++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2555

3 MV บทเพลงพิเศษ วันของเธอ-รวมพลังใจ-วิทยุสัมพันธ์ มอบแด่งานเปิดบ้านคนเมืองเรดิโอ

           เนื่องในโอกาสครบรอบ 1 ปี สถานีวิทยุออนไลน์คนเมืองเรดิโอ ในงานเปิดบ้านคนเมือง  ได้ีการรวบรวมภาพกิจกรรมในวันงาน เปิดบ้านคนเมือง เมื่อ 23 มิถุนายน 2555 มาร้อยเรียงด้วยบทเพลงที่มีความหมาย 3 บทเพลง เพื่อเป็นกำลังใจ แด่คนเมืองเรดิโอ ดังนี้

MVวันของเธอ (1 Year Khon Muang Radio Version)




MVรวมพลังใจ (1 Year Khon Muang Radio Version)




เพลงวิทยุสัมพันธ์ 1 Year khon muang Radio Version


ธรรม 4 ประการสำหรับพุทธบริษัทที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสสอนไว้


ธรรม 4 ประการสำหรับพุทธบริษัทที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสสอนไว้ดังนี้
มัจฉริยะ  บุคคลที่มีความตระหนี่ ไม่ทำบุญให้ทานแก่ผู้ควรให้ วิบากนี้จะทำให้กลายเป็นหรือบันดาลให้เป็นผู้ขัดสน เป็นคนยากจนในทรัพย์สินสมบัติทั้งปวง  ในภพชาติต่อ ๆ ไป  อีกทั้งยังขวางกั้นทางปฏิบัติอันก้าวสู่มรรคผลอีกด้วย  เหตุเพราะการให้ทานเป็นหนึ่งในบารมีที่เราต่างรับทราบกันดีว่า พระชาติสุดท้ายแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  คือพระเวสสันดร  ที่ทรงบำเพ็ญทานบารมีนั่นเอง
ปริจาคะ  เป็นธรรมข้อตรงข้ามกับมัจฉริยะ  คือบุคคลที่มีการบริจาคทรัพย์สมบัติของตนให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น ได้แก่ความไม่ตระหนี่ถี่เหนียว มีความยินดีในการทำบุญกุศล ทำกรรมดีนั้นย่อมบันดาลให้เป็นคนมั่งคั่งสมบูรณ์ด้วยทรัพย์สินสมบัติทั้งชาตินี้และชาติหน้า  อันนี้เป็นข้อปริจาคะของคฤหัสถ์

สำหรับปริจาคะของเหล่าผู้หวังการพ้นทุกข์นั้นมีดังนี้...
1.ธนปริจาโค  การบริจาคทรัพย์  อันมีเงินทอง ทรัพย์สิน บ้านเรือน ไร่นา อันเป็นภาระร้อยรัด เพิ่มทุกข์ของตนให้มากไปกว่าขันธ์ห้าอันเป็นตัวทุกข์อยู่แล้ว
2.ตัณหาปริจาโค  การบริจาคด้วยการละวาง  ความรักลูกรักเมียออกจากใจ
3.ชีวิตปริจาโค  การสละชีวิต  เชื่อว่าชีวิตอยู่ได้ด้วยลมหายใจ  ลมเป็นของไม่มีสาระแก่นสารอะไร  ร่างกายเป็นของบูดเน่าเป็นปฏิกูลไม่น่ายินดี ให้สละละออกจากใจ  มุ่งบริจาคชีวิตเพื่อการปฏิบัติธรรมสู่ความหลุดพ้น
4.ปุตตปริจาโค  ลูกหลานเป็นตัวทุกข์ ให้ละออกจากใจเพื่อสลัดปวงแห่งความห่วงใย  เพื่อการปฏิบัติสู่ความหลุดพ้น
5.ภริยาปริจาโค  ภรรยาก็เป็นห่วงร้อยรัด  ฉะนั้นการมุ่งสู่มรรคผลและนิพพาน  ต้องสละด้วยชีวิตพรหม์จรรย์  คือการเว้นจากการครองเรือน
ทั้ง  5 ประการดังกล่าวคือข้อปริจาคะของผู้ต้องการผ่านทุกข์ตัดห่วงวัฏฏะของกระแสโลก  มุ่งตรงสู่ความพ้นทุกข์ในแดนนิพพาน

อเวยยาวัจจะ  บุคคลที่ไม่มีความช่วยเหลือไม่ขวนขวายในกิจที่ชอบ  คือการไม่ขวนขวายในบุญกุศลของผู้อื่น  และไม่เที่ยวบอกบุญบอกการกุศล  วิบากนั้นจะบันดาลให้เป็นคนไร้ญาติขาดมิตร  และยากจะประกอบกิจการใด ๆ ให้สำเร็จได้โดยง่าย
เวยยาวัจจะ  ตรงข้ามกับอเวยยาวัจจะ  เป็นบุคคลที่มีการขวนขวายในกิจอันชอบ  คือขวนขวายในการบุญการกุศลของคนอื่นให้มาร่วมบุญร่วมกุศล เพื่อประโยชน์แก่ชาติแก่ศาสนา  กรรมดีนั้นจะบันดาลให้เป็นบุคคลที่สมบูรณ์ด้วยญาติมิตรสหาย  อีกทั้งข้าทาสบริวารก็มากมาย

ธรรมทั้ง 4 ประการที่กล่าวมาข้างต้นนั้น  ควรอย่างยิ่งที่เหล่าพุทธบริษัทควรนำมาพิจารณาและปฏิบัติตน  เพื่อความสุขความเจริญแห่งชีวิตตนทั้งปัจจุบันและอนาคตชาติข้างหน้า
ถึงตรงนี้ต้องขอเสริมอีกนิดครับ  พูดถึงเวยยาวัจจะนี้ คือการขวนขวายในกิจอันชอบ  สามารถรวมได้ถึงการ ‘ริเริ่ม’ นำพาผู้คนกระทำในสิ่งอันควร   คือความดีงาม   ในศีล  ทาน  และภาวนา  ซึ่งเป็นประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน กับพุทธโอวาทก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน  อันเป็นการตัดหนทางแห่งความประมาททิ้งเสียฉันนั้น!
ปัจจุบัน  ธรรมข้อเวยยาวัจจะ  มักถูกขวางกั้นด้วยความกลัว...คือกลัวว่าผู้อื่นจะกล่าวติฉินนินทา  อีกทั้งด้วยความละอาย  ละอายว่าผู้อื่นจะกล่าวว่าชอบนำความเดือดร้อนให้เสียเงินเสียทองเพื่อทำบุญอยู่เนือง ๆ
ทั้งสองประการดังกล่าว  สามารถดับด้วยปัญญาธรรมในหมวดโลกธรรมแปด...คือมีลาภ...เสื่อมลาภ  มียศ...เสื่อมยศ   มีสุขย่อมมีทุกข์  เช่นกันกับมีสรรเสริญก็ต้องมีนินทาเป็นธรรมดาแห่งโลก  ฉะนั้นผู้ใดสามารถก้าวทันโลกธรรมแปดประการด้วยความเข้าใจ  ผู้นั้นย่อมสามารถก้าวผ่านทุกข์ทั้งปวงได้อย่างไม่ยากเย็น
อย่าละอายที่จะทำความดี  แม้มีเสียงนินทาว่ากล่าว อย่ายินดีในคำสรรเสริญ เมื่อทำความดี  แต่จงยินดี  เพราะเราได้ทำหน้าที่ของการเป็นพุทธบริษัทที่ดี ดังพุทธดำรัสแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
จำได้ว่า...ล่าสุดที่ได้กราบนมัสการหลวงปู่เสน ปัญญาธโร ในงานทอดผ้าป่าสามัคคีที่สำนักปฏิบัติธรรม ซอยเพชรเกษม 69 โดยมีชมรมพ่อค้าปลีก-ส่งเป็นเจ้าภาพ  เมื่อวันที่ 24 กันยายน ที่ผ่านมา  ท่านได้เทศน์อบรมไว้ในวันนั้นเกี่ยวกับโลกธรรมแปดว่า...
“ลาภ  ยศ...สุข  สรรเสริญ  เป็นของไม่เที่ยง  เพราะเป็นของมีได้ก็เสื่อมได้...”
และหลวงปู่ยังทิ้งท้ายให้เป็นข้อคิดว่า...
“ในชีวิตของหลวงปู่  เห็นแจ้งในความจริงประการหนึ่ง ประการนั้นคือ  ในครั้งแรกที่พบเห็นกัน ใครที่นินทาเรา  หลังจากนั้นจะสรรเสริญเรา  ขณะเดียวกันใครที่สรรเสริญเราตั้งแต่แรกที่พบหน้า ในที่สุดคนคนนั้นก็จะนินทาเราในเวลาอันใกล้”
ประโยคของหลวงปู่น่าจะเป็นไปโดยนัยที่ว่า ต่อให้ผู้อื่นนินทาว่ากล่าวเราอย่างไรก็ตาม  หากเรามีความยึดมั่นในคุณความดี  ทำประโยชน์ต่อศาสนาและสังคม ในที่สุดคนที่ว่ากล่าวนินทาก็จะมองเห็นและกล่าวสรรเสริญในภายหลัง ส่วนคนที่สรรเสริญเราเพียงแค่พบหน้าโดยปราศจากการไตร่ตรองใคร่ครวญความจริง บุคคลประเภทนี้ย่อมปราศจากหตุและผล...
...เช่นนั้น ก็จะสามารถกล่าวคำนินทาเราได้โดยง่ายเช่นกัน!
แต่กระนั้นทั้งสองประการไม่ว่าจะเป็นคำสรรเสริญหรือนินทาก็เป็นเพียง ‘โลกธรรม’ โดยพื้น ไม่สามารถสร้างความระคายให้หัวจิตหัวใจของผู้ที่เจริญธรรมเข้าสู่ ‘โลกุตรธรรม’ ได้อย่างแน่นอน
สรุปคือ... การทำ ปริจาคะ และเวยยาวัจจะ  เป็นหน้าที่ของพุทธบริษัท  และไม่ควรสนใจต่อคำวิพากษ์ของใคร  เพราะคำวิพากษ์ด้วยสรรเสริญและนินทา คือเรื่องของโลกธรรมทั้งแปด  ใครทำความดีเช่นนี้แล้วไซร้  ไม่ต้องขอพรจากสิ่งใดก็สำเร็จในกิจที่ปรารถนาได้อย่างแน่นอน
ดังคำกล่าวของท่านเจ้าคุณนรรัตน์ราชมานิต พระอรหันตเจ้ากลางกรุงฯ แห่งวัดเทพศิรินทร์ ที่แสดงไว้ชัดเจนว่า
“ทำดี...ดีกว่าขอพร!”
นั่นเพราะ... ‘กรรมดี’ เท่านั้นจะบันดาลให้เราท่านพบความสุขความเจริญดังพุทธภาษิตที่ว่า ‘กัมมุนาวัตตะตี โลโก’  ที่แปลว่า ‘สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม’ นั่นเอง
พบกันฉบับหน้าครับ!

เส้นแบ่ง


เส้นแบ่ง
บางครั้งมันก็หนา เหมือนเส้นแบ่งเลนรถวิ่งขวาซ้าย
บางครั้งมันก็หนาเหมือนเส้นขาวดำ แต่บางคนบอกว่ามันไม่หนา มันบางก็เลยมีสีเทาเวลาจะทำชั่วเล็กน้อย ก็อ้างว่าสีเทานะยังไม่ดำ ไม่ชั่ว
บางครั้งเส้นแบ่งระหว่างความมั่นใจกับความอวดดีมันช่างเบาบาง ยากจะชี้ชัด
แต่เส้นแบ่งบาปบุญหรือกุศลและอกุศลมันชัดเจน เว้นแต่จะหน้ามืดเพราะความหลง มันเลยเผลอชั่วไปในอกุศล
เพราะมีป้ายห้ามแรกแล้วคือศีล

นักปราชญ์ข้างถนน ถือศีลครบวันนี้

จูฬสุญญตสูตร ● สุญญตา


จูฬสุญญตสูตร ● สุญญตา




ก้าวผ่านความนึกคิดไป ที่เหลือคือความรู้สึก ก้าวผ่านความรู้สึกไปคือการเห็น-ความเห็น(ทิฏฐิ)
...เมื่อบุคคลเห็นและเข้าใจแทงตลอดแห่ง"ธรรมเกิด"
บุคคลนั้นย่อมถอนความเห็น(ทิฏฐิ)ในโลกได้ ในความไม่มีอะไร(นัตถิตาทิฏฐิ)

เมื่อบุคคลเห็นและเข้าใจแทงตลอดแห่ง"ธรรมที่ตั้งอยู่"
บุคคลนั้นย่อมถอนความเห็น(ทิฏฐิ)ในโลกได้ ในความขาดสูญ(อุทเฉททิฏฐิ)

เมื่อบุคคลเห็นและเข้าใจแทงตลอดแห่ง"ธรรมดับ"
บุคคลนั้นย่อมถอนความเห็น(ทิฏฐิ)ในโลกได้ ในความยั่งยืนมั่นคง มีอยู่ เที่ยงแท้ แน่นิ่ง(สัสสตทิฏฐิ)

โลก หมายถึง โลก(แห่งนามรูป) คือสิ่ง(สภาวธรรม)ที่ประจักษ์อยู่โดย ณ ปัจจุบันขณะด้วยอย่างใดอย่างนึงจากการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้นรส การสัมผัสด้วยกาย และการรับรู้ด้วยใจ

คือ โลกแห่งอิทัปปัจยตา(โลกแห่งเหตุปัจจัยที่มาประชุมกัน ณ ขณะ ขณะนึง)
เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี
เมื่อสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ
เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี .
เกิดขึ้น->ตั้งอยู่->ดับไป->เกิดขึ้น->ตั้งอยู่->ดับไป ..ฯ

โลกว่างเปล่า ● สุญญสูตร
[๑๐๒] ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ ฯลฯ ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่เรียกว่าโลกว่างเปล่า ๆ ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอจึงเรียกว่า โลกว่างเปล่า.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส ตอบว่า ดูก่อนอานนท์ เพราะว่างเปล่าจากตนหรือจากของ ๆ ตน ฉะนั้นจึงเรียกว่า โลกว่างเปล่า อะไรเล่าว่างเปล่าจากตนหรือจากของ ๆ ตน.

จักษุแลว่างเปล่าจากตนหรือจากของ ๆ ตน
รูปว่างเปล่าจากตนหรือจากของ ๆ ตน
จักษุวิญญาณว่างเปล่าจากตนหรือจากของ ๆ ตน จักษุสัมผัสว่างเปล่าจากตน หรือจากของ ๆ ตน
สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย ก็ว่างเปล่าจากตนหรือจากของ ๆ ตน

...(ลำดับต่อไป มีพระพุทธดำรัสกล่าวซ้ำ เนื้อความโดยลำดับจาก "หู-เสียง-ความรับรู้ทางเสียง-ประสาทสัมผัสการได้ยินเสียง",
"จมูก-กลิ่น-ความรับรู้กลิ่น-การสัมผัสกลิ่น", "ลิ้น-รส-ความรับรู้รส-การสัมผัสลิ้น"," กาย-ความรับรู้ทางกาย-ประสาทสัมผัสทางร่างกาย")
..ใจว่างเปล่าจากตนหรือจากของ ๆ ตน ธรรมารมณ์ว่างเปล่าจากตนหรือจากของ ๆ ตน มโนวิญญาณว่างเปล่าจากตนหรือจากของ ๆ ตน มโนสัมผัสว่างเปล่าจากตนหรือจากของ ๆ ตน สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัยก็ว่างเปล่าจากตนหรือจากของ ๆ ตน

ดูก่อนอานนท์ เพราะว่างเปล่าจากตนหรือจากของๆตน ฉะนั้นจึงเรียกว่าโลกว่างเปล่า.

~ สุญญสูตรที่ ๒ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๘ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๐ สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค.

รายละเอียดเพิ่มเติม- จูฬสุญญตสูตร ● สุญญตา
http://www.dhammachak.net/board/viewtopic.php?t=46

~ ธรรมศาลา


ที่มา...http://www.facebook.com/photo.php?fbid=415082565210057&set=at.136014179783565.38373.132513600133623.1257448716&type=1&theater

VDO การแสดงขับจ๊อยซอ โดย พ่อครูจันตา เลาคำ 23มิ.ย.2555

            การแสดงขับจ๊อยซอ โดย พ่อครูจันตา เลาคำ ในงานเปิดบ้านคนเมือง "1 ปี คนเมือง เรดิโอ สู่คนเมืองมีเดีย" 23 มิถุนายน 2555 ณ ห้องพิณทอง โรงแรมเชียงใหม่ แกรนด์วิว จ.เชียงใหม่ post by กลุ่มรัีกพ่อภาคปฏิบัติ

VDO การแสดงเทควันโด โชว์ โดยกลุ่ม Lion Fighter ในงานเปิดบ้านคนเมือง "1 ปี

         การแสดงเทควันโด โชว์ โดยกลุ่ม Lion  Fighter ในงานเปิดบ้านคนเมือง "1 ปี คนเมือง เรดิโอ สู่คนเมืองมีเดีย" 23 มิถุนายน 2555 ณ ห้องพิณทอง โรงแรมเชียงใหม่ แกรนด์วิว จ.เชียงใหม่ post by กลุ่มรัีกพ่อภาคปฏิบัติ

ตั้งสติก่อนนองเลือด! ข้อมูลจากสายข่าวที่แฝงในแกนนำเสื้อแดง


ตั้งสติก่อนนองเลือด!
ข้อมูลจากสายข่าวที่แฝงในแกนนำเสื้อแดง ล่าสุด!สรุปสถานการณ์ให้ฟังดังนี้
แกนนำฝ่าย(แดง)ซ้ายให้เร่งสร้างเงื่อนไขความหวาดกลัวเพื่อข่มขู่ให้กระบวนการยุติธรรมไม่กล้าพิจารณาตัดสินความผิดของเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทย โดยขู่จะสร้างสงครามกลางเมืองขึ้นมาหากคนไทยไม่ยอมตามที่เสื้อแดงต้องการ โดยพยายามสร้างสถานการณ์ให้เกิดวันเสียงปืนแตกอีกครั้ง เพราะฝ่าย(แดง)ซ้ายเชื่อว่า เมล็ดพันธุ์สีแดงได้ถูกหว่านลงไปในทุกพื้นที่ของประเทศไทยแล้ว รอเพียงประกายไฟแรกเท่านั้น ยุทธการไฟลามทุ่งจะถูกจุดขึ้นทันที ฝ่าย(แดง)ซ้ายเชื่ออย่างนั้น การเคลื่อนไหวของเสื้อแดงจึงถูกชี้นำให้ก้าวร้าว รุนแรง เพื่อให้เกิดการปะทะ เพื่อให้เกิดการทำร้ายกัน ให้มีคนบาดเจ็บ ให้มีคนเสียชีวิต ยิ่งคนเสื้อแดงบาดเจ็บหรือเสียชีวิตอีก ยิ่งเป็นผลดีต่อเป้าหมายทางการเมืองของฝ่าย(แดง)ซ้าย เมื่อเหตุการณ์รุนแรงขึ้นถึงขั้นใช้อาวุธเข้าสังหารกัน หรือทำร้ายกันของประชาชนทั้งสองฝ่าย ฝ่าย(แดง)ซ้ายเชื่อมั่นว่า ทั้งทักษิณ,รัฐบาลยิ่งลักษณ์,และพรรคเพื่อไทย จะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันมาสนับสนุนและปกป้องพวกเสื้อแดง ถึงขนาดมีการวางแผนทำร้ายหรือฆ่าแกนนำของพรรคประชาธิปัตย์เพื่อให้เกิดเงื่อนไขการปะทะกันของประชาชนที่ถูกแบ่งแยกเป็นสองฝ่าย
ดังนั้น สถานการณ์นับต่อแต่นี้ไปประชาชนผู้รักชาติทั้งหลายต้องรู้เท่าทันสถานการณ์และแผนการของกลุ่มบุคคลที่มีเป้าหมายทำลายชาติ ต้องรอบคอบ ไตร่ตรองให้ดี อย่าใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล เพื่อไม่ให้ตนเองตกไปเป็นเหยื่อของบุคคลกลุ่มนี้
ปล.ติดตามการเคลื่อนไหวของบุคคลกลุ่มนี้ได้จากเพจนี้หรือจากทวิตเตอร์ Thaikorn

ททท.ชวนร่วมตื่นเต้นไปกับ เทศกาลล่องแก่งหินเพิง จ.ปราจีน


ททท.ชวนร่วมตื่นเต้นไปกับ เทศกาลล่องแก่งหินเพิง จ.ปราจีน

      การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) ชวนเที่ยวงาน เทศกาลล่องแก่งหินเพิง 55 ในวันที่ 1 ก.ค. - 31 ต.ค. 55 ณ บริเวณหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ที่ 9 ตำบลสะพานหิน อำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี พบกับกิจกรรม ล่องแก่งหินเพิงผ่านแก่ง 6 แก่ง อาทิ แก่งหินเพิง, แก่งวังหนามล้อมฯ
     
       โดยจังหวัดปราจีนบุรี ร่วมกับ องค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรี อำเภอนาดี องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่อำเภอนาดี และชมรมผู้ประกอบการเรือยางจังหวัดปราจีนบุรี ชวนนักท่องเที่ยวสัมผัสธรรมชาติของสายน้ำและสนุกสนานกับการล่องแก่งหินเพิง
     
       นอกจากนั้นแล้วยังมีกิจกรรมล่องแก่งหินเพิงผ่านแก่ง 6 แก่ง ได้แก่ แก่งหินเพิง, แก่งวังหนามล้อม, แก่งวังบอน, แก่งลูกเสือ, แก่งวังไทร และแก่งงูเห่า ทั้งนี้ ช่วงสัปดาห์ล่องแก่งหินเพิง สอบถามรายละเอียดเพิ่มได้เติมได้ที่ ททท.สำนักงานนครนายก โทร. 0-3731-2282 และชมรมผู้ประกอบการล่องแก่งหินเพิง โทร. 0-3745-1204

King"ผิดตรงไหน..???


++++
Thetiger King"ผิดตรงไหน..???.ที่พระมหากษัตริย์พระองค์นี้ ทรงมีพระเจริยวัตรงดงาม ทรงมีพระอัจฉริยะภาพปราดเปรื่อง ทรงเป็นกษัตริย์ชาตินักรบ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณล้นฟ้า และทรงเคารพรัฐธรรมนูญของชาติ."
"ตรงไหนที่บ่งบอกว่าพระองค์ไม่ใช่พระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย"...

คนอนุรักษ์ เมืองกินป่า น้ำกินเมือง


คนอนุรักษ์
เมืองกินป่า น้ำกินเมือง
หน้าฝนเดินทางมาถึงอีกครั้ง และยังไม่มีใครรู้ว่าฝนคราวนี้จะพาน้ำท่วมกลับมาอีกด้วยหรือไม่ ก่อนจะป้องกันปัญหาระยะสั้นอย่างก่ออิฐ ยกพื้น ย้ายของขึ้นที่สูง ฯลฯ เราอยากให้คุณดูข้อมูลที่จะช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วมได้อย่างยั่งยืน

งานวิจัยจากความร่วมมือของมหาวิทยาลัยในออสเตรเลีย สิงคโปร์ และสหราชอาณาจักร หัวข้อ “หลักฐานทั่วโลกที่พิสูจน์ความสัมพันธ์ของจำนวนป่าไม้กับโอกาสและความรุนแรงของอุทกภัยในประเทศกำลังพัฒนา” เก็บข้อมูลเป็นเวลา 10 ปี จาก 56 ประเทศ อาศัยข้อมูลการเกิดอุทกภัย ระยะเวลา และจำนวนป่าไม้ ทำให้ได้ข้อสรุปเป็นทางคณิตศาสตร์และอธิบายผลกระทบขอรงการตัดไม้ทำลายป่าได้

ข้อสรุปที่สำคัญของการศึกษานี้บอกว่า จำนวนป่าไม้ที่ลดลง 10% ส่งผลให้ความถี่ของอุทกภัยเพิ่มขึ้นจาก 4% เป็น 28%
และยังเพิ่มระยะเวลาที่เกิดอุทกภัยจาก 4% เป็น 8% ด้วย

นอกจากนี้ ข้อมูลจากงานวิจัยดังกล่าวได้ถูกนำมาเสนอเป็นข้อมูลรูปภาพ (infographic) ของประเทศไทยโดยบริษัท Architectkidd

วัน เวลา กับป่าไม้
จำนวนป่าไม้ที่ลดลงอย่างมากในประเทศไทยตลอดระยะเวลา 20 ปี (พ.ศ. 2513-2533)

ป่าโอบอุ้มน้ำ
ผืนดินที่มีต้นไม้อยู่จะช่วยให้น้ำซึมลงใต้ดินได้ถึง 50% ระเหยไป 40% และมีน้ำไหลบนพื้นดินเพียง 10% ในขณะที่พื้นที่เมืองมีน้ำซึมลงใต้ดิน 15% ระเหย 30% และมีน้ำไหลบนพื้นดินถึง 55%


ป่าและประชากร
กราฟแสดงจำนวนประชากรประเทศไทยและจำนวนป่าไม้ที่แปรผกผันอย่างเห็นได้ชัด น่าคิดต่อว่าวันที่จำนวนป่าไม้ลดเหลือศูนย์ เราจะมีชีวิตอยู่กันได้อย่างไร

เมืองกลืนกินป่า
ในอดีต เราสูญเสียป่าไม้จากการใช้ประโยชน์จากไม้และการทำเกษตร แต่ในวันนี้ ความเจริญเติบโตของเมืองและอุตสาหกรรมเป็นปัจจัยหลัก กรุงเทพมหานครขยายพื้นที่ความเจริญขึ้น 16 เท่า จาก 5.8 ตารางกิโลเมตรในปี 1850 เป็น 1,335 ตารางกิโลเมตรในปี 2002 คิดเป็นอัตราการเติบโต 4.8% ต่อปี

ดูรูปเพิ่มเติมที่
http://www.greenworld.or.th/greenworld/local/1852

"ความหมายแฝง" อักษร๔๔ตัวของไทย" (อันนี้มีสาระมากดีมากอยากให้คนไทยทุกคนได้อ่าน)


"ความหมายแฝง" อักษร๔๔ตัวของไทย" (อันนี้มีสาระมากดีมากอยากให้คนไทยทุกคนได้อ่าน)

ก.ไก่ เป็นสัตว์ตื่นเช้าที่สุด เลย ให้มาเป็นอักษร ตัวแรก เพื่อ เตือนให้คนไทย ขยันขันแข็ง

ข.ไข่ เป็นดอกผลของ ไก่ แต่จะมีความเปราะบาง ต้อง ถนถถนองให้ดีดี อย่าปล่อยทิ้งละเลยสังคม

ฃ.ฃวด เป็นวิถีชีวิตของคนไทยที่ เตือนไว้ว่า แม้จะดื่มกิน ให้มีสติไว้ มิฉะนั้น อาจมีสิ่งใด แตกหักได้

ค.ควาย ฅ. ฅน เป็นวิถีชีวิต ของคนไทย การอยู่ร่วมกัน ระหว่าง ฅน และธรรมชาติ โดยให้ ฅน มาทีหลัง ควาย คือ โง่ มาก่อนฉลาด อย่า อวด ฉลาด หาก ยัง ไม่รู้จัก โง่ ก่อน

ฆ.ระฆัง ให้หมั่นประชุมเป็นนิตย์ อย่าได้ ละเลย การพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น

ง.งู ต้องกล้าคิดกล้าทำกล้าแสดงความคิดเห็น

จ.จาน ต้องรู้จัก การอาสาสเจีอจาน เข้าทำนอง จ.จานใช้ดี

ฉ.ฉิ่งตีดัง ช.ช้าง วิ่งหนี ให้รู้จักการใช้การทำงานเล็ก ๆ ให้เกิดผลกระทบต่อสังคม ในวงกว้าง โดยไม่ต้องคิดการณ์ใหญ่

ซ.โซ่ ล่ามที หาก สังคมเตลิด จากการกระทำใดใด ให้รู้จักยั้บยั้งเอาไว้ ด้วย ขนบธรรมเนีบมบ้าง

ฌ.เฌอ คู่กัน ให้รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา ระหว่าง คน และธรรมชาติ

ญ.หญิงโสภา ฑ.มณโฑ หน้าขาว บอกใบ้ให้เห็นว่า สตรี เป็นเพศที่สวยงาม และต้องเอาใจใส่ให้มาก อย่าได้ละเลยลืมเลือน

ฏ.ชฏาสวมพลัน เป็นแง่คิดให้เห็นถึง ยศฐาบรรดาศักดิ์ ว่า ไม่จีรัง ครับ คล้าย ๆ กับหัวโขน

ฎ.ปฏัก และ ฐ.ฐาน เป็นอักษร คู่กัน ที่จะทำงานอะไร ที่ฉับไว เที่ยงตรง ต้องมีรากฐาน หรือมีเหตุผลรองรับ อย่างชัดเจนมั้นคง

ฒ.ผู้เฒ่าเดินย่อง เป็นการสะท้อน ว่า ผู้หลักผู้ใหญ่จะทำอะไรต้องระมัดระวัง ให้ถี่ถ้วน อย่างโผงผาง

ณ.เณรไม่มอง ด.เด็ก ต้องนิมนต์ เป็นอักษรคู่กัน แทนการเปรียบเทียบ ๒ สถาบัน ระหว่างศาสนา และ ฆาราวาส ว่า เมื่อพระท่านมองข้ามสิ่งใด ละเลยสิ่งใด ต้อง ช่วยกันเตือนได้ ไม่ใช่ละเลยไปหมด

ต.หลังตุง ถ.ถุงแบกหาม เป็นอักษรคู่เช่นกัน ที่เปรียบว่า ทั้งหมด มีหน้าที่ของตัว และต้องทำให้ดีทีสุด ตามสภาพ ที่มีและเป็นอยู่

ท.ทหารอดทน นี่ชัดเจน ว่า แทน ข้าราชการ ว่า ต้องมีน้ำอดน้ำทน ทำงานไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย เพื่อชาติ

ธ.ธง คนนิยม เป็นภาพสะท้อนให้คนรักชาติบ้านเมืองครับ ให้เห็นแก่ประโยชน์ของชาติอันดับแรกเลย

ภ.สำเภากางใบ สะท้อนว่า หากจะค้าขายไกล ๆ ต้องพัฒนาศักยภาพของตนเองให้สอดรับกับ สถานการณ์ต่าง ๆ ครับ

ร. ล. ว. เป็นอักษรชุด ๓ ตัว เรียง ที่มาสะท้อน ถึงวิถี ชีวิต ของคนไทยมี่ จะมีส่วนเกี่ยวข้อง กับ ธรรมชาติ น้ำ สัตว์ และการฝีมือ ที่งดงาม เป็นเอกลักษณ์ ของชาติ

ษ.หนวดยาว ศ.ศาลา ส.เสือดาวคะนอง สามสอ นี้ เป็นภาคตัวแทนของ อุปนิสัยใจคอของคนไทยว่า รักสงบ(ษ.) โอบอ้อมอารีย์(ศ.) แต่ ใจนักเลง (ส.)

อ.อ่างเนืองนอง เป็นสัญญลักษณ์ ย้ำว่าคนไทย ต้อง มีจิตคิดเพื่อคนอื่นเสมอ ก่อนคิดเพื่อตัว

ฬ.จุฬาท่าผยอง สะท้อนว่า ริจะเป็นผู้ปกครอง ริจะอยู่เหนือ คนอื่น ต้อง ต้านทานอุปสรรคนานาได้ คล้ายกับว่าว จะขึ้นสูงต้องต้านแรงลมได้

ฮ.นกฮูกนั้น สะท้อนว่า คนไทย ขยัน ครับ ตั้งแต่เช้า (ไก่) ยันค่ำ(นกฮูก) มีสัตว์ที่ตื่น อยู่ตลอดเวลา

เครดิต//oknation.net แอดมิน ไอไอ

หลังสงครามเวียตนาม เมกาก็ทิ้งสนามบินอู่ตะเภาที่แข็งแรงมหาศาลไว้


หลังสงครามเวียตนาม เมกาก็ทิ้งสนามบินอู่ตะเภาที่แข็งแรงมหาศาลไว้ ซึ่งไทยควรมีสิทธฺ์ใช้เป็นสนามบินพาณิชย์ได้ช่วยเพิ่มนักท่องเที่ยวมา พัทยา ระยอง ได้มากมายมหาศาล โดยลงทุนเพิ่มเพียงไม่กี่หมื่นล้านบาท ไม่จำเป็นต้องสร้างสนามบินในหนองที่ชื่อสุวรรณภูมิ โดยประหยัดได้เป็น แสนล้าน
....
แต่นักการเมืองขุนทหารชั่วเกือบทุกยุคทุกสมัยกลับพยายามดองไว้ เพื่อประเคนให้ฝรั่งเข้ามา "ชักศึกเข้าบ้าน" อีก โดยเมกาอ้างว่า จะใช้เพื่อ

... นาซ่า จะใช้เพื่อการสำรวจอากาศ ชั้นเมฆ ฯลฯ ... ในขณะที่ไฟกำลังไหม้ป่าที่ โคโลราโด แล้วยังดับไม่ได้ เพราะทั้งประเทศมีเครื่องบินดับเพลิงไม่กี่สิบลำ .วันนี้แผ่นดินบ้านมันก็ถล่มอีก

... ใช้เพื่อการบรรเทาภัยธรรมชาติและการช่วยเหลือทางมนุษยธรรม ... แต่ตอนน้ำท่วมบ้านเรา มันส่งเรือดำน้ำมา(ว่ะ) ... และตอนนี้ ชาวโรฮิงยาในพม่ากำลังเดือดร้อนสาหัส แต่ มันกลับอี๋อ๋อรัฐบาลพม่าเพียงเพื่อจะได้ปิดล้อมจีน ....

.... ... . ทั้งสองประเด็นนี้ อนุญาตให้ใช้เป็นครั้งคราวเมื่อจำเป็นได้อยู่แล้ว(เคยให้แล้วด้วย) ... จึงไม่มีความจำเเป็นอันใดที่ต้องให้เมกามายึดเป็นการถาวร ...

.... และสุวรรณภูมิก็กำลังพังและต้องปิดบางส่วนเพื่อซ่อม .... ทำไมไม่เก็บไว้เป็นสนามสำรอง ถ้ามีปัญหา "คาดไม่ถึง" ซึ่งมักจะเกิดได้เสมอโดยนักการเมืองคุณภาพต่ำ .... จะรีบประเคนให้"ป้อ"มันไปถึงไหน(วะ)?
สนามบินที่ตะแบงสร้างในหนอง เริ่มออกฤทธิ์แล้ว ล่าสุดไฟฟ้าดับเกือบ 2 ชม. ผลคือเครื่องบินลงไม่ได้ แทนที่ทั้งหมดจะมาลงที่อู่ตะเภา ปรากฏว่ารับได้ไม่ถึงครึ่ง บางเครื่องต้องไปลงสิงคโปร์ ที่ขายหน้าที่สุดคือไปลงเขมร

แล้วรัฐบาลและขุนทหาร(ที่ ... สุดจะบรรยาย) ยังจะเอาสนามบินที่มีคุณค่าใชงานมหาศาลนี้ไปประเคนให้มะกันอีก

................. โพสท์เกือบ 10 ครั้งแล้ว(โว้ย) ...............
ชิมิๆ

ผจญภัยกับสายน้ำ ล่องแก่งลำน้ำสาน อำเภอภูเรือ แห่งเดียวในภาคอีสาน


ผจญภัยกับสายน้ำ ล่องแก่งลำน้ำสาน อำเภอภูเรือ แห่งเดียวในภาคอีสาน

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเลย เชิญร่วมเปิดฤดูกาลท่องเที่ยวเชิงผจญภัย ล่องแก่งแห่งลำน้ำสาน อำเภอภูเรือ แห่งเดียวในภาคอีสาน
     
       นางอัจฉพรรณ บุญเจริญ ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานเลย กล่าวถึงกิจกรรมท่องเที่ยวแห่งใหม่นี้ว่า “ลำน้ำสาน” มีต้นกำเนิดจากภูหลวง ผ่านพื้นที่ 6 ตำบลของอำเภอภูเรือ ไปบรรจบกับแม่น้ำเหือง ความยาวประมาณ 40 กิโลเมตร จุดที่ล่องแก่ง ห่างจากที่ว่าการอำเภอภูเรือ ประมาณ 9 กิโลเมตร มีตั้งแต่ระดับ 1-5 ระยะทาง 13 กิโลเมตร มีแก่งทั้งหมด 59 แก่ง อาทิ แก่งเกลี้ยง แก่งลาดนกขี้ถี่ แก่งคอนบ่า และมีเรือไว้บริการประมาณ 40 ลำ ซึ่งสามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้ประมาณ 320 คน/วัน รับรองได้ว่านักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสธรรมชาติที่สวยงามของสองฝั่ง รวมทั้งความตื่นเต้นท้าทายตลอดลำน้ำ
     
       เพื่อความสะดวกในการประกันภัยให้กับนักท่องเที่ยวทุกท่าน ก่อนร่วมกิจกรรมขอให้ท่านติดต่อเจ้าหน้าที่ อบต.ลาดค่าง เพื่อการอำนวยความสะดวกก่อนทุกครั้ง อัตราค่าบริการ 700-1,000 บาท บาท/คน (ขึ้นอยู่กับระยะทาง) ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ อบต.ลาดค่าง โทร. 0 4280 7604, 08 6223 2558 หรือ www.tumbonladkang.com และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเลย โทร. 0 4281 2812, 0 4281 1405 หรือดูรายละเอียดที่ www.facebook.com/tatloei

อสพ.ชวนร่วมประกวดภาพถ่ายมหัศจรรย์พรรณไม้งามเทิดพระเกียรติ


อสพ.ชวนร่วมประกวดภาพถ่ายมหัศจรรย์พรรณไม้งามเทิดพระเกียรติ

       องค์การสวนพฤกษศาสตร์ (อ.ส.พ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดการประกวดภาพถ่าย ในหัวข้อ “มหัศจรรย์พรรณไม้งามเทิดพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ” ระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม ถึง 30 กันยายน 2555 ตั้งแต่เวลา 05.00 - 19.00 น. ณ สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ สวนพฤกษศาสตร์บ้านร่มเกล้า พิษณุโลก ในพระราชดำริ อำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก สวนพฤกษศาสตร์เมืองพล ขอนแก่น อำเภอพล จังหวัดขอนแก่น สวนพฤกษศาสตร์ระยอง อำเภอแกลง จังหวัดระยอง และสวนพฤกษศาสตร์พระแม่ย่า สุโขทัย อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา อีกทั้งเป็นการเผยแพร่คุณค่าความงามของพรรณไม้ไทยและสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระ นางเจ้าสิริกิติ์ ให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น
     
       ผู้สนใจสามารถส่งผลงานภาพถ่ายสามารถส่งได้ ทางไปรษณีย์ ถึงงานประชาสัมพันธ์ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ 100 หมู่ 9 ตำบลแม่แรม อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ 50180 ระหว่างวันที่ 1 - 14 ตุลาคม 2555 และส่งด้วยตนเอง ณ สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ จังหวัดเชียงใหม่ หรือที่ร้าน Goon Studio ชั้น 4 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 12 - 14 ตุลาคม 2555 ทั้งนี้ ผู้ที่ส่งผลงานต้องแนบหางบัตรผ่านประตูเข้าชมสวนพฤกษศาสตร์ฯ มาพร้อมกับผลงานด้วย ตัดสินผลงานภาพถ่ายวันที่ 27 ตุลาคม 2555 ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ประกาศผลการตัดสิน วันที่ 9 พฤศจิกายน 2555 ทาง www.qsbg.org
     
       ทั้งนี้สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและเงื่อนไข การประกวดภาพถ่ายได้ที่ งานประชาสัมพันธ์ สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ 50180 โทรศัพท์ 0 5384 1234 โทรสาร 0 5384 1009, 0 5329 9754 และ www.qsbg.org

VDO ลุงพงศ์ เศรษฐพงศ์ มณีผ่อง รอบรมวิชาชีพเป็นวิทยาทานฟรี เมื่อ 24 มิ.ย.2555


     บรรยากาศการอบรมวิชาชีพเป็นวิทยาทานฟรี ที่บ้านลุงพงศ์ เศรษฐพงศ์ มณีผ่อง ที่ จ.เชียงใหม่ เมื่อ 24 มิ.ย.2555  ในโครงการคิดดี ทำดี ชีวีมีสุข เศรษฐกิจพอเพียงชุมชนเมือง โดย กลุ่มเชียงใหม่รักสงบ

การเมือง/ปรองดอง/อาชญากรรม/ทุจริต


พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
การเมือง/ปรองดอง/อาชญากรรม/ทุจริต
1. มีความผิดปกติอย่างรุนแรงในรัฐบาลเพราะปกติรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลจะไม่วิจารณ์รัฐบาลตนเอง. ความผิดปกตินี้. อาจมาจากสุชาติผิดหวังอย่างรุนแรงที่อาจถูกปรับออกจากตำแหน่ง. หรืออาจมาจากสุชาติทนไม่ไหวกับระบบบริหารแบบทาสในพรรครัฐบาล จึงประกาศปลดปล่อยตัวเอง

2. สมศักดิ์เสนอให้ถอนร่างพ.ร.บ.ปรองดอง ออกจากสภา.
2.1. อาจเป็นการสร้างกระแสลวงให้สังคมตายใจ จากนั้นหยิบขึ้นมาเสนออย่างฉับพลันในการประชุม. จึงต้องระมัดวังติดตามอย่างใกล้ชิด
2.2. อาจได้รับสัญญานบางอย่างจากนายใหญ่ ซึ่งประเมินแล้วว่าหากดันทุรังนิรโทษกรรมให้ตนเอง. อาจทำให้รัฐบาลเพื่อไทยพบจุดจบเร็วขึ้น เพราะคนอย่างสมศักดิ์คงไม่กล้าพอที่จะพูดที่ทำให้นายใหญ่โกรธ

3 เฉลิมหยุดโม้ได้แล้ว ทำงานซะที อาชญากรรมเต็มท่วมเมืองอยู่แล้ว
เฉลิมเริ่มกลับมาเสียงดังอีกครั้ง หลังจากเงียบไปนาน. ช่วงมีม๊อบเสื้อแดง/มีการขัดแย้งสูง เฉลิมนกรู้มักจะหลบมุม. แต่เมื่อความคุกรุ่นลดลง เฉลิมก็จะออกมาแสดงบทบาทของตนเองต่อ
เฉลิมคงไม่ชอบแกนนำแดงเท่าไรนัก เพราะชอบช่วงชิงบทบาทของเขาในหน้าสื่อ. สิ่งที่เฉลิมต้องการ คืือการรักษาตำแหน่งไว้ให้นานที่สุด. หากตายในตำแหน่งได้ก็ยิ่งดี. ส่วนการทำงานเพื่อชาตินั้นก็มีเพียงเล็กน้อยไม่สมราคาคุย อาชญากรรมเกลื่อนเมืองขณะนี้ จนทำให้นักท่องเที่ยวไม่กล้ามาเมืองไทย ไม่เห็นเฉลิมจะทำอะไรได้เลย. ดังนั้นหยุดโม้ และทำงานให้เป็นเรื่องเป็นราวซะที

4 ขณะนี้การทุจริตแพร่ระบาดหนักในรัฐบาล/ทุกกระทรวง ล่าสุดกลุ่มแพทย์ชนบทออกมาเปิดเผยการทุจริตในกระทรวงสาธารณสุข/. ส่วนกระทรวงอื่นกินอย่างเงียบๆเพราะไม่มีกลุ่มข้าราชการที่กล้าหาญพอออกมาเปิดโปงแบบกลุ่มแพทย์ชนบท.

5 ผมเสนอให้ข้าราชการที่ดีและกล้าหาญในกระทรวงต่างๆรวมกลุ่มกันและจัดตั้งเป็นเครือข่าย เหมือนกลุ่มแพทย์ชนบท ช่วยกวาดล้างการทุจริตของนักการเมืองและข้าราชการระดับสูงให้เบาบางลงก็จะเป็นคุณแก่ประเทศและประชาชนเป็นอย่างยิ่งครับ

?"หนึ่งไพร่"


Sattra Toaon
?"หนึ่งไพร่"

กูก็หนึ่งไพร่ แต่มิใช่ไพร่แดงอวดแข่งฤทธิ์
ที่รับใช้ราชาทุนสามานย์บอดสนิท เอาฝุ่นควันมาปิดดวงตาวัน

กูก็หนึ่งไพร่ ที่รักในประชาธิปไตยสมานฉันท์
อยากเห็นรัฐสภาสาระพัน มิใช่รัฐสภาอันจัญไร

กูก็หนึ่งไพร่ ที่รักในเสรีอสงไขย
ไม่ยอมตนก้มหัวให้เงินใคร ที่แจกจ่ายกันไปตอนเลือกตั้ง

กูก็หนึ่งไพร่ ไม่ขอพึงใครทั้งนั้น
ไม่พึ่งเจ้า ทหาร ตุลาการ แต่พึ่งการรักชาติประชาชัน

มึงก็ไพร่เหมือนกู ใยยอมก้มหัวดูแล้วน่าขบขัน
แล้วร้องแลกแหกประชาธิปไตยกัน ด่าทอศาลเพื่อราชันย์คือนายทุน

กูไม่ชอบศักดินายุคสมัย ทุนนิยมการเมืองจัญไรสถุนย์
เปลี่ยนรัฐสภาคาบิเนทมาเป็นทุน เพื่ออุดหนุนกิเลสโลภของคนเดียว

เสรีนิยมในไทยก็ไม่มี สังคมนิยมหลบหนีอย่างหวาดเสียว
ในรัฐสภามีเงินอยู่ตัวเดี่ยว อย่าทำเสี่ยวคลั่งประชาธิปไตย

ตลอดชีวิตการทำงาน ไม่เคยได้อะไรมาเพราะโชคช่วยหรือวาสนา


Amorn Tae-udomkul
ตลอดชีวิตการทำงาน ไม่เคยได้อะไรมาเพราะโชคช่วยหรือวาสนา ไม่มีสาริกาลิ้นทอง ไม่เคยตวัดลิ้นเลียนาย ไม่คิดเอาเปรียบเพื่อนร่วมงาน หรือบริษัท...ทุกสิ่งที่ได้มา เกิดจากการลงมือทำ ถูกบ้าง ผิดบ้าง ก็เรียนรู้กันไปเพราะไม่ใช่คนเก่ง เลยต้องยิ่งขยัน ต้องยิ่งทุ่มเท เพราะไม่ใช่คนสวยเลยต้องยิ่งทำงานเพื่อพิสูจน์ให้เห็นผล..แต่ด้วยความที่เป็นคนไม่อ่อนหวาน ขวานผ่าซาก ตรงไปตรงมาเพราะเกลียดการโกหก หลายครั้งก็มีคนมีคนหมั่นไส้ เคยโดนใส่ร้าย เคยโดนหักหลัง เคยโดนใช้เป็นประโยชน์ เป็นสะพาน เคยถูกช่วงชิงผลงาน

เคยวิ่งอยู่ข้างล่าง ตะกายขึ้นไปตรงกลาง ร่วงลงมาอยู่ข้างล่าง ปีนป่ายต่อขึ้นไปยังที่สูงแล้วก็พลัดตกลงมาอีก....เลือดตกยางออกกันไป แต่สุดท้ายก็พบว่า "ยังมีลมหายใจอยู่" ไม่ตายซะหน่อย

จดหมายเปิดผนึก “สนธิ ลิ้มทองกุล” ถึง ร.ม.ต.กลาโหมกรณี “อู่ตะเภา” เมื่อ 37 ปีที่แล้ว


จดหมายเปิดผนึก “สนธิ ลิ้มทองกุล” ถึง ร.ม.ต.กลาโหมกรณี “อู่ตะเภา” เมื่อ 37 ปีที่แล้ว

โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

      ย้อนหลังไปช่วงสงครามเวียดนามเหนือ-ใต้ โดยที่สหรัฐอเมริกาใช้ประเทศไทยรวมถึงสนามบินอู่ตะเภาเป็นฐานทัพใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดถล่มเวียดนามเหนือจำนวนมหาศาลแล้วไม่ได้รับชัยชนะสูญเสียทหารไปเป็นจำนวนมาก และใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลก่อให้เกิดปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ ชาวอเมริกันจำนวนมากจึงประท้วงต่อต้านสงครามในเวียดนามอย่างหนักตั้งแต่สมัยประธานาธิบดี ลินดอน บี. จอห์นสัน
     
        ในที่สุดปี พ.ศ. 2512 นายริดชาร์ด นิกสัน ได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาคนที่ 37 จึงเปลี่ยนความคิดที่จะ “ทิ้งมิตรและจับมือกับศัตรู”
     
        21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2515 หลังจากสาธารณรัฐประชาชนจีนได้มาเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติแทนไต้หวัน เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2515 นายริดชาร์ด นิกสัน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาได้ใช้โอกาสนี้เยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนและพบกับเหมา เจ๋อ ตุง ประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน เป็นการเปิดสัมพันธ์ครั้งแรกระหว่างสหรัฐอเมริกามหาอำนาจโลกประชาธิปไตย กับ สาธารณรัฐประชาชนจีนมหาอำนาจโลกคอมมิวนิสต์
     
       ธันวาคม พ.ศ. 2515 นายเฮนรี คิสซินเจอร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไปยังสหรัฐอเมริกาได้แอบไปเจรจาลับๆกับเวียดนามเหนือที่กรุงปารีส เพื่อหยุดสงครามแต่การเจรจาไม่สำเร็จ ต่อมาปรากฏว่าไม่ประสบความสำเร็จ
     
       มีนาคม พ.ศ. 2516 สหรัฐอเมริกาถอนกำลังทหารทั้งหมดออกจากเวียดนามใต้ ปล่อยให้เวียดนามใต้ต่อสู้กับเวียดนามเหนือโดยลำพัง จนถึงขั้นในปี พ.ศ. 2518 สภาคองเกรซของสหรัฐอเมริกาตัดงบประมาณช่วยเหลือเวียดนามใต้ทั้งหมด
       
     
       ที่สหรัฐอเมริกาได้ถอนกำลังทหารของตัวเองออกจากเวียดนามใต้ แล้วปล่อยให้ทหารเวียดนามเหนือยึดเวียดนามใต้กลายเป็นประเทศคอมมิวนิสต์สายรัสเซียโดยสมบูรณ์
     
        ในเวลานั้นประเทศไทยจึงตกอยู่ในภาวะยากลำบากไม่น้อย เพราะด้านหนึ่งไทยคือฐานทัพของสหรัฐอเมริกาที่เป็นตัวแทนลัทธิเสรีนิยมประชาธิปไตยที่ใช้สำหรับเครื่องบินทิ้งระเบิดใส่เวียดนามเหนือ แต่เมื่อสหรัฐอเมริกากลับถอยออกจากเวียดนามใต้จนถูกเวียดนามเหนือยึดกลายเป็นคอมมิวนิสต์ ไทยจึงย่อมตกเป็นเป้าหมายการโจมตีของเวียดนามซึ่งเป็นคอมมิวนิสต์สายรัสเซียซึ่งกำลังรุกคืบไปยังลาวและกัมพูชากลายเป็นคอมมิวนิสต์แบบโดมิโน ในขณะเดียวกันสหรัฐอเมริกาก็ยังไปจับมือกับสาธารณรัฐประชาชนจีนซึ่งเป็นผู้ทรงอิทธิพลและให้การสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยอีกด้วย
     
        ประเทศไทยจึงอยู่ในภาวะที่วิกฤติที่สุดต่อภัยคอมมิวนิสต์ถึง 2 สาย สายหนึ่งจาก คอมมิวสต์จากจีน และอีกสายหนึ่งคือภัยคอมมิวนิสต์จากเวียดนามสายโซเวียต
     
        ด้วยพฤติกรรม “ทิ้งมิตรและจับมือกับศัตรู”เมื่อผลประโยชน์เปลี่ยนไป การตั้งฐานทัพสหรัฐอเมริกาที่ไทยต้องสูญเสียอธิปไตยโดยที่คอมมิวนิสต์จีนและเวียดนามเห็นเป็นศัตรู จึงไม่เกิดประโยชน์อันใด หนำซ้ำยังจะสร้างความหวาดระแวงกับเพื่อนบ้านและเป็นภัยกับประเทศไทยอีกเมื่อสหรัฐอเมริกา “กลับลำ” เช่นนี้อีกด้วย
     
        ก่อนที่จะมีเหตุการณ์การประท้วงของคนไทยที่ขับไล่ฐานทัพอเมริกา ในเวลานั้นดูเหมือนว่าอธิปไตยของไทยที่ถูกสหรัฐอเมริกายึดครองอยู่นั้นไม่มีคนไทยสนใจสักเท่าไรนัก
     
        แต่เมื่อวันศุกร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2518 นายสนธิ ลิ้มทองกุล บรรณาธิการหนุ่มวัย 28 ปี จากหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย ได้ลงข้อความจดหมายเปิดผนึกถึง ร.ม.ต.กลาโหม เอาไว้ในหน้าที่สองของหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย ฉบับที่ 51 ตีพิมพ์ในหน้าที่ 2 ในวันเดียวกันนั้น เป็นกรณีอธิปไตยที่สนามบินอู่ตะเภาที่นักข่าวไทยไม่สามารถไปทำข่าวได้ อีกทั้งเรียกร้องให้เปิดสัญญาระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกาให้ประชาชนได้ทราบ
     
        โดยข้อความในจดหมายมีเนื้อความดังต่อไปนี้ :
     
        “จดหมายเปิดผนึกถึง ร.ม.ต.กลาโหม”
     
       เรื่องการทำข่าวของผู้สื่อข่าว น.ส.พ.ไทย
       เรียนท่าน ร.ม.ต.กลาโหม ผ่าน น.ส.พ.ประชาธิปไตย
     
        กรณีที่ได้มีคำสั่งออกมาจากท่าน สั่งห้ามผู้สื่อข่าวเข้าไปทำข่าวเครื่องบินเวียดนามใต้ที่มาลงอู่ตะเภาเมื่อวันที่ 29 เมษายน* 2518 นั้น โดยอ้างว่ามีอะไรหลายอย่างยังไม่พร้อม
     
        กระผม ในฐานะผู้สื่อข่าว น.ส.พ.ประชาธิปไตยมีความข้องใจมากที่ท่านและคณะรัฐบาลได้เคยพูดเสมอว่า ฐานทัพอู่ตะเภานั้นเป็นของคนไทย แต่จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏออกมากลับกลายเป็นว่า ผู้สื่อข่าว น.ส.พ.ไทยไม่สามารถเข้าไปทำข่าวได้ โดยทางฝ่ายแม็ก-ไทย (อเมริกัน) อ้างว่าทางรัฐบาลไทยเท่านั้นที่มีสิทธิ์ขออนุญาตให้เข้า ไม่ใช่ทางฝ่ายอเมริกัน
     
        กระผมได้รับฟังคำอ้างของฝ่ายอเมริกันโดยดุษณีแต่เต็มไปด้วยข้อกังขานานัปการ และหลังจากที่ใช้เวลา 1 วันกับ 1 คืนที่อู่ตะเภา ได้พบเพื่อนผู้สื่อข่าวไทยหลายคนจาก น.ส.พ.หลายฉบับซึ่งไม่สามารถเข้าไปทำข่าวในฐานทัพอู่ตะเภาได้เช่นเดียวกันแล้ว ก็ตกลงใจกลับกัน
     
        แต่มาเมื่อวันที่ 30 เมษายนนี้ ทางเจ้าหน้าที่สำนักข่าวสารอเมริกัน (ยูซิส) ได้โทรศัพท์เรียกให้พวกกระผมไปรับรูปเหตุการณ์ในอู่ตะเภาจากเขา ซึ่งยังความกังขาให้แก่พวกกระผมเป็นทวีคูณ พวกกระผมมีความเห็นพ้องต้องกันว่า :-
     
        เนื่องจากเจ้าหน้าที่สำนักข่าวสารอเมริกัน อันเป็นสื่อมวลชนอีกอันหนึ่ง แต่เผอิญเกิดมาเป็นพันธุ์แยงกี้ มีอภิสิทธิ์เข้าไปในอู่ตะเภาได้ ซึ่ง ณ ที่นั้น เป็นแหล่งที่กระผมเคยเล่นน้ำในสมัยเยาว์วัย ฉะนั้น เพื่อเป็นการสนองความต้องการบางอย่างของท่าน กระผมจึงขอเสนอดังนี้
     
       1.ตั้งแต่นี้ไป ขอให้ท่านห้าม น.ส.พ.ไทยเข้าไปทำข่าวในสถานที่ราชการทุกแห่ง แต่ให้พวกยูซิสเข้าไปทำได้เพียงผู้เดียว แล้วนำข่าวมาแจกให้พวกกระผม
     
       2.ด้วยเหตุผลดังกล่าว กระผมขอให้ท่านสั่งลดธงราชนาวีไทยที่หน้าฐานทัพอู่ตะเภาลงเสีย แล้วชักธงอเมริกันขึ้นมาแทน
     
       3.และด้วยเหตุผลข้างต้น กระผมขอเสนอให้ราชนาวีไทยถอยออกจากฐานทัพแห่งนี้เสีย เพราะอาจถูกกล่าวหาว่าประเทศไทยรุกรานอธิปไตยของสหรัฐอเมริกา
     
        ข้อเสนอดังกล่าวข้างต้นของกระผม ท่านอาจจะเข้าใจผิดว่ากระผมพูดเล่น กระผมขอยืนยันว่า ท่านไม่ควรคิดเช่นนั้น เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องจริง มันชี้ชัดแล้วว่าสภาพเช่นนี้มันไม่บังควรอุบัติขึ้นในผื่นแผ่นดินไทย ที่พวกท่านทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่เป็นเมืองขึ้นของใคร
     
        ดังนั้นก่อนอื่นใดทั้งสิ้น กระผมใคร่ขอให้ท่านกรุณาชี้แจงอย่างไม่ปิดบัง ถึงสนธิสัญญาหรือข้อตกลงต่างๆ ระหว่างประเทศไทยกับสหรัฐอเมริกา ทั้งในยุครัฐบาลก่อนและรัฐบาลปัจจุบัน
     
        ถ้าหากท่านและรัฐบาลของท่านคงปล่อยให้สภาพเช่นที่เป็นอยู่นี้ดำรงอยู่ต่อไป เราขอยืนยัน ณ ที่นี้ว่า จะไม่มีประชาชนที่รักเอกราชอธิปไตยของชาติไทยคนใดทนอยู่ในสภาพเช่นนี้ต่อไปได้อย่างแน่นอน
     
        ขอแสดงความนับถือ
     
        บ.ก.
     
       *หมายเหตุ แก้ไขข้อความจากต้นฉบับเดิมเพื่อความเข้าใจในการอ่าน จากวันที่ “29 พฤษภาคม 2518” เป็น วันที่ “29 เมษายน 2518” ซึ่งน่าจะเกิดจากการพิมพ์ผิด
     
        นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้เขียนจดหมายเปิดผนึกครั้งนี้เตือนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ด้วยประโยคทิ้งท้ายว่า “จะไม่มีประชาชนที่รักเอกราชอธิปไตยของชาติไทยคนใดทนอยู่ในสภาพเช่นนี้ต่อไปได้อย่างแน่นอน” ราวกับว่านายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นผู้มาก่อนกาลเวลาที่รู้ล่วงหน้าว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป
     
        เพราะอีก 10 วันต่อมาในวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2518 เวลา 15.20 น. เกิดเหตุ เรือมายาเกวซ (Mayaquez) ซึ่งเป็นเรือบรรทุกสินค้าของประเทศสหรัฐอเมริกาที่กำลังแล่นจากฮ่องกงมุ่งหน้ามาสัตหีบ จ.ชลบุรี ได้ถูกเรือของรัฐบาลกัมพูชาประชาธิปไตยจับในเขตน่านน้ำซึ่งอยู่ห่างจากฝั่งของประเทศกัมพูชาประมาณ 60 ไมล์ โดยสหรัฐอเมริกาได้ส่งกองกำลังเรือที่อยู่ที่ฐานทัพอู่ตะเภาไปช่วยเรือมายาเกวซคืน และจมเรือกัมพูชาไป 3 ลำ
     
        เมื่อข่าวชิ้นนี้ปรากฏขึ้นทำให้สังคมทั่วไปได้ตื่นตัวทันทีเมื่อรับทราบว่าประเทศถูกละเมิดอธิปไตยโดยสหรัฐอเมริกาตามอำเภอใจ จึงเกิดการชุมนุมประท้วงครั้งที่ยิ่งใหญ่ของภาคประชาชนจากท้องสนามหลวงมาจนถึงสถานทูตสหรัฐอเมริกา เป็นการทำงานร่วมกันของประชาชนทุกหมู่เหล่าของคนในชาติทั้งนักการเมืองฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน นิสิต นักศึกษา พ่อค้า ข้าราชการ ประชาชน และสื่อมวลชน ที่พร้อมใจกันต่อสู้ในเรื่องอธิปไตยของชาติอย่างเป็นเอกภาพ จนสหรัฐอเมริกาต้องถอนฐานทัพออกจากประเทศไทยไปในที่สุด
     
        จากจุดเริ่มต้นของจดหมายเปิดผนึกของนายสนธิ ลิ้มทองกุล เมื่อเวลาผ่านไป 37 ปี ประเทศไทยกลับต้องออกมาเผชิญหน้าเรื่อง “อู่ตะเภา”กลับมาอีก คือ กำลังจะมีการตกลงกันระหว่างไทย-สหรัฐอเมริกาโดยที่ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนชาวไทยได้รับทราบอีกครั้งหนึ่ง
     
        และกำลังจะมีคำถามที่ย้อนกลับไปเหมือนนายสนธิ ลิ้มทองกุล เคยถามว่า:
     
        “ในทางปฏิบัติอธิปไตยที่สนามบินอู่ตะเภาเป็นของคนไทยจริงหรือไม่?” และ
     
       “เมื่อถึงเวลาจริงนักข่าวไทยจะเข้าไปทำข่าวในพื้นที่และตรวจสอบได้อิสระเสรีจริงหรือไม่?”
     
       คำถามที่ต้องถามไปยังกองทัพไทย จะไม่รู้เลยหรือว่าสหรัฐประกาศกำหนดทิศทางในเรื่องความมั่นคงทางการทหารของสหรัฐอเมริกามาอยู่ที่เอเชียแปซิฟิกเพิ่มขึ้นเป็นเป้าหมายที่ต้องให้ความสำคัญสูงสุด?
     
       และกองทัพไทยจะไม่รู้เลยหรือแกล้งไม่รู้ว่าสาธารณรัฐประชาชนจีนแสดงความไม่สบายใจต่อท่าทีของสหรัฐอเมริกาที่จะเคลื่อนกองกำลังเรือมายังภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกนี้ และประเทศในโลกอาหรับก็เห็นสหรัฐอเมริกาเป็นศัตรูที่อันตรายด้วย
     
       กองทัพไทยและรัฐบาลจะไม่รู้หรือแสร้งไม่รู้ว่าเทคโนโลยีดาวเทียม การสำรวจเมฆ และกาสำรวจทางชั้นบรรยากาศ สามารถนำมาใช้เป็นข้อมูลทางการทหารและความมั่นคงของสหรัฐอเมริกาได้ และสิ่งเหล่านี้สามารถสร้างความหวาดระแวงให้กับอีกหลายประเทศได้?
     
       ประเทศไทยเป็นประเทศขนาดเล็กๆ ไม่สามารถจะเป็นแนวร่วมกับประเทศหนึ่งเพื่อเป็นศัตรูกับอีกประเทศหนึ่งหรืออีกหลายประเทศได้ และประเทศไทยไม่ควรจะเป็นสมรภูมิสงคราม ไม่ควรจะเป็นแหล่งเป้าหมายของผู้ก่อการร้าย หรือแม้กระทั่งไม่ควรจะเป็นสมรภูมิแห่งการสร้างความหวาดระแวงและสร้างความแตกแยกในภูมิภาคแห่งนี้
     
       ข้อสำคัญที่สุดจากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาสหรัฐอเมริกาพร้อมทิ้งมิตรและจับมือกับศัตรูได้เสมอหากได้รับผลประโยชน์ที่มากกว่า แต่ประเทศเล็กๆที่เป็นแนวร่วมหากกลับตัวไม่ทันก็อาจจะพลิกผันจนเสียชาติเสียแผ่นดินมาแล้วเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในเวียดนามใต้
     
       ที่น่าสมเพชก็คือนักการเมืองในวันนี้ที่อยู่ในฝ่ายรัฐบาล แล้วเคยร่วมต่อสู้ขับไล่ฐานทัพอเมริกาในประเทศไทยก็ควรต้องรู้อยู่แล้วถึงเล่ห์เหลี่ยมและความสลับซับซ้อนของหน่วยสืบราชการลับ ซีไอเอ ว่าสามารถสร้างความปั่นป่วนในประเทศไทยมาได้มากน้อยเพียงใด?
     
       ดังนั้นการใช้วาทกรรมมาหาความชอบธรรมในการสนับสนุนรัฐบาลเพื่อให้สหรัฐอเมริกากลับเข้ามาในครั้งนี้จึงเท่ากับเป็นการหลอกประชาชน หลอกตัวเอง และขายจิตวิญญาณของตัวเองไปหมดสิ้นแล้ว จริงหรือไม่?
     
       แค่จะยืนยันว่า 37 ปีที่แล้ว ผู้ที่ชุมนุมต่อสู้เรื่องอธิปไตยของชาติ ณ สนามบินอู่ตะเภา ยังคงมีจุดยืนเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เช่น นายเทิดภูมิ ใจดี, นายประพันธุ์ คูณมี, นายชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย ฯลฯ และสุดท้ายที่ลืมไม่ได้ก็คือบุรุษที่มักจะมาก่อนกาลเวลาเสมอ
     
       “สนธิ ลิ้มทองกุล”

บางคน.. การเวลาเปลี่ยนไป ทำให้อุดมการณ์เปลี่ยนไป


บางคน.. การเวลาเปลี่ยนไป ทำให้อุดมการณ์เปลี่ยนไป

สมัยหนึ่ง ๆ มีการรณรงค์ให้ใช้ผ้าไทย แต่งชุดพระราชทาน รณรงค์ใช้ตัวเลขไทย รณรงค์ต่อต้านคอรัปชั่น ต่อต้านยาเสพติด ปลูกพืชสวนครัวและใช้พลังงานอย่างประหยัด (สมัยรัฐบุรุษ เป็นตัวอย่างที่ดี) เมื่อหมดสมัยนั้นไม่นานก็เลิกรณรงค์กันไป

สมัยหนึ่ง ๆ รัฐมีนโยบายไม่สนับสนุนให้เรียนภาษาอังกฤษในชั้นประถม โดยมีเหตุวิจัยว่าเด็กยังมีวุฒิภาวะไม่พร้อมที่จะเรียนหลายภาษา

สมัยหนึ่ง ๆ รัฐมีนโยบายเปิดสองโรงเรียนสองภาษา เริ่มตั้งแต่อนุบาลจนถึงอุดมศึกษา และสนับสนุนให้เรียนหลาย ๆ ภาษาถ้านักเรียนมีความพร้อม

อย่างนี้ สลับกันไป สลับกันมา นักวิชาการรุ่นเก่าเคยสร้างสรรค์งานที่ดีไว้ นักวิชาการรุ่นใหม่ละเลยที่จะสานต่อหรือพัฒนาให้ดีขึ้น กลับไปลอก"ต่างประเทศมาทั้งดุ้น"

ภาษาไทยก็ยังอ่อน พูดใช้กันในชีวิตประจำวันก็ยังต้องแบ่งเป็นภาษาวัยรุ่น และภาษาวัยแก่ ? ซึ่งทั้งสองวัยมานั่งพูดในเรื่องเดียวกันแล้ว อาจเข้าใจเป็นคนละเรื่อง ! สิ่งเหล่านี้ส่อให้ถึงความล้มเหลวของอะไร?

เหล่านี้ เป็นเหตุผลหรือไม่ ชาติไทยเป็นชนชาติที่มีสติปัญญาสร้างชาติให้เจริญมานานกว่า ๗๐๐ ปี จะไม่แก้ตัวหรือโทษผู้อื่น แต่ควรชดเชยสิ่งที่รู้แน่ว่ากำลังจะตกต่ำลง โดยเข้าใจ "เหตุปัจจัยที่เป็นดั่งนั้น"

การสร้างความรู้ความเข้าใจและสร้างวินัยให้คนในสังคมต้องใช้ความพยายามความอดทน และไม่รณรงค์เพียงชั่วครั้งชั่วคราวและก็เลือนหายไป.
"คนไทยคิดคำนึง"

.แล้วถ้าข้อมูลไม่รั่วไหล...คนไทยจะต้องตกอยู่ในสภาพ นอนหลับไม่สนิท


กำลังคิดต่อจากคำยอมรับของท่าน ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ว่า...แล้วถ้าข้อมูลไม่รั่วไหล...คนไทยจะต้องตกอยู่ในสภาพ นอนหลับไม่สนิท กินข้าวก้บ่รำ ค่ำคืนก็ต้องขวัญผวา ใช่หรือไม่เจ้า ????
งานนี้ต้องชื่นชมฝ่านค้าน ที่ทำหน้าที่ได้ดี...แต่รัฐบาลก็โยนขี้ให้ตอนจบเสมอๆๆ....โดยเฉพาะคำพูดที่ว่า ถ้าปีนี้น้ำท่วม อย่ามาโทษรัฐบาลนะ....พูดและคิด ได้ ควายยยยยยยยยยยยมากๆๆ...

สายตรงภาคสนาม
ยุทธศักดิ์ ยอมรับ ข้อมูลที่ฝ่ายค้านตรวจสอบกรณีนาซ่าขอใช้สนามบินอู่ตะเภาเป็น ข้อเท็จจริง สั่งสอบข้อมูลรั่วไหลจากภายใน ชี้รัฐบาลเป็นกังวลมาก่อน หากนาซ่าต้องการใช้พื้นที่ในอนาคต ต้องแจ้งล่วงหน้า เพื่อให้ไทยดำเนินการตามขั้นตอนอย่างถูกต้อง

พลเอก ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งสหรัฐอเมริกา หรือ NASA ออกแถลงการณ์ยกเลิกการขอใช้พื้นที่สนามบินอู่ตะเภา โดยไม่ทราบว่าข้อมูลที่ฝ่ายค้านนำออกมาโจมตีนั้นได้มาอย่างไร เนื่องจากเป็นข้อมูลภายในซึ่งจะมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงอีกครั้ง แต่ยอมรับว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฎิบัติมีข้อกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของโครงการดังกล่าว จึงทำให้นายกรัฐมนตรีต้องเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องหารือ ระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร จังหวัดชลบุรี ซึ่งหลังการชี้แจงทุกฝ่ายก็มีความเข้าใจและไม่มีปัญหากับการดำเนินการในกรณีดังกล่าว ทั้งนี้หากนาซ่าต้องการดำเนินโครงการลักษณะนี้ในอนาคต ก็จะต้องแจ้งความประสงค์เข้ามาให้เร็วขึ้น เพราะขั้นตอนการดำเนินการของการไทยต้องใช้เวลา เพื่อให้การดำเนินการทำได้อย่างถูกต้อง อย่างไรก็ตามเมื่อนาซ่ายกเลิกโครงการ ก็เห็นว่าไม่จำเป็นต้องนำเข้าสู่ที่ประชุมร่วมรัฐสภา

การรถไฟชวนย้อนยุคในงาน "เดินทาง ดูหนัง เล่าเรื่อง"


การรถไฟชวนย้อนยุคในงาน "เดินทาง ดูหนัง เล่าเรื่อง"

การรถไฟแห่งประเทศไทย ชวนผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมย้อนยุค ในงาน "เดินทาง ดูหนัง เล่าเรื่อง" ในวันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน 2555 เวลา 10.00 - 19.00 น. ณ สถานีรถไฟหัวลำโพง กรุงเทพฯ
     
       ภายในงานจะเป็นจัดตกแต่งสถานีรถไฟหัวลำโพง ให้มีบรรยากาศย้อนยุคในช่วงปี 70-80 ของไทย โดยนำผู้ร่วมงานเข้าสู่เรื่องราวของสถานีหัวลำโพงในอดีต ผ่านโซนต่างๆ 4 โซน คือ หัวลำโพงราม่า, สนามหลวง, ชานชาลา และ ตุ๊กตากระดาษ พร้อมกันนี้ยังมีกิจกรรมร่วมรำลึกอดีตไปกับบูธกิจกรรมย้อนยุคมากมาย
     
       นอกจากนั้นภายในงานยังมีการประกาศผลรางวัลผู้ชนะ โครงการการประกวดหนังสั้น "ในความผูกพันของฉันกับรถไฟไทย" ซึ่งมีผู้ส่งผลงานเข้าประกวดจำนวนมาก โดยผู้สนใจสามารถเข้าร่วมงาน"เดินทาง ดูหนัง เล่าเรื่อง"โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ในวันและเวลาที่กล่าวมาข้างต้น

SEAC4RS ความคุ้มค่าด้านวิทยาศาสตร์ กับ ผลกระทบด้านความมั่นคง


SEAC4RS ความคุ้มค่าด้านวิทยาศาสตร์ กับ ผลกระทบด้านความมั่นคง

เหตุผลด้านวิทยาศาสตร์

1.) นักวิจัยได้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้กับนักวิทยาศาสตร์ที่มีความเชี่ยวชาญสูง และน.ศ.ระดับโท-เอก ได้เรียนรู้และทำวิจัยร่วมกัน

2.) คุณครูและนักเรียน 99 คน ได้รับความรู้เกี่ยวกับระบบของโลกผ่านโครงการนี้

3.) สำนักฝนหลวงได้องค์ความรู้เพิ่มจากการตรวจวัดองค์ประกอบทางฟิสิกส์ทางอากาศ

4.) GISTDA ได้เรียนรู้ประสบการ การยืนยันความถูกต้องขอข้อมูลดาวเทียม

5.) ม.พระจอมเกล้าลาดกระบัง ได้ทำวิจัยร่วมเกี่ยวกับการตรวจวัดมลพิษ นำมาปรับแก้แบบจำลองการแพร่กระจายมลพิษ ทำให้ทำนายถูกต้อง

6.) เครื่องบินสำรวจนาซ่ามีสมรรถนะสูงแยกสารเคมีและละอองลอยได้ละเอียดกว่าอุปกรณ์ตรวจวัดของกรมควบคุมมลพิษและการนิคมอุตสาหกรรม

7.) มีองค์ความรู้เพิ่มเกี่ยวกับคุณภาพอากาศนำมาทำนายสภาพอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ วางมาตรการป้องกันปัญหาอุทกภัย และมลพิษทางอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ข้อมูลจากจดหมายเปิดผนึกนักวิทย์ไทยหนุนรัฐบาลร่วมมือนาซ่า

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNME1EY3dPRE00TkE9PQ%3D%3D&sectionid

เหตุผลด้านความมั่นคง

1.) Dr.Hal Maring จาก NASA ไม่รับประกันจะไม่มีการนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ทางทหาร

2.) ขอบเขตการบินกินพื้นที่ถึงทะเลจีนใต้

3.) มีรายชื่อบริษัท Chevron ติดต่อ NASA โครงการนี้ด้วย

4.) การบินสำรวจที่อ้างว่าอยู่ในน่านน้ำสากลยังไม่หมดข้อสงสัย เนื่องจากพื้นน้ำในภูมิภาคเป็นทะเลอาณาเขต มีความอ่อนไหวที่หลายประเทศกังวลเรื่องบูรณภาพเหนือดินแดน

5.) งานวิจัยชิ้นนี้อาจสร้างความหวาดระแวงให้ประเทศเพื่อนบ้านรวมทั้งจีนและอินเดีย

6.) ข้อมูลอาจนำไปใช้ทางเศรษฐกิจเช่น หากค่าในอากาศเป็นลบอาจนำไปสู่การใช้เงื่อนไขกีดกันทางการค้า

7.) สิ่งที่นาซ่าเปิดเผยจะเป็นเรื่องที่ใครๆก็เข้าถึงได้ แต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสหรัฐจะไม่มีการเปิดเผยต่อสาธารณชน

8.) การบินผ่านพื้นที่ชายแดนไทยและการลงจอดฉุกเฉินในประเทศเพื่อนบ้านโดยไม่ได้รับอนุญาต

9.) การบินผ่านเขตห่วงห้ามของไทย

10.) การซ่อนเร้นอุปกรณ์ นอกเหนือจากอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ในเครื่องบินสำรวจ

11.) การกระตุ้นให้ฝ่ายต่อต้านสหรัฐก่อเหตุร้ายในไทย

ข้อมูล 1-7 จากสรุปผลการประชุมร่วมหน่วยงานไทยด้านความมั่นคงและวิชาการเพื่อพิจารณาของเสนอของนาซ่า 27 ม.ค. 2555

ข้อมูล 8-11 จากเอกสารกระทรวงการต่างประเทศเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี (ความเป็นห่วงของหน่วยงานด้านความมั่นคง)

admin ส.สะมะระกะโต๊ย / ลุงจิ๋ว

3 VDO จากงานเปิดบ้านคนเมือง 1 ปีคนเมืองเรดิโอ สู่ คนเมืองมีเดีย 23 มิ.ย.2555

วิดีทัศน์แนะนำ คนเมืองเรดิโอ



บรรยากาศบางส่วนจากงาน 'เปิดบ้านคนเมือง' จากคนเมือง เรดิโอ สู่คนเมืองมีเดีย ในวันที่ 23 มิถุนายน 2555 ณ โรงแรมเชียงใหม่แกรนด์วิว ห้องพิณทอง ชั้น 1




บรรยากาศที่ลุงพงศ์และป้ามีดบิน ไปร่วมงาน เปิดบ้านคนเมืองเรดิโอ  จากคนเมือง เรดิโอ สู่คนเมืองมีเดีย ในวันที่ 23 มิถุนายน 2555 ณ โรงแรมเชียงใหม่แกรนด์วิว ห้องพิณทอง ชั้น 1



วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2555

การโทษกรรม การปลงลงในกรรม


การโทษกรรม การปลงลงในกรรม

การแผ่เมตตาดับปฏิฆะไปในบุคคลที่ไม่เป็นที่รัก เช่น ในผู้ที่เป็นศัตรู ถ้าหากจิตใจยังไม่เป็นอุเบกขา คือยังดับปฏิฆะในใจไม่ได้ การแผ่เมตตาออกไปในบุคคลที่ชังกันนั้นยากมาก จิตไม่ยอมที่จะเมตตา ยิ่งไปคิดถึงบางทีกลับไปเพิ่มความพยาบาท โทสะให้มากขึ้นไปอีก

เพราะฉะนั้นต้องคิดดับปฏิฆะในใจ ทำใจให้เป็นอุเบกขาให้ได้ โดยที่ปลงลงในกรรม เป็นกรรมของบุคคลที่ตนไม่ชอบนั้นเองด้วย เป็นกรรมของตนเองด้วย และไม่ว่าจะเป็นศัตรูคือบุคคลที่ตนไม่ชอบ หรือว่าเป็นตนเอง เมื่อทำอะไรออกไปทางกาย ทางวาจา ตลอดจนถึงทางใจ กรรมที่ทำนั้นถ้าเป็นอกุศลก็เป็นอกุศลกรรมของตนเองเช่นเดียวกัน

เพราะฉะนั้นพิจารณาดูว่าไม่ชอบเขาเพราะอะไร เขาเป็นศัตรูเพราะอะไร สมมติว่าไม่ชอบเขา เห็นว่าเขาเป็นศัตรู เขาทำร้าย เขาพูดร้าย เขาแสดงอาการคิดร้ายต่อตนอย่างใดอย่างหนึ่ง คราวนี้ก็มาพิจารณาปลงลงในกรรม ก็พิจารณาว่าการทำร้าย การพูดร้าย การคิดร้ายของเขานั้นใครเป็นคนทำ เขาทำหรือว่าเราทำ ก็ต้องตอบว่าเขาทำ ก็เมื่อเขาทำก็เป็นกรรมของเขา เมื่อเขาทำร้าย เขาคิดร้าย เขาพูดร้ายจริงแม้ต่อเรา กรรมที่เขาทำนั้นก็เป็นอกุศลกรรมของเขาเอง เราไม่ได้ทำก็ไม่เป็นกรรมของเรา

แม้ว่าเราจะเดือดร้อนเพราะกรรมเขาก็จริง แต่กรรมที่เขาทำก็เป็นกรรมของเขาเอง ไม่ใช่กรรมชั่วของเรา เราอาจจะต้องเดือดร้อนเพราะกรรมชั่วของเขาก็จริง แต่ว่ากรรมชั่วนั้นเป็นของเขาไม่ใช่ของเรา แบ่งออกได้ดั่งนี้ ก็จะทำให้ปลงใจลงไปในกรรมได้ไม่มากก็น้อย หรือว่าปลงลงไปครึ่งหนึ่ง หรือว่าค่อนหนึ่ง หรือว่าทั้งหมด

ถ้าหากว่าสามารถพิจารณาให้เห็นจริงจังดั่งนั้นได้ และก็ดูถึงกรรมของตัวเองว่า อาจจะเป็นที่ตนกระทำกรรมอันใดอันหนึ่งที่เป็นกรรมชั่วของตน แต่ว่าไปทำให้คนอื่นเดือดร้อนในอดีตบ้าง หรือว่าในปัจจุบันบ้างก็ได้

เพราะฉะนั้นก็ให้อโหสิกรรมกันไปเสีย คิดปลงลงไปดั่งนี้แล้ว ก็จะทำให้ดับปฏิฆะลงไปได้ แล้วคิดแผ่เมตตาไปแม้ในคนที่เป็นศัตรูหรือคนที่ชังกัน ก็ย่อมจะทำได้ง่ายเพราะว่าดับความชังในจิตใจ โดยทำจิตใจให้เป็นอุเบกขาได้

ในข้อกรุณา ข้อมุทิตาก็เช่นเดียวกัน และเมื่อได้ปฏิบัติอบรมเมตตา กรุณา มุทิตาในกาละ ในบุคคลที่ควรอบรม ก็สามารถที่จะอบรมมาถึงอุเบกขาได้

:: พระนิพนธ์ของ
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก


แหล่งที่มา :   www.dhammajak.net

ข้อคิดดีๆ กับ : ลิ้นชัก 3 ใบ


 ข้อคิดดีๆ กับ : ลิ้นชัก 3 ใบ

คนเราจะมีลิ้นชัก 3 ใบ ในการจัดเก็บข้อมูล

 

ลิ้นชักแรก “ใช่”

ลิ้นชักที่สอง “ไม่ใช่”

และลิ้นชักที่สาม “ไม่แน่ใจ”

 

ทุกข้อมูลที่เข้าสู่การรับรู้ของเรา จะถูกบรรจุใน 3 ลิ้นชัก

คนที่มีความ สุขกับชีวิต ต้องมีลิ้นชัก “ไม่แน่ใจ” ใหญ่ที่สุด

ข้อมูลที่เข้ามา ถ้าชัดเจนว่า “ใช่” หรือ “ไม่ใช่”

ให้ใส่ไว้ในลิ้นชัก “ไม่แน่ใจ” ก่อน อย่า ด่วนสรุปเป็นอันขาด…

สะสมแต้มไปเรื่อยๆ จนชัดเจนระดับเป็นอื่นไปไม่ได้แล้ว

ค่อยโยกย้ายข้อมูลไปสู่ลิ้นชัก “ใช่” หรือ “ไม่ใช่”



หลักคิดแบบนี้ทำให้เราไม่ตัดสินคนเร็วเกินไป

ความทุกข์จะเดินทางช้าหน่อย



คนเราที่ทุกข์ส่วนใหญ่ เกิดจากการรีบสรุป ทั้งที่ข้อมูลไม่ชัดเจน

ถ้าลองขยายลิ้นชัก “ไม่แน่ใจ” ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นสิครับ

บางที “ความทุกข์” อาจน้อยลง และเราจะมี “ความสุข” มากขึ้น



จากหนังสือ : ฝันใกล้ใกล้ ไปช้าช้า โดย : หนุ่มเมืองจันทร์

จะอ้างเหลือง พร่ำเพรื่อ ถึงเมื่อไหร่


..กลอนแซบๆจากพี่คนดีครับ....//**< เกินเลย >
จะอ้างเหลือง พร่ำเพรื่อ ถึงเมื่อไหร่
ไม่เห็นมี ที่ไหน หมู่บ้านเหลือง
ไม่เห็นมี เหลืองไหน ไปเผาเมือง
อีกนานไหม จะอ้างเรื่อง สนามบิน
ที่คุณทำ มันล้น จนเกินเลย
ไม่เห็นมี ใครเคย ทำทั้งสิ้น
มาทอนบั่น สั่นบัลลังค์ แทบพังพิน
เพียงเพื่อให้ ทักษิณ ได้กลับมา
ติใครทำ มองเห็น ว่าเป็นกาก
แต่วันนี้ คุณทำมาก เสียยิ่งกว่า
ทำตามใจ ได้ทั้งหมด ไม่ลดรา
นี่น่ะหรือ คือประชาธิปไตย
ที่เขาทำ คุณทำล้ำ กล้ำเกินแล้ว
เขาพักแล้ว คุณจะแจว ไปถึงไหน
เอาแต่อ้าง เพื่อมากร่าง ได้อย่างไร
โดนนายถีบ หัวเรือใส่ ก็ยังแจว
ด่าสมบูรณาณาสิทธิราช
ซึ่งเราเลิก เด็ดขาด เป็นชาติแล้ว
มาเสี่ยงตาย รายล้อม ยอมเป็นแนว-
-ร่วม 'สมบูรณ์ สิทธิแม้ว' กันอยู่ไย
ใครที่ว่า อยากปรองดอง ต้องเดินหน้า
ก็จงหยุด ทำบ้าบ้า ดีกว่าไหม
จงหยุดคิด ที่ทำผิด-ถูกอย่างไร
อย่าก้าวเดิน เพลินไป ให้เกินเลว

พี่คนดี (P.khondee)
28 มิถุนายน 2555

หลากสรรพคุณของ 'โยเกิร์ต'


หลากสรรพคุณของ 'โยเกิร์ต'
ใครที่ชอบกินโยเกิร์ตต้องดีใจจนออกนอกหน้า เพราะวันนี้เรามีประโยชน์ดีๆ
จากโยเกิร์ตมาฝากกันคะ
 
- คนที่ท้องเสียเป็นเพราะมีเชื้อจุลินทรีย์อยู่ในลำไส้
แต่เชื้อจุลินทรีย์ในโยเกิร์ตเกิดมาเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียชนิดเลวทั้งหลาย
การกินโยเกิร์ตจึงทำให้อาการท้องเสียของคุณทุเลาอย่างรวดเร็ว
ทำให้ถ่ายน้อยลงหรือหยุดถ่าย

- โยเกิร์ตมีไขมันชื่อคอนจูเกตเต็ดไลโนเลอิก ช่วยป้องกันโรคหัวใจ

 - โยเกิร์ตไขมันต่ำ 1 ถ้วย เป็นแหล่งรวมของสารอาหารถึง 11 ชนิด
และแต่ละชนิดก็เป็นตัวแม่สำหรับร่างกายทั้งนั้น อย่างไอโอดีน แคลเซียม
ฟอสฟอรัส วิตามินบี 2 โปรตีน วิตามินบี 12 ทริปโทฟาน โพแทสเซียม โมลิปเดนัม
 สังกะสี และวิตามินบี 5 คนที่กินโยเกิร์ตเป็นประจำถึงได้อายุยืนแถมแข็งแรง


- ถึงแม้จะทำมาจากนม แต่โยเกิร์ตให้โปรตีนและแคลเซียมสูงกว่านมธรรมดา
เพราะลำไส้ของเราย่อยนมไม่ได้ แต่สำหรับโยเกิร์ตกลับทำได้ชิลๆ
เพราะในโยเกิร์ตมีกรดแลกติกที่จะช่วยย่อยแคลเซียมให้เล็กลง
ทำให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้

 - จุลินทรีย์ทั่วไปอาจทำร้ายร่างกายแต่แลคโตบาสิลัสในโยเกิร์ตเป็นจุลินทรีย์
ชนิดดีที่ ร่างกายต้องการ มันจะไปหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อ
"เฮลิโคแบคเตอร์ เอชไพโลไร" ที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะ
ลดการอักเสบของลำไส้และไขข้อ
แถมยังทำตัวเป็นนักปราบปรามจุลินทรีย์ที่จะทำให้คุณเป็นมะเร็งปากมดลูก
ช่วงที่มีรอบเดือนผู้หญิงจึงควรทานโยเกิร์ตเป็นประจำ

 - แคลเซียมสูงที่ได้จากโยเกิร์ตจะทำให้เป็นสาวกระดูกเหล็ก
ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน ความดันสูง มะเร็งลำไส้
และยังกระตุ้นระบบเผาผลาญทำให้คุณผอมเองโดยไม่ต้องเหนื่อย

 - ทำให้ปากสะอาด กำราบกลิ่นปากและโรคเหงือก

 - เพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกาย
เพราะแบคทีเรียในโยเกิร์ตทำให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินเคและบีในลำไส้ได้ดีขึ้น

 
ที่มา : หนังสือพิมพ์ดิจิตอล Investor Station

กรรมทางใจที่ทำให้ร่ำรวยสูงสุด


กรรมทางใจที่ทำให้ร่ำรวยสูงสุด

ให้ของผลเหมือนกัน แต่ใจแตกต่าง ก็ให้ผลผิดกันได้ลิบลับ
        พระพุทธเจ้าจำแนกอาการของใจในขณะให้ไว้เป็นต่างๆ แต่ละอาการล้วนเป็นกำลังหนุนให้วิบากออกดอกออกผลเป็นความมั่งคั่ง หากใครให้ทานด้วยอาการของใจดังต่อไปนี้ครบถ้วนเป็นประจำสม่ำเสมอ ก็จะมีผลไพบูลย์สูงสุด ส่งผลเป็นความมั่งคั่งถึงที่สุดเท่าที่ทานนั้นๆจะอำนวย

      ๑) ให้ด้วยความศรัทธา คือมีความเลื่อมใสอยู่ก่อนว่าทานเป็นของดี เป็นของที่ให้ความสุขในปัจจุบัน และเที่ยงที่จะติดตามไปให้ความสุขแก่เราในอนาคต ทั้งนี้ไม่ได้หมายเอาอาการโลภแบบจำเพาะเจาะจงว่าขอให้รวยเท่านั้นเท่านี้ เมื่อนั่นเมื่อนี่ อาการทางใจเช่นนั้นไม่ใช่ศรัทธาในบุญ แต่เป็นการลงทุนของนักธุรกิจอย่างหนึ่งผู้ศรัทธาในการเอากำไรเข้าตัว หรือถ้าให้โดยปราศจากศรัทธา ให้อย่างเสียไม่ได้ ให้เพราะจำใจ ให้เพราะตามๆญาติมา แม้เกิดบุญขึ้นมากก็ไม่ได้เป็นกรรมสว่างสร้างภพแห่งความมั่งคั่งแต่อย่างใด และเมื่อมีนิสัยให้ด้วยความศรัทธาดีแล้ว ยังมีผลให้รูปร่างหน้าตาและผิวพรรณงดงามยิ่งอีกด้วย

 
      ๒) ให้ด้วยความเคารพ คือมีความรู้สึกอยู่ว่าการทำทานเป็นของสูง ไม่ใช่ของต่ำ จึงไม่ควรโยนให้หรือเสือกให้เหมือนเป็นของเหลือเดน การถวายทานแด่สงฆ์จัดเป็นการฝึกใจให้ทำทานด้วยความเคารพได้อย่างดี เพราะรู้สึกอยู่ว่าท่านใช้ชีวิตที่สะอาดสูงส่งกว่าเรา หรืออย่างน้อยพวกท่านก็นุ่งห่มจีวรอันเป็นธงชัยพระอรหันต์ สืบทอดพระศาสนาให้ต่อเนื่องไม่สาบสูญ ถ้าให้ทานโดยปราศจากความเคารพ ให้แบบโยนกระดูกลงพื้น ให้ด้วยความเหยียดหยาม หรือให้แบบแดกดัน แม้เกิดบุญขึ้นมากก็ไม่ได้เป็นกรรมสว่างสร้างภพแห่งความมั่งคั่งแต่อย่างใด และเมื่อมีนิสัยให้ด้วยความเคารพดีแล้ว ยังมีผลให้ดูเป็นคนน่าเลื่อมใสควรแก่การเชื่อฟังอีกด้วย

 

        ๓) ให้โดยกาลอันควร คือให้อย่างรู้จักความเหมาะสมกับสถานการณ์ในเวลาหนึ่งๆ เช่นเมื่อเห็นพระตาแดง ก็ขวนขวายเป็นธุระหายาหยอดตามาให้ท่าน เห็นวัดมีทางโคจรของพระที่เฉอะแฉะ ก็ร่วมแรงร่วมใจกันทำทางให้แห้งหรือเทปูนให้พวกท่านไปเลย ไม่ใช่เห็นท่านอยู่ปกติก็เอายาหยอดตาไปถวายขวดเดียวโดดๆด้วยความคิดว่าสัก วันหนึ่งท่านอาจจะตาแดง แต่ถ้าซื้อยาสามัญครบชุดไปถวายด้วยความคิดว่าเป็นหนึ่งในปัจจัย ๔ เผื่อไว้ว่าท่านอาจจำเป็นต้องใช้ อย่างนี้ถือว่าให้โดยกาลอันควร ถ้าให้ทานโดยปราศจากความเหมาะสมกับกาล แม้เกิดบุญขึ้นมากก็ไม่ได้เป็นกรรมสว่างสร้างภพแห่งความมั่งคั่งแต่อย่างใด และเมื่อมีนิสัยให้โดยกาลอันควรดีแล้ว ก็จะเป็นผู้ได้ของตามต้องการในเวลาไม่เนิ่นช้าอีกด้วย

 

       ๔) ให้ด้วยจิตอนุเคราะห์ คือให้ด้วยความปรารถนาจะช่วยผู้รับในเรื่องหนึ่งๆอย่างแท้จริง เช่นเมื่อเลือกซื้อยาสีฟันถวายพระ ก็หยิบเอายี่ห้อดีที่สุดที่เราทราบว่ามีคุณภาพในการรักษาเหงือกและฟัน โดยไม่เกี่ยงงอนเรื่องราคา อย่างนี้ถือว่าให้ด้วยจิตอนุเคราะห์ ถ้าให้ทานโดยปราศจากจิตคิดอนุเคราะห์ แม้เกิดบุญขึ้นมากก็ไม่ได้เป็นกรรมสว่างสร้างภพแห่งความมั่งคั่งแต่อย่างใด และเมื่อมีนิสัยให้ด้วยจิตคิดอนุเคราะห์ดีแล้ว ก็จะเป็นผู้มีรสนิยมดี เลือกใช้ของมาทำความเพลิดเพลินเจริญสุขอันเป็นไปด้วยกามคุณ ๕ ได้อย่างฉลาดอีกด้วย (ตรงนี้ขอให้สังเกตว่าบางคนเงินไม่ได้เนรมิตทุกสิ่งในชีวิตให้ดูดีโดย อัตโนมัติ บางคนมีเงินมากก็จริง แต่ไม่รู้จักร้านอร่อย ซื้ออาหารผิดสุขลักษณะ เลือกของแต่งบ้านไม่เป็น นั่งทำงานในที่สกปรกรุงรัง งกเสียจนแม้ข้าวของเครื่องใช้ผุพังก็ดันทุรังใช้ต่อ ในขณะที่บางคนมีทรัพย์สมบัติเพียงปานกลาง แต่ความเป็นอยู่ดูดีคุ้มเงินยิ่ง)

 

        ๕) ให้โดยไม่กระทบตนและผู้อื่น คือให้โดยไม่ประชด ให้โดยไม่แข่งขันชิงดี ให้โดยไม่คิดเอาหน้าเกินใคร ขอให้สังเกตว่าบางคนอยากได้บุญเป็นอันดับหนึ่ง นึกว่าเป็นเช่นนั้นได้ก็ด้วยการไปอยู่หัวแถวสุดเสมอ แทบจะใช้แขนปาดกวาดต้อนคนอื่นไปอยู่ข้างหลังเลยทีเดียว หรือบางคนก็ทำบุญแบบเกทับกัน เช่นเห็นเขาให้ก่อน ๕๐๐ ตัวเองรีบหยิบแบงก์พันขึ้นมาสู้ จิตมีอาการคิดเบ่ง คิดทำให้เขาเสียหน้าหรือน้อยหน้า ถ้าให้ทานด้วยจิตคิดกระทบกระทั่ง แม้เกิดบุญขึ้นมากก็ไม่ได้เป็นกรรมสว่างสร้างภพแห่งความมั่งคั่งแต่อย่างใด และเมื่อมีนิสัยให้ด้วยจิตไม่คิดกระทบกระทั่งดีแล้ว ก็จะทำให้ทรัพย์สินปลอดภัยจากไฟ น้ำ หรือการแย่งชิงของผู้อื่น


 

       ถ้าหากเกิดข้อสงสัยว่าเราจะมีอาการทางใจถึง ๕ ประการพร้อมๆกันได้อย่างไร ในเมื่อคนเราคิดได้ทีละอย่าง ก็ขอให้หมั่นฝึกสังเกตเถิดว่าเรายังมี ‘ข้อเสีย’ ในการทำทานอย่างไรอยู่บ้าง เมื่อรู้ตัวก็ฝึกใหม่ เช่นขณะหนึ่งในการให้ รู้สึกว่าเป็นการให้เพียงด้วยกิริยาทางกาย ใจไม่เป็นสุข แห้งแล้งเหมือนดอกไม้ขาดฝน ก็ควรศึกษาประโยชน์ของทานทั้งปัจจุบันและอนาคตให้ดี น้อมใจว่าการให้ทานก็คือการสละยางเหนียวเหนอะหนะของความตระหนี่ เมื่อทำลายความทึบย่อมเกิดความรู้สึกโปร่งโล่งเบาสบาย และการให้ด้วยความเลื่อมใสศรัทธาว่าผลทานจะบันดาลสุขทางโภคทรัพย์ยิ่งๆขึ้น ไปในอนาคต จิตก็จะได้คิดปลื้ม เลิกทำทานแบบบัวแล้งน้ำเสียได้

      การสังเกตข้อเสียในการทำทานไปทีละข้อจนเห็นว่าไม่เหลือข้อเสียแล้วนั่นแหละ เป็นที่มาของกรรมทางใจที่จะบันดาลผลให้มั่งคั่งสูงสุด

      คนส่วนใหญ่ยังเข้าใจผิดอยู่ว่าทำแบบใหญ่พรวดพราดโครมเดียวแล้วจะรวยทันใจ ทั้งปัจจุบันและอนาคต ความจริงคือถ้าอาการทางใจยังไม่สมบูรณ์ดังกล่าวแล้ว ผลของทานก็มักจะยังไม่ปรากฏตัว ต่อเมื่อใจเริ่มเป็นสุข มีความสมัครใจ มีความยินดีแท้จริงจากส่วนลึกว่า ‘อยากให้’ โดยปราศจากเงื่อนไขทั้งปวง จะเหมือนพลังความสุขแห่งทานเอ่อล้นจากภายใน ส่งคลื่นรบกวนเหตุการณ์ภายนอกให้แปรปรวน กลับดำเป็นขาว กลับมืดเป็นสว่าง กลับแคบเป็นเปิดกว้างไปด้วย ต่อให้เคยฝืดเคืองลำบากลำบนอย่างไร ก็เหมือนจะมีตัวช่วย ตัวหล่อลื่นให้ทุกอย่างดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

      และถ้ามีน้ำจิตเป็นทาน หรือที่เรียกว่ามีทานจิตอย่างสมบูรณ์ วันไหนไม่มีโอกาสสละให้แล้วรู้สึกเหมือนชีวิตขาดบางอย่างไป นั่นแหละกรรมได้เตรียมภพอันเปิดกว้างสว่างสบายตามจิตไว้แล้ว เมื่อเคลื่อนจากชาติปัจจุบัน ละโลกนี้ไปแล้ว กรรมย่อมเลือกสรรให้ไปอยู่ในภพซึ่งมีความสุกสว่างรุ่งโรจน์ทางการเงินอย่าง แน่นอน

ความอดทน


ความอดทน

หลวงพ่อชาย้ำอยู่เสมอว่า
ในชีวิตของนักปฏิบัติ
ข้อที่หนึ่งคือ ความอดทน
ข้อที่สองคือ การพิจารณา อดทน อดทน และอดทน
แล้วก็หัดพิจารณา การปฏิบัติมันอยู่ตรงนี้
ถ้าหากว่าเราไม่มีความอดทนต่ออารมณ์ทั้งหลาย
จิตใจของเราจะยินดีบ้าง จะยินร้ายบ้าง
พอเกิดอาการของความยินดีขึ้นมาแล้ว
เกิดอาการของความยินร้ายขึ้นมาแล้ว
โอกาสที่เราจะมองทะลุเข้าไป
เห็นความจริงของอารมณ์นั้นหายไปทันทีเลย
เพราะฉะนั้นเราต้องมีความอดทน

ความจริงแล้วสิ่งที่ดีที่สุดคือการปล่อยวาง
ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นเสีย
แต่ถ้าเรายังปล่อยไม่ได้จะทำยังไง?
ก็ต้องอดทนไว้ก่อน
มุ่งที่จะปล่อยวาง แต่เรายังปล่อยวางไม่ได้
ก็อดทนไว้ก่อน
แค่ความอดทนนี้มันมีอานิสงส์หลายอย่าง
พอจะเกิดอารมณ์ขึ้นมา
มีสติพอเห็นว่ามันเป็นอารมณ์ที่เป็นอกุศล
แทนที่เราจะลุอำนาจต่ออารมณ์นั้น
ปล่อยจิตให้วิ่งตามมัน
เราอดทน ไม่ทำ ไม่พูด อดทน อดทน
ไม่นานนักอารมณ์นั้นก็ค่อยสลายหายไป
แล้วเราจะเห็นอย่างชัดเจนว่า
อารมณ์นี้เป็นของไม่เที่ยง
เกิดขึ้นแล้วเป็นทุกข์ ไม่ใช่ว่ามันสุข
แล้วมันไม่ได้อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของเรา
เราเริ่มเห็นความจริงคือ
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อยู่แล้วด้วยความอดทน
แต่การที่จะปล่อยวางได้นั้น ต้องผ่านขั้นตอนก่อน
ต้องเห็นอารมณ์ตามความเป็นจริง
ซึ่งต้องอาศัยการดูด้วยความอดทน
และต้องอาศัยจิตที่นิ่ง สงบ
เพราะฉะนั้น เราต้องพยายามสร้างความสงบ
ให้มีอยู่ในใจของเรา อันนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก

:: พระอาจารย์ชยสาโรภิกขุ

หลังสงครามเวียตนาม เมกาก็ทิ้งสนามบินอู่ตะเภาที่แข็งแรงมหาศาลไว้


หลังสงครามเวียตนาม เมกาก็ทิ้งสนามบินอู่ตะเภาที่แข็งแรงมหาศาลไว้ ซึ่งไทยควรมีสิทธฺ์ใช้เป็นสนามบินพาณิชย์ได้ช่วยเพิ่มนักท่องเที่ยวมา พัทยา ระยอง ได้มากมายมหาศาล โดยลงทุนเพิ่มเพียงไม่กี่หมื่นล้านบาท ไม่จำเป็นต้องสร้างสนามบินในหนองที่ชื่อสุวรรณภูมิ โดยประหยัดได้เป็น แสนล้าน
....
แต่นักการเมืองขุนทหารชั่วเกือบทุกยุคทุกสมัยกลับพยายามดองไว้ เพื่อประเคนให้ฝรั่งเข้ามา "ชักศึกเข้าบ้าน" อีก โดยเมกาอ้างว่า จะใช้เพื่อ

... นาซ่า จะใช้เพื่อการสำรวจอากาศ ชั้นเมฆ ฯลฯ ... ในขณะที่ไฟกำลังไหม้ป่าที่ โคโลราโด แล้วยังดับไม่ได้ เพราะทั้งประเทศมีเครื่องบินดับเพลิงไม่กี่สิบลำ .วันนี้แผ่นดินบ้านมันก็ถล่มอีก

... ใช้เพื่อการบรรเทาภัยธรรมชาติและการช่วยเหลือทางมนุษยธรรม ... แต่ตอนน้ำท่วมบ้านเรา มันส่งเรือดำน้ำมา(ว่ะ) ... และตอนนี้ ชาวโรฮิงยาในพม่ากำลังเดือดร้อนสาหัส แต่ มันกลับอี๋อ๋อรัฐบาลพม่าเพียงเพื่อจะได้ปิดล้อมจีน ....

.... ... . ทั้งสองประเด็นนี้ อนุญาตให้ใช้เป็นครั้งคราวเมื่อจำเป็นได้อยู่แล้ว(เคยให้แล้วด้วย) ... จึงไม่มีความจำเเป็นอันใดที่ต้องให้เมกามายึดเป็นการถาวร ...

.... และสุวรรณภูมิก็กำลังพังและต้องปิดบางส่วนเพื่อซ่อม .... ทำไมไม่เก็บไว้เป็นสนามสำรอง ถ้ามีปัญหา "คาดไม่ถึง" ซึ่งมักจะเกิดได้เสมอโดยนักการเมืองคุณภาพต่ำ ....

.................
ชิมิๆ

อู่ตะเภากับความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ จีนกับประเด็นสนามรบของมหาอำนาจ โดย ว.ร. ฤทธาคนี



  การที่ทางการไทย โดยนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อนุญาตในหลักการให้องค์การนาซ่าของสหรัฐฯ เข้ามาใช้สนามบินอู่ตะเภา เพื่อวัตถุประสงค์สำรวจภูมิอากาศ
     
       แต่หลายส่วนภาคประชาชนเกิดความเคลือบแคลงใจว่า “สหรัฐฯ มีวัตถุประสงค์อะไรกันแน่
     
       1. เพื่อการปิดล้อมจีนเชิงยุทธศาสตร์
     
       2. เพื่อใช้เป็นฐานปฏิบัติการทำการจารกรรม และเฝ้าตรวจการเคลื่อนไหวทางทหารของจีน
     
       3. เพื่อเตรียมการปักหลักใช้เป็นฐานทัพทำสงครามกับจีน หากเกิดสงครามขึ้น รวมทั้งเป็นจุดยุทธศาสตร์สกัดเส้นทางน้ำมันสู่จีน
     
       ประเทศไทยนั้นเป็นเสมือนจุดหมุนกึ่งกลางของรัศมียุทธศาสตร์ปิดล้อมจีน ทางด้านเหนือครอบคลุมประเทศจีน อยู่ที่แขนรัศมีมีระยะห่างใกล้เคียงกัน ทางด้านเหนือครอบคลุมจีนได้ทั้งหมด ด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือครอบคลุมเกาหลีและญี่ปุ่น ด้านทิศตะวันออกครอบคลุมทะเลจีนใต้ มหาสมุทรแปซิฟิก หมู่เกาะสแปรตเลย์ ฟิลิปปินส์ กวม หมู่เกาะมาแชล หรือแนวป้องกันภาคตะวันตกของสหรัฐฯ หมู่เกาะฮาวาย และชายฝั่งมหาสมุทรแคลิฟอร์เนีย ด้านใต้คือทวีปออสเตรเลีย นิวซีแลนด์กับด้านตะวันตกครอบคลุมมหาสมุทรอินเดีย อนุทวีปอินเดีย แนวเชื่อมตะวันออกกลาง
     
       ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-สหรัฐฯ เริ่มตั้งแต่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2376 ในรัชสมัยรัชกาลที่ 3 ด้วยเกิดสนธิสัญญามิตรภาพและการค้าขึ้น และเป็นประเทศแรกในเอเชียที่ทำสัญญาไมตรีและการค้า โดยประธานาธิบดี แอนดรู แจ็คสัน ส่งนายเอดมันท์ โรเบิร์ตส์ เข้ามาเฝ้าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ โดยมีการแลกของกำนัลที่มีค่า และสถาปนาทางการทูตอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2389
     
       ส่วนภาคเอกชน มีมิชชันนารีอเมริกันเข้ามาเปิดสอนศาสนา เปิดโรงเรียน และสถานีอนามัย เช่น บาทหลวง นายแพทย์เดวิด เอบิล ใน พ.ศ. 2374 และได้นำการแพทย์สมัยใหม่เข้ามาประยุกต์ใช้รักษาในกรุงเทพฯ และหมอบรัดเลย์ มีส่วนพัฒนาสุขอนามัยป้องกัน เช่น การปลูกฝีป้องกันโรคไข้ทรพิษ และมีการเปิดโรงพิมพ์ภาษาไทยขึ้นเป็นครั้งแรก
     
       พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน ทรงประสูติที่แมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2470 และเสด็จฯ เยือนสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ ในปี พ.ศ.2503 อันเป็นการย้ำความสัมพันธ์ที่ดี
     
       ความสัมพันธ์ทางทหารเริ่มต้นเมื่อนายพลวิลเลียม มิทเชล ผู้สร้างกองทัพอากาศสหรัฐฯ และนำกำลังอาสาสมัครไปร่วมรบเป็นสัมพันธมิตรอังกฤษและฝรั่งเศสรบกับเยอรมนี ส่วนกองบินทหารบกไทย นำโดย พันโทหลวงศักดิ์ศัลยาวุธ (สุณี สุวรรณประทีป) บุพการีกองทัพอากาศ เข้าร่วมรบกับอังกฤษและฝรั่งเศษด้วยและได้พบกับนายพลมิทเชลในฝรั่งเศษ จึงได้เชิญให้มาเยือนกองบินทหารบกที่ดอนเมือง ในปี พ.ศ. 2476 และได้ทำการบินกับเครื่องบินเบเกต์ 14 ตารางเมตรของไทย
     
       จึงเกิดความร่วมมือกันโดยกองบินทหารบกไทยในยุคนั้นได้สั่งซื้อเครื่องบินหลายแบบจากสหรัฐฯ ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 และส่งนักบินไปฝึกบินในสหรัฐฯ แต่เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เริ่มขึ้นในยุโรปในปี พ.ศ. 2482 สหรัฐฯ ระงับการส่งเครื่องบินที่กองบินทหารบกสั่งซื้อมาให้ไทย เพราะไทยเริ่มขบวนการเรียกร้องดินแดนคืน และเตรียมการรบกับฝรั่งเศส
     
       ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ห่างเหินกัน เพราะไทยรบกับฝรั่งเศส รัฐบาลสหรัฐฯ เข้าข้างฝรั่งเศส ในปลายปี พ.ศ. 2483 ถึงต้นปี พ.ศ. 2484 ไทยรบชนะได้ดินแดนคืนแต่ญี่ปุ่นเข้าไกล่เกลี่ย
     
       ต่อมาไทยเข้าร่วมวงศ์ไพบูลย์กับญี่ปุ่นเพื่อความอยู่รอด เพราะอังกฤษไม่ให้ความช่วยเหลือทางทหารกับไทย ในวันที่ 8 ธันวาคม 2484 ญี่ปุ่นบุกไทย เพื่อรักษาชาติมิให้ถูกทำลายย่อยยับรัฐบาลไทยจึงยอมลงนามกับญี่ปุ่น เป็นชาติร่วมวงศ์ไพบูลย์ ทำให้ไทยต้องประกาศสงครามกับชาติพันธมิตร ไทยรบกับสหรัฐฯ ซึ่งระงับส่งเครื่องบินมาให้กองทัพอากาศไทยตามที่สั่งซื้อ ไทยจึงสั่งซื้อจากญี่ปุ่นแทน ในช่วงสงครามนั้นเสืออากาศไทยสามารถยิงเครื่องบินสหรัฐฯ ตก เช่น P-41MUSTANG และ B-29
     
       แต่กองทัพไทยได้ส่งนายทหารเข้าเป็นสมาชิกขบวนการเสรีไทย โดยกองทัพอากาศ ส่ง นาวาอากาศโททวี จุลละทรัพย์ ไปประจำกับหน่วยสืบราชการลับของสหรัฐฯ เรียกว่า Office of Strategic Services-OSS ต่อมากลายเป็น CIA ที่อินเดีย และนำจารชนไทยที่ฝึกในอินเดียมากระโดดร่มลงในไทยทำการจารกรรมกองทัพญี่ปุ่น และพลอากาศเอกสิทธิ เศวตศิลา นักเรียนทุนหลวงในสังกัดกองทัพอากาศ เป็นเสรีไทยด้วย ทั้งสองท่านจึงเป็นบุคคลที่ทำงานประสานกับกองทัพสหรัฐฯ ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ในยุคสงครามเย็น และยุทธศาสตร์ปิดล้อมโซเวียต จีน และเวียดนาม
     
       เกิดสงครามเกาหลี กองทัพเกาหลีเหนือบุกเกาหลีใต้ ในเดือนมิถุนายน พ.ศ.2493 ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2494 รัฐบาลไทยตกลงส่งกำลังทหาร 3 เหล่าทัพไปช่วยกองกำลังสหประชาติรบกับคอมมิวนิสต์เกาหลีเหนือและกองทัพจีนแดง กองทัพอากาศไทย บินถึงฐานทัพอากาศตาชิกาวา เป็นประเทศที่ 2 รองจากกรีซ ตามด้วยกองพันทหารราบจากกองทัพบก และเรือรบจากกองทัพเรือ ครั้งหนึ่งกองพันทหารราบไทยได้รับมอบหมายให้เป็นกองระวังหลัง ทำการรบอย่างกล้าหาญอย่างยิ่งยวดไม่ยอมแพ้ จนได้ชื่อว่ากองพันพยัคฆ์น้อย หรือกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ในปัจจุบัน
     
       สหรัฐฯ ถือว่าการแผ่ขยายอิทธิพลของจีน และการยกกองทัพเข้าร่วมรบกับเกาหลีเหนือบุกเกาหลีใต้ เป็นต้นเหตุสงครามเย็นในเอเชีย ต้นเหตุสงครามเย็นของโลกและยุโรป คือ การที่โซเวียตล้อมกรุงเบอร์ลิน หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติในปี ค.ศ.1945 สงครามเกาหลีเกิดความสัมพันธ์ทางทหาร โดยที่สหรัฐฯ ส่งหน่วยที่ปรึกษาการทหารสหรัฐฯ เข้ามาในประเทศไทย เพื่อประสานงานและฝึกทหารไทยให้สามารถรบในเกาหลีได้ และจัดตั้งคณะที่ปรึกษาทางทหารอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2495 โดยรัฐบาลสหรัฐฯ ให้การสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์แก่กองทัพไทย กองทัพอากาศได้รับฝูงบินขับไล่ไอพ่นในปี พ.ศ. 2496 เป็นชาติแรกในภูมิภาคนี้ที่บินไอพ่นได้
     
       ตามหลักการทรูแมนจึงเกิดสนธิสัญญามะนิลา พ.ศ. 2497และต่อมามีการก่อตั้ง SEATO องค์การป้องกันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีสมาชิก 8 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย อังกฤษ ฝรั่งเศส นิวซีแลนด์ สหรัฐอเมริกา ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ และไทย แต่หลังจากความล้มเหลวในสงครามเวียดนาม SEATO จึงสลายตัวลง ในปี พ.ศ. 2520 สนธิสัญญามะนิลาทำให้เกิดข้อตกลงดีน-รัสต์ พ.ศ. 2505 แบบสัญญาสุภาพบุรุษมีเนื้อหาที่รัฐบาลไทยอนุญาตให้กองทัพสหรัฐฯ เข้ามาตั้งฐานทัพในประเทศไทยและได้ตกลงกันโดยเน้นที่อำนาจอธิปไตยของไทย โดยทุกฐานบินจะต้องปกครองบังคับบัญชาโดยนายทหารอากาศไทย โดยกองทัพอากาศที่ 7 ตั้งอยู่ที่นครพนม มีการใช้ฐานทัพอากาศที่ดอนเมือง นครราชสีมา ตาคลี นครสวรรค์ อู่ตะเภา สัตหีบ ชลบุรี อุบลราชธานี อุดรธานี และน้ำพอง ขอนแก่น รวม 8 ฐานทัพ ซึ่งมีผลดีเศรษฐกิจท้องถิ่นดี แต่ผลเสียคือวัฒนธรรมเถื่อนเข้ามามากมาย
     
       ในปี พ.ศ. 2546 สหรัฐฯ สถาปนาไทยเป็นมิตรประเทศสำคัญของสหรัฐฯ นอกองค์การนาโต้ เพราะอำนวยความสะดวกในสงครามต่อต้านการก่อการร้ายสากลของสหรัฐฯ
     
       ยุคสงครามเวียดนาม ตั้งแต่ พ.ศ. 2505 และถึงจุดสูงสุดในปี พ.ศ. 2512 ร้อยละ 80 ของการโจมตีทางอากาศเหนือน่านฟ้าเวียดนามเหนือบินออกจากประเทศไทย
     
       เกิดสงครามลับในลาว โดยหน่วยบินไฟร์ ฟลายของไทยภายใต้ บก. 333 ที่มี พล.อ.วิฑูรย์ ยะสวัสดิ์ เป็นหัวหน้า ทำงานร่วมกับ CIA มีกองกำลังทหารรับจ้างไทย จำนวน 30,000 คน เรียกว่ากองกำลังทหารเสือพรานทำการรบกับทหารเวียดนาม รวมทั้งสงครามลับในเขมร หน่วยบินของกองทัพอากาศไทย บินจากอุบลราชธานี ไปโจมตีที่ตั้งเขมรแดงอันเป็นการสนับสนุนรัฐบาลลอนนอล ภายใต้การเสนอแนะของ CIA ต่อสู้กับเขมรแดงในปี พ.ศ. 2510 - 2513
     
       แนวคิดที่ไทยจำเป็นต้องให้สหรัฐฯ เข้ามาใช้ฐานทัพในไทย ยุคนั้นเป็นทางเลือกเพื่อการเอาตัวรอดจากภัยคุกคามของลัทธิคอมมิวนิสต์ที่ต้องการแผ่ขยายเขตแดนและเปลี่ยนระบอบการปกครองให้เป็นลัทธิคอมมิวนิสต์ และบทพิสูจน์ว่า “ยุทธศาสตร์เอาตัวรอดเชิงรุก” ของไทยนั้นได้ผลเพราะประเทศไทยไม่มีเหตุการณ์ชั่วร้ายโหดเหี้ยม “ทุ่งสังหาร” อย่างในเขมรที่เขมรแดงฆ่าชนชาติเดียวกัน 3-4 ล้านคน หรือวัฒนธรรม “การนอนสามัคคี” ในลาวเมื่อกองทัพเวียดนามเข้ายึดลาวและหวังจะกลืนชนชาติลาว
     
       ยุทธศาสตร์การเอาตัวรอดเชิงรุกนี้ไทยใช้มาตั้งแต่การช่วยอังกฤษรบกับพม่าครั้งรัชกาลที่ 3 และจำเป็นต้องเข้าร่วมเป็นชาติวงศ์ไพบูลย์กับญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2
     
       สหรัฐฯ เกิดแพ้สงครามเวียดนาม โดยเฉพาะสงครามการเมือง-การทูตที่กรุงปารีส เกิดหลักการนิกสัน ที่ยุติการช่วยเหลือทางทหารกับทุกชาติ แต่ให้ซื้ออาวุธเอง ในปี พ.ศ. 2518 เรียกว่าโครงการการช่วยเหลือทางทหารแบบต้องซื้อ
     
       ในช่วงนั้นเองนโยบายต่างประเทศของรัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธ์ ปราโมชกลับไปคืนดีกับจีนแดงและเกาหลีเหนือ ซึ่งการพบกันระหว่างม.ร.ว.คึกฤทธิ์กับประธานเหมา เจ๋อตงที่กรุงปักกิ่งนั้นเป็นประโยชน์กับไทยเมื่อเหมา เจ๋อตง ยอมรับเงื่อนไขของรัฐบาลไทยที่ขอให้จีนระงับการช่วยเหลือพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย โดยจีนขอให้ไทยขับไล่สหรัฐฯ ออกไปจากราชอาณาจักรซึ่งรัฐบาลม.ร.ว.คึกฤทธิ์ก็ได้ทำตาม ขอให้สหรัฐฯ ถอนทหารออกจากไทยจนหมดสิ้นในปี พ.ศ. 2519
     
       อย่างไรก็ดี สหรัฐฯ ยึดหลักการภูมิรัฐศาสตร์ตลอดมา โดยการสร้างอิทธิพลครอบครองบริเวณริมฝั่งมหาสมุทร และฝั่งทะเล ตามหลักการของนายพลเรือเอก อัลเฟรด มาฮาน บิดากองทัพเรือสหรัฐฯ ยุคใหม่ ทำให้เกิดยุทธศาสตร์ปิดล้อม โดยเชื่อว่าพลังอำนาจของชาตินั้น เกิดจากอำนาจการครองทะเลให้ได้ทั้งเวลาปกติและสงคราม ให้สหรัฐฯ สามารถยึดหรือสร้างอิทธิพลในทะเลหลวง ควบคุมเส้นทางเดินเรือ สามารถเข้าถึงและควบคุมท่าเรือและช่องแคบ รวมทั้งยึดครองทรัพยากรทางทะเลด้วยเทคโนโลยีที่เหนือกว่า โดยการใช้กองทัพ องค์กรทางพลเรือน หรือองค์กรนานาชาติอำพรางเพื่อการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เรียกว่าภูมิยุทธศาสตร์ครอบครองแนวริมฝั่งทะเลและมหาสมุทร
     
       แนวคิดนี้ทำให้กองทัพเรือสหรัฐฯ พัฒนากองเรือบรรทุกเครื่องบิน ซึ่งปัจจุบันมีกองเรือบรรทุกเครื่องบินประจำการจำนวน 11 กองเรือ กองเรือบรรทุกเครื่องบินจะประกอบด้วยเรือหลายประเภท ที่สามารถทำการรบนาวีทั้งเชิงรุกและรับ โดยเรือบรรทุกเครื่องบินจะมีเครื่องบินรบประมาณ 100 เครื่อง ดังนั้น เฉพาะกองทัพเรือสหรัฐฯ มีเครื่องบินรบประจำการประมาณ 1,100 เครื่อง
     
       หลังจากสงครามเวียดนาม ทำให้สหรัฐฯ ห่างเหินจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยุคประธานาธิบดี โรนัลด์ เรแกน (ค.ศ.1981-1989) เชื่อว่าการริเริ่มก่อนด้วยยุทธศาสตร์เชิงรุก จะควบคุมวิกฤตโลกจากการถูกคุกคามของคอมมิวนิสต์ เช่น โซเวียตบุกอัฟกานิสถานในปี ค.ศ. 1979 ประธานาธิบดีเรแกน จึงเริ่มการช่วยเหลือทางทหารกับมิตรประเทศที่ด้อยฐานะทางเศรษฐกิจ เช่น เขมร อัฟกานิสถาน แองโกล่า และนิการากัว และเริ่มมีการฝึกผสมระหว่างกองทัพอากาศไทยกับกองทัพอากาศสหรัฐฯ เรียกว่า Command West ส่วนการฝึก Cobra Gold ระหว่างกองทัพเรือไทย กับสหรัฐฯ เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2495 ลดความเข้มข้นลง แต่ต่อมาในปี พ.ศ. 2527 ขยายแนวคิดในการฝึก กองทัพอากาศไทยเข้าร่วมการฝึกด้วย และเป็นการฝึกร่วมและผสม 4 เหล่า ไทย-สหรัฐฯ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2529 โดยมีกองบัญชาการกองทัพไทยรับผิดชอบ
     
       สหรัฐฯ เชื่อว่ายุทธศาสตร์ปิดล้อมจีน จะสามารถยับยั้งความเจริญทางเศรษฐกิจ และอิทธิพลทางการเมืองของจีนในปัจจุบันได้ ดังนั้น ในปัจจุบันสหรัฐฯ พยายามที่จะญาติดีกับอินเดีย และเวียดนาม เพื่อตีกรอบจีนสองด้าน ตะวันตกและตะวันออก เนื่องจากสหรัฐฯ เกิดจากความกลัวว่าจีนจะเป็นใหญ่ทางทหารในภูมิภาคนี้ เพราะจีนพัฒนาได้กองทัพทุกมิติ โดยในปี พ.ศ. 2550 จีนสามารถสร้างจรวดทำลายดาวเทียมในอวกาศได้สำเร็จ ทำให้สหรัฐฯ แคนาดา และออสเตรเลีย ออกมาประท้วงว่าเป็นการคุกคามห้วงอวกาศสากล จรวดดังกล่าวยิงสูง 860 กิโลเมตร และถูกดาวเทียมตรวจอากาศของจีนซึ่งหมดอายุไปแล้วทุกลูก
     
       ปัจจุบัน จีนเข้าสู่การแข่งขันด้านอวกาศ ด้วยการส่งจรวดพร้อมนักบินอวกาศสู่วงโคจรโลกได้สำเร็จอย่างต่อเนื่อง และในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2555 จีนส่งจรวดเสิ่นโจว 9 พร้อมด้วยนักบินอวกาศชาย 2 คน หญิง 1 คน เพื่อเชื่อมต่อกับสถานีอวกาศเทียนกง 1 สำเร็จอย่างดียิ่ง
     
       แต่ที่สหรัฐฯ กลัวมาที่สุดได้แก่การที่จีนสามารถสร้างเรือบรรทุกเครื่องบินสำเร็จเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2554 นายพลโทคี เจียงเกา ผู้ช่วยเสนาธิการทหารจีน กล่าวว่า “ประเทศมหาอำนาจทั้งหลายในโลก มีเรือบรรทุกเครื่องบินประจำการทั้งสิ้น” รวมทั้งจีนสามารถสร้างเครื่องบินไอพ่นล่องหนยุคที่ 5 ได้สำเร็จอีกด้วย สหรัฐฯ จึงพยายามสร้างพันธมิตรปิดล้อมจีน ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2549 ประธานาธิบดีบุช ไปเยือนอินเดีย เพื่อโน้มน้าวให้อินเดียช่วยปิดล้อมจีน สหรัฐฯ โดยการให้ความร่วมมือกับอินเดียในการพัฒนาพลังงานปรมาณู แต่ทางการอินเดียปฏิเสธ ส่วนออสเตรเลียนั้นสื่อตะวันตกเรียกว่า องค์การนาโต้น้อยของสหรัฐฯ ที่สหรัฐฯ อยากให้ออสเตรเลียและญี่ปุ่นร่วมต่อต้านจีน หรือเป็นไตรภาคีต่อต้านจีน หรือนิตยสารอีโคโนมิกส์เรียกว่า “อักษะแห่งประชาธิปไตย” โดยนางคอนโดลีสซา ไรซ์ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เยือนออสเตรเลียในเดือนมีนาคม พ.ศ.2549 เพื่อสร้างแนวป้องกันไตรภาคีสหรัฐฯ -ญี่ปุ่น-ออสเตรเลีย
     
       ความพยายามนี้ทำให้ญี่ปุ่นและออสเตรเลียร่วมกันลงนามคู่สัญญาการป้องกันร่วมกันทางทหาร ซึ่งนักยุทธศาสตร์เชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งของไตรภาคีต่อต้านจีนแต่ทั้งสองประเทศปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวกับสหรัฐฯ
     
       มีข้อวิเคราะห์ของนักยุทธศาสตร์ว่า ออสเตรเลีย ต้องพึ่งตลาดจีน โดยเฉพาะจีนเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่รับซื้อแร่ดิบต่างๆ ของออสเตรเลีย และนายอเล็กซานเดอร์ ดาวเนอร์ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศออสเตรเลีย ไม่เห็นด้วยในหลักการปิดล้อมจีนของนางคอนโดลีซซา ไรซ์ ซึ่งปฏิเสธว่าสหรัฐฯ ไม่เคยมียุทธศาสตร์ปิดล้อมจีน และออสเตรเลียเองก็ริเริ่มที่จะเจรจาว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงประจำปีกับจีน
     
       จีนยังเป็นคู่ค้าที่สำคัญยิ่งของอินเดีย ถ้าอินเดียเป็นส่วนหนึ่งของการปิดล้อมจีนแล้ว จีนคงปฏิเสธที่จะค้าขายกับอินเดีย
     
       ปัจจุบันจีนเป็นคู่ค้าที่ใหญ่ของญี่ปุ่น แซงหน้าสหรัฐฯ ไปแล้ว จีนให้สินค้าเข้าของญี่ปุ่นได้รับสิทธิพิเศษหลายประการ เหนือกว่าสินค้าเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งทำให้สถานภาพทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นฟื้นตัวเร็วขึ้น
     
       สรุปได้ว่าแผนการปิดล้อมจีนของสหรัฐฯ อาจจะไม่ได้ผล แต่หากสหรัฐฯต้องการสร้างศูนย์กลางการปิดล้อมให้ได้นั้น อู่ตะเภาเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ เพราะเป็นจุดศูนย์กลางของรัศมียุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมแนวปิดล้อมจีนได้สมบูรณ์แบบและมีแนวโน้มเป็นเช่นนั้น เพราะสหรัฐฯ เพิ่มกำลังรบในภูมิภาคนี้ถึงร้อยละ 18.75 ทำให้จีนต้องป้องกันตัวเองด้วยการเพิ่มงบประมาณทางทหารเป็น 5 เท่าเช่นเดียวกัน
     
       เพราะสงครามเย็นระหว่างสหรัฐฯ กับจีนปะทุขึ้นตั้งแต่พ.ศ. 2546 ในการประชุมผู้นำประเทศเอเชียแปซิฟิก เมื่อสหรัฐฯ ขอให้จีนเพิ่มค่าเงินหยวน แต่จีนปฏิเสธ และจนในปัจจุบันจีนก็ยังไม่ได้เพิ่มค่าเงินหยวน ทำให้สหรัฐฯ เสียดุลการค้ากับจีนอย่างมหาศาล จีนตอบโต้สหรัฐฯ เรื่องสิทธิมนุษยชน และเรื่องทิเบต
     
       แนวคิดของนักยุทธ์ศาสตร์สหรัฐฯ มุ่งเน้นมาที่ไทยที่ว่า “การสนับสนุนจากรัฐบาลไทยนั้น ได้พิสูจน์แล้วว่ามีความสำคัญต่อสหรัฐฯ ทั้งปัจจุบันและอนาคต โดยในขั้นต้นได้สร้างแรงกดดันต่อกลุ่มอิสลามหัวรุนแรงในภูมิภาค ที่จะก่อสงครามก่อการร้าย และในขั้นต่อไปเป็นการเตรียมการของสหรัฐฯ เพื่อรับมือกับการขยายตัวพลังอำนาจจีน” แต่นายชอว์น คริสปิน ผู้เชี่ยวชาญด้านยุทธศาสตร์ของบริษัท Strategic Forcasting วิเคราะห์ว่า “ประเทศไทยได้แสดงจุดยืนชัดเจน โดยไม่ยอมรับความเชื่อของสหรัฐฯ ที่ว่าจีนจะเป็นภัยคุกคามในภูมิภาคนี้ และประเทศไทยแสดงความเป็นกลางระหว่างสหรัฐฯ กับจีนอย่างเสมอต้นเสมอปลาย”
     
       นายชอว์น คริสปิน ได้เขียนบทความเรื่อง “ความสัมพันธ์ที่เหินห่าง” When Allies Drift Apart เกิดจากมูลเหตุดังนี้
     
       1. ศาลอาญาไทยปฏิเสธที่จะส่งตัวผู้ก่อการร้ายชาวอิหร่านไปสหรัฐฯ ตามที่ศาลยุติธรรมสหรัฐฯ เรียกร้องในข้อหาลักลอบขนชิ้นส่วนขีปนาวุธ
     
       2. การยื้อเป็นเดือน ไม่ยอมส่งตัวนายวิคเตอร์ บูท ข้อหานักค้าอาวุธ และสมรู้ร่วมคิดฆ่าคนตาย ไปให้สหรัฐฯ ของศาลไทย
     
       3. ปัญหาเรื่องกฎหมายลิขสิทธิ์ และทรัพย์สินทางปัญญา และไทยถูกประณามโดยทางการสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง
     
       4. ความสัมพันธ์ไทย-จีน พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการฝึกปฏิบัติการพิเศษกับจีน ทั้งๆ ที่สหรัฐฯ ก็ยังมีความสัมพันธ์ทางทหารที่ดีกับไทยหลายมิติ เช่น การฝึกร่วมผสม “คอบร้าโกลด์”
     
       ดังนั้น การปิดล้อมจีนจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากไทย และประเทศในภูมิภาคนี้อย่างแน่นอนเพราะจีนไม่ใช่ภัยคุกคาม
     
       ส่วน แอมมา ซานเล็กเอวารี นักวิจัยแห่งรัฐสภาสหรัฐฯ ตั้งข้อสังเกตว่า หากสหรัฐฯ ขัดแย้งกับจีนขั้นรุนแรง ประเทศไทยจะเข้าข้างใคร ทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องตรวจสอบความเป็นมิตรของไทยที่ภักดีต่อสัมพันธภาพไทย-สหรัฐฯ
     
       นักการทหารมองว่าสหรัฐฯ จะต้องหาจุดยุทธศาสตร์ที่นอกเหนือจากฐานทัพในบริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือทั้งในเกาหลีและญี่ปุ่น เพื่อปิดล้อมช่องแคบมะละกา สกัดกั้นกองเรือบรรทุกน้ำมันส่งให้จีนและประเทศไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สหรัฐฯ รู้จักดี
     
       อย่างไรก็ดี รัฐบาลนายชวน หลีกภัยที่ควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เคยปฏิเสธไม่อนุญาตให้กองทัพสหรัฐฯ มาตั้งฐานทัพเรือลอยน้ำในอ่าวไทยมาแล้ว โดยให้เหตุผลว่า เป็นการปฏิบัติการเชิงรุกทางทหารของสหรัฐฯ ต่อภูมิภาค จะสร้างความไม่สบายใจให้กับจีน และเวียดนาม เป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย ทำให้ไทยเสียศักดิ์ศรีที่มีกองเรือต่างชาติในน่านน้ำไทย เป็นอุปสรรคต่ออุตสาหกรรมการประมงชายฝั่ง และนำสู่ปัญหาทางสังคม และวัฒนธรรม กรณีที่ทหารเรือสหรัฐฯ ขึ้นฝั่ง
     
       ถ้าหากว่าเจตนารมณ์ของสหรัฐฯ เป็นการวิจัยภัยทางภูมิอากาศเพื่อมนุษยชาติอย่างจริงใจแล้ว ไทยควรต้องสร้างเงื่อนไขเพื่อให้สหรัฐฯ แสดงความจริงใจว่าเป็นภารกิจเพื่อมนุษยชาติจริงๆ สหรัฐฯ จะต้องยอมรับเงื่อนไขดังนี้
     
       1. สหรัฐฯ จะต้องแจกแจงภารกิจและประวัตินักวิจัยแต่ละคนโดยละเอียดให้ฝ่ายไทยทราบ
     
       2. มีระยะเวลาที่ชัดเจน และแสดงขอบเขตการปฏิบัติการ รัศมีทำการ ความสูงและความลึกทางทะเล
     
       3. เครื่องบินมีกี่ลำ ทำอะไรได้บ้างและมีอุปกรณ์การวิจัยอะไรบ้าง
     
       4. รัฐบาลไทยต้องสามารถส่งนักวิชาการทั้งภาครัฐและภาคการศึกษาเข้าวิจัยร่วมได้ตามจำนวนเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ที่เข้ามาวิจัย
     
       5. นักวิชาการอาเซียนสามารถเข้าสังเกตการณ์ได้ตามสมควร
     
       6. สื่อมวลชนสากลสามารถเข้าสังเกตการณ์ได้ตามความเหมาะสม
     
       7. เอกสารวิจัยต้องเป็นของส่วนร่วมเพื่อการศึกษาและพัฒนา
     
       หากสหรัฐฯ จริงใจไม่มีวาระซ่อนเร้นและยอมรับเงื่อนไขดังกล่าวนี้แล้ว การวิจัยก็จะเป็นไปเพื่อมนุษยชาติ รัฐบาลไทยและอาเซียนก็จะได้ผลประโยชน์ทางการถ่ายทอดเทคโนโลยี ส่วนจีนก็จะคลายความวิตกว่าสหรัฐฯ มุ่งที่จะคุกคามความสัมพันธ์ไทย-จีนและสหรัฐฯ กรณีอู่ตะเภาก็จะยังคงสภาพปกติ

พระพุทธเสฏฐมุนี เป็นพระพุทธรูปพระประธานในศาลาการเปรียญ


พระพุทธเสฏฐมุนี เป็นพระพุทธรูปพระประธานในศาลาการเปรียญ
พุทธลักษณะเป็นศิลปรัตนโกสินทร์ ปางมารวิชัย
ขนาดหน้าตัก ๔ ศอก ๔ คืบ ๔ นิ้ว วัสดุทองเหลือง
หล่อในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓
เมื่อปีกุน เอกศก จุลศักราช ๑๒๐๑ (พุทธศักราช ๒๓๘๒)

ในยุคสมัยที่สังคมโลกเริ่มตื่นตัวใส่ใจ
กับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมเช่นปัจจุบัน
การนำวัสดุที่ยังใช้ได้กลับมาใช้อีก
เป็นหนทางหนึ่งที่มีการรณรงค์กันทั่วไปในเมืองไทย
ของเมื่อเกือบสองร้อยปีที่แล้วก็มีแนวความคิดในการทำเช่นว่านี้
และปรากฏวัตถุพยานมาจวบจนถึงทุกวันนี้

ในสมัยรัชกาลที่ ๓ ได้มีประกาศห้ามสูบฝิ่นและมีการปราบปรามฝิ่นอยู่เนืองๆ
ทรงปราบเรียบตั้งแต่ภาคกลางลงไปจนกระทั่งถึงภาคใต้
ในการปราบปรามครั้งใหญ่ที่สุดคราวหนึ่งเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๘๒
เป็นการกวาดล้างฝิ่นในภาคใต้ตั้งแต่เมืองปราณบุรีถึงนครศรีธรรมราช
และอีกด้านหนึ่งของฝั่งทะเลคือตะกั่วป่าถึงถลาง
สามารถจับฝิ่นดิบเข้ามาได้ถึง ๓๗๐๐ กว่าหาบ ฝิ่นสุก ๒ หาบ
สำหรับตัวฝิ่นนั้นโปรดฯ ให้เผาทำลายที่หน้าพระที่นั่งสุทธาสวรรย์
เหลือแต่กลักฝิ่นซึ่งทำด้วยทองเหลืองอยู่จำนวนมาก
จึงโปรดฯ ให้นำมาหล่อพระพุทธรูปได้พระขนาดหน้าตักถึง ๔ ศอก
นำมาประดิษฐานเป็นพระประธานในศาลาการเปรียญ วัดสุทัศนเทพวราราม
ครั้งนั้นพวกขี้ยาได้กลิ่นคงแทบขาดใจตาย
ต่อมารัชกาลที่ ๔ ทรงถวายพระนามว่า “พระพุทธเสฏฐมุนี”
หรือที่พุทธศาสนิกชนทั่วไปนิยมเรียกว่า “หลวงพ่อกลักฝิ่น”

จากบรรจุภัณฑ์ของสิ่งผิดกฎหมายกลายมาเป็นพระพุทธรูป
ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งคุณงามความดีที่คงอยู่
เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้กราบไหว้บูชามาเกือบสองร้อยปี
นับว่าเป็นการใช้ประโยชน์วัสดุอย่างคุ้มค่าและยืนยงอย่างแท้จริง

แหล่งท่องเที่ยวอำเภอดอยหล่อ วัดสิริมังคลาจารย์


แหล่งท่องเที่ยวอำเภอดอยหล่อ
วัดสิริมังคลาจารย์
ประวัติวัดสิริมังคลาจารย์ เดิมชื่อว่า วัดปากทางเจริญ สร้างขึ้นเมื่อปีพุทธศักราช 2509 โดยมีท่านปลัดทอง สิริมงคโล(ตำแหน่งในขณะนั้น) ปัจจุบันได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราช ในราชทินนามที่พระราชพรหมาจารย์ เจ้าอาวาสวัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นองค์ประธานดำเนินการก่อสร้างและได้รับความร่วมมือจากคณะสงฆ์ คณะข้าราชการ พ่อค้าประชาชน ตลอดจนคณะศิษยานุศิษย์ของท่านเจ้าคุณอาจารย์(พระอาจารย์ทอง สิริมงคดล)พร้อมใจกันก่อสร้างวัดนี้ขึ้นมาเพื่อให้เป็นที่ตั้งแห่งพระรัตนตรัยและเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านปากทางเจริญ

ตามประวัติความเป็นมาสืบเนื่องมาจากการก่อสร้างเขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก ทำให้พื้นที่บริเวณเหนือเขื่อนถูกน้ำท่วมจากการเก็บกักนำไว้ ชาวบ้านที่อยู่บริเวณนั้นตลอดจนวัดวาอารามต่างๆที่ถูกน้ำท่วม จำเป็นต้องอพยพออกจากพื้นที่ไปยังที่ต่างๆ เช่นไปอยู่ที่นิคมสร้างตนเอง อำเภอดอยเต่า ณ ที่นี้มีการก่อสร้างวัดที่อพยพมาจากการถูกน้ำท่วม เป็นจำนวน 12 วัด โดยมีท่านเจ้าคุณอาจารย์ เป็นองค์ประธานดำเนินการก่อสร้าง เมื่อปีพุทธศักราช 2507 นอกจากนี้ชาวบ้านจำนวนหนึ่งก็ได้อพยพมาอยู่ที่บ้านปากทางเจริญ กิ่งอำเภอดอยหล่อ อำเภอดอยหล่อ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีวัดอยู่ในหมู่บ้าน เวลามีงานทำบุญหรืองานวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ชาวบ้านต้องเดินทางไปทำบุญยังวัดที่อยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านมาก ประกอบกับชาวบ้านส่วนใหญ่นับถือพุทธศาสนาเป็นหลักและยังขาดสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ ชาวบ้านจึงได้ประชุมปรึกษาหารือกันและพากันไปกราบเรียนปรึกษาท่านเจ้าอาจารย์ (ในขณะนั้นท่านเจ้าคุณอาจารย์มีตำแหน่งเป็นรองเจ้าคณะอำเภอฮอด) และขอให้ท่านเจ้าคุณอาจารย์ไปดูสถานที่ก่อสร้างวัดเพื่อเป็นที่ตั้งแห่งพระรัตนตรัยให้มั่นคงสืบต่อไป ด้วยความเมตตาอันหาที่สุดมิได้ของท่านเจ้าอาจารย์จึงได้รับเป็นองค์ประธานดำเนินการก่อสร้างวัดนี้ขึ้นมาเมื่อปีพุทธศักราช 2509

ต่อมาท่านเจ้าคุณอาจารย์ได้มีโอกาสไปสักการะสังเวชนียสถานที่ประเทศ อินเดียและได้อัญเชิญหน่อต้นพระศรีมหาโพธิ์มาจากพุทธคยา เพื่อนำมาปลูกไว้ที่วัดแห่งนี้สำหรับเป็นที่สักการะบูชาของเหล่าศาสนิกชนทั้งหลาย ที่ต้องการความเป็นสิริมงคลและรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งพระองค์ทรงตรัสรู้ ณ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์นี้ ที่อัญเชิญมาปลูกเป็นหน่อที่งอกออกมาจากต้นเดียวกัน ถึงแม้ว่าพุทธศาสนาที่ไม่มีโอกาสไปกราบไหว้ถึงพุทธคยาก็สามารถมาสักการะบูชา ต้นพระศรีมหาโพธิ์ได้ ณ ที่นี้ จึงนับว่าเป็นบุญของประชาชนแผ่นดินล้านนาไทย อันเป็นนิมิตหมายว่าพระพุทธศาสนาจะเจริญมั่นคงสืบไปถึง 5,000 ปี บนผืนแผ่นดินนี้ ยิ่งกว่านั้นความปลาบปลื้มใจที่อยู่ในความทรงจำของชาวเชียงใหม่ตลอดมาก็คือ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเสด็จพระราชดำเนินมาทรงปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์ด้วยพระองค์เอง เมื่อวันอาทิตย์ ที่ 3 เดือนธันวาคม พุทธศักราช 2501 พร้อมทั้งทรงอธิษฐานที่จะให้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ฝังรากลึกลงในพื้นที่แผ่นดิน และเจริญงอกงามขึ้นมาอย่างมั่นคง เสมือนหนึ่งทรงขอให้พระสัทธรรรมในพระพุทธศาสนาฝังรากลึกและเจริญงอกงามอยู่ในจิตใจของหมู่มนุษย์ทั้งหลายตลอดไป ด้วยคำอธิษฐานอันบริสุทธิ์จิตของพระองค์ จึงทำให้ต้นพระศรีมหาโพธิ์เจริญงอกงามแตกกิ่งออกมาถึง 10 กิ่ง จากเดิมมีอยู่เพียงกิ่งเดียว แสดงให้เห็นว่าคำอธิษฐานของพระองค์จะต้องเป็นความเป็นจริงอย่างแน่นอน นอกจากนี้ในวันเดียวกันนั้นสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนียังทรงวางศิลาฤกษ์พระธาตุเจดีย์และทรงพระราชทานนามวัดว่า "วัดสิริมังคลาจารย์"

สาเหตุที่ทรงพระราชทานนามวัดในครั้งนี้ เนื่องจากคณะสงฆ์และคณะศรัทธาทั้งหลายเห็นว่าวัดนี้ยังไม่มีชื่อเป็นทางการ เดิมเรียกว่าวัดปากทางเจริญตามชื่อหมู่บ้านจึงได้ประชุมปรึกษาหารือโดยมี ท่านเจ้าคุณอาจารย์เป็นประธานและพร้อมใจกันกราบบังคมทูลให้สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชนนีทรงเลือก 2 ชื่อ คือ

1. ศรีสังวรารามเพื่อเทิดพระเกียรติและรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีที่ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจอันทรงคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชนอย่างมากมายนับอเนกอนันต์

2. สิริมังคลาจารย์เพื่อเป็นเกียรติแก่พระสิริมังคลาจารย์ พระมหาเถระนักปราชญ์แห่งล้านนาไทย ผู้แต่งคัมภีร์จักวาฬทีปนีซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่ยกย่องสรรเสริญของคณะสงฆ์ และพุทธศาสนิกชนอย่างกว้างขวางด้วยพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระศรีนครินทราบริมราชชนนี ที่ทรงตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของพระพุทธศาสนา จึงทรงเลือกพระราชทานนามวัดว่า "วัดสิริมังคลาจารย์"

คนล่วงทุกข์ได้ เพราะความเพียร


คนล่วงทุกข์ได้ เพราะความเพียร

ทุกข์...คือ ...

สภาพที่บีบคั้น เบียดเบียนให้เกิดความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ

และเกิดขึ้นจากปัจจัยปรุงแต่งให้มีทุกข์มากบ้าง น้อยบ้าง

การที่จะกำจัดทุกข์เหล่านี้ได้ ก็ด้วยอาศัยความเพียร

คือ เพียรพยายามปฏิบัติธรรม

อันเป็นเครื่องกำจัดกิเลสตัณหา

อันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์

เมื่อกำจัดกิเลสตัณหาอันเป็นต้นเหตุแล้ว

ทุกข์ก็ไม่สามารถเกิดขึ้นอีกได้

ดังนั้น บุคคลพึงเพียรพยายามปฏิบัติธรรม

อันเป็นเครื่องกำจัดทุกข์อยู่อย่างสม่ำเสมอ

(ขุทฺทกนิกาย สุตฺตนิปาต ๒๕/๓๖๑)



เหตุให้เกิดวิริยะ(ความเพียร) ๑. ความพิจารณาเห็นภัย มีภัยในอบายเป็นต้น (อบายภูมิ ๔ นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน) ๒. ความเป็นผู้มีปกติเห็นอานิสงส์ในการบรรลุคุณวิเศษ(พ้นอบาย) เกิดอีกไม่เกิน ๗ ชาติ(โสดาบัน) จะเป็นผู้ไม่หลงในศาสดาอื่น ๓. ความพิจารณาเห็นทางดำเนินแห่งมรรค ที่พระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลายดำเนินไปแล้ว คนเกียจคร้านไม่อาจดำเนินได้ ๔. ความเคารพต่อบิณฑบาตร โดยกระทำให้มีผลมากต่อทายก(ผู้ให้ทาน) ๕. พิจารณาถึงความยิ่งใหญ่ในมรดก(โลกุตตรธรรม) ซึ่งคนเกียจคร้านไม่อาจรับมรดกนี้ได้

ร่วมสัมผัส 10 เส้นทางเที่ยวตามรอยพระราชดำริฯ พระราชินี


ร่วมสัมผัส 10 เส้นทางเที่ยวตามรอยพระราชดำริฯ พระราชินี

  นายธวัชชัย อรัญญิก รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า เนื่องในวโรกาสปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยมีแนวความคิดในการจัดทำ “โครงการด้วยเพราะรัก...จากพระราชินี”เพื่อร่วมเทิดพระเกียรติ พร้อมขอเชิญชวนคนไทยร่วมสัมผัส ซาบซึ้ง เข้าถึงกับ “ความรักจากพระราชินี” ใน 10 เส้นทางท่องเที่ยวโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริทั่วประเทศ ตั้งแต่เดือนมิถุนายน – สิงหาคม 2555 ด้วยการนำเสนอเส้นทางการเดินทางต่างๆของแหล่งท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหารในพื้นที่ใกล้เคียง พร้อมร่วมลงนามถวายพระพรผ่านทางเว็บไซต์ www.tourismthailand.org/queenprojects
     
       “ตลอดระยะเวลากว่า 60 ปีที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเสด็จพระราชดำเนินติดตาม และเคียงข้างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปทุกที่ทั่วแผ่นดิน การเสด็จพระราชดำเนินในแต่ละครั้ง พระองค์ได้สัมผัสกับประชาชนอย่างใกล้ชิด รู้ซึ้งถึงปัญหาต่างๆ ที่ประชาชนประสบความยากลำบากอยู่ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของโครงการในพระราชดำริ ซึ่งมีที่มาจาก “ความรัก” ของพระองค์ที่มีต่อคนไทย “ความรัก” ในความเป็นไทย ตลอดจน “ความรักและหวงแหน” ในทรัพยากรต่างๆ เพื่อพัฒนา สร้างสรรค์และแก้ไขปัญหาต่างๆอย่างเป็นรูปธรรม โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทั้งโครงการเพื่อพัฒนาให้ความรู้ และการสร้างอาชีพ ตลอดจนการอนุรักษ์ด้านศิลปวัฒนธรรม สิ่งแวดล้อมต่างๆ ให้นำไปสู่ความยั่งยืนในที่สุด”


ศูนย์ศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลนสิรินาถราชินี (ศูนย์สิรินาถราชินีฯ)

       นายธวัชชัย กล่าวต่อว่า สำหรับ 10 เส้นทางโครงการพระราชดำริฯ ได้แก่ 1. เส้นทางด้วยเพราะรัก..รักษ์พันธุ์เต่าทะเล ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล กองทัพเรือ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี 2. เส้นทางด้วยเพราะรัก... คืนรอยยิ้มหลังน้ำลด โครงการฟาร์มตัวอย่างตามพระราชดำริ และศูนย์ตุ๊กตาชาววังบางเสด็จ จังหวัดอ่างทอง 3.เส้นทางด้วยเพราะรัก..สร้างบ้านเล็กในป่าใหญ่ สวนป่าเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี 4.เส้นทางด้วยเพราะรัก...รักรวมไทย โครงการจัดหมู่บ้านรวมไทย ปางอุ๋ง จ.แม่ฮ่องสอน
     
       5. เส้นทางด้วยเพราะรัก.. สวนสวย ดอกไม้สวย สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ 6. เส้นทางด้วยเพราะรัก.. พลิกฟื้นคืนชีวิตป่าชายเลน ศูนย์ศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลนสิรินาถราชินี (ศูนย์สิรินาถราชินีฯ) อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ 7. เส้นทางด้วยเพราะรัก..ถักทอความเป็นไทยสู่สากล พิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ หอรัษฎากรพิพัฒน์ ในพระบรมมหาราชวัง 8. เส้นทางด้วยเพราะรัก.. รักป่ารักน้ำ โครงการป่ารักน้ำ บ้านถ้ำติ้ว อ.ส่องดาว จ.สกลนคร 9. เส้นทางด้วยเพราะรัก...พลิกพื้นที่เสี่ยงภัยสู่ชุมชนหัวใจพอเพียง โครงการหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงและฟาร์มตัวอย่างอันเนื่องมาจากพระราชดำริในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ บ้านรอตันบาตู ตำบลกะลุวอ อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส และ 10. เส้นทางด้วยเพราะรัก.. ศิลปะไทยสร้างอาชีพ โครงการส่งเสริมศิลปาชีพบ้านสมพรรัตน์ อ.บุณฑริก จ.อุบลราชธานี
     
       “10 เส้นทางเป็นเพียงส่วนหนึ่งของโครงการพระราชดำริเท่านั้น โดยโครงการที่ททท.คัดเลือกมาถือเป็นการสร้างแรงบันดาลใจและเปิดโอกาสให้คนไทยได้เดินทางตามรอยพระราชดำริ เพื่อเรียนรู้ซาบซึ้งต่อพระราชกรณียกิจที่มีต่อพสกนิกรและประเทศชาติตลอดมา จากพระราชปณิธานและแนวความคิดของพระองค์ท่านที่ทรงอุตสาหะตรากตรำ เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับเมืองไทย เห็นได้จากโครงการในพระราชดำริทั่วประเทศที่มีมากมาย ซึ่งช่วยให้คนไทยได้อยู่ดีกินดี โดยโครงการนี้จะเป็นส่วนหนึ่งด้วยความภูมิใจเราของและของคนไทยที่จะได้สานต่อการกระจายรายได้ ไปยังท้องถิ่นผ่านการท่องเที่ยวเพื่อตอบสนองโครงการพระราชดำริของพระองค์ท่านอีกทางหนึ่ง จึงเป็นโอกาสอันดีที่อยากเชิญชวนคนไทย ได้ท่องเที่ยวและร่วมเทิดพระเกียรติพระองค์ท่านในครั้งนี้

วิธีเซ็นชื่อรับรองสำเนาถูกต้อง...รู้ไว้ไม่เป็นหนี้


วิธีเซ็นชื่อรับรองสำเนาถูกต้อง...รู้ไว้ไม่เป็นหนี้

บางคนอาจใช้ขีดเส้นขนาน แล้วเขียนข้อความ / เซ็นรับรอง

วันนี้ เอาวิธีเซ็นชื่อรับรองสำเนาที่ถูกต้อง มาแบ่งปันให้คุณรู้ไว้จะได้ไม่เป็นหนี้ เป็นเรื่องใกล้ตัวที่ประมาทไม่ได้เลยล่ะ เพราะหากเซ็นไม่ถูกวิธีแม้เพียงนิดเดียว คุณอาจตกเป็นหนี้โดยไม่รู้ตัวจากผู้ที่ไม่ประสงค์ดีที่นำเอาเอกสารสำเนาบัตร ประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน หรือสำเนาเอกสารสำคัญอื่นๆ จากการเซ็นรับรองของเราไปทำประโยชน์ส่วนตน แต่สร้างหนี้ที่ไม่ได้ก่อให้กับเรา ดังนั้นจึงขอแนะนำว่า...ทุกครั้งหากต้องเซ็นเอกสารรับรองสำเนาอย่าลืม ...จำ...และทำตามขั้นตอนต่อไปนี้นะคะ...
ตัวอย่าง

1) ทุกครั้งหลังจากเซ็นชื่อ และเขียนรับรองสำเนาถูกต้องแล้ว ต้องเขียนรายละเอียดกำกับไว้ด้วยว่า..เอกสารฉบับนั้นใช้สำหรับทำอะไร เช่น "ใช้เฉพาะสมัครงานเท่านั้น"
2) นอกจากกำกับรายละเอียดการใช้แล้ว ยังต้องกำกับ วัน/เดือน/ปี เขียนลงบนสำเนาที่ใช้ด้วยนะค่ะ ซึ่งนั่นจะช่วยกำหนดอายุการใช้งานสำเนาของเราได้

3) ต้องเขียนข้อความทั้งหมด ทับลงบนสำเนาส่วนที่เป็นบัตรประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้าน หรือสำเนาเอกสารอื่นๆ ที่สำคัญ ทั้ง สามข้อคือวิธีเซ็นที่ถูกต้องในการรับรองสำเนาอย่างรัดกุม ไม่เปิดช่องทาง ให้กับมิจฉาชีพ เอาไปสร้างหนี้ให้กับเรา ต่อไปนี้ต้องระวัง เพราะคุณอาจเป็นรายต่อไป ที่จู่ๆก็มี หนี้ตามมาเคาะประตูถึงบ้าน รู้อย่างนี้แล้วก็อย่าลืมทำตามล่ะ
4) ในกรณี ที่เซ็นเอกสาร ต้องใช้ปากกาหมึกสีดเท่านั้น

ถึงจะปลอดภัยที่สุด เพราะ เครื่องถ่ายเอกสาร บางเครื่อง สามารถถ่ายเอกสารโดยดึงหมึกสีน้ำเงินออก เหลือใช้เฉพาะข้อความของบัตรประชาชน แล้วทำให้มิจฉาชีพ เซ็นเอกสารบัตรประชาชนนั้น แทนเราได้เลย

เพราะฉะนั้นเราควรเซ็นด้วยปากกาสีดำเท่านั้น เพราะไม่สามารถดึงหมึกสีดำออกได้ หรือถ้าดึงสีดำออกได้ข้อความก็จะหายไปหมดเลยทั้งหน้าบัตรประชาชนค่ะ

วันพุธที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เปิดข้อมูล สมช./สำนักนโยบายและแผนกลาโหม ค้าน นาซา ใช้อู่ตะเภา ่เชื่อ อ้างวิจัยเพื่อวิทยาศาสตร์บังหน้าประโยชน์ทางการทหาร

เปิดข้อมูล สมช./สำนักนโยบายและแผนกลาโหม ค้าน นาซา ใช้อู่ตะเภา ่เชื่อ อ้างวิจัยเพื่อวิทยาศาสตร์บังหน้าประโยชน์ทางการทหาร ผอ.สำนักยุทธศาสต์ความมั่นคงระหว่างประเทศ ลั่นกลางที่ประชุม ให้ทุกหน่วยงานเสนอความเห็นตรงไปตรงมาเพื่อชาติ แฉ ขอบเขตการบินกินพื้นที่ถึงทะเลจีนใต้ กระทบเพื่อนบ้านอื้อ ทั้ง จีน อินเดีย บังคลาเทศ เนปาล แถมมีเชฟรอนร่วมสำรวจ สงสัยมีเอี่ยวพลังงาน ขณะที่ รองผอ.สำนักนโยบายกลาโหม เตือน อย่ามองแค่ประโยชน์ด้านวิทยาศาสตร์จนกระทบความมั่นคงทางภูมิภาค ชี้ NASA ยังไม่กล้ารับประกัน สหรัฐจะใช้ข้อมูลเพื่อการทหารหรือไม่ หวั่น หมกเม็ดข้อมูลลับเอื้อ สหรัฐฝ่ายเดียว ด้าน ตัวแทนกรมอุตุ ชี้ ข้อมูลอาจถูกใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ นำไปสู่การกีดกันทางการค้า /@ มินลุงจิ๋ว

แม้ว่าครม.จะยังไม่มีการอนุมัตให้นายสุรพงษ์โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ ลงนามในหนังสือสัญญาแลกเปลี่ยนระหว่างไทย - สหรัฐ กรณีที่ NASA ขอใช้สนามบินอู่ตะเภาเป็นฐานปฏิบัติการสำรวจก้อนเมฆในชั้นบรรยากาศ แต่เรื่องนี้ก็ยังไม่ถือว่าเป็นข้อยุติ เพราะ NASA อาจขอความร่วมมือจากไทยใหม่ได้ในปีหน้า อีกทั้ง ครม.จะมีการนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภาตามมาตรา 179 ในเดือนสิงหาคมนี้ ดังนั้นการทำความเข้าใจต่อโครงการนี้ในทุกมิติจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับคนไทย และเป็นเรื่องที่รัฐบาลควรให้ความกระจ่างต่อสังคม

เพจสายตรงภาคสนาม ขอนำบันทึกการประชุมระหว่างหน่วยงานไทยกับตัวแทนของนาซาในการประชุมร่วมหน่วยงานไทยด้านความมั่นคงและด้านวิชาการ เพื่อพิจารณาข้อเสนอของ NASA โครงการ Southeast Asia Composition,Cloud,Climater Couling Tegional Study (SEAC4RS) เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2555 ซึ่งมีนายจิระชัย ปั้นกระษิณ อธิบดีกรมอเมริกาและแปซิฟิกใต้ เป็นประธานในที่ประชุม โดยมี Dr.Hal Maring NASA มาให้ข้อมูลและตอบคำถามเพิ่มเติมแก่หน่วยงานไทย

เนื้อหาที่น่าสนใจคือ ตัวแทนของนาซาระบุถึงการดำเนินโครงการนี้ว่า NASA เป็นองค์กรพลเรือน ข้อมูลที่ได้จึงไม่มีความตั้งใจที่จะนำไปใช้ประโยชน์ในทางทหาร อย่างไรก็ตาม NASA ไม่สามารถรับประกันในเรื่องนี้ได้ เพราะ NASA เปิดเผยข้อมูลที่ได้ต่อสาธารณะ ใคร ๆ ก็สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ แต่ยังยืนยันว่าจะเน้นไปใช้ในทางวิทยาศาสตร์ พร้อมกับเปิดเผยถึงขั้นตอนการดำเนินการของ NASA ว่าตามแผนจะเริ่มปฏิบัติการบินสำรวจครั้งแรกประมาณวันที่ 7-8 สิงหาคม ระยะเวลาดำเนินโครงการถึงกันยายน 2555 และมีการวางปฏิทินที่จะขนส่งอุปกรณ์มาไทยโดยเรือ 10 ตู้คอนเทรนเนอร์ ตั้งแต่เดือนมิถุนายน - กรกฎาคม และขนอุปกรณ์ทางเครื่องบินจากสหรัฐในวันที่ 1 สิงหาคม โดยจะถึงประเทศไทยราว 2-5 วันหลังจากนั้น

นอกจากนี้ในการประชุมครั้งดังกล่าวตัวแทนของ NASA ยังไม่สามารถนำหลักฐานความเห็นชอบจากประเทสเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็น มาเลเซีย อินโดนีเซีย ลาว บังคลาเทศ เนปาล และพม่า หรือแม้แต่เวียดนาม ในกรณีที่ต้องบินผ่าน และยังขอให้ไทยเป็นฝ่ายไปเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านเอง โดยอ้างว่าหากโครงการนี้ได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลไทยก็จะทำให้ประเทศเพื่อนบ้านให้ความเห็นชอบด้วย อีกทั้งการบินส่วนมากจะบินเหนือน่านน้ำสากลและลงจอดในไทย การขออนุญาตประเทศอื่นจึงไม่สำคัญเท่ากับการขออนุญาตจากไทย อย่างไรก็ตาม นายจิระชัย ในฐานะประธาน ไม่เห็นด้วยและคิดว่าเป็นภาระที่สหรัฐอเมริกาควรจะต้องดำเนินการ ไม่ใช่หน้าที่ของประเทศไทย

สำหรับหน่วยงานอื่นส่วนใหญ่แสดงความเห็นด้วย โดยมุ่งเน้นประโยชน์ที่จะได้รับจากงานวิจัยและการพัฒนานักวิทยาศาสตร์ของไทยจากองค์ความรู้ของ NASA และการพัฒนาเทคโนโลยีในการพยากรณ์สภาพภูมิอากาศที่จะทำให้การพยากรณ์คลื่น ลม ฝน และพาย ได้อย่างแม่ยำมากขึ้นลดความเสี่ยงและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้ โดย NASA แจ้งว่าจะมีการสรุปผลหลังเสร็จสิ้นโครงการประมาณ 6 สัปดาห์ โดยคนทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ผ่านทางเวปไซด์ของ NASA

อย่างไรก็ตามในการประชุมเฉพาะหน่วยงานของไทย มีการท้วงติงจาก นายพรชาต บุนนาค ผอ.สำนักยุทธศาสตร์และความมั่นคงระหว่างประเทศ ถึงข้อกังวลว่า ฝ่ายสหรัฐควรทำความเข้าใจกับประเทศเพื่อนบ้านและประเทศที่เกี่ยวข้องภายในภูมิภาค โดยเฉพาะจีนกับอินเดีย เนื่องจากขอบเขตการบินไปถึงบังคลาเทศ เนปาล และทะเลจีนใต้ พร้อมกับตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับผลประโยชน์ด้านแหล่งพลังงานในภูมิภาคนี้ เพราะรายชื่อหน่วยงานที่ NASA ติดต่อเกี่ยวกับการดำเนินโครงการมีชื่อบริษัท Chevron รวมอยู่ด้วย

นายพรชาต ยังเรียกร้องกลางที่ประชุมว่า “ขอเรียนเสนอให้ทุกส่วนราชการให้ข้อคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา มุ่งประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก” และยังเตือนว่าแม้ NASA จะอ้างว่าการบินสำรวจส่วนใหญ๋จะดำเนินการในน่านน้ำสากล แต่พื้นน้ำในภูมิภาคนี้ส่วนมากเป็นทะเลอาณาเขตและมีความอ่อนไหว โดยหลายประเทศยังมีความกังวลเกี่ยวกับบูรณภาพเหนือดินแดนด้วย

ในขณะที่ พ.อ.พศพร หอมเจริญ รอง ผอ.สำนักนโยบายและแผนกลาโหม สนับสนุนแนวคิดของนายพรชาต โดยมีความเป็นห่วงในเรื่องการทำความเข้าใจกับประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะจีนและอินเดีย เพราะ NASA เองก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าการสำรวจดังกล่าวจะไม่เกี่ยวกับภารกิจทางทหาร ซ่ึ่งง อาจส่งผลทางทหารและต่อภูมิภาคได้ จึงต้องให้ฝ่ายสหรัฐให้ความมั่นใจว่า จะไม่สร้างความหวาดระแวง และเห็นว่าการจะเดินหน้าโครงการนี้จะเห็นแก่ประโยชน์กับนักวิทยาศาสตร์นานาชาติอย่างเดียวคงไม่พอ และกังวลว่าสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ต่อสหรัฐคงไม่มีการเปิดเผยให้ไทยได้รับรู้ แต่เลือกที่จะเปิดเผยในสิ่งที่ใคร ๆ ก็เข้าถึงได้แทน

ส่วนนายประสาน สังวาลเดช นักอุตุนิยมวิทยาชำนาญการพิเศษ ตั้งข้อสังเกตว่าแม้ข้อมูลที่ได้จะไม่ได้นำไปใช้ทางการทหาร แต่ก็อาจนำมาใช้ทางเศรษฐกิจได้ เช่น หากค่าที่ตรวจพบในอวกาศเป็นลบ ก็อาจมีการนำไปอ้างเป็นเงื่อนไขกีดกันทางการค้าได้ จึงต้องมีความมั่นใจว่าจะไม่มีการนำผลการสำรวจไปใช้ในทางอื่น

อย่างไรก็ตาม นายจิระชัย สรุปว่าจากการประชุมร่วมกันมาแล้ว 3 ครั้ง เห็นแนวโน้มว่าไทยน่าจะร่วมมือกับ NASA ได้ และระบุว่าต่อไปจะเป็นการแจ้งทางเอกสารแทนการประชุม โดยเตรียมที่จะสรุปความเห็นเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป

ที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือในการประชุมครั้งนี้ทาง GISTDA ได้อาสาที่จะเป็นเจ้าภาพของฝ่ายไทยเพื่อดำเนินงานร่วมกับ NASA แสดงให้เห็นว่าโครงการนี้ไม่ใช่โครงการต่อเนื่องที่ประธาน GISTDA ลงนามร่วมกับ ประธาน NASA ตามที่นายปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทย์และนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ ออกมาระบุก่อนหน้านี้ เพราะหากเป็นโครงการต่อเนื่องย่อมไม่มีเหตุผลที่จะต้องให้ GISTDA อาสาเป็นเจ้าภาพ เนื่องจากอยู่ในความรับผิดชอบอยู่แล้ว

หลังจากนั้นมีการประชุมอีกครั้งในวันที่ 2 พ.ค. 55 มีการสรุปถึงการใช้เครื่องบินจาก NASA 3 ลำ ประกอบด้วยรุ่น GV ,DC-8 และ ER-2 โดยในส่วนของรุ่น ER-2 พัฒนามาจากรุ่น U2 ซึ่งเป็นเครื่องบินสอดแนมในยุคสงครามเย็น และเครื่องบินจากโครงการฝนหลวง 1 ลำ ในขณะที่ความเห็นของแต่ละหน่วยงานก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยหน่วยงานที่ไม่เกี่ยวกับความมั่นคงก็ยังคงยืนยันว่าเป็นประโยชน์ในทางวิทยา่ศาสตร์ที่ควรสนับสนุน ส่วนหน่วยงานด้านความมั่นคงก็ยังกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในภูมิภาค และปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

เสื้อยืดกลุ่มดินรักษ์ฟ้า ปวงประชารักษ์ในหลวง สีดำ ขออนุญาตสำนักราชเลขาธิการในการทำเสื้อขายหรือป่าว??


       กลุ่มดินรักษ์ฟ้า กลุ่มคนที่รวมตัวทำกิจกรรมปกป้องสถาบัน และเผยแพร่เรื่องราวของในหลวง อีกหนึ่งในหลายกลุ่มในเมืองไทย  ที่มีความตั้งใจที่ดีๆ แต่บางครั้ง ก็ผิดพลาดได้เช่นกัน กับการทำเสื้อสีดำ ออกมาจำหน่าย โดยไม่ได้รวจสอบข้อมูลให้ชัดเจน เมื่อรู้ว่า ผิดพลาด ก็สมควรแก้ไข ให้ถูกต้อง เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดแบบนี้อีก

      ทุกกลุ่ม มีความผิดพลาดกันทั้งนั้น


     "....มีคนไปเตือนจอมว่าที่ทำเสื้อ "รักพ่อภาคปฎิบัติ"
จอม มันขออนุญาตทางสำนักราชเลขาธิการหรือป่าว
ถ้าไม่ได้ขอจะเล่นงานจอม แต่มึงยังไม่อยากทำนะ...บลา บลา บลา
แล้วมึงก็บอกว่าเพราะมึงไม่ชอบให้ใครมาหากินกับในหลวง (ยกเว้นพันธมิตรหากินได้) มาในวันนี้ นิชตี๋ เลยมีการบ้านมาฝากมึงให้มึงช่วยไป
ถาม "กลุ่มดินรักษ์ฟ้า" ให้นิชตี๋หน่อยว่า ขออนุญาตสำนักราชเลขาธิการ
ในการทำเสื้อขายหรือป่าว แล้วถ้าขออนุญาตทางสำนักราชเลขาธิการ
อนุญาตให้ทำเสื้อ "สีดำ" ด้วยเหรอ...(เอาแค่คำถามนี้ก่อนนะ)
ถ้ามึงรักในหลวง รักสถาบัน อย่างที่มึงแหกปากจริง
มึงต้องเคลียร์เรื่องนี้ให้ชัดเจน มึงลองแหกตาดูที่เสื้อว่าเขียนว่าอะไร

http://www.king84.th/th/pressrelease06.php