พุทธทำนายในที่นี้ จะกล่าวถึงเรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงทำนายพระสุบิน (ความฝัน) ของพระเจ้าปเสนทิโกศล จำนวน 16 ข้อ ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงทำนายว่า เหตุการณ์เหล่านั้นจะเกิดขึ้น ในยุคสมัยที่ศาสนาได้เสื่อมลง ซึ่งหลายอย่างได้เกิดขึ้นแล้วในปัจจุบัน เนื้อความดังกล่าวปรากฏใน อรรถกถาพระไตรปิฎก มหาสุบินชาดก เอกนิบาตชาดก ขุททกนิกาย มีเนื้อความดังต่อไปนี้
1.โคอุสุภราชทั้งหลาย
2. ต้นไม้ทั้งหลาย
3. แม่โคทั้งหลาย
4.โคทั้งหลาย
5. ม้า
6. ถาดทอง ๑
7. สุนัขจิ้งจอก
8. หม้อน้ำ
9. สระโบกขรณี
10. ข้าวไม่สุก
11. แก่นจันทน์
12. น้ำเต้าจม
13. ศิลาลอย
14. เขียดหยอกงู
15. หงส์ทองล้อมกา
16. เสือกลัวแพะ
.......................................................................................................................................................................
สุบินนิมิตข้อที่ 1 : ภัยธรรมชาติ
พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงสุบินนิมิตเห็นโคล่ำสัน 4 ตัว วิ่งมาจากทิศทั้ง 4 มีลักษณะอาการเกรี้ยวกราด ประดุจจะชนกัน ด้วยความโกรธแค้นกันมานาน พอโคทั้ง 4 วิ่งเข้ามาใกล้กันแล้ว กลับถอยห่างออกจากกันไป ไม่ชนกันเลย
พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น จะเกิดภัยธรรมชาติขึ้น คือ ฟ้าฝนจะไม่ตกต้องตามฤดูกาล จะมีก้อนเมฆขนาดใหญ่ลอยมาจากทิศทั้ง 4 เหมือนกับฟ้าฝนจะตกลงมาในพื้นปฐพีอย่างหนัก เมื่อก้อนเมฆทั้ง 4 ลอยเข้ามาใกล้กันแล้ว ก็ลอยถอยห่างออกจากกันไป ไม่มีฝนตกลงมาในพื้นปฐพีเลย
สุบินนิมิตข้อที่ 2 : เยาวชนมั่วสุมเสพกาม
พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงสุบินนิมิตเห็นต้นไม้นานาชนิด ยังไม่ใหญ่โตพอที่จะมีดอกมีผล แต่ต้นไม้นั้นเต็มไปด้วยดอกและผล จนกิ่งก้านสาขาจะรอรับดอกผลนั้นไม่ไหว
พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น กุมารีที่มีวัยยังไม่สมควรจะมีสามี แต่กุมารีนั้นอยากแต่งงานให้เป็นครอบครัว เพราะมีความกระสัน ใฝ่ฝันในราคะตัณหา ใจมีความกำเริบในกามคุณ มีความยินดีใน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เป็นอย่างมาก มีความอยากในกามารมณ์แห่งความรักความใคร่ จึงได้แต่งงานกันเมื่ออายุยังวัยเด็ก ถูกต้องตามประเพณีนิยม บางคนมั่วสุมกัน ไม่มีความละอาย เยี่ยงสัตว์ดิรัจฉาน เมื่อตั้งครรภ์ขึ้นมา ก็หาวิธีฆ่าลูกในท้องของตัวเอง จึงเป็นบาปกรรมต่อไปในภายภาคหน้ายิ่งนัก เด็กบางคน ยังมีพ่อแม่เลี้ยงดูอยู่บ้าง เด็กบางคนพ่อแม่เลี้ยงดูไม่ไหว จึงได้ปล่อยปละละเลยให้หาขอทานกินตามลำพัง เป็นเด็กเร่ร่อนจรจัด ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีตระกูล ไม่มีการศึกษา ไม่มีที่พึ่งพาอาศัยในบ้านเรือน ค่ำที่ไหนนอนที่นั่น อดบ้าง อิ่มบ้าง น่าเวทนายิ่งนัก เหตุการณ์อย่างนี้ จะมีในภายภาคหน้าโน้นใครได้ไปเกิดในยุคนั้น สมัยนั้น ก็จะต้องเจอเหตุการณ์อย่างนี้แล
สุบินนิมิตข้อที่ 3 : พ่อแม่ต้องเอาใจลูก
พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงสุบินนิมิต เห็นฝูงพ่อแม่โคทั้งหลายพากันดูดกิน นมลูกของตัวเอง
พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น พ่อแม่ทั้งหลาย จะได้อาศัยกินหยาดเหงื่อแรงงานของลูก อาศัยข้าวปลาอาหารเครื่องอุปโภคบริโภคต่างๆ ที่ลูกแสวงหามาเลี้ยงดู พร้อมทั้งเงินทอง ก็ต้องแบ่งปันให้พ่อแม่ได้จับจ่ายใช้สอย ในยุคนั้นสมัยนั้น พ่อแม่ก็ต้องเอาอกเอาใจลูกยิ่งนัก ต้องประจบประแจงปะเหลาะลูกอยู่เสมอ ถ้าพูดต่อลูกดีๆ ลูกก็แบ่งปันเงินทองให้ได้ใช้บ้าง ถ้าพ่อแม่พูดไม่ดี ก็จะไม่ได้รับส่วนแบ่งอะไรจากลูกนี้เลย เหตุการณ์อย่างนี้ จะเกิดมีในภายภาคหน้าโน้น
สุบินนิมิตข้อที่ 4 : ผู้อ่อนประสพการณ์บริหารประเทศ
พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงสุบินนิมิตเห็นฝูงคนทั้งหลายพากันจับลูกโคตัวเล็กๆ เข้ามาเทียมแอกเพื่อลากล้อเกวียน เมื่อลากไปไม่ไหว ก็จะพากันเฆี่ยนตี
พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น คนทั้งหลายจะพากันนิยมเอาเด็กที่จบปริญญามาใหม่ๆ ไปรับราชการแผ่นดิน บริหารการพัฒนาประเทศชาติ บ้านเมือง อันเป็นงานที่หนัก ถึงจะมีความรู้อยู่ก็ตาม แต่เด็กนั้นยังขาดประสบการณ์ ขาดความสามารถ ขาดความรอบรู้ ขาดความรอบคอบ ในการบริหารเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม จึงเกิดความผิดพลาด ล่าช้า ไม่ทันต่อเหตุการณ์ ขาดความรับผิดชอบ ขาดดุลการค้า ทำให้ประเทศชาติเสียหาย ทำให้ถ่วงความเจริญของประเทศชาติ ทำให้คนดุด่าว่ากล่าวนานาประการ เหตุการณ์อย่างนี้ จะเกิดมีในภายภาคหน้าโน้น
สุบินนิมิตข้อที่ 5 : ความไม่เป็นธรรมในการตัดสินความ
พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงสุบินนิมิตเห็นม้าตัวเดียว หัวเดียว มีสองปาก กินหญ้าได้สองทาง กินเท่าไรก็ไม่มีความอิ่มพอ
พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น คนผู้มีหน้าที่ตัดสินคดีความต่างๆ จะใช้อุบายวิธีอันมีเล่ห์เหลี่ยม เพื่อเอาเงินจากคู่กรณีทั้งสอง เอาทั้งฝ่ายโจทก์ เอาทั้งฝ่ายจำเลย เพื่อเป็นค่าจ้างรางวัลในการวินิจฉัยคดีความบ้าง เอาค่านั้นบ้าง เอาค่านี้บ้าง ถ้าไม่ได้ตามความเรียกร้อง ก็จะไม่รับเรื่องที่มาร้องเรียน ต้องการเท่าไรก็เรียกร้องตามใจชอบ ถ้าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็เรียกร้องเอาน้อย ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ก็จะเรียกร้องเอาเงินอย่างเต็มที่ แล้วจึงจะมาวินิจฉัยคดี ตัดสินต่อไป เหตุการณ์อย่างนี้ จะเกิดมีภายภาคหน้าทั่วโลก
สุบินนิมิตข้อที่ 6 : พระธรรมคำสอนถูกเหยียบย่ำ
พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงสุบินนิมิตเห็นมีหมู่มนุษย์ ถือถาดทองคำอันมีค่ามหาศาล ไปวางไว้สุนัขจิ้งจอกถ่ายอุจจาระถ่ายปัสสาวะใส่
พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น กลุ่มคนที่โง่เขลาปัญญาทราม จะเอาพระธรรมคำสอนของเราตถาคต ไปให้ลัทธิต่างๆ เหยียบย่ำทำลาย แล้วถ่ายทอดลัทธิของเขา เอาคำสอนของเขาที่สกปรกโสโครกด้วยกิเลสตัณหา มากลบเกลื่อนในคำสอนของเรา แล้วดัดแปลงแก้ไขคำสอนของเรา ให้เข้ากันกับลัทธิของเขา แล้วประกาศว่า คำสอนของเราตถาคต เป็นส่วนหนึ่งในลัทธิของเขา ให้คนทั้งหลายมีความเข้าใจผิดว่า คำสอนของเราเข้ากันได้กับของเขา ถือว่าเป็นอันเดียวกัน ลัทธิเหล่านั้นก็จะไม่รู้คุณค่าของคำสอนของเราตถาคตแต่อย่างใด มนุษย์อย่างนี้ก็จะมีในเมื่อเราตถาคตนิพพานไปแล้ว และจะมีลัทธิต่างๆ มาอวดอ้างว่าเป็นศาสนาเป็นจำนวนมาก
สุบินนิมิตข้อที่ 7 : ผู้มีใจต่ำแอบอ้างสถาบันกษัตริย์
พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงสุบินนิมิตเห็นชายคนหนึ่ง เอาหนังสือมานั่งฟั่นให้เป็นเชือก อยู่บนม้านั่ง แล้วมีสุนัขจิ้งจอกคอยกัดกินอยู่ เมื่อฟั่นเชือกเสร็จ สุนัขจิ้งจอกก็กินหมดทันที
พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น คนผู้มีจิตใจต่ำ ปัญญาทราม จะได้รับสมมุติ ยกย่องขึ้นเป็นผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ นั่งทำงานอยู่ในพระราชสำนักระดับสูง อาศัยอำนาจ พระบารมีของพระมหากษัตริย์ ว่าราชการแผ่นดินแทนพระองค์อยู่เนืองนิตย์ โดยมีความโง่เขลาเบาปัญญา พูดจาขาดความสำรวม กล่าวเปิดเผยความลับต่างๆ ในพระราชสำนัก ให้หมู่ประชาชนได้รู้ คนลัทธิต่างๆ ที่ไม่มีความหวังดีต่อพระมหากษัตริย์อยู่แล้ว ได้ยินเข้า จึงนำเอาไปตีแผ่ โฆษณาให้คนอื่นคลายศรัทธา หมดความเคารพในวงศ์พระมหากษัตริย์ และหมดความเชื่อถือในพระราชวงศ์ต่อไป เหตุการณ์อย่างนี้ จะเกิดมีในภายภาคหน้าโน้นคนที่ไม่มีความหวังดีต่อพระมหากษัตริย์ จะเป็นหนอนบ่อนไส้เสียเอง
สุบินนิมิตข้อที่ 8 : ทำบุญเลือกหน้า
พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงสุบินนิมิตเห็นโอ่งน้ำใหญ่และโอ่งน้ำเล็กตั้งอยู่ในที่แห่งเดียวกัน แล้มีทคนทั้งหลาย แย่งกันตักน้ำ เทใส่โอ่งน้ำใหญ่ จนล้นเหลือ ส่วนโอ่งน้ำเล็ก ไม่มีใครตักน้ำใส่เลย
พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น จะมีคนทำบุญโดยเลือกหน้า พระองค์ที่มีอายุมาก พรรษามาก มียศถาบรรดาศักดิ์ในตำแหน่งต่างๆ จะมีคนให้ความสนใจจะพากันถวายเครื่องไทยทานเป็นจำนวนมาก ล้วนแล้วแต่ของที่ดีๆ มีค่า มีราคา ข้าวปลาอาหาร ปิ่นโตเถาขนาดใหญ่ ตั้งต่อหน้า จนเหลือเฟือ ส่วนพระเล็กเณรน้อยนั่งอยู่รอบข้าง ไม่มีใครคิดถวายอะไรเลย มีแต่งนั่งดูตาปริบๆ เหตุการณ์อย่างนี้ จะเกิดมีในภายภาคหน้าโน้น
สุบินนิมิตข้อที่ 9 : คอรัปชั่นในแผ่นดิน
พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงสุบินนิมิตเห็นสระน้ำขนาดใหญ่ มีน้ำรอบนอกใส่สะอาดเยือกเย็น ส่วนน้ำในกลางสระขุ่นข้นเป็นโคลนตม แล้วมีสัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลาย พากันแย่งชิงกินน้ำในสระที่ขุ่นข้นเป็นตมนั้น ส่วนน้ำรอบนอกที่ใสสะอาดเยือกเย็น ไม่มีสัตว์ตัวใดอยากจะกินเลย
พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า อนาคต่อไปในภายภาคหน้าโน้น คนจะมีความโลภ ความอยาก ไม่อิ่มพอในเงินทองมากขึ้น การงานที่สะอาด บริสุทธิ์ และสุจริต ไม่อยากทำ ถือว่า เงินเดือนน้อย ร่ำรวยช้า ไม่พอกับความโลภความอยากของตัวเอง จึงได้ลงสมัครตัวเข้ามาในสภาสันนิบาต เพื่อจะมีอำนาจในการบริหารงานและบริหารเงินของแผ่นดินได้อย่างเต็มที่ ใช้อุบายวิธี อันมีเล่ห์เหลี่ยม ทุจริต คิดมิชอบ ในเงินของแผ่นดิน มือใครยาว สาวได้สาวเอา จะได้เงินมาด้วยวิธีสกปรกอย่างไร จะไม่มีความละอายแก่ใจตัวเองเลย ขอให้ได้เงินก้อนโตมา ก็เป็นที่พอใจ ลักษณะนี้จะมีกันทั่วโลก มีทั่วทุกประเทศเขตแดน และจะเพิ่มความรุนแรงขึ้น จะเกิดความยุ่งเหยิงในสภาสันนิบาตของประเทศนั้นๆ เพราะการแบ่งสันตำแหน่งในการดูดกินเงินภายในประเทศนั้น ไม่ลงตัว ผู้นั้นจะได้กินน้อย ผู้นั้นจะได้กินมาก ผู้นั้นจะไม่ได้กินอะไรเลย สุดท้ายก็เกิดงัดข้อกันเอง เหตุการณ์อย่างนี้ จะเกิดมีในภายภาคหน้าโน้น
สุบินนิมิตข้อที่ 10 : สงสัยในมรรคผลนิพพาน
พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงสุบินนิมิตเห็นหม้อหุงข้าวหม้อเดียวมีความแตกต่างกัน ข้าวในหม้อซีกหนึ่งสุก ซีกหนึ่งดิบๆ สุกๆ อีกซีกหนึ่งข้าวไม่สุกเลย
พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น คนในโลกนี้จะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันไป กลุ่มหนึ่งจะมีความเชื่อว่า เราตถาคตเป็นที่พึ่งที่เคารพจริง พระธรรมคำสอนของเราตถาคตเป็นสวากขาตธรรม เมื่อนำไปปฏิบัติให้ถึงที่สุดแล้วจะพ้นจากทุกข์ได้จริง เชื่อว่ามีมรรคผลนิพพานจริง นรกสวรรค์มีจริง กรรมดีกรรมชั่วให้ผลแก่บุคคลที่กระทำจริง ตายแล้วเมื่อยังมีกิเลสตัณหาอยู่เชื่อว่าได้มาเกิดใหม่ อีกกลุ่มหนึ่งยังไม่แน่ใจว่า มรรคผลนิพพานในยุคนี้ สมัยนี้ มีจริงหรือไม่ เพราะพระพุทธศาสนาได้ล่วงเลยไปนาน พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า มีความสมบูรณ์อยู่หรือไม่ พระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ในยุคนี้มีจริงหรือไม่ มีแต่ความสงสัยลังเล ไม่แน่ใจ อีกกลุ่มหนึ่งปฏิเสธว่า มรรคผลนิพพานไม่มีนรกสวรรค์ไม่มี ทำดี ทำชั่วไม่ให้ผลในภายหน้าชาติหน้า ตายแล้วไม่ได้เกิดใหม่แต่อย่างใด ในช่วงปลายพุทธศาสนาโน้น คนจะเกิดเป็นมิจฉาทิฏฐิ มีความเห็นผิดมากขึ้นๆ ดังนี้
สุบินนิมิตข้อที่ 11 : นำพระธรรมมาขายกิน
พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงสุบินนิมิตเห็นคนพวกหนึ่ง เอาแก่นจันทร์แดงที่มีค่าราคาแพง ไปแลกกับนมเปรี้ยวหม้อเดียว ซึ่งไม่สมค่าราคากันเลย
พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น คนพวกหนึ่ง จะเอาพระธรรมคำสอนของเราตถาคต ไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินตรา จะเขียนเป็นตำราเพื่อออกจำหน่าย ขายกิน หารายได้เพื่อเลี้ยงชีวิต เอาพระธรรมคำสอนของเราตถาคต ทำเป็นการแสดง แต่งกลอน เพื่อผลประโยชน์ในกัณฑ์เทศน์ แสดงธรรมเพื่อเห็นแก่ค่าจ้างรางวัล อันเป็นอามิส ไม่สมค่าราคากันเลย สิ่งเหล่านี้ จะเกิดขึ้นในช่วงปลายศาสนาของเราตถาคตโน้น
สุบินนิมิตข้อที่ 12 : คนดีถูกขัดขวางรังแก
พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงสุบินนิมิตเห็นน้ำเต้าแห้งเปล่ากลวงใน ตามธรรมดาแล้วจะลอยอยู่บนน้ำ แต่น้ำเต้าเปล่านั้น กลับดิ่งจมลงในน้ำนั้นเสีย
พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น คนดี มีความรู้ดี มีสติปัญญาดี มีความรอบรู้ มีความฉลาด มีความสามารถ มีทั้งพระและฆราวาส จะไม่ได้รับความยกย่องเชิดชูในสังคม จะถูกขัดขวางจากกลุ่มคนพาลสันดานชั่วอยู่ตลอดเวลา ถ้าเป็นฆราวาส ก็ไม่มีโอกาสได้ทำงานในการบริหารแระเทศชาติบ้านเมือง คนมีความรู้ความสามารถ มีความซื่อสัตย์สุจริต ไม่มีโอกาสได้รับเลือกตั้งเข้ามาในสภาสันนิบาต หรือได้รับเลือกเข้ามาแล้ว ก็ไม่มีโอกาสได้ทำงานเพื่อประเทศชาติอย่างเต็มที่ จะมีกลุ่มทุจริตคิดมิชอบ เพื่อหวังผลประโยชน์ต่างๆ เบียดสีให้ตกเก้าอี้ไป ในสายตาของกลุ่มมิจฉาชีพเหล่านี้ จะมองเห็นคนดีๆ ว่าเป็นตัวกาลกิณีของเขา ไม่ยอมที่จะให้เข้าไปรู้เห็นในความทุจริตคิดมิชอบของตน คนดีๆ จึงไม่มีในสังคมนี้เลย ถ้าเป็นนักบวช ก็เป็นในลักษณะนี้เช่นกันท่านองค์ใดมีใจบริสุทธิ์ผุดผ่องในพระธรรมวินัย มีความรู้ดี ปฏิบัติชอบต่อมรรคผลนิพพาน ท่านเหล่านั้นจะไม่มีใครให้ความสนใจ ไม่อยากเข้าใกล้ ไม่อยากฟังธรรม จะมองเห็นว่าเป็นพระคร่ำครึล้าสมัยไม่เกิดศรัทธา ไม่อยู่ในสายตาของเขาแต่อย่างใด เพราะใจไม่มีความเคารพเชื่อถือในท่านเหล่านั้น แม้แต่จะแบ่งปันปัจจัยทั้งสี่ ที่มีอยู่อย่างเหลือเฟือ ก็ไม่เต็มใจ ถึงจะถวายให้ ก็นิดหน่อยพอเป็นพิธีเท่านั้น ท่านเหล่านี้จึงมีชีวิตอยู่ด้วยความลำบาก ใครก็ไม่อยากบวชเป็นพระในลักษณะนี้ ในที่สุด พระดีๆ มีคุณธรรม ก็จะค่อยหมดไปๆ ในศาสนาของเราตถาคต เรื่องเหล่านี้ จะเกิดมีในภายภาคหน้าโน้น
สุบินนิมิตข้อที่ 13 : คนชั่วเรืองอำนาจ
พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงสุบินนิมิตเห็นก้อนศิลาแท่งทึบ ขนาดใหญ่เท่าเรือ ลอยอยู่บนผิวน้ำเหมือนกับเรือสำเภาเปล่า ตามธรรมดาแล้ว ก้อนศิลาย่อมจมอยู่ใต้น้ำ แต่ก้อนศิลานั้นกลับลอยอยู่บนผิวน้ำ
พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น คนพาลสันดานชั่ว คนทุศีล คนทุธรรม คนขี้โกง คนหัวประจบสอพลอ คนทุจริตคิดมิชอบ คนไม่มีความละอาย จะได้เป็นที่ยกย่องเชิดชูในสังคม เป็นผู้มีบทบาท มีอำนาจ มีชื่อเสียงเกียรติยศ มีพวกพ้องบริวารมาก ถ้าเป็นฆราวาสก็จะมีแต่ผู้เชิดหน้าชูตา ไปไหนมาไหนมีแต่คนเคารพยำเกรง มีฝูงชนให้การต้อนรับเอาใจ เรียกว่าเป็นกระจกบานใหญ่ ให้แสงสะท้อนเงาของประเทศนั้นๆ สังคมของประเทศนั้นมีความเจริญหรือเสื่อมลง ก็ให้ดูกระจกบานใหญ่ที่ตั้งอยู่ในสภา จะเป็นสื่อบอกประตู้หน้าต่างของสังคมได้เป็นอย่างดี ประเทศใดมีตัวแทนในลักษณะใด จะรู้ได้ว่าผู้ที่เลือกเขาเข้ามา ก็เป็นลักษณะอย่างนั้น เขาจะเลือกเอาเกรดเดียวกัน ยี่ห้อเดียวกัน ถ้าเป็นนักบวช นักพรต ก็เป็นลักษณะนี้ศาสนาจะมีความเจริญขึ้นหรือเสื่อมลง ก็ขึ้นอยู่กับบริษัททั้งสี่ ลำพังพระอย่างเดียว จะโดดเด่นขึ้นในท่ามกลางของสังคมนั้นไม่ได้ พระที่จะมีชื่อเสียงโด่งดัง ก็เพราะญาติโยมนำไปออกข่าวโฆษณา ว่าองค์นั้นมีความขลังอย่างนั้น องค์นี้มีความศักดิ์สิทธิ์อย่างนี้ มีอภินิหาร ไปทางไหนก็นำไปออกข่าว องค์ไหนปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ องค์ไหนเป็นพระอริยเจ้า ฆราวาสจะเป็นผู้คาดการณ์ให้เอง ในยุคสมัยนั้น พระอรหันต์จะเกิดจากลูกศิษย์ยกให้เอง ศิษย์แต่ละครู ศิษย์แต่ละสำนัก จะผลิตจะกำหนดรูปแบบอาจารย์ของตัวเอง ให้เป็นพระอรหันต์ขึ้น เรื่องข้อวัตรปฏิบัติของอาจารย์ มีความเคร่งครัดอย่างไร ก็นำไปโฆษณาอย่างหยดย้อย นี่เองก้อนศิลาแท่งทึงจึงได้ลอยอยู่บนผิวน้ำมีความโดดเด่นเห็นได้อย่างชัดเจน จึงเป็นธุรกิจในคราบผ้ากาสาวพัสตร์บังหน้า เอาศาสนามาแอบอ้างหากิน เมื่อช่วงปลายศาสนาโน้น คนจะหมดความเลื่อมใสในศาสนาของเราตถาคต คนที่มีศรัทธาเบาบางก็จะค่อยจืดจางไป เพราะเห็นความชั่วร้ายในพระยุคนั้นๆ ผู้ที่มีปัญญาดี มีความมั่นคง มีเหตุมีผล เขาจะแสวงหาพระที่เป็นพระได้อย่างถูกต้อง เมื่อปลายศาสนาโน้น เรื่องอย่างนี้จะต้องเกิดขึ้นแน่นอน
สุบินนิมิตข้อที่ 14 : นักบวชหลงลาภยศ
พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงสุบินนิมิตเห็นนางเขียดน้อยไล่กินงูเห่าตัวมหึมา เมื่อไล่ทันก็กระโดดคาบกลืนกินทันที
พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น นักบวชองค์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง มีคำพูดเป็นวาทศิลป์ เคยแผ่พังพานในการแสดงธรรม มีบทบาทในสังคม มีประชาชนให้ความเคารพเชื่อถือเป็นอย่างมาก ได้รับลาภ ยศ สรรเสริญจนลืมตัว ไม่มีสติ ไม่มีปัญญา รักษาใจไม่มีความฉลาด จึงขาดในการสำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ปล่อยให้ไปสัมผัสในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ จึงทำให้ใจเกิดอัฏฐารมณ์ คือ อารมณ์แห่งความรักความใคร่ในกามคุณ มีความกำหนัดย้อมใจ นางเขียดน้อย (สตรี) ได้มองเห็นช่องโหว่ จึงได้วางแผนหว่านล้อมด้วยมารยานานาประการ มีคำหวานอันหยดย้อยเหมือนน้ำอ้อยน้ำตาล ชโลมหัวใจงูเห่าจนหน้ามือตาลาย หายใจไม่เต็มปอดอีนางเขียดน้อยได้จังหวะก็กระโดดคาบกลืนกินทันทีเรียบร้อยไป
สุบินนิมิตข้อที่ 15 : แวดล้อมด้วยพระทุศีล
พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงสุบินนิมิตเห็นหงส์สีทองทั้งหลาย ไปห้อมล้อมอีกา อีกาไปไหน ฝูงหงส์สีทองทั้งหลาย ก็ห้อมล้อมเป็นบริวาร
พระพุทธเจ้าให้คำทำนายว่า อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น พระเณรผู้บวชใหม่ ใจยังมีความบริสุทธิ์อยู่ในศีลในธรรม จะห้อมล้อมพระที่ทุศีลทุธรรม จะยกให้เป็นครูอาจารย์เพื่อเคารพกราบไหว้อย่างเหลือเฟือ อีกาฉลาด มีเล่ห์เหลี่ยมในการหาอาหารฉันใด พระทุศีลทุธรรมเหล่านี้ก็ฉลาด มีเล่ห์เหลี่ยมในการหาลาภสักการะได้ฉันนั้น และแบ่งลาภสักการะให้แก่หงส์เล็กหงส์ใหญ่ได้อย่างทั่วถึง ฝูงหงส์ทั้งหลาย จึงให้ความสำคัญในอีกาเป็นอย่างมาก ในยุคต่อไปช่วงปลายศาสนาโน้น การเปลี่ยนไปในสังคมของสมณะก็จะเป็นอย่างนี้ พระที่ทุศีลทุธรรมจะเพิ่มมากขึ้น พระเณรที่ขาดการศึกษา จะไม่รู้ธรรมวินัย ไม่เข้าใจว่าอะไรควร อะไรไม่ควร อะไรผิดศีล อะไรผิดธรรม จะไม่รู้หน้าที่ของตน เพียงบวชกันตามประเพณีเท่านั้น เหตุการณ์อย่างนี้ ก็จะเกิดมีในภายภาคหน้าโน้น
สุบินนิมิตข้อที่ 16 : โค่นล้มราชาธิปไตย
พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงสุบินนิมิตเห็นฝูงแพะทั้งหลายพากันไล่จับเสือมาเป็นอาหาร พากันเคี้ยวกินอยู่กรอบๆ พระ
พุทธเจ้าให้คำทำนายว่า อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าโน้น ประชาชนทั้งหลาย ไม่พอใจการปกครองแบบราชาธิปไตย จึงพากันจับกลุ่มเพื่อเรียกร้องต่อต้านการปกครองของพระราชา ให้ได้มาซึ่งการปกครองแบบประชาธิปไตย ให้พระราชลดบทบาท ลดอำนาจลง อยู่ในการปกครองภายใต้กฎหมายเท่าเทียมกัน เมื่อพระราชาไม่ยินยอม ก็พากันปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจ ให้เป็นไปตามความต้องการของประชาชน ถ้าพระราชชาองค์ใดขัดขืน ก็ลบล้างพระมหากษัตริย์ ผู้เป็นประมุขของประเทศนั้นๆ พร้อมด้วยพระราชวงศ์ ให้หมดไปจากประเทศชาตินั้นเสีย มีบางประเทศที่พระราชยินยอมตามคำขอร้องของประชาชน ยอมลงจากอำนาจเดิมคือราชาธิปไตย ประชาราษฎรในบ้านนั้นเมืองนั้น ก็จะพากันให้ความเคารพเชื่อถือในองค์พระมหากษัตริย์ พากันยกย่องเชิดชูในพระราชวงศ์นั้นจนสุดชีวิต เพื่อให้เป็นร่มโพธิร่มไทร เป็นสมมุติเทพ กราบไหว้เทิดทูน ให้เป็นศูนย์รวมน้ำใจของประเทศนั้นๆ ตลอดไปสินกาลนาน เหตุการณ์อย่างนี้ ก็จะเกิดมีในภายภาคหน้าโน้น
ลองดูนะว่า เป็นจริงแล้วกี่คำทำนาย เหลืออีกกี่คำทำนาย
Thanks & Best Regards
ธนเดช สายพันธ์ (Thanadeach Saiphan)
Theขี้ฝุ่นริมทาง
วันอังคารที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2553
หายใจและยิ้มอย่างมีสติ
เมื่อเรานั่งลงอย่างสงบ หายใจและยิ้มอย่างมีสติ
เรากำลังเป็นตัวเองอย่างแท้จริง
เรากำลังมีอำนาจเหนือตนเอง
แต่เมื่อเปิดดูรายการโทรทัศน์
นั่นเท่ากับเราปล่อยให้รายการนั้นรุกรานเข้ามาในใจ
บางครั้งก็เป็นรายการที่ดี
แต่บ่อยครั้งเป็นเพียงเสียงหนวกหูเสียมากกว่า
เพราะเราต้องการอะไรสักอย่างจากภายนอกให้เข้ามาสู่ตัวเรานั่นเอง
เราจึงนั่งปล่อยให้เสียงโทรทัศน์อันโหวกเหวกรุกรานเรา
โจมตีเรา ทำลายเรา
แม้ระบบประสาทจะถูกกระหน่ำโบยจนบอบช้ำ
เราก็ยังไม่กล้าลุกขึ้นเปิดโทรทัศน์
เพราะถ้าทำเช่นนั้น เราจะต้องกลับมาสู่ตัวเอง
การภาวนานั้นกลับตรงกันข้าม
เพราะสิ่งนี่ช่วยให้เราหวนคืนสู่ตัวจริงของเรา
ทว่าการภาวนาในสภาพสังคมเช่นนี้ นับว่ายากมาก
ทุกอย่างดูเหมือนจะร่วมมือกัน พยายามพรากเราออกจากตัวตนที่แท้จริง
เรามีของนับไม่ถ้วนที่จะชักจูงให้หนีห่างจากตัวเอง
เช่น วิดิโอเทป และดนตรี เป็นต้น
การภาวนาคือการมีสติ ยิ้มและหายใจอย่างรู้ตัวทั่วพร้อม
ซึ่งเป็นทางตรงข้ามกับวิถีชีวิตข้างต้น
เราหวนคืนสู่ตัวเองก็เพื่อจะได้เห็นความเป็นไปของสิ่งทั้งหลาย
ความเป็นไปของสรรพสิ่งนับว่าสำคัญมาก
เรากำลังเป็นตัวเองอย่างแท้จริง
เรากำลังมีอำนาจเหนือตนเอง
แต่เมื่อเปิดดูรายการโทรทัศน์
นั่นเท่ากับเราปล่อยให้รายการนั้นรุกรานเข้ามาในใจ
บางครั้งก็เป็นรายการที่ดี
แต่บ่อยครั้งเป็นเพียงเสียงหนวกหูเสียมากกว่า
เพราะเราต้องการอะไรสักอย่างจากภายนอกให้เข้ามาสู่ตัวเรานั่นเอง
เราจึงนั่งปล่อยให้เสียงโทรทัศน์อันโหวกเหวกรุกรานเรา
โจมตีเรา ทำลายเรา
แม้ระบบประสาทจะถูกกระหน่ำโบยจนบอบช้ำ
เราก็ยังไม่กล้าลุกขึ้นเปิดโทรทัศน์
เพราะถ้าทำเช่นนั้น เราจะต้องกลับมาสู่ตัวเอง
การภาวนานั้นกลับตรงกันข้าม
เพราะสิ่งนี่ช่วยให้เราหวนคืนสู่ตัวจริงของเรา
ทว่าการภาวนาในสภาพสังคมเช่นนี้ นับว่ายากมาก
ทุกอย่างดูเหมือนจะร่วมมือกัน พยายามพรากเราออกจากตัวตนที่แท้จริง
เรามีของนับไม่ถ้วนที่จะชักจูงให้หนีห่างจากตัวเอง
เช่น วิดิโอเทป และดนตรี เป็นต้น
การภาวนาคือการมีสติ ยิ้มและหายใจอย่างรู้ตัวทั่วพร้อม
ซึ่งเป็นทางตรงข้ามกับวิถีชีวิตข้างต้น
เราหวนคืนสู่ตัวเองก็เพื่อจะได้เห็นความเป็นไปของสิ่งทั้งหลาย
ความเป็นไปของสรรพสิ่งนับว่าสำคัญมาก
หลวงพ่อชา - “คนเลี้ยงไก่”
มีคนเลี้ยงไก่ 2 คน
คนที่ 1 ทุกเช้าจะเอาตะกร้าเข้าไปในโรงเรือนเลี้ยงไก่ แล้วก็เก็บ "ขี้ไก่" ใส่ตะกร้ากลับบ้าน!!
แล้วทิ้งไข่ไก่ให้เน่าไว้ในโรงเรือน
เมื่อเขาเอาขี้ไก่กลับถึงบ้าน ทั้งบ้านก็เหม็นหึ่ง ไปด้วยกลิ่นขึ้ไก่ !!! คนทั้งบ้านต้องทนกับกลิ่นเหม็น!!!
คนเลี้ยงไก่คนที่ 2 เอาตะกร้าเข้าไปในโรงเรือนเลี้ยงไก่ เก็บ "ไข่ไก่" ใส่ตะกร้าเอากลับบ้าน
เขาเอาไข่ไก่ลงเจียว กลิ่นหอมอบอวลไปทั่วบ้าน คนทั้งบ้านได้กินไข่เจียวแสนอร่อย ไข่ไก่ที่เหลือเขาก็
เอาไปขาย แล้วได้เงินมาใช้จ่ายในบ้าน ทุกคนในบ้านมีความสุขมาก.....
ในชีวิตของเรา พวกเรา เป็นคนเก็บ "ไข่ไก่" หรือ เก็บ"ขี้ไก่"
เราเป็นคนเก็บ "ขี้ไก่" โดยเฝ้าแต่เก็บเรื่องร้ายๆ แย่ๆที่เกิดขึ้นในชีวิตเราไว้ในหัวของเรา และมี
ความทุกข์ตลอดเวลาที่คิดถึงมัน!!!
หรือเราเป็นคนที่เก็บ "ไข่ไก่" เราจดจำสิ่งที่ดีๆที่เกิดในชีวิตของเรา และมีความสุขทุกครั้งที่คิดถึงมัน!!
คนเราส่วนใหญ่ชอบเป็นคนเก็บ "ขี้ไก่"
เราถึงต้องเป็นทุกข์ตลอดเวลา เรื่องความเสียใจ ความผิดพลาด ความเจ็บใจ ฯลฯ มักจะติดอยู่ในใจ
ของเรานานเท่านาน
ถ้าเราอยากมีความสุขในชีวิต เลือกเก็บ "ไข่ไก่" กับชีวิต
ทิ้ง "ขี้ไก่" ไปเถอะ ชีวิตของเราจะได้มีความสุขซักที ...
คนที่ 1 ทุกเช้าจะเอาตะกร้าเข้าไปในโรงเรือนเลี้ยงไก่ แล้วก็เก็บ "ขี้ไก่" ใส่ตะกร้ากลับบ้าน!!
แล้วทิ้งไข่ไก่ให้เน่าไว้ในโรงเรือน
เมื่อเขาเอาขี้ไก่กลับถึงบ้าน ทั้งบ้านก็เหม็นหึ่ง ไปด้วยกลิ่นขึ้ไก่ !!! คนทั้งบ้านต้องทนกับกลิ่นเหม็น!!!
คนเลี้ยงไก่คนที่ 2 เอาตะกร้าเข้าไปในโรงเรือนเลี้ยงไก่ เก็บ "ไข่ไก่" ใส่ตะกร้าเอากลับบ้าน
เขาเอาไข่ไก่ลงเจียว กลิ่นหอมอบอวลไปทั่วบ้าน คนทั้งบ้านได้กินไข่เจียวแสนอร่อย ไข่ไก่ที่เหลือเขาก็
เอาไปขาย แล้วได้เงินมาใช้จ่ายในบ้าน ทุกคนในบ้านมีความสุขมาก.....
ในชีวิตของเรา พวกเรา เป็นคนเก็บ "ไข่ไก่" หรือ เก็บ"ขี้ไก่"
เราเป็นคนเก็บ "ขี้ไก่" โดยเฝ้าแต่เก็บเรื่องร้ายๆ แย่ๆที่เกิดขึ้นในชีวิตเราไว้ในหัวของเรา และมี
ความทุกข์ตลอดเวลาที่คิดถึงมัน!!!
หรือเราเป็นคนที่เก็บ "ไข่ไก่" เราจดจำสิ่งที่ดีๆที่เกิดในชีวิตของเรา และมีความสุขทุกครั้งที่คิดถึงมัน!!
คนเราส่วนใหญ่ชอบเป็นคนเก็บ "ขี้ไก่"
เราถึงต้องเป็นทุกข์ตลอดเวลา เรื่องความเสียใจ ความผิดพลาด ความเจ็บใจ ฯลฯ มักจะติดอยู่ในใจ
ของเรานานเท่านาน
ถ้าเราอยากมีความสุขในชีวิต เลือกเก็บ "ไข่ไก่" กับชีวิต
ทิ้ง "ขี้ไก่" ไปเถอะ ชีวิตของเราจะได้มีความสุขซักที ...
รับสมัครนักเทคนิคการแพทย์
วันที่: 2010-08-19 00:00:00 ถึง: 2010-10-31 00:00:00
โรงพยาบาลเกาะพะงัน อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี รับสมัคร นักเทคนิคการแพทย์ ตำแหน่งลูกจ้างชั่วคราว 1 ตำแหน่ง รพ.มีที่พักให้
แหล่งที่มา: กลุ่มงานเทคนิคบริการ
โทรศัพท์: 077-377034 ต่อ 104 , 081-7337633
โรงพยาบาลเกาะพะงัน อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี รับสมัคร นักเทคนิคการแพทย์ ตำแหน่งลูกจ้างชั่วคราว 1 ตำแหน่ง รพ.มีที่พักให้
แหล่งที่มา: กลุ่มงานเทคนิคบริการ
โทรศัพท์: 077-377034 ต่อ 104 , 081-7337633
พิธีเปิดอาคารสำนักงานสหกรณ์ออมทรัพย์โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์อุบลราชธานี จำกัด( สรรพสิทธิ์พลาซ่า )
วันที่: 2010-08-30 00:00:00 ถึง: 2010-09-06 00:00:00
พิธีเปิดอาคารสำนักงานสหกรณ์ออมทรัพย์โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์อุบลราชธานี จำกัด( สรรพสิทธิ์พลาซ่า )
นายสุรพล สายพันธ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี เป็นประธานในพิธีเปิดอาคารสำนักงานสหกรณ์ออมทรัพย์โรงพยาบาลสรรพสิทธิ ประสงค์อุบลราชธานี จำกัด( สรรพสิทธิ์พลาซ่า ) โดยมีนายแพทย์เศวต ศรีศิริ ประธานกรรมการสหกรณ์ฯและคณะให้การต้อนรับ เมื่อวันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม 2553 เวลา 09.30 น. ซึ่งสหกรณ์ออมทรัพย์โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์อุบลราชธานี จำกัด ได้เปิดทำการมาแล้วเป็นเวลา 36 ปี
โดยมีสมาชิก ณ ปัจจุบัน 1,751 คน ขณะนี้การดำเนินงานของสหกรณ์ฯ ได้มีการเปลี่ยนแปลงผ่านเข้าสู่ยุคใหม่ของการดำเนินการสหกรณ์ก็คือ การลงทุน ที่ให้เกิดประโยชน์สำหรับสมาชิก สำหรับสหกรณ์ องค์กร และสามารถให้ผลกำไรที่เหมาะสมกับการลงทุน ซึ่งอาคารหลังใหม่เป็นอาคารขนาด 5 ชั้น มีทั้งส่วนที่เกี่ยวข้องกับอาคารสำนักงานสหกรณ์ฯ ส่วนที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการ ทางด้านอาหาร ของเบ็ดเตล็ด
ซึ่งเป็นรูปแบบใหม่ของสหกรณ์ออมทรัพย์โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์อุบลราชธานี จำกัด( สรรพสิทธิ์พลาซ่า )
ข่าว งานประชาสัมพันธ์
บรรณาธิการ นพ.มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์
30 สิงหาคม 2553
แหล่งที่มา: สุทธิพงษ์ เกษเจริญคุณ
โทรศัพท์: 045 - 319288
E-Mail: kon.job.loy@hotmail.com
พิธีเปิดอาคารสำนักงานสหกรณ์ออมทรัพย์โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์อุบลราชธานี จำกัด( สรรพสิทธิ์พลาซ่า )
นายสุรพล สายพันธ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี เป็นประธานในพิธีเปิดอาคารสำนักงานสหกรณ์ออมทรัพย์โรงพยาบาลสรรพสิทธิ ประสงค์อุบลราชธานี จำกัด( สรรพสิทธิ์พลาซ่า ) โดยมีนายแพทย์เศวต ศรีศิริ ประธานกรรมการสหกรณ์ฯและคณะให้การต้อนรับ เมื่อวันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม 2553 เวลา 09.30 น. ซึ่งสหกรณ์ออมทรัพย์โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์อุบลราชธานี จำกัด ได้เปิดทำการมาแล้วเป็นเวลา 36 ปี
โดยมีสมาชิก ณ ปัจจุบัน 1,751 คน ขณะนี้การดำเนินงานของสหกรณ์ฯ ได้มีการเปลี่ยนแปลงผ่านเข้าสู่ยุคใหม่ของการดำเนินการสหกรณ์ก็คือ การลงทุน ที่ให้เกิดประโยชน์สำหรับสมาชิก สำหรับสหกรณ์ องค์กร และสามารถให้ผลกำไรที่เหมาะสมกับการลงทุน ซึ่งอาคารหลังใหม่เป็นอาคารขนาด 5 ชั้น มีทั้งส่วนที่เกี่ยวข้องกับอาคารสำนักงานสหกรณ์ฯ ส่วนที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการ ทางด้านอาหาร ของเบ็ดเตล็ด
ซึ่งเป็นรูปแบบใหม่ของสหกรณ์ออมทรัพย์โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์อุบลราชธานี จำกัด( สรรพสิทธิ์พลาซ่า )
ข่าว งานประชาสัมพันธ์
บรรณาธิการ นพ.มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์
30 สิงหาคม 2553
แหล่งที่มา: สุทธิพงษ์ เกษเจริญคุณ
โทรศัพท์: 045 - 319288
E-Mail: kon.job.loy@hotmail.com
รพ.สรรพสิทธิประสงค์ อุบลฯจัดอบรมพฤติกรรมกลุ่มเสียง
วันที่: 2010-08-28 00:00:00 ถึง: 2010-09-04 00:00:00
รพ.สรรพสิทธิประสงค์ อุบลฯจัดอบรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพประจำหน่วยงาน รุ่นที่ 4
นพ.จรัญ ทองทับ รองผู้อำนวยการด้านปฐมภูมิและ
ประธาน ทีมวิทยากรส่งเสริมสุขภาพ เป็นประธานเปิดการอบรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพประจำหน่วยงาน รุนที่ 4 ปี 2553 เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2553 ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 6 อาคาร 50 พรรษา โดยหลังจากการอบรมดังกล่าว ผู้เข้ารับการอบรมจะได้รับทราบการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภค การออกกำลังกาย การฝึกการหายใจ เป็นต้น เพื่อป้องกันโรคต่างๆที่อาจเกิดขึ้นได้ ทั้งนี้ได้รับความร่วมมือจาก ทีมวิทยากรส่งเสริมสุขภาพโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ อุบลราชธานี
งานประชาสัมพันธ์
โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ อุบลราชธานี
บรรณาธิการ นพ.มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์
แหล่งที่มา: สุทธิพงษ์ เกษเจริญคุณ
โทรศัพท์:
E-Mail: kon.job.loy@hotmail.com
รพ.สรรพสิทธิประสงค์ อุบลฯจัดอบรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพประจำหน่วยงาน รุ่นที่ 4
นพ.จรัญ ทองทับ รองผู้อำนวยการด้านปฐมภูมิและ
ประธาน ทีมวิทยากรส่งเสริมสุขภาพ เป็นประธานเปิดการอบรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพประจำหน่วยงาน รุนที่ 4 ปี 2553 เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2553 ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 6 อาคาร 50 พรรษา โดยหลังจากการอบรมดังกล่าว ผู้เข้ารับการอบรมจะได้รับทราบการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภค การออกกำลังกาย การฝึกการหายใจ เป็นต้น เพื่อป้องกันโรคต่างๆที่อาจเกิดขึ้นได้ ทั้งนี้ได้รับความร่วมมือจาก ทีมวิทยากรส่งเสริมสุขภาพโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ อุบลราชธานี
งานประชาสัมพันธ์
โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ อุบลราชธานี
บรรณาธิการ นพ.มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์
แหล่งที่มา: สุทธิพงษ์ เกษเจริญคุณ
โทรศัพท์:
E-Mail: kon.job.loy@hotmail.com
สสจ.พัทลุง แจ้งแผนปฎิบัติงาน พอ.สว. จังหวัดพัทลุง ปีงบประมาณ 2554
from MOPH-ข่าวภูมิภาค by สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพัทลุง
นาย แพทย์วิฑูรย์ เหลืองดิลก นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพัทลุง เปิดเผยว่า มูลนิธิ พอ.สว. อนุมัติแผนปฏิบัติงานหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. ประจำปีงบประมาณ 2554 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การรักษาพยาบาล ป้องกันโรค ส่งเสริมและฟื้นฟูสุขภาพอนามัยของประชาชน พร้อมเยี่ยมผู้สูงอายุ และผู้พิการ ชี้แจงข่าวสารแก่ประชาชน ซึ่งอยู่ในถิ่นทุรกันดารห่างไกลคมนาคม รวมทั้งส่งเสริมสนับสนุนให้ท้องถิ่นเหล่านั้น พัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น ดังนี้ วันที่ 16 ตุลาคม 2553 ณ บ้านท่าสำเภาใต้ หมู่ที่ 4 ตำบลชัยบุรี อำเภอเมืองพัทลุง วันที่ 13 พฤศจิกายน 2553 ณ บ้านพรุนายขาว หมู่ที่ 6 ตำบลคลองใหญ่ อำเภอตะโหมด วันที่ 25 ธันวาคม 2553 ณ บ้านไสประดู่ หมู่ที่ 2 ตำบลเขาปู่ อำเภอศรีบรรพต วันที่ 2 มกราคม 2554 ณ บ้านปากพล หมู่ที่ 9 ตำบลนาปะขอ อำเภอบางแก้ว วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2554 ณ บ้านป่าบอนต่ำ หมู่ที่ 7 ตำบลป่าบอน อำเภอป่าบอน วันที่ 26 มีนาคม 2554 ณ บ้านท่าควาย หมู่ที่ 5 ตำบลโคกม่วง อำเภอเขาชัยสน วันที่ 23 เมษายน 2554 ณ บ้านท่าเนียน หมู่ที่ 3 ตำบลเกาะนางคำ อำเภอป่าพะยูน วันที่ 21 พฤษภาคม 2554 ณ บ้านไร่เจ็ดสิบ(โหล๊ะท่อม) หมู่ที่ 1 ตำบลเกาะเต่า อำเภอป่าพะยอม วันที่ 18 มิถุนายน 2554 ณ บ้านไสคุณเปลือย หมู่ที่ 5 ตำบลสมหวัง อำเภอกงหรา วันที่ 4 กรกฎาคม 2554 ณ บ้านโคกสัก หมู่ที่ 6 ตำบลทะเลน้อย อำเภอควนขนุน วันที่ 18 กรกฎาคม 2554 ณ บ้านชุมพล หมู่ที่ 14 ตำบลชุมพล อำเภอศรีนครินทร์ วันที่ 20 สิงหาคม 2554 ณ บ้านเกาะโคบ หมู่ที่ 4 ตำบลเกาะหมาก อำเภอปากพะยูน นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพัทลุง ยังกล่าวอีกว่า ขอเชิญชวนประชาชนตามหมู่บ้าน ดังกล่าวและบริเวณใกล้เคียง ไปขอรับบริการ จากหน่วยแพทย์ พอ.สว.จังหวัดพัทลุง ตามวันที่ระบุไว้โดยทั่วกัน การบริการทุกครั้งไม่คิดมูลค่า (ฟรี…)
นาย แพทย์วิฑูรย์ เหลืองดิลก นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพัทลุง เปิดเผยว่า มูลนิธิ พอ.สว. อนุมัติแผนปฏิบัติงานหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. ประจำปีงบประมาณ 2554 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การรักษาพยาบาล ป้องกันโรค ส่งเสริมและฟื้นฟูสุขภาพอนามัยของประชาชน พร้อมเยี่ยมผู้สูงอายุ และผู้พิการ ชี้แจงข่าวสารแก่ประชาชน ซึ่งอยู่ในถิ่นทุรกันดารห่างไกลคมนาคม รวมทั้งส่งเสริมสนับสนุนให้ท้องถิ่นเหล่านั้น พัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น ดังนี้ วันที่ 16 ตุลาคม 2553 ณ บ้านท่าสำเภาใต้ หมู่ที่ 4 ตำบลชัยบุรี อำเภอเมืองพัทลุง วันที่ 13 พฤศจิกายน 2553 ณ บ้านพรุนายขาว หมู่ที่ 6 ตำบลคลองใหญ่ อำเภอตะโหมด วันที่ 25 ธันวาคม 2553 ณ บ้านไสประดู่ หมู่ที่ 2 ตำบลเขาปู่ อำเภอศรีบรรพต วันที่ 2 มกราคม 2554 ณ บ้านปากพล หมู่ที่ 9 ตำบลนาปะขอ อำเภอบางแก้ว วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2554 ณ บ้านป่าบอนต่ำ หมู่ที่ 7 ตำบลป่าบอน อำเภอป่าบอน วันที่ 26 มีนาคม 2554 ณ บ้านท่าควาย หมู่ที่ 5 ตำบลโคกม่วง อำเภอเขาชัยสน วันที่ 23 เมษายน 2554 ณ บ้านท่าเนียน หมู่ที่ 3 ตำบลเกาะนางคำ อำเภอป่าพะยูน วันที่ 21 พฤษภาคม 2554 ณ บ้านไร่เจ็ดสิบ(โหล๊ะท่อม) หมู่ที่ 1 ตำบลเกาะเต่า อำเภอป่าพะยอม วันที่ 18 มิถุนายน 2554 ณ บ้านไสคุณเปลือย หมู่ที่ 5 ตำบลสมหวัง อำเภอกงหรา วันที่ 4 กรกฎาคม 2554 ณ บ้านโคกสัก หมู่ที่ 6 ตำบลทะเลน้อย อำเภอควนขนุน วันที่ 18 กรกฎาคม 2554 ณ บ้านชุมพล หมู่ที่ 14 ตำบลชุมพล อำเภอศรีนครินทร์ วันที่ 20 สิงหาคม 2554 ณ บ้านเกาะโคบ หมู่ที่ 4 ตำบลเกาะหมาก อำเภอปากพะยูน นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพัทลุง ยังกล่าวอีกว่า ขอเชิญชวนประชาชนตามหมู่บ้าน ดังกล่าวและบริเวณใกล้เคียง ไปขอรับบริการ จากหน่วยแพทย์ พอ.สว.จังหวัดพัทลุง ตามวันที่ระบุไว้โดยทั่วกัน การบริการทุกครั้งไม่คิดมูลค่า (ฟรี…)
“จุ รินทร์” เร่งรัดยกระดับสถานีอนามัยเป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลให้เสร็จ 2,000 แห่ง ภายใน 30 กันยายน 2553 พร้อมติวเข้มบุคลากร 11 หลักสูตร เพิ่มศักยภาพบริการ
from MOPH-ข่าวเพื่อสื่อมวลชน by สำนักสารนิเทศ
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเปิดประชุมเชิงปฏิบัติการเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบงานพัฒนาโรง พยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ระดับเขต 18 เขตและระดับจังหวัด 75 จังหวัดทั่วประเทศจำนวน 186 คน ที่โรงแรมเอบีน่าเฮ้าส์ ถนนวิภาวดีรังสิต 64 กทม. ซึ่งจัดระหว่างวันที่ 30 -31 สิงหาคม 2553 เพื่อเตรียมความพร้อมด้านวิชาการแก่ผู้รับผิดชอบงานรพ.สต.และวิทยากรระดับจังหวัด เพื่อนำไปพัฒนาศักยภาพบุคลากรประจำ รพ.สต. ในพื้นที่เป้าหมาย 2,000 แห่งแรกที่เริ่มดำเนินการในปีงบประมาณ 2553 ให้สามารถจัดบริการได้ครอบคลุมด้านการส่งเสริมสุขภาพ การฟื้นฟูสภาพ ป้องกันโรค คุ้มครองผู้บริโภคและรักษาพยาบาลประชาชน ได้มาตรฐาน มีประสิทธิภาพและความมั่นใจ เป็นต้นแบบให้กับ รพ.สต.ที่จะพัฒนาอีก 7,770 แห่ง ซึ่งจะดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2553 เป็นต้นไปจนครบทุกแห่ง
นายจุรินทร์ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ให้ความสำคัญกับนโยบายการยกระดับสถานีอนามัยเป็นรพ.สต. ในปี 2553 นี้ ตั้งเป้ายกระดับ 2,000 แห่ง แต่ยังไม่สำเร็จได้ตามเป้าหมาย ต้องเร่งรัดให้เสร็จภายใน 30 กันยายน 2553 ซึ่งสถานีอนามัยที่จะยกระดับได้ ต้องผ่านเกณฑ์ตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด 4 ข้อ ได้แก่ 1. มีการปรับปรุงอาคารสถานที่และป้ายโรงพยาบาล 2. มีบุคลากรครบ โดยในรพ.สต.เดี่ยวมีอย่างน้อย 4 ตำแหน่ง 3. มีระบบฐานข้อมูลเทคโนโลยีสารสนเทศเชื่อมต่อกับรพ.แม่ข่าย เช่น อินเตอร์เน็ต เพื่อรองรับนโยบายกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งในวันที่ 1 ตุลาคม 2553 จะให้สถานพยาบาลในสังกัดทุกระดับ ใช้บัตรประชาชนแทนบัตรทองในการไปรักษาในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และ4. มีการตั้งคณะกรรมการพัฒนารพ.สต.แบบมีส่วนร่วมจาก 3 ภาคส่วน ได้แก่ สาธารณสุข ท้องถิ่นและประชาสังคม เพื่อระดมความคิดและทรัพยากรในการพัฒนารพ.สต. หากเข้าเกณฑ์ครบทั้ง 4 ข้อ ให้ประกาศเปิดเป็นรพ.สต.อย่างเป็นทางการได้
นายจุรินทร์ กล่าวต่อว่า ได้มอบนโยบายในการใช้งบประมาณในปี 2554 ซึ่งจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2553 เป็นต้นไป โดยขอให้เดินหน้าโครงการที่เป็นนโยบายของรพ.สต. และเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณให้ได้ตามเกณฑ์ และให้ทุกจังหวัดติดตามงานนโยบายกระทรวงสาธารณสุข เพื่อนำไปขยายผล ลงมือปฏิบัติในพื้นที่ทันที ซึ่งจะช่วยการแก้ไขปัญหาสุขภาพเป็นไปอย่างรวด เร็ว เช่น การลดโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โครงการเสริมไอโอดีนในหมู่บ้านและตำบล เพื่อเพิ่มระดับสติปัญญาคนไทย เป็น ต้น
ทางด้าน นายแพทย์ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้วางระบบความพร้อมเพื่อพัฒนารพ.สต. ให้มีศักยภาพในการจัดบริการประชาชนในพื้นที่จำนวน 11 หลักสูตร ประกอบด้วย หลักสูตรพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับบุคลากรรพ.สต. ทุกแห่งมี 6 หลักสูตร ได้แก่ 1. การจัดการดูแลโรคเรื้อรังในระดับครอบครัว 2. การดูแลสุขภาพฟันและช่องปากในชุมชน 3. การส่งเสริมสุขภาพแนวใหม่เพื่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ 4. การคุ้มครองผู้บริโภค 5.การบริหารจัดการเครือข่าย และ 6.การจัดการความรู้ต่างๆ และหลักสูตรเฉพาะอีก 5 หลักสูตร ซึ่งสามารถปรับใช้ตามสภาพสังคมพื้นที่ ได้แก่ 1.การฟื้นฟูสภาพในชุมชน 2.การดูแลผู้สูงอายุแบบบูรณาการ 3.การจัดบริการการแพทย์แผนไทยในรพ.สต. 4.การให้คำปรึกษา และ5.การดูแลด้านการอนามัยเจริญพันธุ์ของประชาชน
************************************ 31 สิงหาคม 2553
2---------------------/--/--/-/---------////////////////
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเปิดประชุมเชิงปฏิบัติการเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบงานพัฒนาโรง พยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ระดับเขต 18 เขตและระดับจังหวัด 75 จังหวัดทั่วประเทศจำนวน 186 คน ที่โรงแรมเอบีน่าเฮ้าส์ ถนนวิภาวดีรังสิต 64 กทม. ซึ่งจัดระหว่างวันที่ 30 -31 สิงหาคม 2553 เพื่อเตรียมความพร้อมด้านวิชาการแก่ผู้รับผิดชอบงานรพ.สต.และวิทยากรระดับจังหวัด เพื่อนำไปพัฒนาศักยภาพบุคลากรประจำ รพ.สต. ในพื้นที่เป้าหมาย 2,000 แห่งแรกที่เริ่มดำเนินการในปีงบประมาณ 2553 ให้สามารถจัดบริการได้ครอบคลุมด้านการส่งเสริมสุขภาพ การฟื้นฟูสภาพ ป้องกันโรค คุ้มครองผู้บริโภคและรักษาพยาบาลประชาชน ได้มาตรฐาน มีประสิทธิภาพและความมั่นใจ เป็นต้นแบบให้กับ รพ.สต.ที่จะพัฒนาอีก 7,770 แห่ง ซึ่งจะดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2553 เป็นต้นไปจนครบทุกแห่ง
นายจุรินทร์ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ให้ความสำคัญกับนโยบายการยกระดับสถานีอนามัยเป็นรพ.สต. ในปี 2553 นี้ ตั้งเป้ายกระดับ 2,000 แห่ง แต่ยังไม่สำเร็จได้ตามเป้าหมาย ต้องเร่งรัดให้เสร็จภายใน 30 กันยายน 2553 ซึ่งสถานีอนามัยที่จะยกระดับได้ ต้องผ่านเกณฑ์ตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด 4 ข้อ ได้แก่ 1. มีการปรับปรุงอาคารสถานที่และป้ายโรงพยาบาล 2. มีบุคลากรครบ โดยในรพ.สต.เดี่ยวมีอย่างน้อย 4 ตำแหน่ง 3. มีระบบฐานข้อมูลเทคโนโลยีสารสนเทศเชื่อมต่อกับรพ.แม่ข่าย เช่น อินเตอร์เน็ต เพื่อรองรับนโยบายกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งในวันที่ 1 ตุลาคม 2553 จะให้สถานพยาบาลในสังกัดทุกระดับ ใช้บัตรประชาชนแทนบัตรทองในการไปรักษาในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และ4. มีการตั้งคณะกรรมการพัฒนารพ.สต.แบบมีส่วนร่วมจาก 3 ภาคส่วน ได้แก่ สาธารณสุข ท้องถิ่นและประชาสังคม เพื่อระดมความคิดและทรัพยากรในการพัฒนารพ.สต. หากเข้าเกณฑ์ครบทั้ง 4 ข้อ ให้ประกาศเปิดเป็นรพ.สต.อย่างเป็นทางการได้
นายจุรินทร์ กล่าวต่อว่า ได้มอบนโยบายในการใช้งบประมาณในปี 2554 ซึ่งจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2553 เป็นต้นไป โดยขอให้เดินหน้าโครงการที่เป็นนโยบายของรพ.สต. และเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณให้ได้ตามเกณฑ์ และให้ทุกจังหวัดติดตามงานนโยบายกระทรวงสาธารณสุข เพื่อนำไปขยายผล ลงมือปฏิบัติในพื้นที่ทันที ซึ่งจะช่วยการแก้ไขปัญหาสุขภาพเป็นไปอย่างรวด เร็ว เช่น การลดโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โครงการเสริมไอโอดีนในหมู่บ้านและตำบล เพื่อเพิ่มระดับสติปัญญาคนไทย เป็น ต้น
ทางด้าน นายแพทย์ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้วางระบบความพร้อมเพื่อพัฒนารพ.สต. ให้มีศักยภาพในการจัดบริการประชาชนในพื้นที่จำนวน 11 หลักสูตร ประกอบด้วย หลักสูตรพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับบุคลากรรพ.สต. ทุกแห่งมี 6 หลักสูตร ได้แก่ 1. การจัดการดูแลโรคเรื้อรังในระดับครอบครัว 2. การดูแลสุขภาพฟันและช่องปากในชุมชน 3. การส่งเสริมสุขภาพแนวใหม่เพื่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ 4. การคุ้มครองผู้บริโภค 5.การบริหารจัดการเครือข่าย และ 6.การจัดการความรู้ต่างๆ และหลักสูตรเฉพาะอีก 5 หลักสูตร ซึ่งสามารถปรับใช้ตามสภาพสังคมพื้นที่ ได้แก่ 1.การฟื้นฟูสภาพในชุมชน 2.การดูแลผู้สูงอายุแบบบูรณาการ 3.การจัดบริการการแพทย์แผนไทยในรพ.สต. 4.การให้คำปรึกษา และ5.การดูแลด้านการอนามัยเจริญพันธุ์ของประชาชน
************************************ 31 สิงหาคม 2553
2---------------------/--/--/-/---------////////////////
ผลศึกษาพบกิน'ดาร์กช็อกโกแลต'ช่วยพิทักษ์โรคหัวใจล้มเหลว
ผลศึกษาจากสหรัฐฯ พบหญิงมีอายุที่กินดาร์กช็อกโกแลตสัปดาห์ละ 1 หรือ 2 ครั้ง อาจมีความเสี่ยงอาการหัวใจล้มเหลวลดลง 1 ใน 3
นักวิจัยจากบอสตันได้ทำการศึกษาผู้หญิงสวีเดนอายุ 48-83 ปี เกือบ 32,000 คน นาน 9 ปี และรายงานไว้ในวารสารของอเมริกัน ฮาร์ต แอสโซซิเอชันว่า การกินดาร์กช็อกโกแลต 19-30 กรัมต่อสัปดาห์ ลดโอกาสหัวใจล้มเหลวได้ถึง 32%
แต่ถ้ากินทุกวันกลับไม่ช่วยให้ความเสี่ยงนี้ลดลงแต่อย่างใด
นักวิจัยสรุปว่า ผลในการปกป้องจากการกินดาร์กช็อกโกแลตจะลดลงหากกินมากหรือน้อยกว่าสัปดาห์ละ 2 ครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ากินช็อกโกแลตมากเกินไปอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เนื่องจากของหวานชนิดนี้มีน้ำตาลและไขมันสูงที่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่ม
แต่ขณะเดียวกัน ช็อกโกแลตก็อุดมด้วยสารฟลาโวนอยด์ ที่ช่วยลดความดันโลหิต และปกป้องจากโรคหัวใจ
นักวิจัยจากบอสตันได้ทำการศึกษาผู้หญิงสวีเดนอายุ 48-83 ปี เกือบ 32,000 คน นาน 9 ปี และรายงานไว้ในวารสารของอเมริกัน ฮาร์ต แอสโซซิเอชันว่า การกินดาร์กช็อกโกแลต 19-30 กรัมต่อสัปดาห์ ลดโอกาสหัวใจล้มเหลวได้ถึง 32%
แต่ถ้ากินทุกวันกลับไม่ช่วยให้ความเสี่ยงนี้ลดลงแต่อย่างใด
นักวิจัยสรุปว่า ผลในการปกป้องจากการกินดาร์กช็อกโกแลตจะลดลงหากกินมากหรือน้อยกว่าสัปดาห์ละ 2 ครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ากินช็อกโกแลตมากเกินไปอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เนื่องจากของหวานชนิดนี้มีน้ำตาลและไขมันสูงที่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่ม
แต่ขณะเดียวกัน ช็อกโกแลตก็อุดมด้วยสารฟลาโวนอยด์ ที่ช่วยลดความดันโลหิต และปกป้องจากโรคหัวใจ
กก.มาบตาพุดวอน “มาร์ค” ทวนข้อเสนอ 18 กิจการรุนแรง เสนอเอ็นจีโอหอบข้อมูลสุขภาพฟ้อง
กรรมการ 4 ฝ่ายมาบตาพุด วอน นายกฯ กล้าตัดสินใจ ทบทวน ข้อเสนอ 18 ประเภทกิจการรุนแรง ชี้ ศึกษานาน 8 เดือน ผ่านการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย แนะ ใช้กลไก คกก.สุขภาพแห่งชาติ ยุติปัญหา เสนอ ภาคประชาชน หอบข้อมูลสุขภาพ ฟ้องนายกฯ อนาคตชาวมาบตาพุด โรคเรื้อรังรุม เบาหวาน ความดัน หัวใจ เหตุทารกแรกเกิดน้ำหนักตัวน้อย
นพ.ชูชัย ศุภวงศ์ ประธาน อนุกรรมการด้านสุขภาพของคณะกรรมการสี่ฝ่ายแก้ปัญหามาบตาพุด กล่าวว่า ได้เสนอแนะให้เครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก ยื่นข้อเสนอถึง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ พิจารณาทบทวนข้อเสนอ 18 ประเภทโครงการกิจการที่อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อม คุณภาพชีวิตและสุขภาพ ตามที่คณะกรรมการสี่ฝ่ายได้ใช้เวลาถึง 8 เดือนในการศึกษาและรับฟังความเห็น จากทั้งนักวิชาการ และประชาชนทั่วทุกภาคของประเทศ เพื่อให้คณะรัฐมนตรีจะได้นำมติจากทั้งคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติและจากคณะ กรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติรวมกันพิจารณาเพื่อหาทางออกที่เหมาะสมต่อไป
“การ อาศัยอำนาจของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติออกประกาศเพียง 11 ประเภทโครงการกิจการที่อาจส่งผลกระทบที่รุนแรง โดยขาดการพิจารณาผลกระทบด้านสุขภาพที่เพียงพอจะทำให้ปัญหามาบตาพุดขยายบาน ปลายออกไปทั่วประเทศ เพราะปัญหามลภาวะจากอุตสาหกรรมเป็นปัญหาของประเทศชาติ ชุมชนรอบบริเวณโรงงานและผู้ใช้แรงงานได้สูญเสียชีวิต เจ็บป่วย พิการ อีกทั้งทรัพยากรธรรมชาติถูกทำลายไปเป็นจำนวนมาก ในขณะที่เงินกำไรจำนวนมากกับอยู่ในมือของบรรษัทข้ามชาติที่ไม่รับผิดชอบต่อ สังคม” นพ.ชูชัย กล่าว
นพ.ชูชัย กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา มีนักวิชาการของไทยได้ศึกษาผลกระทบต่อสุขภาพจำนวนมากโดยเฉพาะผลการศึกษาทาง ระบาดวิทยา ที่ศึกษาพื้นที่รอบมาบตาพุดในรัศมี 10 กิโลเมตร พบว่า ทารกแรกเกิดมีน้ำหนักน้อยกว่าปกติอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับพื้นที่อื่น ในประเทศ ทารกน้ำหนักน้อยจะส่งผลให้เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่จะมีโอกาสสูงที่จะป่วยเป็นโรค เบาหวาน ความดันสูง และโรคหัวใจได้ จึงขอเสนอให้เครือข่ายประชาชนภาคตะวันออกนำหลักฐานเหล่านี้ยื่นต่อนายก รัฐมนตรีและศาลปกครองด้วย ศาลปกครองอาจเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชน หากรัฐบาลขาดภาวะการนำในการปรับเปลี่ยนทิศทางในการพัฒนาประเทศ ตนจึงขอให้นายกฯ ตัดสินใจเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด
นพ.ชูชัย กล่าวอีกว่า จากการรับฟังความเห็นจากผู้นำชุมชนท้องถิ่นต่างๆ ไม่ได้ปฏิเสธการพัฒนาอุตสาหกรรม แต่อุตสาหกรรมต้องรับผิดชอบและทำให้อยู่ร่วมกับชุมชนได้ โดยต้องการมีส่วนร่วมกำหนดทิศทางของประเทศ ต้อง การเห็นภาคอุตสาหกรรมที่พัฒนาจากฐานทรัพยากรธรรมชาติของไทย และพัฒนาจากฐานวัฒนธรรมที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตไม่ทำลายชุมชน ไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ในขณะนี้มีเครือข่ายของชุมชนท้องถิ่นเชื่อมโยงกันทั่วประเทศ เพื่อปกป้องคุ้มครองฐานทรัพยากรสิ่งแวดล้อมและชุมชน หากผู้มีอำนาจรัฐหรืออำนาจทุนไม่ตระหนักถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมของภาค ประชาชน จะส่งผลให้เกิดความรุนแรงทั่วประเทศได้
นพ.ชูชัย ศุภวงศ์ ประธาน อนุกรรมการด้านสุขภาพของคณะกรรมการสี่ฝ่ายแก้ปัญหามาบตาพุด กล่าวว่า ได้เสนอแนะให้เครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก ยื่นข้อเสนอถึง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ พิจารณาทบทวนข้อเสนอ 18 ประเภทโครงการกิจการที่อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อม คุณภาพชีวิตและสุขภาพ ตามที่คณะกรรมการสี่ฝ่ายได้ใช้เวลาถึง 8 เดือนในการศึกษาและรับฟังความเห็น จากทั้งนักวิชาการ และประชาชนทั่วทุกภาคของประเทศ เพื่อให้คณะรัฐมนตรีจะได้นำมติจากทั้งคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติและจากคณะ กรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติรวมกันพิจารณาเพื่อหาทางออกที่เหมาะสมต่อไป
“การ อาศัยอำนาจของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติออกประกาศเพียง 11 ประเภทโครงการกิจการที่อาจส่งผลกระทบที่รุนแรง โดยขาดการพิจารณาผลกระทบด้านสุขภาพที่เพียงพอจะทำให้ปัญหามาบตาพุดขยายบาน ปลายออกไปทั่วประเทศ เพราะปัญหามลภาวะจากอุตสาหกรรมเป็นปัญหาของประเทศชาติ ชุมชนรอบบริเวณโรงงานและผู้ใช้แรงงานได้สูญเสียชีวิต เจ็บป่วย พิการ อีกทั้งทรัพยากรธรรมชาติถูกทำลายไปเป็นจำนวนมาก ในขณะที่เงินกำไรจำนวนมากกับอยู่ในมือของบรรษัทข้ามชาติที่ไม่รับผิดชอบต่อ สังคม” นพ.ชูชัย กล่าว
นพ.ชูชัย กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา มีนักวิชาการของไทยได้ศึกษาผลกระทบต่อสุขภาพจำนวนมากโดยเฉพาะผลการศึกษาทาง ระบาดวิทยา ที่ศึกษาพื้นที่รอบมาบตาพุดในรัศมี 10 กิโลเมตร พบว่า ทารกแรกเกิดมีน้ำหนักน้อยกว่าปกติอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับพื้นที่อื่น ในประเทศ ทารกน้ำหนักน้อยจะส่งผลให้เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่จะมีโอกาสสูงที่จะป่วยเป็นโรค เบาหวาน ความดันสูง และโรคหัวใจได้ จึงขอเสนอให้เครือข่ายประชาชนภาคตะวันออกนำหลักฐานเหล่านี้ยื่นต่อนายก รัฐมนตรีและศาลปกครองด้วย ศาลปกครองอาจเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชน หากรัฐบาลขาดภาวะการนำในการปรับเปลี่ยนทิศทางในการพัฒนาประเทศ ตนจึงขอให้นายกฯ ตัดสินใจเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด
นพ.ชูชัย กล่าวอีกว่า จากการรับฟังความเห็นจากผู้นำชุมชนท้องถิ่นต่างๆ ไม่ได้ปฏิเสธการพัฒนาอุตสาหกรรม แต่อุตสาหกรรมต้องรับผิดชอบและทำให้อยู่ร่วมกับชุมชนได้ โดยต้องการมีส่วนร่วมกำหนดทิศทางของประเทศ ต้อง การเห็นภาคอุตสาหกรรมที่พัฒนาจากฐานทรัพยากรธรรมชาติของไทย และพัฒนาจากฐานวัฒนธรรมที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตไม่ทำลายชุมชน ไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ในขณะนี้มีเครือข่ายของชุมชนท้องถิ่นเชื่อมโยงกันทั่วประเทศ เพื่อปกป้องคุ้มครองฐานทรัพยากรสิ่งแวดล้อมและชุมชน หากผู้มีอำนาจรัฐหรืออำนาจทุนไม่ตระหนักถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมของภาค ประชาชน จะส่งผลให้เกิดความรุนแรงทั่วประเทศได้
ตะลึง! 200 เมตรรอบมหา'ลัยมีร้านเหล้า 6 แห่ง ดัน 4 อนุบัญญัติ พ.ร.บ.เหล้า หาทางแก้
สธ.ร่วม สสส. และเครือข่ายที่เกี่ยวข้องเปิดเวทีสัมมนาระดมความคิดเห็น เพื่อเตรียมผลักดัน 4 ร่างอนุบัญญัติ พ.ร.บ.เหล้า เพื่อลดการเข้าถึงของเด็กและเยาวชน-ช่วยแก้ปัญหาจากการบริโภคเครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ หลังศูนย์วิจัยปัญหาสุรา เผยพบจุดขายเหล้ารอบมหาวิทยาลัย 1,700 แห่ง เฉลี่ย 5.6 ร้าน ในรัศมี 200 เมตร รอบม.ชี้แนวโน้มยอดพุ่ง
วันนี้ (31 ส.ค.) ที่โรงแรมริชมอนด์ อ.เมือง จ.นนทบุรี นพ.สมาน ฟูตระกูล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมด้วย ศ.นพ.อุดมศิลป์ ศรีแสงนาม ที่ ปรึกษาสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมเปิดสัมมนาเพื่อระดมความคิดเห็นต่อร่างอนุบัญญัติ ตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 โดยมีตัวแทนจากองค์กรต่างๆ เข้าร่วมด้วย อาทิ องค์กรภาคเอกชน เครือข่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผู้ประกอบการสถานบันเทิง ผู้ประกอบการด้านการผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นักเรียน นักศึกษา จากสถาบันต่างๆ ฯลฯ
โดย นพ.สมาน กล่าวว่า สธ.ได้จัดทำร่างอนุบัญญัติทั้ง 4 ฉบับ ได้แก่ 1.ร่างคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ ฉลาก พร้อมทั้งข้อความเตือนสำหรับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ผลิต หรือนำเข้า เพื่อป้องกันและควบคุมความรุนแรงของปัญหาจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การรับรู้ถึงโทษภัยจากการดื่มแอลกอฮอล์ และให้ข้อมูลเพื่อลดความสามารถในการซื้อและพกพาได้อย่างสะดวกในกลุ่มเด็กและ เยาวชน รวมทั้งการปรากฏภาพคำเตือน จำนวน 6 ภาพ บนผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มฯที่แสดงให้ผู้บริโภครับรู้ ถึงโทษและพิษภัยของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วย เพราะภาพเตือนสามารถสื่อความหมายชัดเจนเข้าถึงทุกกลุ่มทั้งผู้ดื่มและคนรอบ ข้อง 2.ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเรื่องกำหนดสถานที่ หรือบริเวณห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากพบว่า นักเรียน นักศึกษา อาศัยท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่เป็นร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น ร้านที่ล้อมรอบสถานศึกษา ร้านค้าปลีกในหอพัก ซึ่งมีส่วนในการเพิ่มแรงจูงใจให้อยากดื่ม
“ในส่วนของการกำหนดสถานที่นั้นจะเน้นรายละเอียดของขอบเขตที่ชัดเจนใน เรื่องของระยะห่างระหว่างสถานศึกษาและร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ม สถานบันเทิง เป็นต้น ส่วนกรณีห้ามขายนั้นเราจะยกเว้นในบางกรณีที่ร้านค้า หรือสถานบันเทิงที่ห้ามผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 เข้าใช้บริการ” นพ.สมาน กล่าว
นพ.สมาน กล่าวด้วยว่า 3.ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องกำหนดวิธีการ หรือลักษณะในการห้ามเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะพบมีการจำหน่ายในรูปแบบเหล้าปั่น ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดนักดื่มหน้าใหม่ ซึ่งในปัจจุประเทศไทยมีนักดื่มหน้าใหม่อย่งต่อเนื่องปีละประมาณ 2.6 แสนคน 4.ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องการกำหนดสถานที่ หรือบริเวณห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่ระบุว่า ห้ามดื่มใน/บนยานพาหนะทางบกที่อยู่ในที่สาธารณะตามกฏหมายว่าด้วยการสาธารณ สุข เนื่องจากพบว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นสาเหตุหลักของการเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีส่วนเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุถึงร้อยละ 40-60
ผอ.สนง.คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ข้อสรุปในเวทีสัมมนาจากทุกภาคส่วนครั้งนี้ จะนำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ในขั้นต่อไป
ด้าน ศ.นพ.อุดมศิลป์ กล่าวว่า สภาพ ปัญหาเกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่น่าเป็นห่วง จากการตรวจสอบและวิจัยสถาบันระดับอุดมศึกษา ใน กทม.พบว่า มีร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เฉลี่ย 5.6 ร้าน ต่อมหาวิทยาลัยหนึ่งแห่ง และตั้งอยู่ในรัศมี 200 เมตรรอบมหาวิทยาลัย และมีแนวโน้มว่าจะมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
น.ส.วีรนุช วิ่งวรรธนะกุล นักวิจัยจากศูนย์วิจัยปัญหาสุรา กล่าวว่า จากการลงพื้นที่สุ่มสำรวจมหาวิทยาลัยในเขตกรุงเทพฯ 15 แห่ง พบว่า ภายในระยะ 500 เมตร มีจุดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากถึง 1,712 แห่ง
ส่วนภญ.อรทัย วลีวงศ์ นัก วิจัยศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) กล่าวว่า ความนิยมดื่มเหล้าปั่นนั้นเป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง เนื่องจากเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดนักดื่มหน้าใหม่ที่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม เด็กมัธยมต้น และวัยรุ่นหญิง สำหรับนักดื่มประจำนั้นมักใช้ร้านเหล้าปั่นเพื่อเป็นจุดอุ่นเครื่องก่อนไป ใช้บริการต่อในผับ บาร์ แต่อันตรายที่มากกว่านั้น ซึ่งหลายคนมักไม่ทราบ คือ ธุรกิจเหล้าปั่นเป็นการลงทุนที่น้อยและได้ผลกำไรมหาศาลในเวลาอันรวดเร็ว โดยผู้ประกอบการบางร้านมักเลือกผสมน้ำผลไม้รวมกับเหล้าขาวหรือเหล้าเถื่อน ซึ่งมีเมทิลแอลกอฮอล์ เป็นส่วนผสม และจำหน่ายในราคาถูกเพื่อดึงดูดความสนใจจากผู้บริโภค ซึ่งอันตรายจากการบริโภคเหล้าเถื่อนเป็นเวลานานจะส่งผลต่อการเสื่อมสภาพระบบ ประสาทตาได้ นอกจากนี้ ยังพบว่า เด็กที่เคยดื่มแอลกอฮอล์มีอายุต่ำสุดเพียงแค่ 7 ปี
วันนี้ (31 ส.ค.) ที่โรงแรมริชมอนด์ อ.เมือง จ.นนทบุรี นพ.สมาน ฟูตระกูล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมด้วย ศ.นพ.อุดมศิลป์ ศรีแสงนาม ที่ ปรึกษาสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมเปิดสัมมนาเพื่อระดมความคิดเห็นต่อร่างอนุบัญญัติ ตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 โดยมีตัวแทนจากองค์กรต่างๆ เข้าร่วมด้วย อาทิ องค์กรภาคเอกชน เครือข่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผู้ประกอบการสถานบันเทิง ผู้ประกอบการด้านการผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นักเรียน นักศึกษา จากสถาบันต่างๆ ฯลฯ
โดย นพ.สมาน กล่าวว่า สธ.ได้จัดทำร่างอนุบัญญัติทั้ง 4 ฉบับ ได้แก่ 1.ร่างคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ ฉลาก พร้อมทั้งข้อความเตือนสำหรับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ผลิต หรือนำเข้า เพื่อป้องกันและควบคุมความรุนแรงของปัญหาจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การรับรู้ถึงโทษภัยจากการดื่มแอลกอฮอล์ และให้ข้อมูลเพื่อลดความสามารถในการซื้อและพกพาได้อย่างสะดวกในกลุ่มเด็กและ เยาวชน รวมทั้งการปรากฏภาพคำเตือน จำนวน 6 ภาพ บนผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มฯที่แสดงให้ผู้บริโภครับรู้ ถึงโทษและพิษภัยของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วย เพราะภาพเตือนสามารถสื่อความหมายชัดเจนเข้าถึงทุกกลุ่มทั้งผู้ดื่มและคนรอบ ข้อง 2.ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเรื่องกำหนดสถานที่ หรือบริเวณห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากพบว่า นักเรียน นักศึกษา อาศัยท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่เป็นร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น ร้านที่ล้อมรอบสถานศึกษา ร้านค้าปลีกในหอพัก ซึ่งมีส่วนในการเพิ่มแรงจูงใจให้อยากดื่ม
“ในส่วนของการกำหนดสถานที่นั้นจะเน้นรายละเอียดของขอบเขตที่ชัดเจนใน เรื่องของระยะห่างระหว่างสถานศึกษาและร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ม สถานบันเทิง เป็นต้น ส่วนกรณีห้ามขายนั้นเราจะยกเว้นในบางกรณีที่ร้านค้า หรือสถานบันเทิงที่ห้ามผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 เข้าใช้บริการ” นพ.สมาน กล่าว
นพ.สมาน กล่าวด้วยว่า 3.ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องกำหนดวิธีการ หรือลักษณะในการห้ามเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะพบมีการจำหน่ายในรูปแบบเหล้าปั่น ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดนักดื่มหน้าใหม่ ซึ่งในปัจจุประเทศไทยมีนักดื่มหน้าใหม่อย่งต่อเนื่องปีละประมาณ 2.6 แสนคน 4.ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องการกำหนดสถานที่ หรือบริเวณห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่ระบุว่า ห้ามดื่มใน/บนยานพาหนะทางบกที่อยู่ในที่สาธารณะตามกฏหมายว่าด้วยการสาธารณ สุข เนื่องจากพบว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นสาเหตุหลักของการเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีส่วนเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุถึงร้อยละ 40-60
ผอ.สนง.คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ข้อสรุปในเวทีสัมมนาจากทุกภาคส่วนครั้งนี้ จะนำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ในขั้นต่อไป
ด้าน ศ.นพ.อุดมศิลป์ กล่าวว่า สภาพ ปัญหาเกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่น่าเป็นห่วง จากการตรวจสอบและวิจัยสถาบันระดับอุดมศึกษา ใน กทม.พบว่า มีร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เฉลี่ย 5.6 ร้าน ต่อมหาวิทยาลัยหนึ่งแห่ง และตั้งอยู่ในรัศมี 200 เมตรรอบมหาวิทยาลัย และมีแนวโน้มว่าจะมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
น.ส.วีรนุช วิ่งวรรธนะกุล นักวิจัยจากศูนย์วิจัยปัญหาสุรา กล่าวว่า จากการลงพื้นที่สุ่มสำรวจมหาวิทยาลัยในเขตกรุงเทพฯ 15 แห่ง พบว่า ภายในระยะ 500 เมตร มีจุดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากถึง 1,712 แห่ง
ส่วนภญ.อรทัย วลีวงศ์ นัก วิจัยศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) กล่าวว่า ความนิยมดื่มเหล้าปั่นนั้นเป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง เนื่องจากเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดนักดื่มหน้าใหม่ที่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม เด็กมัธยมต้น และวัยรุ่นหญิง สำหรับนักดื่มประจำนั้นมักใช้ร้านเหล้าปั่นเพื่อเป็นจุดอุ่นเครื่องก่อนไป ใช้บริการต่อในผับ บาร์ แต่อันตรายที่มากกว่านั้น ซึ่งหลายคนมักไม่ทราบ คือ ธุรกิจเหล้าปั่นเป็นการลงทุนที่น้อยและได้ผลกำไรมหาศาลในเวลาอันรวดเร็ว โดยผู้ประกอบการบางร้านมักเลือกผสมน้ำผลไม้รวมกับเหล้าขาวหรือเหล้าเถื่อน ซึ่งมีเมทิลแอลกอฮอล์ เป็นส่วนผสม และจำหน่ายในราคาถูกเพื่อดึงดูดความสนใจจากผู้บริโภค ซึ่งอันตรายจากการบริโภคเหล้าเถื่อนเป็นเวลานานจะส่งผลต่อการเสื่อมสภาพระบบ ประสาทตาได้ นอกจากนี้ ยังพบว่า เด็กที่เคยดื่มแอลกอฮอล์มีอายุต่ำสุดเพียงแค่ 7 ปี
นักวิชาการเผยชาวระยองป่วยโรคมะเร็งอันดับ 1 ของไทย
นัก วิชาการ เตือน คกก.สิ่งแวดล้อมฯ ออกประกาศ 11 กิจการอุตสาหกรรม ไม่ผ่านความเห็นคนในพื้นที่ ส่อขัด รธน.อาจถูกเอ็นจีโอฟ้องได้ จี้รัฐเร่งแก้ปัญหา ก่อนมลพิษท่วมระยอง เผยสถิติใหม่ ชาวระยองคว้าป่วยมะเร็งอันดับ 1 ของไทย ชี้ พบสารก่อมะเร็งสูงต่อเนื่อง หอยแมลงภู่ กบ โดนด้วยดีเอ็นเอเปลี่ยน
รศ.ดร.เรณู เวชรัชต์พิมล กรรมการ สี่ฝ่ายแก้ปัญหามาบตาพุด กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ มีมติที่จะออกประกาศประเภทอุตสาหกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบรุนแรงต่อชุมชน 11 ประเภท ลดลงจากข้อเสนอของคณะกรรมการ 4 ฝ่ายฯ ได้เสนอต่อนายกรัฐมนตรี ที่เสนอไว้ 18 ประเภท ว่า ในรัฐธรรมนูญไทย ที่ไม่มีมาตราใดบัญญัติให้อำนาจหน่วยงานของรัฐ ประกาศประเภทโครงการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบรุนแรงต่อชุมชนได้ โดยที่ไม่ผ่านการรับฟังความเห็นจากประชาชนในพื้นที่ และหากภาครัฐไม่เร่งรีบแก้ไข อาจสุ่มเสี่ยงต่อการถูกประชาชนฟ้องศาลปกครองตามวรรค 3 ของมาตรา 67 แห่งรัฐธรรมนูญไทยได้ ซึ่งการออกประกาศประเภทอุตสาหกรรมฯ เป็นประกาศที่บังคับใช้ทั่วประเทศ เป็นการพิจารณาในภาพรวม จึงไม่สามารถนำมาใช้กับโครงการที่จะสร้างในเขตควบคุมมลพิษใน จ.ระยอง ได้ทั้งหมด
“การ พิจารณาอนุมัติให้โครงการในมาบตาพุดที่กำลังทำศึกษา และประเมินผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในชุมชน (E/HIA) เพื่อยื่นขออนุมัติจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ อยู่ในขณะนี้ ต้องให้ความสำคัญกับคุณภาพของรายงานผลการศึกษา E/HIA ให้มาก โดยต้องทำให้ครบถ้วนตามประกาศของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ และมุ่งเน้นการศึกษาผลกระทบต่อประชาชนกลุ่มเสี่ยง มีมาตรการป้องกันและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพที่ชัดเจน” รศ.ดร.เรณู กล่าว
รศ.ดร.เรณู กล่าวต่อว่า การที่ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม (ทส.) ประกาศพื้นที่ 6 แห่งใน จ.ระยอง เป็นเขตควบคุมมลพิษ เพราะศาลได้พิสูจน์ข้อเท็จจริงแล้วว่ามีสารพิษและมลพิษ จนก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสุขภาพของประชาชน ซึ่งสถาบันมะเร็งแห่งชาติได้เปิดเผยข้อมูลสถิติมะเร็งของประเทศ พบว่า จ.ระยอง มีสถิติมะเร็งเป็นอันดับ 1 ของประเทศ สะท้อนให้เห็นว่า สารพิษที่มีฤทธิ์ทำลายสารพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอ (DNA) ยังมีอยู่มากในมาบตาพุดและพื้นที่อุตสาหกรรมใน จ.ระยอง
รศ.ดร.เรณู กล่าวอีกว่า ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ รายงานว่า พบสารก่อมะเร็งในอากาศสูงเกินมาตรฐาน ตั้งแต่ปี 2548-จนถึงปัจจุบัน เช่น สารอินทรีย์ระเหยง่าย (VOC) 1, 3-บิวทาไดอีน, เบนซีน และ 1, 2- ไดคลอโรอีทเธน ส่วนในน้ำทะเลและตะกอนดินใต้ท้องทะเลพบโลหะหนัก เช่น สารหนู แคดเมียม และปรอท สูงเกินมาตรฐาน สิ่งที่บ่งชี้ถึงอันตรายจากสุขภาพชัดเจน คือ ตรวจพบโลหะหนักในบ่อน้ำตื้นร้อยละ 50 และตรวจพบสารอินทรีย์ระเหยง่าย ร้อยละ 18 และผลการตรวจสุขภาพประชาชน พบว่า ร้อยละ 34.8 พบโลหะหนักในเลือด และพบอนุพันธ์ของสารเบนซีนร้อยละ 3.67 นอกจากนี้ จากการตรวจหอยแมลงภู่ และกบ ในพื้นที่มาบตาพุดเปรียบเทียบกับแหล่งอ้างอิงอื่น พบว่าหอยแมลงภู่และกบ มีสารพันธุกรรม แตกหักสูงกว่าแหล่งอ้างอิงอื่น 4.85 และร้อยละ 72.24 เท่าตามลำดับ จึงเป็นเครื่องยืนยันถึงผลกระทบของสารพิษจากอุตสาหกรรมต่อชุมชนอย่างชัดเจน
“ภาครัฐจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับแก้ปัญหาผลกระทบของอุตสาหกรรมมาบตา พุดต่อชุมชน และเร่งแก้ไข บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดและจริงจัง เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ทั่วประเทศ ที่ถูกกลุ่มอุตสาหกรรมได้ไปกว้านซื้อที่เอาไว้และมีแผนจะก่อสร้างโรงงาน อุตสาหกรรมขึ้นในพื้นที่นั้น มีความมั่นใจว่า รัฐจะให้ความคุ้มครองประชาชนมากกว่าการลงทุนข้ามชาติ เพราะพวกเขา คือ รัฐเก็่บคุ้มค่า ถึงเวลานั้นค่าใช้จ่ายในการกำจัดซากรงงานเก่าและขยะสารพิษคงไม่พ้นภาษีของ ราษฎรจะไม่หอบเงินออกนอกประเทศ หลังจากพบว่าคนไทย ที่จะไม่หอบเงินออกนอกประเทศแล้ว ทิ้งซากขยะโรงงานเก่า ที่ซ่อมบำรุงแล้วไม่คุ้มค่า ถึงเวลานั้นค่าใช้จ่ายในการกำจัดซากโรงงานเก่าและขยะสารพิษคงไม่พ้นเงินรัฐ” รศ.ดร.เรณู กล่าว
รศ.ดร.เรณู เวชรัชต์พิมล กรรมการ สี่ฝ่ายแก้ปัญหามาบตาพุด กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ มีมติที่จะออกประกาศประเภทอุตสาหกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบรุนแรงต่อชุมชน 11 ประเภท ลดลงจากข้อเสนอของคณะกรรมการ 4 ฝ่ายฯ ได้เสนอต่อนายกรัฐมนตรี ที่เสนอไว้ 18 ประเภท ว่า ในรัฐธรรมนูญไทย ที่ไม่มีมาตราใดบัญญัติให้อำนาจหน่วยงานของรัฐ ประกาศประเภทโครงการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบรุนแรงต่อชุมชนได้ โดยที่ไม่ผ่านการรับฟังความเห็นจากประชาชนในพื้นที่ และหากภาครัฐไม่เร่งรีบแก้ไข อาจสุ่มเสี่ยงต่อการถูกประชาชนฟ้องศาลปกครองตามวรรค 3 ของมาตรา 67 แห่งรัฐธรรมนูญไทยได้ ซึ่งการออกประกาศประเภทอุตสาหกรรมฯ เป็นประกาศที่บังคับใช้ทั่วประเทศ เป็นการพิจารณาในภาพรวม จึงไม่สามารถนำมาใช้กับโครงการที่จะสร้างในเขตควบคุมมลพิษใน จ.ระยอง ได้ทั้งหมด
“การ พิจารณาอนุมัติให้โครงการในมาบตาพุดที่กำลังทำศึกษา และประเมินผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในชุมชน (E/HIA) เพื่อยื่นขออนุมัติจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ อยู่ในขณะนี้ ต้องให้ความสำคัญกับคุณภาพของรายงานผลการศึกษา E/HIA ให้มาก โดยต้องทำให้ครบถ้วนตามประกาศของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ และมุ่งเน้นการศึกษาผลกระทบต่อประชาชนกลุ่มเสี่ยง มีมาตรการป้องกันและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพที่ชัดเจน” รศ.ดร.เรณู กล่าว
รศ.ดร.เรณู กล่าวต่อว่า การที่ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม (ทส.) ประกาศพื้นที่ 6 แห่งใน จ.ระยอง เป็นเขตควบคุมมลพิษ เพราะศาลได้พิสูจน์ข้อเท็จจริงแล้วว่ามีสารพิษและมลพิษ จนก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสุขภาพของประชาชน ซึ่งสถาบันมะเร็งแห่งชาติได้เปิดเผยข้อมูลสถิติมะเร็งของประเทศ พบว่า จ.ระยอง มีสถิติมะเร็งเป็นอันดับ 1 ของประเทศ สะท้อนให้เห็นว่า สารพิษที่มีฤทธิ์ทำลายสารพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอ (DNA) ยังมีอยู่มากในมาบตาพุดและพื้นที่อุตสาหกรรมใน จ.ระยอง
รศ.ดร.เรณู กล่าวอีกว่า ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ รายงานว่า พบสารก่อมะเร็งในอากาศสูงเกินมาตรฐาน ตั้งแต่ปี 2548-จนถึงปัจจุบัน เช่น สารอินทรีย์ระเหยง่าย (VOC) 1, 3-บิวทาไดอีน, เบนซีน และ 1, 2- ไดคลอโรอีทเธน ส่วนในน้ำทะเลและตะกอนดินใต้ท้องทะเลพบโลหะหนัก เช่น สารหนู แคดเมียม และปรอท สูงเกินมาตรฐาน สิ่งที่บ่งชี้ถึงอันตรายจากสุขภาพชัดเจน คือ ตรวจพบโลหะหนักในบ่อน้ำตื้นร้อยละ 50 และตรวจพบสารอินทรีย์ระเหยง่าย ร้อยละ 18 และผลการตรวจสุขภาพประชาชน พบว่า ร้อยละ 34.8 พบโลหะหนักในเลือด และพบอนุพันธ์ของสารเบนซีนร้อยละ 3.67 นอกจากนี้ จากการตรวจหอยแมลงภู่ และกบ ในพื้นที่มาบตาพุดเปรียบเทียบกับแหล่งอ้างอิงอื่น พบว่าหอยแมลงภู่และกบ มีสารพันธุกรรม แตกหักสูงกว่าแหล่งอ้างอิงอื่น 4.85 และร้อยละ 72.24 เท่าตามลำดับ จึงเป็นเครื่องยืนยันถึงผลกระทบของสารพิษจากอุตสาหกรรมต่อชุมชนอย่างชัดเจน
“ภาครัฐจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับแก้ปัญหาผลกระทบของอุตสาหกรรมมาบตา พุดต่อชุมชน และเร่งแก้ไข บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดและจริงจัง เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ทั่วประเทศ ที่ถูกกลุ่มอุตสาหกรรมได้ไปกว้านซื้อที่เอาไว้และมีแผนจะก่อสร้างโรงงาน อุตสาหกรรมขึ้นในพื้นที่นั้น มีความมั่นใจว่า รัฐจะให้ความคุ้มครองประชาชนมากกว่าการลงทุนข้ามชาติ เพราะพวกเขา คือ รัฐเก็่บคุ้มค่า ถึงเวลานั้นค่าใช้จ่ายในการกำจัดซากรงงานเก่าและขยะสารพิษคงไม่พ้นภาษีของ ราษฎรจะไม่หอบเงินออกนอกประเทศ หลังจากพบว่าคนไทย ที่จะไม่หอบเงินออกนอกประเทศแล้ว ทิ้งซากขยะโรงงานเก่า ที่ซ่อมบำรุงแล้วไม่คุ้มค่า ถึงเวลานั้นค่าใช้จ่ายในการกำจัดซากโรงงานเก่าและขยะสารพิษคงไม่พ้นเงินรัฐ” รศ.ดร.เรณู กล่าว
ตะลึง! พนันลามเด็กอนุบาล! ผุดไอเดีย “คู่มือดูบอลกับลูก”
ตะลึง! เชื้อพนันลามถึงเด็กอนุบาล ล่าสุด มีเด็กอายุ 7 ขวบ เข้าวงจรการพนันแล้ว เครือข่ายรณรงค์หยุดพนัน ร่วมกับเครือข่ายครอบครัว สสส.เร่งล้อมคอก ผุด “คู่มือดูบอลกับลูก-ครอบครัว-เพื่อนและคนรัก” ติดอาวุธทางปัญญาให้กับเยาวชนและผู้ปกครองด้วยการจัดทำสื่อให้ความรู้ ว่าทำอย่างไรไม่ให้ก้าวสู่วงจรนักพนัน
นายธนากร คมกฤส ผู้ ประสานงานเครือข่ายรณรงค์หยุดพนัน กล่าวว่า เครือข่ายรณรงค์หยุดพนัน ร่วมกับเครือข่ายครอบครัว และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มีแผนจัดทำ “คู่มือดูบอลกับลูก-ครอบครัว-เพื่อนและคนรัก” โดยตระหนักว่าฟุตบอล คือ กีฬายอดนิยมที่แฝงการพนันและสามารถเข้าถึงเยาวชนมากที่สุด จึงต้องการติดอาวุธทางปัญญาให้กับเยาวชนและผู้ปกครองด้วยการจัดทำสื่อให้ ความรู้ ว่า ทำอย่างไรไม่ให้ก้าวสู่วงจรนักพนัน และเป็นเครื่องมือให้คนในครอบครัวเข้าใจลูกมากยิ่งขึ้น โดยจัดทำคู่มือทั้งหมด 3 เล่ม เล่มแรกสำหรับเด็กเยาวชน ส่วนเล่มที่ 2 และ 3 สำหรับกลุ่มพ่อแม่เพื่อให้เข้าถึงเยาวชน ทั้งนี้ ได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิหลายด้านมาร่วมตีโจทย์ วิเคราะห์ปัญหา และวางแผนการรณรงค์ให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด
“คู่มือนี้จะดึงดูดให้กลุ่มเป้าหมายเกิดความสนใจ มีรูปแบบเชิงแมกกาซีน อิงกับหนังสือฟุตบอล เพราะเป็นสิ่งที่คุ้นเคยและง่ายต่อการเข้าถึง ส่วนเนื้อหาจะไม่เน้นเชิงวิชาการหนักมากนัก จะใช้นักฟุตบอลชื่อดังมาเป็นคนเดินเรื่อง หรือใช้รูปแบบการ์ตูนและเสริมเกร็ดความรู้ง่ายๆ คาดว่าคู่มือนี้จะแล้วเสร็จและเปิดตัวในช่วงเดือนตุลาคมนี้” นายธนากร กล่าว
นายธนากร กล่าวว่า ขณะนี้ปัญหาการพนันฟุตบอลในหมู่เยาวชนกำลังกลับมาแรงอีกครั้งหลังจากฟุตบอล ลีกต่างประเทศเปิดฤดูกาล ซึ่งจะมีการเผยแพร่ทางสื่อ จัดอีเว้นท์ใหญ่เพื่อเรียกความสนใจ ซึ่งจะแฝงมาด้วยการพนัน ทางเครือข่ายฯ มีความเป็นห่วงและกังวล โดยเฉพาะการเล่นพนันในกลุ่มเยาวชน เพราะจากสถิติการพบเจอเยาวชนที่เล่นการพนันอายุน้อยที่สุด คือ 5-6 ขวบ ล่าสุด มีเด็กอายุ 7 ขวบเข้าวงจรการพนันแล้ว วิธีการเล่นเป็นการทายผลกับเพื่อนว่า ใครจะชนะ ใครจะแพ้ แล้วพนันด้วยเงินไม่กี่บาท เป็นการส่งสัญญาณแล้วว่าการพนันเข้าถึงเด็กมากขึ้น
ด้านนายสาธิต กรีกุล หรือบิ๊กจ๊ะ ผู้ประกาศข่าวกีฬาทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 และนักพากย์กีฬาฟุตบอลชื่อดัง กล่าวว่า คู่มือนี้เป็นสิ่งที่ดี เพราะอย่างน้อยช่วยให้เกิดการยั้งคิดที่จะเล่นพนันฟุตบอล ส่วนจะได้ผลมากหรือน้อยต้องอยู่ที่ตัวเด็กเยาวชน และผู้ปกครอง คู่มือจะเป็นตัวช่วยให้การสอนลูกว่าอันไหนดี ไม่ดี อันไหนควร ไม่ควร จะทำให้ลูกฉุกคิดมองเห็นคุณและโทษ อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้อยู่ที่จิตสำนึกของแต่ละคน หากเด็กได้รับคำแนะนำจากผู้ปกครองที่ดี ก็จะเห็นถึงโทษของการพนัน แต่ถ้าเด็กยังไม่เห็นโทษของการพนัน สิ่งนี้จะเกิดเป็นปัญหาที่แก้ไขยาก
นายธนากร คมกฤส ผู้ ประสานงานเครือข่ายรณรงค์หยุดพนัน กล่าวว่า เครือข่ายรณรงค์หยุดพนัน ร่วมกับเครือข่ายครอบครัว และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มีแผนจัดทำ “คู่มือดูบอลกับลูก-ครอบครัว-เพื่อนและคนรัก” โดยตระหนักว่าฟุตบอล คือ กีฬายอดนิยมที่แฝงการพนันและสามารถเข้าถึงเยาวชนมากที่สุด จึงต้องการติดอาวุธทางปัญญาให้กับเยาวชนและผู้ปกครองด้วยการจัดทำสื่อให้ ความรู้ ว่า ทำอย่างไรไม่ให้ก้าวสู่วงจรนักพนัน และเป็นเครื่องมือให้คนในครอบครัวเข้าใจลูกมากยิ่งขึ้น โดยจัดทำคู่มือทั้งหมด 3 เล่ม เล่มแรกสำหรับเด็กเยาวชน ส่วนเล่มที่ 2 และ 3 สำหรับกลุ่มพ่อแม่เพื่อให้เข้าถึงเยาวชน ทั้งนี้ ได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิหลายด้านมาร่วมตีโจทย์ วิเคราะห์ปัญหา และวางแผนการรณรงค์ให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด
“คู่มือนี้จะดึงดูดให้กลุ่มเป้าหมายเกิดความสนใจ มีรูปแบบเชิงแมกกาซีน อิงกับหนังสือฟุตบอล เพราะเป็นสิ่งที่คุ้นเคยและง่ายต่อการเข้าถึง ส่วนเนื้อหาจะไม่เน้นเชิงวิชาการหนักมากนัก จะใช้นักฟุตบอลชื่อดังมาเป็นคนเดินเรื่อง หรือใช้รูปแบบการ์ตูนและเสริมเกร็ดความรู้ง่ายๆ คาดว่าคู่มือนี้จะแล้วเสร็จและเปิดตัวในช่วงเดือนตุลาคมนี้” นายธนากร กล่าว
นายธนากร กล่าวว่า ขณะนี้ปัญหาการพนันฟุตบอลในหมู่เยาวชนกำลังกลับมาแรงอีกครั้งหลังจากฟุตบอล ลีกต่างประเทศเปิดฤดูกาล ซึ่งจะมีการเผยแพร่ทางสื่อ จัดอีเว้นท์ใหญ่เพื่อเรียกความสนใจ ซึ่งจะแฝงมาด้วยการพนัน ทางเครือข่ายฯ มีความเป็นห่วงและกังวล โดยเฉพาะการเล่นพนันในกลุ่มเยาวชน เพราะจากสถิติการพบเจอเยาวชนที่เล่นการพนันอายุน้อยที่สุด คือ 5-6 ขวบ ล่าสุด มีเด็กอายุ 7 ขวบเข้าวงจรการพนันแล้ว วิธีการเล่นเป็นการทายผลกับเพื่อนว่า ใครจะชนะ ใครจะแพ้ แล้วพนันด้วยเงินไม่กี่บาท เป็นการส่งสัญญาณแล้วว่าการพนันเข้าถึงเด็กมากขึ้น
ด้านนายสาธิต กรีกุล หรือบิ๊กจ๊ะ ผู้ประกาศข่าวกีฬาทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 และนักพากย์กีฬาฟุตบอลชื่อดัง กล่าวว่า คู่มือนี้เป็นสิ่งที่ดี เพราะอย่างน้อยช่วยให้เกิดการยั้งคิดที่จะเล่นพนันฟุตบอล ส่วนจะได้ผลมากหรือน้อยต้องอยู่ที่ตัวเด็กเยาวชน และผู้ปกครอง คู่มือจะเป็นตัวช่วยให้การสอนลูกว่าอันไหนดี ไม่ดี อันไหนควร ไม่ควร จะทำให้ลูกฉุกคิดมองเห็นคุณและโทษ อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้อยู่ที่จิตสำนึกของแต่ละคน หากเด็กได้รับคำแนะนำจากผู้ปกครองที่ดี ก็จะเห็นถึงโทษของการพนัน แต่ถ้าเด็กยังไม่เห็นโทษของการพนัน สิ่งนี้จะเกิดเป็นปัญหาที่แก้ไขยาก
ปราจีนชวนเที่ยวงาน"แห่พระทางน้ำและแข่งเรือยาว"
ททท.สำนักงานนครนายก เชิญชวนนักท่องเที่ยวร่วมสัมผัสวิถีชีวิตริมน้ำและสนุกสนานไปกับการแข่งขัน เรือยาว ในงานประเพณี “แห่พระทางน้ำและแข่งเรือยาวชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ประจำปี 2553” ในระหว่างวันที่ 25 - 27 กันยายน2553 ณ วัดบางแตน อำเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี
ภายในงานมีกิจกรรมที่น่าสนใจ อาทิ ชมและร่วมแห่พระทางน้ำ เริ่มต้นตั้งขบวนจากวัดบางแตน ผ่านวัดบางเตย เพื่อนำกองผ้าป่าสามัคคีไปถวาย ณ วัดบางกระเบา และร่วมนมัสการหลวงพ่อจาด ชมการแข่งขันเรือประเภทตลกขบขัน ชมการแข่งขันเรือยาวขนาด30 ฝีพาย ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เรียนรู้ภูมิปัญญาชาวบ้านและเลือกซื้อสินค้า OTOP พร้อมชมมหรสพในช่วงกลางคืน
ผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานนครนายก โทร. 0-3731-2282, 0-3731-2284, 1672 เบอร์เดียวเที่ยวทั่วไทย หรือ www.tat8.com
ภายในงานมีกิจกรรมที่น่าสนใจ อาทิ ชมและร่วมแห่พระทางน้ำ เริ่มต้นตั้งขบวนจากวัดบางแตน ผ่านวัดบางเตย เพื่อนำกองผ้าป่าสามัคคีไปถวาย ณ วัดบางกระเบา และร่วมนมัสการหลวงพ่อจาด ชมการแข่งขันเรือประเภทตลกขบขัน ชมการแข่งขันเรือยาวขนาด30 ฝีพาย ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เรียนรู้ภูมิปัญญาชาวบ้านและเลือกซื้อสินค้า OTOP พร้อมชมมหรสพในช่วงกลางคืน
ผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานนครนายก โทร. 0-3731-2282, 0-3731-2284, 1672 เบอร์เดียวเที่ยวทั่วไทย หรือ www.tat8.com
ไอซีทีจัดประกวดเว็บไซต์เฉลิมพระเกียรติ ชิงถ้วยนายก
รมว.ไอซีที จุติ ไกรฤกษ์ เปิดโครงการประกวดเว็บไซต์เฉลิมพระเกียรติ “ล้นเกล้าฯ...แผ่นดินไทย” เพื่อให้ประชาชนชาวไทยได้มีส่วนร่วมในการแสดงความจงรักภักดี อีกทั้งเพื่อเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้พระราชกรณียกิจ ส่งเสริมการพัฒนาและเทคโนโลยี อันเป็นการพัฒนาศักยภาพของเยาวชน และบุคลากรไทยเพื่อรองรับการเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อ สารในภูมิภาค
วันนี้ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็นประธานงานแถลงข่าวพิธีเปิด โครงการประกวดเว็บไซต์เฉลิมพระเกียรติ “ล้นเกล้าฯ...แผ่นดินไทย” ซึ่งเป็นโครงการเทิดพระเกียรติ ที่กระทรวงไอซีที ได้จัดทำขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ และเพื่อ ให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการแสดงความจงรักภักดีที่พระองค์ทรงมีพระมหา กรุณาธิคุณต่อปวงพสกนิกรชาวไทยเป็นอย่างมาก โดยการเปิดโอกาสให้นักเรียน นิสิตนักศึกษา ประชาชนทั่วไปได้แสดงความจงรักภักดีผ่านสื่ออิเล็คทรอนิคส์ ด้วยการจัดทำเว็บไซต์แสดงข้อมูลพระราชประวัติ พระราชกรณียกิจ และโครงการในพระราชดำริ
นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.ไอซีที กล่าวว่า โครงการประกวดเว็บไซต์เฉลิมพระเกียรตินี้ สนับสนุนให้นักเรียนนิสิตนักศึกษา นักพัฒนาเว็บไซด์ และประชาชน ได้รับทราบพระราชกรณียกิจของทั้ง 2 พระองค์ และยังเป็นการส่งเสริมการพัฒนาและเทคโนโลยี อันเป็นการพัฒนาคุณภาพทรัพยากรมนุษย์เพื่อรองรับการเป็นศูนย์กลางด้าน เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในภูมิภาค ตามนโยบายด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ข้อ 4.5.2 ที่รัฐบาลได้กำหนดไว้ว่า ต้องการให้มีการพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศทั้งด้านซอฟต์แวร์และ ฮาร์ดแวร์ โดยจะสนับสนุนให้มีการวิจัยและพัฒนารวมทั้งการพัฒนาศักยภาพของบุคลากร สินค้า บริการและตลาด เพื่อสร้างศักยภาพของการสร้างสรรค์และสมรรถนะเชิงแข่งขัน
สำหรับ รางวัลของการแข่งขัน แบ่งเป็น 3 ระดับ ได้แก่ระดับนักเรียน, นิสิตนักศึกษา และประชาชนทั่วไปโดยแต่ละระดับจะได้รางวัลดังต่อไปนี้ รางวัลชนะเลิศ 1 รางวัล รางวัลละ100,000 บาท พร้อมถ้วยเกียรติยศจากนายกรัฐมนตรี, รางวัลรองชนะเลิศ 2 รางวัล รางวัลละ 50,000 บาท พร้อมถ้วยเกียรติยศจากนายกรัฐมนตรี และ รางวัลชมเชย 5 รางวัล รางวัลละ 25,000 บาท
http://www.mict.go.th/
วันนี้ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็นประธานงานแถลงข่าวพิธีเปิด โครงการประกวดเว็บไซต์เฉลิมพระเกียรติ “ล้นเกล้าฯ...แผ่นดินไทย” ซึ่งเป็นโครงการเทิดพระเกียรติ ที่กระทรวงไอซีที ได้จัดทำขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ และเพื่อ ให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการแสดงความจงรักภักดีที่พระองค์ทรงมีพระมหา กรุณาธิคุณต่อปวงพสกนิกรชาวไทยเป็นอย่างมาก โดยการเปิดโอกาสให้นักเรียน นิสิตนักศึกษา ประชาชนทั่วไปได้แสดงความจงรักภักดีผ่านสื่ออิเล็คทรอนิคส์ ด้วยการจัดทำเว็บไซต์แสดงข้อมูลพระราชประวัติ พระราชกรณียกิจ และโครงการในพระราชดำริ
นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.ไอซีที กล่าวว่า โครงการประกวดเว็บไซต์เฉลิมพระเกียรตินี้ สนับสนุนให้นักเรียนนิสิตนักศึกษา นักพัฒนาเว็บไซด์ และประชาชน ได้รับทราบพระราชกรณียกิจของทั้ง 2 พระองค์ และยังเป็นการส่งเสริมการพัฒนาและเทคโนโลยี อันเป็นการพัฒนาคุณภาพทรัพยากรมนุษย์เพื่อรองรับการเป็นศูนย์กลางด้าน เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในภูมิภาค ตามนโยบายด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ข้อ 4.5.2 ที่รัฐบาลได้กำหนดไว้ว่า ต้องการให้มีการพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศทั้งด้านซอฟต์แวร์และ ฮาร์ดแวร์ โดยจะสนับสนุนให้มีการวิจัยและพัฒนารวมทั้งการพัฒนาศักยภาพของบุคลากร สินค้า บริการและตลาด เพื่อสร้างศักยภาพของการสร้างสรรค์และสมรรถนะเชิงแข่งขัน
สำหรับ รางวัลของการแข่งขัน แบ่งเป็น 3 ระดับ ได้แก่ระดับนักเรียน, นิสิตนักศึกษา และประชาชนทั่วไปโดยแต่ละระดับจะได้รางวัลดังต่อไปนี้ รางวัลชนะเลิศ 1 รางวัล รางวัลละ100,000 บาท พร้อมถ้วยเกียรติยศจากนายกรัฐมนตรี, รางวัลรองชนะเลิศ 2 รางวัล รางวัลละ 50,000 บาท พร้อมถ้วยเกียรติยศจากนายกรัฐมนตรี และ รางวัลชมเชย 5 รางวัล รางวัลละ 25,000 บาท
http://www.mict.go.th/
3 วิธีเลิกหัวใจวาย เมื่อเห็น "บิลค่าโทรศัพท์"
ในชั่วโมงที่สมาร์ทโฟนกำลังผุดขึ้นราว กับดอกเห็ด เชื่อว่าผู้ใช้งานมือใหม่และมือเก่าหลายคนน่าจะเคยมีประสบการณ์ Bill Shock หรืออาการตกตะลึงเมื่อพบกับยอดค่าใช้บริการโทรศัพท์ในใบแจ้งหนี้รายเดือนที่ สูงกว่าปกติ โดยเฉพาะยอดการใช้งานข้อมูลหรือดาต้าที่มากกว่าการใช้งานจริง
ก่อนจะไปรับรู้ 3 วิธีปฏิบัติตัวเพื่อเลี่ยงวิกฤต Bill Shock คุณควรรู้ว่าปัจจัยของปัญหานี้เกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ แต่ที่หนีไม่พ้นคงเป็นเรื่องของการเปิดใช้งานแอปพลิเคชันจำพวกเครือข่าย สังคม, อีเมล์, โปรแกรมแผนที่ ที่ต้องมีการอัปเดตข้อมูลตลอดเวลา
จุดนี้ผู้ใช้งานส่วนใหญ่มักเผลอเปลี่ยนไปใช้งานโปรแกรมอื่นทันที เมื่อเลิกใช้งานแอปออนไลน์เหล่านี้ โดยที่ไม่ปิดโปรแกรมให้เรียบร้อยก่อน ปัญหาที่ตามมาก็คือสมาร์ทโฟนคู่ใจยังเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอยู่ตลอดเวลา โดยที่เจ้าของเครื่องไม่รู้ตัว
ปัญหาสำคัญอีกข้อหนึ่งก็คือ เมื่อผู้ใช้งานจำเป็นต้องเดินทางไปยังต่างประเทศ มักจะเผลอลืมปิดโทรศัพท์มือถือของตน เมื่อเดินทางไปถึงที่หมาย ปรากฏว่าระบบทำการค้นหาและเชื่อมต่อสัญญาณ EDGE/GPRS/3G อัตโนมัติ ซึ่งอัตราค่าบริการโรมมิงในต่างประเทศ หรือบริการข้ามแดนอัตโนมัตินั้นมีราคาค่อนข้างสูงอย่างที่คนไทยรู้กันดี
วันนี้ ทีมงานไซเบอร์บิส ขอนำเสนอวิธีการป้องกันปัญหา Bill Shock ซึ่งเป็นวิธีง่ายๆ ที่ผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนทุกคนควรรู้ เผื่อว่ามีความจำเป็นต้องเดินทางไปต่างประเทศ จะได้ใช้เงินในกระเป๋าอย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องกังวลว่าต้องเหลือเงินเก็บมาจ่ายค่ารักษาอาการดังกล่าว
**3 ขั้นตอนกัน Biil Shock เมื่อต้องเดินทางไปต่างประเทศ**
ก่อนออกเดินทาง - ผู้ใช้งานควรศึกษารายละเอียด และวิธีการควบคุมการใช้งานต่างๆ ของโทรศัพท์มือถืออย่างละเอียด รวมถึงโทรศัพท์ไปสอบถามคอลล์ เซ็นเตอร์ของผู้ให้บริการสัญญาณโทรศัพท์มือถือที่คุณใช้งานอยู่เพื่อให้ทราบ ถึงอัตราค่าบริการใช้งานในต่างประเทศ, โปรโมชันที่มีอยู่, วิธีเช็คยอดค่าใช้บริการด้วยตัวเองบนมือถือ, วิธีการปิด และระงับการเชื่อมต่อ Data Roaming ด้วยตนเอง
ขณะเดินทาง - ควรปิดดาต้า โรมมิงไว้ และเปิดเมื่อต้องการใช้งานเท่าทีจำเป็นเท่านั้น โดยผู้ใช้งานไม่ควรใช้ซิมการ์ดร่วมกับแอร์การ์ดเพื่อเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ในต่างประเทศ เพราะจะถูกคิดค่าบริการในอัตราโรมมิ่ง
ถ้ามีความจำเป็นต้องใช้งานอินเทอร์เน็ต ควรเลือกใช้ไว-ไฟของผู้ให้บริการท้องถิ่น ซึ่งอาจเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่า โดยเฉพาะกรณีดาวน์โหลดไฟล์, เข้าเว็บไซต์ และรับส่งอีเมล์ที่มีไฟล์ขนาดใหญ่
เมื่อเดินทางกลับถึงประเทศไทย - ให้ทำการตรวจสอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในช่วงของการเดินทาง ผ่านใบแจ้งค่าบริการเพื่อเปรียบเทียบกับการใช้งานจริง หรือถ้ามีข้อสงสัยเพิ่มเติมให้ติดต่อคอลล์ เซ็นเตอร์ทันที
** หลายยี่ห้อ หลายวิธี **
"Bill Shock" นั้นสามารถเกิดขึ้นได้กับสมาร์ทโฟนเกือบทุกรุ่น เนื่องจากโดยทั่วไปแล้วสมาร์ทโฟนจะมีฟีเจอร์ "Always On" connection ซึ่งจะทำการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตกับเครือข่ายข้อมูลผู้ให้บริการเครือข่าย ตลอดเวลา
ผู้ ใช้งานสามารถสังเกตได้ง่าย ๆ ถ้าด้านบนสุดของหน้าจอโทรศัพท์ของคุณมีเครื่องหมาย E หรือ EDGE นั่นแปลว่าโทรศัพท์ของคุณกำลังเชื่อมต่อข้อมูลอยู่ โดยผู้ใช้สามารถปิดบริการได้ด้วยตัวเอง โดยตั้งค่าตามวิธีด้านล่างนี้
* ไอโฟน (iPhone) ให้เข้าไปที่ Setting > General > Network > Data Roaming เลือก Off
* แบล็กเบอรี (BlackBerry) ให้เข้าไปที่ Option > Mobile Network > Data Services เลือก Off when roaming
* แอนดรอยด์ โฟน (Andriod Phone) ให้เข้าไปที่ Settings > Wireless & Networks > Mobile Networks > Select the Data Roaming check box
แต่ถึงกระนั้น การตั้งค่าบนสมาร์ทโฟนอาจไม่สามารถระงับการเชื่อมต่อข้อมูลได้ทั้งหมด เนื่องจากแอปพลิเคชันจำพวกอีเมลล์, เฟสบุ๊ก, ทวิตเตอร์, โปรแกรมแผนที่ หรือพยากรณ์อากาศ จะทำการอัปเดตข้อมูลตลอดเวลา แม้จะปิดการเชื่อมต่อไปแล้วก็ตาม
ดังนั้น ใน กรณีที่ผู้ใช้งานมีความจำเป็นต้องใช้อินเทอร์เน็ต ให้ลองเลือกใช้แพคเกจการใช้งานดาต้าที่เหมาะสม ทั้งแพคเกจในและต่างประเทศ แต่ถ้าไม่มีความจำเป็นต้องใช้เลย ให้ผู้ใช้งานโทรไปปิดบริการโรมมิ่งกับคอลล์เซ็นเตอร์ (เอไอเอส กด 1175, ดีแทค กด 1678 และ ทรูมูฟ กด 1331)
นอกจากนี้ผู้ใช้บริการยังสามารถระงับการเชื่อมต่อ 3G, EDGE และ GPRS กับทางระบบที่ใช้งานได้ด้วยตัวเอง สำหรับดีแทค กด *124*3#, ทรูมูฟ กด *9399 กด 5 กด 3 และเอไอเอสกด *129*1# โทรออก
** Biil Shock อย่าช็อคเพลิน **
เมื่อเกิดปัญหาค่าใช้จ่ายในส่วนของ ดาต้า โรมมิงขึ้น สิ่งแรกที่ควรทำคือการติดต่อกับโอเปอเรเตอร์ เพื่ออธิบายถึงปัญหาการใช้งานที่เกิดขึ้น เพื่อที่จะให้ทางโอเปอเรเตอร์ลดหย่อนค่าใช้จ่าย ในกรณีที่เกิดจากความผิดพลาดในการใช้งาน
ซึ่งทางเอไอเอสให้ข้อมูลว่า ส่วนใหญ่ปัญหาเกิดขึ้นจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของลูกค้า ดังนั้นโอเปอเรเตอร์ จึงดูแลโดยให้คำแนะนำในการเลือกแพ็คเกจที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายส่วนเกินที่ไม่จำเป็นออกไปได้
แต่ทั้งนี้ทางโอเปอเรเตอร์เอง ไม่สามารถยกเลิกการเก็บค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นได้ เนื่องจากในการใช้งานโรมมิงข้อมูล จะเกิดค่าใช้จ่ายในการเชื่อมต่อข้อมูลกับโอเปอเรเตอร์นั้นๆ เมื่อถึงเวลาทางโอเปอเรเตอร์ในต่างประเทศจะเรียกเก็บค่าใช้จ่ายดังกล่าวมา ยังโอเปอเรเตอร์ในประเทศจากการใช้งานดังกล่าว
ถึง นาทีนี้ เชื่อว่าเม็ดเงินที่ผู้ใช้ชาวไทยต้องเสียไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์นั้นคาดว่า มีมูลค่ามหาศาล แม้จะไม่มีโอเปอเรเตอร์รายใดสามารถให้รายละเอียดสถิติปัญหาที่เกิดขึ้น ฉะนั้นเมื่อไม่มีใครให้ความคุ้มครองเรื่องนี้ได้ ทางที่ดีที่สุดที่เราในฐานะผู้บริโภคจะทำได้ ก็คือการคุ้มครองตัวเอง
ก่อนจะไปรับรู้ 3 วิธีปฏิบัติตัวเพื่อเลี่ยงวิกฤต Bill Shock คุณควรรู้ว่าปัจจัยของปัญหานี้เกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ แต่ที่หนีไม่พ้นคงเป็นเรื่องของการเปิดใช้งานแอปพลิเคชันจำพวกเครือข่าย สังคม, อีเมล์, โปรแกรมแผนที่ ที่ต้องมีการอัปเดตข้อมูลตลอดเวลา
จุดนี้ผู้ใช้งานส่วนใหญ่มักเผลอเปลี่ยนไปใช้งานโปรแกรมอื่นทันที เมื่อเลิกใช้งานแอปออนไลน์เหล่านี้ โดยที่ไม่ปิดโปรแกรมให้เรียบร้อยก่อน ปัญหาที่ตามมาก็คือสมาร์ทโฟนคู่ใจยังเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอยู่ตลอดเวลา โดยที่เจ้าของเครื่องไม่รู้ตัว
ปัญหาสำคัญอีกข้อหนึ่งก็คือ เมื่อผู้ใช้งานจำเป็นต้องเดินทางไปยังต่างประเทศ มักจะเผลอลืมปิดโทรศัพท์มือถือของตน เมื่อเดินทางไปถึงที่หมาย ปรากฏว่าระบบทำการค้นหาและเชื่อมต่อสัญญาณ EDGE/GPRS/3G อัตโนมัติ ซึ่งอัตราค่าบริการโรมมิงในต่างประเทศ หรือบริการข้ามแดนอัตโนมัตินั้นมีราคาค่อนข้างสูงอย่างที่คนไทยรู้กันดี
วันนี้ ทีมงานไซเบอร์บิส ขอนำเสนอวิธีการป้องกันปัญหา Bill Shock ซึ่งเป็นวิธีง่ายๆ ที่ผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนทุกคนควรรู้ เผื่อว่ามีความจำเป็นต้องเดินทางไปต่างประเทศ จะได้ใช้เงินในกระเป๋าอย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องกังวลว่าต้องเหลือเงินเก็บมาจ่ายค่ารักษาอาการดังกล่าว
**3 ขั้นตอนกัน Biil Shock เมื่อต้องเดินทางไปต่างประเทศ**
ก่อนออกเดินทาง - ผู้ใช้งานควรศึกษารายละเอียด และวิธีการควบคุมการใช้งานต่างๆ ของโทรศัพท์มือถืออย่างละเอียด รวมถึงโทรศัพท์ไปสอบถามคอลล์ เซ็นเตอร์ของผู้ให้บริการสัญญาณโทรศัพท์มือถือที่คุณใช้งานอยู่เพื่อให้ทราบ ถึงอัตราค่าบริการใช้งานในต่างประเทศ, โปรโมชันที่มีอยู่, วิธีเช็คยอดค่าใช้บริการด้วยตัวเองบนมือถือ, วิธีการปิด และระงับการเชื่อมต่อ Data Roaming ด้วยตนเอง
ขณะเดินทาง - ควรปิดดาต้า โรมมิงไว้ และเปิดเมื่อต้องการใช้งานเท่าทีจำเป็นเท่านั้น โดยผู้ใช้งานไม่ควรใช้ซิมการ์ดร่วมกับแอร์การ์ดเพื่อเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ในต่างประเทศ เพราะจะถูกคิดค่าบริการในอัตราโรมมิ่ง
ถ้ามีความจำเป็นต้องใช้งานอินเทอร์เน็ต ควรเลือกใช้ไว-ไฟของผู้ให้บริการท้องถิ่น ซึ่งอาจเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่า โดยเฉพาะกรณีดาวน์โหลดไฟล์, เข้าเว็บไซต์ และรับส่งอีเมล์ที่มีไฟล์ขนาดใหญ่
เมื่อเดินทางกลับถึงประเทศไทย - ให้ทำการตรวจสอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในช่วงของการเดินทาง ผ่านใบแจ้งค่าบริการเพื่อเปรียบเทียบกับการใช้งานจริง หรือถ้ามีข้อสงสัยเพิ่มเติมให้ติดต่อคอลล์ เซ็นเตอร์ทันที
** หลายยี่ห้อ หลายวิธี **
"Bill Shock" นั้นสามารถเกิดขึ้นได้กับสมาร์ทโฟนเกือบทุกรุ่น เนื่องจากโดยทั่วไปแล้วสมาร์ทโฟนจะมีฟีเจอร์ "Always On" connection ซึ่งจะทำการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตกับเครือข่ายข้อมูลผู้ให้บริการเครือข่าย ตลอดเวลา
ผู้ ใช้งานสามารถสังเกตได้ง่าย ๆ ถ้าด้านบนสุดของหน้าจอโทรศัพท์ของคุณมีเครื่องหมาย E หรือ EDGE นั่นแปลว่าโทรศัพท์ของคุณกำลังเชื่อมต่อข้อมูลอยู่ โดยผู้ใช้สามารถปิดบริการได้ด้วยตัวเอง โดยตั้งค่าตามวิธีด้านล่างนี้
* ไอโฟน (iPhone) ให้เข้าไปที่ Setting > General > Network > Data Roaming เลือก Off
* แบล็กเบอรี (BlackBerry) ให้เข้าไปที่ Option > Mobile Network > Data Services เลือก Off when roaming
* แอนดรอยด์ โฟน (Andriod Phone) ให้เข้าไปที่ Settings > Wireless & Networks > Mobile Networks > Select the Data Roaming check box
แต่ถึงกระนั้น การตั้งค่าบนสมาร์ทโฟนอาจไม่สามารถระงับการเชื่อมต่อข้อมูลได้ทั้งหมด เนื่องจากแอปพลิเคชันจำพวกอีเมลล์, เฟสบุ๊ก, ทวิตเตอร์, โปรแกรมแผนที่ หรือพยากรณ์อากาศ จะทำการอัปเดตข้อมูลตลอดเวลา แม้จะปิดการเชื่อมต่อไปแล้วก็ตาม
ดังนั้น ใน กรณีที่ผู้ใช้งานมีความจำเป็นต้องใช้อินเทอร์เน็ต ให้ลองเลือกใช้แพคเกจการใช้งานดาต้าที่เหมาะสม ทั้งแพคเกจในและต่างประเทศ แต่ถ้าไม่มีความจำเป็นต้องใช้เลย ให้ผู้ใช้งานโทรไปปิดบริการโรมมิ่งกับคอลล์เซ็นเตอร์ (เอไอเอส กด 1175, ดีแทค กด 1678 และ ทรูมูฟ กด 1331)
นอกจากนี้ผู้ใช้บริการยังสามารถระงับการเชื่อมต่อ 3G, EDGE และ GPRS กับทางระบบที่ใช้งานได้ด้วยตัวเอง สำหรับดีแทค กด *124*3#, ทรูมูฟ กด *9399 กด 5 กด 3 และเอไอเอสกด *129*1# โทรออก
** Biil Shock อย่าช็อคเพลิน **
เมื่อเกิดปัญหาค่าใช้จ่ายในส่วนของ ดาต้า โรมมิงขึ้น สิ่งแรกที่ควรทำคือการติดต่อกับโอเปอเรเตอร์ เพื่ออธิบายถึงปัญหาการใช้งานที่เกิดขึ้น เพื่อที่จะให้ทางโอเปอเรเตอร์ลดหย่อนค่าใช้จ่าย ในกรณีที่เกิดจากความผิดพลาดในการใช้งาน
ซึ่งทางเอไอเอสให้ข้อมูลว่า ส่วนใหญ่ปัญหาเกิดขึ้นจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของลูกค้า ดังนั้นโอเปอเรเตอร์ จึงดูแลโดยให้คำแนะนำในการเลือกแพ็คเกจที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายส่วนเกินที่ไม่จำเป็นออกไปได้
แต่ทั้งนี้ทางโอเปอเรเตอร์เอง ไม่สามารถยกเลิกการเก็บค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นได้ เนื่องจากในการใช้งานโรมมิงข้อมูล จะเกิดค่าใช้จ่ายในการเชื่อมต่อข้อมูลกับโอเปอเรเตอร์นั้นๆ เมื่อถึงเวลาทางโอเปอเรเตอร์ในต่างประเทศจะเรียกเก็บค่าใช้จ่ายดังกล่าวมา ยังโอเปอเรเตอร์ในประเทศจากการใช้งานดังกล่าว
ถึง นาทีนี้ เชื่อว่าเม็ดเงินที่ผู้ใช้ชาวไทยต้องเสียไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์นั้นคาดว่า มีมูลค่ามหาศาล แม้จะไม่มีโอเปอเรเตอร์รายใดสามารถให้รายละเอียดสถิติปัญหาที่เกิดขึ้น ฉะนั้นเมื่อไม่มีใครให้ความคุ้มครองเรื่องนี้ได้ ทางที่ดีที่สุดที่เราในฐานะผู้บริโภคจะทำได้ ก็คือการคุ้มครองตัวเอง
การเมืองทั่วไปเพื่อประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวมประเทศชาติ
ผ่านการเลือกตั้งท้องถิ่นไปแล้วนั้น After Shock ตามมาก็คือการวิเคราะห์ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ชี้ให้เห็นภาพการเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งใหญ่ครั้งใหม่ที่เมืองหลวงในคราวหน้านั้นจะเป็น Domino ล้มตามกันไปตามตามทฤษฎีหรือไม่เพราะตามทฤษฎีนี้แล้วนั้นก็แปลว่าพรรคเก่า รัฐบาลก็จะกวาดที่นั่งเกือบทั้งหมด 80 กว่าเปอร์เซ็นต์เช่นจะได้ที่นั่งมากที่สุด 30 ที่นั่ง และให้พรรคฝ่ายค้านได้ไป 5 - 6 ที่นั่งเท่านั้นนี้คือวิเคราะห์ไปตามทฤษฎี แต่เหตุ และผลของความพอใจไม่พอใจของประชาชนในเมืองหลวงที่เป็นปัญญาชนส่วนใหญ่และ เป็นพื้นที่เทคโนโลยี่ระดับสูงกว้างขวางเป็นบุคคลประชาชนส่วนมากที่เข้าถึง ข้อมูล รู้เรื่องการเมืองไวต่อการเปลี่ยนแปลงความคิดทางการเมืองอยู่เสมอคือไม่อยู่ นิ่ง และพลเมืองประชาชนในเมืองหลวงนั้นได้สั่งสอนนักการเมืองพรรคการเมืองประเภท เหิม และประพฤติผิดทุจริตคอรัปชั่นไร้ศีลธรรมคุณธรรมมโนธรรมมานักต่อนักแล้ว ถ้านักการเมืองที่มีอุดมการณ์สามารถนำพลังพลานุภาพทางความคิดอันได้รับการ ยอมรับในระยะใดระยะหนึ่งนำขึ้นมานำเสมอให้ได้รับการยอมรับในระดับมหาชนชาว เมืองหลวง และสื่อสารประชาสัมพันธ์ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพัฒนาขึ้นไปในทางที่ดีกว่าที่ เป็นอยู่แล้วนั้น ก็จะสามารถพลิกสถานการณ์ให้ชาวเมืองหลวงได้รับสิ่งใหม่ ๆ ที่ดีกว่าอยู่ที่การอรรถธิบายปราศรัยนำความจริงที่เป็นความจริงที่ตรงต่อ ความเจริญก้าวหน้ามั่นคงมีคุณธรรมเป็นธรรมได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง แล้วนั้นก็จะทำให้การต่อสุ้ทางการเมืองนั้นดูมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี หลากหลายขึ้นอันเป็นการพัฒนาในระบบประชาธิปไตยที่ดีขึ้น ในอดี่ตการเมืองในเมืองหลวงก็มีบุคคลทางการเมืองนักการเมืองนั้นแหละที่ สร้างปรากฎการณ์เกิดขึ้นพลิกล๊อคถล่มทลายมาแล้วใน 2 -3 ครั้ง
ในอดีตที่ ผ่านมาเช่นเมื่อน้าหมักอดีตสมาชิกพรรคเก่ารัฐบาลนี้น่ะออกมาตั้งพรรค ปชท.สามารถถล่มปราบแชมป์เก่ากวาดที่นั่งในกทม.ได้เกือบหมดเว้นไว้ที่นั่ง เดียว และทำได้ลักษณะแบบนี้ถึงสองครั้ง มาหลัง ๆ เริ่มซาลงส่วนพรรคเก่ารัฐบาลนี้ก็เป็นพรรคเก่าแก่มั่นคงขึ้น ๆ ลง ๆ ก็กลับไปกลับมาเดี๋ยวลุกเดี๋ยวล้ม เมื่อโดนกวาดหมดก็มีนายกรัฐมนตรีท่านนี้แจ้งเกิดติดโผที่นั่งผุ้แทนเมือง หลวงเพียงคนเดียว และก็ได้รับฉายานกยากน้อยตั้งแต่วันนั้นและคาดหวังกันว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี ได้ในอนาคต และท่านก็ทำได้ แม้จะเป็นวิธีลัดหน่อยก็ตาม
เมื่อน้าหมักหน.พรรคปชท.สามารถสร้างปรากฎการณ์นำพลานุภาพทางความคิดทางการ เมืองสื่อสารต่อมวลชนเมืองหลวงชนะใจชาวกรุงได้สำเร็จ ก็มีบุคคลทางการเมืองมาพร้อมการหาเสียงด้วยฝาเข่งแฝงด้วยคะแนนสงสารขอคะแนน ความสงสารจากชาวกรุงขายความซื่อสัตย์สุจริต นำสินค้าแบรนด์ใหม่ทางการเมืองเข้าตอ่กรพรรคนายทุนสารพัดแต่จริงๆ แล้วเจาะลึกไปแล้วพรรคมหาจำลองก็มีนายทุนหนุนอยู่เหมือนกันน่ะ แต่ด้วยการตลาด Maketing ประชาสัมพันธ์สร้างภาพเป็นลักษณะแนวๆ นั้นแต่ก็ได้ผล เพราะสามารถชนะถล่มแชมป์เก่าปชท.ไปได้อีก และคนกลุ่มการเมืองท้องถิ่นจำนวนมากก็เกิดจากมหาจำลองจำนวนมากที่ปัจจุบันก็ ไปสังกัดพรรคเก่ารัฐบาล และฝ่ายค้านในปัจจุบัน
และท่านมหาจำลองก็ได้เป็น ผุ้ว่ากทม.สองสมัย รองนายกรัฐมนตรีอยู่ไม่กี่เดือน แล้วพรรคก็แตก แล้วก็ในที่สุดในระบบพรรคการเมืองก็ต้องไปอยุ่ในลักษณะแบบเก่าๆ น่ะ ไอ้ที่บอกว่าจะนำคุณธรรมนำการเมืองแล้วไปรอดน่ะไม่มีมีแต่ในหนังสือธรรมมะ หรือไม่ก็หนังสือชีวประวัติอมตะอุดมการณ์การเมืองที่เขียนได้เฉพาะในหนังสือ เท่านั้นแต่ในชีวิตจริงในทางการเมืองไม่มี มีแต่ระบบ Package ฮา...... ซื้อเป็นคู่ ยกแผงยกเข่งยกพรรคเอ้าว่ากันไป ไม่งั้นนายใหญ่ตปท.จะ Say No กับพรรคอุดมการณ์แบบนี้เหรอบอกไม่เอาโว้ยลงทุนก็ไม่คุ้มโว้ย เพราะถ้าไม่ใช้ระบบทุนระบบซื้อคน ซื้อเสียง ซื้อพรรค ...นะ ถ้าซื้อสิ่งเหล่านี้ได้ก่อนก็ได้ใจไปเองแหละน่ะ แต่ได้แพ๊บเดียวแป๊บเดียวเพราะสักพรรคเดี๋ยวก็ทรยศยกเข่งกันน่ะเห็นๆ กันอยุ่ ฮา...อีกแย้ว.... แต่ก็คุ้มอยู่สักพักน่ะเพราะแกบอกบ๊าย ๆ พรรคคุณธรรม แล้วแกก็ไปตั้งพรรคใหม่ซื้อหลายพรรคคนระดับ Big Big ก็เฮเข้ามาร่วมกันเพียบสร้างปรากฎการณ์ได้เป็นพรรครัฐบาลพรรคใหญ่พรรคเดียว ทำเอาพรรคตั้งมา 60 ปีทำตาปริบ ๆ มรึงทำได้ไงว่ะเพราะพรรคเก่ารัฐบาลนี้ยังไม่เคยทำได้เป็นรัฐบาลพรรคเดียว และแกเป็นรัฐบาลพรรคเดียว 7 ปี มากกว่าพรรคเก่ารัฐบาลนี้ที่รวมเวลาทั้งหมด 60 ปีกว่านั้นแล้วเป็นนายกรัฐมนตรีรวมกันไม่ถึง 7 ปี
เพราะฉะนั้นแล้วการ ที่ได้อะไรมาแล้วเหิมเกริมเกินไปเอาล่ะน่ะไม่ฉายซ้ำล่ะ แล้วก็เขาล่ะสนธิ ลิ้ม หัวหน้าพันธมิตรตั้งเวทีไล่รัฐบาลนายใหญ่ตปท.เจ๊งไปในที่สุดเป็นมหากาพย์การ เมืองมาถึงปัจจุบัน
และเมื่อพันธมิตรแปลงกายเปลี่ยนโฉมมาเป็นพรรคการเมืองใหม่จะย้อนยุคไปใช้ Model ตามทฤษฎีคุณธรรมนำการเมืองว่าในที่จริงดีน่ะเพราะถ้าการเมืองดีมีคุณธรรมไม่ ใช้ทุนเงินนำและทุจริตคอรัปชั่นเอาเงินทุจริตคอรัปชั่นมาเป็นทุนทำการเมือง กันในบางพรรคแล้วนั้น ก็จะเป็นเรื่องที่ดี แต่ในความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่เพราะใครทุนน้อยเงินน้อยหาเสียงก็ไม่ ประสบความสำเร็จ กลายเป็นซะงั้น นอกจากจะมีบุคคลพิเศษเก่งจริงๆ ได้รับการยอมรับอย่างแท้จริงจะด้วยวิสัยทัศน์ความสามารถความอัจฉริยะปราศรัย ได้ถูกใจโดนใจในมหาชนสามารถสร้างปรากฎการณ์ด้วยแล้วนั้นก็จะได้เป็นผู้แทน พิเศษแทรกเข้าไปเป็นรายบุคคลแบบไม่ใช้ทุนเงินมาก ถ้าเขาเป็นแค่ลูกพรรคก็จะได้เฉพาะตัวเขา แต่ถ้าเขาเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองเขาก็จะสามารถช่วยลูกพรรคพาพรรคชนะถล่ม ทลายได้มีให้เห็นมาแล้วเพราะฉะนั้นถ้าทุนน้อยเงินน้อยต้องได้หัวหน้าที่เก่ง ปราศรัยชนะใจมหาชนพร้อมสือ่สารประชาสัมพันธ์ได้เข้าเป้า การตลาดนั้นเป็นการหลอกชัวคราวใช้ได้เฉพาะการค้าธุรกิจ ส่วนการเมืองนั้นต้องใส่หัวใจความจริง และความจริงใจเท่านั้นจึงจะชนะใจมหาชนชาวสยาม ถึงชาวไทย ณ ปัจจุบัน
ประเภทแบบโดนบีบโดนเค้นโดนแพ้กลศึกแบบนี้แล้วนั้นอย่าไปหวังอะไรว่าพรรค กมม.จะไปทำประโยชน์อะไรได้มากกว่านี้เลย และมาอ้างว่ามีทุนน้อย ใช้เงินสี่สิบเขตรวมกันเท่ากับพรรคการเมืองเก่าเพียงเขตเดียว แล้วนั้นอาจจะใช่จะถูกสักส่วนเดียวสองส่วนแต่ปัจจัยเหตุแห่งความพ่ายแพ้ของ พรรคการเมืองใหม่คือการไม่สู้จริงไม่รวมตัวกันจริงของหัวหน้าพันธมิตร และมหาจำลองที่ไม่ได้เริ่มต้นตั้งแต่แรกเริ่มหาเสียงได้เบอร์ต่างหาก เพราะการเมืองไม่ได้ใช้เงินอย่างเดียวยิ่งท้องถิ่นยิ่งไม่ใช่ถ้ามีสือของตัว เองยิ่งง่าย และสบายไปใหญ่ และบุคคลในพื้นที่ที่ลงพื้นที่ให้หนัก ๆ ก็จะเป็นเรื่องที่สามารถยื้อแย่งที่นั่งได้บ้างล่ะน่ะ แต่นี่ทำตัวเป็น Good boy เด็กดีสาขาพรรคหรือเปล่าเพราะไม่ค่อยเต็มที่น่ะ
คือนี้พูดเรื่องจริงไปตามสภาพการณ์เพราะดูแล้วหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่นั้น ผิดฝาผิดตัวเพราะสนธิ ลิ้มนั้นเป็นสัญญลักษณ์ของพันธมิตร และถึงลูกถึงคน แต่ต้องถอนตัวเพราะอะไรน่ะรู้ ๆ กันอยู่ไม่ว่ากัน เข้าใจกัน เหมือนคนเป็นโค้ชบอลย่อมเห็นมองภาพกว้างในสนามได้ดีกว่านักเตะที่เล่นกัน อยู่ว่าใครตรงไหนเหมาะสมตำแหน่งอะไร ศักยะภาพการนำพรรคควรเป็นใครถึงจะทีเด็ด ว่ามะ
เอ้าเรื่องของเขาเขาอยากทำอะไรเรื่องของเขาเพราะที่นี่มีแต่ความคิดที่ตรง ไม่มีอคติใดๆ อาจจะผิดบ้างถูกบ้างก็ว่ากันไป เหมือนคุณจัดทีมฟุตบอลเมื่อถ้าเรามีกองหน้าดี ๆเก่ง ๆ แบบสมัยปิยะพงศ์ ถ้าปิยะพงศ์ฟิตเล่นได้ก็ต้องให้เขาเล่นเพราะทีมจะได้ยิงประตูได้ชนะได้ แต่ไปเอาศุนย์หน้าที่ไม่คมลงเล่นก็คงไม่ชนะ และแพ้หลุดลุ่ย นี่เปรียบเทียบอุปมาอุปไมยอะไรชัดไม๊ชัดไหม
วันนี้เรื่องการเมืองพอก่อนแค่นี้ก่อน แล้วก็เหมือนเดิม คือคนกลุ่มพวกนี้ยังทำนิสัยสันดานเหมือนเดิมคือขัดขวางรังควานทางเจริญ นักการเมืองที่มีอุดมการณ์อยู่ตลอดเช่น เมือ่วานเงินเดือนลูกชายวิศวะกรออกเขาไปกดเอทีเอ็มที่โลตัส ก็เป็นเงินเดือนเขาน่ะ แล้วเขาให้ข้าพเจ้า 2000 (สองพันบาท) ไปจ่ายค่าน้ำค่าไฟ นี้คือเรื่องจริง แล้วข้าพเจ้าจะไปจ่ายค่าน้ำค่าไฟเวลาไหนเอาไปหมุนไปใช้อะไรเนี่ย ใครจะใส่ร้ายอะไรอีก แล้วพวกวิชามารจะใช้วิธีอะไรก็ใช้ไป กรูชี้แจงลูกเดียว แล้วดูดิว่าอธรรมมารมันก็ต้องเจ๊งยกเข่งไปอย่างแน่นอน เพราะมันไม่เลิกนี่หว่า เช่นถ้าได้แบ๊งค์พันมาแล้วไปใช้แตกเป็นแบ๊งค์ร้อยแบ๊งค์ห้าร้อยหรือแบ๊งค์ อะไรก็แล้วแต่นั้น กรูจะไปควบคุมหรือไปกำหนดอะไรได้ว่าเงินเหล่านั้นเป็นเงินอะไรเบอร์ในธนบัตร เท่าไหร่เลขอะไร ถ้าพวกมรึงมันบอกว่าจะต้องอย่างนั้นจะต้องอย่างนี้ก็แสดงว่าพวกมรึงมันนั้น พูดเองเออเองทั้งนั้นน่ะ เอาเป็นว่าสรุปว่าเงินที่ข้าพเจ้าไปกินไหนพาลูกไปกินไหนกินในห้างพาลูกไปกิน ในห้างใช้จ่ายสิ่งใดนั้นเป็นเงินที่ข้าพเจ้าทำมาค้าขาย เป็นเงินทำงานลูกชายวิศวะกร และหรือเป็นเงินหยิบยืมญาติข้าพเจ้า และสามปีกว่ามานี้ข้าพเจ้าไม่เคยกดเอทีเอ็มของใครแม้แต่ครั้งเดียวถ้าใคร บอกว่ามีก็แสดงว่าแตหลอ เมื่อข้าพเจ้าเลิกกับอดีตเมียแล้วตั้งแต่ปี 45 อดีตเมียก็มีผัวใหม่แล้วเรื่องจริงก็พูดได้ไม่มีอะไรเสียหาย และเป็นการยืนยันเพื่อความซื่อตรงในงานเขียนของข้าพเจ้าเชื่อถือได้ เป็นความสัตย์ แล้วถ้าใครใส่ร้ายก็ขอให้มันเจ๊งยกเข่ง
และก็รุ้ว่าถ้าเขียนลักษณะแบบนี้ก็จะโกรธแล้วก็จะใช้อิทธิพลอะไรก็ใช้ไปเพราะธรรมะย่อมชนะอธรรมเสมอ
ธ
Manit
ในอดีตที่ ผ่านมาเช่นเมื่อน้าหมักอดีตสมาชิกพรรคเก่ารัฐบาลนี้น่ะออกมาตั้งพรรค ปชท.สามารถถล่มปราบแชมป์เก่ากวาดที่นั่งในกทม.ได้เกือบหมดเว้นไว้ที่นั่ง เดียว และทำได้ลักษณะแบบนี้ถึงสองครั้ง มาหลัง ๆ เริ่มซาลงส่วนพรรคเก่ารัฐบาลนี้ก็เป็นพรรคเก่าแก่มั่นคงขึ้น ๆ ลง ๆ ก็กลับไปกลับมาเดี๋ยวลุกเดี๋ยวล้ม เมื่อโดนกวาดหมดก็มีนายกรัฐมนตรีท่านนี้แจ้งเกิดติดโผที่นั่งผุ้แทนเมือง หลวงเพียงคนเดียว และก็ได้รับฉายานกยากน้อยตั้งแต่วันนั้นและคาดหวังกันว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี ได้ในอนาคต และท่านก็ทำได้ แม้จะเป็นวิธีลัดหน่อยก็ตาม
เมื่อน้าหมักหน.พรรคปชท.สามารถสร้างปรากฎการณ์นำพลานุภาพทางความคิดทางการ เมืองสื่อสารต่อมวลชนเมืองหลวงชนะใจชาวกรุงได้สำเร็จ ก็มีบุคคลทางการเมืองมาพร้อมการหาเสียงด้วยฝาเข่งแฝงด้วยคะแนนสงสารขอคะแนน ความสงสารจากชาวกรุงขายความซื่อสัตย์สุจริต นำสินค้าแบรนด์ใหม่ทางการเมืองเข้าตอ่กรพรรคนายทุนสารพัดแต่จริงๆ แล้วเจาะลึกไปแล้วพรรคมหาจำลองก็มีนายทุนหนุนอยู่เหมือนกันน่ะ แต่ด้วยการตลาด Maketing ประชาสัมพันธ์สร้างภาพเป็นลักษณะแนวๆ นั้นแต่ก็ได้ผล เพราะสามารถชนะถล่มแชมป์เก่าปชท.ไปได้อีก และคนกลุ่มการเมืองท้องถิ่นจำนวนมากก็เกิดจากมหาจำลองจำนวนมากที่ปัจจุบันก็ ไปสังกัดพรรคเก่ารัฐบาล และฝ่ายค้านในปัจจุบัน
และท่านมหาจำลองก็ได้เป็น ผุ้ว่ากทม.สองสมัย รองนายกรัฐมนตรีอยู่ไม่กี่เดือน แล้วพรรคก็แตก แล้วก็ในที่สุดในระบบพรรคการเมืองก็ต้องไปอยุ่ในลักษณะแบบเก่าๆ น่ะ ไอ้ที่บอกว่าจะนำคุณธรรมนำการเมืองแล้วไปรอดน่ะไม่มีมีแต่ในหนังสือธรรมมะ หรือไม่ก็หนังสือชีวประวัติอมตะอุดมการณ์การเมืองที่เขียนได้เฉพาะในหนังสือ เท่านั้นแต่ในชีวิตจริงในทางการเมืองไม่มี มีแต่ระบบ Package ฮา...... ซื้อเป็นคู่ ยกแผงยกเข่งยกพรรคเอ้าว่ากันไป ไม่งั้นนายใหญ่ตปท.จะ Say No กับพรรคอุดมการณ์แบบนี้เหรอบอกไม่เอาโว้ยลงทุนก็ไม่คุ้มโว้ย เพราะถ้าไม่ใช้ระบบทุนระบบซื้อคน ซื้อเสียง ซื้อพรรค ...นะ ถ้าซื้อสิ่งเหล่านี้ได้ก่อนก็ได้ใจไปเองแหละน่ะ แต่ได้แพ๊บเดียวแป๊บเดียวเพราะสักพรรคเดี๋ยวก็ทรยศยกเข่งกันน่ะเห็นๆ กันอยุ่ ฮา...อีกแย้ว.... แต่ก็คุ้มอยู่สักพักน่ะเพราะแกบอกบ๊าย ๆ พรรคคุณธรรม แล้วแกก็ไปตั้งพรรคใหม่ซื้อหลายพรรคคนระดับ Big Big ก็เฮเข้ามาร่วมกันเพียบสร้างปรากฎการณ์ได้เป็นพรรครัฐบาลพรรคใหญ่พรรคเดียว ทำเอาพรรคตั้งมา 60 ปีทำตาปริบ ๆ มรึงทำได้ไงว่ะเพราะพรรคเก่ารัฐบาลนี้ยังไม่เคยทำได้เป็นรัฐบาลพรรคเดียว และแกเป็นรัฐบาลพรรคเดียว 7 ปี มากกว่าพรรคเก่ารัฐบาลนี้ที่รวมเวลาทั้งหมด 60 ปีกว่านั้นแล้วเป็นนายกรัฐมนตรีรวมกันไม่ถึง 7 ปี
เพราะฉะนั้นแล้วการ ที่ได้อะไรมาแล้วเหิมเกริมเกินไปเอาล่ะน่ะไม่ฉายซ้ำล่ะ แล้วก็เขาล่ะสนธิ ลิ้ม หัวหน้าพันธมิตรตั้งเวทีไล่รัฐบาลนายใหญ่ตปท.เจ๊งไปในที่สุดเป็นมหากาพย์การ เมืองมาถึงปัจจุบัน
และเมื่อพันธมิตรแปลงกายเปลี่ยนโฉมมาเป็นพรรคการเมืองใหม่จะย้อนยุคไปใช้ Model ตามทฤษฎีคุณธรรมนำการเมืองว่าในที่จริงดีน่ะเพราะถ้าการเมืองดีมีคุณธรรมไม่ ใช้ทุนเงินนำและทุจริตคอรัปชั่นเอาเงินทุจริตคอรัปชั่นมาเป็นทุนทำการเมือง กันในบางพรรคแล้วนั้น ก็จะเป็นเรื่องที่ดี แต่ในความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่เพราะใครทุนน้อยเงินน้อยหาเสียงก็ไม่ ประสบความสำเร็จ กลายเป็นซะงั้น นอกจากจะมีบุคคลพิเศษเก่งจริงๆ ได้รับการยอมรับอย่างแท้จริงจะด้วยวิสัยทัศน์ความสามารถความอัจฉริยะปราศรัย ได้ถูกใจโดนใจในมหาชนสามารถสร้างปรากฎการณ์ด้วยแล้วนั้นก็จะได้เป็นผู้แทน พิเศษแทรกเข้าไปเป็นรายบุคคลแบบไม่ใช้ทุนเงินมาก ถ้าเขาเป็นแค่ลูกพรรคก็จะได้เฉพาะตัวเขา แต่ถ้าเขาเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองเขาก็จะสามารถช่วยลูกพรรคพาพรรคชนะถล่ม ทลายได้มีให้เห็นมาแล้วเพราะฉะนั้นถ้าทุนน้อยเงินน้อยต้องได้หัวหน้าที่เก่ง ปราศรัยชนะใจมหาชนพร้อมสือ่สารประชาสัมพันธ์ได้เข้าเป้า การตลาดนั้นเป็นการหลอกชัวคราวใช้ได้เฉพาะการค้าธุรกิจ ส่วนการเมืองนั้นต้องใส่หัวใจความจริง และความจริงใจเท่านั้นจึงจะชนะใจมหาชนชาวสยาม ถึงชาวไทย ณ ปัจจุบัน
ประเภทแบบโดนบีบโดนเค้นโดนแพ้กลศึกแบบนี้แล้วนั้นอย่าไปหวังอะไรว่าพรรค กมม.จะไปทำประโยชน์อะไรได้มากกว่านี้เลย และมาอ้างว่ามีทุนน้อย ใช้เงินสี่สิบเขตรวมกันเท่ากับพรรคการเมืองเก่าเพียงเขตเดียว แล้วนั้นอาจจะใช่จะถูกสักส่วนเดียวสองส่วนแต่ปัจจัยเหตุแห่งความพ่ายแพ้ของ พรรคการเมืองใหม่คือการไม่สู้จริงไม่รวมตัวกันจริงของหัวหน้าพันธมิตร และมหาจำลองที่ไม่ได้เริ่มต้นตั้งแต่แรกเริ่มหาเสียงได้เบอร์ต่างหาก เพราะการเมืองไม่ได้ใช้เงินอย่างเดียวยิ่งท้องถิ่นยิ่งไม่ใช่ถ้ามีสือของตัว เองยิ่งง่าย และสบายไปใหญ่ และบุคคลในพื้นที่ที่ลงพื้นที่ให้หนัก ๆ ก็จะเป็นเรื่องที่สามารถยื้อแย่งที่นั่งได้บ้างล่ะน่ะ แต่นี่ทำตัวเป็น Good boy เด็กดีสาขาพรรคหรือเปล่าเพราะไม่ค่อยเต็มที่น่ะ
คือนี้พูดเรื่องจริงไปตามสภาพการณ์เพราะดูแล้วหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่นั้น ผิดฝาผิดตัวเพราะสนธิ ลิ้มนั้นเป็นสัญญลักษณ์ของพันธมิตร และถึงลูกถึงคน แต่ต้องถอนตัวเพราะอะไรน่ะรู้ ๆ กันอยู่ไม่ว่ากัน เข้าใจกัน เหมือนคนเป็นโค้ชบอลย่อมเห็นมองภาพกว้างในสนามได้ดีกว่านักเตะที่เล่นกัน อยู่ว่าใครตรงไหนเหมาะสมตำแหน่งอะไร ศักยะภาพการนำพรรคควรเป็นใครถึงจะทีเด็ด ว่ามะ
เอ้าเรื่องของเขาเขาอยากทำอะไรเรื่องของเขาเพราะที่นี่มีแต่ความคิดที่ตรง ไม่มีอคติใดๆ อาจจะผิดบ้างถูกบ้างก็ว่ากันไป เหมือนคุณจัดทีมฟุตบอลเมื่อถ้าเรามีกองหน้าดี ๆเก่ง ๆ แบบสมัยปิยะพงศ์ ถ้าปิยะพงศ์ฟิตเล่นได้ก็ต้องให้เขาเล่นเพราะทีมจะได้ยิงประตูได้ชนะได้ แต่ไปเอาศุนย์หน้าที่ไม่คมลงเล่นก็คงไม่ชนะ และแพ้หลุดลุ่ย นี่เปรียบเทียบอุปมาอุปไมยอะไรชัดไม๊ชัดไหม
วันนี้เรื่องการเมืองพอก่อนแค่นี้ก่อน แล้วก็เหมือนเดิม คือคนกลุ่มพวกนี้ยังทำนิสัยสันดานเหมือนเดิมคือขัดขวางรังควานทางเจริญ นักการเมืองที่มีอุดมการณ์อยู่ตลอดเช่น เมือ่วานเงินเดือนลูกชายวิศวะกรออกเขาไปกดเอทีเอ็มที่โลตัส ก็เป็นเงินเดือนเขาน่ะ แล้วเขาให้ข้าพเจ้า 2000 (สองพันบาท) ไปจ่ายค่าน้ำค่าไฟ นี้คือเรื่องจริง แล้วข้าพเจ้าจะไปจ่ายค่าน้ำค่าไฟเวลาไหนเอาไปหมุนไปใช้อะไรเนี่ย ใครจะใส่ร้ายอะไรอีก แล้วพวกวิชามารจะใช้วิธีอะไรก็ใช้ไป กรูชี้แจงลูกเดียว แล้วดูดิว่าอธรรมมารมันก็ต้องเจ๊งยกเข่งไปอย่างแน่นอน เพราะมันไม่เลิกนี่หว่า เช่นถ้าได้แบ๊งค์พันมาแล้วไปใช้แตกเป็นแบ๊งค์ร้อยแบ๊งค์ห้าร้อยหรือแบ๊งค์ อะไรก็แล้วแต่นั้น กรูจะไปควบคุมหรือไปกำหนดอะไรได้ว่าเงินเหล่านั้นเป็นเงินอะไรเบอร์ในธนบัตร เท่าไหร่เลขอะไร ถ้าพวกมรึงมันบอกว่าจะต้องอย่างนั้นจะต้องอย่างนี้ก็แสดงว่าพวกมรึงมันนั้น พูดเองเออเองทั้งนั้นน่ะ เอาเป็นว่าสรุปว่าเงินที่ข้าพเจ้าไปกินไหนพาลูกไปกินไหนกินในห้างพาลูกไปกิน ในห้างใช้จ่ายสิ่งใดนั้นเป็นเงินที่ข้าพเจ้าทำมาค้าขาย เป็นเงินทำงานลูกชายวิศวะกร และหรือเป็นเงินหยิบยืมญาติข้าพเจ้า และสามปีกว่ามานี้ข้าพเจ้าไม่เคยกดเอทีเอ็มของใครแม้แต่ครั้งเดียวถ้าใคร บอกว่ามีก็แสดงว่าแตหลอ เมื่อข้าพเจ้าเลิกกับอดีตเมียแล้วตั้งแต่ปี 45 อดีตเมียก็มีผัวใหม่แล้วเรื่องจริงก็พูดได้ไม่มีอะไรเสียหาย และเป็นการยืนยันเพื่อความซื่อตรงในงานเขียนของข้าพเจ้าเชื่อถือได้ เป็นความสัตย์ แล้วถ้าใครใส่ร้ายก็ขอให้มันเจ๊งยกเข่ง
และก็รุ้ว่าถ้าเขียนลักษณะแบบนี้ก็จะโกรธแล้วก็จะใช้อิทธิพลอะไรก็ใช้ไปเพราะธรรมะย่อมชนะอธรรมเสมอ
ธ
Manit
IF WE HOLD ON TOGETHER
Don't lose your way
With each passing day
You're come so far
Don't throw it away
Live believing
Dreams are for wearing
Wonders are waiting to start
Live your story,
Faith,hope and glory
Hold to the truth in your heart
Chorus :
If we hold on together
I know our dreams will never die
Dreams see us through to forever
When clouds roll by
For you and I
Souls in the wind
must learn how to bend
Seek out a star
Hold on till the end
Valley, mountain,
There is a fountain
Washes our tears all away
Words are swaying,
Someone is praying
Please let us come home to stay
[Chorus]
When we are out there in the dark
We'll dream about the sun
In the dark we'll feel the light
Warm our hearts, everyone
If we hold on together
I know our dreams
Will never die
Dreams see us through to forever
As high as souls can fly
The clouds roll by
For you and....I
TOGETHER
With each passing day
You're come so far
Don't throw it away
Live believing
Dreams are for wearing
Wonders are waiting to start
Live your story,
Faith,hope and glory
Hold to the truth in your heart
Chorus :
If we hold on together
I know our dreams will never die
Dreams see us through to forever
When clouds roll by
For you and I
Souls in the wind
must learn how to bend
Seek out a star
Hold on till the end
Valley, mountain,
There is a fountain
Washes our tears all away
Words are swaying,
Someone is praying
Please let us come home to stay
[Chorus]
When we are out there in the dark
We'll dream about the sun
In the dark we'll feel the light
Warm our hearts, everyone
If we hold on together
I know our dreams
Will never die
Dreams see us through to forever
As high as souls can fly
The clouds roll by
For you and....I
TOGETHER
จงจดจำไว้ กล้าที่ก้าวสู่การเมืองใหม่
ถ้ามองว่าขี้ขลาด
คนที่กล้าสู้มือเปล่า สู้กับคนที่มีอำนาจเงิน อำนาจล้นฟ้าเพราะเป็นผู้ถือกฎหมาย (รัฐบาล)นั้น
ขี้ขลาดหรือ?
เพราะเขารู้ว่าหนทางในประเทศไทย หนทางทางการเมือง
มันยังเน่าอย่างเดิม
ต้องใช้เวลาที่จะแก้ ปรับเปลี่ยนทัศนะการรักชาติอีกสักพัก
และไม่อยากให้การเมืองภาคประชาชนสูญหาย จึงปรับยุทธศาสตร์ใหม่
เขาขี้ขลาดหรือ?
มันไม่ง่ายอยู่แล้วที่จะสร้างการเมืองใหม่ ที่มองประโยชน์ของประชาชนในชาติ
ให้มากกว่าประโยชน์ตนและพวกพ้อง
เขาเดินช้า แต่ยังเดิน
เขาขี้ขลาดหรือ?
กล้าที่ก้าวสู่การเมืองใหม่
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
จะยังอยู่คู่ไทยอีกนาน
เพื่อเฝ้าแผ่นดิน และจ้องตาไอ้พวกขี้โกงโดยสันดาน
จงจดจำไว้
คนที่กล้าสู้มือเปล่า สู้กับคนที่มีอำนาจเงิน อำนาจล้นฟ้าเพราะเป็นผู้ถือกฎหมาย (รัฐบาล)นั้น
ขี้ขลาดหรือ?
เพราะเขารู้ว่าหนทางในประเทศไทย หนทางทางการเมือง
มันยังเน่าอย่างเดิม
ต้องใช้เวลาที่จะแก้ ปรับเปลี่ยนทัศนะการรักชาติอีกสักพัก
และไม่อยากให้การเมืองภาคประชาชนสูญหาย จึงปรับยุทธศาสตร์ใหม่
เขาขี้ขลาดหรือ?
มันไม่ง่ายอยู่แล้วที่จะสร้างการเมืองใหม่ ที่มองประโยชน์ของประชาชนในชาติ
ให้มากกว่าประโยชน์ตนและพวกพ้อง
เขาเดินช้า แต่ยังเดิน
เขาขี้ขลาดหรือ?
กล้าที่ก้าวสู่การเมืองใหม่
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
จะยังอยู่คู่ไทยอีกนาน
เพื่อเฝ้าแผ่นดิน และจ้องตาไอ้พวกขี้โกงโดยสันดาน
จงจดจำไว้
พบเด็กบุรีรัมย์จมน้ำตายปีละ 50 ราย มากอันดับ 5 ของประเทศ เตือนระวังฤดูน้ำหลาก
บุรีรัมย์ - สสจ.บุรีรัมย์ เตือนพ่อแม่ผู้ปกครองดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิดช่วงฤดูน้ำหลาก หวั่นพลัดตกน้ำ หลังพบเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี จมน้ำเสียชีวิตปีละ 50 ราย มากเป็นอันดับ 5 ของประเทศ พร้อมขอความร่วมมือท้องถิ่น และผู้นำชุมชน ทำป้ายเตือนหรือเครื่องป้องกันตามแหล่งน้ำที่เสี่ยงอันตรายในชุมชน
วันนี้ (31 ส.ค.) นพ.สมพงษ์ จรุงจิตตานุสนธิ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) บุรีรัมย์ เปิดเผยว่า ได้แจ้งเตือนพ่อแม่ผู้ปกครองให้ดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิด ในช่วงที่มีฝนตกหนักหรือฤดูน้ำหลาก ควรห้ามไม่ให้บุตรหลานไปลงเล่นน้ำ หรืออยู่ใกล้แหล่งน้ำที่เสี่ยงอันตราย หวั่นพลัดตกน้ำเสียชีวิต
จากข้อมูลสถิติ พบว่า จ.บุรีรัมย์ มีเด็ก และเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี จมน้ำเสียชีวิตมากถึงปีละ 40-50 ราย มากเป็นอันดับ 5 ของประเทศ ซึ่งในจำนวนนี้ พบว่า เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 10 ขวบ มากถึง 70% และหากเปรียบเทียบจำนวนเด็กที่จมน้ำเสียชีวิต กับยอดผู้เสียชีวิตด้วยโรคไข้เลือดออกในแต่ละปี จะเห็นได้ว่า สถิติเด็กที่จมน้ำเสียชีวิต มากกว่ายอดผู้เสียชีวิตด้วยโรคไข้เลือดออกถึง 30-40 เท่า
ล่าสุด จากข้อมูลในปีนี้ พบว่า จ.บุรีรัมย์ มีเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี จมน้ำเสียชีวิตแล้ว 21 ราย ทั้งนี้ยังพบว่าการจมน้ำเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับ 1 ของเด็กไทย เฉลี่ยปีละ 1,500 คน ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าห่วง ดังนั้นหลายหน่วยงานต้องร่วมมือกันหาวิธีแนวทางป้องกันปัญหาดังกล่าว
นพ.สมพงษ์ กล่าวต่อว่า จาก กรณีดังกล่าวทางสาธารณสุขจังหวัด ได้มีการจัดเจ้าหน้าที่เข้าไปให้ความรู้ถึงวิธีการเอาชีวิตรอด และป้องกันตนเองจากแหล่งน้ำเสี่ยง ในสถานศึกษาที่มีเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี
นอกจากนั้น ยังได้ขอความร่วมมือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ให้สำรวจแหล่งน้ำเสี่ยงในชุมชน พร้อมให้มีการทำป้ายแจ้งเตือนและเครื่องป้องกันที่บริเวณแหล่งน้ำ เพื่อป้องกันเด็กพลัดจมน้ำ และลดสถิติเด็กที่จมน้ำเสียชีวิตดังกล่าวด้วย
วันนี้ (31 ส.ค.) นพ.สมพงษ์ จรุงจิตตานุสนธิ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) บุรีรัมย์ เปิดเผยว่า ได้แจ้งเตือนพ่อแม่ผู้ปกครองให้ดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิด ในช่วงที่มีฝนตกหนักหรือฤดูน้ำหลาก ควรห้ามไม่ให้บุตรหลานไปลงเล่นน้ำ หรืออยู่ใกล้แหล่งน้ำที่เสี่ยงอันตราย หวั่นพลัดตกน้ำเสียชีวิต
จากข้อมูลสถิติ พบว่า จ.บุรีรัมย์ มีเด็ก และเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี จมน้ำเสียชีวิตมากถึงปีละ 40-50 ราย มากเป็นอันดับ 5 ของประเทศ ซึ่งในจำนวนนี้ พบว่า เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 10 ขวบ มากถึง 70% และหากเปรียบเทียบจำนวนเด็กที่จมน้ำเสียชีวิต กับยอดผู้เสียชีวิตด้วยโรคไข้เลือดออกในแต่ละปี จะเห็นได้ว่า สถิติเด็กที่จมน้ำเสียชีวิต มากกว่ายอดผู้เสียชีวิตด้วยโรคไข้เลือดออกถึง 30-40 เท่า
ล่าสุด จากข้อมูลในปีนี้ พบว่า จ.บุรีรัมย์ มีเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี จมน้ำเสียชีวิตแล้ว 21 ราย ทั้งนี้ยังพบว่าการจมน้ำเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับ 1 ของเด็กไทย เฉลี่ยปีละ 1,500 คน ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าห่วง ดังนั้นหลายหน่วยงานต้องร่วมมือกันหาวิธีแนวทางป้องกันปัญหาดังกล่าว
นพ.สมพงษ์ กล่าวต่อว่า จาก กรณีดังกล่าวทางสาธารณสุขจังหวัด ได้มีการจัดเจ้าหน้าที่เข้าไปให้ความรู้ถึงวิธีการเอาชีวิตรอด และป้องกันตนเองจากแหล่งน้ำเสี่ยง ในสถานศึกษาที่มีเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี
นอกจากนั้น ยังได้ขอความร่วมมือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ให้สำรวจแหล่งน้ำเสี่ยงในชุมชน พร้อมให้มีการทำป้ายแจ้งเตือนและเครื่องป้องกันที่บริเวณแหล่งน้ำ เพื่อป้องกันเด็กพลัดจมน้ำ และลดสถิติเด็กที่จมน้ำเสียชีวิตดังกล่าวด้วย
เผย “จีพีพี” ศรีสะเกษ 5.3 หมื่นล้าน เพิ่มขึ้น 6.8 พันล้าน - คาดปีนี้เติบโตอีก
จังหวัดศรีสะเกษ ประชุมคณะทำงานจัดทำผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดศรีสะเกษ หรือ “จีพีพี” วันนี้ ( 31 ส.ค.)
ศรีสะเกษ - เผย ศรีสะเกษมีมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด หรือ จีพีพี 53,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 6,800 ล้าน สาขาการเกษตร เป็นภาคการผลิตสำคัญ คาดปีนี้เติบโตมากขึ้น
วันนี้ (31 ส.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ห้องประชุมศาลากลางจังหวัดศรีสะเกษ นายจำเริญ พิพญ์พงศ์ธาดา รองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ เป็นประธานการประชุมคณะทำงานจัดทำผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดศรีสะเกษ หรือ จีพีพี ประจำปี 2551 ซึ่งมีหน่วยงานที่รับผิดชอบในการจัดเก็บข้อมูลตัวเลขและวิเคราะห์การจัดทำ ผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด รวม 14 สาขา
ทั้งนี้ เศรษฐกิจโดยรวมของ จ.ศรีสะเกษ ในปี 2551 มีมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด หรือจีพีพี กว่า 53,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนซึ่งมีมูลค่า จีพีพี 46,000 ล้านบาท กว่า 6,861 ล้านบาทโดยอัตราการเจริญเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดศรีสะเกษ ปี 2551 ชะลอลงร้อยละ 1.06 ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาโครงสร้างการผลิตของจังหวัด พบว่า สาขาการเกษตร มีสัดส่วนมากที่สุดร้อยละ 40 รองลงมาได้แก่ สาขาบริการด้านอสังหาริมทรัพย์และสาขาขายส่งขายปลีก มีสัดส่วน สาขาละ ร้อยละ 12
นายจำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา รองผู้ว่าราชการศรีสะเกษ กล่าวว่า จ.ศรีสะเกษ จะได้ใช้ฐานข้อมูลผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด หรือ จีพีพี เพื่อวิเคราะห์การพัฒนาศักยภาพด้านการเงินการคลังของจังหวัด ซึ่งในปี 2553 คาดว่า จะเติบโตขึ้นจากการกระตุ้นเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายภาครัฐตามโครงการไทยเข้ม แข็งของรัฐบาล
ขณะที่จังหวัดศรีสะเกษได้วางยุทธศาสตร์พัฒนาเศรษฐกิจด้วยการพัฒนา ด่านผ่านแดนถาวรช่องสะงำ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ ให้เป็นประตูการค้าและการท่องเที่ยวชายแดนไทย-กัมพูชา
ศรีสะเกษ - เผย ศรีสะเกษมีมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด หรือ จีพีพี 53,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 6,800 ล้าน สาขาการเกษตร เป็นภาคการผลิตสำคัญ คาดปีนี้เติบโตมากขึ้น
วันนี้ (31 ส.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ห้องประชุมศาลากลางจังหวัดศรีสะเกษ นายจำเริญ พิพญ์พงศ์ธาดา รองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ เป็นประธานการประชุมคณะทำงานจัดทำผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดศรีสะเกษ หรือ จีพีพี ประจำปี 2551 ซึ่งมีหน่วยงานที่รับผิดชอบในการจัดเก็บข้อมูลตัวเลขและวิเคราะห์การจัดทำ ผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด รวม 14 สาขา
ทั้งนี้ เศรษฐกิจโดยรวมของ จ.ศรีสะเกษ ในปี 2551 มีมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด หรือจีพีพี กว่า 53,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนซึ่งมีมูลค่า จีพีพี 46,000 ล้านบาท กว่า 6,861 ล้านบาทโดยอัตราการเจริญเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดศรีสะเกษ ปี 2551 ชะลอลงร้อยละ 1.06 ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาโครงสร้างการผลิตของจังหวัด พบว่า สาขาการเกษตร มีสัดส่วนมากที่สุดร้อยละ 40 รองลงมาได้แก่ สาขาบริการด้านอสังหาริมทรัพย์และสาขาขายส่งขายปลีก มีสัดส่วน สาขาละ ร้อยละ 12
นายจำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา รองผู้ว่าราชการศรีสะเกษ กล่าวว่า จ.ศรีสะเกษ จะได้ใช้ฐานข้อมูลผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด หรือ จีพีพี เพื่อวิเคราะห์การพัฒนาศักยภาพด้านการเงินการคลังของจังหวัด ซึ่งในปี 2553 คาดว่า จะเติบโตขึ้นจากการกระตุ้นเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายภาครัฐตามโครงการไทยเข้ม แข็งของรัฐบาล
ขณะที่จังหวัดศรีสะเกษได้วางยุทธศาสตร์พัฒนาเศรษฐกิจด้วยการพัฒนา ด่านผ่านแดนถาวรช่องสะงำ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ ให้เป็นประตูการค้าและการท่องเที่ยวชายแดนไทย-กัมพูชา
กำชับ รพ.ส่งเสริมสุขภาพตำบลดูแลสุขภาพประชาชน
โดย
กาฬสินธุ์ - คณะสาธารณสุขนิเทศก์ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลสามัคคี อำเภอร่องคำ จังหวัดกาฬสินธุ์ พร้อมกำชับให้เจ้าหน้าที่ดูแลสุขภาพของประชาชนในช่วงหน้าฝน โดยเฉพาะโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 โรคฉี่หนู และโรคไข้เลือดออก
วันนี้ (31 ส.ค.) ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลสามัคคี อำเภอร่องคำ จังหวัดกาฬสินธุ์ นายแพทย์คำรณ ไชยศิริ สาธารณสุขนิเทศก์ นายแพทย์สมยศ ศรีจารนัย นายแพทย์เวชกรรมป้องกัน สำนักงานสารธารสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ พร้อมคณะเดินทางลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและติดตามการดำเนินงามของโรงพยาบาลส่ง เสริมสุขภาพตำบลสามัคคี
โดย มีนายสุรสิทธิ์ บรรพกลม นายก อบต.สามัคคี นางสุดารัตน์ บรรพกลม ผอ.โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลสามัคคี เจ้าหน้าที่ และ อสม.ให้การต้อนรับกว่า 500 คน
นายแพทย์คำรณ ไชยศิริ สาธารณสุขนิเทศก์ กล่าวว่า จากนโยบายของกระทรวงสาธารสุขที่มุ่งเน้นให้มีการปรับปรุงระบบบริการสาธารณ สุขให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น โดยได้ยกระดับสถานีอนามัยเป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล หรือ รพ.สต. และส่งเสริมบทบาทของท้องถิ่นให้เข้ามาร่วมผลิตบุคลากรสาธารณสุข เพื่อกลับไปทำงานในท้องถิ่นรวมถึงการพัฒนาบทบาท อสม.ให้มีศักยภาพมากขึ้น
ทั้งนี้ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลถือเป็นหน่วยบริการที่อยู่ใกล้ชิดชุมชนมากที่ สุด เพราะฉะนั้นจะต้องเน้นการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ทั้งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมประชาชน เช่นการออกกำลังกาย และการรับประทานอาหาร เพื่อทำให้ประชาชนมีสุขภาพดี แข็งแรง และปลอดภัยจากโรคต่างๆ
นายแพทย์คำรณกล่าวอีกว่า ในช่วงฤดูฝนมักพบการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 โรคไข้เลือดออก และโรคฉี่หนูในหลายพื้นที่
ดัง นั้น เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลและ อสม.จะต้องหมั่นออกให้คำแนะนำ และให้ความรู้แก่ประชาชน ทั้งการดูแลสุขภาพ การป้องกันโรคอย่างทั่วถึง
กาฬสินธุ์ - คณะสาธารณสุขนิเทศก์ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลสามัคคี อำเภอร่องคำ จังหวัดกาฬสินธุ์ พร้อมกำชับให้เจ้าหน้าที่ดูแลสุขภาพของประชาชนในช่วงหน้าฝน โดยเฉพาะโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 โรคฉี่หนู และโรคไข้เลือดออก
วันนี้ (31 ส.ค.) ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลสามัคคี อำเภอร่องคำ จังหวัดกาฬสินธุ์ นายแพทย์คำรณ ไชยศิริ สาธารณสุขนิเทศก์ นายแพทย์สมยศ ศรีจารนัย นายแพทย์เวชกรรมป้องกัน สำนักงานสารธารสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ พร้อมคณะเดินทางลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและติดตามการดำเนินงามของโรงพยาบาลส่ง เสริมสุขภาพตำบลสามัคคี
โดย มีนายสุรสิทธิ์ บรรพกลม นายก อบต.สามัคคี นางสุดารัตน์ บรรพกลม ผอ.โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลสามัคคี เจ้าหน้าที่ และ อสม.ให้การต้อนรับกว่า 500 คน
นายแพทย์คำรณ ไชยศิริ สาธารณสุขนิเทศก์ กล่าวว่า จากนโยบายของกระทรวงสาธารสุขที่มุ่งเน้นให้มีการปรับปรุงระบบบริการสาธารณ สุขให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น โดยได้ยกระดับสถานีอนามัยเป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล หรือ รพ.สต. และส่งเสริมบทบาทของท้องถิ่นให้เข้ามาร่วมผลิตบุคลากรสาธารณสุข เพื่อกลับไปทำงานในท้องถิ่นรวมถึงการพัฒนาบทบาท อสม.ให้มีศักยภาพมากขึ้น
ทั้งนี้ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลถือเป็นหน่วยบริการที่อยู่ใกล้ชิดชุมชนมากที่ สุด เพราะฉะนั้นจะต้องเน้นการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ทั้งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมประชาชน เช่นการออกกำลังกาย และการรับประทานอาหาร เพื่อทำให้ประชาชนมีสุขภาพดี แข็งแรง และปลอดภัยจากโรคต่างๆ
นายแพทย์คำรณกล่าวอีกว่า ในช่วงฤดูฝนมักพบการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 โรคไข้เลือดออก และโรคฉี่หนูในหลายพื้นที่
ดัง นั้น เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลและ อสม.จะต้องหมั่นออกให้คำแนะนำ และให้ความรู้แก่ประชาชน ทั้งการดูแลสุขภาพ การป้องกันโรคอย่างทั่วถึง
วิธีการกำจัดมดและแมลงปัญหากวนใจ
เรามีวิธีการกำจัดมดและแมลงปัญหากวนใจมาฝากกันครับ ใช้น้ำส้มสายชู เช็ดตรงทางเดินมด 1-2 ครั้ง มดจะไม่เดินมาบริเวณที่เช็ดด้วยน้ำส้มสายชู
31/07/2553 14.06 น.
จาก SMS farmer info
31/07/2553 14.06 น.
จาก SMS farmer info
แคนตาลูป นอกจากกินผลสด
แคนตาลูป นอกจากกินผลสดแล้ว ยังนิยมทำเป็นน้ำผลไม้ เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ลดไข้ได้ผล เพราะเป็นผลไม้เย็น และมีสารช่วยเคลือบกระเพาะอีกด้วย
07/08/2553 - 12.06 น.
จาก SMS farmer info
07/08/2553 - 12.06 น.
จาก SMS farmer info
หอมกรุ่นทั่วไทย มหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 26 สิงหาคม 2553 17:28 น.
กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ จัดมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 7 ระหว่างวันที่ 1-5 ก.ย.นี้ ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยชูสโลแกน “หอมกรุ่นทั่วไทย หอมไกลทั่วโลก” นำเสนอสมุนไพรหอม เครื่องหอมภูมิปัญญาไทย ยาหอมไทย พร้อมแจกต้นไม้สมุนไพรแก่ผู้ที่เข้าร่วมงานฟรี
พญ.วิลาวัลย์ จึงประเสริฐ อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ ร่วมกับภาคีเครือข่าย 13 หน่วยงาน จัดงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 7 ภายใต้แนวคิด “หอมกรุ่นทั่วไทย หอมไกลทั่วโลก” โดยในปีนี้ได้นำเสนอภูมิปัญญาไทยที่สัมพันธ์กับสมุนไพรหอม อาทิ เครื่องหอมไทย ยาหอมไทย ตลอดจนสมุนไพรหอมที่นำไปประยุกต์ในชีวิตประจำวัน
สำหรับกิจกรรมภายในงาน ประกอบด้วย
1.การจัดสมัชชาสุขภาพเชิงประเด็นว่าด้วยการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ การพัฒนาภูมิปัญญไท สุขภาพวิถีไทย พ.ศ. 2550-2554
2.การประชุมวิชาการประจำปี ในหัวข้อ “หอมกรุ่นทั่วไทย หอมไกลทั่วโลก” ซึ่งจะมีนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญต่างๆมาพูดเรื่อง เครื่องหอม พืชหอม ข้าวหอม น้ำมันหอมระเหย และการประยุกต์ใช้
3.การจัดประชุมความร่วมมือระหว่างประเทศในระดับเอเชียแปซิฟิกเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้
4.ลานวัฒนธรรม ที่มีชุมชนจากทั่วประเทศมาจัดแสดง ข้าวหอมและผักหอม โดยเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมงานชิมและดมได้
5.การฝึกอบรมระยะสั้นกว่า 30 หลักสูตรฟรี
6.นวัตกรรม ที่จัดแสดงองค์ความรู้ที่เกิดจากการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของยาหอม
นอกจากนี้ภายในงานยังมีไฮไลท์คือ การนำเสนอเรื่องของสมุนไพรหอม ซึ่งจัดแสดงเกี่ยวกับเครื่องหอมไทย และผลิตภัณฑ์น้ำหอมที่ผลิตจากดอกไม้ แก่นไม้ และเปลือกไม้ต่างๆ การสาธิตการทำน้ำอบ แป้งร่ำ น้ำปรุง การสาธิตการทำยาหอมไทย และการสาธิตการทำอาหาร อาหารว่าง น้ำสมุนไพร จากสมุนไพรหอม
ทั้งนี้ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 7 ได้ตั้งแต่วันที่ 1-5 กันยายน 53 ณ ฮอลล์ 7-8 อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยภายในงานจะมีการแจกต้นไม้สมุนไพรฟรีจำนวน 700 ต้น ต่อวัน
กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ จัดมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 7 ระหว่างวันที่ 1-5 ก.ย.นี้ ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยชูสโลแกน “หอมกรุ่นทั่วไทย หอมไกลทั่วโลก” นำเสนอสมุนไพรหอม เครื่องหอมภูมิปัญญาไทย ยาหอมไทย พร้อมแจกต้นไม้สมุนไพรแก่ผู้ที่เข้าร่วมงานฟรี
พญ.วิลาวัลย์ จึงประเสริฐ อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ ร่วมกับภาคีเครือข่าย 13 หน่วยงาน จัดงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 7 ภายใต้แนวคิด “หอมกรุ่นทั่วไทย หอมไกลทั่วโลก” โดยในปีนี้ได้นำเสนอภูมิปัญญาไทยที่สัมพันธ์กับสมุนไพรหอม อาทิ เครื่องหอมไทย ยาหอมไทย ตลอดจนสมุนไพรหอมที่นำไปประยุกต์ในชีวิตประจำวัน
สำหรับกิจกรรมภายในงาน ประกอบด้วย
1.การจัดสมัชชาสุขภาพเชิงประเด็นว่าด้วยการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ การพัฒนาภูมิปัญญไท สุขภาพวิถีไทย พ.ศ. 2550-2554
2.การประชุมวิชาการประจำปี ในหัวข้อ “หอมกรุ่นทั่วไทย หอมไกลทั่วโลก” ซึ่งจะมีนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญต่างๆมาพูดเรื่อง เครื่องหอม พืชหอม ข้าวหอม น้ำมันหอมระเหย และการประยุกต์ใช้
3.การจัดประชุมความร่วมมือระหว่างประเทศในระดับเอเชียแปซิฟิกเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้
4.ลานวัฒนธรรม ที่มีชุมชนจากทั่วประเทศมาจัดแสดง ข้าวหอมและผักหอม โดยเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมงานชิมและดมได้
5.การฝึกอบรมระยะสั้นกว่า 30 หลักสูตรฟรี
6.นวัตกรรม ที่จัดแสดงองค์ความรู้ที่เกิดจากการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของยาหอม
นอกจากนี้ภายในงานยังมีไฮไลท์คือ การนำเสนอเรื่องของสมุนไพรหอม ซึ่งจัดแสดงเกี่ยวกับเครื่องหอมไทย และผลิตภัณฑ์น้ำหอมที่ผลิตจากดอกไม้ แก่นไม้ และเปลือกไม้ต่างๆ การสาธิตการทำน้ำอบ แป้งร่ำ น้ำปรุง การสาธิตการทำยาหอมไทย และการสาธิตการทำอาหาร อาหารว่าง น้ำสมุนไพร จากสมุนไพรหอม
ทั้งนี้ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 7 ได้ตั้งแต่วันที่ 1-5 กันยายน 53 ณ ฮอลล์ 7-8 อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยภายในงานจะมีการแจกต้นไม้สมุนไพรฟรีจำนวน 700 ต้น ต่อวัน
"มองดูตนเอง" หลักธรรมะของ...พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป
ท่าม กลางบรรยากาศต้นไม้ใหญ่ ใบสีเขียวหนาทึบทั่วบริเวณภายในวัดอรัญญาวิเวก (บ้านปง) ต.อินทขิล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ล้วนแล้วมาจากการจรรโลงให้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของ พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป
คำพูดที่พระอาจารย์เปลี่ยนมักใช้สนทนาธรรมกับประชาชนที่ เดินทางมาปฏิบัติธรรม ณ วัดแห่งนี้กันเป็นจำนวนมาก หลายคนที่มาที่วัดก็เพราะขาดสติคือ "ต้องใช้สติปัญญาในการพิจารณาหาต้นเหตุแห่งกองทุกข์นั้นยังไม่สมบูรณ์ จึงพากันมีความทุกข์อยู่ มีความเดือดร้อนกันอยู่ทั้งบ้านทั้งเมืองในปัจจุบันนี้นั้นก็คือบุคคลนั้น ไม่รู้จักค
วามพอดีนั่นเอง"
นอกจากนี้พระอาจารย์เปลี่ยนยังย้ำ เสมอในการสอนญาติโยมเกี่ยวกับการมองตนเองว่า "เมื่อคนเราเกิดมาแล้วอยู่ร่วมกัน ทำการงานร่วมกัน พูดจากัน ในเรื่องราวต่างๆ ประชุมหารือกัน ความคิดเห็นก็ต่างกัน บางบุคคล บางหมู่คณะก็คิดถูกบ้าง บางบุคคลบางหมู่คณะก็คิดผิดบ้าง นี้เป็นเรื่องธรรมดาสามัญ"
พระอาจารย์เปลี่ยนได้ให้สัมภาษณ์พร้อมความกระจ่างเกี่ยวกับการมองดูตนเองแบบ "คม ชัด ลึก" ดังนี้
- พระอาจารย์เน้นย้ำเรื่องการมองดูตนเองเพราะอะไรครับ ?
- ก็เพราะคนเราเกิดขึ้นมานั้น ไม่ใช่พวกเราจะเสียสละ ละกิเลสให้หมดไปได้ง่ายๆ เพราะกิเลสทั้งหลายนั้นนอนเนื่องอยู่ในจิตสันดานของพวกเรามาหลายภพหลายชาติ แล้ว เขาครอบงำย่ำยีมาหลายภพหลายชาติแล้ว แต่พวกเราก็ไม่สามารถที่จะแกะหรือสำรอก หรือลดละปล่อยวางกิเลสออกไปได้หมด พวกเราจึงพากันเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารตามฐานะของตน
เมื่อเรา เกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้ การที่ขัดเกลากิเลสของพวกเรามาแต่ชาติอดีตที่ผ่านมานั้น ใครจะขัดเกลาได้มากน้อยเท่าไร บุคคลใดขัดเกลาได้มาก เมื่อมาเกิดในชาตินี้กิเลสก็เบาบางจากจิตใจ บุคคลใดขัดเกลากิเลสได้น้อย กิเลสก็ยังมืดมน บุคคลใดไม่ได้ขัดเกลากิเลสเลย จึงมืดมนไม่รู้จักบุญบาป ก็ฉันนั้นเหมือนกัน จิตของบุคคลเป็นคนใจดำอำมหิตทั้งหลายอยู่ในปัจจุบันนี้ มันจึงมีหลายระดับหลายขั้นหลายตอน
- คนเราเกิดมามีหลายระดับชั้นหมายความว่าอย่างไรครับ ?
- ใช่ ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสอนไว้ว่าดอกบัวสี่เหล่า เหมือนเปรียบเทียบกับดอกบัวสี่เหล่า คนเราเกิดมาอยู่ในโลกนี้ย่อมเป็นอย่างนั้น ดังนั้นเมื่อเราคิดดูอย่างนี้แล้ว มันก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล บางคนจิตหยาบมาก บางคนหยาบปานกลาง กิเลสของคนเราจึงแตกต่างกัน อาตมาก็อยากให้ฝึกหัดสติของพวกเรา เพื่อจะให้มีสติมากขึ้น ระลึกได้เร็วขึ้น สัมปชัญญะ หรือตัวของปัญญา ให้รอบรู้เร็วทันกับเหตุการณ์ที่จะเป็นสิ่งสำคัญที่ดีในอนาคต
- แล้วทำไมถึงต้องทันเหตุการณ์ครับ ?
- ทำไมต้องทันเหตุการณ์ มันก็คือ พวกเราคิดดูซิ ถ้าพวกเราขาดสติอยู่ สติยังอ่อนอยู่นั้น แม้พวกเราเห็นวัตถุต่างๆ จิตก็ย่อมรั่วไหลไปตามวัตถุนั้นได้ทันที เพราะขาดสตินั่นเอง เราไม่มีสติพอจะรู้ว่ารูป ร่างกาย ของพวกเราก็เหมือนกัน รูปร่างกายของพวกเราทำอะไร เมื่อทำลงไปมันผิดพลาดลงไปแล้ว มันผิดพลาดเพราะอะไร เพราะเราขาดสติ เราระลึกไม่ทันก็ต้องทำไปก่อน สัมปชัญญะก็รู้ไม่ทันเขาจึงทำผิดพลาดกัน
ทุกวันนี้เราจะเห็นเขาทุบเขาตี ฆ่าฟันแทนกันไม่เว้นบนหน้าหนังสือพิมพ์นั้น เป็นเพราะขาดสติสัมปชัญญะควบคุมไม่ได้ ควบคุมร่างกายไม่ได้ ก็เลยทำให้กายนี้ไปทำบาปทำชั่วได้อย่างง่ายดาย ตรงนี้แหละเราจะเห็นได้ชัด ฉะนั้นพวกเราต้องฝึกหัด ฝึกมองตนเอง เราอย่ามองแต่คนอื่น ถ้าเราไม่มีสติปัญญา เราก็จะมองแต่คนอื่น มองจับผิดคนอื่นได้หมด เขาทำอะไรกัน เราก็มองว่ามันผิดไปหมด
- การมองดูตนเองควรเริ่มต้นอย่างไร ?
- พระพุทธองค์ยังสั่งสอนเอาไว้ว่าให้ดูตนเอง ฝึกฝนตนเอง แก้ไขตนเอง ปรับปรุงตนเอง จับผิดที่ตนเอง เรียกว่ามาดูที่ตัวเราก่อน อย่าไปดูคนอื่น อย่าไปเพ่งโทษคนอื่นแต่อย่างเดียวเพราะที่ผ่านมาคนเราชอบโทษคนอื่น ดังนั้นการเพ่งโทษตนเองนี้มันยาก ก็เหมือนกับเราดูขนตา ขอบตาเรา มีลูกตาแต่เราดูขนตาไม่เห็น ว่าขนตามีกี่เส้น ขนตามันยาวแค่ไหน มันมองไม่เห็นเลย ตรงนี้มันดูตนเองไม่เห็นอย่างนี้ เพราะอะไร เพราะเราขาดสติปัญญา
มาถึงตรงนี้อาตมาอยากให้ทุกคนมองดูตนเอง ไม่ต้องมองคนอื่น เป็นเรื่องของคนอื่นไปซะก่อน ถ้าเรามีความสงสารเราก็เตือนกันได้ ถ้าหากเรายังตักเตือนตนเองไม่ได้ เราจะต้องฝึกตนเองก่อน ด้วยการตักเตือนตนเองก่อน มามองดูตนเองก่อน เพื่อจะชำระตนเองก่อน แก้ไขตนเอง เราเกิดมาไม่ใช่จะทำถูกหมด มันต้องทำผิดบ้างถูกบ้าง
- แล้วสติสัมปชัญญะสำคัญมากน้อยแค่ไหน ?
- ไม่ว่าคนเราจะยืน เดิน นั่ง นอน ล้วนแล้วต้องมีสติ ถ้าเราขาดสติในการยืน เช่น ถ้าเรายืนอยู่บนสะพานที่จะข้ามน้ำก็ดีหรือยืนอยู่ ณ ที่สูงที่ใดที่หนึ่ง หรือเราไปยืนที่ขอบประตูหน้าต่างก็แล้วแต่ คนที่ขึ้นต้นไม้ก็ดีหรือคนที่ก่อสร้างตึกยืนทำงานอยู่บนไม้นั่งร้าน ถ้าขาดสติก็จะทำให้คนเหล่านั้นพลัดตกลงจากสถานที่ยืนได้ ผลของมันก็จะทำให้เกิดความเสียหาย แข้งขาหัก หรืออาจล้มตายไปก็ได้ นี่เป็นตัวอย่างของคนที่ขาดสติ
หรือบางคนนอนก็ต้องกำหนดว่าตนเองกำลัง นอนอยู่ ใช้สติสัมปชัญญะประคองตนเองในขณะนอน เมื่อมีสติประคองตนเองแล้วมันจะไม่ตกเตียง คนนอนอย่างมีสติหัวมันก็ไม่ตกหมอน คนนอนอย่างมีสตินั่นแหละมันมีประโยชน์ พระพุทธองค์ทรงสอนให้พวกเราศึกษา พัฒนาตนเอง ปรับปรุงตนเอง ให้มีสติสัมปชัญญะในการยืน เดิน นั่ง นอน จึงจะไม่มีอันตราย
- คนเราทำบุญอย่างไรจึงได้บุญมากๆ ครับ ?
- ทุกวันนี้เราไม่เข้าใจวิธีทำบุญที่ถูกต้องเหมาะสมในทางพระพุทธศาสนา ท่านจัดไว้ว่า การทำความดีที่ไม่ถูกต้อง ๔ ประการ เป็นเหตุทำให้วิบัติ เป็นทางเสื่อม ไม่เจริญ ได้แก่ ทำความดีไม่ถูกที่ ทำความดีไม่ถูกบุคคล ทำความดีไม่ถูกกาลเวลา และทำความดีแล้วไม่ตามความดีของตน หากว่าเป็นคนที่พอเข้าใจเรื่องการทำบุญแล้ว เขาย่อมเลือกทำบุญได้อย่างดีและถูกต้อง เพราะเขารู้เรื่องดีว่าจะทำบุญอะไรเป็นบุญ และมีประโยชน์อะไรบ้างเมื่อทำบุญ คนไม่มีปัญญาทำบุญย่อมได้บุญน้อย
พระพุทธเจ้าตรัสว่า มาสอนวิชาศิลปะแก่พระนี้ ไม่ได้บุญนะ การบริจาคทานให้พระนั้น คิดแล้วน่าจะได้บุญ แต่มันไม่ได้บุญ พระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญ เขาก็ยังพากันบริจาคทานกันอยู่ เช่น เอาควาย วัว โค กระบือ ช้าง ม้า มาถวายให้พระ บางที่ก็นำหมู เป็ด ไก่ มาปล่อยไว้ที่วัด จัดเป็นการบริจาคทานที่ไม่ได้บุญเช่นกันเพราะเป็นการสร้างทุกข์ให้กับพระ ต้องเลี้ยงให้กินหญ้าไม่มีเวลาปฏิบัติธรรมหรือเดินจงกรม เป็นต้น
- เป็นเจ้าอาวาสแล้วทำไมยังต้องกวาดลานวัดอยู่ครับ ?
- ก็จริงนะ ทุกๆ เช้า อาตมาก็จะออกมากวาดลานวัด ร่วมกับพระลูกวัดอื่นๆ ด้วย ถามว่าอาตมาอายุเยอะแล้วทำไมยังมากวาดลานวัดอีก อาตมาไม่ทำเดี๋ยวพระรูปอื่นจะไม่ทำกัน เราทำเป็นแบบอย่าง โดยการกวาดลานวัดเป็นกิจวัตร จริงๆ มันก็เป็นการออกกำลังกายไปในตัวด้วย สุขภาพจึงแข็งแรงไม่มีโรคภัยไข้เจ็บให้เป็นทุกข์
- หลายคนตั้งคำถามพระอาจารย์ว่าทำไมถึงดูไม่ชราเหมือนพระที่มีอายุเท่ากัน ?
- อาตมาคิดว่าคงเป็นที่สภาพอากาศที่วัดด้วย ไม่มีมลภาวะใดมารบกวน สิ่งแวดล้อมภายในวัดมีแต่ต้นไม้ใบไม้เป็นป่าทึบไปทั่วบริเวณ ซึ่งก็ไม่มีอะไรมาล่อใจใดๆ ให้การปฏิบัติไขว่เขว สิ่งเหล่านี้มันก็ทำให้การปฏิบัติธรรมของอาตมาทำได้อย่างเงียบสงบ
- มีกิจนิมนต์เทศน์บ่อยหรือเปล่าครับ ?
- ก็ยังเทศน์อยู่ ใครมานิมนต์ให้ไปเทศน์ที่ไหน อาตมาก็จะไปทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นต่างจังหวัด ปีนี้ก็มีคนมาปฏิบัติธรรมกันมาก ยิ่งเป็นต่างประเทศ คนส่วนใหญ่ชอบฟังธรรมะเช่น ประเทศออสเตรเลีย ไปก็ประมาณ ๒ เดือน ส่วนการเดินทางไปเทศน์ตามสถานที่ต่างๆ ที่จะไปได้ ก็ต้องมีข้อแม้ว่าจะไม่ตรงกับวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา แต่ส่วนใหญ่อาตมาก็จะไปตามที่เขามารับกันตลอดทั้งเดือน อาตมาจะเว้นอยู่แค่ประมาณ ๒-๓ วัน
ใครจะว่าอย่างไรไม่ทราบ อาตมาคิดว่าใครไม่ดี ใครมันโง่ก็จะพูดภาษาธรรมะไม่ได้ คนที่ไม่รู้จักรักษาศีลปฏิบัติธรรมชีวิตนี้เขาก็จะไม่มีความสุข อาตมาคิดว่าถ้าใครได้ลองปฏิบัติธรรมกันอย่างจริงจังแล้ว ชีวิตพวกเขาก็จะมีความสุข ใครฉลาดหรือโง่ก็ต้องเลือกกันเอาเอง
- พระอาจารย์มีวัตถุมงคลแจกหรือเปล่าครับ ?
- วัตถุมงคลก็มีแจกกันบ้าง เพราะลูกศิษย์ของอาตมาเขาทำแล้วก็เอามาถวาย อาตมาก็จะแจกให้กับญาติโยมที่มาทำบุญที่วัด ตอนนี้อาตมาก็บอกให้ลูกศิษย์หยุดทำวัตถุมงคลได้แล้ว อาตมาอยากให้ญาติโยมสนใจอ่านหนังสือธรรมะมากกว่า เพราะธรรมะจะมีความสำคัญกว่าวัตถุมงคล อาตมาเห็นหลายคนยังนิยมวัตถุมงคลมากกว่าธรรมะ เป็นเพราะพวกเขาไม่ได้ศึกษาธรรมะ ไม่ได้ปฏิบัติกันนั่นเอง พวกเขาจึงยังเห็นว่าวัตถุมงคลสำคัญกว่าธรรมะ ถ้าใครได้ปฏิบัติธรรมแล้ว เขาก็จะไม่เอาวัตถุมงคล แต่วัตถุมงคลก็ดี เป็นส่วนหนึ่งของการให้กำลังใจ ยึดเหนี่ยวจิตใจ
- คนที่แขวนพระเครื่องแล้วไม่ปฏิบัติธรรมจะเป็นอย่างไร ?
- พวกโยมเห็นนักโทษที่มีอยู่มากมายในบ้านเราไหม พวกเขาแขวนพระเครื่องกันมาก แต่ไม่มีใครปฏิบัติตนให้อยู่ในธรรม เมื่อไปทำอะไรที่ไม่ดี พระท่านก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ เพราะคนเหล่านี้ไม่ได้ปฏิบัตินั่นเอง และอาตมาอยากย้ำว่า ถ้าเรารักษาตนด้วยธรรมะได้ ก็ไม่จำเป็นต้องแขวนพระ ดูสิอาตมาเองยังไม่แขวนพระสักองค์ (หัวเราะด้วยรอยยิ้ม)
- ที่ว่าขลังและยิงไม่เข้า ตรงนี้เกิดจากอะไรครับ ?
- ถามอาตมาแบบนี้ ไอ้ที่ว่านี่มันก็เกิดจากพลังจิต พระคาถาที่มีพระเกจิอาจารย์ทำการปลุกเสกลงไป ความขลังไม่ขลังจึงเกิดจากพระเกจิอาจารย์ได้ทำการอธิษฐานประกอบเข้าไป เขาถึงได้เรียกกันว่าสมาธิพลังจิตอย่างหนึ่ง ใครที่นำเอาวัตถุมงคลนี้ไปใช้ไม่ดีก็เป็นบาป ใครเอาไปใช้ในทางที่ดีก็เป็นประโยชน์
- ทำอย่างไรถึงมีความสุขครับ ?
- สุขเกิดด้วยการไม่เป็นหนี้ใคร การไม่เป็นหนี้สินใครจะทำให้อยู่เป็นสุขสบาย แต่เราต้องรู้จักจับจ่ายเงินทองได้พอดีกับฐานะของตน จึงไม่เป็นหนี้ใคร เมื่อเห็นคนเดินเข้ามาหาเรา เราก็ไม่หวั่นไหวอะไร ว่าเขาจะมาทวงถามหนี้จากเรา เมื่อเราไม่เป็นหนี้ใคร เราก็อยู่อย่างมีความสุข
ที่มา :http://www.komchadluek.net/
คำพูดที่พระอาจารย์เปลี่ยนมักใช้สนทนาธรรมกับประชาชนที่ เดินทางมาปฏิบัติธรรม ณ วัดแห่งนี้กันเป็นจำนวนมาก หลายคนที่มาที่วัดก็เพราะขาดสติคือ "ต้องใช้สติปัญญาในการพิจารณาหาต้นเหตุแห่งกองทุกข์นั้นยังไม่สมบูรณ์ จึงพากันมีความทุกข์อยู่ มีความเดือดร้อนกันอยู่ทั้งบ้านทั้งเมืองในปัจจุบันนี้นั้นก็คือบุคคลนั้น ไม่รู้จักค
วามพอดีนั่นเอง"
นอกจากนี้พระอาจารย์เปลี่ยนยังย้ำ เสมอในการสอนญาติโยมเกี่ยวกับการมองตนเองว่า "เมื่อคนเราเกิดมาแล้วอยู่ร่วมกัน ทำการงานร่วมกัน พูดจากัน ในเรื่องราวต่างๆ ประชุมหารือกัน ความคิดเห็นก็ต่างกัน บางบุคคล บางหมู่คณะก็คิดถูกบ้าง บางบุคคลบางหมู่คณะก็คิดผิดบ้าง นี้เป็นเรื่องธรรมดาสามัญ"
พระอาจารย์เปลี่ยนได้ให้สัมภาษณ์พร้อมความกระจ่างเกี่ยวกับการมองดูตนเองแบบ "คม ชัด ลึก" ดังนี้
- พระอาจารย์เน้นย้ำเรื่องการมองดูตนเองเพราะอะไรครับ ?
- ก็เพราะคนเราเกิดขึ้นมานั้น ไม่ใช่พวกเราจะเสียสละ ละกิเลสให้หมดไปได้ง่ายๆ เพราะกิเลสทั้งหลายนั้นนอนเนื่องอยู่ในจิตสันดานของพวกเรามาหลายภพหลายชาติ แล้ว เขาครอบงำย่ำยีมาหลายภพหลายชาติแล้ว แต่พวกเราก็ไม่สามารถที่จะแกะหรือสำรอก หรือลดละปล่อยวางกิเลสออกไปได้หมด พวกเราจึงพากันเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารตามฐานะของตน
เมื่อเรา เกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้ การที่ขัดเกลากิเลสของพวกเรามาแต่ชาติอดีตที่ผ่านมานั้น ใครจะขัดเกลาได้มากน้อยเท่าไร บุคคลใดขัดเกลาได้มาก เมื่อมาเกิดในชาตินี้กิเลสก็เบาบางจากจิตใจ บุคคลใดขัดเกลากิเลสได้น้อย กิเลสก็ยังมืดมน บุคคลใดไม่ได้ขัดเกลากิเลสเลย จึงมืดมนไม่รู้จักบุญบาป ก็ฉันนั้นเหมือนกัน จิตของบุคคลเป็นคนใจดำอำมหิตทั้งหลายอยู่ในปัจจุบันนี้ มันจึงมีหลายระดับหลายขั้นหลายตอน
- คนเราเกิดมามีหลายระดับชั้นหมายความว่าอย่างไรครับ ?
- ใช่ ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสอนไว้ว่าดอกบัวสี่เหล่า เหมือนเปรียบเทียบกับดอกบัวสี่เหล่า คนเราเกิดมาอยู่ในโลกนี้ย่อมเป็นอย่างนั้น ดังนั้นเมื่อเราคิดดูอย่างนี้แล้ว มันก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล บางคนจิตหยาบมาก บางคนหยาบปานกลาง กิเลสของคนเราจึงแตกต่างกัน อาตมาก็อยากให้ฝึกหัดสติของพวกเรา เพื่อจะให้มีสติมากขึ้น ระลึกได้เร็วขึ้น สัมปชัญญะ หรือตัวของปัญญา ให้รอบรู้เร็วทันกับเหตุการณ์ที่จะเป็นสิ่งสำคัญที่ดีในอนาคต
- แล้วทำไมถึงต้องทันเหตุการณ์ครับ ?
- ทำไมต้องทันเหตุการณ์ มันก็คือ พวกเราคิดดูซิ ถ้าพวกเราขาดสติอยู่ สติยังอ่อนอยู่นั้น แม้พวกเราเห็นวัตถุต่างๆ จิตก็ย่อมรั่วไหลไปตามวัตถุนั้นได้ทันที เพราะขาดสตินั่นเอง เราไม่มีสติพอจะรู้ว่ารูป ร่างกาย ของพวกเราก็เหมือนกัน รูปร่างกายของพวกเราทำอะไร เมื่อทำลงไปมันผิดพลาดลงไปแล้ว มันผิดพลาดเพราะอะไร เพราะเราขาดสติ เราระลึกไม่ทันก็ต้องทำไปก่อน สัมปชัญญะก็รู้ไม่ทันเขาจึงทำผิดพลาดกัน
ทุกวันนี้เราจะเห็นเขาทุบเขาตี ฆ่าฟันแทนกันไม่เว้นบนหน้าหนังสือพิมพ์นั้น เป็นเพราะขาดสติสัมปชัญญะควบคุมไม่ได้ ควบคุมร่างกายไม่ได้ ก็เลยทำให้กายนี้ไปทำบาปทำชั่วได้อย่างง่ายดาย ตรงนี้แหละเราจะเห็นได้ชัด ฉะนั้นพวกเราต้องฝึกหัด ฝึกมองตนเอง เราอย่ามองแต่คนอื่น ถ้าเราไม่มีสติปัญญา เราก็จะมองแต่คนอื่น มองจับผิดคนอื่นได้หมด เขาทำอะไรกัน เราก็มองว่ามันผิดไปหมด
- การมองดูตนเองควรเริ่มต้นอย่างไร ?
- พระพุทธองค์ยังสั่งสอนเอาไว้ว่าให้ดูตนเอง ฝึกฝนตนเอง แก้ไขตนเอง ปรับปรุงตนเอง จับผิดที่ตนเอง เรียกว่ามาดูที่ตัวเราก่อน อย่าไปดูคนอื่น อย่าไปเพ่งโทษคนอื่นแต่อย่างเดียวเพราะที่ผ่านมาคนเราชอบโทษคนอื่น ดังนั้นการเพ่งโทษตนเองนี้มันยาก ก็เหมือนกับเราดูขนตา ขอบตาเรา มีลูกตาแต่เราดูขนตาไม่เห็น ว่าขนตามีกี่เส้น ขนตามันยาวแค่ไหน มันมองไม่เห็นเลย ตรงนี้มันดูตนเองไม่เห็นอย่างนี้ เพราะอะไร เพราะเราขาดสติปัญญา
มาถึงตรงนี้อาตมาอยากให้ทุกคนมองดูตนเอง ไม่ต้องมองคนอื่น เป็นเรื่องของคนอื่นไปซะก่อน ถ้าเรามีความสงสารเราก็เตือนกันได้ ถ้าหากเรายังตักเตือนตนเองไม่ได้ เราจะต้องฝึกตนเองก่อน ด้วยการตักเตือนตนเองก่อน มามองดูตนเองก่อน เพื่อจะชำระตนเองก่อน แก้ไขตนเอง เราเกิดมาไม่ใช่จะทำถูกหมด มันต้องทำผิดบ้างถูกบ้าง
- แล้วสติสัมปชัญญะสำคัญมากน้อยแค่ไหน ?
- ไม่ว่าคนเราจะยืน เดิน นั่ง นอน ล้วนแล้วต้องมีสติ ถ้าเราขาดสติในการยืน เช่น ถ้าเรายืนอยู่บนสะพานที่จะข้ามน้ำก็ดีหรือยืนอยู่ ณ ที่สูงที่ใดที่หนึ่ง หรือเราไปยืนที่ขอบประตูหน้าต่างก็แล้วแต่ คนที่ขึ้นต้นไม้ก็ดีหรือคนที่ก่อสร้างตึกยืนทำงานอยู่บนไม้นั่งร้าน ถ้าขาดสติก็จะทำให้คนเหล่านั้นพลัดตกลงจากสถานที่ยืนได้ ผลของมันก็จะทำให้เกิดความเสียหาย แข้งขาหัก หรืออาจล้มตายไปก็ได้ นี่เป็นตัวอย่างของคนที่ขาดสติ
หรือบางคนนอนก็ต้องกำหนดว่าตนเองกำลัง นอนอยู่ ใช้สติสัมปชัญญะประคองตนเองในขณะนอน เมื่อมีสติประคองตนเองแล้วมันจะไม่ตกเตียง คนนอนอย่างมีสติหัวมันก็ไม่ตกหมอน คนนอนอย่างมีสตินั่นแหละมันมีประโยชน์ พระพุทธองค์ทรงสอนให้พวกเราศึกษา พัฒนาตนเอง ปรับปรุงตนเอง ให้มีสติสัมปชัญญะในการยืน เดิน นั่ง นอน จึงจะไม่มีอันตราย
- คนเราทำบุญอย่างไรจึงได้บุญมากๆ ครับ ?
- ทุกวันนี้เราไม่เข้าใจวิธีทำบุญที่ถูกต้องเหมาะสมในทางพระพุทธศาสนา ท่านจัดไว้ว่า การทำความดีที่ไม่ถูกต้อง ๔ ประการ เป็นเหตุทำให้วิบัติ เป็นทางเสื่อม ไม่เจริญ ได้แก่ ทำความดีไม่ถูกที่ ทำความดีไม่ถูกบุคคล ทำความดีไม่ถูกกาลเวลา และทำความดีแล้วไม่ตามความดีของตน หากว่าเป็นคนที่พอเข้าใจเรื่องการทำบุญแล้ว เขาย่อมเลือกทำบุญได้อย่างดีและถูกต้อง เพราะเขารู้เรื่องดีว่าจะทำบุญอะไรเป็นบุญ และมีประโยชน์อะไรบ้างเมื่อทำบุญ คนไม่มีปัญญาทำบุญย่อมได้บุญน้อย
พระพุทธเจ้าตรัสว่า มาสอนวิชาศิลปะแก่พระนี้ ไม่ได้บุญนะ การบริจาคทานให้พระนั้น คิดแล้วน่าจะได้บุญ แต่มันไม่ได้บุญ พระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญ เขาก็ยังพากันบริจาคทานกันอยู่ เช่น เอาควาย วัว โค กระบือ ช้าง ม้า มาถวายให้พระ บางที่ก็นำหมู เป็ด ไก่ มาปล่อยไว้ที่วัด จัดเป็นการบริจาคทานที่ไม่ได้บุญเช่นกันเพราะเป็นการสร้างทุกข์ให้กับพระ ต้องเลี้ยงให้กินหญ้าไม่มีเวลาปฏิบัติธรรมหรือเดินจงกรม เป็นต้น
- เป็นเจ้าอาวาสแล้วทำไมยังต้องกวาดลานวัดอยู่ครับ ?
- ก็จริงนะ ทุกๆ เช้า อาตมาก็จะออกมากวาดลานวัด ร่วมกับพระลูกวัดอื่นๆ ด้วย ถามว่าอาตมาอายุเยอะแล้วทำไมยังมากวาดลานวัดอีก อาตมาไม่ทำเดี๋ยวพระรูปอื่นจะไม่ทำกัน เราทำเป็นแบบอย่าง โดยการกวาดลานวัดเป็นกิจวัตร จริงๆ มันก็เป็นการออกกำลังกายไปในตัวด้วย สุขภาพจึงแข็งแรงไม่มีโรคภัยไข้เจ็บให้เป็นทุกข์
- หลายคนตั้งคำถามพระอาจารย์ว่าทำไมถึงดูไม่ชราเหมือนพระที่มีอายุเท่ากัน ?
- อาตมาคิดว่าคงเป็นที่สภาพอากาศที่วัดด้วย ไม่มีมลภาวะใดมารบกวน สิ่งแวดล้อมภายในวัดมีแต่ต้นไม้ใบไม้เป็นป่าทึบไปทั่วบริเวณ ซึ่งก็ไม่มีอะไรมาล่อใจใดๆ ให้การปฏิบัติไขว่เขว สิ่งเหล่านี้มันก็ทำให้การปฏิบัติธรรมของอาตมาทำได้อย่างเงียบสงบ
- มีกิจนิมนต์เทศน์บ่อยหรือเปล่าครับ ?
- ก็ยังเทศน์อยู่ ใครมานิมนต์ให้ไปเทศน์ที่ไหน อาตมาก็จะไปทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นต่างจังหวัด ปีนี้ก็มีคนมาปฏิบัติธรรมกันมาก ยิ่งเป็นต่างประเทศ คนส่วนใหญ่ชอบฟังธรรมะเช่น ประเทศออสเตรเลีย ไปก็ประมาณ ๒ เดือน ส่วนการเดินทางไปเทศน์ตามสถานที่ต่างๆ ที่จะไปได้ ก็ต้องมีข้อแม้ว่าจะไม่ตรงกับวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา แต่ส่วนใหญ่อาตมาก็จะไปตามที่เขามารับกันตลอดทั้งเดือน อาตมาจะเว้นอยู่แค่ประมาณ ๒-๓ วัน
ใครจะว่าอย่างไรไม่ทราบ อาตมาคิดว่าใครไม่ดี ใครมันโง่ก็จะพูดภาษาธรรมะไม่ได้ คนที่ไม่รู้จักรักษาศีลปฏิบัติธรรมชีวิตนี้เขาก็จะไม่มีความสุข อาตมาคิดว่าถ้าใครได้ลองปฏิบัติธรรมกันอย่างจริงจังแล้ว ชีวิตพวกเขาก็จะมีความสุข ใครฉลาดหรือโง่ก็ต้องเลือกกันเอาเอง
- พระอาจารย์มีวัตถุมงคลแจกหรือเปล่าครับ ?
- วัตถุมงคลก็มีแจกกันบ้าง เพราะลูกศิษย์ของอาตมาเขาทำแล้วก็เอามาถวาย อาตมาก็จะแจกให้กับญาติโยมที่มาทำบุญที่วัด ตอนนี้อาตมาก็บอกให้ลูกศิษย์หยุดทำวัตถุมงคลได้แล้ว อาตมาอยากให้ญาติโยมสนใจอ่านหนังสือธรรมะมากกว่า เพราะธรรมะจะมีความสำคัญกว่าวัตถุมงคล อาตมาเห็นหลายคนยังนิยมวัตถุมงคลมากกว่าธรรมะ เป็นเพราะพวกเขาไม่ได้ศึกษาธรรมะ ไม่ได้ปฏิบัติกันนั่นเอง พวกเขาจึงยังเห็นว่าวัตถุมงคลสำคัญกว่าธรรมะ ถ้าใครได้ปฏิบัติธรรมแล้ว เขาก็จะไม่เอาวัตถุมงคล แต่วัตถุมงคลก็ดี เป็นส่วนหนึ่งของการให้กำลังใจ ยึดเหนี่ยวจิตใจ
- คนที่แขวนพระเครื่องแล้วไม่ปฏิบัติธรรมจะเป็นอย่างไร ?
- พวกโยมเห็นนักโทษที่มีอยู่มากมายในบ้านเราไหม พวกเขาแขวนพระเครื่องกันมาก แต่ไม่มีใครปฏิบัติตนให้อยู่ในธรรม เมื่อไปทำอะไรที่ไม่ดี พระท่านก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ เพราะคนเหล่านี้ไม่ได้ปฏิบัตินั่นเอง และอาตมาอยากย้ำว่า ถ้าเรารักษาตนด้วยธรรมะได้ ก็ไม่จำเป็นต้องแขวนพระ ดูสิอาตมาเองยังไม่แขวนพระสักองค์ (หัวเราะด้วยรอยยิ้ม)
- ที่ว่าขลังและยิงไม่เข้า ตรงนี้เกิดจากอะไรครับ ?
- ถามอาตมาแบบนี้ ไอ้ที่ว่านี่มันก็เกิดจากพลังจิต พระคาถาที่มีพระเกจิอาจารย์ทำการปลุกเสกลงไป ความขลังไม่ขลังจึงเกิดจากพระเกจิอาจารย์ได้ทำการอธิษฐานประกอบเข้าไป เขาถึงได้เรียกกันว่าสมาธิพลังจิตอย่างหนึ่ง ใครที่นำเอาวัตถุมงคลนี้ไปใช้ไม่ดีก็เป็นบาป ใครเอาไปใช้ในทางที่ดีก็เป็นประโยชน์
- ทำอย่างไรถึงมีความสุขครับ ?
- สุขเกิดด้วยการไม่เป็นหนี้ใคร การไม่เป็นหนี้สินใครจะทำให้อยู่เป็นสุขสบาย แต่เราต้องรู้จักจับจ่ายเงินทองได้พอดีกับฐานะของตน จึงไม่เป็นหนี้ใคร เมื่อเห็นคนเดินเข้ามาหาเรา เราก็ไม่หวั่นไหวอะไร ว่าเขาจะมาทวงถามหนี้จากเรา เมื่อเราไม่เป็นหนี้ใคร เราก็อยู่อย่างมีความสุข
ที่มา :http://www.komchadluek.net/
ซุปหนึ่งชาม....ขอแค่เราทุกคน คิดดี
นานมาแล้ว มีครอบครัวหนึ่งอยู่ด้วยกัน 4 คน พ่อ แม่ ลูกชาย และลูกสะใภ้ ครอบครัวนี้
รักใคร่ปรองดองกันมาก สมาชิกในครอบครัวต่างเคารพยกย่อง และดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน
ต่อมาวันหนึ่ง ผู้เป็นแม่ล้มป่วยลง ลูกชายจึงนำเงินจำนวนมากไปซื้อโสมอย่างดีมาหนึ่งต้น
ซื้อไก่อีกหนึ่งตัว เพื่อให้ภรรยาของเขาตุ๋นเป็นยาบำรุงให้แม่ เมื่อลูกสะใภ้ตุ๋นซุปโสมชามใหญ่
เสร็จ ก็ยกเข้าไปในห้องนอนของแม่สามี แต่ปรากฏว่า แม่นอนหลับเสียแล้ว ลูกสะใภ้ไม่อยาก
รบกวน จึงวางชามซุปนั้นไว้บนโต๊ะ แล้วเดินออกไปให้อาหารไก่ที่หลังบ้าน เวลานั้น สุนัขเฝ้า
บ้านตัวใหญ่ได้หลุดเข้ามาในห้อง มันได้กลิ่นหอมชวนกินของซุปชามนั้น จึงจัดการเสียหมดเกลี้ยง
เหตุการณ์ต่อไปจะเป็นอย่างไร ท่านผู้อ่านทดลองจินตนาการต่อ ท่านลองหลับตานึกภาพว่า
จะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าสุนัขเฝ้าบ้านตัวใหญ่ จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแม่ตื่นขึ้นมา จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อพ่อ
และสามีรู้ว่าแม่ไม่ได้ทานซุปชามนั้น แล้วลูกสะใภ้จะทำอย่างไร
เล่าต่อนะ ลองตามมาดูว่า ที่ท่านคิดเมื่อสักครู่จะเป็นแบบนิทานเรื่องนี้หรือไม่
เมื่อลูกสะใภ้ให้อาหารไก่เสร็จ กลับเข้ามาในห้อง เห็นซุปยาบำรุงราคาแพงถูกสุนัขขโมย
กินจนหมดเกลี้ยง ก็ร้องไห้โฮออกมา พลางตำหนิตัวเองว่า “เป็นความผิดของข้าเองที่
ไม่ได้ระวัง ปล่อยให้เจ้าหมาตัวนั้นหลุดเข้ามาในห้องนี้ได้”
ผู้เป็นแม่ตื่นขึ้นมาเห็นลูกสะใภ้นั่งร้องไห้ ก็ถามลูกสะใภ้จนเข้าใจเรื่องทั้งหมด ก่อนจะปลอบว่า
“เจ้าอย่าตำหนิตัวเองเลย เรื่องนี้ว่าไปแล้วก็ต้องโทษแม่จึงจะถูก มัวแต่นอนหลับอุตุ หมาเข้า
มาในห้องก็ยังไม่รู้เรื่อง”
ส่วนผู้เป็นพ่อ เมื่อทราบเรื่องก็กล่าวว่า “ที่จริง เรื่องนี้ข้าเองก็ผิดเหมือนกัน ทั้งๆ ที่เห็นลูก
สะใภ้ออกไปให้อาหารไก่ แทนที่จะเข้ามาดูแลเจ้าแทนลูกสะใภ้ กลับมัวแต่ทำงานของตัวเอง”
ขณะนั้นลูกชายกลับถึงบ้าน พอรู้เรื่องก็ปลอบทุกคนว่า “ท่านพ่อท่านแม่อย่าได้กล่าวโทษ
ตัวเองกันเลย เรื่องนี้ควรโทษข้ามากกว่า ความจริง ถ้าข้าเอาเจ้าหมาไปล่าสัตว์ด้วยตั้งแต่เช้า
เรื่องนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น”
เป็นอย่างไรบ้าง จินตนาการของท่านผู้อ่านว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตรงกับตอนท้ายของนิทานหรือไม่
อ่านถึงตอนนี้ ท่านผู้อ่านบางท่านอาจคิดต่อว่าในใจว่า อะไรจะดีปานนี้ ไม่มีหรอกในชีวิตจริง
ใช่แล้วไม่มีแน่ มันไม่เกิดแน่ เพราะเริ่มต้นก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้ มันก็จะเป็นไปไม่ได้ตามที่
เราคิดแบบ Negative Approach ดังนั้นแล้ว จึงเป็นการยากที่จะได้พรจากยักษ์ในตะเกียงวิเศษ
ในโลกแห่งความเป็นจริง พรจากยักษ์ในตะเกียงวิเศษไม่มีหรอก แต่เราเองที่บันดาลได้
ช่วงที่ลูกหัดเล่นบาสเกตบอลใหม่ๆ ผมซึ่งไม่มีความชำนาญทางบาสเกตบอลเลย ผมสอน
เทคนิคหรือแทคติกต่างๆ ให้ลูกไม่ได้ แต่ผมสอนให้ลูกฝึกคิดด้านดีได้ โดยบอกให้ฝึกที่จิต
และความคิดก่อน Positive Approach คิดว่าเราต้องชู้ตลงแน่ แทนที่จะคิดว่าชู้ตไม่ลง เมื่อ
คิดว่าชู้ตลง ก็จะเกิดพลัง เกิดความมั่นใจ เกิดสมาธิ ความตั้งใจ เกิดความอยากชู้ตบ่อยๆ
อยากฝึกฝน ให้นึกถึงความสำเร็จที่อยู่ข้างหน้า เหลือเชื่อจริงๆ เพราะมันได้ผล!!
ลูกบอกกับผมว่า ก่อนที่จะได้รับคำแนะนำนี้ ลูกมักจะคิดว่ารุ่นพี่ที่โรงเรียนเก่งกว่า ทำได้ดีกว่า
เราไม่มีทางเก่งเท่ารุ่นพี่เลย ความไม่มั่นใจเกิดขึ้น ความกังวลใจเกิดขึ้นทันที สมาธิขาดหาย
ความตั้งใจก็น้อยลง เมื่อพลาดก็ไม่อยากจะชู้ตอีก แต่วันนี้ลูกทำสถิติชู้ตลงได้ 5 ลูกติดต่อกัน
และมีกำลังใจที่จะฝึกฝนต่อให้ได้ถึง 10 ลูกติดต่อกัน
องค์กรต่างๆ ก็เช่นกัน ตัวอย่างที่พบเห็นอยู่บ่อยๆ ทั่วไป เช่น เมื่อใดก็ตาม ที่มีพนักงานใหม่
เข้ามาร่วมงาน มักจะถูกมองกันก่อนว่า มาจากไหน เก่งแค่ไหน จะอยู่กันนานไหม มีใจรักองค์กร
หรือเปล่า ตลอดจนมีการทดสอบลองของกัน มองกันแม้กระทั่งว่า เดี๋ยวเขาก็ไป อยู่ไม่ทนหรอก
ความคิด Negative Approach แบบนี้ได้ผลครับ ไม่ช้าคนที่มาใหม่ลาออกแน่นอน เพราะได้
รับการปฏิบัติไปในแบบลบๆ จนทนอยู่ไม่ไหวและที่คาดไว้ตั้งแต่ต้นก็ไม่ผิด
ในทางกลับกัน Positive Approach หากมองว่า ดีจังได้คนเก่งๆ มีประสบการณ์ มาร่วมงาน
ต่อไปต้องดีขึ้นแน่ แค่คิดก็สำเร็จไปครึ่งทางแล้วครับ เพราะคนใหม่นั้นจะได้รับความร่วมมือ
ได้รับความช่วยเหลือ ได้รับการสนับสนุน ทำให้เกิดบรรยากาศที่ดี มีความสุข มีพลังให้แก่กัน
และกัน คนใหม่ก็จะเริ่มรักองค์กร และมีกำลังใจที่จะสร้างผลงานให้ต่อเนื่องร่วมกัน และจะไม่
คิดลาออก แต่กลับจะชวนคนดีๆ เก่งๆ มาอยู่ร่วมกันมากยิ่งขึ้น เห็นไหมครับ คิดอย่างไร ได้อย่างนั้น
สังคมของเรา ผู้คนยังลังเลในแนวคิดทั้งสองด้าน (+ and - Approach) ตัวอย่างใกล้ตัวเลยครับ
ลองนึกภาพเวลาที่ท่านอยู่ในรถ ติดไฟแดงตามสี่แยก และมีเด็กขายพวงมาลัย ขายลอตเตอรี่
มาเช็ดกระจกหรือมาขอทานยืนพนมมือตาละห้อยแนบนิ่งข้างกระจกของท่าน ท่านจะทำเป็นไม่มอง
มองไม่เห็น แต่คิดรำคาญใจ ทำไมทางรัฐไม่มาจัดการกับคนพวกนี้ ยิ่งช่วยซื้อหรือให้สตางค์ ยิ่ง
เป็นการส่งเสริม เคยตัว เคยชินกับอาชีพง่ายๆ หรือจะเป็นพวกแก๊งจับเด็กมาทำแบบนี้ ถ้าให้ไป
ก็เป็นการส่งเสริมให้ทำเรื่องชั่วร้ายกันไปใหญ่
ครั้นจะไม่ช่วยซื้อ ก็สงสาร รู้สึกว่าตัวเองใจดำ เขาอาจจะลำบากมากจริงๆ พ่อแม่ไม่มีหรือไม่มี
โอกาสได้เข้า โรงเรียน ไม่ได้เกี่ยวกับพวกแก๊งอะไรทั้งสิ้น จึงต้องมาทำเช่นนี้ คิดเสร็จไฟเขียวพอดี
สุดท้ายไม่ได้ช่วยเหลือซักที ไปอีกสี่แยกหนึ่ง ความคิดสับสนกลับไปกลับมาเช่นนี้ก็ยังคงอยู่ และ
ก็ไม่ได้ช่วยเหลืออีกเช่นเคย
การคิดดี Positive Approach เป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง เป็นพลังอันน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก เป็นกำลังใจ
เป็นความมั่นใจ เป็นการสนับสนุนให้กันและกัน ให้ทั้งความสุขต่อตนเอง ต่อคนใกล้ตัว คนใน
ครอบครัว ในองค์กร ในสังคม ตลอดจนในประเทศของเรา
ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมทุกวันนี้ อยู่ที่พวกเราทุกคนที่จะต้องรับผิดชอบร่วมกัน ไม่มียักษ์ตนใดจะมาให้พรวิเศษ 3 ประการหรอก ขอแค่เราทุกคน คิดดี พรกี่สิบกี่ร้อยประการที่เราอยากได้ก็เป็นไปได้เสมอ
รักใคร่ปรองดองกันมาก สมาชิกในครอบครัวต่างเคารพยกย่อง และดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน
ต่อมาวันหนึ่ง ผู้เป็นแม่ล้มป่วยลง ลูกชายจึงนำเงินจำนวนมากไปซื้อโสมอย่างดีมาหนึ่งต้น
ซื้อไก่อีกหนึ่งตัว เพื่อให้ภรรยาของเขาตุ๋นเป็นยาบำรุงให้แม่ เมื่อลูกสะใภ้ตุ๋นซุปโสมชามใหญ่
เสร็จ ก็ยกเข้าไปในห้องนอนของแม่สามี แต่ปรากฏว่า แม่นอนหลับเสียแล้ว ลูกสะใภ้ไม่อยาก
รบกวน จึงวางชามซุปนั้นไว้บนโต๊ะ แล้วเดินออกไปให้อาหารไก่ที่หลังบ้าน เวลานั้น สุนัขเฝ้า
บ้านตัวใหญ่ได้หลุดเข้ามาในห้อง มันได้กลิ่นหอมชวนกินของซุปชามนั้น จึงจัดการเสียหมดเกลี้ยง
เหตุการณ์ต่อไปจะเป็นอย่างไร ท่านผู้อ่านทดลองจินตนาการต่อ ท่านลองหลับตานึกภาพว่า
จะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าสุนัขเฝ้าบ้านตัวใหญ่ จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแม่ตื่นขึ้นมา จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อพ่อ
และสามีรู้ว่าแม่ไม่ได้ทานซุปชามนั้น แล้วลูกสะใภ้จะทำอย่างไร
เล่าต่อนะ ลองตามมาดูว่า ที่ท่านคิดเมื่อสักครู่จะเป็นแบบนิทานเรื่องนี้หรือไม่
เมื่อลูกสะใภ้ให้อาหารไก่เสร็จ กลับเข้ามาในห้อง เห็นซุปยาบำรุงราคาแพงถูกสุนัขขโมย
กินจนหมดเกลี้ยง ก็ร้องไห้โฮออกมา พลางตำหนิตัวเองว่า “เป็นความผิดของข้าเองที่
ไม่ได้ระวัง ปล่อยให้เจ้าหมาตัวนั้นหลุดเข้ามาในห้องนี้ได้”
ผู้เป็นแม่ตื่นขึ้นมาเห็นลูกสะใภ้นั่งร้องไห้ ก็ถามลูกสะใภ้จนเข้าใจเรื่องทั้งหมด ก่อนจะปลอบว่า
“เจ้าอย่าตำหนิตัวเองเลย เรื่องนี้ว่าไปแล้วก็ต้องโทษแม่จึงจะถูก มัวแต่นอนหลับอุตุ หมาเข้า
มาในห้องก็ยังไม่รู้เรื่อง”
ส่วนผู้เป็นพ่อ เมื่อทราบเรื่องก็กล่าวว่า “ที่จริง เรื่องนี้ข้าเองก็ผิดเหมือนกัน ทั้งๆ ที่เห็นลูก
สะใภ้ออกไปให้อาหารไก่ แทนที่จะเข้ามาดูแลเจ้าแทนลูกสะใภ้ กลับมัวแต่ทำงานของตัวเอง”
ขณะนั้นลูกชายกลับถึงบ้าน พอรู้เรื่องก็ปลอบทุกคนว่า “ท่านพ่อท่านแม่อย่าได้กล่าวโทษ
ตัวเองกันเลย เรื่องนี้ควรโทษข้ามากกว่า ความจริง ถ้าข้าเอาเจ้าหมาไปล่าสัตว์ด้วยตั้งแต่เช้า
เรื่องนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น”
เป็นอย่างไรบ้าง จินตนาการของท่านผู้อ่านว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตรงกับตอนท้ายของนิทานหรือไม่
อ่านถึงตอนนี้ ท่านผู้อ่านบางท่านอาจคิดต่อว่าในใจว่า อะไรจะดีปานนี้ ไม่มีหรอกในชีวิตจริง
ใช่แล้วไม่มีแน่ มันไม่เกิดแน่ เพราะเริ่มต้นก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้ มันก็จะเป็นไปไม่ได้ตามที่
เราคิดแบบ Negative Approach ดังนั้นแล้ว จึงเป็นการยากที่จะได้พรจากยักษ์ในตะเกียงวิเศษ
ในโลกแห่งความเป็นจริง พรจากยักษ์ในตะเกียงวิเศษไม่มีหรอก แต่เราเองที่บันดาลได้
ช่วงที่ลูกหัดเล่นบาสเกตบอลใหม่ๆ ผมซึ่งไม่มีความชำนาญทางบาสเกตบอลเลย ผมสอน
เทคนิคหรือแทคติกต่างๆ ให้ลูกไม่ได้ แต่ผมสอนให้ลูกฝึกคิดด้านดีได้ โดยบอกให้ฝึกที่จิต
และความคิดก่อน Positive Approach คิดว่าเราต้องชู้ตลงแน่ แทนที่จะคิดว่าชู้ตไม่ลง เมื่อ
คิดว่าชู้ตลง ก็จะเกิดพลัง เกิดความมั่นใจ เกิดสมาธิ ความตั้งใจ เกิดความอยากชู้ตบ่อยๆ
อยากฝึกฝน ให้นึกถึงความสำเร็จที่อยู่ข้างหน้า เหลือเชื่อจริงๆ เพราะมันได้ผล!!
ลูกบอกกับผมว่า ก่อนที่จะได้รับคำแนะนำนี้ ลูกมักจะคิดว่ารุ่นพี่ที่โรงเรียนเก่งกว่า ทำได้ดีกว่า
เราไม่มีทางเก่งเท่ารุ่นพี่เลย ความไม่มั่นใจเกิดขึ้น ความกังวลใจเกิดขึ้นทันที สมาธิขาดหาย
ความตั้งใจก็น้อยลง เมื่อพลาดก็ไม่อยากจะชู้ตอีก แต่วันนี้ลูกทำสถิติชู้ตลงได้ 5 ลูกติดต่อกัน
และมีกำลังใจที่จะฝึกฝนต่อให้ได้ถึง 10 ลูกติดต่อกัน
องค์กรต่างๆ ก็เช่นกัน ตัวอย่างที่พบเห็นอยู่บ่อยๆ ทั่วไป เช่น เมื่อใดก็ตาม ที่มีพนักงานใหม่
เข้ามาร่วมงาน มักจะถูกมองกันก่อนว่า มาจากไหน เก่งแค่ไหน จะอยู่กันนานไหม มีใจรักองค์กร
หรือเปล่า ตลอดจนมีการทดสอบลองของกัน มองกันแม้กระทั่งว่า เดี๋ยวเขาก็ไป อยู่ไม่ทนหรอก
ความคิด Negative Approach แบบนี้ได้ผลครับ ไม่ช้าคนที่มาใหม่ลาออกแน่นอน เพราะได้
รับการปฏิบัติไปในแบบลบๆ จนทนอยู่ไม่ไหวและที่คาดไว้ตั้งแต่ต้นก็ไม่ผิด
ในทางกลับกัน Positive Approach หากมองว่า ดีจังได้คนเก่งๆ มีประสบการณ์ มาร่วมงาน
ต่อไปต้องดีขึ้นแน่ แค่คิดก็สำเร็จไปครึ่งทางแล้วครับ เพราะคนใหม่นั้นจะได้รับความร่วมมือ
ได้รับความช่วยเหลือ ได้รับการสนับสนุน ทำให้เกิดบรรยากาศที่ดี มีความสุข มีพลังให้แก่กัน
และกัน คนใหม่ก็จะเริ่มรักองค์กร และมีกำลังใจที่จะสร้างผลงานให้ต่อเนื่องร่วมกัน และจะไม่
คิดลาออก แต่กลับจะชวนคนดีๆ เก่งๆ มาอยู่ร่วมกันมากยิ่งขึ้น เห็นไหมครับ คิดอย่างไร ได้อย่างนั้น
สังคมของเรา ผู้คนยังลังเลในแนวคิดทั้งสองด้าน (+ and - Approach) ตัวอย่างใกล้ตัวเลยครับ
ลองนึกภาพเวลาที่ท่านอยู่ในรถ ติดไฟแดงตามสี่แยก และมีเด็กขายพวงมาลัย ขายลอตเตอรี่
มาเช็ดกระจกหรือมาขอทานยืนพนมมือตาละห้อยแนบนิ่งข้างกระจกของท่าน ท่านจะทำเป็นไม่มอง
มองไม่เห็น แต่คิดรำคาญใจ ทำไมทางรัฐไม่มาจัดการกับคนพวกนี้ ยิ่งช่วยซื้อหรือให้สตางค์ ยิ่ง
เป็นการส่งเสริม เคยตัว เคยชินกับอาชีพง่ายๆ หรือจะเป็นพวกแก๊งจับเด็กมาทำแบบนี้ ถ้าให้ไป
ก็เป็นการส่งเสริมให้ทำเรื่องชั่วร้ายกันไปใหญ่
ครั้นจะไม่ช่วยซื้อ ก็สงสาร รู้สึกว่าตัวเองใจดำ เขาอาจจะลำบากมากจริงๆ พ่อแม่ไม่มีหรือไม่มี
โอกาสได้เข้า โรงเรียน ไม่ได้เกี่ยวกับพวกแก๊งอะไรทั้งสิ้น จึงต้องมาทำเช่นนี้ คิดเสร็จไฟเขียวพอดี
สุดท้ายไม่ได้ช่วยเหลือซักที ไปอีกสี่แยกหนึ่ง ความคิดสับสนกลับไปกลับมาเช่นนี้ก็ยังคงอยู่ และ
ก็ไม่ได้ช่วยเหลืออีกเช่นเคย
การคิดดี Positive Approach เป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง เป็นพลังอันน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก เป็นกำลังใจ
เป็นความมั่นใจ เป็นการสนับสนุนให้กันและกัน ให้ทั้งความสุขต่อตนเอง ต่อคนใกล้ตัว คนใน
ครอบครัว ในองค์กร ในสังคม ตลอดจนในประเทศของเรา
ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมทุกวันนี้ อยู่ที่พวกเราทุกคนที่จะต้องรับผิดชอบร่วมกัน ไม่มียักษ์ตนใดจะมาให้พรวิเศษ 3 ประการหรอก ขอแค่เราทุกคน คิดดี พรกี่สิบกี่ร้อยประการที่เราอยากได้ก็เป็นไปได้เสมอ
คติเตือนใจ ดีมาก ๆ (หามาฝาก จาก Fw mail)
1. นึกว่าเสมอว่าการโกรธ 1 นาที จะทำให้ความทุกข์อยู่กับเธอ 3 ชั่วโมง
2. ถ้ายิ้มให้กับคนที่อยู่ในกระจก รับรองว่าเค้าต้องยิ้มตอบกลับมาทุกครั้งแน่!
3. หลับตานิ่งๆ ซัก 3 นาที เมื่อรู้สึกว่าอะไรตรงหน้ามันช่างยากจัง
4. ระหว่างแปรงฟันถ้าฮัมเพลงด้วยไปจนจบจะทำให้ฟันสะอาดขึ้น 2 เท่าแน่ะ
5. เคี้ยวข้าวแต่ละคำให้ช้าลง จากที่รสชาติธรรมดาก็จะอร่อยขึ้นเยอะ
6. ควรหัดพูดคำว่า “ไม่เป็นไร” ให้เคยปากมากกว่าการพูดคำว่า “จะเอายังไง”
7. สัตว์เลี้ยงที่บ้านเก็บความลับเก่ง เรื่องที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้จึงเล่าให้มันฟังได้
8. อาหารที่ไม่ชอบกินตอนเด็ก ลองตักเข้าปากอีกที เผื่อจะกลายเป็นอาหารจานโปรด
9. เขียนชื่อคนที่เธอเกลียดใส่กระดาษแล้วฉีกทิ้งความเกลียดจะเบาบางลงเรื่อยๆ
10. ให้ปล่อยน้ำตาไหลโดยไม่ต้องเช็ด เมื่อน้ำตาแห้ง จะดูไม่ออกว่าเพิ่งร้องไห้มา
11. ก่อนจะซื้ออะไรก็ตาม ต้องคิดหาประโยชน์ของมันให้ได้อย่างน้อย 3 ข้อก่อน
12. ถึงเสื้อกางเกงในตู้จะมีอยู่น้อย แต่ถ้าสลับกันไปเรื่อยๆก็ดูเหมือนจะเยอะขึ้น
13. เลือกให้ของขวัญคนที่ไม่เคยได้ ดีกว่าคนได้เยอะจนจำชื่อคนให้ไม่หมด
14. ในวันที่รู้สึกเศร้าๆ เหงาๆ เดินไปซื้อดอกไม้ให้ตัวเองซักดอกแล้วจะดีขึ้น
15. แอบรักใครซักคน ยังไงก็ดีกว่าไม่เคยรู้ว่าความรู้สึก “รัก” เป็นยังไง
16. ถึงจะไม่ได้ออกไปไหน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าแต่งตัวสวยๆ หล่อๆ ไม่ได้นี่
17. พยายามอ่านหนังสือทุกชนิดในมือให้จบเล่มอาจไม่สนุกแต่มีประโยชน์แฝงอยู่
18. วันที่ตื่นเช้าๆ ให้บิดขี้เกียจนานที่สุดเท่าที่จะทำนานได้ ถ้าขี้เกียจออกกำลังกายน่ะ
19. รู้รึเปล่าว่าดอกไม้ที่บานอยู่กับต้น ยังไงก็อยู่ได้นานกว่าบานในแจกัน
20. ทะเลาะกับใครๆ พร้อมรอยยิ้ม เรื่องราวจะจบง่ายกว่าที่คิดเยอะ
21. เอารูปตัวเองตอนเด็กๆ มาดูตอนเครียดอารมณ์จะดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
22. พยายามหาข้อบกพร่องของคนที่เธออิจฉาอย่างน้อยก็มีข้อปลอบใจตัวเองบ้าง!
23. โทรไปหาแฟนแล้วพูดแคคำเดียวว่า “คิดถึง” พอวางสายแล้วต้องยิ้มทั้งคู่
24. ในวงสนทนาถ้ายังนึกไม่ออกว่าจะคุยอะไรรอยยิ้มช่วยแก้สถานการณ์ได้
25. ค่อยๆ เดินทอดน่องแบบสบายๆ ในวันที่ไม่มีธุระให้ต้องไปสะสาง
26. ซื้อของฝากทุกคนในบ้าน ก็เหมือนกับการซื้อของฝากตัวเองนั่นแหละ
27. จะหน้าตายังไงก็แล้วแต่ ถ้าทิ้งขยะลงพื้นก็กลายเป็นขี้เหร่ได้ทันตาเห็น
28. นั่งสมาธิให้นานๆ และบ่อยๆ ก็ทำให้ผิวสวยขึ้นได้เหมือนกัน
29. นอกจากตอนที่เคี้ยวข้าวแล้ว ไม่ว่าก่อนหรือหลังกินก็หัวเราะได้อร่อย
30. จินตนาการถึงเรื่องที่อยากมีหรืออยากเป็นคือยานอนหลับอย่างหนึ่ง
31. อ่านหนังสือหรือการ์ตูนโปรดเป็นการเติมน้ำมันให้ตัวเองอย่างดี
32. ยังไม่มีใครเคยแย้งว่า การอาบน้ำไม่สามารถคลายเครียดได้จริงๆ
33. ก่อนจะด่าใครให้นับ 1 ถึง 50 เผลอๆ อาจจะไม่อยากด่าแล้วก็ได้
34. ไม่ต้องทำยังไงกับเพื่อนที่หักหลังก็แค่อย่าเรียกเค้าว่าเพื่อนก็พอแล้ว
35. รักครั้งแรกส่วนใหญ่ก็อกหักทั้งนั้น น่าจะดีใจที่ไม่แปลกกว่าชาวบ้านเค้า
36. การที่ทำของหายอาจเป็นการใช้หนี้ของชาติที่แล้วให้คนอื่นที่เก็บมันได้
37. ถึงจะไม่มีเงินอยู่ในกระเป๋าซักบาท ยังดีกว่าไม่มีเสื้อผ้าให้ใส่ตั้งเยอะ
38. หนี้ที่โดนเบี้ยวไป ทำให้เรารู้จักใครบางคนดีขึ้นโดยไม่ต้องใช้เวลามาก
39. คนอื่นไม่เข้าใจเราไม่เห็นแปลก ในเมื่อเราก็ไม่เข้าใจคนอื่นเหมือนกัน
40. ไม่ต้องช่วยใครๆ ด่าตัวเอง ถ้าสิ่งที่ทำไปแน่ใจว่าพยายามเต็มที่แล้ว
41. วิ่งให้เหนื่อยมากๆ ความโกธรจะได้ถูกขับออกมาพร้อมกับเหงื่อ
42. ถ้ากลัวจะนอนฝันร้าย สวดมนต์ก่อนนอนเหมือนตอนเด็กๆ ดูสิ
43. ของฝากสำหรับคนห่างไกล คือการโผล่ไปเซอร์ไพรส์ด้วยตัวเอง
44. เพลงจังหวะมันๆ ทำให้คนฟังกระปรี้กระเปร่าได้โดยอัตโนมัติ
45. อย่าเดาว่าอะไรอยู่ในกล่องของขวัญ แล้วจะไม่รู้จักคำว่าผิดหวัง
2. ถ้ายิ้มให้กับคนที่อยู่ในกระจก รับรองว่าเค้าต้องยิ้มตอบกลับมาทุกครั้งแน่!
3. หลับตานิ่งๆ ซัก 3 นาที เมื่อรู้สึกว่าอะไรตรงหน้ามันช่างยากจัง
4. ระหว่างแปรงฟันถ้าฮัมเพลงด้วยไปจนจบจะทำให้ฟันสะอาดขึ้น 2 เท่าแน่ะ
5. เคี้ยวข้าวแต่ละคำให้ช้าลง จากที่รสชาติธรรมดาก็จะอร่อยขึ้นเยอะ
6. ควรหัดพูดคำว่า “ไม่เป็นไร” ให้เคยปากมากกว่าการพูดคำว่า “จะเอายังไง”
7. สัตว์เลี้ยงที่บ้านเก็บความลับเก่ง เรื่องที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้จึงเล่าให้มันฟังได้
8. อาหารที่ไม่ชอบกินตอนเด็ก ลองตักเข้าปากอีกที เผื่อจะกลายเป็นอาหารจานโปรด
9. เขียนชื่อคนที่เธอเกลียดใส่กระดาษแล้วฉีกทิ้งความเกลียดจะเบาบางลงเรื่อยๆ
10. ให้ปล่อยน้ำตาไหลโดยไม่ต้องเช็ด เมื่อน้ำตาแห้ง จะดูไม่ออกว่าเพิ่งร้องไห้มา
11. ก่อนจะซื้ออะไรก็ตาม ต้องคิดหาประโยชน์ของมันให้ได้อย่างน้อย 3 ข้อก่อน
12. ถึงเสื้อกางเกงในตู้จะมีอยู่น้อย แต่ถ้าสลับกันไปเรื่อยๆก็ดูเหมือนจะเยอะขึ้น
13. เลือกให้ของขวัญคนที่ไม่เคยได้ ดีกว่าคนได้เยอะจนจำชื่อคนให้ไม่หมด
14. ในวันที่รู้สึกเศร้าๆ เหงาๆ เดินไปซื้อดอกไม้ให้ตัวเองซักดอกแล้วจะดีขึ้น
15. แอบรักใครซักคน ยังไงก็ดีกว่าไม่เคยรู้ว่าความรู้สึก “รัก” เป็นยังไง
16. ถึงจะไม่ได้ออกไปไหน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าแต่งตัวสวยๆ หล่อๆ ไม่ได้นี่
17. พยายามอ่านหนังสือทุกชนิดในมือให้จบเล่มอาจไม่สนุกแต่มีประโยชน์แฝงอยู่
18. วันที่ตื่นเช้าๆ ให้บิดขี้เกียจนานที่สุดเท่าที่จะทำนานได้ ถ้าขี้เกียจออกกำลังกายน่ะ
19. รู้รึเปล่าว่าดอกไม้ที่บานอยู่กับต้น ยังไงก็อยู่ได้นานกว่าบานในแจกัน
20. ทะเลาะกับใครๆ พร้อมรอยยิ้ม เรื่องราวจะจบง่ายกว่าที่คิดเยอะ
21. เอารูปตัวเองตอนเด็กๆ มาดูตอนเครียดอารมณ์จะดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
22. พยายามหาข้อบกพร่องของคนที่เธออิจฉาอย่างน้อยก็มีข้อปลอบใจตัวเองบ้าง!
23. โทรไปหาแฟนแล้วพูดแคคำเดียวว่า “คิดถึง” พอวางสายแล้วต้องยิ้มทั้งคู่
24. ในวงสนทนาถ้ายังนึกไม่ออกว่าจะคุยอะไรรอยยิ้มช่วยแก้สถานการณ์ได้
25. ค่อยๆ เดินทอดน่องแบบสบายๆ ในวันที่ไม่มีธุระให้ต้องไปสะสาง
26. ซื้อของฝากทุกคนในบ้าน ก็เหมือนกับการซื้อของฝากตัวเองนั่นแหละ
27. จะหน้าตายังไงก็แล้วแต่ ถ้าทิ้งขยะลงพื้นก็กลายเป็นขี้เหร่ได้ทันตาเห็น
28. นั่งสมาธิให้นานๆ และบ่อยๆ ก็ทำให้ผิวสวยขึ้นได้เหมือนกัน
29. นอกจากตอนที่เคี้ยวข้าวแล้ว ไม่ว่าก่อนหรือหลังกินก็หัวเราะได้อร่อย
30. จินตนาการถึงเรื่องที่อยากมีหรืออยากเป็นคือยานอนหลับอย่างหนึ่ง
31. อ่านหนังสือหรือการ์ตูนโปรดเป็นการเติมน้ำมันให้ตัวเองอย่างดี
32. ยังไม่มีใครเคยแย้งว่า การอาบน้ำไม่สามารถคลายเครียดได้จริงๆ
33. ก่อนจะด่าใครให้นับ 1 ถึง 50 เผลอๆ อาจจะไม่อยากด่าแล้วก็ได้
34. ไม่ต้องทำยังไงกับเพื่อนที่หักหลังก็แค่อย่าเรียกเค้าว่าเพื่อนก็พอแล้ว
35. รักครั้งแรกส่วนใหญ่ก็อกหักทั้งนั้น น่าจะดีใจที่ไม่แปลกกว่าชาวบ้านเค้า
36. การที่ทำของหายอาจเป็นการใช้หนี้ของชาติที่แล้วให้คนอื่นที่เก็บมันได้
37. ถึงจะไม่มีเงินอยู่ในกระเป๋าซักบาท ยังดีกว่าไม่มีเสื้อผ้าให้ใส่ตั้งเยอะ
38. หนี้ที่โดนเบี้ยวไป ทำให้เรารู้จักใครบางคนดีขึ้นโดยไม่ต้องใช้เวลามาก
39. คนอื่นไม่เข้าใจเราไม่เห็นแปลก ในเมื่อเราก็ไม่เข้าใจคนอื่นเหมือนกัน
40. ไม่ต้องช่วยใครๆ ด่าตัวเอง ถ้าสิ่งที่ทำไปแน่ใจว่าพยายามเต็มที่แล้ว
41. วิ่งให้เหนื่อยมากๆ ความโกธรจะได้ถูกขับออกมาพร้อมกับเหงื่อ
42. ถ้ากลัวจะนอนฝันร้าย สวดมนต์ก่อนนอนเหมือนตอนเด็กๆ ดูสิ
43. ของฝากสำหรับคนห่างไกล คือการโผล่ไปเซอร์ไพรส์ด้วยตัวเอง
44. เพลงจังหวะมันๆ ทำให้คนฟังกระปรี้กระเปร่าได้โดยอัตโนมัติ
45. อย่าเดาว่าอะไรอยู่ในกล่องของขวัญ แล้วจะไม่รู้จักคำว่าผิดหวัง
สิ่งที่เป็นสาระ กับสิ่งที่ไม่เป็นสาระ
............................................................
มนุษย์ส่วนใหญ่มักจะแสวงหาสิ่งที่ไร้สาระ
ซึ่งไม่สามารถนำติดตัวไปเป็นประโยชน์ในภพเบื้องหน้า
แต่สิ่งที่เป็นสาระของชีวิตที่นำติดตัวไปได้ กลับไม่ให้ความสำคัญ
ทั้งนี้เนื่องจากความรู้ยังไม่สมบูรณ์
แม้บางคนรู้แต่ก็ไม่ได้ลงมือทำอย่างจริงจัง
เพราะฉะนั้น ผู้มีปัญญาจะต้องให้ความสำคัญ
กับการปฏิบัติธรรมให้มาก ๆ
เพราะสิ่งนี้คือสาระที่แท้จริงของชีวิต
ที่จะทำให้ได้เข้าถึงสิ่งที่มีอยู่จริงภายใน
การปฏิบัติธรรม
คือ กรณียกิจที่แท้จริงของการเกิดมาเป็นมนุษย์
เป็นสิ่งที่จะทำให้ได้บรรลุเป้าหมายของชีวิต
เป็นงานที่ทำให้เราได้รู้จักตัวเองและแผนผังชีวิตของเรา
ดังนั้น การปฏิบัติธรรมเราควรทำทุกวัน อย่าให้ขาด
และทำควบคู่กันไปกับการทำมาหากินหรือในภารกิจต่าง ๆ
ให้ภารกิจกับจิตใจไปด้วยกัน เศรษฐกิจต้องคู่ไปกับจิตใจ
เราแสวงหาทรัพย์มาเพื่อเอาไว้หล่อเลี้ยงสังขาร
และนำมาสร้างบารมี
เราจะต้องรู้จักหลักของชีวิตและทำความเข้าใจว่า
อะไรคือภารกิจหลัก อะไรคือภารกิจรอง
ภารกิจหลักคือการปฏิบัติธรรม นอกนั้นคือภารกิจรอง
เพราะฉะนั้น เราจะต้องให้ความสำคัญกับภารกิจหลักให้มาก ๆ
เพราะสิ่งนี้คือกรณียกิจที่เป็นเป้าหมายชีวิตของเรา
6 พฤษภาคม พ.ศ. 2544
เมื่อไม่รู้จะอ่านอะไร เล่ม 2 หน้าที่ 32
มนุษย์ส่วนใหญ่มักจะแสวงหาสิ่งที่ไร้สาระ
ซึ่งไม่สามารถนำติดตัวไปเป็นประโยชน์ในภพเบื้องหน้า
แต่สิ่งที่เป็นสาระของชีวิตที่นำติดตัวไปได้ กลับไม่ให้ความสำคัญ
ทั้งนี้เนื่องจากความรู้ยังไม่สมบูรณ์
แม้บางคนรู้แต่ก็ไม่ได้ลงมือทำอย่างจริงจัง
เพราะฉะนั้น ผู้มีปัญญาจะต้องให้ความสำคัญ
กับการปฏิบัติธรรมให้มาก ๆ
เพราะสิ่งนี้คือสาระที่แท้จริงของชีวิต
ที่จะทำให้ได้เข้าถึงสิ่งที่มีอยู่จริงภายใน
การปฏิบัติธรรม
คือ กรณียกิจที่แท้จริงของการเกิดมาเป็นมนุษย์
เป็นสิ่งที่จะทำให้ได้บรรลุเป้าหมายของชีวิต
เป็นงานที่ทำให้เราได้รู้จักตัวเองและแผนผังชีวิตของเรา
ดังนั้น การปฏิบัติธรรมเราควรทำทุกวัน อย่าให้ขาด
และทำควบคู่กันไปกับการทำมาหากินหรือในภารกิจต่าง ๆ
ให้ภารกิจกับจิตใจไปด้วยกัน เศรษฐกิจต้องคู่ไปกับจิตใจ
เราแสวงหาทรัพย์มาเพื่อเอาไว้หล่อเลี้ยงสังขาร
และนำมาสร้างบารมี
เราจะต้องรู้จักหลักของชีวิตและทำความเข้าใจว่า
อะไรคือภารกิจหลัก อะไรคือภารกิจรอง
ภารกิจหลักคือการปฏิบัติธรรม นอกนั้นคือภารกิจรอง
เพราะฉะนั้น เราจะต้องให้ความสำคัญกับภารกิจหลักให้มาก ๆ
เพราะสิ่งนี้คือกรณียกิจที่เป็นเป้าหมายชีวิตของเรา
6 พฤษภาคม พ.ศ. 2544
เมื่อไม่รู้จะอ่านอะไร เล่ม 2 หน้าที่ 32
รักษาศีลข้อที่ 3 แล้วได้อะไร
ศีลข้อที่ 3 กาเมสุมิจฉาจาราเวรมณี...เว้นจากการประพฤติผิดในกาม
ถ้าไม่เว้นจะเกิดอะไรขึ้น ...พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า บุคคลเสพแล้ว เจริญให้มากแล้ว ย่อมยังสัตว์ให้ตกนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานในเปรตวิสัย ทำกาเมสุมิจฉาจาร แล้วได้อะไร ทำแล้วหากเกิดเป็นมนุษย์อีกได้รับผล 11 ประการ คือ
1. มีผู้เกลียดชังมาก
2. มีผู้ปองร้ายมาก
3. ขัดสนทรัพย์
4. ยากจนอดอยาก
5. เป็นหญิง
6. เป็นกระเทย
7. เป็นชายในตระกูลต่ำ
8. ได้รับความอับอายเป็นอาจิณ
9. ร่างกายไม่สมประกอบ
10. มากไปด้วยความวิตกห่วงใย
11. พลัดพรากจากผู้ที่ตนรัก
...ผลทั้ง 11 ประการนี้เป็นเศษของกรรมกาเมสุมิจฉาจาร ให้ผลหลังจากไปตกนรกไปเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน หรือหลังจากไปเกิดเป็นเปรตมาแล้ว เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ก็จะได้รับผลของกาเมสุมิฉาจาร ในปวัตติกาลดังกล่าวแล้ว
รักษาศีลข้อที่ 3 แล้วได้อะไร
การละเว้นจากการประพฤติผิดในกามเสียได้จะได้รับผล 2 ขั้น คือ
1. ได้รับผลในปฏิสนธิกาล คือเกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดา เรียกว่าได้ปฏิสนธิในกามสุคติภูมิ
2. ได้รับผลในปวัตติกาล คือ หลังจากเกิดแล้ว เช่น ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ จะได้รับผลอีก 20 ประการ
อานิสงส์ของการรักษาศีลข้อที่ 3 มี 20 ประการ คือ
1. ไม่มีข้าศึกศัตรู
2. เป็นที่รักของคนทั่วไป
3. นอนเป็นสุข
4. ตื่นก็เป็นสุข
5. พ้นภัยในอบายภูมิ
6. ไม่เกิดเป็นหญิงหรือกระเทย
7. ไม่โกรธง่าย
8. ทำอะไรก็ได้โดยเรียบร้อย
9. ทำอะไรเปิดเผยแจ่มแจ้ง
10. มีความสง่า คอไม่ตก
11. หน้าไม่ก้ม มีอำนาจ
12. มีแต่เพื่อนรักทั้งบุรุษและสตรี
13. มีอินทรีย์ 5 บริบูรณ์
14. มีลักษณะบริบูรณ์
15. ไม่มีใครรังเกียจ
16. ขวนขวายน้อยไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยมาก
17. อยู่ที่ไหนก็เป็นสุข
18. ไม่ต้องกลัวภัยจากใคร ๆ
19. ไม่ค่อยพลัดพรากจากของที่รัก
20. หาข้าว, น้ำ, ที่อยู่, เครื่องนุ่งห่มได้ง่าย
--
****************************************************************************
"ขอนอบน้อมแ่ด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
ผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง"
ถ้าไม่เว้นจะเกิดอะไรขึ้น ...พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า บุคคลเสพแล้ว เจริญให้มากแล้ว ย่อมยังสัตว์ให้ตกนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานในเปรตวิสัย ทำกาเมสุมิจฉาจาร แล้วได้อะไร ทำแล้วหากเกิดเป็นมนุษย์อีกได้รับผล 11 ประการ คือ
1. มีผู้เกลียดชังมาก
2. มีผู้ปองร้ายมาก
3. ขัดสนทรัพย์
4. ยากจนอดอยาก
5. เป็นหญิง
6. เป็นกระเทย
7. เป็นชายในตระกูลต่ำ
8. ได้รับความอับอายเป็นอาจิณ
9. ร่างกายไม่สมประกอบ
10. มากไปด้วยความวิตกห่วงใย
11. พลัดพรากจากผู้ที่ตนรัก
...ผลทั้ง 11 ประการนี้เป็นเศษของกรรมกาเมสุมิจฉาจาร ให้ผลหลังจากไปตกนรกไปเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน หรือหลังจากไปเกิดเป็นเปรตมาแล้ว เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ก็จะได้รับผลของกาเมสุมิฉาจาร ในปวัตติกาลดังกล่าวแล้ว
รักษาศีลข้อที่ 3 แล้วได้อะไร
การละเว้นจากการประพฤติผิดในกามเสียได้จะได้รับผล 2 ขั้น คือ
1. ได้รับผลในปฏิสนธิกาล คือเกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดา เรียกว่าได้ปฏิสนธิในกามสุคติภูมิ
2. ได้รับผลในปวัตติกาล คือ หลังจากเกิดแล้ว เช่น ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ จะได้รับผลอีก 20 ประการ
อานิสงส์ของการรักษาศีลข้อที่ 3 มี 20 ประการ คือ
1. ไม่มีข้าศึกศัตรู
2. เป็นที่รักของคนทั่วไป
3. นอนเป็นสุข
4. ตื่นก็เป็นสุข
5. พ้นภัยในอบายภูมิ
6. ไม่เกิดเป็นหญิงหรือกระเทย
7. ไม่โกรธง่าย
8. ทำอะไรก็ได้โดยเรียบร้อย
9. ทำอะไรเปิดเผยแจ่มแจ้ง
10. มีความสง่า คอไม่ตก
11. หน้าไม่ก้ม มีอำนาจ
12. มีแต่เพื่อนรักทั้งบุรุษและสตรี
13. มีอินทรีย์ 5 บริบูรณ์
14. มีลักษณะบริบูรณ์
15. ไม่มีใครรังเกียจ
16. ขวนขวายน้อยไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยมาก
17. อยู่ที่ไหนก็เป็นสุข
18. ไม่ต้องกลัวภัยจากใคร ๆ
19. ไม่ค่อยพลัดพรากจากของที่รัก
20. หาข้าว, น้ำ, ที่อยู่, เครื่องนุ่งห่มได้ง่าย
--
****************************************************************************
"ขอนอบน้อมแ่ด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
ผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง"
10 กันยายน วันป้องกันฆ่าตัวตายโลก
เนื่องในวันที่ 10 กันยายน ของทุกปี เป็นวันป้องกันฆ่าตัวตายโลก สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดแพร่ ได้ติดตามในการเฝ้าระวังภาวะซึมเศร้าและการทำร้ายตนเอง ของประชาชนในจังหวัดแพร่ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2552 - มิถุนายน 2553 พบมีผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะซึมเศร้า 2,807 ราย ผู้ป่วยที่ฆ่าตัวตายสำเร็จ 56 ราย และผู้ที่พยายามฆ่าตัวตาย 84 ราย
เมือง
สูงเม่น
เด่นชัย
ร้องกวาง
สอง
ลอง
วังชิ้น
หนองม่วงไข่
- ผู้ที่ฆ่าตัวตายสำเร็จ
14
11
4
4
7
4
11
1
- ผู้ที่พยายามฆ่าตัวตาย
19
12
9
18
4
8
8
6
นายแพทย์ สุรินทร์ สุมนาพันธ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดแพร่ กล่าวว่าจากสถิติของจังหวัดแพร่ พบผู้ป่วยภาวะซึมเศร้าในเขตอำเภอเมืองมากที่สุด ผู้ป่วยที่ฆ่าตัวตายสำเร็จพบมากที่สุดที่อำเภอวังชิ้น และผู้ที่พยายามฆ่าตัวตายพบมากที่สุดที่อำเภอร้องกวาง และองค์การอนามัยโลกแจ้งว่าในปีหนึ่ง ๆ มีผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จเฉลี่ย 1 คนในทุก ๆ 40 วินาที สำหรับประเทศไทยในแต่ละปี จะมีผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายประมาณ 4,500-5,000 คน และจังหวัดแพร่ มีอัตราการฆ่าตัวตายต่อแสนประชากรมากที่สุดเป็นอันดับ 4 ของประเทศ ซึ่งจากการติดตามในการเฝ้าระวังผู้ที่ฆ่าตัวตายสำเร็จ พบในเพศชายมากกว่าเพศ หญิง ในอัตราส่วน 4 ต่อ 1 ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุระหว่าง 25-44 ปี มีสถานภาพสมรส และมีอาชีพเกษตรกรรม ในจำนวนนี้มีผู้ที่ฆ่าตัวตายซ้ำจำนวน 5 คน(ร้อยละ 6) จากจำนวนผู้ที่พยายามฆ่าตัวตายทั้งหมด 84 คน
นายแพทย์ สาธารณสุขจังหวัดแพร่ กล่าวต่ออีกว่า สาเหตุของการฆ่าตัวตายในจังหวัดแพร่ ส่วนใหญ่ มีสาเหตุจากทะเลาะกับคนใกล้ชิด ผิดหวังในเรื่องความรัก และเหตุจากการหึงหวง วิธีการที่ใช้ในการฆ่าตัวตายสำเร็จมากที่สุดคือผูกคอตาย รองลงมาคือกินยาฆ่า แมลง ซึ่งผู้ประสบปัญหาที่เป็นสาเหตุให้ตัดสินใจฆ่าตัวตาย มักมีอาการซึมเศร้านำมาก่อน จึงต้องอาศัยคนใกล้ชิดช่วยคอยสังเกต ติดตามอย่างใกล้ชิดรวมถึงการพยายามพูดคุยให้คำปรึกษาให้กำลังใจ หลีกเลี่ยงการซ้ำเติม เพราะการซ้ำเติมจะยิ่งเป็นการยั่วยุให้ตัดสินใจฆ่าตัวตายมากขึ้น และควรพาไปพบแพทย์หรือพยาบาลทางจิตเวชในทุกโรงพยาบาล
งานสุขศึกษาและประชาสัมพันธ์
เมือง
สูงเม่น
เด่นชัย
ร้องกวาง
สอง
ลอง
วังชิ้น
หนองม่วงไข่
- ผู้ที่ฆ่าตัวตายสำเร็จ
14
11
4
4
7
4
11
1
- ผู้ที่พยายามฆ่าตัวตาย
19
12
9
18
4
8
8
6
นายแพทย์ สุรินทร์ สุมนาพันธ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดแพร่ กล่าวว่าจากสถิติของจังหวัดแพร่ พบผู้ป่วยภาวะซึมเศร้าในเขตอำเภอเมืองมากที่สุด ผู้ป่วยที่ฆ่าตัวตายสำเร็จพบมากที่สุดที่อำเภอวังชิ้น และผู้ที่พยายามฆ่าตัวตายพบมากที่สุดที่อำเภอร้องกวาง และองค์การอนามัยโลกแจ้งว่าในปีหนึ่ง ๆ มีผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จเฉลี่ย 1 คนในทุก ๆ 40 วินาที สำหรับประเทศไทยในแต่ละปี จะมีผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายประมาณ 4,500-5,000 คน และจังหวัดแพร่ มีอัตราการฆ่าตัวตายต่อแสนประชากรมากที่สุดเป็นอันดับ 4 ของประเทศ ซึ่งจากการติดตามในการเฝ้าระวังผู้ที่ฆ่าตัวตายสำเร็จ พบในเพศชายมากกว่าเพศ หญิง ในอัตราส่วน 4 ต่อ 1 ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุระหว่าง 25-44 ปี มีสถานภาพสมรส และมีอาชีพเกษตรกรรม ในจำนวนนี้มีผู้ที่ฆ่าตัวตายซ้ำจำนวน 5 คน(ร้อยละ 6) จากจำนวนผู้ที่พยายามฆ่าตัวตายทั้งหมด 84 คน
นายแพทย์ สาธารณสุขจังหวัดแพร่ กล่าวต่ออีกว่า สาเหตุของการฆ่าตัวตายในจังหวัดแพร่ ส่วนใหญ่ มีสาเหตุจากทะเลาะกับคนใกล้ชิด ผิดหวังในเรื่องความรัก และเหตุจากการหึงหวง วิธีการที่ใช้ในการฆ่าตัวตายสำเร็จมากที่สุดคือผูกคอตาย รองลงมาคือกินยาฆ่า แมลง ซึ่งผู้ประสบปัญหาที่เป็นสาเหตุให้ตัดสินใจฆ่าตัวตาย มักมีอาการซึมเศร้านำมาก่อน จึงต้องอาศัยคนใกล้ชิดช่วยคอยสังเกต ติดตามอย่างใกล้ชิดรวมถึงการพยายามพูดคุยให้คำปรึกษาให้กำลังใจ หลีกเลี่ยงการซ้ำเติม เพราะการซ้ำเติมจะยิ่งเป็นการยั่วยุให้ตัดสินใจฆ่าตัวตายมากขึ้น และควรพาไปพบแพทย์หรือพยาบาลทางจิตเวชในทุกโรงพยาบาล
งานสุขศึกษาและประชาสัมพันธ์
วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553
“BB ป่วนเมือง” /เรื่องเล่า นศ.
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 29 สิงหาคม 2553 13:22 น.
เรื่องเล่านักศึกษาคอลัมภ์นี้มาพร้อมกับประสบการณ์ส่วนตัวของศิษย์เก่า คณะนิเทศศาสตร์ รั้วมหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม “วีระชัย ตระหง่านกิจ” ที่นำเรื่องราวแฟชั่นสุดฮิตของเหล่าวัยรุ่นมาเล่าสู่กันฟัง จะสนุกสนานมากน้อยแค่ไหน ติดตามเรื่องเล่านักศึกษาที่มีชื่อว่า “BB ป่วนเมือง”
...แบล็คเบอรี่ (BlackBerry) หรือที่เรียกกันติดปากว่า บีบี เป็นสมาร์ทโฟน ที่ได้รับความนิยมมากในขณะนี้ จากการสำรวจผู้ใช้เครื่องแบล็คเบอรี่ ทั่วโลก มากกว่า 40 ล้านเครื่อง เลยทีเดียว เป็นปรากฏการณ์ที่นับได้ว่า "แรง" มาก โดยเฉพาะในสยามประเทศแห่งนี้ ในประเทศไทย เริ่มนิยมกันมากที่สุดในช่วง 1-2 ปี มานี้ โดยเริ่มจากดารายอดนิยม หลังจากนั้นจึงแพร่หลายกระจายไปตามกลุ่มวัยรุ่น การใช้งานบีบี นี้ โดยพื้นฐานแล้ว สามารถทำได้เหมือนสมาร์ทโฟนทั่วไป แต่ที่พิเศษ และเป็นเสน่ห์ให้ผู้คนหลงใหล คือ การแชท
คนที่ไม่เคยใช้โปรแกรมแชท หรือไม่เคยใช้เจ้าเครื่องนี้ อาจสงสัยอยู่ว่า การสื่อสารผ่านตัวอักษรดีกว่าการโทรหากันตรงไหน ซึ่งนั่นหมายรวมถีงผมเช่นกัน... ก่อนหน้านี้ รู้สึกเฉยๆ กับเจ้าเครื่องนี้มากๆ เพราะผมไม่ค่อยทันกับเทคโนโลยีของโทรศัพท์สักเท่าไหร่ ว่าง่ายๆ โทรศัพท์ที่ผมใช้อยู่ เทคโนโลยีสูงสุด มีแค่หน้าจอสี และกล้อง แค่นั้น
ระยะหลังได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในหมู่วัยรุ่นคนไทยได้อย่างชัดเจน ทำให้รู้สึกว่า "เราขาดมันไม่ได้เชียวหรือ?" เพราะ อะไรถึงคิดอย่างนั้น วันหนึ่งผมกำลังทานข้าวที่ร้านอาหารตามสั่ง ผู้หญิง 3 คน นั่งถัดไปอีกโต๊ะ นั่งยิ้มและหัวเราะกันไป ระหว่างรออาหาร เหตุการณ์นี้จะเป็นเรื่องธรรมดา หากการนั่งยิ้มและหัวเราะนั้น เป็นการพูดคุยกันบนโต๊ะอาหารที่ปกติชนทั่วไปเป็นกัน
แต่ไม่ใช่สำหรับสามคนนี้...เธอยิ้มให้กับโทรศัพท์...ลองนึกภาพง่ายๆ นั่งกันสามคนหันหน้าเข้าหากัน ต่างคนต่างจ้องมองโทรศัพท์นิ้วกดลงบนแป้นเล็กๆ พร้อมกับรอยยิ้มที่หลากหลาย ที่มีตั้งแต่ เขิน อาย เลศนัย ฯลฯ โครไม่เห็นว่ามีโทรศัพท์ในมือ คงคิดว่า "บ้า" แน่นอน ในวันเดียวกัน ผมกำลังเดินบนถนนในซอยแคบ ที่มีการจราจรของรถคับคั่ง และมีหญิงสาวเดินนำหน้าอยู่ประมาณเมตรกว่าๆ ทันใดนั้น เธอกลับชะงักหยุด และนิ่งไปโดยไม่มีสาเหตุ พาลให้ผมสะดุ้ง คิดว่ามีอะไรเกิดขึ้น... ชำเลืองมองระหว่างเดินแซงหน้า สิ่งที่เห็นคือ เธอกำลังกดแป้นพิมพ์อันน้อยบนเครื่องอย่างเมามัน บ้าจริงเชียว... ทำให้ผมเสียแรงไปกับการสะดุ้งโดยใช่เหตุ ขณะนี้ไม่ได้ระบาดธรรมดา มีบางกลุ่มบางพวก ถึงขั้นตัดออกจากกลุ่ม เพียงแค่ไม่ใช่ BlackBerry แค่นั้น
น่าตกใจครับ...กับสังคมไทยตอนนี้ ก่อนหน้านี้ ได้มีการพูดถึงกันว่า โทรศัพท์มือถือ จะเป็นอวัยวะที่ 33 หลายปีที่ผ่านมา ได้มีการพิสูจน์แล้วว่า "มันไม่ใช่" แต่ในครั้งนี้ เมื่อได้เห็นสภาพที่เป็นอยู่ คงอีกไม่นานแล้วครับ ที่มันจะงอกเพิ่มเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเรา
คงแปลกพิลึก "คนอะไรมีโทรศัพท์งอกตรงนิ้วมือ" ผม ได้เล่าเหตุการณ์ที่ผมได้เจอให้รุ่นน้องที่เคารพรักฟัง รุ่นน้องบอกว่า สิ่งนี้มันทำให้วิตกจริตและทำให้พลาดโอกาสหลายๆ อย่างในชีวิตจริงๆ เพราะตัวมันเองก็ติด BB เช่นกัน ซึ้งครับ ที่ยังรู้ตัว ว่าสิ่งที่ทำมันเกินขอบเขตที่ควรจะเป็น "...แต่ก่อนหนูก็เป็นแบบพี่นี้แหละ สงสัยว่า ทำไมเล่นกันนักกันหนา มันมีอะไรดี แต่ลองมาเล่นดูแล้ว มันติดจริงๆ แบบที่พี่ว่านั้นแหละ พี่ลองดูสิ"
งานนี้ขอบายครับ ไม่ใช่ว่ากลัวติด เพียงแต่ตังค์ยังไม่มี...แค่นั้น
เรื่องเล่านักศึกษาคอลัมภ์นี้มาพร้อมกับประสบการณ์ส่วนตัวของศิษย์เก่า คณะนิเทศศาสตร์ รั้วมหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม “วีระชัย ตระหง่านกิจ” ที่นำเรื่องราวแฟชั่นสุดฮิตของเหล่าวัยรุ่นมาเล่าสู่กันฟัง จะสนุกสนานมากน้อยแค่ไหน ติดตามเรื่องเล่านักศึกษาที่มีชื่อว่า “BB ป่วนเมือง”
...แบล็คเบอรี่ (BlackBerry) หรือที่เรียกกันติดปากว่า บีบี เป็นสมาร์ทโฟน ที่ได้รับความนิยมมากในขณะนี้ จากการสำรวจผู้ใช้เครื่องแบล็คเบอรี่ ทั่วโลก มากกว่า 40 ล้านเครื่อง เลยทีเดียว เป็นปรากฏการณ์ที่นับได้ว่า "แรง" มาก โดยเฉพาะในสยามประเทศแห่งนี้ ในประเทศไทย เริ่มนิยมกันมากที่สุดในช่วง 1-2 ปี มานี้ โดยเริ่มจากดารายอดนิยม หลังจากนั้นจึงแพร่หลายกระจายไปตามกลุ่มวัยรุ่น การใช้งานบีบี นี้ โดยพื้นฐานแล้ว สามารถทำได้เหมือนสมาร์ทโฟนทั่วไป แต่ที่พิเศษ และเป็นเสน่ห์ให้ผู้คนหลงใหล คือ การแชท
คนที่ไม่เคยใช้โปรแกรมแชท หรือไม่เคยใช้เจ้าเครื่องนี้ อาจสงสัยอยู่ว่า การสื่อสารผ่านตัวอักษรดีกว่าการโทรหากันตรงไหน ซึ่งนั่นหมายรวมถีงผมเช่นกัน... ก่อนหน้านี้ รู้สึกเฉยๆ กับเจ้าเครื่องนี้มากๆ เพราะผมไม่ค่อยทันกับเทคโนโลยีของโทรศัพท์สักเท่าไหร่ ว่าง่ายๆ โทรศัพท์ที่ผมใช้อยู่ เทคโนโลยีสูงสุด มีแค่หน้าจอสี และกล้อง แค่นั้น
ระยะหลังได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในหมู่วัยรุ่นคนไทยได้อย่างชัดเจน ทำให้รู้สึกว่า "เราขาดมันไม่ได้เชียวหรือ?" เพราะ อะไรถึงคิดอย่างนั้น วันหนึ่งผมกำลังทานข้าวที่ร้านอาหารตามสั่ง ผู้หญิง 3 คน นั่งถัดไปอีกโต๊ะ นั่งยิ้มและหัวเราะกันไป ระหว่างรออาหาร เหตุการณ์นี้จะเป็นเรื่องธรรมดา หากการนั่งยิ้มและหัวเราะนั้น เป็นการพูดคุยกันบนโต๊ะอาหารที่ปกติชนทั่วไปเป็นกัน
แต่ไม่ใช่สำหรับสามคนนี้...เธอยิ้มให้กับโทรศัพท์...ลองนึกภาพง่ายๆ นั่งกันสามคนหันหน้าเข้าหากัน ต่างคนต่างจ้องมองโทรศัพท์นิ้วกดลงบนแป้นเล็กๆ พร้อมกับรอยยิ้มที่หลากหลาย ที่มีตั้งแต่ เขิน อาย เลศนัย ฯลฯ โครไม่เห็นว่ามีโทรศัพท์ในมือ คงคิดว่า "บ้า" แน่นอน ในวันเดียวกัน ผมกำลังเดินบนถนนในซอยแคบ ที่มีการจราจรของรถคับคั่ง และมีหญิงสาวเดินนำหน้าอยู่ประมาณเมตรกว่าๆ ทันใดนั้น เธอกลับชะงักหยุด และนิ่งไปโดยไม่มีสาเหตุ พาลให้ผมสะดุ้ง คิดว่ามีอะไรเกิดขึ้น... ชำเลืองมองระหว่างเดินแซงหน้า สิ่งที่เห็นคือ เธอกำลังกดแป้นพิมพ์อันน้อยบนเครื่องอย่างเมามัน บ้าจริงเชียว... ทำให้ผมเสียแรงไปกับการสะดุ้งโดยใช่เหตุ ขณะนี้ไม่ได้ระบาดธรรมดา มีบางกลุ่มบางพวก ถึงขั้นตัดออกจากกลุ่ม เพียงแค่ไม่ใช่ BlackBerry แค่นั้น
น่าตกใจครับ...กับสังคมไทยตอนนี้ ก่อนหน้านี้ ได้มีการพูดถึงกันว่า โทรศัพท์มือถือ จะเป็นอวัยวะที่ 33 หลายปีที่ผ่านมา ได้มีการพิสูจน์แล้วว่า "มันไม่ใช่" แต่ในครั้งนี้ เมื่อได้เห็นสภาพที่เป็นอยู่ คงอีกไม่นานแล้วครับ ที่มันจะงอกเพิ่มเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเรา
คงแปลกพิลึก "คนอะไรมีโทรศัพท์งอกตรงนิ้วมือ" ผม ได้เล่าเหตุการณ์ที่ผมได้เจอให้รุ่นน้องที่เคารพรักฟัง รุ่นน้องบอกว่า สิ่งนี้มันทำให้วิตกจริตและทำให้พลาดโอกาสหลายๆ อย่างในชีวิตจริงๆ เพราะตัวมันเองก็ติด BB เช่นกัน ซึ้งครับ ที่ยังรู้ตัว ว่าสิ่งที่ทำมันเกินขอบเขตที่ควรจะเป็น "...แต่ก่อนหนูก็เป็นแบบพี่นี้แหละ สงสัยว่า ทำไมเล่นกันนักกันหนา มันมีอะไรดี แต่ลองมาเล่นดูแล้ว มันติดจริงๆ แบบที่พี่ว่านั้นแหละ พี่ลองดูสิ"
งานนี้ขอบายครับ ไม่ใช่ว่ากลัวติด เพียงแต่ตังค์ยังไม่มี...แค่นั้น
‘สมัชชาหนู’การปฏิรูประเทศตามแนวรัฐบาลในมุมมองดร.อมร จันทรสมบูรณ์
ท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์ไปอภิปรายเรื่องเกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศให้ สถาบันพระปกเกล้ามาพักใหญ่แล้ว ด้วยถ้อยคำที่ดู “แรง” ทำให้ปรากฏเป็นข่าวฮือฮาในวงเล็ก ๆ อยู่วันเดียวแล้วก็เงียบหายไป เหมือนที่เคยเป็นมาโดยตลอดกับแนวคิดของท่านตั้งแต่ปี 2535 เป็นต้นมา
โดยหลักแล้วท่านเห็นว่าปัญหาวิกฤตของประเทศเกิดจากระบอบเผด็จการรัฐสภา หรือระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน
ถ้าจะแก้ไขก็มีแต่ต้องทำลายระบอบ/ระบบนั้นในทันที !
ส่วนวิธีการแก้ไขในเบื้องต้นที่ต้องทำทันทีก็คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตัดบทบัญญัติอย่างน้อย ๆ สองสามประการ คือ (1) บังคับผู้สมัครส.ส.ให้ต้องสังกัดพรรคการเมือง (2) ให้พรรคการเมืองมีอำนาจให้ส.ส.ที่ไม่ปฏิบัติตามคำบงการสามารถพ้นจากตำแหน่ง ได้ (3) ให้นายกรัฐมนตรีมาจากส.ส.เท่านั้น จากนั้นขั้นต่อไปก็คือเริ่มกระบวนการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพื่อการ ปฏิรูปการเมือ และการปฏิรูปประเทศ โดยคณะกรรมการที่ประกอบด้วยผู้มีประสบการณ์ในการบริหารบ้านเมืองร่วมกับผู้ เชี่ยวชาญโดยผ่านระบบการคัดเลือกจากรัฐบุรุษหรือผู้นำ ในความหมายของ Statesman ไม่ใช่ในลักษณะของ “สภา” หรือ “สมัชชา” ที่มีที่มาหลากหลาย ขั้นสุดท้ายเมื่อได้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่พร้อมด้วยกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ที่จะต้องทำเสร็จพร้อมกันแล้วให้นำมาผ่านการลงประชามติจากประชาชนโดยตรง
ไม่ว่าใครจะเห็นพ้องหรือเห็นต่างอย่างไรท่านก็ยืนยันของท่านอย่างนี้ มาเกือบ 20 ปีแล้วนับตั้งแต่นำข้อเขียนเรื่อง “รัฐธรรมนูญ : โครงสร้างและกลไกทางกฎหมาย” เสนอต่อที่ประชุมในการสัมมนาทางวิชาการที่โรงแรมเอเซีย จัดโดยสถาบันนโยบายศึกษา เมื่อเดือนกรกฎาคม 2534 และเป็นหัวหน้าคณะวิจัยรวมทั้งเขียนบทความต่อเนื่องด้วยตนเองตลอด 2 ปีต่อมา ก่อนจะตกรวบยอดเป็นบทสรุปด้วยการเขียนบทความขนาดยาวเรื่อง “Constitutionalism : ทางออกของประเทศไทย” ลงในนสพ.ผู้จัดการรายวันช่วงเดือนเมษายน 2537 และจัดพิมพ์เป็นรูปเล่มโดยสถาบันนโยบายศึกษาในอีก 3 เดือนต่อมา
หนังสือ “Constitutionalism : ทางออกของประเทศไทย” เดี๋ยวนี้กลายเป็นตำราคลาสสิคไปแล้ว
ท่านอาจารย์หมอประเวศ วะสีก็เคยนำแนวคิดนี้ไปประยุกต์ใช้กับการทำงานของคณะกรรมการพัฒนา ประชาธิปไตย (คพป.) เมื่อปี 2537 และเป็นรากฐานที่นำไปสู่การแก้ไขมาตรา 211 รัฐธรรมนูญ 2534 ในปี 2539 ก่อให้เกิดสภาร่างรัฐธรรมนูญจัดทำรัฐธรรมนูญ 2540 ขึ้นมาในที่สุด แม้นวัตกรรมทางการเมืองหลายอย่างจะมาจากแนวคิดวิชากฎหมายมหาชนยุคใหม่ที่นำ เสนอโดยท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์ แต่หลักสำคัญที่สุดสองสามประการที่ผมกล่าวข้างต้นไม่ได้รับการแก้ไข ผลที่เกิดขึ้นจากรัฐธรรมนูญฉบับนั้นในที่สุดจึงคือการกระชับอำนาจให้กับระบบ เผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน
ท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์ไม่ได้ย่อท้อ หรือเปลี่ยนแปลงความคิด ท่านนำเสนอแนวคิดพื้นฐานของท่านอย่างต่อเนื่อง โดยครั้งหนึ่ง 2 ศิษย์เอกอย่างท่านอาจารย์สมยศ เชื้อไทยและท่านอาจารย์บรรเจิด สิงคเนติถึงกับก่อตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาพรรคหนึ่งชื่อ “พรรคทางเลือกที่สาม” ในช่วงปี 2547
ช่วงวิกฤตเดือนมีนาคม - พฤษภาคม 2553 ก่อนจะนองเลือด ท่านก็เสนอทางออกของประเทศไทยอีกครั้งภายใต้แนวคิดพื้นฐานเดิมแต่ประยุกต์ไป ตามสถานการณ์
เมื่อเกิดกระแส “ปฏิรูปประเทศ” ขึ้นควบคู่กันไป ท่านก็ออกมาตอบโจทย์อีกว่าจะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2 ครั้ง 2 ขั้นตอน
ท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์ไม่เคยเชื่อในรูปแบบสภา รูปแบบสมัชชา แต่จะต้องเป็นเรื่องที่เริ่มต้นโดย Statesman และผู้เชี่ยวชาญ แล้วค่อยมาจบที่ภาคประชาชนในการลงประชามติ จนกระทั่งภาคประชาชนกล่าวหาท่านว่าไม่เห็นพลังของมวลชน ไปเน้นแต่ชนชั้นนำมากเกินไป ท่านก็ไม่ได้ใส่ใจ เพราะเชื่อแนวทางการวิเคราะห์สังคมไทยตามหลักสังคมวิทยาการเมือง
ท่านวิจารณ์แนวทางตั้งสมัชชาไว้ว่าการแก้ปัญหาการปฏิรูปประเทศไม่ได้ อยู่ที่จำนวนของสมัชชา และคาดหมายว่า สิ่งที่คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปจะได้จากสมัชชาทั้ง 14 สมัชชา ก็คือ ความคิดเห็นที่หลากหลาย จนจับสาระและเหตุผลไม่ได้ และไม่รู้ว่าจะทำให้ข้อเสนอเป็นจริงขึ้นมาได้อย่างไร
“และ ในที่สุด ความคิดเห็นที่รวบรวมได้จากสมัชชา 14 ชุดเหล่านี้ในอีก 3 ปีข้างหน้า พร้อมกับหมดเงินงบประมาณของแผ่นดินไปแล้ว 600 ล้านบาท ตามที่รัฐบาลให้มาสำหรับซื้อเวลาเพื่อให้ Elite ของเรา มีอะไรทำให้วุ่น ๆ บ้าง เพื่อที่รัฐบาลจะได้อยู่ในตำแหน่งและแสวงหาประโยชน์ต่อไป ก็คือ รัฐบาลจะทำหรือไม่ทำ ก็แล้วแต่รัฐบาลจะเลือก และพร้อม ๆ กับการเลือกก็คือการคงอยู่ของการคอร์รัปชั่น และการแสวงหาประโยชน์ของนักการเมืองนายทุนเจ้าของพรรคการเมือง ในระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุนในระบบรัฐสภาประเทศเดียวในโลก....
“Elite ที่มีเจตนาดี และมีชื่อเสียงเพียงอย่างเดียว ไม่ได้เป็นเงื่อนไขที่เพียงพอสำหรับการปฏิรูปประเทศให้คนไทย ผู้ที่จะปฏิรูปประเทศได้จะต้องเป็นทั้งผู้มีเจตนาดีที่ได้รับการยอมรับจากคน ส่วนใหญ่ของประเทศ และเป็นผู้มีความรู้ และความรอบรู้ พอที่จะวิเคราะห์ปัญหาและทำความเข้าใจกับคนไทย ตลอดจนสามารถชี้นำคนไทย ด้วยเหตุ ด้วยผล และตรรก ให้ไปสู่การปฏิรูปประเทศและ การปฏิรูปการเมืองได้...
“ใครก็ ตามที่คิดจะเขยื้อนภูเขา ผมไม่คิดว่าผู้นั้นจะสามารถเขยื้อนภูเขาได้ ถ้าผู้นั้นยังอยู่ไต้ภูเขาหรือถูกภูเขาทับอยู่ และหนูก็คือหนู ไม่ว่าจะเป็นหนูตัวเดียว หรือหนู in Council...”
ท่านเปรียบเทียบกับนิทานอีสป เรื่องหนูประชุมกันคิดจะเอากระพรวนไปผูกคอแมว แต่หาหนูอาสาไม่ได้สักตัว เพราะรู้ว่าจะต้องตายแน่ ๆ
แต่หนูในนิทานอีสปก็ยังดีกว่าคณะกรรมการปฏิรูปของไทย เพราะหนูยังดีที่รู้ปัญหา ตรงกันข้ามกับคณะกรรมการปฏิรูปของไทยไม่แน่นักว่า
รู้ปัญหาหรือไม่
เป็นคำวิจารณ์ที่แรง !
ผมเองเห็นด้วย แต่ไม่ได้เห็นด้วยทั้งหมด เพราะยังเชื่อว่าท่านอาจารย์หมอประเวศ วะสี และคุณอานันท์ ปันายารชุน ไม่ใช่จะยอมมาเป็นเครื่องมือในการซื้อเวลาให้ระบบเผด็จการโดยพรรคการเมือง นายทุนอย่างตื้น ๆ โดยไม่มีวาระของตัวเองหรอก ท่านยังมี “อาวุธลับ” ที่รัฐบาลไม่รู้หรือรู้แต่ไม่เชื่อหรือรู้และเชื่อแต่ไม่เป็นไรขอแก้ปัญหา เฉพาะหน้าไปก่อน
นั่นคือการสร้างมวลชนกลุ่มใหม่ขึ้นมาให้เติบใหญ่ในอีก 3 - 5 ปีข้างหน้า หวังผลระยะยาว - ไม่เกิน 10 ปี !
โดยใช้เงินของรัฐกระทำไปในนามของรัฐ !!
บางที อาจจะใช้คำตอบของท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์นั่นแหละ เพียงแต่ผ่านวิธีการตอบในอีกรูปแบบหนึ่ง ไม่ใช่รูปแบบคณะกรรมการพิเศษที่อาศัย Statesman มาเป็นรูปแบบสั่งสมพลังมวลชนทีละขั้น ๆ ก็เป็นไปได้
การมีคนตรวจสอบอย่างท่านอาจารย์อมรฯ น่าจะเป็นเรื่องท้าทายของอาจารย์หมอประเวศฯและคุณอานันท์ฯ และนำไปประยุกต์ปรับขบวนให้กระชับ ตรงเป้า และ...
ระดมพลังได้ “หลากหลาย” มากขึ้น !
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 29 สิงหาคม 2553 16:29 น.
ท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์ไปอภิปรายเรื่องเกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศให้ สถาบันพระปกเกล้ามาพักใหญ่แล้ว ด้วยถ้อยคำที่ดู “แรง” ทำให้ปรากฏเป็นข่าวฮือฮาในวงเล็ก ๆ อยู่วันเดียวแล้วก็เงียบหายไป เหมือนที่เคยเป็นมาโดยตลอดกับแนวคิดของท่านตั้งแต่ปี 2535 เป็นต้นมา
โดยหลักแล้วท่านเห็นว่าปัญหาวิกฤตของประเทศเกิดจากระบอบเผด็จการรัฐสภา หรือระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน
ถ้าจะแก้ไขก็มีแต่ต้องทำลายระบอบ/ระบบนั้นในทันที !
ส่วนวิธีการแก้ไขในเบื้องต้นที่ต้องทำทันทีก็คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตัดบทบัญญัติอย่างน้อย ๆ สองสามประการ คือ (1) บังคับผู้สมัครส.ส.ให้ต้องสังกัดพรรคการเมือง (2) ให้พรรคการเมืองมีอำนาจให้ส.ส.ที่ไม่ปฏิบัติตามคำบงการสามารถพ้นจากตำแหน่ง ได้ (3) ให้นายกรัฐมนตรีมาจากส.ส.เท่านั้น จากนั้นขั้นต่อไปก็คือเริ่มกระบวนการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพื่อการ ปฏิรูปการเมือ และการปฏิรูปประเทศ โดยคณะกรรมการที่ประกอบด้วยผู้มีประสบการณ์ในการบริหารบ้านเมืองร่วมกับผู้ เชี่ยวชาญโดยผ่านระบบการคัดเลือกจากรัฐบุรุษหรือผู้นำ ในความหมายของ Statesman ไม่ใช่ในลักษณะของ “สภา” หรือ “สมัชชา” ที่มีที่มาหลากหลาย ขั้นสุดท้ายเมื่อได้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่พร้อมด้วยกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ที่จะต้องทำเสร็จพร้อมกันแล้วให้นำมาผ่านการลงประชามติจากประชาชนโดยตรง
ไม่ว่าใครจะเห็นพ้องหรือเห็นต่างอย่างไรท่านก็ยืนยันของท่านอย่างนี้ มาเกือบ 20 ปีแล้วนับตั้งแต่นำข้อเขียนเรื่อง “รัฐธรรมนูญ : โครงสร้างและกลไกทางกฎหมาย” เสนอต่อที่ประชุมในการสัมมนาทางวิชาการที่โรงแรมเอเซีย จัดโดยสถาบันนโยบายศึกษา เมื่อเดือนกรกฎาคม 2534 และเป็นหัวหน้าคณะวิจัยรวมทั้งเขียนบทความต่อเนื่องด้วยตนเองตลอด 2 ปีต่อมา ก่อนจะตกรวบยอดเป็นบทสรุปด้วยการเขียนบทความขนาดยาวเรื่อง “Constitutionalism : ทางออกของประเทศไทย” ลงในนสพ.ผู้จัดการรายวันช่วงเดือนเมษายน 2537 และจัดพิมพ์เป็นรูปเล่มโดยสถาบันนโยบายศึกษาในอีก 3 เดือนต่อมา
หนังสือ “Constitutionalism : ทางออกของประเทศไทย” เดี๋ยวนี้กลายเป็นตำราคลาสสิคไปแล้ว
ท่านอาจารย์หมอประเวศ วะสีก็เคยนำแนวคิดนี้ไปประยุกต์ใช้กับการทำงานของคณะกรรมการพัฒนา ประชาธิปไตย (คพป.) เมื่อปี 2537 และเป็นรากฐานที่นำไปสู่การแก้ไขมาตรา 211 รัฐธรรมนูญ 2534 ในปี 2539 ก่อให้เกิดสภาร่างรัฐธรรมนูญจัดทำรัฐธรรมนูญ 2540 ขึ้นมาในที่สุด แม้นวัตกรรมทางการเมืองหลายอย่างจะมาจากแนวคิดวิชากฎหมายมหาชนยุคใหม่ที่นำ เสนอโดยท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์ แต่หลักสำคัญที่สุดสองสามประการที่ผมกล่าวข้างต้นไม่ได้รับการแก้ไข ผลที่เกิดขึ้นจากรัฐธรรมนูญฉบับนั้นในที่สุดจึงคือการกระชับอำนาจให้กับระบบ เผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน
ท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์ไม่ได้ย่อท้อ หรือเปลี่ยนแปลงความคิด ท่านนำเสนอแนวคิดพื้นฐานของท่านอย่างต่อเนื่อง โดยครั้งหนึ่ง 2 ศิษย์เอกอย่างท่านอาจารย์สมยศ เชื้อไทยและท่านอาจารย์บรรเจิด สิงคเนติถึงกับก่อตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาพรรคหนึ่งชื่อ “พรรคทางเลือกที่สาม” ในช่วงปี 2547
ช่วงวิกฤตเดือนมีนาคม - พฤษภาคม 2553 ก่อนจะนองเลือด ท่านก็เสนอทางออกของประเทศไทยอีกครั้งภายใต้แนวคิดพื้นฐานเดิมแต่ประยุกต์ไป ตามสถานการณ์
เมื่อเกิดกระแส “ปฏิรูปประเทศ” ขึ้นควบคู่กันไป ท่านก็ออกมาตอบโจทย์อีกว่าจะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2 ครั้ง 2 ขั้นตอน
ท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์ไม่เคยเชื่อในรูปแบบสภา รูปแบบสมัชชา แต่จะต้องเป็นเรื่องที่เริ่มต้นโดย Statesman และผู้เชี่ยวชาญ แล้วค่อยมาจบที่ภาคประชาชนในการลงประชามติ จนกระทั่งภาคประชาชนกล่าวหาท่านว่าไม่เห็นพลังของมวลชน ไปเน้นแต่ชนชั้นนำมากเกินไป ท่านก็ไม่ได้ใส่ใจ เพราะเชื่อแนวทางการวิเคราะห์สังคมไทยตามหลักสังคมวิทยาการเมือง
ท่านวิจารณ์แนวทางตั้งสมัชชาไว้ว่าการแก้ปัญหาการปฏิรูปประเทศไม่ได้ อยู่ที่จำนวนของสมัชชา และคาดหมายว่า สิ่งที่คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปจะได้จากสมัชชาทั้ง 14 สมัชชา ก็คือ ความคิดเห็นที่หลากหลาย จนจับสาระและเหตุผลไม่ได้ และไม่รู้ว่าจะทำให้ข้อเสนอเป็นจริงขึ้นมาได้อย่างไร
“และ ในที่สุด ความคิดเห็นที่รวบรวมได้จากสมัชชา 14 ชุดเหล่านี้ในอีก 3 ปีข้างหน้า พร้อมกับหมดเงินงบประมาณของแผ่นดินไปแล้ว 600 ล้านบาท ตามที่รัฐบาลให้มาสำหรับซื้อเวลาเพื่อให้ Elite ของเรา มีอะไรทำให้วุ่น ๆ บ้าง เพื่อที่รัฐบาลจะได้อยู่ในตำแหน่งและแสวงหาประโยชน์ต่อไป ก็คือ รัฐบาลจะทำหรือไม่ทำ ก็แล้วแต่รัฐบาลจะเลือก และพร้อม ๆ กับการเลือกก็คือการคงอยู่ของการคอร์รัปชั่น และการแสวงหาประโยชน์ของนักการเมืองนายทุนเจ้าของพรรคการเมือง ในระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุนในระบบรัฐสภาประเทศเดียวในโลก....
“Elite ที่มีเจตนาดี และมีชื่อเสียงเพียงอย่างเดียว ไม่ได้เป็นเงื่อนไขที่เพียงพอสำหรับการปฏิรูปประเทศให้คนไทย ผู้ที่จะปฏิรูปประเทศได้จะต้องเป็นทั้งผู้มีเจตนาดีที่ได้รับการยอมรับจากคน ส่วนใหญ่ของประเทศ และเป็นผู้มีความรู้ และความรอบรู้ พอที่จะวิเคราะห์ปัญหาและทำความเข้าใจกับคนไทย ตลอดจนสามารถชี้นำคนไทย ด้วยเหตุ ด้วยผล และตรรก ให้ไปสู่การปฏิรูปประเทศและ การปฏิรูปการเมืองได้...
“ใครก็ ตามที่คิดจะเขยื้อนภูเขา ผมไม่คิดว่าผู้นั้นจะสามารถเขยื้อนภูเขาได้ ถ้าผู้นั้นยังอยู่ไต้ภูเขาหรือถูกภูเขาทับอยู่ และหนูก็คือหนู ไม่ว่าจะเป็นหนูตัวเดียว หรือหนู in Council...”
ท่านเปรียบเทียบกับนิทานอีสป เรื่องหนูประชุมกันคิดจะเอากระพรวนไปผูกคอแมว แต่หาหนูอาสาไม่ได้สักตัว เพราะรู้ว่าจะต้องตายแน่ ๆ
แต่หนูในนิทานอีสปก็ยังดีกว่าคณะกรรมการปฏิรูปของไทย เพราะหนูยังดีที่รู้ปัญหา ตรงกันข้ามกับคณะกรรมการปฏิรูปของไทยไม่แน่นักว่า
รู้ปัญหาหรือไม่
เป็นคำวิจารณ์ที่แรง !
ผมเองเห็นด้วย แต่ไม่ได้เห็นด้วยทั้งหมด เพราะยังเชื่อว่าท่านอาจารย์หมอประเวศ วะสี และคุณอานันท์ ปันายารชุน ไม่ใช่จะยอมมาเป็นเครื่องมือในการซื้อเวลาให้ระบบเผด็จการโดยพรรคการเมือง นายทุนอย่างตื้น ๆ โดยไม่มีวาระของตัวเองหรอก ท่านยังมี “อาวุธลับ” ที่รัฐบาลไม่รู้หรือรู้แต่ไม่เชื่อหรือรู้และเชื่อแต่ไม่เป็นไรขอแก้ปัญหา เฉพาะหน้าไปก่อน
นั่นคือการสร้างมวลชนกลุ่มใหม่ขึ้นมาให้เติบใหญ่ในอีก 3 - 5 ปีข้างหน้า หวังผลระยะยาว - ไม่เกิน 10 ปี !
โดยใช้เงินของรัฐกระทำไปในนามของรัฐ !!
บางที อาจจะใช้คำตอบของท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์นั่นแหละ เพียงแต่ผ่านวิธีการตอบในอีกรูปแบบหนึ่ง ไม่ใช่รูปแบบคณะกรรมการพิเศษที่อาศัย Statesman มาเป็นรูปแบบสั่งสมพลังมวลชนทีละขั้น ๆ ก็เป็นไปได้
การมีคนตรวจสอบอย่างท่านอาจารย์อมรฯ น่าจะเป็นเรื่องท้าทายของอาจารย์หมอประเวศฯและคุณอานันท์ฯ และนำไปประยุกต์ปรับขบวนให้กระชับ ตรงเป้า และ...
ระดมพลังได้ “หลากหลาย” มากขึ้น !
โดยหลักแล้วท่านเห็นว่าปัญหาวิกฤตของประเทศเกิดจากระบอบเผด็จการรัฐสภา หรือระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน
ถ้าจะแก้ไขก็มีแต่ต้องทำลายระบอบ/ระบบนั้นในทันที !
ส่วนวิธีการแก้ไขในเบื้องต้นที่ต้องทำทันทีก็คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตัดบทบัญญัติอย่างน้อย ๆ สองสามประการ คือ (1) บังคับผู้สมัครส.ส.ให้ต้องสังกัดพรรคการเมือง (2) ให้พรรคการเมืองมีอำนาจให้ส.ส.ที่ไม่ปฏิบัติตามคำบงการสามารถพ้นจากตำแหน่ง ได้ (3) ให้นายกรัฐมนตรีมาจากส.ส.เท่านั้น จากนั้นขั้นต่อไปก็คือเริ่มกระบวนการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพื่อการ ปฏิรูปการเมือ และการปฏิรูปประเทศ โดยคณะกรรมการที่ประกอบด้วยผู้มีประสบการณ์ในการบริหารบ้านเมืองร่วมกับผู้ เชี่ยวชาญโดยผ่านระบบการคัดเลือกจากรัฐบุรุษหรือผู้นำ ในความหมายของ Statesman ไม่ใช่ในลักษณะของ “สภา” หรือ “สมัชชา” ที่มีที่มาหลากหลาย ขั้นสุดท้ายเมื่อได้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่พร้อมด้วยกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ที่จะต้องทำเสร็จพร้อมกันแล้วให้นำมาผ่านการลงประชามติจากประชาชนโดยตรง
ไม่ว่าใครจะเห็นพ้องหรือเห็นต่างอย่างไรท่านก็ยืนยันของท่านอย่างนี้ มาเกือบ 20 ปีแล้วนับตั้งแต่นำข้อเขียนเรื่อง “รัฐธรรมนูญ : โครงสร้างและกลไกทางกฎหมาย” เสนอต่อที่ประชุมในการสัมมนาทางวิชาการที่โรงแรมเอเซีย จัดโดยสถาบันนโยบายศึกษา เมื่อเดือนกรกฎาคม 2534 และเป็นหัวหน้าคณะวิจัยรวมทั้งเขียนบทความต่อเนื่องด้วยตนเองตลอด 2 ปีต่อมา ก่อนจะตกรวบยอดเป็นบทสรุปด้วยการเขียนบทความขนาดยาวเรื่อง “Constitutionalism : ทางออกของประเทศไทย” ลงในนสพ.ผู้จัดการรายวันช่วงเดือนเมษายน 2537 และจัดพิมพ์เป็นรูปเล่มโดยสถาบันนโยบายศึกษาในอีก 3 เดือนต่อมา
หนังสือ “Constitutionalism : ทางออกของประเทศไทย” เดี๋ยวนี้กลายเป็นตำราคลาสสิคไปแล้ว
ท่านอาจารย์หมอประเวศ วะสีก็เคยนำแนวคิดนี้ไปประยุกต์ใช้กับการทำงานของคณะกรรมการพัฒนา ประชาธิปไตย (คพป.) เมื่อปี 2537 และเป็นรากฐานที่นำไปสู่การแก้ไขมาตรา 211 รัฐธรรมนูญ 2534 ในปี 2539 ก่อให้เกิดสภาร่างรัฐธรรมนูญจัดทำรัฐธรรมนูญ 2540 ขึ้นมาในที่สุด แม้นวัตกรรมทางการเมืองหลายอย่างจะมาจากแนวคิดวิชากฎหมายมหาชนยุคใหม่ที่นำ เสนอโดยท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์ แต่หลักสำคัญที่สุดสองสามประการที่ผมกล่าวข้างต้นไม่ได้รับการแก้ไข ผลที่เกิดขึ้นจากรัฐธรรมนูญฉบับนั้นในที่สุดจึงคือการกระชับอำนาจให้กับระบบ เผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน
ท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์ไม่ได้ย่อท้อ หรือเปลี่ยนแปลงความคิด ท่านนำเสนอแนวคิดพื้นฐานของท่านอย่างต่อเนื่อง โดยครั้งหนึ่ง 2 ศิษย์เอกอย่างท่านอาจารย์สมยศ เชื้อไทยและท่านอาจารย์บรรเจิด สิงคเนติถึงกับก่อตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาพรรคหนึ่งชื่อ “พรรคทางเลือกที่สาม” ในช่วงปี 2547
ช่วงวิกฤตเดือนมีนาคม - พฤษภาคม 2553 ก่อนจะนองเลือด ท่านก็เสนอทางออกของประเทศไทยอีกครั้งภายใต้แนวคิดพื้นฐานเดิมแต่ประยุกต์ไป ตามสถานการณ์
เมื่อเกิดกระแส “ปฏิรูปประเทศ” ขึ้นควบคู่กันไป ท่านก็ออกมาตอบโจทย์อีกว่าจะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2 ครั้ง 2 ขั้นตอน
ท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์ไม่เคยเชื่อในรูปแบบสภา รูปแบบสมัชชา แต่จะต้องเป็นเรื่องที่เริ่มต้นโดย Statesman และผู้เชี่ยวชาญ แล้วค่อยมาจบที่ภาคประชาชนในการลงประชามติ จนกระทั่งภาคประชาชนกล่าวหาท่านว่าไม่เห็นพลังของมวลชน ไปเน้นแต่ชนชั้นนำมากเกินไป ท่านก็ไม่ได้ใส่ใจ เพราะเชื่อแนวทางการวิเคราะห์สังคมไทยตามหลักสังคมวิทยาการเมือง
ท่านวิจารณ์แนวทางตั้งสมัชชาไว้ว่าการแก้ปัญหาการปฏิรูปประเทศไม่ได้ อยู่ที่จำนวนของสมัชชา และคาดหมายว่า สิ่งที่คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปจะได้จากสมัชชาทั้ง 14 สมัชชา ก็คือ ความคิดเห็นที่หลากหลาย จนจับสาระและเหตุผลไม่ได้ และไม่รู้ว่าจะทำให้ข้อเสนอเป็นจริงขึ้นมาได้อย่างไร
“และ ในที่สุด ความคิดเห็นที่รวบรวมได้จากสมัชชา 14 ชุดเหล่านี้ในอีก 3 ปีข้างหน้า พร้อมกับหมดเงินงบประมาณของแผ่นดินไปแล้ว 600 ล้านบาท ตามที่รัฐบาลให้มาสำหรับซื้อเวลาเพื่อให้ Elite ของเรา มีอะไรทำให้วุ่น ๆ บ้าง เพื่อที่รัฐบาลจะได้อยู่ในตำแหน่งและแสวงหาประโยชน์ต่อไป ก็คือ รัฐบาลจะทำหรือไม่ทำ ก็แล้วแต่รัฐบาลจะเลือก และพร้อม ๆ กับการเลือกก็คือการคงอยู่ของการคอร์รัปชั่น และการแสวงหาประโยชน์ของนักการเมืองนายทุนเจ้าของพรรคการเมือง ในระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุนในระบบรัฐสภาประเทศเดียวในโลก....
“Elite ที่มีเจตนาดี และมีชื่อเสียงเพียงอย่างเดียว ไม่ได้เป็นเงื่อนไขที่เพียงพอสำหรับการปฏิรูปประเทศให้คนไทย ผู้ที่จะปฏิรูปประเทศได้จะต้องเป็นทั้งผู้มีเจตนาดีที่ได้รับการยอมรับจากคน ส่วนใหญ่ของประเทศ และเป็นผู้มีความรู้ และความรอบรู้ พอที่จะวิเคราะห์ปัญหาและทำความเข้าใจกับคนไทย ตลอดจนสามารถชี้นำคนไทย ด้วยเหตุ ด้วยผล และตรรก ให้ไปสู่การปฏิรูปประเทศและ การปฏิรูปการเมืองได้...
“ใครก็ ตามที่คิดจะเขยื้อนภูเขา ผมไม่คิดว่าผู้นั้นจะสามารถเขยื้อนภูเขาได้ ถ้าผู้นั้นยังอยู่ไต้ภูเขาหรือถูกภูเขาทับอยู่ และหนูก็คือหนู ไม่ว่าจะเป็นหนูตัวเดียว หรือหนู in Council...”
ท่านเปรียบเทียบกับนิทานอีสป เรื่องหนูประชุมกันคิดจะเอากระพรวนไปผูกคอแมว แต่หาหนูอาสาไม่ได้สักตัว เพราะรู้ว่าจะต้องตายแน่ ๆ
แต่หนูในนิทานอีสปก็ยังดีกว่าคณะกรรมการปฏิรูปของไทย เพราะหนูยังดีที่รู้ปัญหา ตรงกันข้ามกับคณะกรรมการปฏิรูปของไทยไม่แน่นักว่า
รู้ปัญหาหรือไม่
เป็นคำวิจารณ์ที่แรง !
ผมเองเห็นด้วย แต่ไม่ได้เห็นด้วยทั้งหมด เพราะยังเชื่อว่าท่านอาจารย์หมอประเวศ วะสี และคุณอานันท์ ปันายารชุน ไม่ใช่จะยอมมาเป็นเครื่องมือในการซื้อเวลาให้ระบบเผด็จการโดยพรรคการเมือง นายทุนอย่างตื้น ๆ โดยไม่มีวาระของตัวเองหรอก ท่านยังมี “อาวุธลับ” ที่รัฐบาลไม่รู้หรือรู้แต่ไม่เชื่อหรือรู้และเชื่อแต่ไม่เป็นไรขอแก้ปัญหา เฉพาะหน้าไปก่อน
นั่นคือการสร้างมวลชนกลุ่มใหม่ขึ้นมาให้เติบใหญ่ในอีก 3 - 5 ปีข้างหน้า หวังผลระยะยาว - ไม่เกิน 10 ปี !
โดยใช้เงินของรัฐกระทำไปในนามของรัฐ !!
บางที อาจจะใช้คำตอบของท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์นั่นแหละ เพียงแต่ผ่านวิธีการตอบในอีกรูปแบบหนึ่ง ไม่ใช่รูปแบบคณะกรรมการพิเศษที่อาศัย Statesman มาเป็นรูปแบบสั่งสมพลังมวลชนทีละขั้น ๆ ก็เป็นไปได้
การมีคนตรวจสอบอย่างท่านอาจารย์อมรฯ น่าจะเป็นเรื่องท้าทายของอาจารย์หมอประเวศฯและคุณอานันท์ฯ และนำไปประยุกต์ปรับขบวนให้กระชับ ตรงเป้า และ...
ระดมพลังได้ “หลากหลาย” มากขึ้น !
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 29 สิงหาคม 2553 16:29 น.
ท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์ไปอภิปรายเรื่องเกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศให้ สถาบันพระปกเกล้ามาพักใหญ่แล้ว ด้วยถ้อยคำที่ดู “แรง” ทำให้ปรากฏเป็นข่าวฮือฮาในวงเล็ก ๆ อยู่วันเดียวแล้วก็เงียบหายไป เหมือนที่เคยเป็นมาโดยตลอดกับแนวคิดของท่านตั้งแต่ปี 2535 เป็นต้นมา
โดยหลักแล้วท่านเห็นว่าปัญหาวิกฤตของประเทศเกิดจากระบอบเผด็จการรัฐสภา หรือระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน
ถ้าจะแก้ไขก็มีแต่ต้องทำลายระบอบ/ระบบนั้นในทันที !
ส่วนวิธีการแก้ไขในเบื้องต้นที่ต้องทำทันทีก็คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตัดบทบัญญัติอย่างน้อย ๆ สองสามประการ คือ (1) บังคับผู้สมัครส.ส.ให้ต้องสังกัดพรรคการเมือง (2) ให้พรรคการเมืองมีอำนาจให้ส.ส.ที่ไม่ปฏิบัติตามคำบงการสามารถพ้นจากตำแหน่ง ได้ (3) ให้นายกรัฐมนตรีมาจากส.ส.เท่านั้น จากนั้นขั้นต่อไปก็คือเริ่มกระบวนการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพื่อการ ปฏิรูปการเมือ และการปฏิรูปประเทศ โดยคณะกรรมการที่ประกอบด้วยผู้มีประสบการณ์ในการบริหารบ้านเมืองร่วมกับผู้ เชี่ยวชาญโดยผ่านระบบการคัดเลือกจากรัฐบุรุษหรือผู้นำ ในความหมายของ Statesman ไม่ใช่ในลักษณะของ “สภา” หรือ “สมัชชา” ที่มีที่มาหลากหลาย ขั้นสุดท้ายเมื่อได้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่พร้อมด้วยกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ที่จะต้องทำเสร็จพร้อมกันแล้วให้นำมาผ่านการลงประชามติจากประชาชนโดยตรง
ไม่ว่าใครจะเห็นพ้องหรือเห็นต่างอย่างไรท่านก็ยืนยันของท่านอย่างนี้ มาเกือบ 20 ปีแล้วนับตั้งแต่นำข้อเขียนเรื่อง “รัฐธรรมนูญ : โครงสร้างและกลไกทางกฎหมาย” เสนอต่อที่ประชุมในการสัมมนาทางวิชาการที่โรงแรมเอเซีย จัดโดยสถาบันนโยบายศึกษา เมื่อเดือนกรกฎาคม 2534 และเป็นหัวหน้าคณะวิจัยรวมทั้งเขียนบทความต่อเนื่องด้วยตนเองตลอด 2 ปีต่อมา ก่อนจะตกรวบยอดเป็นบทสรุปด้วยการเขียนบทความขนาดยาวเรื่อง “Constitutionalism : ทางออกของประเทศไทย” ลงในนสพ.ผู้จัดการรายวันช่วงเดือนเมษายน 2537 และจัดพิมพ์เป็นรูปเล่มโดยสถาบันนโยบายศึกษาในอีก 3 เดือนต่อมา
หนังสือ “Constitutionalism : ทางออกของประเทศไทย” เดี๋ยวนี้กลายเป็นตำราคลาสสิคไปแล้ว
ท่านอาจารย์หมอประเวศ วะสีก็เคยนำแนวคิดนี้ไปประยุกต์ใช้กับการทำงานของคณะกรรมการพัฒนา ประชาธิปไตย (คพป.) เมื่อปี 2537 และเป็นรากฐานที่นำไปสู่การแก้ไขมาตรา 211 รัฐธรรมนูญ 2534 ในปี 2539 ก่อให้เกิดสภาร่างรัฐธรรมนูญจัดทำรัฐธรรมนูญ 2540 ขึ้นมาในที่สุด แม้นวัตกรรมทางการเมืองหลายอย่างจะมาจากแนวคิดวิชากฎหมายมหาชนยุคใหม่ที่นำ เสนอโดยท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์ แต่หลักสำคัญที่สุดสองสามประการที่ผมกล่าวข้างต้นไม่ได้รับการแก้ไข ผลที่เกิดขึ้นจากรัฐธรรมนูญฉบับนั้นในที่สุดจึงคือการกระชับอำนาจให้กับระบบ เผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน
ท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์ไม่ได้ย่อท้อ หรือเปลี่ยนแปลงความคิด ท่านนำเสนอแนวคิดพื้นฐานของท่านอย่างต่อเนื่อง โดยครั้งหนึ่ง 2 ศิษย์เอกอย่างท่านอาจารย์สมยศ เชื้อไทยและท่านอาจารย์บรรเจิด สิงคเนติถึงกับก่อตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาพรรคหนึ่งชื่อ “พรรคทางเลือกที่สาม” ในช่วงปี 2547
ช่วงวิกฤตเดือนมีนาคม - พฤษภาคม 2553 ก่อนจะนองเลือด ท่านก็เสนอทางออกของประเทศไทยอีกครั้งภายใต้แนวคิดพื้นฐานเดิมแต่ประยุกต์ไป ตามสถานการณ์
เมื่อเกิดกระแส “ปฏิรูปประเทศ” ขึ้นควบคู่กันไป ท่านก็ออกมาตอบโจทย์อีกว่าจะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2 ครั้ง 2 ขั้นตอน
ท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์ไม่เคยเชื่อในรูปแบบสภา รูปแบบสมัชชา แต่จะต้องเป็นเรื่องที่เริ่มต้นโดย Statesman และผู้เชี่ยวชาญ แล้วค่อยมาจบที่ภาคประชาชนในการลงประชามติ จนกระทั่งภาคประชาชนกล่าวหาท่านว่าไม่เห็นพลังของมวลชน ไปเน้นแต่ชนชั้นนำมากเกินไป ท่านก็ไม่ได้ใส่ใจ เพราะเชื่อแนวทางการวิเคราะห์สังคมไทยตามหลักสังคมวิทยาการเมือง
ท่านวิจารณ์แนวทางตั้งสมัชชาไว้ว่าการแก้ปัญหาการปฏิรูปประเทศไม่ได้ อยู่ที่จำนวนของสมัชชา และคาดหมายว่า สิ่งที่คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปจะได้จากสมัชชาทั้ง 14 สมัชชา ก็คือ ความคิดเห็นที่หลากหลาย จนจับสาระและเหตุผลไม่ได้ และไม่รู้ว่าจะทำให้ข้อเสนอเป็นจริงขึ้นมาได้อย่างไร
“และ ในที่สุด ความคิดเห็นที่รวบรวมได้จากสมัชชา 14 ชุดเหล่านี้ในอีก 3 ปีข้างหน้า พร้อมกับหมดเงินงบประมาณของแผ่นดินไปแล้ว 600 ล้านบาท ตามที่รัฐบาลให้มาสำหรับซื้อเวลาเพื่อให้ Elite ของเรา มีอะไรทำให้วุ่น ๆ บ้าง เพื่อที่รัฐบาลจะได้อยู่ในตำแหน่งและแสวงหาประโยชน์ต่อไป ก็คือ รัฐบาลจะทำหรือไม่ทำ ก็แล้วแต่รัฐบาลจะเลือก และพร้อม ๆ กับการเลือกก็คือการคงอยู่ของการคอร์รัปชั่น และการแสวงหาประโยชน์ของนักการเมืองนายทุนเจ้าของพรรคการเมือง ในระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุนในระบบรัฐสภาประเทศเดียวในโลก....
“Elite ที่มีเจตนาดี และมีชื่อเสียงเพียงอย่างเดียว ไม่ได้เป็นเงื่อนไขที่เพียงพอสำหรับการปฏิรูปประเทศให้คนไทย ผู้ที่จะปฏิรูปประเทศได้จะต้องเป็นทั้งผู้มีเจตนาดีที่ได้รับการยอมรับจากคน ส่วนใหญ่ของประเทศ และเป็นผู้มีความรู้ และความรอบรู้ พอที่จะวิเคราะห์ปัญหาและทำความเข้าใจกับคนไทย ตลอดจนสามารถชี้นำคนไทย ด้วยเหตุ ด้วยผล และตรรก ให้ไปสู่การปฏิรูปประเทศและ การปฏิรูปการเมืองได้...
“ใครก็ ตามที่คิดจะเขยื้อนภูเขา ผมไม่คิดว่าผู้นั้นจะสามารถเขยื้อนภูเขาได้ ถ้าผู้นั้นยังอยู่ไต้ภูเขาหรือถูกภูเขาทับอยู่ และหนูก็คือหนู ไม่ว่าจะเป็นหนูตัวเดียว หรือหนู in Council...”
ท่านเปรียบเทียบกับนิทานอีสป เรื่องหนูประชุมกันคิดจะเอากระพรวนไปผูกคอแมว แต่หาหนูอาสาไม่ได้สักตัว เพราะรู้ว่าจะต้องตายแน่ ๆ
แต่หนูในนิทานอีสปก็ยังดีกว่าคณะกรรมการปฏิรูปของไทย เพราะหนูยังดีที่รู้ปัญหา ตรงกันข้ามกับคณะกรรมการปฏิรูปของไทยไม่แน่นักว่า
รู้ปัญหาหรือไม่
เป็นคำวิจารณ์ที่แรง !
ผมเองเห็นด้วย แต่ไม่ได้เห็นด้วยทั้งหมด เพราะยังเชื่อว่าท่านอาจารย์หมอประเวศ วะสี และคุณอานันท์ ปันายารชุน ไม่ใช่จะยอมมาเป็นเครื่องมือในการซื้อเวลาให้ระบบเผด็จการโดยพรรคการเมือง นายทุนอย่างตื้น ๆ โดยไม่มีวาระของตัวเองหรอก ท่านยังมี “อาวุธลับ” ที่รัฐบาลไม่รู้หรือรู้แต่ไม่เชื่อหรือรู้และเชื่อแต่ไม่เป็นไรขอแก้ปัญหา เฉพาะหน้าไปก่อน
นั่นคือการสร้างมวลชนกลุ่มใหม่ขึ้นมาให้เติบใหญ่ในอีก 3 - 5 ปีข้างหน้า หวังผลระยะยาว - ไม่เกิน 10 ปี !
โดยใช้เงินของรัฐกระทำไปในนามของรัฐ !!
บางที อาจจะใช้คำตอบของท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์นั่นแหละ เพียงแต่ผ่านวิธีการตอบในอีกรูปแบบหนึ่ง ไม่ใช่รูปแบบคณะกรรมการพิเศษที่อาศัย Statesman มาเป็นรูปแบบสั่งสมพลังมวลชนทีละขั้น ๆ ก็เป็นไปได้
การมีคนตรวจสอบอย่างท่านอาจารย์อมรฯ น่าจะเป็นเรื่องท้าทายของอาจารย์หมอประเวศฯและคุณอานันท์ฯ และนำไปประยุกต์ปรับขบวนให้กระชับ ตรงเป้า และ...
ระดมพลังได้ “หลากหลาย” มากขึ้น !
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)