Theขี้ฝุ่นริมทาง
วันเสาร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2549
เทคนิคการปรับปรุงบำรุงดินให้พืชผักงาม ลดการใช้ปุ๋ยและสารเคมี : นายขันติ หนูแดง
เป็นความโชคดีของคนกรุงเทพฯ และผู้บริโภคบริเวณใกล้เคียงที่ได้บริโภคผักสดปลอดสารพิษชนิดต่างๆ ตามฤดูกาลที่ปลูกจากไร่นาของ นายขันติ หมูแดง หมอดินอาสาที่มีใจมุ่งมั่นเจ้ารับการอบรมในการปรับปรุงบำรุงดินของตัวเองตามแนวทางการส่งเสริมการพัฒนาที่ดินจากสถานีพัฒนาที่ดินลพบุรี
เริ่มต้นการปลูกผักโดยพัฒนาดินรอบแรกด้วยการไถพรวนให้ลึกประมาณ 10 เซนติเมตร จัดการดินให้ร่วนซุยมากที่สุดแล้วหว่านปุ๋ยหมักที่ผลิตจากสารเร่ง พด.1 ของกรมพัฒนาที่ดินเพื่อเพิ่มจุลินทรีย์ให้กับดินประมาณไร่ละ 1 ต้น และหว่านเมล็ดปุ๋ยพืชสด (ปอเทือง) โดนหว่านให้กระจายทั่วแปลงด้วยอัตราเมล็ดพันธุ์ 8 กิโลกรัมต่อไร่ ให้น้ำทุกวัน
เมื่อปอเทืองออกดอกก็ไถกลบต้นลงดินและให้น้ำทุกวันเป็นเวลา 6 วัน หลังจากนั้นไถครั้งที่ 2 เพื่อช่วยให้มรการย่อยสลายได้ดีขึ้น ทิ้งไว้ 15 วัน จึงเริ่มปลูกพืชผักได้
การปลูกผักนอกจากจะต้องมีการจัดการดินที่ดีแล้ว หลักของการปลูกคือ ให้มีผลผลิตออกไล่เรียงอายุการเก็บเกี่ยวเป็นรุ่นๆไป และต้องให้มีพื้นที่เหลือให้วัชพืชขึ้นบ้างเพื่อให้แมลงศัตรูพืชได้อพยพไปอาศัยอยู่ในช่วงเวลาที่ไถกลบซากต้นผัก มิฉะนั้นแล้วแมลงศัตรูพืชจะไม่มีที่อาศัยและอาหาร ทำให้ต้องเข้าทำลายกัดกินพืชผักที่ปลูกไว้แทน
ในฤดูหนาว เริ่มต้นการปลูกพืชผักด้วยผักที่ชอบอากาศเย็นทุกชนิด เช่น กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก มะเขือเทศ
ส่วนในฤดูร้อน บริเวณหน้าดินจะมีอุณหภูมิสูงมาก หากหว่านเมล็ดผักในช่วงนี้เลยจะทำให้เมล็ดที่งอกถูกอากาศร้อนก็จะเหี่ยวเฉา จึงได้ปลูกปอเทืองไว้เป็นแถวเพื่อพรางแสง โดยหว่านห่างกันแถวละ 50 เซนติเมตร แล้วหว่านเมล็ดผักในระหว่างแถวของปอเทืองแทนเมื่อผักที่ปลูกไว้โตขึ้นก็ให้ตัดต้นปอเทืองทิ้งนำมาคลุมหน้าดินโดยไม่ต้องไถพรวน
ในฤดูฝน ความร้อนนั้นลดลงเนื่องจากความชื้นในอากาศมีมากแต่พระอาทิตย์อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรหรือพื้นที่ประเทศไทยมากที่สุดในช่วงเดือนกรกฏาคมถึงเดือนสิงหาคม ทำให้แดดหลังฝนตกนั้นร้อนมากและฝนที่ตกในช่วงนี้เป็นฝนเม็ดใหญ่ตามฤดูมรสุม ทำให้เม็ดฝนกระแทกใบผักรุนแรงมากที่สุด การปลูกผักในช่วงนี้ถ้าเป็นผักใบ ใบจะช้ำ และเมื่อใบสัมผัสกับผิวดิน จะทำให้ใบเป็นโรคเน่าได้ง่าย ดังนั้นจึงต้องปลูกพืชคลุมดินด้วยต้นปอเทืองเพื่อไม่ให้ใบผักสัมผัสกับดิน
การจัดการอีกวิธีโดยไม่ต้องใช้ปุ๋ยหมักก็คือ การปลูกพืชตระกูลถั่วก่อนการเก็บเกี่ยวผัก โดยให้เริ่มโรยเมล็ดปอเทืองเป็นแถวในที่ว่างๆ ระยะห่างประมาณ 60 เซนติเมตรระหว่างแถวผัก เมื่อเก็บเกี่ยวซากต้นผักแล้วประมาณ ระยะเวลาให้พอดีกับที่ปอเทืองจะออกดอก แล้วไถกลบเป็นพืชบำรุงดินต่อไป และในการรดน้ำให้ผสมน้ำหมักชีวภาพที่ผลิตจากสารเร่ง พด.2 ของกรมพัฒนาที่ดินด้วยทุกครั้งจะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตได้
นายขันติ หนูแดง
หมอดินอาสาประจำตำบลหนองแขม
19 หมู่ 8 ต.หนองแขม อ.โคกสำโรง จ.ลพบุรี
จากหนังสือ “ภูมิปัญญาเกษตรอินทรีย์ตามวิถีชีวิตเศรษฐกิจพอเพียง”
จัดทำโดย กรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กันยายน 2549
วันจันทร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2549
การสอนทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อการเรียนในระดับมหาวิทยาลัย
ศูนย์ภาษา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
ใน ประเทศไทยการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเป็นการสอนในฐานะภาษาต่างประเทศ ฉะนั้น ทักษะที่นักศึกษาไทยมีโอกาสใช้งานมากที่สุด และมีโอกาสฝึกฝนได้ด้วยตนเองมากที่สุด คือ ทักษะการอ่าน แต่อย่างไรก็ตามนักศึกษาไทยยังคงมีปัญหาเรื่องของการใช้ทักษะการอ่านเพื่อ ความเข้าใจอยู่ ผู้วิจัยจึงได้ทำการศึกษาโดยใช้วิธีการสอนทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจ เพื่อช่วยในการเรียนภาษาอังกฤษในระดับอุดมศึกษา และเพื่อส่งเสริมให้นักศึกษาเกิดเจตคติที่ดีต่อการอ่านภาษาอังกฤษ
กล ุ่ม ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ที่เรียนวิชาการอ่านภาษาอังกฤษทั่วไป (1550103) ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2548 จำนวน 33 คน โดยนักศึกษาได้รับการฝึกการใช้กระบวนการอ่านเพื่อความเข้าใจแบบ เอส คิว ไฟว์ อาร์ เป็นเวลา 10 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย 1) แบบสอบถามประเภทและความถี่ในการใช้กลวิธีการอ่าน 2) แบบสอบถามความคิดเห็นของนักศึกษาต่อการพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจของนักศึกษาเอง 3) สมุดบันทึกของนักศึกษา และ 4) การสัมภาษณ์
ผลการวิจัย พบว่า 1) นักศึกษามีการใช้กลวิธีการอ่าน ประเภทต่างๆในกระบวนการเอส คิว ไฟว์ อาร์ เพิ่มขึ้น ซึ่งความถี่ของกลวิธีการอ่านทุกๆประเภท อยู่ในระดับการใช้เป็นบางครั้งจนถึงใช้เป็นประจำหรือเกือบเป็นประจำ 2) นักศึกษาคิดเห็นว่า ความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของตนเองพัฒนาขึ้นในระดับ ที่น่าพึงพอใจ 3) นักศึกษามีเจตคติที่ดีต่อการสอนการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ
จาก การประชุมสัมมนาเชิงวิชาการ ครั้งที่ 1
วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การศึกษา และภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
1-3 พฤศจิกายน 2549
ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
The 1st Conference Science, Technology, Education and Local Wisdom for Sustainable Development
1-3 November 2006
Udonthani Rajabhat University
วันอาทิตย์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2549
กินเพื่อสุขภาพ : เรื่องของคนกลัวไข่
มีโปรตีน ซึ่งช่วยทำให้ร่างกายเจริญเติบโต และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ แต่
มันน่าประหลาดใจว่า บางคนกลัวไข่!
โดยปรกติแล้ว นักโภชนาการจะไม่แนะนำให้คนสูงอายุ ซึ่งจัดว่าเป็นวัย
ที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายรับประทานไข่ เพราะแม้ว่าจะมีโปรตีนสูง แต่ไข่ก็มี
โคเลสเตอรอลสูงมากด้วย ซึ่งจะทำให้เกิดอาการไขมันอุดตันในเส้นเลือดตาม
มาหรือถ้าคนปรกติทานมากกว่าระดับที่เหมาะสมก็อาจทำให้เป็นโรคหัวใจ
หรือโรคอ้วนได้ อย่างไรก็ตาม มีคนบางประเภทที่ห่วงใยในสุขภาพ และระมัดระวังกับ
การเลือกรับประทานอาหารจัดให้ไข่อยู่ในประเภทอาหารต้องห้าม หรือถ้า
จะทานก็ไม่ทานไข่แดง โดยทานแต่ไข่ขาวซึ่งมีโคเลสเตอรอล ต่ำกว่าอย่างนี้
คงไม่ดีแน่...
แม้ว่าจะมีอาหารอื่นที่ให้โปรตีน แต่อาหารแต่ละชนิด จะมีปริมาณสารโปรตีน
ไม่เท่ากัน นอกจากนี้ไข่ยังเป็นแหล่งวิตามินเอ และวิตามินอี ที่สำคัญทุก ๆ
เซลล์ในร่างกายต้องการโคเลสเตอรอล เพื่อนำไปใช้ประโยชน์
สถาบันวิชาการต่างประเทศวิจัยมาแล้วว่า สำหรับคนปรกติที่แข็งแรงดี
คือ ไม่ได้เป็นโรคหัวใจ หรือมีระดับโคเลสเตอรอลสูงมาก จนต้องควบคุม
อาหารที่รับประทานอย่างเคร่งครัดแล้ว การรับ-ประทานไข่วันละ 1 ฟอง
ไม่ ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคข้างต้นมากขึ้น
ที่สำคัญเราควรให้ความสนใจที่ไขมันทั้งหมดที่รับประทานต่อวัน
มากกว่าที่จะสนใจว่าวันนี้ทานไข่ไปกี่ฟอง เพราะผู้ร้ายตัวจริงคือไขมันอิ่มตัว ไม่ใช่
อาหารที่มีโคเลสเตอรอลประเภทใด ประเภทหนึ่ง
กินเพื่อสุขภาพ : เบต้าแคโรทีน
ว่าผักบุ้งมีวิตามินเอ ซึ่งเป็นวิตามินที่จำเป็นที่สุดสำหรับหน้าต่างของ หัวใจเลยทีเดียว
นอกจากนี้ การวิจัยทางโภชนาการหลายสำนักบอกว่า การกินอาหาร ที่
มีวิตามินเอมากๆ ช่วยลดอัตราเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งได้ อาหารที่เป็นแหล่ง
วิตามินเอมีอยู่สองประเภท อย่างแรกคือ เรตินอล ที่พบในอาหาร จำพวก
สัตว์ และอีกประเภทคือ เบต้าแคโรทีน ซึ่งพบในพืช
แหล่งวิตามินเอที่ได้จากสัตว์ เป็นวิตามินเอบริสุทธิ์ ซึ่งจะดูดซึมได้เร็ว
ส่วนเบต้าแคโรทีน ต้องผ่านกระบวนการในร่างกาย ถึงจะเปลี่ยนไปเป็น
วิตามินเอได้ แต่การศึกษาต่อมาพบว่า เบต้าแคโรท ีนต่างหากที่ช่วยลดอัตราเสี่ยง
ต่อการเป็นมะเร็ง ไม่ใช่วิตามินเอที่สกัดจากสัตว์
ผักผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีน จะเป็นพวกที่มีสีเขียวเข้ม สีเหลืองหรือส้ม
แต่ที่สีสันน่ารับประทานที่สุด เห็นจะเป็นแครอท นอกจากดูน่าทานแล้ว ยัง
มีเบต้าแคโรทีนเพียบ แถมด้วยวิตามินเอ ไฟเบอร์ และโปแตสเซียม
แครอทสด ๆ มีเบต้าแคโรทีนมากที่สุด แต่ที่จริงแครอทสุกให้ วิตามินเอมากกว่า
เพราะความร้อนจะช่วยทำลายเซลล์ผนังแข็ง ๆ ซึ่งขัดขวางการดูดซึมวิตามินเอของร่างกาย
ถ้าจะให้ดี เวลาจะทานแครอท ก็ใช้ความร้อนแต่น้อย จะได้มีสารอาหาร
พร้อมทั้งวิตามินเอ และเบต้าแคโรทีน ถ้าต้มก็ใช้น้ำให้น้อยที่สุดเท่าที่เป็นไป
ได้ เนื่องจากสารอาหารบางอย่างจะถูกชะล้างไประหว่างการประกอบอาหาร
กินเพื่อสุขภาพ : น้ำตาล...ไม่หวานอย่างที่คิด
ความจริง แต่ที่แน่ๆ ทานน้ำตาลมากๆ เอวจะหายไปไม่รู้ตัว
รู้กันหรือเปล่าว่า สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในการควบคุมน้ำหนักไม่ใช่ไขมัน แต่
เป็นน้ำตาล! ต่อให้ระมัดระวังควบคุมไขมันมากขนาดไหน แต่ถ้ายังเติมน้ำ
ตาลไม่ยั้งล่ะก็ ... เสร็จแน่
พูดไปอาจจะไม่เชื่อ พวกอาหารไขมันต่ำ หรือไม่มีไขมัน ก็ทำให้คุณ
อ้วนได้ถ้ามีน้ำตาลฟรุกโตส อยู่ในปริมาณมาก เพราะร่างกายเราดูดซึม
อาหารพวกนี้ได้เร็ว ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ตามกลไกร่าง
กายแล้ว ตับอ่อนจะผลิตอินซูลินออกมาเพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือด
แต่ความจริงที่โหดร้ายก็คือ ถ้าเราไม่ได้ใช้ พลังงานมากพอ น้ำตาลก็จะถูก
เปลี่ยนไปเป็นไขมันสะสมไว้ในร่างกาย
อาหารรสหวาน ทำให้ชีวิตมีรสชาติ ทำให้รู้สึกสดชื่นกระชุ่มกระชวย
แต่การทานน้ำตาลมากเกินไปน่าจะเป็นโทษมากกว่าเป็น ประโยชน์ เพราะน้ำ
ตาลฟอก ถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดได้ง�าย พอระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น
อย่างรวดเร็ว อวัยวะที่จะต้องหัวหมุนก็คือตับอ่อน ที่จะต้องทำงานหนัก
ทางออกที่ดีที่สุดคือลดความหวานลงหน่อย ถ้าเลิกไม่ได้ก็เปลี่ยนมากิน
น�ำตาลแบบที่ยังไม่สกัดแทน เพราะผักหรือผลไม้ที่มีรสหวาน จะมีไฟเบอร์
น้ำ และแร่ธาตุอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ และมีกากอาหารที่ร่างกาย ไม่สามารถ
ดูดซึมได้ทั้งหมด
ถ้าเป็นไปได้ ลองเลิกทานน้ำตาลสัก 2-3 วันจะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น โดย
เฉพาะสำหรับบางคนที่มักจะทานน้ำตาลในปริมาณมาก อาจจะรู้สึก
หงุดหงิดสักหน่อย แต่เชื่อเถอะ ยิ่งเลิกยากเท่าไหร่ เวลาเลิกได้จะยิ่งรู้สึกดีมากขึ้น
เท่านั้น
วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549
ปลูกหญ้าแฝกในสวนพริกไทย แก้จนได้ : นายบุญชัย กิ่งมณี
แนวทางการปฏิบัติดังกล่าว ทำให้ นายบุญชัย กิ่งมณี สังเกตว่า การที่ทำให้ดินเปลือยไม่มีหญ้าหรือวัสดุมาปกคลุมดิน และการที่เกษตรกรได้กวาดใบของพริกไทยออกไปทิ้งแล้วซื้อปุ๋ยเคมีมาใส่ทุกปีอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผิวดินด้านบนมีความกระด้างเป็น “ดินดาน” ดินขาดอินทรียวัตถุอย่างรุนแรง เมื่อรด น้ำ น้ำไม่สามารถซึมลงไปด้านล่างได้ นานวันเข้าผิวหน้าดินจะแน่นทึบและแข็ง และจะทำให้พริกไทยเป็นโรครากเน่าตายได้ง่าย จึงได้คิดค้นวิธีการที่ทำให้ราก พริกไทยไม่เน่าโดยการปลูกหญ้าแฝกรอบๆหลุมพริกไทย ก่อนที่จะทำพริกไทยมาปลูก ทั้งนี้เพื่อให้จุลินทรีย์ไตรโคเดอมา ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในบริเวณ รากของหญ้าแฝกได้เจริญและอาศัยอยู่ในดิน และจุลินทรีย์ ไตรโคเดอมาเป็นจุลินทรีย์ชนิดหนึ่งที่สามารถใช้ควบคุมการเจริญเติบโตของเชื้อไฟท็อป- โทร่า ซึ่งเป็นสาเหตุของโรครากเน่าขอวงพริกไทยได้
ในบริเวณสวนพริกไทย ได้มีวิธีการจัดการเสียใหม่โดยการปรับปรุงบำรุงดินด้วยปุ๋ยอินทรีย์บำรุงดินไม่ให้ขาดอินทรีย์วัตถุ ไม่กวาดใบพริกไทยทิ้ง หากแต่ปล่อยไว้ให้เป็นอินทรีย์วัตถุและปกคลุมดิน ปลูกหญ้าแฝกแซมบริเวณร่องสวนเป็นระยะและตัดใบหญ้าแฝกคลุมดินไม่ให้ดินเปลือย และใช้ปุ๋ยชีวภาพซึ่งผลิตเองร่วมกับการใช้ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ และปุ๋ยคอกในการปรับปรุงบำรุงดิน
ปัจจุบัน นายบุญชัยเป็นหมอดินอาสาประจำหมู่บ้าน และเป็นประธานกลุ่มสาธิตเศรษฐกิจชุมชน (ผลิตพริกไทย) ตำบลรำพัน อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี ปลูกพริกไทยที่เก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วประมาณ 6 ไร่ และกำลังขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มขึ้นอีกโดยจะเริ่มปรับปรุงบำรุงดินด้วยการปลูกถั่วพร้าและใช้ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ จากสารเร่ง พด.2 ของกรมพัฒนาที่ดินและปลูก “หญ้าแฝก” รอบๆหลุมพริกไทยก่อนที่จะมีการปลูกพริกไทยเพื่อป้องกันโรครากเน่าของพริกไทย มีรายได้หลักจาการขายพริกไทยปีละประมาณ 200,000 บาท
นายบุญชัย กิ่งมณี หมอดินอาสาประจำหมู่บ้าน
25/2 หมู่ 7 ตำบลรำพัน อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี
จากหนังสือ “ภูมิปัญญาเกษตรอินทรีย์ตามวิถีชีวิตเศรษฐกิจพอเพียง”
จัดทำโดย กรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กันยายน 2549
สวรรค์บนดิน....สวรรค์(ในสวน) ของคนเดินดินที่บุรีรัมย์ : นายคำเดื่อง ภาษี
พ่อคำเดื่อง ภาษี ปราชญ์ชาวบ้านแห่งจังหวัดบุรีรัมย์ เป็นผู้คิดค้นวิธีการเก็บกักน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งโดยอาศัยความจำกัดของธรรมชาติ กล่าวคือ ในฤดูน้ำท่วมจะมีเศษวัชพืช เช่น จอกลอยตามน้ำมา การนำจอกที่ถูกน้ำพัดพามา กองรวมกันตามโคนต้นไม้ ทำให้ในช่วงฤดูแล้งซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ขาดแคลนน้ำ และต้องใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพหรือประหยัด เมื่อนำน้ำไปรดลงบริเวณโคนต้นไม้ที่ถูกคลุมด้วยจอก รดเพียงแค่พอเปียกก็สามารถรักษาความชุ่มชื้นไว้ได้นานหลายวันเป็นการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัด
นอกจากนี้ความคิดยังขยายออกไปถึงการวางแผนว่าทำอย่างไรจึงจะมีอาหารรับประทานอย่างอุดมสมบูรณ์ทุกวันได้ตลอดปีโดยไม่มีอด โดยการวางแผนการออกแบบแปลงเกษตรเสียใหม่ ให้หยิบใช้ง่ายและตอบสนองความต้องการอาหารในแต่ละวัน ในแต่ละช่วงฤดูกาลที่มีความแตกต่างกันอีกด้วย
วิธีการก็คือ คิดและวางแผนว่า ตัวเองชอบทานอะไร ก็จะปลูกสิ่งนั้น และทำความรู้จัก กับพืชทุกต้นที่ปลูกทุกต้นอย่างชนิดที่เรียกว่า “รู้จริง” กล่าวคือ เมื่อเป็นพืชสวนครัวก็ต้องรู้ว่า พืชชนิดนั้นใช้ประโยชน์อย่างไร ต้องการน้ำมากน้อยแค่ไหน ต้องปลูกอย่างไร ไว้ที่ไหนโดยไม่ต้องอาศัยน้ำมาก
ส่วนไม้ดอกชนิดใดปลูกอย่างไรชอบแสงแดดหรือไม่ชอบ เจ้าของชอบไม้ดอกสีอะไร ดอกจะออกในช่วงไหน ดอกมีกลิ่นหอมหรือไม่ และลมในแต่ละฤดูกาลพัดจากทิศไหนไปทิศไหน และต้องพัดผ่านดอกไม้ชนิดใด และต้องปลูกไม้ขนาดใหญ่เพื่อให้อาศัยเป็นร่มเงาในยามที่แดดร้อนจัดอีกด้วย
เมื่อเป็นไม้ผล ก็ต้องเลือกปลูกที่เจ้าของรู้จักชอบรับประทานและจัดวางแผนการปลูกให้เหมาะสมกับพื้นที่
จากการจัดการในเรื่องน้ำและการจัดการแปลงเกษตรตามแบบผสมผสาน รวมทั้งการเลี้ยงปลา ทำให้มีอาหารรับประทานอย่างต่อเนื่องตลอดฤดูกาลไม่อดอยากและมีพื้นที่เขียวชอุ่มตลอดปี โดยที่ไม่ต้องอาศัยน้ำมาก หากแต่ต้องจัดวางระบบให้เหมาะสม เริ่มต้นที่ความคิดแล้วลงมือปฏิบัติและเมื่อเวลาผ่านไป หากเห็นว่าบางสิ่งบางอย่างยังถูกจัดวางไม่เหมาะสมก็ค่อยๆเปลี่ยนแปลงแก้ไขไปทีละเล็กละน้อย อาศัยเวลาและความรู้และประสบการณ์ที่ได้ รู้จัก กับ ต้นไม้แต่ละชนิด และข้อจำกัดของธรรมชาติ เมื่อเวลาผ่านไป
นายคำเดื่อง ภาษี
ครูภูมิปัญญาชาวบ้าน ผลงานระดับดีเด่นแห่งชาติหลายรางวัล
40 หมู่ 8 บ้านโนนเขวา ต.หัวฝาย
กิ่ง อ.แคนดง จ.บุรีรัมย์
จากหนังสือ “ภูมิปัญญาเกษตรอินทรีย์ตามวิถีชีวิตเศรษฐกิจพอเพียง”
จัดทำโดย กรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กันยายน 2549
วันศุกร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549
กินเนื้อเป็นภัยกระดูกผู้หญิงแก่
ศาสตราจารย์ วิชาโรคกระดูกกล่าววิจารณ์ว่า ตัวการใหญ่ของเนื้อสัตว์ที่บ่อนทำลายกระดูก อาจเป็นปริมาณของกรดที่รบกวนสุขภาพของกระดูก พืชผักแม้จะมีกรดเหมือนกัน แต่มันมีสารทไบคาร์บอเนต ที่ช่วยล้างฤทธิ์กรดลง "ร่างกายของเรา คอยระวังรักษาปริมาณกรดเอาไว้ โดยไตจะช่วยปรับด้วยการขับกรดออกทิ้งทางปัสสาวะ แต่เมื่อเราแก่ลง ไตก็อ่อนแรงในการทำงานไปด้วย"
วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549
กินผงชูรสมากระวังป่วยเป็นโรคภัตตาคารจีน
บริโภคปริมาณ มากเกินไปมีโอกาสที่จะเกิดอาการแพ้ หรือป่วยเป็น
"โรคภัตตาคารจีน" ได้ ย้ำผงชูรสไม่ใช่สิ่งจำเป็นต่อร่างกายมนุษย์ แถมยังมี
อันตรายต่อสุขภาพหากบริโภคผงชูรสปลอม โดยเฉพาะหญิงมีครรภ์ควร
หลีกเลี่ยงอย่างเด็ดขาดเพราะอาจส่งผลให้ลูกที่เกิดมามีอาการผิดปกติทางสมอง
น.พ.มานิต ธีระตันติกานนท์ รองอธิบดีกรมอนามัย
เปิดเผยว่า ปัจจุบัน อาหารที่ขายหรือการทำอาหารรับประทานเอง ยังนิยมที่จะใส่ผงชูรสใน
ปริมาณที่มาก โดยเชื่อว่าจะช่วยเพิ่มรสชาติอาหารให้อร่อย แต่ไม่ได้คำนึงถึง
อันตรายที่จะเกิดขึ้นตามมา
ทั้งนี้ ในความเป็นจริงนั้น ผงชูรสนับสารเคมีที่ละลายไขมันให้ผสมกลม
กลืนกับน้ำ ทำให้มีรสเหมือนน้ำต้มเนื้อและกระตุ้นปุ่มปลายประสาทของลิ้น
กับคอ ทำให้อาหารมีรสหวานอร่อย แต่หากบริโภคมากเกินไปอาจก่อให้เกิด
อันตรายต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนได้
โดยเฉพาะอาการแพ้ผงชูรสที่เรียกว่าไชนีสเรสเตอรองท์ ซินโดรม หรือรู้
จักกันในชื่อของ "โรคภัตตาคารจีน" ซึ่งจะปรากฏอาการชาที่ปาก ลิ้น ปวด
กล้ามเนื้อ บริเวณโหนกแก้ม ต้นคอ หน้าอกหัวใจเต้นช้าลง หายใจไม่
สะดวก ปวดท้องคลื่นไส้ อาเจียน กระหายน้ำ
นอกจากนี้ บริเวณผิวหนังบางส่วน อาจมีผื่นแดง เนื่องจากเส้นเลือด
รอบนอกบางส่วนขยายตัว และในผู้ที่มีอาการมากๆ จะชาบริเวณใบหน้า หู
วิงเวียน หัวใจเต้นเร็ว จนอาจเป็นอัมพาตตามแขนขาชนิดชั่วคราวได้ แต่
อาการเหล่านี้จะหายเองภายในเวลา 2 ชั่วโมง และไม่มีอาการ แทรกซ้อนอื่นๆ อีก
อย่างไรก็ดี อยากจะเตือนหญิงมีครรภ์ไม่ควรบริโภคผงชูรสเด็ดขาด
เพราะอาจส่งผลให้ลูกที่เกิดมามีอาการผิดปกติทางสมอง และอาจทำให้
ทารกตายตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาได้ ส่วนทารกแรกเกิดหากได้รับประทานผงชู
รสเข้าไปจะส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของสมองในเด็กวัยนี้อีกด้วย
น.พ.มานิต กล่าวอีกว่า จากความนิยมบริโภคผงชูรสกันอย่างแพร่หลาย
ในขณะนี้ ทำให้ผู้ผลิตบางรายใช้สารปลอมปนในผงชูรสเพื่อลดต้นทุนการ
ผลิต โดยสารที่ใช้ มีทั้งที่เป็นวัตถุไม่เป็นอันตรายแก่ผู้บริโภค ได้แก่
เกลือ น้ำตาล แป้ง และวัตถุที่เป็นอันตราย เช่น บอแรกซ์ ซึ่งเป็นสาร
ห้ามใช้ในอาหาร เพราะหาก ร่างกายได้รับในปริมาณสูงอาจทำให้เสียชีวิตได้
หรือถ้าได้ รับในปริมาณน้อยแต่บ่อยครั้งจะสะสมในร่างกาย ก่อให้เกิดอาการพิษแบบ
เรื้อรัง ทำให้เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย สับสน ระบบย่อยอาหารถูกรบกวน ผิว
หนังอักเสบ นอกจากนี้ ยังมีสารอีกชนิดที่นิยมใส่ปะปนในผงชูรสคือ โซเดียมเมตาฟอสเฟต
ซึ่งปกติจะใช้เป็นน้ำยาล้างหม้อน้ำรถยนต์เมื่อรับประทานเข้าไปจะ
ออกฤทธิ์เป็นยาถ่ายอย่างแรง ดังนั้น เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ ผู้บริโภคว่าผงชูรส ที่ใช้นั้นปลอด
ภัยจากสารปลอมปนหรือไม่ สามารถตรวจสอบ ด้วยวิธีการง่ายๆ คือ ให้นำ
ผงชูรสที่สงสัยประมาณครึ่ง ช้อนชาใส่ลงในช้อนโลหะเผาจนไหม้
หากเป็นผงชูรสแท้สารนั้นจะไหม้ไฟเป็นถ่านสีดำที่ช้อน แต่ถ้าเป็นผงชู
รส ที่มีส่วนผสมของบอแรกซ์หรือโซเดียม เมตาฟอสเฟตผสมอยู่ จะพบว่า
มีทั้งส่วนที่ไหม้เป็นสีดำ และส่วนที่เหลือค้างเป็นสีขาวที่ช้อน การบริโภคผงชู
รสมากเกินไปนอกจากจะเสี่ยงต่ออาการแพ้ผงชูรสแล้ว ยังเสี่ยงต่อการได้รับ
อันตรายจากผงชูรสชนิ ดปลอมปนด้วย ดังนั้น แม่บ้านที่มีฝีมือในการปรุงอาหารหรือใช้น้ำเคี่ยวกระดูกสัตว์อยู่
แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้ผงชูรสในการปรุงประกอบอาหารเลย แต่ถ้าหากจำเป็น
ต้องใช้ผงชูรสจริงๆ ผู้บริโภค ควรเพิ่มความพิถีพิถันในการเลือกซื้อโดยการ
สังเกตหีบห่อหรือกระป๋องบรรจุ ขอบผนึกต้องไม่มีรอยตำหนิ ฉลากพิมพ์เป็น
ตัวหนังสือภาษาไทยชัดเจนไม่เลอะเลือน และต้องระบุชื่ออาหารแสดงคำว่า
ผงชูรส ตลอดจนมีเลขทะเบียนตำรับอาหาร (อ.ย.) ระบุชื่อ ที่ตั้งของผู้ผลิต
เดือนปีที่ผลิต รวมทั้งน้ำหนักสุทธิอย่างชัดเจน
โดยคุณ : มานิต ธีระตันติกานนท์ -
วันพฤหัสบดีที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2549
การพัฒนาแผนการจัดกิจกรรมกรเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง น้ำใจชาวนา ชั้นประถมศึกษาปีที่
ผู้ศึกษาค้นคว้า นางจิตรถ กุลวิเศษ กศ.ม หลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม พ.ศ. 2547
อ.ที่ปรึกษา อ.คุญช่วย ปิยวิทย์
บทคัดย่อ
ภาษาไทยเป็นเครื่องมือสำคัญในการสื่อสารและเรียนรู้ของคนไทย และการเรียนรู้จะประสบผลสำเร็จได้ ผู้สอนต้องมีการวางแผนจัดกิจกรรมที่ดีและเหมาะสม ดังนั้น การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้จึงมีความมุ่งหมายเพื่อ พัฒนาแผนการจัดกิจกรรมกลุ่มการเรียนรู้กลุ่มสาระกลุ่มการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง น้ำใจชาวนา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 และศึกษาดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง น้ำใจชาวนา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2547 โรงเรียนบ้านหญ้าคา ว.ท.อ. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครราชสีมา เขต 1 จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 22 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ใช้เวลาในการทดลอง 16 ชั่วโมงทั้งนี้ไม่รวมเวลาที่ใช้ในการทดสองก่อนเรียนและหลังเรียน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง น้ำใจชาวนา จำนวน 8 แผน หนังสือประกอบการเรียน เรื่องน้ำใจชาวนา จำนวน 1 เล่ม แบบฝึกทักษะ จำนวน 10 ชุด แบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 3 ตัวเลือก จำนวน 50 ข้อ ซึ่งมีค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ .22 ถึง 0.72 และมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .82 และแบบประเมินพฤติกรรมระหว่างเรียน จำนวน 8 ชุด สถิติที่ใช้ ได้แก่ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และดัชนีประสิทธิผล
ผลการศึกษาค้นคว้า พบว่า แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง น้ำใจชาวนา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มีประสิทธิภาพ 82.50/83.18 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้ และดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ มีค่าเท่ากับ 0.6850 หมายความว่า ผู้เรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นร้อยละ 68.50
โดยสรุป แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง น้ำใจชาวนา ที่ผู้ศึกษาค้นคว้าพัฒนาขึ้น ส่งผลให้นักเรียนมีความรู้ด้านทักษะการใช้ภาษาไทยเป็นอย่างดี จึงขอสนับสนุนให้ครูชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-2 นำแผนการจัดกิจกรรมกาเรียนรู้ที่ผู้ศึกษาค้นค้าพัฒนาขึ้นไปใช้ในการสอนภาษา ไทย จะช่วยให้นักเรียนประสลผลสำเร็จทางการเรียนภาษาไทย
วันพุธที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2549
Participatory action Research of Product Development , A case study: The Development of virgin Coconut Oil Product by the Women Groups of Au-Noi Herba
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
The development of virgin coconut oil products by the women groups of Au-Noi herbal house, Prachuakhirikhan Province is considered a participatory action research (PAR), a collaboration work between researchers and the community. This collaborative research and product development utilized SWOT analysis as a tool to recognize the PAR is strengths, weaknesses, opportunities and threats, leading to a better R&D and management.
The PAR showed that micron polyethylene filtering clothe reduced turbidity of the virgin coconut oil. Further, sodium chloride salt absorbs moisture from the coconut oil. This knowledge was adapted to the virgin oil production process, since it is rather cost effective and simple to operate. Once the coconut virgin oil product development succeeded, the benefit falls back to farmers and community.
จากการประชุมวิชาการ การบูรณาการเทคโนโลยี สังคมกับชุมชน คณะศิลปศาสตร์
King Mongkut’s university of technology Thonburi
September 22, 2006
วันอังคารที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2549
ก้าวกระโดดใหม่สู่การพัฒนาประเทศด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างไม่เพียงพอในการพัฒนาความรู้
เศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จึงมีภารกิจที่สำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องผลัก
ดันให้เกิดการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อยกระดับ
คุณภาพชีวิต เศรษฐกิจและสังคม ในปัจจุบัน รัฐบาลมักจะถูกตั้ง
คำถามที่จะต้องตอบให้ได้เสมอว่ามีทิศทางใน การพัฒนาเศรษฐกิจ
และสังคมอย่างไร จะทำอะไรคือทำแล้วได้อะไร หากประเทศชาติจะลง
ทุนไม่ว่าด้านใดเราก็ต้องตอบให้ได้ว่าหวังที่จะให้ประเทศมีอะไรดีขึ้นเช่นเดียวกัน
การลงทุนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนั้น ควรที่จะสอดคล้อง
กับแนวนโยบายของรัฐบาลเป็นสำคัญ แล้วผลที่คาดว่าจะได้รับนั้นคือ
อะไร แนวความคิดของ ศ.ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงาน
พัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้มีความเห็นใน 3 ลักษณะ ดังนี้
ด้านแรก คือความรู้ หากเราลงทุนทั้งเงินและทรัพยากรอื่นๆ แล้ว
ประเทศชาติไม่สามารถสร้างองค์ความรู้ให้เป็นสมบัติของชาติเราได้ และ
ยังต้องซื้อความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจากประเทศอื่นอยู่ร่ำไป
ก็จะไม่คุ้มทุน
ด้านที่สอง ที่มองเห็นคือทางด้านเศรษฐกิจและการจ้างงานหากเรา
มีความรู้แต่ไม่สามารถคิดกลไกหรือกลยุทธ์ที่จะทำให ้ภาคเศรษฐกิจ ทั้ง
อุตสาหกรรมการบริการ รวมทั้งการค้าทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ
มีความเป็นวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากขึ้น เราก็จะไม่สามารถที่จะ
ประกอบธุรกิจ ให้สามารถแข่งขันกับประเทศอื่นได้
ด้านสุดท้าย ที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน คือ คุณภาพชีวิตและสังคม
หากเรามีฐานะทางเศรษฐกิจที่ดีแต่ไม่ใส่ใจในการรักษา ทรัพยากรธรรมชาติและ
สิ่งแวดล้อมอีกทั้งยังไม่ใส่ใจต่อคนด้อยโอกาสคนยากไร้คน
ห่างไกลใน ชนบทปล่อยให้เกิดช่องว่างในสังคมก็ยากที่
จะจรรโลงให้มีความยั่งยืนในชาติได้ ดังนั้นวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะ
ถูกนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ และที่สำคัญต้องสามารถสร้างให้เกิดผลอย่างเด่นชัดและอย่างยั่งยืนได้ เราจึง มี
ความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องนำวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้สร้าง
สรรค์ให้เกิดผลดี เพื่อความมั่นคงของประเทศในสามลักษณะดังกล่าว
ข้างต้นให้ได้ คำถามที่มักเกิดขึ้นเสมอ คือ การลงทุนด้านวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยีนั้น กระจายอยู่ทั่วไปในสังคมที่ใหญ่โตระดับชาติ และหากลงทุน
แล้วจะเกิด ผลประโยชน์อย่างไรต่อประเทศชาติบ้างและจะสอดคล้อง
กับทั้งสามประด็น ที่กล่าวข้างต้นได้อย่างไร เพื่อให้สามารถมอง
เห็นได้อย่างเป็นรูปธรรม การลงทุนจะต้องลงทุนใน 4 ด้าน
ด้าน แรก คือ คนหรือทรัพยากรบุคคล (Human Resource & Development) เราจะต้องลงทุนทางด้านการศึกษาให้กับคนไทย เพื่อให้มีแนวความคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้มากขึ้นอย่าง
น้อยก็ให้รู้จักคิดและปฏิบัติอย่างมีเหตุผลไม่หลงเชื่ออย่างงมงาย และถ้า
ให้ดียิ่งขึ้นก็คือ การพัฒนาไปจนถึงขั้นที่สามารถรู้จักนำ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาช่วย เพิ่มประสิทธิภาพในการ
ประกอบอาชีพในทุกระดับและเพิ่มการลงทุนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในสถาบันการศึกษาโรงเรียนและสถาบันอุดม
ศึกษา หรือแม้กระทั่งคนที่กำลังทำงานอยู่เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ของกระแสโลกทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ด้าน ที่สอง คือ การวิจัยพัฒนาและวิศวกรรม (Research & Development) นอกจากจะเน้นให้คนทั่วไปมีพื้นฐานของแนวความคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีแล้วเราจะต้องกล้าที่จะลงทุนในการค้นคว้าหาความรู้ใหม่ให้เกิดใน ประเทศเราเองทั้งการวิจัยพื้นฐาน
การพัฒนาต้นแบบ และการวิจัยพัฒนาและวิศวกรรมให้เป็นผลิตผลและ
ผลิตภัณฑ์ที่มีค่าทางเศรษฐกิจและสังคมจึงจะช่วยเพิ่มมูลค่าและรายได้
เป็นการช่วยผลักดันเศรษฐกิจ ให้กระเตื้องอีกทางหนึ่ง
ด้านที่สาม คือ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน หากปราศจากโครง
สร้าง พื้นฐานแล้วก็ยากที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะเลื่อนไหลสู่
ภาคเศรษฐกิจ และสังคมได้รวดเร็วทันต่อการเปลี่ยนแปลงของ
กระแสเทคโนโลยีที่จะทำให้ประเทศไทยของเราสามารถแข่งขันกับ
ประเทศอื่นๆ ได้ อาทิ การลงทุน ในโครงการไทยสารส่งผลให้สถาบันระดับอุดมศึกษามีการเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ในลักษณะอินเทอร์เน็ตเต็มรูปแบบเป็นครั้งแรกในประเทศไทย จึงทำให้เกิดความ
เลื่อนไหลของสารสนเทศในระบบการศึกษาการค้นหาส่งและ
แลก เปลี่ยนความรู้เปลี่ยนรูปแบบจากการใช้เทคโนโลยีการพิมพ์ไปเป็นเทคโนโลยี อิเล็กทรอนิกส์ทำให้มหาวิทยาลัยผลิตความรู้และบุคลากร ป้อนเอกชนจนเกิดธุรกิจภาคเอกชนมาจนทุกวันนี้ โครงการ
เขตอุตสาหกรรม ซอฟต์แวร์หรือ "ซอฟต์แวร์พาร์ค" (Software Park) ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง ซึ่งเพิ่งเริ่มต้นได้รับการตอบสนองค่อนข้างดีก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการ ลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของ
รัฐบาล ที่ทำให้เทคโนโลยีด้านซอฟต์แวร์เลื่อนไหลกลายเป็นผลดีทางด้านเศรษฐกิจและการจ้างงานเป็นต้น
ด้านที่สี่ คือ การแพร่กระจายของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปสู่คนส่วนใหญ่ของประเทศ
ทั้งจากภาครัฐและเอกชนทุกฝ่ายต่างก็มีความคาดหวังและมีความต้องการที่จะเห็นการแพร่กระจายของวิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยี ไปสู่ภาคเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
จากแหล่งของวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีภายในประเทศเป็น
สำคัญ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องลงทุนเพื่อให้เกิดกลไกการกระจายของวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี บ่อยครั้งที่กลไกดังกล่าวจะต้องลง ทุนทั้งฝ่ายที่เป็นผู้ถ่ายทอดเทคโนโลยีและฝ่ายที่เป็นผู้รับการถ่ายทอด
เทคโนโลยี ประเทศที่เข้าใจเรื่องนี้เช่น ประเทศเกาหลีใต้ จะมีธนาคาร
เทคโนโลยีเพื่อปล่อยสินเชื่อให้แก่เอกชนที่ประสงค์จะลงทุนด้าน
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประเทศแคนาดามีโครงการไอแร็ป (IRAP ย่อมา
จาก Industrail Research Assistance Project) ซึ่งได้ประสบความ
สำเร็จมาเป็นเวลา 50 ปี จนถึงปัจจุบัน n
ใน การชักนำให้ภาคเอกชน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมขนาดกลาง และขนาดย่อม ให้ใช้ผู้เชี่ยวชาญทำหน้าที่ช่วยปรับปรุงการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจาก แหล่งของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อเป็นการช่วยเพิ่มผลผลิตอย่างได้ผลคุ้มค่า ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในการเชื่อมโยง ดังกล่าว เป็นการลงทุนร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนแต่ละราย ประเทศไทยได้ริเริ่มโครงการนำร่องคล้ายไอแรปของแคนาดาและประสบความสำเร็จใน
หลายโรงงาน ขณะนี้ได้เสนอโครงการให้กว้างขวางมากขึ้นครอบคลุมประมาณ 2,500
โรงงานภายในระยะเวลา 5 ปี เรียกว่า "โครงการไอแทป" (ITAP ย่อมาจาก Industrial Technology Assistance Project)
คาดว่าจะได้รับการอนุมัติ จากรัฐบาลในเร็วๆ นี้ ความอยู่รอดของเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
จนกระทั่งสามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างมั่นคงและอย่างยั่งยืนต่อไป
เพื่อ เป็นการดำเนินงานให้สอดคล้องกับนโยบายด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้เล็งเห็นความสำคัญนี้ จึงได้จัดให้บริการสำหรับภาคเอกชนโดยมีกิจกรรมต่างๆ ดังนี้
กิจกรรม บริการปรึกษาปัญหาทางอุตสาหกรรม (Industrial Consultancy Services : ICS) ซึ่งเป็นกิจกรรมที่สนับสนุนอุตสาหกรรมไทยในรูปแบบของการให้ผู้เชี่ยวชาญ ด้านเทคนิค จากเครือข่ายทั้งใน
และต่างประเทศเข้าช่วยในการปรับปรุงและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต เพื่อให้สามารถ
ผลิตสินค้าที่ได้มาตรฐานและมีคุณภาพสูงขึ้นและมี โครงการสนับสนุนการพัฒนาสมรรถภาพในการเลือกและรับ
เทคโนโลยี (Support for Technology Acquistition and Mastery Program : STAMP) โครงการสนับสนุนการพัฒนาสมรรถภาพในการเลือก และรับเทคโนโลยีนี้ ได้ให้การสนับสนุนภาคเอกชน โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก ให้มีโอกาสเสาะหาและถ่ายทอดเทคโนโลยีใหม่
หรือเทคโนโลยีที่เหมาะสมจากต่างประเทศ เพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิตและผลิตภัณฑ์ใหม่
รวมทั้งสนับสนุนให้มีการเจรจาธุรกิจกับบริษัทต่างประเทศ ซึ่งจะนำไปสู่การ
เลือกและรับเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ และเกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีในระดับบริษัทต่อไป
นอกจากนี้ แล้ว สวทช. ยังมีการให้บริการด้านทรัพย์สินทางปัญญา
(Intellectual Property Services : IPS) ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ให้บริการใน
การดำเนินการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของ สวทช. ในการให้คำแนะนำ
เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากข้อมูลเอกสารสิทธิบัตร แก่หน่วยงาน ของ สวทช. และภาคเอกชน
และ สวทช. ได้ดำเนินกิจกรรมสนับสนุนโครงการวิจัยพัฒนาและวิศวกรรมของภาคเอกชน (Company Technology Development Program : CD) เพื่อเป็นการสนับสนุนด้านการเงินทั้งในรูปแบบของเงิน กู้ดอก
เบี้ยต่ำ (ซึ่ง สวทช.ให้การสนับสนุนได้ในวงเงิน 20 ล้านบาท) และเงินทุนให้
เปล่า (ซึ่งให้การสนับสนุนได้ในวงเงิน 3 ล้านบาท) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ
สนับสนุนให้ภาคอุตสาหกรรมปรับปรุงเทคโนโลยีและทำการค้นคว้าวิจัย และพัฒนาบริการ ที่ สวทช.มีให้กับภาคเอกชน
อีกอย่างหนึ่งก็คือ การลงทุนเพื่อพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
(Investment in New Ventures for Enhancing Science and Technology : Invest) ซึ่งได้ถูกกำหนดให้เป็นโครงการหลัก เพื่อเป็นไปตามแผนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปัจจุบัน สวทช.ได้ร่วมลงทุนกับภาคเอกชนและ
ประสบผลสำเร็จเป็นบริษัทที่มีประสิทธิภาพในการประกอบการดีเยี่ยมคือ บริษัท
อินเทอร์เน็ต (ประเทศไทย) จำกัด และอีกบริษัทหนึ่งคือ บริษัท เอ็นทียู (ประเทศไทย) จำกัด
ที่ ให้บริการศึกษาทางไกลผ่านระบบดาวเทียม จาก จำนวน 40 มหาวิทยาลัยชั้นนำในสหรัฐอเมริกา ในระดับสูงกว่าปริญญาตรี และจัดการฝึกอบรมประชุมสัมมนาทางวิชาการให้แก่หน่วยงานและบุคคลทั้ง
จากภาครัฐและภาคเอกชนด้วย
สรุปว่า ประเทศไทยจะต้องลงทุนทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 4
ด้านดังกล่าวข้างต้น เพื่อให้ได้ผลตามวัตถุประสงค์ 3 ด้านคือ การพัฒนา
ความรู้ เศรษฐกิจและการจ้างงาน และคุณภาพชีวิตและสังคม โดยอาศัยวิธีการบริหารกระบวนการให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มีการจัด
รูปแบบการบริหารองค์กรเป็นส่วนที่สำคัญ คือ ส่วนงานกลาง (Central Office)
ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC) ศูนย์
เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และ
คอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) เน้นเทคโนโลยีทั้งสามสาขาหลักเป็น สำคัญ
แต่ ได้มีการจัดระบบให้มีกระบวนการบริหารการลงทุนให้เกิดผลอย่าง กะทัดรัด ตามลักษณะของงานเพื่อให้สอดคล้อง และสอดรับกับนโยบายของรัฐบาล ซึ่งมุ่งที่จะพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม นับว่าเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะ
ช่วยผลักดั นให้เกิดการฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาคุณภาพชีวิตของสังคมไทยได้
ข้อสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ จะต้องได้รับความร่วมมือและร่วมใจจากทุก ฝ่ายทั้งจากภาครัฐบาลและภาคเอกชน
ในการช่วยเป็นแรงผลักดันให้บรรลุเป้าหมายร่วมกันคือ การพัฒนาเพื่อความอยู่รอดของประเทศไทย และเป็น
การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม จนกระทั่งสามารถยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตนเอง
อย่างมั่นคงและอย่างยั่งยืนต่อไป
การให้คำปรึกษาทางการแพทย์ผ่านอีเมล์
"สหรัฐอเมริกา" ต้นแบบอีเมล์การแพทย์
กระแสความนิยมของ อินเตอร์เน็ตนั้นมิได้เกิดขึ้นแต่เฉพาะแวดวงธุรกิจการค้าทั่วๆ ไปเท่านั้น แต่มันยังส่งผลกระทบต่อรูปแบบการให้บริการทางการแพทย์อีกด้วย เริ่มมีการนำเอาอีเมล์มาใช้เป็นช่องทางสื่อสารระหว่างแพทย์กับผู้ป่วย จนทำให้คณะกรรมการบริหารของสมาคมสารสนเทศการแพทย์ของสหรัฐฯ (AMIA : American Medical Informatics Association, http://www.amia.org) ต้องรีบตั้งคณะทำงานขึ้นมาสรุปหามาตรฐานที่เหมาะสมสำหรับการให้คำปรึกษาทาง การแพทย์ผ่านอีเมล์ เพื่อนำเสนอสู่ผู้คนที่เกี่ยวข้องในวงการแพทย์สหรัฐฯ ภายใต้ประเด็น "ข้อเสนอแนะสำหรับการใช้อีเมล์เพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์กับผู้ป่วย (Guidelines for the Clinical Use of Electronic Mail with Patients)
บท ความ Guidelines for the Clinical Use of Electronic Mail with Patients ที่ว่านี้ ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ผ่านทั้งสื่อกระดาษอย่างวารสาร JAMIA (Journal of the American Medical Informatics Association) ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 ของเดือนมกราคม/กุมภาพันธ์ 2541 (วารสาร JAMIA มีกำหนดออก 2 เดือนหนึ่งฉบับ) และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ทางเว็บไซต์ http://www.amia.org/pubs/pospaper/positio2.htm ทั้งนี้ ความตื่นตัวของ สมาคมสารสนเทศการแพทย์ของสหรัฐฯ นั้น สืบเนื่องมาจากเหตุผลว่าสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีสัดส่วนผู้ใช้ อินเตอร์เน็ตมากที่สุดในโลก โดยมีรายงานการวิจัยระบุว่าบรรดาองก์รธุรกิจสหรัฐฯ ได้แจกจ่ายบัญชีสมาชิกอีเมล์ให้กับพนักงานของตนไปแล้วไม่ต่ำกว่า 30 ล้าน ถึง 40 ล้านราย จนอาจจะกล่าวได้ว่ากว่า 15 % ของอเมริกันชนนั้นมีเลขรหัสอีเมล์เป็นของตนเอง 2
ประโยชน์ที่วง การสาธารณสุขสหรัฐฯ จะได้รับจากการนำเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างอีเมล์มาใช้เป็นบริการเสริมนอก เหนือไปจากการตรวจรักษาผู้ป่วยในโรงพยาบาลตามปรกติ ก็คือ มันจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องความล่าช้าเนื่องจากปริมาณของบุคคลากรทางการแพทย์ ที่มีค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนประชากร ทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องเสียเวลาไปทนรอหนห้องตรวจโรคอย่างเนิ่นนานนับเป็น ชั่วโมง เพียงเพื่อจะได้พบปะพูดคุยกับแพทย์เพียงไม่กี่นาที เพระการนำเอาช่องทางสื่อสารผ่านอีเมล์มาให้บริการผู้ป่วยจะช่วยให้แพทย์ สามารถคัดกรองผู้ป่วยที่ไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนออกไปจากกลุ่มคนที่มารอ หน้าห้องตรวจ ทำให้การติดตามผลการตรวจรักษาเป็นไปอย่างต่อเนื่องมมากขึ้นในผู้ป่วยบางราย และทำให้ทั้งแพทย์และผู้ป่วยมีเวลาตริตรองมากขึ้นในระหว่างการเจรจาโต้ตอบ กัน อันจะส่งผลให้สามารถพินิจพิจารณาความเจ็บไข้ได้ป่วยอย่างละเอียดรอบคอบมาก ขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการให้บริการทางการแพทย์ผ่านอีเมล์จะมีข้อดีอยู่มาก แต่มันก็มีข้อจำกัดและข้อควรระวังอยู่ด้วยเช่นกัน อย่างแรกที่เห็นได้ชัด คือเรื่องความล่าช้าของการรับ/ส่งอีเมล์ที่กว่าผู้รับกับผู้ส่งจะได้สื่อ สารกันครบวงจรก็มักจะต้องกินเวลาหนึ่งวันหรือสองวันขึ้นไป อย่างที่สอง คือความวิตกจริตของผู้ป่วยที่อาจจะเพิ่มพูนขึ้นเมื่อไม่ได้รับการสื่อสาร บอกเล่ากันอย่างตัวต่อตัวกับแพทย์ และความวิตกจริตนั้นอาจจะยิ่งเลวร้ายลงไปหากผสมผสานไปด้วยการใช้ภาษาที่ คลุมเครือ ที่สำคัญ แพทย์จะต้องไม่ลืมว่าการรักษาความลับของผู้ป่วยนั้นคือจรรยาบรรณหลักของ แพทย์ที่มิอาจจะละเมิดได้ ฉะนั้น เมื่อตกลงปลงใจว่าจะใช้อีเมล์เป็นช่องบริการเสริมให้กับผู้ป่วยของตนก็ควร จะคำนึงถึงมาตรการในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่มีสื่อสารผ่านอีเมล์ ไว้ด้วย
อีกอย่าง เรื่องราวของการใช้อินเทอร์เน็ตและอีเมล์เป็นช่องทางบริการทางการแพทย์ใน สหรัฐฯ นั้น ยังคงถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหม่มาก เนื่องจากตัวเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตเองเพิ่งจะเริ่มเข้าสู่วงการแพทย์ อเมริกันได้ไม่นานนัก เช่น เคยมีการสำรวจอัตราการใช้คอมพิวเตอร์ของแพทย์อเมริกันไว้ครั้งหนึ่งในปี ค.ศ.1996 ระบุว่ามีแพทย์อเมริกันเพียง 50 % เท่านั้น ที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลใช้ และในจำนวนแพทย์ครึ่งหนึ่งนี้ ก็มีเพียง 20 % เท่านั้นที่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการสื่อสารผ่านอินเทอร์เน็ต 3 ฉะนั้น หากคิดจะทำให้อินเmอร์เน็ตและอีเมล์เป็นช่องทางสื่อสารระหว่างแพทย์กับผู้ ป่วยได้จริง บรรดาโรงพยาบาลทั้งหลายทั่วสหรัฐฯ ก็จะต้องจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์และรหัสอีเมล์ให้กับแพทย์ของตนอย่างครบ ถ้วนเสียก่อน
ข้อสังเกตที่ว่านี้สอดคล้องกับผลการสำรวจของนีล และคณะ 4 ที่สอบถามผู้ป่วยจำนวน 117 ราย ซึ่งรหัสอีเมล์เป็นของตนเอง ว่าได้ใช้อีเมล์เป็นช่องทางสื่อสารกับแพทย์ของตนบ้างหรือไม่ ? พบว่ามีผู้ป่วยไม่ถึง 30 % ที่ตอบว่าแพทย์ของตนมีรหัสอีเมล์ให้ติดต่อได้ และมีเพียงราวๆ 10% หรือ 10 คนเท่านั้นที่ได้ใช้อีเมล์ติดต่อกับแพทย์ผู้รักษาตน
ส่วนในบรรดา ผู้ป่วยที่ไม่เคยใช้อีเมล์ติดต่อกับแพทย์ของตนนั้น กว่าครึ่งบอกว่าไม่เคยคิดจะใช้อีเมล์ติดต่อกับแพทย์เลย ส่วนผู้ป่วยอีก 30 % บอกว่าไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องใช้ มีบางคนบอกว่ากลัวเรื่องที่ปรึกษาแพทย์จะไม่เป็นความลับ ในขณะที่มีบางคนบอกว่าการใช้อีเมล์นั้นไม่ค่อยสะดวก อย่างไรก็ตาม เมื่อ นีลสอบถามลงลึกไปในบรรดาผู้ป่วยที่มีการใช้อีเมล์ติดต่อกับแพทย์ของตน ก็ได้ความทุกคนพึงพอใจในช่องทางสื่อสารใหม่นี้ด้วยกันทั้งนั้น
กระนั้น ยังมีข้อสังเกตว่าอัตราการใช้อีเมล์เพื่อเหตุผลการแพทย์นั้นอาจจะแตกต่าง กันไปได้บ้างตามสภาพประชากร และทำเลที่พักอาศัย ยกตัวอย่างเช่น การสำรวจของฟริดส์มาและคณะ 5 ที่มีลักษณะคล้ายๆ กับงานสำรวจของนีลแต่เป็นการสำรวจในย่านซิลิกอนวัลเลย์ที่เป็นแหล่ง อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ใหญ่ของสหรัฐฯ นั้น พบว่าอัตราการใช้อีเมล์มากกว่าครึ่งของประชากรและเป็นการใช้อินเทอร์เน็ต จากสถานที่ทำงาน และครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้มีรหัสอีเมล์เหล่านี้ได้ใช้อีเมล์ติดต่อกับแพทย์ ของตนเป็นประจำอยู่แล้ว ในขณะที่อีกครึ่งบอกว่าถ้าแพทย์มีอีเมล์ให้ติดต่อได้ก็พร้อมจะใช้ทันที อย่างไรก็ดี ประชากรในแถบซิลิคอนวัลเลย์เหล่านี้ดูจะเป็นกังวลกับเรื่องความลับในเรื่อง ข้อมูลทางการแพทย์ของตนมากกว่าประชากรตัวอย่างในการศึกษาของนีลและคณะ เนื่องจากการใช้อีเมล์ในประชากรกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะเป็นการใช้ผ่านเครือข่าย คอมพิวเตอร์ของหน่วยงาน
เรียนรู้ธรรมชาติของอีเมล์
ก่อนที่ จะลงลึกไปในเรื่องข้อเสนอแนะต่างๆ นานาเกี่ยวกับรับส่งอีเมล์ระหว่างแพทย์และผู้ป่วย เราน่าจะมาทำความรู้จักทำความเข้าใจกับลักษณะพื้นฐานตามธรรมชาติของการสื่อ สารผ่านอีเมล์กันสักหน่อย อีเมล์นั้นเป็นการสื่อสารที่ก้ำกึ่งระหว่างภาษาพูดและภาษาเขียน มันเป็นการโต้ตอบที่เกิดขึ้นได้เร็ว และฉับพลันกว่าการเขียนจดหมายกระดาษโต้ตอบกัน แต่ก็ไม่ฉับพลันเท่ากับการพูดคุยกันทางโทรศัพท์ เนื่องจากมีช่วงคั่นเวลาเพียงพอที่ผู้สื่อสารจะตริตรองย้อนคิดได้สักรอบสอง รอบก่อนจะปล่อยคำพูดออกไป อีเมล์เป็นลายลักษณ์อักษรที่ใช้อ้างอิงระหว่างคู่เจรจาได้ ไม่เหมือนการพูดคุยโทรศัพท์ที่คุยเสร็จแล้วก็แล้วกันไป เหลือเพียงความทรงจำในเนื้อสมองของคู่เจรจา (ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งบอกว่าไม่ได้พูดก็ไม่มีอะไรให้อ้างอิงได้) แต่ความที่อีเมล์เป็นสื่ออิเล็กทรอนิกส์ก็ทำให้มันง่ายต่อการดัดแปลงแก้ไข โดยไม่ให้เหลือร่องรอย และทำให้มันไม่ได้รับการยอมรับในฐานะของหลักฐานทางกฏหมาย
หรือหากมอง ในแง่ของความทันอกทันใจ อีเมล์คงจะสู้โทรศัพท์ไม่ได้ เพราะการสื่อสารผ่านอีเมล์นั้นเป็นแบบผลัดกันส่ง (Asynchronous) ที่ต้องใช้เวลารอคู่เจรจาฝ่ายตรงข้าม ไม่เหมือนการใช้โทรศัพท์ที่สามารถส่งสารถึงกันได้ในเวลาที่แทบจะพร้อมกัน (Synchronous) แต่หลายคนก็ยังนิยมการใช้อีเมล์มากกว่าโทรศัพท์ เพราะเบื่อที่จะต้องรอพักสาย โอนสาย หรือทนฟังกับประโยคคำพูดซ้ำๆ ซากๆ ที่ถูกอัดใส่เทปคาสเซ็ทท์เวลาที่ต้องโทรศัพท์เข้าไปในองค์กรที่มีขนาดใหญ่ๆ (telephone tag) ยิ่งกับการสื่อสารระหว่างแพทย์กับผู้ป่วยด้วยแล้ว อีเมล์ก็ยิ่งเหมาะสมกว่าการใช้โทรศัพท์ในกรณีที่แพทย์ต้องการให้ผู้ป่วยจด จำคำแนะนำได้อย่างแม่นยำว่า ทำอะไรได้ ทำอะไรไม่ได้ จะให้กินยาตัวไหนในเวลาไหนบ้าง ฯลฯ
เพราะคำแนะนำเหล่านี้เมื่อพูดด้วย ปาก ผู้ป่วยอาจจะหลงลืมไปได้ทันทีที่วางหูโทรศัพท์ และอีเมล์สามารถสื่อคำออกมาชัดเจนกว่า ในกรณีที่โทรศัพท์มีสัญญาณรบกวนจนผู้ฟังไม่สามารถจับใจความได้ว่าผู้พูด กำลังเอ่ยถึงอะไร (อย่างไรก็ดี ตรงนี้มีผู้แย้งว่าการใช้โทรศัพท์นั้นฟังไม่ชัดก็ยังพอถามซ้ำได้ แต่ในการอ่านอีเมล์ หากข้อความกำกวม ผู้ป่วยอาจจะไม่กล้าเมล์กลับมาถามแพทย์) ยิ่งไปกว่านั้น การโทรศัพท์ยังจำกัดให้ผู้รับต้องรออยู่ประจำใกล้ๆ เครื่องโทรศัพท์อีกด้วย เพราะถ้าไม่อยู่ ผู้โทรเข้าก็ต้องเผชิญกับภาวะการพักสาย โอนสายที่ไม่พึงประสงค์ติดตามมา และถ้าหากจะใช้วิธีฝากข้อความก็ยังต้องเสี่ยงกับการสูญหายของข้อความที่ฝาก ไว้อยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นเพราะการหลงลืมของผู้รับฝาก หรือการที่กระดาษโน้ตแจ้งให้โทรกลับหลงหายไปในกองเอกสาร
นอกจากการใช้ อีเมล์ที่ว่าไปแล้ว แพทย์ยังอาจใช้อีเมล์เป็นช่องทางในการติดต่อกับได้ในหลายๆ ลักษณะ เช่น ใช้ติดตามผลการรักษาผู้ป่วยหลังการผ่าตัด ใช้เผยแพร่ความรู้ให้กับกลุ่มผู้ป่วยที่มีลักษณะการดำเนินโรคคล้ายๆ กัน อย่างกลุ่มผู้ป่วยเบาหวาน กลุ่มผู้ป่วยโรคตา หรือกลุ่มสตรีฝากครรภ์ ฯลฯ โดยสามารถพิมพ์อีเมล์ขึ้นเพียงฉบับเดียวแต่กระจายให้กับผู้รับทีเดียวได้ ทั้งกลุ่ม (โทรศัพท์ไม่เหมาะงานกระจายข่าวลักษณะนี้แน่) และเมื่อเห็นว่าบนอินเทอร์เน็ตมีเว็บไซต์อะไรที่เหมาะกับผู้ป่วยของตน แพทย์ก็อาจใช้อีเมล์เป็นตัวเชื่อมผู้ป่วยไปสู่เว็บไซต์ที่ต้องการได้ ที่สำคัญ เนื่องจากอีเมล์นั้นเป็นสื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่สอดคล้องกับลักษณะของข้อมูล อิเลคทรอนิกส์อื่นๆ ภายในระบบคอมพิวเตอร์บริหารโรงพยาบาล (HIS: Hospital Information System) 6 อยู่แล้ว มันจึงเป็นเรื่องง่ายที่ทางโรงพยาบาลจะสำเนาข้อมูล (copy) จากอีเมล์ของผู้ป่วยแต่ละรายไปใช้กับระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นฐานข้อมูลเวชระเบียน ข้อมูลส่วนตัวของแพทย์เจ้าของไข้ ฯลฯ (สำหรับแพทย์อเมริกันนั้น สมาคมสารสนเทศการแพทย์ของสหรัฐฯ แนะนำให้พิมพ์ข้อความบนอีเมล์ออกมาเก็บเป็นหลักฐานไว้ด้วย เผื่อว่าอาจจะต้องนำกลับมาใช้ยันเป็นหลักฐานกับบริษัทประกัน)
แม้ว่า การใช้อีเมล์เพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์จะมีอยู่มากมายดังที่ได้ยกตัว อย่างมา แต่แพทย์ก็ควรตระหนักเสมอว่า อีเมล์นั้นเหมาะสำหรับเป็นช่องทางเสริมในการให้บริการแก่ผู้ป่วย ไม่ควรจะใช้เป็นช่องทางหลัก เพราะถึงอย่างไรการให้คำปรึกษาที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยก็ยังคงต้องเป็นการ สัมผัสพูดคุยกันแบบเห็นหน้าเห็นตา เป็นโอกาสที่แพทย์จะได้ซักประวัติผู้ป่วยกันให้ละเอียด ได้สังเกตสังกา/ตรวจเช็คอาการ (signs) และอาการแสดง (Sumptoms) กันได้ชัดๆ ได้คลำดูเคาะฟังตามหลักของการร่างกาย ได้ทดสอบสภาพการทำงานของระบบอวัยวะต่างๆ ในยามที่มีข้อสงสัย และได้มีโอกาสเจาะเลือดเก็บสารน้ำและสิ่งส่งตรวจต่างๆ ไปวิเคราะห์ ฯลฯ ส่วนการสื่อสารอย่างอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยทางโทรศัพท์ หรือการสื่อสารผ่านอีเมล์นั้นควรจะใช้เสริมเฉพาะจุดที่เห็นว่าเหมาะสมเท่า นั้น และทุกครั้งที่มีการสื่อสารผ่านโทรศัพท์หรืออีเมล์ แพทย์ควรจะหาทางนัดหมายผู้ป่วยมาพบกันจริงหลังจากนั้นเสมอ เพื่อตรวจสอบว่าผู้ป่วยมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนไปบ้างหรือไม่
ข้อเสนอแนะทั่วไปสำหรับการใช้อีเมล์
สำหรับแพทย์หรือโรงพยาบาลใดที่ประสงค์จะนำเอาอีเมล์มาใช้เป็นช่องทางสื่อสารกับผู้ป่วยของตนนั้น มีข้อคิดที่น่าสนใจดังน
1.ควรกำหนดระยะเวลาโดยประมาณของการตอบอีเมล์
2.ควร แจ้งให้ผู้ป่วยได้ทราบล่วงหน้าเกี่ยวกับประเด็นเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล ที่สื่อสารผ่านอีเมล์ เช่น ผู้ป่วยควรจะต้องรับรู้ว่า เจ้าหน้าที่ประจำโรงพยาบาลหรือประจำคลีนิคคนใดมีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงกับ บรรดาอีเมล์ที่ถูกส่งเข้ามา ? หมายกำหนดเวลาทำงานของเจ้าที่รับ/ส่งอีเมล์อยู่ในช่วงระหว่างเวลากี่นาฬิกา ? และถ้าหากเจ้าหน้าที่รายดังกล่าวลาพัก จะมีใครมาปฏิบัติหน้าที่แทนหรือไม่ ? ที่สำคัญ บรรดาข้อความที่ผู้ป่วยส่งเข้ามาทางอีเมล์จะถูกผนวกไว้เสมือนเป็นส่วนหนึ่ง ของเวชระเบียนหรือไม่ ?
3.กำหนดจำแนกประเภทของการถ่ายโอนข้อมูล ไว้ให้ชัดเจน อย่างเรี่องข้อมูลใบสั่งยานั้นก็ควรระบุลักษณะการถ่ายโอนไว้ให้ชัดเจนว่า ข้อมูลจะต้องถูกโอนไปที่ไหนบ้างระหว่างห้องตรวจ ห้องยา และเวชระเบียน ฯลฯ รวมทั้งควรกำหนดรูปแบบหน้าจอสำหรับป้อนข้อมูลเหล่านี้ (form refill) ให้อยู่ในมาตรฐานเดียวกันด้วย นอกจากนั้น ยังควรกำหนดระดับความสำคัญของข้อมูลไว้ด้วยเพื่อกันไม่ให้ผู้ไม่มีสิทธิมา เปิดดู (เช่น ข้อมูลผลตรวจโรคเอดส์ หรือผลทดสอบทางจิตของผู้ป่วย)
4.แนะ นำให้ผู้ป่วยระบุชื่ออีเมล์ด้วยข้อความที่ระบุถึงเนื้อภายในอีเมล์ไว้อย่าง ชัดเจน จะได้ง่ายสำหรับกลั่นกรองและแจกแจงประเภทของอีเมล์ เช่น อาจกำหนดประเภทหัวข้อหลักไว้ว่าเป็นเรื่อง "ใบสั่งยา" "กำหนดนัดหมาย" "คำแนะนำทางการแพทย์" "คำถามเกี่ยวกับใบเสร็จค่ารักษาพยาบาล" ฯลฯ
5.ขอให้ผู้ป่วยระบุชื่อ และเลขประจำตัวผู้ป่วย (H.N. number) ไว้ภายในอีเมล์ทุกครั้ง
6.กำหนด ให้เครื่องคอมพิวเตอร์ของแพทย์ส่งข้อความกลับไปยังผู้ป่วยอย่างอัตโนมัติ ทันทีที่ได้รับอีเมล์ (Reciept acknowledge) เพื่อให้ผู้ป่วยมีความสบายใจว่าอีเมล์ของตนนั้นได้ถึงมือแพทย์แล้วจริงๆ และถ้าเป็นไปได้ก็อาจจะบอกไปด้วยว่าจะตอบกลับไปภายในกี่วัน นอกจากนั้น ยังควรบอกให้ทางฝ่ายผู้ป่วยกำหนดให้เครื่องคอมพิวเตอร์แจ้งเรื่องการได้รับ อีเมล์อย่างอัตโนมัติไว้ด้วยเช่นกัน (พิมพ์ข้อความในอีเมล์ที่ได้รับจากผู้ป่วยพร้อมคำตอบออกมาเป็นเอกสารเพื่อ เก็บแนบไว้เป็นหลักฐานในแฟ้มประวัติผู้ป่วยเสมอ)
7.ควรแจ้งให้ ผู้ป่วยทราบถึงทางเลือกในการสื่อสารผ่านช่องทางอื่นๆ เช่น ในท้ายอีเมล์ (Footer) อาจจะกำหนดเป็นแบบฟอร์มที่มีข้อความเป็นมาตรฐานไว้เลยว่า "หากมีข้อสงสัยอื่นใด ท่านอาจจะติดต่อมายังนายแพทย์ ..... ได้ที่เลขหมายโทรศัพท์ .... เลขหมายโทรสาร .... หรือทางไปรษณีย์จ่าหน้าซอง ... และถ้าหากไม่สามารถติดต่อนายแพทย์ ... ได้จริงๆ ก็อาจจะติดต่อไปยัง คุณ .... ที่ ...
8.ควรมีการระบุไว้ในส่วนหัวของอีเมล์ (Header) ในทำนองว่า "ข้อความภายในอีเมล์นี้คือความลับทางการแพทย์ของผู้ป่วย ไม่อนุญาตให้ผู้อื่นรับทราบ"
9.การย้ายลิสต์รายชื่อผู้ป่วยพร้อม รหัสอีเมล์มาเก็บไว้บบนเครื่องคอมพิวเตอร์ของแพทย์ อาจจะทำให้การบริหารอีเมล์เป็นไปอย่างสะดวกรวดเร็ว เพราะสามารถส่งก๊อปปี้อีเมล์ไปยังผู้ป่วยทีละมากๆ ได้ แต่ควรตระหนักในเรื่องความลับของผู้ป่วยอยู่เสมอ ฉะนั้น เวลาที่ต้องส่งอีเมล์ให้กับผู้ป่วยครั้งละหลายๆ คน ควรจะเรียกใช้โปรแกรม blind copy เพื่อป้องกันมิให้ผู้ป่วยแต่ละรายทราบว่าอีเมล์ฉบับเดียวกันนั้นถูกส่งไป ยังผู้ป่วยรายอื่นๆ
10.การใช้ภาษาในอีเมล์นั้นต้องมีความระมัด ระวังเป็นพิเศษ ควรหลีกเลี่ยงคำพูดที่มีความนัยไปในเชิงดูถูกกล่าวร้าย เยาะเย้ย ถากถาง หรือวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง รวมทั้งจะต้องหลีกเลี่ยงการกล่าวถึงบุคคลที่สามในทางเสียๆ หายๆ อีกด้วย
ข้อเสนอแนะสำหรับผู้บริหารโรงพยาบาล
สำหรับ โรงพยาบาลที่ได้ประยุกต์เอาระบบให้คำปรึกษาผ่านอีเมล์มาใช้นั้น แม้ว่าจะมีผลดีในแง่ของความสะดวก รวดเร็ว และประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นของงานบริการ แต่มันก็สร้างภาระผูกพันติดตามมา ทั้งในแง่ความรับผิดชอบตามกฏหมาย และภาระในงานบริหาร ทาง สมาคมสารสนเทศการแพทย์ของสหรัฐฯ จึงได้เสนอข้อแนะนำคร่าวๆ ไว้ดังนี้
1.ต้อง สร้างจิตสำนึกร่วมในแง่พันธะกรณีที่มีต่อผู้ป่วยเมื่อใช้อีเมล์ โดยระบุออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจน เช่น - ต้องระบุความหมายของบรรดาศัพท์แสงทางเทคนิค (Terms) ที่ถูกนำมาใช้ไว้อย่างชัดเจน - ระบุสภาพเงื่อนไขที่อีเมล์จะถูกนนำมาใใช้ไว้อย่างชัดเจน พร้อมระบุด้วยว่าเมื่อไรจึงควรจะเปลี่ยนไปใช้การสื่อสารผ่านโทรศัพท์ หรือการนัดพบแพทย์โดยตรง - ระบุให้ทราบถึงกลไกต่างๆ ที่ทางโรงพยาบาลมีไว้สสำหรับการรักษาความลับให้กับข้อมูลของผู้ป่วย - ระบุถึงขอบเขตความรับผิดชอบ และประกันที่ทางโรงพยาบาลมีให้กับผู้ป่วย ในกรณีที่เกิดความเสียหายในทางเทคนิคขึ้นกับข้อมูลของผู้ป่วย - แจ้งให้ผู้ป่วยทราบถึงความจำเป็นที่จะต้องเข้ารหัสของข้อมูล (Encryption) ที่ต้องการให้เป็นความลับ แต่ก็ต้องเปิดโอกาสให้ยกเลิกการเข้ารหัสระหว่างการติดต่อได้ด้วย หากเป็นความประสงค์ของตัวผู้ป่วยเอง
2.กำหนดเป็นข้อปฏิบัติ สำหรับบุคคลากรภายในโรงพยาบาล ว่าควรใช้โปรแกรมยืดอายุหน้าจอมอนิเตอร์ (Screen saver) มาช่วยปกป้องข้อมูลลผู้ป่วยจากสายตาสอดรู้สอดเห็นของผู้ไม่เกี่ยวข้อง หรือผู้ไม่มีสิทธิในการรับรู้ข้อมูลเหล่านั้น
3.กำหนดเป็นระเบียบปฏิบัติว่าจะไม่มีการโอนย้ายข้อมูลผู้ป่วยไปยังบุคคลที่สาม โดยไม่ได้รับการยินนยอมจากตัวผู้ป่วยเอง
4.ต้องไม่นำชื่อ และรหัสอีเมล์ของผู้ป่วยไปแสวงหาผลประโยชน์ทางการค้า เช่น ไม่นำไปเผยแพร่ต่อบริษัทโฆษณา บริษัทประกัน บริษัทบัตรเครดิต หรือแม้กระทั่งบริษัทนายจ้างที่ผู้ป่วยทำงานอยู่ด้วย
5.แจ้งให้ บุคคลากรทุกคนในโรงพยาบาลทราบว่าจะต้องไม่นำรหัสอีเมล์ที่ทางโรงพยาบาล อนุมัติให้บุคคลากรแต่ละคนไปใช้เพื่อการอื่น และไม่นำไปให้บุคคลมาใช้ร่วมด้วย (เช่น จะเอารหัสอีเมล์ไปให้ลูกเมียที่บ้านใช้ร่วมด้วยไม่ได้)
6.ควรนำเอาระบบการใส่รหัส (encryption) และระบบรักษาความปลอดภัยข้อมูลที่เหมาะสมทุกอย่างที่หาได้มาใช้ โดยมีเงื่อนไขว่าระบบรักษาความปลอดภัยดังกล่าวนั้น ควรจะเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง ใช้งานได้ง่ายสำหรับบุคคลทั่วไป และสามารถนำมาใช้ปฏิบัติในงานที่เกี่ยวข้องกับผู้คนจำนวนมากอย่างในโรง พยาบาลได้จริง
7.ทุกครั้งที่มีการสื่อสารไร้สายซึ่งยากต่อการ รักษาความปลอดภัยของข้อมูลลควรหลีกเลี่ยงการรับ/ส่งข้อมูลที่สามารถอ้างอิง ถึงผู้ป่วยรายใดรายหนึ่งได้ (หากระบบสื่อสารไร้สายนั้นมีมาตรการรักษาความปลลอดภัยที่เชื่อถือได้ก็คง งพออนุโลมให้ใช้ได้)
8.ย้ำเตือนให้ผู้ปฏิบัติต้องทำการตรวจทานชื่อผู้รับอีเมล์ที่ปรากฏอยู่ในช่อง To:- ... ก่อนส่งเสมอ (Double check)
9.กำหนดให้มีการสำรองข้อมูลอีเมล์ (Bcakup) ทุกๆ สัปดาห์ โดยกำหนดให้การจัดเก็บข้อมูลอีเมล์มีทั้งระยะสั้นและระยะยาว
10.แถลงนโยบายเรื่องอีเมล์ของโรงพยาบาลออกมาให้ชัดเจน ทั้งในรูปสื่ออิเล็กทรอนิกส์ และสื่อสิ่งพิมพ์
ข้อตกลง แพทย์-ผู้ป่วย
เนื่อง จากเนื้อหาภายในอีเมล์นั้นจะเกี่ยวข้องกับบบุคคลสองฝ่าย คือ แพทย์และผู้ป่วย ฉะนั้น ทั้งสองฝ่ายควรจะหาข้อตกลงร่วมกันออกมา เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจติดตามมา (จะได้ไม่ต้องมานั่งตีความกันในภายหลัง)
ตัวอย่างของข้อตกลงหลักๆ ที่ควรจะมีระหว่างแพทย์ และผู้ป่วยนั้น ได้แก่
1. กำหนดเวลาการรับ/ตอบอีเมล์ : กำหนดให้ชัดเจนไปเลยว่าแต่ละฝ่ายควรจะเรียกดูอีเมล์ถี่บ่อยขนาดไหน โดยระบุช่วงเวลาไว้ด้วยหากผู้ป่วยส่งอีเมล์มายังแพทย์แล้วจะได้รับคำตอบภาย ในกี่วัน ซึ่งตามมาตรฐานปรกติทางธุรกิจนั้น ข้อความที่รับบฝากไว้ทางโทรศัพท์จะถูกโทรกลับไปยังผู้ฝากข้อ คววามภายในหนึ่งวัน แต่หากฝากข้อความไว้ทางอีเมล์จะได้รับการตอบกลับภายใน 3 - 4 วันทำการ อย่างไรก็ตาม กติกานี้อาจจะนำมาใช้กับอีเมล์ทางการแพทย์ไม่ได้ เพราะวิธีการสื่อสารระหว่างแพทย์กับผู้ป่วยนั้นมักจะหลีกเลี่ยงการโทรศัพท์ ติดต่อถึงกันโดยตรง ฉะนั้น ผู้ดูแลอีเมล์ในโรงพยาบาลอาจจะต้องตรวจอีเมล์ที่เข้ามาถึงแพทย์ให้ถี่ขึ้น ขนาดวันละหลายๆ ครั้ง แต่อาจจะยังคงเว้นช่วงการตอบกลับไว้บ้าง เช่น อาจจะให้เวลาสัก 1- 2 วัน
2. กำหนดระดับความเป็นส่วนตัว : กำหนดให้ชัดว่าจะมีใครเข้ามาช่วยดูแล และจัดการเกี่ยวกับเรื่องอีเมล์ให้กับแพทย์บ้าง และถ้าหากแพทย์เจ้าของไข้ต้องนำเอาข้อมูลผู้ป่วยไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญอื่น ก็จะต้องมีขอบเขตไว้ด้วยว่าเรื่องไหนเปิดเผยได้ เรื่องไหนห้ามเปิดเผยเด็ดขาด
3. กำหนดลักษณะของข้อมูลภายในอีเมล์ที่อนุญาตให้นำไปใช้เพื่อการอื่นได้ : เนื่องจากการศึกษาวิจัยทางการแพทย์นั้น มักจะได้อาศัยบรรดาข้อมูลจากผู้ป่วยนี่แหล่ะไปใช้ ทำให้บางครั้งอาจจะต้องโอนย้ายข้อมูลบางส่วนไปใช้เป็นกรณีๆ นอกจากนั้น ในโรงพยาบาลที่มีการจัดตั้งระบบบริหารโรงพยาบาลด้วยคอมพิวเตอร์ไว้อย่าง สมบูรณ์ การโอนย้ายข้อมูลผู้ป่วยจากแผนกหนึ่งไปอีกแผนกหนึ่ง ยังอาจถือเป็นประโยชน์กับตัวผู้ป่วยเอง เพราะจะทำให้ข้อมูลผู้ป่วยมีความถูกต้องทันสมัยอยู่ตลอดเวลา (เช่น การโอนข้อมูลจากใบสั่งยาจากอีเมล์ไปที่ฐานข้อมูลลเวชระเบียน ไปห้องยา และไปหอผู้ป่วย หรือ การโอนข้อมูลคำแนะนำของแพทย์จากอีเมล์ไปที่เวชระเบียน และแผนกผู้ป่วยพิเศษ ฯลฯ) อย่างไรก็ตาม ต้องระบุห้ามโอนย้ายข้อมูลบางอย่างไว้อย่างเด็ดขาด ยกตัวอย่างเช่น ข้อมูลลผลตรวจโรคเอดส์ หรือผลตรวจวิเคราะห์ทางงจิต ฯลฯ
4. กำหนดประเภทของหัวเรื่องอีเมล์ : ซึ่งจะทำให้ง่ายสำหรับผู้ดูแลรับผิดชอบในการจัดจำแนกประเภท (Subject categories) ของอีเมล์ที่ถูกส่งเข้ามายังโรงพยาบาล อย่างน้อยก็แยกได้ว่าเรื่องงไหนด่วนขนาดคอขาดบาดตาย เรื่องไหนไม่เร่งร้อน หรือถ้าเป็นระบบอีเมล์รวมศูนย์ ก็จะได้ใช้แยกส่งอีเมล์ไปยังผู้เชี่ยวชาญแต่ละรายไป (บางคนอาจจะติดนิสัยการเขียนจดหมายธรรมดาที่เรียกขานกันด้วยชื่อเล่น จึงควรกำหนดให้ผู้ใช้อีเมล์ต้องระบุชื่อจริงไว้สักหนึ่งชื่อภายในอีเมล์)
5. กำหนดมาตรการจ่าหัวเรื่อง : เนื่องจากข้อมูลส่วนตัวของผู้ป่วยนั้นถือเป็นความลับที่ต้องรักษาไว้ตาม จรรยาบรรณ แพทย์และผู้ป่วยจึงควรตระหนักถึงความสำคัญของวิธีการจ่าหัวเรื่องด้วยว่า จะต้องงใช้คำพูดที่เป็นกลางไม่เปิดเผยความลับที่ไม่สมควร เช่น หัวอีเมล์ประเภทที่ระบุ "เรื่องผลการตรวจเลือดเอดส์ของคุณ" นั้นถือเป็นเรื่องต้องห้ามอย่างเด็ดขาด
ทั้ง 5 ข้อตกลงนี้ เป็นเพียงตัวอย่างที่น่าสนใจเท่านั้น บางโรงพยาบาลอาจจะมีมากกว่าหรือน้อยกว่า 5 ข้อนี้ แต่ไม่ว่าจะมีข้อตกลงมากน้อยเพียงไร ทางงสมาคม AMIA ก็แนะนำว่าควรจะพิมพ์ออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร แล้วให้ทั้งฝ่ายลงนามรับทราบไว้ในฐานะของพันธะกรณีที่มีระหว่างกัน
ความเป็นไปได้ของอีเมล์การแพทย์ในไทย
สำหรับ ในเมืองไทยนั้น ผู้เขียนเห็นว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะมีการนำเอาระบบบให้คำปรึกษาทางการ แพทย์ผ่านอีเมล์เช่นนี้มาใช้ เนื่องจากลักษณะสังคมไทยที่ดูเหมือนจะยอมรับเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้กันได้โดยง่าย และนี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ผู้เขียนอยากจะนำเอาข้อเสนอแนะที่สมาคมสารสนเทศ การแพทย์มีให้กับบรรดาแพทย์อเมริกันมาเผยแพร่ไว้ ณ ที่นี้ เผื่อว่ามีท่านผู้อ่านท่านใดที่เป็นแพทย์และคิดจะนำเอาระบบดังกล่าวไปใช้ คลีนิค จะได้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ และเลือกกำหนดรูปแบบของการสื่อสารไว้แต่เนิ่นๆ
อย่างไรก็ตาม ในระยะแรกๆ นั้น
ระบบ การให้คำปรึกษาทางการแพทย์ผ่านอีเมล์ในประเทศไทยน่าจะถูกจำกัดอยู่เฉพาะ กลุ่มคนที่มีการศึกษาและมีฐานะดี เพราะปริมาณผู้ใช้อินเตอร์เน็ตในบ้านเรายังมีอยู่ไม่มากนัก แถมส่วนใหญ่ก็ยังผ่านเครือขายของสถานศึกษาอีกด้วย ฉะนั้น รูปแบบของการให้คำปรึกษาก็ย่อมจะพลอยถูกจำกัดไปตามประเภทของผู้คนที่ใช้งาน อินเตอร์เน็ตไปด้วย นั่นคือ น่าจะเป็นปัญหาทางสุขภาพที่อยู่ในความสนใจของหนุ่มสาววัยอุดมศึกษา หรือวัยทำงาน ตัวอย่างของปัญหาสุขภาพที่ผู้คนในวัยนี้สนใจมักจะเป็นเรื่อง ความสวยความงาม การรักษาหน้าตาผิวพรรณ การแก้ไขปัญหาสุขภาพจิต และปัญหาข้อคับข้องใจในเรื่องเพศศึกษา ฯลฯ โดยคุณ : สุรพล ศรีบุญทรง -
การหย่าร้างสร้างผลกระทบต่อเด็กนานถึง 25 ปี
"พวกเราพบว่ามายาภาพที่เกิดจากการหย่าร้างเป็นเพียงวิกฤติชั่วคราวที่เกิดขึ้นต่อเด็ก
ใน ตอนนั้น แต่ผลของความเจ็บปวดครั้งใหญ่มันจะเกิดขึ้นเมื่อพวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เพราะเมื่อพวกเขาต้องเล่นบทเป็นพ่อหรือแม่บ้าง ภาพความสัมพันธ์แบบนั้น ในวัยเด็กมันก็จะย้อนกลับมากระทบต่อบทบาทในครั้งนี้"
จาก ผลการศึกษาของ อาจารย์จูดิธ วอลเลอร์สไตล์ อาจารย์แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย-เบอร์คเลย์ ที่เปิดเผยถึงผลการวิจัย เกี่ยวกับเด็กที่มาจากครอบครัวแตกแยก ผ่านหนังสือชื่อ "มรดกที่ไม่คาดฝันจากการหย่าร้าง : การศึกษากลุ่มเป้าหมายในเวลา 25 ปี" วอลเลอร์สไตน์ เข้าไปจับเรื่องนี้ตั้งแต่ปี 1971 โดยเก็บข้อมูลจากเด็กชายที่อาศัยอยู่แถบชายฝั่ง ซานฟรานซิสโก จำนวน 100 คน และนับได้ว่าเป็นงานวิจัยชิ้นแรกที่ศึกษาผลกระทบของการหย่าร้างตั้งแต่ยัง เป็นเด็กต่อเนื่องจนกระทั่งเป็นผู้ใหญ่
การ วิจัยได้ศึกษาข้อมูล โดยเปรียบเทียบระหว่างเด็กครอบครัวแตกแยกและเด็กที่มาจากครอบครัวที่สมบรูณ์ แล้วสรุปได้ว่าการหย่าร้างของพ่อแม่ยังคงเป็นผลกระทบที่ยาวนานต่อสภาวะ อารมณ์ในการดำรงชีวิตของเด็ก ๆ ซึ่งจะมีผลอย่างมากต่อความสัมพันธ์กับผู้ใหญ่
เด็ก ๆ ที่ผ่านประสบการณ์การหย่าร้างจะดำเนินชีวิตด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วย อันตราย เพราะความกลัวที่จะฝ่าฟัน เพื่อให้ลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยอาจจะส่งผลให้เกิดการใช้ยา หรือดื่มแอลกอฮอล์จนเกิดขนาด เด็กกลุ่มนี้มีความรู้สึกว่า มันยากเย็นมากหากพวกเขาพยายามจะมีชีวิตอยู่อย่างคนปกติ และในความพยายามนี้ ทำให้พวกเขากลายเป็นเด็กที่มักจะทำผิดเสมอ ในสายตาผู้อื่น เพราะหลังจากพ่อแม่แยกกันอยู่� เด็กจะรู้สึกว่าพวกเขาได้รับการปกป้องน้อยลง ส่วนทางด้านร่างกายก็มีปัญหาการขาดสารอาหาร
ที่สำคัญในจำนวนเด็กเหล่า นี้ น้อยนักที่คิดจะแต่งงาน หรือแต่งงานแล้วก็ไม่อยากจะมีลูก และแนวโน้มของการหย่าร้างมีมากกว่าคู่แต่งงานที่ต่างมาจากครอบครัวสมบรูณ์
ผล การศึกษายังเปิดเผยอีกว่า เมื่อกลุ่มตัวอย่างโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เด็กครอบครัวสมบรูณ์แต่งงาน 80% ส่วนเด็กครอบครัวแตกแยก แต่งงาน 60% โดย 38% ของกลุ่มหลังมีลูก และอีก 17% ทำตัวออกห่างจากชีวิตสมรส แตกต่างจากเด็กครอบครัวสมบรูณ์ที่มีลูกตามปกติ และยังคงใช้ชีวิตอยู่ในบริบทของการสมรส
เด็ก ที่พ่อแม่หย่าร้างส่วนมากจะแต่งงานก่อนอายุ 25 ปี ขณะที่เด็กครอบครัวสมบรูณ์ทำอย่างนั้นเพียง 11% นอกจากนี้ การหย่าร้างยังเป็นผลกระทบต่อชีวิตในด้านอื่น ๆ เพราะมีเด็กเพียง 29% หลังจากที่พ่อแม่แยกทางกัน แต่ได้รับการช่วยเหลือด้านการเงินจากพ่อ ในการจ่ายค่าเทอมให้ได้เรียนในระดับที่สูงขึ้นไป เมื่อเปรียบเทียบกับ เด็กที่มาจากครอบครัวสมบรูณ์แล้วพบว่ามี 88% ที่พ่อแม่ส่งเสียให้เรียนในระดับสูง
นอก จากนี้ ผลการวิจัยยังรายถึงสถิติการใช้ยาเสพติดและดื่มแอลกอฮอล์ว่า เด็กที่พ่อแม่แยกทางกัน 25% จะใช้สิ่งเหล่านี้ก่อนอายุ 14 ปี ขณะที่จำนวนเด็กครอบครัวอบอุ่น ใช้ยาเสพติดและแอลกอฮอล์ก่ออายุ 14 ปี มีเพียง 9%
วอลเลอร์สไตล์ กล่าวว่า การศึกษาครั้งนี้สร้างความกระจ่างชัดว่า เด็กหากได้อยู่ในสภาวการณ์การหย่าร้าง นับเป็นการทำลายประสบการณ์ ชีวิตของพวกเขา แต่เธอก็ได้ก็ไม่ได้ฟันธง สรุปลงไปในงานวิจัยว่า คู่สมรสควรจะอยู่ด้วยกันเพื่อเด็ก แต่ควรจะปล่อยให้เป็นไปตามที่ชีวิตสมรสควรจะเป็น
อย่างไรก็ตาม ผู้วิจัยได้เสนอว่า หากเกิดกรณีที่รุนแรง การหย่าร้างที่รุนแรง พ่อแม่สามารถทำให้สภาพจิตใจเด็กดีขึ้น
โดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยังคงคอยดูแลลูก และทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี แต่ก็หลาย ๆ กรณีอาจจะทำอย่างนั้นไม่ได้ แต่ให้พ่อแม่จำเอาไว้ว่า "ชีวิตมันจะยากเย็นมากขึ้นสำหรับเด็ก เพราะพ่อแม่ทำให้มันยากมากขึ้น
วันศุกร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2549
ถูกทิ้งซ้ำบ๊อยบ่อยค่ะ - ภัทรา ธีรวรรณ
(รอดนตรี.ครูดำก่อนเด้อ.)
..ยอม รับว่าซื่อจริงจริง
ฮือฮือฮือเฮือฮือ
จึงถูกทิ้งบ๊อยบ่อย
ก่อนตาย ฉันคงซ้ำไปถึงร้อย
อกหักซ้ำบ๊อยบ่อย
ถูกปล่อยให้ตรมอุรา
..ยอมรับว่าจนเงินทอง
ฮือฮือฮือเฮือฮือ
มองไม่เห็นคุณค่า
ผู้ชายเขาจึงไม่หมายชายตา
จะมีแค่เพียงว่า
ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
..อยากรู้ ค่าที่ชายเขาบูชา
น้ำใจหรือว่าเงินตรา
หรือศักดินายิ่งใหญ่
ขี้เหร่ใจซื่อ
กับคนสวยใจร้าย
ใครจะต้องร้องไห้
ใครจะได้ความรัก
..ยอมรับว่ารักแท้จริง
อือฮือฮือเออฮืออือ
เป็นสิ่งหาได้ยาก
ซื่อตรงนั้นคงไม่พอให้รัก
ผู้ชายเขาตระหนัก
คนรักต้องรวยต้องสวย
..ยอมรับว่ารักแท้จริง
อือฮือฮือเออฮืออือ
เป็นสิ่งหาได้ยาก
ซื่อตรงนั้นคงไม่พอให้รัก
ผู้ชายเขาตระหนัก
คนรักต้องรวยต้องสวย
สาวท้งอาลัย - พูวรง วาดทะลิสัก
ดนตรี 16 Bars..15...
16.อ้ายจาก
อนงค์สาวท้งหม่นหมอง
สาวบ้านโพนหมีโพนซอง
สาวนะทองบ้านโพนสิดา
สาวนาล่องกุน มีบุญให้หวนคืนมา
โพนสวาดนะเหล่าโพนทา
ขวัญตาเป็นห่วงอีหลี...
เมื่อจาก โพนโฮงสาวท้งยังจำ
น้องสาวโพนถามโพนงาม
ยังคิดตำอ้ายทุกนาที
โพนนกนาซู โสมตรูขอให้โซคดี
อีกทางผู้สาวโพนสี
แม้นเป็นปีก็ยังห่วงใย
โพนเงิน
โพนหอ โพนแก้วโพนไฮ
น้องสุดอาลัย
หัวใจน้องห่วงบ่หาย
แสนซุ่มบ้านขาม
สาวงามบ่เคยหลายใจ
บุญมีโซคดีปีใหม่
ขวัญใจให้ต่าวคืนมา
น้องอยู่ โพนโฮงฟังส่งแต่เสียง
บ่คิดจะมีคู่เคียง
อ้ายเมื่อเวียงจงฟาวกลับมา
ให้ฝากเสียงเพลง
เสียงเพลงกล่อมน้องนิทรา
คิดฮอดยามอ้ายสั่งลา
ปีหน้าค่อยมาพบกัน
ดนตรี 16 Bars..15...
16.โพนเงิน
โพนหอ โพนแก้วโพนไฮ
น้องสุดอาลัย
หัวใจน้องห่วงบ่หาย
แสนซุ่มบ้านขาม
สาวงามบ่เคยหลายใจ
บุญมีโซคดีปีใหม่
ขวัญใจให้ต่าวคืนมา
น้องอยู่ โพนโฮงฟังส่งแต่เสียง
บ่คิดจะมีคู่เคียง
อ้ายเมื่อเวียงจงฟาวกลับมา
ให้ฝากเสียงเพลง
เสียงเพลงกล่อมน้องนิทรา
คิดฮอดยามอ้ายสั่งลา
ปีหน้าค่อยมาพบกัน...
ขี่เก๋งอย่าลืมเกวียน - ภูมินทร์ อินทรพันธ์
ดนตรี 16 Bars..14...15...
16..เห็นดาวเคียงเดือน
เหมือนเตือนความจำ
โอ้ใจพี่ช้ำ น้ำตา มันตก ใน
เพราะนางลืมคำ ไม่จำ ใส่ ใจ
แม่นาง ฝัน ใฝ่ เป็นดา-รา
ทิ้งรวงทอง น้องลืมนา
ลืมคำ ที่สา-บาน
โถใจนวลปราง
ทิ้งบางลืมควาย
ถ้านางโชคร้าย หลงไป ในหมู่ พราน
ครั้นมัวลืมองค์ ก็คง แหลก ราญ
ต้องโดน เขา ปั่น มานอน ซม
แม้เจอชาย หมายลวงชม
อาจตรม จนถึง ตาย
ขี่ เก๋ง อย่าลืมเกวียน บ้านนอก
ระวังนะจ๊ะบางกอก จะหลอกพานางเร่ขาย
ไนท์คลับในบาร์ โรงน้ำชา แมงดามากมาย
ล้วนแต่ปีกเงิน ปีกทอง และ ปีก-ลาย
กว่าจะรู้ตัวก็สาย
ไม่พ้นให้ควายต้องเสียน้ำตา
เหลียวมองดูควาย
โถใครดั่งมัน
เมื่อยามดื้อรั้น โถมัน ยังห่วงนา
น้องควรมองเงา ซิเรา เผ่ากา
ไม่ควร หนี ป่า จงคืน ดอน
หนีเมืองกรุง ซะบังอร วิงวอน ด้วยหวัง ดี
ดนตรี 10 Bars..8...9...
10..ขี่ เก๋ง อย่าลืมเกวียน บ้านนอก
ระวังนะจ๊ะบางกอก จะหลอกพานางเร่ขาย
ไนท์คลับในบาร์ โรงน้ำชา แมงดามากมาย
ล้วนแต่ปีกเงิน ปีกทอง และ ปีก-ลาย
กว่าจะรู้ตัวก็สาย
ไม่พ้นให้ควายต้องเสียน้ำตา
เหลียวมองดูควาย
โถใครดั่งมัน
เมื่อยามดื้อรั้น โถมัน ยังห่วงนา
น้องควรมองเงา ซิเรา เผ่ากา
ไม่ควร หนี ป่า จงคืน ดอน
หนีเมืองกรุง ซะบังอร วิงวอน ด้วย หวัง ดี
.
โทษเถาะซังๆ - มานพ ขวัญดารา
.จำเป็นผมต้องพูดเรื่องจริง
ผู้หญิงผมไม่เข้าใจ
ขี้หึงขี้หวงขี้อ้อน
แสนงอนก็อย่าบอกใคร
ไม่ได้ดั่งใจก็โกรธ
โทษเถาะ ซังซังซังซัง
โทษเถาะ ซังซังซังซัง
อย่างเช่นแฟนผมเป็นต้น
เป็นคนชอบเอาแต่ใจ
ทั้งวันขอนั่นขอนี่
ขอทีต้องให้ไวๆ
ไม่ให้แล้วก็มาโกรธ
โทษเถาะ ซังซังซังซัง
โทษเถาะ ซังซังซังซัง
อยากได้ทั้งแหวนทั้งสร้อย
ให้ร้อยก็จะเอาพัน
อยากไปคาราโอเกะ
ชอบเต๊ะแต่เพลงมันๆ
ไม่ทันใจก็มาโกรธ
โทษเถาะ ซังซังซังซัง
โทษเถาะ ซังซังซังซัง
อยากกินไอ้นั่นไอ้นี่
กินดีกว่าเทวดา
อยากกินปลาช่อนถอดเกล็ด
ถือเคล็ดว่ารสโอชา
ถ้าไม่ได้กินก็โกรธ
โทษเถาะ ซังซังซังซัง
โทษเถาะ ซังซังซังซัง
ยามนอนให้ร้องเพลงกล่อม
ให้หอมก่อนนอนสิบที
อากาศก็ร้อนเป็นบ้า
หางานให้ทำทั้งปี
ไม่ทำให้ก็มาโกรธ
โทษเถาะ ซังซังซังซัง
โทษเถาะ ซังซังซังซัง
"
"
...
102..จำเป็นผมต้องพูดเรื่องจริง
ผู้หญิงผมไม่เข้าใจ
ขี้หึงขี้หวงขี้อ้อน
แสนงอนก็อย่าบอกใคร
ไม่ได้ดั่งใจก็โกรธ
โทษเถาะ ซังซังซังซัง
โทษเถาะ ซังซังซังซัง...
ยามนอนให้ร้องเพลงกล่อม
ให้หอมก่อนนอนสิบที
อากาศก็ร้อนเป็นบ้า
หางานให้ทำทั้งปี
ไม่ทำให้ก็มาโกรธ
โทษเถาะ ซังซังซังซัง
โทษเถาะ ซังซังซังซัง...
สองฝั่งโขง - มะลิวัลย์
..สาย นทีรินหลั่งจากฟ้า
แบ่งพสุธาเป็นซ้ายและขวา
สองฝั่ง
หากน้ำกั้นกลางนั้นบ่สำคัญ
แต่ความสัมพันธ์
ของเรามั่นคงเรื่อยไป
..ถึง ไกลกันคนละฝั่งของ
ต่างหมายปองดองมุ่งหวังทั้งสอง
จนได้
ด้วยความใฝ่ฝันมั่นสุดหัวใจ
ปักฝังทรวงใน
เหมือนใจ เดียวกัน
..ทั้งสองฝั่ง
กั้นกลางด้วยสายนที
แต่ประเพณี นั้นบ่ต่างกัน
ชาติลาวและไทยก่อนนั้นเคยได้
สัมพันธ์
ร่วมสายโลหิตเดียวกัน
เพียงน้ำเท่านั้นมากั้นแบ่งกลาง
..ขอ ฟ้าดินจงเป็นสักขี
โปรดคิดปราณีจงอย่าได้มี
วันห่าง
อย่าให้สัมพันธ์นั้นต้องจืดจาง
ฝากฝังชีวี เหนือนทีสองฝั่งเอย
(รอครูดำ Solo ก่อนเด้อ)
..ขอ ฟ้าดินจงเป็นสักขี
โปรดคิดปราณีจงอย่าได้มี
วันห่าง
อย่าให้สัมพันธ์นั้นต้องจืดจาง
ฝากฝังชีวี เหนือนทีสองฝั่งเอย..
5 เพลงของ พวงเพชร ห้าวหาญ
รักต่างวัย ( G ) | พี่หล่ออย่าหลอก ( Eb ) |
ดนตรี 8 ห้อง..6... | ดนตรี 8 ห้อง..7... |
ผู้ชายดีๆมีไหม ( Em ) | ตัดหางปล่อยวัด ( Fm ) |
ดนตรี 8 ห้อง..6... | ดนตรี 8 ห้อง..7... |
จับเข่าคุยกัน ( Bbm )
พวงเพชร ห้าวหาญ
Bbm
ดนตรี 8 ห้อง..6...
7...8. ถ้าหากเรา
จับเข่าคุยกัน
เรื่องมัน คงไม่เป็นอย่างนี้
เราก็คง เข้าใจกันดี
คงไม่มี ใครเสียน้ำตา
ถ้าหากเรา ให้เกียรติซึ่งกัน
เรื่องมัน คงไม่มีปัญหา
มีอะไร ค่อยพูดค่อยจา
การเลิกรานั้น คงไม่มี
ดนตรี 4 ห้อง..2...
3...4. แต่นี่เรา
ต่างคนต่างถือ
ถือว่าตัวเองดี
ไม่อ่อนข้อ ให้กันซักที
ไม่มีการให้อภัย
เนื่องจากเรา ต่างขาดเหตุผล
เราต่างคน ก็เลยต่างไป
ไม่อาจมา คืนดีกันได้
เป็นเพราะเรา ไม่เข้าใจกัน
ดนตรี 8 ห้อง..6...
7...8. แต่นี่เรา
ต่างคนต่างถือ
ถือว่าตัวเองดี
ไม่อ่อนข้อ ให้กันซักที
ไม่มีการให้อภัย
เนื่องจากเรา ต่างขาดเหตุผล
เราต่างคน ก็เลยต่างไป
ไม่อาจมา คืนดีกันได้
เป็นเพราะเรา ไม่เข้าใจกัน
.
5 เพลงของ พรชิตา ณ สงขลา
ไปดีดาบหน้า | เธอไม่รู้หรอก |
....ดนตรี.......... | ....ดนตรี.......... |
เขามิใช่ของเรา | อยากมีใครสักคน |
....ดนตรี........... | ....ดนตรี.......... |
กินจุ๊บจิ๊บ
พรชิตา ณ สงขลา
Bb
....ดนตรี..........
เศร้า ๆ ๆ รักเราเขามีปีกบิน
เรา ไม่รู้ทำไง
เจ๊บ ใจ เลยได้แต่กิน
เจ๊บ ใจ เลยได้แต่กิน
กินจุ๊บจิ๊บ กินจุ๊บจิ๊บ
กินจุ๊บกินจิ๊บกินจุ๊บจิ๊บ.
ส้มตำ ปูเค็ม อย่างเต็มครกเลย
ปู นึ่งเอย ถ้ามีน้ำจิ้มแซ่บหลาย
ฉีก ไก่นา น้ำปลาจิ้มหน่อยดีไหม
แล้วตามด้วยไข่ ลูกเขย
อร่อยนักเลย ก็เลยต้องกิน.
....ดนตรี......
ผัดไทย สักจาน เบิกบานหัวใจ
ปลา หม้อไฟ
ต้องกินให้ได้ คราวนี้
เป็ด พะโล้ ชิ้นโตเนื้อแน่นอย่างนี้
เขา จรลี จากไป
มันเจ็บที่ใจ เลยได้แต่กิน.
เศร้า ๆ ๆ รักเราเขามีปีกบิน
เรา ไม่รู้ทำไง
เจ๊บ ใจ เลยได้แต่กิน
เจ๊บ ใจ เลยได้แต่กิน
กินจุ๊บจิ๊บ กินจุ๊บจิ๊บ
กินจุ๊บกินจิ๊บกินจุ๊บจิ๊บ.
ออกไป ลองชิม สะหริ่มสักชาม
มัน เชื่อมตาม
ข้าวหลามสักหน่อย ดับโมโห
เผือก ฝอยทอง
เต้าหู้ลอดช่อง ชามโต
ทุเรียน สักโล ก่อนนอน
ไม่ต้องง้องอน คนที่ใจหิน.
....ดนตรี......
สตรอ เบอรี่ ไอติม วะ นิลา
กิน น้ำตา แล้วมันขมขื่น ไม่ชื่นใจ
เปิบ ไข่หวาน
ลูกตาลแช่อิ่ม สดใส
หม้อแกงแตงไทย กล้วยบวชชี
อร่อยทุกที ที่ถูกกับลิ้น.
เศร้า ๆ ๆ รักเราเขามีปีกบิน
เรา ไม่รู้ทำไง
เจ๊บ ใจ เลยได้แต่กิน
เจ๊บ ใจ เลยได้แต่กิน
กินจุ๊บจิ๊บ กินจุ๊บจิ๊บ
กินจุ๊บกินจิ๊บกินจุ๊บจิ๊บ.
....ดนตรี..........
สตรอ เบอรี่ ไอติม วะ นิลา
กิน น้ำตา แล้วมันขมขื่น ไม่ชื่นใจ
เปิบ ไข่หวาน
ลูกตาลแช่อิ่ม สดใส
หม้อแกงแตงไทย กล้วยบวชชี
อร่อยทุกที ที่ถูกกับลิ้น.
เศร้า ๆ ๆ รักเราเขามีปีกบิน
เรา ไม่รู้ทำไง
เจ๊บ ใจ เลยได้แต่กิน
เจ๊บ ใจ เลยได้แต่กิน
กินจุ๊บจิ๊บ กินจุ๊บจิ๊บ
กินจุ๊บกินจิ๊บกินจุ๊บจิ๊บ.
..
.
10 เพลงของ ฝ้าย บุศรินทร์
ต่างกันที่ความรู้สึก ( A ) | จริงซะอย่าง ( C#m ) |
ในบางครั้ง ถ้อยคำดีดี ก็ทำร้ายเมื่อได้ฟัง อย่าบอกเลยว่าเธอรักฉัน ยิ่งได้ฟังยิ่งเสียใจ เมื่อการกระทำ มันฟ้องบางอย่าง ว่าใจเธอไม่ได้คิดอย่างนั้น เพิ่งเข้าใจวันนี้ ว่ารักที่เธอให้กับฉัน ไม่เหมือนคำรักที่ฉันให้เธอ ต่างกันตรงที่ความรู้สึก รักของฉันมันคือหัวใจ แต่ที่เธอบอกกันทุกครั้ง เหมือนเป็นเพียงลมปาก เหมือนมันไม่ใช่คำ พูดจากหัวใจ อยากให้รู้ ว่าใครคนหนึ่ง ได้แต่น้อยใจทุกวัน อยากจะซึ้งกับคำรักนั้น แต่เหมือนมันดูเลื่อนลอย เมื่อการกระทำ มันฟ้องบางอย่าง ว่าใจเธอไม่ได้คิดอย่างนั้น เพิ่งเข้าใจวันนี้ ว่ารักที่เธอให้กับฉัน ไม่เหมือนคำรักที่ฉันให้เธอ ต่างกันตรงที่ความรู้สึก รักของฉันมันคือหัวใจ แต่ที่เธอบอกกันทุกครั้ง เหมือนเป็นเพียงลมปาก เหมือนมันไม่ใช่คำ พูดจากหัวใจ ดนตรี..8..Bars 6...7...8>>> ต่างกันตรงที่ความรู้สึก รักของฉันมันคือหัวใจ แต่ที่เธอบอกกันทุกครั้ง เหมือนเป็นเพียงลมปาก เหมือนมันไม่ใช่คำ พูดจากหัวใจ ต่างกันตรงที่ความรู้สึก รักของฉันมันคือหัวใจ แต่ที่เธอบอกกันทุกครั้ง เหมือนเป็นเพียงลมปาก เหมือนมันไม่ได้มา จากใจของเธอ | ฉันไม่นับจะรวยจะจน คำว่าคนก็ยังไม่เปลี่ยน ฉันไม่สนว่าคนอะไร จีน ลาว ไทย ฝรั่ง หรือทุเรียน ถ้าคบกันอย่างจริงใจ อะไรก็อยู่ที่หลัง ขอเพียง เป็นเพื่อนฉันซะอย่าง ฉันไม่นับว่ามีหน้าตา สองตาหนึ่งหน้าเท่ากัน ฉันไม่วัด ว่า High หรือ Low High Low ก็คือการพนัน ถ้าคบกันอย่างจริงใจ อะไรก็อยู่ที่หลัง ขอเพียง เป็นเพื่อนฉันซะอย่าง ฉันไม่เคยสนใจ จะนามสกุลอะไร ฉันไม่อยากรู้ด้วยซ้ำไป ไม่เห็นอะไรสำคัญ เพื่อนฉันคำเดียว เชื่อไหมว่ามันอยู่เหนือสิ่งใด จะดีร้ายยังไงเปิดใจ มาคบกัน ดนตรี..4..Bars 2...3...4>>> ฉันไม่คบคนไม่จริง คนไม่จริงอย่าโกรธละกัน ฉันไม่สนว่าคนอย่างไง คนยังไงให้จริงก็แล้วกัน ถ้าคบกันอย่างจริงใจ อะไรก็อยู่ที่หลัง ขอเพียง เป็นเพื่อนฉันซะอย่าง ฉันไม่เคยสนใจ จะนามสกุลอะไร ฉันไม่อยากรู้ด้วยซ้ำไป ไม่เห็นอะไรสำคัญ เพื่อนฉันคำเดียว เชื่อไหมว่ามันอยู่เหนือสิ่งใด จะดีร้ายยังไงเปิดใจ มาคบกัน ดนตรี..4..Bars 2...3...4>> ฉันไม่เคยสนใจ จะนามสกุลอะไร ฉันไม่อยากรู้ด้วยซ้ำไป ไม่เห็นอะไรสำคัญ เพื่อนฉันคำเดียว เชื่อไหมว่ามันอยู่เหนือสิ่งใด จะดีร้ายยังไงเปิดใจ มาคบกัน |
ข่าวลือ ( Ebm ) | ผิดไหม ( Eb ) |
ข่าวลือ เกิดเป็นข่าวลือว่าฉันรักเธอ ไม่รู้ใคร กระจายข่าวไปว่าฉันรักเธอ คนโน้นก็บอก คนเนี๊ยะก็บอก ว่าฉันน่ะกำลังมีความรัก เพื่อนฉันก็บอก เพื่อนเธอก็บอก ว่าฉันน่ะตกหลุมรักตัวเธอ ก็รู้กันหมด ก็พูดกันใหญ่ ว่าฉันน่ะใจลอยพร่ำเพ้อ นั่งยิ้มคนเดียว นั่งคิดถึงเธอ ว่าฉันน่ะมีแต่เธอในใจ ต้นตอมาจากไหน ข่าวลือ เกิดเป็นข่าวลือว่าฉันรักเธอ ไม่รู้ใคร กระจายข่าวไปว่าฉันรักเธอ เธอเชื่อหรือเปล่า เธอชอบหรือเปล่า ที่เธอต้องเป็นข่าวกับฉัน เธอคิดยังไง อยากรู้เหมือนกัน อยากให้มันจริง อย่างนั้นรึเปล่า แต่ฉันขอบอก ไม่เถียงเค้าหรอก จะว่าไปมันก็จริงอย่างเขา อยากรู้ที่มา ข่าวเนี๊ยะรึเปล่า ว่าข่าวมันมีมาได้ยังไง ต้นตอมาจากไหน ฉันเอง ต้นตอข่าวลือว่าฉันรักเธอ ก็ฉันเอง กระจายข่าวไปว่าฉันรักเธอ ดนตรี..8..Bars 6...7...8>>> คนโน้นก็บอก คนเนี๊ยะก็บอก ว่าฉันน่ะกำลังมีความรัก เพื่อนฉันก็บอก เพื่อนเธอก็บอก ว่าฉันน่ะตกหลุมรักตัวเธอ ต้นตอมาจากไหน ข่าวลือ เกิดมีข่าวลือว่าฉันรักเธอ ไม่รู้ใคร กระจายข่าวไปว่าฉันรักเธอ | ก็เหมือนทุกวัน ที่ฉันพบเธออย่างเคย ยิ่งเห็นหน้ากัน แอบรักมานานเลยหวั่นไหว แต่ถ้าให้รอ ไม่รู้ต้องรอถึงเมื่อไหร่ ให้คนที่รักเดินเข้ามา ฉันก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่ง เท่านั้นเอง ที่รัก รักเธอทั้งหัวใจ อยากยอมรับความจริง ได้ไหม ผิดไหมถ้าในวันนี้ จะเป็นคนพูดว่าฉันรักเธอก่อน ขอเป็นคนบอกรัก คงไม่เรียกร้องมากมาย เพราะถ้าในวันนี้ ไม่ยอมเปิดเผย มันคงจะล้นใจ ฉันคงไม่เรียบร้อย อย่างที่คิดไว้ ฉันรักเธอ จะให้ฉันทำอย่างไร ก็คิดเหมือนกัน ว่ามันไม่ดีไม่งาม ไม่รู้เหมือนกัน เธอคิดกับฉันในแบบไหน แค่นี้ก็พอ ได้พูดความจริงก็พอใจ เธอจะไม่รักไม่ว่ากัน ฉันก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่ง เท่านั้นเอง ที่รัก รักเธอทั้งหัวใจ อยากยอมรับความจริง ได้ไหม ผิดไหมถ้าในวันนี้ จะเป็นคนพูดว่าฉันรักเธอก่อน ขอเป็นคนบอกรัก คงไม่เรียกร้องมากมาย เพราะถ้าในวันนี้ ไม่ยอมเปิดเผย มันคงจะล้นใจ ฉันคงไม่เรียบร้อย อย่างที่คิดไว้ ฉันรักเธอ จะให้ฉันทำอย่างไร ขอเป็นคนบอกรัก คงไม่เรียกร้องมากมาย เพราะถ้าในวันนี้ ไม่ยอมเปิดเผย มันคงจะล้นใจ ฉันคงไม่เรียบร้อย อย่างที่คิดไว้ ฉันรักเธอ จะให้ฉันทำอย่างไร |
อกหักต้องทำไง ( C# ) | ไม่จริ๊ง ไม่จริง ( Fm ) |
ที่เพื่อนถาม ถามฉันเวลาอกหักต้องทำไง รักเขาแล้วเขาก็กลับไม่สนใจ ทำไงเพื่อนเอย ไม่ค่อยรู้ เคยดูแต่ในมิวสิควิดีโอ ดาราเขามีวิธีแบบโอ้โห มันโดนมากเลย อกหักแล้วเท่ดี เพื่อนเอ๋ยเห็นทีต้องลอง เดินตากฝน แบบฉบับคนผิดหวัง ยืนพิงที่ผนัง ทรุดลงกอง นั่งเหม่อทำหน้าเหงา แล้วก็ขว้างปาข้าวของ ใครมาก็อย่ามอง มองกล้องไปตรงตรง ไม่ดี ดนตรี..4..Bars 2...3...4>> เปิดมือถือ รับสายแล้วไม่ต้องพูด อย่าลืมเชียว ร้องไห้ให้น้ำตาไหล มาข้างเดียว มันโดนมากเลย อกหักแล้วเท่ดี เพื่อนเอ๋ยเห็นทีต้องลอง เดินตากฝน แบบฉบับคนผิดหวัง ยืนพิงที่ผนัง ทรุดลงกอง นั่งเหม่อทำหน้าเหงา แล้วก็ขว้างปาข้าวของ ใครมาก็อย่ามอง มองกล้องไปตรงตรง ไม่ดี ดนตรี..8..Bars 6...7...8>> เดินตากฝน แบบฉบับคนผิดหวัง ยืนพิงที่ผนัง ทรุดลงกอง นั่งเหม่อทำหน้าเหงา แล้วก็ขว้างปาข้าวของ ไปเดินเตะกระป๋อง ไม่สนใจผู้คน เดินตากฝน แบบฉบับคนผิดหวัง ยืนพิงที่ผนัง ทรุดลงกอง นั่งเหม่อทำหน้าเหงา แล้วก็ขว้างปาข้าวของ ใครมาก็อย่ามอง มองกล้องไปตรงตรง ไม่ดี | ใครว่าฉัน แอบเธอไปหาคนอื่น ควงกันหวานกันแหวว เขาน่ะหลอกเธอแล้ว ไม่จริ๊งไม่จริง ใครว่าฉัน จิกตามองหาคนอื่น เคยที่ไหนไม่เคย ฉันน่ะอยู่เฉยเฉย ไม่จริ๊งไม่จริง ไม่ใช่คนอย่างนั้น บอกตรงตรงไม่เคย จะให้ฉันสาบานก็ได้ ให้ฟ้าผ่าแมวเลย เชื่อฉันเหอะ นั่นแค่พี่แค่น้อง แค่เพื่อนสนิท คิดอะไรที่ไหน ฉันน่ะถูกใส่ร้าย ไม่จริ๊งไม่จริง ไม่ใช่คนอย่างนั้น บอกตรงตรงไม่เคย จะให้ฉันสาบานก็ได้ ให้ฟ้าผ่าแมวเลย เชื่อฉันเหอะ ดนตรี..9..Bars 7...8...9>>> ไม่ใช่คนอย่างนั้น บอกตรงตรงไม่เคย จะให้ฉันสาบานก็ได้ ให้ฟ้าผ่าแมวเลย ไม่ใช่คนอย่างนั้น บอกตรงตรงไม่เคย จะให้ฉันสาบานก็ได้ ให้ฟ้าผ่าแมวเลย เชื่อฉันเหอะ เชื่อฉันเหอะ เชื่อฉันเหอะ เชื่อฉันเหอะ เชื่อฉันเหอะ |
เก็บไว้แค่ใจเธอ ( F ) | เกลียดตัวเอง ( Eb ) |
ก็รู้ว่าเขา เป็นแค่อดีต ที่เธอไม่คิดจะกลับหลัง แต่ทุกวันนี้ คำพูดทุกคำ เธอยังวนเวียนเรื่องวันวาน บันทึกที่เขียน รูปภาพที่ถ่าย ยังมากความหมายขนาดนั้น ยิ่งรู้ยิ่งเห็น ก็ยิ่งใจหวั่น ไม่อยากจะฟังไม่อยากรู้ เก็บเอาไว้ได้ไหม แค่ในใจของเธอ ไม่ต้องเอ่ยไม่ต้องบอก เรื่องของวันวาน เก็บเอาไว้ได้ไหม ความหลังที่เธอผ่าน เห็นใจกันหน่อย ว่าใจฉันเจ็บทุกทุกที ที่ต้องรับฟัง ที่คบกันนั้น ก็เห็นกันอยู่ เธอเองก็รู้ฉันอ่อนไหว แต่ฉันไม่รู้ เธอคิดยังไง พูดคุยทีไรก็เรื่องเขา เก็บเอาไว้ได้ไหม แค่ในใจของเธอ ไม่ต้องเอ่ยไม่ต้องบอก เรื่องของวันวาน เก็บเอาไว้ได้ไหม ความหลังที่เธอผ่าน เห็นใจกันหน่อย ว่าใจฉันเจ็บทุกทุกที ที่ต้องรับฟัง เมื่อไรที่เจอะกัน อยู่ใกล้กันอย่างนี้ อยากฟังเรื่องดีดี ที่มีเธอกับฉัน เก็บเอาไว้ได้ไหม แค่ในใจของเธอ ไม่ต้องเอ่ยไม่ต้องบอก เรื่องของวันวาน เก็บเอาไว้ได้ไหม ความหลังที่เธอผ่าน เห็นใจกันหน่อย ว่าใจฉันเจ็บทุกทุกที ที่ต้องรับฟัง เห็นใจกันหน่อย ว่าใจฉันเจ็บทุกทุกที ที่ต้องรับฟัง | อยากให้เป็นจริง อย่างที่แอบคิดฝันไป ว่าเธอรักฉันมากมาย เฝ้าคอยดูแล ห่วงใยไม่มีแหนงหน่าย ไม่เคยไกลห่างไปจากฉัน อยากให้มีวันนั้น อยากให้มันเป็นเรื่องจริง แต่คงเป็นได้แค่ในฝัน เพราะมีคนอื่นอยู่ คู่เคียงข้างเธอทุกวัน ฉันเลยทำได้เพียงแค่มอง เกลียดใจตัวเอง ที่เอาแต่คิดถึงเธอ อยู่อย่างนั้น ทุกวันไม่เคยหาย เกลียดตัวเองที่สุด รักเธออยู่ได้ ทำไมงมงายอยู่อย่างนี้ อยากให้มีวันนั้น อยากให้มันเป็นเรื่องจริง แต่คงเป็นได้แค่ในฝัน เพราะมีคนอื่นอยู่ คู่เคียงข้างเธอทุกวัน ฉันเลยทำได้เพียงแค่มอง ดนตรี..8..Bars 6...7...8>>> เกลียดใจตัวเอง ที่เอาแต่คิดถึงเธอ อยู่อย่างนั้น ทุกวันไม่เคยหาย เกลียดตัวเองที่สุด รักเธออยู่ได้ ทำไมงมงายอยู่อย่างนี้ อยากให้มีวันนั้น อยากให้มันเป็นเรื่องจริง แต่คงเป็นได้แค่ในฝัน เพราะมีคนอื่นอยู่ คู่เคียงข้างเธอทุกวัน ฉันเลยทำได้เพียงแค่มอง เพราะมีคนอื่นอยู่ คู่เคียงข้างเธอทุกวัน อยากจะเป็นคนนั้นของเธอ |
อินเทรนด์ ( Bb ) | อยากเก็บเวลานอนไว้นอนตอนเช้า ( B ) |
ช่วงที่ว่างว่างก็บินไปนอกบ้าง ไปเดินช๊อป ฟังเพลงยากยาก ไม่ฟังเพลงง่ายง่าย ก็กลัวป๊อป ถ้าให้เข้าท่าเพลงนั้นต้องบ้าบ้า และไม่ก๊อป เป็นคนบีซี่มือถือที่เธอใช้ ต้องรุ่นท๊อป เท่มากมากเท่ยากยาก ใครใครเห็นคงชอบกัน เท่มากมากเท่ยากยาก แต่กับฉันมันคงยากไปมั้ง ไม่ชอบเลย เทรนด์ เพราะเธออินเทรนด์เหลือเกิน ให้ฉันมองยังไงก็เกิน ถ้าคบกันกลัวอายเขา ฉันมันไม่อิน มันไม่เข้า เทรนด์ ดนตรี..4..Bars 2...3...4>>> เล่นคอมพิวเตอร์ ต้องมีรูปตัวเองอยู่ในเวบ ดูเธอมั่นมาก สงสัยทำไมเธอไม่ออกเทป เท่มากมากเท่ยากยาก ใครใครเห็นคงชอบกัน เท่มากมากเท่ยากยาก แต่กับฉันมันคงยากไปมั้ง ไม่ชอบเลย เทรนด์ เพราะเธออินเทรนด์เหลือเกิน ให้ฉันมองยังไงก็เกิน ถ้าคบกันกลัวอายเขา ฉันมันไม่อินฉันไม่เข้า เทรนด์ เพราะเธออินเทรนด์เหลือเกิน ให้ฉันมองยังไงก็เกิน ถ้าคบกันกลัวอายเขา ฉันมันไม่อิน ฉันมันคนเอาท์ ดนตรี..10..Bars 8...9...10>>> เทรนด์ เพราะเธออินเทรนด์เหลือเกิน ให้ฉันมองยังไงก็เกิน ถ้าคบกันกลัวอายเขา ฉันมันไม่อินมันไม่เข้า เทรนด์ เพราะเธออินเทรนด์เหลือเกิน ให้ฉันมองยังไงก็เกิน ถ้าคบกันกลัวอายเขา ฉันมันไม่อิน ฉันมันคนเอาท์ (เทรนด์) | ฉันรักแม่ / เทียนชัย นอนไม่หลับ นอนไม่หลับ คิดถึงเธอ เลยไม่อยากนอน เที่ยงคืนกว่า ฟ้ามีดาว ฉันมีเธอ ใจมันก็ลอยหาเธอ จะเก็บเวลานอน ไว้นอนตอนเช้า จะเก็บเวลานอน ไว้นอนตอนเช้า ดูรูปเธอ ยิ้มให้เธอ คิดถึงเธอ อยากให้เธอเป็นเหมือนกัน จะเก็บเวลานอน ไว้นอนตอนเช้า จะเก็บเวลานอน ไว้นอนตอนเช้า ดนตรี..9..Bars 7...8...9>>> จะเก็บเวลานอน ไว้นอนตอนเช้า จะเก็บเวลานอน ไว้นอนตอนเช้า จะเก็บเวลานอน ไว้นอนตอนเช้า จะเก็บเวลานอน ไว้นอนตอนเช้า จะเก็บเวลานอน ไว้นอนตอนเช้า จะเก็บเวลานอน ไว้นอนตอนเช้า |
4 เพลงของ พนมกร พรประชา
เป่าแคนเลาะโขง ( DM ) | สดุดีท้าวเพียเมืองแพน ( Em ) |
ดนตรี.......... | ดนตรี.......... |
นางในวรรณคดี ( FM ) | ตำรวจปวดร้าว ( CM ) |
ดนตรี.......... | ดนตรี.......... |
สาวเลเขเรือ - มตาฮารี
(รอดนตรีครูดำก่อนจ้า)../
..เสียงครวญจากสาวปักใต้
ได้ยินแล้วหม้าย
สาวใต้ยังคอยพี่อยู่
คิดถึงพี่ชาย
จากไปไกลไม่เคยมาดู
ลืมแกงพุงปลามูดู
ลืมน้องแล้วหรือพี่บ่าว
..เสียงครวญ
ด้วยความคิดถึง
ได้ยินแล้วซึ้ง
จึงร้องตอบพี่มา
เขเรือหัวดำ
ทุกเช้าค่ำลงเลหาปลา
คินถึงพี่บ่าวหนักหนา
ไม่เห็นหลบมาหาน้อง
..พี่..ไม่ต้องมาสงสาร
สาวกรุงงามๆ
คอยตามเอาใจพี่บ่าว
น้องเป็นชาวเล
ไม่โลเล
ไม่ต้องครวญคาง
คิดถึงพี่บ่าวทุกยาม
นั่งนอกชานตอนหัวค่ำๆ
..เสียงครวญ
จากสาวปักใต้
ได้ยินแล้วหม้าย
พี่ชายว่าน้องคอยอยู่
นั่งมองบุหลัน
เขเรือหัวดำ
ตอนพี่ไม่อยู่
น้องทำพุงปลาบูดู
แล้วรอพี่เขเรือกับน้อง
(รอดนตรีครูดำ Solo ก่อน)
..พี่..ไม่ต้องมาสงสาร
สาวกรุงงามๆ
คอยตามเอาใจพี่บ่าว
น้องเป็นชาวเล
ไม่โลเล
ไม่ต้องครวญคาง
คิดถึงพี่บ่าวทุกยาม
นั่งนอกชานตอนหัวค่ำๆ
..เสียงครวญ
จากสาวปักใต้
ได้ยินแล้วหม้าย
พี่ชายว่าน้องคอยอยู่
นั่งมองบุหลัน
เขเรือหัวดำ
ตอนพี่ไม่อยู่
.น้องทำพุงปลาบูดู
แล้วรอพี่เขเรือกับน้อง
.น้องทำพุงปลาบูดู
แล้วรอพี่เขเรือกับน้อง
ขอใช้สิทธิ์ - ฝน ธนสุนทร
....ดนตรี........
อยู่กับเขา ได้ก็อยู่ไป
เซ็งเมื่อไร ก็กลับมา
ส่วนตัวฉัน นั้น มันชินชา
กับ การจะอยู่จะไปของเธอ
สิทธิ์การหวง มี ก็เท่านั้น
ไม่อาจฝัน จะหยุดเธอ
อดทนไหว ยังไหวก็ออเออ
ฉันปล่อยเธอ ไปไหน ก็ไป
.ก่อนเธอไป ฉันขอ ใช้ สิทธิ์
จับ มือนิด กอด ฉันนิด
สักครั้งจะได้ไหม
.ก่อนเธอไป ฉันขอ ใช้ สิทธิ์
สบ ตานิด จูบ ฉันนิด
อย่างเคย จะได้ไหม.
ไม่ใช่พูดกำชับ
ไม่ได้บังคับใจ
ขอเพียงแต่ใช้ สิทธิ์ที่ฉันมี
ไม่ใช่มาบังคับ
ให้เธอต้องรับไป
ขอเพียงแต่ใช้ สิทธิ์ที่ฉันมี
....ดนตรี........
.ก่อนเธอไป ฉันขอ ใช้ สิทธิ์
จับ มือนิด กอด ฉันนิด
สักครั้งจะได้ไหม
.ก่อนเธอไป ฉันขอ ใช้ สิทธิ์
สบ ตานิด จูบ ฉันนิด
อย่างเคย จะได้ไหม.
ไม่ใช่พูดกำชับ
ไม่ได้บังคับใจ
ขอเพียงแต่ใช้ สิทธิ์ที่ฉันมี
ไม่ใช่มาบังคับ
ให้เธอต้องรับไป
ขอเพียงแต่ใช้ สิทธิ์ที่ฉันมี
ไม่ใช่พูดกำชับ
ไม่ได้บังคับใจ
ขอเพียงแต่ใช้ สิทธิ์ที่ฉันมี
ไม่ใช่มาบังคับ
ให้เธอต้องรับไป
ขอเพียงแต่ใช้ สิทธิ์ที่ฉันมี
..
.
คนที่เธอ...เผลอรัก - ฝน ธนสุนทร
....ดนตรี..........
อกหักให้ตาย
เธอคงไม่รู้หรอก
เพราะว่ารักที่เธอบอก
หลุดออกมาจากใจที่เผลอ
ปล่อยฉันหลงเพลิน
อยู่กับคำว่าฉันรักเธอ
รู้ตัวว่าโดนรักเก้อ
เมื่อตอนเธอเผลอเดินทิ้งไป
.เธอห่างไกลเขา
ความเหงาก็เลยบังตา
และฉันบังเอิญเดินผ่า
เข้ามาเจอวันเธออ่อนไหว
คนที่ไม่เคย
ก็เลยรักคนที่เผลอใจ
พอเขากลับมาชิดใกล้
ฉันจึงกลายเป็นเพียงส่วนเกิน
>อยู่แบบซึมๆ
รบกับการลืมไม่ได้
ขอความเป็นธรรมจากใคร
ในเมื่อเธอตั้งใจเมิน
ลืมก็ยาก รักก็ช้ำ จำก็เจ็บเกิน
วันนี้จึงต้องเผชิญ
กับการใช้กรรมทำรัก
.อกหักให้ตาย
เธอคงไม่รู้หรอก
คนที่คิดหาทางออก
บอกหวนคืนก็คงยากนัก
จึงทำได้เพียง
ส่งกระแสใจมาทายทัก
ว่าคนที่เธอเผลอรัก
ยังไม่อยากให้เธอเผลอลืม
....ดนตรี........
>อยู่แบบซึมๆ
รบกับการลืมไม่ได้
ขอความเป็นธรรมจากใคร
ในเมื่อเธอตั้งใจเมิน
ลืมก็ยาก รักก็ช้ำ จำก็เจ็บเกิน
วันนี้จึงต้องเผชิญ
กับการใช้กรรมทำรัก
.อกหักให้ตาย
เธอคงไม่รู้หรอก
คนที่คิดหาทางออก
บอกหวนคืนก็คงยากนัก
จึงทำได้เพียง
ส่งกระแสใจมาทายทัก
ว่าคนที่เธอเผลอรัก
ยังไม่อยากให้เธอเผลอลืม
..
.
รักมาห้าโมงเย็น - ฝน ธนสุนทร
....ดนตรี..........
ความรักลอยมา ห้าโมงเย็น
ฉันไปนั่งเล่น
อยู่ตรงสนามหญ้า
หนุ่มหน้าตาเท่ห์
เดินเตร่เร่เข้ามาหา
แล้วถามคำว่า
เธอมาเหม่อลอยคอยใคร.
.ขอบฟ้างามตา ห้าโมงเย็น
เมฆลอยคล้อยเด่น
เปลี่ยนเป็นรูปนกรูปไก่
ลวดลายลดหลั่น
เป็นช่อเป็นชั้นใกล้ไกล
มีหนุ่มหน้าตาใส
มาทำเฉไฉชี้ชมเมฆี.
.คิ้วหนาๆตาคมๆ
ทรงผมเป็นคลื่น
ตีหน้าระรื่นมายื่นไมตรี
ผมๆครับๆจนนับไม่ถ้วน
แต่ชวนฟังดี
ยามเย็นวันนี้ฉันมีสุขสันต์.
.ความรักลอยมา ห้าโมงเย็น
ไม่ใช่เรื่องเล่น
แต่เป็นเรื่องจริงนะนั่น
มองเมฆลอยอยู่
เป็นรูปหนุ่มสาวคู่กัน
อยากให้เมฆก้อนนั้น
เป็นเธอกับฉันทุกห้าโมงเย็น
....ดนตรี..........
.คิ้วหนาๆตาคมๆ
ทรงผมเป็นคลื่น
ตีหน้าระรื่นมายื่นไมตรี
ผมๆครับๆจนนับไม่ถ้วน
แต่ชวนฟังดี
ยามเย็นวันนี้ฉันมีสุขสันต์.
.ความรักลอยมา ห้าโมงเย็น
ไม่ใช่เรื่องเล่น
แต่เป็นเรื่องจริงนะนั่น
มองเมฆลอยอยู่
เป็นรูปหนุ่มสาวคู่กัน
อยากให้เมฆก้อนนั้น
เป็นเธอกับฉันทุกห้าโมงเย็น
..
.
รักแล้วไม่กลัวจน - ฝน ธนสุนทร
....ดนตรี..........
.รวยจนไม่ว่า
ขออย่าเป็นคนเจ้าชู้
ถ้าอยากเป็นคู่
ก็จงให้รู้ใจกัน
ถ้าสุขเพียงกาย
แต่หัวใจโดนบีบคั้น
เงินแสนเงินล้าน
ก็ไม่ต้องการจะมี
.รวยจนไม่เกี่ยว
ขอแค่เพียงความจริงใจ
สมบัตินอกกาย
ขนขวายไม่นานคงมี
ยากจนอย่างไร
ก็ขอให้เป็นคนดี
เป็นคู่ ชีวี
ไม่มีแปรผันเปลี่ยนใจ
>แก้วแหวนเงินทอง
ใช่จะมองว่าไม่สำคัญ
แต่ความรักนั้น
เอาเงินซื้อกันไม่ได้
หัวใจดวงนี้
ไม่มีไว้เพื่อจะขาย
หากจะให้ใคร
ใช่จะแลกด้วยเงินตรา
.รักแล้วขอบอก
ขอบอกว่าไม่กลัวจน
หากแต่กลัวคน
มาทำให้ช้ำอุรา
ถ้าใจไม่ซื่อ
อย่ารักให้เสียเวลา
ให้รวย ล้นฟ้า
ก็ไม่ปรารถนาจะครอง
....ดนตรี..........
>แก้วแหวนเงินทอง
ใช่จะมองว่าไม่สำคัญ
แต่ความรักนั้น
เอาเงินซื้อกันไม่ได้
หัวใจดวงนี้
ไม่มีไว้เพื่อจะขาย
หากจะให้ใคร
ใช่จะแลกด้วยเงินตรา
.รักแล้วขอบอก
ขอบอกว่าไม่กลัวจน
หากแต่กลัวคน
มาทำให้ช้ำอุรา
ถ้าใจไม่ซื่อ
อย่ารักให้เสียเวลา
ให้รวย ล้นฟ้า
ก็ไม่ปรารถนาจะครอง
..
.
ใจเชือดคอ - ฝน ธนสุนทร
..ตาหลับใจไม่หลับ
ทุกข์มาทับ
ใจยับทั้งทรวง
หลับตา
นึกเห็นหน้าคนลวง
น้ำตาร่วง
เสียดายหัวใจ
..คนซื่อ คือคนเซ่อ
ฉันเลยเผลอ
ใจพลั้งไป
ให้รัก
คนที่ไม่จริงใจ
เหมือนให้ พลอยไก่กา
..หา คนใจดี
ถูกล็อตเตอรี่
ยังง่ายกว่า
งมเข็มใต้คงคา
ถึงชาติหน้า
ก็งมไม่ได้
..ตาหลับ ใจยังตื่น
ทุกข์ไม่ฟื้น
ฝืนยิ้มไป
นี่หรือคือผู้ชอบทำลาย
มือยื่นดอกไม้
ใจเชือดคอ..
ดนตรี.........
..หา คนใจดี
ถูกล็อตเตอรี่
ยังง่ายกว่า
งมเข็มใต้คงคา
ถึงชาติหน้า
ก็งมไม่ได้
..ตาหลับใจยังตื่น
ทุกข์ไม่ฟื้น
ฝืนยิ้มไป
นี่หรือคือผู้ชอบทำลาย
มือยื่นดอกไม้
ใจเชือดคอ..
.
ให้เธอหมดแล้ว - ฝน ธนสนุทร
....ดนตรี..........
ให้ เธอมากไม่ได้กว่านี้ แล้ว
ให้ ไปแล้วอุดมสมบูรณ์
มี อะไร ฉันก็ทูล
ดั่งตัว ฉันเป็นศูนย์
สินค้าลดแลกแจกคน.
มอบ ดวงใจใส่มือให้เธอ เธอ
และ เสนอมอบตัวมอบตน
รอ เธอเคียง ชิดกมล
จะมี หรือจะจน
จะทนเพื่อเธอเสมอ
.เจียดเวลารักแม่เวลารักพ่อ
มานั่งพะนอ
พะเน้าเฝ้ารักเคียงเธอ
เอาเวลานอน
ของฉันมาฝันละเมอ
ถึงเธอ จนหมดใจ.
.ให้ เธอมากไม่ได้กว่านี้ แล้ว
ให้ หมดแล้วไม่เหลือเพื่อใคร
มี จุนเจือ เหลือข้างใน
คือมี ลมหายใจ
เอาไว้เลี้ยงร่างรอเธอ
....ดนตรี..........
.เจียดเวลารักแม่เวลารักพ่อ
มานั่งพะนอ
พะเน้าเฝ้ารักเคียงเธอ
เอาเวลานอน
ของฉันมาฝันละเมอ
ถึงเธอ จนหมดใจ.
.ให้ เธอมากไม่ได้กว่านี้ แล้ว
ให้ หมดแล้วไม่เหลือเพื่อใคร
มี จุนเจือ เหลือข้างใน
คือมี ลมหายใจ
เอาไว้เลี้ยงร่างรอเธอ
..
.