++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2554

อาหารมื้อเย็น อันตราย ตายผ่อนส่ง

มื้อเย็นเป็นมื้ออันตราย เป็นมื้อตายผ่อนส่ง


1. ทำอย่างไรจึงจะไม่แก่ และอายุยืน
คำตอบคือ กินสายกลาง
กินสายกลาง คือ กินมื้อเช้าและมื้อเที่ยง + งดมื้อเย็น
เปรียบตัวเราเป็นรถยนต์ ตื่นเช้ามาต้องเติมน้ำมันก่อน หรือกินมื้อเช้า รถจึงจะวิ่งได้ ถึงเที่ยงน้ำมันยังไม่หมด เติมอีกครั้ง ถึงเย็นก่อนนอนก็ยังไม่หมดพิสูจน์ได้ดังนี้
สมมุติกินไข่ลวก 1 ฟองโตๆ มีไข่แดงหนัก 50 กรัม ในไข่แดงมีคลอเลสเตอรอล 1 กรัม ให้พลังงาน 9 แคลอรี่ ฉะนั้น 50 กรัม ให้พลังงาน 450 แคลอรี่ จะต้องออกกำลังกายเพื่อใช้พลังงานนี้ โดยขี่จักรยานตั้งแรงต้านไว้ 1.3 ก.ก.. ความเร็วที่ปั่นบันไดจักรยาน 60 รอบต่อนาที ขี่อยู่นาน60 นาที จะเหนื่อยหอบ เหงื่อไหลท่วมตัว แต่ใช้พลังงานไปเพียง 300 แคลอรี่ ไข่ใบเดียวใช้ไม่หมด
ฉะนั้นถ้ากินมื้อเช้า มื้อเที่ยง จนถึงเย็น พลังงานยังเหลือแน่นอน ไม่จำเป็นต้องไปเติมอีก เพราะเวลานอนร่างกายจะนำพลังงานที่เหลือใช้ไปเก็บในที่ต่างๆ โดย ตับ เป็นผู้ทำงานนี้ ถ้าพลังงานเหลือมาก การเอาไปเก็บในที่ต่างๆ ก็มากทำให้ อ้วน และแน่นอนถ้าเก็บไม่หมดโดยเฉพาะพวก ไขมัน ตัวโตๆ จะต้อง ค้างอยู่ในหลอดเลือด ถ้าค้างสะสมมากเท่าใด รูหลอดเลือด ก็จะ เล็กลง ทุกวัน เลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ได้น้อยลง อวัยวะทั้งหลายก็จะเสื่อมสภาพเร็วขึ้นหรือแก่เร็วขึ้น ถ้าวันไหนอุดตัน เช่น ถ้าตันที่สมอง จะกลายเป็นคนพิการอัมพาตครึ่งซีก ถ้าอุดตันที่ไต ต้องล้างไต เปลี่ยนไต ถ้าตันที่ขา อาจต้องตัดขาทิ้ง ถ้าตันที่กล้ามเนื้อหัวใจ ก็จะไม่มีโอกาสได้สั่งลาใคร
การกินมื้อเย็นจึงเป็นมื้อที่เร่งกระบวนการเสื่อมถึงเสียชีวิตให้เร็วขึ้นไปอีก มื้อเย็นจึงเป็นมื้ออันตราย เป็นมื้อตายผ่อนส่ง ยิ่งกินมื้อเย็นมาก ยิ่งผ่อนส่งมาก ตายเร็ว ถ้าไม่กินมื้อเย็น ก็จะแก่ช้า เสื่อมช้า อายุยืน
การไม่กินอาหารมื้อเย็น เป็นเรื่องที่ต้องเอาชนะใจตัวเองอย่างมาก ถ้าใครทำได้จะตัดทั้งกิเลส สุขภาพดี อายุยืน และมีสมาธิดี ความมุ่งมั่นสูง ได้ประโยชน์ทั้งกายและใจ แต่ท่านต้องฝึกกระเพาะให้เกิดความเคยชิน

วิธีฝึกมี 4 วิธี
1. ค่อยๆ ลดปริมาณอาหารมื้อเย็นทีละน้อยๆ เช่นลดกินข้าวจาก 2 จาน เหลือ1 1/2 จาน สัก 3-4 เดือน โดยมีข้อแม้ว่าหลังอาหารเย็น แล้ว ห้ามกินอาหารใดๆ ทั้งนั้นยกเว้นน้ำเปล่า พอกระเพาะชินแล้วลดเหลือ 1 จาน ต่อไปครึ่งจาน ต่อไปไม่กินข้าวเลยกินแต่กับ ต่อไปกินผักผลไม้ สุดท้ายงดอาหารเย็น

2. ร่นเวลากินอาหารเย็น เช่นจาก 2 ทุ่มมากิน 1 ทุ่ม ต่อไปเลื่อนเป็น 6 โมงเย็น 5 โมงเย็น 4 โมงเย็น สุดท้ายงดอาหารเย็น

3. กินเม็ดแมงลักแทนมื้อเย็น ใช้เม็ดแมงลัก 2 ช้อนโต๊ะใส่ในถ้วยน้ำแกงหรือน้ำเปล่าคนแล้วดื่มทันที ดื่มน้ำตามอีก 4-5 แก้ว

4. กินมังสะวิรัตมื้อเย็น การกินผักผลไม้ถือว่าเป็นอาหารไม่มีพิษ ร่างกายจะได้พักไม่ต้องทำลายพิษของอาหารเนื้อสัตว์ พิษที่สะสมไว้ก่อนก็จะถูกตับ ไต กำจัดหมดไปเองได้ ร่างกายมีเวลาถึง 18 ช.ม. กำจัดพิษที่ติดมากับมื้อเช้า มื้อเที่ยงได้ทัน
ฉะนั้นการไม่กินอาหารเย็น จึงเป็นเวลาที่ตับ ไต จะสามารถกำจัดสารพิษจากอาหารมื้อเช้าและเที่ยงได้หมด ร่างกายจึงบริสุทธิ์ทุกวัน

2. โรค Attention Deficit Trait โดย ผศ. ดร. พสุ เดชะรินทร์ pasu@acc.chula.ac.th
ท่านผู้อ่านเป็นผู้หนึ่งที่ชอบทำงานในลักษณะ ของ Multitasking หรือไม่ครับ? คนกลุ่มนี้จะเป็นพวกที่สามารถหรือชอบที่จะทำงานหลายๆ อย่างไปในเวลาเดียวกัน เช่น ในขณะที่กำลังเช็คอีเมล์ทางคอมพิวเตอร์ ก็กำลังคุยโทรศัพท์สั่งงานกับลูกน้อง พร้อมทั้งดื่มกาแฟไปพร้อมกัน หรือในขณะที่กำลังนั่งประชุม ก็สั่งงานพร้อมทั้งหาข้อมูล และตัดสินใจผ่านทางเครื่องโน้ตบุ๊คที่ตั้งอยู่ข้างหน้า ในอดีตผมก็เคยชื่นชมคนพวกนี้นะครับว่า มีความสามารถมาก สามารถทำงานได้หลายอย่างในขณะเดียวกัน สามารถทำงานได้ออกมาเยอะ และดูยังสงบไม่ตื่นเต้นโวยวายเท่าใด
แต่ท่านผู้อ่านทราบไหมครับ ว่า การทำงานในลักษณะ ** Multitasking ** นั้น กลับเป็นสาเหตุประการหนึ่งของโรคร้ายใหม่ในที่ทำงาน ที่เราเรียก ** Attention Deficit Trait ** หรือ **ADT** โรคนี้เป็นโรคที่เราจะเจอมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่ทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน สภาวะแวดล้อมที่บังคับให้คนทำงานจะต้องทำงานด้วยความรวดเร็วมากขึ้น ทำงานหลายอย่างพร้อมๆ กัน จะต้องตื่นตัวตลอดเวลา ไม่มีเวลาหรือโอกาสได้สงบพัก
ท่านผู้อ่านลองพิจารณาตัวท่านเองหรือบุคคลรอบข้างนะครับว่า เป็นโรคนี้หรือไม่? ผมอ่านพบเจอโรคนี้จากวารสาร Harvard Business Review ฉบับเดือนมกราคม 2548 ในบทความชื่อ Why Smart People Underperform เขียนโดย Edward M. Hallowell ซึ่งเป็นจิตแพทย์ซึ่งเป็นผู้ เชี่ยวชาญในโรคที่เกี่ยวกับสมองและสมาธิทั้งหลาย คุณหมอท่านนี้ทำการรักษาอาการ Attention Deficit Disorder หรือ ADD มากว่า 25 ปี และ โรค ADD นี้เราเริ่มรู้จักกันมากขึ้นในเมืองไทย โดยเฉพาะผู้ที่มีลูกอยู่ในวัยเรียน เรามักจะเรียกโรคนี้ว่าเป็นโรคสมาธิสั้น
ผู้ที่เป็นโรค ADT นั้น มักจะมีอาการสมาธิสั้น ไม่สามารถจดจ่ออยู่กับงานใดงานหนึ่งได้นานๆ ก็จะ ถูกดึงดูดด้วยงานอย่างอื่น มีความวุ่นวายอยู่ข้างใน (แต่มักจะไม่แสดงออกมาให้ผู้อื่นเห็น ) ไม่ค่อยอดทน มีปัญหาในการจัดระบบต่างๆ ( Unorganized ) การจัดลำดับความสำคัญ และการบริหารเวลา
โรค ADT นี้ มักจะเริ่มเกิดขึ้น เมื่อเราก้าวขึ้นไปเป็นผู้บริหารระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ การที่มีความ รู้สึกว่ามีงานด่วน หรือ สิ่งที่จำเป็นและเร่งด่วนที่จะต้องทำเข้ามาเรื่อยๆ และท่านพยายามที่จะจัดการกับงานด่วนเหล่านั้นให้สำเร็จ จะเป็นบ่อเกิดที่สำคัญของโรค ADT เพราะเมื่อเรามีงานที่เร่งด่วน หรือจำเป็นเข้ามาเรื่อยๆ เราก็มักจะรับภาระความรับผิดชอบต่องานเหล่านั้น อีกทั้งไม่บ่นไม่โวยวายต่อภาระงานที่เพิ่มขึ้น เราจะก้มหน้าก้มตาพยายามทำให้งานสำเร็จ ทั้งๆ ที่กำลังความสามารถ และเวลาของเราไม่เหมาะสมและสอดคล้องกับปริมาณของงานที่เข้ามา ดังนั้นเมื่อเจอกับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นและเร่งด่วนขึ้น เราก็มักจะอยู่ในอาการของความรีบร้อน ตลอดเวลา พยายามทำงานให้เสร็จโดยเร็วการทำงานหลายๆ อย่างไปพร้อมๆ กัน และขาดสมาธิต่อการทำงานๆ หนึ่ง (Unfocused) แต่ในขณะเดียวกัน บุคคลเหล่านี้ก็จะไม่บ่นไม่โวยวาย ดูจากภายนอกแล้วเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น
ทีนี้ท่านผู้อ่านอาจจะสงสัยครับว่าโรค ADT จะก่อให้เกิด ปัญหา อะไรขึ้น ? ง่ายๆก็คือ ทำให้ สมองเราสูญเสียความสามารถในการคิด วิเคราะห์และทำงานอย่างละเอียดลึกซึ้ง จะส่ง ผล ให้งานที่ออกมาเป็น งานที่เร็วแต่ไม่ลึก จะทำให้ความสามารถในการทำงานของเราลดน้อยลง การที่สมองเราจะต้องรับ วิเคราะห์ และประมวลผลข้อมูลต่างๆเพิ่มมากขึ้น ความสามารถในการแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์ก็ลดลง อีกทั้ง ความผิดพลาดก็เกิดขึ้นได้มากขึ้น
โรคนี้ถือเป็นโรคใหม่ในที่ทำงานอย่างหนึ่งครับ เกิดขึ้นเนื่องจากสภาวะแวดล้อมในการทำงาน ที่ต้องการความรวดเร็ว และมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น สมองเราจะต้องรับและประมวลผลข้อมูลต่างๆ ม ากขึ้นกว่าเดิม วัฒนธรรมในการทำงานในปัจจุบัน ก็เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เราเกิดโรคนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสำคัญของความเร็วในการทำสิ่งต่างๆ ในปัจจุบันดูเหมือนว่าเราต้องการความเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ เรา มักจะคิดว่า ในเมื่อคนทุกคนมีเวลาเท่ากัน ดังนั้น ผู้ที่มีความเร็วมากกว่าจะทำงานได้มากกว่า
ท่านผู้อ่านลองสังเกตซิครับเวลาท่าน ขึ้นลิฟต์ ปุ่มไหนที่ท่านจะกดบ่อยที่สุด ปุ่มนั้นก็คือ ปุ่ม " ปิดประตู" เพราะทุกคนเป็นทาสของความเร็ว ไม่สามารถรอให้ลิฟต์ปิดได้เอง

3. ดื่มน้ำน้อยมีผลร้ายที่คุณคิดไม่ถึง
เมื่อเร็วๆ นี้ได้อ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ซึ่งลงบทสัมภาษณ์ของดาราสาวสวยระดับนางเอกท่านหนึ่ง เกี่ยวกับร่างกายของเธอที่มีการผิดปกติ เธอมีอาการอุจจาระไม่ออก, เมนส์ไม่มา แถมเธอยังเข้าใจว่าการที่เมนส์มาบ้างไม่มาบ้าง แล้วแต่อารมณ์นั้นเป็นเรื่องปกติขอผู้หญิงซะอีก เธอบอกว่าไม่ชอบดื่มน้ำเพราะจะทำให้ปัสสาวะบ่อย ส่วนใหญ่พวกดาราก็มักเป็นอย่างนี้ เพราะต้องอยู่แต่ ในกองถ่ายจะหาห้องน้ำสะอาดๆยาก เลยต้องอั้นอุจจาระปัสสาวะเอาไว้ หรือแก้โดยการไม่ดื่มน้ำจะได้ไม่ต้องปัสสาวะ พฤติกรรมดังกล่าวนี้ไม่ใช่แค่เฉพาะดาราหรอก มีอีกหลายอาชีพที่เป็นกันอย่างนี้ อาจจะเป็นเพราะภาวะสังคมที่รีบเร่งแข่งขันกัน ท่านที่ทำงานนั่งอยู่กับคอมพิวเตอร์หรือพนักงานทำบัญชีด้วยแล้ว ไม่ค่อยอยากจะลุกไปเข้าห้องน้ำกัน กลัวจะเสียเวลาทำงานหรือลืมเข้าห้องน้ำก็มี พอทำอย่างนี้ไปนานๆ เข้าร่างกายเราก็สร้างความคุ้นเคยว่าไม่ต้องอุจจาระไม่ต้องปัสสาวะกันเลย
โดยร่างกายเข้าใจว่าวิธีการนี้ถูกต้อง ร่างกายของคนเราประกอบด้วยน้ำ 70 กว่าเปอร์เซนต์ เลือดเราประกอบด้วยน้ำ 90 กว่าเปอร์เซนต์ กระดูกเราก็ประกอบด้วยน้ำ 22 เปอร์เซ็นต์ ร่างกายเราเสียน้ำวันละ 2 ลิตรเศษ แล้วรับน้ำเข้าไป เพียงพอหรือไม่ ถ้าไม่พอเราก็ถือว่าขาดน้ำ ร่างกายและอวัยวะภายในจะรวนผิดปกติไปหมด เลือดเราจะข้นหนืด ยากที่หัวใจจะสูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกายส่วนต่างๆ ของร่างกาย หัวใจเองนั่นแหละจะตีบตันเสียก่อน ต้องทำบายพาสกันวุ่นวาย ความจำก็จะเสื่อมหรือเป็นอัลไซเมอร์ เพราะเลือดเลี้ยงสมองไม่พอ เส้นเลือดก็จะตีบตันหมดหรือไม่มีเลือดจะขึ้นไปเลี้ยง
จากประสบการณ์ที่พบ คนไข้ที่เป็นโรคความจำเสื่อม เป็นถึงระดับผู้บริหารใหญ่ ๆ ก็หลายท่าน ดื่มน้ำวันละ 2-3 แก้ว ไม่เกิน 500 ซี.ซี. เลือดก็ข้นหนืด เต็มไปด้วยไขมัน สังเกตได้หัวตาเหมือนกับเอาพู่กันป้ายสีขาว ไว้ และฟันธงได้เลยว่าทุกรายถ้าดื่มน้ำอย่างนี้คลอเรสเทอรอลสูงทุกคน รอ เส้นเลือดอุดตัน ได้เลย
เมื่อไปหาหมอ หมอก็จะจ่ายยาละลายลิ่มเลือดให้กิน มันก็เหมือนเราเอาสารส้มแกว่งในตุ่มน้ำเพื่อให้น้ำใส ตะกอนเมื่อมันนอนก้นน้ำก็จะใส แต่ถ้าเอาอะไรไปแกว่งทำให้น้ำกระเทือน ตะกอนก็ยังจะลอยขึ้นมาทำให้น้ำขุ่นอีกอยู่ดี เช่นเดียวกัน เมื่อเรากินยาเลือดก็จะใส แค่ตะกอนในร่างกายมันยังไม่ออกยังนอนก้นอยู่ในร่างกายเรา ดังนั้นเราต้องใช้น้ำพาตะกอนเหล่านั้นออกมาให้ได้ ไม่อย่างนั้นมันก็จะกลับไปอุดตันเส้นเลือดเราอีก เมื่อร่างกายขาดน้ำลำไส้ก็แห้ง ไม่มีน้ำที่จะพอเอาอุจจาระออกมาได้ ของเสียก็จะสะสมอยู่ในลำไส้ และลำไส้ก็ดูดซึมของเสียนั้นกลับเข้าร่างกายอีกเลือดเราก็ยังสกปรกและข้น หนืดมากขึ้นไปอีก และลองพิจารณาดูครับว่า เลือดที่เสียเมื่อเข้าไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายแล้วนั้น จะให้เกิดปัญหาตามมาอีกมากมายเพียงใด ที่ถูกแล้วเราควรจะอุจจาระ 1-3 ครั้งทุกๆ วัน ออกมาเป็นเส้นไม่เล็กนัก
ปริมาณพอสมควรกับอาหารที่ เราทานเข้าไป ไม่ใช่ทานเข้าไป 1 กิโลกรัม ถ่ายออกมา 1 ขีด ที่เหลือหายไปไหนหมด มันเข้าไปบำรุงร่างกายเราทั้งหมดหรือ ถ้าเป็นอย่างนั้นเราคงตัวโตเท่าช้างแน่ การที่รอบเดือนหายไป 5-6 เดือนหรือมาๆ หยุดๆ แล้วแต่อารมณ์นั้น ไม่ใช่เรื่องปกติของผู้หญิงทั่วไป ที่ถูกสำหรับดาราสาวท่านนี้ ดื่มน้ำน้อยมาก เลือดคงจะข้นหนืด ผนังมดลูกคงจะแห้งไม่ลอกหลุดออกมาเมื่อมีไข่ตกและไม่ได้รับการผสมพันธุ์ เลือดนั้นก็ยังสะสมเป็นของเสียอยู่ที่ผนังมดลูกเดือนแล้วเดือนเล่า เมื่อช่องทางการขับของเสียดำเนินไม่ได้ตามธรรมชาติร่างกายก็จะสร้างรั้วขอบเขตเป็นถุง เป็นเนื้องอก มาหุ้มห่อของเสียนั้นไว้ ของเสียก็จะค่อยๆกลายเป็นเนื้องอกและกลายเป็นมะเร็งในที่สุด
ช่องทางในการขับของเสียออกจะมีอยู่ 5 ช่องทางด้วยกันคือ
1. ไต ขับออกมาทางปัสสาวะ 2. ลำไส้ใหญ่ ขับออกมาทางอุจจาระ
3. ปอด ขับออกมาทางลมหายใจ 4. ผิวหนัง ขับออกมาทางเหงื่อ
5. รอบเดือน ขับออกมาทางประจำเดือน

เมื่อช่องทางการขับของเสียไม่สมบูรณ์ หรือถูกปิดกั้นมันก็จะต้องพยายามหาทางออกให้ได้ เช่น ออกมาเป็น สิว ฝ้า กระ ฝี ริดสีดวง สิ่งเหล่านี้เป็นของเสียที่ร่างกายพยายามขับออกมาทั้งนั้น ดังนั้น ถ้าเรามีอาการดังที่กล่าวมา ก็ขอให้เรา จงเข้าใจด้วยว่าร่างกายเรามีของเน่าเสียอยู่ภายในแล้ว มันเป็นสัญญาณเตือนภัย ที่เราไม่ควรมองข้าม หรือกินแต่ยา ฉีดยากดอาการเหล่านี้ไว้ไม่ให้แสดงออก เพราะนั่นไม่ใช่วิธีการรักษา หรือบำบัดโรคต่างๆให้หายไป แต่กลับเป็นการทำให้โรคหรืออาการนั้นรุกคืบไปเรื่อยๆ
เหมือนรุกใต้ดิน โดยที่เราไม่รู้สึกอะไร จะรู้สึกตัวอีกทีก็ต่อเมื่อสายเสียแล้ว...

4. เส้นโลหิตในสมองบกพร่อง – เคล็ดลับการวินิจฉัยอาการโรค Apoplexy
เพื่อนคนหนึ่ง หกล้ม ในงานบาร์บีคิวปาร์ตี้ เพื่อนในงานแนะให้หาหมอ แต่เจ้าตัวบอกว่าไม่เป็นไร เพียงแต่ใส่รองเท้าใหม่แล้วสะดุดเท่านั้น อิงอิงดูยืนไม่ค่อยมั่นคง เพื่อนช่วยปัดเป่าเสื้อผ้าให้แล้วยกอาหารจานใหม่ให้ร่วมสนุกกันต่อ หลังจากนั้น ผู้สามีแจ้งมาว่า อิงอิงถูกส่งเข้าโรงพยาบาล แต่แล้วก็เสียชีวิตตอน6 โมงเย็น ถ้าหากเพื่อนๆ รู้จักวินิจฉัยอาการโรค ป่านนี้อิงอิงอาจยังมีชีวิตอยู่กับเพื่อนๆ บางคนเส้นโลหิตในสมองแตก อาจไม่ตาย แต่ก็อาจเป็นอัมพฤตหรืออัมพาด
แพทย์ทางประสาทวิทยากล่าวว่า หากผู้ป่วยถึงมือแพทย์ภายใน 3 ชม.ก็ จะมีโอกาสรอด หากคน
ข้างเคียงไม่รู้จักวินิจฉัยอาการ สมองผู้ป่วยก็จะถูกทำลายอย่างร้ายแรง แพทย์แนะว่า คนข้างเคียงเพียงแค่ ทดสอบผู้ป่วยด้วย 3 ข้อ โปรดจำเคล็ดลับ STR ดังต่อไปนี้
S: (smile) ให้ผู้ป่วย ยิ้ม
T: (talk) ให้ผู้ป่วย พูดประโยคที่มีสาระสมบูรณ์ เช่น วันนี้อากาศสดใสดีจัง
R: (raise) ให้ผู้ป่วย ชูแขนสองข้าง

อาการอีกอย่างที่ไม่ควรมองข้าม
ให้ผู้ป่วย แลบลิ้น ออก ถ้าลิ้นม้วนหรือเบี้ยวไปข้างหนึ่ง ใช่แล้ว ส่ออาการอันตราย !!!
ถ้าผู้ป่วยมีอาการผิดปรกติข้อใดข้อหนึ่ง ให้รีบติดต่อแพทย์ ส่งร.พ.โดยด่วน

10 สุดยอดอาหารดีท๊อกซ์

เริ่มต้นปีแบบปลอดสารพิษ

Copyright (c) Lifestyle Asia Ltd. 2011, All Rights Reserved.
ช่วงเทศกาลวันหยุดเป็นช่วงเวลาแสนพิเศษ เราได้ใช้เวลาแห่งความสุขกับเพื่อนและครอบครัว เราให้และได้รับของขวัญมากมาย รวมถึงการรับประทานอาหารแบบยั้งไม่อยู่ด้วย ทั้งเนื้อสัตว์ ขนมเค้ก หรือแอลกอฮอล์

แต่ถึงตอนนี้เทศกาลได้ผ่านพ้นไปแล้ว สิ่งที่ได้รับนอกจากความสุขแล้วยังเป็นน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นด้วย คราวนี้จึงเป็นเวลาให้ร่างกายได้พักผ่อน และทำความสะอาดระบบในร่างกายด้วย LifestyleAsia แนะนำอาหารสุดยอดดีท๊อกซ์ 10 อันดับ

1.กระเทียม
กระเทียมมีวิตามินซี ซึ่งช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันและตับ แต่ไม่ควรกินกระเทียมไปทั้งเม็ดเพราะมีเอ็มไซม์มากเกินไป ควรจะหั่นหรือซอยบางๆ ทิ้งไว้ 15 นาทีก่อนแล้วนำไปปรุง

2. น้ำมะนาว
เป็นแหล่งอาหารวิตามินซีสูง ช่วยขับสารพิษออกจากร่างกายและเผาผลาญไขมัน การดื่มน้ำมะนาว (แบบไม่ใส่น้ำตาล) ทุกเช้าจะช่วยกระตุ้นกระบวนการเผาผลาญในร่างกาย

3.ขิง
ขิงนอกจากจะเพิ่มรสชาติเผ็ดร้อนให้อาหารแล้วยังช่วยขับของเสียออกจากผิวหนังได้อีกด้วย ด้วยการนำขิงบดละเอียดพร้อมกับเกลืออาบน้ำลงในอ่างอาบน้ำร้อน หลังจากนั้นลงไปแช่ตัวให้นานเท่าที่ทำได้ เท่านี้จะเป็นการขับของเสียออกจากร่างกายได้อีกหนึ่งทาง


4. พืชใบเขียว
คลอโรฟิลล์จากพืชช่วยเรื่องการย่อยอาหาร ผลที่ตามมาคือร่างกายจะกำจัดของเสียได้ง่ายขึ้น ลองทานแบบสลัด ใส่ผักในซุป หรือจะผัดกับน้ำมันมะกอกแล้วแต่ตามเมนูที่ชอบ


5. ธัญญพืช
ข้าวโอ๊ตและขนมปังข้าวไรย์เป็นอาหารที่ทานกันตั้งนานแล้วแต่ถึงอย่างไร ธัญญพืชเหล่านนี้ยังเป็นอาหารที่มีประโยชน์มากด้วยเช่นกัน เพราะประกอบด้วยไพเบอร์ที่ดีต่อสุขภาพ



6. ชาเขียว
เรารู้กันดีอยู่ว่าการดื่มชาเขียวช่วยต่อต้านสารอนุมูลอิสระในร่างกาย นอกจากนี้สารคาเตชินที่มีอยู่ในชาเขียวยังช่วยเร่งการทำงานของตับและเพิ่มการผลิตเอ็มไซม์เพื่อขจัดของเสียในร่างกาย


7. บีทรูท
ไฟเบอร์จากบีทรูทจะเพิ่มการผลิตเอ็มไซม์ต่อต้านอนุมูลอิสระในตับซึ่งจะช่วยตับและถุงน้ำดีกำจัดสารพิษอื่นๆ ออกจากร่างกาย


8. ผักกาด
มีคุณสมบัติช่วยทำความสะอาดตับ ลองทานน้ำซุปใส่ผักกาดหรือทานเป็นสลัดกับแอปเปิ้ลเพิ่มความกรุบกรอบให้รสชาติอาหาร


9. ผลอาร์ติโชค
ช่วยผลิตน้ำดี ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายย่อยอาหารเร็วขึ้นและดูดซึมวิตามินได้ง่ายขึ้น นอกจากจะนำใบมาปรุงเป็นอาหารต่างๆ แล้ว ลองทำชาอาร์ติโชคง่ายๆ ด้วยการนำใบวางไว้ในถ้วยแล้วเทน้ำร้อนผสมกับน้ำผึ้ง

10. ผลไม้สด
ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ตระกูลเบอรี่ต่างๆ มะม่วง แอปเปิ้ลหรือผักสด ต่างอุดมด้วยไฟเบอร์ สารต้านอนุมูลอิสระ และวิตามิน ซึ่งจะช่วยให้ขับของเสียออกจากร่างกายเช่นกัน

ตามหาแก่นธรรม100.76 เรื่องของมึง-เรื่องของกู

ที่สุดของความรักคือรักโดยไม่ครอบครอง ที่สุดของการให้คือให้โดยไม่หวังผล ที่สุดของทานคืออภัยทาน ที่สุดของคนคือการเป็นคนธรรมดาที่มีความสุข
ท่านว.วชิรเมธี




เรื่องของมึง-เรื่องของกู


เมื่อหลายปีก่อนมีคนขับสามล้อเครื่องอารมณ์ดีอยู่คนหนึ่งที่ผู้เขียนรู้จัก เขาเป็นคนที่ออกจะช่างพูด ช่างปราศัย ชื่อซัดดัม
เขาจึงเป็นคนที่มีเพื่อนค่อนข้างเยอะ รวมทั้งผู้เขียนด้วย เราคุยกันถูกคอพอสมควร แม้จะต่างอายุและอาชีพกันก็ตาม ในบทสนทนาแบบสั้นๆ ไม่เกินห้าหรือสิบนาทีต่อครั้ง
แม้จะไม่บ่อยนัก แต่การพบหรือเจอกันแทบทุกวัน ก็ทักทายกันแต่พองาม
ซัดดัมออกจะเป็นคนสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้านบ้างเหมือนกัน แต่ไม่มากนัก
มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ซัดดัมถามผู้เขียนแทบจะทุกครั้งที่เจอกัน ด้วยคำถามเดิมๆตลอด ในระยะเวลาประมาณสามเดือน
"เฮียรถวอลโว่ใหม่ หายไปไหน"
นั่นเป็นคำถามยอดฮิตของซัดดัม ผู้เขียนได้แต่พยักหน้าแล้วก็เดินจากไป แต่ซัดดัมก็ยังโหมกระหน่ำถามคำถามนี้กับผู้เขียนอยู่เสมอ เคยตอบไปหลายครั้งว่าขายไปแล้ว (ใช้หนี้ )แต่เขาก็ไม่เชื่อ หรือปากว่างก็ไม่รู้ จนมีอยู่วันหนึ่งเมื่อเจอคำถามเดิมๆ ผู้เขียนก็เลยคิดว่าจะตอบแบบเบ็ดเสร็จสักครั้งหนึ่งก็เลยพูดไปว่า
"ซัดดัม ในโลกนี้มีเรื่องอยู่สองเรื่องเท่านั้นเองจริงๆนะ คือเรื่องของมึงกับเรื่องของกู ลองเอาไปคิดดูนะครับ "
ตั้งแต่นั้นมาซัดดัมปิดปากกับคำถามซ้ำซากข้างต้น ไม่พูดกับผู้เขียนอีกเลยสักคำในเร่องนี้ ได้แต่ทักทายกันตามปกติ
หลังจากนั้นเขาก็หายไป ทราบข่าวว่าขับสามล้อไม่คุ้ม เพราะรายจ่ายเยอะ ก็เลยไปทำการเกษตรและหันไปเล่นการเมืองท้องถิ่นคือเป็นอบต ผู้เขียนเองไม่ได้แปลกใจอะไรเลย เพราะเห็นความสามารถในเรื่องการพูดและความคิดที่ฉับไวของเขามานาน
ในโลกที่วุ่นวายอยู่ทุกวันนี้ ท่านผู้อ่านเชื่อไหมครับว่ามันก็เกิดมาจากคำพูดข้างต้นที่ว่าเรื่องของมึงกับเรื่องของกูเป็นบรรทัดฐานเท่านั้นเอง เพียงแต่เรื่องของมึงมันไม่ค่อยสำคัญ แต่เรื่องของกู เรื่องของครอบครัวกู เรื่องของพวกกู เรื่องสารพัดกู มันสำคัญที่สุด เพราะความเห็นแก่ตัวนั่นเอง
หลวงปู่พุทธทาส ภิกขุ ท่านเคยเทศน์ว่า คำว่าพัฒนามีอยู่สองความหมาย
ความหมายแรกท่านหมายถึงความเจริญรุ่งเรืองทางวัตถุ วิทยาศาสตร์ บ้านเมืองที่มีตึกรามบ้านช่อง
แต่ในอีกความหมายหนึ่งท่านเรียกว่าฉิบหาย เพราะการพัฒนาเชิงวัตถุและสังคม จำเป็นต้องเร่งใช้ทรัพยากรทางธรรมชาติ ต้องตัดไม้ทำลายป่า เร่งขุดเจาะน้ำมันถ่านหิน น้ำบาดาลออกมาใช้ ผลที่ตามมาก็คือภัยทางธรรมชาติที่เราได้รู้เห็นอยู่แทบทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นอุกทกภัย วาตภัย หรือภัยแผ่นดินไหว
นอกจากนี้การพัฒนาและทดลองระเบิดนิวเคลียร์ รวมทั้งการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ของประเทศพัฒนาแล้วแถวหน้าสุดของโลก ก็ก่อให้เกิดปฎิกิริยาเรือนกระจก ที่ไปบดบังแสงอาทิตย์ ทำให้โลกร้อนขึ้เพราะนน้ำแข็งขั้วโลกละลายส่วนหนึ่ง ดังที่ทราบกัน
ทั้งหลายข้างต้น ล้วนเกิดจากการคำว่าพัฒนาโดยมีคำว่าเรื่องของกู แนบสนิททุกหนทุกแห่ง ยากที่จะแยกออกจากกันได้ มนุษย์จึงไม่จำเป็นที่จะต้องหาทางหนีภัยธรรมชาติหรอก นอกจากจะเตรียมรับมือและทำลายโลกให้น้อยลง เพื่อให้โลกย้อนกลับมาขบกัดเราน้อยลงเช่นกัน ในความเป็นจริงโลกก็อยู่ของมันดีๆเฉยๆแล้วนะ แต่เพราะคนเราต่างขวนขวายที่จะทำลายมันเพราะคำว่าพัฒนา( เรื่องของกูและพวกกู ) แต่การพัฒนาทางด้านจิตใจมันยังน้อยกว่าน้อย ( เรื่องของมึง ) โลกมันถึงวุ่นวายนอกจากภัยดังกล่าวแล้ว ยังมีภัยสงครามที่เริ่มเห็นและได้ยินจนชินหูชินตามาก
เรื่องของมึงเรื่องของกูยังก่อปัญหามากมายทางเศรษฐกิจ ในประเทศสารขันธ์ที่ยังมีความคิดเห็นแย้งกัน เช่นกูจะกลับบ้านแล้วฝ่ายหนึ่ง แต่อีกฝ่ายหนึ่งกลับร้องบอกว่ามึงอย่ากลับเลย ชักคะเย่อกันจนมีหลายภาคเศรษฐกิจเสียหาย ดังที่ได้ทราบกัน
เรื่องเหล่านี้ หลวงปู่พุทธทาสท่านเทศน์สอนมานานหลายสิบปีก่อนหน้านี้แล้วว่า การพัฒนาทางวัตถุ จำเป็นตัช้องพัฒนาทางจิตวิญญาณไปด้วย ( spiritual ) แต่ที่เห็นกันมา มันพัฒนากันจริงหรือ จะเห็นมีก็เพียงแต่ชนกลุ่มน้อย( กระจิดริด )
ผู้เขียนถามจริงๆหน่อยเถิด มีคนมากไหมที่จะสวดมนต์ก่อนนอน แล้วถ้าสวดมนต์ก่อนนอนที่ถือว่าดีแล้ว มีใครจำบทสวดมนต์ได้สักกี่คน ไม่ต้องถามต่อไปหรอกว่าแล้วใครรู้ความหมายของบทสวดมนต์บ้าง เห็นไหมครับว่าเราจำเป็นต้องพัฒนาจิตวิญญาณเชิงพุทธกันได้แล้ว อย่างเร่งด่วน ที่นี่และเดี๋ยวนี้ด้วยซ้ำ
"เพื่ออะไร ?" อาจจะมีคำถามนี้ตามมา
ถ้าตอบแบบโลกๆ ก็ขอตอบว่าเพื่อเข้าใจเรื่องของมึงกับเรื่องของกู เพื่อพัฒนาเป็นเรื่องของเรา เพื่อความสุข สงบ และสันติ
แต่ในทางพุทธศาสนาแล้ว เรื่องของกู มันสำคัญที่สุด เพราะมันเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดทุกข์และกรรมซ้ำซากที่เรากล้ว ไม่ใช่เพิ่งมากลัวนะครับ แต่กลัวมานาน หลายภพหลายชาติแล้ว หยุดตัวกูได้ก็หยุดกรรมชั่วทั้งหลายได้ แล้วต้องมาแก้กรรมกันที่หลังให้เมื่อยทำไม
เพียงแต่ว่าท่านทั้งหลาย อยากที่จะหยุดกรรมหยุดกูจริงๆหรือเปล่า เท่านั้นเองครับอย่างน้อยก็ได้ความสงบเย็นและความเบิกบานใจ แม้ไม่ถึงกับตื่นรู้จากภายในและมีความอิสระทางใจก็ตาม
ผู้เขียนเชื่อว่าท่านผู้อ่านทุกท่านกล้าหาณพอ ที่ไม่ต้องให้ใครท้าทายว่าคุณกล้าสวดมนต์และลองนั่งสมาธิจริงๆจังๆบ้างไหม เพราะทุกท่านล้วนแล้วแต่มีศักยภาพ ที่จะพัฒนาได้แล้วทั้งสิ้น เอวัง


ธรรมะสวัสดี

สะมะชัยโย
ใบโพธิ์แก่นธรรม
สรรพสิ่งทุกอย่างเกิดจากความรัก แต่เกือบทั้งหมดตายจากไปเพราะความทุกข์
หมายเหตุแก่นธรรม
๑.ผู้เขียนและคณะเป็นผู้เขลาทางปัญญา หากมีข้อผิดพลาดบกพร่อง ขอน้อมรับทุกประการ บุญกุศลที่เกิดจากบทความนี้ขอน้อมถวายแด่หลวงปู่ หลวงตา หลวงพ่อ ครูบาอาจารย์ และอุทิศให้แก่บรรพบุรุษ อันมีพ่อแม่ปู่ย่าตายายเป็นปฐม เจ้ากรรมนายเวร สรรพสัตว์ทั้งหลายในสากลโลกนี้ รวมทั้งท่านผู้อ่านทุกท่าน ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป
๒. เพื่อนๆครับ ไม่รู้เพื่อนๆจะเบื่อผ้าป่าสามัคคีฯในช่วงนี้กันหรือเปล่า เพราะที่โรงพยาบาลรามาฯมีคุณหมอเก่งและอุดมการณ์สูงท่านหนึึ่ง ท่านพยายามจะช่วยคนไข้ที่ยากจน แต่ขาดแคลนเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์

อีกทั้งของที่ต้องใช้กับผู้ป่วยอาการหนัก เช่นมะเร็งฯ ทำให้ขาดแคลนทุนทรัพย์อยู่มาก โครงการนี้ไม่เกี่ยวกับโรงพยาบาลรามาพรีเมี่ยม ที่กำลังแปลงร่างเป็นโรงพยาบาลเอกชนเลย
คุณหมอท่านนั้นคือ คุณหมอจักรพันธ์ เอื้อนรเศรษฐ์ ที่เก่งและกล้าหาญกับคนไข้มาก ( แม้จะมีความสามารถในการผ่าตัดเป็นแถวแรกของเมืองไทย แต่เท่าที่รู้ท่านไม่คิดจะอยู่ที่โรงพยาบาลเอกชนไหนเลย ) หากเพื่อนๆตอบรับกลับมามากกว่าสิบคน ตามหาแก่นธรรมก็จะจัดตั้งผ้่าป่าสามัคคีแก่นธรรม-คุณหมอจักรพันธ์ เอื้อนรเศรษฐ์ เพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าว
บอกรับและแสดงความกล้าหาญในการทำบุญทำทานเข้ามานะครับ สำหรับผู้ที่ยังขาดแคลนเม็ดเงิน ขอให้โนโหวตครับ (ไม่เกี่ยวกับการเมืองเรื่องของมึงแต่อย่างใด )
๓.มีคลิ๊ปเรื่องลุงเสรี หอมมาก ผู้มีธรรมะในหัวใจ แต่ปากมหาประลัย อย่างไรก็ตามลุงเสรี ยังชนะใจคนบ้านโป่งที่โหวตให้แกเป็นคนดีที่สุด ใครยังไม่ได้ดูแล้วอยากดูเชิญนะครับ ถ้าไม่กลัวปากแก แล้วอย่าลืมอุดหนุนอะไรที่เกี่ยวกับรายการคนค้นฅนนะครับ
http://www.youtube.com/watch?v=bTAzTVos1rw&feature=related
http://www.youtube.com/watch?v=vYf6t0VvekY&feature=related
http://www.youtube.com/watch?v=PS8jDlt6ZRw&feature=related
http://www.youtube.com/watch?v=UR1_5EX2Qas&feature=related
http://www.youtube.com/watch?v=WDaQBraVqjE&feature=related
http://www.youtube.com/watch?v=6sVoPKiNmvI&feature=related
http://www.youtube.com/watch?v=eS4aP1PZnqs&feature=related
http://www.youtube.com/watch?v=vR2H7r9gxyU&feature=related

การสร้างกรุงรัตนโกสินทร์

การสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑ ทรงขอให้คนจีน (บรรพบุรุษของพระยาโชฏึกเศรษฐี ต้นสกุล โชติกเสถียร) ที่ทำแปลงสวนผักอยู่บริเวณที่จะสร้างพระบรมมหาราชวังนั้น ย้ายไปอยู่ที่สำเพ็งหรือ สามเพ็ง(วัดปทุมคงคา) และวัดสามปลื้ม (วัดจักรวรรดิ์ราชาวาส)แทน เพื่อใช้สถานที่นั้นสร้างพระบรมมหาราชวังตามแบบอย่างกรุงศรีอยุธยา


กรุงเทพฯ เพิ่งได้รับการโหวต ให้เป็นเมืองท่องเที่ยวที่ดีที่สุดในโลกมาหมาดๆ เรื่องนี้ไม่ได้มาง่ายๆ
เพราะเรื่องทางลบของกรุงเทพฯก็มีข่าวอยู่บ่อยๆ แต่อย่างน้อยต้องยกคุณความดีทั้งหมด ให้กับบรรพบุรุษของเรา ที่ท่านได้สร้างและรักษามาให้ลูกหลานจนถึงวันนี้ เลยอยากพาย้อนอดีตดูสักวัน
พื้นที่ของกรุงธนบุรีหรือบางกอกนั้น ได้มีการสร้างพระนครแห่งใหม่คือ กรุงรัตนโกสินทร์ หรือ กรุงเทพมหานคร (BANGKOK) ขึ้น หลังจากที่เกิดจลาจลในกรุงธนบุรีเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕ จึงได้มีการสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ที่บางกอกฝั่งตะวันออก

สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก

ได้โปรดให้ย้ายเมืองหลวงจากกรุงธนบุรีมาตั้ง ที่ฝั่งบางกอกตะวันออกและทำการสร้างพระราชวังโดยพระราชทานนามว่า “ กรุงรัตนโกสินทร์อินทอยุธยา” (ต่อมาสมัย ร.๓ ทรงแก้นามพระนครเป็น “กรุงรัตนโกสินทร์มหินทราอยุธยา” สมัย ร.๔ ทรงเปลี่ยนเป็น “กรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา” ต่อมาเปลี่ยนคำว่า “บวรรัตนโกสินทร์” เป็น “อมรรัตนโกสินทร์” แล้วเติมสร้อยนามต่อมา(หนังสือกินเนสบุ๊ค ได้ยกให้เป็นชื่อเมืองที่ยาวที่สุดในโลก)คือ“กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยามหาดิลกภพนพรัตน์ราชธานีบุรีรมย์ อุดมนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์” สถานที่ตั้งกรุงรัตนโกสินทร์นั้นเป็นชุมชนเก่า ที่เรียกว่าบางกอก คำว่าบางกอก นั้นสันนิษฐานว่าน่าจะมาจากบริเวณแห่งนั้นที่มีต้นมะกอกมาก หรือมาจากคำว่า “บางเกาะ” หรือ “บางโคก”เนื่องจากพื้นที่บางกอกทั้งฝั่งธนบุรีและกรุงเทพนั้นมีคลองและแม่ น้ำล้อมรอบ คล้ายเกาะ และเป็นที่เนินสูงเหมือนเกาะสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑ ทรงขอให้คนจีน (บรรพบุรุษของพระยาโชฏึกเศรษฐี ต้นสกุล โชติกเสถียร) ที่ทำแปลงสวนผักอยู่บริเวณที่จะสร้างพระบรมมหาราชวังนั้น ย้ายไปอยู่ที่สำเพ็งหรือ สามเพ็ง(วัดปทุมคงคา) และวัดสามปลื้ม (วัดจักรวรรดิ์ราชาวาส)แทน เพื่อใช้สถานที่นั้นสร้างพระบรมมหาราชวังตามแบบอย่างกรุงศรีอยุธยา

พระบรมมหาราชวัง ประกอบด้วย

วังชั้นนอก วังชั้นใน และวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ประตูพระบรมมหาราชวังชั้นนอกมีหลายประตูคือ ประตู วิมานเทเวศร์ วิเศษชัยศรี มณีนพรัตน์ สวัสดิโสภา เทวาพิทักษ์ ศักดิ์ชัยสิทธ์ วิจิตรบรรจง อนงคารักษ์ พิทักษ์บวร สุนทรทิษา เทวาภิรมย์ อุดมสุดารักษ์ ส่วนประตูพระราชวังชั้นในมีชื่อว่า สุวรรณบริบาล พิมานชัยศรี สีกรลีลาศ เทวราชดำรงศร อุดรสิงหรักษ์ จักรพรรดิ์ภิรมย์ กมลาสประเวศ อมเรศร์สัญจร สนามราชกิจ ดุสิตศาสดา กัลยาวดี ศรีสุดาวงษ์ อนงคลีลา ยาตราสตรี ศรีสุนทร พรหมศรีสวัสดิ์ พรหมโสภา แถลงราชกิจ ปริตประเวศ ราชสำราญ และพิศาลทักษิณ ซึ่งบางประตูก็ถูกรื้อไปแล้ว

ได้มีการสร้างป้อมหอรบไว้รอบกำแพงพระบรมมหาราชวัง บางป้อมมีหลังคาคลุม มีชื่อ ป้อมอินทรังสรรค์ (อยู่มุมกำแพงด้านตะวันตก สร้างสมัย ร.๑ รูปแปดเหลี่ยม ป้อมนี้ถูกรื้อสมัย ร.๖ เพื่อสร้างถนนนอกกำแพงด้านตะวันตก) ป้อมขันธ์เขื่อนเพชร (อยู่ทางตะวันออกของประตูวิเศษชัยศรี สร้างสมัย ร.๑ รูปแปดเหลี่ยม) ป้อมเผด็จดัสกร (มุมกำแพงด้านตะวันออกข้างเหนือ ใกล้ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง สร้างสมัย ร.๑ รูปแปดเหลี่ยม เคยมีเสาธงสูงตั้งอยู่) ป้อมสัญจรใจวิง (อยู่ด้านตะวันออก สร้างสมัย ร.๔) ป้อมสิงขรขันฑ์ (สร้างสมัย ร.๑) ป้อมขยันยิงยุทธ (อยู่ด้านเหนือของพระที่นั่งสุทไธสวรรค์ สร้างสมัย ร.๔) ป้อมฤทธิรุดโรมรัน (อยู่ด้านใต้ของพระที่นั่งสุทไธสวรรค์ สร้างสมัย ร.๔) ป้อมอนันตคิรี (อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้อยู่ใกล้พระที่นั่งสุทไธสวรรค์ถนนสนามไชย ตรงข้ามสวนสราญรมย์ กระทรวงการต่างประเทศ สร้างสมัย ร.๑) ป้อมมณีปราการ (อยู่มุมวังด้านตะวันออก สร้างสมัย ร.๑ บุรณะสมัย ร.๒ เป็นรูปหอรบ) ป้อมพิศาลสีมา (สร้างสมัย ร.๑ ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นป้อมสัตตบรรพต ) ป้อมภูผาสุทัศน์ (อยู่มุมวังด้านตะวันตกใกล้ประตูพิทักษ์บวร สร้างสมัย ร.๑) ป้อมสัตตบรรพต (อยู่ทางตะวันตกของป้อมอนันตคิรี สร้างสมัย ร.๒ รูปหอรบ ป้อมนี้ถูกรื้อสมัย ร.๖ เพื่อสร้างถนนนอกกำแพงด้านตะวันตก) ป้อมโสฬสศิลา (ปรับปรุงสมัย ร.๒ รูปหอรบ) ป้อมมหาโลหะ(ปรับปรุงสมัย ร.๒ รูปหอรบ) ป้อมทัศนานิกร (สร้างสมัย ร.๕) ป้อมพรหมอำนวยศิลป และ ป้อมอินทรอำนวยศร สำหรับป้อมรอบกำแพงพระราชวังบวรสถานมงคล (ปัจจุบันเป็นมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โรงละคอนแห่งชาติ และพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ) มีชื่อ ป้อมทับทิมศรี เขื่อนขันธ์ นิลวัฒนา มุกดาพิศาล เพชรบูรพา วิเชียรอาคเนย์ เพชรไพฑูรย์ เขื่อนเพชร และมณีมรกต ป้อมเหล่านี้ได้ถูกรื้อลงหมดแล้ว ในปี พ.ศ. ๒๓๒๖ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑ โปรดให้ทำการรื้อป้อมวิชาเยนทร์ และกำแพงเมืองธนบุรีข้างฟากตะวันออกเสีย เพื่อขยายพระนคร

พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท

สร้างสมัย ร.๑ ใช้แบบใกล้เคียงกับพระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์สมัยอยุธยา พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทใช้อาคารแบบฝรั่ง ส่วนบนใช้ทรงไทยยอดปราสาทสร้างสมัย ร.๕ ใน พ.ศ.๒๔๑๙ พระที่นั่งบรมพิมาน สร้างสมัย ร.๕ แบบยุโรป
สิ่งก่อสร้างสมัย ร.๑ นี้ ส่วนหนึ่งใช้อิฐซึ่งรื้อมาจากป้อมกำแพงและสถานที่ต่างๆ ในกรุงศรีอยุธยา ทำให้โบราณสถานต่างๆ ในกรุงศรีอยุธยาถูกทำลายเสียหายไปมาก
กำแพงพระราชวังที่สร้างครั้งแรกในสมัยรัชกาล ที่ ๑ นั้น ใช้ เป็นระเนียดปักกันดินและเรียงอิฐที่ขนมาจากกรุงศรีอยุธยาและกรุงธนบุรี ต่อมาจึงปรับปรุงเป็นกำแพงก่ออิฐถือปูน

ในด้านความมั่นคง ทางยุทธศาสตร์

มีการสร้างป้อมรอบกรุงรัตนโกสินทร์สำหรับป้องกันการโจมตีของข้าศึก ๑๔ ป้อมตามแนวแม่น้ำเจ้าพระยาและคลองคูเมือง มีชื่อป้อมเรียงทวนเข็มนาฬิกาดังนี้
ป้อมพระสุเมรุ อยู่ที่ปากคลองบางลำพูบน ด้านตะวันตกเฉียงเหนือของพระนคร
ป้อมอิสินทร อยู่ระหว่างป้อมพระสุเมรุกับป้อมพระอาทิตย์ปากคลองคูเมืองเดิมหรือคลองหลอดด้านเหนือ
ป้อมพระอาทิตย์ อยู่สุดถนนพระอาทิตย์ ปากคลองคูเมืองเดิมด้านใต้
ป้อมพระจันทร์ อยู่ที่บริเวณท่าพระจันทร์ ตรงข้ามโรงพยาบาลศิริราช
ป้อมมหายักษ์ อยู่ริมน้ำ เยื้องหน้าพระอุโบสถวัดพระเชตุพน ตรงข้ามวัดอรุณราชวราราม ปัจจุบันเป็นตลาดท่าเตียน
ป้อมมหาฤกษ์ ป้อมนี้น่าจะสร้างทับบนพื้นที่ของป้อมวิชาเยนทร์แบบฝรั่งเศส สมัยสมเด็จพระนารายณ์ อยู่ตรงข้ามป้อมวิชัยประสิทธิ์ ที่เป็นกองทัพเรือฝั่งธนบุรี อยู่ใกล้ปากคลองตลาดด้านเหนือ สมัย ร.๕ โปรดให้ใช้ที่ของป้อมมหาฤกษ์นี้สร้างโรงเรียนสุนันทาลัยซึ่งต่อมาเปลี่ยน ชื่อเป็นโรงเรียนราชินี ที่ปากคลองตลาด
ป้อมผีเสื้อ อยู่ปากคลองตลาดหรือคลองคูเมืองเดิมฝั่งใต้ ติดแม่น้ำเจ้าพระยา
ป้อมจักรเพชร เหนือปากคลองโอ่งอ่าง ใกล้สะพานพุทธ
ป้อมมหาไชย อยู่เหนือคลองคูพระนครหรือคลองโอ่งอ่างด้านสะพานหัน ติดถนนมหาไชย ใกล้วังบูรพาภิรมย์ ป้อมนี้ต่อมาถูกรื้อเพื่อสร้างตึกแถวก่อนสงครามโลกครั้งที่ สอง ปัจจุบันคืออาคารรวมทุนไทย
ป้อมเสือทยาน อยู่เหนือประตูสามยอดตรงสะพานดำรงสถิต
ป้อมหมูทลวง อยู่ตรงข้ามสวนรมณีย์นาถในปัจจุบัน ซึ่งเดิมเคยเป็นเรือนจำคลองเปรม
ป้อมมหากาฬ อยู่ใกล้สะพานผ่านฟ้าลีลาศ
ป้อมมหาปราบ อยู่ระหว่างสะพานผ่านฟ้ากับสะพานวันชาติ
และป้อมยุคนธร อยู่ใกล้วัดบวรนิเวศ
ภายหลังต่อมา ป้อมต่างๆนี้ได้ถูกรื้อไปหลายป้อม สำหรับป้อมที่ยังคงเหลืออยู่นั้นได้แก่ป้อมมหากาฬ ที่ผ่านฟ้าใกล้วัดสระเกศ และป้อมพระสุเมรุ ที่ถนนพระอาทิตย์ บางลำพูเท่านั้น

กำแพงเมืองกรุงรัตนโกสินทร์

กำแพงเมืองที่สร้างขึ้นนี้ มีประตูเมืองอยู่หลายแห่งซึ่งจะเปิดเมื่อเวลาย่ำรุ่ง(พระอาทิตย์ขึ้น) และปิดเมื่อย่ำค่ำ (พระอาทิตย์ตก) ในสมัยรัชกาลที่ ๑ นั้น สร้างประตูเมืองเป็นประตูทรงมณฑปเครื่องไม้ ทาดินแดงแบบกรุงศรีอยุธยา ต่อมาสมัยรัชกาลที่ ๓ ได้เปลี่ยนประตูจากยอดไม้ทรงมณฑปเป็นประตูก่ออิฐ ด้านบนประตูทำเป็นหอรบ ไม่มียอด สมัยรัชกาลที่ ๕ เปลี่ยนแบบประตูเมืองจากทรงหอรบเป็นประตูยอด เช่น
ประตูสามยอด อยู่ใกล้กองปราบสามยอด ใกล้สะพานดำรงสถิตย์ถนนเจริญกรุง ประตูนี้ถูกรื้อในสมัย ร.๕ เพื่อขยายสร้างเป็นถนนเจริญกรุง
ประตูพฤฒิมาศ หรือ พฤฒิบาศ หรือพฤฒาบาศ อยู่ด้านตะวันออก ตรงผ่านฟ้าใกล้ป้อมมหากาฬ ออกไปวัดปรินายก ประตูนี้ถูกรื้อสมัย ร. ๕ เพื่อสร้างสะพานผ่านฟ้าและถนนราชดำเนิน
ประตูสำราญราษฎร์ อยู่ที่ถนนมหาชัยใกล้วัดราชนัดดา ตรงข้ามกับคุก ชาวบ้านเรียกกันว่า ประตูผี เพราะเป็นประตูเดียวที่ให้นำศพของราษฎรที่ตายในกำแพงพระนคร ออกไปเผานอกพระนครที่วัดสระเกศ
ประตูสะพานหัน เป็นประตูพระนคร ที่จะออกไปสู่ย่านคนจีนที่สำเพ็ง สะพานหันเป็นสะพานเหล็กข้ามคลองคูพระนคร สร้างสมัย ร.๔ สามารถหมุนหันให้เรือผ่านได้ ประตูนี้ถูกรื้อสมัยรัชกาลที่ ๖ แล้วสร้างตึกแถวแทน
สำหรับถนนในกรุงรัตนโกสินทร์สมัยแรกนั้นเป็น ถนนดินแคบๆ พอที่คน ช้างม้า และเกวียนเดินได้เท่านั้น สมัยรัชกาลที่ ๔ โปรดให้สร้างถนนบำรุงเมืองทำด้วยอิฐตะแคง พอถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ จึงมีการปรับปรุงถนนบำรุงเมืองและเฟื่องนคร เป็นแบบสิงคโปร์และอินเดีย สร้างตึกแถวริมถนนตามแบบตึกของหลวงที่กำหนดไว้ ถนนตั้งแต่ป้อมพระสุเมรุถึงป้อมมหากาฬชื่อถนนพระสุเมรุ ถนนไปทางท่าช้างวังหน้าชื่อถนนพระอาทิตย์ ถนนมหาไชยเริ่มจากโรงไฟฟ้าวัดเลียบ ผ่านประตูผีถึงผ่านฟ้า

การสร้างวัดพระศรีรัตนศาสดารามในพระบรมมหาราชวัง

พ.ศ.๒๓๒๗ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑ ทรงโปรดให้ทำการสร้างวัดพระศรีรัตนศาสดารามหรือวัดพระแก้ว เพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรหรือพระแก้วมรกต ขึ้นในพระบรมมหาราชวัง
ในบริเวณพระบรมมหาราชวังนั้น มีพระปรางค์ประดับด้วย กระเบื้องเคลือบสี ๘ องค์ทางหน้าวัดด้านตะวันออก มีชื่อดังนี้
พระสัมมาสัมพุทธมหาเจดีย์(สีขาว)
พระสัทธรรมปริยัติวรามหาเจดีย์ (สีน้ำเงิน)
พระอริยสงฆ์สาวกมหาเจดีย์ (สีชมภู)
พระอริยสาวกภิกษุณีสังฆมหาเจดีย์ (สีเขียว)
พระปัจเจกโพธิสัมพุทธามหาเจดีย์ (สีม่วง)
พระจักรวัติราชมหาเจดีย์ (สีน้ำเงิน)
พระโพธิสัตวกฤษฎามหาเจดีย์ (สีแดง)
พระศรีอริยเมตยมหาเจดีย์ (สีเหลือง)
วัดพระศรีรัตนศาสดารามนี้จะมีการบูรณะใหญ่ทุก ๕๐ ปี เริ่มแต่สมัย ร.๓ - ร.๕ - ร.๗ และในรัชกาลปัจจุบัน ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นแม่กองซ่อมใหญ่ในการฉลองพระนครครบ ๒๐๐ ปี ของ กรุงรัตนโกสินทร์ พ.ศ.๒๕๒๕
ปีมะเส็ง พ.ศ.๒๓๒๘ มีการสมโภชพระนครกรุงรัตนโกสินทร์แห่งใหม่ โดยนิมนต์พระสงฆ์ขึ้นสวดพระพุทธมนต์บนเชิงเทินบนใบเสมารอบพระนคร เสมาละ ๑ องค์ ตั้งโรงทานรอบพระนครและมีมหรสพต่างๆ (ตั้งแต่นั้นมากรุงรัตนโกสินทร์ได้เจริญรุ่งเรืองมาตามลำดับตั้งแต่ รัชกาลที่.๑ - ๙ )

ที่มา TraveLAround

สิทธิทางแพ่งของผู้เสียหายเมื่อถูกจับผิดตัว โดย สราวุธ เบญจกุล

จากบทความเรื่อง “ทำอย่างไรเมื่อถูกจับผิดตัว” ที่ได้กล่าวถึงการคุมขังโดยมิชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการกระทำที่มีผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกายซึ่งได้มีการบัญญัติรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย รวมถึงสิทธิในการร้องขอให้ปล่อยตัวของผู้ถูกคุมขังในคดีอาญาหรือในกรณีอื่นใดโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ทั้งนี้เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น จะมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการคุ้มครองและเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผู้ถูกคุมขังโดยมิชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ อย่างไร

จากแนวคิดที่ว่าสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย ถือเป็นสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 28 จึงได้มีบทบัญญัติคุ้มครองให้ “บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้ สามารถยกบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้เพื่อใช้สิทธิทางศาลหรือยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้คดีในศาลได้” และหากมีการกระทำใดๆซึ่งมีผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย มาตรา 32 กำหนดให้ “ผู้เสียหาย พนักงานอัยการ หรือบุคคลอื่นใดเพื่อประโยชน์ของผู้เสียหาย มีสิทธิร้องต่อศาลเพื่อให้สั่งระงับหรือเพิกถอนการกระทำเช่นว่านั้น รวมทั้งจะกำหนดวิธีการตามสมควรหรือการเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นด้วยก็ได้”

อย่างไรก็ดี นอกจากบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่กำหนดให้ผู้ถูกคุมขังโดยมิชอบด้วยกฎหมาย สามารถใช้สิทธิทางศาลเพื่อเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้ว ยังมีบทบัญญัติของกฎหมายสำคัญอีกฉบับที่ต้องพิจารณาประกอบ คือ พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ซึ่งมีสาระสำคัญในการกำหนดหลักเกณฑ์ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่ผู้เสียหายและประสงค์จะฟ้องคดีต้องมีความเข้าใจในเบื้องต้นว่าการกระทำละเมิดนั้นเป็นการกระทำในการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ โดยกฎหมายกำหนดให้หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดซึ่งเกิดขึ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ ในกรณีที่เป็นการกระทำละเมิดต่อบุคคลภายนอก

ทั้งนี้ มาตรา 5 กำหนดให้ “ผู้เสียหายอาจฟ้องหน่วยงานของรัฐดังกล่าวได้โดยตรง แต่จะฟ้องเจ้าหน้าที่ไม่ได้” และ “ถ้าการละเมิดเกิดจากเจ้าหน้าที่ซึ่งไม่ได้สังกัดหน่วยงานของรัฐแห่งใด ให้ถือว่ากระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานของรัฐที่ต้องรับผิด” ดังคำพิพากษาฎีกาที่ 5824/2543 ที่ศาลฎีกาได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นว่าเป็นการกระทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่ จากกรณีที่เจ้าพนักงานตำรวจทั้งสามเข้าจับกุมโจทก์ ซึ่งถือได้ว่ามีการปฏิบัติหน้าที่เกิดขึ้นแล้ว การควบคุมตัวโจทก์เพื่อไปส่งที่สถานีตำรวจย่อมถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่เช่นกัน หากข้อเท็จจริงฟังได้ตามฟ้องว่า เจ้าพนักงานตำรวจทั้งสามทำร้ายร่างกายโจทก์ขณะควบคุมโจทก์ไปส่งสถานีตำรวจ ถือได้ว่าเจ้าพนักงานตำรวจทั้งสามกระทำละเมิดต่อโจทก์และเป็นการกระทำในการปฏิบัติหน้าที่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยในฐานะที่เป็นหน่วยงานของรัฐที่เจ้าพนักงานตำรวจทั้งสามสังกัดอยู่ได้

แต่ถ้าปรากฏข้อเท็จจริงว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐได้กระทำละเมิดไปด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง มาตรา 8 กำหนดให้หน่วยงานของรัฐที่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหาย มีสิทธิเรียกให้เจ้าหน้าที่ผู้ทำละเมิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่หน่วยงานของรัฐจ่ายให้แก่ผู้เสียหายคืนได้ อย่างไรจะถือว่าเป็นการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ย่อมขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงเป็นรายกรณีไป โดยอาจพิจารณาจากลักษณะของการกระทำของบุคคลนั้นว่าได้กระทำไปโดยขาดความระมัดระวังตามมาตรฐานของบุคคลทั่วไปเป็นอย่างมาก เช่นตัวอย่างคำพิพากษาฎีกาที่ 1789-1790/2518 กรณีโรงงานของจำเลยเผาเศษปอ ทำให้มีควันดำปกคลุมถนนจนมองไม่เห็นทางข้างหน้า จนเป็นเหตุให้มีรถขับมาชนท้ายรถโจทก์ซึ่งจอดอยู่ได้รับความเสียหาย และเหตุการณ์เช่นนี้ได้เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง แต่จำเลยก็ปล่อยปละละเลยไม่เปลี่ยนวิธีการเผาเศษปอ ถือได้ว่าเป็นกรณีที่จำเลยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง

นอกจากนี้ ถ้าเป็นการกระทำละเมิดต่อบุคคลภายนอกซึ่งมิได้เกิดขึ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ มาตรา 6 กำหนดให้ “เจ้าหน้าที่ต้องรับผิดในการนั้นเป็นการเฉพาะตัว ในกรณีนี้ผู้เสียหายอาจฟ้องเจ้าหน้าที่ได้โดยตรง แต่จะฟ้องหน่วยงานของรัฐไม่ได้” ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกาได้เคยให้ความเห็นไว้ในกรณีการยักยอกเงินขององค์การบริหารส่วนตำบลถ้ำทะลุ ว่าการที่หัวหน้าส่วนการคลังได้เขียนเช็คเบิกเงินเกินกว่าจำนวนเงินที่ตั้งเบิกและนำไปเบิกเงินจากธนาคาร และรับเงินที่ราษฎรมาชำระภาษีและค่าธรรมเนียม แล้วไม่นำเข้าบัญชีเงินฝากของ อบต. แต่เบียดบังเงินดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ส่วนตน ถือเป็นการกระทำโดยทุจริตเพื่อให้ตนเองได้ประโยชน์ เป็นการกระทำความผิดทางอาญา มิใช่การกระทำในการปฏิบัติหน้าที่

สำหรับการที่จะใช้สิทธิทางศาลยังศาลใด ระหว่างศาลยุติธรรมและศาลปกครอง มีคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ 22/2547 ได้วินิจฉัยเขตอำนาจศาลที่น่าสนใจไว้ในคดีที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองได้ยื่นฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐว่า ระหว่างที่เจ้าพนักงานตำรวจซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดี ควบคุมตัวผู้ตายซึ่งเป็นบุตรของผู้ฟ้องคดีทั้งสองไว้ ได้กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงไม่ใส่กุญแจห้องควบคุมผู้ต้องหาอื่น ทำให้ผู้ต้องหาอื่น 9 คน เข้ารุมทำร้ายผู้ตายในห้องควบคุมจนถึงแก่ความตาย โดยเจ้าพนักงานตำรวจไม่ห้ามปรามทั้งที่สามารถกระทำได้ จึงเป็นการกล่าวอ้างว่าผู้ตายถึงแก่ความตายขณะอยู่ในการควบคุมตัวของเจ้าพนักงานตำรวจ เป็นการใช้อำนาจในการควบคุมตัว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเพื่อนำไปสู่การลงโทษผู้กระทำความผิดทางอาญา และเป็นการใช้อำนาจในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา มิใช่การใช้อำนาจทางปกครอง จึงต้องอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

เช่นเดียวกับคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 213/2549 และ 65/2553 ที่ศาลปกครองสูงสุดได้วินิจฉัยไปในแนวทางเดียวกันว่า การดำเนินการของเจ้าพนักงานตำรวจตามกฎหมายที่มีบทลงโทษทางอาญา และมีประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญากำหนดอำนาจไว้เป็นการเฉพาะ ถือเป็นการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญา มิใช่การใช้อำนาจทางปกครองจึงต้องอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

การใช้สิทธิทางศาลไม่ใช่วิธีการเดียวที่จะเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำละเมิดอันเกิดจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้เสียหายสามารถเลือกใช้วิธีการร้องขอให้หน่วยงานของรัฐพิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ ตามมาตรา 11 และหน่วยงานของรัฐต้องพิจารณาคำขอโดยไม่ชักช้าให้แล้วเสร็จภายใน 180 วัน และสามารถขอขยายเวลาได้อีก 180 วัน
จะเห็นได้ว่า จากสภาพปัจจุบันการจะบังคับให้เจ้าหน้าที่ของรัฐทุกคน ประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายอาจเป็นไปได้ยาก หรือ ในบางกรณีแม้ว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐจะได้พยายามและระมัดระวังอย่างเต็มที่แล้ว แต่ก็ยังสามารถที่จะมีความผิดพลาดเกิดขึ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ได้ พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 จึงได้กำหนดให้หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดซึ่งเกิดขึ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ เพื่อประโยชน์แก่ผู้เสียหายที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรม โดยมีทางเลือกในการดำเนินการสองทาง คือ การใช้สิทธิทางศาล และการร้องขอต่อหน่วยงานของรัฐให้พิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เพื่อคุ้มครองและเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำละเมิด

สราวุธ เบญจกุล
รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม

วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ศาลสิ่งแวดล้อม (Green Bench) โดย สราวุธ เบญจกุล

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาสังคมต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติหลากหลายรูปแบบซึ่งล้วนแต่มีลักษณะความรุนแรงมากกว่าที่เคยเกิดขึ้นในอดีต เป็นภัยธรรมชาติที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เกิดขึ้นในบริเวณที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนบ้าง เช่น เหตุการณ์ดินถล่มที่จังหวัดนครศรีธรรมราช และ เหตุการณ์วิกฤติโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ที่ประเทศญี่ปุ่นซึ่งสร้างความตื่นตระหนกและก่อให้เกิดความกังวลในวงกว้าง เกือบทุกประเทศเฝ้าติดตามวิกฤตการณ์ครั้งนี้ว่าจะได้รับการแก้ไขอย่างไร

คงปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งแวดล้อมเป็นปัจจัยหนึ่งที่ก่อให้เกิดภัยธรรมชาติที่รุนแรง ดังนั้น ปัญหาสิ่งแวดล้อมจึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวแต่กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวที่สังคมต้องให้ความสำคัญในการป้องกันทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเยียวยาประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม

ประเด็นเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ประชาคมโลกให้ความสำคัญ ได้แก่ การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ การอนุรักษ์ทัศนียภาพของเมือง การกำจัดขยะ หรือการใช้พลังงานนิวเคลียร์ เป็นต้น  

ศาลยุติธรรมได้ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมโดยจัดตั้งแผนกคดีสิ่งแวดล้อมขึ้นในศาลฎีกาเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2548 เพื่อพิจารณาพิพากษาคดีสิ่งแวดล้อม ต่อมาได้มีการจัดตั้งแผนกคดีสิ่งแวดล้อมขึ้นในศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ถึง ภาค 9 เพื่อพิจารณาพิพากษาคดีสิ่งแวดล้อมที่ขึ้นสู่ชั้นศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2549 ปัจจุบันมีนายประทีป เฉลิมภัทรกุล เป็นประธานแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในศาลฎีกา

เพื่อให้การอำนวยความยุติธรรมต่อประชาชนกรณีสิ่งแวดล้อมเป็นไปอย่างสะดวก รวดเร็ว สอดคล้องกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ศาลยุติธรรมโดยคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมจึงได้ออกประกาศให้จัดตั้งแผนกคดีสิ่งแวดล้อมขึ้นในศาลชั้นต้น ได้แก่ศาลแพ่งเป็นแห่งแรกเพื่อพิจารณาพิพากษาคดีสิ่งแวดล้อมตามคำแนะนำของประธานศาลฎีกาเกี่ยวกับการดำเนินคดีสิ่งแวดล้อม ศาลแพ่งแผนกคดีสิ่งแวดล้อมจะเปิดทำการตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2554 เป็นต้นไป

สิ่งที่สังคมจะได้รับจากการจัดตั้งแผนกคดีสิ่งแวดล้อมขึ้นที่ศาลชั้นต้น คือ ประชาชนที่ถูกกระทบสิทธิด้านสิ่งแวดล้อมสามารถยื่นฟ้องคดีสิ่งแวดล้อมได้ที่ศาลแพ่งแผนกคดีสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นแผนกคดีชำนัญพิเศษ

คำแนะนำของประธานศาลฎีกากำหนดให้ “คดีสิ่งแวดล้อม” หมายถึง

1. คดีแพ่งที่การกระทำตามคำฟ้องก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์อันเนื่องมาจากการทำลายหรือเปลี่ยนแปลงสภาพทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมของชุมชน หรือระบบนิเวศ

2. คดีแพ่งที่โจทก์มีคำขอให้จำเลยกระทำการหรืองดเว้นกระทำการเพื่อคุ้มครองรักษาทรัพยากรธรรมชาติ หรือสิ่งแวดล้อมของชุมชน

3. คดีแพ่งที่โจทก์มีคำขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือค่าเสียหายเพื่อขจัดมลพิษที่เกิดขึ้นหรือฟื้นฟูสภาพแวดล้อม หรือเพื่อมูลค่าของทรัพยากรธรรมชาติที่เสียไป

4. คดีแพ่งที่มีคำขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายต่อชีวิต ร่างกายสุขภาพอนามัย หรือสิทธิใด ๆ ของโจทก์ อันเกิดจากมลพิษที่จำเลยเป็นผู้ก่อหรือต้องรับผิด

คดีสิ่งแวดล้อมดังกล่าวข้างต้นอาจเกิดขึ้นจากการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติ
ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พระราชบัญญัติ หรือประกาศของคณะปฏิวัติ ซึ่งมีบทบัญญัติเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ หรือมลพิษ

สิทธิที่จะฟ้องคดีสิ่งแวดล้อมให้คำนึงถึงสิทธิของบุคคลที่จะได้ประโยชน์จาก
ทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ รวมทั้งสิทธิที่จะดำรงชีพอยู่ได้อย่างปกติ
และต่อเนื่องในสิ่งแวดล้อมที่จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพอนามัย สวัสดิภาพ หรือคุณภาพชีวิตของตนตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

เช่น จำเลยปล่อยน้ำเสียจากกระบวนการผลิตในโรงงานลงสู่แม่น้ำสาธารณะโดยไม่บำบัดก่อน ทำให้น้ำในแม่น้ำเน่าเสีย โจทก์นำน้ำนั้นไปใช้ในการเกษตรกรรมของตน ทำให้พืชไร่ของโจทก์ได้รับความเสียหาย การกระทำของจำเลยทำให้แม่น้ำซึ่งเป็นทรัพยากรธรรมชาติถูกทำลายหรือเปลี่ยนแปลงไป และส่งผลโดยตรงต่อความเสียหายของโจทก์ จึงเป็นคดีสิ่งแวดล้อม

กรณีตัวอย่างอีกหนึ่ง คือ จำเลยก่อสร้างอาคารทำให้แสงแดดส่องไม่ถึงบ้านของโจทก์และไม่มีลมพัดเข้ามาบ้านเหมือนเดิม โจทก์เสียหายต้องใช้แอร์ พัดลม และเครื่องปั่นเสื้อผ้าให้แห้งเพิ่มมากขึ้น กรณีนี้การกระทำของจำเลยเป็นสาเหตุโดยตรงต่อความเสียหายของโจทก์ แต่ไม่มีลักษณะเป็นการทำลายหรือเปลี่ยนแปลงทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม หรือระบบนิเวศ กรณีนี้ไม่ถือเป็นคดีสิ่งแวดล้อมตามคำแนะนำของประธานศาลฎีกาฯ เป็นคดีละเมิดทั่วไปที่จำเลยก่อให้โจทก์ได้รับความเดือดร้อนรำคาญ

หลายประเทศทั่วโลกได้ให้ความสำคัญแก่ปัญหาเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เช่น ประเทศนิวซีแลนด์มีการจัดตั้งศาลสิ่งแวดล้อม ประเทศออสเตรเลียมีการจัดตั้งศาลที่ดินและสิ่งแวดล้อมในมลรัฐ New South Wales, มีการจัดตั้งศาลผังเมืองและสิ่งแวดล้อม ในมลรัฐ Queensland, มีการจัดตั้งศาลสิ่งแวดล้อมทรัพยากรและการพัฒนาในบางมลรัฐ สำหรับมลรัฐ South Australia มีการจัดตั้งองค์กรวินิจฉัยชี้ขาดคดีสิ่งแวดล้อม ในประเทศสวีเดนมีการจัดตั้งศาลสิ่งแวดล้อม ประเทศเดนมาร์กมีคณะกรรมการอุทธรณ์ทางสิ่งแวดล้อมและคณะกรรมการอุทธรณ์เกี่ยวกับการคุ้มครองธรรมชาติ สหภาพยุโรปได้มีการจัดตั้ง European Environment Tribunal เป็นต้น

ประเทศสหรัฐอเมริกาไม่มีการจัดตั้งศาลสิ่งแวดล้อมไว้เป็นการเฉพาะ การฟ้องคดีและการดำเนินคดีสิ่งแวดล้อมในสหรัฐอเมริกาจึงกระทำที่ศาลตามปกติเหมือนคดีทั่วไป (ยกเว้นในบางมลรัฐ ได้แก่ มลรัฐเวอร์มอนท์ที่มีการออกกฎหมายจัดตั้งศาลสิ่งแวดล้อม)

ประเทศญี่ปุ่นเป็นอีกประเทศหนึ่งที่ยังไม่มีการจัดตั้งศาลสิ่งแวดล้อม แต่ศาลญี่ปุ่นได้ตัดสินคดีสิ่งแวดล้อมให้เป็นคุณแก่ชาวบ้าน เห็นได้จากคดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชน
เช่น คดีโรค “มินามาตะ ที่จังหวัดคุมาโมโตะ ศาลชั้นต้นใช้เวลาในการไต่สวนและพิจารณาเกือบ 4 ปี ในที่สุดศาลก็มีคำพิพากษาให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดี โดยบริษัทต้องจ่ายเงินชดเชยความเสียหายให้แก่ครอบครัวผู้ป่วยที่เสียชีวิตและผู้ป่วยที่ยังมีชีวิตอยู่ ทั้งนี้ศาลวินิจฉัยว่าบริษัทจำเลยได้ละเลยหน้าที่ในการระวังและคาดการณ์อันตรายจากน้ำเสียของโรงงานที่อาจเกิดขึ้นต่อมนุษย์ ยิ่งกว่านั้น แม้ว่าที่ผ่านมายังไม่เคยมีโรคมินามาตะเกิดขึ้นมาก่อน แต่เมื่อรู้ว่าเกิดโรคขึ้นแล้วก็ควรรีบดำเนินมาตรการเพื่อควบคุมโดยทันที แต่ทางบริษัทจำเลยกลับปล่อยให้ปัญหาลุกลามออกไป

การจัดตั้งแผนกคดีสิ่งแวดล้อมขึ้นในศาลแพ่งซึ่งเป็นศาลชั้นต้นของศาลยุติธรรมเพื่อให้มีแผนกคดีชำนัญพิเศษครบทั้งสามชั้นศาลประกอบด้วยผู้พิพากษาและบุคลากรที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์เกี่ยวกับคดีสิ่งแวดล้อม จึงเป็นการแสดงศักยภาพและสะท้อนให้เห็นถึงความพร้อมของกระบวนการยุติธรรมไทยในการพิจารณาคดีสิ่งแวดล้อม เพื่อลดอุปสรรคในการพิจารณาคดีสิ่งแวดล้อม ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี อำนวยความสะดวก รวดเร็วและเป็นธรรมแก่ประชาชน

สราวุธ เบญจกุล
รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม

กระแสธารการเจรจาต่อรองเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย โดย ภาณุเบศร์ มหาเรือนขวัญ

กล่าวถึงที่สุดนับจากนี้ไปประเทศไทยไม่อาจขวางกั้นกระแสธารการปฏิรูปโครงสร้างอำนาจทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ของมวลมหาประชาชนได้อีกต่อไป ด้วยในความเหลื่อมล้ำไม่เป็นธรรมอันเนื่องมาจากความบกพร่องพิการทางโครงสร้างอำนาจไม่เพียงกดทับโอกาสในการต่อรอง เรียกร้อง และเข้าถึงสิทธิและเสรีภาพด้านต่างๆ ตามระบอบประชาธิปไตย หากยังถั่งโถมทุกข์แค้นขัดสนสู่ผู้คนจำนวนมหาศาลจากการถูกเลือกปฏิบัติและเอารัดเอาเปรียบจากผู้อยู่ส่วนยอดพีระมิดโครงสร้างอำนาจอีกด้วย

นัยของการขับเคลื่อนประเทศไทยโดยประชาชนเพื่อประชาชนจะทลายอดีตภาพที่อำนาจการจัดการบ้านเมืองจำกัดอยู่แค่กลุ่มกุมอำนาจการเมืองและเศรษฐกิจจำนวนน้อยนิดที่มุ่งธำรงโครงสร้างอำนาจเดิมที่สามารถตักตวงผลประโยชน์อย่างเต็มที่ เพราะการปฏิรูปโดยพลังสาธารณชนเช่นนี้จะมุ่งปรับสัมพันธภาพทางอำนาจระหว่างรัฐ ทุน และประชาชนให้เกิด ‘ดุลยภาพ’ จนนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงด้านรายได้ โอกาส อำนาจ สิทธิ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ที่ปัจจุบันมีความเหลื่อมล้ำกันมากจากการที่คนกลุ่มบนสุดมีทรัพย์สินครัวเรือนถึงร้อยละ 69 ขณะที่กลุ่มต่ำสุดมีทรัพย์สินครัวเรือนราวร้อยละ 1 เท่านั้น และส่วนแบ่งรายได้ของกลุ่มรวยสุดมีถึงร้อยละ 55 แต่กลุ่มจนสุดมีส่วนแบ่งรายได้เพียงร้อยละ 4.4 เท่านั้น

ทั้งนี้ความเหลื่อมล้ำทำลายศักยภาพทั้งระดับปักเจก กลุ่ม องค์กร จนถึงประเทศชาติโดยรวมจากการที่สังคมไม่สามารถปลดปล่อยพลังการผลิตออกมาได้ ด้วยไม่มีโอกาส ไม่มีพลัง หรือกระทั่งกลัวเกรงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นจากการริเริ่มสิ่งใหม่ทั้งในด้านการผลิตสินค้าและบริการที่มีมูลค่า และผลิตสิ่งที่เป็นคุณค่า เช่น ศิลปะ วิชาความรู้ สติปัญญา และจิตวิญญาณสังคม ทั้งยังพลัดพรากความหวังของผู้คนที่เชื่อมั่นว่าสักวันอนาคตชีวิตตนเองและลูกหลานจะดีขึ้นอีกด้วย เพราะเอาเข้าจริงแล้วก็เงยหน้าอ้าปากไม่ได้

สังคมไทยจึงต้องเปิดกว้างโอกาสแก่ประชาชนให้กลับมาเชื่อมั่นในศักยภาพและอนาคตตนเองด้วยการขจัดเงื่อนไขที่ก่อความเหลื่อมล้ำอย่างหนักให้สิ้นไปโดยการปรับความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างรัฐ ทุน และสังคมใหม่ ไม่ก็เพิ่มอำนาจแก่กลุ่มเปราะบางทางสังคม เพื่อให้เกิดดุลยภาพเชิงอำนาจระหว่างกลุ่มต่างๆ ที่เคยมีพลังต่อรองห่างไกลกันมากให้มามีอำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และวัฒนธรรม เท่าเทียมกันมากสุด เพราะการกระจายพลังเจรจาต่อรองไปยังกลุ่มต่างๆ อย่างเท่าเทียมกันไม่เพียงสอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตยที่เปิดพื้นที่การเจรจาต่อรองแก่คนทุกกลุ่ม ทว่าพลังต่อรองที่เท่าเทียมกันของกลุ่มคนภายในประเทศยังเป็นฐานพลังการต่อรองกับรัฐ ทุน และสังคมข้ามชาติเท่าๆ กับขจัดโอกาสที่การต่อรองจะเป็นไปเพื่อมุ่งสนองประโยชน์คนกลุ่มน้อยที่มีพลังต่อรองภายในสูงดังเคยเป็นมาด้วย

การปฏิรูปประเทศไทยจึงไม่อาจขวางกั้นกระแสธารการเพิ่มพลังการเจรจาต่อรองแก่คนทุกกลุ่มในสังคมทั้งเพื่อปรับดุลยภาพการต่อรองกับกลุ่มอื่นๆ และเตรียมรับกับสถานการณ์ผันผวนในชีวิตที่จะเกิดขึ้นได้ในทุกขณะจากการบริหารจัดการกิจการสาธารณะของภาครัฐและการรุกคืบของทุนธุรกิจที่มุ่งกำไรสูงสุด

เหตุนี้การต่อรองที่เท่าเทียมและเป็นธรรมจึงต้องเปิดพื้นที่ให้คนทุกกลุ่มเข้าถึงทรัพยากรด้านต่างๆ อย่างถ้วนหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนที่มีอำนาจน้อยที่จะต้องสามารถเข้าถึงทรัพยากรที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี ทั้งในด้านการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ และทรัพยากรการเมือง โดยเฉพาะข้อมูลข่าวสารเพื่อการตรวจสอบถ่วงดุลการกำหนดนโยบายสาธารณะของรัฐที่มักกระทบวิถีชีวิตเสมอๆ เพราะขาดกระบวนการมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้นธาร และการเลือกพรรคการเมืองเพื่อจัดตั้งรัฐบาล รวมถึงการเข้าถึงทรัพยากรทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมเพื่อยกระดับคุณภาพความเป็นอยู่ด้วย

ด้วยเหตุปัจจัยเช่นนี้ แนวทางการปฏิรูปเพื่อสร้างความเป็นธรรมและเท่าเทียมตามข้อเสนอของคณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) จึงมุ่งรื้อปมเงื่อนรากเหง้าปัญหาความเหลื่อมล้ำที่สลับซับซ้อนยึดโยงแนบแน่นในสังคมไทยโดยการปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์เชิงอำนาจผ่านการบริหารทรัพยากร 4 มิติสำคัญ คือ

ด้านการบริหารทรัพยากรธรรมชาติต้องเร่งปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรเพราะที่ดินเป็นทุนฐานสำคัญของทุกชีวิตแต่มีอยู่อย่างจำกัด ปฏิรูปการบริหารจัดการทรัพยากรแร่เพราะอุตสาหกรรมเหมืองแร่ส่งผลกระทบมหาศาลต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ปฏิรูปการบริหารจัดการทรัพยากรป่าเพราะปัจจุบันมีความไม่เป็นธรรมสูงมาก โดยเฉพาะชาวบ้านที่ใช้ประโยชน์ป่าไปในวิถีทางขัดทุนนิยม ปฏิรูปโครงสร้างการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รวมถึงปฏิรูปสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศเพราะเสื่อมโทรมลงรวดเร็ว

ด้านการบริหารทรัพยากรเศรษฐกิจก็ต้องเร่งปฏิรูปทุนเพราะส่วนใหญ่ของทุนเป็นทรัพยากรสังคมทั้งหมด ปฏิรูปแรงงานเพราะรายได้ยังแตกต่างกันมากระหว่างแรงงานในกับนอกระบบ ปฏิรูปการเกษตรเพื่อสังคมที่เป็นธรรมเพราะเกษตรกรรายย่อยกำลังล้มตายจากน้ำมือเกษตรอุตสาหกรรม ปฏิรูประบบภาษีเพราะยังจัดเก็บไม่เป็นธรรม ปฏิรูประบบตลาดเพราะกลไกตลาดล้มเหลว ปฏิรูปด้านพาณิชย์และอุตสาหกรรมเพราะมีแต่การเอาเปรียบ และปฏิรูประบบพลังงานเพราะแต่ละปีต้องนำเข้าพลังงานมหาศาล

ด้านการบริหารทรัพยากรสังคมก็ต้องเร่งกระจายทรัพยากรสังคมสู่ผู้คนอย่างทั่วถึงถ้วนทั่วเท่าเทียมทั้งด้านการศึกษา การสื่อสาร สาธารณสุข ศาสนาธรรมและจิตวิญญาณ การเปิดพื้นที่ทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ เมืองเพื่อคุณภาพชีวิต และความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เช่นกันกับการบริหารทรัพยากรการเมืองที่ต้องเร่งปฏิรูปโครงสร้างอำนาจที่มีลักษณะรวมศูนย์บนลงล่าง กระบวนการยุติธรรมที่ต้องยุติที่ ‘ธรรม’ เพราะเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน การเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร รวมถึงการปฏิรูปกองทัพ

การปฏิรูปประเทศไทยจึงไม่อาจขวางกั้นกระแสธารเชี่ยวกรากของการปรับสัมพันธภาพเชิงอำนาจระหว่างรัฐ ทุน และสังคมเพื่อนำไปสู่จุด ‘ดุลยภาพ’ ที่ทุกกลุ่มมีอำนาจต่อรองที่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และวัฒนธรรม เพียงพอจะลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำ

ศึกษาเรื่องของคนพาล

ไม่คบคนพาล-ให้คบบัณฑิต-หลวงพ่อตอบปัญหา...คนพาลคือ คนที่มีนิสัยคิดและทำความชั่วเป็นปกติ คิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่วเป็นปกติ ไม่ใช่นานๆ ครั้ง ไม่ใช่พลั้งเผลอ

โดย พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทัตตชีโว)
เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC

Q1: คนพาลมีลักษณะอย่างไร คบแล้วมีผลเสียอย่างไร?
Q2: ถ้าเราจำเป็นต้องอยู่ในสังคมทำงานกับคนพาลจะวางตัวอย่างไรดี?
Q3: บัณฑิตแบบไหนที่เราควรจะคบหาด้วย ถ้าคบแล้วดีอย่างไร?

คำ ถาม: กราบนมัสการหลวงพ่อเจ้าค่ะ มงคลชีวิตข้อแรก สอนให้เราไม่คบคนพาล ก่อนอื่นอยากกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า คนพาลมีลักษณะอย่างไร คบแล้วมีผลเสียอย่างไรเจ้าค่ะ

คำตอบ: การจะดูว่า ใครเป็นคนพาลหรือคนดีนั้น ยากพอสมควร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้มาตรฐานในการวัดมาตรฐานคนไว้ คือเอากรรมหรือการกระทำเป็นตัววัด คือคนทำกรรมดีก็เรียกว่าคนดี คนทำกรรมชั่วก็เรียกว่าคนชั่ว


คนพาลคือ คนที่มีนิสัยคิดและทำความชั่วเป็นปกติ คิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่วเป็นปกติ ไม่ใช่นานๆ ครั้ง ไม่ใช่พลั้งเผลอ แต่เป็นอาชีพ เป็นอาจิณเลย

ตั้งแต่คิดโลภ พยาบาท เอาเปรียบ อิจฉาตาร้อน เป็นปกติ อย่างนี้เรียกว่าคิดชั่ว

พูดชั่ว โกหก พูดคำหยาบ ใส่ความเขา นินทาเขาเป็นประจำ

ทำชั่วเป็นปกติ ตั้งแต่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ขโมย คอรัปชั่น ใต้โต๊ะ บนโต๊ะแล้วก็ประพฤติผิดในกามเป็นประจำ

คิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว เป็นประจำอย่างนี้ ท่านเรียกว่าคนพาล คือชั่วจนกระทั่งเป็นนิสัยประจำของเขา ทางพระเรียกว่าคนพาล ชาวบ้านเรียกว่าคนชั่ว นี่คือรูปร่างลักษณะทั่วๆ ไปของคนพาล โดยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใช้กรรมของคนเหล่านั้นเป็นเครื่องตัดสิน

ถ้าหลงไปคบกับคนพาลอย่างนี้เข้า จะทำให้เสียหายมากๆ เหมือนมีของ 2 สิ่งอยู่ใกล้กัน ถ้าไม่ระมัดระวัง ก็จะซึมซับซึ่งกันและกัน เช่น เอาของแห้งกับของเปียกมาไว้ใกล้กัน เดี๋ยวมันก็เปียกเหมือนกันหมด ทำให้ของเสียหายได้

คนก็เหมือนกัน ถ้าเอาคนพาลมาอยู่ใกล้กับคนดี ก็จะทำให้ติดนิสัยพาล ติดนิสัยชั่วไปได้ เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงสอนเอาไว้ว่า อย่าคบคนพาล ถ้าคบเข้าไปแล้ว มันจะเสียหายตั้งแต่

1. ระดับจิตใจ คือวินิจฉัยหรือการตัดสินว่า สิ่งใดดี สิ่งใดชั่ว สิ่งใดผิด สิ่งใดถูก สิ่งใดควรไม่ควร เราตัดสินไม่ออกเสียแล้ว เพราะว่าคนพาลจะมีวิธีการตัดสินไม่เหมือนคนดี ที่คิดชั่วๆ เขาก็จะว่าดีแล้ว เพราะฉะนั้นเมื่อเข้าใกล้คนพาล คบคนพาล สิ่งแรกที่จะให้ทำให้เราเสียหายคือ การวินิจฉัยจะเสียหาย เราจะเห็นผิดเป็นชอบตามเขาไป สิ่งที่ชอบก็จะเห็นเป็นผิด ฯลฯ

จากนั้นเราก็จะคิดผิด พูดผิด ทำผิด หรือว่าคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว ตามเขาไปด้วย ในสังคมไหนมีคนพาลเข้าไปด้วย มันจะวุ่นวายไปหมด ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยเท่านั้น ที่ครั้งใดได้คนพาลมาบริหารบ้านเมืองไม่ว่าระดับไหน มันวุ่นไปหมด เพราะฉะนั้นเวลาแต่ละประเทศเอาคนพาลมาเป็นผู้นำ มันจะเกิดสงครามตั้งแต่ระดับหมู่บ้านจนถึงระดับโลกทุกครั้งไป

คนพาลมี 2 ประเภท
1. พาลภายนอก คือคนเลว คนชั่วทั้งหลายที่ว่ามา
2. พาลภายใน คือตัวเราเอง ครั้งใดเผลอคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว เราเองก็คือคนพาล ควรรีบแก้ไข

ถ้าเราผัดผ่อนตัวเองว่า ขอแก้ตัวเป็นคนสุดท้าย รอให้คนอื่นแก้ไขกันก่อน อย่างนั้นเราคือคนพาลตัวจริง พาลข้ามชาติเลย เพราะคิดจะแก้ไขตัวเองเป็นคนสุดท้าย

คำถาม: หลวงพ่อเจ้าคะ ถ้าเราจำเป็นต้องอยู่ในสังคมทำงาน ที่ต้องเจอะเจอกับคนพาลที่ชอบชักนำไปในทางไม่ดี เช่น ชวนไปสังสรรค์ดื่มเหล้า เราควรจะวางตัวอย่างไรดีเจ้าคะ

คำตอบ: ในสังคมเราหนีคนพาลไม่พ้น แต่ว่าเราก็ต้องแยกออกว่า คนพาลก็มีอยู่ 2 พวก คือ
1. พาลแบบถาวร คือคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว เป็นปกติอย่างที่ว่ามา
2. พาลชั่วครั้งชั่วคราว พาลเพราะว่าเผลอไผล สติแตก คือบางครั้งก็คิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว เมื่ออารมณ์ไม่ค่อยดี แต่ว่าพออารมณ์ดีขึ้นมา ก็คิดดี พูดดี ทำดีเป็น อย่างนี้เป็นพาลชั่วคราว ซึ่งว่าไปแล้วแม้เราเองก็อยู่สังกัดประเภทนี้ ภาษาพระมีคำพูดเพราะๆ อยู่คำหนึ่ง ซึ่งใช้คำว่ากัลยาณพาล พาลพอทนกันได้ พาลพองาม ความจริงพาลแล้วมันไม่งามหรอกแต่ว่า คือพาลพอทนกันได้ พาลพอแก้ไขได้


ในที่ทำงานเรานั้นมีทั้ง 2 ประเภทอยู่ด้วยกัน มีทั้งพาลถาวร และพาลชั่วคราว ตรงนี้ก็วางตัวลำบากหน่อย แต่ก็ต้องหาทางเอาตัวให้รอดจากบาป นรก รอดจากการที่จะกลายเป็นคนพาลถาวรตามเขา เพราะเชื้อพาลเราก็พอมีอยู่แล้ว

ในขั้นต้นดูที่พาลชั่วคราวก่อน เขามีส่วนดีตรงไหน ก็เอาตรงนั้นมาใช้ทำงานร่วมกันไป ส่วนดีนำมาใช้ ในเวลางานความรู้ความสามารถเขามี ก็ทำกันไป แต่เลิกงานไม่เอาด้วย เดี๋ยวชวนเราไปกินเหล้า เอาแต่ส่วนดีที่พอใช้ได้ ส่วนไม่ดี ก็หลบเลี่ยงหลีกไป เป็นการวางตัวขั้นต้นก่อน สำหรับในกรณีที่เขาไม่เลวร้ายจนเกินไป

สำหรับประเภทพาลถาวรที่อยู่ในออฟฟิศเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นผู้บังคับบัญชาเราเอง ตรงนี้ต้องบอกว่ามันเป็นเคราะห์กรรมของเรา ภพชาติที่แล้วคงเป็นคนพาลเต็มที่เหมือนเขา พอดีแก้ไขตัวหลุดมาได้ระดับหนึ่ง แต่เขายังแก้ไม่หลุด

โบราณก็เลยสอนไว้ ให้อยู่แบบคนผิงไฟหน้าหนาว หน้าหนาวห่างกองไฟก็หนาว ไปอยู่ใกล้ๆ เดี๋ยวมันก็ไหม้เอา ไม่ใช่ผิงไฟกลายเป็นย่างไฟ เพราะฉะนั้น อยู่กับผู้บังคับบัญชาพาลๆ ทุกอย่างทุกลมหายใจเข้าออก ให้อยู่ในกรอบ ในระเบียบวินัย ยกวินัยมาเป็นกรอบให้ได้ ทั้งวินัยทางโลกและทางธรรม ถือว่าเป็นเกราะหุ้มตัวเรา

จำใจจะต้องทำงานร่วมกันก็ทำ แต่พ้นเวลางานเมื่อไหร่เป็นห่างกันสุดขีด ต้องยอมรับว่ามันเป็นเคราะห์กรรมของเรา มันจะไม่เจริญก้าวหน้าในหน้าที่ตำแหน่ง เพราะว่าบุคคลคนนี้ก็ช่วยไม่ได้จริงๆ ปิดนรกให้ตัวเองได้ก็ถือว่าโชคดีแล้ว คิดว่าใช้กรรมเก่าข้ามชาติก็แล้วกัน


ถ้าเราจะต้องอยู่อย่างนี้ ก็ปรับปรุงตัวไปเรื่อยๆ วันใดวันหนึ่งภูมิรู้ภูมิธรรมเราแก่กล้าขึ้น วันนั้นเราค่อยมาคิดแก้ไขคนพวกนี้ ถ้าแก้ไขได้ก็แก้ ถ้าแก้ไขไม่ได้ อำนาจเรามีพอก็ให้เขาพ้นจากตรงนั้นไป มิฉะนั้นแล้วจะทำให้หน่วยงาน หรือทำให้คนอื่นพลอยเดือดร้อน กลายเป็นพาลตามไปด้วย เราคงทำได้เท่านี้

คำ ถาม: หลวงพ่อเจ้าคะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไม่ให้เราคบคนพาล ให้คบแต่บัณฑิต แล้วบัณฑิตแบบไหน ที่เราควรจะคบหาด้วย ถ้าคบแล้วดีอย่างไรเจ้าคะ

คำ ตอบ: พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงชี้ไว้ว่า บัณฑิตคือคนที่คิดดี พูดดี ทำดี เป็นปกติ คือไม่ใช่คิดดี พูดดี ทำดีเป็นครั้งคราว เพราะว่าท่านรู้ดี ถ้าพูดให้ลึก คือท่านเข้าใจถูกในเรื่องโลกและชีวิตเป็นอย่างดี หรือท่านมีความเป็นสัมมาทิฏฐิอย่างแรงกล้า


จากความที่ท่านเป็นสัมมาทิฏฐิอย่างแรงกล้าคือ เข้าใจโลกและชีวิตอย่างจริงจัง ทำให้ท่านรู้ไปถึงเรื่องว่าอะไรดี อะไรชั่ว อะไรผิดถูก อะไรเป็นบุญ อะไรเป็นบาป อะไรควรไม่ควร เลยไปจนกระทั่งทำกรรมอะไรจึงจะไปนรก ทำกรรมอะไรจึงจะไปสวรรค์ ความที่ท่านรู้ดีอย่างนี้ เข้าใจถูกอย่างนี้ ทำให้ท่านคิดดี พูดดี ทำดีเป็นปกติ ท่านกลัวบาป กลัวนรกยิ่งนัก ใครมาบังคับให้ท่านทำความชั่ว ท่านไม่ยอมทำ ฆ่าท่านให้ตายท่านก็ยอม ตายไปท่านก็มั่นใจว่าท่านไม่ตกนรก เพราะท่านคิดดี พูดดี ทำดีมาตลอดชีวิต นี่คือลักษณะของบัณฑิตที่เด่นชัด

เพราะฉะนั้นบุคคลประเภทนี้ ที่คิดดี พูดดี ทำดีด้วยปานนี้ จิตใจของท่านแข็งแกร่งและผ่องใสตลอด และบุคคลอย่างนี้ก็ไม่จำเป็นจะต้องมีใบปริญญา อาจจะอ่านหนังสือไม่ออกก็ได้ เหมือนคุณยายอาจารย์ของเรา คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง อ่านหนังสือไม่ออก เขียนไม่ได้ แต่ว่าสร้างวัดพระธรรมกายไว้ให้เรา สร้างบุญกันมาจนทุกวันนี้ ท่านเป็นบัณฑิตทั้งทางโลกทางธรรม ทั้งๆ ที่อ่านหนังสือไม่ออก แต่เรื่องบุญเรื่องบาป เรื่องนรกเรื่องสวรรค์นั้นท่านรู้ชัดเจนเลย


ถ้าเราเจอบุคคลอย่างนี้แล้ว เข้าไปคบ คำว่า “คบ” ตรงนี้ ต้องแยกให้ออก คบในฐานะคนระดับเดียวกัน ก็เรียกว่าคบเหมือนกัน ที่เรารู้จักกันมักจะตรงนี้ แต่คบกับผู้มีคุณธรรมในระดับสูงส่งอย่างนี้ แม้เราจะอายุรุ่นเดียวกับท่าน แต่ความที่ภูมิธรรมท่านสูงกว่ามากนัก เขาไม่เรียกว่าคบ เขาเรียกว่าถวายตัวเป็นศิษย์ ต้องเข้าใจตรงนี้ แต่ในสำนวนศาสนาเราก็ยังเรียกว่าคบอยู่ คบในฐานะที่เราเป็นผู้น้อย ทั้งที่เราอายุรุ่นเดียวกัน น้อยด้วยภูมิรู้ภูมิธรรม ถึงอายุจะเท่ากันหรือแก่กว่าท่านอีก ก็ต้องเจียมเนื้อเจียมตัว เพราะเรานั้นยังโง่ในทางธรรม เรามันยังเป็นพาลอยู่

เมื่อสำนึกรู้ตัวอย่างนี้ไปกราบท่าน หมั่นเข้าไปหา เข้าไปรับใช้ท่านด้วย เพื่อให้ท่านมีเวลาว่าง เพื่อให้ท่านสามารถสังเกตข้อบกพร่องและข้อดีของเราได้ชัดๆ ด้วย ไปรับใช้ท่านอย่างใกล้ชิดด้วยความเต็มอกเต็มใจ เมื่อท่านเห็นความจริงใจของเราที่เข้าไปหาท่าน ไปรับใช้ท่าน ความเมตตาก็จะเกิดขึ้น เมื่อท่านเมตตาต่อเราแล้ว ท่านก็มองเราออกได้ชัดเจน เพราะเราไปรับใช้อย่างใกล้ชิด ท่านก็จะเมตตาสอนให้เรา สอนความรู้ทางโลกบ้าง สอนความรู้ทางธรรมบ้าง เมื่อท่านสอนเราก็ตั้งใจ
1. ฟังคำท่าน
2. ฟังคำท่านแล้วก็ตรองไปด้วย ตรองแล้วก็ตรองอีก ผู้เป็นบัณฑิตมีคุณธรรมสูงส่งแก่กล้าเพียงไหน คำพูดของท่านความหมายกินลึก คำพูดคำเดียวของท่าน บางครั้งเอามาตรองเป็นปี ตรองแล้วก็ทำตามท่าน

ทำตามแล้ว ถ้าให้ดีก็ไปรายงานท่าน บางอย่างเราทำตามแล้วท่านเห็นก็ไม่ต้องรายงาน บางอย่างเราทำตามแล้วท่านไม่เห็น ก็ต้องไปรายงานท่านว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ถึงแม้ทำถูก แต่ว่าจะให้สมบูรณ์มันไม่ง่าย เมื่อไปรายงานเข้า ส่วนที่ขาดท่านจะเติมเต็ม

หลวงพ่อเองก็ทำอย่างนี้ ตั้งแต่มาเจอคุณยายอาจารย์ของเรา ก็เข้ามารับใช้ท่าน ฟังคำท่าน ตรองคำท่าน แล้วก็ทำตามท่าน อย่างนี้เรื่อยมา ก็ได้ความรู้ ได้ความดีมาตามลำดับ ถ้าเรามองภาพอย่างนี้ออก ยอมเข้าไปรับใช้ ฟังคำท่าน ตรองคำท่าน ทำตามท่าน ความรู้ก็จะงอกเงยขึ้นมาอย่างพึ่บพั่บ แบบโอปปาติกะ บุญก็ได้ ความดีก็ได้มาก นิสัยใจคอที่ไม่ดีไม่งามต่างๆ จะถูกแก้ถูกดัดไปได้โดยง่าย ด้วยฝีมือท่านซึ่งเป็นบัณฑิตตัวจริง

และบางครั้ง หากเราผิดพลาดอะไรไป บางทีมันอาจจะหนักหนาสาหัส จนกระทั่งท่านไล่ไปก็ตามที อย่าหนีไปไหน ให้ห่างไปสักครู่หนึ่ง ให้ท่านหายโกรธ อารมณ์ดี แล้วค่อยกลับไปหาท่านใหม่ ไปรับใช้ท่านต่อ อย่างนี้ ความรู้ความดี ทั้งทางโลกทางธรรมมันไหลเข้ามาในตัวเรา ไม่รู้จบสิ้นเลย จำไว้ให้ดี

สนุกกับเทศกาลดนตรีในงาน “ไทยแลนด์ เฟสติวัล 2011

งานมหกรรมดนตรีสีสันแห่งนานาชาติ “Thailand Festival 2011” (ไทยแลนด์ เฟสติวัล 2011) นำศิลปินคุณภาพมาถ่ายทอดบทเพลงพระราชนิพนธ์ เพื่อแสดงถึงพระปรีชาสามารถทางด้านดนตรีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษาครบ 7 รอบ นอกจากนั้นยังมีศิลปินชื่อดังทั้งไทยและเทศมาร่วมแสดงคอนเสิร์ต อาทิ เฟรชลี่ กราวด์ จากเซาท์แอฟริกา (วงที่เล่นเพลง Waka Waka! กับ Shakira ในงานฟุตบอลโลกปี 2010) ลิซ่า ลาวี ดีวาจากแคนาดา การ์ธ เทย์เลอร์ จากซิมบับเว มาสก์ จากออสเตรเลีย ฟรานส์ บลูม จากเนเธอร์แลนด์ และศิลปินไทย ตู่ นันทิดา ที่มาพร้อมโชว์ “The Musical of Life in the Night of Nantida” และ วีว่า 3 หนุ่มและ 2 สาว กับโชว์ในรูปแบบป๊อบโอเปร่า และศิลปินอีกหลากหลายรวม 50 ชีวิต ที่จะมาร่วมสร้างสีสันในงาน

วงวีว่า มาแสดงดนตรีป๊อบ โอเปร่า
การแสดงจะจัดขึ้นในวันที่ 3-5 มิถุนายน 54 ณ หอรัชมงคล สวนหลวง ร.9 กรุงเทพฯ ผู้ที่สนใจสามารถซื้อบัตรได้ที่เว็บไซต์ www.thaiticketmajor.com บัตรสำหรับงานกาล่า ดินเนอร์ วันที่ 3 มิ.ย. ราคา 5,000 บาท (รวมไวน์และค็อกเทล) โดยรายได้ในวันนี้หลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้วจะมอบให้มูลนิธิสวนหลวง ร.9 ส่วนบัตรสำหรับวันที่ 4 และ 5 มิ.ย. ราคา 2,500 บาท สอบถามรายละเอียด โทร. 08-1425-7017

ภารกิจ “สร้างจิตสาธารณะ” ของผู้นำนศ.มทร.รัตนโกสินทร์

“จะเป็นผู้รู้เหตุผล จะถ่อมตนบนศักดิ์ศรี จะสมานสามัคคี จะเป็นที่ไว้วางใจ สำนึกรับผิดชอบ ภายใต้กรอบอันโปร่งใส สืบสานสังคมไทย ปัญญาไว้ให้แผ่นดิน” นี้คือ คำปรัชญาขององค์การนักศึกษา มทร.รัตนโกสินทร์ โดยมีนายอภิชัย ห้วยศรีจันทร์ หรือ น้องเยน นักศึกษาคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ วิทยาเขตศาลายา ทำหน้าที่นายกองค์การนักศึกษา ประจำปีการศึกษา2554 คนใหม่ล่าสุด

ด้วยความตั้งใจที่จะทำกิจกรรมที่มีประโยชน์ต่อเพื่อนนักศึกษาด้วยกัน โดยเยนเล่าถึงแรงบันดาลใจที่เข้ามาทำงานในองค์การนักศึกษาว่า "ภายในรั้วมทร.รัตนโกสินทร์มีหลายสิ่งหลายอย่างให้เรียนรู้ และอยากใช้ชีวิตในช่วงการเป็นนักศึกษาให้คุ้มค่าที่สุด" หลังจากที่ช่วงปี 1 กลายเป็นเด็กติดเกมส์ไม่ยอมเรียนหนังสือ จนกระทั่งได้มีโอกาสทำกิจกรรมรับน้องตอนปี 2 ทุกอย่างในชีวิตเปลี่ยนไป จากรวมแก๊งค์เล่นเกมส์ กลายเป็นรวมแก๊งค์ทำกิจกรรม จนกระทั่งได้รับคัดเลือกให้รับหน้าที่นายกองค์การนักศึกษา ประจำปีการศึกษา 2554

นายอภิชัย กล่าวต่อไปว่า บทบาทหน้าที่ขององค์การนักศึกษา มทร.รัตนโกสินทร์ คือ ดูแลกิจกรรมภาพรวมของนักศึกษาทุกพื้นที่ ทั้ง 4 วิทยาเขต ไม่ว่าจะเป็น วิทยาเขตวังไกลกังวล พื้นที่เขตศาลายา พื้นที่เขตบพิตรพิมุข จักรวรรดิ และวิทยาลัยเพาะช่าง ซึ่งนโยบายกิจกรรมส่วนใหญ่ของ มทร.รัตนโกสินทร์ มุ่งเน้นจิตสาธารณะ ดึงนักศึกษาให้ร่วมทำกิจกรรมเพื่อสังคม จุดประกายความคิดสร้างสรรค์ สร้างความผูกพันให้กับนักศึกษา ทุกรุ่น ทุกวิทยาเขต

นายกองค์การนศ.มทร.รัตนโกสินทร์ มุ่งจิตสาธารณะ
"โดยในปีการศึกษา 2554 นี้ ได้จัดทำโครงการใหม่ ๆ หลายโครงการ เช่น กิจกรรมรัตนโกสินทร์สานสัมพันธ์พื้นบ้าน ,กิจกรรมรัตนโกสินทร์อาสาพัฒนา โดยมีวิทยาเขตวังไกลกังวลเป็นผู้รับผิดชอบ , กิจกรรมลับสมองประลองความรู้ พื้นที่เขตบพิตรพิมุขเป็นผู้รับผิดชอบ และกิจกรรมละครเวที Spirit on stage รับผิดชอบโดยวิทยาลัยเพาะช่าง ส่วนกิจกรรมหลักๆ อย่าง พิธีฉลองวันสถาปนามหาวิทยาลัย ,พิธีไหว้ครู ,กิจกรรม 5 ธันวามหาราช ฯลฯ จะจัดขึ้นที่พื้นที่เขตศาลายา และคาดว่าในอนาคตจะจัดโครงการร่วมกับชุมชนในท้องถิ่นอีกด้วย

นอกจากนี้เรายังจะปลูกฝังให้นักศึกษาใหม่ทุกคนได้รู้จักมหาวิทยาลัยมากยิ่งขึ้น และรู้สึกภูมิใจกับผลงานที่สร้างชื่อเสียงให้กับมหาวิทยาลัย พร้อมทั้งเตรียมขยายเวลาการรับน้องจาก 2 อาทิตย์เป็น 3 อาทิตย์ เพื่อให้น้องๆ นักศึกษาใหม่ได้ใช้เวลาทำกิจกรรมอย่างเต็มที่ และรู้จักเพื่อนมากขึ้น”

ด้วยบทบาทหน้าที่หัวเรือใหญ่ในการดูแลกิจกรรมของนักศึกษา มทร.รัตนโกสินทร์ นอกจากความภูมิใจที่อภิชัยได้รับแล้ว ประสบการณ์ในการทำางานร่วมกับผู้อื่น สอนให้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น และยอมอุทิศเวลาส่วนตัว เพื่อทำงานให้กับส่วนร่วม

“เยน” อภิชัย ห้วยศรีจันทร์ นายกองค์การนศ.มทร.รัตนโกสินทร์
อภิชัยได้เรียนรู้การทำงานร่วมกับคนหมู่มาก พบเจอปัญหาหลายรูปแบบ ทำให้รู้จักคำว่าอดทน และรู้จักแบ่งเวลาระหว่างการเรียนและทำกิจกรรม หากผลของการทำงานดี แต่การเรียนแย่ ก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ภูมิใจ อาจจะรู้สึกดี แต่ก็ยังไม่เต็มที่ ดังนั้นจึงต้องแสดงให้ทุกคนเห็นว่า การทำกิจกรรมในบทบาทขององค์การนักศึกษา จะต้องมีการเรียนที่ดี กิจกรรมเด่น

“อยากฝากถึงเพื่อน ๆ นักศึกษาด้วยกันว่า ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยมีหลายสิ่งหลายอย่างให้เราได้เรียนรู้ การเรียนหนังสือในห้องเรียนอย่างเดียวไม่พอแล้ว เราจะต้องทำกิจกรรมเพื่อเรียนรู้ชีวิตจริงนอกห้องเรียนด้วย หลายคนว่าทำกิจกรรมแล้วทำให้เราเรียนไม่เต็มที่ ที่จริงถ้ารู้จักแบ่งเวลา รู้จักแยกแยะความสำคัญ ก็คงไม่มีปัญหาอะไร ถ้าเราตั้งใจจะทำให้สำเร็จ ดังนั้นผมจึงเชื่อมั่นว่าการทำกิจกรรม ไม่ได้เป็นสิ่งที่บั่นทอนเวลาให้เราเรียนได้น้อยลง แต่การทำกิจกรรมคือการบริหารเวลาที่จะทำให้เราเรียนรู้ชีวิตจริงได้มากขึ้น” นายอภิชัยกล่าว

การปฏิรูปกับการยุบสภา โดย วิจิตร สุระกุล

วิกฤตปัญหาของประเทศไทยเกิดมาหลายปีแล้ว ในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2544 มีพระบรมราโชวาทว่า “ดับเบิลสแตนดาร์ด” จะทำให้ประเทศหายนะ ขอให้รัฐบาลและทุกคนช่วยกันปราบ ขณะนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี คนพากันเชื่อว่า นายกรัฐมนตรี เป็นผู้ทำให้ประเทศหายนะ เมื่อรัฐบาลชุดนี้ผ่านไปแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดสนใจพระราชดำรัสนี้ต่อไปอีก

เมื่อนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี มี 24 อธิการบดี ขอให้รัฐบาลแก้วิกฤตของประเทศ รัฐบาลก็ไม่สนใจเช่นกัน

จนถึงเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2553 นายอานันท์ ปันยารชุน นายกรัฐมนตรี 2 สมัย และ นพ.ประเวศ วะสี ได้ระดมความเห็นเรื่องนี้ขึ้นที่อาคารคอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ อิมแพค เมืองทองธานี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีหลายคนไปร่วมงานนี้ด้วย เมื่อการประชุมจบลง สื่อมวลชนลงความเห็นว่า ความคิดนี้ไม่ชัดเจน ยากที่จะทำงานนี้ให้สำเร็จ

การพูดกันในวันนั้น นายอานันท์ และ นพ.ประเวศ ได้ตกลงกับนายกรัฐมนตรีว่า “โครงการนี้ ไม่ใช่ของรัฐบาล......กลไกดังกล่าวจะไม่อยู่ภายใต้อาณัติของรัฐบาล มีความเป็นอิสระต่อความคิดเห็นและความครอบงำของรัฐบาล.....”

ต่อมาเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2553 คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบ “ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการปฏิรูป พ.ศ. ......” ระเบียบดังกล่าว มีคณะกรรมการ 2 ชุด คือ

1. คณะกรรมการยุทธศาสตร์ เรียกโดยย่อว่า “คณะกรรมการยุทธศาสตร์” มีนายอานันท์ เป็นประธาน ประกอบด้วยคณะกรรมการ 19 คน (ตามระเบียบกำหนดให้มีคณะกรรมการไม่เกิน 25 คน)

2. คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป เรียกโดยย่อว่า “คณะกรรมการสมัชชา” มี นพ.ประเวศ วะสี เป็นประธาน ประกอบด้วยคณะกรรมการ 27 คน (ตามระเบียบกำหนดให้มีคณะกรรมการไม่เกิน 30 คน)

กำหนดให้ทำงาน 3 ปี งบประมาณปีละ 200 ล้านบาท รวม 600 ล้านบาท

ปรมาจารย์ในเรื่องการบริหารจัดการ อธิบายว่า คณะกรรมการ (committee) เป็นเครื่องมือ (tool of management) ของผู้บริหารในระดับสูง (top executive) คณะกรรมการไม่มีอำนาจในการตัดสินใจสั่งการ (command decision) การตัดสินใจสุดท้าย (final decision) เป็นของผู้นำ คณะกรรมการต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญ (experts) ต้องมีคุณสมบัติเป็นมืออาชีพ (profession qualification) จำนวนไม่เกิน 15 คน เหตุที่ไม่ยินยอมให้คนอื่นมีอำนาจในการแต่งตั้งคณะกรรมการ ได้อธิบายว่า ถ้ายินยอมให้ทำเช่นนั้นได้ คณะกรรมการจะใช้อำนาจครอบงำ (dominate) องค์การ จะสร้างอาณาจักร (empire) และสั่งงาน (throw weight around) ล้ำเส้นฝ่ายปฏิบัติการ (line) ปรมาจารย์ดังกล่าว ได้ให้ข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า การทำงานในรูปคณะกรรมการมีปัญหามาก ที่สำคัญที่สุดก็คือ คณะกรรมการไม่มีความรู้จริงในสาขาที่ต้องการ แต่มักทำเป็นผู้รู้ทุกเรื่อง (know it all)

จากการวิเคราะห์เบื้องต้น การที่นายกรัฐมนตรีไม่มีอำนาจในการแต่งตั้งคณะกรรมการก็ดี การไม่กำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายให้ชัดเจน เปิดกว้างครอบจักรวาลก็ดี ยากที่จะทำงานนี้ให้สำเร็จ

ใครก็ตามที่อาสาจะเข้าไปปฏิรูปประเทศไทย ต้องเข้าใจ 3 เรื่อง ดังนี้

1. ต้องเข้าใจรูปแบบการปกครอง (form of government) ของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่อง ประวัติศาสตร์การเมืองและการปกครองของประเทศไทย

2. ต้องมีความรู้ทางรัฐศาสตร์ เรื่อง “ระบบรัฐเดี่ยว” (unitary system) และหลักการบริหารจัดการของประเทศที่เป็นรัฐเดี่ยว

3. ต้องมีความรู้ในเรื่องหลักการบริหารจัดการ ที่เป็นเชิงวิทยาศาสตร์ (scientific management)

ทั้ง 3 เรื่องนี้เกี่ยวข้องอยู่กับรัฐธรรมนูญ มาตรา 1 ที่กำหนดว่า “ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้” และมาตรา 2 ที่กำหนดว่า “ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข”

นักทฤษฎีทางรัฐศาสตร์อธิบายว่า วัตถุประสงค์และเป้าหมายของรัฐเดี่ยว อยู่ที่การทำรัฐเดี่ยวให้เป็น “องค์การที่เป็นเอกภาพของรัฐ” (The unitary organization of the state) ถือว่าองค์การดังกล่าวเป็น “รูปแบบมาตรฐานของรัฐเดี่ยว” รัฐเดี่ยว มีลักษณะ ดังนี้

1. รัฐเดี่ยว มีศูนย์รวมอำนาจอยู่ที่ส่วนกลางเพียงแห่งเดียว (one source of authority หรือ single focus of authority)

2. รัฐเดี่ยวมีรัฐบาลเดียว เป็นผู้ควบคุมองค์กรอื่นทั้งหมด (one government which controls all others)

3. การบริหารเป็นเชิงเดี่ยว (single administration)

4. รัฐเดี่ยวกำหนดอำนาจชัดเจน (fix power) ไม่เหมือนระบบสหรัฐฯ ให้อำนาจ (grant power) ที่เรียกกันว่า ซีอีโอ (chief executive officer)

5. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด ถือว่าเป็นหน่วยงานที่รัฐบาลจัดทำ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในท้องถิ่นนั้น

6. องค์กรอิสระ (independent agency) ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาล ทำนองเดียวกับองค์กรอิสระของสหรัฐอเมริกา ที่กำหนดให้อยู่ภายใต้การดูแลของฝ่ายบริหาร คือประธานาธิบดี

เอกภาพการบริหารจัดการของรัฐเดี่ยว คือ “สามัคคี คือพลัง” (Unity is Strength หรือ Esprit de corps)

หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 คณะราษฎรและพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ รัชกาลที่ 7 เห็นชอบให้ประกาศกฎหมาย 2 ฉบับ คือ

1. พระราชบัญญัติ ว่าด้วยระเบียบการบริหารแห่งราชอาณาจักร พุทธศักราช 2476

2. พระราชบัญญัติเทศบาล พุทธศักราช 2476
กำหนดให้แบ่งการบริหารราชการแผ่นดินออกเป็น 3 ส่วน คือ ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาคและราชการส่วนท้องถิ่น

การแบ่งส่วนราชการดังกล่าว สอดคล้องกับมาตรฐานของความเป็นรัฐเดี่ยว ที่กล่าวถึงทุกประการ

การที่คณะกรรมการปฏิรูป เสนอให้ยกเลิกราชการส่วนภูมิภาค เอาอย่างประเทศญี่ปุ่น คณะกรรมการจะต้องเข้าใจเสียก่อนว่า รูปแบบการปกครองของประเทศต่างๆ ไม่เหมือนกัน การพิจารณาควรจะต้องยึดมาตรฐานดังกล่าวเป็นหลัก พระจักรพรรดิของญี่ปุ่น ไม่ทรงมีพระราชอำนาจในการปกครอง อำนาจดังกล่าวอยู่ในมือของโชกุน ผิดกับประเทศไทย ที่พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจแต่งตั้งผู้แทนพระองค์ไว้ทั่วพระราชอาณาจักร เมื่อญี่ปุ่นไม่สามารถยึดหลักการที่เป็นมาตรฐานได้ ก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องเอาอย่างประเทศญี่ปุ่น ของเราดีอยู่แล้ว คณะกรรมการควรจะหาให้พบว่า วิกฤตเกิดจากสาเหตุใดกันแน่

วิกฤตปัญหาของประเทศไทยเกิดจากสาเหตุ 4 ประการ คือ

1. ความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการปกครอง (governmental structure) กฎหมายหรือนโยบาย

2. การแบ่งแยกปกครอง (divide and rule)

3. งานซ้ำซ้อน (duplication of work)

4. อื่นๆ

ตามข้อ 1 ตามที่ได้กล่าวถึงข้างต้นแล้วว่า การบริหารราชการแผ่นดินของประเทศไทยมีมาตรฐาน ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2537 พ.ศ. 2540 และ พ.ศ. 2542 มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการปกครองในเรื่องการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นโยบายดังกล่าวขัดแย้งกับหลักการที่เป็นมาตรฐานของรัฐเดี่ยวทุกเรื่อง

ตามข้อ 2 การกระจายอำนาจให้แก่ท้องถิ่น โดยไม่ได้ยึดหลักการ (The creation of local government) ใดๆ ทั้งสิ้น ทำให้เกิดการแบ่งแยกในการปกครอง

ตามข้อ 3 หน่วยงานซ้ำซ้อน มีให้เห็นโดยทั่วไป ที่เห็นชัดเจนที่สุด คือ

1. กองอำนวยการความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.)

2. ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.)

ตามหลักการบริหารจัดการ ถือว่าหน่วยงานดังกล่าวเป็นหน่วย “เฉพาะกิจ” (ad hoe) ตั้งขึ้นเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แทนที่จะปรับปรุงกฎหมายระเบียบบริหารราชการแผ่นดินให้เกิดประสิทธิภาพ แล้วยกเลิกหน่วยงานเหล่านั้นเสีย ก็ไม่ทำ ปล่อยให้เกิดปัญหาซ้ำซ้อน

ตามข้อ 4 เรื่องอื่นๆ ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด คือ เอาองค์กรอิสระ (independent agency) ไปบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ องค์กรเหล่านี้ส่วนมากลอกเอามาจากองค์กรอิสระของสหรัฐอเมริกา โดยคิดเอาเองว่า องค์กรเหล่านี้มีความเป็นอิสระไม่ขึ้นกับใคร ตามความเป็นจริงองค์กรเหล่านั้น ขึ้นอยู่กับฝ่ายบริหาร คือ ประธานาธิบดี

สาเหตุเหล่านี้ ทำให้เกิด “ดับเบิลสแตนดาร์ด” (double standard) ทำให้เกิด “อำนาจคู่” (dual authority) ทำให้เกิด “หลายนาย” (many bosses) ทำให้ “เสียเวลาและเสียเงิน” (wasted of time and money) ทำให้เกิดการ “เกี่ยงความรับผิดชอบ” (buck passing) ที่สำคัญก็คือการทำลาย “การทำงานอย่างเป็นทีม” (teamwork)

สาเหตุเหล่านี้ต่างหากที่ทำให้ประเทศไทยเกิดภาวะวิกฤต

การที่ นายอานันท์ ประธานคณะกรรมการปฏิรูป ออกมาเปิดตัวต่อสาธารณะเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2554 ว่าได้ใช้เงิน 3 ล้านบาทในการสัมมนารับฟังความเห็นจากประชาชนทั่วประเทศนั้น แสดงให้เห็นว่าคณะกรรมการไม่รู้ปัญหาจริง หรือต้องการโฆษณาชวนเชื่อ (propaganda) ให้ประชาชนหลงเชื่อว่า วิกฤตปัญหาของชาติเกิดจากราชการส่วนภูมิภาค ปรมาจารย์ที่กล่าวถึง ได้ให้ข้อสังเกตว่า คนที่รู้ปัญหาจริง ภายในเวลาไม่เกิน 10 นาทีจะสามารถบอกได้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดจากสาเหตุใด การออกมาเปิดเผยว่าต้องการยกเลิกราชการส่วนภูมิภาค ขัดแย้งหลักการที่กล่าวมาตั้งแต่ต้น ถ้าจะให้ถูกต้อง ต้องทำให้สภาจังหวัด และสภาตำบล เป็นสภาที่ปรึกษาของจังหวัดและตำบล ตามเดิม

มีผู้ให้ข้อสังเกตว่า การออกแถลงการณ์ดังกล่าวของนายอานันท์ ได้รับความเห็นชอบจากนายอภิสิทธิ์ นายกรัฐมนตรี แล้ว แสดงให้เห็นว่า คนทั้งสองมองไม่เห็นความสำคัญของพระมหากษัตริย์แม้แต่น้อย อย่าลืมว่ากฎหมาย 2 ฉบับที่กล่าวถึง เป็นพันธสัญญาระหว่างคณะราษฎรกับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ รัชกาลที่ 7 ผูกพันถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบันด้วย ในฐานะที่พระองค์เป็นรัฐบาลฝ่ายประจำ การที่นายอานันท์ กับนายกรัฐมนตรีทำกันเอง ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม

กล่าวโดยสรุป คณะกรรมการปฏิรูปไม่ทราบวิกฤตปัญหาที่แท้จริงของประเทศ การที่นายอานันท์ ประกาศลาออกจากตำแหน่ง คงจะรู้ตัวว่าทำไปก็ไม่สำเร็จ จึงหาทางออกว่า รัฐบาลจะยุบสภา สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ มีแต่ได้กับได้ การที่นายอานันท์ ประกาศล่วงหน้าว่า จะยุบราชการส่วนภูมิภาค เป็นที่พอใจของ 8 สมาคมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เมื่อมีการเลือกตั้งใหม่ ทั้ง 8 สมาคม จะเป็นกำลังสำคัญ หาเสียงให้กับพรรคประชาธิปัตย์อย่างแน่นอน หลายคนมองว่า การลาออกของนายอานันท์กับการยุบสภาของนายอภิสิทธิ์ เป็นการเล่นละครทางการเมือง (theatre politics) กัน การแสดงยังไม่จบ ต้องคอยดูกันต่อไป.

หมายเหตุ 7 ประการเลือกตั้ง 3 ก.ค. 54 โดย สำราญ รอดเพชร

-1-

ตอนสายวานซืน (24 พ.ค.) ตื่นจากนอนซมไข้ อ.ปานเทพ ณ สันปันน้ำ โทรศัพท์ถามว่าพี่ไปอยู่พรรคมาตุภูมิของ “บิ๊กบัง” แล้วเหรอ ตอบแบบงงๆ ทันทีว่าเปล่า อ.ปานเทพแจ้งว่านสพ.คมชัดลึกลงข่าวว่าพี่ไปเปิดตัวเข้าพรรคมาตุภูมิที่โคราช ผมเลยถึงบางอ้อ...

หลังอ.ปานเทพวางสาย มีหลายสายโทรศัพท์สอบถาม บางรายไม่ทันได้ชี้แจงก็แสดงความเห็นด้วยไม่เห็นด้วย ทำเอาผมมึนตึ้บไปเหมือนกัน นึกๆ คิดๆ ก็ได้แต่ส่ายหน้าอยากรู้จริงๆ ว่าน้องนักข่าว “คมชัดลึก” ที่รายงายข่าวนี้ไปทำข่าวจริงๆ หรือฟังเพื่อนๆ เล่าข่าวแล้วจับมาเขียน....เพราะในเนื้อข่าวยังเพี้ยนไปถึงขั้นระบุว่าผมเป็นโฆษกพรรคมาตุภูมิอีกต่างหาก

วันนั้นมันไม่มีอะไรมากไปกว่าผมไปมอบดอกไม้ให้กำลังใจคุณพิเชฐ พัฒนโชติ ที่ลาออกจากพรรคการเมืองใหม่ไปตั้งแต่ 26 เม.ย. 54 และตัดสินใจลงสมัครในนามพรรคมาตุภูมิ มอบดอกไม้ให้ในฐานะเพื่อนมิตร มอบเสร็จคุณพิเชฐยื่นไมโครโฟนให้ผมพูดอะไรนิดหน่อย ก็เท่านั้น...

ต้องขออภัยที่ใช้พื้นที่นี้ชี้แจงเรื่องส่วนตัว ผมได้บอกผ่านทางเฟสบุ๊คไปแล้วว่า ยังอยู่ที่พรรคการเมืองใหม่แต่จะเว้นวรรค ไม่สมัครรับเลือกตั้งในรอบนี้

-2-

ไหนๆ เริ่มต้นด้วยเรื่องการเมืองการเลือกตั้งก็อยากจะร่วมวงเสวนาพยากรณ์ทิศทางการเมืองการเลือกตั้งด้วยการเก็บตกข่าวมาจากวงสภากาแฟต่างๆ เพื่อเป็นข้อสังเกตข้อถกเถียงกันต่อไปในวันหน้า...โดยผมขอสรุปเป็น 7 ข้อสังเกตเลือกตั้ง 54 ดังนี้

1) การเลือกตั้งหนนี้จะเป็นการเลือกตั้งที่ใช้เงินทุนมหาศาลเพื่อบรรลุชัยชนะ ดังที่ทราบกันว่าศึกครั้งนี้เดิมพันอนาคตอดีตนักโทษชายและ “ระบอบทักษิณ” ที่อยากจะกลับมายึดพื้นที่อำนาจคืนโดยมี “การเลือกตั้ง” เป็นเครื่องมือและข้ออ้างแห่งความชอบธรรม

กฎหมายการเลือกตั้งอนุญาตให้ผู้สมัครใช้เงินหาเสียงได้ไม่เกินคนละ 1.5 ล้านบาท ถ้าผู้สมัครทุกระบบมีประมาณ 4 พันคน คิดเล่นๆ ถ้าทุกคนใช้เงินคนละ1.5 ล้านบาทก็จะเป็นเงิน 6,000 ล้านบาท แต่ในชีวิตจริงใครๆ ก็รู้ว่ามันไม่ใช่เช่นนั้น ขนาดปี 2544 พระรักเกียรติ สุขธนะ อดีตนักการเมืองดังระบุว่าในสนามภาคเหนือ ภาคอีสานพรรคใหญ่อัดฉีดผู้สมัครด้วยสูตร 20-30-40 ล้านบาท/คนกันแล้ว

เชื่อกันว่าเลือกตั้งหนนี้บางรายบางกรณีจะอัดฉีดกันสูงถึง 70-80 ล้านบาท เฉพาะพรรคใหญ่สองพรรคค่าใช้จ่ายจะสูงกว่า 20,000 ล้านบาท...ลูกพรรคคนสำคัญของพรรคใหญ่พรรคหนึ่งบอกผมว่าเที่ยวนี้ขี้หมูขี้หมา “นายห้าง” ต้องควักไม่ต่ำกว่า 15,000 ล้านบาท 3 ก.ค. 2554 จึงเป็นการเลือกตั้งภายใต้ระบอบ “ธนาธิปไตย”สมบูรณ์แบบ

2) มีแนวโน้มน่าเชื่อว่า เพื่อกอบกู้เกียรติภูมิให้กลับคืนมาบ้าง คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะชักใบเหลืองใบแดงมากกว่าครั้งก่อน แต่ถึงยังไงก็ไม่สามารถตามทันกลโกงการเลือกตั้งสารพัดรูปแบบได้ ถ้าการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 26 ก.พ. 2500 เป็นต้นตำรับของการเลือกตั้งสกปรก มีทั้งพลร่ม, ไพ่ไฟ, เปลี่ยนหีบเลือกตั้ง การเลือกตั้งปี 2554 น่าจะเป็นต้นตำรับของการซื้อเสียงแบบไร้ร่องรอยและแบบไม่กลัวบาป...เป็นวิชามารขั้นสูง

3) นโยบายการหาเสียงในการเลือกตั้งครั้งนี้ กระแสหลักยังจะเป็นการโฆษณาขายรูปธรรมนโยบายประชานิยมขนาดต่างๆ

กรณีของ “ทักษิณ ชินวัตร” จะเป็นประเด็นสำคัญประเด็นหนึ่งที่พรรคใหญ่สองพรรคคือเพื่อไทยและประชาธิปัตย์นำมาหาเสียง ในขณะที่เพื่อไทยบอกว่า “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” สุดท้ายประชาธิปัตย์ก็อาจจะใช้สูตรสำเร็จบอกว่า “ไม่เลือกมาร์ค แม้วมาแน่” อะไรประมาณนั้น

ขณะเดียวกันประเด็น “ปรองดอง” ก็เป็นประเด็นสำคัญที่แทบทุกพรรคหยิบมาหาเสียงแต่ไม่มีพรรคใดเลยที่อธิบายคำว่า ปรองดองได้อย่างเป็นรูปธรรม

และเป็นที่น่าเสียดายว่านโยบายเรื่องอธิปไตยเรื่องดินแดน และกรณีปราสาทพระวิหารไม่มีพรรคใดพูดถึง...

4) “โหวตโน” หรือการไปลงเลือกตั้งแต่กาช่อง “ไม่ประสงค์จะลงคะแนน” กลายเป็นทางเลือกสำคัญของประชาชนที่เบื่อการเมืองแบบเก่าๆ และต้องการสร้างแรงสั่นสะเทือนให้สังคมตระหนักว่าจะต้อง “ปฏิรูปการเมือง-ปฏิรูปประเทศ” ครั้งใหญ่ คำถามก็คือจำนวนประชาชนที่โหวตโนครั้งนี้จะเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนเท่าใด จากเดิมเมื่อปี 2550 ที่อยู่ในระดับ 1 ล้านคะแนน

ณ จุดออกสตาร์ท นักสังเกตการณ์ทั่วๆ ไปคาดหมายว่าโหวตโนน่าจะโตขึ้นเป็น 100 เปอร์เซ็นต์ คือจาก 1 ล้านจะกลายเป็น 2 ล้านคะแนน แต่สุดท้ายหลายคนบอกว่ายังไม่แน่..ต้องดูเหตุปัจจัยตอนใกล้ๆ เลือกตั้งอีกครั้ง

5) ณ จุดออกสตาร์ทเลือกตั้งเช่นกัน ไม่เพียงโพลหลายสำนักเท่านั้น นักสังเกตการณ์ทั่วๆ ไปก็เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะพรรคประชาธิปัตย์ และไม่ใช่แพ้ชนะแบบสูสี 3-5 เสียงอย่างที่วงในของพรรคประชาธิปัตย์เชื่อกัน หากแต่จะชนะกันเป็นสิบๆ หรืออย่างน้อย 10 เสียงขึ้นไป ที่น่าจับตาก็คือ ถ้าแนวโน้มนี้เป็นจริงประชาธิปัตย์จะใช้อะไรเป็น “ตัวช่วย”

6) เลือกตั้งครั้งนี้ได้พิสูจน์ว่า บรรดานักการเมืองหรือกรรมการบริหารพรรคที่ถูกเว้นวรรคทางการเมืองอันเนื่องจากการยุบพรรคทั้งชุด 11 คน และ 109 คน ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ทรงบทบาทอยู่เบื้องหลังในการกำหนดทิศทางการเมืองในแต่ละพรรค เช่นเดียวกับบทบาทในก่อนหน้านี้ ดังนั้นบทบัญญัติของกฎหมายในกรณีนี้ยังจะถูกท้าทายและถกเถียงกันต่อไปว่า..ความหมายของการ “เว้นวรรค” เพราะถูกตัดสิทธิ 5 ปีนั้น จะนิยามกันอย่างไรแค่ไหน..??

7) คาดหมายกันว่านอกจากรายทางระหว่างการรณรงค์หาเสียงจะเกิดเหตุการณ์รุนแรงพอประมาณแล้ว กว่าจะประกาศผลเลือกตั้งก็คงมีการร้องเรียนกันมากเป็นประวัติการณ์และกกต.ก็คงต้องแสดงใบเหลือง-ใบแดงเป็นผลงาน ต้องมีการเลือกกันใหม่ในบางพื้นที่บางเขต...นี่คือยกที่หนึ่ง

และถ้าทุกอย่างว่าด้วยการเลือกตั้งผ่านไปได้ ยกที่สองยกสำคัญก็จะเกิดขึ้นนั่นคือศึกแย่งชิงการจัดตั้งรัฐบาล ถ้าแพ้ชนะกันสูสีระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับเพื่อไทยความร้อนแรงระดับปรอทแตกก็อาจจะเกิดขึ้น แต่ถ้าพรรคเพื่อไทยชนะขาดในระดับ20-30 เสียงก็คงจะหยุดพรรคเพื่อไทยลำบาก...ประเทศไทยก็จะเดินหน้าต่อไป และมีนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกชื่อ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ถ้าไม่มีอะไรสะดุด!?

-ฯลฯ-

-3-

อันที่จริงถ้าจะหมายเหตุถึงการเลือกตั้ง 3 ก.ค. 2554 กันจริงๆ ก็สามารถจับได้อีกหลายประเด็น เอาไว้เลือกตั้งเสร็จค่อยมาว่ากันให้เป็นกิจจะลักษณะอีกครั้งก็ยังไม่สายเกินไป

ผมต้องเรียนย้ำว่าผมไม่เคยปฏิเสธระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทนหรือการเลือกตั้ง คำถามมีเพียงว่าเราจะหยุดยั้งระบอบ “ธนาธิปไตย” ที่นำไปสู่ระบอบ “โจราธิปไตย” ปล้นบ้านปล้นเมืองได้อย่างไร และเปิดพื้นที่ให้กลุ่มสาขาอาชีพต่างๆ เข้าไปมีบทบาทได้บ้างอย่างไร?

วันนี้..นักการเมืองที่เคยต่อต้านระบอบ “ธนาธิปไตย” ต่อต้านคำว่า “ธุรกิจการเมือง” ได้ถูกกลืนหายตายคาระบบระบอบอันชั่วร้ายที่ว่าไปแทบหมดสิ้นแล้ว!!

samr_rod@hotmail.com

คำถามที่ยิ่งลักษณ์ต้องตอบ โดย ชวินทร์ ลีนะบรรจง, สุวินัย ภรณวลัย

คุณสมบัติที่มากกว่ากฎหมายกำหนดก็คือ ต้องพูดความจริง

ทำไมที่ผ่านมาต้องโกหกเพื่อพี่ชาย ทำไม?

การเป็นผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อลำดับแรกของพรรคเพื่อไทยที่มีโอกาสเป็นอย่างมากที่จะได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้นำประเทศต่อไป ทำให้ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรจำเป็นต้องตอบคำถามเกี่ยวกับอดีตของตนเองให้สาธารณชนทราบเสียก่อนที่จะไปแสดงวิสัยทัศน์

อดีตของคนจึงเป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงหรือโกหกไม่ได้โดยง่าย ในขณะที่การพูดว่าตนเองจะไปทำอะไรบ้างในอนาคตหรือเรียกว่าการแสดงวิสัยทัศน์นั้นสามารถเปลี่ยนแปลงไปมาได้โดยง่าย การจะเสนอตัวให้ประชาชนเลือกนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้ประชาชนทราบถึงข้อมูลทั้งในอดีตและอนาคตพร้อมกันไป

ข้อมูลหรือประวัติการศึกษา ประวัติส่วนบุคคล หรือแม้แต่ประวัติการซ่อมบำรุงรถยนต์ เรือ เครื่องบิน จึงเป็นปัจจัยสำคัญเพื่อประกอบการตัดสินใจลำดับต้นๆ ว่าสมควรจะจ้าง ซื้อหรือลงทุนในคนหรือทรัพย์สินนั้นหรือไม่ หากไม่มีข้อมูลนี้ก็ตัดสินใจเลือกผิดได้โดยง่าย

คนที่มีประวัติไม่ซื่อสัตย์มาก่อนในอดีตจะให้เชื่อได้อย่างไรว่าจะซื่อตรงไม่คดโกงได้ในอนาคต หรือรถไม่เคยมีประวัติบำรุงรักษาให้เห็นเป็นประจักษ์จะยืนยันได้อย่างไรว่ามีสภาพดี

ในคดียึดทรัพย์ทักษิณจำนวน 4.6 หมื่นล้านที่ผ่านมา ยิ่งลักษณ์อ้างว่าได้ซื้อหุ้นชิน คอร์ปอเรชั่นจำนวน 2 ล้านหุ้นจากทักษิณในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดมากคือเท่ากับราคาที่ตราเอาไว้คือหุ้นละ 10 บาทเมื่อ 1 ก.ย. 43โดยมิได้ชำระเงินค่าหุ้นจำนวน 20 ล้านบาทในทันที หากแต่ออกตั๋วสัญญาใช้เงินที่ไม่มีดอกเบี้ย กำหนดชำระเงินเมื่อทวงถาม เป็นการชำระค่าหุ้นแทนเช่นเดียวกับพานทองแท้และบรรณพจน์ตามรูปที่ 1

เหตุที่ต้อง “ขาย” ก็เพราะเพื่อป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนตามกฎหมาย ป.ป.ช. ทักษิณและพจมานจึงไม่สามารถถือหุ้นชิน คอร์ปอเรชั่นที่เป็นบริษัท “แม่” ที่เป็นเจ้าของหลายบริษัท “ลูก” ที่เป็นคู่สัญญากับรัฐได้หากจะเข้าสู่การเมือง

ธุรกรรมตามรูปที่ 1 ที่เกิดขึ้นก่อนเลือกตั้งเพียงเล็กน้อยจึงมีพิรุธว่าเป็นการ “ขาย” หรือจงใจซุกหุ้นให้ “ถือแทน” ทักษิณและพจมานเพราะมีลูกที่บรรลุนิติภาวะเพียงคนเดียวที่ได้ไป พฤติกรรมการซื้อขายและชำระราคามีจริงหรือไม่ การรับเงินปันผลใครเป็นผู้รับที่แท้จริง จึงเป็นเครื่องชี้แสดงความเป็นเจ้าของมากกว่าชื่อที่ปรากฏในใบหุ้น

ยิ่งลักษณ์ให้การต่อศาลว่า การชำระเงินค่าหุ้นจำนวนดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อชิน คอร์ปอเรชั่นจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นเริ่มต้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 ถึง พ.ศ. 2549 รวมเป็นเงินปันผลที่ยิ่งลักษณ์ได้รับ 97 ล้านบาทเศษ โดยงวดแรกที่รับเงินปันผลจำนวน 9 ล้านบาทก็ได้คืนเงินจำนวนนี้เป็นเช็คจ่ายให้กับทักษิณเต็มจำนวน แต่ในงวดที่สองเมื่อรับเงินปันผลจำนวน 13.5 ล้านบาทก็เผลอคืนเต็มจำนวนไปเช่นเดียวกับงวดแรก แต่กลับลำมาแก้ “คำผิด” เป็น 11 ล้านบาทในภายหลังเพราะคืนเงินเกินมูลหนี้โดยอ้างว่าเลขาฯ ส่วนตัวเขียนตัวเลขในเช็คผิด ส่วนที่เกินหนี้ค่าหุ้น 2.5 ล้านบาทนั้น จึงอ้างว่าจ่ายให้กับพินทองทา ชินวัตรเป็นค่านาฬิกาที่ฝากซื้อจากต่างประเทศแทน

ส่วนเงินปันผลที่เหลืออีกประมาณ 70 ล้านบาทนั้น นอกจากจ่ายเข้าบัญชีตนเอง 2.1 ล้านแล้วที่เหลืออีก 68 ล้านบาทยิ่งลักษณ์อ้างต่อศาลว่าได้เบิกเป็นเงินสดนำมาตกแต่งบ้านประมาณ 20 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายส่วนตัว 6 ล้านบาท ซื้อทองคำแท่ง 13 ล้านบาท ซื้อเครื่องเพชรและเครื่องประดับ 11 ล้านบาท ซื้อเงินตราต่างประเทศ 10 ล้านบาท และสำรองไว้ที่บ้านอีก 8 ล้านบาท โดยมิได้มีใบเสร็จหรือหลักฐานอื่นใดที่สามารถนำมายืนยันว่าได้ใช้จ่ายเงิน 68 ล้านบาทไปตามที่ได้กล่าวอ้างไว้ต่อศาลแต่อย่างใด

ช่างเป็นคำกล่าวอ้างที่ขาดเหตุผลที่จะรับฟังได้ หากอ้างว่าประสบความสำเร็จเพราะความสามารถตนเองในการทำธุรกิจมิได้อาศัยใบบุญหรือเป็น “ตัวแทน” ถือหุ้นให้พี่ชายตามที่ถูกกล่าวหา แต่เหตุใดเพียงเมื่อ 10 ปีที่แล้วมาจึงไม่ชำระเงินค่าหุ้นที่พี่ชายขายให้ในราคาที่ถูกแสนถูกในทันทีทั้งที่มีเงินซื้อนาฬิกาได้คราวละหลายล้านบาทแต่ต้องรอรับเงินปันผลเสียก่อนจึงชำระหนี้ค่าหุ้นให้ตามงวดเงินปันผล แถมยังเผลอชำระเงินเกินกว่าหนี้ที่มีอยู่เสียอีก

ในทำนองเดียวกัน การรับเงินปันผลก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าตนเองเป็นผู้รับจริงเพราะชี้แจงได้แต่ตอนรับ แต่กลับไม่มีเงินอยู่ในมือ เมื่อไม่มีหลักฐานชี้แจงต่อศาลได้ว่าเงินปันผลที่ตนได้รับมาหายไปไหนก็อ้างเพียงว่ามีการเบิกเงินสด 68 ล้านบาทมาใช้จ่ายส่วนตัวโดยปราศจากหลักฐานการจ่ายเงินมาสนับสนุน

ยิ่งลักษณ์ยังได้ร่วมกับผู้ที่ถูกกล่าวหาในครั้งแรกยื่นอุทธรณ์คดียึดทรัพย์นี้ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาฯ อีกครั้งหนึ่งโดยยืนยันว่าตนเองได้ถือครองหุ้นชิน คอร์ปอเรชั่นเพราะได้ซื้อหุ้นจากทักษิณโดยอ้างเอกสารและพยานบุคคลที่อ้างว่าเป็นหลักฐานใหม่ แต่ศาลฯ ก็ได้วินิจฉัยว่าเป็นหลักฐานที่ยิ่งลักษณ์รู้หรือมีเหตุอันควรรู้ถึงความมีอยู่ก่อนที่ยิ่งลักษณ์จะยื่นคำร้องต่อสู้คดีนี้ตั้งแต่ต้น ดังนั้นจึงมิใช่พยานหลักฐานใหม่ที่ศาลพึงจะรับอุทธรณ์ไว้ได้แต่อย่างใดเช่นเดียวกับผู้ถูกยึดทรัพย์อื่นๆ ทั้งในตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์

คำถามที่ยิ่งลักษณ์จะต้องตอบต่อสังคมเกี่ยวกับพฤติกรรมในอดีตของตนเองก็คือ เหตุใดจึงเข้าไปเป็น “ตัวแทน” ถือหุ้นให้กับพี่ชายทั้งๆ ที่ตนเองก็มีวัยวุฒิและคุณวุฒิที่รู้ผิดชอบชั่วดีแล้วมิใช่หรือ หากยิ่งลักษณ์รักพี่ชายเหนือกว่ากติกาที่เป็นความถูกต้องของสังคม เช่น กฎหมายที่มีอยู่ ยิ่งลักษณ์จะเข้ามาปกป้องผลประโยชน์ของคนส่วนรวมให้เหนือกว่าผลประโยชน์ของชินวัตรและหรือดามาพงศ์ได้อย่างไร

ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อศาลฯ มีคำวินิจฉัยยึดทรัพย์ออกมาให้เห็นเป็นประจักษ์ก็น่าจะมีความละอายต่อบาปไม่สมควรที่จะยื่นอุทธรณ์ในประเด็นที่ศาลฯ ได้แสดงเหตุผลให้เห็นแล้วว่าหุ้นชิน คอร์ปอเรชั่นที่เป็นของทักษิณและพจมานได้ทำนิติกรรมอำพรางหลอกลวงคนทั่วไปให้เข้าใจว่าได้ขายไปให้ลูก 2 คน น้องสาวสามี พี่ชายบุญธรรมภรรยานั้นชัดเจนมากเพียงใด ไม่มีบุคคลทั่วไปจะอ้างเหตุผลที่ขาดสติเช่นนี้ได้

กรรมจึงเป็นเครื่องชี้เจตนาโดยแท้ การกระทำผิดซ้ำๆ กันแสดงให้เห็นถึงเจตนาว่าละเลยผิดชอบชั่วดีเพียงใด ยิ่งลักษณ์เลือกที่จะให้การเท็จในทั้งชั้น คตส.และศาล รวมถึงต่อ กลต.ในการรับโอนหุ้นเพื่อประโยชน์ในการช่วยเหลือพี่ชาย ซึ่งล้วนเป็นความผิดอาญาที่ ป.ป.ช. กลต. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินคดีอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าจะดำเนินการเมื่อใดเท่านั้น

ชะตากรรมของยิ่งลักษณ์ที่พูดเท็จ “ถือหุ้นแทน” เพื่อพี่ชายจึงตกที่นั่งเดียวกับทักษิณในอดีตที่มี “ชนักติดหลัง” โกหก “ซุกหุ้น” ไว้กับคนใช้ คนขับรถ อันเป็นการเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเหนือประโยชน์ส่วนรวม การกระทำเยี่ยงนี้หรือที่ทักษิณกล่าวอยู่เสมอๆ ว่ารักน้องคนนี้มาก

การออกมาตอบคำถามกับประชาชนในที่สาธารณะพร้อมๆ กันหรือ Debate ระหว่างผู้ที่จะเข้ามาอาสารับใช้ประชาชนจึงเป็นการให้เกียรติประชาชนเจ้าของสิทธิอย่างแท้จริง เพราะเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ผู้ที่เสนอตนให้ประชาชนเลือกไปทำงานแทนต้องมาตอบคำถามในสิ่งที่ประชาชนอยากถาม มิใช่เอาแต่เฉพาะที่อยากตอบ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเป็นการมาให้ข้อมูลกับประชาชนเพื่อการตรวจสอบก่อนตัดสินใจ

การไม่มาให้ซักถามก็แสดงถึงเจตนาไม่ดี ไม่โปร่งใส และมีวาระซ่อนเร้น ของผู้อาสาเรามาทำงาน ดูตัวอย่างที่ผ่านมาก็ได้ว่า ทักษิณก็ไม่ยอมมา สมัครก็ไม่ยอมมา แล้วรัฐบาลทั้งสองได้ทำความเสียหายกับประเทศจากวาระซ่อนเร้นมากน้อยเพียงใด ใครไม่มาให้ถามก็อย่าไปเลือก

อย่าคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะคำตอบที่ไร้สาระก็มาจากคำถามที่ไร้สาระ หากคำถามดีแต่ตอบไร้สาระก็ “ฆ่าตัวตาย” กลางเวทีเท่านั้นเอง ไม่ใช่เรื่องของการ “ตีฝีปาก” เพราะต่างก็มีเวลาตอบเท่ากันและถูกถามด้วยคำถามเดียวกัน ทำไมผู้ลงคะแนนจึงไม่สมควรที่จะมีโอกาสได้ ฟัง ถาม และใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจก่อนจะลงคะแนน

“เวลาที่ยังไม่พูด เราเป็นนายคำพูด แต่เมื่อพูดออกไปแล้ว คำพูดเป็นนายเรา” คำตอบที่ผู้อาสามาทำงานจะจริงหรือเท็จ การกระทำและเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ แต่เมื่อออกมาตอบคำถาม คำพูดเป็นนายคนพูดไปแล้ว ประชาชนจึงเป็นผู้ได้ประโยชน์ที่แท้จริง

“การเมืองใหม่” จึงเป็นเรื่องของการแสวงหาความจริงและหาวิธีบังคับให้นักการเมืองต้องมีจุดยืน ผูกพันกับคำพูดของตนเองที่ได้พูดออกไป ประชาธิปไตยจึงจะมีมากกว่า 4 วินาทีตอนหย่อนบัตร

สงสารภรรยานายเรือ

ในอดีตกาล มีพระภิกษุพวกหนึ่งโดยสารเรือเดินสมุทร เพื่อที่จะไปเฝ้าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในขณะที่เรือเดินสมุทรลำใหญ่มาถึงกลางทะเลหลวง ก็เกิดอุบัติเหตุเรือหยุดนิ่งไม่สามารถจะแล่นต่อไปได้ นายเรือจึงสั่งให้ลูกน้องบริวารของตน ช่วยกันแก้ไขตรวจสอบ ปรากฏว่าทุกอย่างก็ปกติดี แต่เครื่องเรือไม่สามารถจะแล่นต่อไปได้ เป็นที่น่าประหลาดใจยิ่งนัก นักเดินเรือคิดว่าฟ้าดินคงจะดลบันดาล หรือมีใครคนใดคนหนึ่งในเรือลำนี้ ชะรอยจะเป็นคนกาลกิณี จึงตกลงใจกันจับสลากเพื่อจะหาว่าใครเป็นคนกาลกิณี เมื่อจับได้จะโยนทิ้งทะเลไป

ปรากฏว่าการจับสลากทั้งสามครั้ง สลากนั้นตกไปอยู่ในมือของภรรยานายเรือ ด้วยอำนาจของอปราปริยเวทนียกรรมฝ่ายอกุศล นายเรือจึงออกคำสั่ง ให้ช่วยกันถอดอาภรณ์เครื่องประดับของนางออกทั้งหมด เพราะเครื่องประดับเหล่านั้น หาได้เกิดประโยชน์แก่คนตายอย่างไรไม่ ให้นางนุ่งแต่ผ้าผืนเก่า ๆ เอาหม้อบรรจุทรายผูกคอนาง แล้วโยนนางทิ้งน้ำไป

พระภิกษุทั้งหลายเกิดความสังเวช สงสารภรรยานายเรือ ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นหญิงกาลกิณี ต่างพากันสงสัยคิดว่าเรือหยุดนิ่งด้วยเหตุประการใด และการที่หญิงสาวซึ่งกำลังอยู่ในวัยรุ่นสวยงาม แต่ต้องมาตายเสียแต่ในวัยอันไม่สมควร

เอตทัคคะในทางผู้ทำสกุลให้เลื่อมใส

พระกาฬุทายีเถระ เป็นหนึ่งในพระมหาเถระของพระพุทธเจ้า ซึ่งได้รับการบรรพชาโดยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา และพระพุทธองค์ทรงยกย่องให้เป็นเอตทัคคะ ผู้ทำสกุลให้เลื่อมใส โดยท่านเป็นผู้สามารถทำคนในพระราชนิเวศน์ทั้งหมด ของพระเจ้าสุทโธทนะมหาราชให้เลื่อมใสได้ ชื่อของท่านในพระไตรปิฎกบางแห่งพิมพ์เป็น พระกาลุทายีเถระ
๐ ความปรารถนาในอดีต
ประวัติในอดีตชาติของท่าน ที่ท่านได้แสดงถึงความปรารถนาที่จะได้รับตำแหน่งเอตทัคคะดังกล่าวมีดังนี้
ในกัปที่แสนแต่ภัทรกัปนี้ไป ในสมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ ครั้งนั้นท่านได้เกิดในสกุลอำมาตย์ในพระนครหงสวดี มีทรัพย์และธัญญาหารเหลือล้น ท่านได้เข้าไปยังพระวิหารหังสาราม ถวายบังคมพระตถาคตพระองค์นั้น เมื่อได้สดับธรรมอันไพเราะ และทำสักการะแด่พระปทุมุตตระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เห็นพระศาสดาทรงตั้งภิกษุรูปหนึ่ง ไว้ในตำแหน่งแห่งผู้ทำสกุลให้เลื่อมใส จึงได้หมอบลงแทบเบื้องพระบาท แล้วได้กราบทูลว่า ขอให้ท่านได้เป็นภิกษุผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายฝ่ายผู้ทำสกุลให้เลื่อมใสใน ศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง เหมือนเช่นภิกษุรูปนั้นเถิด
ครั้งนั้น พระปทุมุตตระบรมศาสดาผู้ประกอบด้วยพระมหากรุณา ได้ตรัสพยากรณ์แก่ว่า ท่านจะได้ฐานันดรนี้สมดังปรารถนาปรารถนา บุคคลใดเมื่อได้ทำสักการะในพระสัมพุทธเจ้าแล้ว ย่อมไม่เป็นผู้ปราศจากผล ในกัปที่แสนแต่กัปนี้ ท่านจะได้เกิดในศาสนาของพระบรมศาสดาสัมมาสัมทพุทธเจ้าอันมีพระนามว่า โคดม ผู้สมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช ท่านจะได้ชื่อว่ากาฬุทายี ครั้งนั้นเมื่อท่านได้สดับพระพุทธพยากรณ์แล้ว ท่านก็เป็นผู้เบิกบาน มีจิตประกอบด้วยเมตตา บำรุงพระบรมศาสดาด้วยปัจจัยทั้งหลาย ตราบเท่าสิ้นชีวิต เพราะวิบากของกรรมนั้นและเพราะตั้งเจตน์จำนงไว้ เมื่อท่านสิ้นชีวิตแล้ว ได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ในกาฬุทายีเถราปทาน ได้กล่าวถึงพุทธพยากรณ์ในอีกลักษณะหนึ่งดังนี้
ในกัปที่แสนแต่ภัทรกัปนี้ไป ในสมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ เมื่อพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นได้เสด็จดำเนินทางไกลเที่ยวจาริกไป ในเวลานั้น ท่านได้ถวายดอกปทุม ดอกอุบล และดอกมะลิซ้อนอันบานสะพรั่ง และถวายข้าวสุกชั้นเยี่ยมแด่พระศาสดา พระบรมศาสดาทรงเสวยข้าวชั้นพิเศษ และทรงรับดอกไม้นั้นแล้ว ทรงอนุโมทนาว่าการกระทำดังกล่าวเป็นกรรมที่ทำได้ยากนัก และได้พยากรณ์ท่านว่าท่านจะได้เสวยเทวสมบัติ ๑๘ ครั้ง จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๒๕ ครั้ง จะได้เป็นพระราชาในแผ่นดินครอบครองพสุธา ๕๐๐ ครั้ง
ในกัลปที่แสน พระศาสดามีพระนามชื่อว่าโคดม ซึ่งมีสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จะเสด็จอุบัติในโลก ท่านจะรับกุศลกรรมที่ได้ทำไว้นี้ โดยจะได้เป็นบุตรผู้มีชื่อเสียง มีนามว่าอุทายี เป็นผู้ทำความเพลิดเพลินให้เกิดแก่เจ้าศากยะทั้งหลาย แต่ภายหลัง ก็จะบวชเป็นสาวกของพระศาสดา จะบรรลุอรหัตผล และพระบรมศาสดาพระองค์นั้นจะตั้งท่านไว้ในเอตทัคคสถาน บรรลุคุณวิเศษเหล่านี้ คือปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ ดังนี้
๐ กำเนิดในพุทธกาล
ครั้งกาลสมัยพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราอุบัติ พระกาฬุทายีเกิดในตระกูลอำมาตย์ในกรุงกบิลพัสดุ์นั่นเอง ในวันเดียวกับวันประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะนั่นเอง โดยถือว่าท่านเป็นสหขาติ ๑ ใน ๗ อย่างที่เกิดขึ้นพร้อมพระโพธิสัตว์ คือ
ต้นโพธิพฤกษ์ ๑ ขุมทรัพย์ ๔ แห่ง ๑ ม้ากัณฐกะ ๑ มารดาของพระราหุล (พระนางพิมพา) ๑ อานนท์ ๑ นายฉันนะ๑ และกาฬุทายีอำมาตย์ ๑ รวม ๗ อย่าง ในอรรถกถา กล่าวแปลกแตกต่างไปอย่างหนึ่งคือ ไม่มีพระอานนท์เป็นสหชาติกับพระพุทธองค์ แต่กล่าวว่าเป็น ช้างตระกูลอาโรหนิยะเป็นสหชาติ ในวันนั้นนั่นเอง มารดาบิดาให้เขานอนบนที่นอนที่ทำด้วยผ้าเนื้อดีชนิดหนึ่ง แล้วพาไปสู่ที่บำรุงของพระโพธิสัตว์ ครั้นถึงวันตั้งชื่อ มารดาบิดาได้ตั้งชื่อเขาว่า อุทายี เพราะเหตุที่เขาเกิดในวันที่ชาวพระนครทั้งสิ้นมีจิตเบิกบาน เนื่องจากการประสูติพระราชโอรส คือเจ้าชายสิทธัตถะ แต่คนทั้งหลายกลับเรียกชื่อท่านว่า กาฬุทายี (กาฬ + อุทายี) เพราะเมื่อเกิดท่านมีผิวพรรณค่อนข้างคล้ำ ในฐานะของลูกชายของอำมาตย์แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ และเป็นสหชาติกับเจ้าชายสิทธัตถะ ท่านจึงเป็นเพื่อนเล่นกับพระโพธิสัตว์มาตั้งแต่เยาว์วัย ครั้นเมื่อได้เจริญวัยแล้วท่านก็ได้เป็นอำมาตย์คนหนึ่งของพระเจ้าสุทโธทนะ ต่อมาภายหลัง เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกทรงผนวชแล้ว บรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโฑธิญาณตามลำดับ ทรงประกาศพระศาสนา และทรงประทับอยู่ในพระเวฬุวันมหาวิหาร กรุงราชคฤห์, นับแต่วันที่พระโพธิสัตว์เสด็จออกอภิเนษกรมณ์ พระเจ้าสุทโธทนะมหาราชทรงสดับความเป็นไปของเจ้าชายสิทธัตถะอยู่ตลอดเวลา ทรงสดับการบำเพ็ญเพียร การตรัสรู้เองและ พุทธกิจทั้งหลายมีการประกาศศาสนาเป็นต้น ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นเมื่อได้ทรงทราบว่า พระบรมศาสดาทรงอยู่ในกรุงราชคฤห์ จึงทรงส่งอำมาตย์ผู้หนึ่ง พร้อมบริวาร ๑,๐๐๐ คน ไปสู่กรุงราชคฤห์ เพื่ออัญเชิญพระบรมศาสดามายังนครกบิลพัสดุ์ ครั้นเมื่ออำมาตย์ผู้นั้นไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร ก็เป็นเวลาแสดงธรรมแก่พุทธบริษัท อำมาตย์ผู้นั้นจึงถวายบังคมพระบาทพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วนั่งอยู่ท้ายบริษัท โดยหวังว่าเมื่อทรงแสดงธรรมเสร็จแล้ว จะได้กราบทูลให้พระพุทธองค์ทรงทราบความที่พระพุทธบิดาทรงอาราธนาให้มาสู่นคร กบิลพัสดุ์ ครั้นเมื่อได้ฟังธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง อรหัตผลก็ได้บังเกิดขึ้นแก่อำมาตย์ผู้นั้น กับบริวารทั้งสิ้น ทั้งหมดจึงได้ทูลขอบรรพชา และอุปสมบทที่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าให้อำมาตย์กับทั้งบริวารเหล่านั้น อุปสมบทด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา ภิกษุนั้นกับทั้งบริษัทบรรลุพระอรหัตแล้ว ก็ได้อยู่เสวยสุขอันเกิดแต่ผลสมาบัติในที่นั้นเอง ด้วยความเป็นพระอริยเจ้าผู้มีความวางเฉยเท่านั้น เพราะฉะนั้นจึงมิได้กราบทูลอาราธนาพระบรมศาสดาตามพระบัญชาของพระเจ้าสุทโธทนะ พระเจ้าสุทโธทนะเมื่อทรงมิได้ทรงสดับข่าวจากอำมาตย์กับทั้งบริวาร จึงทรงส่งทูตอื่นไปอีก ๘ คณะโดยลักษณะเดียวกัน คณะทูตเหล่านั้นทั้งหมด รวม ๘,๐๐๐ คนก็ได้บรรลุพระอรหันต์ และทูลขอบรรพชาเป็นภิกษุด้วยกันทั้งสิ้น ฝ่ายพระเจ้าสุทโทธนะ เมื่อทรงเห็นว่าคณะทูตที่ส่งไปทั้งหมดไม่มีการส่งข่าวกลับมา ก็ทรงน้อยพระทัย คิดว่าบรรดาเหล่าอำมาตย์ที่ส่งไปนั้นไม่มีความรักในพระองค์เลย จึงไม่ยอมอาราธนาพระพุทธองค์ให้เสด็จมายังกรุงกบิลพัสดุ์ จึงได้ทรงดำริว่า คงมีแต่อุทายีอำมาตย์คนนี้แหละ ที่เป็นผู้มีวัยเสมอกันกับพระพุทธองค์ เคยร่วมเล่นในวัยเด็กมาด้วยกัน และคงมีความรักเยื่อใยในพระองค์ท่าน จึงได้ทรงดำรัสสั่งให้อุทายีอำมาตย์พร้อมด้วยบริวาร ๑,๐๐๐ คน ให้ไปยังกรุงราชคฤห์แล้วอาราธนาพระทศพลมาให้ได้ ฝ่ายกาฬุทายีอำมาตย์นั้น เมื่อจะไปจึงกราบทูลขอพระบรมราชานุญาตว่า ถ้าอนุญาตให้ท่านบวชได้ ท่านก็จะอาราธนาพระผู้มีพระภาคเจ้าให้เสด็จมา พระเจ้าสุทโทธนะมีพระดำรัสพระราชทานพระบรมราชานุญาตว่า เธอจะทำอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ขอให้อาราธนาพระพุทธองค์มาให้ได้ก็แล้วกัน

Image

๐ เข้าเฝ้าพระพุทธองค์
ดังนั้นกาฬุทายีอำมาตย์จึงไปยังกรุงราชคฤห์ ครั้นเมื่อไปถึงพอดีเป็นเวลาพระศาสดาทรงแสดงธรรม จึงยืนฟัง ธรรมอยู่ข้างท้ายบริษัท พร้อมด้วยบริวาร เมื่อจบเทศนาหมู่อำมาตย์นั้นก็ได้บรรลุพระอรหัตพร้อมทั้งปฏิสัมภิทา พระบรมศาสดาทรงประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทา จำเดิมแต่วันที่พระอุทายีเถระมาแล้ว เวลาได้ล่วงไป ๗-๘ วัน ในวันเพ็ญเดือน ๔ พระอุทายีเถระนั้นคิดว่า ฤดูเหมันต์ก็ล่วงไปแล้ว ฤดูวสันต์กำลังย่างเข้ามา พวกมนุษย์ถอนข้าวกล้าไปแล้ว ทำให้หนทางในที่ที่ตรงหน้าชุ่ม แผ่นดินดาดาษไปด้วยหญ้าเขียวสด ราวป่ามีดอกไม้บานสพรั่ง หนทางเหมาะแก่การที่จะเดิน กาลนี้เป็นกาลที่พระทศพลจะทรงกระทำการสงเคราะห์พระญาติ ลำดับนั้น พระอุทายีเถระเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า พรรณนาหนทางเสด็จเพื่อต้องการให้พระทศพลเสด็จไปยังพระนครของราชสกุล ด้วยคาถาประมาณ ๖๐ คาถา ความว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้ หมู่ไม้ทั้งหลายมีดอก และใบสีแดงดุจถ่านเพลิง ผลิผล สลัดใบเก่าร่วงหล่นไป หมู่ไม้เหล่านั้นงดงามรุ่งเรืองดุจเปลวเพลิง ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรใหญ่ เวลานี้เป็นเวลาสมควรอนุเคราะห์หมู่พระญาติ ข้าแต่พระองค์ผู้แกล้วกล้า หมู่ไม้ทั้งหลายมีดอกบานงดงามดี น่ารื่นรมย์ใจ ส่งกลิ่นหอมฟุ้งตลบไป ทั่วทิศโดยรอบ ผลัดใบเก่า ผลิดอกออกผล เวลานี้เป็นเวลาสมควรจะหลีกออกไปจากที่นี้ ขอเชิญพระพิชิตมาร เสด็จไปสู่กรุงกบิลพัสดุ์เถิด ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ฤดูนี้ก็เป็นฤดูที่ไม่หนาวนัก ไม่ร้อนนัก เป็นฤดูพอสบาย ทั้งมรรคาก็สะดวก ขอพวกศากยะและโกลิยะทั้งหลาย จงได้เข้าเฝ้าพระองค์ที่แม่น้ำโรหิณี อันมีปากน้ำอยู่ทางทิศใต้เถิด
ชาวนาไถนาด้วยความหวังผล หว่านพืชด้วยความหวังผล พ่อค้าผู้เที่ยวหาทรัพย์ ย่อมไปสู่สมุทรด้วยความหวังทรัพย์ ข้าพระองค์อยู่ในที่นี้ ด้วยความหวังผลอันใด ขอความหวังผลอันนั้น จงสำเร็จแก่ข้าพระองค์เถิด ชาวนา หว่านพืชบ่อยๆ ฝนตกบ่อยๆ ชาวนาไถนาบ่อยๆ แว่นแคว้นสมบูรณ์ด้วยธัญญาหารบ่อยๆ พวกยาจกเที่ยวขอทานบ่อยๆ ผู้เป็นทานบดีให้บ่อยๆ ครั้นให้บ่อยๆ แล้ว ย่อมเข้าถึงสวรรค์บ่อยๆ บุรุษผู้มีความเพียร มีปัญญากว้างขวาง เกิดในสกุลใด ย่อมยังสกุลนั้นให้ บริสุทธิ์สะอาดตลอด ๗ ชั่วคน ข้าพระองค์ย่อมเข้าใจว่า พระองค์เป็นเทพเจ้าประเสริฐกว่าเทพเจ้าทั้งหลาย ย่อมทรงสามารถทำให้สกุลบริสุทธิ์ เพราะพระองค์เกิดแล้ว โดยอริยชาติ ได้สัจนามว่า เป็นนักปราชญ์ สมเด็จพระบิดาของพระองค์ ทรงแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ทรงพระนามว่าสุทโธทนะ สมเด็จพระนางเจ้ามายาพระมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ เป็นพระพุทธมารดา ทรงบริหาร พระองค์ผู้เป็นพระโพธิสัตว์มาด้วยพระครรภ์ เสด็จสวรรคตไปบันเทิงอยู่ในไตรทิพย์ สมเด็จพระนางเจ้ามายาเทวีนั้น ครั้นสวรรคตจุติจากโลกนี้แล้ว ทรงพรั่งพร้อมด้วยกามคุณอันเป็นทิพย์ มีหมู่นางฟ้าห้อมล้อม บันเทิงอยู่ด้วยเบญจกามคุณ
พระบรมศาสดาครั้นเมื่อได้ฟังพระอุทายีเถระพรรณนาดังนั้น จึงตรัสถามถึงเหตุที่พระอุทายีเถระได้พรรณนาถึงการดังกล่าว พระอุทายีเถระกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเจ้าสุทโธทนมหาราช พระชนกของพระองค์ มีพระประสงค์จะพบเห็นพระองค์ ขอพระองค์จงกระทำการสงเคราะห์พระญาติ พระผู้มีพระภาคเจ้า ถูกพระเถระอ้อนวอนแล้วอย่างนั้น ทรงเห็นว่า ประชาชนเป็นอันมากจะได้บรรลุคุณวิเศษ เพราะการเสด็จไปกรุงกบิลพัสดุ์ในครั้งนั้น จึงมีพระดำรัสให้พระเถระแจ้งแก่ภิกษุสงฆ์ เพื่อภิกษุทั้งหลายจักได้บำเพ็ญคมิกวัตรสำหรับผู้จะไป พระเถระรับพระพุทธดำรัสแล้วบอกแก่ภิกษุสงฆ์ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้อมล้อมด้วยภิกษุขีณาสพทั้งสิ้นสองหมื่นองค์คือ ภิกษุผู้เป็นกุลบุตรชาวอังคะและมคธะหมื่นองค์ ภิกษุผู้เป็นกุลบุตรชาวเมืองกบิลพัสดุ์หมื่นองค์ เสด็จออกจากกรุงราชคฤห์ เสด็จเดินทางวันละหนึ่งโยชน์ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดำริว่า จักเสด็จจากกรุงราชคฤห์ถึงกรุงกบิลพัสดุ์ทาง ๖๐ โยชน์ โดยเวลา ๒ เดือน จึงเสด็จหลีกจาริกไปโดยไม่รีบด่วน ฝ่ายพระเถระคิดว่า จักกราบทูลความที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกมาแล้วแก่พระเจ้าสุทโธทนะ จึงเหาะขึ้นสู่อากาศไปปรากฏในพระราชนิเวศน์ของพระเจ้าสุทโธทนะ พระราชาทรงเห็นอุทายีอำมาตย์ในเพศสมณะที่ไม่เคยทรงเห็นมาก่อน จึงทรงจำไม่ได้แล้วจึง ตรัสถามว่า ท่านเป็นใคร ? พระเถระตอบว่า ถ้าพระองค์จำอาตมภาพผู้เป็น บุตรอำมาตย์ที่พระองค์ส่งไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ได้ไซร้ ขอพระองค์ จงทรงรู้อย่างนี้เถิด ดังนี้ จึงกล่าวคาถาสุดท้ายว่า
อาตมภาพ เป็นบุตรของพระพุทธเจ้า ผู้ไม่มีสิ่งใดย่ำยีได้ มีพระรัศมีแผ่ซ่านจากพระกาย ไม่มีผู้เปรียบปาน ผู้คงที่ ดูก่อนมหาบพิตร พระองค์เป็นพระบิดาของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นพระบิดาแห่งอาตมภาพ ดูก่อนมหาบพิตร พระองค์เป็นพระอัยการของอาตมภาพโดยธรรม
พระราชาเมื่อทรงจำพระเถระได้แล้วทรงดีพระทัย นิมนต์ให้นั่งบนบัลลังก์อันมีค่ายิ่ง ทรงถวายบาตรบรรจุให้เต็มด้วยโภชนะมีรสเลิศต่างๆ ที่เขาจัดเตรียมไว้แก่พระเถระ พระเถระลุกขึ้นแสดงอาการจะไป พระราชาตรัสนิมนต์ให้นั่งฉันยังที่ที่จัดไว้ พระเถระทูลว่าจะไปฉันยังสำนักของพระศาสดา พระราชาตรัสถามถึงที่อยู่ของพระศาสดา พระอุทายีเถระทูลว่าขณะนี้พระศาสดามีภิกษุ ๒ หมื่นเป็นบริวาร เสด็จออกจาริกเพื่อจะเห็นพระองค์ พระเจ้าสุทโธทนะทรงดีพระทัยตรัสว่า ท่านฉันภัตตาหารนี้แล้วจงนำบิณฑบาตจากพระราชนิเวศน์นี้ไปถวายพระโอรสนั้น จนกว่าพระโอรสของเราจะถึงพระนครนี้ พระเถระรับแล้ว พระราชาอังคาสพระเถระ พระเถระกระทำภัตกิจเสร็จแล้ว บอกธรรมถวายแด่พระราชา และบริษัท ก็ทำคนในพระราชนิเวศน์ทั้งหมดให้เลื่อมใสในพระรัตนตรัย ครั้นแล้วพระเจ้าสุทโธทนะก็ตรัสให้อบบาตรด้วยจุณหอม บรรจุเต็มด้วยโภชนะอันอุดม แล้ววางไว้ที่มือของพระเถระ โดยตรัสว่า ท่านจงถวายพระตถาคต พระเถระก็ได้แสดงฤทธิ์ท่ามกลางชนชาววังทั้งปวง โดยได้โยนบาตรขึ้นไปบนอากาศ ส่วนตนเองก็เหาะขึ้นสู่เวหาสนำบิณฑบาตไปวางเฉพระที่พระหัตถ์ของพระศาสดาโดย ตรง พระศาสดาเสวยบิณฑบาตนั้น พระเถระได้นำบิณฑบาตมาถวายพระบรมศาสดาทุกวันๆ โดยลักษณะเช่นนี้ แม้พระศาสดาก็เสวยบิณฑบาตเฉพาะของพระเจ้าสุทโธทนะเท่านั้น ฝ่ายพระเถระในเวลาเสร็จภัตกิจทุกวัน ได้ทูลพระราชาว่าวันนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาสิ้นระยะทางมีประมาณเท่า นี้ วันนี้เสด็จมาสิ้นระยะทางมีประมาณเท่านี้ และได้ปลูกความเชื่อในพระผู้มีพระภาคเจ้าให้เกิดขึ้น แก่เจ้าศากยะทั้งหลาย ด้วยกถาปฏิสังยุตด้วยพุทธคุณ การที่พระเถระได้กระทำราชสกุลทั้งสิ้นให้มีความเลื่อมใสเกิดขึ้นในพระศาสดา ด้วยธรรมีกถาอันสัมปยุตด้วยพุทธคุณ ด้วยเหตุนั้นแหละ พระศาสดาจึงสถาปนาพระอุทายีเถระนั้นไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายพระกาฬุทายีนั้นเป็นเลิศกว่าพระสาวกทั้งหลายของเราผู้ ยังตระกูลให้เลื่อมใส
๐ เกิดร่วมสมัยกับพระโพธิสัตว์
ท่านได้เกิดร่วมชาติกับพระโพธิสัตว์อยู่หลายชาติ ดังที่ปรากฏในชาดกต่างๆ เช่น เกิดเป็น เป็นท้าวสักกะ พระพุทธองค์เสวยพระชาติ ร่วมกับพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ พระกัสสปะ พระอนุรุทธะ พระปุณณะ และพระอานนท์ เป็น ๗ พี่น้อง ใน ภิสชาดก
เกิดเป็นพระเจ้าวิเทหราช พระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็นมโหสถบัณฑิต ใน มโหสถบัณฑิตชาดก
ความสำคัญในพระพุทธศาสนา พระกาฬุทายีเถระจัดเป็น 1 ใน 40 เอตทัคคะในด้าน ผู้ยังสกุลที่ยังไม่เลื่อมใสให้เลื่อมใส เป็นผู้มีส่วนสำคัญในการช่วยพระพุทธเจ้าเผยแพร่พระพุทธศาสนาในช่วงต้นพุทธกาล
บั้นปลายชีวิต ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาไม่ระบุว่าท่านดับขันธปรินิพพานเมื่อใดและที่ใด แต่ท่านคงดำรงขันธ์อยู่พอสมควรแก่กาลจึงปรินิพพาน

คัดลอกมาจาก ::
http://www.dharma-gateway.com/
http://www.manager.co.th/Dhamma/

ผี(ตาโขน)ออกอาละวาด ในงานบุญหลวง จ.เลย

อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเลย ขอเชิญนักท่องเที่ยวร่วมงาน “งานประเพณีบุญหลวง และการละเล่นผีตาโขน” ในวันที่ 1-3 กรกฎาคม 2554 ณ วัดโพนชัย และบริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย

นางอัจฉพรรณ บุญเจริญ ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานเลย กล่าวว่า งานประเพณีบุญหลวงเป็นประเพณีที่รวมเอา “งานบุญพระเวส” ( ฮีตเดือนสี่ ) และ “งานบุญบั้งไฟ” (ฮีตเดือนหก) เข้าไว้เป็นงานบุญเดียวกัน ในงานบุญหลวงนี้จะมีขบวนแห่ที่สร้างสีสันตื่นตาและจังหวะเร้าใจของ “ผีตาโขน” หรือ “ผีตามคน” มาช่วยสร้างความสนุกสนานครื้นเครงในขบวนแห่ด้วย

การละเล่นผีตาโขนถือเป็นการแสดงออกถึงศิลปวัฒนธรรมอันดีงามน่าภาคภูมิใจอย่างหนึ่งของชาวอำเภอด่านซ้าย โดยได้ยึดถือปฎิบัติสืบทอดกันมาตั้งแต่ครั้งบรรพกาล ด้วยความเชื่อว่าเมื่อครั้งพระเจ้ากรุงสัญชัยกับพระนางผุสดีไปเชิญพระเวสสันดรและพระนางมัทรีกลับเมือง ขบวนแห่แหนเข้าเมืองนั้นมีคนป่าหรือผีป่าที่เคยปรนนิบัติและเคารพรักพระเวสสันดรร่วมขบวนมาส่งด้วย ต่อมาคนอีสานจึงนิยมเล่นผีตาโขนกันในงานบุญบั้งไฟและงานบุญผะเหวด (พระเวส)

การแต่งตัวเป็นผีตาโขนนั้น มีจุดเด่นตรงที่หน้ากากผีตาโขนซึ่งทำจากส่วนที่เป็นโคนของก้านมะพร้าวและหวดนึ่งข้าวเหนียว โดยนำมาเย็บติดกันแล้วเขียนหน้าตาและจมูกให้ดูน่ากลัวเหมือนผี ส่วนชุดแต่งกายของผีมักมีสีฉูดฉาดบาดตา โดยอาจเย็บเศษผ้าเป็นเสื้อตัวกางเกงตัวหรือเย็บเป็นชุดติดกันตลอดตัวก็ได้ ข้อสำคัญคือต้องคลุมร่างกายให้มิดชิด

ส่วนเครื่องแต่งตัวประกอบที่เป็นเอกลักษณ์ของผีตาโขนคือหมากกะแหล่งและดาบไม้ หมากกะแหล่งคือเครื่องดนตรีรูปร่างคล้ายกระดิ่งหรือกระดึงแขวนคอวัว ผีตาโขนจะใช้หมากกะแหล่งแขวนติดบั้นเอว เมื่อเดินโยกตัวหรือเต้นเป็นจังหวะหมากกะแหล่งก็จะส่งเสียงน่าฟังและน่าสนุกสนาน ส่วนดาบไม้นั้นปลายดาบแกะสลักเป็นรูปอวัยวะเพศชายแถมทาสีแดงให้เห็นอย่างเด่นชัด ใช้เป็นอาวุธประจำกายผีตาโขนที่เอาไว้ควงหยอกล้อสาวๆ ซึ่งไม่ถือเป็นเรื่องหยาบหรือลามก และไม่มีใครถือสาเพราะเป็นประเพณีที่ปฏิบัติกันมา และมีความเชื่อกันว่าหากเล่นตลกและนำอวัยวะเพศชายหญิงมาเล่นมาโชว์ในพิธีแห่และงานบุญบั้งไฟจะทำให้พญาแถนพอใจ ฝนจะตกต้องตามฤดูกาล พืชพันธุ์ธัญญาหารจะอุดมสมบูรณ์

สำหรับงานประเพณีบุญหลวง และการละเล่นผีตาโขนประจำปี 2554 นี้ ภายในงานมีพิธีกรรมที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ได้แก่ พิธีเบิกพระอุปคุต พิธีบายศรีสู่ขวัญเจ้าพ่อกวน-เจ้าแม่นางเทียม ขบวนรถเทิดพระเกียรติ เนื่องในโอกาสเฉลิม-ฉลอง 84 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขบวนแห่ผีตาโขน ขบวนแห่เจ้าพ่อกวน-เจ้าแม่นางเทียม และคณะพ่อแสน พิธีบายศรีสู่ขวัญพระเวส ขบวนพิธีอัญเชิญพระเวสสันดรเข้าเมือง พิธีจุดบั้งไฟบูชาพญาแถน พิธีทิ้งหน้ากากผีตาโขน พิธีเทศน์มหาชาติ 13 กัณฑ์ ขบวนแห่กัณฑ์หลอนของหมู่บ้านต่างๆ พร้อมด้วยการแสดงบนเวทีที่ยิ่งใหญ่ อีกทั้งททท. สำนักงานเลย ยังได้จัดแสดงนิทรรศการให้ความรู้เรื่องหน้ากากนานาชาติต่างๆ ได้แก่ ไทย จีน อินโดนีเซีย ลาว เกาหลี ญี่ปุ่น และเวียดนาม พร้อมการสาธิตการทำหน้ากาก จากผู้แทนเมืองอันดง ประเทศเกาหลีอีกด้วย

ผู้ที่สนใจร่วมงานสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ อำเภอด่านซ้าย 0 4289 1266 สำนักงานวัฒนธรรมอำเภอด่านซ้าย 08 3145 3080 ฝ่ายประชาสัมพันธ์ (สวท.ด่านซ้าย) 0 4289 1168, 0 4289 1238 เทศบาลตำบลด่านซ้าย โทรศัพท์ 0 4289 1231 และททท. สำนักงานเลย โทร. 0 4281 2812, 0 4281 1405 และ e-mail : tatloei@tat.or.th

และเนื่องในเทศกาลผีตาโขน ทางโรงแรมเลยพาเลซ ใจกลางจังหวัดเลย ได้ออกแพ็คเกจพิเศษรับเทศกาลผีตาโขนด้วยที่พักห้องซูพีเรีย 3 วัน 2 คืน พร้อมอาหารเช้าสำหรับสองท่าน รถรับส่งไป-กลับ อ.ด่านซ้าย เพื่อให้ได้สัมผัสประเพณีกับผีตาโขน ในราคาเริ่มต้นที่ 3,499 บาท ซึ่งผู้สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-4281-5668 –73 หรือดูที่
http://oamhotels.com/loeipalace/