++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2556

5 กลยุทธ์ เปลี่ยนวิธีคิด..ชีวิตเปลี่ยน


ในโลกแห่งอุดมคติ ความคิด ประสบการณ์ และความเชื่อที่เรามี มักจะแปรเปลี่ยนไปตามสถานการณ์และบุคคลที่เราพบปะ ที่จะช่วยขัดเกลา สร้างเสริม หรือเปลี่ยนแปลง ให้เหมาะกับตัวเราเป็นที่สุด

แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง หาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะมีคนจำนวนมาก ที่เคยชินกับการใช้ชีวิตแบบเดิมๆ อยู่ในกลุ่มคนเดิมๆ ไปเที่ยวสถานที่เดิมๆ กินอาหารเดิมๆ เสมือนหุ่นยนต์ที่ถูกป้อนข้อมูลให้คิดและทำซ้ำๆ จนกลายเป็นเรื่องปกติ

กระทั่งถึงวันหนึ่งที่เริ่มรู้สึกว่า “ต้องการความเปลี่ยนแปลงในชีวิต” นั่นแหละจึงจะลุกขึ้นมาปรับปรุงวิถีชีวิตของตนเอง ซึ่งจริงๆแล้วก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ขอแค่รู้จักเปลี่ยนวิธีคิด ชีวิตคุณก็จะเปลี่ยนไป เหมือนคำกล่าวที่ว่า “เราเป็นในสิ่งที่เราคิด” และ 5 กลยุทธ์ต่อไปนี้ จะช่วยให้คุณเปลี่ยนวิธีคิดได้อย่างเห็นผล

1. บอกตัวเอง “ฉันจะคิดต่าง..ฉันจะคิดต่าง”

หนทางที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้เราเปลี่ยนแปลงวิธีคิดเสียใหม่ คือการบอกตัวเองซ้ำๆว่า “ให้คิดต่างจากเดิม” ซึ่งกลยุทธ์นี้ไม่ใช่ของใหม่ มีมาแต่ครั้งโบราณแล้ว ที่เห็นได้ชัดคือ พิธีกรรมในเกือบทุกศาสนา จะให้ผู้ศรัทธาสวดมนต์หลายรอบ เพื่อวิงวอนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น

คุณอาจสวดมนต์ทุกคืนแล้วอธิษฐานให้ตัวเองคิดต่างไปในทางที่สร้างสรรค์กว่าเดิม หรือเมื่อตื่นนอนทุกเช้า จงบอกตัวเองว่า “วันนี้ฉันจะทำความดี” การบอกตัวเองซ้ำๆเช่นนี้ อาจช่วยให้คุณคิดต่างจากเดิมได้

ที่สำคัญคือ ในแต่ละวัน ควรหาเวลาทบทวนเรื่องราวดีๆ ที่ช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น กำลังใจจากคนรอบข้าง ความสำเร็จในการงาน ฯลฯ เพื่อให้ข้อมูลดีๆเหล่านี้ฝังลึกเข้าไปในจิตสำนึก ซึ่งมันจะช่วยแปรเปลี่ยนการกระทำของคุณไปในทางที่ดีกว่าเดิม

2. กระทำต่างจากเดิม

หากต้องการเปลี่ยนวิธีคิด ก็ต้องลองเปลี่ยนวิธีทำ ถึงแม้มันจะไม่ง่ายนักที่จะเปลี่ยนแนวทางในการทำสิ่งต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคุณทำแบบเดิมมานาน ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

แต่การเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆในชีวิต อาจช่วยได้ ด้วยการหากิจกรรมใหม่ๆที่คุณเคยคิดอยากทำ เช่น ไปออกกำลังกายที่สวนสาธารณะ ซึ่งปกติคุณไม่ค่อยได้ไป ไปเข้าวัดปฏิบัติธรรม ไปเป็นอาสาสมัคร หรือเข้าร่วมกลุ่มกิจกรรมทางศาสนา เป็นต้น

แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ก็ลองแบ่งงานให้คนอื่นทำดูบ้าง หรือถ้าคุณเป็นคนเฉื่อยชา ก็ลองลุกขึ้นมาจัดการสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเองให้มากขึ้น

ส่วนคนที่ไม่ชอบสุงสิงกับใคร ต้องกล้าที่จะออกมาเผชิญโลกภายนอกมากขึ้น หรือถ้าคุณเป็นคนยิ้มยาก ก็ลองหัดยิ้ม หัดมีอารมณ์ขันให้มากขึ้น โดยเริ่มต้นกับคนในบ้านก่อนก็ได้

เพราะทันทีที่คุณเปลี่ยนแปลงหรือมีการกระทำที่ต่างไปจากเดิม แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆก็ตาม สมองของคุณจะเปิดรับสิ่งกระตุ้นใหม่ และสร้างเครือข่ายเส้นใยประสาทใหม่ๆ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง

3. พบปะคนใหม่ๆ

การที่เราจะเกิดปัญญา แนวคิด และทัศนคติใหม่ๆในชีวิตได้นั้น ต้องรู้จักคนที่มีทัศนคติ หน้าที่การงาน ภูมิหลัง วัฒนธรรม หรือศาสนา ที่แตกต่างไปจากเรา

เพราะการคลุกคลีอยู่ในกลุ่มคนที่มีแนวคิดเหมือนกัน เป็นวิธีที่ดีที่เราจะได้ฟังสิ่งที่สนับสนุนความคิดและความเชื่อของเราอยู่เสมอ จึงเป็นการง่ายที่จะติดหล่ม “แนวคิดกลุ่ม” และยากที่จะมองเห็นหรือยอมรับความผิด หรือข้อด้อยของตัวเราเอง

ทางที่ดีคือ แค่เพิ่มสีสันในชีวิตด้วยการรู้จักคบหาเพื่อนใหม่บ้าง เพราะเพื่อนใหม่จะช่วยเพิ่มโอกาสให้คุณเกิดแนวคิดใหม่ๆได้ และคุณอาจประหลาดใจที่เพียงแค่ได้คุยกับคนบางคนที่มีมุมมองชีวิตที่แตกต่างออกไป ไอเดียใหม่ๆ ก็ผุดขึ้นทันที

และที่สำคัญ เพื่อนใหม่จะแนะนำคนใหม่ให้คุณรู้จักต่อๆกันไป ซึ่งหากยังอยู่ในแวดวงเพื่อนเก่าๆ คุณก็คงหมดโอกาสได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆอย่างแน่นอน

แต่ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปแสวงหาเพื่อนใหม่ในที่ห่างไกล เพราะจริงๆแล้ว คนเหล่านั้นอยู่รอบๆตัวคุณ ขอเพียงคุณกล้าที่จะเริ่มต้นพูดคุยกับพวกเขาก่อนเท่านั้นเอง

4. เข้าใจตนเอง

มีคนจำนวนมากกลัวที่จะยอมรับและตรวจตราความคิดและอารมณ์ของตนเอง รวมทั้งไม่สนใจเรียนรู้ที่จะเข้าใจตัวเอง แต่กลับเลือกสนใจเรื่องที่อยู่นอกกาย อาทิ ความต้องการของคนอื่น หน้าที่การงาน ฯลฯ

โดยหารู้ไม่ว่า การใส่ใจเรื่องจิตวิญญาณของตัวเองนั้น อาจช่วยให้รับรู้ถึงความต้องการและความฝันที่แท้จริงของเราได้ อีกทั้งยังช่วยให้ตระหนักถึงเรื่องการเอาใจเขามาใส่ใจเราด้วย

แม้ว่ามันอาจดูหมกมุ่นเกินไปที่จะค้นหาตัวตนที่แท้จริงของเรา แต่ก็ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะการรู้จักตัวเองมากขึ้น อาจช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต การรู้จักแยกแยะสภาพอารมณ์ เช่น รู้จักยอมรับอารมณ์โกรธและความกลัว หรือความเจ็บปวดต่อเหตุการณ์ในอดีต จะช่วยให้คุณปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ต่างๆได้ดีขึ้น

จำไว้ว่า คุณไม่อาจเปลี่ยนแปลงวิธีคิดได้ จนกว่าจะเข้าใจถึงสาเหตุที่ทำให้คุณคิดเช่นนั้น

5. กล้าฉีกกฎเดิมๆ

การใช้ชีวิตแบบเดิมๆ วันแล้ววันเล่า ทำแต่กิจกรรมเดิมๆที่เคยทำ แม้แต่การวางแผนเรื่องที่จะทำในวันหยุดสุดสัปดาห์ ก็สะท้อนให้เห็นถึงสูตรสำเร็จการใช้ชีวิตที่ตายตัว ซึ่งมันจะทำให้ชีวิตของคุณไม่ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ

เพราะธรรมชาติของการดำเนินชีวิตนั้น คนเรามีแนวโน้มที่จะยึดติดกับสิ่งที่คุ้นเคย และหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ทำให้รู้สึกอึดอัด ไม่สะดวกสบาย แต่หากลองทำกิจกรรมหรืออยู่ในสถานการณ์ใหม่ๆที่ไม่คุ้นเคยบ้าง ก็ส่งผลดีได้เช่นกัน เพราะจะทำให้เราคิดต่างออกไปจากเดิม

การกล้าที่จะหลุดออกจากโซนที่รู้สึกคุ้นเคย ด้วยการไปยังสถานที่ใหม่หรือทำกิจกรรมใหม่ๆ จะช่วยให้เกิดมุมมองใหม่ในชีวิตได้เป็นอย่างดี เช่น ไปเที่ยวป่า แทนการเที่ยวทะเลที่เคยไปประจำ หรือลองทำกิจกรรมที่ท้าทาย เช่น การปีนเขา ล่องแพในแม่น้ำ แทนกิจกรรมที่ทะเล เป็นต้น

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 154 ตุลาคม 2556 โดย ประกายรุ้ง)

ขนมปังกรอบ หรือเรียกอย่างฝรั่งว่า แครกเกอร์(Cracker)

ขนมปังกรอบ หรือเรียกอย่างฝรั่งว่า แครกเกอร์(Cracker) ซึ่งมีแป้งสาลี ไขมัน น้ำตาลและเกลือ เป็นหลัก คงไม่ต้องสงสัยว่าทำไมหลายๆ คนจึงชอบแครกเกอร์ ...คงเพราะติดใจในรสชาติเค็มๆ เห็นแผ่นบางๆ แค่ไม่กี่แผ่น ถ้าเผลอกินเพลินไปล่ะก็ ได้รับโซเดียมกระฉูดแน่ ดังนั้นก่อนหยิบแครกเกอร์กินในครั้งต่อไป โปรดเช็คฉลากสักนิดว่า พลังงานและปริมาณโซเดียมต่อหน่วยบริโภคมากน้อยแค่ไหน

 >>>>จัดไปครับ ก่อนเอาเข้าปาก กดอ่านก่อนได้ครับ เทียบไว้ให้ดูแล้วครับ ท่านสมาชิกฉลาดซื้อทั้งหลาย >>>http://goo.gl/ewt6hH

สรุป"โครงการตู้นิทานสร้างจินตนาการเพื่อน้องที่อยู่ห่างไกล (เฟส 2) ”

Pattara Nakhornsingha
สรุป"โครงการตู้นิทานสร้างจินตนาการเพื่อน้องที่อยู่ห่างไกล (เฟส 2) ”

ตามที่แม่มุกิได้เรียนเชิญเพื่อนๆมาทำบุญ
ซื้อตู้นิทานเพื่อเด็กและครอบครัวโครงการแรก
ไปบริจาค ที่ บ้านนาสะอุ้ง หมู่ 14 ตำบลวังบาล
อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์

ในวันที่ 18 – 19 มกราคม 2557จะร่วมเดินทาง
ร่วมกิจกรรมในโครงการ "หนึ่งใจช่วยเหลือผู้ประสบภัยต้านภัยหนาว"
มูลนิธิมิราเคิลออฟไลฟ์ ขอนแก่น

ได้รับการตอบรับจากผู้มีจิตศรัทธาอย่างล้นหลาม
และยังมีผู้บริจาคเงินเข้ามาอย่างต่อเนื่องแม่มุกิ จึงได้เปิดโครงการ
“ตู้นิทานเสริมสร้างจินตนาการเพื่อน้องที่อยู่ห่างไกล"โครงการ 2 ขึ้นมา

ซึ่งแม่มุกิ ทีมงานจิตอาสาบ้านชีวาศิลป์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
คุณจงชัย ทองเครือ บรรณาธิการบริหารขอนแก่นลิ้งค์
และเครือข่ายจิตอาสาขอนแก่นลิ้งค์

จะนำตู้นิทานโครงการ 2 ไปมอบให้ชุมชน
ที่บ้านหมันขาว หมู่ 4 ตำบลกกสะท้อน
อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย เป็นแห่งที่ 2
ในวันที่ 18 – 19 มกราคม 2557

ซึ่งมีรายนามผู้บริจาคมีดังนี้
1. คุณวชิระ ตราชู 1,000 บาท
2. คุณกิตติศักดิ์ เชี่ยววานิช 1,000 บาท
3. คุณกมลวรรณ ปลักกระโทก 1,000 บาท
4. คุณจิตรา ผดุงศักดิ์ 500 บาท
5. คุณอิมทิรา ชาญเชาว์และครอบครัว 500 บาท
6. คุณปัณณธรณ์ พยัฆคกุล 500 บาท
7. คุณจรัญ พฤกษาโคตร 500 บาท
8. คุณสมหญิง ทัฬหิกร 500 บาท
9. คุณร่มแก้ว อยู่เกิด 500 บาท
10.คุณจุฬาลักษณ์ ศรีธรรมบุตร 500 บาท
11.คุณชวลิต กงเพชร 500 บาท
12. คุณจิรดี ประยูรศิริ 1,000 บาท
13.คุณภาณุมาศ ลาดปาละ 1,000 บาท
14.คุณสมศักดิ์-คุณวัฒนาวดี ธีระโชติ 500 บาท
15.คุณพัณนิดา พลยงค์ 300 บาท
16.คุณสมเกียรติ ปลักกระโทก 200 บาท

รวมยอดบริจาคโครงการฯ 2 เป็นเงิน 10,000 บาท

ขอบพระคุณผู้มีจิตศรัทธา ปันน้ำใจเบริจาคเงิน
ในการจัดซื้อตู้นิทานเพื่อน้องที่อยู่ห่างไกล
ขอคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์
คุ้มครองและดลบันดาลให้ทุกท่าน
พบความสุข ความเจริญตลอดกาลนานเทอญ

ขอบพระคุณค่ะ

..แม่มุกิ.. ^^

เขื่อนแม่วงก์ เล็กแต่แทงที่หัวใจ

เขื่อนแม่วงก์ เล็กแต่แทงที่หัวใจ โดยนพ. รังสฤษฎ์ กาญจนะวณิชย์ ภาพโดยคุณ Akarapong Wangphaisal การสูญเสียพื้นที่ป่า 18 ตร.กม. หรือ "เพียง" 2% ของอุทยานแห่งชาติแม่วงค์ อาจดูไม่ใหญ่โต แต่หากเปรียบกับการสูญเสียอวัยวะ 2% ที่ว่านี้ เป็นส่วนของหัวใจเลยที่เดียว ไม่ใช่ นิ้วก้อย หรือไส้ติ้ง ที่จะตัดทิ้งไปได้ ป่าแต่ละส่วนมีระบบนิเวศที่แตกต่างกัน มีความสำคํญต่อการดำรงอยู่ของป่าทั้งระบบแตกต่างกัน หากสร้างเขื่อนแม่วงศ์ ป่าริมน้ำ และป่าที่ราบต่ำ กว่า 200 เมตรจากระับน้ำทะเล จะจมอยู่ใต้น้ำ ป่าที่ราบต่ำ ริมน้ำนี้ เป็นแหล่งอาศัยที่สำคัญทีสุดของสัตว์ป่าขนาดใหญ่หลายชนิด เช่น ช้าง เสือ มันไม่ได้กระจายตัวด้วยความหนาแน่นอย่างเท่าๆกันไปหมดทั้งผืนป่า เหมือนที่นักการเมืองหลายคนเข้าใจ ไล่ให้นกยูงไปอยู่บนเขา นอกจากนี้ ทะเลสาบท้ายเขื่อนยังหั่นป่าออกเป็นส่วนๆ ทำให้ การอพยบย้ายถิ่นของมันทำไม่ได้ หรือได้ลำบากครับ อีกประเด็นที่อยากให้หลายคนมองคือ ป่าและสัตว์ป่าที่โดนกระทบ ไม่ใช่เฉพาะ สัตว์ใน อช.แม่วงศ์เท่านั้น เขตแบ่งอุทยานแห่งชาติ มนุษย์เป็นผู้กำหนด สมมุติขึ้น แต่สำหรับสัตว์ป่า นี่คือ ผืนป่า ตต. ผืนป่าสุดท้ายชองประเทศที่กว้างใหญ่พอ ที่จะรับประกันความอยู่รอดของสายพันธุ์ของสัตว์ไทยหลายชนิด นี่คือที่หลบซ้อนและบ้านสุดท้ายของพวกมัน มนุษย์เราจะไม่เหลือที่ใดๆบนแผ่นนี้ให้พวกมันได้บ้างหรือ เขื่อน เป็นเทคโนโลยี่ ล้าสมัยของศตวรรต 20 ไม่สามารถ เอามาแก้ไขปัญหาซับซ้อน ศตวรรต 21 ได้ เชยหลุดโลก โลกได้เรียนรู้บทเรียนข้อผิดพลาดมามากมาย แต่ ประเทศนี้ยังย่ำอยู่กับที่ ทางเลือกของการแก้ปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วมที่ดีที่สุดคือการฟื้นฟูป่าต้นน้ำทุกลุ่มน้ำทั่งประเทศ - ช้า แต่ยั่งยืน เราสร้างเขื่อนยักษ์มาไม่รู้กี่เขื่อน ปัญหา ภัยแล้ง น้ำท่วม กลับ ทวีรุนแรงขึ้น ทุกปี หากวันนี้ ไม่มีการสร้างเขื่อน และสามารถยังคงรักษาป่าต้นน้ำไว้ได้ ผมมั่นใจว่าปัญหา น้ำท่วม ภัยแล้ง จะไม่รุนแรงแบบนี้ สำหรับ solution เรื่องภัยแล้ง น้ำท่วมระยะสั้นให้ทันใจ ผมมั่นใจว่ากรมชลประทานประเทศนี้ คงมีคนเก่งพอที่จะหา solution อื่น มีคำตอบข้ออื่นให้ เช่นการสร้างฝายและอ่างเก็บน้ำขนาดเล็กนอกพื้นที่ป่า จำนวนมากกระจายในพื้นที่ชลประทาน การสร้างระบบชลประทานที่มีประสิทธิภาพ ผมว่าเขาไม่จนปัญญาหรอก ไม่ใช่ one best answer question แน่นอน ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่เพียงเพื่อการเก็บรักษามรดกธรรมชาติเอาไว้ให้ลูกหลานดู แต่สัตว์ป่าเป็นลมหายใจและชีพจรของป่า ไม่มีพวกมัน กลไกการดำเนินระบบนิเวศป่าทั้งหมดก็พังครืน They don't need us to survive but we do need them to survive. — กับ กลุ่มนกเสรีอาสาสร้างสรรค์ องค์กรสาธารณประโยชน์
คนอนุรักษ์ : แล้วคุณจะไม่พลาดความคิดคมๆ และข้อมูลดีๆ ของ "คนอนุรักษ์"

เอี๋ยนหุย กับ ขงจื้อ....คติสอนใจ



เอี๋ยนหุยใฝ่ศึกษา มีคุณธรรมงดงาม เป็นศิษย์รักของขงจื้อ มีอยู่วันหนึ่ง เอี๋ยนหุยออกไปทำธุระที่ตลาด เห็นผู้คนจำนวนมากห้อมล้อมอยู่ท ี่หน้าร้านขายผ้า จึงเข้าไปสอบถามดู จึงรู้ว่าเกิดการพิพาทระหว่างคน ขายผ้ากับลูกค้า ได้ยินลุกค้าตะโกนเสียงดังโหวกเหวกว่า“3 x 8 ได้ 23 ทำไมท่านถึงให้ข้าจ่าย 24 เหรียญล่ะ!”
เอี๋ยนหุยจึงเดินเข้าไปที่ร้าน หลังจากทำความเคารพแล้ว ก็กล่าวว่า
“พี่ชาย 3 x 8 ได้ 24 จะเป็น 23 ได้ยังไง? พี่ชายคิดผิดแล้ว ไม่ต้องทะเลาะกันหรอก”
คนซื้อผ้าไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ชี้หน้าเอี๋ยนหุยและกล่าวว่า
“ใครให้เจ้าเข้ามายุ่ง! เจ้าอายุเท่าไหร่กัน! จะตัดสินก็มีเพียงท่านขงจื้อเท่านั้น ผิดหรือถูกมีท่านผู้เดียวที่ข้าจะยอมรับ ไป ไปหาท่านขงจื้อกัน ”
เอี่ยนหุยกล่าวว่า“ก็ดี หากท่านขงจื้อบอกว่าท่านผิด ท่านจะทำอย่างไร?”
คนซื้อผ้ากล่าวว่า “หากท่านวินิจฉัยว่าข้าผิด ข้ายอมให้หัวหลุดจากบ่า! แล้วหากเจ้าผิดล่ะ?”
เอี๋ยนหุยกล่าวว่า “หากท่านวินิจฉัยว่าข้าผิด ข้ายอมถูกปลดหมวก(ตำแหน่ง)”
ทั้งสองจึงเกิดการเดิมพันขึ้น
เมื่อขงจื้อสอบถามจนเกิดความกระจ่าง ก็ยิ้มให้กับเอี๋ยนหุยและกล่าวว่า
“3 x 8 ได้ 23 ถูกต้องแล้วเอี๋ยนหุย เธอแพ้แล้ว ถอดหมวกของเธอให้พี่ชายท่านนี้เสีย”
เอี๋ยนหุย ไม่โต้แย้ง ยอมรับในการวินิจฉัยของท่านอาจารย์ จึงถอดหมวกที่สวมให้แก่ชายคนนั้น
ชายผู้นั้นเมื่อได้รับหมวกก็ยิ้มสมหวังกลับไป

ต่อคำวินิจฉัยของขงจื้อ ต่อหน้าแม้เอี๋ยนหุยจะยอมรับ แต่ในใจกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น
เอี๋ยนหุยคิดว่าท่านอาจารย์ชรามากแล้ว ความคิดคงเลอะเลือน จึงไม่อยากอยู่ศึกษากับขงจื้ออีกต่อไป



พอรุ่งขึ้น เอี๋ยนหุยจึงเข้าไปขอลาอาจารย์กลับบ้าน ด้วยเหตุผลที่ว่าที่บ้านเกิดเรื่องราว ต้องรีบกลับไปจัดการ ขงจื้อรู้ว่าเอี๋ยนหุยคิดอะไรอยู่ ก็ไม่ได้สอบถามมากความ อนุญาตให้เอี๋ยนหุยกลับบ้านได้
ก่อนที่เอี๋ยนหุยจะออกเดินทาง ได้เข้าไปกราบลาขงจื้อ ขงจื้อกล่าวอวยพรและให้รีบกลับม า หากเสร็จกิจธุระแล้ว พร้อมกันนั้นก็ได้กำชับว่า
“อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง” เอี๋ยนหุยคำนับพร้อมกล่าวว่า
“ศิษย์จะจำใส่ใจ” แล้วลาอาจารย์ออกเดินทาง

เมื่อออกเดินทางไปได้ระยะหนึ่ง เกิดพายุลมแรงสายฟ้าแลบแปลบ เอี๋ยนหุยคิดว่าต้องเกิดพายุลมฝนเป็นแน่ จึงเร่งฝีเท้าเพื่อจะเข้าไปอาศัยอยู่ไต้ต้นไม้ใหญ่ แต่ก็ฉุกคิดถึงคำกำชับของท่านอา จารย์ที่ว่า “อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง” เราเองก็ติดตามท่านอาจารย์มาเป็ นเวลานาน ลองเชื่ออาจารย์ดูอีกสักครั้ง คิดได้ดังนั้น จึงเดินออกจากต้นไม้ใหญ่



ในขณะที่เอี๋ยนหุยเดินไปได้ไม่ไกลนัก บัดดล สายฟ้าก็ผ่าต้นไม้ใหญ่นั้นล้มลงมาให้เห็นต่อหน้าต่อตา เอี๋ยนหุยตะลึงพรึงเพริด คำกล่าวของพระอาจารย์ประโยคแรกเป็นจริงแล้ว หรือตัวเราจะฆ่าใครโดยไม่รู้สาเหตุ? เอี๋ยนหุยจึงรีบเดินทางกลับ กว่าจะถึงบ้านก็ดึกแล้ว แต่ไม่กล้าปลุกคนในบ้าน เลยใช้ดาบที่นำติดตัวมาค่อยๆเดาะดาลประตูห้องของภรรยา

เมื่อเอี๋ยนหุยคลำไปที่เตียงนอน ก็ต้องตกใจ ทำไมมีคนนอนอยู่บนเตียงสองคน! เอี๋ยนหุยโมโหเป็นอย่างยิ่ง จึงหยิบดาบขึ้นมาหมายปลิดชีพผู้ที่นอนอยู่บนเตียง เสียงกำชับของอาจารย์ก็ดังขึ้นมา “อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง” เมื่อเขาจุดตะเกียง จึงได้เห็นว่า คนหนึ่งคือภรรยา อีกคนหนึ่งคือน้องสาวของเขาเอง



พอฟ้าสาง เอี๋ยนหุยก็รีบกลับสำนัก เมื่อพบหน้าขงจื้อจึงรีบคุกเข่ากราบอาจารย์และกล่าวว่า
“ท่านอาจารย์ คำกำชับของท่านได้ช่วยชีวิตของศิษย์ ภรรยาและน้องสาวไว้ ทำไมท่านจึงรู้เหมือนตาเห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับศิษย์บ้าง?”
ขงจื้อพยุงเอี๋ยนหุยให้ลุกขึ้น และกล่าวว่า “เมื่อวานอากาศไม่ค่อยสู้ดีนัก น่าจะมีฟ้าร้องฟ้าแลบเป็นแน่ จึงเตือนเธอว่า อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ และเมื่อวาน เธอจากไปด้วยโทสะ แถมยังพกดาบติดตัวไปด้วย อาจารย์จึงเตือนเธอว่า อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง”

เอี๋ยนหุยโค้งคำนับ “ท่านอาจารย์คาดการดังเทวดา ศิษย์รู้สึกเคารพเลื่อมใสท่านเหลือเกิน”
ขงจื้อจึงตักเดือนเอี๋ยนหุยว่า “อาจารย์ว่าที่เธอขอลากลับบ้านนั้นเป็นการโกหก ที่จริงแล้วเธอคิดว่าอาจารย์แก่แล้ว ความคิดเลอะเลือนไม่อยากศึกษากับอาจารย์อีกแล้ว เธอลองคิดดูสิ อาจารย์บอกว่า 3×8 ได้ 23 เธอแพ้ ก็เพียงแค่ถอดหมวก หากอาจารย์บอกว่า 3×8ได้ 24 เขาแพ้ นั่นหมายถึงชีวิตของคนๆหนึ่ง เธอคิดว่าหมวกหรือชีวิตสำคัญล่ะ?”


เอี้ยนหุยกับขงจื้อ
เอี๋ยนหุยกระจ่างในฉับพลัน คุกเข่าต่อหน้าขงจื้อ แล้วกล่าวว่า
“ท่านอาจารย์เห็นคุณธรรมเป็นสำคัญ โดยไม่เห็นแก่เรื่องถูกผิดเล็กๆน้อยๆ ศิษย์คิดว่าอาจารย์แก่ชราจึงเลอะเลือน ศิษย์เสียใจเป็นที่สุด” จากนั้นเป็นต้นไป ไม่ว่าขงจื้อจะเดินทางไปยังแห่ง หนตำบลใด เอี๋ยนหุยติดตามไม่เคยห่างกาย

จากตำนานเรื่องเล่านี้ ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงเพลงๆหนึ่งของอิวเค่อหลี่หลิน(นักร้องดูโอของไต้หวัน) ที่ร้องว่า “หากสูญเสียเธอไป ต่อให้เอาชนะทั้งโลกได้แล้วจะยังไง?”

เช่นกัน บางครั้งคุณอาจเอาชนะคนอื่นด้วยเหตุผลของคุณ แต่อาจจะสูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดไป
เรื่องราวต่างๆ แบ่งเป็นหนักเบารีบช้า อย่าเป็นเพราะต้องการเอาชนะให้ได้ แล้วทำให้เสียใจไปตลอดชีวิต
เรื่องราวมากมายที่ไม่ควรทะเลาะ กัน ถอยหนึ่งก้าวทะเลกว้างฟ้างาม
ทะเลาะกับลูกค้า ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (วันที่ส่งตัวอย่างผลิตภัณฑ์ใหม่ คุณก็จะรู้สึก)
ทะเลาะกับเถ้าแก่ ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (วันที่ตรวจผลงานปลายปีมาถึง คุณก็จะรู้สึก)
ทะเลาะกับภรรยา ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (เธอไม่สนใจคุณ คุณก็หากับข้าวกินเองละกัน)
ทะเลาะกับเพื่อน ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (เคลียร์ไม่ได้ คุณอาจจะเสียเพื่อนไปเลย)

ใบชา เกิดสีสวยและกลิ่นหอมน่าลิ้มลองได้ ก็เพราะโดนน้ำร้อนลวก
ชีวิตของคนเราก็เช่นเดียวกัน เพราะเผชิญกับอุปสรรคครั้งแล้วครั้งเล่า
จึงเหลือไว้ซึ่งเรื่องราวเป็นตำนานให้ได้เล่าขานน่าตามติด
ผู้ที่รู้สำนึกคุณอยู่เสมอ จึงเป็นผู้มีวาสนามากที่สุด

เครดิตจาก นักเขียนนิรนาม

เรียนรู้ความสำเร็จของผู้อื่น

เรียนรู้ความสำเร็จของผู้อื่น
“It is necessary for us to learn from other’s mistake. You will not live long enough to make them all yourself.”
“จงเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของผู้อื่น เพราะท่านไม่สามารถมีชีวิตยืนยาว พอที่จะเรียนรู้ความผิดพลาดทั้งหมดด้วยตนเอง” ..……Adm. Hyman G. Rickover…….
การอ่านชีวประวัติของบุคคลที่ประสบความสำเร็จ จะช่วยเสริมพลังใจให้ฮึกเหิมที่จะมุ่งมั่นฟันฝ่าสู่เป้าหมายที่ต้องการ
นอกจากเกิดกำลังใจ ยังได้เรียนรู้ประสบการณ์ ทำให้ได้แง่คิดและได้เรียนรู้ข้อผิดพลาดซึ่งเป็นบทเรียนที่มีคุณค่ามหาศาล คงไม่คุ้มค่าที่เราจะลองผิดลองถูกหลายๆครั้ง จงเรียนรู้ความสำเร็จของผู้อื่น เพื่อเป็นแนวทางในการก้าวสู่ความสำเร็จต่อไป

แรงบันดาลใจหากันได้ที่ไหน โดย บุรินทร์ กำจัดภัย






ไอน์สไตน์เคยพูดไว้ว่า “จินตนาการสำคัญยิ่งกว่าความรู้” คำพูดนี้มีความนัยเรื่องเสรีภาพครับ เราจะจินตนาการอะไรไม่ได้เลยหากขาดเสรีภาพ จินตนาการไม่ใช่ห้วงคำนึงที่เกิดขึ้นเมื่อเสรีภาพขาดหายไป อย่างเช่นเมื่อเรามีความกลัวอะไรสักอย่างและเรากังวลคิดไปต่างๆ นานาว่าสิ่งร้ายๆ กำลังจะเกิดขึ้น เช่นนี้เป็นภาพหลอนและไม่ใช่จินตนาการ

คนไทยเราชอบให้กำลังใจกัน เราชอบบอกกันและกันว่า สู้ๆ นะเพื่อน เราเป็นกำลังใจให้นาย ผมอยากให้กำลังใจนี่สามารถให้กันได้จริงๆ เหมือนการถ่ายเทพลังงานในวิชาฟิสิกส์ให้กันได้ หรือถ่ายทอดลมปราณพลังยุทธ์ดั่งนิยายจีนกำลังภายใน แต่ก็อย่างที่รู้กันครับว่ากำลังใจนั้นเราถ่ายทอดให้กันวิธีนั้นไม่ได้ สำหรับผมแล้วเมื่อมีคนบอกผม (อย่างจริงใจ) ว่า
“เราเป็นกำลังใจให้นายนะ” จริงๆแล้วมันน่าจะแปลว่า

“สิ่งที่นายทำนะ ดีแล้ว เราเห็นด้วย ชื่นชมกับสิ่งที่นายทำอยู่ และ เฮ้ย เพื่อน นายไม่ได้อยู่คนเดียวนะ เราอยู่ฝ่ายนายเสมอ เราสนับสนุนนาย” ดังนั้นการให้กำลีังใจกันจึงเป็น “การชื่นชมยินดีเห็นด้วย” และเป็นการบอกว่าถ้าเราเผชิญปัญหาอะไร ก็มีเขาที่เต็มใจจะช่วยเราคือเป็น “กำลังเสริมสำรอง” และทำให้เรารู้สึกว่า “ไม่โดดเดี่ยว”

ดังนั้นการให้ “กำลังใจ” ก็คือการให้ “การชื่นชมยินดีเห็นด้วย + กำลังเสริมสำรอง + ความรู้สึกที่ไม่ต้องโดดเดี่ยว” กำลังใจที่ให้กันก็คือการมีส่วนร่วมยินดีและความหวังดีของคนที่ให้ต่อกันและกัน

และเมื่อได้รับกำลังใจ ความรู้สึกถูกต้องชอบธรรมในการกระทำสิ่งนั้นมันจะตามมาด้วยพร้อมๆกัน

แต่มันยังมีอะไรที่มนุษย์เราต้องการมากไปกว่านั้น ตอนนี้หลายๆคน แม้มีกำลังใจที่พ่อ แม่ พี่ น้องและเพื่อนๆ คอยให้กำลังใจอยู่ก็ยังรู้สึกขาดอะไรอีกสิ่งหนึ่งที่เรียกว่า “แรงบันดาลใจ” ซึ่งมักเริ่มต้นด้วยการจุดชนวนทางความคิดหรือการจุดประกาย“ในตัวเราเอง”

แรงบันดาลใจเป็นเหตุการณ์ปรากฎอุบัติขึ้นเองของจิตใจเราเอง มนุษย์เป็นสัตว์ชนิดเดียวเท่านั้นที่ถามหาสิ่งที่เรียกกันว่าเหตุผลและความหมาย ต่างจากสัตว์อื่นๆที่ใช้ได้มากที่สุดก็เพียงเหตุผล ผมเคยเรียนวิชาตรรกวิทยาสมัยปริญญาตรีเมื่อนานมาแล้ว อาจารย์ท่านบอกว่ามนุษย์คือเวไนยสัตว์ เวไนยสัตว์ก็คือสัตว์ที่รู้จักใช้เหตุผล มาถึงตอนนี้มีการค้นพบมากมายแล้วว่าสัตว์อื่นๆหลายชนิดใช้เหตุผลในระดับเบื้องต้นได้เช่นพวกลิงชั้นสูงหรือปลาโลมา ดังนั้นผมจะขอ update นิยามของมนุษย์ใหม่ในแบบของผมเองว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่เข้าถึงซึ่งเหตุผลและความหมาย และเหตุผลและความหมายเป็นองค์ประกอบสำคัญของศิลปวิทยาการและอารยธรรม

ศิลปวิทยาการและอารยธรรมของมนุษย์เริ่มต้นขึ้นเมื่อมนุษย์เริ่มเพาะปลูกเป็น เริ่่มเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นแหล่งอาหารได้ จึงทำให้ท้องอิ่มอยู่ตลอดโดยไม่ต้องออกไปล่าสัตว์หรือหาของป่า และได้ประโยชน์อื่นๆ จากการเลี้ยงสัตว์และเพาะปลูกเช่น ได้เครื่องนุ่งห่มและเครื่องมือ เป็นต้น มนุษย์จึงเริ่มมีเวลาเหลือมากขึ้นและเมื่อท้องอิ่ม พักผ่อนพอ มีปัจจัยสี่ครบ จึงมีเสรีภาพเหลือ มีเวลาอยู่กับตัวเอง และมีแรงบันดาลใจในการสร้างสรรสิ่งต่างๆที่เป็นจุดกำเนิดของศิลปวิทยาการขึ้น

ลองมาคิดเรื่่องการเกิดขึ้นของความรักดูบ้าง ความรักกับอะไรสักอย่าง (คนรัก สัตว์เลี้ยงตัวโปรด งานอดิเรก เสียงเพลง ความรู้) ที่ไม่ใช่ความรักตามสายเลือดเช่นความรักของพ่อแม่ มักเกิดขึ้นในจิตใจส่วนที่เป็นตัวตนของเราเอง เมื่อเรามีความเป็นตัวของตัวเราเองมากที่สุดโดยไม่เสแสร้งแกล้งทำกับสิ่งๆ นั้น และใช้ความเป็นตัวตนของเราเองปฏิสัมพัทธ์กับสิ่งนั้น ไม่ว่าจะด้วยวิธีที่เปิดเผยหรือแอบรักอยู่ในใจก็ตามที ความรักย่อมเกิดจากการปฏิสัมพัทธ์ระหว่างความเป็นตัวตนของเรากับสิ่งนั้นๆเสมอ ดังนั้นความรักจึงเป็นเรื่องส่วนตัวและเป็นเรืี่องที่รู้สึกได้โดยปัจเจกบุคคล เมื่อเรามีความรักกับใครสักคนมันจะมีแรงบันดาลใจให้เราทำอะไรดีๆกับคนๆนั้นได้เสมอได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องแสร้งทำ หรือต้องจำกันว่าต้องทำ (ต้องจำวันเกิดคนรัก จำของที่ชอบกิน ฯลฯ)

แรงบันดาลใจมันมาพร้อมๆกับความรัก ถ้าจะรักและมีแรงบันดาลใจกับอะไรสักอย่างละก็ ก็ต้องให้ความเป็นตัวเองกับสิ่งๆนั้นให้มากที่สุด เป็นธรรมดาสามัญมากที่สุดกับสิ่งนั้น

และแน่นอนว่าเราต้องมีสติและรู้จักตัวเองให้ดีก่อนจะรักอะไรสักอย่าง เพราะบางอย่างมันไม่ได้วัดกันด้วยการใช้สมองคือเรื่องของเหตุผล คือมันไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีลธรรมข้อห้าม แต่ด้วยความเป็นมนุษย์มีหัวใจที่รู้สึกถึง “ความหมาย” เราจะรู้ได้เองว่าอะไรบางอย่างนั้นเราไม่อาจทำได้เพราะมัน “ไม่งาม” (คือไม่สมควร) ในบริบทนั้นๆ ดังนั้นก่อนที่จะรักอะไรหรือทำอะไรสักอย่างเราคงจะต้อง
“use your brain, but follow your heart”

เพื่อไม่ให้ความรักเป็นเพียงความหลง

ความรักนั้นสุดวิเศษ เพราะเมื่อเรามีรัก เราก็จะมีแรงบันดาลใจในสิ่งๆ หนึ่งทำให้เราทำสิ่งๆหนึ่งที่หลายคนอาจเห็นว่ามันเป็นเรื่องเหนื่อยหน่ายและลำบากได้ โดยที่เราไม่รู้สึกอยากจะหยุดทำ เลิกทำได้เลย

เมื่อหลายคนถามผมว่าทำไมผมเลือกเป็นนักฟิสิกส์ ทั้งๆ ที่หลายคนเห็นเป็น“วิชาลำเค็ญ” นั่นก็เพราะว่าผมรักมัน และก็ไม่ใช่ว่าผมรักมีรักเดียวกับวิชานี้ ผมยังรักและชอบอีกหลายวิชาและรักงานอดิเรกอีกหลายอย่าง และก็มีอีกหลายวิชา หลายเรื่่องหลายประเด็นที่ผมไม่รัก ไม่ชอบเอาเสียเลย (เช่น การเมืองในปัจจุบัน) ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านหลายท่านก็คงเป็นเช่นเดียวกันกับผม

ถึงตอนนี้ผมก็ยังเห็นด้วยกับไอน์สไตน์ดังคำกล่าวข้างบนและก็อยากเพิ่มต่อไปอีกว่า

“แรงบันดาลใจสำคัญยิ่งกว่าจินตนาการและจินตนาการสำคัญยิ่งกว่าความรู้”

เอาละครับเราเมื่อเรามีแรงบันดาลใจแล้ว แรงบันดาลใจทำให้เราประสบความสำเร็จได้อย่างไร ก่อนอื่นคำถามมีอยู่ว่า “ความสำเร็จนั้นหรือคืออะไร” แปลความกันตามภาษาไทยที่ผมเข้าใจความสำเร็จน่าจะแปลว่าการบรรลุซึ่งเป้าหมายหรือประสงค์บางอย่าง และเป้าประสงค์ของแต่ละคนนั้นมันก็เฉพาะเจาะจงแตกต่างกันออกไปตามบริบท ตามสถานการณ์และตามทัศนะของแต่ละคน

สำหรับผมแล้วความสำเร็จคือความสุข (แน่นอน เงินไม่ใช่ความสุข แต่เงินทำให้เกิดความสุขในบางเรื่องได้) ทีนี้ “ความสุขคืออะไร” จะวัดกันได้อย่างไร

ความสุขของผมรวมเอาสิ่งทั้งหมดที่พูดมาก่อนนี้ซึ่งนั่นก็คือ

(1)แรงบันดาลใจซึ่งเกิดจากความรัก
(2)กำลังใจซึ่งเป็นความชื่นชมยินดี มีมิตรภาพ ไม่โดดเดี่ยว และ
(3)เสรีภาพซึึ่่งรวมความถึงการมีกินมีอยู่ มีสิ่งประทังชีวิตที่พอเพียงและมีสิทธิ์ที่จะคิดและทำภายใต้เหตุผลและความหมาย

เห็นด้วยกับผมหรือไม่ก็สุดแล้วแต่ท่านผู้อ่านครับ สำหรับผมเองแล้วสมการความสำเร็จก็คือสมการการได้มาซึ่งเป้าหมาย สมการนี้ก็คือสมการความสุขนั้นเองครับ สมการความสุขของผมเขียนได้ง่ายๆ ดังนี้
Success = Love + Joy + Freedom

(พูดในใจให้ได้ยิน: ผมกำลังฟุ้งเรื่องกลศาสตร์ของความรู้สึกหรือนี่.......ฟิสิกส์ไปทั่่วจริงๆ ผมได้ยินคำพูดว่า Success is love, joy and freedomนี้มาจากหนังวัยรุ่นอเมริกันเรื่องหนึ่งที่ผมได้ดูแค่ตอนจบเรื่องในรายการทีวีเมื่อเร็วๆ นี้ มันตรงกับที่ผมคิดก็เลยเขียนเรื่องนี้ให้อ่านกันครับ)

คืนที่หนักหนาสาหัส สำหรับผู้ชุมนุม ตั้งแต่ทำเนียบรัฐบาล ถึงผ่านฟ้า ถูกลอบยิง

นาคราช รักในหลวง หวงแผ่นดิน
###ค่ำคืนที่ผ่านมา ถือว่าเป็นอีกหนึ่ง คืนที่หนักหนาสาหัส สำหรับผู้ชุมนุม ตั้งแต่ทำเนียบรัฐบาล ถึงผ่านฟ้า ถูกลอบยิง จากฝ่ายตรงข้ามทั้งคืน แต่ถือว่ายังโชคดีอยู่มาก แนวป้องกันที่ สร้างไว้ ป้องกันการถูกลอบยิงได้เป็น อย่างดี แต่กระนั้นยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 ราย ซึ่งเป็น Taxi ที่จอดรถ แล้วมาคุยกับการ์ด คปท. บริเวณแยกมิสกวัน กระสุนโดนแขน และสีข้าง ร่วมกตัญญูนำส่ง รพ.รามา ซึ่งในขณะนี้อาการปลอดภัยแล้ว

###ถึงวันนี้ วันที่ 31 ธันวาคม 2556 เวลา 06:00 เป็นวันสุดท้ายของปีนี้ เป็นวันซึ่ง ประชาชนคนไทย และคนทั้งโลก จะได้เฉลิมฉลอง ต้อนรับปีใหม่กัน

###แต่สำหรับพี่น้องคนไทยหัวใจ รักชาติ ที่ปักหลักอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล จนถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จะเป็นคืนที่หนักหนาสาหัส แทนที่จะได้เฉลิมฉลองเหมือนคนไทย ส่วนอื่นของประเทศ แต่จะต้อง เตรียมการป้องกันระดับสูงสุด จากการลอบทำร้ายของพวกสัตว์นรก

###วันนี้ก่อนค่ำ ยังพอมีเวลา เตรียมการ ใครช่วยอะไรก็รีบช่วย หากันมา กระสอบทราย ยางรถยนต์ ตาข่ายในล่อน ไม้ไผ่ ตะปู แผ่นไม้ ฟิล์ม X-Ray ฯลฯ ของทุกอย่างควร ส่งถึงพื้นที่ชุมนุม คปท มัฆวาน ผ่านฟ้า ก่อนบ่าย 3 โมง เพื่อจะได้มีเวลาเตรียม การติดตั้งให้เรียบร้อย

###ถึงเวลาที่คนไทยหัวใจรักชาติ จะต้องร่วมมือกันอีกครั้ง เพื่อให้ผ่านพ้นช่วง เวลาที่โหดร้ายนี้ไปให้จงได้ ขอให้คุณพระคุ้มครอง ขอให้ทุกคน แคล้วคลาดปลอดภัย..เฉลิมฉลอง ปีใหม่ 2557 ด้วยความสุขชื่นมื่น สุขสดใส ปลอดภัยจากอันตราย ทั้งปวง

###ส่งท้ายปีเก่า 2556 ต่อนรับปีใหม่ 2557 ครั้งนี้ ถือว่าเป็นปีที่หนักหนา สาหัสเอาการในชีวิตของ นาคราช รักในหลวง หวงแผ่นดิน เลยวันเกิดแค่วันเดียว ก็โดนกระหน่ำยิงด้วยกระสุนยาง แถมท้ายด้วยกระสุนแก๊สน้ำตาเข้าที่ ข้อเท้าขวา กลายเป็นผู้พิการอยู่ อยู่หลายวัน แต่ก็ถือเสียว่าฟาด หนักๆ ไปแล้ว ปีหน้าฟ้าใหม่ จะได้หมดทุกข์ หมดโศก มีโชคมีลาภกับเขาบ้าง

###ส่วนกลางคืนก็ไม่ได้หลับ ไม่ได้นอน ต้อง Stanby เหตุฉุกเฉินทาง การแพทย์ มา 4 คืน ตาเป็นช่วงๆ หลินหุ้ย ไปแล้ว น้ำหนักลด ผอมลงเห็นได้ชัด 555 หล่อขึ้นอีกนิด แบบใจโทรมๆ อืม...ก็ยังมีข้อดีอยู่บ้าง ไม่เสียไปทุกอย่าง

###แต่คืนนี้ 31 ธันวาคม 2556 จะเป็นอีกหนึ่งคืนที่หนักหนาสำหรับผม ทีมงานอาสาพยาบาล และพี่น้องทุกคน ที่มาปักหลักอยู่ในพื้นที่ชุมนุม แต่ถึงจะหนักหนาแค่ไหน ผมและทีมงานอาสาพยาบาล ยังยืนหยัด ปักหลักอยู่ในพื้นที่ชุมนุม เพื่อดูแลพี่น้องมวลชนต่อไป สู้ก็ต้องสู้ด้วยกัน รอดก็ต้องรอดด้วยกัน เพราะหัวใจของพวกเราเป็นหัวใจ ดวงเดียวกัน คือหัวใจที่รักชาติ รักในหลวง......

ต้องรื้อกันใหม่หมดเลยประเทศไทย!

ผ่าน คุณ "เสมา ขุนศึกรักสถาบัน"

นั่งแท๊กซี่คันนึง คนขับอายุประมาณ 50 ต้นๆ ผิวพรรณดี พูดจาฉะฉาน ผมเห็นว่ารถยังใหม่เอี่ยม เลยถามว่า พึพึ่งออกรถใหม่เหรอ เขาว่าพึงไปถอยมายังไม่ถึงปีเลย หลังเออรี่ก็ไปถอยมาเลย ผมก็ถามว่าพี่ทำงานอะไรก่อนหน้านั้น เค้าบอกก็ที่ชาวบ้านกำลังด่านี่แหละ ผมเป็นตำรวจ เบื่อระบบ เลียนายไม่เป็น วงการนี้สกปรก เล่นพรรคเล่นพวก ระบบเดิมๆหายไปหมดแล้ว มีแต่เลียเก่ง เงินถึง ก็ข้ามหัวไปเลย

แกทิ้งท้ายก่อนจอด " สมควรแล้วที่ชาวบ้านด่า ผมเห็นด้วยที่ต้องปฏิรูปครับ "

/ ต้องรื้อกันใหม่หมดเลยประเทศไทย!

กลยุทธเอาชนะรัฐตำรวจ แชร์กันไปครับ

Sarawut Niamloiposted ..

กลยุทธเอาชนะรัฐตำรวจ แชร์กันไปครับ

ความจริงพื้นฐานที่เราต้องรู้คือ
1. ตำรวจส่วนใหญ่ยังมีคุณธรรม ไม่ใช่ทุกคนเห็นด้วยกับระบอบทรราชย์
2. การล้างสมองทำได้ไม่สมบูรณ์ ขนาดในพื้นที่เสื้อแดงแท้ๆ ยังไม่ได้เป็นเสื้อแดงทุกคน
3. ระบบอุปถัมภ์ทำให้มีผู้เสียประโยชน์มาก และตั้งตนเป็นศัตรูอยู่เงียบๆ
4. หลายครอบครัวผัวเป็นตำรวจ แต่เมียฟังบลูสกายและไปร่วมชุมนุม
5. ผลประโยชน์และทรัพย์สินเงินทองที่เป็นผลพวงจากระบอบฯ ...ตกอยู่กับตำรวจระดับสูงเท่านั้น

เราต้องทำสงครามแย่งชิงมวลชนครับ เริ่มจากตำรวจนี่แหละ
ต้องให้ความจริง ให้ความรู้ แฉความชั่ว โชว์หลักฐาน
ข้อมูลดีๆ ที่มี impact แรงๆ แชร์ไปมากๆ ทำ direct sale xerox แจกให้ตำรวจเลย เพราะตำรวจหลายคนก็ไม่ได้มี facebook หรือไลน์ ใช้เส้นสาย connection ของแต่ละคน เอาตำรวจดีๆ มาเป็นพวก พยายามเข้าอกเข้าใจว่าตำรวจก็โดน "ปั่นหัว" มา อย่าใจร้อนใช้อารมณ์

อย่าลืมนะครับ จักรวรรดิ์โรมันที่เคยปราบปรามคริสเตียนอย่างหนัก ก็ลงเอยเป็นผู้สนับสนุนคริสเตียนเสียเอง จากการต่อสู้ด้วยมือเปล่า ตั้งมั่นในศรัทธา และการเผยแพร่ "ไอเดียที่ดีกว่า" เท่านั้นผมเชื่อมั่นในศรัทธาของมวลมหาประชาชนครับ

• 5 เทคนิคพิชิตใจนาย



ที่มา: Bridget Quigg

สภาวะเศรษฐกิจที่นับวันจะมีแต่แย่ลงแบบนี้ การลดเงินเดือน หรือตัดโบนัส ย่อมกลายเป็นมาตรการต้นๆที่ผู้ประกอบการนำมาใช้เพื่อพยุงธุรกิจ แต่หากไม่ไหวจริงๆคงต้องพึ่งไม้ตายด้วยการปรับลดพนักงาน ซึ่งเชื่อว่าไม่มีใครอยากตกเป็นหนึ่งในพนักงานกลุ่มนั้น แต่จะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้ตัวเราเข้าไปเป็นหนึ่งในคนที่เจ้านายเห็นว่าเป็น จุดอ่อนที่ต้องกำจัด
และนี่คือ 5 เทคนิคสำหรับพัฒนาตัวเอง เพื่อให้เจ้านายหรือหัวหน้างานเห็นคุณค่าในตัวคุณ และอยากที่จะเก็บคุณไว้ทำงานด้วยนานๆ

1.เปิดอกคุยกับหัวหน้างานตรงๆ

วิธี นี้อาจดูฮาร์ดคอร์ไปหน่อย แต่อย่างน้อยก็เป็นการแสดงให้เห้นถึงความจริงใจของคุณที่ต้องการจะพัฒนา ศักยภาพในการทำงาน แต่คุณต้องเตรียมใจไว้ด้วยสำหรับคำตอยของหัวหน้างานของคุณ หากคุณอยากรู้ว่าคุณเป็นยังไง

รอน มิเชล ผู้ เชี่ยวชาญด้านการให้คำแนะนำเรื่องอาชีพ และผู้บริหารระดับสูงของ New York City-based Gotta Mentor แนะนำว่าคำถามที่ดีที่คุณควรใช้สำหรับถามหัวหน้างานของคุณเกี่ยวกับการพัฒนา ศักยภาพในตัวคุณ คือ 1.อะไรคือสิ่งที่ฉันควรปรับปรุง และ 2 อะไรคือสิ่งที่ฉันควรทำเพิ่มเติมเพื่อช่วยให้งานบรรลุเป้าหมาย
2.หัดเรียนรู้งานของคนอื่น

หนึ่ง ในวิธีที่ดีที่สุดจะทำให้คุณรักษาเก้าอี้ของคุณไว้ได้นานที่สุด นั้นคือการเพิ่มคุณค่าให้ตัวคุณเอง วิธีนี้อาจดูว่าคุณเป็นคนเห็นแก่ตัวไปซะหน่อย แต่มันจำเป็น ซึ่งหากคุณสามารถเรียนรู้งานอื่นจนสามารถพัฒนาเป็นทักษะงานใหม่ได้ ต้องไม่ลืมแสดงให้คนอื่นรู้ โดยเฉพาะแสดงให้หัวหน้างานของคุณเห็น
3.ทำกำไรให้บริษัท

หาก คุณไม่รู้ว่างานที่คุณทำอยู่เป็นการสร้างรายได้ที่เป็นเม็ดเงินให้บริษัท หรือเป็นการลดค่าใช้จ่ายให้กับบริษัท? หรือเป็นทั้ง 2 อย่าง คุณต้องเร่งหาคำตอบให้เจอ หรือหากคุณไม่รู้จริงๆ และต้องการความช่วยเหลือให้ปรึกษาเพื่อนสนิทที่ไว้ใจได้ เพื่อนร่วมงาน หรือเจ้านายของคุณ โดยเฉพาะพยายามแสดงให้เจ้านายของคุณรู้ว่าคุณกำลังพยายามพัฒนาการทำงานของ ตัวเอง และ แสดงให้เห็นว่าคุณมีความจำเป็นสำหรับงานนี้มากขนาดไหน
4.เป็นลำโพงให้กับตัวเอง

ไม่ ว่าในแวดวงหนคงไม่มีใครชอบคนที่หยิ่งยะโส แต่การนิ่งเงียบบและอยู่เฉยๆโดยไม่แสดงออกอะไรเลย ก็ไม่ใช่วิธีที่ลาด เมื่อใดก็ตามที่คุณต้องเลิกงานดึกดื่น เพื่อทุ่มเทให้กับโปรเจ็คใหม่ หรือเพื่อเตลียร์งานให้เสร็จ การเทรนด์งานให้กับเพื่อนร่วมงานใหม่ หรือทำอะไรที่เป็นผลงานของคุณ คุณต้องมั่นใจว่าเจ้านายของคุณมีโอกาสรับรู้ เพราะหัวหน้ามักเลือกจะเก็บคนที่ตั้งใจทำงาน และทุ่มเทเพื่องานไว้ทำงานด้วย
5. เป็นฮีโร่กอบกู้บริษัท

ปัจจุบัน อัตราการประกาศเลิกจ้างงานที่พุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ ดังนั้นโอกาสเดียวที่คุณจะอยู่รอดบนเก้าอี้ของคุณได้ คือ การทำวิกฤตเป็นโอกาสโดยอาศัยความสามารถของตัวคุณ พยายามใช้ความสามารถในการแก้ปัญหา โดยเฉพาะในสภาวะเช่นนี้ การร่วมคิดและเสนอแนวทางเพื่อให้บริษัทผ่านพ้นวิกฤตไปได้ เหมือนประหนึ่งคุณเป็นฮีโร่ที่มาช่วยกอบกู้องค์กรของคุณไว้จากเหล่าปีศาจ เพราะหากคุณทำได้จริง ไม่เพียงแต่งานของคุณจะมั่นคงขึ้นเท่านั้น แต่รายได้ที่คุณจะได้รับมันจะเพิ่มขึ้นโดยไม่คาดคิด

To find out more about how a good recruiter can help your team and your company succeed, please contact Adecco representative today.

เสียงจากเวที คปท ...

Ohlanor Thailand
เสียงจากเวที คปท ...

ผู้พันจ๊อด....มารายการตีแสกหน้า....ผมน้ำตาไหล ผู้พันจ๊อดกล่าวว่า ....แนวทางของทุกเวที ยังคงเป็นแนวเดียวกัน....เพียงแต่ พวกเวที คปท เป็นนักสู้ที่ฮาร์ดคอร์...เราใจสู้ ใจถึง และไม่ค่อยเอ่ยปากขอร้องใคร....ใครอยากช่วยเราก็ช่วย ไม่อยากช่วยเราก็สู้เอง.... พวกเราเป็นเวที ที่ยากจน ไม่ค่อยมีเงิน ค่าเช่าเวทียังติดค้างเขาอยู่....เราไม่มีบัญชีโอนเงิน ถ้าใครจะบริจาค ให้ไปที่เวที.... มีคนมากหรือน้อย เราก็จะสู้ ถ้าใครจะช่วยพวกเรา ช่วยไปที่ คปท เยอะๆ เพราะตำรวจมันจะไม่กล้าทำอะไร....ถ้ามีคนเยอะ..,., ผู้พันจ๊อด และ คปท ยอดเยี่ยมมากครับ......ช่วยเติมคน เติมกำลังใจ...ที่ คปท เยอะๆนะครับ....พี่น้องเอ๊ย

"กำลังใจเกินร้อย"

ตั้มพิชิตฝากบอกพี่น้องว่า "กำลังใจเกินร้อย" วันนี้ธาริตไม่อนุมัติประกันตัว พรุ่งนี้พาตัวไปฝากขังที่ศาลอาญา ข้อความที่มิ้นท์โพสต์ตอนแรก แต่ลบออกเพราะต้องเจรจาประกันตัวตั้ม ตอนนี้โพสต์ได้แล้ว... ทนายตัวเล็กๆธรรมดา กับลูกความนักเคลื่อนไหวเพื่อมวลชนธรรมดา กำลังสู้กับองค์กรตำรวจและองค์กรเอสไอ ว่าจะปล่อยผ่าน ว่าจะไม่ด่าการทำงานของดีเอสไอ ตั้งแต่ถูกจับก็โยนกันไปโยนกันมา รับแต่ชอบ ไม่รับผิด เมื่อคืนบอกว่านัดเวลา 10.00 น. จะให้ประกัน พอวันนี้ กว่าดีเอสไอจะมาถึงก็เกือบเที่ยงแล้วยังขอกินข้าวก่อน การประสานงานกับตชด. เจ้าของพื้นที่ก็ไม่ได้เรื่อง กฎหมายก็ไม่แม่น การปฏิบัติงานก็ห่วยแตก สุดท้ายไม่ให้ประกันชั้นพนักงานสอบสวนแต่จะส่งศาล เกียรติศักดิ์ เชี่ยวชาญ ซื่อสัตย์ ?
โดย: Puangtip Boonsanong

การชุมนุมของตำรวจที่ลานพระรูปตอนนี้ไม่มีความหมายอะไรต่อมวลมหาประชาชน

Paisal Puechmongkol ....

การชุมนุมของตำรวจที่ลานพระรูปตอนนี้ไม่มีความหมายอะไรต่อมวลมหาประชาชน และทำให้เปิดเผยอะไรบางอย่าง

- การใช้อำนาจเกณฑ์ตำรวจมาชุมนุมใครมีอำนาจก็ทำได้แต่ที่แล้วมาไม่มีใครทำเพราะคนมีอำนาจของตำรวจเป็นคนดี

- เป็นวิธีที่เฉลิมเคยใช้กดดันบรรหารเมื่อหลายปีก่อน แต่ประชาชนไม่สันหลังหวะ ชื่อเฉลิมจึงถูกพูดถึงอีกครา

- การชุมนุมไม่มีทางกลบเรื่องชายชุดดำที่ฮตำรวจขนมาที่กระทรวงแรงงานและก่อเหตุโด่งดังรอบนี้ได้และบางฝ่ายเห็นความเชื่อมโยงกับการทำลานจอดฮ ที่ดาดฟ้ากระทรวงแรงงานเมื่อเดือนก่อนด้วย

- บางฝ่ายเห็นความเขื่อมโยงของการประกาศเคอร์ฟิวในวันนั้นว่าเกี่ยวกับการใช้ฮ ตำรวจขนคนชุดดำออกไปตอนกลางคืนหลายรอบ เมื่อทราบว่าขนมาจากไหนไปไหนก็รู้เบาะแสขบวนการชุดดำที่เคย ฆ่า ทำร้ายทหารเสือราชินี มันกระทบแผลเก่ารุนแรงมาก
ที่สำคัญไม่มีคนเชื่อคำแก้ตัวที่ว่าว่าฮนั้นเป็นของชายชุดดำ แต่เชื่อตามที่เห็นว่าเป็นฮตำรวจ

- ประกาศความมั่นคงและคำสั่งต่างๆของศอรส ถูกทำลายลงเพราะการชุมนุมนี้เพราะเมื่อตำรวจทำได้จะไปเอาผิดประชาชนไม่ได้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา30และกระทบการกล่าวหาแกนนำ กปปส ว่าเป็นขบถด้วยเพราะตำรวจก็ทำเหมือนกัน

- ยิ่งเป็นบทพิสูจน์ว่าจำเป็นต้องปฏิรูป สตช เพื่อให้ตำรวจดีมีอำนาจและเป็นมิตรประชาชน

- ทำให้นายตำรวจตัวเล็กที่ใช้โรงแรมดุสิตเป็นที่สั่งการกองกำลังย่านสวนลุมเมื่อปี53ถูกเปิดตัวว่าเชื่อมโยงกับกองกำลังชุดดำ

การชุมนุมนี้ยังไม่เห็นข้อได้ประโยชน์ใด จึงน่าจะขาดทุนยับครับ

อยากจะบอกกลุ่มคนที่เป็นขี้ข้าทักษิณว่า คิดกันดูให้รอบคอบ

.....อยากจะบอกกลุ่มคนที่เป็นขี้ข้าทักษิณว่า คิดกันดูให้รอบคอบ ก่อนที่จะตัดสินใจไล่ล่าเอาชีวิตของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และนายนิติธร ล้ำเหลืิอ .....ตลอดเวลาที่มีการชุมนุมที่ผ่านมาแล้ว นายสุเทพ ประกาศย้ำเตือนผู้มาชุมนุมตลอดมาว่า ให้ชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ .....ถ้านายสุเทพและนายนิติธรเกิดได้รับอันตรายจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่กระทำโดยปราศจากอำนาจตามกฎหมาย .....มวลมหาประชาชนจำนวนหลายล้านคนจะคิดอย่างไร .....ถ้าบุคคลเหล่านั้นเกรงกลัวอันตรายและยุติการชุมนุม สังคมไทยก็อาจเกิดความสงบชั่วคราว .....แต่ถ้ามวลมหาประชาชนเหล่านั้นไม่ยอมยุติการชุมนุม และลุกขึ้นมาต่อสู้กับเจ้าพนักงานตำรวจ โดยไม่มีใครคอยเตือนสติให้ควบคุมอารมณ์ .....ลองนึกภาพของมวลมหาประชาชนจำนวนหลายล้านคนที่ขาดผู้นำคอยควบคุมคอยห้ามปราม เกิดเป็นม๊อบที่บ้าคลั่ง ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า จะมีอะไรเกิดขึ้นในประเทศไทย .....ถ้าถึงวันนั้นจะมีอะไรเกิดขึ้นแก่ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และขี้ข้าทั้งหลายของทักษิณ ชินวัตร .....ลองคิดถึงภาพจุดจบของมุสโสลินี ผู้นำของอิตาลีในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ดูว่าเป็นอย่างไร https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=429163360543229&id=100003487051857&__user=1562778538

เมื่อประชาชนถูกลอบทำร้าย กลางดึก 30 ธ.ค.2556

Chadasha Panawes
อีกแล้ว ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อประชาชนถูกลอบทำร้าย "ขนาด คปท. ทำบังเกอร์ เพื่อป้องกันตัวเองมันก็ขึ้นไปยิงมาจากตึกสูง" หุหุ ปาระเบิดซ้ำ "ไม่ยิ่งใหญ่คงทำเหี้ย ๆ ไม่ได้ถึงขนาดนี้" ...ความชัดเจน มันอยู่ที่เมื่อมีการละเมิดสิทธิ์ มีการใช้ความรุนแรงกับประชาชนที่ต่อสู้เพื่อชาติ "ต่อสู้ด้วยมือเปล่า" แล้วมีหน่วยงานไหนที่จะออกมาปกป้องประชาชน...ประเทศไทยยังเป็น รัด-ถะ อยู่อีกหรือไม่ ??? ...ใครมีส่วนเกี่ยวข้องสร้างให้เกิดสงครามกลางเมือง...หน่วยที่ลงมือกระทำ หรือหน่วยที่วางตัวเฉยเมยไม่กระทำอะไรเลย...น่าจะเลวร้ายไม่ต่างกัน...ขอไว้อาลัย

สาวชาวไต้หวันผู้หนึ่ง เป็นโรคสมองพิการ

สาวชาวไต้หวันผู้หนึ่ง เป็นโรคสมองพิการ ( cerebral palsy) แต่กำเนิดไม่สามารถเคลื่อนไหวตามปรกติ และพูดจาไม่ได้ แต่ด้วยความมุ่งมั่นและศรัทธาเธอสามารถเรียนจบปริญญาเอกจากสหรัฐฯ แล้วแสดงทัศนคติของเธอในที่ต่างๆ เพื่อให้กำลังใจและช่วยเหลือผู้อื่น
ครั้งหนึ่ง เธอรับเชิญไปบรรยายด้วยการเขียน (คนพูดไม่ได้ต้องใช้วิธีเขียน)หลังบรรยายเสร็จ มีนักเรียนคนหนึ่งตั้งคำถามว่า
“ท่านอยู่ในสภาพนี้โดยกำเนิด แล้วท่านไม่รู้สึกน้อยใจรึ? ท่านมองตัวเองอย่างไร?”
คำถามอันละเอียดอ่อนนี้ สร้างความตะลึงแก่ที่ประชุมไม่น้อย ต่างเกรงว่าคำถามนี้จะทิ่มแทงจิตใจของเธอ ปรากฏว่า เธอหันหน้าไปยังแผ่นกระดาน เขียนตัวหนังสืออย่างไม่สะทกสะท้านว่า
“ฉันมองดูตัวเองอย่างไร?”
เธอหันหน้ายิ้มให้ผู้ร่วมประชุม แล้วเขียนข้อความต่อ
1.ฉันน่ารักมาก
2.ขาฉันเรียวยาวสวยดี
3.คุณพ่อคุณแม่รักฉันจัง
4.พระเจ้าประทานรักแก่ฉัน
5.ฉันวาดภาพได้ ฉันแต่งหนังสือได้
6.ฉันมีแมวที่น่ารัก
และ….
ขณะนั้น ที่ประชุมเงียบกริบ ไม่มีเสียงพูดจาใดๆ เธอหันกลับมามองดูทุกคน แล้วเขียนคำสรุปบนแผ่นกระดานว่า
“ฉันมองแต่สิ่งที่ฉันมี ไม่มองสิ่งที่ฉันขาด”
หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เสียงปรบมือดังสนั่นในที่ประชุมพร้อมทั้งน้ำตาที่สะเทือนใจจากหลายๆคน ณ วันนั้น ทัศนคติเชิงสุขนิยมและบทพิสูจน์ของเธอเพิ่มกำลังใจแก่ผู้คน มากมาย ผู้เป็นโรคสมองพิการผู้นี้คือ น.ส.หวางเหม่ยเหลียน ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตจาก UCLA ผู้เคยจัดนิทรรศการภาพเขียนส่วนตัวหลายครั้งในไต้หวัน
“ฉันมองแต่สิ่งที่ฉันมี ไม่มองสิ่งที่ฉันขาด” ฉันชอบทัศนคติต่อชีวิตแบบนี้ ซึ่งถูกหลักสุขภาพจิตและสบายใจด้วย
ความสุขไม่ได้อยู่ที่คุณครอบครองสิ่งใดมากแค่ไหน แต่อยู่ที่คุณมีทัศนคติอย่างไรในการมองสิ่งต่างๆ

มวลมหาประชาชนจะชนะหรือไม่

Chadasha Panawes
ความเห็นของจิตแพทย์....เวลานี้เราไม่ได้เผชิญหน้ากับคนธรรมดา เรากําลังเผชิญหน้ากับกลุ่มคนที่มีปัญหาบุคลิกภาพแบบ Psychopath ซึ่งถ้าแปลง่าย ๆ ก็คือ พวกสันดานโจรนั่นเอง

มวลมหาประชาชนจะชนะหรือไม่
มีหลายคนถามว่า กปปส.จะชนะหรือไม่ชนะ แน่นอนทุกคนที่เห็นธาตุแท้ของรัฐบาลและพรรคพวกของรัฐบาล อยากให้ชนะ และพร้อมที่จะสนับสนุนกปปส.ไม่ว่าจะเรื่อง การชุมนุม การออกมาเดินแสดงเจตนารมย์ และการบริจาคต่าง ๆ ใจข้าพเจ้าภาวนาให้ กปปส.เป็นฝ่ายชนะ แต่ถ้าเมื่อสวมวิญญาณจิตแพทย์แล้ว ข้าพเจ้าก็รู้สึกถึงความยากลําบากที่กปปส.จะชนะได้ เนื่องจากกปปส.คาดคะเนนางสาวยิ่งลักษณ์ผิดไป ไม่นึกว่าเธอจะทนต่อคําประนามของประชาชนต่อความผิด ความไม่ดีของเธอได้มากขนาดนี้ ข้าพเจ้าคิดว่ามีจุดที่ต้องเข้าใจเพื่อบรรลุสู่ชัยชนะ พวกเราและกปปส.อาจไม่เข้าใจว่า เวลานี้เราไม่ได้เผชิญหน้ากับคนธรรมดา เรากําลังเผชิญหน้ากับกลุ่มคนที่มีปัญหาบุคลิกภาพแบบ Psychopath ซึ่งถ้าแปลง่าย ๆ ก็คือ พวกสันดานโจรนั่นเอง
ในแง่วิชาการพวกสันดานโจร (Psychopath) มีลักษณะเด่นคือ เป็นพวกที่ไม่มีความละอายใจ หรือความอับอาย ต้องการกระทําชั่ว รวมทั้งไม่มีความรู้สึกสํานึกผิดและก็ไม่เคยคิดด้วยว่าตนเองผิด คําอธิบายที่คนเหล่านี้มีให้กับตนเองคือ ความผิดทั้งหมดเป็นของคนอื่นเสมอ นี่คือคําอธิบายปรากฎการณ์ที่คนเป็นล้าน ๆ
ออกมาไล่นางสาวยิ่งลักษณ์ แต่นางก็ยังใส่หน้ากากยิ้มระรื่นได้ หรือใส่หน้ากากร้องไห้น้ําตาจระเข้ ดังที่ทุกคนได้เห็น สมกับที่เจ้าหล่อนไปเรียนการละครและการแสดงมาจาก..เคนตั๊กกี้ บวกกับใบหน้าท่าทางที่ดูดีเลยทําให้เป็น Psychopath ที่สุดยอด จับพิรุธได้ยากลําบากกว่าพี่ชายเสียอีก ดูตัวอย่างฮิตเลอร์ จนตายก็ยังไม่เคยรับเลยว่าตนเองผิด เพราะคนกลุ่มนี้ไม่มีความรู้สึกหรือเห็นอกเห็นใจคนอื่นเลย มีแต่ความอํามหิตเลือดเย็น จิตอาฆาต
อีกลักษณะหนึ่งที่เห็นทุกวันซ้ําแล้วซ้ําเล่า ได้แก่ การโกหกหลอกลวงตลอดเวลา และสามารถโกหกได้อย่างแนบเนียนเหลือเกิน สามารถพูดปนระหว่างคําโกหกกับความจริง นางสาวยิ่งลักษณ์สามารถโกหกเปลี่ยนเรื่องได้ทุกวัน นี่ก็ไม่แปลกเพราะเป็นอาการที่เรียกว่า pseudologia fantastica คือ สร้างเรื่องขึ้นเองจากจินตนาการ แล้วยังเชื่ออีกว่าที่ตัวเองโกหกนี่คือความจริง จึงทําให้โกหกได้แนบเนียนมากยากที่จะจับได้ พูดอะไรก็ได้ บิดเบือนอะไรก็ได้ แก้ตัวได้สารพัด เพื่อจะรักษาผลประโยชน์ตนเอง เพื่อที่จะผลักหรือโยนความผิดให้ผู้อื่น จะเห็นได้ว่าลักษณะนี้ไม่ใช่อยู่ที่นางสาวยิ่งลักษณเ์พียงคนเดียว แต่อยู่ในสมาชิกร่วมคณะรัฐบาลด้วย นายเฉลิม อยู่บํารุง เคยเป็นตัวอย่างหนึ่งที่จิตแพทย์ใช้อธิบายลักษณะของคนที่มีบุคลิกภาพผิดปกติชนิด Psychopath นี้ แต่ต่อไปนี้คงต้องเป็นนางสาวยิ่งลักษณ์แทน เพราะสะท้อนภาพได้ชัดเจนกว่า
พวกสันดานโจรมักเป็นพวกที่มีเสน่ห์ ใครเห็นตอนแรกจะเชื่อถือประทับใจได้ง่าย แต่ต้องใช้เวลานานมาก รวมทั้งต้องมีข้อเท็จจริง มีข้อมูลเปรียบเทียบให้ชัดเจน ถึงจะเห็นได้ว่าอะไรคือความจริง อะไรคือความเท็จ ประเทศไทยเรานี้น่าสงสาร ที่ตกอยู่ใต้อิทธิพลของกลุ่มสันดานโจรนี้ จึงกลายเป็นแผ่นดินที่ไม่มีความสงบสุข ร้อนเป็นไฟ คนแตกสามัคคี อาฆาตทําร้ายกัน เพราะถูก ยุยงปลุกปั่น ทรัพย์สินทรัพยากรในประเทศก็ถูกคดโกงไปมากแทบจะหมดประเทศแล้ว เพราะเป็นยุคโจรอันธพาลครองเมือง
ถ้าถามว่าจะชนะพวกสันดานโจรนี้ได้อย่างไร คงจะต้องขอยอมรับว่ากลุ่มนี้เป็นพวกที่เอาชนะ ยากมาก ประเทศไทยโชคร้ายที่มีพวกสันดานโจรที่มีความรู้สูง แต่ขาดคุณธรรม มามีอํานาจ
ซึ่งเป็นพวกหลงตัวเอง หลงอํานาจและคิดว่าตนเองยิ่งใหญ่ สามารถทําได้ทุกอย่างที่ตนเองต้องการ นี่ก็เป็นอาการหนึ่งของกลุ่มนี้ที่เรียกว่า grandiosity บางคนถึงขนาดหลงผิด(delusion)ไม่อยู่กับความเป็นจริงก็มี นี่อาจตอบคําถามได้ว่าบางครั้งทําไมคนไทยถึงสงสัยว่าพวกนี้บ้าหรือดี กฎหมายเอาชนะยาก ที่ผ่านมาพวกนี้จะยอมจํานนต่อศาล และกฎหมายก็ต่อเมื่อมีหลักฐานที่ชัดเจน และ มัดตัวจนดิ้นไม่หลุด แต่ก็ยังหาทางปฎิเสธจนวาระสุดท้ายของชีวิต การไม่ยอมรับศาลรัฐธรรมนูญ นี่ก็เป็นลักษณะหนึ่งของ psychopath
อย่างไรก็ตามเราก็ยังต้องพึ่งระบบยุติธรรมและข้อเท็จจริง เหมือนอย่างตอนที่ฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจ มีข้อเท็จจริงยืนยันทุกขั้นตอน แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่สามารถเอาชนะได้เพราะโจรครองเมือง คนไทยได้เพียงแต่หวังว่าเรายังมีระบบยุติธรรมเป็นที่พึ่งสุดท้ายที่จะรักษาไว้ซึ่งความเที่ยงธรรม เพื่อความอยู่รอดของประเทศไทย เพราะนี่คือคําตอบสุดท้าย ดังนั้นพวกเราทุกคนต้องเรียกร้องให้ ปปช. และระบบยุติธรรมของประเทศไทยแสดงบทบาทของตนเองให้ทันกาล เพื่อให้ประเทศพ้นจากความหายนะครั้งนี้......

คำเตือน...นักท่องเที่ยว

คำเตือน...นักท่องเที่ยว วันนี้(30ธค.)ช่วงเวลา 14.00 น. หน่วยประสานงานกู้ภัยอุทยานแห่งชาติ.ที่ 4 เขาใหญ่(ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) ได้ทำการช่วยเหลือท่องเที่ยวเด็กชายอุาย 16 ปี ที่ลานแคมป์ลำตะคองจนอาการปลอดภัย สาเหตุเกิดจากช๊อคอากาศความหนาวเย็น อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จึงขอฝากเตือนนักท่องเที่ยวทุกท่านที่มีโรคประจำตัว ให้ระมัดระวังการเจ็บป่วยเฉียบพลันด้วยครับ
โดย: หมู สาริกา

ตีงูหลังหัก ?

ดร.มหากิตติศักดิ์ ถิรวิศิษฏ์
ตีงูหลังหัก ?

สนธิ ปฏิวัติแล้ว ยึดทรัพย์”งู”ไม่หมด “งู” ก็เลยใช้ทรัพย์มาทำร้ายสังคมไทย ให้รุ่มร้อนใจตลอดมา

ยิ่งลัก ลุยให้ผ่านนิรโทษตอนตี๔กว่าไปแล้ว แต่กลับสั่งให้ถอย ไม่ทำให้สุดซอย .. “งู” ที่สนธิ ตีหลังหัก จึงขู่ยิ่งลัก ให้อยู่ในอำนาจต่ออย่างทุลักทุเล วิ่งหาพี่เลี้ยง วิ่งหาคนปลอบใจไปวันๆ

สุเทพ เห็นเป็นบทเรียน การตี “งู” หลังหัก ไม่ทำให้ “งู” หมดพิษร้าย ก็เลยร้องประกาศดีให้ตายสิ้นทั้งคอก ทั้งวงศ์ตระกูล “งู”

เทศกาลทิ้งความทุกข์ปีเก่า และต้อนรับความสุขปีใหม่ กำลังจะเปลี่ยนผ่านไปตามเวลานาที ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น ด้วยหัวใจที่ร้อนรน ของทั้ง “งูหลังหัก” ทั้งยิ่งลัก.. ทั้งสุเทพฯ และประชาชน ?

สุเทพ จะเซ็ทซีโร่ O หรืองู หลังหัก จะเซ็ทซีโร่ O ให้กับประเทศไทย ให้กับสังคมไทย ได้สำเร็จ พี่น้อง ต้องลุ้นกันต่อไป ???

แค่พยายามใช้ดนตรีของพวกกูปกป้องชีวิตพวกเขา


Anchalee Ismanyee
ทุกครั้งที่เกิดเหตุแบบนี้จะมีคนสมน้ำหน้าพวกเรา มีคนสาปแช่งให้พี่น้องการ์ดเราเจ็บเยอะกว่านี้ ไอ้เหี้ย!!กูเป็นนักดนตรี กูอยู่กะมวลชนยันเช้าคาตามา 2 คืนเต็ม กูทำได้แค่พยายามใช้ดนตรีของพวกกูปกป้องชีวิตพวกเขา ทำได้แค่ไม่ให้พวกเขาหลับสนิทเพราะต้องตื่นตัวตลอดเตรียมรับมือสถานการณ์ แต่กูก็ไม่เสี่ยงเท่าอีกกลุ่มคนที่เสียสละอย่างแท้จริง พี่น้องการ์ดต้องหลบอยู่หลังบังเกอร์และคอยระแวงตลอด เสื้อกันกระสุนหนักแสนหนักที่การ์ดใส่ก็ไม่ได้กันกระสุนได้รอบทิศ คนยิงแม่งกูพูดได้เลยว่าต้องแม่นปืนเพราะยิงข้างลำตัวที่เป็นจุดบอดของเสื้อเกราะตลอด กูไม่รู้ว่าการ์ดเคยได้มีโอกาสยิงสวนบ้างไหม รู้แต่ว่าโดนลอบทำร้าย จิตสำนึกคนปกติถ้าแยกดีชั่วออกก็ควรรู้แล้วป่ะวะว่ามึงควรจะด่าใครและควรยกย่องใคร แต่นี่มึงมาแช่งคนที่เขาปกป้องชีวิตกู มึงแช่งคนที่ปกป้องพี่น้องที่ออกมาเรียกร้องเพื่อสิทธิของเขาอย่างถูกต้อง ใจพวกแม่งโคตรต่ำ สัส!!! กูจะพูดอีกที ใครแช่งคนเจ็บให้กูเห็นกูจะตามด่าถึงโคตรตระกูลมึงแน่ว่าผลิตมนุษย์ไร้คุณภาพอย่างพวกมึงออกมารกโลกเพื่อห่าอะไร!!! แล้วคนอย่างพวกมึงไมาต้องมีปฏอสัมพันธ์ห่าเหวอะไรกับกูทั้งสิ้น กูไม่อยากรู้จักไอพวกแบคทีเรียมนุษย์!!!

หนึ่งเดียว....ที่สุดในโลก



-ใช้เวลาหาเสียงเพียง ๔๙ วัน ได้เป็นนายกฯ
-เป็นนายกฯ ที่ไม่มีความรู้พื้นฐานใดๆ ทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และ ฯลฯ
-เป็นนายกฯ ที่ไม่ได้บริหารประเทศด้วยตนเอง
-เป็นรัฐบาลที่โกงกินมากที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย
-เป็นรัฐบาลเพื่อพวกพ้องของตนเองเท่านั้น
-เป็นสิ่งมีชีวิตเพศหญิงที่ถูกผู้คนด่าอย่างหยาบคายที่สุด
-เป็นนายกฯ ที่คนเกลียดชังทั่วประเทศ
-เป็นนายกฯ ที่คนขับไล่มากที่สุดตั้งแต่มีประเทศไทยมา
-เป็นนายกฯ ที่หน้าด้านที่สุด ทนเสียงคนเป็นล้านๆ ด่าได้เป็นเวลา ๒ ปี
-เป็นนายกฯ ที่ฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่องทั้งที่เป็นคนไทย ผู้คนออกมาขับไล่แต่ดันชวนเปิดเวทีพูดคุยหาทางออก
-เป็นนายกฯ ที่ตาบอดตาใส ประชาชนชี้ทางออกให้แล้วมองไม่เห็น ซ้ำยังจะเปิดเวทีพูดคุยหาทางออกอีก
-เป็นนายกฯ ที่ก้นหนักที่สุด ยกออกจากเก้าอี้ไม่ได้เลย
ฯลฯ อีกมากมาย พูดไม่ไหว โอยย...เหนื่อยอะ.
คนบางซื่อ
มิน่า! วันก่อนต้อง ว.๕ หลบขึ้นชั้น ๗ โฟร์ซีซั่นส์ ฮ่าๆๆๆ .

ถูกทุกข้อ 31 December 2556 - 00:00
ไทยโพสต์ อิสรภาพแห่งความคิด

ต้องถวายคืนอำนาจ

นิวร พงศาธิรัตน์ ....

****สมควรแก่เวลาที่รัฐบาลรักษาการณ์ ต้องถวายคืนอำนาจให้ในหลวงและลาออกไป เมื่อมีการบริหารราชการแผ่นดินล้มเหลวทั้งระบบ หมดอำนาจทั้งสภาฯ ไม่มีสิทธิ์และหมดความชอบธรรมที่จะบริหารราชการแผ่นดินอีกต่อไป

อนาคตที่เป็นไปได้ของตระกูลชินและสมุน

Phichai Ratnatilaka Na Bhuket
อนาคตที่เป็นไปได้ของตระกูลชินและสมุน

ความพยายามของกองกำลังฝ่ายระบอบทักษิณที่จะลอบสังหารทนายนกเขาเมื่อคืน เป็นการกระทำที่สิ้นคิดโดยแท้ เพราะหากพวกเขาทำสำเร็จอาจเป็นชนวนของการเกิดจลาจลและความรุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก ผลที่ตามมาคือจะนำไปสู่การนองเลือด และท้ายที่สุดตระกูลชินวัตรและสมุนข้าทาสทั้้งหลายจะพบกับจุดจบอย่างใดอย่างหนึ่ง
ก. เบาที่สุดคือแบบมาร์กอส
ข. หนักขึ้นอีกนิดคือแบบ มูบารัก แห่งอียิปต์หรือ ฟูจิโมริ แห่ง เปรู
ค. หนักสุดคือแบบ กัดดาฟี หรือ มุสโสลินี

เลือกเอาเองครับว่าต้องการแบบไหน

การกระทำของพวกคุณนั้นมันซ้ำเติมสถานการณ์โดยรวมของฝ่ายเราเพียงใด

Suvinai Pornavalai
ผมเห็นความระส่ำระสาย รอยร้าวทางความคิดที่เกิดขึ้นแล้วในมวลมหาประชาชนโดยเฉพาะส่วนหนึ่งจากกลุ่มเหลืองฮาร์ดคอร์ที่ตั้งป้อมตำหนิการนำของคุณสุเทพและกปปส.อย่างเปิดเผยเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้ทั้งๆที่เป้าหมายร่วมกันเฉพาะหน้าหรือการโค่นล้มระบอบทักษิณก็ยังไม่ลุล่วงสำเร็จ....ขณะที่ปัญญาชนเสื้อแดงตัวพ่อบางคนหมกมุ่นอยู่กับการอัดกำนันสุเทพรายวันรายชั่วโมง อย่างไม่คิดที่จะมองภาพรวมในวงกว้าง....ฮาร์ดคอร์เสื้อเหลืองบางคนก็หมกมุ่นอยู่กับการก่นด่าพรรคประชาธิปัตย์/แนวร่วมอย่างกัดไม่ปล่อย บางครั้งก็ลามไปถึงการตั้งข้อสงสัยหรือการระแวงในการนำของกำนันสุเทพว่าทรยศมวลมหาประชาชนแล้วด้วยซ้ำโดยอ้งสมมติฐานสมคบคิดกับแก๊งบูรพาพยัคฆ์ทั้งๆที่ยังไม่มีข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนเป็นข้อเท็จจริงออกมาแต่อย่างใดเลยแต่มาจากอคติส่วนตัวของตนทั้งสิ้น....ผมจำเป็นต้องตำหนิพวกเรากันเองอย่างแรงๆแม้ว่าจะชื่นชมในความทุ่มเทอย่างสุดตัวในการต่อสู้ของเหล่าเหลืองฮาร์ดคอร์ก็ตาม....แต่ผมอยากจะบอกว่ามันไม่ใช่ ผมอยู่ในวงการศิลปะการต่อสู้มาทั้งชีวิต คู่ต่อสู้ที่ใช้อารมณ์นำหน้ามีแต่ถูกเฉือนสถานเดียวเท่านั้นจากฝ่ายตรงข้ามที่เลือดเย็นกว่า เยือกเย็นกว่า....พวกคุณไม่รู้หรอกว่าการกระทำของพวกคุณนั้นมันซ้ำเติมสถานการณ์โดยรวมของฝ่ายเราเพียงใดในสายตาของนักกลยุทธ์ โดยเฉพาะในช่วงที่ฝ่ายเราเริ่มมีความสูญเสียเกิดขึ้นแล้วจากความอำมาหิตของฝ่ายตรงข้าม

คนที่เรามองไม่เห็น

คนที่เรามองไม่เห็น
มีผู้หญิงคนหนึ่งประสบอุบัติเหตุ
ทำให้ต้องตาบอดทั้งสองข้าง
และเธอก็ทุกข์ทรมานกับการสูญเสียการมองเห็น
แต่สามีเธอก็พยายาม ปลอบใจ และให้กำลังใจเธอตลอด
พยายามสอนให้เธอใช้ประสาทสัมผัสให้มากขึ้น
ที่ทำงานของเธอกับสามีอยู่คนละทาง
แต่เขาก็ขับรถไปส่ง และไปรับอยู่เสมอ
จนวันหนึ่งสามีเธอรู้สึกเหน็ดเหนื่อยมาก
เขาจึงพูดกับเธอว่าให้เธอลองพยายามขึ้นรถเมล์ไปทำงานเอง
โดยที่เขาไม่ต้องไปรับไปส่งได้ใหม
นาทีนั้น เธอรู้สึกเหมือนโดดเดี่ยว และน้อยใจสามีเธอ
แต่เธอก็พยายามทำตามที่เขาขอ
เธอพยายามขึ้นรถเมล์เอง พยายามไปทำงานด้วยตัวเอง
จนในที่สุดเธอก็สามารถทำได้
วันหนึ่งก่อนที่เธอจะลงรถไปทำงานตามปกติ
คนขับรถเมล์ก็เข้ามาจับแขนเธอและพูดกับเธอว่า
ผมช่างอิจฉาคุณผู้หญิงจริงๆครับ
เธอก็เลยถามว่า อิจฉาเธอเรื่องอะไร
คนขับรถเมล์ก็เลยบอกว่า…
สามเดือนที่ผ่านมา
ผมจะเห็นสุภาพบุรุษคนหนึ่งเขาจะขึ้นรถเมล์ตอนเช้า
มานั่งตรงเบาะหลังคุณ เฝ้ามองดูคุณด้วยความห่วงใย
และตามคุณลงรถไป
และเฝ้าดูคุณเดินเข้าไปที่ทำงานอย่างห่วงใย
และตอนเย็นทุกๆเย็นเขาก็จะมาเฝ้ารอดูคุณขึ้นรถ
และคอยดูคุณจนคุณลงรถ
พอเธอได้ยินดังนั้น…
เธอก็น้ำตาไหลด้วยความตื้นตัน และสำนึกผิด
เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่เคยทิ้งเธอไปไหน
เขายังอยู่ดูแลเธออย่างใกล้ชิด
เขาเหนื่อยยิ่งกว่าตอนที่เขาต้องคอยมารับมาส่งเธอซะอีก
เธอหวนนึกถึงคำพูดเขาที่บ่นลอยๆ ออกมาบ่อยๆ ว่า
ชีวิตคนไม่แน่นอน อาจตายวันนี้ พรุ่งนี้ ได้ทุกเมื่อเลยนะ
ดูอย่างคุณสิ เมื่อวานยังมองเห็นวันนี้คุณมองไม่เห็นแล้ว
เธอคิดน้อยใจเขามาตลอด 3 เดือน ที่คิดว่าเขาเบื่อ
รำคาญการเป็นคนตาบอดของเธอ
ณ วันนี้เธอรู้แล้วว่า เขากลัวว่าวันนี้พรุ่งนี้เขาจะตายไป
แล้วเธอจะไม่สามารถไปไหนมาไหนหรือมีชีวิตอยู่เองได้ถ้าขาดเขา
เป็นอีกหนึ่งบทความดีๆที่ให้กำลังใจกับชีวิตนะครับ ลองหันกลับมามองดูว่าทุกก้าวของชีวิตของเรานั้นโดดเดี่ยวอย่างที่เราคิดจริงๆหรือไม่ ยังมีใครที่คอยช่วยเหลือและให้กำลังใจเราอยู่โดยที่เราไม่รู้ต้วหรือไม่? ยังไงถ้าชอบก็ฝากแบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆอ่านกันด้วยนะครับ

ลดการฉีกขาดของกิ่งฝรั่ง

ลดการฉีกขาดของกิ่งฝรั่ง เสริมความแข็งแรงของต้น ด้วยการเด็ดยอดและดอกออกครั้งและ 1 คืบ ทุกๆครั้งที่แตกยอดใหม่ ทำตั้งแต่เริ่มปลูก-อายุ 1 ปี
จาก Sms FArmer Info - 23 ธ.ค.2556

ฟังรายการวิทยุรักพ่อ ตอนที่ 59 รักพ่อ รักในหลวง โดย กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ - ความพอเพียง&DJ Plapayoon

มาแล้วครับรายการรักพ่อ ช่วยสายต่อ ให้ระบือ ส่งสื่อสาร
เหมือนคนที่มีจิตร่วมกัน ร่วมปกป้องสถาบัน ให้มั่นคง
ช่วงเวลาต่อจากนี้ไป ขอนำท่านผู้ฟังเข้าสู่รายการรักพ่อ

รายการรักพ่อ59 ความพอเพียง&DJ Plapayoon

พบกับสารคดีพระเมตตาดั่งสายธาร ตอน แพรวา...ผ้าแห่งชาติพันธุ์, อาภรณ์แห่งความสุข, คำสัญญา, ช่วงทีนพลัสรักพ่อ จากชมรมวิทยุ เด็ก เยาวชน และครอบครัว จ.ชลบุรี, กลเม็ดเคล็ดลับกับการพึ่งตนเอง ,ช่วงสัมภาษณ์ คุยกับ ดีเจปลาพยูน รวิวัลย์ จันทร์สุทธิ์ ในเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียงกับความเป็นจริ­งในสังคมไทย

http://www.youtube.com/watch?v=k1MWCFTtVfo



สูตรอาหารเป็ดขุน

สูตรอาหารเป็ดขุน ต้นกล้วยสับ 1 ส่วน ข้าวเปลือก/รำ 1 ส่วน คลุกเคล้าให้เข้ากัน ให้เป็ดกินตั้งแต่อายุ 1 เดือนขึ้นไป เช้า-เย็น
จาก Sms FArmer Info - 20 ธ.ค.2556

ป้องกันกำจัดหนอนผีเสื้อ

ป้องกันกำจัดหนอนผีเสื้อที่เข้าทำลายไม้ผลด้วยสูตรขิง+ข่า+หนอนตายยาก ทุบ/บด อย่างละ 2 กก.แช่น้ำ 1 ลิตร นาน 2 คืน แล้วกรองใช้ 1cc/น้ำ 20 ลิตร
จาก Sms FArmer Info - 24 ธ.ค.2556

อากาศแห้งและลมแรง

อากาศแห้งและลมแรง ชาวสวนยางพาราควรระวังและป้องกันการเกิดอัคคีภัย โดยควรทำแนวกันไฟรอบพื้นที่เพาะปลูกและหลีกเลี่ยงการจุดไฟในสวนยางพารา
จาก Sms FArmer Info - 25 ธ.ค.2556

วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2556

แชร์มาฝาก:) สุภาษิตจีน

แชร์มาฝาก:) สุภาษิตจีน

จงดูแลรักษาของเก่าล้ำค่า 4 อย่าง 四老
(ซื่อเหล่า)

1... 老身 (เหล่าเซิน)
ร่างกายเก่าๆของคุณ
เพิ่มความใส่ใจต่อสุขภาพ เรื่องนี้มีแต่ต้องอาศัยตัวคุณเองเท่านั้น

2... 老钱 (เหล่าเฉียน)
เงินทุนเกษียณอายุ
เงินที่คุณหามาได้ คุณต้องเก็บรักษาด้วยตัวคุณเองเป็นดีที่สุด

3...老妻 (เหล่าชี)
คู่ชีวิตของคุณ
ทำทุกขณะร่วมกับคู่ชีวิตของคุณให้ล้ำค่า เพราะคุณคนใดคนหนึ่งจะต้องจากไปก่อน

4...老友 (เหล่าอิ้ว)
เพื่อนเก่าของคุณ
ฉวยทุกโอกาสพบปะสังสรรค์กับเพื่อนๆของคุณ โอกาสเช่นนั้นจะหายากขึ้นทุกทีตามเวลาที่ผ่านไป

@ ฝากข้อคิด_บุคคลที่หาได้ยากในโลกนี้

@ ฝากข้อคิด_บุคคลที่หาได้ยากในโลกนี้ โดยพระเทพคุณาภรณ์ (โสภณ โสภณจิตฺโต ป.ธ. 9) เจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชรวรวิหาร

บุคคลที่หาได้ยากในโลก 2 ประเภท คือ บุพการีชน และ กตัญญูกตเวทีชน

1บุพการีชน ได้แก่คนที่ทำอุปการะเกื้อกูลมาก่อน คือทำอุปการคุณแก่บุคคลอื่น โดยมิได้หวังผลตอบแทนในภายหลัง
บุพการีชนผู้ทำได้ดังนี้ มีน้อยนัก เพราะการคิดช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทนย่อมหาได้ยาก บุพการีชนมี 4 ประเภท คือ 1.พระสัมมาสัมพุทธเจ้า 2.พระมหากษัตริย์ 3.บิดามารดา 4.ครูอาจารย์

_/\_พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นบุคคลหาได้ยาก เพราะเหตุ 2 ประการ คือ โดยจำนวน คือ มีน้อยยิ่ง แม้ว่าโลกนี้จะไม่ว่างจากพระศาสนา แต่การเข้าถึงพุทธภาวะ ทั้งเนิ่นนานและทำได้ยาก โดยคุณธรรม คือ ทรงมีพระคุณ 3 ได้แก่ พระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ

_/\_พระมหากษัตริย์ เป็นบุคคลหาได้ยาก เพราะพระมหากษัตริย์ไทย ทรงปรารถนาที่จะบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ประชาชน คนไทยจึงมีชาติ คู่ศาสน์ กษัตริย์จวบเช่นวันนี้ ก็ด้วยพระบารมีและพระปรีชาสามารถของพระมหากษัตริย์ไทย

_/\_บิดามารดา เป็นผู้หายาก เพราะเป็นผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูมาด้วยความรัก เมื่อบุตรธิดาเจริญวัย สมควรศึกษาเล่าเรียน ก็เป็นธุระให้บุตรธิดาได้ศึกษา จัดหาคู่ครองให้ ในเวลาที่บุตรธิดาควรจะมีเหย้ามีเรือน และมอบทรัพย์สมบัติให้ในสมัยที่สมควร

_/\_ครูอาจารย์ เป็นบุคคลหายาก เพราะครูอาจารย์เป็นผู้สั่งสอนวิชาการต่างๆ รวมทั้งสอนให้ละความชั่ว ทำแต่ความดี เหมือนเป็นผู้ชี้ขุมทรัพย์ให้

2 กตัญญูกตเวทีชน 4 ประเภท คือ 1.พุทธศาสนิกชน 2.ประชาราษฎร์ 3.บุตรธิดา 4.ศิษยานุศิษย์

&พุทธศาสนิกชน เป็นผู้ที่มีศรัทธาเลื่อมใสอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนา ให้ดำรงคงมั่น น้อมนำคำสอนของพระพุทธองค์มาประพฤติปฏิบัติเพื่อดับกิเลสและสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา

&ประชาราษฎร์ เมื่อหวนระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์แล้ว ก็พึงกระทำปฏิการบูชา โดยการยกย่องเทิดทูนไว้ในฐานะอันสมควร และช่วยกันจรรโลงรักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ให้มั่นคงสถาพรสืบต่อไป

&บุตรธิดา ผู้ตระหนักในคุณของบิดามารดา พึงตอบแทนด้วยการปฏิบัติดังนี้คือ ท่านเลี้ยงเรามา เราเลี้ยงท่านตอบ, ช่วยทำกิจการงาน ของท่าน, ดำรงสกุลไว้ ไม่ทำให้เสียชื่อเสียง, ทำตัวให้สมควรแก่ความเป็นผู้รับทรัพย์มรดก, เมื่อท่าน ล่วงลับไปแล้วทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ท่าน

&ศิษยานุศิษย์ เมื่อหวนระลึกถึงอุปการคุณของครูอาจารย์ พึงบูชาคุณท่านด้วยคุณธรรม คือ ลุกขึ้นยืนรับ, เข้าไปรับใช้ใกล้ชิดท่าน, เคารพเชื่อฟัง, อุปัฏฐากบำรุง, เล่าเรียนศิลปวิทยาโดยเคารพ

***การที่เราได้ระลึกถึงคุณท่านของผู้มีอุปการคุณแก่ตนแล้ว ทำตอบแทนคุณท่านเหล่านั้นตามที่กล่าวแล้ว ก็นับได้ว่าเป็นคนดี ผู้มีความกตัญญูกตเวที ย่อมมีแต่ความเจริญรุ่งเรืองทั้งในหน้าที่การงาน และการดำเนินชีวิต มีแต่ผู้เคารพ ยกย่อง นับถือ บูชา ผู้ปรารถนาความสุข ความเจริญแก่ตน พึงยังกตัญญูกตเวทิตาธรรม ในบุพการีชนทั้งหลาย ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท***

ที่มา วันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2556 ปีที่ 22 ฉบับที่ 8143 ข่าวสดรายวัน

@ กอดเพื่อสุขภาพ

@ กอดเพื่อสุขภาพ เรารู้ว่าการกอดเป็นสัมผัสที่ดี แต่หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่า สามารถใช้เป็นวิธีการเยียวยาผู้ป่วยได้ โดยมีการนำการสัมผัสด้วยการกอดมาใช้ในหน่วยงานทางการแพทย์ใหญ่ ๆ ในต่างประเทศหลายแห่ง กว่า 20 ปีมาแล้ว และยังมีศูนย์ศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับการสัมผัสอีกด้วย วิธีนี้คือการใช้สัมผัสถ่ายทอดกำลังใจ ความรัก ความอบอุ่น ความห่วงใยไปสู่ผู้ป่วยประกอบกับการใช้ยาที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้ผู้ช่วยหายเร็วขึ้นและมีกำลังใจสูงขึ้นอีกด้วย Dolores Krieger R.N. Ph.D. ผู้เชี่ยวชาญในสาขาการบำบัดด้วยการสัมผัสแห่ง New York University กล่าวว่า บุคคลที่ได้รับการกอด หรือกอดผู้อื่น จะทำให้เกิดการกระตุ้นการทำงานของฮีโมโกลบิน ทำให้การลำเลียงของออกซิเจนไปเลี้ยงเนื้อเยื่อส่วนต่าง ๆ ให้ทำงานได้อย่างทั่วถึงทำให้สดชื่น มีชีวิตชีวา ส่วนประเทศแถบเอเชียอย่างอินเดีย ที่ศูนย์ Delhi Sanjivini ศูนย์รักษาผู้ป่วยที่มีปัญหาทางด้านจิตใจที่มีชื่อเสียงของอินเดีย ได้ใช้วิธีการรักษาผู้ป่วยจิตเภทด้วยการกอด โดยจัดหาอาสาสมัครที่จะมาบำบัดผู้ป่วยที่เป็นเพศเดียวกันกับผู้ป่วย เนื่องจากผู้ป่วยจิตเภทจะมีลักษณะของการถดถอย จึงนำวิธีการรักษาที่เป็นธรรมชาติมาใช้ เช่น ถ้าเด็ก 2 ขวบร้องไห้ ก็นำเด็กมานั่งตัก แล้วโอบกอดไว้ ซึ่งเป็นการช่วยเหลือที่ง่าย ๆ ไม่ต้องอาศัยหลักการใด ๆ ให้ยุ่งยาก *** เวอร์จิเนีย ซาเทียร์ นักบำบัดจิตวิทยาครอบครัวกล่าวว่า คนเราต้องการการกอดวันละ 4 ครั้ง เพื่อการดำรงชีวิต คนเราต้องการการกอดวันละ 8 ครั้ง เพื่อการดำเนินชีวิต และคนเราต้องการกอดวันละ 12 ครั้ง เพื่อการเจริญเติบโต*** ที่มา neutron.rmutphysics.com
โดย: หมอสารภี รักในหลวง

@ อย่าสาบแช่งใคร...กรรมจะย้อนคืน



เชื่อว่าหลายๆคนคงเคยสาปแช่งใครไว้บ้าง คุณรู้มั้ยว่ามันอาจจะเกิดผลขึ้นมาจริงๆก็ได้?

การสาปแช่งเป็นพลังจิตรูปแบบหนึ่ง ผสานเข้ากับกฏแห่งกรรม

ซึ่งพลังจิตเนี่ย มันเป็นพลังชนิดหนึ่ง ไร้รูปแบบ และไร้ขีดจำกัด สามารถจะบันดาลให้เกิดสิ่งใดๆขึ้นก็ได้

บางคนก็มีพลังจิตอ่อน แต่บางคนก็มีพลังจิตรุนแรงถึงขั้นที่คนรอบข้างสามารถสัมผัสถึงรังสีอำมหิตได้เลย

@ การสาปแช่งจะเกิดผลหรือไม่ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆอย่าง และมีเงื่นไขอยู่บ้างเล็กน้อย เช่น...

- ผู้สาปแช่งและผู้ถูกสาปแช่งจะต้องมีกรรมต่อกันมาก่อน ยิ่งถ้าเป็นคู่แค้นกันมาแต่ชาติปางก่อน

@ ผลของคำสาปแช่งจะยิ่งให้ผลรุนแรง

- ผู้สาปแช่งจะต้องเป็นผู้ที่มีสัจจะดีพอสมควร

- ผู้สาปแช่งจะต้องเป็นผู้มีสมาธิแก่กล้า เพาะสภาวะจิตที่มีพลังมากที่สุดคือสภาวะจิตในขณะที่มีสมาธิ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระหว่างที่กำลังสาปแช่ง จะต้องใช้สมาธิสูงมาก

- ในการสาปแช่ง จะต้องใช้ความปรารถนาที่แรงกล้าถึงขั้น "ไม่ชั้นก็แกจะต้องตายกันไปข้างหนึ่ง"

ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะประคองจิตให้เป็นสมาธิได้ในขณะที่กำลังมีความปรารถนาแบบนี้อยู่ในใจ

จะเห็นว่าการที่จะสาปแช่งให้เกิดผลได้มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

และสิ่งที่สำคัญคือ หากคำสาปแช่งเกิดผลขึ้นจริงๆ เวรกรรมก็จะย้อนกลับมาติดตัวผู้สาปแช่งด้วย

~ รู้อย่างนี้แล้ว อย่าไปสาปแช่งใครเลยนะครับ เกิดมันเป็นจริงขึ้นมาจริงๆจะซวยเอา ~

ที่มา โพสต์จังดอทคอม

โจรกำลังจะปล้นบ้าน ไฟกำลังจะไหม้บ้าน

หลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara)
โจรกำลังจะปล้นบ้าน ไฟกำลังจะไหม้บ้าน
พระอย่างฉันจึงต้องออกมาบอกให้เจ้าของบ้านรู้ และช่วยดับไฟ เรื่องกลับกลายเป็นว่า ชาวบ้านดันหันมาตำหนิติว่าพระ แทนที่จะออกมาช่วยกันขับไล่โจร ช่วยกันจับคนวางเพลิง ก็ไม่ยอมทำ ไม่รู้ว่าสังคมไทยเกิดอะไรขึ้น โบราณท่านว่า คบคนพาล พาลพาไปหาผิด ดุจดังเอากระดาษไปห่อขี้ ไม่ว่าจะห่ออย่างไร ขี้ก็ทำให้กระดาษมีกลิ่นเหม็นอยู่ดี คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล ดุจดังเอากระดาษ มาห่อเพรชห่อทอง

ไม่ว่ากระดาษจะเก่าสักเพียงใด เพชรทองก็มีคุณค่าเสมอ บุคคลคบคนเช่นไร ย่อมได้ผลเช่นนั้น พวกคุณไม่รู่เลยหรือยังไงว่า นักการเมืององของประเทศนี้ ส่วนใหญ่ก็ขี้โกง รัฐบาลก็ทุจริต คอรัปชั่น บ้านเมืองกำลังจะโดนโจรปล้น

กำลังมีคนวางเพลิงเผาบ้านเผาเมือง ฉันสู้อุตส่าห์ออกมาช่วยชี้ ช่วยบอก แทนที่จะไปจับโจร กลับมาด่าว่าฉัน นี่มันอะไรกัน ฉันละงงจริงๆ มีเหล็กแหลมกำลังทิ่มหลังอยู่ ผงกำลังเข้าตาอยู่ หนามกำลังตำขาอยู่ ฉันช่วยเอาออก กลับมาบอกว่า ทำไปทำไม มิน่า ผลสำรวจจากโพลต่างๆ จึงออกมาว่า คนไทยยินยอมให้นักการเมือง และข้าราชการโกง คอรัปชั่นได้ แต่ต้องให้ตนได้ประโยชน์ด้วย มีคนเช่นนี้มากๆ บ้านเมือง คงจะอึมครึมมืดมน สับสน และจะให้พระไปสอนใคร จะมีใครมาคอยรับฟังคำสอนจากพระ เพราะสิ่งที่พระต้องสอน ก็คือ แนะนำสนับสนุน ให้ผู้คนประพฤติสุจริตทางกาย วาจาและใจ และละทุจริต ทางกาย วาจา และใจ เมื่อคนในสังคมส่วนใหญ่ ชมชอบ ความทุจริต แล้วจะให้พระไปสอนใคร?? ใครรู้ช่วยบอกที???

พุทธะอิสระ
๒๙/ธค./๕๖

ตำรวจ ที่ถูกยิงเสียชีวิต วิถีกระสุนแพทย์ตรวจแล้วพบว่ายิงมาจากที่สูง

ต่อตระกูล ยมนาค
ตำรวจ ที่ถูกยิงเสียชีวิต วิถีกระสุนแพทย์ตรวจแล้วพบว่ายิงมาจากที่สูง
และตอนถูกยิง เขายืนอยู่ด้านนอกรั้ว ยืนอยู่ข้างกลุ่ม คปท. และยังช่วยบอกให้กลุ่ม คปท. ให้ระวังกระสุน

มีคุณ Niwat วิจารณ์ว่า

"ตำรวจ และ คนเสื้อแดง ต้องรู้ทันความโหดอำมหิตของโคตรฆาตกร !!!

ตามที่มีกระแสข่าวจาก Social Media (face book) วิพากษ์วิจารณ์ว่าตำรวจ สน. ตลาดพลูเสียชีวิต 1 นาย เป็นการกระทำของตำรวจด้วยกันเองนั้น จึงมีประเด็นที่น่าพิจารณาว่ากระแสดังกล่าวเป็นไปได้หรือไม่ ???

ซึ่งพฤติกรรมการกระทำของตำรวจในวันนั้น มีลักษณะเสมือนเจตนาที่จะเข่นฆ่าทำร้ายมวลชนที่ต่อต้านการเลือกตั้ง ณ สนามกีฬาดินแดง ตามที่มีการถ่ายทอดสดผ่านทางทีวี และภาพคลิปต่าง ๆ ใน Social Media อันเป็นหลักฐานอย่างชัดเจน

โดยเฉพาะทหารพยาบาล (ทหารเสนารักษ์) ยืนยันว่าตำรวจส่วนหนึ่งที่อยู่ในสนามกีฬาดินแดงพูดภาษาเขมร (ซึ่งมีการพบพาสปอร์ตของาชาวกัมพูชาด้วย) และภาพถ่ายที่เผยแพร่กันใน Social Media มีอ้ายโมงซ่อนตัวอยู่ในเฮลิคอปเตอร์ของตำรวจ ตลอดจนมีชายชุดดำซ่อนตัวอยู่บนหลังคาตึกจำนวนหลายคน

และผลการเอ็กซเรย์ศพตำรวจที่เสียชีวิตปรากฏว่า “วิถีกระสุนถูกยิงจากบนลงล่าง” ซึ่งเหตุการณ์ในวันนั้นมีเพียงคนกลุ่มเดียวที่ซ่อนตัวอยู่บนที่สูงคือ ชายชุดดำ

จากองค์ประกอบดังกล่าวจึงอาจเป็นไปได้ที่ตำรวจเสียชีวิตเป็นฝีมือของอ้ายโม่งหรือชายชุดดำ ซึ่งอยู่ภายในสนามกีฬาดินแดง ซึ่งคนกลุ่มนี้ถ้าไม่ได้เป็นพวกเดียวกับตำรวจย่อมเข้าไปในบริเวณนั้นไม่ได้ ใช่หรือไม่ !!

ข้อสันนิษฐานดังกล่าว เมื่อย้อนไปดูพฤติกรรมชายชุดดำในปี 2553 มีผู้คนสงสัยว่าเป็นมือสังหารเข่นฆ่าทั้งทหาร ประชาชน และคนเสื้อแดง ในเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน 2553 ณ สี่แยกคอกวัว โดยเฉพาะการสังหารคนเสื้อแดงเป็นแผนการฆ่าพวกเดียวกันเอง เพื่อใส่ร้ายป้ายสีว่าเป็นฝีมือของทหาร และใช้ศพคนเสื้อแดงแห่ปลุกระดมให้คนเสื้อแดงโกรธแค้นทหารและรัฐบาลในยุคนั้น จนก่อการจลาจลเผาบ้านเผาเมืองในเวลาต่อมา

ในทำนองเดียวกันเหตุการณ์ที่สนามกีฬาดินแดง วันที่ 26 ธันวาคม 2556 ตำรวจที่เสียชีวิตน่าจะถูกอ้ายโม่งหรือชายชุดดำสังหาร ตามที่สังคม Social Media วิพากษ์วิจารณ์กัน เพื่อใส่ร้ายป้ายสีโยนความผิดเป็นฝีมือของมวลชนที่ออกมาต่อต้านการเลือกตั้ง และใช้ศพของตำรวจที่เสียชีวิตปลุกระดมให้ตำรวจโกรธแค้นมวลชน จึงเห็นภาพกลุ่มคนแต่งกายในชุดตำรวจ ทำร้ายมวลชนอย่างโกรธแค้นบ้าคลั่งบริเวณหน้าสนามกีฬาดินแดง ซึ่งแผนการนี้คล้ายกับที่เคยกระทำในปี 2553 ใช่หรือไม่ ???

พฤติกรรมโหดและอำมหิตลักษณะนี้มีคนเพียงคนเดียวที่กล้าคิดและกล้าทำ คงไม่ต้องบอกว่าเป็นใคร นอกจากโคตรฆาตกร ใช่หรือไม่ !!!

ประชาชน
28 ธันวาคม 2556"

ทำงานสนองความต้องการของ นักการเมือง ด้วยเลือดเนื้อประชาชน

#นักข่าวขาเม้า #เรื่องนี้แม่งฮาสัส

รถกระบะคันที่ อส.นั่ง Nisssan Navara ถูกตำรวจทุบซะเละ...
เรื่องไม่จบเพราะตำรวจหวังเล่นงานเจ้าของรถแม่งให้ทรุดจบธรณีเลย
ใช้อำนาจ ตำรวจ พนักงานสอบสวน สาวลึก ว่าเป็นเจ้าของรถเป็นใคร?
อยู่ที่ไหน? ทำมาหากินอะไร? เอาข้อหากบฎยัดแม่งเลย...

ถ้าเป็นประเภทสถานบริการ มึงชิบหาย ตายแน่ เมื่อน้องทอมกู้ชาติโดน
หรือร้านค้าที่ต้องอาศัยการจอดรถหน้าร้าน หรือใบขออนุญาตสุรา
กะเล่นงาน เรื่องพัวพันธุรกิจมืด กะเอาให้ตายชิบหายหมดอนาคต
ไอ้เหี้ยเสือกมาฟ้อง กรมตำรวจ

ปรากฏว่า พอสืบสาวลึก ลงไปๆๆๆๆๆๆ
รถคันนี้เป็นของพ่อรองผู้การจังหวัดอุตรดิษย์ท่านหนึ่ง หุหุ
ให้คนรถนำอาหารมาช่วยเหลือม็อบ #กปปส
ครอบครัวนี้พ่อกับแม่เป็นพันธมิตร เหลืองเข้มข้น
น้องสาวเป็นแกนนำ กปปส.
ส่วนลูกชายเป็นตำรวจ รองผู้การจังหวัดอุตรดิษย์
ไปไม่เป็นซิหมึงทีนี้ ไอ้เหี้ยตะกวด 55555+
เพราะโอกาสที่จะกลั่นแกล้งยัดข้อหา แล้วแถลงข่าว
ให้พวกสื่อมวลชน #ขี้ข้า ใต้อานัติรายงานข่าวไม่ได้ #กูฮา 55555+

ความจริงมันคืออะไร???
ตำรวจดีก้อมีเยอะ....
ตำรวจเลวเยอะกว่า ... ที่ระยำสุดคือ ...
ทำงานสนองความต้องการของ นักการเมือง ด้วยเลือดเนื้อประชาชน
คำว่า #เหี้ย คงไม่พอ ซะละมั้งครับ #คิดสิคิด

#thaiuprising

คิด 4 แบบ

คิด 4 แบบ

คิดแบบที่ 1 : คิดอย่างท้าทาย คือเป็นอะไรที่ผมเองฝึกคิดอยู่เสมอ และชอบคิดอยู่เสมอว่าอยากให้พวกเราทำ คือเวลาเห็นอะไรแล้วคิดว่าเอ๊ะอันนี้ถ้าเราทำได้จะวิเศษที่สุดในโลกเลย

คิดแบบที่ 2 : คิดอย่างแตกต่าง เป็น part หนึ่งของยุทธศาสตร์ของความคิด ถ้าคุณขับรถขึ้นบนห้างเซ็นทรัลซึ่งมีรถเยอะเราต้องขับตามๆ เขาไป ถ้าคุณขับตามเขาไปอย่างนั้นคุณได้ที่จอดแน่นอนเลยแต่หลังเขาแน่นอน ถ้าคุณไม่ยอมรับ ขับตามเขาไปแบบนี้ ขับๆ ไปแล้วเราเลี้ยวนั่นก็คือเรากำลังหาอะไรที่แตกต่าง อันนี้ก็เป็นอีกอันหนึ่งที่เราหาอะไรที่มันแตกต่าง บางทีถ้าคุณคิดอะไรที่แตกต่างอาจดูประหลาดๆ บ้าง แต่อันนี้ผมใช้ในยุทธศาสตร์ของผมเสมอ ยุทธศาสตร์มีหลายวิธี แต่ยุทธศาสตร์ที่ผมใช้อยู่คือการทำอะไรที่ไม่เหมือนคนอื่นเขา

คิดแบบที่ 3 : คิดแบบสร้างสรรค์ เป็นเรื่องดีๆ ที่ช่วยเสริมความคิดให้กับตัวเอง อันนี้
ภาษาอังกฤษคือ positive thinking คือมีสติ ไม่ใช่ใครพูดอะไรก็ดีหมด สิ่งที่เราคิดว่าดีสร้างสรรค์ต้องดูว่ามีเหตุผลที่พอรับได้ไหม เวลาที่ได้ยินอะไรให้มองบวกและมองลบสลับกันแล้วชั่งน้ำหนัก ถึงค่อยคิดตัดสินใจ

คิดแบบที่ 4 : คิดแบบเชื่อมโยง เป็นการเรียนรู้ ภาษาอังกฤษเรียกว่า system thinking ผม
เอามาแปลเป็นภาษาไทย มันไม่ได้เป็นการคิดแบบเป็นระบบ แต่มันเป็นการคิดอย่างเชื่อมโยง
บุญคลี ปลั่งศิริ

สิ่งที่คนรุ่นก่อนๆได้ฝากเตือนมายังคุณยิ่งลักษณ์และรัฐบาล ฟังไว้บ้างก็ดี

จากเฟซบุ๊ค คุณอาคม มกรานนท์ อดีตนักแสดง พฺิธีกรรายการทีวีที่โด่งดังในอดีตทางช่อง 7 สี อาทิ รายการนาทีทอง ประตูดวง และที่ผู้คนจำท่านได้มากมายที่สุดก็คือการเป็นโฆษกประกาศคณะปฏิวัติ ในอดีตที่ผ่านมา ท่านได้โพสต์เฟซบุ๊ค ถึงคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร >>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>

วันนี้ตั้งใจว่าจะหยุดคุยกันสักวัน เพราะเป็นสัปดาห์สุดท้ายของปีเก่า แต่แล้วก็ต้องล้มความตั้งใจ เพราะเรื่องของบ้านเมืองมันเข้มข้นมากขึ้น และยิ่งมาฟังคำปราศัยของกำนันเมื่อคืนนี้ด้วยแล้ว ก็ทำให้คิดว่าหลังปีใหม่แล้วบ้านเมืองมันจะถึงคราววุ่นวายขนาดไหน ในเมื่อกำนันได้ประกาศกร้าวว่า จะสกัดกั้นไม่ให้เผด็จการทรราชกลับมาครองอำนาจอีกครั้งเพื่อโกงกินบ้านเมืองได้อีก ถึงกับประกาศขับไล่ตัวแทนระบอบทรราชอยู่ในอำนาจอีกต่อไป ผมฟังคำปราศรัยแล้วรู้สึกว่าคราวนี้ดูจะเข้มข้นมากกว่าเดิม เพราะฟังแล้วเหมือนกับเป็นการชี้นำ และทำให้เกิดพลังกดดันมากขึ้น ผมถึงบอกว่า หลังปีใหม่แล้วบ้านเมืองเราจะเกิดมิคคสัญญีหรือไม่ และยิ่งมาฟังคำกล่าวของยิ่งเลอะที่บอกว่า ยอมเจ็บตัวจนตายเพื่อรักษาความถูกต้องดีงาม เวลาเดียวกันกับที่เธอกล่าวนั้น บ้านเมืองก็กำลังลุกเป็นไฟและเธอเองยังคงสุมไฟใส่ฟืน ไม่ใส่เปล่ายังร่ดน้ำมันลงบนกองไฟเป็นระยะๆอีกด้วย ฟังดูแล้วพูดได้อย่างเดียวว่า เธอไม่มีความรู้สึกสำนึกกับการสูญเสียของแผ่นดิน เพราะมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับการคิดแก้แค้นมากกว่าแก้ไข และมุ่งแต่จะเอาคืนให้กับทรราชนอกประเทศเท่านั้น ต่อให้คนไทยต้องตาย ต้องบาดเจ็บอีกมากมายสักเท่าไร เธอก็คงไม่มีวันสำนึก เมื่อไม่มีวันสำนึกแล้วต่อผลการกระทำแม้แต่น้อย จึงเกิดเป็นคำถามว่า หากประชาชนล้มตายแล้ว เธอยังไม่ยอมหยุดบ้าอำนาจ ถึงเวลาหรือยังที่ประขาชนต้องทำให้เธอสัมผัสกับความสูญเสีย เหมือนกับที่ประชาขนได้ประสบมาเมื่อสองสามวันติดต่อกันบ้างขอบอกตามตรงว่า หากยังขืนดื้อตาใสทรมานประชาชนให้ต้องลำบากแค่ไหนในการต่อสู้ขับไล่ การเอาคืนก็ย่อมเกิดขึ้นด้วยการถูกขุดคุ้ยโค่นล้มทุกรูปแบบ โดยเฉพาะการทุจริต ฉ้อราษร์บังหลวง ผมอยากให้เธอนึกถึงลูก นึกถึงครอบครัวเครือญาติ นึกถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้เธอเชิดหน้าชูตาอยู่ในสังคม แต่ถ้ามั่นใจว่าบรรดาคนแวดลัอมจะช่วยเธอให้รอดพ้นจากการต่อต้านได้ หากเหตุการเกิดพลิกผันขึ้นมา เธอจะต้องหนีอย่างหัวซุกหัวซุนไร้แผ่นดินอยู่ ทรัพย์สินถูกยึด ครอยครัวของเธอจะอยู่อย่างไร คิดใหม่เสียเถอะเมื่อยังมีเวลาให้คิด อย่าไปห่วงใยทรราชนอกประเทศเลย ผมมีความเชื่อว่าเขาไม่ม่วันจะได้กลับมาอย่างมีชีวิต หรือแม้แต่ร่างก็อาจจะลำบาก โปรดให้โอกาศให้คนดีเข้ามาแก้ไขบ้านเมือง ถ้ายังบอกว่ารักชาติจริง อย่าเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอีกต่อไปเลย ขอเตือนมาด้วยความหวังดีจริงๆ ///สิ่งที่คนรุ่นก่อนๆได้ฝากเตือนมายังคุณยิ่งลักษณ์และรัฐบาล ฟังไว้บ้างก็ดี แต่อยู่ที่พวกคุณจะมีต่อมสำนึกแห่งความรับผิดชอบชั่วดีหรือไม่ ก็แค่นั้น
โดย: บอกต่อความจริง

ชักศึกเข้าบ้าน โดย วสิษฐ เดชกุญชร


ในการชุมนุมของเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ที่กระทำเพื่อ ประท้วงและขัดขวางการสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่สนามกีฬาเวสน์ 2 ศูนย์เยาว ชน กรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) ที่ดินแดง กรุงเทพมหานคร เมื่อวันศุกร์ที่ 27 ธันวาคมที่ผ่านไป นี้ ได้เกิดการปะทะกันขึ้นอย่างรุนแรงระหว่างผู้ชุมนุมประท้วงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ฝ่ายตำรวจได้ใช้ ทั้งเครื่องยิงลูกระเบิดแก๊สน้ำตา ปืนยิงลูกกระสุนหัวยาง และฉีดน้ำผสมสีม่วง ส่วนผู้ชุมนุมก็ตอบโต้ ด้วยการขว้างปาสิ่งของใส่ตำรวจ ผลก็คือทั้งสองฝ่ายได้รับบาดเจ็บมากบ้างน้อยบ้างเป็นจำนวนมาก

แต่ที่น่าเสียใจก็คือผู้ชุมนุมคนหนึ่งและเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาลนายหนึ่งถูกยิงด้วยกระสุน จริงได้รับบาดเจ็บจนถึงแก่ความตาย

ผลการชันสูตรของสถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ และการสอบสวนของตำรวจเอง ปรากฏว่าผู้ตายทั้งสองคนถูกยิงจากมุมสูง มีผู้ถ่ายภาพคนในเครื่องแบบตำรวจชุดดำอยู่บนหลังคา ของอาคารกระทรวงแรงงานซึ่งอยู่ติดกับที่เกิดเหตุ ทำให้น่าสงสัยว่ากระสุนปืนจะมาจากคนเหล่านั้น

ในเหตุการณ์เดียวกัน รถยนต์ของผู้ชุมนุมที่จอดอยู่ รวมทั้งรถของแพทย์และพยาบาลอาสา ซึ่งติดเครื่องหมายกาชาดอย่างชัดเจน และกำลังเข้าไปช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บก็ถูกคุกคามโดย คนในเครื่องแบบตำรวจ พยาบาลอาสาคนหนึ่งซึ่งกำลังพยายามกู้ชีพผู้ป่วยอยู่ในรถพยาบาลถูกยิง เข้าที่ปอดได้รับบาดเจ็บสาหัส รถยนต์ของแพทย์และพยาบาลอาสาถูกทุบทำลายจนเสียหายอย่าง หนัก

ตำรวจจับผู้ชุมนุมได้ 14 คน เมื่อจับได้แล้วก็ทำร้ายร่างกายของผู้ชุมนุมอย่างไม่ปรานี ปราศรัย ทำให้ผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บ ก่อนที่จะนำตัวไปกักขังและให้ประกันปล่อยตัวมา

หลังจากเหตุการณ์ที่สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่นไม่กี่ชั่วโมงต่อมาในคืนเดียวกัน เวลาประมาณ 3 นาฬิกา ที่ที่ชุมนุมของ คปท.ที่สะพานชมัยมรุเชฐ ใกล้่ทำเนียบรัฐบาล มีผู้ขับรถยนต์เข้าไปจนใกล้ เวทีของผู้ชุมนุม แล้วใช้อาวุธสงครามยิงกราดเข้าไป ถูกยามรักษาการณ์เสียชีวิตคนหนึ่งและได้รับ บาดเจ็บอีก 3 คน

พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกของศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) แถลงว่า กรณีการทุบทำลายรถประชาชนที่สนามกีฬาเวสน์ 2 นั้น เป็นการจัดฉากจากมวลชน ซึ่งแฝงตัวเข้า ไปทุบรถเจ้าหน้าที่ แล้วเอาเสื้อเกราะตำรวจไปสวมและทำลายทรัพย์สินของประชาชน

ทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ยิงเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาลตาย พล.ต.ท. คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง “มีวันนี้เพราะพี่ให้” ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลออกมาประกาศอย่างแข็งกร้าวว่า จะไม่ยอมให้ ตำรวจตายฟรี

ที่น่าสังเกตก็คือปลอกกระสุนปืนที่พบในที่เกิดเหตุมีลักษณะไม่เหมือนที่ใช้ในราชการทหาร และตำรวจไทย แต่มีลักษณะเหมือนของต่างประเทศ นอกจากนั้นยังมีผู้พบหนังสือเดินทางและ ธนบัตรของกัมพูชาอยู่ในที่เกิดเหตุด้วย และมีผู้ยืนยัน ว่าคนสวมเครื่องแบบตำรวจจำนวนหนึ่งใช้ ภาษาเขมรในการสนทนากัน ผู้เห็นเหตุการณ์อีกรายหนึ่งเล่าว่า คนในเครื่องแบบตำรวจออก จากสนามกีฬาเวศน์ไปหาซื้ออาหารกิน แต่ไม่สามารถจะบอกผู้ขายได้ว่าต้องการอะไร ต้องใช้มือชี้ เอา และใช้ภาษาเขมรพูดกับเพื่อนในเครื่องแบบตำรวจที่ไปด้วยกัน

ทั้งสิ้นนี้เป็นปริศนาทำให้น่าสงสัยว่า ผู้แต่งเครื่องแบบตำรวจส่วนหนึ่งเป็นตำรวจจริง ๆ หรือ ว่าเป็นชาวกัมพูชาสวมเครื่องแบบตำรวจ เพราะถ้าเป็นตำรวจจริงจะกล้าทำร้ายประชาชนคนไทย ด้วยกันอย่างเหี้ยมโหด และทำความเสียหายให้แก่ทรัพย์สินของประชาชนอย่างไม่ยั้งมือเช่นนั้นหรือ

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจะต้องตอบคำถามนี้ ให้ปรากฏข้อเท็จจริงแก่สาธารณชนให้ได้ ว่า มีชาวกัมพูชาในเครื่องแบบตำรวจเข้าไปอยู่ในที่เกิดเหตุจริงหรือไม่ ถ้ามี ทำอย่างไรคนเหล่านั้น จึงสามารถถืออาวุธและอุปกรณ์ปราบจลาจลครบมือ เข้าไปปะปนอยู่กับเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เป็น จำนวนมากเช่นนั้น

ถ้าตอบคำถามนี้ไม่ได้ ก็จะต้องสันนิษฐานว่าผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้รับคำสั่ง หรือ มีส่วนรู้เห็น ยอมให้กำลังต่างชาติเข้ามาถืออาวุธทำร้ายและสังหารคนไทยในประเทศ

ถ้าเป็นคำสั่ง คำสั่งนั้นก็จะต้องมาจากผู้บังคับบัญชาเหนือขึ้นไป คือนายกรัฐมนตรีหรือ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ซึ่งทำการแทนนายกรัฐมนตรี

ถ้าข้อสันนิษฐานนี้เป็นความจริงก็หมายความว่า วิกฤตการณ์ในประเทศไทยเข้าขั้นร้ายแรง ที่สุด เพราะรัฐบาลลอบนำกำลังต่างชาติถืออาวุธเข้ามาแต่งเครื่องแบบตำรวจ แล้วปฏิบัติการปราบ ปรามประชาชนคนไทยในประเทศไทย เป็นการกระทำเพื่อให้เกิดเหตุร้ายแก่ประเทศจากภายนอก ซึ่งเป็นความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักร ตามมาตรา 127 ของประมวลกฎ หมายอาญา มีโทษถึงประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สองปีถึงยี่สิบปี

ส่วนผู้สนับสนุนในการกระทำความผิด จะเป็นตำรวจหรือใครก็ตาม ต้องระวางโทษเช่นเดียว กับตัวการในความผิดนั้น คือประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุก ตามมาตรา 129 ของ ประมวลกฎหมายอาญา.

• 6วิธีสร้างกำลังใจให้ลูกน้องที่หมดไฟ

• 6วิธีสร้างกำลังใจให้ลูกน้องที่หมดไฟ

ที่มา: http://incquity.com/
ถือว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับคนทำงานหรือ พนักงานในออฟฟิศที่เมื่ออยู่มาถึงจุดหนึ่งก็เริ่มที่จะรู้สึกเบื่อหน่ายใน งานที่ทำ เพราะมีความซ้ำซากจำเจ และมีชีวิตอยู่ในแบบเดิมๆทุกวัน ที่เช้าก็ต้องมาเข้าทำงานให้ทันเวลา เมื่อเที่ยงก็ออกไปกินข้าว ตกเย็นก็กลับบ้าน เป็นแบบนี้อยู่ทุกวันจนก้าวสู่แรมเดือนต่อเนื่องเป็นแรมปี ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่ธรรมดาพร้อมกันอยู่ในตัว ที่ธรรมดาก็คือเป็นเรื่องปกติที่คนเราย่อมต้องมีความเบื่อหน่ายกันบ้างเป็น ธรรมดาของชีวิตที่ต้องพบเจอแต่สิ่งเดิมๆอยู่ทุกวัน แต่ที่ไม่ธรรมดาตรงที่ว่าดันมาเกิดกับการทำงานในบริษัทนี่สิถือว่าเป็น เรื่องที่อันตรายมากพอสมควร
ในบริษัทที่ถือว่าเป็นองค์กรทางธุรกิจที่มีการแข่งขันกันสูงนั้น ความสำเร็จส่วนหนี่งจะวัดกันที่ความสามารถของพนักงาน และจะเกิดผลเสียขนาดไหนถ้าลูกน้องของคุณจู่ๆก็เกิดขาดแรงจูงใจในการทำงาน ขึ้นมาซะเฉยๆ เราจึงมีวิธีการแก้ไขสถานการณ์เมื่อลูกน้องเกิดหมดไฟและขาดแรงจูงใจในการทำ งานมาบอกกัน
ก่อนอื่นต้องสำรวจปัญหาเป็นอันดับแรก
หาข้อมูลว่าทำไมลูกน้องถึงหมดไฟในการทำงาน มีปัญหาส่วนตัว หรือปัญหาในสถานที่ทำงานหรือไม่
การสำรวจปัญหาเป็นสิ่งที่ควรดำเนินการก่อนเป็นอันดับแรก โดยการหาข้อมูลว่าทำไมลูกน้องคนดังกล่าวถึงหมดไฟในการทำงานมีปัญหาในเรื่อง อะไรหรือเปล่า ทั้งในเรื่องส่วนตัว หรือปัญหาในสถานที่ทำงานและปัญหากับผู้ร่วมงานคนอื่นๆ เกี่ยวข้องกับหน้าที่ในการทำงานในส่วนไหนหรือไม่อย่างไร เช่น หน้าที่ที่คุณมอบหมายให้ไม่ใช่สิ่งที่ชอบและถนัดของพนักงานคนดังกล่าว เลยทำให้ไม่มีใจในสิ่งที่ทำจนเป็นเหตุให้หมดไฟในการทำงานในที่สุด ซึ่งวิธีการสำรวจหาต้นกำเนิดของปัญหานี้ทำได้ง่ายมาก โดยคุณผู้เป็นเจ้าของบริษัทต้องคอยหมั่นสังเกตและตรวจสอบพฤติกรรมของลูกน้อง ที่มีปัญหาคนดังกล่าวว่าน่าจะมีสาเหตุมาจากอะไร หรือวิธีที่สองคือ การสอบถามจากพนักงานรายอื่นๆที่เป็นเพื่อนร่วมงานกันกับพนักงานคนดัง กล่าว เมื่อทราบปัญหาแล้วจะได้ทำการแก้ปัญหาได้ถูกจุด โดยวิธีการแก้ปัญหาที่ลูกน้องหมดไฟในการทำงานมีดังต่อไปนี้
1.พูดคุยและให้กำลังใจ
การพูดคุยและให้กำลังใจพนักงานเป็นสิ่งที่สามารถทำได้โดยง่ายที่สุด เพียงคุณผู้เป็นเจ้าของหรือนายจ้างเดินเข้าไปสอบถามและพูดคุยถึงปัญหาที่ เกิดขึ้นว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร และจะให้ช่วยเหลือในส่วนไหนบ้างที่จะทำให้ลูกน้องคนดังกล่าวเกิดแรงกระตุ้น แรงจูงใจที่จะทำงานอีกครั้งด้วยการพูดจาที่เป็นกันเอง แต่คุณควรพึงระวังไว้สักนิดว่าในการเข้าไปพูดคุยนั้น คุณควรเข้าไปในฐานะเพื่อนหรือผู้ร่วมงานที่ทำงานอยู่ในบริษัทเดียวกันที่ พร้อมจะให้ความเข้าใจและช่วยเหลือในทุกเรื่อง ไม่ควรจะเข้าไปในฐานะเจ้านายกับลูกน้องเพราะบางทีคุณอาจจะยิ่งทำให้ สถานการณ์เลวร้ายขึ้นก็เป็นได้
2.ย้ายแผนก
การย้ายแผนกนี้เป็นวิธีการแก้ปัญหาที่แรงขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง ซึ่งอาจเกิดมาจากการที่คุณไปสืบทราบมาว่าแผนกในปัจจุบันที่ลูกน้องคนดัง กล่าวปฏิบัติหน้าที่อยู่นั้นไม่ใช่สิ่งที่ตัวของพนักงานเองมีความถนัดเป็น พิเศษแต่อย่างใด จึงสมควรที่จะย้ายไปยังตำแหน่งที่มีความเหมาะสมมากกว่านี้ หรือถ้าเกิดจากความขัดแย้งกับพนักงานคนอื่นๆในแผนกนี้ก็สามารถที่จะย้ายไปทำ งานยังแผนกอื่นได้ แต่ควรต้องแน่ใจให้ดีเสียก่อนว่าพนักงานคนดังกล่าวจะไม่ไปสร้างปัญหายังแผนก อื่นอีก
3.เปลี่ยนบรรยากาศจัดที่ทำงานใหม่
การจัดสถานที่ทำงานใหม่จะช่วยกระตุ้นให้เกิดความคิดที่สร้างสรรค์ในการทำงาน
วิธีนี้ถือเป็นวิธีที่ดีมากอีกวิธีหนึ่งที่สามารถสร้างแรงจูงใจในการทำ งานให้ลูกน้องได้ดี เพราะการเปลี่ยนบรรยากาศใหม่ๆ จัดสถานที่ภายในห้องทำงานใหม่ให้รับกับบรรยากาศภายนอกจะช่วยกระตุ้นให้เกิด ความคิดที่สร้างสรรค์ในการทำงาน ช่วยลดความเบื่อหน่ายและซ้ำซากจำเจในเวลาทำงานที่อยู่ในสถานที่แบบเดิมๆได้ ดีทีเดียว
4.ส่งไปอบรมสัมมนา
การส่งไปอบรมสัมมนาในตามงานต่างๆ ที่จัดขึ้นเป็นวิธีการแก้ไขที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เพราะการที่ส่งพนักงานไปอบรมสัมมนาจะช่วยสร้างความรู้ให้ก่อเกิดกับตัว พนักงานเองถือว่าเป็นการเปิดหูเปิดตาของพนักงานเพื่อนำมาสร้างไอเดียและแรง จูงใจใหม่ๆให้เกิดขึ้นและจะได้นำความรู้ที่ได้รับจากการสัมมนาดังกล่าวมาใช้ กับการทำงานของตัวพนักงานเองและจะมีส่วนต่อการพัฒนาบริษัทในอนาคตอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีผลทางจิตวิทยาต่อตัวพนักงานเองด้วย เพราะการที่ถูกส่งไปในนามของทางบริษัทจะทำให้ตัวพนักงานคนดังกล่าวเห็นว่า ตัวเองมีความสำคัญกับทางบริษัทมากขนาดไหนด้วย
5.ขึ้นเงินเดือน
ถ้าเปรียบวิธีการแก้ปัญหาลูกน้องหมดไฟในการทำงานเป็นยาชนิดต่างๆแล้ว 4 วิธีก่อนหน้านี้จะเป็นเพียงแค่ยาเม็ดที่ใช้ทานเท่านั้น แต่วิธีการแก้ปัญหาลูกน้องหมดไฟในการทำงานด้วยวิธีขึ้นเงินเดือนจะถือเป็นยา ที่ใช้ฉีดโดยเข็มเข้าไปสู่เส้นเลือดใหญ่โดยตรง เป็นยาขนานแรงที่หลายบริษัทใช้ในการแก้ไขปัญหานี้ดังกล่าวและประสบความ สำเร็จอย่างสูงมาโดยตลอดด้วยวิธีการนี้ เพราะบ่อยครั้งที่พนักงานหมดไฟไม่อยากที่จะทำงานเพราะเห็นว่าตนเองทำงานหนัก และเหนื่อยมากกว่าหลายเท่าตัวนักเมื่อเทียบกับเงินเดือนที่ได้ จึงเกิดความท้อถอยบ่อยครั้งและอาจจะมองหาสถานที่ทำงานใหม่อยู่ก็เป็นได้จึง ทำงานให้กับคุณไม่เต็มที่นัก ซึ่งการขึ้นเงินเดือนบางครั้งอาจจะไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาที่ถูกจุดนัก แต่ถือเป็นการแก้ปัญหาที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากที่สุด
6.ให้ลาพักร้อน
การให้ลูกน้องได้ลาพักร้อน เปรียบเสมือนการให้ชาร์ตไฟในตัวหลังจากอ่อนล้าจากการทำงาน
การให้ลูกน้องที่มีปัญหาในเรื่องนี้ได้ลาพักร้อนไม่ว่าจะเป็นระยะสั้น หรือระยะยาว แบบมีกำหนดหรือไม่มีกำหนดก็ตาม เป็นวิธีการแก้ปัญหาแบบสุดท้ายที่พึงจะกระทำได้สำหรับการแก้ปัญหาในเรื่อง นี้ โดยการให้ลูกน้องได้ลาพักร้อนก็เพื่อให้ได้พักผ่อนได้เต็มที่จากการทำงาน เปรียบเสมือนการได้ชาร์ตไฟไปในตัวหลังจากที่เหน็ดเหนื่อยอ่อนล้ามาจากการทำ งานตลอดเวลาอันยาวนาน และอาจจะทำให้พนักงานคนดังกล่าวได้คิดทบทวนสร้างทัศนคติใหม่ๆที่ดีในการทำ งานก็เป็นได้ ซึ่งการเข้าไปพูดคุยในเรื่องการลาพักร้อนกับลูกน้องควรทำด้วยความระมัดระวัง เพราะอาจสร้างความเข้าใจผิดขึ้นมาก็เป็นได้
บางครั้งการหมดไฟในการทำงานของลูกน้องของคุณอาจจะมาจากสาเหตุที่คุณคาด ไม่ถึงก็ได้ ดังนั้นวิธีการที่ดีที่สุดที่จะแก้ปัญหาก็คือการป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นมา ตั้งแต่ต้นน่าจะมีประโยชน์มากกว่า ควรสร้างแรงจูงในการทำงานให้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาเพื่อที่จะให้ผลการทำงาน ของลูกน้องคุณออกมาดีอยู่เสมอ อีกทั้งยังเป็นการแก้ปัญหาดังกล่าวไม่ให้เกิดขึ้น แต่สำหรับลูกน้องบางคนก็อาจจะมีวิธีการแก้ปัญหาง่ายกว่าที่คิด เพียงแค่คุณให้ความเคารพในสิทธิขั้นพื้นฐานที่เจ้านายพึงจะมีกับลูกน้อง เรื่องดังกล่าวก็อาจจะไม่เกิดขึ้นมาก็เป็นได้

หนาวทางการเมือง... คงได้หนาวกันไปทุกฝ่ายล่ะ

จะพูดถึงเรื่องหนาว... ปีนี้อากาศบ้านเราหนาว...หนาวมาก...หนาวนาน ก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาในบ้านเรานานแล้ว... เรียกได้ว่าทำให้ประชาชนหนาวถึงอกถึงใจ นี่คือหนาวอากาศ...

หนาวอีกอย่างหนึ่งคือหนาวทางการเมือง... คงได้หนาวกันไปทุกฝ่ายล่ะ เมื่อลุงกำนันประกาศจะปฏิวัติโดยประชาชน จะปิดกรุงเทพทั้งกรุงเทพ... ใช้อำนาจประชาชนยึดอำนาจรัฐ... นี่ก็หนาวเข้าไปถึงกระดองใจของผู้มีอำนาจ คงหนาวสั่นประหวั่นพรั่นพรึง...ปากคอสั่น จะทำยังไงกันดีวะ... จะเอาผ้าผ่อนแห่งอำนาจที่ไหนมาปิดกั้นความหนาวนี้นะ... หนาวแบบนี้มันไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย... แค่มีการประกาศว่าจะยึดอำนาจรัฐด้วยประชาชน... เห็นว่าหนาวขี้หดตดหาย

หนาวอีกอย่าง... ไม่เคยเห็นเราก็ได้เห็น... ไม่เคยได้ยินก็ได้ยิน... หนาวจากการกระทำของคนที่อ้างว่าเป็นตำรวจ... จะตำรวจจริงหรือตำรวจเทียมก็ช่างหัวมันเถอะเพราะมันอยู่ในกลุ่มเดียวกัน จากบนยอดตึกก็ดี... ข้างล่างก็ดี... หมาหมู่ขย้ำประชาชนก็ดี... ใครดูใครเห็นแล้วก็หนาว... อะไรกัน ทำได้ไง...ผีห่าซาตานตนใดเข้าไปสิง... หนาว หนาว... จะบ้าล่ะมั้ง...

หนาวต่อไป... คนนี้หนีหนาว เอ้อระเหยลอยชาย... อยู่กรุงเทพก็หนาว อยู่อีสานก็หนาว อยู่เหนือก็ยังหนาว ซื้อเสื้อกันหนาวแล้วก็ยังหนาว... เป็นนายกสัมภเวสีหนีหนาว... จะสวมเสื้อสวมผ้ากี่ชั้น จะห่มผ้ากี่ผืนก็หนาว...หนาว ยิ่งคิดยิ่งหนาว...หนาวกับการสูญเสียอำนาจ หนาวกับการที่จะสิ้นเนื้อประดาตัวกับอำนาจ... ถูกถลกหนังหัวจากอำนาจ ยิ่งคิดยิ่งหนาว... เจ็บเข้าไปถึงกระดอง หนาวเข้าไปทุกรู...ขุมขน เฮ้อออ...หนาวนี้มันหนาวนานจริงโว้ยยยย!!!

ทนายวันชัย สอนศิริ · 103,390 คนถูกใจสิ่งนี้

สื่อต่างชาติแฉ - อันธพาล และ ทหารรับจ้างอาชีพชาวเขมร คือตัวป่วนม็อบ

สื่อต่างชาติแฉ - อันธพาล และ ทหารรับจ้างอาชีพชาวเขมร คือตัวป่วนม็อบ ลุงกำนัน ทั้งที่กระทรวงการคลัง และราชดำเนิน รวมถึงหน้ารามคำแหง Global Research ตีแผ่ถึงความสัมพันธ์อันลึกซึ้งของ ทักษิณกับฮุนเซน อันเป็นที่มาของชายชุดดำ ในบทความชื่อ Thailand’s Thaksin Regime and The Cambodian Connection เขียนโดย Tony Cartalucci เมื่อ 6 ธันวา 56 ค่ำคืนหลังจากคนไทย ผ่านการเฉลิมฉลอง วันพ่อแห่งชาติ กลุ่มอันธพาลติดอาวุธ ได้โจมตีกลุ่มผู้ชุมนุม ประท้วงรัฐบาล ที่ยึดพื้นที่บริเวณ กระทรวงการคลัง กลุ่มอันธพาล ขี่มอเตอร์ไซค์ ยิงปืน และขว้างระเบิด เป็นผลให้มีผู้บาดเจ็บ หลายคน ผู้ชุมนุม คนหนึ่งสูญเสียแขน แกนนำผู้ชุมนุม เรียกร้องให้รัฐบาล สืบสวนเหตุการณ์นี้ แต่เรื่องก็เงียบไป ในคืนเดียวกัน ที่เวทีราชดำเนิน ซึ่งเป็นเวทีหลัก ในการต่อต้านรัฐบาล ได้จับกุมชายชาวกัมพูชา 5 คน เนื่องจากพยายามเผา ขณะที่รัฐบาลไม่สามารถ ใช้กำลังโดยตรงกับผู้ชุมนุมอย่างเปิดเผย เพราะเกรงว่า การใช้ความรุนแรง ที่มากเกินไป จะทำให้ทหารทำการปฏิวัติ โค่นล้มรัฐบาล ดังที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ปัจจุบันรัฐบาลจึงสะดวกใจ ที่จะจ้าง กลุ่มอันธพาล และทหารรับจ้างมืออาชีพ ปฏิบัติการโจมตีสังหาร ภาพมือปืนของฝ่ายรัฐบาล ถูกบันทึกภาพไว้ในวิดีโอ ซึ่งเป็นจุดสำคัญ ของความรุนแรงครั้งแรกต่อผู้ชุมนุม การจับกุมชาวกัมพูชา 5 คน ขณะพยายามวางเพลิง เป็นการยืนยันว่า พวกนี้ถูกจ้างมา และยังเปิดโปงรัฐบาลว่า เป็นผู้ดำเนินการ ไปสู่ความรุนแรง
โดย: Peter Thaikovsky

รอยเตอร์ชี้ “ฆาตกร” ยิงมาจากหลังคาตึก

 รอยเตอร์ เตือนผู้อ่านให้ระวังการโฆษณาชวนเชื่อจากฝ่ายรัฐบาล และยังระบุว่าฝ่ายรัฐบาลมีแผนใช้ “ชายชุดดำ” เพื่อสังหารประชาชนและตำรวจ เพื่อลดความน่าเชื่อถือของผู้ชุมนุมประท้วง จากบทความ “ตำรวจปะทะม็อบมีคนตาย แต่นายกฯ ลาไปพักผ่อนที่เชี่ยงใหม่” ของ นาย Tony Cartalucci ที่ http://altthainews.blogspot.com/2013/12/thailand-as-policemanprotester-die-in.html เขียนว่า “เมื่อ 26 ธันวา 56 เกิดการปะทะระหว่างตำรวจกับผู้ชุมนุมที่สนามกีฬาไทย- ญี่ปุ่น ดินแดง เมื่อ กกต.เปิดรับสมัครการเลือกตั้งทั่วไป ใน 2 กุมภาพันธ์ 57 จาการปะทะมีผู้บาดเจ็บ 150 คน เสียชีวิต 2 คน ผู้ที่เสียชีวิตทั้ง 2 คนถูกยิง โดยรอยเตอร์ได้รายงานว่า ตำรวจเสียชีวิตถูกยิงจากมือปืนที่อยู่บนหลังคาอาคารกระทรวงแรงงาน ไม่ใช่จากผู้ประท้วงที่ปะทะกับตำรวจที่อยู่ที่ถนนข้างล่าง นอกจากนี้ ยังมีตำรวจที่บาดเจ็บจากการถูกยิงจากมือปืนที่อยู่ในอาคารด้วย จากภาพเอ็กซเรย์ผู้เสียชีวิต แสดงให้เห็นวิถีกระสุนที่ยิง แต่รัฐบาลได้ตั้งข้อสงสัยว่าเป็นฝีมือของผู้ประท้วงที่อยู่นอกสนามกีฬา รอยเตอร์ ได้เตือนผู้อ่านให้ระมัดระวังการโฆษณาชวนเชื่อจากฝ่ายรัฐบาล และยังระบุว่าฝ่ายรัฐบาลมีแผนใช้ “จารชน” หรือ “ชายชุดดำ” เพื่อสังหารประชาชนและตำรวจ เพื่อลดความน่าเชื่อถือของผู้ชุมนุมประท้วง Andrew Megragor Marshall ที่สนับสนุนรัฐบาล โพสต์เฟซ ถึงแผนการของรัฐบาลที่จะใช้ตำรวจสังหารหมู่ และว่า ขณะที่อภิสิทธิ์จะเขัาร่วมกับสุเทพในวันรุ่งขึ้นนั้น กลุ่มชายชุดดำที่ได้รับการฝึกจากหน่วยซีลและนาวิกโยธิน ได้กลับเข้ามาบนถนนอีกครั้ง หลังจากปฏิบัติการครั้งแรกเมื่อพฤษภา 53 และแทรกซึมอยู่ในมวลชนของสุเทพ ขณะที่ฝ่ายทหารยังคงแตกแยกและอ่อนแอ ผู้บังคับบัญชายังคงไม่แสดงท่าทีว่าจะเข้าไปแทรกแซง Marshall ยังอ้างแหล่งข่าว ที่น่าเชื่อถือได้ว่า ถ้าผู้ประท้วงสังหารประชาชนหรือตำรวจ จะไม่สามารถลดความน่าเชื่อถือของรัฐบาลได้ การเสียชีวิตทั้งสองกรณีที่เกิดขึ้นต้องถือว่าเป็นการถูกโจมตีจากบุคคลไม่ทราบฝ่าย อาจจะมาจากฝ่ายผู้ชุมนุมเอง หรือจากฝ่ายตำรวจ ซึ่งเป็นฝ่ายรัฐบาล แต่ในกรณีนี้เป็นการกระทำเพื่อรัฐบาลตัวแทนทักษิณทั้งสิ้น ทักษิณยังคงปลอดภัยในห้องชุดหรูระดับห้าดาวในดูไบ และยิ่งลักษณ์ก็ยังคงลอยตัวอยู่ในเชียงใหม่ ทำให้คิดถึงคำพูดที่ว่า “Nero fiddled while Rome burned” ( หมายถึง การดีดสีตีเป่าในยามที่แผ่นดินลุกเป็นไฟ หรือ การไม่นำพา ไม่ทำหน้าที่ดูแล ยามที่เมืองมีปัญหาวิกฤต ) ”
โดย: เพื่อชาติ เพื่อพ่อหลวง

สัมภาษณ์พิเศษ: ประเทศชาติต้องรอมชอมครั้งยิ่งใหญ่ (สุรินทร์ พิศสุวรรณ)

Dr.Surin Pitsuwan: News & Articles
สัมภาษณ์พิเศษ: ประเทศชาติต้องรอมชอมครั้งยิ่งใหญ่ (สุรินทร์ พิศสุวรรณ) โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2556 สถานการณ์บ้านเมืองกำลังเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ เมื่อทางแยกข้างหน้าทางหนึ่งกำลังจะเดินไปสู่ "เลือกตั้ง" ที่เต็มไปด้วยแก๊สน้ำตากระสุนยาง กระสุนจริง จากที่มวลชนบางส่วนมองว่าไม่อาจเป็น "ทางออก" ที่จะพาประเทศหลุดพ้นวังวนปัญหา ขณะที่อีกทางเลือกหนึ่งคือการเดินหน้าสู่ "ปฏิรูป" เพื่อจัดวางระบบโครงสร้างกันใหม่โดยสภาประชาชน ที่ยังเป็นหนทางที่ตีบตันเพราะมีตัวบทกฎหมายขวางจนยากจะก้าวข้าม สุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีตเลขาธิการอาเซียน ผู้ที่เคยคลุกคลีอยู่ทั้งในแวดวงการเมืองไทยและ ระดับนานาชาติ ประเมินสถานการณ์เมืองไทยขณะนี้ที่มีมวลมหาประชาชนออกมาชุมนุมเวลานี้ว่า เป็นเพราะช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา คนรู้สึก "Lonely In The Crowd" คือ เหงาเปล่าเปลี่ยวเดียวดายท่ามกลางฝูงชน คับอกคับใจ เครียด กลัว เหงา แต่ไม่รู้จะไปพูดกับใคร เพราะไม่รู้ว่าคนที่อยู่ใกล้ตัวคิดอย่างไร ทั้งนี้ สิ่งที่ประชาชนบนถนนราชดำเนินทำสำเร็จ คือเอาแต่ละปัจเจกชนที่รู้สึกอึดอัดเปล่าเปลี่ยวมาตลอด มาต่อเชื่อมกันได้เหมือนกับไฟลามทุ่งไปทั่วประเทศ มากกว่าการแสดงออกในลักษณะนี้ในอดีต เข้าใจว่ามากกว่าหลายประเทศ ซึ่งทุกสังคมจะถึงจุดนี้ อย่างสหรัฐตอนที่ มาธิน ลูเธอร์ คิงนำคนเดินขบวน ที่วอชิงตัน ดี.ซี. หลายแสนคน ตูนีเซีย อียิปต์ ยูเครน ทั้งหมดสะท้อนให้เห็นถึงการรวมตัวของคนที่มีความรู้สึกว่า ทิศทางของสังคมเป็นทิศทางที่ผิดจึงต้องดึงกลับและหาทิศทางใหม่ อย่างไรก็ตาม ทางออกที่เรามีมันอาจจะใช้ไม่ได้ในขณะนี้ เพราะทางออกนั้นคือทางออกที่ก่อให้เกิดปัญหานี้ 12-13 ปีที่ผ่านมา กระบวนการรัฐธรรมนูญที่เป็นอยู่ วิธีการมองปัญหา วิธีการแก้ปัญหาในกรอบเดิม เพราะฉะนั้นอาจจะต้องตั้งคำถามใหญ่กว่านั้น กว้างกว่านั้น ไกลกว่านั้น คนส่วนหนึ่งมองว่ากรอบวิธีการมาตรการเดิมๆ เพียงแต่สะสมความกดดันมากขึ้น สั่งสมปัญหา ความผิดพลาดมากขึ้น หนึ่งกระบวนการเลือกตั้งได้เสียงข้างมาก มีสิทธิในการบริหารจัดการประเทศ แต่ว่าสิทธินั้นไม่ใช่สิทธิเด็ดขาด ไม่ใช่ "ประทานบัตร" ที่จะนำไปสู่การบริหารจัดการเบ็ดเสร็จ ในโครงการที่เราได้ประทานบัตรมาเป็นเวลา 4 ปี 10 ปี 20 ปี แล้วแต่อายุประทานบัตร มันไม่ใช่ แต่ที่เป็นอยู่เหมือนกับได้เสียงข้างมากแล้วใช้ได้เต็มที่ไม่ต้องฟังอะไรทั้งสิ้นแต่ถ้าจะนำหลักประชาธิปไตยมาวิเคราะห์ อำนาจในระบอบประชาธิปไตยเป็นอำนาจที่จำกัด ทั้งโดยกรอบของเวลาที่รัฐธรรมนูญกำหนดไม่เกิน 4 ปีกำหนดโดยกระบวนการและวิธีการของรัฐธรรมนูญ กำหนดโดยกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ กำหนดด้วยกลไกถ่วงดุล แม้แต่ขนบธรรมเนียมประเพณีค่านิยมของสังคม อดีตเลขาธิการอาเซียน วิเคราะห์ว่า ในระยะหลังนี้มีการใช้เสียงข้างมากที่ไม่ใช่ภายในกรอบกระบวนการของประชาธิปไตย เกิดเป็นคำใหม่ขึ้นว่าลัทธิเสียงข้างมาก "Majoritarianism" มีหลายที่ในโลกทั้ง รัสเซีย เวเนซุเอลา อียิปต์ โดยเอาเสียงข้างมากไปเป็นตัวตั้ง เป็นใบอนุญาตที่จะทำอะไรก็ได้ ไม่ฟังเสียงข้างน้อย ไม่ฟังความถูกต้องเป็นธรรมค่านิยมดีๆ ของสังคม สถาบันองค์กรตรวจสอบ ทั้งนี้ วาระทางการเมืองขัดแย้งสูงมาก มีผลกระทบมาก และอาจไม่ได้คิดอย่างทะลุปรุโปร่งว่าจะมีผลกระทบตามมาอย่างไร ทั้งเรื่องนโยบายข้าวรถยนต์ บ้าน เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท เรื่องการนิรโทษกรรม เต็มไปด้วยสภาพของความขัดแย้ง อันตรายอยู่ข้างหน้า โครงการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ทรัพยากรที่จะนำไปใช้แก้ปัญหาหนักหน่วงของประเทศชาติ แต่ศาลปกครองบอกว่าคุณไม่ได้ทำตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญ ไม่ได้ดูแลเรื่องผลกระทบสิ่งแวดล้อมไม่ได้ถามประชาชนเชิงประชาพิจารณ์ สะท้อนให้เห็นว่ากำลังใช้ "Majoritarianism" มากกว่าใช้อำนาจที่จำกัดในกรอบของรัฐธรรมนูญ "อันนี้คือสิ่งที่ผมตั้งคำถามหนักว่า แล้วจะหันไปสู่กรอบเดิมวิธีคิดเดิม มาตรการเดิมที่เรามีจะแก้ไขปัญหาได้หรือไม่ ผมคิดว่าช่วงนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อล่อแหลม ข้างหน้าเต็มไปด้วยหน้าผาที่ก้าวพลาดเดินตกหน้าผาเลย น่ากลัวมากๆ ถึงเวลาที่ต้องหยุดคิดและถอดหัวใจระดมความคิดประชาชนฉลาดขึ้นเยอะอยากมีส่วนร่วมมากขึ้นเกิดองค์กรหน่วยงานที่ทำงานอย่างอิสระขึ้นมาหลากหลาย การมีตัวแทนทางการเมืองผ่านกระบวนการทางการเมือง 4 ปีครั้ง มันอาจจะไม่พอแล้วสำหรับสังคมไทย มันซับซ้อนขึ้นกว่านั้นเยอะ มีตัวแสดงเพิ่มขึ้นเยอะ มีตัวละครที่อยากขึ้นเวที ร่วมแสดง ร่วมมีส่วนในการชี้นำ กำหนดแก้ปัญหามากขึ้น" สุรินทร์ อธิบายว่า สิบกว่าปีที่แล้วคนในต่างจังหวัดมีความรู้สึกว่า ตัวเองได้มีโอกาสมีสิทธิที่จะเข้ามาอยู่ในกระบวนการ เขารู้ตระหนักว่าเสียงของเขาสามารถที่จะประกาศทิศทางทางการเมืองได้ แต่10-12 ปีที่ผ่านมาอีกฟากหนึ่ง ที่กำลังตื่นตัวที่เห็นอยู่บนถนนขณะนี้ก็ตื่นเหมือนกันว่าที่ตื่นและนำไปสู่นโยบายที่ผิดพลาดหลายอย่าง นำไปสู่หนี้สิน ความอ่อนเปลี้ยของสังคม นำไปสู่ปัญหาที่สั่งสมเพิ่มขึ้นนำไปสู่กลไกที่ล้มเหลวในการตรวจสอบ นำไปสู่อำนาจที่ล่อแหลมที่จะใช้ผิด ตำรวจ อัยการ ระบบข้าราชการทั้งหมด องค์กรอิสระเพื่อการตรวจสอบอ่อนเปลี้ยไปหมด ระบบราชการกลายเป็นระบบครอบครัวเครือญาติที่ขยายวง รัฐวิสาหกิจเป็นเน็ตเวิร์กส่วนตัว การแต่งตั้ง โยกย้าย ให้ตำแหน่ง เป็นไปบนพื้นฐานของเหตุผลส่วนตัวผลประโยชน์ทับซ้อน "Cronyism"พรรคพวกนิยม ในวงราชการธุรกิจ ทำให้ระบบทั้งระบบ ขณะที่กำลังก้าวเข้าสู่โลกยุคโลกาภิวัตน์ ซึ่งสวนทางกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย แทนที่ องคาพยพ ของไทย ระบบราชการไทย องค์กรต่างๆของไทย ภาคประชาชนไทย การศึกษาไทย แทนที่จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่เวทีการแข่งขันเรากลับถอยหลัง "ห้าปีที่ผมอยู่ที่อาเซียนชัดเลยว่า "นักกีฬา" ที่เราส่งขึ้นเวทีไปแข่งขันในเวทีอาเซียนสู้เขาไม่ได้คุณภาพลดลง ผมพูดทีเล่นทีจริงว่า นั่งอยู่ 10 คนดูรู้ว่าคนไหนคนไทยโดยไม่ต้องมีป้ายอยู่ข้างหน้า คือคนที่เงียบที่สุด เพราะหนึ่งไม่ต่อเนื่องสองไม่ได้เตรียมตัวมา สามไม่ได้ขึ้นมาเพราะความรู้ความสามารถ แต่ขึ้นมาเพราะ Cronyism จะให้ประเทศไทย หรือ ไทยแลนด์ อิงก์ ไปแข่งขันกับคนอื่นเขาในขณะที่อ่อนเปลี้ยไปทุกเรื่องทุกด้านนี่ไม่ได้เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงจึงต้องคิดว่าหัวเลี้ยวหัวต่อตรงนี้เราจะเอาอย่างไร เดินหน้าเข้าซอกเข้ามุมที่แคบลงดูแล้วอึดอัดหันซ้ายหันขวาติดหล่มไปหมด หรือจะหยุดแล้วคิดหาทางออก" สุรินทร์ มองต่อไปว่า ทำอย่างไรที่จะให้ประชาชนที่ตระหนัก ตื่นตัวเวลานี้เข้ามามีส่วนร่วมอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่เพียงแค่ 5 วินาที 4 ปีครั้งในคูหาเลือกตั้ง แต่ต้องทำให้ยั่งยืน ต้องทำให้ทุกคนสามารถที่จะนำไปสู่จุดการสร้างสติร่วมเจตนารมณ์ร่วม (General Will) เท่าที่เห็น ทุกฝ่ายขณะนี้สุดโต่งกันทั้งนั้น สุดโต่งเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง เพื่อสถานภาพของตัวเพื่อสภาวะปัจจุบันของตัวเอง แต่ความสุดโต่งนั้นมันแก้ปัญหาไม่ได้ ไม่มีการต่อรองไหนที่ทุกฝ่ายจะได้ 100%เหมือนกันหมด มันต้องมีรอมชอม "Give and Take" อย่างไรก็ตาม ต่อไปนี้ประเทศชาติต้องการการรอมชอมครั้งยิ่งใหญ่ "Grand Compromise"เพื่อสร้างสติร่วมเจตนารมณ์ร่วม จากนั้นจึงเดินหน้าไปสู่ การผนึกกำลังครั้งยิ่งใหญ่ "Grand Coalition" เหมือนอย่างประเทศเยอรมนี ที่เร็วๆ นี้สองพรรคใหญ่ คือ คริสเตียนเดโมแครต กับ โซเชียลเดโมแครต หันหน้าเข้าหากัน แล้วตั้งรัฐบาลร่วมกันซึ่งก่อนหน้านี้หลายปีที่แล้วก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้เกิดขึ้นอีกครั้งเพราะเห็นว่าไม่มีทางเลือกอื่นปัญหาของยุโรปหนักหน่วง ถ้ายังมาแบ่งกันอยู่อย่างนี้ แก้ปัญหาไม่ได้ พรรคใหญ่ 2 พรรคจึงมาร่วมมือกัน "คิดต่อไปข้างหน้าคือหลังการเลือกตั้ง ผลจะเป็นอย่างไรก็ตามแต่ มีรัฐบาลแห่งชาติเพื่อการปฏิรูปครั้งยิ่งใหญ่ เพราะฉะนั้นการเดินหน้าถือเป็นGrand Compromise" ให้มันเกิดเงื่อนไขทุกคนพอใจมั่นใจ หลังจากนั้นจึงเป็น Grand Coalition ที่จะต้องช่วยกันคิดต่อไป ซึ่งไม่อยากบอกว่าพรรคประชาธิปัตย์ หรือเพื่อไทยจะต้องมาร่วมกันคิดแต่จะต้องเป็นเรื่องของทุกฝ่ายที่จะต้องหันหน้าเข้าหากัน คือ Grand Compromise ก่อนเลือกตั้ง และGrand Coalition หลังการเลือกตั้ง ซึ่งไม่ใช่เฉพาะภาคการเมือง แต่ต้องเป็นภาคองค์กรอิสระกระบวนการยุติธรรมต้องมีส่วน ภาคเอกชนต้องมีส่วน ภาคประชาสังคมต้องมีส่วน สื่อมวลชนต้องมีส่วน ภาคการศึกษา สถาบันต้องมีส่วน ทั้งนี้ จะถือเป็น Grand Coalition ของประเทศทั้งหมด เพื่อที่จะมาแก้ไขปัญหาที่หนักหน่วงที่สุดเท่าที่ประเทศที่เคยประสบ 81 ปีประชาธิปไตย ไม่เคยหนักหน่วงเหมือนตอนนี้ ขณะนี้ เราเอาตัวรอดมาได้ แต่ละขั้นแต่ละตอนทั้ง 14 ตุลา 6 ตุลาพฤษภาทมิฬ มาถึงเหตุการณ์ปี 2553 เราไม่ได้แก้ปัญหา เพียงแต่หักมุมนิดๆ หน่อยๆ ลดความกดดันแล้วก็เดินหน้าต่อ แต่เราไม่ได้แก้ปัญหา ในเชิงเจตนารมณ์ร่วม สติร่วม ซึ่งจะทำได้ก็ต่อเมื่อมี Grand Coalition "ต้องลดทิฐิกันบ้างต้องมูฟมาสู่ตรงกลางกันบ้างตรงกลางคือผลประโยชน์ประเทศชาติ แต่เอกซ์ตรีมคือเรื่องส่วนตัวของทุกฝ่ายเฉพาะพวก เฉพาะฝ่ายเฉพาะกลุ่ม แต่ส่วนที่อยู่ตรงกลางมันกว้าง ซ้ายสุดขวาสุดมันแคบ ส่วนตรงกลางคือทางเดิน ทางเลือกของประเทศ เจตนารมณ์ร่วม อยู่ตรงนั้น สติร่วมอยู่ตรงนั้น" สุรินทร์ กล่าว
โดย: สุรินทร์ พิศสุวรรณ - Surin Pitsuwan

ข้าราชการที่มีความอึดอัดใจ ต่อเหตุการณ์บ้านเมือง

Siriwanna Jill
ข้าราชการที่มีความอึดอัดใจ ต่อเหตุการณ์บ้านเมือง สารจาก สมาคมข้าราชการพลเรือน ช่วยท่านได้ ระบุว่า

1.ข้าราชการพลเรือนมีสิทธิ ในการร่วมชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ ตาม มาตรา 63 และ สิทธพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ตาม มาตรา 68-69 ตาม รธน.ปี 50 การใช้สิทธิอยู่ในดุลยพินิจของแต่ละคน

2.ให้ข้าราชการยึดมั่น ต่อคำปฎิญาน และคำถวายสัตย์ ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่กระทำในวัน ข้าราชการพลเรือน ที่กระทำทุกปี

3. สมาคมขอให้ ขรก. ยึดหยัดอยู่ข้างความถูกต้อง ไม่ทำให้ประชาชนเดือดร้อน และยึดมั่นจงรักภักดี ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ

เหตุการณ์บ้านเมืองขณะนี้ พรรคการเมืองไม่ยึดมั่น อยู่ในผลประโยชน์ของชาติ และยึดประชาชนเป็นหลัก และไม่ยอมรับกติกาของสังคม ข้าราชการต้องรู้สติ ในการวางตัว ไม่มีหน้าที่ปกป้อง หรือรับใช้ บุคคลที่ลุแก่อำนาจ และประกาศตัว ไม่รับบทบาทรัฐธรรมนูญ อันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ

.....คดีที่ดินรัชดาภิเษก ที่ทำให้ทักษิณ ชินวัตร ถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุก 2 ปี

.....คดีที่ดินรัชดาภิเษก ที่ทำให้ทักษิณ ชินวัตร ถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุก 2 ปี
.....ขี้ข้าทักษิณอ้างกันว่า เมียซื้อที่ดิน ผัวให้เพียงให้ความยินยอม แต่ต้องติดคุก
.....ทักษิณไม่ได้ทำผิดกฎหมาย เพียงแต่กฎหมายห้ามเท่านั้น
.....มีการอธิบายให้คนที่ไม่เข้าใจได้ทราบกัน จนประชาชนเริ่มจะเข้าใจกันแล้ว

.....ขณะนี้มีข้ออ้างใหม่อีกแล้วว่า ที่ดินรัชดาจบแล้ว เจ้าของที่ดินได้ที่ดินคืนและผู้ซื้อก็ได้เงินคืนเรียบร้อย มากล่าวหาทักษิณเรื่องนี้ได้อย่างไร
.....นี่คือสิ่งที่ขี้ข้าของทักษิณพยายามหาข้ออ้างมาบิดเบือนหลอกลวงประชาชนที่ไม่มีความรู้ให้เข้าใจผิดกันเรื่อย ๆ

.....พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 100 ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐและคู่สมรสทำนิติกรรมกับหน่วยงานของรัฐที่ตนกำกับดูแล ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจำคุก ไม่เกิน 3 ปี
.....การที่พจมาน ชินวัตร คู่สมรสของทักษิณ ชินวัตร ซื้อที่ดิน ที่ถนนรัชดาภิเษก จากกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงิน จึงผิดกฎหมายดังกล่าว
.....ศาลพิพากษาลงโทษทักษิณให้จำคุก 2 ปี แต่ทักษิณหลบหนี จึงยังไม่ได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษา
.....นี่คือเหตุที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องออก พรบ.นิรโทษกรรม ลบล้างคำพิพากษาของศาล เพื่อทักษิณจะได้ไม่ต้องรับโทษจำคุกตามคำพิพากษา

.....ในส่วนที่เก่ียวกับที่ดินนั้น กองทุนฟื้นฟูฯได้เป็นโจทก์ ฟ้องพจมานเป็นจำเลย ในคดีแพ่ง ขอให้คืนที่ดินที่ซื้อไปให้แก่กองทุนฟื้นฟูฯ
.....ศาลแพ่งพิพากษาให้พจมานคืนที่ดินแก่กองทุนฟื้นฟูฯ และให้กองทุนฟื้นฟูฯคืนเงินค่าขายที่ดินที่รับมาคืนแก่พจมาน คดีถึงที่สุดแล้ว

.....คดีนี้ไม่เกี่ยวกับคดีที่ทักษิณถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุก 2 ปี ซึ่งยังมีผลบังคับอยู่ตราบที่ทักษิณยังไม่ถูกจำคุกตามคำพิพากษาของศาล

.....ผู้ที่โพสต์ว่า คดีของทักษิณจบแล้ว เลิกพูดกันเสียที เพราะได้คืนที่ดินให้แก่เจ้าของเรียบร้อยแล้ว น่ารำคาญ
.....ถ้าท่านถูกผู้ชาย 3-4 คน ฉุดท่านไปแล้วร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราโดยที่ท่านไม่ยินยอม
.....เมื่อทุกคนข่มขืนเสร็จในขณะท่านนอนสลบไม่รู้สึกตัวอยู่นั้น ผู้ชายเหล่านั้นได้เอาทรัพย์สินของท่าน คือ โทรศัพท์มือถือ สร้อยคอ นาฬิกาข้อมือ และเงินจำนวนหนึ่ง หลบหนีไป
.....ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจจับคนร้ายกลุ่มนี้ได้และได้ทรัพย์สินของท่านที่คนร้ายเอาไปทั้งหมดคืนให้แก่ท่านครบถ้วนแล้ว

.....ท่านยังติดใจที่จะดำเนินคดีแก่ผู้ชาย 3-4 คน ที่ข่มขืนกระทำชำเราท่านจนสลบหรือจะไม่ติดใจดำเนินคดีอีกต่อไป และยินยอมไปอยู่กินกับผู้ชายคนใดคนหนึ่ง ?

25 ความจริงเกี่ยวกับตัวเราที่คุณอาจไม่รู้



ในชีวิตของคนเราแต่ละวัน มักจะได้เรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่างมากมาย แต่ถ้าหากพูดถึงเรื่องความจริงของร่างกายคนเราแล้ว เชื่อเลยว่าคงไม่มีใครเรียนรู้เรื่องราวของร่างกายตัวเองได้ทั้งหมด แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวมาก ๆ ก็เถอะ วันนี้กระปุกดอทคอม ก็เลยขอนำข้อมูลน่ารู้เกี่ยวกับร่างกายที่รวบรวมไว้ในเว็บไซต์ psychofactz.com มาฝากกันค่ะ เพื่อให้หลาย ๆ คนได้รู้จักเรื่องของร่างกายตัวเองกันมากขึ้นเสียหน่อย...เอ้า พร้อมแล้วก็ไปดูกันเลย

คนเราไม่สามารถพูดได้พร้อม ๆ กับสูดลมหายใจเข้า และเช่นเดียวกัน คนเราไม่สามารถกลืนอาหารได้พร้อม ๆ กับหายใจ

เมื่อคนเรารับประทานอาหารอิ่มมาก ๆ ประสิทธิภาพในการได้ยินของเราจะลดลง

การร้องเพลงนั้นเป็นสิ่งที่ดีสำหรับคนทุกคน มันสามารถทำให้คนเรามีความสุขและมีอายุยืนได้

เคยมีงานวิจัยเปิดเผยว่า คนเรามีความคิดสร้างสรรค์ในตอนกลางคืนมากกว่าตอนกลางวัน

คนเราไม่สามารถฆ่าตัวตายได้โดยการกลั้นหายใจ

ทุกครั้งที่คนเราจาม หัวใจของเราจะหยุดเต้น และเราไม่สามารถลืมตาได้ขณะที่เราจาม

หากคนเราอดหลับอดนอนตอนกลางคืน ร่างกายจะเผาผลาญเพิ่มขึ้นประมาณ 161 แคลอรี

ไม่ว่าคนเราจะพยายามอย่างไร ก็ไม่มีใครจดจำช่วงเริ่มต้นของความฝันได้

ผู้ชายยิ่งมีนิ้วนางยาวเท่าไร ยิ่งเป็นคนมีแรงขับทางเพศมากเท่านั้น (อุ๊บส์!)

เซลล์กว่า 5,000 เซลล์ในร่างกายคุณจะตายลง และถูกแทนที่ด้วยเซลล์ใหม่ ภายในระยะเวลาที่คุณอ่านประโยคนี้จบ

การปัสสาวะตอนอาบน้ำ ทำให้เราประหยัดน้ำได้กว่า 1,157 แกลลอนต่อปี

อวัยวะ 2 ส่วนของคนเราที่สามารถทำความสะอาดตัวเองได้ คือ อวัยวะเพศหญิง และดวงตา

คนที่มีไอคิวสูง มีแนวโน้มจะนอนดึกมากกว่าคนที่มีไอคิวต่ำ

เวลาที่ใครจั๊กจี้คุณ การหัวเราะนั้นมาจากการที่คุณหวั่นวิตกและตกใจ ดังนั้น จึงไม่แปลกที่คุณไม่สามารถจั๊กจี้ตัวเองให้หัวเราะได้ เพราะร่างกายคุณไม่มีความกลัวและตกใจตรงนี้

เคยมีงานวิจัยเปิดเผยว่า คนที่ตื่นก่อน 7 โมงเช้า จะผอม และมีความสุขมากกว่าคนที่ตื่นหลังจากนั้น

หูขวาของคนเรา ฟังคำพูดได้ดีกว่าหูซ้าย ขณะที่หูซ้ายนั้น จะฟังดนตรีได้ดีกว่าหูขวา

การอ่านหนังสือท่ามกลางแสงสลัว ไม่ได้ทำให้สายตาเสีย

การฟังเพลงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันร่างกายอย่างไม่น่าเชื่อ

ยิ่งผู้ชายช่วยตัวเองมากเท่าไร ความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น

การมีเซ็กส์ทำให้ผู้หญิงสวยขึ้น เพราะระหว่างที่มีเซ็กส์นั้น ร่างกายจะขับฮอร์โมนเอสโตรเจนออกมาถึงสองเท่า และส่งผลให้ผมสลวยเป็นเงางาม และผิวพรรณก็นุ่มนวลขึ้น

เมื่อคุณฝันว่าคุณปัสสาวะ คุณก็มักจะปัสสาวะในความจริงด้วย

การนอนหลับทำให้ความจำดีขึ้น และมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น

ปัสสาวะที่ขับออกมาใหม่ ๆ สะอาดกว่าน้ำลายและผิวหน้าของคุณตั้งเยอะ

เด็กเกิดใหม่จะร้องไห้โดยไม่มีน้ำตาไหล เพราะยังไม่มีท่อน้ำตา จนกว่าจะอายุได้ 1 เดือน

เล็บมือของเราจะยาวเร็วกว่าเล็บเท้าถึง 4 เท่า

และนี่คือทั้ง 25 ความจริงที่คุณอาจไม่รู้เกี่ยวกับร่างกายของตัวเอง ที่เรานำมาฝากกันวันนี้ เชื่อว่าความจริงหลาย ๆ ข้อคงทำให้หลายคนถึงกับอึ้ง ทึ่ง และงงกันเลยทีเดียวล่ะ ขณะที่ความจริงอีกหลายข้อ คงจะทำให้ใครหลายคนได้ปรับความคิดเสียใหม่ เพราะมีความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับร่างกายตัวเองมาโดยตลอดเลยใช่ม้าาา อิอิ

*** น่ารู้...โรคหัวใจกับที่สูง..

*** น่ารู้...โรคหัวใจกับที่สูง... คุณทราบหรือไม่ว่า การขึ้นที่สูง เช่น ไต่เขา ขึ้นเครื่องบิน… มีผลต่อโรคหัวใจ อย่างไร? ในปัจจุบัน เรามีโอกาสที่จะต้องอยู่ในที่สูงๆ เช่น การขึ้นเครื่องบิน การไต่เขา หรือการไปเที่ยวพักแรมตามภูเขา ซึ่งการที่เราขึ้นไปอยู่ในที่สูงๆนั้น ไม่เพียงแต ่มีผลกับคนที่เป็นโรคหัวใจเท่านั้น ในคนปกติที่มีสุขภาพดีก็อาจจะเกิดความเจ็บป่วยอันเป็นผลจากการอยู่ในที่สูงได้ เช่น ภาวะน้ำท่วมปอดจากการอยู่ในที่สูง, ภาวะสมองบวมเลือดออกในจอประสาทตา เป็นต้น ในที่สูง ความดันบรรยากาศจะลดลงตามความสูงทำให้ความดันออกซิเจนของอากาศที่หายใจลดลงตามไปด้วย และร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลง ปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงของความดันบรรยากาศที่เปลี่ยนไป @การปรับตัวของระบบไหลเวียนโลหิต ต่อความสูง การอยู่ในที่สูงในระยะเวลาสั้นๆ.......... ร่างกายจะมีการปรับตัวโดยมีการหายใจเร็วขึ้น, หัวใจเต้นเร็วขึ้น, ปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจต่อนาทีเพิ่มขึ้น, ความดัน โลหิตสูงขึ้น และที่สำคัญคือการไหลเวียนของเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจก็เพิ่มขึ้นด้วย ในที่สูง จะทำให้ปริมาณความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดลดลง เรื่อยๆตามความสูง และจะยิ่งลดลงมากขึ้นถ้ามีการออกกำลังร่วมด้วย, ภาวะที่ปริมาณ ออกซิเจน ในเลือดลดต่ำลงนี้ จะทำให้ความดันของเส้นเลือดในปอดเพิ่มขึ้นตามอันเป็นผลจากการหดตัวของเส้นเลือดที่ปอดจากภาวะขาดออกซิเจนนั่นเอง การเปลี่ยนแปลงของเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายคือ เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงบริเวณ กล้ามเนื้อ, ผิวหนัง, อวัยวะภายในจะหดตัว ทำให้เลือดไปเลี้ยงน้อยลง ขณะที่เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจจะขยายตัวทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจมากขึ้น ส่วนเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองไม่มีการเปลี่ยนแปลง ผลก็คือ เราจะรู้สึกเหนื่อยเร็วขึ้นกว่าปกติ ออกแรงสูงสุดได้น้อยลงกว่าเดิม การอยู่ในที่สูงเป็นเวลานาน.......... หลังจากอยู่ในที่สูงติดต่อกันเป็นระยะเวลา 3-4 วัน ก็จะมีการปรับตัวของร่างกายโดยระบบประสาทซิมพาเธติคจะลดการทำงานลง, ความดันโลหิตเริ่มลดลง, ปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจต่อนาทีเริ่มลดลง, ร่างกายมีการปรับตัวให้เม็ดเลือดแดงสามารถปล่อยออกซิเจนออกได้ดีขึ้นกว่าเดิม(left shift hemoglobin oxygen dissociation curve) ภาวะการขาดน้ำของร่างกายจะพบได้บ่อย เนื่องจากแรงดันน้ำในบรรยากาศลดลงตามอุณหภูมิที่ลดลง และการหายใจที่เร็วขึ้นทำให้ร่างกาย เสียน้ำไปทางระบบทางเดินหายใจออกมากขึ้น มีการศึกษาพบว่านักไต่เขาที่ระดับความสูงมากกว่า 6000 เมตร ต้องการบริโภคน้ำถึง 3-4 ลิตรต่อวัน โรคหัวใจกับความสูง @ โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ พบว่าความสามารถในการออกกำลังกายลดลงในที่สูง และการเกิดภาวะหัวใจขาดเลือดโดยเฉพาะขณะออกกำลังกายเป็นได้ง่ายขึ้น แม้แต่ในคน ที่ไม่เคยมีประวัติของโรคเส้นเลือดหัวใจตีบมาก่อน ก็พบว่าสามารถเกิดภาวะหัวใจขาดเลือดได้ถ้าออกกำลังกายในที่สูง แต่การอยู่ในที่สูงเป็นระยะเวลานานเกิน 5 วัน พบว่าร่างกายมีการปรับตัวจนสามารถออกกำลังได้เท่ากับอยู่ในที่ราบ ดังนั้นในคนที่เป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ จึงต้องพิจารณาถึงความพร้อมในการเที่ยวในที่สูงเช่น พักแรมบนภูเขา การไต่เขา ซึ่งมักจะพักในช่วงสั้นๆ ซึ่งร่างกายยังไม่สามารถปรับตัวได้ ถ้ามีประวัติเหนื่อยง่าย เจ็บหน้าอกบ่อยแม้ออกกำลังเล็กน้อย ก็ควรที่จะหลีกเลี่ยงการขึ้นที่สูง เพราะอาจมีอันตรายต่อสุขภาพได้ @ ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ การเกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะจะมีโอกาสเป็นได้บ่อยขึ้นในคนสูงอายุ จะมีโอกาสเป็นมากขึ้นตามความสูงที่ขึ้น ในรายที่มีประวัติหัวใจเต้นผิดจังหวะอยู่แล้ว การอยู่ในที่สูงมีโอกาสที่จะทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะเป็นมากขึ้นได้ โดยเฉพาะในช่วงแรกๆและถ้ามีการออกแรงร่วมด้วย หัวใจเต้นผิดจังหวะที่เกิดขึ้นสามารถเป็นได้ทั้งที่เกิดจากหัวใจด้านบน(supraventricular) และหัวใจด้านล่าง(ventricular) สำหรับ การเดินทางโดยเครื่องบิน น่าจะมีความเสี่ยงต่ำ ยกเว้นคนที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะอยู่ก่อนแล้วตั้งแต่ก่อนขึ้นเครี่องก็มีโอกาสจะเป็นมากขึ้นได้ ดังนั้นในรายที่หัวใจเต้นผิดจังหวะเป็นบ่อยโดยเฉพาะหัวใจเต้นผิดจังหวะที่เกิดจากหัวใจด้านล่าง ในคนที่มีอายุ ควรหลีกเลี่ยงการขึ้นที่สูง หรือการพักแรมบนเขา เพราะมีความเสี่ยงที่จะเกิดการเสียชีวิตกระทันหันจากหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ @ผู้ที่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจชนิดฝังในร่างกาย ในที่สูงจะมีภาวะออกซิเจนต่ำลง ขณะที่คาร์บอนไดออกไซต์ก็ต่ำลงด้วยจากการหายใจที่เร็วขึ้น ผลของออกซิเจนในเลือดที่ต่ำลงจะเพิ่มค่า pacing stimulation threshold ขณะที่ผลของคาร์บอนไดออกไซต์ที่ต่ำลงจะลดค่า pacing stimulation threshold ดังนั้นผลลัพธ์ที่ได้ในที่สูงจึงพบว่าค่า pacing stimulation threshold(=ค่ากระแสไฟฟ้าขั้นต่ำที่เครื่องใช้ในการกระตุ้นให้ร่างกายเกิดคลื่นไฟฟ้าหัวใจขึ้น) จีงไม่เปลี่ยนแปลง แต่เนื่องจากไม่มีข้อมูลศึกษาในที่ ที่สูงมากๆเช่น การไต่เขา จึงไม่แนะนำให้ผู้ที่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ ขึ้นไปในที่สูงมากๆ @ ผู้ป่วยโรคหัวใจกับการเดินทางโดยเครื่องบิน โดยปกติเครื่องบินของสายการบินต่างๆ มักบินในระดับความสูง 22,000 – 44,000 ฟุต (6700-13,400 เมตร) และเครี่องบินจะมีการปรับความดันในห้อง ผู้โดยสารให้อยู่ในระดับเท่ากับความสูง 8,000 ฟุตหรือน้อยกว่า (ประมาณ 5000-8000 ฟุต) ซึ่งในระดับความสูง 8,000 ฟุต ความดันบรรยากาศจะลดลงเหลือ 564 มิลลิเมตรปรอท (เทียบกับความดันบรรยากาศปกติที่ระดับน้ำทะเลคือ 760 มิลลิเมตรปรอท) และทำให้ความดันออกซิเจนที่หายใจเข้าเท่ากับ 109 มิลลิเมตรปรอท( เทียบกับ 149 มิลลิเมตรปรอทที่ระดับน้ำทะเล) และทำให้ระดับแรงดันออกซิเจนในเลือดลดลงเหลือ 60 มิลลิเมตรปรอท (แรงดันออกซิเจนในคนปกติ เท่ากับ 100 มิลลิเมตรปรอท) ในคนปกติสามารถทนต่อภาวะแรงดันออกซิเจนในเลือดที่ลดลงนี้ได้ แต่ในคนที่เป็นโรคหัวใจอาจจะเกิดปัญหาขึ้นได้ ถ้าโรคหัวใจที่เป็นอยู่เป็นมาก และมีอาการเหนื่อยง่ายหรือเจ็บแน่นหน้าอกบ่อยแม้ในขณะพัก อีกทั้งการนั่งเครื่องบินนานๆ ก็อาจจะมีภาวะเครียดจากการไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างปกติ, การสั่นสะเทือน, เสียงที่เกิดขึ้นจากเครื่องบิน รวมทั้งความชี้นในอากาศที่ลดลง เคยมีรายงานการศึกษาพบว่า มีสถิติการเจ็บหน้าอกบนเครื่องบิน 433 ครั้ง และการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตาย 14 รายจากผู้โดยสารทั้งหมด 580 ล้านคน ในปี ค.ศ.1996 นอกจากนี้การนั่งเครื่องบินในระยะเวลานาน เสี่ยงต่อการเกิดภาวะเส้นเลือดดำที่ขาอุดตันจากลิ่มเลือดไปอุด และทำให้เกิดภาวะเส้นเลือดปอดอุดตันเฉียบพลัน ถึงขั้นเสียชีวิตได้ @ คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจที่ต้องการขึ้นเครื่องบิน - ผู้ที่มีโรคหัวใจที่สามารถควบคุมอาการได้ดี ไม่มีอาการเหนื่อยง่าย หรือเจ็บหน้าอกบ่อย สามารถขึ้นเครื่องบินได้อย่างปลอดภัย - ผู้ป่วยโรคหัวใจต่อไปนี้ห้ามเดินทางโดยเครื่องบิน 1. ภาวะหัวใจขาดเลือดรุนแรง เช่น โรค unstable angina , กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน 2. หัวใจเต้นผิดจังหวะชนิด PVC ที่เป็นมากและเป็นบ่อย 3. ภาวะหัวใจล้มเหลวที่ยังควบคุมอาการไม่ได้ - ในรายที่บอลลูนขยายเส้นเลือดหัวใจ ควรรออย่างน้อย 2 สัปดาห์ - ในรายที่ผ่าตัดต่อเส้นเลือดหัวใจ ควรรออย่างน้อย 3 สัปดาห์ - ผู้ที่เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ควรรออย่างน้อย 2-3 สัปดาห์ ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อน และถ้ามีภาวะแทรกซ้อนของโรคกล้ามเนื้อหัวใจ ควรรออย่างน้อย 6 สัปดาห์ เรียบเรียงโดย Doctor Heart
โดย: หมอสารภี รักในหลวง

กำลังใจให้กำนันสุเทพ จากแตงโม ภัทรธิดา

ข้อความในอินสตาแกรมของแตงโม ภัทรธิดา ให้กำลังใจกำนันสุเทพ หลังจากมีมวลชนเสียชีวิต ********************************************** เป็นกำลังใจให้ลุงกำนัน และทุก ๆ คนค่ะ ที่ได้เก็บซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้ สำหรับความสูญเสียทุก ๆ ชีวิตไปกับการปะทะระหว่างการชุมนุม โดยเฉพาะเมื่อวันที่ 26 ที่ผ่านมา 2 ชีวิตที่สละเพื่อหน้าที่ของตัวเอง วันนี้รับรู้ได้ถึงความหดหู่ ความอดทนอดกลั้นที่จะไม่แสดงความอ่อนแอของผู้นำ และผู้ชุมนุมท้ังหลาย รวมถึงครอบครัวโมด้วย น้ำตาของลุงกำนัน ทำให้เราทุกคนใจไม่ดี ในสภาวะแรงกดดัน คำถามมากมาย ต้องแก้ปัญหา ต้องเป็นผู้นำครอบครัว ผู้นำมวลมหาประชาชน ร่างกายที่ต้องพร้อมตลอดเวลา การเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งแต่แฝงไปด้วยความเจ็บปวด มันเป็นความรู้สึกที่ทรมานที่สุดแล้ว ทุก ๆ คนเข้าใจและพร้อมจะสู้ไปด้วยกันนะคะ นับล้านที่จะไม่ปล่อยให้ลุงต้องเดินอยุ่คนเดียว ดีใจแทนขิง เข็ม ครอบครัวคุณลุง ที่มีหัวหน้าครอบครัวที่ดีที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา ด้วยความรักและเคารพ คุณลุงกำนันสุเทพค่ะ CR http://women.kapook.com/view79320.html — กับ Chayakant Pratchayataweesuk และ 2 อื่นๆ

แถลงการณ์เครือข่ายอาสาสมัครทางการแพทย์เพื่อปฏิรูปประเทศไทยฉบับที่ 3


วิทยา กุลสมบูรณ์
แถลงการณ์เครือข่ายอาสาสมัครทางการแพทย์เพื่อปฏิรูปประเทศไทยฉบับที่ 3

ตามที่ นพ.ประดิษฐ์สินธวณรงค์รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจเมื่อวันที่ 28 ธ.ค.2556 ว่ากระทรวงสาธารณสุขได้จัดทีมแพทย์อาสาตั้งเต็นท์พยาบาลสนามเพื่อปฐมพยาบาลผู้ชุมนุมเบื้องต้นที่ได้รับบาดเจ็บก่อนลำเลียงคนเจ็บส่งโรงพยาบาลและกล่าวว่าเจ้าหน้าที่พยายามช่วยชีวิตและลำเลียงเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ถูกยิงในที่เกิดเหตุออกจากพื้นที่เพื่อมารักษาแต่ถูกขัดขวางโดยผู้ชุมนุมและมีการยิงปืนใส่เฮลิคอปเตอร์ที่ลำเลียงผู้ป่วยดังที่ได้ปรากฏเป็นข่าวแล้วนั้น ทางเครือข่ายฯซึ่งได้ออกปฏิบัติการช่วยเหลือและดูแลประชาชนผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่นดินแดงในวันที่ 26 ธ.ค. 2556 ใคร่ขอชี้แจงดังนี้
1. การทำงานของเครือข่ายฯอาศัยแพทย์อาสา พยาบาลอาสา และเจ้าหน้าที่อาสาจากหลากหลายสถาบันทั่วประเทศที่มาปฏิบัติงานร่วมกันด้วยความสมัครใจและมุ่งช่วยเหลือ ผู้บาดเจ็บทุกฝ่ายโดยมิได้รับคำลั่งจากกระทรวงสาธารณสุขหรือหน่วยงานใดและอาศัยทรัพยากรที่เตรียมกันมาเองและได้รับบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธาโดยมิได้รับการสนับสนุนจากรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด
2. ในวันที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจที่บาดเจ็บได้รับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นและนำส่งโรงพยาบาลตำรวจทางเฮลิคอปเตอร์จากบริเวณสนามฟุตบอล ภายในสนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดงโดยไม่มีการขัดขวางโดยประชาชนผู้ชุมนุมแต่อย่างใด เนื่องจาก ผู้ชุมนุมยังอยู่ด้านนอกของสนามกีฬาและถูกระดมยิงด้วยแก๊สน้ำตาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ การกล่าวอ้างของนพ.ประดิษฐ์ว่าการลำเลียงเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ถูกยิงในที่เกิดเหตุออกจากพื้นที่ถูกขัดขวางโดยผู้ชุมนุมและมีการยิงปืนใส่เฮลิคอปเตอร์ที่ลำเลียงผู้ป่วยจึงเป็นความเท็จโดยสิ้นเชิง
3. ในวันดังกล่าวกลับมีการคุกคามแพทย์และพยาบาลอาสา โดยพยาบาลอาสาที่กำลังกู้ชีพผู้ป่วยในรถพยาบาลถูกยิงเข้าที่ปอดได้รับบาดเจ็บสาหัสแพทย์และพยาบาลอาสาถูกขู่คุกคามโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ และมีบุคคลที่แต่งเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ตำรวจทำลายรถยนต์ของแพทย์และพยาบาลอาสาที่เข้าไปช่วยเหลือให้การรักษาพยาบาลผู้บาดเจ็บจากการชุมนุมหลายกรณีดังกล่าวทีมแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่พยาบาลอาสาไม่ได้รับการคุ้มครองตามหลักกาชาดสากลและไม่ได้ถูกกล่าวถึงในคำแถลงของ นพ.ประดิษฐ์แต่อย่างใด
สิ่งที่นพ.ประดิษฐ์แถลงดังกล่าวจึงเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงและเป็นการกล่าวหาประชาชนผู้ชุมนุมโดยปราศจากมูลความจริง เครือข่ายฯจึงขอเรียกร้องดังนี้
1.ขอให้นพ.ประดิษฐ์แสดงความรับผิดชอบต่อคำแถลงดังกล่าวโดยขอโทษต่อประชาชนผู้ชุมนุมและลาออกจากตำแหน่งรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
2. ขอให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความคุ้มครองและรักษาความปลอดภัยแก่บุคลากรทางการแพทย์ทุกฝ่ายที่อาสามาช่วยดูแลผู้ชุมนุมตามหลักกาชาดสากล
เครือข่ายอาสาทางการแพทย์เพื่อปฏิรูปประเทศไทย
29 ธ.ค.2556