วันที่: 2010-11-30 00:00:00 ถึง: 2010-12-07 00:00:00
คณะพยาบาลศาสตร์ ม.อุบลฯ จัดการประชุมวิชาการศาสตร์และศิลป์เพื่อการดูแลต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ทางการพยาบาลให้สอดคล้องกับบริบท
คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมการประชุมวิชาการ เรื่อง “ศาสตร์และศิลป์เพื่อการดูแลต่อเนื่อง” เพื่อเป็นการเรียนรู้แนวทางการพัฒนาองค์ความรู้ทางการพยาบาลในการดูแลต่อเนื่องทั้งในหอผู้ป่วยและในชุมชน และเพื่อสร้างเวทีการนำเสนอผลงานทางวิชาการที่หลากหลาย รวมทั้งเปิดโอกาสการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความคิดเห็นทางการพยาบาลจากประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน โดยโครงการอยู่ในระหว่างการดำเนินการขอรับหน่วยการศึกษาต่อเนื่อง สาขาพยาบาลศาสตร์ (CNEU)
ดร.สุรีย์ ธรรมิกบวร คณบดีคณะพยาบาลศาสตร์ ม.อุบลฯ กล่าวว่า พยาบาลเป็นผู้ที่มีบทบาทในการดูแลภาวะสุขภาพของผู้รับบริการ ทั้งการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การดูแลช่วยเหลือ ซึ่งพยาบาลจะต้องอาศัยหลักวิทยาศาสตร์และศิลปะทางการพยาบาลควบคู่กันไป และในปัจจุบันเทคโนโลยีทางการแพทย์ได้ก้าวหน้าและพัฒนาขึ้นอย่างมาก พยาบาลจึงควรต้องมีการพัฒนาความรู้เพื่อไปประยุกต์ใช้กับงานของตนเอง และพัฒนางานประจำสู่งานวิจัยและนวตกรรม เพื่อให้ผู้รับบริการได้รับการดูแลอย่างครอบคลุมทุกระยะของการพยาบาล
สำหรับการประชุมในครั้งนี้จะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 15-17 ธันวาคม 2553 ณ ห้องคอนเวนชั่นฮอลล์ โรงแรมสุนีย์แกรนด์โฮเทล แอนด์คอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ จังหวัดอุบลราชธานี ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 045-353227 หรือสมัครได้ที่ http://www.nurse.ubu.ac.th/ ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2553 โดยผู้เข้าร่วมประชุมสามารถเบิกค่าลงทะเบียนและค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้ตามหนังสือกระทรวงการคลังที่ กค 0409.6/ว122 ลงวันที่ 27 ธันวาคม 2545 โดยไม่ถือเป็นวันลา
คณะพยาบาลศาสตร์
มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
Theขี้ฝุ่นริมทาง
วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
5 ธันวาคม BTS ชวนพ่อนั่งรถไฟฟ้าฟรี
BTS ชวนลูกพาพ่อนั่งรถไฟฟ้าฟรีตลอดสาย ตั้งแต่ 06.00-24.00 พร้อมเชิญจุดเทียนชัยถวายพระพรที่สถานีสนามกีฬาฯ
ดร.อาณัติ อาภาภิรม กรรมการบริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการรถไฟฟ้า BTS แจ้งว่า เนื่องในวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2553 ทางรถไฟฟ้า BTS ได้จัดกิจกรรมให้ลูกๆ ได้แสดงความกตัญญูกตเวทีต่อครอบครัวขึ้น โดยลูกสามารถพาพ่อโดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอสฟรีตลอดสายทุกเส้นทาง ตั้งแต่เวลา 06.00-24.00 น.ซึ่งพ่อและลูกจะต้องขึ้น-ลงสถานีเดียวกันเท่านั้น สามารถติดต่อขอรับคูปองเดินทางฟรีได้ที่ห้องจำหน่ายตั๋วโดยสารทั้ง 25 สถานี และยังได้ยกเว้นค่าโดยสารสำหรับเด็กที่มีส่วนสูงไม่เกิน 90 เซนติเมตรอีกด้วย
นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมร่วมลงนามถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา และร่วมจุดเทียนชัยถวายพระพรชัยมงคล ณ ทางเดินเชื่อมสถานีสนามกีฬาแห่งชาติในวันที่ 5 ธันวาคม 2553 เวลา 19.00 น.
ดร.อาณัติ อาภาภิรม กรรมการบริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการรถไฟฟ้า BTS แจ้งว่า เนื่องในวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2553 ทางรถไฟฟ้า BTS ได้จัดกิจกรรมให้ลูกๆ ได้แสดงความกตัญญูกตเวทีต่อครอบครัวขึ้น โดยลูกสามารถพาพ่อโดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอสฟรีตลอดสายทุกเส้นทาง ตั้งแต่เวลา 06.00-24.00 น.ซึ่งพ่อและลูกจะต้องขึ้น-ลงสถานีเดียวกันเท่านั้น สามารถติดต่อขอรับคูปองเดินทางฟรีได้ที่ห้องจำหน่ายตั๋วโดยสารทั้ง 25 สถานี และยังได้ยกเว้นค่าโดยสารสำหรับเด็กที่มีส่วนสูงไม่เกิน 90 เซนติเมตรอีกด้วย
นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมร่วมลงนามถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา และร่วมจุดเทียนชัยถวายพระพรชัยมงคล ณ ทางเดินเชื่อมสถานีสนามกีฬาแห่งชาติในวันที่ 5 ธันวาคม 2553 เวลา 19.00 น.
TDRI หนุน รบ.เดินหน้าปฏิรูปภาษีที่ดิน
นายอดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา นักวิชาการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ ทีดีอาร์ไอ กล่าวในการสัมมนาวิชาการประจำปีของทีดีอาร์ไอว่า สนับสนุนรัฐบาลให้เดินหน้าปฏิรูปภาษีที่ดินด้วยการเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เพราะเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและรัฐบาลในระยะยาว แต่รัฐบาลควรเพิ่มเก็บภาษีที่ดินอีก 2 ประเภท เพื่อที่จะให้เกิดประโยชน์แก่เศรษฐกิจอย่างแท้จริง และเป็นธรรมแก่สังคม คือ การเก็บภาษีจากกำไรที่ได้จากการขายที่ดิน เพราะที่ผ่านมามีการเก็งกำไร และได้ประโยชน์จากที่ดินที่อยู่โดยรอบโครงการสาธารณูปโภคของรัฐบาล
นอกจากนี้ ควรเก็บภาษีจากการใช้ที่ดินผิดประเภท เช่น ที่ดินสำหรับการอยู่อาศัยถูกดัดแปลงไปใช้ประโยชน์ทางธุรกิจ เช่น เปิดเป็นสถานบันเทิงควรมีการเก็บภาษีเพิ่ม 2-3 เท่า ซึ่งจะช่วยให้ที่ตั้งของสถานบันเทิง อยู่เป็นสัดส่วนมากขึ้น และยังเป็นประโยชน์ต่อการวางผังเมืองด้วย
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าคงเป็นเรื่องยาก ที่จะเก็บภาษีกำไรจากการขายที่ดิน เนื่องจากที่ดินส่วนใหญ่ตกอยู่ในกลุ่มคนที่มีรายได้สูง ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการเมืองด้วย ซึ่งหากเก็บภาษีดังกล่าวได้จริง จะทำให้เกิดความเป็นธรรม แต่เห็นว่าการปฏิรูปภาษีที่ดินควรจะเกิดขึ้นภายใน 2-3 ปี ขณะเดียวกันยอมรับว่า การเปลี่ยนรัฐบาล มีผลทำให้การผลักดันการปฏิรูปภาษีที่ดินขาดความต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ควรเก็บภาษีจากการใช้ที่ดินผิดประเภท เช่น ที่ดินสำหรับการอยู่อาศัยถูกดัดแปลงไปใช้ประโยชน์ทางธุรกิจ เช่น เปิดเป็นสถานบันเทิงควรมีการเก็บภาษีเพิ่ม 2-3 เท่า ซึ่งจะช่วยให้ที่ตั้งของสถานบันเทิง อยู่เป็นสัดส่วนมากขึ้น และยังเป็นประโยชน์ต่อการวางผังเมืองด้วย
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าคงเป็นเรื่องยาก ที่จะเก็บภาษีกำไรจากการขายที่ดิน เนื่องจากที่ดินส่วนใหญ่ตกอยู่ในกลุ่มคนที่มีรายได้สูง ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการเมืองด้วย ซึ่งหากเก็บภาษีดังกล่าวได้จริง จะทำให้เกิดความเป็นธรรม แต่เห็นว่าการปฏิรูปภาษีที่ดินควรจะเกิดขึ้นภายใน 2-3 ปี ขณะเดียวกันยอมรับว่า การเปลี่ยนรัฐบาล มีผลทำให้การผลักดันการปฏิรูปภาษีที่ดินขาดความต่อเนื่อง
ปี พ.ศ 2553 ปีทองแห่ง "ภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติ"
ปีนี้ ภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีความหลากหลายมาก โดยเฉพาะผลงานของ “ภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติ” ที่มีสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม เป็นเจ้าภาพ ที่ดึงเอากลุ่มผู้กำกับฯ มาทำ “หนังสั้น” ในโครงใหญ่ถึง 2 เรื่องคือ “ร้อยดวงใจให้พ่อ” และ “ 9มหัศจรรย์ องค์ราชัน พลังแผ่นดิน”
ขณะที่ “นิทรรศการภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติ” โดยกระทรวงมหาดไทย, กระทรวงกลาโหม, กระทรวงคมนาคม และมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ มีทั้งหนังในแนวดรามา , แอ็กชัน และมิวสิคัลที่จะฉายภาพยนตร์ผ่านม่านน้ำ บริเวณท่าพระจันทร์
เนื่องในโอกาสแห่งวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2553 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมายุครบ 83 พรรษา และทรงครองสิริราชสมบัติครบ 64 ปี จึงเป็นมหามงคลพิเศษของปวงชนชาวไทยที่จะได้ร่วมกันเฉลิมฉลองวาระดังกล่าวเพื่อแสดงความจงรักภักดีแด่ “ในหลวง” พระผู้เป็นมหาชนกแห่งแผ่นดิน”
ตามโครงการสร้าง “ภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติฯ” ของสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรมนี้ เริ่มวันแรกคือวันนี้ 29 พฤศจิกายน - 3 ธันวาคม 2553 โดยภาพยนตร์ทั้ง3 เรื่องจะจัดฉายให้ชมฟรี วันละ 1 รอบ ณ โรงภาพยนตร์เอสเอฟ ซีเนม่า ชั้น 7 เซ็นทรัลเวิลด์ ภาพยนตร์ตามโครงการนี้แบ่งเป็น 3 เรื่อง คือ ร้อยดวงใจให้พ่อ , 9 มหัศจรรย์ องค์ราชัน พลังแผ่นดิน , และ ปิดทองหลังพระ ตอน ความฝันอันสูงสุด
ร้อยดวงใจให้พ่อ
ภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติเรื่อง “ร้อยดวงใจให้พ่อ” นี้ เป็นฝีมือการกำกับของศิลปินศิลปาธร โดยหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวที่สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยเป็นผู้อำนวยการสร้าง ภาพยนตร์เรื่องนี้จะประกอบด้วย “หนังสั้น” 3 เรื่อง โดย นนทรีย์ นิมิบุตร (เรื่อง “เกษตร...ตะกอน”), พิมพกา โตวีระ (เรื่อง “สุดสะแนน”), อาทิตย์ อัสสรัตน์ (เรื่อง “เพลงชาติไทย”) และแอนิเมชัน 1 เรื่องที่อยู่ในภาพยนตร์เรื่องนี้คือ “รักที่ยิ่งใหญ่” โดยศิริศักดิ์ คชพัชรินทร์ และ พรรณปพร ศรีสุมานันท์ จากสมาคมผู้ประกอบแอนิเมชันและคอมพิวเตอร์กราฟิกของไทย
ปีนี้ “อุ๋ย” นนทรีย์ นิมิบุตร นอกจากจะกำกับหนังสั้นให้แก่ สศร. (สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย) แล้ว เขายังได้กำกับภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติให้แก่ “นิทรรศการภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติ” เรื่อง “เหรียญของพ่อ” ให้แก่รัฐบาลอีกด้วย
“ เกษตร … ตะกอน มันเป็นการล้อคำ โดยสาระของเรื่องเรากล่าวถึงความก้าวหน้าทางการเกษตรของไทย ซึ่งหลายครั้งมันไม่สามารถที่จะก้าวเจริญไปข้างหน้าได้ เพราะว่าบางทีเกษตรกรก็ไม่ยอมฟังเรื่องวิวัฒนาการสมัยใหม่ที่มีความก้าวหน้า คำว่า ตะกอน มันก็เหมือนการตกตะกอนนั่นแหละ คือนองก้นอยู่ไม่ไปไหน” นนทรีย์ นิมิบุตร ผู้กำกับสาขาภาพยนตร์ รางวัลศิลปาธร ประจำปี พ.ศ. 2551 กล่าวต่อทีมสกู๊ปพิเศษ
สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม ได้นำข้อคิดจากพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 10 ข้อเพื่อให้เป็นโจทย์ในการทำงานของเหล่าผู้กำกับฯ ในครั้งนี้
“สิ่งที่ในหลวงบอกว่า เราควรจะรับฟังความเห็นของกันและกัน มันเหมาะกับเรื่อง “ทานตะวันดอกหนึ่ง” จากหนังสือรวมเรื่องสั้นกึ่งศตวรรษของ เสนีย์ เสาวพงศ์ ผมประทับใจกับเรื่องสั้นเรื่องนี้มาก มันพูดถึงเรื่องที่คนไม่รับฟังกัน หลงงมงายในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ ผมว่ามันเข้ากับพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผมก็เลยนำเรื่องนี้มาทำเป็นหนังสั้น”
“อุ๋ย” นนทรีย์ นิมิบุตร เลี่ยงที่จะใช้ “ดารา” ในหนังสั้นเรื่องนี้ เขาจงใจที่จะใช้คนธรรมดาเพื่อให้เข้ากับหนังที่เขาตั้งใจในการนำเสนอ
“ อย่างพระเอกของเรื่องหน้าตาเขาก็ธรรมดา เป็นเกษตรกรได้ หรืออย่างเกษตรอำเภอ หน้าตาเขาก็มีความเป็นคนต่างจังหวัด แล้วไม่ต้องเล่นเก่งอะไรมากมาย ไม่เช่นนั้นมันจะกลายเป็นการแสดง อยากให้คนดูรู้สึกว่าเหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นจริงนะ” นนทรีย์กล่าว
ภาพยนตร์เรื่อง “ร้อยดวงใจให้พ่อ” ยังมีหนังสั้นเรื่อง “เพลงชาติไทย” ของ “จุ๊ก” อาทิตย์ อัสสรัตน์ เป็นอีกหนึ่งเรื่องย่อยในโครงใหญ่ เขาคือเจ้าของรางวัลศิลปาธรปี พ.ศ. 2553 สาขาภาพยนตร์ เคยผ่านการกำกับหนังเรื่อง “ วันเดอร์ฟูลทาวน์” มาแล้ว
“ข้อดีก็คือทาง สศร. คือเขาให้ความอิสระในการเลือก และเล่าเรื่องตามสไตล์ของผู้กำกับแต่ละคนเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เนื้อหาในหนังเรื่องนั้นๆ ต้องได้รับแรงบันดาลใจจากคำสอนของในหลวง”
หนังของเขาพยายามที่จะสื่อถึงความสุขของคนธรรมดาตัวเล็กๆ ในสังคมไทยที่ไม่เคยมีโอกาสเข้าเฝ้าฯ ในหลวงเหมือนเขา และเหมือนคนอีกเป็นจำนวนมากในสังคมนี้ ทว่า พระองค์ท่านทรงเป็นสัญลักษณ์ที่อยู่รอบตัวของพวกเราเสมอ
“สำหรับผมแล้ว ในหลวงมีความสำคัญต่อชีวิตของพวกเรา อาจจะไม่ได้เป็นที่คำสอน แต่พระองค์ท่านเป็นสัญลักษณ์ของความดี ความถูกต้องในสังคมไทย คล้ายๆ กับว่าพระองค์ท่านเป็นความดีที่รายล้อมอยู่รอบตัวเราเสมอ เป็นแสงอาทิตย์ที่ให้ความอบอุ่น เป็นลม เป็นอากาศที่ดับความทุกข์ร้อนแก่ปวงชนชาวไทย ผมเลือกที่จะนำเสนอในมุมมองแบบนี้ เรื่องเพลงชาติไทยของผมดูเผินๆ อาจจะไม่เกี่ยวกับคำสอนของในหลวงเท่าไหร่” อาทิตย์ อัสสรัตน์ กล่าวต่อทีมสกู๊ปพิเศษ
หนังสั้นเรื่องนี้เป็นการเล่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวละคร 3 ตัว อันประกอบด้วย แม่บ้าน, ยาม และ เจ้าของอพาร์ตเมนต์เก่าๆ ในกรุงเทพฯ แห่งหนึ่ง เจ้าของสั่งให้พนักงานไปทำความสะอาดห้องห้องหนึ่งซึ่งปิดตายไว้นานแล้ว โดยสั่งว่า ห้ามเคลื่อนย้ายเครื่องเรือนอะไรทั้งสิ้น หลังทำงานเสร็จ ทุกคนไม่มีนาฬิกา แต่ต้องรอปิดห้องตอน 6 โมงเย็น จึงนั่งรอจนได้ยินเสียงเพลงชาติไทยแว่วมาจากวิทยุ - โทรทัศน์ที่ทุกครัวเรือนเปิดอยู่
งานชิ้นนี้ใช้เวลา 2-3 สัปดาห์ในการเตรียมงาน ถ่ายทำกันเป็นจริงเป็นจังแค่ 3 วัน นักแสดงก็ใช้คนธรรมดาเช่นเดียวกับหนังสั้นเรื่อง “ เกษตร ...ตะกอน” ของนนทรีย์ นิมิบุตร
“ ผมทำงานอินดี้อยู่แล้ว ผมจะเลือกคนที่เหมาะกับตัวละคร โดยไม่ได้คิดว่าต้องใช้ดารา คนดังที่มีชื่อเสียง เพราะหนังเรื่องนี้นักแสดงทั้ง 3 คนก็รับบทคนธรรมดาๆ ซึ่งผมเลือกจากยามจริง , แม่บ้านจริง และอีกคนเป็นนักแสดงเอ็กซ์ตราที่เคยร่วมงานกันมาก่อน” อาทิตย์ อัสสรัตน์กล่าว
ส่วนอีกคน แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ร่วมวงสนทนาในครั้งนี้ แต่ชื่อของเธอ พิมพกา โตวีระ เป็นเจ้าของรางวัลศิลปาธร ปี พ.ศ. 2552 ในสายภาพยนตร์เช่นเดียวกับ “อุ๋ย” นนทรีย์ และ “จุ๊ก” อาทิตย์ ในภาพยนตร์เรื่องนี้ เธอมาทำหนังสั้นเรื่อง “สุดสะแนน”
พิมพกาคนนี้จบสาขาวิชาภาพยนตร์และภาพถ่ายจากคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เคยกำกับหนังสั้น “แม่นาค” และได้รับรางวัล Special Jury Prize จากเทศกาล Image Forum Festival ปี 1998 ที่ประเทศญี่ปุ่น ส่วนหนังยาวเรื่องแรกซึ่งกำกับและเขียนบทเองคือ คืนไร้เงา (One night Husband)
9 มหัศจรรย์ องค์ราชัน พลังแผ่นดิน
ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับการแสดงโดย ภาม รังสี โดยทาง สศร.ให้งบสนับสนุนในการจัดสร้าง เป็นภาพยนตร์แนว Drama Inpriration เป็นเรื่องราวที่ถ่ายทอดถึงแรงบันดาลใจที่ได้จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สู่ความมหัศจรรย์ทั้ง 9 เรื่องสั้น ผสมผสานเป็นเรื่องยาว ประกอบด้วย มหัศจรรย์สามัคคี, มหัศจรรย์เสียงเพลง, มหัศจรรย์แห่งศิลป์, มหัศจรรย์แห่งน้ำ, มหัศจรรย์แห่งรัก, มหัศจรรย์พอเพียง, มหัศจรรย์สีเขียว, มหัศจรรย์พระมหาชนก และมหัศจรรย์ องค์ราชัน พลังแผ่นดิน หนังสั้นทั้ง 9 เรื่องชุดนี้จะมีนักแสดงมืออาชีพร่วมแสดงด้วย เช่น สินจัย เปล่งพานิช, สมภพ เบญจาธิกุล, สุเชาว์ พงษ์วิไล, “เก้า” จิรายุ ละอองมณี, “เป้” อารักษ์ อมรศุภศิริ ฯลฯ
“ อย่างเก้า - จิรายุ เราอาจจะเคยเห็นเขาเล่นหนัง เล่นละครต่างๆ นานามาหลายเรื่อง แต่หนังเรื่องนี้จะเป็นครั้งแรกของเก้าที่เล่นหนังโดยไม่มีบทพูดเลยตลอด 12 นาทีเต็ม เก้าจะนั่งละเมียดกับการเขียนรูปในหลวง เป็นภาพวาดขนาดเล็กจิ๋ว เก้าจะมีบทพูดในช่วงตอนจบที่แสดงงานภาพในหอศิลป์ว่า “เฮ้ย...น้องวาดได้ยังไงเนี่ยภาพนี้” - “ไม่เห็นมีอะไรเลยพี่ แค่ผมรักในหลวงสุดหัวใจเท่านั้นเอง” สำหรับ “เป้” อารักษ์ ยิ่งเป็นอาร์ตเลย เป้จะแสดงหนังสั้นเรื่อง “มหัศจรรย์พระมหาชนก” โดยได้แรงบันดาลใจจากการอ่าน “พระมหาชนก” พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นการแสดงบอดี้อาร์ตโดย “เป้” อารักษ์” ภาม รังสี กล่าว
ในภาพยนตร์ชุดดังกล่าวจะมีการจัดฉายครั้งแรกในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2553 เวลา 18.15 น. ที่ SF Cinema โรง 10 เซ็นทรัลเวิลด์
ปิดทองหลังพระ
ปิดทองหลังพระ ตอน “ความฝันอันสูงสุด” นี้ เป็นภาพยนตร์เรื่องยาวเพียงเรื่องเดียวในโครงการนี้ที่สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยให้งบสนับสนุนในการจัดสร้าง ผลงานชิ้นนี้ สมชาย เจริญสมบัติ ประธาน บริษัท ไทยเทเลวิชั่นเคยจัดสร้างเป็นละครในนามของ “มูลนิธิ 5 ธันวามหาราช” มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อ 2 ปีที่แล้ว โดยแพร่ภาพออกอากาศไปแล้วทางโมเดิร์นไนน์ เมื่อวันที่ 3-4 ธันวาคม 2551 โครงการ “ปิดทองหลังพระ” นี้เป็นการน้อมนำแนวพระราชดำรัสของพระองค์ท่านมาเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจคนไทยทั้งชาติให้ได้รับรู้ถึงความดีของวีรชนผู้กล้า ความเสียสละของทหาร ตำรวจ และครู ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่าง ผู้กองแคน, หมวดตี้ และครูจูหลิน ในส่วนของละครเทิดพระเกียรติที่แพร่ภาพไปแล้ว นำแสดงโดย พ.ต.วันชนะ สวัสดี, สมจิตร จงจอหอ, ศรราม เทพพิทักษ์, รังสิโรจน์ พันธุ์เพ็ง ฯลฯ
นอกจากเทศกาลภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติฯ ของสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรมตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ยังมีภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติ 7 เรื่อง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนิทรรศการ KING PAVILION ซึ่งเป็นการร่วมมือระหว่างกระทรวงมหาดไทย, กลาโหม , คมนาคม และมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 83 พรรษา 5 ธันวาคม 2553 กิจกรรมตามโครงการนี้จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคม ปีนี้ จนถึงปีหน้า … พ.ศ. 2554 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงเจริญพระชนมายุครบ 7 รอบ 84 พรรษา
ภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติทั้ง 7 เรื่อง ได้ขอพระราชทานลิขสิทธิ์และพระบรมราชานุญาตจัดสร้าง โดยภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติทั้ง 7 เรื่องนี้จะจัดฉายที่ศาลากลางทุกจังหวัดทั่วประเทศ, ที่ว่าการอำเภอทุกอำเภอ และจะฉายด้วยเทคนิคผ่านจอม่านน้ำ ขนาด 30 เมตร บริเวณฝั่งท่าพระจันทร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในวันที่ 5 ธันวาคม 2553 นอกจากนี้ ทางคณะทำงานยังได้กราบบังคมทูล ขอพระบรมราชานุญาตผลิตเป็นวีซีดี จำนวน 5 ล้านชุด เพื่อแจกจ่าย เผยแพร่แก่ประชาชนให้ได้รับชมกันอย่างทั่วถึงทุกครัวเรือน
ความโดดเด่นในโครงการนี้อยู่ที่ การนำเอาผู้กำกับภาพยนตร์ และนักแสดงที่มีชื่อเสียงมาร่วมงาน …
1. “เรื่องเดียวกัน” - ทีมผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง “แฟนฉัน”
เนื้อหาสื่อถึงความสำนึกของคนไทยทุกคนที่ได้เรียนรู้เรื่องราวพระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับ 3 โครงการหลวง ได้แก่ โครงการพัฒนาแหล่งน้ำ, ฟาร์มโคนมพระราชทาน และการปลูกพืชเมืองหนาวทดแทนการปลูกฝิ่น แสดงโดย “แน๊ก” ชาลี ไตรรัตน์ และ “ใบเฟิร์น” พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์
2. มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ - เหมันต์ เชตมี
หนังเรื่องนี้มีเค้าโครงมาจากชีวิตจริงของ “ป้าก้อนดิน” พรรณจันทร์ ศาลยาชีวิน (อาสาสมัครดีเด่น มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ปี พ.ศ. 2552) และ “ป้าอ๋อย” นิธิพร เตชะรัฐ ซึ่งรับบทบาทการแสดงโดย สินจัย เปล่งพานิช และเพ็ญพักตร์ ศิริกุล เนื้อหาสื่อถึงการทำงานและความเสียสละของเจ้าหน้าที่มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ ที่ช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนแก่ประชาชนชาวไทยในเหตุการณ์ต่างๆ ครั้งหนึ่ง แม่กับลูกชายได้พบกันโดยบังเอิญ เพราะต่างคนต่างลงไปช่วยเหลือชาวบ้านผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์สึนามิ
ต่อมา เมื่อจะมีการสร้างภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติ เรื่องดังกล่าวถูกปรับเป็นภาพยนตร์ในแนวดารามาสะเทือนใจ โดยหยิบเอาเหตุการณ์ “พายุไต้ฝุ่นเกย์” (วันที่ 3-4 พฤศจิกายน 2532) ที่รุนแรงที่สุดในรอบ 35 ปีเข้าถล่มที่ อ. บางสะพานน้อย และบางสะพานใหญ่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ก่อนเคลื่อนตัวเข้าสู่ อ. ท่าแซะ และปะทิว ในจังหวัดชุมพร เ รื่องใหม่นี้ กำหนดให้ อาสาสมัครมูลนิธิฯ ที่รับบทโดย สินจัย ต้องสูญเสียลูกชายไปขณะที่ไปตั้งค่ายลูกเสืออยู่ที่นั่น ความทุกข์ของแม่ที่สูญเสียลูกในขณะที่ต้องปฏิบัติงานช่วยเหลือประชาชนจะถูกถ่ายทอดอยู่ในหนังเรื่องนี้ เหมันต์ เชตมี จะทำหน้าที่กำกับฯ ภาพยนตร์ที่สุดสะเทือนใจและประทับใจในเรื่องนี้ (ผลงานภาพยนตร์สร้างชื่อมาแล้วหลายเรื่อง เช่น ปอบ หวีด สยอง, เซ็กซ์โฟน คลื่นเหงา สาวข้างบ้าน, พันธุ์เอ็กซ์ เด็กสุดขั้ว, รักจัง , รักนะ 24 ชั้วโมง, ม.3 ปี 4 เรารักนาย)
“ แล้วคุณหมอจะทิ้งชีวิตของคุณหมอไว้ที่นี่เหรอคะ”
“ พระเจ้าอยู่หัวไม่เคยทิ้งเรา ผมก็จะไม่ทิ้งคนที่นี่เหมือนกัน”
3. เหรียญของพ่อ - นนทรีย์ นิมิบุตร
เรื่องราวของตำรวจตระเวนชายแดนที่เสียสละเพื่อประเทศชาติ ที่เข้าต่อสู้กับขบวนการค้ายาเสพติด แสดงโดย “บิ๊ก” ทองภูมิ สิริพิพัฒน์, “ฝ้าย” อริญรดา ปิติมารัชต์ และ สุเมธ องอาจ
“ ส่วนใหญ่เราจะเห็นว่าหนังเทิดพระเกียรติเป็นแนวดรามา เพื่อให้เกิดความซาบซึ้ง ผมก็เลยคิดว่าทำอย่างไรมันถึงจะให้ความแตกต่าง แล้วค่อยแทรกความรู้สึกที่มีต่อในหลวง ไอเดียของหนังเรื่องนี้เกิดจากเรื่องจริงที่เคยอ่าน เคยฟังมา เช่น ตัวเอกเป็น ตชด.ที่ถูกยิงจากผู้ก่อการร้าย แล้วลูกปืนที่ยิงเข้าหัวใจมันไปกระแทกโดนเหรียญที่เขาห้อยอยู่แล้วไปโดนที่แขน” นนทรีย์กล่าว
4. อาม่า - พิง ลำพระเพลิง
ประโยคเด็ดของหนังเรื่องนี้คือ “ พระบริบาล แปลว่าอะไร ทำไมคนไทยไม่รู้จัก??” หนังอารมณ์ดีเรื่องนี้สื่อถึงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของชาวจีนที่อพยพมาอยู่บนแผ่นดินไทย จากที่พูดไทยไม่ชัดโดยผ่านตัวละคร “อาม่า” ที่มานะฝึกฝนจนสามารถร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีได้ กำกับการแสดงโดย พิง ลำพระเพลิง ซึ่งเป็นนามปากกาของ ภูพิงค์ พังสะอาด เขาเคยผ่านการเขียนบท , กำกับการแสดงภาพยนตร์และละครเป็นจำนวนมาก ยกตัวอย่างงานหนังที่เราคุ้นเคย เช่น โคตรรักเอ็งเลย, คนหิ้วหัว, ฝันโคตรโคตร ส่วนละครโทรทัศน์ เช่น เขาวานให้หนูเป็นสายลับ, นางสาวจริงใจกับนายแสนดี, คู่กรรม, ซึมน้อยหน่อย กะล่อนมากหน่อย, ด้วยแรงอธิษฐาน เป็นต้น
5. จากฟ้าสู่ดิน - พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง
ในช่วงวิกฤตทางการเมืองในประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. 2548 -2550 “อ๊อฟ” พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง เป็นบุคคลหนึ่งที่เคยขึ้นเวทีปราศรัยของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ร่วมกับ “ตั้ว” ศรัณยู วงศ์กระจ่าง และวันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม 2553 เขาได้ฉายภาพ “พ่อหลวง” ผ่านวลี “ ที่นี่คือ แผ่นดินของพ่อ” บนเวทีการตัดสินรางวัลนาฏราช ครั้งที่ 1 และนั่นไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่า เขาคือบุคคลที่มีความสำคัญและอยู่ในความทรงจำของเดือนพฤษภาคม 2553
“จากฟ้าสู่ดิน” เป็นเรื่องราวของชาวนาที่ล้มละลายในอาชีพเกษตรกรรม จนต้องขายที่ดินทำกินและเดินทางเข้าสู่สังคมเมืองเพื่อเป็นกรรมกรรับจ้าง ถูกกดขี่ขูดรีดด้วยค่าแรงต่ำกว่าความเป็นจริง ภาพยนตร์เรื่องนี้เขากำกับและแสดงเอง - “เกิดเป็นลูกชาวนา แต่กลับต้องมาซื้อข้าวกิน มันน่าเจ็บใจหลาย , เฮาบ่มีทางเลือกแล้ว บ่มีไผช่วยเฮาได้ดอก, ต้องมีซิแม่ เทวดาเพิ่นบ่ทิ้งคนจนอย่างเฮาดอก” …
"เรื่องนี้เป็นเรื่องชาวนาครับ เพราะว่าชาวนาเราตัวเล็กๆ จนและไม่มีจะกิน ทั้งๆ ที่เรารู้สึกว่ามันน่าสังเวชมาก ถ้าเกิดอาชีพที่ถูกเรียกว่าเป็นกระดูกสันหลังของชาติ ต้องเป็นอาชีพที่จะต้องล่มสลายเป็นอันดับแรก คือไม่อยากด่าคนนะ แต่มันเป็นเรื่องจริงที่ไม่มีใครสนใจดูแล มีอยู่แค่พระองค์เดียวคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงให้ความสำคัญและคิดมา 60 กว่าปีแล้วนะ ที่พระองค์ท่านทรงงานหนักเพื่อที่จะดูแลชาวนาของเรา รัฐบาลทุกยุคไม่เคยใส่ใจ มีแต่ปากที่พูดว่าจะดูแล แต่สุดท้ายจริงๆ มันไม่ได้อะไรเลย … สุดท้ายก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ด้วยพระบารมีของพระองค์ท่าน ด้วยความรู้สึกที่ทุกคนมีต่อพระองค์ท่านในลักษณะเดียวกัน ในจุดเดียวกัน คือความเคารพและความรัก และการมองเห็นสิ่งที่พระองค์ท่านทรงทำให้แก่ประเทศชาติ …" พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง กล่าวแสดงความเห็น
6. คนล่าเมฆ - ปรัชญา ปิ่นแก้ว
เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับโครงการพระราชดำริฝนหลวง โดยนำเหตุการณ์เมื่อปี 2542 เมืองไทยเกิดวิกฤตฝนแล้งจัด พระเจ้าอยู่หัวทรงทราบข่าว จึงมีรับสั่งให้จัดทีมฝนหลวงพิเศษขึ้นเป็นการด่วนเพื่อช่วยพสกนิกร นำแสดงโดย “บอย AF 3” สิทธิชัย ผาบชมภู
7. แผ่นดินของเรา - ยุทธนา มุกดาสนิท
“แผ่นดินของเรา” เป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่จะมีการอัญเชิญพระอัจฉริยภาพทางดนตรีของพระองค์ท่าน จากบทเพลงพระราชนิพนธ์สู่ภาพยนตร์เพลงเต็มรูปแบบ นำแสดงโดย “เจมส์” เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์, นัท มีเรีย, ธงไชย แมคอินไตย์, “บี้” สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว, “สิงโตThe star 5” สิงหรัตน์ จันทร์ภักดี , “นัททิว AF 5” ณัฏฐ์ ทิวไผ่งาม , สุนารี ราชสีมา เป็นต้น
แผ่นดินของเรา หรือ Alexandra เป็นเพลงพระราชนิพนธ์ในลำดับที่ 34 (ทรงพระราชนิพนธ์เนื่องในโอกาสที่เจ้าหญิงอเล็กซานดรา แห่งเคนต์ สหราชอาณาจักร เสด็จเยือนประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. 2502 ) ปี 2516 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเห็นว่าท่วงทำนองไพเราะ น่าจะใส่คำร้องภาษาไทยได้ จึงกราบบังคมทูลขอพระบรมราชานุญาตให้ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค ประพันธ์คำร้องภาษาไทย
การทำภาพยนตร์เพลงเรื่องนี้ต้องถือว่าเป็นความถนัดของ ยุทธนา มุกดาสนิทอยู่แล้ว เนื่องจากในอดีตเขาเคยทำหนังเพลงอย่าง เทพธิดาบาร์ 21 (พ.ศ. 2521) และ เงิน เงิน เงิน (พ.ศ. 2526) รวมถึงละครเวทีอย่าง สู่ฝันอันยิ่งใหญ่ และจุมพิตนางแมงมุม มาแล้ว ผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายเมื่อปี 2543 คือ “ยุวชนทหาร เปิดเทอมไปรบ” จนเมื่อ 2 ปีที่แล้วเขาได้กลับมารีเมกละครเวทีเรื่อง “สู่ฝันอันยิ่งใหญ่” อีกครั้งตามคำเชื้อเชิญของ “บอย” ถกลเกียรติ วีรวรรณ
ความหลากหลายของแผ่นฟิล์มเฉลิมพระเกียรติในปีนี้ เสมือนดอกไม้งดงามที่ถูกสอดแซมด้วยสีสันมากมาย ไม่ว่าหนังเรื่องนั้นจะจัดสร้างโดยหน่วยงานใด จะเป็นหนังสั้น - หนังยาว ใช้นักแสดงที่มีชื่อเสียง หรือบุคคลที่เราไม่เคยรู้จัก ไม่เคยพบเห็นหน้าค่าตามาก่อน หรือแม้แต่หนังในแนวทางที่แตกต่างกันไปตามความถนัดของผู้กำกับฯ แต่ละคนนั้น อุปมาดั่งลูกแต่ละคนในครอบครัวที่มีความคิด มุมมองและนิสัยใจคอ ผู้เป็น “พ่อ” ย่อมคาดหวังให้ลูกทุกคนได้อยู่ร่วมกันกันอย่าง รู้รักสามัคคีและยอมรับในความต่างของพี่กับน้องในครอบครัวเดียวกัน
เราคือ มนุษย์ผู้มีเผ่าพันธุ์แห่ง “ความจงรักภักดี” เป็นสรณะ
ที่มา http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9530000168345
ขณะที่ “นิทรรศการภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติ” โดยกระทรวงมหาดไทย, กระทรวงกลาโหม, กระทรวงคมนาคม และมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ มีทั้งหนังในแนวดรามา , แอ็กชัน และมิวสิคัลที่จะฉายภาพยนตร์ผ่านม่านน้ำ บริเวณท่าพระจันทร์
เนื่องในโอกาสแห่งวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2553 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมายุครบ 83 พรรษา และทรงครองสิริราชสมบัติครบ 64 ปี จึงเป็นมหามงคลพิเศษของปวงชนชาวไทยที่จะได้ร่วมกันเฉลิมฉลองวาระดังกล่าวเพื่อแสดงความจงรักภักดีแด่ “ในหลวง” พระผู้เป็นมหาชนกแห่งแผ่นดิน”
ตามโครงการสร้าง “ภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติฯ” ของสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรมนี้ เริ่มวันแรกคือวันนี้ 29 พฤศจิกายน - 3 ธันวาคม 2553 โดยภาพยนตร์ทั้ง3 เรื่องจะจัดฉายให้ชมฟรี วันละ 1 รอบ ณ โรงภาพยนตร์เอสเอฟ ซีเนม่า ชั้น 7 เซ็นทรัลเวิลด์ ภาพยนตร์ตามโครงการนี้แบ่งเป็น 3 เรื่อง คือ ร้อยดวงใจให้พ่อ , 9 มหัศจรรย์ องค์ราชัน พลังแผ่นดิน , และ ปิดทองหลังพระ ตอน ความฝันอันสูงสุด
ร้อยดวงใจให้พ่อ
ภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติเรื่อง “ร้อยดวงใจให้พ่อ” นี้ เป็นฝีมือการกำกับของศิลปินศิลปาธร โดยหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวที่สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยเป็นผู้อำนวยการสร้าง ภาพยนตร์เรื่องนี้จะประกอบด้วย “หนังสั้น” 3 เรื่อง โดย นนทรีย์ นิมิบุตร (เรื่อง “เกษตร...ตะกอน”), พิมพกา โตวีระ (เรื่อง “สุดสะแนน”), อาทิตย์ อัสสรัตน์ (เรื่อง “เพลงชาติไทย”) และแอนิเมชัน 1 เรื่องที่อยู่ในภาพยนตร์เรื่องนี้คือ “รักที่ยิ่งใหญ่” โดยศิริศักดิ์ คชพัชรินทร์ และ พรรณปพร ศรีสุมานันท์ จากสมาคมผู้ประกอบแอนิเมชันและคอมพิวเตอร์กราฟิกของไทย
ปีนี้ “อุ๋ย” นนทรีย์ นิมิบุตร นอกจากจะกำกับหนังสั้นให้แก่ สศร. (สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย) แล้ว เขายังได้กำกับภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติให้แก่ “นิทรรศการภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติ” เรื่อง “เหรียญของพ่อ” ให้แก่รัฐบาลอีกด้วย
“ เกษตร … ตะกอน มันเป็นการล้อคำ โดยสาระของเรื่องเรากล่าวถึงความก้าวหน้าทางการเกษตรของไทย ซึ่งหลายครั้งมันไม่สามารถที่จะก้าวเจริญไปข้างหน้าได้ เพราะว่าบางทีเกษตรกรก็ไม่ยอมฟังเรื่องวิวัฒนาการสมัยใหม่ที่มีความก้าวหน้า คำว่า ตะกอน มันก็เหมือนการตกตะกอนนั่นแหละ คือนองก้นอยู่ไม่ไปไหน” นนทรีย์ นิมิบุตร ผู้กำกับสาขาภาพยนตร์ รางวัลศิลปาธร ประจำปี พ.ศ. 2551 กล่าวต่อทีมสกู๊ปพิเศษ
สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม ได้นำข้อคิดจากพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 10 ข้อเพื่อให้เป็นโจทย์ในการทำงานของเหล่าผู้กำกับฯ ในครั้งนี้
“สิ่งที่ในหลวงบอกว่า เราควรจะรับฟังความเห็นของกันและกัน มันเหมาะกับเรื่อง “ทานตะวันดอกหนึ่ง” จากหนังสือรวมเรื่องสั้นกึ่งศตวรรษของ เสนีย์ เสาวพงศ์ ผมประทับใจกับเรื่องสั้นเรื่องนี้มาก มันพูดถึงเรื่องที่คนไม่รับฟังกัน หลงงมงายในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ ผมว่ามันเข้ากับพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผมก็เลยนำเรื่องนี้มาทำเป็นหนังสั้น”
“อุ๋ย” นนทรีย์ นิมิบุตร เลี่ยงที่จะใช้ “ดารา” ในหนังสั้นเรื่องนี้ เขาจงใจที่จะใช้คนธรรมดาเพื่อให้เข้ากับหนังที่เขาตั้งใจในการนำเสนอ
“ อย่างพระเอกของเรื่องหน้าตาเขาก็ธรรมดา เป็นเกษตรกรได้ หรืออย่างเกษตรอำเภอ หน้าตาเขาก็มีความเป็นคนต่างจังหวัด แล้วไม่ต้องเล่นเก่งอะไรมากมาย ไม่เช่นนั้นมันจะกลายเป็นการแสดง อยากให้คนดูรู้สึกว่าเหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นจริงนะ” นนทรีย์กล่าว
ภาพยนตร์เรื่อง “ร้อยดวงใจให้พ่อ” ยังมีหนังสั้นเรื่อง “เพลงชาติไทย” ของ “จุ๊ก” อาทิตย์ อัสสรัตน์ เป็นอีกหนึ่งเรื่องย่อยในโครงใหญ่ เขาคือเจ้าของรางวัลศิลปาธรปี พ.ศ. 2553 สาขาภาพยนตร์ เคยผ่านการกำกับหนังเรื่อง “ วันเดอร์ฟูลทาวน์” มาแล้ว
“ข้อดีก็คือทาง สศร. คือเขาให้ความอิสระในการเลือก และเล่าเรื่องตามสไตล์ของผู้กำกับแต่ละคนเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เนื้อหาในหนังเรื่องนั้นๆ ต้องได้รับแรงบันดาลใจจากคำสอนของในหลวง”
หนังของเขาพยายามที่จะสื่อถึงความสุขของคนธรรมดาตัวเล็กๆ ในสังคมไทยที่ไม่เคยมีโอกาสเข้าเฝ้าฯ ในหลวงเหมือนเขา และเหมือนคนอีกเป็นจำนวนมากในสังคมนี้ ทว่า พระองค์ท่านทรงเป็นสัญลักษณ์ที่อยู่รอบตัวของพวกเราเสมอ
“สำหรับผมแล้ว ในหลวงมีความสำคัญต่อชีวิตของพวกเรา อาจจะไม่ได้เป็นที่คำสอน แต่พระองค์ท่านเป็นสัญลักษณ์ของความดี ความถูกต้องในสังคมไทย คล้ายๆ กับว่าพระองค์ท่านเป็นความดีที่รายล้อมอยู่รอบตัวเราเสมอ เป็นแสงอาทิตย์ที่ให้ความอบอุ่น เป็นลม เป็นอากาศที่ดับความทุกข์ร้อนแก่ปวงชนชาวไทย ผมเลือกที่จะนำเสนอในมุมมองแบบนี้ เรื่องเพลงชาติไทยของผมดูเผินๆ อาจจะไม่เกี่ยวกับคำสอนของในหลวงเท่าไหร่” อาทิตย์ อัสสรัตน์ กล่าวต่อทีมสกู๊ปพิเศษ
หนังสั้นเรื่องนี้เป็นการเล่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวละคร 3 ตัว อันประกอบด้วย แม่บ้าน, ยาม และ เจ้าของอพาร์ตเมนต์เก่าๆ ในกรุงเทพฯ แห่งหนึ่ง เจ้าของสั่งให้พนักงานไปทำความสะอาดห้องห้องหนึ่งซึ่งปิดตายไว้นานแล้ว โดยสั่งว่า ห้ามเคลื่อนย้ายเครื่องเรือนอะไรทั้งสิ้น หลังทำงานเสร็จ ทุกคนไม่มีนาฬิกา แต่ต้องรอปิดห้องตอน 6 โมงเย็น จึงนั่งรอจนได้ยินเสียงเพลงชาติไทยแว่วมาจากวิทยุ - โทรทัศน์ที่ทุกครัวเรือนเปิดอยู่
งานชิ้นนี้ใช้เวลา 2-3 สัปดาห์ในการเตรียมงาน ถ่ายทำกันเป็นจริงเป็นจังแค่ 3 วัน นักแสดงก็ใช้คนธรรมดาเช่นเดียวกับหนังสั้นเรื่อง “ เกษตร ...ตะกอน” ของนนทรีย์ นิมิบุตร
“ ผมทำงานอินดี้อยู่แล้ว ผมจะเลือกคนที่เหมาะกับตัวละคร โดยไม่ได้คิดว่าต้องใช้ดารา คนดังที่มีชื่อเสียง เพราะหนังเรื่องนี้นักแสดงทั้ง 3 คนก็รับบทคนธรรมดาๆ ซึ่งผมเลือกจากยามจริง , แม่บ้านจริง และอีกคนเป็นนักแสดงเอ็กซ์ตราที่เคยร่วมงานกันมาก่อน” อาทิตย์ อัสสรัตน์กล่าว
ส่วนอีกคน แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ร่วมวงสนทนาในครั้งนี้ แต่ชื่อของเธอ พิมพกา โตวีระ เป็นเจ้าของรางวัลศิลปาธร ปี พ.ศ. 2552 ในสายภาพยนตร์เช่นเดียวกับ “อุ๋ย” นนทรีย์ และ “จุ๊ก” อาทิตย์ ในภาพยนตร์เรื่องนี้ เธอมาทำหนังสั้นเรื่อง “สุดสะแนน”
พิมพกาคนนี้จบสาขาวิชาภาพยนตร์และภาพถ่ายจากคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เคยกำกับหนังสั้น “แม่นาค” และได้รับรางวัล Special Jury Prize จากเทศกาล Image Forum Festival ปี 1998 ที่ประเทศญี่ปุ่น ส่วนหนังยาวเรื่องแรกซึ่งกำกับและเขียนบทเองคือ คืนไร้เงา (One night Husband)
9 มหัศจรรย์ องค์ราชัน พลังแผ่นดิน
ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับการแสดงโดย ภาม รังสี โดยทาง สศร.ให้งบสนับสนุนในการจัดสร้าง เป็นภาพยนตร์แนว Drama Inpriration เป็นเรื่องราวที่ถ่ายทอดถึงแรงบันดาลใจที่ได้จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สู่ความมหัศจรรย์ทั้ง 9 เรื่องสั้น ผสมผสานเป็นเรื่องยาว ประกอบด้วย มหัศจรรย์สามัคคี, มหัศจรรย์เสียงเพลง, มหัศจรรย์แห่งศิลป์, มหัศจรรย์แห่งน้ำ, มหัศจรรย์แห่งรัก, มหัศจรรย์พอเพียง, มหัศจรรย์สีเขียว, มหัศจรรย์พระมหาชนก และมหัศจรรย์ องค์ราชัน พลังแผ่นดิน หนังสั้นทั้ง 9 เรื่องชุดนี้จะมีนักแสดงมืออาชีพร่วมแสดงด้วย เช่น สินจัย เปล่งพานิช, สมภพ เบญจาธิกุล, สุเชาว์ พงษ์วิไล, “เก้า” จิรายุ ละอองมณี, “เป้” อารักษ์ อมรศุภศิริ ฯลฯ
“ อย่างเก้า - จิรายุ เราอาจจะเคยเห็นเขาเล่นหนัง เล่นละครต่างๆ นานามาหลายเรื่อง แต่หนังเรื่องนี้จะเป็นครั้งแรกของเก้าที่เล่นหนังโดยไม่มีบทพูดเลยตลอด 12 นาทีเต็ม เก้าจะนั่งละเมียดกับการเขียนรูปในหลวง เป็นภาพวาดขนาดเล็กจิ๋ว เก้าจะมีบทพูดในช่วงตอนจบที่แสดงงานภาพในหอศิลป์ว่า “เฮ้ย...น้องวาดได้ยังไงเนี่ยภาพนี้” - “ไม่เห็นมีอะไรเลยพี่ แค่ผมรักในหลวงสุดหัวใจเท่านั้นเอง” สำหรับ “เป้” อารักษ์ ยิ่งเป็นอาร์ตเลย เป้จะแสดงหนังสั้นเรื่อง “มหัศจรรย์พระมหาชนก” โดยได้แรงบันดาลใจจากการอ่าน “พระมหาชนก” พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นการแสดงบอดี้อาร์ตโดย “เป้” อารักษ์” ภาม รังสี กล่าว
ในภาพยนตร์ชุดดังกล่าวจะมีการจัดฉายครั้งแรกในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2553 เวลา 18.15 น. ที่ SF Cinema โรง 10 เซ็นทรัลเวิลด์
ปิดทองหลังพระ
ปิดทองหลังพระ ตอน “ความฝันอันสูงสุด” นี้ เป็นภาพยนตร์เรื่องยาวเพียงเรื่องเดียวในโครงการนี้ที่สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยให้งบสนับสนุนในการจัดสร้าง ผลงานชิ้นนี้ สมชาย เจริญสมบัติ ประธาน บริษัท ไทยเทเลวิชั่นเคยจัดสร้างเป็นละครในนามของ “มูลนิธิ 5 ธันวามหาราช” มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อ 2 ปีที่แล้ว โดยแพร่ภาพออกอากาศไปแล้วทางโมเดิร์นไนน์ เมื่อวันที่ 3-4 ธันวาคม 2551 โครงการ “ปิดทองหลังพระ” นี้เป็นการน้อมนำแนวพระราชดำรัสของพระองค์ท่านมาเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจคนไทยทั้งชาติให้ได้รับรู้ถึงความดีของวีรชนผู้กล้า ความเสียสละของทหาร ตำรวจ และครู ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่าง ผู้กองแคน, หมวดตี้ และครูจูหลิน ในส่วนของละครเทิดพระเกียรติที่แพร่ภาพไปแล้ว นำแสดงโดย พ.ต.วันชนะ สวัสดี, สมจิตร จงจอหอ, ศรราม เทพพิทักษ์, รังสิโรจน์ พันธุ์เพ็ง ฯลฯ
นอกจากเทศกาลภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติฯ ของสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรมตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ยังมีภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติ 7 เรื่อง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนิทรรศการ KING PAVILION ซึ่งเป็นการร่วมมือระหว่างกระทรวงมหาดไทย, กลาโหม , คมนาคม และมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 83 พรรษา 5 ธันวาคม 2553 กิจกรรมตามโครงการนี้จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคม ปีนี้ จนถึงปีหน้า … พ.ศ. 2554 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงเจริญพระชนมายุครบ 7 รอบ 84 พรรษา
ภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติทั้ง 7 เรื่อง ได้ขอพระราชทานลิขสิทธิ์และพระบรมราชานุญาตจัดสร้าง โดยภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติทั้ง 7 เรื่องนี้จะจัดฉายที่ศาลากลางทุกจังหวัดทั่วประเทศ, ที่ว่าการอำเภอทุกอำเภอ และจะฉายด้วยเทคนิคผ่านจอม่านน้ำ ขนาด 30 เมตร บริเวณฝั่งท่าพระจันทร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในวันที่ 5 ธันวาคม 2553 นอกจากนี้ ทางคณะทำงานยังได้กราบบังคมทูล ขอพระบรมราชานุญาตผลิตเป็นวีซีดี จำนวน 5 ล้านชุด เพื่อแจกจ่าย เผยแพร่แก่ประชาชนให้ได้รับชมกันอย่างทั่วถึงทุกครัวเรือน
ความโดดเด่นในโครงการนี้อยู่ที่ การนำเอาผู้กำกับภาพยนตร์ และนักแสดงที่มีชื่อเสียงมาร่วมงาน …
1. “เรื่องเดียวกัน” - ทีมผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง “แฟนฉัน”
เนื้อหาสื่อถึงความสำนึกของคนไทยทุกคนที่ได้เรียนรู้เรื่องราวพระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับ 3 โครงการหลวง ได้แก่ โครงการพัฒนาแหล่งน้ำ, ฟาร์มโคนมพระราชทาน และการปลูกพืชเมืองหนาวทดแทนการปลูกฝิ่น แสดงโดย “แน๊ก” ชาลี ไตรรัตน์ และ “ใบเฟิร์น” พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์
2. มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ - เหมันต์ เชตมี
หนังเรื่องนี้มีเค้าโครงมาจากชีวิตจริงของ “ป้าก้อนดิน” พรรณจันทร์ ศาลยาชีวิน (อาสาสมัครดีเด่น มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ปี พ.ศ. 2552) และ “ป้าอ๋อย” นิธิพร เตชะรัฐ ซึ่งรับบทบาทการแสดงโดย สินจัย เปล่งพานิช และเพ็ญพักตร์ ศิริกุล เนื้อหาสื่อถึงการทำงานและความเสียสละของเจ้าหน้าที่มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ ที่ช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนแก่ประชาชนชาวไทยในเหตุการณ์ต่างๆ ครั้งหนึ่ง แม่กับลูกชายได้พบกันโดยบังเอิญ เพราะต่างคนต่างลงไปช่วยเหลือชาวบ้านผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์สึนามิ
ต่อมา เมื่อจะมีการสร้างภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติ เรื่องดังกล่าวถูกปรับเป็นภาพยนตร์ในแนวดารามาสะเทือนใจ โดยหยิบเอาเหตุการณ์ “พายุไต้ฝุ่นเกย์” (วันที่ 3-4 พฤศจิกายน 2532) ที่รุนแรงที่สุดในรอบ 35 ปีเข้าถล่มที่ อ. บางสะพานน้อย และบางสะพานใหญ่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ก่อนเคลื่อนตัวเข้าสู่ อ. ท่าแซะ และปะทิว ในจังหวัดชุมพร เ รื่องใหม่นี้ กำหนดให้ อาสาสมัครมูลนิธิฯ ที่รับบทโดย สินจัย ต้องสูญเสียลูกชายไปขณะที่ไปตั้งค่ายลูกเสืออยู่ที่นั่น ความทุกข์ของแม่ที่สูญเสียลูกในขณะที่ต้องปฏิบัติงานช่วยเหลือประชาชนจะถูกถ่ายทอดอยู่ในหนังเรื่องนี้ เหมันต์ เชตมี จะทำหน้าที่กำกับฯ ภาพยนตร์ที่สุดสะเทือนใจและประทับใจในเรื่องนี้ (ผลงานภาพยนตร์สร้างชื่อมาแล้วหลายเรื่อง เช่น ปอบ หวีด สยอง, เซ็กซ์โฟน คลื่นเหงา สาวข้างบ้าน, พันธุ์เอ็กซ์ เด็กสุดขั้ว, รักจัง , รักนะ 24 ชั้วโมง, ม.3 ปี 4 เรารักนาย)
“ แล้วคุณหมอจะทิ้งชีวิตของคุณหมอไว้ที่นี่เหรอคะ”
“ พระเจ้าอยู่หัวไม่เคยทิ้งเรา ผมก็จะไม่ทิ้งคนที่นี่เหมือนกัน”
3. เหรียญของพ่อ - นนทรีย์ นิมิบุตร
เรื่องราวของตำรวจตระเวนชายแดนที่เสียสละเพื่อประเทศชาติ ที่เข้าต่อสู้กับขบวนการค้ายาเสพติด แสดงโดย “บิ๊ก” ทองภูมิ สิริพิพัฒน์, “ฝ้าย” อริญรดา ปิติมารัชต์ และ สุเมธ องอาจ
“ ส่วนใหญ่เราจะเห็นว่าหนังเทิดพระเกียรติเป็นแนวดรามา เพื่อให้เกิดความซาบซึ้ง ผมก็เลยคิดว่าทำอย่างไรมันถึงจะให้ความแตกต่าง แล้วค่อยแทรกความรู้สึกที่มีต่อในหลวง ไอเดียของหนังเรื่องนี้เกิดจากเรื่องจริงที่เคยอ่าน เคยฟังมา เช่น ตัวเอกเป็น ตชด.ที่ถูกยิงจากผู้ก่อการร้าย แล้วลูกปืนที่ยิงเข้าหัวใจมันไปกระแทกโดนเหรียญที่เขาห้อยอยู่แล้วไปโดนที่แขน” นนทรีย์กล่าว
4. อาม่า - พิง ลำพระเพลิง
ประโยคเด็ดของหนังเรื่องนี้คือ “ พระบริบาล แปลว่าอะไร ทำไมคนไทยไม่รู้จัก??” หนังอารมณ์ดีเรื่องนี้สื่อถึงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของชาวจีนที่อพยพมาอยู่บนแผ่นดินไทย จากที่พูดไทยไม่ชัดโดยผ่านตัวละคร “อาม่า” ที่มานะฝึกฝนจนสามารถร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีได้ กำกับการแสดงโดย พิง ลำพระเพลิง ซึ่งเป็นนามปากกาของ ภูพิงค์ พังสะอาด เขาเคยผ่านการเขียนบท , กำกับการแสดงภาพยนตร์และละครเป็นจำนวนมาก ยกตัวอย่างงานหนังที่เราคุ้นเคย เช่น โคตรรักเอ็งเลย, คนหิ้วหัว, ฝันโคตรโคตร ส่วนละครโทรทัศน์ เช่น เขาวานให้หนูเป็นสายลับ, นางสาวจริงใจกับนายแสนดี, คู่กรรม, ซึมน้อยหน่อย กะล่อนมากหน่อย, ด้วยแรงอธิษฐาน เป็นต้น
5. จากฟ้าสู่ดิน - พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง
ในช่วงวิกฤตทางการเมืองในประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. 2548 -2550 “อ๊อฟ” พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง เป็นบุคคลหนึ่งที่เคยขึ้นเวทีปราศรัยของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ร่วมกับ “ตั้ว” ศรัณยู วงศ์กระจ่าง และวันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม 2553 เขาได้ฉายภาพ “พ่อหลวง” ผ่านวลี “ ที่นี่คือ แผ่นดินของพ่อ” บนเวทีการตัดสินรางวัลนาฏราช ครั้งที่ 1 และนั่นไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่า เขาคือบุคคลที่มีความสำคัญและอยู่ในความทรงจำของเดือนพฤษภาคม 2553
“จากฟ้าสู่ดิน” เป็นเรื่องราวของชาวนาที่ล้มละลายในอาชีพเกษตรกรรม จนต้องขายที่ดินทำกินและเดินทางเข้าสู่สังคมเมืองเพื่อเป็นกรรมกรรับจ้าง ถูกกดขี่ขูดรีดด้วยค่าแรงต่ำกว่าความเป็นจริง ภาพยนตร์เรื่องนี้เขากำกับและแสดงเอง - “เกิดเป็นลูกชาวนา แต่กลับต้องมาซื้อข้าวกิน มันน่าเจ็บใจหลาย , เฮาบ่มีทางเลือกแล้ว บ่มีไผช่วยเฮาได้ดอก, ต้องมีซิแม่ เทวดาเพิ่นบ่ทิ้งคนจนอย่างเฮาดอก” …
"เรื่องนี้เป็นเรื่องชาวนาครับ เพราะว่าชาวนาเราตัวเล็กๆ จนและไม่มีจะกิน ทั้งๆ ที่เรารู้สึกว่ามันน่าสังเวชมาก ถ้าเกิดอาชีพที่ถูกเรียกว่าเป็นกระดูกสันหลังของชาติ ต้องเป็นอาชีพที่จะต้องล่มสลายเป็นอันดับแรก คือไม่อยากด่าคนนะ แต่มันเป็นเรื่องจริงที่ไม่มีใครสนใจดูแล มีอยู่แค่พระองค์เดียวคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงให้ความสำคัญและคิดมา 60 กว่าปีแล้วนะ ที่พระองค์ท่านทรงงานหนักเพื่อที่จะดูแลชาวนาของเรา รัฐบาลทุกยุคไม่เคยใส่ใจ มีแต่ปากที่พูดว่าจะดูแล แต่สุดท้ายจริงๆ มันไม่ได้อะไรเลย … สุดท้ายก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ด้วยพระบารมีของพระองค์ท่าน ด้วยความรู้สึกที่ทุกคนมีต่อพระองค์ท่านในลักษณะเดียวกัน ในจุดเดียวกัน คือความเคารพและความรัก และการมองเห็นสิ่งที่พระองค์ท่านทรงทำให้แก่ประเทศชาติ …" พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง กล่าวแสดงความเห็น
6. คนล่าเมฆ - ปรัชญา ปิ่นแก้ว
เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับโครงการพระราชดำริฝนหลวง โดยนำเหตุการณ์เมื่อปี 2542 เมืองไทยเกิดวิกฤตฝนแล้งจัด พระเจ้าอยู่หัวทรงทราบข่าว จึงมีรับสั่งให้จัดทีมฝนหลวงพิเศษขึ้นเป็นการด่วนเพื่อช่วยพสกนิกร นำแสดงโดย “บอย AF 3” สิทธิชัย ผาบชมภู
7. แผ่นดินของเรา - ยุทธนา มุกดาสนิท
“แผ่นดินของเรา” เป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่จะมีการอัญเชิญพระอัจฉริยภาพทางดนตรีของพระองค์ท่าน จากบทเพลงพระราชนิพนธ์สู่ภาพยนตร์เพลงเต็มรูปแบบ นำแสดงโดย “เจมส์” เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์, นัท มีเรีย, ธงไชย แมคอินไตย์, “บี้” สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว, “สิงโตThe star 5” สิงหรัตน์ จันทร์ภักดี , “นัททิว AF 5” ณัฏฐ์ ทิวไผ่งาม , สุนารี ราชสีมา เป็นต้น
แผ่นดินของเรา หรือ Alexandra เป็นเพลงพระราชนิพนธ์ในลำดับที่ 34 (ทรงพระราชนิพนธ์เนื่องในโอกาสที่เจ้าหญิงอเล็กซานดรา แห่งเคนต์ สหราชอาณาจักร เสด็จเยือนประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. 2502 ) ปี 2516 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเห็นว่าท่วงทำนองไพเราะ น่าจะใส่คำร้องภาษาไทยได้ จึงกราบบังคมทูลขอพระบรมราชานุญาตให้ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค ประพันธ์คำร้องภาษาไทย
การทำภาพยนตร์เพลงเรื่องนี้ต้องถือว่าเป็นความถนัดของ ยุทธนา มุกดาสนิทอยู่แล้ว เนื่องจากในอดีตเขาเคยทำหนังเพลงอย่าง เทพธิดาบาร์ 21 (พ.ศ. 2521) และ เงิน เงิน เงิน (พ.ศ. 2526) รวมถึงละครเวทีอย่าง สู่ฝันอันยิ่งใหญ่ และจุมพิตนางแมงมุม มาแล้ว ผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายเมื่อปี 2543 คือ “ยุวชนทหาร เปิดเทอมไปรบ” จนเมื่อ 2 ปีที่แล้วเขาได้กลับมารีเมกละครเวทีเรื่อง “สู่ฝันอันยิ่งใหญ่” อีกครั้งตามคำเชื้อเชิญของ “บอย” ถกลเกียรติ วีรวรรณ
ความหลากหลายของแผ่นฟิล์มเฉลิมพระเกียรติในปีนี้ เสมือนดอกไม้งดงามที่ถูกสอดแซมด้วยสีสันมากมาย ไม่ว่าหนังเรื่องนั้นจะจัดสร้างโดยหน่วยงานใด จะเป็นหนังสั้น - หนังยาว ใช้นักแสดงที่มีชื่อเสียง หรือบุคคลที่เราไม่เคยรู้จัก ไม่เคยพบเห็นหน้าค่าตามาก่อน หรือแม้แต่หนังในแนวทางที่แตกต่างกันไปตามความถนัดของผู้กำกับฯ แต่ละคนนั้น อุปมาดั่งลูกแต่ละคนในครอบครัวที่มีความคิด มุมมองและนิสัยใจคอ ผู้เป็น “พ่อ” ย่อมคาดหวังให้ลูกทุกคนได้อยู่ร่วมกันกันอย่าง รู้รักสามัคคีและยอมรับในความต่างของพี่กับน้องในครอบครัวเดียวกัน
เราคือ มนุษย์ผู้มีเผ่าพันธุ์แห่ง “ความจงรักภักดี” เป็นสรณะ
ที่มา http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9530000168345
อึ้ง! ควันบุหรี่มือสองคร่าคนทั่วโลกปีละหกแสนคน พบที่บ้านมากสุด
หมอประกิต เผย ควันบุหรี่มือสองทำคนทั่วโลกเสียชีวิตปีละหกแสนคน พบบ้านเป็นแหล่งเกิดควันบุรี่มากสุด ขณะที่ไทยมีผู้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่าปีละสี่พันคน ด้าน สธ.ออกประกาศให้ที่สาธารณะ ที่ทำงานทุกแห่ง เป็นเขตปลอดบุหรี่ร้อยเปอร์เซ็นต์
ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ เปิดเผยรายงานวิจัยล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์แลนเซท ฉบับวันที่ 26 พฤศจิกายน ที่พบว่า ทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากการได้รับควันบุหรี่มือสองหกแสนคนต่อปี ซึ่งงานวิจัยดังกล่าวทำโดย แมทเทียส โอเบิร์ก และคณะจากสถาบันเวชศาสตร์สิ่งแวดล้อมคาโรลินสกี ประเทศฟินแลนด์ โดยการวิเคราะห์ข้อมูล ปี พ.ศ.2547 ของ 192 ประเทศ พบว่า ร้อยละ 40 ของเด็ก ร้อยละ 33 ของผู้ชาย และร้อยละ 35 ของผู้หญิงทั่วโลกที่ไม่สูบบุหรี่ได้รับควันบุหรี่มือสอง และมีผู้เสียชีวิต 379,000 คน จากโรคหัวใจขาดเลือด 165,000 คน จากการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่าง 36,900 คน จากโรคหืด และ 21,400 คนจากมะเร็งปอด รวมจำนวนผู้เสียชีวิตจากควันบุหรี่มือสองเท่ากับ 603,000 คน ซึ่งเท่ากับร้อยละ 1 ของผู้เสียชีวิตจากทุกสาเหตุในปีเดียวกัน ทั้งนี้ ร้อยละ 47 ของผู้เสียชีวิตจากควันบุหรี่มือสองเป็นผู้หญิง ร้อยละ 28 เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และร้อยละ 26 เป็นผู้ชาย และคำนวณดาลีย์ (การคำนวณจำนวนปีที่สูญเสียไปจากการป่วยและเสียชีวิตก่อนเวลา) รวมทั้งสิ้นต่อปีเท่ากับ 10.9 ล้านดาลีย์ โดยเป็นการสูญเสียดาลีย์ในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ถึงเกือบ 6 ล้านดาลีย์ หรือ 6 ล้านปีที่สูญเสียไป แทนที่จะมีชีวิตอยู่ตามที่ควรจะเป็น
และในการวิเคราะห์ข้อมูล ยังพบอีกว่า แหล่งควันบุหรี่มือสองที่สำคัญที่สุด คือ ในบ้าน รองลงมาคือ ในที่ทำงานและสถานที่สาธารณะต่างๆ คณะผู้วิจัยเร่งรัดให้รัฐบาลประเทศต่างๆ ดำเนินการออกกฎหมายให้สถานที่ทำงานและสถานที่สาธารณะเป็นที่ปลอดบุหรี่ร้อยเปอร์เซ็นต์ พร้อมทั้งเสนอให้ผู้หญิงแสดงบทบาทนำในการปกป้องสมาชิกในบ้านจากควันบุหรี่มือสอง โดยการกำหนดให้ไม่มีการสูบบุหรี่ในบ้าน
นอกจากนี้ ศ.นพ.ประกิต ยังกล่าวอีกว่า ในส่วนข้อมูลของประเทศไทย การสำรวจในปี พ.ศ. 2549 พบว่ามีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ 2.2 ล้านคนที่ได้รับควันบุหรี่มือสองในบ้าน และการสำรวจในปี พ.ศ.2552 มีผู้ใหญ่ร้อยละ 39 หรือ 20 ล้านคน ที่ได้รับควันบุหรี่มือสองในบ้าน ในที่สาธารณะ และที่ทำงาน กระทรวงสาธารณสุขจึงได้ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 19 กำหนดให้สถานที่สาธารณะและที่ทำงานทุกแห่งเป็นเขตปลอดบุหรี่ร้อยเปอร์เซ็นต์ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ในขณะที่สถาบันเด็กแห่งชาติมหาราชินี เป็นแม่ข่ายในการรณรงค์บ้านปลอดบุหรี่ผ่านผู้ปกครองที่พาเด็กมารักษาตัวในแผนกกุมารเวชศาสตร์ทั่วประเทศ และมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ร่วมกับโรงเรียนอนุบาลต่างๆ สนับสนุนให้นักเรียนอนุบาลเป็นผู้รณรงค์ให้บ้านปลอดบุหรี่
โดยการวิเคราะห์ข้อมูลในส่วนของประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากการสูบบุหรี่ในปี พ.ศ.2547 จำนวน 40,100 คน และน่าจะมีผู้เสียชีวิตจากการได้รับควันบุหรี่มือสอง ไม่ต่ำกว่าปีละ 4,000 คน เนื่องจากผู้สูบบุหรี่ไทยส่วนใหญ่ยังคงสูบในบ้าน
ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ เปิดเผยรายงานวิจัยล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์แลนเซท ฉบับวันที่ 26 พฤศจิกายน ที่พบว่า ทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากการได้รับควันบุหรี่มือสองหกแสนคนต่อปี ซึ่งงานวิจัยดังกล่าวทำโดย แมทเทียส โอเบิร์ก และคณะจากสถาบันเวชศาสตร์สิ่งแวดล้อมคาโรลินสกี ประเทศฟินแลนด์ โดยการวิเคราะห์ข้อมูล ปี พ.ศ.2547 ของ 192 ประเทศ พบว่า ร้อยละ 40 ของเด็ก ร้อยละ 33 ของผู้ชาย และร้อยละ 35 ของผู้หญิงทั่วโลกที่ไม่สูบบุหรี่ได้รับควันบุหรี่มือสอง และมีผู้เสียชีวิต 379,000 คน จากโรคหัวใจขาดเลือด 165,000 คน จากการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่าง 36,900 คน จากโรคหืด และ 21,400 คนจากมะเร็งปอด รวมจำนวนผู้เสียชีวิตจากควันบุหรี่มือสองเท่ากับ 603,000 คน ซึ่งเท่ากับร้อยละ 1 ของผู้เสียชีวิตจากทุกสาเหตุในปีเดียวกัน ทั้งนี้ ร้อยละ 47 ของผู้เสียชีวิตจากควันบุหรี่มือสองเป็นผู้หญิง ร้อยละ 28 เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และร้อยละ 26 เป็นผู้ชาย และคำนวณดาลีย์ (การคำนวณจำนวนปีที่สูญเสียไปจากการป่วยและเสียชีวิตก่อนเวลา) รวมทั้งสิ้นต่อปีเท่ากับ 10.9 ล้านดาลีย์ โดยเป็นการสูญเสียดาลีย์ในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ถึงเกือบ 6 ล้านดาลีย์ หรือ 6 ล้านปีที่สูญเสียไป แทนที่จะมีชีวิตอยู่ตามที่ควรจะเป็น
และในการวิเคราะห์ข้อมูล ยังพบอีกว่า แหล่งควันบุหรี่มือสองที่สำคัญที่สุด คือ ในบ้าน รองลงมาคือ ในที่ทำงานและสถานที่สาธารณะต่างๆ คณะผู้วิจัยเร่งรัดให้รัฐบาลประเทศต่างๆ ดำเนินการออกกฎหมายให้สถานที่ทำงานและสถานที่สาธารณะเป็นที่ปลอดบุหรี่ร้อยเปอร์เซ็นต์ พร้อมทั้งเสนอให้ผู้หญิงแสดงบทบาทนำในการปกป้องสมาชิกในบ้านจากควันบุหรี่มือสอง โดยการกำหนดให้ไม่มีการสูบบุหรี่ในบ้าน
นอกจากนี้ ศ.นพ.ประกิต ยังกล่าวอีกว่า ในส่วนข้อมูลของประเทศไทย การสำรวจในปี พ.ศ. 2549 พบว่ามีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ 2.2 ล้านคนที่ได้รับควันบุหรี่มือสองในบ้าน และการสำรวจในปี พ.ศ.2552 มีผู้ใหญ่ร้อยละ 39 หรือ 20 ล้านคน ที่ได้รับควันบุหรี่มือสองในบ้าน ในที่สาธารณะ และที่ทำงาน กระทรวงสาธารณสุขจึงได้ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 19 กำหนดให้สถานที่สาธารณะและที่ทำงานทุกแห่งเป็นเขตปลอดบุหรี่ร้อยเปอร์เซ็นต์ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ในขณะที่สถาบันเด็กแห่งชาติมหาราชินี เป็นแม่ข่ายในการรณรงค์บ้านปลอดบุหรี่ผ่านผู้ปกครองที่พาเด็กมารักษาตัวในแผนกกุมารเวชศาสตร์ทั่วประเทศ และมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ร่วมกับโรงเรียนอนุบาลต่างๆ สนับสนุนให้นักเรียนอนุบาลเป็นผู้รณรงค์ให้บ้านปลอดบุหรี่
โดยการวิเคราะห์ข้อมูลในส่วนของประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากการสูบบุหรี่ในปี พ.ศ.2547 จำนวน 40,100 คน และน่าจะมีผู้เสียชีวิตจากการได้รับควันบุหรี่มือสอง ไม่ต่ำกว่าปีละ 4,000 คน เนื่องจากผู้สูบบุหรี่ไทยส่วนใหญ่ยังคงสูบในบ้าน
พบมีเซ็กซ์จากสัมพันธ์ในที่ทำงาน-โลกออนไลน์ เสี่ยงติด “เอดส์”
“เอแบคโพลล์” พบเอดส์ยังเป็นโรคที่น่ากลัว สังคมต่อต้าน พบประชาชนยังมีพฤติกรรมเสี่ยงสูงจากสัมพันธ์ในที่ทำงาน-เครือข่ายออนไลน์ แนะเฝ้าระวังสถานการณ์โรคเอดส์อย่างต่อเนื่อง
นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยความสุขชุมชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค) เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง “พฤติกรรมเสี่ยงของคนเมืองและการยอมรับผู้ป่วยโรคเอดส์ในสังคมไทย : กรณีศึกษาเปรียบเทียบแนวโน้มปี 2548 กับปี 2553 ในกลุ่มตัวอย่างประชาชนทั่วไปพื้นที่ กทม.และปริมณฑล จำนวน 1,269 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 20-27 พ.ย.2553 ผลการศึกษาพบว่า คนที่เข้าใจว่าการรับเลือดจากผู้ป่วยเอดส์จะทำให้ติดเชื้อเอดส์เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 88.6 มาอยู่ที่ร้อยละ 98.3 สัดส่วนของคนที่เข้าใจว่าการใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้ป่วยเอดส์จะทำให้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นจาก 51.1 ในปี 2548 มาอยู่ที่ร้อยละ 97.5 ที่น่าสนใจคือ ประชาชนมีเพศสัมพันธ์ที่เป็นสามีภรรยาลดลงเล็กน้อยจากร้อยละ 71.5 มาอยู่ที่ ร้อยละ 68.5 ในขณะที่กลุ่มคนที่มีเพศสัมพันธ์แบบแฟน หรือคู่รัก เพิ่มขึ้นเจากร้อยละ 30.8 เป็นร้อยละ 34.1 ที่น่าจับตามองคือ การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ขายบริการทางเพศลดลงจาก 3.6 มาอยู่ที่ร้อยละ 2.1 และการมีเพศสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานกับเจ้านาย ลูกน้อง คนที่รู้จักกันทางอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวคือจากร้อยละ 2.2 มาอยู่ที่ร้อยละ 4 ตามลำดับ
นายนพดลกล่าวว่า เมื่อวิเคราะห์พฤติกรรมเสี่ยงติดเชื้อเอดส์ พบว่า มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากปี 2548 ร้อยละ 62.8 เป็นร้อยละ 83.2 ในปี 2553 ครั้งล่าสุด และผลสำรวจยังพบด้วยว่า สัดส่วนของคนที่ระบุมีคนใกล้ชิดติดเชื้อเอดส์เพิ่มสูงขึ้นจากร้อยละ 11.4 ในปี 2548 มาอยู่ที่ร้อยละ 16.1 ในปี 2553 โดยในกลุ่มที่มีคนใกล้ชิดติดเชื้อเอดส์ร้อยละ 43.8 ระบุเป็นเพื่อนหรือคนรู้จัก ร้อยละ 29.6 ระบุเป็นเพื่อนบ้าน ร้อยละ 22.2 ระบุญาติพี่น้องที่พักอาศัยต่างบ้านกัน รองๆ ลงไปคือ เพื่อนร่วมงาน ญาติในบ้านเดียวกัน และอื่น ๆ คือ สามี ภรรยา แฟน และคนรัก เป็นต้นส่วนใหญ่ของผู้ถูกศึกษาหรือร้อยละ 67.4 ในปี 2548 และร้อยละ 56.7 ในปี 2553 ยังคงรู้สึกว่า โรคเอดส์เป็นเรื่องน่ากลัว และถ้าคนที่ตนเองรักติดเชื้อโรคเอดส์ พบว่า สัดส่วนของคนที่ยอมรับได้ลดลงจากร้อยละ 66.7ในปี 2548 มาอยู่ที่ร้อยละ 40.4 ในปี 2553 และสัดส่วนของคนที่ยอมรับไม่ได้ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 12.9 ในปี 2548 มาอยู่ที่ร้อยละ 30.0 ในปี 2553
ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยความสุขชุมชน กล่าว่า สำหรับแนวทางป้องกันส่ร้อยละ 67.7 เห็นควรให้ป้องกันทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ รองลงมาไม่เปลี่ยนคู่นอน ส่วนข้อเสนอแนะนั้น กลุ่มตัวอย่างส่วนมากเห็นควรให้เฝ้าระวังสถานการณ์โรคเอดส์ในสถานที่ทำงาน เพราะมีแนวโน้มการมีเพศสัมพันธ์ของ “คนทำงาน” และในเครือข่าย อินเทอร์เน็ตต่างๆ เพราะมีอัตราการเพิ่มขึ้นของคนที่มีเพศสัมพันธ์กันเกือบเท่าตัว จึงเห็นควรให้มีการเร่งรณรงค์ในสถานที่ทำงานทั้งหน่วยงานรัฐและเอกชน รวมทั้งผลักดันให้สังคมเกิดการยอมรับผู้ป่วยโรคเอดส์ ทั้งในที่ทำงาน สถานประกอบการต่างๆ ชุมชนหนาแน่น และโลกออนไลน์
นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยความสุขชุมชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค) เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง “พฤติกรรมเสี่ยงของคนเมืองและการยอมรับผู้ป่วยโรคเอดส์ในสังคมไทย : กรณีศึกษาเปรียบเทียบแนวโน้มปี 2548 กับปี 2553 ในกลุ่มตัวอย่างประชาชนทั่วไปพื้นที่ กทม.และปริมณฑล จำนวน 1,269 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 20-27 พ.ย.2553 ผลการศึกษาพบว่า คนที่เข้าใจว่าการรับเลือดจากผู้ป่วยเอดส์จะทำให้ติดเชื้อเอดส์เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 88.6 มาอยู่ที่ร้อยละ 98.3 สัดส่วนของคนที่เข้าใจว่าการใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้ป่วยเอดส์จะทำให้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นจาก 51.1 ในปี 2548 มาอยู่ที่ร้อยละ 97.5 ที่น่าสนใจคือ ประชาชนมีเพศสัมพันธ์ที่เป็นสามีภรรยาลดลงเล็กน้อยจากร้อยละ 71.5 มาอยู่ที่ ร้อยละ 68.5 ในขณะที่กลุ่มคนที่มีเพศสัมพันธ์แบบแฟน หรือคู่รัก เพิ่มขึ้นเจากร้อยละ 30.8 เป็นร้อยละ 34.1 ที่น่าจับตามองคือ การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ขายบริการทางเพศลดลงจาก 3.6 มาอยู่ที่ร้อยละ 2.1 และการมีเพศสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานกับเจ้านาย ลูกน้อง คนที่รู้จักกันทางอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวคือจากร้อยละ 2.2 มาอยู่ที่ร้อยละ 4 ตามลำดับ
นายนพดลกล่าวว่า เมื่อวิเคราะห์พฤติกรรมเสี่ยงติดเชื้อเอดส์ พบว่า มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากปี 2548 ร้อยละ 62.8 เป็นร้อยละ 83.2 ในปี 2553 ครั้งล่าสุด และผลสำรวจยังพบด้วยว่า สัดส่วนของคนที่ระบุมีคนใกล้ชิดติดเชื้อเอดส์เพิ่มสูงขึ้นจากร้อยละ 11.4 ในปี 2548 มาอยู่ที่ร้อยละ 16.1 ในปี 2553 โดยในกลุ่มที่มีคนใกล้ชิดติดเชื้อเอดส์ร้อยละ 43.8 ระบุเป็นเพื่อนหรือคนรู้จัก ร้อยละ 29.6 ระบุเป็นเพื่อนบ้าน ร้อยละ 22.2 ระบุญาติพี่น้องที่พักอาศัยต่างบ้านกัน รองๆ ลงไปคือ เพื่อนร่วมงาน ญาติในบ้านเดียวกัน และอื่น ๆ คือ สามี ภรรยา แฟน และคนรัก เป็นต้นส่วนใหญ่ของผู้ถูกศึกษาหรือร้อยละ 67.4 ในปี 2548 และร้อยละ 56.7 ในปี 2553 ยังคงรู้สึกว่า โรคเอดส์เป็นเรื่องน่ากลัว และถ้าคนที่ตนเองรักติดเชื้อโรคเอดส์ พบว่า สัดส่วนของคนที่ยอมรับได้ลดลงจากร้อยละ 66.7ในปี 2548 มาอยู่ที่ร้อยละ 40.4 ในปี 2553 และสัดส่วนของคนที่ยอมรับไม่ได้ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 12.9 ในปี 2548 มาอยู่ที่ร้อยละ 30.0 ในปี 2553
ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยความสุขชุมชน กล่าว่า สำหรับแนวทางป้องกันส่ร้อยละ 67.7 เห็นควรให้ป้องกันทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ รองลงมาไม่เปลี่ยนคู่นอน ส่วนข้อเสนอแนะนั้น กลุ่มตัวอย่างส่วนมากเห็นควรให้เฝ้าระวังสถานการณ์โรคเอดส์ในสถานที่ทำงาน เพราะมีแนวโน้มการมีเพศสัมพันธ์ของ “คนทำงาน” และในเครือข่าย อินเทอร์เน็ตต่างๆ เพราะมีอัตราการเพิ่มขึ้นของคนที่มีเพศสัมพันธ์กันเกือบเท่าตัว จึงเห็นควรให้มีการเร่งรณรงค์ในสถานที่ทำงานทั้งหน่วยงานรัฐและเอกชน รวมทั้งผลักดันให้สังคมเกิดการยอมรับผู้ป่วยโรคเอดส์ ทั้งในที่ทำงาน สถานประกอบการต่างๆ ชุมชนหนาแน่น และโลกออนไลน์
วธ.จัดยิ่งใหญ่ “แผ่นดินของเรา” เฉลิมพระเกียรติ 5 ธ.ค.
วธ.จัดยิ่งใหญ่ “แผ่นดินของเรา” เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 83 พรรษา 5 ธันวาคม 2553 พ.ย.53
ศ.อภินันท์ โปษยานนท์ อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม เปิดเผยว่า กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรมได้รับมอบหมายจากรัฐบาล โดยคณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติแห่งการบรมราชาภิเษกปีที่ 60 และการเฉลิมพระชนมพรรษา ให้จัดมหกรรมการแสดงในงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2553 โดยใช้ชื่องานว่า “แผ่นดินของเรา” ระหว่างวันที่ 1-9 ธันวาคม ศกนี้ ณ เวทีใหญ่ ลานพระราชวังดุสิต (พระบรมรูปทรงม้า)
โดยได้กำหนดแนวคิดและรูปแบบการแสดงในแต่ละวัน ดังนี้ วันที่ 1 แผ่นดินของเรา วันที่ 2 ทูลละอองฉลองพระชนม์ วันที่ 3 รวมกมลถวายพระพร วันที่ 4 มิ่งขวัญทวยนาคร วันที่ 5 ถวายบังคมบรมราชา วันที่ 6 พระบารมีเกริกเกรียงไกร วันที่ 7 รวมน้ำใจกตัญญุตา วันที่ 8 พระก่อพระเกื้อหล้า วันที่ 9 พระชนมพรรษาสถาพรสำหรับการแสดงนั้น หน่วยงานภาครัฐ เอกชน และศิลปินนักแสดงทุกแขนงสาขาได้ร่วมใจกันจัดการแสดงชุดพิเศษยิ่งใหญ่ตระการตา
ทั้งการแสดงพื้นบ้าน ชนะเลิศถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ได้แก่ วงกลองยาว, วงแตรวง, วงพิณ แคน โปงลาง, วงกันตรึม, วงดิเกร์ฮูลู, โนราห์ และรองเง็ง, การแสดงจากศิลปินแห่งชาติ, การแสดงมหกรรมกลองมงคล 4 ภาค, การแสดงพื้นบ้านและมหกรรมกลองนานาชาติ 8 ประเทศ ใน 9 ชุดการแสดง, การแสดงโขนเฉลิมพระเกียรติจากกรมศิลปากร, มหกรรมลิเก, การแสดงคอนเสิร์ต วง Big Band จากสถาบันการศึกษาต่างๆ ดนตรีแจ๊ซ และคอนเสิร์ตศิลปินยอดนิยมจากค่ายเพลงต่างๆ
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมการแสดงเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย โดยในวันที่ 3 เป็นการแสดงคอนเสิร์ต 84 พรรษา มหาคีตราชัน สังคีตสัมพันธ์ เทิดไท้ถวายพระพร วันที่ 5 เป็นคอนเสิร์ตเพลงพระราชนิพนธ์ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” และวันที่ 9 เป็นการแสดงหุ่นละครเล็ก เรื่อง “พระมหาชนก” จึงขอเชิญชวนเยาวชน
และประชาชนชาวไทยร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2553 และชมมหกรรมการแสดงได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ดูรายละเอียดตารางการแสดงได้ที่ www.culture.go.th
ศ.อภินันท์ โปษยานนท์ อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม เปิดเผยว่า กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรมได้รับมอบหมายจากรัฐบาล โดยคณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติแห่งการบรมราชาภิเษกปีที่ 60 และการเฉลิมพระชนมพรรษา ให้จัดมหกรรมการแสดงในงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2553 โดยใช้ชื่องานว่า “แผ่นดินของเรา” ระหว่างวันที่ 1-9 ธันวาคม ศกนี้ ณ เวทีใหญ่ ลานพระราชวังดุสิต (พระบรมรูปทรงม้า)
โดยได้กำหนดแนวคิดและรูปแบบการแสดงในแต่ละวัน ดังนี้ วันที่ 1 แผ่นดินของเรา วันที่ 2 ทูลละอองฉลองพระชนม์ วันที่ 3 รวมกมลถวายพระพร วันที่ 4 มิ่งขวัญทวยนาคร วันที่ 5 ถวายบังคมบรมราชา วันที่ 6 พระบารมีเกริกเกรียงไกร วันที่ 7 รวมน้ำใจกตัญญุตา วันที่ 8 พระก่อพระเกื้อหล้า วันที่ 9 พระชนมพรรษาสถาพรสำหรับการแสดงนั้น หน่วยงานภาครัฐ เอกชน และศิลปินนักแสดงทุกแขนงสาขาได้ร่วมใจกันจัดการแสดงชุดพิเศษยิ่งใหญ่ตระการตา
ทั้งการแสดงพื้นบ้าน ชนะเลิศถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ได้แก่ วงกลองยาว, วงแตรวง, วงพิณ แคน โปงลาง, วงกันตรึม, วงดิเกร์ฮูลู, โนราห์ และรองเง็ง, การแสดงจากศิลปินแห่งชาติ, การแสดงมหกรรมกลองมงคล 4 ภาค, การแสดงพื้นบ้านและมหกรรมกลองนานาชาติ 8 ประเทศ ใน 9 ชุดการแสดง, การแสดงโขนเฉลิมพระเกียรติจากกรมศิลปากร, มหกรรมลิเก, การแสดงคอนเสิร์ต วง Big Band จากสถาบันการศึกษาต่างๆ ดนตรีแจ๊ซ และคอนเสิร์ตศิลปินยอดนิยมจากค่ายเพลงต่างๆ
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมการแสดงเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย โดยในวันที่ 3 เป็นการแสดงคอนเสิร์ต 84 พรรษา มหาคีตราชัน สังคีตสัมพันธ์ เทิดไท้ถวายพระพร วันที่ 5 เป็นคอนเสิร์ตเพลงพระราชนิพนธ์ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” และวันที่ 9 เป็นการแสดงหุ่นละครเล็ก เรื่อง “พระมหาชนก” จึงขอเชิญชวนเยาวชน
และประชาชนชาวไทยร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2553 และชมมหกรรมการแสดงได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ดูรายละเอียดตารางการแสดงได้ที่ www.culture.go.th
กทม.อบรมครูสอนเพศศึกษาเน้นเด็กรับผิดชอบ-รู้เท่าทันเพศสัมพันธ์
กรุงเทพมหานคร (กทม.) อบรมเชิงปฏิบัติการโครงการพัฒนาทักษะชีวิตนักเรียนในโรงเรียนสังกัด กทม.435 โรง ซึ่งเป็นโครงการที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 2550 แต่จากเหตุการณ์โศกนาฏกรรมพบศพทารก 2,002 ศพ ที่วัดไผ่เงิน จึงต้องให้ครูผู้สอนให้ความสำคัญเรื่องการให้ความรู้เพศศึกษา สุขศึกษา ให้ตระหนักรู้เท่าทันเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งที่ผ่านมาเกรงกันว่าการให้ความรู้เรื่องดังกล่าวจะยุยงให้เด็กมีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียน ถือว่าเป็นความคิดที่ผิด จึงอยากเปลี่ยนความคิดของครูให้เน้น 2 เรื่องสำคัญ คือ 1. ความรับผิดชอบ สอนให้เด็กตระหนักถึงความรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น และ 2. เน้นให้เด็กรู้จักป้องกันตัวเองหากมีเพศสัมพันธ์
อย่างไรก็ตาม ควรสอนให้เด็กๆ มีความรู้รักนวลสงวนตัว ปลูกฝังค่านิยมทางเพศของเยาวชนให้เหมาะสมกับวัฒนธรรม เพื่อช่วยกันพัฒนาเยาวชนให้ปรับตัวทันต่อโลกปัจจุบันต่อไป
อย่างไรก็ตาม ควรสอนให้เด็กๆ มีความรู้รักนวลสงวนตัว ปลูกฝังค่านิยมทางเพศของเยาวชนให้เหมาะสมกับวัฒนธรรม เพื่อช่วยกันพัฒนาเยาวชนให้ปรับตัวทันต่อโลกปัจจุบันต่อไป
ครม.เห็นชอบให้ 13-17 พ.ค.54 หยุดราชการ
ครม.เห็นชอบให้ 13-17 พ.ค.54 หยุดราชการ
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี วันนี้ (30 พ.ย.) เห็นชอบให้วันที่ 13-17 พฤษภาคม 2554 เป็นวันหยุดราชการ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยว
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี วันนี้ (30 พ.ย.) เห็นชอบให้วันที่ 13-17 พฤษภาคม 2554 เป็นวันหยุดราชการ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยว
จงเข้าถึง สุขอันยิ่งใหญ่
พระพุทธเจาสอนวา“นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํสุขอื่นยิ่งกวาความสงบไมมี”หมายความวา ความสุขอื่นมีเชนกับความสุขในการดูละคร ดูหนัง ความสุขในการเขาสังคม (Social) ในการมีคูรักคูครอง หรือในการมีลาภยศการ ไดรับความสุข สรรเสริญ และไดรับความสุขจากสิ่งเหลานี้ก็สุขจริง แตวาสุขเหลานี้มีทุกขซอนอยูทุกอยาง ตองคอยแกไขปรับปรุงกันอยูเสมอ ไมเหมือนกับความสุขที่เกิดจากสันติ ความสงบ เปนความสุขที่เยือกเย็น และไมซอนดวยความทุกข และไมตองแกไขปรับปรุงตกแตงมาก เปนความสุขที่ทําไดงายๆ เกิดกับกายใจของเรานี่เอง อยูในที่เงียบๆ คนเดียวก็ทําได หรืออยูในสิ่งแวดลอมสังคมก็ทําได ถาเรารูจักแยกใจหาสันติสุข กายนี้ก็สักแตวาอยูในที่ระคนดวยความยุง สิ่งแวดลอมเหลานั้นไมยุงมาถึงใจแมเวลาเจ็บหนักมีทุกขเวทนาปวด ราวไปทั่วกาย แตเรารูจักทําใจใหเปนสันติสุขได ความเจ็บนั้นก็ไมสามารถจะทําใจใหเดือดรอนตามไปดวย เมื่อใจสงบแลว กลับจะทําใหกายนั้นสงบ หายทุกขเวทนาไดดวย และประสบสันติสุขซึ่งไมมีสุขอื่นยิ่งกวาสันติสุขนั้นพระพุทธเจาสอนใหฝกเปน ๓ ทาง คือ๑. สอนใหสงบกาย วาจา ดวยศีล ไมทําโทษทุจริตอยางหยาบที่เกิดทางกาย วาจา เปนเหตุใหเกิดสันติสุขทางกาย วาจา เปนประการตน๒. สอนใหฝกหัดใหเกิดสันติสุขทางใจดวยสมาธิ หัดใจไมใหคิดถึงความกําหนัด ความโกรธ ความโลภ ความหลง ความกลัว ความฟุงซานรําคาญ ความลังเลใจ ทําใหใจไมเด็ดเดี่ยว ไมเด็ดขาด เมื่อละสิ่งเหลานี้ได เปนเหตุใหใจสงบ เปนสันติสุขทางจิตใจอีกประการหนึ่ง๓.ทรงสอนใหฝกหัดใหเกิดสันติ สุขทางทิฏฐิ (ความเห็น) ดวยปญญา พิจารณาใหเห็นวาสรรพสิ่งทั้งหลายไมแนนอน เปน “อนิจจัง” ไมเที่ยง คงทนอยูไมได ตองเสื่อมสิ้น แปรปรวนไป ดับไป เรียกวาเปน “ทุกข” ไมอยูในอํานาจบังคับบัญชา ออนวอนขอรอง หรือเรงรัดใหเปนไปตามความประสงค
Page 2
ทานเรียกวา “อนัตตา”เมื่อเรา รูเห็นตามเปนจริงเชนนี้ จะทําใหจิตใจของเราเขมแข็งมั่นคงเด็ดเดี่ยว ไมหวั่นไหวไปตามเหตุการณทั้งหลาย เพราะรูเห็นตามเปนจริงดวยปญญาวา สิ่งเหลานั้นมันไมแนนอน มันคงอยูไมไดตองเปลี่ยนแปลงเสื่อมสิ้นดับไป ไมอยูในอํานาจบังคับบัญชาฝาฝนของเราอยา ไปเรงรัดใหเสียกําลังใจ คงรักษาใจเราใหเปนอิสระมั่นคงอยูเสมอ ไมหวั่นไหวไปตามเหตุการณเหลานั้น เปนเหตุใหใจตั้งอยูในสันติสุข เปนอิสระ เกิดอํานาจทางจิต –Mind Power ที่จะใชทํากิจกรณียะ อันเปนหนาที่ของตน ไดสําเร็จสมประสงคที่ จะทําอะไรไมผิดนั้น ขอสําคัญอยูที่สติ ถามีสติคุมครอง กาย วาจา ใจ อยูทุกขณะ จะทําอะไรไมผิดพลาดเลย ที่ผิดพลาดเพราะขาดสติคือ เผลอ เหมอเลินเลอ ประมาท ระเริง หลงลืม จึงผิดพลาด จงนึกถึงคติพจนวา “กุมสติตางโลปอง อาจแกลวกลางสนาม”ธรรมดาชีวิตทุกชีวิตทั้ง มนุษยและสัตวตลอดทั้งพืชพันธุพฤกษาชาติ เปนอยูไดดวยการตอสู ตรงกับคําวา “Life isfighting. – ชีวิตคือการตอสู ” เมื่อตอสูไมไหวขณะใด ก็ตองถึงที่สุดแหงชีวิตคือ “death - ความตาย”เพราะ ฉะนั้น ยังมีสติอยูตราบใด ถึงตายก็ตายแตกาย เชนกับพระพุทธเจาและพระอรหันต ทานมีสติไพบูลยอยูทุกขณะจิต ทานจึงทําอะไรไมผิด และถึงซึ่งอมตธรรม คือ ธรรมที่ไมตาย ตรงกับคําวา“immortal” จึงเรียกวา ปรินิพพาน คือ นาม รูป สังขาร รางกายที่เรียกวา เบญจขันธ ขันธ ๕ คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แตกดับไปเทานั้นเพราะ ฉะนั้น ควรฝกฝนสติสัมปชัญญะ เมื่อทําเสร็จแลวก็มีสติตรวจตรา พิจารณาดูวา บกพรองอยางไร หรือเรียบรอยบริบูรณดี ถาบกพรองก็รีบแกไขเพื่อใหสมบูรณตอไป ถาเรียบรอยดีอยูแลวก็พยายามใหเรียบรอยดียิ่งๆ ขึ้นไปจนถึงที่สุด“ทานเจาคุณ นรรัตนราชมานิต (ธมมวิตกโก ภิกขุ)”จากหนังสือ “ผลไมในสวนธรรม”
Page 3
ประโยคทิ้งทาย :อานุภาพของไตรสิกขา ศีล สมาธิ ปญญาดวยอานุภาพของไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปญญานี้แลจึงชนะขาศึก คือ กิเลสอยางหยาบ อยางกลาง และอยางละเอียดได !1. ชนะความหยาบคาย ซึ่งเปนกิเลสอยางหยาบที่ลวงทางกายวาจาได ดวยศีลชนะความยินดียินรายหลงรังหลงชังซึ่งเปนกิเลสอยางกลางที่เกิดในใจได ดวยสมาธิชนะความเขาใจ รูผิด เห็นผิดจากความเปนจริงของสังขารซึ่งเปนกิเลสอยางละเอียดได ดวยปญญา2. ผูใดศึกษาและปฏิบัติตามตามไตรสิกขาคือ ศีล สมาธิ ปญญานี้โดยพรอมมูลบริบูรณสมบูรณแลวผูนั้นจึงเปนผูพนจากทุกขทั้งปวงไดแนนอน ไมตองสงสัยเลย !เพราะฉะนั้น จึงควรสนใจ เอาใจใส ตั้งใจศึกษาและปฏิบัติตามไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปญญานี้ ทุกเมื่อเทอญ“ทานเจาคุณ นรรัตนราชมานิต (ธมมวิตกโก ภิกขุ)”“อุบาสิกา...ณชเล”
Page 2
ทานเรียกวา “อนัตตา”เมื่อเรา รูเห็นตามเปนจริงเชนนี้ จะทําใหจิตใจของเราเขมแข็งมั่นคงเด็ดเดี่ยว ไมหวั่นไหวไปตามเหตุการณทั้งหลาย เพราะรูเห็นตามเปนจริงดวยปญญาวา สิ่งเหลานั้นมันไมแนนอน มันคงอยูไมไดตองเปลี่ยนแปลงเสื่อมสิ้นดับไป ไมอยูในอํานาจบังคับบัญชาฝาฝนของเราอยา ไปเรงรัดใหเสียกําลังใจ คงรักษาใจเราใหเปนอิสระมั่นคงอยูเสมอ ไมหวั่นไหวไปตามเหตุการณเหลานั้น เปนเหตุใหใจตั้งอยูในสันติสุข เปนอิสระ เกิดอํานาจทางจิต –Mind Power ที่จะใชทํากิจกรณียะ อันเปนหนาที่ของตน ไดสําเร็จสมประสงคที่ จะทําอะไรไมผิดนั้น ขอสําคัญอยูที่สติ ถามีสติคุมครอง กาย วาจา ใจ อยูทุกขณะ จะทําอะไรไมผิดพลาดเลย ที่ผิดพลาดเพราะขาดสติคือ เผลอ เหมอเลินเลอ ประมาท ระเริง หลงลืม จึงผิดพลาด จงนึกถึงคติพจนวา “กุมสติตางโลปอง อาจแกลวกลางสนาม”ธรรมดาชีวิตทุกชีวิตทั้ง มนุษยและสัตวตลอดทั้งพืชพันธุพฤกษาชาติ เปนอยูไดดวยการตอสู ตรงกับคําวา “Life isfighting. – ชีวิตคือการตอสู ” เมื่อตอสูไมไหวขณะใด ก็ตองถึงที่สุดแหงชีวิตคือ “death - ความตาย”เพราะ ฉะนั้น ยังมีสติอยูตราบใด ถึงตายก็ตายแตกาย เชนกับพระพุทธเจาและพระอรหันต ทานมีสติไพบูลยอยูทุกขณะจิต ทานจึงทําอะไรไมผิด และถึงซึ่งอมตธรรม คือ ธรรมที่ไมตาย ตรงกับคําวา“immortal” จึงเรียกวา ปรินิพพาน คือ นาม รูป สังขาร รางกายที่เรียกวา เบญจขันธ ขันธ ๕ คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แตกดับไปเทานั้นเพราะ ฉะนั้น ควรฝกฝนสติสัมปชัญญะ เมื่อทําเสร็จแลวก็มีสติตรวจตรา พิจารณาดูวา บกพรองอยางไร หรือเรียบรอยบริบูรณดี ถาบกพรองก็รีบแกไขเพื่อใหสมบูรณตอไป ถาเรียบรอยดีอยูแลวก็พยายามใหเรียบรอยดียิ่งๆ ขึ้นไปจนถึงที่สุด“ทานเจาคุณ นรรัตนราชมานิต (ธมมวิตกโก ภิกขุ)”จากหนังสือ “ผลไมในสวนธรรม”
Page 3
ประโยคทิ้งทาย :อานุภาพของไตรสิกขา ศีล สมาธิ ปญญาดวยอานุภาพของไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปญญานี้แลจึงชนะขาศึก คือ กิเลสอยางหยาบ อยางกลาง และอยางละเอียดได !1. ชนะความหยาบคาย ซึ่งเปนกิเลสอยางหยาบที่ลวงทางกายวาจาได ดวยศีลชนะความยินดียินรายหลงรังหลงชังซึ่งเปนกิเลสอยางกลางที่เกิดในใจได ดวยสมาธิชนะความเขาใจ รูผิด เห็นผิดจากความเปนจริงของสังขารซึ่งเปนกิเลสอยางละเอียดได ดวยปญญา2. ผูใดศึกษาและปฏิบัติตามตามไตรสิกขาคือ ศีล สมาธิ ปญญานี้โดยพรอมมูลบริบูรณสมบูรณแลวผูนั้นจึงเปนผูพนจากทุกขทั้งปวงไดแนนอน ไมตองสงสัยเลย !เพราะฉะนั้น จึงควรสนใจ เอาใจใส ตั้งใจศึกษาและปฏิบัติตามไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปญญานี้ ทุกเมื่อเทอญ“ทานเจาคุณ นรรัตนราชมานิต (ธมมวิตกโก ภิกขุ)”“อุบาสิกา...ณชเล”
กระเป๋าของฉัน ชีวิตของฉัน
สำคัญ!.. สำหรับผู้หญิง
กระเป๋าของฉัน ชีวิตของฉัน
นักธุรกิจสาวรายหนึ่งเล่าเรื่องที่เกิดกับเธอไว้เป็นอุทาหรณ์
เรื่องร้ายเกิดขึ้นเมื่อ...
เธอกับลูกสาวมาร่วมงานแต่งงานของผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง
งานเลิกราวสามทุ่มเศษ เธอพาลูก สาวกลับมายังรถที่จอดไว้ข้างถนนใกล้โรงแรม
ขณะที่เดินอยู่ เธอก็ถูกวัยรุ่นชายสองคน สวมหมวกบังหน้า ไม่สวมหมวกกันน็อค
ขี่รถจักรยานยนต์ปรี่เข้ามา แล้วกระชากกระเป๋ากุชชี่ที่เธอถืออยู่
ด้วยความเสียดายกระเป๋าแบรนด์เนม
เธอลงทุนยื้อยึดกับคนร้ายเพื่อปกป้องกระเป๋า สุดหวง
แรงกระชากทำให้นัก ธุรกิจสาวถึงกับเสียหลักล้มลง
ร่างกายครูดไปตามพื้นถนนจนถลอกปอกเปิก
แต่เธอก็ยังไม่ยอมปล่อยกระเป๋า
จนเมื่อลูกสาวร้องไห้จ้าด้วยความตกใจ
เธอตัดสินใจปล่อยมือ ปล่อยคนร้ายให้ได้กระเป๋าไปอย่างลอยนวล
เพราะนึกถึงความปลอดภัยของสิ่งที่เธอรัก มากกว่า นั่นคือลูกสาว
แม้ว่า จะเสียดายทรัพย์สินที่คนร้ายได้ไป แต่เงินสด โทรศัพท์มือถือ
แว่นตาแบรนด์เนม และกระเป๋าใบนั้น คงไม่มีความหมาย
ถ้าคนร้าย โมโหและใช้มีดหรือปืนทำร้ายเธอและลูกสาวสุดที่รัก
อย่าพกอะไรที่ต้องเสียใจเมื่อมันถูกฉก
เทกระเป๋าของคุณออกมา
ตรวจสอบว่ามีอะไรที่คุณจะต้องเสียใจไปอีกนาน
ถ้ามันหายไปพร้อมกระเป๋า หยิบมันออกมา
แล้วเก็บไว้ใน ที่ปลอดภัยเสียเดี๋ยวนี้
กระเป๋า ไม่ใช่ตู้นิรภัย
สิ่งที่ควรมีคือ “ ของไม่มีค่า ” แต่ “ จำเป็น ” ต่อชีวิตประจำวันของคุณ
อย่าใส่ของมีค่า ที่คุณต้องร้องไห้ด้วยความเสียดายไว้ในกระเป๋าเป็นอันขาด
วิธ ดีที่สุดที่จะทำให้คุณร้องไห้น้อยที่สุดเมื่อเสียมันไป
คือการทำให้มัน “ น่าเสียดาย ” น้อยที่สุด
1) อย่าเลือกใช้กระเป๋า กระเป๋าแบรนด์เนม
หากถูกกรีด หรือกระชาก จะสร้างความเจ็บใจ
ให้คุณมากขึ้นและยอมสู้จนได้รับบาดเจ็บเพื่อมัน
เลือกใช้กระเป๋าที่ถ้าจำเป็นจริงๆ
คุณจะสามารถตัดใจทิ้งมันได้เพื่อรักษาชีวิต
2) ฝึกนิสัยพกเงินสดแค่จำนวนที่จะใช้ในแต่ละวันเท่านั้น
พกบัตรเงินสดหรือบัตรเครดิตให้น้อยใบที่สุด
3) ถ้ามีบัตรเอทีเอ็มมากกว่าหนึ่งใบ ควรพกไว้แค่ใบเดียว
เป็นใบที่มีเงินในบัญชีเล็กน้อย ส่วนใบอื่นที่มีเงินในบัญชีมากกว่า
ควรเก็บไว้ที่อื่นที่ปลอดภัย เช่น ในบ้าน ในกรณีที่บัตรใบแรกหาย
บัตรสำรองจะ ลดความกังวลไปได้มาก
4) บัตรสำคัญต่างๆ ในกระเป๋าให้นำมาเรียงกันบนกระดาษ A4
แล้วถ่ายเอกสารเก็บไว้รวมกัน เมื่อกระเป๋าสตางค์หาย
คุณจะรู้ว่า มีเอกสารสำคัญหายไปบ้าง
5) จดเบอร์สำหรับอายัดบัตรสำคัญต่างๆ
เก็บไว้ที่ที่ทำงาน ที่บ้าน หรือในรถ
หรือเมมโมรี่ ไว้ในโทรศัพท์มือถือ พร้อมอายัดได้เสมอ
6) ถ้าคุณขับรถ ควรติดกระเป๋าช้อปปิ้งไว้ในรถหนึ่งใบ
เมื่อจะลงไปซื้อของ หยิบเฉพาะเงินสดที่จะใช้
บัตรเครดิต หนึ่งใบใส่กระเป๋าช้อปปิ้ง แค่นั้นพอ
7) อย่าใส่กุญแจบ้านหรือรถไว้ในกระเป๋าสะพาย
คล้องกุญแจไว้ที่กระเป๋ากางเกงหรือเข็มขัดเสมอ
เทคนิคเดินถนนอย่างคนฉลาด
วันไหนที่รู้ ตัวว่าต้องสัญจรด้วยการเดิน
วางแผนเส้นทางก่อน เสมอ
เลือกเส้นทางที่โล่ง มีคนเดินมากๆ ไม่มีพุ่มไม้หนาทึบ
ยอมเดินไกลในถนนใหญ่ ดีกว่าเข้าซอยทางลัดที่ย่นระยะทางแต่เปลี่ยวคน
หัดเปลี่ยนเส้นทาง อย่าใช้เส้นทางเดิมทุกวัน
อย่าถือข้าวของพะรุงพะรัง
ถ้าทำได้ให้รวบของถือด้วย หนึ่งมือ ให้มีอีกมือว่างไว้เสมอ
สามอวัยวะในตัวของคุณที่ต้องทำให้ว่างไว้ รับสถานการณ์
คือ หู ตา และมือ
ถ้าอวัยวะใดไม่ว่าง ทำมันให้ว่างในบัดดล
อย่ายืนรอรถเมล์หรือรถไฟฟ้าแบบตามสบาย
ผู้หญิง ที่ยืนพิงเสา เม้าท์มือถือ เพลินเสียงเพลง คิดถึงแฟน
ท้าวแขน ล้วงกระเป๋า เอาแต่เหม่อ คนร้ายจะชอบมาก
ให้ยืนตัวตรงทิ้งน้ำหนักลงทั้งสองขา สังเกตเหตุการณ์รอบตัวเป็นระยะๆ
มั่นใจว่ากระเป๋าปิดเรียบร้อย รูดซิปปิดทุกช่อง
ความหละหลวมไม่ใส่ใจของ ผู้หญิงมักสะดุดตาโจร
ฝึกนิสัยจับกระเป๋าสะพายให้กระชัตัวเสมอ
หันด้านปากกระเป๋าเข้าตัว อย่าเดินแกว่งกระเป๋าตามสบาย
ถ้ามีรถยนต์แล่น ปราดเข้ามาจอดตรงหน้า
ถอยออกมาให้ห่างทันที ถ้าเขาจอดเพื่อถามทาง
อย่าเข้าไปบอกจนชิดประตูรถ จนเขาดึงขึ้นรถไปง่ายๆ
ทิ้งระยะให้ไกล แต่บอกด้วยเสียงดังขึ้นจะดีกว่า
สอดส่ายสายตาหา “ เซฟเฮ้าส์ ” ระหว่างทางไว้เสมอ
ที่ซึ่งคุณจะสามารถผลุบเข้า ไปซ่อนได้ถ้าเกิดเหตุร้าย
เช่น ร้านค้า ร้านกาแฟ ร้านสะดวกซื้อ ร้านปากซอย
เซฟเฮ้าส์เหล่านี้มีประโยชน์ มากในหลายสถานการณ์
เช่น ถ้าคุณสงสัยว่าถูกสะกดรอย แทนที่จะเดินไปเรื่อยๆ
ด้วยความหวาดกลัว คุณสามารถเลี้ยวผลุบเข้าไป ยังเซฟเฮ้าส์เหล่านี้
แล้วแอบสังเกตการณ์ว่า คนที่เดินตามคุณผ่านหน้าร้านไปหรือเปล่า
คุณอาจรีบออกมาแล้ววิ่งสวนกลับไปยังทิศตรงกันข้าม
หมั่นฝึกซ้อมความ คิดไว้ตลอดเวลา
สมมุติว่าถ้าเหตุการณ์เกิดขึ้น คุณจะแก้ไขอย่างไร
การฝึกซ้อมความคิดจะทำให้ คุณรู้ว่า คุณ ต้องการอะไร
ใน ยามคับขัน และ สามารถตระเตรียมรับมือมันได้อย่างรอบคอบ
อย่าให้มันเลือกคุณเป็นเหยื่อ
การวางตัวสร้าง “ ระยะห่าง ” อาจช่วยผลักคนร้ายออกไปจากชีวิตคุณได้
“ อวัจนภาษา ” คือการใช้ภาษาร่างกายสื่อสาร
จงใช้มัน “ ขู่ ” คนร้ายไว้เสมอ เริ่มตั้งแต่มันยังไม่ประชิดตัวคุณ
เทคนิคการ “ ขู่ ” คนร้ายไม่ให้เลือกคุณเป็นเหยื่อ
1) คุณรู้สึกว่าผู้ชายคนหนึ่งมองคุณอยู่
แทนที่จะบอกมันว่าคุณเป็นเหยื่อด้วยการหลบตาเมินไปทางอื่น
อย่าทำอย่างนั้น มองตรงไปที่มัน ม่ต้องถึงกับจ้องเขม็งอย่างประสงค์ร้าย
แต่อย่าหลบตา อย่าทำเป็นไม่เห็น มองหน้ามันไว้
จง “ ขู่ ” มันด้วยสายตาว่า
“ ฉันรู้นะว่าแกคิดอะไร อย่าเข้ามาเชียว ”
2) ถ้ามันเดินเข้ามาใกล้ตัวคุณ
อย่ารอให้มัน ถึงตัว ถอยหลังทันทีแล้วปรามมันด้วยคำพูดว่า “ ขอโทษค่ะ ”
ผู้ชายที่ดี จะถอยหลังจากคุณและขอโทษ
แต่ผู้ชายสวะอาจยังหน้าด้าน ถ้ามันยังล่วงล้ำเข้ามาถึงตัว
เช่น ทำท่าจะฉวยมือคุณ จง “ เข้ม ” ใส่มันด้วยการพูดออกมาดังๆ ว่า
“ ขอโทษค่ะ คุณจะทำอะไรคะ ”
3) ถ้าเจ้าสวะ “ แบล็คเมล์ ” คุณกลางสาธารณชน
ด้วยการโพล่งว่า “ ยายนี่ประสาทหรือเปล่! า ”
หรือ “ อะไรกันวะ ยังไม่ได้ทำอะไรเลย โวยวายไปได้ ”
จงอย่าตกหลุ ม พรางของความอายที่มันขุดล่อ
จง “ เตือน ” มันด้วยการถอยหลัง ยกมือขึ้นกั้นไว้ แล้วสั่งว่า
“ หยุด! อย่ามาใกล้ฉัน ” หรือ “ ไป ให้พ้น ”
ประเด็นสำคัญ! อย่ากลัวที่จะดูเป็น “ ยายประสาท ”
ในสายตาของคนเดินถนนที่ผ่านมา
เชื่อเถอะว่า เจ้าสวะจำนวนมาก อาจถึงครึ่งต่อครึ่ง
จะเลือกเลิกล้มแผนชั่วเมื่อ เจอยายประสาทที่ฉลาดกว่ามัน
ร้องบอกโลกด้วยนกหวีด
ผู้ชายที่ ประทุษร้ายผู้หญิงจนต้องรับกรรมในห้องขังคนหนึ่ง
สารภาพว่า เขาจะไม่ยุ่งกับผู้หญิงที่ถือร่ม นกหวีด
หรืออะไรก็ตามที่สามารถใช้ เป็นอาวุธในการต่อสู้ได้
ดังนั้น ถ้าคุณต้องเดินคนเดียวในที่เปลี่ยว อย่าเดินมือเปล่า
ถืออะไรบางอย่างติดมือไว้ ถ้ามีรม จับไว้ให้มั่น
มีนกหวีด ห้อยคอไว้พร้อมเป่าเสมอ
นกหวีดช่วยชีวิตคนมามากแล้วในหลาย สถานการณ์
เช่น เมื่อหลงทางหรือติดอยู่ในสถานที่ที่ต้องการความช่วยเหลือ
แม้แต่โรสยังรอดตายจากเรือ ไตตานิคล่ม
เพราะนกหวีดบอกให้คนอื่นรู้ ว่าเธอยังมีชีวิต
ดังนั้น หยิบสร้อยนกหวีดขึ้นมาคล้องคอไว้แทนทุกครั้ง
เมื่อคุณออกจากที่ทำงาน ลงจากรถเมล์ ไปช้อปปิ้ง เดินทาง
หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไปออกกำลังกายในสวนสาธารณะ
เมื่อเกิดเหตุไม่น่าไว้ใจ เป่านกหวีดไว้ก่อน
เสียง นกหวีดจะทำให้ผู้ที่ได้ยินรู้ว่าคุณกำลังตกอยู่อันตราย
เสียงนกหวีดจะทำให้ยามหรือ เจ้าหน้าที่ตำรวจสนใจ
ถ้าต้องวิ่งหนี วิ่งไปพร้อมกับเป่านกหวีดไปด้วย
เพื่อเรียกร้องความ สนใจให้มากที่สุด
Best Regards,
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
Aumaporn Siriwong (.::Nuu..Auy::.)
Quality Standard System Section : QSS
Bangkok Produce Merchandising Public Co.,Ltd.
150 Moo.7 T.Tandiew, A.Kangkhoi
Saraburi 18110 Thailand
กระเป๋าของฉัน ชีวิตของฉัน
นักธุรกิจสาวรายหนึ่งเล่าเรื่องที่เกิดกับเธอไว้เป็นอุทาหรณ์
เรื่องร้ายเกิดขึ้นเมื่อ...
เธอกับลูกสาวมาร่วมงานแต่งงานของผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง
งานเลิกราวสามทุ่มเศษ เธอพาลูก สาวกลับมายังรถที่จอดไว้ข้างถนนใกล้โรงแรม
ขณะที่เดินอยู่ เธอก็ถูกวัยรุ่นชายสองคน สวมหมวกบังหน้า ไม่สวมหมวกกันน็อค
ขี่รถจักรยานยนต์ปรี่เข้ามา แล้วกระชากกระเป๋ากุชชี่ที่เธอถืออยู่
ด้วยความเสียดายกระเป๋าแบรนด์เนม
เธอลงทุนยื้อยึดกับคนร้ายเพื่อปกป้องกระเป๋า สุดหวง
แรงกระชากทำให้นัก ธุรกิจสาวถึงกับเสียหลักล้มลง
ร่างกายครูดไปตามพื้นถนนจนถลอกปอกเปิก
แต่เธอก็ยังไม่ยอมปล่อยกระเป๋า
จนเมื่อลูกสาวร้องไห้จ้าด้วยความตกใจ
เธอตัดสินใจปล่อยมือ ปล่อยคนร้ายให้ได้กระเป๋าไปอย่างลอยนวล
เพราะนึกถึงความปลอดภัยของสิ่งที่เธอรัก มากกว่า นั่นคือลูกสาว
แม้ว่า จะเสียดายทรัพย์สินที่คนร้ายได้ไป แต่เงินสด โทรศัพท์มือถือ
แว่นตาแบรนด์เนม และกระเป๋าใบนั้น คงไม่มีความหมาย
ถ้าคนร้าย โมโหและใช้มีดหรือปืนทำร้ายเธอและลูกสาวสุดที่รัก
อย่าพกอะไรที่ต้องเสียใจเมื่อมันถูกฉก
เทกระเป๋าของคุณออกมา
ตรวจสอบว่ามีอะไรที่คุณจะต้องเสียใจไปอีกนาน
ถ้ามันหายไปพร้อมกระเป๋า หยิบมันออกมา
แล้วเก็บไว้ใน ที่ปลอดภัยเสียเดี๋ยวนี้
กระเป๋า ไม่ใช่ตู้นิรภัย
สิ่งที่ควรมีคือ “ ของไม่มีค่า ” แต่ “ จำเป็น ” ต่อชีวิตประจำวันของคุณ
อย่าใส่ของมีค่า ที่คุณต้องร้องไห้ด้วยความเสียดายไว้ในกระเป๋าเป็นอันขาด
วิธ ดีที่สุดที่จะทำให้คุณร้องไห้น้อยที่สุดเมื่อเสียมันไป
คือการทำให้มัน “ น่าเสียดาย ” น้อยที่สุด
1) อย่าเลือกใช้กระเป๋า กระเป๋าแบรนด์เนม
หากถูกกรีด หรือกระชาก จะสร้างความเจ็บใจ
ให้คุณมากขึ้นและยอมสู้จนได้รับบาดเจ็บเพื่อมัน
เลือกใช้กระเป๋าที่ถ้าจำเป็นจริงๆ
คุณจะสามารถตัดใจทิ้งมันได้เพื่อรักษาชีวิต
2) ฝึกนิสัยพกเงินสดแค่จำนวนที่จะใช้ในแต่ละวันเท่านั้น
พกบัตรเงินสดหรือบัตรเครดิตให้น้อยใบที่สุด
3) ถ้ามีบัตรเอทีเอ็มมากกว่าหนึ่งใบ ควรพกไว้แค่ใบเดียว
เป็นใบที่มีเงินในบัญชีเล็กน้อย ส่วนใบอื่นที่มีเงินในบัญชีมากกว่า
ควรเก็บไว้ที่อื่นที่ปลอดภัย เช่น ในบ้าน ในกรณีที่บัตรใบแรกหาย
บัตรสำรองจะ ลดความกังวลไปได้มาก
4) บัตรสำคัญต่างๆ ในกระเป๋าให้นำมาเรียงกันบนกระดาษ A4
แล้วถ่ายเอกสารเก็บไว้รวมกัน เมื่อกระเป๋าสตางค์หาย
คุณจะรู้ว่า มีเอกสารสำคัญหายไปบ้าง
5) จดเบอร์สำหรับอายัดบัตรสำคัญต่างๆ
เก็บไว้ที่ที่ทำงาน ที่บ้าน หรือในรถ
หรือเมมโมรี่ ไว้ในโทรศัพท์มือถือ พร้อมอายัดได้เสมอ
6) ถ้าคุณขับรถ ควรติดกระเป๋าช้อปปิ้งไว้ในรถหนึ่งใบ
เมื่อจะลงไปซื้อของ หยิบเฉพาะเงินสดที่จะใช้
บัตรเครดิต หนึ่งใบใส่กระเป๋าช้อปปิ้ง แค่นั้นพอ
7) อย่าใส่กุญแจบ้านหรือรถไว้ในกระเป๋าสะพาย
คล้องกุญแจไว้ที่กระเป๋ากางเกงหรือเข็มขัดเสมอ
เทคนิคเดินถนนอย่างคนฉลาด
วันไหนที่รู้ ตัวว่าต้องสัญจรด้วยการเดิน
วางแผนเส้นทางก่อน เสมอ
เลือกเส้นทางที่โล่ง มีคนเดินมากๆ ไม่มีพุ่มไม้หนาทึบ
ยอมเดินไกลในถนนใหญ่ ดีกว่าเข้าซอยทางลัดที่ย่นระยะทางแต่เปลี่ยวคน
หัดเปลี่ยนเส้นทาง อย่าใช้เส้นทางเดิมทุกวัน
อย่าถือข้าวของพะรุงพะรัง
ถ้าทำได้ให้รวบของถือด้วย หนึ่งมือ ให้มีอีกมือว่างไว้เสมอ
สามอวัยวะในตัวของคุณที่ต้องทำให้ว่างไว้ รับสถานการณ์
คือ หู ตา และมือ
ถ้าอวัยวะใดไม่ว่าง ทำมันให้ว่างในบัดดล
อย่ายืนรอรถเมล์หรือรถไฟฟ้าแบบตามสบาย
ผู้หญิง ที่ยืนพิงเสา เม้าท์มือถือ เพลินเสียงเพลง คิดถึงแฟน
ท้าวแขน ล้วงกระเป๋า เอาแต่เหม่อ คนร้ายจะชอบมาก
ให้ยืนตัวตรงทิ้งน้ำหนักลงทั้งสองขา สังเกตเหตุการณ์รอบตัวเป็นระยะๆ
มั่นใจว่ากระเป๋าปิดเรียบร้อย รูดซิปปิดทุกช่อง
ความหละหลวมไม่ใส่ใจของ ผู้หญิงมักสะดุดตาโจร
ฝึกนิสัยจับกระเป๋าสะพายให้กระชัตัวเสมอ
หันด้านปากกระเป๋าเข้าตัว อย่าเดินแกว่งกระเป๋าตามสบาย
ถ้ามีรถยนต์แล่น ปราดเข้ามาจอดตรงหน้า
ถอยออกมาให้ห่างทันที ถ้าเขาจอดเพื่อถามทาง
อย่าเข้าไปบอกจนชิดประตูรถ จนเขาดึงขึ้นรถไปง่ายๆ
ทิ้งระยะให้ไกล แต่บอกด้วยเสียงดังขึ้นจะดีกว่า
สอดส่ายสายตาหา “ เซฟเฮ้าส์ ” ระหว่างทางไว้เสมอ
ที่ซึ่งคุณจะสามารถผลุบเข้า ไปซ่อนได้ถ้าเกิดเหตุร้าย
เช่น ร้านค้า ร้านกาแฟ ร้านสะดวกซื้อ ร้านปากซอย
เซฟเฮ้าส์เหล่านี้มีประโยชน์ มากในหลายสถานการณ์
เช่น ถ้าคุณสงสัยว่าถูกสะกดรอย แทนที่จะเดินไปเรื่อยๆ
ด้วยความหวาดกลัว คุณสามารถเลี้ยวผลุบเข้าไป ยังเซฟเฮ้าส์เหล่านี้
แล้วแอบสังเกตการณ์ว่า คนที่เดินตามคุณผ่านหน้าร้านไปหรือเปล่า
คุณอาจรีบออกมาแล้ววิ่งสวนกลับไปยังทิศตรงกันข้าม
หมั่นฝึกซ้อมความ คิดไว้ตลอดเวลา
สมมุติว่าถ้าเหตุการณ์เกิดขึ้น คุณจะแก้ไขอย่างไร
การฝึกซ้อมความคิดจะทำให้ คุณรู้ว่า คุณ ต้องการอะไร
ใน ยามคับขัน และ สามารถตระเตรียมรับมือมันได้อย่างรอบคอบ
อย่าให้มันเลือกคุณเป็นเหยื่อ
การวางตัวสร้าง “ ระยะห่าง ” อาจช่วยผลักคนร้ายออกไปจากชีวิตคุณได้
“ อวัจนภาษา ” คือการใช้ภาษาร่างกายสื่อสาร
จงใช้มัน “ ขู่ ” คนร้ายไว้เสมอ เริ่มตั้งแต่มันยังไม่ประชิดตัวคุณ
เทคนิคการ “ ขู่ ” คนร้ายไม่ให้เลือกคุณเป็นเหยื่อ
1) คุณรู้สึกว่าผู้ชายคนหนึ่งมองคุณอยู่
แทนที่จะบอกมันว่าคุณเป็นเหยื่อด้วยการหลบตาเมินไปทางอื่น
อย่าทำอย่างนั้น มองตรงไปที่มัน ม่ต้องถึงกับจ้องเขม็งอย่างประสงค์ร้าย
แต่อย่าหลบตา อย่าทำเป็นไม่เห็น มองหน้ามันไว้
จง “ ขู่ ” มันด้วยสายตาว่า
“ ฉันรู้นะว่าแกคิดอะไร อย่าเข้ามาเชียว ”
2) ถ้ามันเดินเข้ามาใกล้ตัวคุณ
อย่ารอให้มัน ถึงตัว ถอยหลังทันทีแล้วปรามมันด้วยคำพูดว่า “ ขอโทษค่ะ ”
ผู้ชายที่ดี จะถอยหลังจากคุณและขอโทษ
แต่ผู้ชายสวะอาจยังหน้าด้าน ถ้ามันยังล่วงล้ำเข้ามาถึงตัว
เช่น ทำท่าจะฉวยมือคุณ จง “ เข้ม ” ใส่มันด้วยการพูดออกมาดังๆ ว่า
“ ขอโทษค่ะ คุณจะทำอะไรคะ ”
3) ถ้าเจ้าสวะ “ แบล็คเมล์ ” คุณกลางสาธารณชน
ด้วยการโพล่งว่า “ ยายนี่ประสาทหรือเปล่! า ”
หรือ “ อะไรกันวะ ยังไม่ได้ทำอะไรเลย โวยวายไปได้ ”
จงอย่าตกหลุ ม พรางของความอายที่มันขุดล่อ
จง “ เตือน ” มันด้วยการถอยหลัง ยกมือขึ้นกั้นไว้ แล้วสั่งว่า
“ หยุด! อย่ามาใกล้ฉัน ” หรือ “ ไป ให้พ้น ”
ประเด็นสำคัญ! อย่ากลัวที่จะดูเป็น “ ยายประสาท ”
ในสายตาของคนเดินถนนที่ผ่านมา
เชื่อเถอะว่า เจ้าสวะจำนวนมาก อาจถึงครึ่งต่อครึ่ง
จะเลือกเลิกล้มแผนชั่วเมื่อ เจอยายประสาทที่ฉลาดกว่ามัน
ร้องบอกโลกด้วยนกหวีด
ผู้ชายที่ ประทุษร้ายผู้หญิงจนต้องรับกรรมในห้องขังคนหนึ่ง
สารภาพว่า เขาจะไม่ยุ่งกับผู้หญิงที่ถือร่ม นกหวีด
หรืออะไรก็ตามที่สามารถใช้ เป็นอาวุธในการต่อสู้ได้
ดังนั้น ถ้าคุณต้องเดินคนเดียวในที่เปลี่ยว อย่าเดินมือเปล่า
ถืออะไรบางอย่างติดมือไว้ ถ้ามีรม จับไว้ให้มั่น
มีนกหวีด ห้อยคอไว้พร้อมเป่าเสมอ
นกหวีดช่วยชีวิตคนมามากแล้วในหลาย สถานการณ์
เช่น เมื่อหลงทางหรือติดอยู่ในสถานที่ที่ต้องการความช่วยเหลือ
แม้แต่โรสยังรอดตายจากเรือ ไตตานิคล่ม
เพราะนกหวีดบอกให้คนอื่นรู้ ว่าเธอยังมีชีวิต
ดังนั้น หยิบสร้อยนกหวีดขึ้นมาคล้องคอไว้แทนทุกครั้ง
เมื่อคุณออกจากที่ทำงาน ลงจากรถเมล์ ไปช้อปปิ้ง เดินทาง
หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไปออกกำลังกายในสวนสาธารณะ
เมื่อเกิดเหตุไม่น่าไว้ใจ เป่านกหวีดไว้ก่อน
เสียง นกหวีดจะทำให้ผู้ที่ได้ยินรู้ว่าคุณกำลังตกอยู่อันตราย
เสียงนกหวีดจะทำให้ยามหรือ เจ้าหน้าที่ตำรวจสนใจ
ถ้าต้องวิ่งหนี วิ่งไปพร้อมกับเป่านกหวีดไปด้วย
เพื่อเรียกร้องความ สนใจให้มากที่สุด
Best Regards,
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
Aumaporn Siriwong (.::Nuu..Auy::.)
Quality Standard System Section : QSS
Bangkok Produce Merchandising Public Co.,Ltd.
150 Moo.7 T.Tandiew, A.Kangkhoi
Saraburi 18110 Thailand
พม.ล้อมคอก! ดันร่างยุทธศาสตร์ป้องกันเยาวชนท้องก่อนวัยเป็นวาระแห่งชาติ
นายอิสสระ สมชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวว่า ตนเตรียมเสนอร่างยุทธศาสตร์ป้องกันและแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนตั้งครรภ์ไม่พร้อม ซึ่งคาดว่าจะเสนอเข้าสู่วาระการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ในสัปดาห์หน้า เนื่องจากต้องรับฟังความคิดเห็นจากกระทรวง ทบวง กรมที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้หากคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบจะเสนอเป็นวาระแห่งชาติ จากนั้นจะตั้งให้นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และเชิญผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศร่วมรับฟังยุทธศาสตร์ เพื่อนำไปดำเนินการ
ขณะเดียวกัน จะจัดเสวนารับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน กรณีเอาผิดชายที่ทำผู้หญิงท้องและไม่รับผิดชอบจนนำไปสู่การทำแท้ง ส่วนบทลงโทษอาจมีการดำเนินคดีอาญา ซึ่งต้องรอคำแนะนำจากอัยการ ในเรื่องของตัวบทกฎหมาย ขณะที่บทลงโทษทางแพ่ง ผู้ชายจะต้องส่งเสียเลี้ยงดูบุตร
ขณะเดียวกัน จะจัดเสวนารับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน กรณีเอาผิดชายที่ทำผู้หญิงท้องและไม่รับผิดชอบจนนำไปสู่การทำแท้ง ส่วนบทลงโทษอาจมีการดำเนินคดีอาญา ซึ่งต้องรอคำแนะนำจากอัยการ ในเรื่องของตัวบทกฎหมาย ขณะที่บทลงโทษทางแพ่ง ผู้ชายจะต้องส่งเสียเลี้ยงดูบุตร
เครือข่ายท้องไม่พร้อมเสนอมาตรการเร่งด่วนป้องกันปัญหาท้องไม่พร้อม
เครือข่ายท้องไม่พร้อม 45 องค์กรภาครัฐ ได้ยื่นหนังสือต่อรัฐมนตรี 3 กระทรวง คือ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เสนอมาตรการเร่งด่วนป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์โดยไม่พร้อมอย่างรอบด้าน ซึ่งประกอบด้วยมาตรการเร่งด่วนเพื่อลดจำนวนการตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อม มาตรการเร่งด่วนเพื่อลดการทำร้ายทารก และการทำแท้งเถื่อนซึ่งในแต่ละปีมีผู้หญิงประมาณ 3 แสนคน ที่ตั้งครรภ์โดยไม่พร้อม ในจำนวนนี้มีอัตราการทำแท้งสูงถึงร้อยละ 16 โดยกลุ่มอายุต่ำกว่า 20 ปี และกลุ่มอายุ 35 ปีขึ้นไป เป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มการตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อมมากกว่ากลุ่มอายุอื่น
วชช.ทุ่ม 200 ล.ผุด “สถาบันเรียนรู้เกษตรอินทรีย์” มุ่งสร้างองค์ความรู้ใหม่แก่ชุมชน
วชช.ทุ่ม 200 ล.ผุด “สถาบันเรียนรู้เกษตรอินทรย์” ในพื้นที่ อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว หวังสร้างองค์ความรู้ พัฒนาระบบวิจัย เกษตรอินทรีย์แก่ชุมชน คาด 5 ปีสร้างเสร็จ
นายพงษ์ศักดิ์ ธำรงรัตนศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานโครงการจัดตั้งสถาบันเรียนรู้เกษตรอินทรีย์ สำนักบริหารงานวิทยาลัยชุมชน เปิดเผยว่า ขณะนี้สถาบันเรียนรู้เกษตรอินทรีย์ ได้สถานที่ที่จะใช้ในการก่อสร้างอาคารสำนักงานสถาบัน เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยตั้งอยู่ที่บ้านจิก อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว บนเนื้อที่ 125 ไร่ ใช้งบประมาณก่อสร้างทั้งสิ้น 200 ล้านบาท ซึ่งเวลานี้อยู่ระหว่างการปรับพื้นที่ คาดว่า ภายใน 5 ปีการก่อสร้างจะแล้วเสร็จ สำหรับวัตถุประสงค์การจัดตั้งสถาบันการเรียนรู้เกษตรอินทรีย์ในครั้งนี้ เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ด้านเกษตรอินทรีย์ให้เป็นฐานการศึกษาเรียนรู้ของวิทยาลัยชุมชน (วชช.) รวมถึงการพัฒนาและวิจัยระบบเกษตรอินทรีย์ โดยความรู้ที่ได้นั้นจะถ่ายทอดให้กับวิทยากรของวิทยาลัยชุมชนทั้ง 19 แห่ง หลังจากนั้น ให้วิทยาลัยชุมชนแต่ละแห่งกระจายความรู้ลงไปสู่ประชาชนในพื้นที่ ซึ่งหากการก่อสร้างแล้วเสร็จที่นี่จะเป็นแหล่งรวบรวมพืชผัก พืชไร่ ไม้ผล และสมุนไพร รวมถึงวนเกษตร และประมง
“ที่ผ่านมา แม้สถาบันยังไม่ได้เริ่มการก่อสร้าง แต่ก็ได้มีการอบรมเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ให้กับวิทยากรแกนนำ และวิทยากรพี่เลี้ยงให้กับวิทยาลัยชุมชนอื่นๆ ไปบ้างแล้ว โดยใช้สถานที่ของวิทยาลัยชุมชนสระแก้ว เพื่อให้นำความรู้เกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ไปสอนให้กับประชาชน ในการสร้างอาชีพเสริมรายได้ให้กับครอบครัวอย่างต่อเนื่อง” นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว
นายพงษ์ศักดิ์ ธำรงรัตนศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานโครงการจัดตั้งสถาบันเรียนรู้เกษตรอินทรีย์ สำนักบริหารงานวิทยาลัยชุมชน เปิดเผยว่า ขณะนี้สถาบันเรียนรู้เกษตรอินทรีย์ ได้สถานที่ที่จะใช้ในการก่อสร้างอาคารสำนักงานสถาบัน เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยตั้งอยู่ที่บ้านจิก อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว บนเนื้อที่ 125 ไร่ ใช้งบประมาณก่อสร้างทั้งสิ้น 200 ล้านบาท ซึ่งเวลานี้อยู่ระหว่างการปรับพื้นที่ คาดว่า ภายใน 5 ปีการก่อสร้างจะแล้วเสร็จ สำหรับวัตถุประสงค์การจัดตั้งสถาบันการเรียนรู้เกษตรอินทรีย์ในครั้งนี้ เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ด้านเกษตรอินทรีย์ให้เป็นฐานการศึกษาเรียนรู้ของวิทยาลัยชุมชน (วชช.) รวมถึงการพัฒนาและวิจัยระบบเกษตรอินทรีย์ โดยความรู้ที่ได้นั้นจะถ่ายทอดให้กับวิทยากรของวิทยาลัยชุมชนทั้ง 19 แห่ง หลังจากนั้น ให้วิทยาลัยชุมชนแต่ละแห่งกระจายความรู้ลงไปสู่ประชาชนในพื้นที่ ซึ่งหากการก่อสร้างแล้วเสร็จที่นี่จะเป็นแหล่งรวบรวมพืชผัก พืชไร่ ไม้ผล และสมุนไพร รวมถึงวนเกษตร และประมง
“ที่ผ่านมา แม้สถาบันยังไม่ได้เริ่มการก่อสร้าง แต่ก็ได้มีการอบรมเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ให้กับวิทยากรแกนนำ และวิทยากรพี่เลี้ยงให้กับวิทยาลัยชุมชนอื่นๆ ไปบ้างแล้ว โดยใช้สถานที่ของวิทยาลัยชุมชนสระแก้ว เพื่อให้นำความรู้เกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ไปสอนให้กับประชาชน ในการสร้างอาชีพเสริมรายได้ให้กับครอบครัวอย่างต่อเนื่อง” นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว
1-6 ธ.ค.เที่ยวงาน “อาชีวะสร้างอาชีพเป็นราชพลี ถวายพระจักรีภูมิพล”
สอศ.จัดงาน “อาชีวะสร้างอาชีพเป็นราชพลี ถวายพระจักรีภูมิพล” เฉลิมพระเกียรติ 83 พรรษา “ในหลวง” 1-6 ธ.ค.นี้ โชว์ผลงานฝีมือเด็กอาชีวะ นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ “สวนของพ่อ” ความยาว 350 เมตร สุดพิเศษผลิตภัณฑ์ภาพฝีพระหัตถ์สมเด็จพระเทพรัตนฯ จัดจำหน่ายแก่ประชาชน
วันนี้ (25 พ.ย.) ที่ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน น.ส.นริศรา ชวาลตันพิพัทธ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมช.ศธ.) กล่าวว่า ทางสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) จะจัดกิจกรรม “แผ่นดินของเรา...อาชีวะสร้างอาชีพเป็นราชพลี ถวายพระจักรีภูมิพล” ระหว่างวันที่ 1-6 ธ.ค.นี้ เวลา 10.00-20.00 น.บริเวณ ถนนหลานหลวง เลียบคลองผดุงกรุงเกษม (ข้างกระทรวงศึกษาธิการ) โดยมีจุดประสงค์ให้ครู อาจารย์ นักศึกษาอาชีวะ รวมทั้งประชาชนทั่วไปได้ร่วมเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 83 พรรษา ในวันที่ 5 ธันวาคม อย่างไรก็ตามกิจกรรมครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้น ในการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของเด็กอาชีวะ ในการแสดงศักยภาพ ความสามารถในด้านวิชาชีพต่างๆ โดยนำผลิตภัณฑ์และผลงานโดดเด่นของนักศึกษามาจัดแสดงและจำหน่าย อาทิ ผลิตภัณฑ์อาหาร เสื้อผ้าแฟชั่น เครื่องประดับ ของที่ระลึก เป็นต้น
น.ส.นริศรา กล่าวอีกว่า ภายในงานจะมีการเนรมิตถนนและคลองผดุงกรุงเกษมให้เป็น “ตลาดน้ำกลางกรุง ตลาดบกกลางสวน” อีกทั้งยังมีการจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติในแนวคิด “สวนของพ่อ” ในรูปแบบนิทรรศการกลางแจ้งโดยจัดตกแต่งถนนลูกหลวง จากเชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ ถึงเชิงสะพานวิศสุกรรมนฤมาณ ความยาว 350 เมตร ให้เป็นสวนรูปแบบต่างๆ เช่น สวนเกษตรที่ราบสูง สวนเกษตรเศรษฐกิจพอเพียง สวนพลังงานทดแทน เป็นต้น เพื่อสะท้อนถึงพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมสาธิตการแข่งขันทักษะรวมทั้งงานบริการชุมชน เช่น อบรมอาชีพ ศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน (Fix it center) เพื่อให้บริการซ่อมอุปกรณ์ต่างๆ ตรวจสภาพรถยนต์ แก่ประชาชน และที่พิเศษสุด คือมีการออกร้านของมูลนิธิสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ซึ่งจะนำสินค้าและผลิตภัณฑ์จากภาพฝีพระหัตถ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มาจำหน่ายให้แก่ประชาชน รวมทั้งไอศกรีมสูตรวังสระปทุม 8 รส มาจัดจำหน่ายด้วย
“การจัดงานครั้งนี้ไม่ได้หวังเพียงจะพึ่งกำไร แต่หวังพึ่งกำลังใจให้กับเด็กอาชีวะได้แสดงฝีมือและความสามารถเพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดีต่อพ่อหลวงของเรา” รมช.ศธ.กล่าว
วันนี้ (25 พ.ย.) ที่ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน น.ส.นริศรา ชวาลตันพิพัทธ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมช.ศธ.) กล่าวว่า ทางสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) จะจัดกิจกรรม “แผ่นดินของเรา...อาชีวะสร้างอาชีพเป็นราชพลี ถวายพระจักรีภูมิพล” ระหว่างวันที่ 1-6 ธ.ค.นี้ เวลา 10.00-20.00 น.บริเวณ ถนนหลานหลวง เลียบคลองผดุงกรุงเกษม (ข้างกระทรวงศึกษาธิการ) โดยมีจุดประสงค์ให้ครู อาจารย์ นักศึกษาอาชีวะ รวมทั้งประชาชนทั่วไปได้ร่วมเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 83 พรรษา ในวันที่ 5 ธันวาคม อย่างไรก็ตามกิจกรรมครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้น ในการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของเด็กอาชีวะ ในการแสดงศักยภาพ ความสามารถในด้านวิชาชีพต่างๆ โดยนำผลิตภัณฑ์และผลงานโดดเด่นของนักศึกษามาจัดแสดงและจำหน่าย อาทิ ผลิตภัณฑ์อาหาร เสื้อผ้าแฟชั่น เครื่องประดับ ของที่ระลึก เป็นต้น
น.ส.นริศรา กล่าวอีกว่า ภายในงานจะมีการเนรมิตถนนและคลองผดุงกรุงเกษมให้เป็น “ตลาดน้ำกลางกรุง ตลาดบกกลางสวน” อีกทั้งยังมีการจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติในแนวคิด “สวนของพ่อ” ในรูปแบบนิทรรศการกลางแจ้งโดยจัดตกแต่งถนนลูกหลวง จากเชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ ถึงเชิงสะพานวิศสุกรรมนฤมาณ ความยาว 350 เมตร ให้เป็นสวนรูปแบบต่างๆ เช่น สวนเกษตรที่ราบสูง สวนเกษตรเศรษฐกิจพอเพียง สวนพลังงานทดแทน เป็นต้น เพื่อสะท้อนถึงพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมสาธิตการแข่งขันทักษะรวมทั้งงานบริการชุมชน เช่น อบรมอาชีพ ศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน (Fix it center) เพื่อให้บริการซ่อมอุปกรณ์ต่างๆ ตรวจสภาพรถยนต์ แก่ประชาชน และที่พิเศษสุด คือมีการออกร้านของมูลนิธิสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ซึ่งจะนำสินค้าและผลิตภัณฑ์จากภาพฝีพระหัตถ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มาจำหน่ายให้แก่ประชาชน รวมทั้งไอศกรีมสูตรวังสระปทุม 8 รส มาจัดจำหน่ายด้วย
“การจัดงานครั้งนี้ไม่ได้หวังเพียงจะพึ่งกำไร แต่หวังพึ่งกำลังใจให้กับเด็กอาชีวะได้แสดงฝีมือและความสามารถเพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดีต่อพ่อหลวงของเรา” รมช.ศธ.กล่าว
สธ.ชวน ปชช.อายุ 35 ปีอัพ ตรวจเบาหวาน-ความดัน ตลอดปี 54
สธ.จัดโครงการสนองน้ำพระราชหฤทัยในหลวง ทรงห่วงใยสุขภาพประชาชนต่อเนื่องปีที่ 2 มุ่งสกัดโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ประชาชนอายุ 35 ปีขึ้นไปจำนวน 45 ล้านคนทั่วประเทศ ถวายเป็นพระราชกุศลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เริ่มตุลาคม 53 -ธันวาคม 54 หลังดำเนินการปีแรกในปี 2552 ค้นพบคนป่วยรายใหม่ทั้ง 2 โรคได้ 1 ล้านกว่าคน และสกัดผู้มีความผิดปกติ เสี่ยงจะป่วย ไม่ให้ป่วยได้อีกกว่า 4 ล้านคน
วันนี้ (25 พ.ย.) ที่ จ.อุบลราชธานี นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ประชุมสาธารณสุขอำเภอทั่วประเทศ จำนวน 200 คน เพื่อมอบนโยบายการรณรงค์สร้างสุขภาพประชาชน ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 84 พรรษา 5 ธันวาคม 2554
นพ.ไพจิตร์กล่าวว่า ในปีนี้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้จัดโครงการสนองน้ำพระราชหฤทัยในหลวง ทรงห่วงใยสุขภาพประชาชน เป็นปีที่ 2 ดำเนินการตั้งแต่เดือนตุลาคม 2553 ถึงธันวาคม 2554 เป้าหมายหลักเพื่อตรวจสุขภาพประชาชนชายหญิงที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป ซึ่งมีจำนวนประมาณ 45 ล้านคนทั่วประเทศ เพื่อค้นหาผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูง และสกัดผู้ที่มีความเสี่ยงจะป่วย ไม่ให้กลายเป็นป่วย เนื่องจาก 2 โรคนี้เป็นภัยเงียบของคนไทย มักพบในวัยผู้ใหญ่จนถึงผู้สูงอายุ เมื่อป่วยแล้วจะรักษาไม่หายขาด และมีโรคแทรกเกิดตามมาได้หลายโรค หากไม่เร่งแก้ไขจะทำให้คนไทยอายุสั้นลงเรื่อยๆ จำนวนผู้พิการจะมีมากขึ้น
ขณะนี้มีประชาชนเจ็บป่วยจาก 2 โรคนี้ และเข้ารักษาในโรงพยาบาลปีละกว่า 2 ล้านราย เสียชีวิตรวม 10,188 ราย จึงต้องเร่งรณรงค์ป้องกันการเจ็บป่วยทุกวิถีทาง ในการดำเนินงานตามโครงการดังกล่าวนี้ ได้ให้สถานบริการสาธารณสุขทุกแห่ง ร่วมกับ อสม.กว่า 9 แสนคน ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด และตรวจวัดความดันโลหิตฟรี เพื่อให้การดูแลอย่างต่อเนื่องทั้งคนปกติ คนเสี่ยง คนป่วย โดยในวันที่ 5 ธันวาคม 2553 จะจัดหน่วยตรวจสุขภาพเคลื่อนที่ออกคัดกรองเบาหวาน ความดันโลหิตสูงอำเภอละ 1 ทีมพร้อมกัน รวม 878 ทีมทั่วประเทศ
“ผลการดำเนินการโครงการในปีแรกคือปี 2552 ระหว่างวันที่ 27 พฤศจิกายน - 5 ธันวาคม 2552 ประสบผลสำเร็จอย่างสูง โดยตรวจพบผู้ที่มีน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ เสี่ยงป่วยเป็นเบาหวาน 1.7 ล้านคน พบผู้ป่วยเบาหวานรายใหม่ 3.5 แสนคน และรายเก่า 1 ล้าน 7 หมื่นกว่าคน ในจำนวนนี้มีโรคแทรกซ้อน 107,225 คน อันดับ 1 คือตาต้อกระจก รองลงมาคือแผลที่เท้าและไตวาย ส่วนโรคความดันโลหิตสูง พบผู้ป่วยรายใหม่ 6.5 แสนคน รายเก่า 1.5 ล้านคน ในจำนวนนี้มีโรคแทรกซ้อน 93,144 คน อันดับ 1 คือ โรคหัวใจ รองลงมาคือเส้นเลือดในสมองตีบหรือแตกและไตวาย โดยตรวจพบผู้มีความดันโลหิตสูงกว่าปกติเสี่ยงป่วยอีก 2.4 ล้านคน และพบผู้ที่ป่วย 2 โรค เป็นทั้งเบาหวานและความดันโลหิตสูง 681,220 คน" นพ.ไพจิตร์กล่าว
สำหรับการดูแลสุขภาพประชาชน สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ จะแบ่งเป็น 4 กลุ่มคือกลุ่มปกติ จะรณรงค์ส่งเสริมพฤติกรรมถนอมสุขภาพดี เช่นออกกำลังกาย ลดอาหารรสหวาน มัน เค็ม ไม่ดื่มสุราและสูบบุหรี่ กลุ่มที่เสี่ยงป่วยจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมรายบุคคล ลดพฤติกรรมเสี่ยง ไม่ให้กลายเป็นคนป่วย ในกลุ่มที่ป่วยแล้วแต่ยังไม่มีโรคแทรกซ้อน จะได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพจากโรงพยาบาลใกล้บ้าน และตรวจค้นหาโรคแทรกซ้อน ส่วนกลุ่มที่ป่วยและมีโรคแทรกซ้อนแล้ว ก็จะได้รับการรักษาและดูแลอย่างใกล้ชิดจากโรงพยาบาลทั่วไป/โรงพยาบาลศูนย์
วันนี้ (25 พ.ย.) ที่ จ.อุบลราชธานี นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ประชุมสาธารณสุขอำเภอทั่วประเทศ จำนวน 200 คน เพื่อมอบนโยบายการรณรงค์สร้างสุขภาพประชาชน ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 84 พรรษา 5 ธันวาคม 2554
นพ.ไพจิตร์กล่าวว่า ในปีนี้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้จัดโครงการสนองน้ำพระราชหฤทัยในหลวง ทรงห่วงใยสุขภาพประชาชน เป็นปีที่ 2 ดำเนินการตั้งแต่เดือนตุลาคม 2553 ถึงธันวาคม 2554 เป้าหมายหลักเพื่อตรวจสุขภาพประชาชนชายหญิงที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป ซึ่งมีจำนวนประมาณ 45 ล้านคนทั่วประเทศ เพื่อค้นหาผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูง และสกัดผู้ที่มีความเสี่ยงจะป่วย ไม่ให้กลายเป็นป่วย เนื่องจาก 2 โรคนี้เป็นภัยเงียบของคนไทย มักพบในวัยผู้ใหญ่จนถึงผู้สูงอายุ เมื่อป่วยแล้วจะรักษาไม่หายขาด และมีโรคแทรกเกิดตามมาได้หลายโรค หากไม่เร่งแก้ไขจะทำให้คนไทยอายุสั้นลงเรื่อยๆ จำนวนผู้พิการจะมีมากขึ้น
ขณะนี้มีประชาชนเจ็บป่วยจาก 2 โรคนี้ และเข้ารักษาในโรงพยาบาลปีละกว่า 2 ล้านราย เสียชีวิตรวม 10,188 ราย จึงต้องเร่งรณรงค์ป้องกันการเจ็บป่วยทุกวิถีทาง ในการดำเนินงานตามโครงการดังกล่าวนี้ ได้ให้สถานบริการสาธารณสุขทุกแห่ง ร่วมกับ อสม.กว่า 9 แสนคน ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด และตรวจวัดความดันโลหิตฟรี เพื่อให้การดูแลอย่างต่อเนื่องทั้งคนปกติ คนเสี่ยง คนป่วย โดยในวันที่ 5 ธันวาคม 2553 จะจัดหน่วยตรวจสุขภาพเคลื่อนที่ออกคัดกรองเบาหวาน ความดันโลหิตสูงอำเภอละ 1 ทีมพร้อมกัน รวม 878 ทีมทั่วประเทศ
“ผลการดำเนินการโครงการในปีแรกคือปี 2552 ระหว่างวันที่ 27 พฤศจิกายน - 5 ธันวาคม 2552 ประสบผลสำเร็จอย่างสูง โดยตรวจพบผู้ที่มีน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ เสี่ยงป่วยเป็นเบาหวาน 1.7 ล้านคน พบผู้ป่วยเบาหวานรายใหม่ 3.5 แสนคน และรายเก่า 1 ล้าน 7 หมื่นกว่าคน ในจำนวนนี้มีโรคแทรกซ้อน 107,225 คน อันดับ 1 คือตาต้อกระจก รองลงมาคือแผลที่เท้าและไตวาย ส่วนโรคความดันโลหิตสูง พบผู้ป่วยรายใหม่ 6.5 แสนคน รายเก่า 1.5 ล้านคน ในจำนวนนี้มีโรคแทรกซ้อน 93,144 คน อันดับ 1 คือ โรคหัวใจ รองลงมาคือเส้นเลือดในสมองตีบหรือแตกและไตวาย โดยตรวจพบผู้มีความดันโลหิตสูงกว่าปกติเสี่ยงป่วยอีก 2.4 ล้านคน และพบผู้ที่ป่วย 2 โรค เป็นทั้งเบาหวานและความดันโลหิตสูง 681,220 คน" นพ.ไพจิตร์กล่าว
สำหรับการดูแลสุขภาพประชาชน สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ จะแบ่งเป็น 4 กลุ่มคือกลุ่มปกติ จะรณรงค์ส่งเสริมพฤติกรรมถนอมสุขภาพดี เช่นออกกำลังกาย ลดอาหารรสหวาน มัน เค็ม ไม่ดื่มสุราและสูบบุหรี่ กลุ่มที่เสี่ยงป่วยจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมรายบุคคล ลดพฤติกรรมเสี่ยง ไม่ให้กลายเป็นคนป่วย ในกลุ่มที่ป่วยแล้วแต่ยังไม่มีโรคแทรกซ้อน จะได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพจากโรงพยาบาลใกล้บ้าน และตรวจค้นหาโรคแทรกซ้อน ส่วนกลุ่มที่ป่วยและมีโรคแทรกซ้อนแล้ว ก็จะได้รับการรักษาและดูแลอย่างใกล้ชิดจากโรงพยาบาลทั่วไป/โรงพยาบาลศูนย์
นิทานเซน 32 รื้ออัตตา
วันหนึ่ง ขณะที่ท่านอาจารย์นันเซ็น กาลังจะออกไปทางานในทุ่งตามปกติ ก็มีพระภิกษุแปลกหน้ารูปหนึ่งมาเยี่ยมท่านถึงกระท่อม ท่านจึงต้อนรับเป็นอย่างดี และได้กล่าวว่า
"ขอให้ท่านทาตัวให้สบายเถิด ท่านจะหุงหาอาหารในครัวก็ได้ตามสะดวก เมื่อท่านฉันเสร็จเรียบร้อยแล้ว กรุณานาอาหารที่เหลือไปให้เราที่ทุ่งด้านโน้นด้วยก็จะเป็นพระคุณยิ่ง"
แล้วท่านอาจารย์ก็ออกไปทางานในทุ่งตลอดทั้งวัน พอตกเย็นก็กลับมายังกระท่อมด้วยความหิวโหย เพราะไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยตลอดวัน พอมาถึงกระท่อมก็พบพระรูปนั้นกาลังนอนหลับสบายอยู่ มีร่องรอยว่าได้หุงหาอาหารและฉันอิ่มแล้ว อาหารที่เหลือก็เททิ้งหมด เครื่องใช้ต่างๆ ก็ถูกรื้อทาลายเสียสิ้น ท่านอาจารย์นันเซ็น จึงค่อยๆ เอนกายลงนอนข้างๆ พระรูปนั้นพระรูปนั้นจึงรีบลุกขึ้น แล้วจากไปอย่างเงียบๆ ต่อมาอีกหลายปี ท่านอาจารย์ได้เล่าเรื่องนี้ให้ศิษย์ทั้งหลายฟัง แล้วกล่าวเสริมว่า
"ท่านเป็นพระที่ดีมากทีเดียว ฉันยังคิดถึงจนบัดนี้"
ท่านทาใจแบบท่านอาจารย์นันเซ็นได้หรือเปล่า? สาหรับท่านอาจารย์นันเซ็นแล้ว ท่านไม่ต้องทาใจเลยเพราะปกติของท่านก็เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว
คัดลอกจาก http://www.dharma-gateway.com/ผู้คัดลอกและเรียบเรียง hs6kj
"ขอให้ท่านทาตัวให้สบายเถิด ท่านจะหุงหาอาหารในครัวก็ได้ตามสะดวก เมื่อท่านฉันเสร็จเรียบร้อยแล้ว กรุณานาอาหารที่เหลือไปให้เราที่ทุ่งด้านโน้นด้วยก็จะเป็นพระคุณยิ่ง"
แล้วท่านอาจารย์ก็ออกไปทางานในทุ่งตลอดทั้งวัน พอตกเย็นก็กลับมายังกระท่อมด้วยความหิวโหย เพราะไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยตลอดวัน พอมาถึงกระท่อมก็พบพระรูปนั้นกาลังนอนหลับสบายอยู่ มีร่องรอยว่าได้หุงหาอาหารและฉันอิ่มแล้ว อาหารที่เหลือก็เททิ้งหมด เครื่องใช้ต่างๆ ก็ถูกรื้อทาลายเสียสิ้น ท่านอาจารย์นันเซ็น จึงค่อยๆ เอนกายลงนอนข้างๆ พระรูปนั้นพระรูปนั้นจึงรีบลุกขึ้น แล้วจากไปอย่างเงียบๆ ต่อมาอีกหลายปี ท่านอาจารย์ได้เล่าเรื่องนี้ให้ศิษย์ทั้งหลายฟัง แล้วกล่าวเสริมว่า
"ท่านเป็นพระที่ดีมากทีเดียว ฉันยังคิดถึงจนบัดนี้"
ท่านทาใจแบบท่านอาจารย์นันเซ็นได้หรือเปล่า? สาหรับท่านอาจารย์นันเซ็นแล้ว ท่านไม่ต้องทาใจเลยเพราะปกติของท่านก็เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว
คัดลอกจาก http://www.dharma-gateway.com/ผู้คัดลอกและเรียบเรียง hs6kj
โรคซึมเศร้า
ปวดหัว …. ปวดหลัง … เบื่ออาหาร … อ่อนเพลีย … นอนไม่หลับ …
คุณเคยมีอาการเหล่านี้ไหม ถ้ามี คุณอาจจะแปลกใจ ถ้าจะบอกว่าคุณอาจเป็นโรคซึมเศร้าก็ได้
ปวดหัวเกี่ยวอะไรกับซึมเศร้า? ไอ้ประเภทปวดหัวตอนปลายเดือน แต่พอต้นเดือนก็ไปปวดในผับในคาเฟ่ (อย่าเกินตีสองนะ) คงไม่เกี่ยวกับโรคซึมเศร้าแน่ แต่ถ้าปวดอยู่บ่อยๆ นอกจากปวดหัวแล้วเดี๋ยวก็ปวดโน่น ปวดนี่ เป็นๆ หายๆ อยู่เรื่อย นี่อาจจะเริ่มเกี่ยวก็ได้
จากการวิจัยเราพบว่าคนที่เป็นโรคซึมเศร้าจะไวต่อการรับรู้อาการปวดต่างๆ มากกว่าในภาวะปกติ นอกจากนั้น ภาวะตึงเครียดทางจิตใจจะทำให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวได้ง่าย เลยพาลจะตึงเนื้อตึงตัว ปวดเมื่อยจนต้องนึกถึงนวดแผนไทยไปโน่น
อาการปวดเมื่อย อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร เหล่านี้ ทำให้นึกถึงโรคซึมเศร้า แต่ลำพังแค่นี้ยังไม่พอครับ
คุณยังต้องมีอาการที่จัดว่าเป็นหัวใจของโรคซึมเศร้า คือ อาการซึมเศร้า หรือเบื่อหน่ายไปหมด ยิ่งถ้าเป็นนาน 2-3 อาทิตย์แล้วก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นโอกาสที่จะเป็นก็ยิ่งมากขึ้น
ลักษณะอาการของโรคซึมเศร้าบางครั้งก็คล้ายๆ กับตุ๊กตาที่ถ่านกำลังจะหมด อะไรๆ ก็ช้าไปหมด บางครั้งก็พาลหยุดเอาเสียเฉยๆ ยังงั้นแหละ ในคนที่เป็นโรคซึมเศร้าพลังชีวิตของเขาจะตกลงมาก งานการกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย ต้องฝืนใจทำให้แต่ละวันผ่านพ้นไป บางทีตื่นเช้ามานึกไม่อยากไปทำงานก็นนอนต่อมันไปซะเฉยๆ ยังงั้นแหละ ทั้งๆ ที่เดิมมีแต่คนชมว่าขยัน เป็นคนรับผิดชอบดี พอไปทำงานก็เอาแต่นั่งซึมกะทือ จนเพื่อนๆ เป็นห่วง ครั้นจะชวนไปเที่ยวให้รีแลกซ์บ้างเจ้าตัวก็ไม่ยอมไปไหนเลย
พอเจ้าถ่านไฟ (เก่าๆ) มันตก ความเชื่อมั่นในตนเองที่เคยมีเต็มเปี่ยมก็พลอยหดหายไปด้วย จากเดิมที่เป็นหนุ่มน้อยหน้าเชิด นึกว่าข้าเป็นเลิศในปฐพี ก็กลับกลายเป็นหนุ่มใหญ่คอตกไปในบัดดล (ขนาดนั้นเชียว) จะทำอะไรก็ลังเลใจไปหมด คนไข้ของผมคนหนึ่งจากเดิมที่เคยเป็นช้างเท้าหน้าในบ้าน พอป่วยเป็นโรคนี้เข้า เวลาขับรถ แม้แต่จะเลี้ยวช้างก็ยังต้องหันหน้าไปถามภรรยาว่า “คุณๆ ผมจะเลี้ยวตรงนี้ดีไหม?” บ้างก็เก็บเรื่องที่ผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ในอดีตมาคิดไปหมด ยิ่งคิดยิ่งรูสึกว่าตัวเองแย่ ช่วงนี้บางคนพอมีเรื่องมากระทบก็อาจถึงกับคิดไม่อยากอยู่
ข่าวการฆ่าตัวตายตามหน้าหนังสือพิมพ์ที่เราอ่านเจอบ่อยๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นมาจากโรคซึมเศร้านี่แหละ เพราะฉะนั้นการเป็นโรคนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ที่จะรักษาก็ได้ไม่รักษาก็ได้
ปัญหาคือบางครั้งเจ้าตัวเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองป่วย ที่เขารู้คือเบื่อไปหมด เซ็งที่ทำงาน ปวดหัวเพราะมีเรื่องเครียดหลายเรื่อง คนรอบข้างก็ไม่รู้ เห็นแต่ว่าเขาเปลี่ยนไป ไม่ค่อยพูดกับใคร หงุดหงิดง่าย มีคนเปรียบเทียบไว้ดีทีเดียวว่าโรคซึมเศร้าเนี่ย บางครั้งก็เหมือนกับส้นรองเท้าที่มันค่อยๆ สึกไปเรื่อยๆ โดยที่เราไม่รู้สึกอะไร พอได้เปลี่ยนรองเท้าใหม่ถึงรู้ว่าโธ่เอ๋ย ที่ผ่านๆ มาเราทนใส่คู่เดิมอยู่ได้ยังไงตั้งนาน
คนไข้ของผมหลายคนบอกว่าไม่รู้ว่าเมื่อก่อนคิดแต่ว่าตนเองแย่ มองอะไรก็แย่ไปหมดได้ยังไง เหมือนกับใส่แว่นสีชาไว้ พอถอดแว่นออกมา ฟ้าก็แจ้งจางปางเลย คนรอบข้างก็พลอยแฮปปี้ไปด้วย
โรคนี้มีผลกระทบต่อคนรอบข้างมากกว่าโรคทางกายมาก คนที่เป็นแม่บ้านจะหงุดหงิด ตีลูก ดุว่าลูกบ่อยขึ้น หรือไม่ก็ไม่สนใจงานบ้านเอาซะเลย คนที่เป็นพ่อบ้านก็อาจไม่ไปทำงาน ถูกเพ่งเล็ง ยิ่งเศรษฐกิจแบบนี้ก็อาจตกงานเอาได้ง่ายๆ ครอบครัวพลอยเดือดร้อนกันไปด้วย
ลองมาดูตัวเลขทางสถิติหน่อยไหมครับ จากการศึกษาในสหรัฐอเมริกาพบว่าผลกระทบในเชิงเศรษฐกิจระดับประเทศมีถึง 44 พันล้านเหรียญต่อปีทีเดียว ซึ่งนอกจากตัวเลขนี้นอกจากเป็นค่าใช้จ่ายในการรักษาตัวแล้ว ส่วนหนึ่งเป็นจากการที่ผู้ป่วยไม่สามารถประกอบภาระกิจต่างๆ ได้ องค์การอนามัยโลกได้คาดการณ์ไว้ว่าในปี 2020 ประชากรโลกจะมีการสูญเสียในเชิงเศรษฐกิจจากภาวะซึมเศร้าจสูงเป็นอันดับ 2 รองจากเพียงโรคหลอดเลือดหัวใจเท่านั้น
ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะบอกว่า ถ้าสงสัยว่าตัวเองจะเป็นโรคซึมเศร้าก็ควรไปพบแพทย์เพื่อปรึกษาดูครับ ถ้าสงสัยว่าเพื่อนๆ หรือญาติๆ เป็นก็ควรจะชักชวนเขาไปพบแพทย์ ไปตรวจไปปรึกษากันก่อน ใช่ไม่ใช่ค่อยว่ากันอีกทีหนึ่ง อย่าปล่อยทิ้งไว้ ไม่คุ้มกัน เดี๋ยวนี้เราพบว่าถ้ายิ่งรักษาเร็วยิ่งหายเร็ว
โรคซึมเศร้า เป็นแล้วหายเองได้ไหม ตอบว่าได้เหมือนกัน ถ้าคุณเป็นน้อยๆ ถ้าเป็นมากยังไงๆ ก็ไม่หายเอง เพราะแสดงว่ามีการเปลี่ยนแปลงในสมองแล้ว โดยเจ้าสารสื่อนำประสาทที่ชื่อซีโรโตนินลดต่ำลงมาก รวมไปถึงสารอื่นๆ อีกบางตัวด้วย ภาวะที่ขาดสมดุลของสารเคมีต่างๆ เหล่านี้ทำให้ระบบการทำงานของสมองรวนเรไป เรียกว่าเซลล์สมองคุยกันไม่รู้เรื่อง เกิดเป็นอาการต่างๆ ตามมา ยาที่แพทย์ให้จะไปช่วยปรับให้สารต่างๆ อยู่ในสมดุลใหม่ เซลล์ต่างๆ คุยกันเข้าใจเหมือนเดิม อาการก็ลดลง
การรักษาด้วยยาเป็นการรักษาหลักของโรคนี้ ยังไงก็ตามแม้ว่ายาจะลดอาการได้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เราปรับตัวต่อปัญหาต่างๆ ได้ดีขึ้น เวลาเราพบจิตแพทย์นั้น สิ่งที่เราจะได้มากกว่าการรักษาด้วยยาคือแนวคิดในการแก้ไขปัญหา ที่จิตแพทย์คุยกับเรานานๆ ก็เพื่อหาดูว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน แล้วอะไรกันแน่ที่ทำให้คุณเครียด คนอื่นเขาอาจเจอปัญหาอย่างคุณแต่ก็ไม่เห็นเครียดมากอย่างนี้ คุณมีวิธีการปรับตัวกับปัญหาอย่างไร โดยหลักการก็คือเป็นการพูดคุยเพื่อทำให้เข้าใจตัวเองมากขึ้น เรียกว่าเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส บางครั้งเราก็ไม่รู้ว่าจุดอ่อนของเราอยู่ตรงไหน จนกว่าจะเกิดปัญหาขึ้นนั่นแหละ
ก่อนจบ อยากจะเล่าสู่กันฟังเล่นๆ ว่าโรคนี้เจอค่อนข้างบ่อย ประมาณกันว่าใน 100 คนมีคนเป็นสัก 5 คนได้ คนที่เคยป่วยด้วยโรคนี้ที่เราอาจรู้จักอย่างเช่น วินเซนต์ แวนโก๊ะ วินสตัน เชอร์ชิลล์ หรืออับราฮัม ลินคอล์น เป็นต้น ช่วงที่ซึมเศร้าลินคอล์นเขากล่าวว่า “ถ้าผมแบ่งความรู้สึกที่ผมมีอยู่ตอนนี้ให้คนทั่วโลกคนละเท่าๆ กันได้ ก็คงจะไม่มีใครที่มีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสสักคนเลย” แต่เขาก็หายกลับมาต่อสู้จนเป็นประธานาธิบดีคนที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งของสหรัฐอเมริกา !!
เกณฑ์การวินิจฉัยโรคซึมเศร้า
ก. มีอาการต่อไปนี้ 5 อาการหรือมากกว่า (และต้องมีข้อ 1หรือ 2 อย่างน้อยหนึ่งข้อ) นาน 2 สัปดาห์ขึ้นไป และต้องมีอาการเหล่านี้อยู่เกือบตลอดเวลา แทบทุกวัน ไม่ใช่เป็นๆ หายๆ เป็นเพียงแค่วันสองวันหายไปแล้วกลับมาเป็นใหม่
- มีอารมณ์ซึมเศร้า (ในเด็กและวัยรุ่นอาจเป็นอารมณ์หงุดหงิดก็ได้)
- ความสนใจหรือความเพลินใจในกิจกรรมต่างๆ แทบทั้งหมดลดลงอย่างมาก
- น้ำหนักลดลงหรือเพิ่มขึ้นมาก หรือเบื่ออาหารหรือเจริญอาหารมาก
- นอนไม่หลับ หรือหลับมากไป
- กระวนกระวาย อยู่ไม่สุข หรือเชื่องช้าลง
- อ่อนเพลีย ไร้เรี่ยวแรง
- รู้สึกตนเองไร้ค่า
- สมาธิลดลง ใจลอย หรือลังเลใจไปหมด
- คิดเรื่องการตาย คิดอยากตาย
ข. อาการเหล่านี้ทำให้มีปัญหาในด้านต่างๆ
คุณเคยมีอาการเหล่านี้ไหม ถ้ามี คุณอาจจะแปลกใจ ถ้าจะบอกว่าคุณอาจเป็นโรคซึมเศร้าก็ได้
ปวดหัวเกี่ยวอะไรกับซึมเศร้า? ไอ้ประเภทปวดหัวตอนปลายเดือน แต่พอต้นเดือนก็ไปปวดในผับในคาเฟ่ (อย่าเกินตีสองนะ) คงไม่เกี่ยวกับโรคซึมเศร้าแน่ แต่ถ้าปวดอยู่บ่อยๆ นอกจากปวดหัวแล้วเดี๋ยวก็ปวดโน่น ปวดนี่ เป็นๆ หายๆ อยู่เรื่อย นี่อาจจะเริ่มเกี่ยวก็ได้
จากการวิจัยเราพบว่าคนที่เป็นโรคซึมเศร้าจะไวต่อการรับรู้อาการปวดต่างๆ มากกว่าในภาวะปกติ นอกจากนั้น ภาวะตึงเครียดทางจิตใจจะทำให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวได้ง่าย เลยพาลจะตึงเนื้อตึงตัว ปวดเมื่อยจนต้องนึกถึงนวดแผนไทยไปโน่น
อาการปวดเมื่อย อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร เหล่านี้ ทำให้นึกถึงโรคซึมเศร้า แต่ลำพังแค่นี้ยังไม่พอครับ
คุณยังต้องมีอาการที่จัดว่าเป็นหัวใจของโรคซึมเศร้า คือ อาการซึมเศร้า หรือเบื่อหน่ายไปหมด ยิ่งถ้าเป็นนาน 2-3 อาทิตย์แล้วก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นโอกาสที่จะเป็นก็ยิ่งมากขึ้น
ลักษณะอาการของโรคซึมเศร้าบางครั้งก็คล้ายๆ กับตุ๊กตาที่ถ่านกำลังจะหมด อะไรๆ ก็ช้าไปหมด บางครั้งก็พาลหยุดเอาเสียเฉยๆ ยังงั้นแหละ ในคนที่เป็นโรคซึมเศร้าพลังชีวิตของเขาจะตกลงมาก งานการกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย ต้องฝืนใจทำให้แต่ละวันผ่านพ้นไป บางทีตื่นเช้ามานึกไม่อยากไปทำงานก็นนอนต่อมันไปซะเฉยๆ ยังงั้นแหละ ทั้งๆ ที่เดิมมีแต่คนชมว่าขยัน เป็นคนรับผิดชอบดี พอไปทำงานก็เอาแต่นั่งซึมกะทือ จนเพื่อนๆ เป็นห่วง ครั้นจะชวนไปเที่ยวให้รีแลกซ์บ้างเจ้าตัวก็ไม่ยอมไปไหนเลย
พอเจ้าถ่านไฟ (เก่าๆ) มันตก ความเชื่อมั่นในตนเองที่เคยมีเต็มเปี่ยมก็พลอยหดหายไปด้วย จากเดิมที่เป็นหนุ่มน้อยหน้าเชิด นึกว่าข้าเป็นเลิศในปฐพี ก็กลับกลายเป็นหนุ่มใหญ่คอตกไปในบัดดล (ขนาดนั้นเชียว) จะทำอะไรก็ลังเลใจไปหมด คนไข้ของผมคนหนึ่งจากเดิมที่เคยเป็นช้างเท้าหน้าในบ้าน พอป่วยเป็นโรคนี้เข้า เวลาขับรถ แม้แต่จะเลี้ยวช้างก็ยังต้องหันหน้าไปถามภรรยาว่า “คุณๆ ผมจะเลี้ยวตรงนี้ดีไหม?” บ้างก็เก็บเรื่องที่ผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ในอดีตมาคิดไปหมด ยิ่งคิดยิ่งรูสึกว่าตัวเองแย่ ช่วงนี้บางคนพอมีเรื่องมากระทบก็อาจถึงกับคิดไม่อยากอยู่
ข่าวการฆ่าตัวตายตามหน้าหนังสือพิมพ์ที่เราอ่านเจอบ่อยๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นมาจากโรคซึมเศร้านี่แหละ เพราะฉะนั้นการเป็นโรคนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ที่จะรักษาก็ได้ไม่รักษาก็ได้
ปัญหาคือบางครั้งเจ้าตัวเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองป่วย ที่เขารู้คือเบื่อไปหมด เซ็งที่ทำงาน ปวดหัวเพราะมีเรื่องเครียดหลายเรื่อง คนรอบข้างก็ไม่รู้ เห็นแต่ว่าเขาเปลี่ยนไป ไม่ค่อยพูดกับใคร หงุดหงิดง่าย มีคนเปรียบเทียบไว้ดีทีเดียวว่าโรคซึมเศร้าเนี่ย บางครั้งก็เหมือนกับส้นรองเท้าที่มันค่อยๆ สึกไปเรื่อยๆ โดยที่เราไม่รู้สึกอะไร พอได้เปลี่ยนรองเท้าใหม่ถึงรู้ว่าโธ่เอ๋ย ที่ผ่านๆ มาเราทนใส่คู่เดิมอยู่ได้ยังไงตั้งนาน
คนไข้ของผมหลายคนบอกว่าไม่รู้ว่าเมื่อก่อนคิดแต่ว่าตนเองแย่ มองอะไรก็แย่ไปหมดได้ยังไง เหมือนกับใส่แว่นสีชาไว้ พอถอดแว่นออกมา ฟ้าก็แจ้งจางปางเลย คนรอบข้างก็พลอยแฮปปี้ไปด้วย
โรคนี้มีผลกระทบต่อคนรอบข้างมากกว่าโรคทางกายมาก คนที่เป็นแม่บ้านจะหงุดหงิด ตีลูก ดุว่าลูกบ่อยขึ้น หรือไม่ก็ไม่สนใจงานบ้านเอาซะเลย คนที่เป็นพ่อบ้านก็อาจไม่ไปทำงาน ถูกเพ่งเล็ง ยิ่งเศรษฐกิจแบบนี้ก็อาจตกงานเอาได้ง่ายๆ ครอบครัวพลอยเดือดร้อนกันไปด้วย
ลองมาดูตัวเลขทางสถิติหน่อยไหมครับ จากการศึกษาในสหรัฐอเมริกาพบว่าผลกระทบในเชิงเศรษฐกิจระดับประเทศมีถึง 44 พันล้านเหรียญต่อปีทีเดียว ซึ่งนอกจากตัวเลขนี้นอกจากเป็นค่าใช้จ่ายในการรักษาตัวแล้ว ส่วนหนึ่งเป็นจากการที่ผู้ป่วยไม่สามารถประกอบภาระกิจต่างๆ ได้ องค์การอนามัยโลกได้คาดการณ์ไว้ว่าในปี 2020 ประชากรโลกจะมีการสูญเสียในเชิงเศรษฐกิจจากภาวะซึมเศร้าจสูงเป็นอันดับ 2 รองจากเพียงโรคหลอดเลือดหัวใจเท่านั้น
ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะบอกว่า ถ้าสงสัยว่าตัวเองจะเป็นโรคซึมเศร้าก็ควรไปพบแพทย์เพื่อปรึกษาดูครับ ถ้าสงสัยว่าเพื่อนๆ หรือญาติๆ เป็นก็ควรจะชักชวนเขาไปพบแพทย์ ไปตรวจไปปรึกษากันก่อน ใช่ไม่ใช่ค่อยว่ากันอีกทีหนึ่ง อย่าปล่อยทิ้งไว้ ไม่คุ้มกัน เดี๋ยวนี้เราพบว่าถ้ายิ่งรักษาเร็วยิ่งหายเร็ว
โรคซึมเศร้า เป็นแล้วหายเองได้ไหม ตอบว่าได้เหมือนกัน ถ้าคุณเป็นน้อยๆ ถ้าเป็นมากยังไงๆ ก็ไม่หายเอง เพราะแสดงว่ามีการเปลี่ยนแปลงในสมองแล้ว โดยเจ้าสารสื่อนำประสาทที่ชื่อซีโรโตนินลดต่ำลงมาก รวมไปถึงสารอื่นๆ อีกบางตัวด้วย ภาวะที่ขาดสมดุลของสารเคมีต่างๆ เหล่านี้ทำให้ระบบการทำงานของสมองรวนเรไป เรียกว่าเซลล์สมองคุยกันไม่รู้เรื่อง เกิดเป็นอาการต่างๆ ตามมา ยาที่แพทย์ให้จะไปช่วยปรับให้สารต่างๆ อยู่ในสมดุลใหม่ เซลล์ต่างๆ คุยกันเข้าใจเหมือนเดิม อาการก็ลดลง
การรักษาด้วยยาเป็นการรักษาหลักของโรคนี้ ยังไงก็ตามแม้ว่ายาจะลดอาการได้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เราปรับตัวต่อปัญหาต่างๆ ได้ดีขึ้น เวลาเราพบจิตแพทย์นั้น สิ่งที่เราจะได้มากกว่าการรักษาด้วยยาคือแนวคิดในการแก้ไขปัญหา ที่จิตแพทย์คุยกับเรานานๆ ก็เพื่อหาดูว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน แล้วอะไรกันแน่ที่ทำให้คุณเครียด คนอื่นเขาอาจเจอปัญหาอย่างคุณแต่ก็ไม่เห็นเครียดมากอย่างนี้ คุณมีวิธีการปรับตัวกับปัญหาอย่างไร โดยหลักการก็คือเป็นการพูดคุยเพื่อทำให้เข้าใจตัวเองมากขึ้น เรียกว่าเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส บางครั้งเราก็ไม่รู้ว่าจุดอ่อนของเราอยู่ตรงไหน จนกว่าจะเกิดปัญหาขึ้นนั่นแหละ
ก่อนจบ อยากจะเล่าสู่กันฟังเล่นๆ ว่าโรคนี้เจอค่อนข้างบ่อย ประมาณกันว่าใน 100 คนมีคนเป็นสัก 5 คนได้ คนที่เคยป่วยด้วยโรคนี้ที่เราอาจรู้จักอย่างเช่น วินเซนต์ แวนโก๊ะ วินสตัน เชอร์ชิลล์ หรืออับราฮัม ลินคอล์น เป็นต้น ช่วงที่ซึมเศร้าลินคอล์นเขากล่าวว่า “ถ้าผมแบ่งความรู้สึกที่ผมมีอยู่ตอนนี้ให้คนทั่วโลกคนละเท่าๆ กันได้ ก็คงจะไม่มีใครที่มีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสสักคนเลย” แต่เขาก็หายกลับมาต่อสู้จนเป็นประธานาธิบดีคนที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งของสหรัฐอเมริกา !!
เกณฑ์การวินิจฉัยโรคซึมเศร้า
ก. มีอาการต่อไปนี้ 5 อาการหรือมากกว่า (และต้องมีข้อ 1หรือ 2 อย่างน้อยหนึ่งข้อ) นาน 2 สัปดาห์ขึ้นไป และต้องมีอาการเหล่านี้อยู่เกือบตลอดเวลา แทบทุกวัน ไม่ใช่เป็นๆ หายๆ เป็นเพียงแค่วันสองวันหายไปแล้วกลับมาเป็นใหม่
- มีอารมณ์ซึมเศร้า (ในเด็กและวัยรุ่นอาจเป็นอารมณ์หงุดหงิดก็ได้)
- ความสนใจหรือความเพลินใจในกิจกรรมต่างๆ แทบทั้งหมดลดลงอย่างมาก
- น้ำหนักลดลงหรือเพิ่มขึ้นมาก หรือเบื่ออาหารหรือเจริญอาหารมาก
- นอนไม่หลับ หรือหลับมากไป
- กระวนกระวาย อยู่ไม่สุข หรือเชื่องช้าลง
- อ่อนเพลีย ไร้เรี่ยวแรง
- รู้สึกตนเองไร้ค่า
- สมาธิลดลง ใจลอย หรือลังเลใจไปหมด
- คิดเรื่องการตาย คิดอยากตาย
ข. อาการเหล่านี้ทำให้มีปัญหาในด้านต่างๆ
ผลเสียที่มาจาก “ โรคอ้วน ” !!!
ความอ้วนทำให้สุขภาพร่างกายทรุดโทรม และเพิ่มอัตราการเกิดโรคในระบบต่างๆ ได้มากมาย ดังนี้
ผลต่อบุคลิกภาพและจิตใจ
ความผิดปกติทางจิตใจ : เนื่องจากคนอ้วนมักจะได้รับการละเลย ถูกมองข้าม และได้รับการตำหนิติเตียนในเรื่องกินไม่รู้จักพอ จึงทำให้คนอ้วนรู้สึกว่าตัวเองเป็นปมด้อยในสังคม ต่างจากคนที่รูปร่างดีสมส่วนและสวยงาม น่ามอง ทำให้เป็นที่ยอมรับของสังคม คนอ้วนจึงแยกตัวออกจากสังคม ขาดความมั่นใจในตัวเอง และเกิดภาวะจิตใจซึมเศร้า หดหู่ โดดเดี่ยว อารมณ์แปรปรวน และฉุนเฉียวได้ง่าย
บุคลิกภาพไม่ดี : อุ้ยอ้าย เชื่องช้า ไม่คล่องตัว ไม่กระฉับกระเฉง
ผลต่อสุขภาพกาย
โรคไขมันในเลือดสูง : เมื่อมีไขมันสะสมในร่างกายมากก็จะไปเกาะตามผนังหลอดเลือด ยิ่งหนามากเท่าไร หลอดเลือดก็ยิ่งตีบมากขึ้นเท่านั้น การไหลเวียนของเลือดเพื่อไปหล่อเลี้ยงเซลล์ทุกส่วนของร่างกายจึงไม่สะดวก ส่งผลให้เลือดนำอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกายได้ลดลง เซลล์ก็เสื่อมโทรมลง อนุมูลอิสระก็เกิดเร็วขึ้น นำไปสู่โรคต่างๆ ตามมามากมาย รวมทั้งทำให้ความแก่มาเยือนเร็วขึ้นอย่างไม่คาดคิดอีกด้วย
โรคความดันโลหิตสูง : เมื่อไขมันเคลือบผนังหลอดเลือดหนาขึ้น ผนังหลอดเลือดตีบแคบมากขึ้น ส่งผลให้หัวใจซึ่งทำหน้าที่เหมือนปั๊มน้ำ ในการขับดันเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกายทุกซอกทุกมุม ต้องออกแรงผลักดันเลือดเพิ่มมากขึ้น จนทำให้เส้นเลือดแตก โดยเฉพาะเส้นเลือดในสมอง ซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิต อาจเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตได้
โรคหัวใจและหลอดเลือด : เนื่องจากไขมันไปเกาะตามผนังหลอดเลือด ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดตีบหรืออุดตัน เลือดไหลเวียนเข้าสู่หัวใจได้ไม่สะดวก ส่งผลทำให้หัวใจขาดเลือดและหัวใจวายได้
โรคเบาหวาน : พฤติกรรมการรับประทานอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาลมากเกินไป ส่งผลให้การควบคุมน้ำตาลในร่างกายผิดปกติ นอกจากจะส่งผลให้เกิดโรคอ้วนแล้วยังสามารถเป็นโรคเบาหวานควบคู่กันอีกด้วย คล้ายกับเป็นเพื่อนคู่ซี้กัน และเมื่อเป็นเบาหวานแล้ว เวลาเป็นแผลมักรักษาไม่หาย กลายเป็นแผลเรื้อรัง บางทีเป็นแผลกดทับ เสี่ยงต่อการติดเชื้อราง่ายขึ้น เพราะมีการอับชื้นในบริเวณซอกแขนและซอกขามากกว่าปกติ
โรคข้อกระดูกเสื่อม : ข้อเข่าและข้อเท้าจะเสื่อม เนื่องจากต้องรับน้ำหนักตัวมากเกินพิกัด บางคนที่อ้วนมากๆ อาจจะยืนหรือเดินไม่ได้เลย เพราะข้อเท้าไม่สามารถรับน้ำหนักได้
โรคระบบทางเดินหายใจ : คนอ้วนมักมีการเคลื่อนไหวน้อย ชอบนั่งหรือนอน ไม่ออกกำลังกาย จึงทำให้ปอดขยายตัวได้ไม่เต็มที่ ทำให้การหายใจลดลง หายใจติดขัด ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์คั่งในปอดเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เหนื่อยง่าย ง่วงนอนตลอดเวลา
โรคมะเร็งบางชนิด : คนอ้วนมีอัตราการเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งได้เพิ่มมากขึ้นกว่าคนปกติ
“โรคอ้วน”กลาย เป็นภัยร้ายที่ก่อปัญหาทั้งสุขภาพทางกายและจิตใจ หากต้องการห่างไกล “โรคอ้วน” ควรใส่ใจในเรื่องอาหารการกิน รวมไปถึงปรับพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสุขภาพที่ดี ร่างกายแข็งแรง สวยใส สมส่วน ตลอดไป !!!
ที่มา ... GNC
ผลต่อบุคลิกภาพและจิตใจ
ความผิดปกติทางจิตใจ : เนื่องจากคนอ้วนมักจะได้รับการละเลย ถูกมองข้าม และได้รับการตำหนิติเตียนในเรื่องกินไม่รู้จักพอ จึงทำให้คนอ้วนรู้สึกว่าตัวเองเป็นปมด้อยในสังคม ต่างจากคนที่รูปร่างดีสมส่วนและสวยงาม น่ามอง ทำให้เป็นที่ยอมรับของสังคม คนอ้วนจึงแยกตัวออกจากสังคม ขาดความมั่นใจในตัวเอง และเกิดภาวะจิตใจซึมเศร้า หดหู่ โดดเดี่ยว อารมณ์แปรปรวน และฉุนเฉียวได้ง่าย
บุคลิกภาพไม่ดี : อุ้ยอ้าย เชื่องช้า ไม่คล่องตัว ไม่กระฉับกระเฉง
ผลต่อสุขภาพกาย
โรคไขมันในเลือดสูง : เมื่อมีไขมันสะสมในร่างกายมากก็จะไปเกาะตามผนังหลอดเลือด ยิ่งหนามากเท่าไร หลอดเลือดก็ยิ่งตีบมากขึ้นเท่านั้น การไหลเวียนของเลือดเพื่อไปหล่อเลี้ยงเซลล์ทุกส่วนของร่างกายจึงไม่สะดวก ส่งผลให้เลือดนำอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกายได้ลดลง เซลล์ก็เสื่อมโทรมลง อนุมูลอิสระก็เกิดเร็วขึ้น นำไปสู่โรคต่างๆ ตามมามากมาย รวมทั้งทำให้ความแก่มาเยือนเร็วขึ้นอย่างไม่คาดคิดอีกด้วย
โรคความดันโลหิตสูง : เมื่อไขมันเคลือบผนังหลอดเลือดหนาขึ้น ผนังหลอดเลือดตีบแคบมากขึ้น ส่งผลให้หัวใจซึ่งทำหน้าที่เหมือนปั๊มน้ำ ในการขับดันเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกายทุกซอกทุกมุม ต้องออกแรงผลักดันเลือดเพิ่มมากขึ้น จนทำให้เส้นเลือดแตก โดยเฉพาะเส้นเลือดในสมอง ซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิต อาจเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตได้
โรคหัวใจและหลอดเลือด : เนื่องจากไขมันไปเกาะตามผนังหลอดเลือด ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดตีบหรืออุดตัน เลือดไหลเวียนเข้าสู่หัวใจได้ไม่สะดวก ส่งผลทำให้หัวใจขาดเลือดและหัวใจวายได้
โรคเบาหวาน : พฤติกรรมการรับประทานอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาลมากเกินไป ส่งผลให้การควบคุมน้ำตาลในร่างกายผิดปกติ นอกจากจะส่งผลให้เกิดโรคอ้วนแล้วยังสามารถเป็นโรคเบาหวานควบคู่กันอีกด้วย คล้ายกับเป็นเพื่อนคู่ซี้กัน และเมื่อเป็นเบาหวานแล้ว เวลาเป็นแผลมักรักษาไม่หาย กลายเป็นแผลเรื้อรัง บางทีเป็นแผลกดทับ เสี่ยงต่อการติดเชื้อราง่ายขึ้น เพราะมีการอับชื้นในบริเวณซอกแขนและซอกขามากกว่าปกติ
โรคข้อกระดูกเสื่อม : ข้อเข่าและข้อเท้าจะเสื่อม เนื่องจากต้องรับน้ำหนักตัวมากเกินพิกัด บางคนที่อ้วนมากๆ อาจจะยืนหรือเดินไม่ได้เลย เพราะข้อเท้าไม่สามารถรับน้ำหนักได้
โรคระบบทางเดินหายใจ : คนอ้วนมักมีการเคลื่อนไหวน้อย ชอบนั่งหรือนอน ไม่ออกกำลังกาย จึงทำให้ปอดขยายตัวได้ไม่เต็มที่ ทำให้การหายใจลดลง หายใจติดขัด ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์คั่งในปอดเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เหนื่อยง่าย ง่วงนอนตลอดเวลา
โรคมะเร็งบางชนิด : คนอ้วนมีอัตราการเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งได้เพิ่มมากขึ้นกว่าคนปกติ
“โรคอ้วน”กลาย เป็นภัยร้ายที่ก่อปัญหาทั้งสุขภาพทางกายและจิตใจ หากต้องการห่างไกล “โรคอ้วน” ควรใส่ใจในเรื่องอาหารการกิน รวมไปถึงปรับพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสุขภาพที่ดี ร่างกายแข็งแรง สวยใส สมส่วน ตลอดไป !!!
ที่มา ... GNC
วธ.จัดการแสดงวัฒนธรรมพื้นบ้าน เทิดพระเกียรติในหลวง
วธ.จัดการแสดงวัฒนธรรมพื้นบ้าน “ร้อยรวมใจถวายพระพร” เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 83 พรรษา
ศ.อภินันท์ โปษยานนท์ อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม เปิดเผยว่า “กระทรวงวัฒนธรรมโดย กรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) กำหนดจะจัดการแสดงวัฒนธรรมพื้นบ้าน “ร้อยรวมใจถวายพระพร” เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 83 พรรษา ในวันที่ 30 พฤศจิกายน ศกนี้ โดยพร้อมเพรียงกันทั้ง 4 ภูมิภาค ได้แก่ จังหวัดแพร่ อุบลราชธานี พัทลุง กาญจนบุรี และที่กรุงเทพมหานคร ถือเป็นการรวมใจของพสกนิกรไทยใน 4 ภูมิภาค ในการแสดงพลังแห่งความจงรักภักดี ตลอดจนร่วมกันถวายพระพรแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ให้พระองค์ทรงมีพระชนมายุยิ่งยืนนาน เป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยตราบนานเท่านาน
สำหรับกิจกรรมการแสดงวัฒนธรรมพื้นบ้าน “ร้อยรวมใจถวายพระพร” ประกอบด้วย
กรุงเทพมหานคร ณ หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ได้แก่ การแสดงรำถวายพระพร การแหล่ถวายพระพร โดยนายชินกร ไกรลาส ศิลปินแห่งชาติ และการแสดงชุมนุมเผ่าไทย
จังหวัดแพร่ ณ สนามหน้าศาลากลาง ได้แก่ การแสดงกลองชัยยะมงคล โดย ครูมานพ ยาระณะ ศิลปินแห่งชาติ และการแสดงนาฏศิลป์พื้นบ้าน
จังหวัดอุบลราชธานี ณ บริเวณลาน พิพิธภัณฑ์เมืองอุบลราชธานี ได้แก่ การแสดงลำถวายพระพรโดยฉวีวรรณ พันธุ ศิลปินแห่งชาติ และป. ฉลาดน้อย (ฉลาด ส่งเสริม) ศิลปินแห่งชาติ
จังหวัดพัทลุง ณ สนามหน้าศาลากลาง ได้แก่ การแสดงโนรารวมใจ ถวายพระพร โดย นายเอกชัย ศรีวิชัย และศิลปินพื้นบ้าน
จังหวัดกาญจนบุรี ณ บริเวณสะพานข้ามแม่น้ำแคว ได้แก่ การอ่านบทกวีถวายพระพร โดย เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ศิลปินแห่งชาติ การแสดงกลองยาวประยุกต์ การแสดงระบำไก่ และการแสดงพื้นบ้าน
และปิดท้ายด้วยการแสดงชุดพิเศษ โดยจะเป็นการขับร้องเพลง “พระราชาเป็นประมุขของประชาชน”พระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดย ศิลปินแห่งชาติและเหล่าศิลปินนักร้อง รวม 36 คน
“จึงขอเชิญชวนพสกนิกรชาวไทยทั้งประเทศร่วมชมการแสดงวัฒนธรรมพื้นบ้าน “ร้อยรวมใจถวายพระพร”เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2553 เวลา 17.00 น. -18.00 น. ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (สทท. 11)” อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรมกล่าวทิ้งท้าย
ศ.อภินันท์ โปษยานนท์ อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม เปิดเผยว่า “กระทรวงวัฒนธรรมโดย กรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) กำหนดจะจัดการแสดงวัฒนธรรมพื้นบ้าน “ร้อยรวมใจถวายพระพร” เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 83 พรรษา ในวันที่ 30 พฤศจิกายน ศกนี้ โดยพร้อมเพรียงกันทั้ง 4 ภูมิภาค ได้แก่ จังหวัดแพร่ อุบลราชธานี พัทลุง กาญจนบุรี และที่กรุงเทพมหานคร ถือเป็นการรวมใจของพสกนิกรไทยใน 4 ภูมิภาค ในการแสดงพลังแห่งความจงรักภักดี ตลอดจนร่วมกันถวายพระพรแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ให้พระองค์ทรงมีพระชนมายุยิ่งยืนนาน เป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยตราบนานเท่านาน
สำหรับกิจกรรมการแสดงวัฒนธรรมพื้นบ้าน “ร้อยรวมใจถวายพระพร” ประกอบด้วย
กรุงเทพมหานคร ณ หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ได้แก่ การแสดงรำถวายพระพร การแหล่ถวายพระพร โดยนายชินกร ไกรลาส ศิลปินแห่งชาติ และการแสดงชุมนุมเผ่าไทย
จังหวัดแพร่ ณ สนามหน้าศาลากลาง ได้แก่ การแสดงกลองชัยยะมงคล โดย ครูมานพ ยาระณะ ศิลปินแห่งชาติ และการแสดงนาฏศิลป์พื้นบ้าน
จังหวัดอุบลราชธานี ณ บริเวณลาน พิพิธภัณฑ์เมืองอุบลราชธานี ได้แก่ การแสดงลำถวายพระพรโดยฉวีวรรณ พันธุ ศิลปินแห่งชาติ และป. ฉลาดน้อย (ฉลาด ส่งเสริม) ศิลปินแห่งชาติ
จังหวัดพัทลุง ณ สนามหน้าศาลากลาง ได้แก่ การแสดงโนรารวมใจ ถวายพระพร โดย นายเอกชัย ศรีวิชัย และศิลปินพื้นบ้าน
จังหวัดกาญจนบุรี ณ บริเวณสะพานข้ามแม่น้ำแคว ได้แก่ การอ่านบทกวีถวายพระพร โดย เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ศิลปินแห่งชาติ การแสดงกลองยาวประยุกต์ การแสดงระบำไก่ และการแสดงพื้นบ้าน
และปิดท้ายด้วยการแสดงชุดพิเศษ โดยจะเป็นการขับร้องเพลง “พระราชาเป็นประมุขของประชาชน”พระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดย ศิลปินแห่งชาติและเหล่าศิลปินนักร้อง รวม 36 คน
“จึงขอเชิญชวนพสกนิกรชาวไทยทั้งประเทศร่วมชมการแสดงวัฒนธรรมพื้นบ้าน “ร้อยรวมใจถวายพระพร”เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2553 เวลา 17.00 น. -18.00 น. ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (สทท. 11)” อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรมกล่าวทิ้งท้าย
1-9 ธ.ค.นี้ อย่าพลาดงานเฉลิมพระเกียรติในหลวง สุดยิ่งใหญ่
รัฐบาล จัดงานเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 83 พรรษา 5 ธันวาคม 2553 ตั้งแต่วันที่ 1-9 ธ.ค.นี้
รัฐบาลชวนประชาชนร่วมงานและร่วมถวายพระพรในงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 83 พรรษา 5 ธันวาคม 2553 ภายใต้ชื่องาน“แผ่นดินของเรา” ตั้งแต่วันที่ 1-9 ธันวาคม 2553
งานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มีการจัดขึ้นที่บริเวณพระลานพระราชวังดุสิต ต่อเนื่องถนนศรีอยุธยา และถนนราชดำเนินนอก มีการจัดกิจกรรมจากหน่วยงานต่างๆ โดยแต่ละวันจะมีกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติจาก 20 กระทรวง และการจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ โครงการพระราชดำรินิทรรศการ เวทีการแสดงศิลปวัฒนธรรม จุดลงนามถวายพระพรและเวทีถวายพานพุ่ม
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติและการจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคลโดยมูลนิธิ 5 ธันวามหาราช จะมีขึ้นในวันที่ 1-6 ธันวาคม บริเวณศาลฎีกา โดยในวันที่ 5 ธ.ค.เวลา 19.29 น.จะมีพิธีจุดเทียนชัยถวายพระพรชัยมงคล บริเวณลานหน้าศาลฎีกา โดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน
ส่วนงานที่ถือเป็นไฮไลท์ในปีนี้ คือ การจัดแสดงขบวนเรือประดับไฟเฉลิมพระเกียรติ 7 ขบวน จำนวน 600 ลำ เรือประดับไฟ 32 ลำ การแสดงแสง สี เสียง บริเวณแม่น้ำเจ้าพระยา หน้าโรงพยาบาลศิริราช ซึ่งกระทรวงวัฒนธรรม ได้ออกแบบสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติ โดยได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาต อัญเชิญอักษรพระปรมาภิไธย ภปร. เป็นสัญลักษณ์ของการจัดงาน และได้รับความร่วมมือจากศิลปินแห่งชาติ ศิลปินจากค่ายเพลงต่างๆ ร่วมแสดงคอนเสิร์ต การจัดฉายภาพยนต์เฉลิมพระเกียรติ เกี่ยวกับการเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรในภูมิภาคต่างๆ
นอกจากนี้ ในทุกจังหวัดทั่วประเทศสามารถร่วมกันบำเพ็ญกุศล ตามพิธีทางศาสนาในช่วงเช้าและร่วมกันจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคลพร้อมกันทั่วประเทศเวลา 19.29 น. และกระทรวงมหาดไทยจะจัดแสดงภาพยนตร์สั้นเฉลิมพระเกียรติฯ 7 เรื่อง ที่ศาลากลางจังหวัดทุกจังหวัด ส่วนในกรุงเทพมหานครฉายที่โรงภาพยนตร์เครือเอสเอฟและเมเจอร์ทุกสาขา ในเวลา 10.00 น. ประชาชนเข้าร่วมชมได้ฟรี
ทั้งนี้งานเฉลิมพระเกียติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มีการกำหนด รูปแบบแนวคิดในแต่ละวัน คือ
วันที่ 1 ธันวาคม 2553 " แผ่นดินของเรา "
วันที่ 2 ธันวาคม 2553 " ทูลละอองฉลองพระชนม์ "
วันที่ 3 ธันวาคม 2553 " รวมกมลถวายพระพร "
วันที่ 4 ธันวาคม 2553 " มิ่งขวัญทวยนาคร "
วันที่ 5 ธันวาคม 2553 " ถวายบังคมบรมราชา "
วันที่ 6 ธันวาคม 2553 " พระบารมีเกริกเกรียงไกร "
วันที่ 7 ธันวาคม 2553 " รวมน้ำใจกตัญญุตา "
วันที่ 8 ธันวาคม 2553 " พระก่อเกื้อหล้า "
วันที่ 9 ธันวาคม 2553 " พระชนมพรรษาสถาพร "
รัฐบาลชวนประชาชนร่วมงานและร่วมถวายพระพรในงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 83 พรรษา 5 ธันวาคม 2553 ภายใต้ชื่องาน“แผ่นดินของเรา” ตั้งแต่วันที่ 1-9 ธันวาคม 2553
งานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มีการจัดขึ้นที่บริเวณพระลานพระราชวังดุสิต ต่อเนื่องถนนศรีอยุธยา และถนนราชดำเนินนอก มีการจัดกิจกรรมจากหน่วยงานต่างๆ โดยแต่ละวันจะมีกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติจาก 20 กระทรวง และการจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ โครงการพระราชดำรินิทรรศการ เวทีการแสดงศิลปวัฒนธรรม จุดลงนามถวายพระพรและเวทีถวายพานพุ่ม
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติและการจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคลโดยมูลนิธิ 5 ธันวามหาราช จะมีขึ้นในวันที่ 1-6 ธันวาคม บริเวณศาลฎีกา โดยในวันที่ 5 ธ.ค.เวลา 19.29 น.จะมีพิธีจุดเทียนชัยถวายพระพรชัยมงคล บริเวณลานหน้าศาลฎีกา โดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน
ส่วนงานที่ถือเป็นไฮไลท์ในปีนี้ คือ การจัดแสดงขบวนเรือประดับไฟเฉลิมพระเกียรติ 7 ขบวน จำนวน 600 ลำ เรือประดับไฟ 32 ลำ การแสดงแสง สี เสียง บริเวณแม่น้ำเจ้าพระยา หน้าโรงพยาบาลศิริราช ซึ่งกระทรวงวัฒนธรรม ได้ออกแบบสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติ โดยได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาต อัญเชิญอักษรพระปรมาภิไธย ภปร. เป็นสัญลักษณ์ของการจัดงาน และได้รับความร่วมมือจากศิลปินแห่งชาติ ศิลปินจากค่ายเพลงต่างๆ ร่วมแสดงคอนเสิร์ต การจัดฉายภาพยนต์เฉลิมพระเกียรติ เกี่ยวกับการเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรในภูมิภาคต่างๆ
นอกจากนี้ ในทุกจังหวัดทั่วประเทศสามารถร่วมกันบำเพ็ญกุศล ตามพิธีทางศาสนาในช่วงเช้าและร่วมกันจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคลพร้อมกันทั่วประเทศเวลา 19.29 น. และกระทรวงมหาดไทยจะจัดแสดงภาพยนตร์สั้นเฉลิมพระเกียรติฯ 7 เรื่อง ที่ศาลากลางจังหวัดทุกจังหวัด ส่วนในกรุงเทพมหานครฉายที่โรงภาพยนตร์เครือเอสเอฟและเมเจอร์ทุกสาขา ในเวลา 10.00 น. ประชาชนเข้าร่วมชมได้ฟรี
ทั้งนี้งานเฉลิมพระเกียติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มีการกำหนด รูปแบบแนวคิดในแต่ละวัน คือ
วันที่ 1 ธันวาคม 2553 " แผ่นดินของเรา "
วันที่ 2 ธันวาคม 2553 " ทูลละอองฉลองพระชนม์ "
วันที่ 3 ธันวาคม 2553 " รวมกมลถวายพระพร "
วันที่ 4 ธันวาคม 2553 " มิ่งขวัญทวยนาคร "
วันที่ 5 ธันวาคม 2553 " ถวายบังคมบรมราชา "
วันที่ 6 ธันวาคม 2553 " พระบารมีเกริกเกรียงไกร "
วันที่ 7 ธันวาคม 2553 " รวมน้ำใจกตัญญุตา "
วันที่ 8 ธันวาคม 2553 " พระก่อเกื้อหล้า "
วันที่ 9 ธันวาคม 2553 " พระชนมพรรษาสถาพร "
โดยธรรมชาติของมนุษย์มักไหลลงที่ต่ำ ความผิดย่อมอยู่ที่ผู้ปกครองบ้านเมือง
โดยธรรมชาติของมนุษย์มักไหลลงที่ต่ำ ความผิดย่อมอยู่ที่ผู้ปกครองบ้านเมือง นอกจากความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายแล้ว ยังต้องให้รู้ถูกผิดชั่วดี ด้วย
ต้องเข้าให้ถึงกลุ่มเป้าหมาย สมมุติ ว่ากลุ่มเป้าหมายเป็นวัยรุ่น อยู่ในสถานศึกษา และแยกว่าเป็นคนหน้าตาดีเป็นส่วนใหญ่หรือไม่
อาศัยอยู่ตามหอพัก หรืออยู่กับผู้ปกครอง
ชอบเที่ยวกลางคืนหรือไม่
มีแฟนหรือยัง
ถ้าเป็นนักเรียนนักศึกษาหน้าตาดีเป็นกลุ่มเสี่ยง
ควรเรียกมาให้ความรู้เป็นกลุ่มแรก
ตอนมีเพศสัมพันธ์ต่อให้มีถุงอย่างอยู่เต็มรอบตัว ก็หยิบใช้ไม่ทันหรอก อาจต้องมียาที่ใช้หลังจากนั้นแล้ว ก็บอกไปเลย
หรือพาไปคลีนิกฝากครรภ์ ดูเด็กแรกคลอด
คัดกรองแล้วก็คงเหลือสัก หลักแสนในตอนต้น
ปัญหาก็จะลดลงไปมาก
ยังมีผู้ทำคลอดอีกกลุ่มใหญ่
ที่ควรจะทำแท้งร่าง เจบีซี
เพราะว่า ซาวด์ดูแล้ว พิกลพิการอย่างมาก
อย่างรีรอเด็ดขาด
มีผลกระทบกับคนตั้งครรภ์อย่างยิ่ง
โฟกัส
ต้องเข้าให้ถึงกลุ่มเป้าหมาย สมมุติ ว่ากลุ่มเป้าหมายเป็นวัยรุ่น อยู่ในสถานศึกษา และแยกว่าเป็นคนหน้าตาดีเป็นส่วนใหญ่หรือไม่
อาศัยอยู่ตามหอพัก หรืออยู่กับผู้ปกครอง
ชอบเที่ยวกลางคืนหรือไม่
มีแฟนหรือยัง
ถ้าเป็นนักเรียนนักศึกษาหน้าตาดีเป็นกลุ่มเสี่ยง
ควรเรียกมาให้ความรู้เป็นกลุ่มแรก
ตอนมีเพศสัมพันธ์ต่อให้มีถุงอย่างอยู่เต็มรอบตัว ก็หยิบใช้ไม่ทันหรอก อาจต้องมียาที่ใช้หลังจากนั้นแล้ว ก็บอกไปเลย
หรือพาไปคลีนิกฝากครรภ์ ดูเด็กแรกคลอด
คัดกรองแล้วก็คงเหลือสัก หลักแสนในตอนต้น
ปัญหาก็จะลดลงไปมาก
ยังมีผู้ทำคลอดอีกกลุ่มใหญ่
ที่ควรจะทำแท้งร่าง เจบีซี
เพราะว่า ซาวด์ดูแล้ว พิกลพิการอย่างมาก
อย่างรีรอเด็ดขาด
มีผลกระทบกับคนตั้งครรภ์อย่างยิ่ง
โฟกัส
การแก้ปัญหาการทำแท้ง
โดย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง 29 พฤศจิกายน 2553 17:37 น.
เรื่องการทำแท้งเถื่อนยังอยู่ในความสนใจของผู้คนในวงสังคม และพวกเราหลายคนได้ทำหน้าที่สื่อ แพร่ข่าวและเสนอความคิดเห็นเป็นระยะๆ
นักการเมืองกำลังจะเสนอแก้กฎหมายทำแท้ง ให้ทำแท้งง่ายขึ้น จะร่างกฎหมายใหม่อย่างไร โดยรวมแล้วก็คงเหมือนๆ กับเมื่อ ๒๙ ปีที่แล้ว
ผมเคยค้านเรื่องนี้มาก่อน จึงเสนอความเป็นมาให้ทราบ ส่วนจะคิดเหมือนกับผมหรือไม่ ไม่เป็นไรครับ
พล.ต.จำลอง ศรีเมือง
๒๙ พ.ย.๕๓
การแก้ปัญหาการทำแท้ง
เมื่อมีการทำแท้งเถื่อนมากขึ้น ก็มักจะเสนอให้แก้กฎหมายทำแท้งที่มีอยู่เดิมให้เป็นกฎหมายทำแท้งเสรี คือให้ทำแท้งได้ง่ายขึ้น เป็นการแก้ที่ผิดทาง ไม่สามารถแก้ปัญหาได้เลย ต้องแก้โดยวิธีอื่น
กฎหมายทำแท้งที่มีอยู่เดิมอนุญาตให้ทำแท้งได้ ถ้าจะเป็นอันตรายต่อหญิงผู้เป็นแม่ หรือหญิงนั้นถูกข่มขืน และต้องทำแท้งโดย แพทย์ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมตามกฎหมาย
กฎหมายทำแท้งเสรีถูกคว่ำไปเมื่อ ๒๙ ปีก่อน
ปี พ.ศ. ๒๕๒๔ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เสนอร่างกฎหมายใหม่เพื่อแก้กฎหมายเก่าที่ใช้มา ๒๔ ปีแล้ว ให้ทำแท้งได้ง่ายมาก เท่ากับอนุญาตให้ทำแท้งเสรีนั่นเอง ตอนนั้น “พลตรีจำลอง ศรีเมือง” เป็นสมาชิกวุฒิสภาและเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้ลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ชักชวนประชาชนคัดค้านอย่างเต็มที่
ประชาชนที่ร่วมคัดค้านมีจำนวนมากเป็นประวัติการณ์ เขียนจดหมายไปขอให้สมาชิกวุฒิสภาต่อต้านไม่ยอมให้กฎหมายผ่าน ผลปรากฎว่าสมาชิกวุฒิสภาค้านกฎหมายฉบับนั้นด้วยคะแนน ๑๔๗ ต่อ ๑ ทั้งๆ ที่ผ่านความเห็นชอบจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอย่างท่วมท้น ๓ วาระแล้ว
ตามขั้นตอนของการพิจารณา เมื่อสมาชิกวุฒิสภาคว่ำร่างกฎหมายดังกล่าว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องทบทวนอีกครั้งหากลงมติยืนยัน ก็จะเป็นกฎหมายโดยสมบูรณ์ไม่มีการคัดค้านต่อไปอีก ประชาชนได้ทำตามที่ “พลตรีจำลอง ศรีเมือง” ขอร้อง ระดมเขียนจดหมายถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคัดค้านร่างกฎหมายทำแท้งเสรี
สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรฟังเสียงมหาชนจึงปล่อยให้กฎหมายตกไป ไม่มีใครกล้านำเข้าสู่สภาอีกเลย นับเป็นเวลา ๒๙ ปีจนถึงปัจจุบัน
คำอภิปรายของ พันเอกจำลอง ศรีเมือง สมาชิกวุฒิสภา
เมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๒๔
“ท่านประธานและท่านวุฒิสมาชิกที่เคารพครับ นับตั้งแต่มีการรณรงค์คัดค้านกฎหมายทำแท้งฉบับนี้เป็นต้นมา กระผมได้รับข้อมูลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ โดยเฉพาะสูติแพทย์ ทั่วทุกภาคของปะเทศ ได้พบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน โดยตรงเป็นส่วนใหญ่ ทำให้มั่นใจว่า การคัดค้านเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ยิ่งนานวันก็ยิ่งมีผู้คัดค้านกฎหมายทำแท้งมากขึ้นๆ ผู้สนับสนุนน้อยลงๆ เพราะฝ่ายคัดค้านได้ให้ข้อมูลเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นข้อมูลที่ถูกต้องตามความเป็นจริงทั้งสิ้น ดังเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า กฎหมายฉบับเก่าได้ใช้กันมาถึง ๒๔ ปี เป็นกฎหมายที่ดีอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงแก้ไขแต่อย่างใด
ปกติการที่จะแก้ไขสิ่งหนึ่งสิ่งใดนั้น จะกระทำก็ต่อเมื่อมั่นใจว่า ดีกว่าของเดิมอย่างเห็นได้ชัด กฎหมายฉบับนี้มีเสียงคัดค้านกันทั่ว ไม่ใช่เป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุ แต่เป็นการสร้างปัญหาเพิ่มขึ้น กฎหมายใหม่ฉบับนี้ ผิดทั้งทางโลกและทางธรรม
กระผมขอประทานกราบเรียนชี้แจงเป็นข้อๆ พร้อมทั้งอ้างหลักฐานทุกขั้นตอนมิได้กล่าวลอยๆ หรือด้นเดาเอาเอง แต่อย่างใด
ทางโลก เมื่อพิจารณากฎหมายใหม่นี้ทีละข้อแล้ว จะเห็นว่าไม่ถูกต้องคือ
ข้อหนึ่ง อนุญาตให้ทำแท้งได้ เพื่อสุขภาพทางกาย หรือสุขภาพทางจิตของหญิงผู้เป็นแม่
คำว่า “สุขภาพทางจิต” นั้น กว้างขวางมาก อาจจำมาอ้างกันง่ายๆ ทำให้กฎหมายใหม่ฉบับนี้ เป็นกฎหมายทำแท้งเสรี ท่านศาสตราจารย์นายแพทย์เสม พริ้งพวงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้อภิปรายออกอากาศที่กรมประชาสัมพันธ์เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคมนี้ ว่า “ลำพังข้อนี้ข้อเดียวก็สามารถทำแท้งได้ทุกราย”
ข้อสอง อนุญาตให้ทำแท้งได้ หากทารกในครรภ์คลอดออกมาจะพิการทางกายหรือจิต
ท่านศาสตราจารย์นายแพทย์เสม พริ้งพวงแก้ว ซึ่งเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลหญิง เคยทำคลอดมากว่า ๓๐ ปี ได้กล่าวไว้ในรัฐสภาแห่งนี้ ในการสัมมนาเมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ว่า เป็นการยากอย่างยิ่งที่จะตรวจว่าเด็กคลอดออกมาแล้ว จะพิการ แม้ขณะนี้วิทยาศาสตร์ทางการแพทย์จะเจริญขึ้นมากก็ตาม ก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำการตรวจ ที่ว่าแม่เป็นหัดเยอรมันแล้ว ลูกออกมาจะพิการ ก็ไม่แน่ อธิการบดีท่านหนึ่งพาภรรยาที่เป็นหัดเยอรมันตั้งครรภ์ได้ ๓ เดือน มาพบกับท่านศาสตราจารย์นายแพทย์เสม พริ้งพวงแก้ว เพื่อขอให้ทำแท้งโดยเกรงว่าลูกออกมาแล้วจะพิการ ท่านนายแพทย์เสม ก็ยับยั้งไว้ เด็กคลอดออกมาก็ปรากฎว่าครบอาการ ๓๒ บริบูรณ์ ขณะนี้เด็กจบปริญญาแล้ว พบกันที่ใดก็ตาม ท่านอธิการบดีท่านนั้นจะให้เด็กไปกราบไหว้ท่านศาสตราจารย์นายแพทย์เสม ที่ได้กรุณาช่วยชีวิตไว้
ผู้เสนอกฎหมาย อ้างเหตุผลสำหรับข้อนี้ว่า เพื่อเศรษฐกิจและสังคมหากเด็กคลอดออกมาแล้วพิการจะไม่เพิ่มผลผลิต เสียเศรษฐกิจ ใครพบเห็นก็เวทนา ถ้าเรารับหลักการข้ออ้างนี้จะเป็นอันตรายอย่างยิ่ง มีกลุ่มชนอีกหลายกลุ่มที่เข้าข่ายหลักการนี้ แต่ละกลุ่มมีจำนวนมากมายกว่าเด็กที่จะเกิดมาแล้วพิการหลายเท่านัก เช่น คนแก่ที่เป็นโรคร้ายแรงรักษาไม่หาย และคนที่เกิดมาแล้วพิการภายหลัง จากอุบัติเหตุหรือจากการสู้รบกับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ เป็นต้น
ศาสตราจารย์แพทย์หญิงคุณมานา บุญคั้นผล ซึ่งเป็นอาจารย์และเป็นสูติแพทย์มากกว่า ๓๐ ปี ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลเซ็นต์หลุย ได้กล่าวที่คณะสาธารณสุขศาสตร์เมื่อวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ว่า ประเทศที่ออกกฎหมายทำแท้งเสรีหลายประเทศ หลังจากที่ได้ออกกฎหมายทำแท้งเสรีแล้ว ได้ออกกฎหมายตามมาภายหลัง อนุญาตให้ใช้หลักการอูทานนาเซีย คือ หลักการที่ให้กลุ่มชนที่ไร้ประโยชน์เหล่านั้นตายอย่างสงบ ข้อนี้จึงไม่มีเหตุผลอีกเช่นกันครับ และเป็นอันตรายอย่างยิ่ง
ข้อสาม อนุญาตให้ทำแท้งได้ เมื่อการคุมกำเนิดของหญิงหรือสามีซึ่งได้กระทำภายใต้การควบคุมตามคำสั่งของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมแล้วไม่ได้ผล ข้อนี้แหละครับที่ทำให้กฎหมายทำแท้งฉบับใหม่ เป็นกฎหมายทำแท้งเสรียิ่งขึ้น
นายแพทย์สุวัฒน์ จันทรจำนง สูติแพทย์แห่งวชิรพยาบาลและเป็นกรรมการบริหารของสมาคมสูตินารีแพทย์แห่งประเทศไทย ได้กล่าวยืนยันไว้ในเอกสารที่มีถึงท่านวุฒิสภาชิก ลงวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ว่า ข้อที่อนุญาตให้ทำแท้งได้ เมื่อการคุมกำเนิดผิดพลาดนี้ ใครจะพิสูจน์ได้ว่าเหตุผลนั้นเป็นความจริง และวงการแพทย์ก็ยืนยันว่า การตั้งครรภ์เนื่องมาจากความล้มเหลวในการคุมกำเนิดนั้น อัตราต่ำมาก ไม่ว่าจะเป็นการกินยา ฉีดยา ใส่ห่วงหรือทำหมัน รวมค่าเฉลี่ยแล้วการคุมกำเนิดมีโอกาสผิดพลาดได้ไม่เกินร้อยละหนึ่ง
นอกจากนั้น ยังไม่ถูกต้องตามกระบวนการยุติธรรมอีกด้วย หากคุมกำเนิดแล้วผิดพลาด ผู้ที่กระทำความผิดก็คือผู้หญิง ผู้ชาย หรือหมอ เด็กที่อยู่ในท้องไม่ได้มีความผิดอะไรจะไปลงโทษได้อย่างไร ที่อ้างกันว่ากฎหมายมาตราอื่นๆ ได้ประหารคนมาแล้วนับจำนวนมากขึ้น กฎหมายก็ได้ประหารแต่เฉพาะผู้กระทำผิดเท่านั้น นอกจากนี้ กฎหมายยังได้เอื้อมมือไปคุ้มครองสัตว์เดรัจฉานหลายชนิดที่อยู่ในดงในป่าอีกด้วย ทำไมกฎหมายจึงจะกลับมาอนุญาตให้ฆ่าเด็กในท้องได้
ส่วนข้อที่สี่นั้น เหมือนกับกฎหมายเก่า ซึ่งได้ใช้มาด้วยดีตลอด ๒๔ ปี กระผมจะขออนุญาตไม่กล่าวถึง ท่านประธานและท่านวุฒิสมาชิกที่เคารพครับ นอกเหนือจากที่ระบุไว้ในกฎหมายแล้ว ผู้เสนอยังได้อ้างเหตุผลอื่นๆ ประกอบอีกประการแรกอ้างว่า กฎหมายใหม่ฉบับนี้ออกมาแล้วจะลดจำนวนหมอเถื่อนลง ข้อนี้ตรงกันข้ามครับ
รองศาสตราจารย์นายแพทย์บรรพต บุญยศิริ นายกสมาคมสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทยได้กล่าวยืนยันที่สภาแห่งนี้ เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ในการสัมมนาผลกระทบจากกฎหมายทำแท้งฉบับนี้ว่า หลังจากออกกฎหมายทำแท้งฉบับนี้ไปแล้ว หมอเถื่อนจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
กฎหมายใหม่เปิดโอกาสให้ทำแท้งง่ายขึ้น คนจะทำแท้งมากขึ้น แต่หมอปริญญาที่จะทำแท้งมีจำนวนเท่าเดิม คนไข้จะต้องไปหาหมอเถื่อนมากขึ้น อีกอย่างหนึ่งหมอปริญญาย่อมเรียกค่าทำแท้งสูงขึ้น ผู้ที่จะทำแท้งสู้ราคาไม่ไหว ก็ต้องไปหาหมอเถื่อนเพิ่มขึ้นอยู่ดี
มีสถิติปรากฎในหลายประเทศว่า หลังจากออกกฎหมายเสรีแล้วการลักลอบทำแท้งกับหมอเถื่อนนั้นจะมีเพิ่มขึ้น เช่น จากวารสารของสมาคมจิตแพทย์ ประเทศโรมาเนีย ได้ใช้กฎหมายทำแท้งเสรีตั้งแต่คริสต์ศักราช ๑๙๕๖ ถึงคริสต์ศักราช ๑๙๖๕ ปรากฏว่า การลักลอบทำแท้งกับหมอเถื่อนได้เพิ่มขึ้นถึง หนึ่งล้านหนึ่งหมื่นห้าพันราย ในรอบปีต่อมาประเทศโรมาเนียก็ได้ออกกฎหมายห้ามทำแท้ง กลับอย่างเก่าอีก
ที่กระผมว่าหมอปริญญาที่ทำแท้งมีจำนวนเท่าเดิมนั้น ท่านศาสตราจารย์แพทย์หญิงคุณมานา บุญคั้นผล ได้ยกตัวอย่างว่าโรงพยาบาลจุฬาฯ มีสูติแพทย์ ๔๐ กว่าคน แต่จะสมัครใจทำแท้งให้แก่หญิงมีครรภ์อยู่ ๒-๓ คนเท่านั้น เมื่อกฎหมายใหม่ออกมา หมอที่สมัครใจจะทำแท้งก็ยังมี ๒-๒ คนเท่าเดิม เพราะเป็นเหตุผลส่วนตัว ซึ่งใครจะไปบังคับเขาไม่ได้ โอกาสนี้น่าวิตกยิ่งครับ
น่าวิตกอย่างยิ่ง สำหรับคนยากจนที่ไปตั้งความหวังผิดๆ เอาไว้ว่า ถ้ากฎหมายใหม่นี้ออกมา ตนก็สามารถจะไปทำแท้งได้ฟรีกับหมอปริญญาที่อยู่ตามโรงพยาบาลของรัฐ ซึ่งจะต้องผิดหวัง เพราะหมอทำแท้งมีไม่พอบางท่านคาดการณ์เอาว่า เมื่อกฎหมายใหม่ออกมาหญิงที่ทำแท้งจะไม่มากขึ้นเพราะการทำแท้งไม่ใช่ของเอร็ดอร่อยอะไร ท่านวุฒิสมาชิกผู้ทรงเกียรติครับ การขโมย การปล้นสะดม ก็ไม่ใช่ของเอร็ดอร่อยเหมือนกัน ถ้าโอกาสอำนวยมากขึ้น เจ้าของไม่ใส่กลอนประตูหน้าต่างให้เรียบร้อย ไม่มีรั้วรอบขอบชิด ขโมยย่อมเพิ่มขึ้นมากแน่ๆ ทั้งๆที่รู้แล้วว่า ถ้าพลาดอาจจะถูกจับติดคุกติดตะราง และถูกยิงถึงแก่ความตายได้
นายแพทย์วิรัตน์ อนันต์วรนิจ สูติแพทย์แห่งโรงพยาบาลสงขลา ได้ไปร่ำเรียนที่ประเทศอังกฤษนับตั้งแต่อายุ ๑๖ ปี ได้ยืนยันในการอภิปรายที่สงขลาเมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม นี้ว่า การออกกฎหมายทำแท้งเสรีของประเทศอังกฤษนั้นได้ปรากฎผลออกมาแล้ว คือก่อนออกกฎหมายทำแท้งเสรีนั้น ที่ประเทศอังกฤษมีผู้ทำแท้งร้อยละ ๓ หลังจากออกกฎหมายทำแท้งเสรีแล้วผู้ทำแท้งเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ ๓๐
ประการที่สอง ผู้สนับสนุนกฎหมายใหม่ฉบับนี้ ได้อ้างถึงเด็กขาดรักว่า ถ้าพ่อแม่ไม่ต้องการ ปล่อยให้เด็กคลอดออกมา เด็กจะเป็นปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม จะติดยาเสพติดและเป็นอาชญากรต่อไป ข้อนี้ศาสตราจารย์นายแพทย์เสม พริ้งพวงแก้ว ได้อภิปรายออกอากาศทางวิทยุกรมประชาสัมพันธ์ เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม นี้ว่า ไม่แน่เสมอไปที่เด็กขาดรักจะเสียหาย โดยท่านได้ยกตัวอย่างชีวกโกมารภัจจ์ อาจารย์แพทย์เก่าแก่ของโลกก็เป็นเด็กขาดรักเช่นกัน มารดาเป็นหญิงโสเภณีเสียด้วยซ้ำ เด็กที่พ่อแม่รักเสียอีก เกิดมาแล้วไม่ดีมีจำนวนมากมาย เป็นปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมก็เห็นๆกันอยู่
อีกประการหนึ่ง ถ้าจะพิจารณาหลักการของกฎหมายก็ไม่ถูกต้อง เพราะการทำแท้งกรณีนี้ เป็นการตัดสินล่วงหน้าว่า ถ้าปล่อยให้เขาเกิดมาเขาจะเลว แต่ที่ศาลตัดสินแล้วไม่ดีอยู่ในคุกในตะรางเป็นแสนๆคน เสียทั้งเศรษฐกิจและสังคมอยู่แล้ว เรายังเลี้ยงเขาได้
ประการที่สาม อ้างว่าคนเกิดมามาก เลยต้องให้ทำแท้งง่ายๆ ท่านสมาชิกผู้ทรงเกียรติครับ ถ้าปล่อยให้กฎหมายทำแท้งฉบับนี้ผ่านด้วยเหตุผลนี้ละก็ แสดงว่าเราหวาดกลัวเหลือเกิน เรากลัวแม้กระทั่งเด็กที่ยังอยู่ในท้องแม่ว่าจะมาแย่งเราอยู่ มาแย่งเรากิน การทำแท้งหรือการฆ่าไม่ใช่การคุมกำเนิด ถ้าใช่ ต่อไปก็อาจจะมีการส่งเสริมให้คนตายในวิธีอื่นๆ ที่ง่ายกว่านี้เพื่อให้อัตราเกิดต่ำสุด เมื่อนั้นก็ถึงซึ่งกลียุค
ทางธรรม เนื่องจากกฎหมายทำแท้งฉบับนี้ เปิดโอกาสให้ฆ่าเด็กบริสุทธิ์ ได้ง่ายขึ้น ศาสนาใหญ่ๆ ทั้งสามของโลกที่มีอยู่ในเมืองไทยขณะนี้ คือ ศาสนาพุทธ ศาสนาศริสต์ และศาสนาอิสลาม จึงยืนหยัดคัดค้านว่าขัดต่อหลักธรรมคำสั่งสอนของศาสนาอย่างยิ่ง ท่านวุฒิสมาชิกผู้ทรงเกียรติครับ หากวุฒิสมาชิกยอมให้กฎหมายผ่านไปในวันนี้ เราคงจะพูดด้วยความภาคภูมิใจอีกต่อไปไม่ได้ว่า ประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งศาสนา และประเทศไทยเป็นดินแดนที่พระพุทธศาสนาเจริญที่สุดในโลก เพราะกฎหมายทำแท้งเสรีฉบับนี้ได้ลบล้างศีลทั้ง ๕ ข้อ ของพระพุทธองค์ทั้งหมดโดยสิ้นเชิง เปิดโอกาสให้ฆ่าเด็กที่อยู่ในท้องเปิดโอากาสให้ปล้นชีวิตให้สำส่อนทางกาม ให้โป้ปดมดเท็จโดยอ้างสาเหตุในการทำแท้ง และขาดสติยั้งคิดเสียยิ่งกว่าเสพของมึนเมาใดๆ ศีลห้าจะหมดไป ด้วยกฎหมายใหม่ฉบับนี้ คุณธรรมอื่นๆ จะเสื่อมสลายไปด้วย
ณ สภาอันทรงเกียรติแห่งนี้ สมาชิกชองสภาทั้งสองได้อภิปรายแล้วว่าปัญหาของบ้านเมืองที่เป็นอยู่ขณะนี้ เรายังไม่สามารถแก้ไขไปได้ด้วยดี ก็เพราะว่าเรายังมีการกอบโกยขูดรีดกันอยู่ ท่านสมาชิกผู้ทรงเกียรติครับ อันการกอบโกยขูดรีดนั้น เป็นเพียงศีลละเอียดๆ ของศีลข้อที่สองเท่านั้น ถ้าเราปล่อยให้กฎหมายฉบับนี้ผ่านไป ได้ทำลายศีลหยาบๆ ที่เห็นชัดๆ ถึง ๕ ข้อแล้ว ก็ป่วยการจะกล่าวไปไยกับศีลละเอียดข้ออื่นๆ
ท่านศาสตราจารย์นายแพทย์บุญธรรม สุนทรเกียรติ ประธานมูลนิธิวิจัยทางการแพทย์แห่งวชิรพยาบาล และกรรมการผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขาขององค์การอนามัยโลก ได้กล่าวไว้ในเอกสารที่มีถึงวุฒิสมาชิกเมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคมนี้ หากกฎหมายฉบับนี้ออกมา แพทย์กลุ่มหนึ่งที่ตั้งหน้าตั้งตาทำแท้งจะร่ำรวยมาก เช่นเดียวกับนักทำแท้งอาชีพในอังกฤษ และสหรัฐอเมริกา ส่วนแพทย์ที่ลักลอบทำแท้งเป็นปกติอยู่ก่อนแล้ว ก็จะทำโดยออกหน้าออกตา ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ อีกต่อไป เมืองไทยจะถึงซึ่งความหมดเนื้อหมดตัว ในเรื่องเมตตาที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกันต่างก็จะเอาตัวรอด
กฎหมายใหม่ฉบับนี้ สนับสนุนให้ชายหญิงขาดความรับผิดชอบ ซึ่งขณะนี้ความไม่รับผิดชอบของคนเราก็มีมากอยู่แล้ว จะเสริมให้มากยิ่งๆ ขึ้นไปอีก ปัญหาต่างๆ ก็จะตามมา คณะสูติแพทย์ โรงพยาบาลสระบุรี นำโดยแพทย์หญิงประไพ สุดบรรทัด แพทย์หญิงเสริมทรัพย์ ดำรงรัตน์ และแพทย์หญิงภรณี วรานันตกุล ได้กล่าวไว้ในเอกสารที่มีถึงท่านวุฒิสมาชิกเมื่อวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ว่า
“แพทย์มีหน้าที่ช่วยเหลือชีวิตมนุษย์ มิใช่คอยทำลายล้าง ขออย่าได้ยืมมือนายแพทย์ไปเป็นฆาตกร เพื่อสนองกามราคะของประชาชนผู้ไร้ศีลธรรมเลย โลกจะเป็นกลียุคมากกว่านี้ เพราะขนาดยังไม่ได้ทำแท้งเสรีจิตใจก็เหี้ยมโหดฆ่ากันอยู่แล้วทุกวัน”
ลูกมีสิทธิที่จะถูกแม่และพ่อฆ่าได้ นั่นหรือความหวังดีที่แม่และพ่อมอบไว้ให้แก่ลูก
ความรักระหว่างลูกกับแม่และพ่อนั้น จะกลายเป็นความรักที่มีเงื่อนไขเสียแล้ว เงื่อนไขของความพร้อมไม่พร้อม เงื่อนไขของความคุ้มไม่คุ้ม และเงื่อนไขของกำไรขาดทุน
บทเพลงสรรเสริญพระคุณแม่และพ่อ ที่สรรเสริญอย่างสุดรักสุดบูชานั้น คงจะโยนทิ้งได้แล้วถ้ากฎหมายฉบับนี้ผ่าน
เท่าที่กระผมได้กราบเรียนมาแล้ว ท่านวุฒิสมาชิกคงจะเห็นได้ชัดว่ากฎหมายใหม่ฉบับนี้ ผิดทั้งทางโลกและทางธรรม ไม่ใช่แก้ปัญหาปลายเหตุแต่เป็นการสร้างปัญหาเพิ่มขึ้น ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติควรยับยั้งแล้วใช้กฎหมายเก่า โดยสนับสนุนส่งเสริมวิธีการต่างๆ ที่มีอยู่แล้วในขณะนี้ เพื่อลดการทำแท้งให่ได้ผลยิ่งขึ้น
วิธีที่หนึ่ง การคุมกำหนัด อย่างเช่นในศาสนาพุทธสอนให้ถือศีล ๕ เมื่อประชาชนถือศีลห้า โอกาสที่จะไปผิดลูกเขาเมียเขาก็ไม่มี โอกาสที่จะตั้งครรภ์โดยผิดประเพณีก็ไม่มี โอกาสที่จะไปทำแท้งก็มีโอกาสน้อย
วิธีที่สอง ลดกำหนัด ต้องเข้มงวดกวดขันแหล่งโลกีย์ บาร์ไนต์คลับ อาบ อบ นวด โรงแรมม่านรูด ช่องโสเภนี หนังโป๊ หนังสือโป๊ เทปลามกตลอดจนการแต่งกายของหญิงสาวที่เปิดโน่น เปิดนี่ เบนความสนใจของหนุ่มสาวให้ไปสนใจกีฬาดนตรี และกิจกรรมที่ดีอื่นๆ
วิธีที่สาม คุมกำเนิด ขณะนี้กำลังทำได้ผลอยู่แล้ว มีทั้งเจกยา แจกห่วง แจกถุงหรือคุมโดยธรรมชาติ เช่น วันโกนก็ให้ละ วันพระก็ให้เว้นเสียบ้าง
วิธีที่สี่ สังคมสงเคราะห์ ขณะนี้มีชมรมมูลนิธิสมาคมรับแก้ปัญหาการทำแท้งอยู่แล้ว โดยพูดจาหว่านล้อมยับยั้งการทำแท้ง ฝึกอาชีพให้ รับหาพ่อแม่ของเด็กที่จะคลอดออกมาและรับเลี้ยงดู ให้การศึกษาแก่เด็ก แม่หลายรายได้เปลี่ยนใจเมื่อคลอดออกมาแล้ว เพราะเห็นลูกที่ออกมานั้นน่ารัก เนื่องจากตนได้อุ้มท้องมาเป็นเวลา ๘ เดือน ๙ เดือน ก็เปลี่ยนความคิดเสียใหม่หาทางออกได้เอง โดยนำไปฝากปู่ย่าตายายเลี้ยงไว้ก็มีมาก
ท่านวุฒิสมาชิกผู้ทรงเกียรติครับ นี่มันเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมานี้ ถึงกับท่านสมาชิกผู้แทนราษฎรต้องรีบพิจารณา แทนที่จะพิจารณาเรื่องอื่นๆ นั้น ก็เพราะผู้เสนอกฎหมายทำแท้งฉบับนี้ได้ให้ข้อมูลว่า ประเทศไทยมีการลักลอบทำแท้งไม่ต่ำกว่าปีละ ๑ ล้านคน โดยถือสถิติจากหนังสือ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทำแท้งในประเทศไทยหน้า ๑๔๑ แต่งโดยศาสตราจารย์นายแพทย์สุพร เกิดสว่าง เรื่องนี้ นายแพทย์เสม พริ้งพวงแก้ว ได้กล่าวยืนยันที่รัฐสภาแห่งนี้ เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคมว่า ตัวเลขนี้ไม่ถูกต้อง ที่ถูกต้องจะต้องต่ำกว่านี้มาก เพราะหญิงตั้งครรภ์ในเมืองไทยมีประมาณปีละ ๑ ล้านกว่าๆ แล้วก็แท้งเองโดยธรรมชาติเสีย ๑ แสน ถ้าการลักลอบทำแท้งปีละ ๑ ล้านคนจริง ก็แสดงว่าหญิงที่ตั้งครรภ์เกือบทุกคนจะต้องไปลักลอบทำแท้ง ซึ่งเป็นไปไม่ได้
เรื่องที่ปรากฎตามโรงพยาบาลต่างๆ นั้น มีเป็นจำนวนพันเท่านั้น ตามเอกสารที่นายแพทย์สุวัฒน์ จันทร์จำนง ได้ส่งถึงท่านวุฒิสมาชิกเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๒๔ แล้วท่านวุฒิสมาชิกที่เคารพครับ เกี่ยวกับกฎหมายทำแท้งฉบับใหม่นี้ ผู้ที่รู้เรื่องดีที่สุด และต้องเป็นผู้ลงมือปฏิบัติจริงๆ ก็คือ สูติแพทย์ เราจะไม่พิจารณาความเห็นของผู้แทนท่านเหล่านั้นดูบ้างหรือครับสูติแพทย์ทั่วประเทศมีประมาณ ๔๐๐ กว่าๆ ได้คัดเลือกตัวแทนเข้าไปเป็นกรรมการบริหารเมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายนนี้
กรรมการบริหารของสูติแพทย์แห่งประเทศไทย ได้ประชุมกัน ๑๑ ท่านเห็นด้วยกับกฎหมายทำแท้งฉบับนี้เพีง ๑ ท่าน ไม่ออกเสียง ๒ ท่าน มีคัดค้านมากถึง ๘ ท่าน ด้วยเหตุผลสรุปได้ ๙ ข้อ คือ
ข้อหนึ่ง จะไม่เกิดผลปฏิบัติต่อแพทย์โดยทั่วไป เพราะขัดกับความรู้สึกในด้านศีลธรรมและจรรยาบรรณของแพทย์
ข้อสอง หญิงที่จะมาขอรับการทำแท้งจะเพิ่มมากขึ้น
ข้อสาม โรคแทรกซ้อนและผลเสียหายต่อผู้ใช้บริการ ที่ติดตามมาจะมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม
ข้อสี่ ในต่างจังหวัด แพทย์ภาครัฐบาลที่ขาดแคลนในการรักษาโรคให้แก่ประชาชนอยู่แล้ว จะขาดแคลนยิ่งขึ้น
ข้อห้า ไม่สามารถลดอัตราเพิ่มของประชากร ซึ่งกำหนดในแผนพัฒนาสาธารณสุขฉบับที่ห้าได้ โดยถือเอาการทำแท้งเป็นวิธีการคุมกำเนิด
ข้อหก อัตราตายจากหญิงที่ทำแท้งไม่มากมายเหมือยอย่างที่อ้างกันจากวารสารการแพยท์ที่เชื่อถือได้ ในกรุงเทพฯ จะตายไม่ถึง ๒๐ รายต่อปี
ข้อเจ็ด กฎหมายเดิมเปิดโอกาสให้แพทย์ทำแท้งหญิงได้อยู่แล้ว
ข้อแปด จะทำให้สังคมเสื่อม ไร้จริยธรรมและคุณธรรม
ข้อเก้า การแก้ปัญหาเศรษฐกิจสังคมของชาติ ไม่มีความจำเป็นจะต้องออกกฎหมายมาให้แพทย์ ซึ่งมีหน้าที่ช่วยเหลือชีวิตของมนุษยชาติ ต้องทำหน้าที่ฆ่าชีวิตที่กำลังจะเกิดโดยไร้ความผิด
ท่านประธานและท่านวุฒิสมาชิกผู้ทรงเกียรติครับ จากจดหมายที่หลั่งไหลมาทั่วสารทิศถึงท่านทั้งหลายนั้น แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจ ความไว้วางใจ ที่ประชาชนมีต่อวุฒิสมาชิก เขาเหล่านั้นฝากความหวังไว้กับท่านวุฒิสมาชิกทั้งหลาย ได้โปรดช่วยกันกลั่นกรองกฎหมายให้มีความรัดกุม มีความสุขุม และรอบคอบ
กระผมใคร่กราบเรียนวิงวอนท่านวุฒิสมาชิกทั้งหลาย ได้โปรดยับยั้งกฎหมายทำแท้งฉบับนี้ ซึ่งก็มิใช่เป็นการยับยั้งเสียทีเดียว เป็นเพียงส่งกลับไปให้ท่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้มีโอกาสทบทวนอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้มีเวลารับทราบข้อมูลเพิ่มขึ้น
กระผมขอขอบพระคุณ ณ ที่นี้เป็นอย่างยิ่งครับ”
เป็นคำอภิปรายที่ทรงคุณค่า มีเหตุมีผล มีการอ้างอิงผู้รู้
ผ่านมา 29 ปีก็ยังใช้ได้ นักการเมืองปัจจุบันจะหาแบบ
ท่านจำลองไม่มีแล้ว วังเวงกับบ้านเมืองครับ
คนไทย
เรื่องการทำแท้งเถื่อนยังอยู่ในความสนใจของผู้คนในวงสังคม และพวกเราหลายคนได้ทำหน้าที่สื่อ แพร่ข่าวและเสนอความคิดเห็นเป็นระยะๆ
นักการเมืองกำลังจะเสนอแก้กฎหมายทำแท้ง ให้ทำแท้งง่ายขึ้น จะร่างกฎหมายใหม่อย่างไร โดยรวมแล้วก็คงเหมือนๆ กับเมื่อ ๒๙ ปีที่แล้ว
ผมเคยค้านเรื่องนี้มาก่อน จึงเสนอความเป็นมาให้ทราบ ส่วนจะคิดเหมือนกับผมหรือไม่ ไม่เป็นไรครับ
พล.ต.จำลอง ศรีเมือง
๒๙ พ.ย.๕๓
การแก้ปัญหาการทำแท้ง
เมื่อมีการทำแท้งเถื่อนมากขึ้น ก็มักจะเสนอให้แก้กฎหมายทำแท้งที่มีอยู่เดิมให้เป็นกฎหมายทำแท้งเสรี คือให้ทำแท้งได้ง่ายขึ้น เป็นการแก้ที่ผิดทาง ไม่สามารถแก้ปัญหาได้เลย ต้องแก้โดยวิธีอื่น
กฎหมายทำแท้งที่มีอยู่เดิมอนุญาตให้ทำแท้งได้ ถ้าจะเป็นอันตรายต่อหญิงผู้เป็นแม่ หรือหญิงนั้นถูกข่มขืน และต้องทำแท้งโดย แพทย์ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมตามกฎหมาย
กฎหมายทำแท้งเสรีถูกคว่ำไปเมื่อ ๒๙ ปีก่อน
ปี พ.ศ. ๒๕๒๔ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เสนอร่างกฎหมายใหม่เพื่อแก้กฎหมายเก่าที่ใช้มา ๒๔ ปีแล้ว ให้ทำแท้งได้ง่ายมาก เท่ากับอนุญาตให้ทำแท้งเสรีนั่นเอง ตอนนั้น “พลตรีจำลอง ศรีเมือง” เป็นสมาชิกวุฒิสภาและเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้ลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ชักชวนประชาชนคัดค้านอย่างเต็มที่
ประชาชนที่ร่วมคัดค้านมีจำนวนมากเป็นประวัติการณ์ เขียนจดหมายไปขอให้สมาชิกวุฒิสภาต่อต้านไม่ยอมให้กฎหมายผ่าน ผลปรากฎว่าสมาชิกวุฒิสภาค้านกฎหมายฉบับนั้นด้วยคะแนน ๑๔๗ ต่อ ๑ ทั้งๆ ที่ผ่านความเห็นชอบจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอย่างท่วมท้น ๓ วาระแล้ว
ตามขั้นตอนของการพิจารณา เมื่อสมาชิกวุฒิสภาคว่ำร่างกฎหมายดังกล่าว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องทบทวนอีกครั้งหากลงมติยืนยัน ก็จะเป็นกฎหมายโดยสมบูรณ์ไม่มีการคัดค้านต่อไปอีก ประชาชนได้ทำตามที่ “พลตรีจำลอง ศรีเมือง” ขอร้อง ระดมเขียนจดหมายถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคัดค้านร่างกฎหมายทำแท้งเสรี
สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรฟังเสียงมหาชนจึงปล่อยให้กฎหมายตกไป ไม่มีใครกล้านำเข้าสู่สภาอีกเลย นับเป็นเวลา ๒๙ ปีจนถึงปัจจุบัน
คำอภิปรายของ พันเอกจำลอง ศรีเมือง สมาชิกวุฒิสภา
เมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๒๔
“ท่านประธานและท่านวุฒิสมาชิกที่เคารพครับ นับตั้งแต่มีการรณรงค์คัดค้านกฎหมายทำแท้งฉบับนี้เป็นต้นมา กระผมได้รับข้อมูลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ โดยเฉพาะสูติแพทย์ ทั่วทุกภาคของปะเทศ ได้พบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน โดยตรงเป็นส่วนใหญ่ ทำให้มั่นใจว่า การคัดค้านเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ยิ่งนานวันก็ยิ่งมีผู้คัดค้านกฎหมายทำแท้งมากขึ้นๆ ผู้สนับสนุนน้อยลงๆ เพราะฝ่ายคัดค้านได้ให้ข้อมูลเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นข้อมูลที่ถูกต้องตามความเป็นจริงทั้งสิ้น ดังเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า กฎหมายฉบับเก่าได้ใช้กันมาถึง ๒๔ ปี เป็นกฎหมายที่ดีอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงแก้ไขแต่อย่างใด
ปกติการที่จะแก้ไขสิ่งหนึ่งสิ่งใดนั้น จะกระทำก็ต่อเมื่อมั่นใจว่า ดีกว่าของเดิมอย่างเห็นได้ชัด กฎหมายฉบับนี้มีเสียงคัดค้านกันทั่ว ไม่ใช่เป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุ แต่เป็นการสร้างปัญหาเพิ่มขึ้น กฎหมายใหม่ฉบับนี้ ผิดทั้งทางโลกและทางธรรม
กระผมขอประทานกราบเรียนชี้แจงเป็นข้อๆ พร้อมทั้งอ้างหลักฐานทุกขั้นตอนมิได้กล่าวลอยๆ หรือด้นเดาเอาเอง แต่อย่างใด
ทางโลก เมื่อพิจารณากฎหมายใหม่นี้ทีละข้อแล้ว จะเห็นว่าไม่ถูกต้องคือ
ข้อหนึ่ง อนุญาตให้ทำแท้งได้ เพื่อสุขภาพทางกาย หรือสุขภาพทางจิตของหญิงผู้เป็นแม่
คำว่า “สุขภาพทางจิต” นั้น กว้างขวางมาก อาจจำมาอ้างกันง่ายๆ ทำให้กฎหมายใหม่ฉบับนี้ เป็นกฎหมายทำแท้งเสรี ท่านศาสตราจารย์นายแพทย์เสม พริ้งพวงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้อภิปรายออกอากาศที่กรมประชาสัมพันธ์เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคมนี้ ว่า “ลำพังข้อนี้ข้อเดียวก็สามารถทำแท้งได้ทุกราย”
ข้อสอง อนุญาตให้ทำแท้งได้ หากทารกในครรภ์คลอดออกมาจะพิการทางกายหรือจิต
ท่านศาสตราจารย์นายแพทย์เสม พริ้งพวงแก้ว ซึ่งเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลหญิง เคยทำคลอดมากว่า ๓๐ ปี ได้กล่าวไว้ในรัฐสภาแห่งนี้ ในการสัมมนาเมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ว่า เป็นการยากอย่างยิ่งที่จะตรวจว่าเด็กคลอดออกมาแล้ว จะพิการ แม้ขณะนี้วิทยาศาสตร์ทางการแพทย์จะเจริญขึ้นมากก็ตาม ก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำการตรวจ ที่ว่าแม่เป็นหัดเยอรมันแล้ว ลูกออกมาจะพิการ ก็ไม่แน่ อธิการบดีท่านหนึ่งพาภรรยาที่เป็นหัดเยอรมันตั้งครรภ์ได้ ๓ เดือน มาพบกับท่านศาสตราจารย์นายแพทย์เสม พริ้งพวงแก้ว เพื่อขอให้ทำแท้งโดยเกรงว่าลูกออกมาแล้วจะพิการ ท่านนายแพทย์เสม ก็ยับยั้งไว้ เด็กคลอดออกมาก็ปรากฎว่าครบอาการ ๓๒ บริบูรณ์ ขณะนี้เด็กจบปริญญาแล้ว พบกันที่ใดก็ตาม ท่านอธิการบดีท่านนั้นจะให้เด็กไปกราบไหว้ท่านศาสตราจารย์นายแพทย์เสม ที่ได้กรุณาช่วยชีวิตไว้
ผู้เสนอกฎหมาย อ้างเหตุผลสำหรับข้อนี้ว่า เพื่อเศรษฐกิจและสังคมหากเด็กคลอดออกมาแล้วพิการจะไม่เพิ่มผลผลิต เสียเศรษฐกิจ ใครพบเห็นก็เวทนา ถ้าเรารับหลักการข้ออ้างนี้จะเป็นอันตรายอย่างยิ่ง มีกลุ่มชนอีกหลายกลุ่มที่เข้าข่ายหลักการนี้ แต่ละกลุ่มมีจำนวนมากมายกว่าเด็กที่จะเกิดมาแล้วพิการหลายเท่านัก เช่น คนแก่ที่เป็นโรคร้ายแรงรักษาไม่หาย และคนที่เกิดมาแล้วพิการภายหลัง จากอุบัติเหตุหรือจากการสู้รบกับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ เป็นต้น
ศาสตราจารย์แพทย์หญิงคุณมานา บุญคั้นผล ซึ่งเป็นอาจารย์และเป็นสูติแพทย์มากกว่า ๓๐ ปี ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลเซ็นต์หลุย ได้กล่าวที่คณะสาธารณสุขศาสตร์เมื่อวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ว่า ประเทศที่ออกกฎหมายทำแท้งเสรีหลายประเทศ หลังจากที่ได้ออกกฎหมายทำแท้งเสรีแล้ว ได้ออกกฎหมายตามมาภายหลัง อนุญาตให้ใช้หลักการอูทานนาเซีย คือ หลักการที่ให้กลุ่มชนที่ไร้ประโยชน์เหล่านั้นตายอย่างสงบ ข้อนี้จึงไม่มีเหตุผลอีกเช่นกันครับ และเป็นอันตรายอย่างยิ่ง
ข้อสาม อนุญาตให้ทำแท้งได้ เมื่อการคุมกำเนิดของหญิงหรือสามีซึ่งได้กระทำภายใต้การควบคุมตามคำสั่งของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมแล้วไม่ได้ผล ข้อนี้แหละครับที่ทำให้กฎหมายทำแท้งฉบับใหม่ เป็นกฎหมายทำแท้งเสรียิ่งขึ้น
นายแพทย์สุวัฒน์ จันทรจำนง สูติแพทย์แห่งวชิรพยาบาลและเป็นกรรมการบริหารของสมาคมสูตินารีแพทย์แห่งประเทศไทย ได้กล่าวยืนยันไว้ในเอกสารที่มีถึงท่านวุฒิสภาชิก ลงวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ว่า ข้อที่อนุญาตให้ทำแท้งได้ เมื่อการคุมกำเนิดผิดพลาดนี้ ใครจะพิสูจน์ได้ว่าเหตุผลนั้นเป็นความจริง และวงการแพทย์ก็ยืนยันว่า การตั้งครรภ์เนื่องมาจากความล้มเหลวในการคุมกำเนิดนั้น อัตราต่ำมาก ไม่ว่าจะเป็นการกินยา ฉีดยา ใส่ห่วงหรือทำหมัน รวมค่าเฉลี่ยแล้วการคุมกำเนิดมีโอกาสผิดพลาดได้ไม่เกินร้อยละหนึ่ง
นอกจากนั้น ยังไม่ถูกต้องตามกระบวนการยุติธรรมอีกด้วย หากคุมกำเนิดแล้วผิดพลาด ผู้ที่กระทำความผิดก็คือผู้หญิง ผู้ชาย หรือหมอ เด็กที่อยู่ในท้องไม่ได้มีความผิดอะไรจะไปลงโทษได้อย่างไร ที่อ้างกันว่ากฎหมายมาตราอื่นๆ ได้ประหารคนมาแล้วนับจำนวนมากขึ้น กฎหมายก็ได้ประหารแต่เฉพาะผู้กระทำผิดเท่านั้น นอกจากนี้ กฎหมายยังได้เอื้อมมือไปคุ้มครองสัตว์เดรัจฉานหลายชนิดที่อยู่ในดงในป่าอีกด้วย ทำไมกฎหมายจึงจะกลับมาอนุญาตให้ฆ่าเด็กในท้องได้
ส่วนข้อที่สี่นั้น เหมือนกับกฎหมายเก่า ซึ่งได้ใช้มาด้วยดีตลอด ๒๔ ปี กระผมจะขออนุญาตไม่กล่าวถึง ท่านประธานและท่านวุฒิสมาชิกที่เคารพครับ นอกเหนือจากที่ระบุไว้ในกฎหมายแล้ว ผู้เสนอยังได้อ้างเหตุผลอื่นๆ ประกอบอีกประการแรกอ้างว่า กฎหมายใหม่ฉบับนี้ออกมาแล้วจะลดจำนวนหมอเถื่อนลง ข้อนี้ตรงกันข้ามครับ
รองศาสตราจารย์นายแพทย์บรรพต บุญยศิริ นายกสมาคมสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทยได้กล่าวยืนยันที่สภาแห่งนี้ เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ในการสัมมนาผลกระทบจากกฎหมายทำแท้งฉบับนี้ว่า หลังจากออกกฎหมายทำแท้งฉบับนี้ไปแล้ว หมอเถื่อนจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
กฎหมายใหม่เปิดโอกาสให้ทำแท้งง่ายขึ้น คนจะทำแท้งมากขึ้น แต่หมอปริญญาที่จะทำแท้งมีจำนวนเท่าเดิม คนไข้จะต้องไปหาหมอเถื่อนมากขึ้น อีกอย่างหนึ่งหมอปริญญาย่อมเรียกค่าทำแท้งสูงขึ้น ผู้ที่จะทำแท้งสู้ราคาไม่ไหว ก็ต้องไปหาหมอเถื่อนเพิ่มขึ้นอยู่ดี
มีสถิติปรากฎในหลายประเทศว่า หลังจากออกกฎหมายเสรีแล้วการลักลอบทำแท้งกับหมอเถื่อนนั้นจะมีเพิ่มขึ้น เช่น จากวารสารของสมาคมจิตแพทย์ ประเทศโรมาเนีย ได้ใช้กฎหมายทำแท้งเสรีตั้งแต่คริสต์ศักราช ๑๙๕๖ ถึงคริสต์ศักราช ๑๙๖๕ ปรากฏว่า การลักลอบทำแท้งกับหมอเถื่อนได้เพิ่มขึ้นถึง หนึ่งล้านหนึ่งหมื่นห้าพันราย ในรอบปีต่อมาประเทศโรมาเนียก็ได้ออกกฎหมายห้ามทำแท้ง กลับอย่างเก่าอีก
ที่กระผมว่าหมอปริญญาที่ทำแท้งมีจำนวนเท่าเดิมนั้น ท่านศาสตราจารย์แพทย์หญิงคุณมานา บุญคั้นผล ได้ยกตัวอย่างว่าโรงพยาบาลจุฬาฯ มีสูติแพทย์ ๔๐ กว่าคน แต่จะสมัครใจทำแท้งให้แก่หญิงมีครรภ์อยู่ ๒-๓ คนเท่านั้น เมื่อกฎหมายใหม่ออกมา หมอที่สมัครใจจะทำแท้งก็ยังมี ๒-๒ คนเท่าเดิม เพราะเป็นเหตุผลส่วนตัว ซึ่งใครจะไปบังคับเขาไม่ได้ โอกาสนี้น่าวิตกยิ่งครับ
น่าวิตกอย่างยิ่ง สำหรับคนยากจนที่ไปตั้งความหวังผิดๆ เอาไว้ว่า ถ้ากฎหมายใหม่นี้ออกมา ตนก็สามารถจะไปทำแท้งได้ฟรีกับหมอปริญญาที่อยู่ตามโรงพยาบาลของรัฐ ซึ่งจะต้องผิดหวัง เพราะหมอทำแท้งมีไม่พอบางท่านคาดการณ์เอาว่า เมื่อกฎหมายใหม่ออกมาหญิงที่ทำแท้งจะไม่มากขึ้นเพราะการทำแท้งไม่ใช่ของเอร็ดอร่อยอะไร ท่านวุฒิสมาชิกผู้ทรงเกียรติครับ การขโมย การปล้นสะดม ก็ไม่ใช่ของเอร็ดอร่อยเหมือนกัน ถ้าโอกาสอำนวยมากขึ้น เจ้าของไม่ใส่กลอนประตูหน้าต่างให้เรียบร้อย ไม่มีรั้วรอบขอบชิด ขโมยย่อมเพิ่มขึ้นมากแน่ๆ ทั้งๆที่รู้แล้วว่า ถ้าพลาดอาจจะถูกจับติดคุกติดตะราง และถูกยิงถึงแก่ความตายได้
นายแพทย์วิรัตน์ อนันต์วรนิจ สูติแพทย์แห่งโรงพยาบาลสงขลา ได้ไปร่ำเรียนที่ประเทศอังกฤษนับตั้งแต่อายุ ๑๖ ปี ได้ยืนยันในการอภิปรายที่สงขลาเมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม นี้ว่า การออกกฎหมายทำแท้งเสรีของประเทศอังกฤษนั้นได้ปรากฎผลออกมาแล้ว คือก่อนออกกฎหมายทำแท้งเสรีนั้น ที่ประเทศอังกฤษมีผู้ทำแท้งร้อยละ ๓ หลังจากออกกฎหมายทำแท้งเสรีแล้วผู้ทำแท้งเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ ๓๐
ประการที่สอง ผู้สนับสนุนกฎหมายใหม่ฉบับนี้ ได้อ้างถึงเด็กขาดรักว่า ถ้าพ่อแม่ไม่ต้องการ ปล่อยให้เด็กคลอดออกมา เด็กจะเป็นปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม จะติดยาเสพติดและเป็นอาชญากรต่อไป ข้อนี้ศาสตราจารย์นายแพทย์เสม พริ้งพวงแก้ว ได้อภิปรายออกอากาศทางวิทยุกรมประชาสัมพันธ์ เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม นี้ว่า ไม่แน่เสมอไปที่เด็กขาดรักจะเสียหาย โดยท่านได้ยกตัวอย่างชีวกโกมารภัจจ์ อาจารย์แพทย์เก่าแก่ของโลกก็เป็นเด็กขาดรักเช่นกัน มารดาเป็นหญิงโสเภณีเสียด้วยซ้ำ เด็กที่พ่อแม่รักเสียอีก เกิดมาแล้วไม่ดีมีจำนวนมากมาย เป็นปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมก็เห็นๆกันอยู่
อีกประการหนึ่ง ถ้าจะพิจารณาหลักการของกฎหมายก็ไม่ถูกต้อง เพราะการทำแท้งกรณีนี้ เป็นการตัดสินล่วงหน้าว่า ถ้าปล่อยให้เขาเกิดมาเขาจะเลว แต่ที่ศาลตัดสินแล้วไม่ดีอยู่ในคุกในตะรางเป็นแสนๆคน เสียทั้งเศรษฐกิจและสังคมอยู่แล้ว เรายังเลี้ยงเขาได้
ประการที่สาม อ้างว่าคนเกิดมามาก เลยต้องให้ทำแท้งง่ายๆ ท่านสมาชิกผู้ทรงเกียรติครับ ถ้าปล่อยให้กฎหมายทำแท้งฉบับนี้ผ่านด้วยเหตุผลนี้ละก็ แสดงว่าเราหวาดกลัวเหลือเกิน เรากลัวแม้กระทั่งเด็กที่ยังอยู่ในท้องแม่ว่าจะมาแย่งเราอยู่ มาแย่งเรากิน การทำแท้งหรือการฆ่าไม่ใช่การคุมกำเนิด ถ้าใช่ ต่อไปก็อาจจะมีการส่งเสริมให้คนตายในวิธีอื่นๆ ที่ง่ายกว่านี้เพื่อให้อัตราเกิดต่ำสุด เมื่อนั้นก็ถึงซึ่งกลียุค
ทางธรรม เนื่องจากกฎหมายทำแท้งฉบับนี้ เปิดโอกาสให้ฆ่าเด็กบริสุทธิ์ ได้ง่ายขึ้น ศาสนาใหญ่ๆ ทั้งสามของโลกที่มีอยู่ในเมืองไทยขณะนี้ คือ ศาสนาพุทธ ศาสนาศริสต์ และศาสนาอิสลาม จึงยืนหยัดคัดค้านว่าขัดต่อหลักธรรมคำสั่งสอนของศาสนาอย่างยิ่ง ท่านวุฒิสมาชิกผู้ทรงเกียรติครับ หากวุฒิสมาชิกยอมให้กฎหมายผ่านไปในวันนี้ เราคงจะพูดด้วยความภาคภูมิใจอีกต่อไปไม่ได้ว่า ประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งศาสนา และประเทศไทยเป็นดินแดนที่พระพุทธศาสนาเจริญที่สุดในโลก เพราะกฎหมายทำแท้งเสรีฉบับนี้ได้ลบล้างศีลทั้ง ๕ ข้อ ของพระพุทธองค์ทั้งหมดโดยสิ้นเชิง เปิดโอกาสให้ฆ่าเด็กที่อยู่ในท้องเปิดโอากาสให้ปล้นชีวิตให้สำส่อนทางกาม ให้โป้ปดมดเท็จโดยอ้างสาเหตุในการทำแท้ง และขาดสติยั้งคิดเสียยิ่งกว่าเสพของมึนเมาใดๆ ศีลห้าจะหมดไป ด้วยกฎหมายใหม่ฉบับนี้ คุณธรรมอื่นๆ จะเสื่อมสลายไปด้วย
ณ สภาอันทรงเกียรติแห่งนี้ สมาชิกชองสภาทั้งสองได้อภิปรายแล้วว่าปัญหาของบ้านเมืองที่เป็นอยู่ขณะนี้ เรายังไม่สามารถแก้ไขไปได้ด้วยดี ก็เพราะว่าเรายังมีการกอบโกยขูดรีดกันอยู่ ท่านสมาชิกผู้ทรงเกียรติครับ อันการกอบโกยขูดรีดนั้น เป็นเพียงศีลละเอียดๆ ของศีลข้อที่สองเท่านั้น ถ้าเราปล่อยให้กฎหมายฉบับนี้ผ่านไป ได้ทำลายศีลหยาบๆ ที่เห็นชัดๆ ถึง ๕ ข้อแล้ว ก็ป่วยการจะกล่าวไปไยกับศีลละเอียดข้ออื่นๆ
ท่านศาสตราจารย์นายแพทย์บุญธรรม สุนทรเกียรติ ประธานมูลนิธิวิจัยทางการแพทย์แห่งวชิรพยาบาล และกรรมการผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขาขององค์การอนามัยโลก ได้กล่าวไว้ในเอกสารที่มีถึงวุฒิสมาชิกเมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคมนี้ หากกฎหมายฉบับนี้ออกมา แพทย์กลุ่มหนึ่งที่ตั้งหน้าตั้งตาทำแท้งจะร่ำรวยมาก เช่นเดียวกับนักทำแท้งอาชีพในอังกฤษ และสหรัฐอเมริกา ส่วนแพทย์ที่ลักลอบทำแท้งเป็นปกติอยู่ก่อนแล้ว ก็จะทำโดยออกหน้าออกตา ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ อีกต่อไป เมืองไทยจะถึงซึ่งความหมดเนื้อหมดตัว ในเรื่องเมตตาที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกันต่างก็จะเอาตัวรอด
กฎหมายใหม่ฉบับนี้ สนับสนุนให้ชายหญิงขาดความรับผิดชอบ ซึ่งขณะนี้ความไม่รับผิดชอบของคนเราก็มีมากอยู่แล้ว จะเสริมให้มากยิ่งๆ ขึ้นไปอีก ปัญหาต่างๆ ก็จะตามมา คณะสูติแพทย์ โรงพยาบาลสระบุรี นำโดยแพทย์หญิงประไพ สุดบรรทัด แพทย์หญิงเสริมทรัพย์ ดำรงรัตน์ และแพทย์หญิงภรณี วรานันตกุล ได้กล่าวไว้ในเอกสารที่มีถึงท่านวุฒิสมาชิกเมื่อวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ว่า
“แพทย์มีหน้าที่ช่วยเหลือชีวิตมนุษย์ มิใช่คอยทำลายล้าง ขออย่าได้ยืมมือนายแพทย์ไปเป็นฆาตกร เพื่อสนองกามราคะของประชาชนผู้ไร้ศีลธรรมเลย โลกจะเป็นกลียุคมากกว่านี้ เพราะขนาดยังไม่ได้ทำแท้งเสรีจิตใจก็เหี้ยมโหดฆ่ากันอยู่แล้วทุกวัน”
ลูกมีสิทธิที่จะถูกแม่และพ่อฆ่าได้ นั่นหรือความหวังดีที่แม่และพ่อมอบไว้ให้แก่ลูก
ความรักระหว่างลูกกับแม่และพ่อนั้น จะกลายเป็นความรักที่มีเงื่อนไขเสียแล้ว เงื่อนไขของความพร้อมไม่พร้อม เงื่อนไขของความคุ้มไม่คุ้ม และเงื่อนไขของกำไรขาดทุน
บทเพลงสรรเสริญพระคุณแม่และพ่อ ที่สรรเสริญอย่างสุดรักสุดบูชานั้น คงจะโยนทิ้งได้แล้วถ้ากฎหมายฉบับนี้ผ่าน
เท่าที่กระผมได้กราบเรียนมาแล้ว ท่านวุฒิสมาชิกคงจะเห็นได้ชัดว่ากฎหมายใหม่ฉบับนี้ ผิดทั้งทางโลกและทางธรรม ไม่ใช่แก้ปัญหาปลายเหตุแต่เป็นการสร้างปัญหาเพิ่มขึ้น ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติควรยับยั้งแล้วใช้กฎหมายเก่า โดยสนับสนุนส่งเสริมวิธีการต่างๆ ที่มีอยู่แล้วในขณะนี้ เพื่อลดการทำแท้งให่ได้ผลยิ่งขึ้น
วิธีที่หนึ่ง การคุมกำหนัด อย่างเช่นในศาสนาพุทธสอนให้ถือศีล ๕ เมื่อประชาชนถือศีลห้า โอกาสที่จะไปผิดลูกเขาเมียเขาก็ไม่มี โอกาสที่จะตั้งครรภ์โดยผิดประเพณีก็ไม่มี โอกาสที่จะไปทำแท้งก็มีโอกาสน้อย
วิธีที่สอง ลดกำหนัด ต้องเข้มงวดกวดขันแหล่งโลกีย์ บาร์ไนต์คลับ อาบ อบ นวด โรงแรมม่านรูด ช่องโสเภนี หนังโป๊ หนังสือโป๊ เทปลามกตลอดจนการแต่งกายของหญิงสาวที่เปิดโน่น เปิดนี่ เบนความสนใจของหนุ่มสาวให้ไปสนใจกีฬาดนตรี และกิจกรรมที่ดีอื่นๆ
วิธีที่สาม คุมกำเนิด ขณะนี้กำลังทำได้ผลอยู่แล้ว มีทั้งเจกยา แจกห่วง แจกถุงหรือคุมโดยธรรมชาติ เช่น วันโกนก็ให้ละ วันพระก็ให้เว้นเสียบ้าง
วิธีที่สี่ สังคมสงเคราะห์ ขณะนี้มีชมรมมูลนิธิสมาคมรับแก้ปัญหาการทำแท้งอยู่แล้ว โดยพูดจาหว่านล้อมยับยั้งการทำแท้ง ฝึกอาชีพให้ รับหาพ่อแม่ของเด็กที่จะคลอดออกมาและรับเลี้ยงดู ให้การศึกษาแก่เด็ก แม่หลายรายได้เปลี่ยนใจเมื่อคลอดออกมาแล้ว เพราะเห็นลูกที่ออกมานั้นน่ารัก เนื่องจากตนได้อุ้มท้องมาเป็นเวลา ๘ เดือน ๙ เดือน ก็เปลี่ยนความคิดเสียใหม่หาทางออกได้เอง โดยนำไปฝากปู่ย่าตายายเลี้ยงไว้ก็มีมาก
ท่านวุฒิสมาชิกผู้ทรงเกียรติครับ นี่มันเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมานี้ ถึงกับท่านสมาชิกผู้แทนราษฎรต้องรีบพิจารณา แทนที่จะพิจารณาเรื่องอื่นๆ นั้น ก็เพราะผู้เสนอกฎหมายทำแท้งฉบับนี้ได้ให้ข้อมูลว่า ประเทศไทยมีการลักลอบทำแท้งไม่ต่ำกว่าปีละ ๑ ล้านคน โดยถือสถิติจากหนังสือ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทำแท้งในประเทศไทยหน้า ๑๔๑ แต่งโดยศาสตราจารย์นายแพทย์สุพร เกิดสว่าง เรื่องนี้ นายแพทย์เสม พริ้งพวงแก้ว ได้กล่าวยืนยันที่รัฐสภาแห่งนี้ เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคมว่า ตัวเลขนี้ไม่ถูกต้อง ที่ถูกต้องจะต้องต่ำกว่านี้มาก เพราะหญิงตั้งครรภ์ในเมืองไทยมีประมาณปีละ ๑ ล้านกว่าๆ แล้วก็แท้งเองโดยธรรมชาติเสีย ๑ แสน ถ้าการลักลอบทำแท้งปีละ ๑ ล้านคนจริง ก็แสดงว่าหญิงที่ตั้งครรภ์เกือบทุกคนจะต้องไปลักลอบทำแท้ง ซึ่งเป็นไปไม่ได้
เรื่องที่ปรากฎตามโรงพยาบาลต่างๆ นั้น มีเป็นจำนวนพันเท่านั้น ตามเอกสารที่นายแพทย์สุวัฒน์ จันทร์จำนง ได้ส่งถึงท่านวุฒิสมาชิกเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๒๔ แล้วท่านวุฒิสมาชิกที่เคารพครับ เกี่ยวกับกฎหมายทำแท้งฉบับใหม่นี้ ผู้ที่รู้เรื่องดีที่สุด และต้องเป็นผู้ลงมือปฏิบัติจริงๆ ก็คือ สูติแพทย์ เราจะไม่พิจารณาความเห็นของผู้แทนท่านเหล่านั้นดูบ้างหรือครับสูติแพทย์ทั่วประเทศมีประมาณ ๔๐๐ กว่าๆ ได้คัดเลือกตัวแทนเข้าไปเป็นกรรมการบริหารเมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายนนี้
กรรมการบริหารของสูติแพทย์แห่งประเทศไทย ได้ประชุมกัน ๑๑ ท่านเห็นด้วยกับกฎหมายทำแท้งฉบับนี้เพีง ๑ ท่าน ไม่ออกเสียง ๒ ท่าน มีคัดค้านมากถึง ๘ ท่าน ด้วยเหตุผลสรุปได้ ๙ ข้อ คือ
ข้อหนึ่ง จะไม่เกิดผลปฏิบัติต่อแพทย์โดยทั่วไป เพราะขัดกับความรู้สึกในด้านศีลธรรมและจรรยาบรรณของแพทย์
ข้อสอง หญิงที่จะมาขอรับการทำแท้งจะเพิ่มมากขึ้น
ข้อสาม โรคแทรกซ้อนและผลเสียหายต่อผู้ใช้บริการ ที่ติดตามมาจะมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม
ข้อสี่ ในต่างจังหวัด แพทย์ภาครัฐบาลที่ขาดแคลนในการรักษาโรคให้แก่ประชาชนอยู่แล้ว จะขาดแคลนยิ่งขึ้น
ข้อห้า ไม่สามารถลดอัตราเพิ่มของประชากร ซึ่งกำหนดในแผนพัฒนาสาธารณสุขฉบับที่ห้าได้ โดยถือเอาการทำแท้งเป็นวิธีการคุมกำเนิด
ข้อหก อัตราตายจากหญิงที่ทำแท้งไม่มากมายเหมือยอย่างที่อ้างกันจากวารสารการแพยท์ที่เชื่อถือได้ ในกรุงเทพฯ จะตายไม่ถึง ๒๐ รายต่อปี
ข้อเจ็ด กฎหมายเดิมเปิดโอกาสให้แพทย์ทำแท้งหญิงได้อยู่แล้ว
ข้อแปด จะทำให้สังคมเสื่อม ไร้จริยธรรมและคุณธรรม
ข้อเก้า การแก้ปัญหาเศรษฐกิจสังคมของชาติ ไม่มีความจำเป็นจะต้องออกกฎหมายมาให้แพทย์ ซึ่งมีหน้าที่ช่วยเหลือชีวิตของมนุษยชาติ ต้องทำหน้าที่ฆ่าชีวิตที่กำลังจะเกิดโดยไร้ความผิด
ท่านประธานและท่านวุฒิสมาชิกผู้ทรงเกียรติครับ จากจดหมายที่หลั่งไหลมาทั่วสารทิศถึงท่านทั้งหลายนั้น แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจ ความไว้วางใจ ที่ประชาชนมีต่อวุฒิสมาชิก เขาเหล่านั้นฝากความหวังไว้กับท่านวุฒิสมาชิกทั้งหลาย ได้โปรดช่วยกันกลั่นกรองกฎหมายให้มีความรัดกุม มีความสุขุม และรอบคอบ
กระผมใคร่กราบเรียนวิงวอนท่านวุฒิสมาชิกทั้งหลาย ได้โปรดยับยั้งกฎหมายทำแท้งฉบับนี้ ซึ่งก็มิใช่เป็นการยับยั้งเสียทีเดียว เป็นเพียงส่งกลับไปให้ท่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้มีโอกาสทบทวนอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้มีเวลารับทราบข้อมูลเพิ่มขึ้น
กระผมขอขอบพระคุณ ณ ที่นี้เป็นอย่างยิ่งครับ”
เป็นคำอภิปรายที่ทรงคุณค่า มีเหตุมีผล มีการอ้างอิงผู้รู้
ผ่านมา 29 ปีก็ยังใช้ได้ นักการเมืองปัจจุบันจะหาแบบ
ท่านจำลองไม่มีแล้ว วังเวงกับบ้านเมืองครับ
คนไทย
นักวิชาการชี้ วัยโจ๋อ่อนความรู้เรื่องเซฟเซ็กส์ ต้นเหตุท้อง-แท้ง-เอดส์
นักวิชาการ แนะพ่อแม่-ครู จับมือสอนเซฟเซ็กส์ แก้ต้นเหตุทำแท้ง ดันปรับหลักสูตรสอนเพศศึกษาเป็นวิชาบังคับระดับมหาวิทยาลัย ชี้เด็กยังเข้าใจผิดเรื่องเซ็กส์ เหตุเสี่ยงท้อง - แท้ง - เอดส์
ผศ.ดร.จันทร์วิภา ดิลกสัมพันธ์ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา (มบส.) ในฐานะนักวิชาการด้านเพศศึกษา และวิทยากรการอบรมด้านเพศศึกษา ขององค์การอนามัยโลก (WHO) กล่าวถึงการที่ รมว.ศึกษาธิการมีนโยบายการปรับหลักสูตรการเรียนการสอนวิชาเพศศึกษา ว่า ตนเห็นด้วยกับการปรับปรุงหลักสูตรการสอนวิชาเพศศึกษา โดยเฉพาะในระดับอุดมศึกษา ควรบรรจุเป็นวิชาศึกษาทั่วไปที่นิสิตนักศึกษาทุกคนจะได้เรียนรู้ ที่สำคัญในระดับนโยบายควรขับเคลื่อนอย่างจริงจัง มีการกำหนดยุทธศาสตร์รณรงค์เซฟเซ็กส์อย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะพ่อแม่ ผู้ปกครอง ครู โรงเรียน และมหาวิทยาลัย ต้องร่วมมือกันอย่างจริงใจ เพราะการสอนเรื่องเพศศึกษาคือ การสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเด็กและเยาวชนที่ดีกว่าการออกกฎหมายทำแท้งที่เป็นการแก้ที่ปลายเหตุ
ผศ.ดร.จันทร์วิภา กล่าวต่อไปว่า จากการทำวิจัยเรื่อง ประสิทธิผลของโปรแกรมสุขศึกษาเพื่อป้องกันพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคเอดส์จากการมีเพศสัมพันธ์ของนักศึกษาหญิงระดับอุดมศึกษาในกรุงเทพฯ ตั้งแต่ปี 2533 ซึ่งงานวิจัยดังกล่าวมีผลที่ทำนายอนาคตล่วงหน้าไว้ว่า สังคมในอีก 10-20 ปีข้างหน้า คนจะเปลี่ยนพฤติกรรมทางเพศจากการหญิงขายบริการทางเพศ ไปมีเพศสัมพันธ์กับคู่รัก ซึ่งระบาดในกลุ่มนักเรียน นักศึกษา ซึ่งตรงกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพราะคนมีความมั่นใจว่า หากมีเพศสัมพันธ์กับแฟนจะปลอดภัยกว่า นอกจากนี้ตนได้ทำการสำรวจในชั้นเรียนเพศศึกษาของ มบส. ทุกๆ ปี จะพบว่า นิสิตส่วนใหญ่ไม่มีความรู้เรื่องเพศศึกษาที่แท้จริง และให้ข้อมูลว่าการเรียนในระดับมัธยมศึกษา ครูไม่กล้าสอนเรื่องเพศ จะให้เด็กไปอ่านด้วยตนเอง หรือครูบางรายก็สอนแบบหยาบโลน เด็กที่เรียนรู้สึกอายและอึดอัดไม่อยากเรียน
“ เด็กส่วนใหญ่จะมีความเข้าใจและความเชื่อแบบผิดๆ เกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์ว่า ไม่ควรสวมใส่ถุงยางอนามัย เพราะคนรักจะคิดว่าไม่ให้เกียรติ หรือผู้หญิงคนนี้คล่อง เคยผ่านการมีเพศสัมพันธ์มาแล้ว จึงเชื่อว่า การหลั่งภายนอก การรับประทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน หรือ การคำนวณวันก่อนและหลังมีรอบเดือนที่เรียกว่า หน้า 7 หลัง 7 จะทำให้ไม่ตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิดมาก และมีความเสี่ยงในการตั้งท้องและนำไปสู่การทำแท้งมากที่สุด"
ผศ.ดร.จันทร์วิภา กล่าวต่อไปว่า หลังจากสอนเพศศึกษาไปแล้ว เวลามีปัญหาเด็กจะวิ่งเข้ามาหาเพื่อปรึกษาเรื่องการคุมกำเนิด เราเป็นผู้ใหญ่ควรเปิดใจอย่าไปด่าเด็กหรือมีอคติ จะห้ามไม่ให้เด็กมีเซ็กส์คงเป็นไปไม่ได้ แต่ต้องแนะนำการป้องกันตัวเองในการมีเซ็กส์ที่ปลอดภัยไม่ตกอยู่ในภาวะเสี่ยงตั้งท้อง หรือการติดเชื้อเอดส์ สอนเรื่องการใช้ถุงยางอนามัยและยาคุมกำเนิดที่ถูกต้อง ที่สำคัญควรอบรมให้พ่อแม่และครูต้องสอนเรื่องการควบคุมอารมณ์ทางเพศ และจริยธรรมทางเพศ โน้มน้าวและกลมเกลาให้วัยรุ่นมีจิตสำนึกเรื่องความเหมาะสมในการมีเพศสัมพันธ์ในวันที่ตนเองมีความพร้อม
เคยพบว่านักศึกษาในชั้นเรียนของตัวเองตั้งครรภ์ทั้งที่อยู่ปีสุดท้าย เป็นคนเรียนดีขั้นเกียรตินิยม คงเพราะเผลอไป
ก็ได้ให้ความช่วยเหลือเต็มที่คือปกปิดให้ และทำเรื่องพักการศึกษาให้ ไม่ถึงกับเสียอนาคต แต่ชีวิตแย่ และจบช้าไป
ตอนนั้นคนเป็นครูอย่างเรารู้สึกเสียใจมาก เรื่องแบบนี้เกิดได้อย่างไรกันกับคนที่เรียนถึงมหาวิทยาลัยแล้ว
จบช้า พ่อแม่เสียใจ ไม่ได้เกียรตินิยม ขาดโอกาสทางอาชีพ และไม่สามารถเรียนรู้ชีวิตจนถึงเวลาที่พร้อมจริงๆ
ในที่สุดคิดได้ว่า ที่ต้องสอนให้นักศึกษาของเราไม่ใช่เพศศึกษา แต่ต้องสอนความรับผิดชอบต่อตนเองให้สุดๆ
การรู้จักรับผิดชอบต่อตนเอง จะไม่กล้าทำสิ่งที่เสี่ยง ถ้าทำ-ต้องไม่เสี่ยง ชีวิตจะ under control มีเหตุ-มีผล
ครูต้องสอนให้นักศึกษาเติบโตเป็นผู้ใหญ่จริงๆ ไม่ใช่แค่อายุผ่านไป เป็นบัณฑิตที่แม้แต่ตนเองก็ยังเอาตัวไม่รอด
ผศ.ดร.จันทร์วิภา ดิลกสัมพันธ์ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา (มบส.) ในฐานะนักวิชาการด้านเพศศึกษา และวิทยากรการอบรมด้านเพศศึกษา ขององค์การอนามัยโลก (WHO) กล่าวถึงการที่ รมว.ศึกษาธิการมีนโยบายการปรับหลักสูตรการเรียนการสอนวิชาเพศศึกษา ว่า ตนเห็นด้วยกับการปรับปรุงหลักสูตรการสอนวิชาเพศศึกษา โดยเฉพาะในระดับอุดมศึกษา ควรบรรจุเป็นวิชาศึกษาทั่วไปที่นิสิตนักศึกษาทุกคนจะได้เรียนรู้ ที่สำคัญในระดับนโยบายควรขับเคลื่อนอย่างจริงจัง มีการกำหนดยุทธศาสตร์รณรงค์เซฟเซ็กส์อย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะพ่อแม่ ผู้ปกครอง ครู โรงเรียน และมหาวิทยาลัย ต้องร่วมมือกันอย่างจริงใจ เพราะการสอนเรื่องเพศศึกษาคือ การสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเด็กและเยาวชนที่ดีกว่าการออกกฎหมายทำแท้งที่เป็นการแก้ที่ปลายเหตุ
ผศ.ดร.จันทร์วิภา กล่าวต่อไปว่า จากการทำวิจัยเรื่อง ประสิทธิผลของโปรแกรมสุขศึกษาเพื่อป้องกันพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคเอดส์จากการมีเพศสัมพันธ์ของนักศึกษาหญิงระดับอุดมศึกษาในกรุงเทพฯ ตั้งแต่ปี 2533 ซึ่งงานวิจัยดังกล่าวมีผลที่ทำนายอนาคตล่วงหน้าไว้ว่า สังคมในอีก 10-20 ปีข้างหน้า คนจะเปลี่ยนพฤติกรรมทางเพศจากการหญิงขายบริการทางเพศ ไปมีเพศสัมพันธ์กับคู่รัก ซึ่งระบาดในกลุ่มนักเรียน นักศึกษา ซึ่งตรงกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพราะคนมีความมั่นใจว่า หากมีเพศสัมพันธ์กับแฟนจะปลอดภัยกว่า นอกจากนี้ตนได้ทำการสำรวจในชั้นเรียนเพศศึกษาของ มบส. ทุกๆ ปี จะพบว่า นิสิตส่วนใหญ่ไม่มีความรู้เรื่องเพศศึกษาที่แท้จริง และให้ข้อมูลว่าการเรียนในระดับมัธยมศึกษา ครูไม่กล้าสอนเรื่องเพศ จะให้เด็กไปอ่านด้วยตนเอง หรือครูบางรายก็สอนแบบหยาบโลน เด็กที่เรียนรู้สึกอายและอึดอัดไม่อยากเรียน
“ เด็กส่วนใหญ่จะมีความเข้าใจและความเชื่อแบบผิดๆ เกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์ว่า ไม่ควรสวมใส่ถุงยางอนามัย เพราะคนรักจะคิดว่าไม่ให้เกียรติ หรือผู้หญิงคนนี้คล่อง เคยผ่านการมีเพศสัมพันธ์มาแล้ว จึงเชื่อว่า การหลั่งภายนอก การรับประทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน หรือ การคำนวณวันก่อนและหลังมีรอบเดือนที่เรียกว่า หน้า 7 หลัง 7 จะทำให้ไม่ตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิดมาก และมีความเสี่ยงในการตั้งท้องและนำไปสู่การทำแท้งมากที่สุด"
ผศ.ดร.จันทร์วิภา กล่าวต่อไปว่า หลังจากสอนเพศศึกษาไปแล้ว เวลามีปัญหาเด็กจะวิ่งเข้ามาหาเพื่อปรึกษาเรื่องการคุมกำเนิด เราเป็นผู้ใหญ่ควรเปิดใจอย่าไปด่าเด็กหรือมีอคติ จะห้ามไม่ให้เด็กมีเซ็กส์คงเป็นไปไม่ได้ แต่ต้องแนะนำการป้องกันตัวเองในการมีเซ็กส์ที่ปลอดภัยไม่ตกอยู่ในภาวะเสี่ยงตั้งท้อง หรือการติดเชื้อเอดส์ สอนเรื่องการใช้ถุงยางอนามัยและยาคุมกำเนิดที่ถูกต้อง ที่สำคัญควรอบรมให้พ่อแม่และครูต้องสอนเรื่องการควบคุมอารมณ์ทางเพศ และจริยธรรมทางเพศ โน้มน้าวและกลมเกลาให้วัยรุ่นมีจิตสำนึกเรื่องความเหมาะสมในการมีเพศสัมพันธ์ในวันที่ตนเองมีความพร้อม
เคยพบว่านักศึกษาในชั้นเรียนของตัวเองตั้งครรภ์ทั้งที่อยู่ปีสุดท้าย เป็นคนเรียนดีขั้นเกียรตินิยม คงเพราะเผลอไป
ก็ได้ให้ความช่วยเหลือเต็มที่คือปกปิดให้ และทำเรื่องพักการศึกษาให้ ไม่ถึงกับเสียอนาคต แต่ชีวิตแย่ และจบช้าไป
ตอนนั้นคนเป็นครูอย่างเรารู้สึกเสียใจมาก เรื่องแบบนี้เกิดได้อย่างไรกันกับคนที่เรียนถึงมหาวิทยาลัยแล้ว
จบช้า พ่อแม่เสียใจ ไม่ได้เกียรตินิยม ขาดโอกาสทางอาชีพ และไม่สามารถเรียนรู้ชีวิตจนถึงเวลาที่พร้อมจริงๆ
ในที่สุดคิดได้ว่า ที่ต้องสอนให้นักศึกษาของเราไม่ใช่เพศศึกษา แต่ต้องสอนความรับผิดชอบต่อตนเองให้สุดๆ
การรู้จักรับผิดชอบต่อตนเอง จะไม่กล้าทำสิ่งที่เสี่ยง ถ้าทำ-ต้องไม่เสี่ยง ชีวิตจะ under control มีเหตุ-มีผล
ครูต้องสอนให้นักศึกษาเติบโตเป็นผู้ใหญ่จริงๆ ไม่ใช่แค่อายุผ่านไป เป็นบัณฑิตที่แม้แต่ตนเองก็ยังเอาตัวไม่รอด
Clip video กลุ่มชุมชนรวมพัฒนา กับการสมัครเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเมืองกาฬสินธุ์ เมื่อ 29 พ.ย.2553
การเมืองระดับชาติกำลังร้อนแรง การเมืองท้องถิ่นในกาฬสินธุ์กำลังเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง เมื่อนายภิญโญ รัตนศาสตร์ นายกเทศมนตรีเมืองกาฬสินธุ์ ถูกร้องเรียนเกี่ยวกับคุณสมบัติการเป็นนายกเทศมนตรี หลังจากนั้น กกต.จังหวัดไก้สอบสวนว่า ขาดคุณสมบัติ จนต้องประกาศให้มีการรับสมัครเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเมืองกาฬสินธุ์ ในช่วงวันที่ 29 พ.ย.2553 - 3 ธ.ค.2553 และเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่ 9 ก.ค.2554
คุณฉวีวรรณ จันติชัย เป็นผู้สมัครคนแรกที่เดินทางไปสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีเมืองกาฬสินธุ์ ตั้งแต่เวลา 8.30 น. ที่ศูนย์ประสานงานเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเมืองกาฬสินธุ์ ณ หอประชุมธรรมาภิบาล โดยได้เบอร์ 1 และเป็นคนเดียวที่มาสมัครในวันแรก พร้อมกับทีมงานและกองเชียร์ โดยรวมตัวในชื่อกลุ่ม "ชุมชนรวมพัฒนา" มีทีมงานที่จะทำหน้าที่รองนายกฯ ฝ่ายต่างๆ และคณะทำงานอื่นๆไว้พร้อมแล้ว ขึ้นโปสเตอร์หาเสียงได้ทันที หลังจากสมัครแล้ว กลุ่มชุมชนรวมพัฒนา ได้ไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไหว้หอเจ้าบ้าน ดังภาพข่าวบรรยากาศในคลิปวิดีโอจากข่าวท้องถิ่นของสถานีโทรทัศน์เอ็มทีเคเบิ้ลทีวี กาฬสินธุ์ เมื่อช่วงค่ำวันที่ 29 พ.ย.2553
นอกจากคุณฉวีวรรณ จันติชัยแล้ว ยังมีว่าที่ผู้สมัครอย่าง คุณภิญโญ รัตนศาสตร์ และคุณจารุวัฒน์ บุญเพิ่ม ซึ่งเป็นอดีตนายกเทศมนตรีเมืองกาฬสินธุ์ที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งด้วย มีคนมองว่า การเลือกตั้งครั้งนี้น่าจะเป็นการขับเคี่ยวกันระหว่าง คุณภิญโญ กับคุณจารุวัฒน์มากกว่า ก็คงต้องติดตามดูกันต่อไปว่า ประชาชนจะเลือกใคร แล้วจะมีใครเสนอตัวลงสมัครรับเลือกตั้งอีกบ้าง ผู้สมัครทุกคนจะนำเสนอนโยบาย และทีมงานให้ประชาชนเป็นผู้เลือก
สำหรับกลุ่มชุมชนรวมพัฒนา ที่รวมทีมไปสมัครก่อนใครตั้งแต่วันแรก ก็ต้องต่อสู้ขอคะแนนเสียง นำเสนอนโยบายสู่ประชาชนให้มากที่สุด จาก 29 พ.ย.2553 - 8 ม.ค.2554 กว่า 40 วันกับการหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งกลุ่มนี้ดูแล้วเป็นกลุ่มทางเลือกใหม่ หากประชาชนในเขตเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์เห็นว่า นโยบายและทีมงานของกลุ่มนี้ ดีและโดนใจ ก็คงจะให้โอกาสกลุ่มชุมชนรวมพัฒนาได้เข้าไปทำงานบริหารเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ แต่ผลการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไรนั้น อยู่ที่การตัดสินใจของประชาชนชาวเมืองกาฬสินธุ์ว่า จะไว้วางใจเลือกผู้สมัครเบอร์ใด
แต่ผู้สมัครทุกเบอร์ ต่างก็เต็มที่ในการหาเสียงกันอยู่แล้ว...
นางฉวีวรรณ จันติชัย รองนายกเทศมนตรี ถ่ายภาพร่วมกับ
คณะผู้บริหาร ร.ร.ท.2 - วงโปงลางฯ
เมื่อ วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553
คุณฉวีวรรณ จันติชัย เป็นผู้สมัครคนแรกที่เดินทางไปสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีเมืองกาฬสินธุ์ ตั้งแต่เวลา 8.30 น. ที่ศูนย์ประสานงานเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเมืองกาฬสินธุ์ ณ หอประชุมธรรมาภิบาล โดยได้เบอร์ 1 และเป็นคนเดียวที่มาสมัครในวันแรก พร้อมกับทีมงานและกองเชียร์ โดยรวมตัวในชื่อกลุ่ม "ชุมชนรวมพัฒนา" มีทีมงานที่จะทำหน้าที่รองนายกฯ ฝ่ายต่างๆ และคณะทำงานอื่นๆไว้พร้อมแล้ว ขึ้นโปสเตอร์หาเสียงได้ทันที หลังจากสมัครแล้ว กลุ่มชุมชนรวมพัฒนา ได้ไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไหว้หอเจ้าบ้าน ดังภาพข่าวบรรยากาศในคลิปวิดีโอจากข่าวท้องถิ่นของสถานีโทรทัศน์เอ็มทีเคเบิ้ลทีวี กาฬสินธุ์ เมื่อช่วงค่ำวันที่ 29 พ.ย.2553
นอกจากคุณฉวีวรรณ จันติชัยแล้ว ยังมีว่าที่ผู้สมัครอย่าง คุณภิญโญ รัตนศาสตร์ และคุณจารุวัฒน์ บุญเพิ่ม ซึ่งเป็นอดีตนายกเทศมนตรีเมืองกาฬสินธุ์ที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งด้วย มีคนมองว่า การเลือกตั้งครั้งนี้น่าจะเป็นการขับเคี่ยวกันระหว่าง คุณภิญโญ กับคุณจารุวัฒน์มากกว่า ก็คงต้องติดตามดูกันต่อไปว่า ประชาชนจะเลือกใคร แล้วจะมีใครเสนอตัวลงสมัครรับเลือกตั้งอีกบ้าง ผู้สมัครทุกคนจะนำเสนอนโยบาย และทีมงานให้ประชาชนเป็นผู้เลือก
สำหรับกลุ่มชุมชนรวมพัฒนา ที่รวมทีมไปสมัครก่อนใครตั้งแต่วันแรก ก็ต้องต่อสู้ขอคะแนนเสียง นำเสนอนโยบายสู่ประชาชนให้มากที่สุด จาก 29 พ.ย.2553 - 8 ม.ค.2554 กว่า 40 วันกับการหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งกลุ่มนี้ดูแล้วเป็นกลุ่มทางเลือกใหม่ หากประชาชนในเขตเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์เห็นว่า นโยบายและทีมงานของกลุ่มนี้ ดีและโดนใจ ก็คงจะให้โอกาสกลุ่มชุมชนรวมพัฒนาได้เข้าไปทำงานบริหารเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ แต่ผลการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไรนั้น อยู่ที่การตัดสินใจของประชาชนชาวเมืองกาฬสินธุ์ว่า จะไว้วางใจเลือกผู้สมัครเบอร์ใด
แต่ผู้สมัครทุกเบอร์ ต่างก็เต็มที่ในการหาเสียงกันอยู่แล้ว...
นางฉวีวรรณ จันติชัย รองนายกเทศมนตรี ถ่ายภาพร่วมกับ
คณะผู้บริหาร ร.ร.ท.2 - วงโปงลางฯ
เมื่อ วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553
วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
ป้องกันไรไก่ที่มากวนไก่ที่เลี้ยง
ป้องกันไรไก่ที่มากวนไก่ที่เลี้ยง ให้ใช้แป้งกันหมัดที่ใช้ในสุนัข โรยบนตัวไก่หรือรอบบริเวณรังไข่ที่ไก่กกอยู่ หรือตามพื้นที่เลี้ยง
จาก SMS FarmerInfo - DTAC - 27 พ.ย.2553 - 14.37 น.
จาก SMS FarmerInfo - DTAC - 27 พ.ย.2553 - 14.37 น.
การฆ่าเชื้อโรคในตัวปลา
การฆ่าเชื้อโรคในตัวปลา และป้องกันอาการท้องบวมครีบแดงในปลาที่เลี้ยง ฟ้าทะลายโจรบด 500 กรัม น้ำ 50 ลิตร อาหารปลา 100กก. เคล้าให้เข้ากันให้ปลากิน
จาก SMS FarmerInfo - DTAC - 4 พ.ย.2553 - 14.05 น.
จาก SMS FarmerInfo - DTAC - 4 พ.ย.2553 - 14.05 น.
การทำให้ไข่ไก่ฟองใหญ่
การทำให้ไข่ไก่ฟองใหญ่ ให้นำผักพื้นบ้านเช่นผักบุ้ง ตำลึงสับให้ละเอียด ให้ไก่กินผักในช่วงที่ไก่เริ่มออกไข่สัก 1-2 วัน เดือนละ 1ครั้ง
จาก SMS FarmerInfo - DTAC - 26 ต.ค.53 - 14.09 น.
จาก SMS FarmerInfo - DTAC - 26 ต.ค.53 - 14.09 น.
สสอ.โคกสูงคว้ารางวัลชนะเลิศหมู่บ้านปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลดโรค เขต 3
บ้านถาวรสามัคคี หมู่ที่ 13 อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว คว้ารางวัลชนะเลิศ การประกวดหมู่บ้านปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลดโรค เขต 3 ปี 2554 และมุ่งหวังขยายภาคีเครือข่าย ปรับพฤติกรรม เปลี่ยนสุขภาพคนตำบลหนองม่วง สู่ตำบลจัดการสุขภาพใน ปี2554
วันที่ 25-26 พฤศจิกายน 2553 กองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ได้จัดประชุมวิชาการ "ปรับพฤติกรรม เปลี่ยนสุขภาพของคนไทย" ณ โรงแรมแอมบาสเดอร์ ซิตี้ จอมเทียน พัทยา จังหวัดชลบุรี ซึ่งในการจัดงานดังกล่าวมีทั้งการบรรยายทางวิชาการ เวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของภาคีเครือข่ายสุขภาพทั่วประเทศและมีการประกวดผล งานหมู่บ้านปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลดโรค ระดับเขต การประกวดสำรับอาหารสุขภาพ ผักสามมื้อ...อร่อยครึ่งกิโล การประกวดออกกำลังกายพื้นบ้าน "สนุก 30 นาที มีเหงื่อเพื่อสุขภาพ" และพิธีมอบใบรับรองมาตรฐานสุขศึกษาของสถานบริการสาธารณสุข
หมู่บ้าน ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบ้านถาวรสามัคคี หมู่ที่ 13 อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ได้เข้าร่วมประกวดหมู่บ้านปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลดโรคมะเร็ง โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด ระดับเขต 3 ภาคกลาง ประจำปี 2553 จนสามารถความรางวัลชนะเลิศหมู่บ้านปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ของเขต 3 ได้เป็นผลสำเร็จ และได้รับมอบรางวัลจาก นพ.สมชัย ภิญโญพรพาณิชย์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ
บ้านถาวรสามัคคี หมู่ที่ 13 อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว เป็นหมู่บ้านที่มีการดำเนินงานปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและภาคีเครือข่ายคนไทยไร้ พุง มาตั้งแต่ปี 2552 โดยเน้นกระบวนการการมีส่วนร่วม สร้างจิตสำนักของคนในชุมชนและภาคีเครือข่าย โดยใช้หลัก 4 อ. คือ อาหาร ออกกำลังกาย อารมณ์ และอนามัยสิ่งแวดล้อมพร้อมนำพระราชดำรัสเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวมาเป็นแนวทางในการดำเนินงานและมีความมุ่งหวังที่จะสร้างภาคี เครือข่ายให้ครอบคลุมทั้งตำบล เพื่อปรับพฤติกรรม เปลี่ยนสุขภาพคนตำบลหนองม่วง สู่ตำบลจัดการสุขภาพในปี 2554
แหล่งข่าวโดย.... งานสารนิเทศและประชาสัมพันธ์ สสจ.สระแก้ว
ผู้จัดทำ.... ธีระ แสงสุรเดช สสจ.สระแก้ว
วันที่ 25-26 พฤศจิกายน 2553 กองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ได้จัดประชุมวิชาการ "ปรับพฤติกรรม เปลี่ยนสุขภาพของคนไทย" ณ โรงแรมแอมบาสเดอร์ ซิตี้ จอมเทียน พัทยา จังหวัดชลบุรี ซึ่งในการจัดงานดังกล่าวมีทั้งการบรรยายทางวิชาการ เวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของภาคีเครือข่ายสุขภาพทั่วประเทศและมีการประกวดผล งานหมู่บ้านปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลดโรค ระดับเขต การประกวดสำรับอาหารสุขภาพ ผักสามมื้อ...อร่อยครึ่งกิโล การประกวดออกกำลังกายพื้นบ้าน "สนุก 30 นาที มีเหงื่อเพื่อสุขภาพ" และพิธีมอบใบรับรองมาตรฐานสุขศึกษาของสถานบริการสาธารณสุข
หมู่บ้าน ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบ้านถาวรสามัคคี หมู่ที่ 13 อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ได้เข้าร่วมประกวดหมู่บ้านปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลดโรคมะเร็ง โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด ระดับเขต 3 ภาคกลาง ประจำปี 2553 จนสามารถความรางวัลชนะเลิศหมู่บ้านปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ของเขต 3 ได้เป็นผลสำเร็จ และได้รับมอบรางวัลจาก นพ.สมชัย ภิญโญพรพาณิชย์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ
บ้านถาวรสามัคคี หมู่ที่ 13 อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว เป็นหมู่บ้านที่มีการดำเนินงานปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและภาคีเครือข่ายคนไทยไร้ พุง มาตั้งแต่ปี 2552 โดยเน้นกระบวนการการมีส่วนร่วม สร้างจิตสำนักของคนในชุมชนและภาคีเครือข่าย โดยใช้หลัก 4 อ. คือ อาหาร ออกกำลังกาย อารมณ์ และอนามัยสิ่งแวดล้อมพร้อมนำพระราชดำรัสเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวมาเป็นแนวทางในการดำเนินงานและมีความมุ่งหวังที่จะสร้างภาคี เครือข่ายให้ครอบคลุมทั้งตำบล เพื่อปรับพฤติกรรม เปลี่ยนสุขภาพคนตำบลหนองม่วง สู่ตำบลจัดการสุขภาพในปี 2554
แหล่งข่าวโดย.... งานสารนิเทศและประชาสัมพันธ์ สสจ.สระแก้ว
ผู้จัดทำ.... ธีระ แสงสุรเดช สสจ.สระแก้ว
หน่วยแพทย์พระราชทานใน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ช่วยเหลือชาวบ้านผู้ประสบภัยในพื้นที่อำเภอเขาชัยสน และอำเภอบางแก้ว จังหวัดพัทลุง
เมื่อวันนี้ 25 พฤศจิกายน 2553 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี โปรดเกล้าให้ ว่าที่ร้อยตรีกิตติ ขันธมิตร กรมวังผู้ใหญ่ สำนักพระราชวัง ผู้แทนพระองค์นำหน่วยแพทย์พระราชทานและเมล็ดพันธ์พืช ช่วยเหลือชาวบ้านผู้ประสบอุทกภัยและวาตภัย ณ โรงเรียนบ้านแหลมดิน หมู่ที่ 6 ตำบลหานโพธิ์ ที่วัดเขียนบางแก้ว หมู่ที่ 4 ตำบลจองถนน อำเภอเขาชันสน และประชาชนพื้นที่ใกล้เคียงของอำเภอบางแก้ว จังหวัดพัทลุง
นายแพทย์วิฑูรย์ เหลืองดิลก นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพัทลุง เปิดเผยว่า ชาวบ้านผู้ประสบภัยอุทกภัยและน้ำท่วมในพื้นที่อำเภอเขาชัยสนและประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงของอำเภอบางแก้ว เข้ารับรับบริการหน่วยแพทย์พระราชทานเคลื่อนที่ และ เมล็ดพันธุ์พืช จำนวน 1,200 คน โดยส่วนใหญ่ประชาชนผู้ประสพภัยเริ่มป่วยเป็นโรคน้ำกัดเท้า โรคระบบทางเดินหายใจ โรคปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และมีภาวะความตึงเครียดจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สำหรับหน่วยแพทย์เคลื่อนที่พระราชทานฯในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ที่มารักษาผู้ประสบภัยพิบัติและประชาชนที่มีปัญหาด้านสุขภาพอนามัย ยังความปลาบปลื้มมายังราษฏรเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ประชาชนมีกำลังใจในการที่จะฟื้นฟูสุขภาพและคุณภาพชีวิต หลังจากประสบภัย
แหล่งข่าวโดย.... สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพัทลุง
ผู้จัดทำ.... นพพร สมจิตต์ สสจ.พัทลุง
นายแพทย์วิฑูรย์ เหลืองดิลก นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพัทลุง เปิดเผยว่า ชาวบ้านผู้ประสบภัยอุทกภัยและน้ำท่วมในพื้นที่อำเภอเขาชัยสนและประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงของอำเภอบางแก้ว เข้ารับรับบริการหน่วยแพทย์พระราชทานเคลื่อนที่ และ เมล็ดพันธุ์พืช จำนวน 1,200 คน โดยส่วนใหญ่ประชาชนผู้ประสพภัยเริ่มป่วยเป็นโรคน้ำกัดเท้า โรคระบบทางเดินหายใจ โรคปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และมีภาวะความตึงเครียดจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สำหรับหน่วยแพทย์เคลื่อนที่พระราชทานฯในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ที่มารักษาผู้ประสบภัยพิบัติและประชาชนที่มีปัญหาด้านสุขภาพอนามัย ยังความปลาบปลื้มมายังราษฏรเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ประชาชนมีกำลังใจในการที่จะฟื้นฟูสุขภาพและคุณภาพชีวิต หลังจากประสบภัย
แหล่งข่าวโดย.... สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพัทลุง
ผู้จัดทำ.... นพพร สมจิตต์ สสจ.พัทลุง
ชนะเลิศหมู่บ้านปรับเปลี่ยนเขต7
อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพแวะเยี่ยมชมซุ้มนิทรรศการหมู่บ้านปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพบ้านไสบ่อ ตำยลนาวง อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง
พร้อมทั้งให้กำลังใจในการปฏิบัติงานแก่เจ้าหน้าที่และตัวแทนหมู่บ้านไสบ่อซึ่งได้รับรางวัลชนะเลิศในเขต7ซึ่งประกอบด้วยจังหวัดตรัง กระบี่ ภูเก็ต พังงา ระนอง
แหล่งข่าวโดย.... พัชนี ธรรมพานิชย์ งานสุขศึกษาและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดตรัง
ผู้จัดทำ.... กลุ่มพัฒนายุทธศาสตร์ สสจ.ตรัง
พร้อมทั้งให้กำลังใจในการปฏิบัติงานแก่เจ้าหน้าที่และตัวแทนหมู่บ้านไสบ่อซึ่งได้รับรางวัลชนะเลิศในเขต7ซึ่งประกอบด้วยจังหวัดตรัง กระบี่ ภูเก็ต พังงา ระนอง
แหล่งข่าวโดย.... พัชนี ธรรมพานิชย์ งานสุขศึกษาและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดตรัง
ผู้จัดทำ.... กลุ่มพัฒนายุทธศาสตร์ สสจ.ตรัง
สถานีอนามัยคลองปางได้รับคัดเลือกเป็นต้นแบบสถานบริการด้านมาตรฐานงานสุขศึกษาเขต7
สถานีอนามัยคลองปาง อำเภอรัษฎา จังหวัดตรังได้รับการคัดเลือกและประกาศเป็นสถานบริการสุขภาพต้นแบบด้านการพัฒนาคุณภาพ
มาตรฐานงานสุขศึกษาระดับเขต7 และเป็น1ใน10แห่งระดับประเทศโดยเข้ารับใบประกาศเชิดชูเกียรติจากอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพเมื่อวันที่ 26พฤศจิกายน
ณ โรงแรมแอมบาสเดอร์ซิตี้ หาดจอมเทียน จังหวัดชลบุรี อันนำมาซึ่งความยินดีของประชาชนผู้มารับบริการของอำเภอรัษฎา จังหวัดตรัง
แหล่งข่าวโดย.... พัชนี ธรรมพานิชย์ งานสุขศึกษาและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดตรัง
ผู้จัดทำ.... กลุ่มพัฒนายุทธศาสตร์ สสจ.ตรัง
[29/พ.ย/2553]
มาตรฐานงานสุขศึกษาระดับเขต7 และเป็น1ใน10แห่งระดับประเทศโดยเข้ารับใบประกาศเชิดชูเกียรติจากอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพเมื่อวันที่ 26พฤศจิกายน
ณ โรงแรมแอมบาสเดอร์ซิตี้ หาดจอมเทียน จังหวัดชลบุรี อันนำมาซึ่งความยินดีของประชาชนผู้มารับบริการของอำเภอรัษฎา จังหวัดตรัง
แหล่งข่าวโดย.... พัชนี ธรรมพานิชย์ งานสุขศึกษาและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดตรัง
ผู้จัดทำ.... กลุ่มพัฒนายุทธศาสตร์ สสจ.ตรัง
[29/พ.ย/2553]
สำรวจพบสัญญาณไอคิวเด็กไทยอันตราย สธ.เร่งเสริมไอโอดีนหญิงท้อง
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวเรื่อง "สมองเด็กไทย...รอไม่ไหวแล้ว"ว่า ผลสำรวจไอคิวเด็กไทยปี 2552 อยู่ที่ 91 จุด ขณะที่มาตรฐานสากลอยู่ที่ 90-110 จุด ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายสำหรับประเทศไทย
ทั้งนี้ กรมสุขภาพจิต เตรียมสำรวจไอคิวเด็กไทยระดับประถมศึกษา ถึงมัธยมศึกษาทั่วประเทศ จำนวน 92,000 คน ระหว่างวันที่ 13-24 ธันวาคมนี้ ผ่านแบบทดสอบ SPM Pararell ที่เป็นแบบสอบถามความถนัด โดยไม่ใช้ภาษา ซึ่งคาดว่าจะทราบผลในเดือนมกราคม 2554 เพื่อนำมาเป็นข้อมูลในการแก้ปัญหาไอคิวของเด็กไทยที่ต่ำลง โดยจะวิเคราะห์ลงลึกในรายภาคว่า จะแก้ปัญหาอย่างไร
ทั้งนี้เบื้องต้นให้ทุกโรงพยาบาลเสริมไอโอดีน ผสมเหล็ก และโฟเลต แก่หญิงตั้งครรภ์ทุกคน รวมทั้งออกกฏหมายเพิ่มไอโอดีนในเกลือ น้ำปลาและซอสปรุงรส ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคมนี้
ทั้งนี้ กรมสุขภาพจิต เตรียมสำรวจไอคิวเด็กไทยระดับประถมศึกษา ถึงมัธยมศึกษาทั่วประเทศ จำนวน 92,000 คน ระหว่างวันที่ 13-24 ธันวาคมนี้ ผ่านแบบทดสอบ SPM Pararell ที่เป็นแบบสอบถามความถนัด โดยไม่ใช้ภาษา ซึ่งคาดว่าจะทราบผลในเดือนมกราคม 2554 เพื่อนำมาเป็นข้อมูลในการแก้ปัญหาไอคิวของเด็กไทยที่ต่ำลง โดยจะวิเคราะห์ลงลึกในรายภาคว่า จะแก้ปัญหาอย่างไร
ทั้งนี้เบื้องต้นให้ทุกโรงพยาบาลเสริมไอโอดีน ผสมเหล็ก และโฟเลต แก่หญิงตั้งครรภ์ทุกคน รวมทั้งออกกฏหมายเพิ่มไอโอดีนในเกลือ น้ำปลาและซอสปรุงรส ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคมนี้
เทคนิคจุดเทียนแบบไร้ควัน
วันนี้ เรามีเทคนิคในการจุดเทียนแบบว่าไร้ควันมาฝากกันค่ะ ฟังแบบนี้ชักเริ่มจะสนใจแล้วใช่ม๊า เราไปดูสิว่าจะมีวิธีอย่างไรกันบ้างเอ่ย..
เดี๋ยวนี้เค้าผลิตเทียนแบบสวยงาม หลากหลายสไตล์ออกมาจำหน่ายมากมาย อีกทั้งเทียนสวยๆ หลายแบบมากมายทำได้สารพัดประโยชน์ ช่วยประดับตกแต่งห้องก็ได้ เพิ่มความโรแมนติกในขณะกินอาหารก็ดี แต่ที่ว่ามาทั้งหมดนี้ มักมีปัญหาอยู่ที่ควันเทียนที่ลอยอยู่เต็มห้องไปหมด ทลายบรรยากาศอันสุดแสนจะโรแมนติคไปอย่างสิ้นเชิง
ฉะนั้น ถ้าไม่อยากให้ควันเทียนมารบกวนใจ ทำลายบรรยากาศละก็ ก่อนจุดเทียน ให้ลองเอาเทียนไปแช่ตู้เย็นไว้หลายๆ ชั่วโมงก่อน รับรองได้ผลเกินร้อย
คราวนี้ก็หมดปัญหาเรื่องควันเทียนมากวนใจแล้วล่ะคะ เรื่องราวดีๆแบบนี้สาวๆอย่าลืมบอกต่อนะคะ..
เดี๋ยวนี้เค้าผลิตเทียนแบบสวยงาม หลากหลายสไตล์ออกมาจำหน่ายมากมาย อีกทั้งเทียนสวยๆ หลายแบบมากมายทำได้สารพัดประโยชน์ ช่วยประดับตกแต่งห้องก็ได้ เพิ่มความโรแมนติกในขณะกินอาหารก็ดี แต่ที่ว่ามาทั้งหมดนี้ มักมีปัญหาอยู่ที่ควันเทียนที่ลอยอยู่เต็มห้องไปหมด ทลายบรรยากาศอันสุดแสนจะโรแมนติคไปอย่างสิ้นเชิง
ฉะนั้น ถ้าไม่อยากให้ควันเทียนมารบกวนใจ ทำลายบรรยากาศละก็ ก่อนจุดเทียน ให้ลองเอาเทียนไปแช่ตู้เย็นไว้หลายๆ ชั่วโมงก่อน รับรองได้ผลเกินร้อย
คราวนี้ก็หมดปัญหาเรื่องควันเทียนมากวนใจแล้วล่ะคะ เรื่องราวดีๆแบบนี้สาวๆอย่าลืมบอกต่อนะคะ..
นิทานเซน 31 ทายอายุ
วันหนึ่งท่านกานไทสุ ซึ่งเป็นผู้คงแก่เรียนในลัทธิขงจื้อ ได้ไปเยี่ยมท่านอาจารย์ไดเท็นที่อารามใกล้ๆ แล้วถามท่านอาจารย์ว่า"ท่านอาจารย์ ท่านอายุเท่าไรแล้ว ?"ท่านไดเท็นยกสายลูกประคาขึ้น แล้วกล่าวว่า"ท่านเข้าใจไหม ?"ท่านกานไทสุงงงัน ท่านไดเท็นจึงกล่าวต่อไปว่า"กลางวันมีลูกประคา ๑๐๘ ลูก กลางคืนมี ๑๐๘ ลูก"ท่านกานไทสุก็ยังคงไม่เข้าใจ จึงลากลับบ้านด้วยความหงุดหงิดใจ ภรรยาของท่านกานไทสุทราบเรื่อง จึงแนะให้กลับไปถามความหมายจากท่านอาจารย์ไดเท็นใหม่วันรุ่งขึ้น ท่านกานไทสุ จึงรีบไปยังอารามท่านไดเท็นแต่เช้า และได้พบกับหัวหน้าพระในวัด จึงได้ถามปัญหานั้นขึ้น หัวหน้าพระได้ขบกรามสามครั้ง และไม่ได้อธิบายอะไร เมื่อท่านกานไทสุได้พบกับท่านไดเท็น จึงถามความหมายนั้นอีก ท่านไดเท็นขบกรามสามครั้งเป็นคาตอบ ท่านกานไทสุจึงว่า"ผมรู้แล้ว พระพุทธศาสนาย่อมเหมือนกันหมด""ท่านพูดอย่างนั้นไม่ได้" ท่านไดเท็นสวนกลับ"ได้ซิ เมื่อกี้นี้หัวหน้าพระก็ทาอย่างท่านนั่นแหละเมื่อผมถาม"ท่านไดเท็น จึงเรียกหัวหน้าพระมาสอบถาม เมื่อได้ความดังนั้น ท่านก็ตีหัวหน้าพระแล้วไล่ออกไปลูกประคามีจานวน ๑๐๘ ลูกเป็นวงตลอด เมื่อยกขึ้นมาเปรียบก็หมายความว่า อายุท่านย่อมอยู่เหนือการกาหนดได้การขบกรามของหัวหน้าพระ กับของท่านนั้นแตกต่างกัน หัวหน้าพระขบกรามด้วยความไม่รู้แต่ท่านขบกรามด้วยรู้ว่าท่านกานไทสุไม่รู้ คัดลอกจาก http://www.dharma-gateway.com/ผู้คัดลอกและเรียบเรียง
บีโอไอ:ธุรกิจหนังสือกับความท้าทายในยุคดิจิตอล
โดย ยุทธศักดิ์ คณาสวัสดิ์ 28 พฤศจิกายน 2553 15:08 น.
ธุรกิจสำนักพิมพ์นับเป็นอุตสาหกรรมแห่งความคิดสร้างสรรค์ เป็นการจัดทำและกระจายเนื้อหาทางวรรณกรรมหรือสารสนเทศไปสู่สาธารณะ ซึ่งแต่เดิมจะเผยแพร่ผ่านสื่อที่เป็นกระดาษเป็นหลัก แต่ปัจจุบันได้เผยแพร่ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์มากขึ้นอย่างก้าวกระโดด
การจำหน่ายในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ความจริงไม่ใช่เรื่องใหม่ โดยในต่างประเทศเริ่มจาก Audio book ซึ่งเป็นการอ่านออกเสียงให้ฟัง เริ่มมีการจำหน่ายตั้งแต่ทศวรรษที่ 1950 แต่เริ่มได้รับความนิยมอย่างมากนับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1990 เป็นต้นมา โดยได้รับความนิยมอย่างมากจากบุคคลที่ตาบอดหรือสายตาไม่ดี เดิมการจำหน่าย Audio book จะอยู่ในรูปแผ่นซีดีหรือเทปคาสเซท แต่ปัจจุบันได้เน้นจำหน่ายผ่านการดาวน์โหลดทางอินเทอร์เน็ตเนื่องจากมีต้นทุนที่ต่ำกว่า
ต่อมาเริ่มมีความนิยมใน e-Book ในรูปแบบ CD-ROM เดิมได้รับความนิยมสำหรับหนังสือประเภทปทานุกรมหรือดิกชันนารี เนื่องจากง่ายต่อการค้นหาข้อมูลในคอมพิวเตอร์ แต่ปัจจุบันได้ขยายความนิยมเป็นหนังสือทั่วไป เนื่องจากมีการจำหน่ายอุปกรณ์สำหรับอ่าน e-Book เช่น อุปกรณ์ iPad ของบริษัทแอปเปิล หรืออุปกรณ์ Kindle ของบริษัทอเมซอน ฯลฯ โดยผู้อ่านสามารถไปดาวน์โหลดหนังสือได้จากเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์
กรณีของบริษัทแอปเปิล จะเก็บค่าคอมมิชชันจากการขายหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ไปยังอุปกรณ์ iPad ในอัตราร้อยละ 30 ของราคาขาย ขณะที่ Kindle Store ของเว็บ Amazon เดิมได้เสนอส่วนแบ่งร้อยละ 30 ของราคาจำหน่าย แก่สำนักพิมพ์ แต่ล่าสุด Kindle Store ได้ประกาศจะเพิ่มส่วนแบ่งรายได้จากการจำหน่ายหนังสืออิเล็กทรอนิกส์แก่สำนักพิมพ์เป็นร้อยละ 70 นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2553 เป็นต้นไป หากเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดเอาไว้ คือ ต้องขายลิขสิทธิ์ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ให้ครบถ้วนและในภูมิภาคต่างๆ ที่ตนเองมีลิขสิทธิ์อยู่ให้ครบทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม สำหรับการจำหน่ายหนังสือในรูปแบบดิจิตอล จะส่งผลดีหลายประการ ได้แก่
ประการแรก ทำให้มีหนังสือซึ่งมีเนื้อหาหลากหลายมากขึ้น โดยเดิมแม้มีผู้เขียนส่งเรื่องไปยังสำนักพิมพ์จำนวนมากเพื่อขอตีพิมพ์ แต่สำนักพิมพ์มักจะตอบปฏิเสธแม้จะเห็นว่าหนังสือเล่มนั้นๆ มีคุณภาพก็ตาม เนื่องจากคาดว่าจะมีผู้ซื้อหนังสือจำนวนไม่มากนัก ดังนั้น หากดำเนินการตีพิมพ์แล้ว จะไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน แต่หากเป็นหนังสือในระบบดิจิตอลแล้ว ต้นทุนจะคงที่ (Fixed Cost) และราคาต่ำมาก ทำให้สำนักพิมพ์สามารถเสนอขายหนังสือให้แก่ผู้บริโภคได้หลากหลายมากขึ้น
ประการที่สอง นักเขียนจะได้รับส่วนแบ่งจากการขายหนังสือเพิ่มขึ้น โดยปกติแล้วในสหรัฐฯ จะให้ส่วนแบ่งแก่นักเขียนร้อยละ 10 ของราคาปกหนังสือกระดาษ ก็จะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 20 – 25 สำหรับหนังสืออิเล็กทรอนิกส์
อย่างไรก็ตาม ยังมีนักเขียนบางคนที่ยังไม่พอใจกับส่วนแบ่งดังกล่าว โดยเห็นว่าส่วนแบ่งน่าจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 50 เนื่องจากหนังสือในรูปแบบนี้จะทำให้สำนักพิมพ์สามารถลดค่าใช้จ่ายได้เป็นจำนวนมาก เนื่องจากไม่มีค่าใช้จ่ายในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเก็บรักษาหนังสือ ค่าใช้จ่ายในด้านจัดส่งหนังสือ ฯลฯ
ปัจจุบันมีแนวโน้มใหม่ คือ นักเขียนที่มีชื่อเสียงหลายคน เช่น Philip Roth, Orhan Pamuk, Martin Amis, John Updike, Stephen Covey ฯลฯ จะขายหนังสือในรูปแบบดิจิตอลโดยตรงไปยังผู้อ่านผ่าน Kindle Store ของเว็บ Amazon โดยไม่ผ่านสำนักพิมพ์
แนวโน้มข้างต้นก่อให้เกิดการขัดแย้งระหว่างสำนักพิมพ์และนักเขียน โดยสำนักพิมพ์ Random House ซึ่งเป็นสำนักพิมพ์ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ได้แจ้งต่อตัวแทนของนักเขียนเมื่อเดือนธันวาคม 2552 ว่าตนเองเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ครอบคลุมถึงหนังสือในรูปแบบดิจิตอลด้วย แม้ว่าสัญญาที่ทำกับนักเขียนในอดีตก่อนมีเทคโนโลยีหนังสือรูปแบบนี้ ไม่ได้กล่าวถึงลิขสิทธิ์หนังสือรูปแบบนี้แต่อย่างใด
การกล่าวอ้างของสำนักพิมพ์ Random House ข้างต้น ได้สร้างความโกรธแค้นให้แก่บรรดานักเขียนเป็นอย่างมาก ดังนั้น สมาคมนักเขียนจึงได้ออกแถลงการณ์ว่า สำนักพิมพ์เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เฉพาะที่ระบุในสัญญาเท่านั้น โดยผู้เขียนยังเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในส่วนที่ไม่ได้ระบุไว้ในสัญญา พร้อมกับหยิบยกคำพิพากษาของศาลเมื่อปี 2544 ที่ยกฟ้องคดีที่สำนักพิมพ์ Random House ฟ้องร้องสำนักพิมพ์ Rosetta Books ที่ละเมิดโดยนำนวนิยายของนาย Kurt Vonnegut และนาย William Styron ซึ่งตนเองเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในรูปหนังสือธรรมดา มาตีพิมพ์ในรูปแบบหนังสือดิจิตอล
อย่างไรก็ดี คุณริสรวล อร่ามเจริญ นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย ได้เคยให้ทัศนะว่า สำนักพิมพ์อย่าไปหวั่นเกรงกับกระแสเทคโนโลยีใหม่ ต้องนำวิกฤตมาเป็นโอกาส โดยต้องพยายามศึกษาทำความเข้าใจและใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ซึ่งมีหลายสำนักพิมพ์ที่เติบโตมาจากเว็บไซต์ และมีฐานลูกค้าเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์หลายพันรายต่อวัน
ติดต่อขอข้อมูล ติชม และเสนอแนะความคิดเห็นได้ที่ศูนย์บริการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน 0-2553-8111 หรือที่ head@boi.go.th
ธุรกิจสำนักพิมพ์นับเป็นอุตสาหกรรมแห่งความคิดสร้างสรรค์ เป็นการจัดทำและกระจายเนื้อหาทางวรรณกรรมหรือสารสนเทศไปสู่สาธารณะ ซึ่งแต่เดิมจะเผยแพร่ผ่านสื่อที่เป็นกระดาษเป็นหลัก แต่ปัจจุบันได้เผยแพร่ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์มากขึ้นอย่างก้าวกระโดด
การจำหน่ายในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ความจริงไม่ใช่เรื่องใหม่ โดยในต่างประเทศเริ่มจาก Audio book ซึ่งเป็นการอ่านออกเสียงให้ฟัง เริ่มมีการจำหน่ายตั้งแต่ทศวรรษที่ 1950 แต่เริ่มได้รับความนิยมอย่างมากนับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1990 เป็นต้นมา โดยได้รับความนิยมอย่างมากจากบุคคลที่ตาบอดหรือสายตาไม่ดี เดิมการจำหน่าย Audio book จะอยู่ในรูปแผ่นซีดีหรือเทปคาสเซท แต่ปัจจุบันได้เน้นจำหน่ายผ่านการดาวน์โหลดทางอินเทอร์เน็ตเนื่องจากมีต้นทุนที่ต่ำกว่า
ต่อมาเริ่มมีความนิยมใน e-Book ในรูปแบบ CD-ROM เดิมได้รับความนิยมสำหรับหนังสือประเภทปทานุกรมหรือดิกชันนารี เนื่องจากง่ายต่อการค้นหาข้อมูลในคอมพิวเตอร์ แต่ปัจจุบันได้ขยายความนิยมเป็นหนังสือทั่วไป เนื่องจากมีการจำหน่ายอุปกรณ์สำหรับอ่าน e-Book เช่น อุปกรณ์ iPad ของบริษัทแอปเปิล หรืออุปกรณ์ Kindle ของบริษัทอเมซอน ฯลฯ โดยผู้อ่านสามารถไปดาวน์โหลดหนังสือได้จากเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์
กรณีของบริษัทแอปเปิล จะเก็บค่าคอมมิชชันจากการขายหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ไปยังอุปกรณ์ iPad ในอัตราร้อยละ 30 ของราคาขาย ขณะที่ Kindle Store ของเว็บ Amazon เดิมได้เสนอส่วนแบ่งร้อยละ 30 ของราคาจำหน่าย แก่สำนักพิมพ์ แต่ล่าสุด Kindle Store ได้ประกาศจะเพิ่มส่วนแบ่งรายได้จากการจำหน่ายหนังสืออิเล็กทรอนิกส์แก่สำนักพิมพ์เป็นร้อยละ 70 นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2553 เป็นต้นไป หากเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดเอาไว้ คือ ต้องขายลิขสิทธิ์ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ให้ครบถ้วนและในภูมิภาคต่างๆ ที่ตนเองมีลิขสิทธิ์อยู่ให้ครบทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม สำหรับการจำหน่ายหนังสือในรูปแบบดิจิตอล จะส่งผลดีหลายประการ ได้แก่
ประการแรก ทำให้มีหนังสือซึ่งมีเนื้อหาหลากหลายมากขึ้น โดยเดิมแม้มีผู้เขียนส่งเรื่องไปยังสำนักพิมพ์จำนวนมากเพื่อขอตีพิมพ์ แต่สำนักพิมพ์มักจะตอบปฏิเสธแม้จะเห็นว่าหนังสือเล่มนั้นๆ มีคุณภาพก็ตาม เนื่องจากคาดว่าจะมีผู้ซื้อหนังสือจำนวนไม่มากนัก ดังนั้น หากดำเนินการตีพิมพ์แล้ว จะไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน แต่หากเป็นหนังสือในระบบดิจิตอลแล้ว ต้นทุนจะคงที่ (Fixed Cost) และราคาต่ำมาก ทำให้สำนักพิมพ์สามารถเสนอขายหนังสือให้แก่ผู้บริโภคได้หลากหลายมากขึ้น
ประการที่สอง นักเขียนจะได้รับส่วนแบ่งจากการขายหนังสือเพิ่มขึ้น โดยปกติแล้วในสหรัฐฯ จะให้ส่วนแบ่งแก่นักเขียนร้อยละ 10 ของราคาปกหนังสือกระดาษ ก็จะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 20 – 25 สำหรับหนังสืออิเล็กทรอนิกส์
อย่างไรก็ตาม ยังมีนักเขียนบางคนที่ยังไม่พอใจกับส่วนแบ่งดังกล่าว โดยเห็นว่าส่วนแบ่งน่าจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 50 เนื่องจากหนังสือในรูปแบบนี้จะทำให้สำนักพิมพ์สามารถลดค่าใช้จ่ายได้เป็นจำนวนมาก เนื่องจากไม่มีค่าใช้จ่ายในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเก็บรักษาหนังสือ ค่าใช้จ่ายในด้านจัดส่งหนังสือ ฯลฯ
ปัจจุบันมีแนวโน้มใหม่ คือ นักเขียนที่มีชื่อเสียงหลายคน เช่น Philip Roth, Orhan Pamuk, Martin Amis, John Updike, Stephen Covey ฯลฯ จะขายหนังสือในรูปแบบดิจิตอลโดยตรงไปยังผู้อ่านผ่าน Kindle Store ของเว็บ Amazon โดยไม่ผ่านสำนักพิมพ์
แนวโน้มข้างต้นก่อให้เกิดการขัดแย้งระหว่างสำนักพิมพ์และนักเขียน โดยสำนักพิมพ์ Random House ซึ่งเป็นสำนักพิมพ์ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ได้แจ้งต่อตัวแทนของนักเขียนเมื่อเดือนธันวาคม 2552 ว่าตนเองเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ครอบคลุมถึงหนังสือในรูปแบบดิจิตอลด้วย แม้ว่าสัญญาที่ทำกับนักเขียนในอดีตก่อนมีเทคโนโลยีหนังสือรูปแบบนี้ ไม่ได้กล่าวถึงลิขสิทธิ์หนังสือรูปแบบนี้แต่อย่างใด
การกล่าวอ้างของสำนักพิมพ์ Random House ข้างต้น ได้สร้างความโกรธแค้นให้แก่บรรดานักเขียนเป็นอย่างมาก ดังนั้น สมาคมนักเขียนจึงได้ออกแถลงการณ์ว่า สำนักพิมพ์เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เฉพาะที่ระบุในสัญญาเท่านั้น โดยผู้เขียนยังเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในส่วนที่ไม่ได้ระบุไว้ในสัญญา พร้อมกับหยิบยกคำพิพากษาของศาลเมื่อปี 2544 ที่ยกฟ้องคดีที่สำนักพิมพ์ Random House ฟ้องร้องสำนักพิมพ์ Rosetta Books ที่ละเมิดโดยนำนวนิยายของนาย Kurt Vonnegut และนาย William Styron ซึ่งตนเองเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในรูปหนังสือธรรมดา มาตีพิมพ์ในรูปแบบหนังสือดิจิตอล
อย่างไรก็ดี คุณริสรวล อร่ามเจริญ นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย ได้เคยให้ทัศนะว่า สำนักพิมพ์อย่าไปหวั่นเกรงกับกระแสเทคโนโลยีใหม่ ต้องนำวิกฤตมาเป็นโอกาส โดยต้องพยายามศึกษาทำความเข้าใจและใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ซึ่งมีหลายสำนักพิมพ์ที่เติบโตมาจากเว็บไซต์ และมีฐานลูกค้าเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์หลายพันรายต่อวัน
ติดต่อขอข้อมูล ติชม และเสนอแนะความคิดเห็นได้ที่ศูนย์บริการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน 0-2553-8111 หรือที่ head@boi.go.th
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)