. B ทำ แต่นส. B ไม่ตอบเลย ส่งข้อความมา นส. B ก็ไม่สนใจ แต่นส.B ก็ตั้งใจจะทำอยู่แล้ว แต่ไม่ยอมบอก นส.A เพราะด้วยเหตุผลที่ว่าอยากดัดนิสัย นส.A ที่ไม่ค่อยช่วยงานเท่าไหร่
เหลือเวลาส่งงานอีกหนึ่งวันจะต้องส่งงาน กำหนดส่ง เที่ยงคืน ขณะนั้นเวลา สี่ทุ่ม นส.B มีความจำเป็น(อย่างมาก)ต้องไปทำธุระเลยยังไม่ได้ทำ ขณะนั้น นส.A โทรมาบอกว่าถ้าอย่างนั้นจะทำเอง เวลาประมาณ 30 นาทีผ่านไป นส.A โทรมาบอกว่า "นส.B ทำเถอะเราทำไม่ได้" (อันที่จริงเธอทำได้แต่ยังไม่สมบูรณ์เธอคิดว่าจะดัดนิสัย นส.B ที่รับปากแล้วแต่ไม่ยอมทำ) นส.B ก็รับปากว่าจะทำ เหลือเวลาอีก ชั่งโมงครึ่งต้องส่ง นส.A ก็ส่งข้อความหานส.B เธอไม่ยอมตอบกลับ
ในระหว่างนั้นเองด้วยความโมโหของ นส.A เธอเลยส่งข้อความไปต่อว่า นส.B ที่ไม่ทำงานเสียทีทั้งๆที่รับปากแล้วว่าจะทำ ในขณะเดียวกันหลังจากที่นส.B กลับมาจากทำธุระที่สำคัญเสร็จ เธอก็ตั้งใจว่าทำงานที่รับปากไว้ให้เสร็จ แต่พอมาอ่านข้อความที่นส.A ส่งมาทำให้เธอโมโหและตอบกลับไปอย่างรุนแรงจนกระทั่งว่า จะไม่ยอมเป็นเพื่อนจะจงเกลียดจงชังกันตลอดไป...
เรื่องทั้งหมดเพื่อนทั้งสองคนโทรมาหาดิฉัน ซึ่งดิฉันก็รับฟังทั้งสองคน ปัญหาของเรื่องนี้นั้น ตามความเข้าใจของดิฉัน คือต่างฝ่ายต่างไม่บอกเหตุผลความจำเป็นของตนให้อีกฝ่ายรับรู้ เลยทะเลาะกัน และยังมีอีกหลายกรณีสับสนปนเปกันไป
ดิฉันควรทำอย่างไรกับปัญหานี้ดีใน ฐานะคนกลาง เพราะไม่อยากเห็นเพื่อนเกลียดกัน พระคุณท่านโปรดเมตตาช่วยชี้แนะแนวทาง หลักธรรม หรือข้อคิดเพื่อดิฉันจะได้นำไปแก้ไขต่อไป กราบนมัสการ ขอบพระคุณค่ะ (T/\T)
พระไพศาล วิสาโล - ปัญหาที่เกิดกับเพื่อนของคุณทั้งสองนั้น เป็นเพราะขาดการสื่อสารกัน ต่างพูดกันคนละที (ด้วยวิธีการส่งข้อความทางโทรศัพท์) ก็เลยเกิดความเข้าใจผิดกัน ที่จริงก่อนเกิดเหตุดังกล่าว ก็มีมูลที่จะทำให้เกิดความบาดหมางใจหรือเข้าใจผิดกันอยู่แล้ว นั่นคือ ความไม่พอใจที่สะสมในใจของ B เรื่องแบบนี้หากบอกให้ A รับรู้ตั้งแต่แรก และช่วยกันหาทางแก้ไข B ก็คงไม่รู้สึกเก็บกดจนคิดจะดัดนิสัย A ด้วยวิธีดังกล่าว ยิ่งมีปัญหาการสื่อสารในระหว่างการทำรายงานด้วยแล้ว ผลที่ออกมากลับเลวร้ายกว่าที่ B คาดคิด คือแทนที่ A จะถูกดัดนิสัย กลับกลายเป็นการทะเลาะเบาะแว้งจนตัดเพื่อนกัน สร้างความเจ็บปวดแก่ทั้งสองฝ่าย
ในฐานะที่เป็นเพื่อนของทั้งสอง คุณสามารถทำให้ทั้งสองรู้ว่าปัญหาเกิดจากความเข้าใจผิดกัน เพื่อนไม่ได้มีเจตนาร้ายหรือทำผิดข้อตกลง แต่เพราะการสื่อสารที่ไม่ดี จึงทำให้ปัญหาบานปลาย แม้จะมีการใช้ถ้อยคำที่รุนแรง แต่การขอโทษและการให้อภัยก็สามารถเกิดขึ้นได้ มิตรภาพนั้นมีคุณค่ามาก ไม่ควรตัดรอนกันเพราะความเข้าใจผิด หรือเพราะเหตุเล็กน้อยเช่นนี้
อย่างไรก็ตามการคืนดีจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อไม่ยึดติดกับเรื่องถูก-ผิดมากนัก ถ้าหากต่างคนต่างยืนยันว่าฉันถูก อีกคนผิด ก็จะไม่มีทางคืนดีกันได้เลย มีแต่จะเถียงกันหนักขึ้นกลายเป็นการเอาแพ้เอาชนะกัน
กรณีนี้เป็นอุทธาหรณ์ว่าเมื่อมีความขุ่นเคืองใจกัน ควรสื่อสารอีกฝ่ายให้รับรู้ (โดยคำนึงถึงเวลา สถานที่ และใช้วาจาที่สุภาพ) หาไม่แล้วก็จะเกิดการสะสมหมักหมมจนกลายเป็นเรื่องราว ควรยอมพูดในสิ่งที่ไม่สบายใจแม้อีกฝ่ายไม่อยากฟัง ดีกว่าเก็บเอาไว้แล้วระเบิดใส่กันจนกลายเป็นศัตรูคู่เวรในที่สุด
ที่มา http://www.facebook.com/visalo?fref=ts
งาน Full Moon Meditation Night 25 เม.ย.2556
วันนี้วันพระใหญ่ ขอเชิญฟัง บทสรรเสริญพระพุทธคุณ
บทเพลงแห่งชัยชนะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
"ปางเมื่อพระองค์ปะระมะพุทธ" (The Great Triumph of The Buddha)
ที่นำมาเรียบเรียงดนตรีให้ร่วมสมัย
และขับร้องใหม่ ได้อย่างไพเราะ
โดย คุณปาน ธนพร แวกประยูร
http://youtu.be/2_YhTkgXV1k
เย็นวันนี้ (25 เมษายน) คุณปาน ธนพร จะไปร่วมเสวนา
ในงาน Full Moon Meditation Night
เพ็ญภาวนา ปฏิบัติบูชาญาณสังวร
ร่วมกับคุณเอ็ดดี้ อ. โรเจอร์ และทีมงานทีวีบูรพา
ขอเชิญร่วม ฟังธรรม สวดมนต์ ทำสมาธิ
ตั้งแต่เวลา 17.00 - 21.00 น.
ณ สวนปทุมวนานุรักษ์
(สวนนี้**ไม่**ได้อยู่ภายในวัดปทุมวนาราม)
แผนที่ดูได้จาก https://www.facebook.com/photo.php?fbid=10151596249110535&set=a.10151417662345535.528871.293506240534&type=1&relevant_count=1
รายละเอียดกำหนดการ อ่านได้จาก
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=10151592867320535&set=a.310319065534.192269.293506240534&type=1&theater
- “คู่” นั้นหาไม่ยากหรอก
ปุจฉา - กราบนมัสการพระอาจารย์ หนูเคยมีครอบครัวมาแล้วครั้งหนึ่งและมีลูกหนึ่งคนค่ะ แต่ก็เลิกกับแฟนไป เพราะเขาไม่มีความรับผิดชอบต่อครอบครัว หลังจากนั้นหนูต้องรับภาระเลี้ยงดูบุตรและพ่อแม่ของหนูมาตลอด หนูเป็นคนเรียบง่าย ไม่กินหรือเที่ยว ทำงานอย่างเดียว ก็พอมีผู้ชายเข้ามาบ้าง ส่วนมากเป็นคนมีครอบครัวกันทั้งนั้น หนูก็ไม่ได้สนใจค่ะ เพราะรู้ตัวดีว่าเรามีภาระมากมาย คงไม่มีใครมาสนใจหรอก
ตอนเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นแหละ หนูถึงคิดน้อยใจว่า ทำไมเราถึงไม่มีคนดูแล เหมือนคนอื่นบ้าง มันคงเป็นกรรมเก่าของหนูหรือเปล่าค่ะ เพราะที่หนูมีครอบครัวหนูก็ไม่มีความสุขค่ะ เพราะแฟนไม่ค่อยจะสนใจดูแลหนูและลูกเลย หนูก็เลยตั้งจิตอธิษฐานในใจมาตลอดว่า ถ้าชาติหน้ามีจริง จะไม่ขอเกิดมาเป็นคน ถึงเกิดมาก็ขอจะไม่มีคู่ดั่งเช่นที่เจอตอนนี้ อาจเป็นเพราะกรรม หรือคำอธิษฐานของหนูหรือเปล่าค่ะ พระอาจารย์
พระไพศาล วิสาโล - “คู่” นั้นหาไม่ยากหรอก คู่ที่ดีต่างหากที่หายาก หากหาคู่ที่ดีไม่ได้ อยู่ลำพังดีกว่า เช่นเดียวกับเพื่อนที่ดีหรือกัลยาณมิตร พระพุทธเจ้าตรัสว่าหากหากัลยาณมิตรไม่ได้ อยู่คนเดียวย่อมดีกว่า
การที่คุณยังไม่เจอคู่ที่ดีนั้น คงไม่ใช่เพราะกรรมเก่าหรือเพราะคำอธิษฐานของคุณหรอก (ถ้าคำอธิษฐานของคุณศักดิ์สิทธิ์ขนาดนั้น คุณก็อย่ารอใช้ ควรอธิษฐานให้พบสิ่งดี ๆ มากมายเสียแต่วันนี้) แต่นั่นเป็นเพราะเหตุปัจจัยยังไม่ถึงพร้อม เช่น นอกจากจะคนที่คุณพบจะเป็นคนดีแล้ว ยังเป็นคนที่คุณเลือกจะใช้ชีวิตคู่กับเขา และเขาก็ยินดีที่จะอยู่กับคุณ คนที่จะมีคุณสมบัติพร้อมทั้ง ๓ ประการนั้นใช่ว่าจะหาได้ง่าย ๆ บางคนเป็นคนดีและเขาก็อยากมีชีวิตคู่กับคุณ แต่คุณไม่ชอบเขา ในกรณีหลังนั้นเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เรื่องกรรมเก่า แต่เป็นเพราะคุณตัดสินใจไม่เลือกเขาเอง อันนี้คือกรรมในปัจจุบัน
อาตมาคิดว่าคุณอย่ามัวแสวงหาคนดีมาเป็นคู่รักเลย ยิ่งแสวงหา กลับยิ่งไม่ได้ (ทำนองเดียวกับคนที่ยิ่งแสวงหาความสุขหรือความรักจากคนอื่น ความสุขหรือความรักกลับหลุดลอยไป) คุณควรพอใจในชีวิตที่เป็นอยู่และพยายามใช้ชีวิตให้มีคุณค่า ถ้าคุณมั่นใจในคุณค่าของตัวเอง คนอื่นก็จะเห็นคุณค่าของตัวคุณเช่นกัน ไม่ช้าไม่นานก็จะมีคนดีที่ “ใช่” มาหาคุณเอง
อย่าเลือกใครเพียงเพราะว่าเขาทำให้คุณรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า มีคนมากมายที่ผิดหวังช้ำใจเพราะการตัดสินใจแบบนี้มาแล้ว เพราะไม่ได้ไตร่ตรองให้ดีว่าเขาเป็นคนดีจริงไหม เพียงแค่เขาพูดเพราะ เอาอกเอาใจ ก็ใจอ่อน รู้สึกอัตตาพองโต ก็เลยเลือกเขาทันที แล้วในที่สุดก็พบว่าเขาหาใช่คนดีไม่ พอเขาได้รับความสุขจากเธอจนเบื่อแล้วเขาก็ทิ้งเธอไป
ควรคิดถึงการพึ่งตนเองเป็นหลัก ถ้าคุณสามารถพึ่งตนเองได้ การมีชีวิตคู่ที่ผาสุกก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่หากพึ่งตัวเองไม่ได้ คิดแต่จะพึ่งพาคนอื่น การมีชีวิตคู่จะกลายเป็นเรื่องเสี่ยงทันที เพราะหากได้คู่ที่ดี ก็โชคดีไป แต่ถ้าได้คู่ที่ไม่ดี ก็เคราะห์ร้าย และโอกาสที่จะเจออย่าแรกนั้นมีน้อยมาก บางคนว่าน้อยกว่าการถูกล็อตเตอรี่ด้วยซ้ำ
ที่มา http://www.facebook.com/visalo?fref=ts
30 วิธีสำหรับคนที่ขึ้นรถเมล์.... แล้วไม่อยากจ่ายตังค์
30 วิธีสำหรับคนที่ขึ้นรถเมล์.... แล้วไม่อยากจ่ายตังค์
1. เลือกคันที่มนุษย์แน่นเอี๊ยดเหมือนปลากระป๋อง
2. ถ้ากระเป๋าอยู่ประตูหน้าให้ขึ้นประตูหลัง พอกระเป๋าเดินมาถึงให้รีบลง แล้ววิ่งไปขึ้นประตูหน้า เล่นไล่จับกัน
3. ในกรณีกระเป๋ารถไม่เห็นให้ แกล้งหลับ
4. ถ้ากระเป๋ารถเห็นให้หลับจริงๆ (อย่าลืมกรน ครอกฟี้ยยย....ด้วยเพื่อความสมจริง)
5. หรือไม่ก็แกล้งหลับตั้งแต่ป้ายรถเมล์ จากนั้นพอรถจอด ก็ละเมอย้ายร่างขึ้นรถไป (วิธีนี้เนียนมากๆ ขอแนะนำ)
6. ใส่ชุดคอสเพลย์สไปเดอร์แมน โดดเกาะหลังคารถ อย่าให้คนในรถเห็น
7. ใส่ชุดนักเรียนอนุบาลเอี้ยมแดง (สำหรับผู้ที่หน้าแก่มาก ควรเพิ่มออปชั่นเพื่อความน่าเชื่อถือ กระติกน้ำ กล่องข้าว หุ่นยนต์กิงก้าแมน ฯลฯ)
8. ปริ๊นตั๋วเถื่อน
9. อุ้ย.. โทษ ข้อ 8 ท่าจะแรงไป เปลี่ยนเป็นเอาเศษกระดาษเล็กๆ มานั่งบี้จะดีกว่า
10. ใช้ สกิลล่องหน
11. แกล้งกระเป๋าตังค์หาย ทำหน้าตาน่าสงสารที่สุดเท่าที่จะทำได้ จากนั้นขอยืมเงินเป๋ารถเมล์
12. ตัดขาทิ้งไปข้างนึงก่อนขึ้นรถ
13. แต่งชุดอีทีขึ้นไปบนรถ จากนั้นขอเจรจากับกระเป๋ารถในฐานะทูตสันติภาพแห่งอวกาศ
14. แกล้งเอาแขนซุกในเสื้อ ปลอมเป็นคนแขนด้วน แล้วบอกเป๋ารถด้วยเสียงหวานซึ้งว่า ตังค์อยู่ในกุงเกงในอ่ะ หยิบให้หน่อยจิ ตะเอง
15. ใส่ชุดกระเป๋ารถขึ้นไป แล้วทำท่าตกใจเมื่อเจอกระเป๋ารถ ?อ๊ะ..! แกเป็นใคร?
16. กอดคอกระเป๋ารถด้วยท่าทีสนิทสนมสุดขีด ก่อนทักทายด้วยเสียงอันดังก้อง ?เฮ้ย เป็นไงบ้างเพื่อนร่วมโลก ไม่ได้เจอกันนาน... เป็นกระเป๋ารถเหรอ พยายามเข้านะ เรื่องตังค์ไม่ต้องห่วง เราจ่ายแน่ แต่ไม่ใช่วันนี้?
17. พูดภาษา อูกันด้า กับกระเป๋ารถเมล์
18. เดินเข้าไปผลักคนขับรถออกจากที่นั่ง ?มา..!! ตูขับเอง?
19. ระหว่างก้าวขึ้นให้แกล้งคุยโทรศัพท์ เสียงดังให้ได้ยินทั้งรถ
?เฮ้ย X ถนอม!! กระเป๋ารถที่เก็บตังค์เราวันนั้น มันออกจากห้องไอซียูรึยังวะ หา... อะไรนะ ยังไม่ออกอีกเหรอ X เราก็ว่าเบามือแล้วนะ?
20. ร้องไห้ แล้วรำพึงรำพันเสียงดัง ?ฮือ.... ทำไม... ทำไมแค่นี้ต้องเก็บเงินกันด้วย อำมหิต ชั้นไปทำอะไรให้แก?
21. ถามทั้งกระเป๋าและคนขับว่า ?เฮ้ย นี่เก็บเงินข้าเหรอ..! นี่แกไม่รู้รึไงว่าชั้นเป็นลูกใคร!!!? (วิธีนี้ออกแนวความจำเสื่อม ฟังไม่ขึ้น ไม่ขอแนะนำให้ใช้)
22. (หมายเหตุจากข้อ 21 : ?โห... ทำยังกะวิธีในข้ออื่นมันฟังขึ้นงั้นแหละ ? )
23. แกล้งเสมือนว่าขึ้นรถผิดคัน แล้วขอลงป้ายหน้า ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ (โอ... วิธีนี้ค่อยยังชั่วหน่อย)
เพื่อความเนียนควรถามทางกระเป๋ารถด้วย ?อืม คันนี้ผ่านลอสแองเจลลิสมั้ยครับ อ๋อ ไม่ผ่านเหรอ งั้นขอลงป้ายหน้าละกัน??!!??
24. บอกกระเป๋ารถเสียงดังว่า ?เก็บอะไร๊!!! ตูจ่ายแล้ววว? ทั้งๆ ที่ทุกคนเห็นแกขึ้นรถมาเมื่อกี้ก็ตาม
25. ถามกระเป๋ารถว่า ?คุณเห็นผู้หญิงใส่ชุดไทยที่อยู่ข้างหลังผมมั้ย..?? เห็นมั้ย ไม่เห็นเหรอ เธอบอกผมว่า อย่าไปจ่ายย.... อย่าไปจ่ายมันน.....?
26. ควักแบ๊งค์พันให้ ยิ้ม แล้วพูดเสียงเขินๆ ?ป๋มไม่มีเศษเยยอ่ะคับพี่ งุงิ งุงิ?
27. พอกระเป๋าถึงตัวให้ตกใจสุดขีด จากนั้นแกล้งเป็นลม (ถ้ามีความสามารถจะกระตุกลมบ้าหมูเพิ่มเข้าไปก็ได้)
28. แกล้งหยิบปืนขึ้นมา แล้วพูดว่า ?อุ๊ย หยิบมาผิด นึกว่ากระเป๋าสตางค์ โอ ไม่นะ งั้นเป๋าตังค์ก็อยู่บ้านอ่ะดิ ตอนนี้จ่ายด้วยลูกปืนไปก่อนได้มั้ย?
29. มองหน้ากระเป๋ารถด้วยสีหน้าที่กวนอวัยวะที่ใช้สวมรองเท้ามากที่สุด เอียงคอ ยกขาเล็กน้อย ปากเบี้ยวพอประมาณ ยักไหล่พอเป็นจังหวะ แล้วเอ่ยเสียงเพราะๆ ว่า ?ตูไม่ให้!!!!?
(จากนั้นก็จะมีเรื่องฟาดปากกัน ไม่ต้องจ่ายค่ารถแน่นอน ไปจ่ายค่าทำแผลแทน)
30. เอ่อ จ่ายๆ ไปเหอะ ทำเป็นเรื่องมากไปได้ ทีวีซีดีการ์ตูนแผ่นละเกือบร้อยแกยังจ่ายกันได้เลย ใช่มะ
เครดิต Chatree C Sinsup
เด็กในโลกยุคตรรกะบิดเบี้ยว : ชนคนปางตายขอจ่าย 500 จบป่ะ
เด็กในโลกยุคตรรกะบิดเบี้ยว : ชนคนปางตายขอจ่าย 500 จบป่ะ
ขอขอบคุณครอบครัวเจ้าทุกข์ที่สั่งสอนอบรมเด็กในโลกยุคตรรกะบิดเบี้ยวนี้ครับ : ชนคนปางตายขอจ่าย 500 จบป่ะ
-การที่น้องทำผิด..มันไม่สายไปนะ?ที่จะยกมือไหว้ ขอโทษ แต่น้องไม่ทำไรเลย?
- เด็กสมัยนี้? คิดว่าเงินจัดการได้ทุกอย่าง (หน้าตาก็ไม่ดี นิสัยยังไม่ดีอีก)
* ถ้าน้องผู้ชายอยากมีอนาคตดีดี? ก็ไม่ควรเอาผู้หญิงคนนั้นมาเป็น?แม่ของลูก
วันพุธที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2556
The Ten Faces of Innovation
The Ten Faces of Innovation
คุณสมบัติของผู้สรรค์สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ทั้ง 10 ประเภท จากหนังสือ “The Ten Faces of Innovation” ซึ่งเขียนโดย ทอม เคลลีย์ ผู้จัดการทั่วไปของ IDEO Product Development บริษัทดีไซน์ชั้นนำที่ได้กล่าวขวัญไปทั่วโลก ทอมได้กล่าวไว้ว่า “นวัตกรรมเป็นเลือดที่หล่อเลี้ยงชีวิตทุกองค์กร เป็นเครื่องมือสำหรับการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมของทั้งองค์กร” มีคุณสมบัติทั้ง 10 ประเภทนี้เป็นอย่างไร
คุณสมบัติเพื่อการเรียนรู้
องค์กรและบุคลากรต่างก็จำเป็นต้องแสวงหาแหล่งข้อมูลใหม่ๆ เพื่อเพิ่มพูนความรู้ให้ตนเองก้าวไปข้างหน้า ไม่ว่าบริษัทจะประสบความสำเร็จมากเพียงใดก็ไม่สามารถสร้างความพึงพอใจได้อย่างสมบูรณ์ เพราะโลกทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว การเรียนรู้เป็นเครื่องเตือนไม่ให้องค์กรยึดติดอยู่กับสิ่งที่ “รู้แล้ว” มากจนเกินไปนัก
1. นักมนุษยวิทยา Anthropologist
คือผู้ที่ป้อนความรู้ความเข้าใจใหม่ๆ ให้แก่องค์กร ด้วยการลงพื้นที่สังเกตุพฤติกรรมทางกายภาพและความรู้สึกต่อผลิตภัณฑ์ บริการ และสถานที่เช่น เจน กู๊ดดอลล์ ผู้ที่ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับลิงชิมแปนซี ด้วยตัวเอง
2. นักทดลอง Experimenter
คือผู้ที่นำแนวความคิดใหม่มาสร้างเป็นต้นแบบและเรียนรู้มันจากการทดลองผิดลองถูก จนกว่าจะประสบความสำเร็จ เช่น ธอมัส เอดิสัน เป็นนักประดิษฐ์และนักธุรกิจชาวอเมริกัน ผู้ซึ่งประดิษฐ์อุปกรณ์ที่สำคัญต่างๆ มากมาย อาทิ หลอดไฟ เครื่องกำเนิดไฟฟ้า
3.นักผสมผสาน Cross – Pollinator
เป็นผู้ที่คอยศึกษา สำรวจดูวิธีการทำธุรกิจประเภทอื่นๆ รวมทั้งวัฒนธรรมที่แตกต่างออกไปจากองค์กร เพื่อจะนำความรู้ใหม่ๆ ที่ค้นพบมาดัดแปลงใช้ให้เหมาะสมกับองค์กร เป็นคนที่มุ่งสรรหาสิ่งที่ดีที่สุดและมีมุมมองแตกต่างจากผู้อื่นเช่น สองพี่น้องตระกูลไร้ท์ ออร์วิลล์ และวิลเบอร์ ไร้ท์ ผู้ที่คิดค้นเครื่องบินได้สำเร็จเป็นลำแรกของโลก
คุณสมบัติเพื่อการจัดการ
คุณสมบัติสำหรับผู้มีหน้าที่จัดการ ต้องรอบรู้ว่าองค์กรมีกระบวนการที่จะผลักดันความคิดออกมาเป็นชิ้นเป็นงานอย่างไร และมีอุปสรรคอะไรบ้าง ซึ่งต้องแข่งกับเวลา ต้องเอาใจใส่ และต้องคำนึงถึงทรัพยากรที่มีอยู่ด้วย คนที่เหมาะสมกับหน้าที่จัดการนี้ต้องเข้าใจกระบวนการจัดสรรงบประมาณและทรัพยากรได้อย่างดี
4.นักแก้ปัญหาฟันฝ่าอุปสรรค Hurdler
คือผู้ที่รู้ว่าบนเส้นทางของการสร้างนวัตกรรมนั้นย่อมเจอกับอุปสรรคเสมอ แต่นั่นจะเป็นการสร้างสติปัญญาให้กับเขา เพื่อให้ชนะอุปสรรค หรือเสนอผลงานออกมาให้ดีกว่าที่ใครๆ คาดคิด เช่น ชาร์ลส์ ลินเบอร์ก ที่ขับเครื่องบินข้ามแอตแลนติกคนเดียวโดยไม่หยุดพัก ได้สำเร็จเป็นครั้งแรก
5.นักประสานงาน Collaborator
เป็นผู้ที่นำกลุ่มยอดฝีมือหลายๆ กลุ่มมารวมกันเพื่อสร้างสรรค์ความร่วมมือใหม่ๆ ที่สามารถแก้ปัญหาได้หลากหลายและค้นพบหนทางแก้ปัญหาใหม่ๆ ที่ต้องอาศัยการร่วมมือข้ามสายงาน โดยมีตัวเองเป็นศูนย์กลางในการประสานงาน ธอมัส เอดิสัน ได้ชื่อว่าเป็นนักประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา และเป็นปรมาจารย์นักประสานงาน เพราะเขาสามารถกระตุ้นให้กำลังใจและสามารถสร้างทีมที่เต็มไปด้วยคนเก่งๆ ซึ่งสร้างสรรค์ประดิษฐ์กรรมใหม่ๆและนวัตกรรมออกมานับไม่ถ้วน
6.ผู้กำกับ Director
ไม่ได้มีหน้าที่แค่รวบรวมความคิดและบุคลากรดีๆ ได้ด้วยกันเท่านั้น แต่ต้องเป็นผู้ที่สามารถจุดประกายความคิดสร้างสรรคที่มีอยู่ในตัวของพวกเขาให้โดดเด่นขึ้นมาได้ด้วย เช่น สตีเว่น สปีลเบิร์ก ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังของฮอลลีวูด และ สตีฟ จ๊อบส์ CEO ของบริษัท Apple ผู้ผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเป็นเครื่องแรกของโลก
คุณสมบัติเพื่อการสร้าง
คุณสมบัติเพื่อการสร้างเป็นการประยุกต์ใช้ความที่ได้จากกลุ่มที่มีหน้าที่เรียนรู้ และใช้ช่องทางที่จะทำให้เป็นจริงจากกลุ่มที่มีหน้าที่จัดการ เพื่อสร้างนวัตกรรมให้เกิดกับบุคคลที่ทำหน้าที่เพื่อการสร้างเป็นบุคคลที่มีความสำคัญอย่างมาก
7. สถาปนิกผู้คร่ำหวอด Experience Architect
เป็นผู้ใช้ประสบการณ์การออกแบบ โดยมองให้ลึกกว่าสภาพการใช้งานปกติเพื่อโยงไปสู่ความต้องการของลูกค้า พวกเขามุ่งมั่นสร้างประสบการณ์แปลกใหม่ให้แก่ลูกค้า ใส่ความรู้สึกลงไปในงาน เช่น ฟิลลิปเป้ สตาร์ค นักออกแบบชื่อดังชาวฝรั่งเศสผู้ที่เต็มไปด้วยพรสวรรค์
8. นักจัดฉาก Set Designer
คือผู้ที่สร้างสรรค์สถานที่ให้สมาชิกในทีมงานสร้างนวัตกรรม และสามารถทำงานได้อย่างดีที่สุด โดยปรับแต่งสภาพแวดล้อมให้กลายเป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการโน้มน้าวความสนใจของผู้ สร้างเวทีและจัดฉากที่เหมาะสมและเอื้อต่อการทำงาน เพื่อให้ทีมคิดค้นนวัตกรรมขององค์กรทำงานได้อย่างดีที่สุด เช่น จอร์จ ลูคาส ผู้กำกับชื่อดัง และเป็นผู้นำในการสร้างนวัตกรรมและสร้างเทคนิคพิเศษในภาพยนต์มากกว่าสามทศวรรษ กับบริษัทอินดัสเตรียลไลท์แอนด์เมจิก
9. ผู้ดูแล Caregiver
เปรียบเหมือนผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพ ซึ่งมีความห่วงใยลูกค้ามากกว่าการให้บริการตามหน้าที่ปกติ ผู้ดูแลที่ดีจะคาดหมายได้ล่วงหน้าว่าลูกค้าต้องการอะไรและพร้อมที่จะดูแลพวกเขา ผู้ดูแลที่ดีจะช่วยกระจายความสามารถและความเชื่อมั่นไปทั่วองค์กร เช่น ระบบ “บริการแสนสบาย” ด้วยเครือข่ายอุปกรณ์รวมสายการบินลุฟฮันซ่า ซึ่งได้รับรางวัล Red Dot Awards ของประเทศเยอรมนี
10.นักเล่าเรื่อง Storyteller
คือผู้สร้างขวัญกำลังใจคนภายในองค์กรและบอกเล่าเรื่องราวให้บุคคลภายนอกได้รับรู้ การเล่าเรื่องเป็นการสื่อสารเพื่อเสริมสร้างวัฒนธรรมเฉพาะขององค์กรให้เข้มแข็งขึ้น สามารถสร้างความน่าเชื่อถือ ช่วยทำให้สมาชิกในทีมผูกพันกัน เช่น เช็กสเปียร์ กวีและนักเขียนบทละครชาวอังกฤษที่ยิ่งใหญ่ของโลก
คุณสมบัติของผู้สรรค์สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ทั้ง 10 ประเภท จากหนังสือ “The Ten Faces of Innovation” ซึ่งเขียนโดย ทอม เคลลีย์ ผู้จัดการทั่วไปของ IDEO Product Development บริษัทดีไซน์ชั้นนำที่ได้กล่าวขวัญไปทั่วโลก ทอมได้กล่าวไว้ว่า “นวัตกรรมเป็นเลือดที่หล่อเลี้ยงชีวิตทุกองค์กร เป็นเครื่องมือสำหรับการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมของทั้งองค์กร” มีคุณสมบัติทั้ง 10 ประเภทนี้เป็นอย่างไร
คุณสมบัติเพื่อการเรียนรู้
องค์กรและบุคลากรต่างก็จำเป็นต้องแสวงหาแหล่งข้อมูลใหม่ๆ เพื่อเพิ่มพูนความรู้ให้ตนเองก้าวไปข้างหน้า ไม่ว่าบริษัทจะประสบความสำเร็จมากเพียงใดก็ไม่สามารถสร้างความพึงพอใจได้อย่างสมบูรณ์ เพราะโลกทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว การเรียนรู้เป็นเครื่องเตือนไม่ให้องค์กรยึดติดอยู่กับสิ่งที่ “รู้แล้ว” มากจนเกินไปนัก
1. นักมนุษยวิทยา Anthropologist
คือผู้ที่ป้อนความรู้ความเข้าใจใหม่ๆ ให้แก่องค์กร ด้วยการลงพื้นที่สังเกตุพฤติกรรมทางกายภาพและความรู้สึกต่อผลิตภัณฑ์ บริการ และสถานที่เช่น เจน กู๊ดดอลล์ ผู้ที่ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับลิงชิมแปนซี ด้วยตัวเอง
2. นักทดลอง Experimenter
คือผู้ที่นำแนวความคิดใหม่มาสร้างเป็นต้นแบบและเรียนรู้มันจากการทดลองผิดลองถูก จนกว่าจะประสบความสำเร็จ เช่น ธอมัส เอดิสัน เป็นนักประดิษฐ์และนักธุรกิจชาวอเมริกัน ผู้ซึ่งประดิษฐ์อุปกรณ์ที่สำคัญต่างๆ มากมาย อาทิ หลอดไฟ เครื่องกำเนิดไฟฟ้า
3.นักผสมผสาน Cross – Pollinator
เป็นผู้ที่คอยศึกษา สำรวจดูวิธีการทำธุรกิจประเภทอื่นๆ รวมทั้งวัฒนธรรมที่แตกต่างออกไปจากองค์กร เพื่อจะนำความรู้ใหม่ๆ ที่ค้นพบมาดัดแปลงใช้ให้เหมาะสมกับองค์กร เป็นคนที่มุ่งสรรหาสิ่งที่ดีที่สุดและมีมุมมองแตกต่างจากผู้อื่นเช่น สองพี่น้องตระกูลไร้ท์ ออร์วิลล์ และวิลเบอร์ ไร้ท์ ผู้ที่คิดค้นเครื่องบินได้สำเร็จเป็นลำแรกของโลก
คุณสมบัติเพื่อการจัดการ
คุณสมบัติสำหรับผู้มีหน้าที่จัดการ ต้องรอบรู้ว่าองค์กรมีกระบวนการที่จะผลักดันความคิดออกมาเป็นชิ้นเป็นงานอย่างไร และมีอุปสรรคอะไรบ้าง ซึ่งต้องแข่งกับเวลา ต้องเอาใจใส่ และต้องคำนึงถึงทรัพยากรที่มีอยู่ด้วย คนที่เหมาะสมกับหน้าที่จัดการนี้ต้องเข้าใจกระบวนการจัดสรรงบประมาณและทรัพยากรได้อย่างดี
4.นักแก้ปัญหาฟันฝ่าอุปสรรค Hurdler
คือผู้ที่รู้ว่าบนเส้นทางของการสร้างนวัตกรรมนั้นย่อมเจอกับอุปสรรคเสมอ แต่นั่นจะเป็นการสร้างสติปัญญาให้กับเขา เพื่อให้ชนะอุปสรรค หรือเสนอผลงานออกมาให้ดีกว่าที่ใครๆ คาดคิด เช่น ชาร์ลส์ ลินเบอร์ก ที่ขับเครื่องบินข้ามแอตแลนติกคนเดียวโดยไม่หยุดพัก ได้สำเร็จเป็นครั้งแรก
5.นักประสานงาน Collaborator
เป็นผู้ที่นำกลุ่มยอดฝีมือหลายๆ กลุ่มมารวมกันเพื่อสร้างสรรค์ความร่วมมือใหม่ๆ ที่สามารถแก้ปัญหาได้หลากหลายและค้นพบหนทางแก้ปัญหาใหม่ๆ ที่ต้องอาศัยการร่วมมือข้ามสายงาน โดยมีตัวเองเป็นศูนย์กลางในการประสานงาน ธอมัส เอดิสัน ได้ชื่อว่าเป็นนักประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา และเป็นปรมาจารย์นักประสานงาน เพราะเขาสามารถกระตุ้นให้กำลังใจและสามารถสร้างทีมที่เต็มไปด้วยคนเก่งๆ ซึ่งสร้างสรรค์ประดิษฐ์กรรมใหม่ๆและนวัตกรรมออกมานับไม่ถ้วน
6.ผู้กำกับ Director
ไม่ได้มีหน้าที่แค่รวบรวมความคิดและบุคลากรดีๆ ได้ด้วยกันเท่านั้น แต่ต้องเป็นผู้ที่สามารถจุดประกายความคิดสร้างสรรคที่มีอยู่ในตัวของพวกเขาให้โดดเด่นขึ้นมาได้ด้วย เช่น สตีเว่น สปีลเบิร์ก ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังของฮอลลีวูด และ สตีฟ จ๊อบส์ CEO ของบริษัท Apple ผู้ผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเป็นเครื่องแรกของโลก
คุณสมบัติเพื่อการสร้าง
คุณสมบัติเพื่อการสร้างเป็นการประยุกต์ใช้ความที่ได้จากกลุ่มที่มีหน้าที่เรียนรู้ และใช้ช่องทางที่จะทำให้เป็นจริงจากกลุ่มที่มีหน้าที่จัดการ เพื่อสร้างนวัตกรรมให้เกิดกับบุคคลที่ทำหน้าที่เพื่อการสร้างเป็นบุคคลที่มีความสำคัญอย่างมาก
7. สถาปนิกผู้คร่ำหวอด Experience Architect
เป็นผู้ใช้ประสบการณ์การออกแบบ โดยมองให้ลึกกว่าสภาพการใช้งานปกติเพื่อโยงไปสู่ความต้องการของลูกค้า พวกเขามุ่งมั่นสร้างประสบการณ์แปลกใหม่ให้แก่ลูกค้า ใส่ความรู้สึกลงไปในงาน เช่น ฟิลลิปเป้ สตาร์ค นักออกแบบชื่อดังชาวฝรั่งเศสผู้ที่เต็มไปด้วยพรสวรรค์
8. นักจัดฉาก Set Designer
คือผู้ที่สร้างสรรค์สถานที่ให้สมาชิกในทีมงานสร้างนวัตกรรม และสามารถทำงานได้อย่างดีที่สุด โดยปรับแต่งสภาพแวดล้อมให้กลายเป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการโน้มน้าวความสนใจของผู้ สร้างเวทีและจัดฉากที่เหมาะสมและเอื้อต่อการทำงาน เพื่อให้ทีมคิดค้นนวัตกรรมขององค์กรทำงานได้อย่างดีที่สุด เช่น จอร์จ ลูคาส ผู้กำกับชื่อดัง และเป็นผู้นำในการสร้างนวัตกรรมและสร้างเทคนิคพิเศษในภาพยนต์มากกว่าสามทศวรรษ กับบริษัทอินดัสเตรียลไลท์แอนด์เมจิก
9. ผู้ดูแล Caregiver
เปรียบเหมือนผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพ ซึ่งมีความห่วงใยลูกค้ามากกว่าการให้บริการตามหน้าที่ปกติ ผู้ดูแลที่ดีจะคาดหมายได้ล่วงหน้าว่าลูกค้าต้องการอะไรและพร้อมที่จะดูแลพวกเขา ผู้ดูแลที่ดีจะช่วยกระจายความสามารถและความเชื่อมั่นไปทั่วองค์กร เช่น ระบบ “บริการแสนสบาย” ด้วยเครือข่ายอุปกรณ์รวมสายการบินลุฟฮันซ่า ซึ่งได้รับรางวัล Red Dot Awards ของประเทศเยอรมนี
10.นักเล่าเรื่อง Storyteller
คือผู้สร้างขวัญกำลังใจคนภายในองค์กรและบอกเล่าเรื่องราวให้บุคคลภายนอกได้รับรู้ การเล่าเรื่องเป็นการสื่อสารเพื่อเสริมสร้างวัฒนธรรมเฉพาะขององค์กรให้เข้มแข็งขึ้น สามารถสร้างความน่าเชื่อถือ ช่วยทำให้สมาชิกในทีมผูกพันกัน เช่น เช็กสเปียร์ กวีและนักเขียนบทละครชาวอังกฤษที่ยิ่งใหญ่ของโลก
อาหารสมุรไพรเลี้ยงแพะ
อาหารสมุรไพรเลี้ยงแพะ นำไพลและบอระเพ็ด อย่างละ 1 กก. ล้างให้สะอาด หั่นแล้วตำให้ละเอียด ผสมกลือแกง 1 กก. ตั้งไว้ในที่ร่ม ให้แพะกิน
จาก SMS FarmerInfo by DTAC- 12 เม.ย.2556- 14.03 น.
ถ้าเราเห็นจุดแข็งของแล้ว ก็ควรเร่งพัฒนาไปในทางนั้นให้มาก
ถ้าเราเห็นจุดแข็งของแล้ว ก็ควรเร่งพัฒนาไปในทางนั้นให้มาก
อย่ามัวเสียเวลาแก้ไขจุดอ่อน (หากจุดอ่อนนั้นไม่ใช่เรื่องพื้นฐานคอขาดบาดตาย)
เพราะหากเรามุ่งแก้แต่จุดอ่อน ต่อให้แก้สำเร็จ สุดท้ายเราก็จะไปจบที่การเป็นคนเก่งในหลายๆ เรื่อง แต่แค่แบบธรรมดาๆ
...
แต่หากเรามุ่งต่อยอดด้านที่เป็นจุดแข็ง ด้านที่เราถนัด สุดท้ายเราอาจไปสู่การเป็นคนที่เก่งทีุ่สุด ในเรื่องนั้นก็ได้
Focus on your strength
วันอังคารที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2556
X Y Z 3 ทฤษฎีของการบริหารคน
X Y Z 3 ทฤษฎีของการบริหารคน
คำถามคือทำไมคุณต้องเรียนรู้ทฤษฎีเหล่านี้
คำตอบก็คือทฤษฎีบริหารนี้จะทำให้คุณรู้จักลูกน้องหรือบุคลากรในหน่วยงานที่คุณต้องรับผิดชอบในแต่ละกลุ่ม ซึ่งช่วยให้คุณเกิดความเข้าใจและรู้จักบริหารคนที่แตกต่างกันไป รวมทั้งการปรับเปลี่ยนทัศนนคติของคนในทีม
ผู้บังคับบัญชาจะไม่ควบคุมผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างเข้มงวด แต่จะส่งเสริมให้รู้จักควบคุมตนเองมากขึ้น
วิธีการบริหารตามแนวนี้ จะเป็นการรวบรวมบุคคลและเป้าหมายโครงการเข้าไว้ด้วยกัน
การจูงใจต้องใช้วิธีการจูงใจในระดับสูง
1. ทฤษฎี X (The Traditioal View of Direction and Control)
ทษฤฎีนี้เกิดข้อสมติฐานที่ว่า
1. คนไม่อยากทำงาน และหสลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ
2. คนไม่ทะเยอทะยาน และไม่คิดริเริ่ม ชอบให้การสั่ง
3. คนเห็นแก่ตนเองมากว่าองค์การ
4. คนมักต่อต้านการเปลึ่ยนแปลง
5. คนมักโง่ และหลอกง่าย
2. ทฤษฎี Y (The integration of Individual and Organization Goal)
ทฤษฎีข้อนี้เกิดจากข้อสมติฐานที่ว่า
1. คนจะไม่ให้ความร่วมมือ สนับสนุน รับผิดชอบ ขยัน
2. คนไม่เกียจคร้านและไว้วางใจได้
3. คนมีความคิดริเริ่มทำงานถ้าได้รับการจูงใจอย่างถูกต้อง
4. คนมักจะพัฒนาวิธีการทำงาน และพัฒนาตนเองอยู่เสมอ
3. ทฤษฎี Z (Z Theory) (William G. Ouchl) ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัย UXLA (Iof California t Los Angeles)
ทฤษฎีนี้รวมเอาหลักการของทฤษฎี X และ Y เข้าด้วยกัน แนวความคิดก็คือ องค์การต้องมีหลักเกณฑ์ที่ควบคุมมนุษย์ แต่มนุษย์ก็รักความเป็นอิสระ และมีความต้องการหน้าที่ของผู้บริหารจึงต้องปรับเป้าหมายขององค์การให้สอดคล้องกับเป้าหมายของบุคคลในองค์การ
ทฤษฎีมีองค์ประกอบที่สำคัญ 4 ประการคือ
1. การทำให้ปรัชญาที่กหนดไว้บรรลุ
2. การพัฒนาผู้ใต้บังคับบัญชาให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
3. การให้ความไว้วางใจแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา
4. การให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
ทฤษฎีนี้ใช้หลักการ 3 ประการ คือ
1. คนในองค์กรต้องซื่อสัตย์ต่อกัน
2. คนในองค์การต้องมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
3. คนในองค์การต้องมีความใกล้ชิดเป็นกันเอง
หลักการบริหารที่มีประสิทธิภาพ (Edgar L Morphet )
1. การบริหารที่มีผู้บริหารเพียงคนเดียวในองค์การ (Division Of Labor)
2. มีการกำหนดมาตรฐานทำงานที่ชัดเจน (Standardization)
3. มีเอกภาพในการบังคับบัญชา (Unity of command)
4. มีการกระจายอำนาจและความรับผิดชอบให้แก่ผู้ร่วมงาน (Delegation of Authority and Responsibility)
5. มีการแบ่งฝ่ายงานและบุคลากรผู้รับผิดชอบให้แก่ผู้ร่วมงานให้เฉพาะเจาะจงขึ้น (Division of Labor)
6. มีการกำหนดมาตรฐานการทำงาน ที่ชัดเจน (Span of control)
7. มีการมอบหมายการควบคุมดูแลที่เหมาะสม (Stability)
8. เปิดโอกาสให้มีการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ ในองค์การได้ (Flexibility)
9. สามารถทำให้คนในองค์การเกิดความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย (Security)
10. มีการยอมรับนโยบายส่วนบุคคลที่มีความสามารถ (Personnel Policy)
11. มีการประเมินผลการปฏิบัติงานทั้งส่วนบุคคลและองค์การ (Evaluation)
คำถามคือทำไมคุณต้องเรียนรู้ทฤษฎีเหล่านี้
คำตอบก็คือทฤษฎีบริหารนี้จะทำให้คุณรู้จักลูกน้องหรือบุคลากรในหน่วยงานที่คุณต้องรับผิดชอบในแต่ละกลุ่ม ซึ่งช่วยให้คุณเกิดความเข้าใจและรู้จักบริหารคนที่แตกต่างกันไป รวมทั้งการปรับเปลี่ยนทัศนนคติของคนในทีม
ผู้บังคับบัญชาจะไม่ควบคุมผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างเข้มงวด แต่จะส่งเสริมให้รู้จักควบคุมตนเองมากขึ้น
วิธีการบริหารตามแนวนี้ จะเป็นการรวบรวมบุคคลและเป้าหมายโครงการเข้าไว้ด้วยกัน
การจูงใจต้องใช้วิธีการจูงใจในระดับสูง
1. ทฤษฎี X (The Traditioal View of Direction and Control)
ทษฤฎีนี้เกิดข้อสมติฐานที่ว่า
1. คนไม่อยากทำงาน และหสลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ
2. คนไม่ทะเยอทะยาน และไม่คิดริเริ่ม ชอบให้การสั่ง
3. คนเห็นแก่ตนเองมากว่าองค์การ
4. คนมักต่อต้านการเปลึ่ยนแปลง
5. คนมักโง่ และหลอกง่าย
2. ทฤษฎี Y (The integration of Individual and Organization Goal)
ทฤษฎีข้อนี้เกิดจากข้อสมติฐานที่ว่า
1. คนจะไม่ให้ความร่วมมือ สนับสนุน รับผิดชอบ ขยัน
2. คนไม่เกียจคร้านและไว้วางใจได้
3. คนมีความคิดริเริ่มทำงานถ้าได้รับการจูงใจอย่างถูกต้อง
4. คนมักจะพัฒนาวิธีการทำงาน และพัฒนาตนเองอยู่เสมอ
3. ทฤษฎี Z (Z Theory) (William G. Ouchl) ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัย UXLA (Iof California t Los Angeles)
ทฤษฎีนี้รวมเอาหลักการของทฤษฎี X และ Y เข้าด้วยกัน แนวความคิดก็คือ องค์การต้องมีหลักเกณฑ์ที่ควบคุมมนุษย์ แต่มนุษย์ก็รักความเป็นอิสระ และมีความต้องการหน้าที่ของผู้บริหารจึงต้องปรับเป้าหมายขององค์การให้สอดคล้องกับเป้าหมายของบุคคลในองค์การ
ทฤษฎีมีองค์ประกอบที่สำคัญ 4 ประการคือ
1. การทำให้ปรัชญาที่กหนดไว้บรรลุ
2. การพัฒนาผู้ใต้บังคับบัญชาให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
3. การให้ความไว้วางใจแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา
4. การให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
ทฤษฎีนี้ใช้หลักการ 3 ประการ คือ
1. คนในองค์กรต้องซื่อสัตย์ต่อกัน
2. คนในองค์การต้องมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
3. คนในองค์การต้องมีความใกล้ชิดเป็นกันเอง
หลักการบริหารที่มีประสิทธิภาพ (Edgar L Morphet )
1. การบริหารที่มีผู้บริหารเพียงคนเดียวในองค์การ (Division Of Labor)
2. มีการกำหนดมาตรฐานทำงานที่ชัดเจน (Standardization)
3. มีเอกภาพในการบังคับบัญชา (Unity of command)
4. มีการกระจายอำนาจและความรับผิดชอบให้แก่ผู้ร่วมงาน (Delegation of Authority and Responsibility)
5. มีการแบ่งฝ่ายงานและบุคลากรผู้รับผิดชอบให้แก่ผู้ร่วมงานให้เฉพาะเจาะจงขึ้น (Division of Labor)
6. มีการกำหนดมาตรฐานการทำงาน ที่ชัดเจน (Span of control)
7. มีการมอบหมายการควบคุมดูแลที่เหมาะสม (Stability)
8. เปิดโอกาสให้มีการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ ในองค์การได้ (Flexibility)
9. สามารถทำให้คนในองค์การเกิดความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย (Security)
10. มีการยอมรับนโยบายส่วนบุคคลที่มีความสามารถ (Personnel Policy)
11. มีการประเมินผลการปฏิบัติงานทั้งส่วนบุคคลและองค์การ (Evaluation)
ไก่พื้นเมืองมีอาการเหงาหงอย
หากไก่พื้นเมืองมีอาการเหงาหงอย ไม่กินอาหาร เป็นตุ่มหรือโรคฝีดาษ ให้ไก่กินน้ำนึ่งข้าวเหนียวที่เย็นแล้ว เพียง 2 สัปดาห์จะดีขึ้นจนเป็นปกติ
จาก SMS FarmerInfo by DTAC- 22 เม.ย.2556- 14.03 น.
ฟื้นฟูผมชี้ฟู แห้งเสีย
ฟื้นฟูผมชี้ฟู แห้งเสีย ให้นุ่มสลวยด้วยสูตรวุ้นว่านหางจระเข้ 100กรัม+ไข่แดง 1 ฟอง+น้ำมันมะกอก100 กรัม ปั่นจนเป็นครีม หมัก30นาทีแล้วล้างออก
จาก SMS FarmerInfo by DTAC- 20 เม.ย.2556- 14.03 น.
ฟื้นฟูผมชี้ฟู แห้งเสีย
ฟื้นฟูผมชี้ฟู แห้งเสีย ให้นุ่มสลวยด้วยสูตรวุ้นว่านหางจระเข้ 100กรัม+ไข่แดง 1 ฟอง+น้ำมันมะกอก100 กรัม ปั่นจนเป็นครีม หมัก30นาทีแล้วล้างออก
จาก SMS FarmerInfo by DTAC- 20 เม.ย.2556- 14.03 น.
วิธีรักษาเห็ดขอนขาวก่อนส่งขายให้สดใหม่อยู่เสมอ
วิธีรักษาเห็ดขอนขาวก่อนส่งขายให้สดใหม่อยู่เสมอ คือ บรรจุถุงพลาสติกใสขนาด 5-10กก. แล้วมัดปากให้พองลม ลอยในอ่างน้ำที่อุณหภูมิ 25 องศา
จาก SMS FarmerInfo by DTAC- 18 เม.ย.2556- 14.03 น.
กฎเหล็ก 89 ข้อ ของการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ
กฎเหล็ก 89 ข้อ ของการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ
1. มิตรภาพ คือ พื้นฐานอันแข็งแกร่งของชีวิตและธุรกิจ
2. ยิ้ม คือ อาวุธที่ทำให้เราก้าวหน้าได้
3. ความรู้ คือ ขุมทรัพย์
4. รู้จักฟังเสียบ้าง
5. กล้าที่จะก้าว
6. ใช้สมองให้มากๆ
7. ต้องมีคุณธรรม
8. มีความอดทน
9. อยู่อย่างเรียบง่าย
10. มีพระเดช ใช้ให้เป็น
11. มีพระคุณ ใช้ให้เป็น
12. ซื่อสัตย์
13. ลับคมอยู่เสมอ
14. มองไปข้างหน้า
15. คนรวย วางแผนสำหรับวันพรุ่งนี้, คนจน วางแผนแค่วันนี้
16. จงเป็นนักสู้
17. ความยิ่งใหญ่ของอุดมการณ์ มิได้อยู่ที่การชนะผู้อื่นแต่อยู่ที่การชนะตนเอง
18. รู้จักอ่านคน
19. ไม่มีคำว่า "เดี๋ยว"
20. ผู้ที่ขาดความเข้มแข็งทางจิตใจ ทำสิ่งใดก็ไม่บรรลุ
21. ได้ฟังไม่ดีเท่าได้เห็น
22. เชื่อมั่นในคนอื่น
23. จงวางแผนล่วงหน้าไว้ให้พร้อมสรรพ
24. ความรีบร้อนมักนำความผิดพลาดมาให้เสมอ
25. รู้เขารู้เรา กุมสภาพได้ดี
26. รู้จักพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส
27. พันคนก็มีเรื่องพันอย่าง แต่มีทุกข์ไม่เหมือนกันสักคน
28. การพูดจาไม่รู้จักถ่อมตน ธุรกิจก็ยากที่จะประสบผล
29. ครอบครัวจะรุ่งเรืองอยู่ที่คำ 2 คำ ขยันและประหยัด
30. อย่าอวดตนเก่งกว่าคนอื่น โลกนี้ผู้ที่เก่งกว่าตนนั้นมีมากมาย
31. ต้องเคารพตนเอง มิฉะนั้นแล้วจะไม่มีใครเคารพท่าน
32. ยามให้ไม่ควรคิด ยามรับควรตอบแทนคุณ
33. ผู้ที่สามารถควบคุมความโกรธไว้ได้เป็นผู้มีปัญญายอดเยี่ยม
34. ยามรุ่งเรืองไม่ประมาท ยากตกยากต้องอดทน
35. ทั่วปฐพีล้วนมีขุมทรัพย์ เพียงแต่รอผู้มีวาสนา
36. ถอยสักก้าว ทะเลดูสวย ท้องฟ้าสดใส
37. คนที่มีปัญญาเห็นแก่ตัว สู้คนโง่ทำเพื่อส่วนรวมไม่ได้
38. คบคนดีควรผ่อนปรน คบคนชั่วควรระวังกวดขัน
39. ผู้กระทำการใหญ่ ย่อมไม่ถือสาคำตำหนิเล็กๆ น้อยๆ
40. การวางเฉยเป็นมารยาทที่ดี แต่มากนักเป็นคนลับลมคมใน
41. โรคภัยเข้าทางปาก ภัยพิบัติออกจากปาก
42. โชควาสนาติดตามคนกล้า เคราะห์กรรมตามหลังคนขลาด
43. อาศัยโชควาสนา หรือ จะสู้ความสามารถของตนได้
44. ผู้รอบรู้มักถ่อมตน ผู้โง่เขลามักยโส
45. ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน
46. ความขี้เกียจ คือ สุสานฝังคนเป็น
47. หนทางนั้นคดเคี้ยว แต่เหตุผลนั้นเที่ยงธรรม
48. ความเด็ดขาด คือ พื้นฐานของการตัดสินใจที่ดี
49. ไม่มีสิ่งใดยาก สำหรับผู้มีใจพากเพียร
50. การทำงานอย่าเอาทิฐิของตน ต้องเข้าใจเหตุผลของงาน
51. คุณธรรมความดีไม่ได้อยู่ที่ลิ้น หากเก็บไว้ในใจ
52. ปัจจุบันละเลยเรื่องเล็กน้อย ภายหน้าเสียใจใหญ่หลวง
53. ความมัธยัสถ์เป็นหนทางแห่งความร่ำรวยที่ยิ่งใหญ่
54. คนโง่เท่านั้นมักอวดตนเป็นคนฉลาด
55. ใคร่ครวญต้องช้า ๆ ลงมือทำต้องรวดเร็ว
56. รู้จักเว้นช่องว่างระหว่างความสัมพันธ์
57. มารยาทดีงามต่อคน เป็นสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าสิ่งใด
58. ของมีพิษห้ามกิน ของผิดกฎหมายห้ามทำ
59. คนดีมักถูกรังแก ม้าดีมักถูกควบขี่
60. เหนือภูเขายังมีภูเขา เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน
61. สู้ตายแต่ไม่ตาย
62. เรื่องราวของครอบครัว ไม่ควรแพร่งพรายออกนอกเรือน
63. คนเรามิใช่จะมีโชคเรื่อยไป ดอกไม้มิใช่จะบานอยู่ตลอดไป
64. ปัดเป่าความยุ่งยากได้ครั้งหนึ่ง ความยุ่งยากจะมาอีกร้อยครั้งก็ปัดเป่าได้
65. ครูเปิดประตูให้ แต่คุณจะต้องเดินเข้าไปด้วยตัวคุณเอง
66. ฉลาดแต่เข้าข้างคนผิด ชีวิตก็บัดซบ, ฉลาดแต่เข้ากับใครไม่ได้ ก็ไร้ประโยชน์,
ฉลาดแต่ขาดคุณธรรมไม่ทำให้เจริญ
67. มียอดขุนพล มีคนฉลาด แต่หากชิงผลประโยชน์ ก่อกวนกันเอง ย่อมมิอาจครองแผ่นดิน
68. ตาสามารถมองเห็นสิ่งที่ไกลได้ แต่ไม่สามารถมองเห็นคิ้วของตน
69. น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำฉันใด เราก็กลายเป็นคนฉลาดในช่วงเวลาลำบากฉันนั้น
70. การบริหาร คือ การทำงานให้สำเร็จโดยอาศัยมือผู้อื่น
71. ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด
ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด
ผู้ที่มีเกียรติ คือ ผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น
72. เพราะแสวงหา มิใช่เพราะรอคอย
เพราะเชี่ยวชาญ มิใช่เพราะโอกาส
เพราะสามารถ มิใช่เพราะโชคช่วย
ดังนี้แล้ว "ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน"
73. ไม้คดใช้ทำขอ เหล็กงอใช้ทำเคียว แต่คนคดเคี้ยวใช้ทำอะไรไม่ได้เลย
74. เมื่อเสียหลักก็ต้องหลบหลีกปีกหาง
เมื่อพลั้งพลาดต้องรู้หลบหลีกปีกหาง
ค่อยๆคิด ค่อยๆทำ ค่อยคลำทาง
จึงจะย่างสู่จุดหมายเมื่อปลายมือ
75. รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว เข้าใจผ่อนหนักผ่อนเบา
76. เริ่มต้นทันทีเมื่อโอกาสมาถึง
77. รอบคอบ หนักแน่น ฉับไว ทันการณ์
78. ขายมากกำไรน้อย ดีกว่าขายน้อยกำไรมาก
79. ร่วมมือท่ามกลางการแข่งขัน
80. สร้างภาพลักษณ์ที่ดีและโดดเด่น
81. คน คือ ทรัพยากรที่มีคุณค่ามากที่สุด
82. มองทะลุถึงหัวใจและครองใจผู้ร่วมงาน
83. รู้ลึก รู้รอบ รู้ซึ้ง รู้ก่อน และรู้เร็ว
84. บุญคุณต้องตอบแทน
85. รุกเมื่อคนอื่นถอย ทวนกระแสสร้างโอกาส
86. ต่อรองต้องยืดหยุ่นและยืนหยัด
87. รู้จักพลิกแพลง
88. ตัดเนื้อร้ายเสียบ้าง เพื่อรักษาเนื้อส่วนใหญ่ที่ดีอยู่
89. ชัยชนะอยู่ที่ตัวเราเอง
http://www.facebook.com/people.khon?fref=ts
วันจันทร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2556
กฎสามข้อในชีวิตการทำงาน
กฎสามข้อในชีวิตการทำงาน
1) ท่ามกลางความยุ่งเหยิง จงมองหาความเรียบง่าย
2) ท่ามกลางการทะเลาะขัดแย้ง จงมองหาสิ่งที่เข้ากันได้
3) ในภาวะวิกฤตย่อมต้องมีโอกาส
Three rules of work:
Out of clutter there is simplicity; Out of discord finds harmony; and in the middle of difficulty lies opportunity.
1) ท่ามกลางความยุ่งเหยิง จงมองหาความเรียบง่าย
2) ท่ามกลางการทะเลาะขัดแย้ง จงมองหาสิ่งที่เข้ากันได้
3) ในภาวะวิกฤตย่อมต้องมีโอกาส
Three rules of work:
Out of clutter there is simplicity; Out of discord finds harmony; and in the middle of difficulty lies opportunity.
ถ้าเกิดอยากจะมีคู่ดี ๆ ซักคนนึง ควรจะต้องทำอย่างไรคะ
พี่ฉอด (ถาม)
: แล้วถ้าเกิดจะถามคำถามโดนใจของทุกคนว่า
ถ้าเกิดอยากจะมีคู่ดี ๆ ซักคนนึง ควรจะต้องทำอย่างไรคะ
ดังตฤณ : ครับ คือตรงนี้นะ เอาคำตอบของพระพุทธเจ้าเลย
เพราะมีคนที่พยายามจะอธิบายหลากหลายแนว
แต่เอาที่มันเป็นของจริงตามธรรมชาติดีกว่า
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าหากคนจะอยู่ร่วมกันได้ ทั้งในชาตินี้
และก็ไปเจอกันในชาติหน้าด้วย ด้วยความเหมาะสมกันเนี่ย
หนึ่ง ต้องมี ศรัทธา เสมอกัน
สอง ต้องมี ศีล เสมอกัน
สาม ต้องมี จาคะ เสมอกัน
สี่ ต้องมี ปัญญา เสมอกัน
ตัวศรัทธา นี่นะครับ คือ ตัวที่เชื่ออะไรเหมือน ๆ กัน
ส่วนเรื่องของ ศีล ก็คือ.. เหมือนคนตัวหอมเนี่ย
ก็จะไม่อยากอยู่กับคนตัวเหม็นใช่มั้ยครับ
และคนตัวเหม็น ก็มักจะหมั่นไส้คนตัวหอม อะไรแบบนี้ใช่มั้ย
เพราะฉะนั้น ถ้ามีศีลเสมอกันเนี่ย มันก็หอมเหมือนกัน ก็พึงพอใจกันและกัน
จาคะ คือการสละออก เรื่องการสละนี่ มีนัยลึกซึ้งหลายนัยนะครับ
แต่พูดง่าย ๆ ว่า ถ้าสมมติว่าผัวคิดทำบุญ เมียเกิดรู้สึกต่อต่อต้าน อย่างนี้ก็อยู่ด้วยกันไม่ได้
หรือว่าผัวอยากช่วยคน เมียบอกไปช่วยทำไม อย่างนี้ก็รู้สึกจะต้องเถียงกันแล้ว
ว่า เอ๊ย เอาเงินส่วนของเรา เอาเวลาส่วนของเรา เอาไปบริจาคให้คนอื่นทำไม มันก็เถียงกัน
แต่ถ้าชอบที่จะช่วยเหลือคนเหมือน ๆ กัน มันก็เกิดกิจกรรมร่วมกันได้ แล้วก็มีความสุขร่วมกัน
ส่วนข้อสุดท้ายคือ ปัญญา ปัญญานี่ก็มีทั้งปัญญาทางโลก และก็ทางธรรม
ถ้าปัญญาทางโลก ก็พูดง่าย ๆ ว่าใช้ภาษาเดียวกัน คุยด้วยภาษาเดียวกัน
และก็มีอัธยาศัยในการพูดคุยเรื่องทั่ว ๆ ไปเหมือนกัน
ส่วนปัญญาทางธรรม ก็หมายความว่า มีความรู้จักบุญ รู้จักบาปเหมือน ๆ กัน
เชื่อเรื่องบุญ เชื่อเรื่องบาป แล้วก็พร้อมที่จะประกอบแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์เหมือน ๆ กัน
ตรงนี้เนี่ย มันก็จะทำให้เกิดความกลมกลืน
สี่ข้อนี้นะครับ ศรัทธา ศีล จาคะ แล้วก็ ปัญญา
ถ้าหากว่าเสมอกัน หรือว่าอย่างน้อย ไปในทิศทางเดียวกันแล้ว
ก็จะเกิดความกลมกลืน แล้วก็ความรู้สึกเป็นสุขที่จะได้อยู่ด้วยกัน
แต่ถ้าหากว่าสี่ข้อนี้ไม่เสมอกันแล้ว โอกาสที่จะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ก็ดูจะเลือนราง
ซึ่งเราก็จะเห็นจากคู่ทั่ว ๆ ไป ที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้แหละ
แล้วก็ในอดีตด้วย แล้วก็ในอนาคตด้วย
บอกได้เลยว่า เรื่องของศรัทธา ศีล จาคะ แล้วก็ปัญญา ที่จะจูนให้เสมอกันได้
ต้องมาจากสิ่งเดียวเท่านั้นครับ คือ 'ศรัทธาในเรื่องเดียวกัน'
พระพุทธเจ้าท่านถึงขึ้นด้วยศรัทธา
ถ้าเชื่อเรื่องเดียวกันซะแล้วเนี่ย โอกาสที่จะทำอะไรสอดคล้องกลมกลืนกัน
แล้วมีความสุขอยู่ด้วยกันทั้งชีวิต ก็เป็นไปได้
บางคนนะ ถึงกับบอกเลยว่า คือเขาวิเคราะห์กันมา บอกว่า
ธรรมชาติเนี่ย เหมือนกับดีไซน์ ออกแบบให้มนุษย์มาอยู่ด้วยกัน มาจับคู่กัน
แต่เสียดาย ที่ไม่ได้ออกแบบให้อยู่ด้วยกันได้
คือหมายความว่า ส่งมาแต่แรงดึงดูด ว่าจะต้องมาอยู่ด้วยกัน
แต่ว่าพอมาอยู่ด้วยกันแล้ว ไม่มีปัจจัยอะไรเกื้อกูลให้อยู่ด้วยกันได้ตลอดรอดฝั่ง
ตรงนี้เป็นเรื่องของการวิเคราะห์
แต่ถ้าสมมติว่าเขาได้มาศึกษาพุทธศาสนา แล้วดูให้มันจริง ๆ จัง ๆ อย่างลึกซึ้งว่า
สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน เรื่องศรัทธา เรื่องศีล เรื่องจาคะ เรื่องปัญญาเนี่ยนะ
มันจะทำให้เกิดความสุข เกิดความผูกมัด เกิดความป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ตรงนี้เนี่ย ชาติหน้านะ ไม่ต้องหาคู่เลย คือจะได้ไปเจอกันแน่นอน
อันนี้คือสิ่งที่พระพุทธเจ้ายืนยันนะ เวลาคนไปถามท่านเนี่ย
ว่าทำยังไงถึงจะได้อยู่ด้วยกันตลอดรอดฝั่ง
ทั้งในชาตินี้ และก็ได้ไปเจอกันในชาติหน้า พระพุทธเจ้าตอบแบบนี้
ซึ่งถ้าหากว่าเราดูจากความเป็นจริงนะ เราก็จะเชื่อเลยว่า
เนี่ย มันเป็นหลักการที่ถูกต้องแล้ว เพราะว่าคนเราจะมีความสุข มันต้องมีเหตุ
คนเราจะรู้สึกว่ากลมกลืนหรือว่าอยากอยู่กับใครเนี่ย
มันไม่ได้เกิดขึ้นลอย ๆ มันต้องมีความสมเหตุสมผลอยู่
ซึ่งก็นี่ ตรงนี้ล่ะครับ คือคำตอบที่ชัดเจนที่สุด
สัมภาษณ์ดังตฤณในรายการกรีนเวฟ 106.5 - ช่วงที่ ๕
http://www.dungtrin.com/index.php?option=com_content&view=article&id=680%3A-1065&catid=80%3Ascoop&Itemid=283&limitstart=4
วันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2556
ทำไมบางคนถึงทุกข์ร้อน วิตกกังวล กระวนกระวาย ไม่สบายใจ ไม่ปลอดโปร่งอยู่เสมอ
ทำไมบางคนถึงทุกข์ร้อน วิตกกังวล กระวนกระวาย ไม่สบายใจ ไม่ปลอดโปร่งอยู่เสมอ
คำตอบง่ายมาก เพราะเขาแบกความคิดและความรู้สึกหลายอย่างเอาไว้ ไม่ปลดปล่อย ไม่ปรับเปลี่ยน จนกระทั่งมันกลายเป็นขยะหรือคราบสกปรกเกาะติดหัวใจ เวลามีอะไรมากระทบหรือสัมผัสกับความรู้สึก ก็จะมีคราบเปื้อนเหล่านี้เข้าไปเจือปน ความสดใสที่ควรจะมี จึงมีได้ไม่เต็มที่
ทำไมเราจึงปล่อยให้ใจเป็น "ถังขยะ" ล่ะ
คำตอบก็คือ เราไม่ค่อยรู้ตัวหรอกว่าเราแอบทิ้งขยะลงไปในใจของเราเอง หรือมีใครทิ้งขยะลงมาในหัวใจของเราบ้าง ถ้าเราไม่หมั่นสำรวจ บางทีเราอาจมีขยะรกเรื้อหัวใจอยู่มากมายเลยก็ได้ อะไรบ้าง ที่เป็นขยะหัวใจ
1. ความไม่พอใจ
มีหลายเรื่องเลยนะในชีวิตที่เราไม่พึงพอใจ ถ้าจะแบ่งให้กว้างที่สุดเพื่อให้เห็นภาพ สิ่งที่ทำให้เราไม่พอใจมีอยู่ 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ ไม่พอใจคนอื่น กับไม่พอใจตัวเอง ไม่พอใจคนอื่นเกิดได้มากกว่าความไม่พอใจในตัวเอง เพราะธรรมชาติของคน ย่อมรักตัวเองมากกว่าคนอื่น ย่อมโทษคนอื่นก่อนโทษตัวเอง ย่อมเห็นความผิดของคนอื่นได้ก่อนและได้ชัดกว่าความผิดของตนเอง
ขณะเดียวกันเราต่างก็รู้ว่าโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ มีเกิน มีขาด จนกว่าจะค่อยๆ ปรับปรุงพัฒนาให้มีความพอดีได้ จึงจะเข้าใกล้ความสมบูรณ์แบบมากที่สุด ฉะนั้น เราควรมองด้านดีของกันและกันให้มากกว่าด้านที่บกพร่อง
ถ้าเราเริ่มจากมองด้านดีของกันและกันแล้ว ความพึงพอใจ และความนับถือในกันและกันก็จะเกิด ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่สร้างสรรค์กว่าการจับผิดกั น แล้วนำไปสู่ความไม่พอใจ
2. ความผิดหวัง
2 สิ่งที่ไม่ควรตั้งความหวังไว้สูงนัก คือ หวังว่าเรื่องบางเรื่อง เหตุการณ์บางเหตุการณ์ หรือคนบางคนในอดีตจะย้อนกลับมา กับหวังว่าอนาคตจะเป็นไปตามที่เราวาดหวังเสียทุกประการ อดีตเป็นสิ่งที่ยากจะเรียกหาให้ย้อนกลับคืนมาเป็นเหมือนเดิม ดีที่สุดคือใช้อดีตเป็นบทเรียน ให้สติ ให้เราเรียนรู้ทั้งโอกาสและความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้น เพื่อให้วันนี้และวันข้างหน้า ดีกว่าอดีตที่เคยเป็น
ส่วนอนาคตย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย ไม่สามารถบังคับบงการให้เป็นไปตามความหวังของเราได้เสียทั้งหมด แต่พอจะคาดการณ์ได้ว่าน่าจะเป็นอย่างไร กระนั้นก็ตาม หากไม่เป็นไปอย่างที่คาดการณ์ ก็อย่าได้ทุกข์ร้อนเสียใจ และปล่อยความคาดหวังบนความไม่แน่นอนแบบนี้ให้เป็นขยะ รกอารมณ์
3. ความอิจฉาริษยา
ขยะอย่างหนึ่งที่รกใจคนที่สุด ก็คือความอิจฉาริษยาคนอื่น โดยไม่ทันเฉลียวว่า ทุกครั้งที่เราอิจฉาริษยาใครก็ตาม ความนับถือตัวเองของเราก็เสื่อมถอยลงไปด้วย เพราะการจะรู้สึกอิจฉาหรือริษยาใครนั้น ย่อมมีพื้นฐานมาจากความรู้สึกว่าเขาดีหรือได้ดีกว่าเรา เราจึงอิจฉาเขาเป็นพัลวัน
จงหยุดอิจฉา แล้วมองให้เห็นว่าการที่คนอื่นได้ดีหรือมีดีกว่าเรานั้น เป็นสิ่งที่น่ายินดี ควรยินดีกับเขา และปรับเปลี่ยนโน้มน้าวตัวเองให้ทวีความดีดั่งที่เขา มีจนเราอิจฉา
4. ความยึดมั่นถือมั่น
ขยะที่เพิ่มพูนความรกเรื้อรุงรังให้ใจได้เป็นอย่างดีอีก ประการหนึ่งคือ ความยึดมั่นถือมั่น คิดว่านั่นก็คนของฉัน นี่ก็บ้านของฉัน รถของฉัน คนรักของฉัน ตำแหน่งของฉัน ฯลฯ จนไม่สามารถปล่อยวางสิ่งนอกตัวเหล่านั้นลงได้
ส่วนใหญ่พบว่าจิตจะปรุงแต่งไปเอง ว่าสิ่งนี้ฉันรัก สิ่งนี้ฉันเป็นเจ้าของ ใครก็เอาไปจากฉันไม่ได้ พอไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ ก็ผูกพันหน่วงเหนี่ยว ยังคงเสียดาย เสียใจ และปรุงแต่งจิตเพิ่มเข้าไปว่าฉันนี้แสนทุกข์ระทม
ลองยอมรับความจริงดูบ้างไหม ว่าอะไรๆ ในโลกนี่ก็ไม่ใช่ของเราอย่างถาวรทั้งสิ้น แม้กระทั่งร่างกายของเรานี้ แท้ก็เป็นแค่ของยืมมา ใช้ได้ชาตินี้ชาติเดียว เดี๋ยวก็เสื่อม ก็แก่ ก็ป่วย ก็ตาย ต้องคืนร่างกายสังขารนี้สู่สภาพดิน น้ำ ลม ไฟ เน่าเปื่อยผุพังไป สิ้นความสวยความหล่อ ตลอดจนลาภยศสรรเสริญทั้งปวง
5. ความกลัว
ใจหลายคน รุงรังไปด้วยความกลัว กลัวเขาจะไม่รัก กลัวเงินจะหมด กลัวฝนจะตก กลัวนายจ้างจะเลิกจ้าง กลัวเพื่อนร่วมงานจะได้ดีกว่า กลัวไม่ก้าวหน้า ไม่ได้โบนัส ฯลฯ
กลัวไปทำไม เรื่องบางเรื่องเราตัดสินเองไม่ได้ อยู่นอกเหนือจากการควบคุม ซึ่งกลัวไปก็เท่านั้น ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นสักนิด บางเรื่องแทบไม่มีวันมาถึงในชีวิต ก็กลัวล่วงหน้า กลัวจนประสาทเสีย
จงพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับทุกคนและทุกสิ่งในชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี ซึ่งต้องเริ่มจากการทำแต่สิ่งที่ดี โปร่งใส ไม่เป็นแผลติดตัวที่ต้องปิดบังซ่อนเร้น และจงขจัดความกลัวออกไปจากใจ เพื่อให้เกิดความมั่นใจที่จะใช้ชีวิตของเราให้สมศักดิ์ศรี เพื่อที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพื่อทำให้ชีวิตนี้ดีกว่าเดิม
6. ความอยาก
จง "อยาก" ให้พอดีกับกำลังกาย กำลังทุน และกำลังสติปัญญาของตัวเอง อย่าอยากจนเกินกำลัง เพราะจะทำให้สิ้นกำลังได้ง่าย แล้วกลายเป็นคนพ่ายแพ้ อ่อนแอ หมดสิ้นความทะเยอทะยานอยากในชีวิต
ความทะเยอทะยานอยากเหมือนรถ แต่ใจเราคือคนขับ รถแล่นด้วยความเร็วกำลังดี เราก็ได้ประโยชน์ จอดอยู่เฉยๆ ก็นิ่งอยู่กับที่ แต่หากแล่นฉิวจนเกินควบคุม ก็อันตรายกับชีวิต ฉะนั้น ใจต้องเป็นนายของความทะเยอทะยานอยาก ขับเคลื่อนความทะเยอทะยานอยากโดยควบคุมได้
ทำอย่างไรให้ใจสะอาด
เริ่มจากปล่อยวางสิ่งต่างๆ ลง อย่ายึดติดยึดถือให้มากนัก แล้วอยู่กับปัจจุบัน อะไรที่อยู่กับเรา เป็นของเรา ย่อมอยู่กับปัจจุบันของเราด้วย นั่นคือสิ่งจริงแท้แน่นอน การปล่อยวางสิ่งต่างๆ ลง เท่ากับการเทขยะทิ้ง การอยู่กับปัจจุบัน เท่ากับการปิดฝาถังขยะ ไม่เปิดรับขยะใหม่ๆ ให้ใจต้องสกปรกรกรุงรังอีก เพื่อมีเวลาทำความสะอาดหัวใจให้ผ่องใส เบิกบาน
ใจ แท้จริงผ่องใสด้วยตัวของมันเอง แต่คนที่เป็นเจ้าของหัวใจต่างหาก ที่ชักนำสิ่งต่างๆ มาปะพอก จนใจนั้นหมดสภาพ ฟื้นหัวใจให้กลับไปผ่องใสดังเดิมกันเถิด ปัดฝุ่นและคราบเขม่าทั้งหลาย แล้วเปิดทางให้หัวใจได้หายใจ เต้น และรู้สึกด้วยตัวของมันเอง
ที่มา http://www.facebook.com/people.khon?fref=ts
คำตอบง่ายมาก เพราะเขาแบกความคิดและความรู้สึกหลายอย่างเอาไว้ ไม่ปลดปล่อย ไม่ปรับเปลี่ยน จนกระทั่งมันกลายเป็นขยะหรือคราบสกปรกเกาะติดหัวใจ เวลามีอะไรมากระทบหรือสัมผัสกับความรู้สึก ก็จะมีคราบเปื้อนเหล่านี้เข้าไปเจือปน ความสดใสที่ควรจะมี จึงมีได้ไม่เต็มที่
ทำไมเราจึงปล่อยให้ใจเป็น "ถังขยะ" ล่ะ
คำตอบก็คือ เราไม่ค่อยรู้ตัวหรอกว่าเราแอบทิ้งขยะลงไปในใจของเราเอง หรือมีใครทิ้งขยะลงมาในหัวใจของเราบ้าง ถ้าเราไม่หมั่นสำรวจ บางทีเราอาจมีขยะรกเรื้อหัวใจอยู่มากมายเลยก็ได้ อะไรบ้าง ที่เป็นขยะหัวใจ
1. ความไม่พอใจ
มีหลายเรื่องเลยนะในชีวิตที่เราไม่พึงพอใจ ถ้าจะแบ่งให้กว้างที่สุดเพื่อให้เห็นภาพ สิ่งที่ทำให้เราไม่พอใจมีอยู่ 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ ไม่พอใจคนอื่น กับไม่พอใจตัวเอง ไม่พอใจคนอื่นเกิดได้มากกว่าความไม่พอใจในตัวเอง เพราะธรรมชาติของคน ย่อมรักตัวเองมากกว่าคนอื่น ย่อมโทษคนอื่นก่อนโทษตัวเอง ย่อมเห็นความผิดของคนอื่นได้ก่อนและได้ชัดกว่าความผิดของตนเอง
ขณะเดียวกันเราต่างก็รู้ว่าโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ มีเกิน มีขาด จนกว่าจะค่อยๆ ปรับปรุงพัฒนาให้มีความพอดีได้ จึงจะเข้าใกล้ความสมบูรณ์แบบมากที่สุด ฉะนั้น เราควรมองด้านดีของกันและกันให้มากกว่าด้านที่บกพร่อง
ถ้าเราเริ่มจากมองด้านดีของกันและกันแล้ว ความพึงพอใจ และความนับถือในกันและกันก็จะเกิด ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่สร้างสรรค์กว่าการจับผิดกั น แล้วนำไปสู่ความไม่พอใจ
2. ความผิดหวัง
2 สิ่งที่ไม่ควรตั้งความหวังไว้สูงนัก คือ หวังว่าเรื่องบางเรื่อง เหตุการณ์บางเหตุการณ์ หรือคนบางคนในอดีตจะย้อนกลับมา กับหวังว่าอนาคตจะเป็นไปตามที่เราวาดหวังเสียทุกประการ อดีตเป็นสิ่งที่ยากจะเรียกหาให้ย้อนกลับคืนมาเป็นเหมือนเดิม ดีที่สุดคือใช้อดีตเป็นบทเรียน ให้สติ ให้เราเรียนรู้ทั้งโอกาสและความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้น เพื่อให้วันนี้และวันข้างหน้า ดีกว่าอดีตที่เคยเป็น
ส่วนอนาคตย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย ไม่สามารถบังคับบงการให้เป็นไปตามความหวังของเราได้เสียทั้งหมด แต่พอจะคาดการณ์ได้ว่าน่าจะเป็นอย่างไร กระนั้นก็ตาม หากไม่เป็นไปอย่างที่คาดการณ์ ก็อย่าได้ทุกข์ร้อนเสียใจ และปล่อยความคาดหวังบนความไม่แน่นอนแบบนี้ให้เป็นขยะ รกอารมณ์
3. ความอิจฉาริษยา
ขยะอย่างหนึ่งที่รกใจคนที่สุด ก็คือความอิจฉาริษยาคนอื่น โดยไม่ทันเฉลียวว่า ทุกครั้งที่เราอิจฉาริษยาใครก็ตาม ความนับถือตัวเองของเราก็เสื่อมถอยลงไปด้วย เพราะการจะรู้สึกอิจฉาหรือริษยาใครนั้น ย่อมมีพื้นฐานมาจากความรู้สึกว่าเขาดีหรือได้ดีกว่าเรา เราจึงอิจฉาเขาเป็นพัลวัน
จงหยุดอิจฉา แล้วมองให้เห็นว่าการที่คนอื่นได้ดีหรือมีดีกว่าเรานั้น เป็นสิ่งที่น่ายินดี ควรยินดีกับเขา และปรับเปลี่ยนโน้มน้าวตัวเองให้ทวีความดีดั่งที่เขา มีจนเราอิจฉา
4. ความยึดมั่นถือมั่น
ขยะที่เพิ่มพูนความรกเรื้อรุงรังให้ใจได้เป็นอย่างดีอีก ประการหนึ่งคือ ความยึดมั่นถือมั่น คิดว่านั่นก็คนของฉัน นี่ก็บ้านของฉัน รถของฉัน คนรักของฉัน ตำแหน่งของฉัน ฯลฯ จนไม่สามารถปล่อยวางสิ่งนอกตัวเหล่านั้นลงได้
ส่วนใหญ่พบว่าจิตจะปรุงแต่งไปเอง ว่าสิ่งนี้ฉันรัก สิ่งนี้ฉันเป็นเจ้าของ ใครก็เอาไปจากฉันไม่ได้ พอไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ ก็ผูกพันหน่วงเหนี่ยว ยังคงเสียดาย เสียใจ และปรุงแต่งจิตเพิ่มเข้าไปว่าฉันนี้แสนทุกข์ระทม
ลองยอมรับความจริงดูบ้างไหม ว่าอะไรๆ ในโลกนี่ก็ไม่ใช่ของเราอย่างถาวรทั้งสิ้น แม้กระทั่งร่างกายของเรานี้ แท้ก็เป็นแค่ของยืมมา ใช้ได้ชาตินี้ชาติเดียว เดี๋ยวก็เสื่อม ก็แก่ ก็ป่วย ก็ตาย ต้องคืนร่างกายสังขารนี้สู่สภาพดิน น้ำ ลม ไฟ เน่าเปื่อยผุพังไป สิ้นความสวยความหล่อ ตลอดจนลาภยศสรรเสริญทั้งปวง
5. ความกลัว
ใจหลายคน รุงรังไปด้วยความกลัว กลัวเขาจะไม่รัก กลัวเงินจะหมด กลัวฝนจะตก กลัวนายจ้างจะเลิกจ้าง กลัวเพื่อนร่วมงานจะได้ดีกว่า กลัวไม่ก้าวหน้า ไม่ได้โบนัส ฯลฯ
กลัวไปทำไม เรื่องบางเรื่องเราตัดสินเองไม่ได้ อยู่นอกเหนือจากการควบคุม ซึ่งกลัวไปก็เท่านั้น ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นสักนิด บางเรื่องแทบไม่มีวันมาถึงในชีวิต ก็กลัวล่วงหน้า กลัวจนประสาทเสีย
จงพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับทุกคนและทุกสิ่งในชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี ซึ่งต้องเริ่มจากการทำแต่สิ่งที่ดี โปร่งใส ไม่เป็นแผลติดตัวที่ต้องปิดบังซ่อนเร้น และจงขจัดความกลัวออกไปจากใจ เพื่อให้เกิดความมั่นใจที่จะใช้ชีวิตของเราให้สมศักดิ์ศรี เพื่อที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพื่อทำให้ชีวิตนี้ดีกว่าเดิม
6. ความอยาก
จง "อยาก" ให้พอดีกับกำลังกาย กำลังทุน และกำลังสติปัญญาของตัวเอง อย่าอยากจนเกินกำลัง เพราะจะทำให้สิ้นกำลังได้ง่าย แล้วกลายเป็นคนพ่ายแพ้ อ่อนแอ หมดสิ้นความทะเยอทะยานอยากในชีวิต
ความทะเยอทะยานอยากเหมือนรถ แต่ใจเราคือคนขับ รถแล่นด้วยความเร็วกำลังดี เราก็ได้ประโยชน์ จอดอยู่เฉยๆ ก็นิ่งอยู่กับที่ แต่หากแล่นฉิวจนเกินควบคุม ก็อันตรายกับชีวิต ฉะนั้น ใจต้องเป็นนายของความทะเยอทะยานอยาก ขับเคลื่อนความทะเยอทะยานอยากโดยควบคุมได้
ทำอย่างไรให้ใจสะอาด
เริ่มจากปล่อยวางสิ่งต่างๆ ลง อย่ายึดติดยึดถือให้มากนัก แล้วอยู่กับปัจจุบัน อะไรที่อยู่กับเรา เป็นของเรา ย่อมอยู่กับปัจจุบันของเราด้วย นั่นคือสิ่งจริงแท้แน่นอน การปล่อยวางสิ่งต่างๆ ลง เท่ากับการเทขยะทิ้ง การอยู่กับปัจจุบัน เท่ากับการปิดฝาถังขยะ ไม่เปิดรับขยะใหม่ๆ ให้ใจต้องสกปรกรกรุงรังอีก เพื่อมีเวลาทำความสะอาดหัวใจให้ผ่องใส เบิกบาน
ใจ แท้จริงผ่องใสด้วยตัวของมันเอง แต่คนที่เป็นเจ้าของหัวใจต่างหาก ที่ชักนำสิ่งต่างๆ มาปะพอก จนใจนั้นหมดสภาพ ฟื้นหัวใจให้กลับไปผ่องใสดังเดิมกันเถิด ปัดฝุ่นและคราบเขม่าทั้งหลาย แล้วเปิดทางให้หัวใจได้หายใจ เต้น และรู้สึกด้วยตัวของมันเอง
ที่มา http://www.facebook.com/people.khon?fref=ts
วันเสาร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2556
..หากเราดีใจเมื่อมีใครชมยกยอปอปั้นกัน เสียใจเมื่อมีใครมาต่อว่าตำหนิ
..หากเราดีใจเมื่อมีใครชมยกยอปอปั้นกัน เสียใจเมื่อมีใครมาต่อว่าตำหนิ ติฉินนินทา หากเรายังหลงไปตามกระแสของอารมณ์เช่นนี้ ก็จะพบเจอความสุขและความทุกข์ พบเจอกับความสมหวังผิดหวังกันไปตามปัจจัยที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เหล่านี้ล้วนเป็นไปตามเจตนา ไหลไปตามวิบากกรรมที่เราสร้างขึ้น เราก็จะหลงอยู่ในวัฏสงสาร ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในการเป็นมนุษย์เช่นนี้ต่อไป
จิตใจที่เกิดมามันว่าง เราเองที่มักปรุงแต่งให้เป็นไปตามสิ่งที่อยากมีอยากได้ หากเราไม่มีสติ ไม่มีปัญญาในการตามรู้ตามเห็นอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นแล้ว เราก็จะ ลด ละ กิเลสต่างๆ ได้ยาก
ขอให้พิจารณาสิ่งต่างๆ ด้วยเหตุและผล ให้เกิดปัญญาด้วยการวางอารมณ์ ปล่อยวางบ้างกับสิ่งที่เกิดขึ้น จะได้ไม่หลงไปตามกระแสโลกที่เป็นอยู่ ทำใจเราให้นิ่งเสมือนน้ำใสไร้ตะกอน ใจมันก็จะเห็นเท่าที่เห็นที่เป็น ความสุขก็เห็น ความทุกข์ก็เห็น เห็นด้วยปัญญาของเราเอง...
(คติธรรมนำชีวิต)
จิตใจที่เกิดมามันว่าง เราเองที่มักปรุงแต่งให้เป็นไปตามสิ่งที่อยากมีอยากได้ หากเราไม่มีสติ ไม่มีปัญญาในการตามรู้ตามเห็นอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นแล้ว เราก็จะ ลด ละ กิเลสต่างๆ ได้ยาก
ขอให้พิจารณาสิ่งต่างๆ ด้วยเหตุและผล ให้เกิดปัญญาด้วยการวางอารมณ์ ปล่อยวางบ้างกับสิ่งที่เกิดขึ้น จะได้ไม่หลงไปตามกระแสโลกที่เป็นอยู่ ทำใจเราให้นิ่งเสมือนน้ำใสไร้ตะกอน ใจมันก็จะเห็นเท่าที่เห็นที่เป็น ความสุขก็เห็น ความทุกข์ก็เห็น เห็นด้วยปัญญาของเราเอง...
(คติธรรมนำชีวิต)
หลายครั้งในชีวิต ที่เราวิ่งตามหาความร่ำรว
หลายครั้งในชีวิต ที่เราวิ่งตามหาความร่ำรวย การสร้างฐานะที่มั่งคั่ง
จนเราหลงลืมไปว่า แท้จริงแล้วความสุขในใจของเรา...ล้วนไม่ได้อยู่ที่การมีทรัพย์สิน หรือเงินทองมากเท่าไร
แต่อยู่ที่...เรามีความสุขมากเท่าไร
ดังนั้น เริ่มสังเกต เรียนรู้และทำความเข้าใจกับจิตใจของตนเอง
เพื่อที่จะเลือกและกำหนดหนทางแห่งความสุขจากภายใน ไม่ใช่ภายนอก
ด้วยความรัก
เกสรา
15.04.2013
วันศุกร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2556
จิตใจ ของ เราทุกคน ก็เปรียบเสมือนดังเพชร ล้วนมีค่ายิ่ง
จิตใจ ของ เราทุกคน ก็เปรียบเสมือนดังเพชร ล้วนมีค่ายิ่ง
แต่ที่เรายังมองไม่เห็นคุณค่าของตัวเองว่ามีค่าดังเพชรนั้น
เพราะ เพชรยังจมอยู่ในโคลนตม โคลนตมเหล่านั้น ก็คือ "กิเลส"
วิธีที่จะทำให้จิตใจของเรามีค่า ดังเพชรที่เจียระไน ใสสะอาดได้นั้น
นั่นก็คือเราต้อง ล้างจิต ล้างใจ ของเราให้สะอาด ด้วย " ศิล สมาธิ ปัญญา "
เมื่อเกิด ปัญญา จิตก็เป็นผู้รู้ รู้บาป รู้กิเลส และรู้วิธีการละออกเสียได้
ทำให้จิตก็ใส ใจก็สว่าง เปรียบประดุจเพชรที่ส่องแสงประกายงดงาม ล้ำค่า
กราบ อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ ทุกท่านด้วยใจที่อิ่มไปด้วยบุญกุศล ทำบุญตักบาตร ถือศิล ปฏิบัติธรรม ละความชั่ว ทำแต่ความดีนะคะ
แต่ที่เรายังมองไม่เห็นคุณค่าของตัวเองว่ามีค่าดังเพชรนั้น
เพราะ เพชรยังจมอยู่ในโคลนตม โคลนตมเหล่านั้น ก็คือ "กิเลส"
วิธีที่จะทำให้จิตใจของเรามีค่า ดังเพชรที่เจียระไน ใสสะอาดได้นั้น
นั่นก็คือเราต้อง ล้างจิต ล้างใจ ของเราให้สะอาด ด้วย " ศิล สมาธิ ปัญญา "
เมื่อเกิด ปัญญา จิตก็เป็นผู้รู้ รู้บาป รู้กิเลส และรู้วิธีการละออกเสียได้
ทำให้จิตก็ใส ใจก็สว่าง เปรียบประดุจเพชรที่ส่องแสงประกายงดงาม ล้ำค่า
กราบ อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ ทุกท่านด้วยใจที่อิ่มไปด้วยบุญกุศล ทำบุญตักบาตร ถือศิล ปฏิบัติธรรม ละความชั่ว ทำแต่ความดีนะคะ
เปลี่ยนริมฝีปากแตกแห้งดำคล้ำ ให้กลับมามีสุขภาพดี
เปลี่ยนริมฝีปากแตกแห้งดำคล้ำ ให้กลับมามีสุขภาพดี ด้วยน้ำมะนาว+น้ำผึ้งอย่างละครึ่งช้อนชา + เกลือป่นเล็กน้อย ขัด 3-5 นาที ทำ 3 ครั้ง/สัปดาห์
จาก SMS FarmerInfo By DTAC - 16 เม.ย.2556 -10.20 น.
อยากดัง ฟังทางนี้ พระไพศาล วิสาโล
มักพูดกันว่าสิ่งที่คนเรากลัวมากที่สุดคือความตาย แต่ถ้าพูดให้ถูกต้องแล้ว ความรู้สึกว่าไม่มีตัวตนหรือตัวตนสูญหายไปต่างหาก ที่คนเรากลัวมากที่สุด คนจำนวนไม่น้อยเดินหน้าเข้าหาความตายโดยไม่กลัว เพราะเชื่อว่าตัวตนยังคงสืบเนื่องต่อไป เช่น ได้ไปเกิดใหม่ในสวรรค์หรือโลกหน้า แม้คนในยุคนี้เชื่อนรกสวรรค์น้อยลง แต่ก็ยังพร้อมสละชีวิตเพื่อชาติหรือเพื่ออุดมการณ์ ไม่ใช่เพียงเพราะว่าชาติหรืออุดมการณ์เป็นตัวตนอย่างหนึ่งที่ตนยึดมั่นสำคัญหมายเท่านั้น แต่ยังเพราะเชื่อว่า แม้ตายก็ตายแต่ร่างกาย แต่ตัวตนยังสืบเนื่องต่อไป ในรูปชื่อเสียง มีเกียรติประวัติจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ หรือมีอนุสาวรีย์ให้ ( ดังมีสำนวนว่า “ตัวตายแต่ชื่อยัง” )
การมีชื่อเสียงเป็นที่กล่าวขานต่อไปชั่วกัลปาวสานนั้น เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของความเป็นอมตะ ลองเฟลโลว์ กวีอเมริกัน สะท้อนทัศนะดังกล่าวอย่างชัดเจนเมื่อพูดถึงไมเคิลแองเจโลว่า “เขาจะตายได้อย่างไรในเมื่อเขาอยู่อย่างเป็นอมตะในหัวใจของผู้คน” แต่ก่อนที่จะเป็นอมตะ หรือเป็นที่กล่าวขานหลังหมดลม อย่างแรกที่ทุกคนปรารถนาก็คือมีชื่อเสียงตั้งแต่ยังมีลมหายใจอยู่ ไม่ใช่แค่เพราะอยากดังด้วยอำนาจของปมเขื่องเท่านั้น เหตุผลที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ การเป็นที่รู้จักของผู้คนนั้นเป็นเครื่องยืนยันว่า “ตัวกู”มีอยู่จริง
ทำไมเราต้องการสิ่งยืนยันว่า “ตัวกู”มีอยู่จริง ก็เพราะในส่วนลึกของจิตใจนั้น ผู้คนอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าตัวกูมีอยู่จริงหรือ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น อธิบายแบบพุทธก็คือ แท้จริงแล้วตัวตนหามีจริงไม่ แต่เป็นสิ่งที่จิตปรุงแต่งขึ้นมาแล้วก็ยึดมั่นถือมั่นอย่างเหนียวแน่น จนเกิดความรู้สึกว่ามีตัวกูอยู่ โดยยึดกายและใจว่าเป็น “ตัวกู ของกู” บ่อยครั้งก็ลามไปยึดสิ่งอื่นนอกตัว เช่น ทรัพย์สมบัติ ลูกหลาน วงศ์ตระกูล พวกพ้อง หรือแม้แต่ประเทศชาติ ว่าเป็น “ตัวกู ของกู”ด้วย
อย่างไรก็ตามในส่วนลึกของจิตใจ ย่อมมีความสงสัยว่า อัตตาหรือ “ตัวกู”นั้นมีอยู่จริงหรือ เพราะความเป็นตัวกูนั้นแปรเปลี่ยนตลอดเวลา บางครั้งกูก็เป็นลูก แต่ประเดี๋ยวก็เป็นพ่อแม่ และเป็นคนไทย บางครั้งกูเป็นชายชาติทหาร แต่ต่อมาก็กลายเป็นกูคนป่วย แม้แต่ความรู้สึกนึกคิดที่ยึดว่าเป็น “ตัวกู ของกู” ก็เปลี่ยนแปลงไม่คงที่ ความสงสัยดังกล่าวเป็นสิ่งที่อัตตายอมรับไม่ได้ ด้านหนึ่งก็พยายามกดข่มเอาไว้ไม่ให้มารบกวนจิตใจ แต่อีกด้านหนึ่งก็พยายามหาสิ่งต่าง ๆ มายืนยันว่า “ตัวกู”มีอยู่จริง หนึ่งในนั้นก็คือ การเป็นที่รู้จักของผู้คน
คนเราจะมั่นใจว่าเป็นคนเก่ง มีความสามารถ หน้าตาสะสวย หรือหล่อเหลา ก็ต่อเมื่อมีผู้คนยืนยันหรือยกย่องสรรเสริญ ฉันใด เราจะมั่นใจว่า “ตัวกู”มีอยู่จริง ก็ต่อเมื่อมีผู้คนยืนยันหรือรู้จัก ฉันนั้น ยิ่งมีผู้คนยืนยันมากเท่าไร ก็ยิ่งมั่นใจมากเท่านั้น ดังนั้นชื่อเสียงจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งของผู้คนโดยเฉพาะในยุคนี้ที่ส่วนใหญ่กลายสภาพเป็นปัจเจกไร้หน้าค่าตาท่ามกลางฝูงชนนับล้าน
ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้คนในยุคนี้ต่างขวนขวายไล่ล่าหาชื่อเสียง พยายามทำทุกอย่างให้เป็นที่รู้จัก ซึ่งมักหนีไม่พ้นการทำตนให้เป็นข่าว เป็นจุดสนใจของสื่อนานาชนิด รวมทั้งการแข่งขันกันเป็นดารา นักร้อง นางแบบ ไม่เว้นแม้แต่การเขียนชื่อตามกำแพงหรือสถานที่ท่องเที่ยวทั้งนี้เพื่อประกาศว่า “มีกูอยู่ในโลกนี้ด้วยนะ”
เมื่อยังมีชีวิตอยู่ แรงขับส่วนลึกของผู้คนในยุคนี้ก็คือการประกาศตัวตนว่ามีกูอยู่ในโลกนี้ และเมื่อจะตายก็ปรารถนาให้คนข้างหลังไม่ลืมตน จะด้วยการทำอนุสาวรีย์ จารึกชื่อ ประกาศเกียรติคุณ หรือตั้งมูลนิธิก็แล้วแต่ ทหารคนหนึ่งเมื่อรู้ว่าตนต้องตายอย่างแน่นอน คำพูดสุดท้ายที่บอกเพื่อน มิใช่คำสั่งเสียหรือล่ำลา แต่เป็นการตอกย้ำว่า “ถ้าฉันตาย อย่าลืมฉันนะ” ในเมื่อจะตายแล้วทำไมจึงอยากให้คนอื่นจดจำตน นั่นก็เพราะตัวตนปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะดำรงอยู่ต่อไปเป็นอมตะ ตราบใดที่ผู้คนยังจดจำตัวเองได้ ก็มีหวังว่าตัวตนจะเป็นอมตะ
แต่ความจริงที่น่าเศร้าก็คือ สักวันหนึ่งเราทุกคนก็จะถูกลืม ไม่ใช่หลังตายเท่านั้น แม้ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ถึงจะมีชื่อเสียงเพียงใด ไม่ช้าไม่นานผู้คนก็จะลืมเลือน เพราะมีคนอื่นที่ดังกว่ามาแทนที่ นี้คือธรรมดาโลก แต่ถ้าหากเราเข้าถึงความจริงที่ยิ่งกว่านั้น นั่นคือตัวกูไม่มีอยู่จริงตั้งแต่แรก ถึงจะไม่เด่นดัง ไม่มีใครรู้จัก เป็นแค่ nobody ก็หาเป็นทุกข์ไม่ เพราะในเมื่อไม่มีตัวกูผู้ทุกข์ แล้วจะมีใครล่ะที่เป็นทุกข์
----------------------/*
อยากดัง ฟังทางนี้
พระไพศาล วิสาโล
วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2556
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา...
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา...
อนิจจัง...ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไม่สามารถจะอยู่ยงคงทนต่อไปได้ ย่อมดับย่อมสลายไปตามกาล พระพุทธองค์ตรัสว่า ไม่เที่ยงแท้แน่นอนไปได้...
ทุกขัง...เมื่อมีสิ่งที่เกิดขึ้นมาในโลก แล้วเข้าไปยึดถือว่าเป็นตัวตนของเรา ของเขา ยามจากไป ยามดับไปสลายสิ้น สิ่งที่รักที่พอใจนั่นแหละ พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นทุกข์อย่างยิ่ง...
อนัตตา...ความจริงในโลกนี้ มันเกิดขึ้นโดยธรรมชาติของมันเอง ไม่มีใครไปต่อเสริมเติมแต่งได้ ถึงอย่างไรก็ยังเป็นธรรมชาติ แม้ร่างกายเรานี้จะยึดตัวตน ว่า เป็นของเราของเขาไม่ได้ เพราะเขาเป็นเพียงธาตุๆ หนึ่งที่ประชุมกันเข้าเท่านั้น
พระพุทธองค์ตรัสว่า ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล เรา เขาทั้งสิ้น
จิรปุญฺโญวาท
หลวงปู่กงมา จิรปุญฺโ
อนิจจัง...ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไม่สามารถจะอยู่ยงคงทนต่อไปได้ ย่อมดับย่อมสลายไปตามกาล พระพุทธองค์ตรัสว่า ไม่เที่ยงแท้แน่นอนไปได้...
ทุกขัง...เมื่อมีสิ่งที่เกิดขึ้นมาในโลก แล้วเข้าไปยึดถือว่าเป็นตัวตนของเรา ของเขา ยามจากไป ยามดับไปสลายสิ้น สิ่งที่รักที่พอใจนั่นแหละ พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นทุกข์อย่างยิ่ง...
อนัตตา...ความจริงในโลกนี้ มันเกิดขึ้นโดยธรรมชาติของมันเอง ไม่มีใครไปต่อเสริมเติมแต่งได้ ถึงอย่างไรก็ยังเป็นธรรมชาติ แม้ร่างกายเรานี้จะยึดตัวตน ว่า เป็นของเราของเขาไม่ได้ เพราะเขาเป็นเพียงธาตุๆ หนึ่งที่ประชุมกันเข้าเท่านั้น
พระพุทธองค์ตรัสว่า ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล เรา เขาทั้งสิ้น
จิรปุญฺโญวาท
หลวงปู่กงมา จิรปุญฺโ
ป้องกันความเสียหายจากพายุฝนฟ้าคะนอง
ชาวสวนควรป้องกันความเสียหายจากพายุฝนฟ้าคะนองกับมีลมกระโชกแรง ควรผูกยึดและค้ำยันกิ่งไม้ผลที่รับน้ำหนักมากให้แข็งแรง ป้องกันการหักโค่น
จาก SMS FarmerInfo By DTAC - 17 เม.ย.2556 -10.20 น.
ข้อคิดในการทำงาน
ข้อคิดในการทำงาน
1. จงอย่ากังวล
การที่เรามีความกังวลใจในการทำงานนั้นย่อมเป็นการลดคุณภาพของการทำงานและการคิดค้นสิ่งต่าง ๆ รอบตัวอย่างแน่นอน
2. อย่างปล่อยให้ความกลัวครอบครองชีวิตคุณ
อย่าปล่อยให้ความกลัว มาทำให้ความกล้าที่จะคิดและแสดงออกในการทำงาน ปิดกั้นความคิดดี ๆ ของคุณ
3. อย่าปล่อยให้ความโกรธเปลี่ยนตัวตนของคุณ
ขณะที่คุณกำลังโกรธ เสมือนคุณกำลังปิดตาตัวเองแล้วเดินไปข้างหน้า คุณอาจจะไม่รู้ว่าคุณกำลังทำอะไร แต่คนรอบข้างคุณทุกคนก็เห็นมัน
4. อย่าเก็บปัญหาไว้ที่บ้านของคุณ
แม้คุณจะทำงานหนัก และมุ่งมั่นเท่าไร แต่การเอาความเครียจจากงานกลับมาคิดที่บ้าน ย่อมทำร้ายตัวคุณ และ คุณภาพงานที่ได้ก็จะแย่ลง
5. ปัญหาที่เจอ คือ ข้อสอบของชีวิต
ไม่ว่าคุณจะทำงานอะไรปัญหาและอุปสักย่อมมีด้วยกันทั้งนั้น วันและเวลาที่ผ่านไปจะเปลี่ยนคุณให้เป็นคนเก่งและเข้มแข็งขึ้น
6. อย่าแบกชีวิตของคนอื่นไว้บนบ่าของตัวเอง
คุณสามารถช่วยใครก็ได้เพราะนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่จงอย่าเอาปัญหาและความทุกข์ของเขามาไว้บนบ่าของตัวเอง ไม่มีใครช่วยใครแก้ปัญหาได้นอกจากตัวเขาเอง
7. เริ่มต้นเป็นผู้รับ และ ผู้ให้ที่ดี
ในการทำงานนั้นเราไม่ใช่แค่ไปทำงานแต่เพียงอย่างเดียว แต่เรายังต้องไปทำความรู้จักกับสังคม การเป็นผู้ให้ และ ผู้รับที่ดีจะทำให้ใคร ๆ รักและเคารพเราเสมอ
ที่มา http://www.facebook.com/people.khon?fref=ts
วันพุธที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2556
..เราอยู่กับความนึกคิดอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าเวลาไหนๆ เราก็คิดได้ทั้งดีและไม่ด
..เราอยู่กับความนึกคิดอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าเวลาไหนๆ เราก็คิดได้ทั้งดีและไม่ดี แต่คนโดยมากทุกวันนี้เป็นทุกข์มากกว่าสุข เป็นทุกข์เพราะความคิดของตัวเราเอง ทุกข์เพราะย้ำคิดในสิ่งที่ผ่านมาแล้วในอดีต ทุกข์เพราะสิ่งที่ยังมาไม่ถึงในอนาคต ทุกข์เหล่านี้ล้วนแต่ทำร้ายทำลายจิตใจให้หมองเศร้าในขณะปัจจุบัน
เหรียญมีสองด้าน คมมีสองคม ทุกอย่างอยู่ที่มุมมองด้านใดของเรา ความสุขหรือความทุกข์นั้น อยู่ที่เราเลือกมองมุมใดมุมหนึ่งมากกว่ากัน รู้จักมองในแง่ดีบ้างเพื่อจรรโลงใจให้ใฝ่ดี ทำดี จิตใจจะได้เบิกบาน มีกำลังใจในการกระทำดีในสิ่งต่างๆ ในดีมีเสีย ในเสียก็ย่อมมีดี
เราเกิดมาก็เสมือนเทียนเล่มหนึ่ง ที่มีอายุการอยู่ของมันตามกาลเวลาที่เกิดมา ไม่มีใครไม่จากลา ไฟบนเทียนไขมันส่องสว่างเสมือนปัญญา ให้เรามีปัญญาส่องนำทางในการดำเนินชีวิตให้มากๆ การอยากมี อยากได้ ความมั่งมีหรือยากจน ล้วนเสมือนลวดลายบนเทียนที่ส่องสว่าง ลวดลายจะมากหรือจะน้อย จะปราณีตสวยงามวิจิตรบรรจง หรือเกลี้ยงเกลาไร้ความงามใดๆ ก็ล้วนต้องหมดอายุไขไปตามปัจจัยที่เกิดขึ้นของตัวมันเอง
เราต่างมุ่งแสวงหาสิ่งต่างๆ มาตลอดชีวิต เพื่อสนองความอยากมี อยากได้ สนองกิเลส ตัณหา ในความไม่พอของตัวเราเอง แสวงหาความสุขในแบบที่ยังมีและเป็นทุกข์อยู่โดยมาก
ขอให้หมั่นดูจิต ดูใจ รู้จักตนเองให้มากกว่ารู้จักผู้อื่น รักษาศีลในเบื้องต้น พัฒนาสติ อยู่ ที่นี่ ตรงนี้ ณ ปัจจุบันให้มาก อย่ามัวแต่จมกับความทุกข์ในอดีต กังวลทุกข์ในอนาคต หมั่นทำความดี ลดละ กิเลสไปวันละนิดละหน่อยก็ยังดี
ความสุขมันมีอยู่แล้ว แต่เราไม่มีเวลาให้มันเอง หากรู้จักมองสุข เราก็มีมันอยู่แล้ว ณ ตอนนี้รอบตัว ในตัวเราเอง รู้จักนำปัจจัยภายนอก มาพัฒนาจิตใจภายในให้มากกว่าที่จะมุ่งแสวงหาแต่ทรัพย์ จนสุดท้ายก็เกิดมาตายเปล่า เสมือนเทียนไขที่มีแต่ไฟกิเลสตัณหา หลอมละลายตัวมันเองอย่างไร้ค่า
ชีวิตนี้มันสั้นนัก อย่างพระอาจารย์ท่านว่า ไม่มีสิ่งใดคงทนแน่นอน ทุกอย่างล้วนมีการเปลี่ยนแปลง อดีตที่ล้มเหลวล้วนเป็นทางที่แข็งแกร่งให้เราเดินต่อไป ขอให้ทุกท่าน มีกำลังใจ เดินทางด้วยแสงสว่างของปัญญา นำธรรมะเป็นแผนที่ในการเดินทาง นำธรรมะมาใช้ให้สอดคล้องกับการดำเนินชีวิตของเรา แล้วเราจะเดินตามรอยพระพุทธบาทของพระพุทธองค์อย่างแท้จริง...
(คติธรรมนำชีวิต)
เหรียญมีสองด้าน คมมีสองคม ทุกอย่างอยู่ที่มุมมองด้านใดของเรา ความสุขหรือความทุกข์นั้น อยู่ที่เราเลือกมองมุมใดมุมหนึ่งมากกว่ากัน รู้จักมองในแง่ดีบ้างเพื่อจรรโลงใจให้ใฝ่ดี ทำดี จิตใจจะได้เบิกบาน มีกำลังใจในการกระทำดีในสิ่งต่างๆ ในดีมีเสีย ในเสียก็ย่อมมีดี
เราเกิดมาก็เสมือนเทียนเล่มหนึ่ง ที่มีอายุการอยู่ของมันตามกาลเวลาที่เกิดมา ไม่มีใครไม่จากลา ไฟบนเทียนไขมันส่องสว่างเสมือนปัญญา ให้เรามีปัญญาส่องนำทางในการดำเนินชีวิตให้มากๆ การอยากมี อยากได้ ความมั่งมีหรือยากจน ล้วนเสมือนลวดลายบนเทียนที่ส่องสว่าง ลวดลายจะมากหรือจะน้อย จะปราณีตสวยงามวิจิตรบรรจง หรือเกลี้ยงเกลาไร้ความงามใดๆ ก็ล้วนต้องหมดอายุไขไปตามปัจจัยที่เกิดขึ้นของตัวมันเอง
เราต่างมุ่งแสวงหาสิ่งต่างๆ มาตลอดชีวิต เพื่อสนองความอยากมี อยากได้ สนองกิเลส ตัณหา ในความไม่พอของตัวเราเอง แสวงหาความสุขในแบบที่ยังมีและเป็นทุกข์อยู่โดยมาก
ขอให้หมั่นดูจิต ดูใจ รู้จักตนเองให้มากกว่ารู้จักผู้อื่น รักษาศีลในเบื้องต้น พัฒนาสติ อยู่ ที่นี่ ตรงนี้ ณ ปัจจุบันให้มาก อย่ามัวแต่จมกับความทุกข์ในอดีต กังวลทุกข์ในอนาคต หมั่นทำความดี ลดละ กิเลสไปวันละนิดละหน่อยก็ยังดี
ความสุขมันมีอยู่แล้ว แต่เราไม่มีเวลาให้มันเอง หากรู้จักมองสุข เราก็มีมันอยู่แล้ว ณ ตอนนี้รอบตัว ในตัวเราเอง รู้จักนำปัจจัยภายนอก มาพัฒนาจิตใจภายในให้มากกว่าที่จะมุ่งแสวงหาแต่ทรัพย์ จนสุดท้ายก็เกิดมาตายเปล่า เสมือนเทียนไขที่มีแต่ไฟกิเลสตัณหา หลอมละลายตัวมันเองอย่างไร้ค่า
ชีวิตนี้มันสั้นนัก อย่างพระอาจารย์ท่านว่า ไม่มีสิ่งใดคงทนแน่นอน ทุกอย่างล้วนมีการเปลี่ยนแปลง อดีตที่ล้มเหลวล้วนเป็นทางที่แข็งแกร่งให้เราเดินต่อไป ขอให้ทุกท่าน มีกำลังใจ เดินทางด้วยแสงสว่างของปัญญา นำธรรมะเป็นแผนที่ในการเดินทาง นำธรรมะมาใช้ให้สอดคล้องกับการดำเนินชีวิตของเรา แล้วเราจะเดินตามรอยพระพุทธบาทของพระพุทธองค์อย่างแท้จริง...
(คติธรรมนำชีวิต)
แก้พิษต่อต่อย
แก้พิษต่อต่อย ด้วยยอกผักบุ้ง 3 ยอด ล้าง+หั่น แล้วตำให้แหลก เติมเหล้าขาวเล็กน้อย พอกบริเวณที่โดนต่อต่อย 2 นาที บรรเทาอาการปวดได้
จาก SMS FarmerInfo By DTAC - 16 เม.ย.2556 -10.20 น.
วิธีทำปลาทูนึ่ง เอาขี้ปลาออก
วิธีทำปลาทูนึ่ง เอาขี้ปลาออก ล้างน้ำแล้วแช่น้ำเกลือ 3 นาที ล้างน้ำอีกครั้งแล้วนำปลาใส่เข่ง+โรยเกลือ ตามด้วยการจุ่มในน้ำเดือด 4-5 นาที
จาก SMS FarmerInfo By DTAC - 15 เม.ย.2556 -10.20 น.
ขับสารพิษและบำรุงร่างกายด้วยน้ำคลอโรฟิลล์
ขับสารพิษและบำรุงร่างกายด้วยน้ำคลอโรฟิลล์จากต้นเบญจรงค์ 5 สี เพียงนำมาปั่นกับน้ำอัตรา2:1 ส่วน แล้วกรองน้ำ ดื่มหลังอาหาร 2 ชม เช้าและเย็น
จาก SMS FarmerInfo By DTAC - 16 เม.ย.2556 -10.20 น.
การใช้ไข่ขาวต้มสุก (บี้เป็นชิ้นเล็กๆ) เลี้ยงปลาดุก
การใช้ไข่ขาวต้มสุก (บี้เป็นชิ้นเล็กๆ) เลี้ยงปลาดุกช่วยเพิ่มโปรตีน ไร้กลิ่นคาวและเนื้อปลาดุกย่างจะมีสีเหลืองน่ารับประทาน
จาก SMS FarmerInfo By DTAC - 17 เม.ย.2556 -10.20 น.
เนื้อแดดเดียวสูตรโบราณ
เนื้อแดดเดียวสูตรโบราณ แล่เนื้อเป็นริ้วยาว คลุกกับเกลือ+กระเทียมสับละเอียดให้เข้ากัน หมัก 1-2 ชม ตากแดด 1-2 แดด แล้วทอดหรือปิ้งย่าง
จาก SMS FarmerInfo By DTAC - 14 เม.ย.2556 -10.20 น.
วันอังคารที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2556
ใ น ชี วิ ต ข อ ง ค น เ ร า . . .
ใ น ชี วิ ต ข อ ง ค น เ ร า . . .
ต้องมีอะไรบางอย่างเป็นสิ่งป้องกันเรา
ไม่ให้ออกไปนอกลู่นอกทาง
เรียกว่า เป็นรั้ว เป็นคอก กั้นเอาไว้
รั้วคอกที่จะกั้นคนให้อยู่ในกรอบได้ก็คือ หลักศีลธรรม
การปฏิบัติตนตามหลักศีลธรรม
ก็คือการกำจัดตัวเองให้มีขอบเขต
ที่จะคิด ที่จะพูด ที่จะทำ ให้เป็นไปในขอบเขตนั้น
หลักการของพระพุทธศาสนาอยู่ที่ความถูกต้อง
แล้วทุกคนต้องคิดให้ถูกต้อง ทำให้ถูกต้อง พูดให้ถูกต้อง
. . . มั น ก็ เ ข้ า กั น ไ ด้ . . .
เพราะความถูกต้องนั้นมีอันเดียว ไม่ใช่มีหลายอัน
ความสะอาดมันก็มีอันเดียว
ความสงบมันก็มีอันเดียว
ความสว่างมันก็มีอันเดียวอีกเหมือนกัน
พระพรหมมังคลาจารย์
(หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ)
ต้องมีอะไรบางอย่างเป็นสิ่งป้องกันเรา
ไม่ให้ออกไปนอกลู่นอกทาง
เรียกว่า เป็นรั้ว เป็นคอก กั้นเอาไว้
รั้วคอกที่จะกั้นคนให้อยู่ในกรอบได้ก็คือ หลักศีลธรรม
การปฏิบัติตนตามหลักศีลธรรม
ก็คือการกำจัดตัวเองให้มีขอบเขต
ที่จะคิด ที่จะพูด ที่จะทำ ให้เป็นไปในขอบเขตนั้น
หลักการของพระพุทธศาสนาอยู่ที่ความถูกต้อง
แล้วทุกคนต้องคิดให้ถูกต้อง ทำให้ถูกต้อง พูดให้ถูกต้อง
. . . มั น ก็ เ ข้ า กั น ไ ด้ . . .
เพราะความถูกต้องนั้นมีอันเดียว ไม่ใช่มีหลายอัน
ความสะอาดมันก็มีอันเดียว
ความสงบมันก็มีอันเดียว
ความสว่างมันก็มีอันเดียวอีกเหมือนกัน
พระพรหมมังคลาจารย์
(หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ)
MV Gangnam Style - (ฮาโคตรเศร้า ชายแดนสิตาย) จากชาวอโศก
Gangnam Style - (ฮาโคตรเศร้า ชายแดนสิตาย)
อีพ่ออีแม่ของข่อย เฮ็ดนาอยู่ชายแดน ปลูกปาล์มปลูกมันปลูกยางพารา อยู่เลาะแนวชายแดน
ซุมื้อนี้เขมรเข้ามาไล่ ซุมข่อยที่อยู่ชายแดน สิให้ไปใส ซุมข้อย บ้านอยู่ชายแดน
เขมรมาแล่วเด๊ะ ปีบข้ามหน้าผามาไล่ที่นาซุมข่อย มันมาแล้วเด๊ะ ที่นาหนองจาน หลวงออกสิทธิ์ให้ มันมาไล่แล้วเด๊ะ
มาจับคนไทยขังคุกเปรซอมันก็เฮ็ดมาแล้วเด๊ะ
โอย เสร็จเขมรแท้
ยอมอยู่เบาะ ซุมเจ้าสิยอมอยู่เบาะ มาถ่ะแม้ ไล่เขมรเอาแดนคืนมา คั่นซ้ากว่านี้ เสร็จเขมรแท้
โอยยยย เสร็จเขมรแท้ คนชายแดนกำลังสิตาย กำลังสิตาย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)