++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557

แรงจูงใจ" Motivation

แรงจูงใจ" Motivation
จากผลการสำรวจคะแนนความผูกพันกับองค์กร (Employee Engagement)
คุณรู้มั๊ยว่า MK สาขาไหนที่พนักงานทำงานแล้วมีความสุขมากที่สุด ?

...
ถ้าพูดถึง "แรงจูงใจ" ของคนเรา จริงก็แบ่งง่ายๆได้สองอย่าง
1) "Extrinsic" แรงจูงใจภายนอก เช่น เงินเดือน โบนัส ตำแหน่ง รางวัลต่างๆ
2) "Intrinsic" แรงจูงใจภายใน เช่น การมีอิสระ (Autonomy) การพัฒนาตนเอง (Mastery) และ "คุณค่า" ของงาน (Value and Meaning)

คำถามคืออะไรสำคัญกว่า ?

กลับไปที่ MK
สาขาที่พนักงานทำงานมีความสุขที่สุดคือ "โรงพยาบาลศิริราช"
แปลกมั๊ย ทั้งๆ พนักงานสาขานี้ได้เงินเดือนเท่ากับสาขาอื่น
แถมลูกค้าโดยเฉลี่ยก็เยอะกว่า ปิดก็ดึกกว่า สรุปคือ งานหนักกว่า แต่เงินเท่าเดิม
ที่ไม่เหมือนกับสาขาอื่นๆอีกอย่างคือ ........
ที่สาขานี้เงินทุกบาททุกสตางค์ที่หามาได้จะมอบให้กับโรงพยาบาลเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วย

นั่นหมายถึง ถ้าทำงานหนัก บริการดี ลูกค้าเข้าร้านมาก ร้านก็จะมีรายได้เพิ่ม
แล้วสุดท้าย ร้านก็จะมีเงินไปช่วยเหลือ"ผู้ป่วย"ได้มากขึ้น
นี่แหละคือ "Intrinsic Motivation"
พนักงานที่สาขานี้ไม่ได้ทำงานเพื่อ "เงินเดือน" เพียงอย่างเดียว
แตทำเพื่อ"ช่วยชีวิตคน" เพิ่มเติมจากเงินภาษีของรัฐบาล

แน่นอนว่า "ค่าตอบแทน" เป็นสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งในการจูงใจให้คนทำงาน
แต่ "ความหมายและคุณค่าของงาน" จะทำให้องค์กรและพนักงาน ......

"เป็นหนึ่งเดียว"



Cr. "Influence" by Robert Cialdini

มี 3 สิ่งที่บอกได้ง่ายๆว่าผู้ชายคนนั้นจริงจังและจริงใจแค่ไหนในการคบกับเรา

มีข้อคิดที่น่าสนใจสำหรับผู้หญิงทุกคนมาฝาก
จากคอลัมน์ Mind Training ในนิตยสาร Secret ที่คุณหนูดี - วนิษา เรซ เขียนไว้ค่ะ

สิ่งที่น่าเสียดายที่สุดในโลกใบนี้คือ
การที่ผู้หญิงไม่เห็นค่าตัวเอง และคิดว่าเราต้อง “ยอม” เพื่อให้ผู้ชายมารัก
แต่ผู้ชายที่รักเราจริงจะไม่ทำให้เราสูญเสียความเป็นตัวเอง
จะไม่ทำให้เราเสียเกียรติ จะไม่ลบหลู่ความเป็นผู้หญิงของเรา

มี 3 สิ่งที่บอกได้ง่ายๆว่าผู้ชายคนนั้นจริงจังและจริงใจแค่ไหนในการคบกับเราซึ่งหนูดีถูกสอนมาสมัยเรียนครอบครัวศึกษา (ปริญญาตรีของหนูดีค่ะ) เรียกว่า 3 P’s นั่นคือ Protect, Profess, Provide…
มาดูกันนะคะว่ามีอะไรบ้าง จะได้เอาไว้สอดส่องพฤติกรรมคนที่เข้ามาหาเรา

1. Protect
รักจริงต้องพร้อมปกป้องทั้งร่างกาย จิตใจ เกียรติยศ ศักดิ์ศรีของเรา...ผู้ชายบางคน อย่าว่าแต่ปกป้องเราจากคนอื่นเลย มีแต่เรานั่นละที่ต้องปกป้องตัวเองจากเขา อืม นี่คือรัก...จริงหรือเปล่านี่

2. Profess
นั่นคือ พร้อมประกาศกับโลกใบนี้ว่าเราคือแฟน คือคู่หมั้นหรือคือภรรยา...ตามแต่ที่ตกลงกัน
ดังนั้นชายคนไหนเก็บเราไว้ในเงามืด ไม่ยอมออกสื่อ ไม่ยอมบอกเพื่อน ขอให้คบกันแล้วเก็บเป็นความลับ นั่นคือเขาไม่รักเราค่ะ ไม่ต้องหาเหตุผลให้มาก อย่าหาข้ออ้างให้ผู้ชาย ถ้าเขาแอบไว้คือเขาไม่รักจบข่าว

ใครโดนแบบนี้ ท่องเลยค่ะ เขาไม่รักๆๆๆๆ และหาทางเลิกอย่างด่วน อย่าจมชีวิตอันมีค่ากับผู้ชายที่ไม่เห็นค่าเราพอที่จะประกาศก้องกับโลกว่า “นี่คือผู้หญิงของฉัน-น-น” ใครรักเราจริง เขาต้องดีใจเนื้อเต้นที่ได้เป็นแฟนเรา และรีบประกาศให้ทุกคนในโลกของเขาและของเรารับรู้สิคะ ถูกต้องไหมเอ่ย

3. Provide
คือให้ค่ะ ให้ความรัก ให้เวลา ให้เงิน ให้ทรัพยากร ฯลฯ ชายที่รักเราจริงจะไม่งกกับเรา ถ้าไปเดตกันและขอให้ 50/50 ส่วนใหญ่มักมองเราเป็นตัวเลือก เพราะผู้ชายที่รักจริง ต่อให้จนแค่ไหนจะอยากแสดงความแมนด้วยการดูแลเราให้ครบถ้วน ไม่กินแพงก็ได้ แต่ผมไม่ยอมให้คุณควักกระเป๋าแน่

ผู้หญิงทุกคนในโลกนี้ ไม่จำเป็นต้องมีแฟนหรอกค่ะ แต่หากจะมีต้องมีให้ดีกว่าอยู่คนเดียว หนูดีเองเห็นด้วยกับการมีแฟนที่ดี การแต่งงาน และมีครอบครัวที่มีคุณภาพ แต่ไม่เห็นด้วยกับการที่ผู้หญิงคิดว่า “ต้องมีแฟน”

เราไม่ต้องมีหรอกค่ะ เว้นแต่ว่าผู้ชายพิสูจน์ตัวเองว่า “มีค่าพอ” เราจึงค่อยพิจารณาดูกันนานๆ อย่างน้อยให้เกิน 1 ปี ค่อยตัดสินใจ ส่วนใหญ่คนเรา “เฟค” ได้ไม่เกินปีก็เห็นธาตุแท้แล้ว...

Cr : นิตยสาร Secret คอลัมน์ Mind Training อยู่อย่างเจ็บๆ แบบแฟนเก็บ

การเจริญสติสำหรับ นักลงทุนที่ลงทุนแล้วขาดทุน แล้วก็ที่มีความทุกข์ จะคิดอย่างไร

บางส่วนจากการวิสัชนาเรื่องธรรมะกับการลงทุน ...สู่เศรษฐีแสนสุข


ปุจฉา: ขอพระคุณเจ้ากรุณาชี้แนะการเจริญสติสำหรับ
นักลงทุนที่ลงทุนแล้วขาดทุน แล้วก็ที่มีความทุกข์ จะคิดอย่างไร
ถึงจะเปลี่ยนความทุกข์นั้นให้เป็นความสุขได้

วิสัชนา: อาตมาก็พอจะตอบได้นะว่า นักลงทุนที่ลงทุนแล้ว
ขาดทุน เพราะมีความรู้ด้านเดียว คือมีความรู้เรื่องการลงทุน
เขาควรจะหาความรู้อีกด้านหนึ่งมาประกอบการลงทุน
คือ ความรู้ทางธรรมะ มนุษย์เรามักมีปัญหา คือมีความรู้
เฉพาะทางมากไป เหมือนไมเคิล แจ๊คสัน ที่มีความรู้ทาง
ดนตรีระดับปริญญาเอก มีชื่อเสียงเป็นอัจฉริยะทางดนตรี
แต่ความรู้ด้านบริหารจัดการชีวิตแค่ปริญญาตรี วันหนึ่งเขา
เปิดห้องอัดเองเขาก็ขาดทุนเป็นพันล้าน เพราะเขามีความรู้
เพียงด้านเดียว ฉะนั้นเราทุกคนจะต้องเป็นคนที่พระพุทธองค์
ทรงใช้คำว่า “ต้องมีตา 2 ข้าง” หนึ่ง คือ ตาข้างนอก สอง
คือ ตาข้างใน ตาข้างนอกนี้ก็คือสำหรับทำมาหากิน สำหรับ
นักลงทุน แต่ตาข้างในคือ ตาธรรมะ คำแนะนำคือ นักลงทุน
ต้องเรียนธรรมะควบคู่กันไปด้วย คุณจะต้องรู้ว่าโลกนี้จะ
ไม่มีใครได้ทุกอย่างดังใจหวัง และจะไม่มีใครพลาดหวังทุก
อย่างไป นี่เป็นสัจธรรมพื้นฐานที่เราต้องเข้าใจ ถ้าเราเข้าใจ
แบบนี้ พอเรามาลงทุน การลงทุนก็มีกำไร และมีขาดทุน
วันหนึ่งถ้าเรามีกำไร เราก็รู้จากคำพระที่ว่า กำไรมันจะมา
วันหนึ่งถ้าขาดทุน เราก็รู้ว่านี่ไงที่พระท่านพูด ฉันกำลัง
มีประสบการณ์ตรง พอเรามีความเข้าใจพื้นฐานร่วมกัน
อย่างนี้แล้ว พอเราขาดทุนเราก็ไม่ตีโพยตีพาย เพราะชีวิตก็
เป็นอย่างนี้ มีได้มีเสีย มีขึ้นมีลง มีสูงมีต่ำภาษาพระเรียก
หลักธรรมชุดนี้ว่า “โลกธรรม” แปลว่าธรรมประจำโลก
ถ้าเราเข้าใจโลกธรรม คือธรรมประจำโลกแบบนี้นะ ว่าโลกนี้
มีสูงมีต่ำมีได้มีเสีย มีสุขมีทุกข์ เป็นธรรมดาประจำโลก
โลกธรรมนี้จะทำอะไรเราไม่ได้เลย ถ้ามันเกิดขึ้น เราก็รู้ว่า
พระท่านบอกไว้แล้ว แต่ถ้าเราไม่เข้าใจโลกธรรมชุดนี้ พอเกิด
เหตุการณ์ที่ลงทุนแล้วขาดทุนเป็นทุกข์ เราจะถูก “โลกกระทำ”
ถ้าโลกกระทำไปแล้ว ยังไม่ยอมทำความเข้าใจอีก ยังทุกข์ซ้ำ
ทุกข์ซากอีก ก็จะถูกโลกกระทืบ เพราะฉะนั้นขอแนะนำให้
หาความรู้ทั้งทางการลงทุนและทางธรรมะคู่กันจะได้เอาไว้
ปลอบใจตัวเอง

อย่าท้อ เวลาผ่านไป เงื่อนไขเปลี่ยน สถานการณ์ก็มักผันแปร อาจดีขึ้นก็ได้..

(อ่านแล้วคิดอะไรได้เยอะ)

-นักเขียนอักษรพู่กันจีนชื่อดัง ได้บันทึกถึงความรู้สึกที่มีต่อชีวิต เมื่อผ่านเข้าใกล้วัย 70 ซึ่งมีสาระน่าศึกษาดังนี้
"พออายุใกล้ 70? ข้าพเจ้าเรียนรู้สิ่ง 7 สิ่งในชีวิต
?1. ต้องอยู่ให้รอด - ดวงอาทิตย์ขึ้นแล้วตก อยู่อีก 1 วัน... เหลือน้อยลง 1 วัน
สุขอีก 1 วัน... กำไร 1 วัน
?2. ต้องอยู่ให้มีความสุข-
ตำแหน่งสูง มิสู้มีรายได้สูง..
รายได้สูง มิสู้อายุยืน..
อายุยืน มิสู้มีความสุข..
ขอให้มีความสุข เพราะความสุขคือเงินสด..
นอกนั้นแค่กระดาษเช็ค
?3. ต้องเป็นของเราเอง-
หมายถึงไม่ใช่เป็นของคนอื่น หรือยืมของคนอื่นมาใช้..
..ตำแหน่งเป็นของชั่วคราว
..เกียรติยศเดี๋ยวก็ผ่านไป
..สุขภาพเท่านั้นที่เป็นของเรา
?4. ไม่เหมือนกัน-ย่อมไม่เหมือนกัน
ความรักที่พ่อแม่ให้กับลูกไม่มีขีดจำกัด..
แต่ความรักของลูกต่อพ่อแม่มีขีดจำกัด..
..ลูกๆ ป่วย พ่อแม่กลุ้มใจ
..พ่อแม่ป่วย แค่ลูกๆ มาเยี่ยมมาถามไถ่ ก็พอใจแล้ว
..ลูกๆ ใช้เงินพ่อแม่ สมเหตุสมผล
..พ่อแม่จะใช้เงินลูกๆ ต้องมีเหตุมีผล
..บ้านพ่อแม่ก็คือบ้านลูกๆ
..บ้านลูกๆ ไม่ใช่บ้านของพ่อกับแม่
ไม่เหมือนกันก็คือไม่เหมือนกัน..
พ่อแม่ที่เข้าใจ จะถือเอาความกตัญญูกตเวทีของลูกๆ เป็นจิตอาสาและความสุข ไม่หวังการตอบแทน..
หากหวังการตอบแทน นั่นคือหาทุกข์ใส่ตัว
?5. อย่าคาดหวังใคร-
ยามป่วยอย่าคาดหวังใคร แม้แต่ลูกๆ..
"ไม่มีลูกกตัญญูหน้าเตียงคนป่วยเรื้อรังหรอก"..
คาดหวังคู่ชีวิตหรือ เขาเองก็เอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว
ที่คาดหวังได้ คือเงินอย่างเดียว ใช้เงินรักษาตัว
?6. ระลึกแต่ความหลัง -
อาจจำเป็นเนาะ เพราะจำเรื่องราวได้น้อยลง ลืมมากขึ้น ฉะนั้นสุขภาพคือทรัพย์..จำไว้
..แข็งแรงเข้าไว้ จะได้เตะปี๊บดัง..
..มีเงินเก็บเข้าไว้ หาความสุขเสมอ..
?7. อย่ากลัวความตาย-
เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมชาติ ทุกคนเท่าเทียมกัน..
ต้องมีความพร้อมด้านจิตใจ พอยมบาลมาเรียก ก็พร้อมที่จะไปได้เลย ต้องไม่มีการอาลัยอาวรณ์..
?ครบ 7 ข้อ?
"ยามลำบาก มากอุปสรรค.. ต้องตั้งหลักให้มั่นคง
ยามได้ดี มียศสูงส่ง.. ต้องรู้ปลง ปลดปล่อยวาง"..
ฉะนั้น อย่าท้อ เวลาผ่านไป เงื่อนไขเปลี่ยน สถานการณ์ก็มักผันแปร อาจดีขึ้นก็ได้..
เราไม่จำเป็นต้องรวยเพราะมีเงินมาก แต่เราอาจรวยความสุขได้เพราะการให้

“เพียงใจเราไม่ท้อ..ชีวิตก็เดินต่อได้”

“เพียงใจเราไม่ท้อ..ชีวิตก็เดินต่อได้”
แม้ฟ้าให้กายเรามาไม่พร้อม..
แต่ถ้าใจเราพร้อม..โชคชะตาก็ยอมแพ้เรา
...........................................................
นี้เป็นเรื่องราวของสาวน้อยจากประเทศจีน ที่ชื่อ “เฉียนหงเยี่ยน”
ที่อุบัติเหตุทางรถยนต์ได้พรากขาทั้ง 2 ข้างของเธอไป พร้อมๆ กับ..
เปลี่ยนสถานะให้เด็กหญิงกลายเป็น “คนพิการ” ตั้งแต่วัยเพียง 4 ขวบ
ทางออกเดียวที่จะทำให้ความสุขในชีวิตเด็กหญิงกลับคืนมาก็คือ
การมี “ขาเทียม” ดีๆ สักคู่ แต่เพราะครอบครัวของเฉียนหง
มีฐานะยากจนเหลือเกิน ด้วยเหตุนี้..
เธอจึงต้อง “อดทน” กับชีวิตไร้ขาอยู่พักใหญ่
ด้วยความสงสารหลานสาว..
คุณปู่ของเด็กหญิงเฉียนหง จึงตัดสินใจนำ “ลูกบาสเกตบอลเก่าๆ”
มาตัดแบ่งครึ่ง แล้วลองสวมเข้ากับร่างกายท่อนล่าง
เพื่อป้องกันการบาดเจ็บจากการเคลื่อนไหว
ไม่เพียงเท่านั้นปู่ยังนำ “แปรงขัดพื้น” มาติดหูจับใช้ในการเดิน (ด้วยมือ)...
ด้วยเหตุนี้เอง ผู้คนที่พบเห็นเด็กหญิงจึงมักเรียกเธอว่า..
“สาวน้อยบาสเกตบอล”
แม้โชคชะตาจะขีดเส้นให้เธอต้องสูญเสียขาทั้งสองข้างไป
แต่เธอก็ยังมี “ความฝัน” เหมือนเด็กคนอื่นๆ ครั้งหนึ่ง..
เมื่อเด็กหญิงมีโอกาสชมการแข่งขันกีฬาเฟสปิกเกมส์ (กีฬาคนพิการ)
กีฬาว่ายน้ำได้สร้างความประทับใจและเป็นแรงบันดาลใจ
ให้เธออย่างมาก ถึงขั้นเอ่ยปากว่า...“อยากเป็นนักว่ายน้ำ”
ในช่วงนั้นเอง “จางหงหู” โค้ชนักกีฬาว่ายน้ำคนพิการชื่อดัง
ได้ก่อตั้งสโมสรนักกีฬาว่ายน้ำคนพิการแห่งชาติขึ้นเป็นครั้งแรกพอดี
เด็กหญิงเฉียน จึงตัดสินใจสมัครดู โดยที่เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่า
“การไร้ขาทั้งสองข้างนั้น ถือเป็นความพิการระดับรุนแรงมาก”
ในการว่ายน้ำนั้นหากไม่มีขาก็เปรียบเสมือนเรือที่ขาดหางเสือ...
อย่างไรก็ดี ด้วยความที่โค้ชตระหนักดีว่า..
“ทุกคนพัฒนาได้ ถ้าให้โอกาส” พร้อมทั้งได้สัมผัสถึง..
ความมุ่งมั่นและตั้งใจอย่างเต็มเปี่ยมของเธอ..
เขาจึงตัดสินใจเลือกเฉียนหง ให้เป็นนักว่ายน้ำกลุ่มแรก
แม้เด็กหญิงต้องเริ่มฝึกแล้วฝึกอีก ทว่าเธอก็ไม่เคยจะปริปากบ่น
คงมีแต่เสียงหัวเราะและรอยยิ้มที่ฉาบบนใบหน้าเสมอ
หลังจากฝึกซ้อมได้ไม่นาน โค้ชจางก็ตัดสินใจส่งเฉียนหง
เข้าแข่งขันว่ายน้ำเป็นคนแรกของรุ่นเมื่อปี 2009
และแล้วลูกศิษย์คนนี้ก็ไม่ทำให้โค้ชต้องผิดหวัง
เมื่อเฉียนหง สามารถคว้ามาได้ถึง 1 เหรียญทองและ 2 เหรียญเงิน...
ความสำเร็จครั้งนี้ ไม่เพียงแต่สร้างความภาคภูมิใจแก่เฉียนหงเยี่ยน
และครอบครัวเท่านั้น มันยังกลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนพิการทั่วโลก
อีกทั้งทำให้ทัศนคติของชาวจีนที่เคยมีต่อคนพิการเปลี่ยนไป
ต่อไปคงไม่มีใครกล้าดูถูกเหยียดหยามคนเหล่านี้อีก
เพราะพวกเขาได้เห็นแล้วว่า...”ถ้าตั้งใจทำอะไรสักอย่าง..
คนพิการก็สามารถทำได้ดีไม่แพ้คนปกติเหมือนกัน..
และคนพิการไม่ใช่คนไร้ค่าไร้ความสามารถอย่างที่เคยเข้าใจกัน”
ฝันของเด็กหญิงยังไม่หยุดเพียงแค่นี้ เพราะเธอยังมีความฝันสูงสุดอีกว่า..
ต้องคว้าเหรียญทองในการแข่งขันกีฬาพาราลิมปิกให้จงได้
ปัจจุบันแม้ทีมแพทย์จะสร้างขาเทียมให้เธอได้แล้ว แต่ถึงอย่างนั้น..
เธอก็ยังคง "รัก" ที่จะใช้ขาเทียมบาสเกตบอลอันเก่งที่ปู่ทำให้ต่อไป
...........................................................................................
ข้อมูลต้นฉบับ จากคอลัมน์ Inspiration “Basketball girl”
“ไร้ขา แต่ไม่ไร้ฝัน” นิตยสาร Secret ฉบับวันที่ 10 สิงหาคม 2557
5++++++++++++++++++++//+++++++++++++++++++++++++++++++/++++++++++++
ไม่มีนรก-สวรรค์
ปรัศนี:  เขากล่าวหาท่านอาจารย์ว่า สอนว่า ไม่มีนรกไม่มีสวรรค์ หรือแม้หลังจากตายแล้ว และนิพพานอยู่ที่ เมื่อจิตว่าง ดังนี้เป็นการกล่าวตรงตามที่ท่านอาจารย์กล่าวหรือเปล่าครับ?
พุทธทาส: เราไม่ได้พูดว่า ไม่มีนรก ไม่มีสวรรค์ หรือแม้แต่หลังจากตายแล้ว เราว่ามีทั้งสองอย่าง นรกสวรรค์ต่อตายแล้ว ก็ว่าไปตามเดิม ไม่ไปแตะต้องเขา นรกสวรรค์ที่นี่และเดี๋ยวนี้ นี่ยืนยันมากให้ตรงตามพุทธประสงค์ นรกสวรรค์อยู่ที่อายตนะทั้ง ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นอันว่ามันมีนรกชนิดนี้ก็มี นรกสวรรค์ต่อตายแล้วไม่ได้ไปแตะต้องเขา ไม่ได้ไปวิพากษ์วิจารณ์เขา ขอให้เก็บไว้ แต่ควบคุมได้ โดยที่จัดนรกสวรรค์เดี๋ยวนี้ให้ถูกต้อง มันควบคุมถึงไปได้ถึงสวรรค์ต่อตายแล้ว เป็นอันว่ามีนรกสวรรค์ทั้งสองชนิด ทั้งสองประเภท ไม่ได้ยกเลิกชนิดไหนเลย
ข้อที่พูดว่า นิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้ เป็นสำนวนพูดให้เกิดความสนใจ นิพพานมีเมื่อจิตว่างจากกิเลส นี่มีหลักมีเกณฑ์ คือเป็นนิพพานตัวอย่าง คำว่า "นิพพาน" ที่เกี่ยวกันอยู่กับจิตนั้นก็คือ จิตนั้นมันว่างจากกิเลส นี้พูดและยืนยันว่า พูด และจะพูดต่อไปว่า นิพพานตัวอย่างมีเมื่อจิตว่างจากกิเลส เป็นความดับแห่งกิเลส นี่เป็นนิพพานถ้าดับชั่วคราวก็เป็นนิพพานชั่วคราว เรียกว่า ตทังคนิพพาน หรือสมยวิมุตติ นิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้ ขอให้คอยสังเกต เมื่อจิตว่างจากกิเลสโดยเหตุใดๆ ก็ตาม แต่มันยังไม่ใช่นิพพานสมบูรณ์ หรือตลอดกาลหรือนิรันดร นิพพานชั่วขณะ เรียกว่า ตัวอย่างก็ได้ เมื่อใดจิตว่างจากกิเลสน่ะ รีบรู้จักเสียเร็วๆ คอยเฝ้าดูจิตเมื่อไม่ปรุงเป็นกิเลส เป็นจิตเยือกเย็น เป็นนิพพานเพื่อจะได้เป็นตัวอย่าง แล้วจะได้ชอบใจ แล้วจะได้เป็นอุปนิสัยแก่พระนิพพานอันสูงสุด คือ นิพพานเต็มรูปแบบ.
เราสนใจนิพพาน ตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันนี้ เพื่อทำให้คนไม่ต้องปวดหัว ไม่ต้องเป็นโรคประสาท ไว้เรื่อยๆ จะเป็นปัจจัยแก่พระนิพพานอันแท้จริงหรือสูงสุด ที่ว่าอยู่ที่นี่ เดี๋ยวนี้ นิพพานตัวอย่างนั้นพูดจริง แล้วก็พูดต่อไปอีกด้วย พระนิพพานนี้แปลว่า เย็น เมื่อใดเป็นจิตเย็น เย็นอกเย็นใจละก็เมื่อนั้น เป็นนิพพาน แต่คำวา เย็น คำนี้ ก็พิเศษอีกแหละ กลัวว่า ผู้ถามคนนี้คงฟังไม่ถูก ผู้ถามรู้จักแต่เย็นที่คู่กับร้อน ถ้าร้อนก็ต้องเปิดพัดลม ถ้าเย็นถ้าหนาวก็ต้องห่มผ้า แต่มีความเย็น อีกชนิดหนึ่ง ซึ่งมีเมื่อไม่เย็นไม่ร้อน เมื่อไม่เย็นไม่ร้อนชนิดนี้จะเกิดความเย็นชนิดหนึ่งซึ่งเป็นนิพพาน เมื่อไม่รบกวนด้วยความเย็นหรือความร้อนในโลกนี้ มันก็มีความเย็นอย่างโลกุตตระ เป็นนิพพาน ที่ใช้สอนกันในเบื้องต้นว่า เย็นคู่กับร้อน สุขคู่กับทุกข์ สุขที่คู่กับทุกข์ก็ยังเป็นทุกข์เย็นทั้งที่คู่กับร้อนมันก็ยังเป็นทุกข์ ต้องปัดทิ้งไปให้หมดทั้งสุข ทั้งทุกข์ ทั้งอะไรทุกๆ คู่ จึงจะเป็นนิพพาน, กล่าวว่า จิตเย็นเป็นนิพพาน คือเย็นต่อเมื่อไม่มีทั้งร้อนและทั้งเย็นในความหมายของโลกๆ เอ้า มีอะไรอีก.

คัดบางตอนจากหนังสือดอกโมกข์ ฉบับพิเศษ พุทธทาสวจนา พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. ๒๕๓๙ หน้า ๒๐๙-๒๑๐

ขอทานกับเทวดา

ขอทานกับเทวดา

มีขอทานคนหนึ่ง อาศัยอยู่ใน
เมืองที่ใหญ่มากด้วยความที่ใน
เมือง มีขอทานอยู่มากมาย
วันๆ นึงเขาจึงแทบไม่ได้ตังค์เลย
ทั้งๆที่เขาขยันออกขอทานมาก

เทวดาตนหนึ่งที่เฝ้ามองขอทาน
คนนี้มาสักระยะนึงแล้ว จึงแปลง
ร่างเป็นคนลงมา แล้วมาหา
ขอทานคนนี้...

"ข้ามองเจ้ามานานละ เห็นว่า
ยากจนมาก แต่ก็ยังดีที่ขยัน
ทำมาหากิน ไม่ไปปล้นจี้ ขโมย
ของใคร วันนี้ข้าจะให้เงินเจ้า
10,000 บาทละกัน" เทวดาบอก

"จริงเหรอครับ ขอบคุณ
มากครับ !" ขอทานตื่นเต้น
"แต่ข้าถามนิดนึง" เทวดาว่า "เจ้าจะเอาหมื่นนึงนี่ไปทำอะไร
เหรอ ?"

"ข้าจะเอาไปซื้อโทรศัพท์ครับ
ท่าน" ขอทานตอบ
เทวดาก็ถามต่อ "ซื้อไปทำไม?"
"ข้าจะได้โทรไปถามเพื่อนๆข้าว่า
ตรงไหนขอทานแล้วได้เงินดีๆ
บ้างน่ะครับ" ขอทานตอบ

เทวดาได้ฟังคำตอบก็เริ่มตึ้บๆ
"งั้นข้าให้เจ้า 100,000 เลย !" เทวดายื่นข้อเสนอให้มากขึ้นไปอีก ขอทานก็ตอบตกลงอย่างตื่นเต้น แต่ก่อนที่เทวดาจะให้เงิน ก็ถามขอทานอีกครั้งว่า จะเอาเงินแสนนึงนี้ไปทำอะไร"ข้าจะเอาไปซื้อมอเตอร์ไซค์มาขี่ครับจะได้ไปขอทานได้ไกลขึ้นสะดวกขึ้น" เทวดาฟังเสร็จเริ่มเครียด...

"งั้นข้าให้เจ้า 10,000,000 เลยทีนี้ !!
เจ้าจะเอาไปทำอะไร !?!" เทวดาถามครั้งสุดท้าย
"โอ้ !!! ถ้าข้ามีสิบล้าน ! ....ข้าจะเอาเงินไปจ้างให้ขอทานคนอื่นมันออกไปจากเมืองให้หมดเลยครับ ! แล้วข้าจะได้เป็นขอทานแค่คนเดียวในเมืองนี้ !"

เทวดาฟังเสร็จปั๊ปก็เพลียกับคำตอบของขอทานคนนี้ แล้วก็หายวับไปไม่ปรากฏตัวอีกเลย...

แล้วเทวดาก็สรุปออกมาได้ว่า
"คนบางคน ไม่ได้จนเพราะขาดโอกาส
แต่มันจนเพราะความคิดของมันต่างหาก
มันเลยต้องจนทั้งปีทั้งชาติ"

นิทานเรื่องนี้ เปรียบเทียบให้เห็นภาพได้ชัดมาก เรื่องความจนสี่ประเภท

จนเงิน จนเวลา
หากมีโอกาสดีๆมา ยังพอแก้ไขได้

จนโอกาส
หากความคิดดี เมื่อมีโอกาสดีๆมา
ยังพอที่จะเปลี่ยนชีวิตได้

แต่หากจนความคิด ต่อให้มีโอกาสดีๆ ผ่านมาเท่าไร มันก็คงกลายเป็นแค่อากาศที่ผ่านมา แล้วก็ผ่านไป

วิธีรู้สึกดีขึ้นกับคนที่คุณเกลียด

วิธีรู้สึกดีขึ้นกับคนที่คุณเกลียด

ฉบับที่ ๑๔๐ วิธีรู้สึกดีขึ้นกับคนที่คุณเกลียด

วิธีที่ดีที่สุด
ที่จะรู้สึกดีขึ้นทันทีกับคนที่คุณเกลียด
คือมองเขาเป็นเครื่องฝึกจิต
จะได้เห็นว่า
เขาช่วยทำให้ชีวิตคุณก้าวหน้ากว่าคนทั่วไปมาก

ความรู้สึกที่มีต่อคนคนหนึ่ง
ไม่ได้อยู่ที่ความเป็นเขาถ่ายเดียว
แต่อยู่ที่มุมมองของคุณเองด้วย

มองอย่างคาดหวัง
ก็ให้ความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์แบบรอความหวัง
หรือผิดหวังสมหวัง
ทั้งที่เขาอาจไม่ได้อยากรับฝากความหวังให้คุณ

มองอย่างเป็นเพื่อนร่วมโลก
ก็ให้ความรู้สึกพึ่งพาซึ่งกันและกัน
แบบคนที่ต้องอาศัยโลกใบเดียวกัน
คนหนึ่งทำไว้กับโลกอย่างไร
อีกคนก็ได้รับผลกระทบจากความเป็นโลกอย่างนั้น

มองอย่างเป็นศัตรูคู่แข่ง
ก็ให้ความรู้สึกว่าต้องเอาชนะคะคานกัน ทำลายกัน
ยอมกันไม่ได้ ถอยแม้แต่ก้าวเดียวไม่ได้
หรือกระทั่งเป็นสุขกับการอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้

แต่ถ้ามองอย่างเป็นเครื่องฝึกจิต
ความรู้สึกทั้งหมดจะพลิกกลับ
เพราะธรรมดาคนเราจะไม่คิดฝึกจิต
ฉะนั้น เมื่อใครบางคนกลายเป็นที่ตั้งของการฝึกหัด
ความตั้งใจนั้น จะช่วยให้มองย้อนเข้ามาที่ตัว
รู้สึกเข้ามาที่ใจ รู้จักเทียบวัด
เห็นจิตของตัวเองดีขึ้นหรือแย่ลงได้อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

คุณเลือกฝึกได้สารพัด
ฝึกควบคุมตนเองในสถานการณ์อึดอัด
ฝึกความฉลาดเลือกคำพูดผ่าทางตัน
ฝึกคิดหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับทุกฝ่าย
และที่สุดอันเป็นที่สุด คือ
ฝึกสมาธิแบบแผ่เมตตา

การฝึกแผ่เมตตาให้เข้าถึงอัปปมัญญาสมาบัติ
หรือเอาให้ได้สมาธิชั้นเลิศนั้น
พระพุทธเจ้าก็แนะให้ใช้ความผูกใจเกลียดนี่เอง เป็นตัวตั้ง
โดยพิจารณาความเกลียดเหมือนโรคภัยไข้เจ็บ
คนเราเมื่อหายป่วยได้ ก็กลับฟื้นมีกำลังวังชาได้
ดีใจได้ว่าเราหายแล้ว หรือทุเลาป่วยแล้ว
ความรู้สึกนั้นย่อมให้ความโล่งอกเบาใจ
ความโล่งอกเบาใจจากอารมณ์เกลียด
ปรุงแต่งจิตให้สว่าง ปลอดโปร่ง แผ่ผาย เป็นกุศลใหญ่
จึงง่ายที่จะพัฒนาเป็นจิตใหญ่ ตั้งมั่นเป็นสมาธิ
เพียงแค่จดจ่อรู้อยู่กับรสสุข สว่างโล่งจากอารมณ์เกลียดนั้น

เพียงระลึกว่า
ไม่มีใครเป็นเป้าฝึกจิตได้เหมาะเท่าคนที่คุณเกลียด
คนที่คุณเกลียดจะไม่น่ารังเกียจอีกต่อไป
ยิ่งถ้าคุณฝึกจิตข้อไหนสำเร็จ
พัฒนาจิตให้ก้าวหน้าขึ้นได้จริง
เมื่อนั้น ภาพในใจของคนที่คุณเกลียด
อาจสว่างเรืองรอง ให้ความรู้สึกดีเกินกว่าจะคาดได้ถูกด้วย

ดังตฤณ
ตุลาคม ๕๗
....................................................
ขอบพระคุณข้อมูลจาก..
"ธรรมะใกล้ตัวฉบับ Lite
ฉบับวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๗"
ที่ได้เผยแพร่สู่ "สาธารณะ"
ให้ทุกคนในโลกนี้
ได้ทราบว่า...
"อะไรผิด, อะไรถูก"
....................................................
....................................................
หมายเหตุ: "สีเขียว" ในที่นี้
ใช้เพื่อระลึกถึง "ใบโพธิ์" ที่ "ต้นโพธิ์"
ไม่ได้เกี่ยวกับ "สี" ที่ "รั้วของชาติ"
ที่ไหนใดๆในโลกนี้ "ใช้" ใดๆทั้งสิ้น
     
โพธิพฤกษ์  หรือ  ต้นโพธิ์,
ต้นพระศรีมหาโพธิ์      
เป็นต้นไม้เป็นที่่ตรัสรู้ ('โพธิ'
หมายถึง 'ปัญญา' เป็นเครื่องตรัสรู้)
เป็นต้นไม้ที่ 'พระผู้มีพระภาค
อรหันตสัมมสัมพุทธเจ้า'
ทรงบำเพ็ญพระบารมีมา
ตลอดระยะเวลานาน
ถึง "สี่อสงไขยแสนกัปป์"
เมื่อทรงเป็นพระโพธิสัตว์
เพื่อที่จะได้เสด็จมาประทับ
ณ บริเวณใต้ต้นไม้ต้นนี้      
แล้วตรัสรู้เป็น 'พระสัมมาสัมพุทธเจ้า'
เป็นการตรัสรู้โดยชอบได้โดยพระองค์เอง    
ไม่มีใครเป็นครูเป็นอาจารย์        
'โพธิพฤกษ์' จึงเป็นบริโภคเจดีย์    
เป็นสถานที่ที่พระองค์ทรงใช้สอย  
เป็นเครื่องเตือนให้พุทธศาสนิกชน
ได้ระลึกถึง 'พระสัมมาสัมพุทธเจ้า'      
ผู้ที่ได้ศึกษาพระธรรม ได้เข้าใจพระธรรม    
ก็จะซาบซึ้งในพระคุณของพระองค์
ที่ทรงมีพระมหากรุณาเกื้อกูลแก่สัตว์โลก
ด้วยการทรงแสดงพระธรรมตลอด ๔๕  พรรษา    
วันหนึ่ง ๆ พระองค์ทรงมีเวลาพักผ่อนน้อยมาก          
ทั้งหมดเพื่อประโยชน์แก่สัตว์โลกโดยแท้  
เมื่อได้เดินทางไปกราบนมัสการ
สังเวชนียสถาน และ พุทธสถาน
ที่ประเทศอินเดีย โดยเฉพาะที่พุทธยคา
ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระองค์ทรงตรัสรู้
ก็จะมีต้นพระศรีมหาโพธิ์
ซึ่งส่วนใหญ่แล้วที่ไป
ก็จะเก็บใบที่ร่วงหล่นลงมาที่พื้น
เพื่อสักการะบูชาระลึกถึง
'พระคุณ' ของ 'พระองค์'.
...................................
มีข้อความว่า      
คำว่า สัตว์เหล่านั้น "เป็นผู้ตกต่ำ"
ตั้งอยู่ในกรรมอันไม่เสมอ

มีความว่า คำว่า "ตกต่ำ"
คือ แม้สัตว์ผู้ไปต่ำ ชื่อว่า "ผู้ตกต่ำ"
แม้ผู้มีความตระหนี่ ก็ชื่อว่า "ผู้ตกต่ำ"
ผู้ไม่เชื่อถือคำ ถ้อยคำ เทศนา คำสอน
ของ 'พระพุทธเจ้า' และ 'สาวก'
ของ 'พระพุทธเจ้า' ทั้งหลาย
ก็ชื่อว่า "ผู้ตกต่ำ"
     
ผู้ไปต่ำ ชื่อว่า "ผู้ตกต่ำ" อย่างไรหนอ ?
สัตว์ผู้ไปต่ำ ก็คือ สัตว์ที่ไปสู่นรก
ไปสู่ดิรัจฉานกำเนิด ไปสู่เปรตวิสัย
ชื่อว่า "ไปต่ำ"
ผู้ไปต่ำอย่างนี้ จึงชื่อว่า "ผู้ตกต่ำ"
................................................      
ท่านทั้งหลาย พึงพิจารณา
จากข้อความใน ขุททกนิกาย มหานิทเทส
คุหัฏฐกสุตตนิทเทส ที่ ๒ ข้อ ๔๒
................................................
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
................................................
โลกใบเดียวกัน

แท้ที่จริงแล้ว
"โลก" ไม่ได้เป็น "ใบๆ, กลมๆ"

เพราะทุกคนมี "จิต" คนละ ๑ ขณะ
(ไม่ใช่ทุกคนมี "โลก" ใบเดียวกัน)

ขณะที่ "ปฏิสนธิจิต" เกิด
แท้ที่จริงแล้ว "ไม่มีแสงสว่าง,
ไม่มีเสียง, ไม่มีอะไรเลย,
มืดสนิท" (ไม่ใช่ "โลก"
เป็น "ใบๆ, กลมๆ")

แต่.. มี "ธาตุรู้" เกิดขึ้น
แล้วขณะใดที่ไม่มีแสงสว่าง
"ขณะนั้น" ก็มืด
อย่างเวลาที่เรากระทบแข็ง
ขณะที่แข็งปรากฏยังไม่ได้สว่างเลย
       
เพราะฉะนั้น ส่วนใหญ่แล้ว
เราจะมีสิ่งที่ปรากฏ "ทางตา"
เป็นแสงสว่าง หรือ "สี" นิดหนึ่ง
แล้วก็ "ดับ" ไป
แต่.. เราก็จำไว้
แล้วคิดเรื่องนั้น
(เป็น"โลก" ใบๆ, กลมๆ
เป็น "สัตว์, มนุษย์, สิ่งของ)

พอมี "เสียง" กระทบ "หู"
ความจริงเป็นเสียง (สูงๆ ต่ำๆ)
แต่เราก็ค่อยๆ "จำ"
จนกระทั่งเป็นภาษา เป็นคำ
จนกระทั่งรู้ความหมายว่า...
ถ้าเสียงสูงอย่างนี้
ภาษานี้ เป็นอย่างนั้น
ภาษานั้น เป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้น ก็มีความทรงจำ
เรื่อง "เสียง" นั่นเอง
       
เพราะฉะนั้น "โลก"
ที่เข้าใจผิดคิดว่า.. เป็น "ใบ" นี้
ความจริงเป็นเพียง การคิดตลอด
ขณะที่จิตคิดนึก "จิต" นั้น "มืดสนิท"
แต่พอมีแสงสว่างปรากฏทางตา
เพียงนิดหนึ่งแล้ว ก็คิดเรื่องนั้น
(เป็น"โลก" ใบๆ, กลมๆ
เป็น "สัตว์, มนุษย์, สิ่งของ)

พอมีเสียงกระทบหูนิดหนึ่งคิดเรื่องเสียง
พอมีกลิ่นกระทบนิดหนึ่งคิดเรื่องกลิ่น
พอมีรสกระทบนิดหนึ่งคิดเรื่องรส
พอมีกายกระทบเย็นร้อนอ่อนแข็ง
ก็คิดเรื่องสิ่งที่กระทบสัมผัส
รวมความว่า... เมื่อยังมีกิเลสอย่างหนา
"อวิชชาครอบงำ" จึงรวม "โลก"
ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ถาวร ที่มั่นคง
(เป็น"โลก" ใบๆ, กลมๆ
เป็น "สัตว์, มนุษย์, สิ่งของ)

แต่ความจริง เป็นเพียงเพราะจิตคิด
ถ้าจะคิดเรื่องหนึ่งเรื่องใดก็ตาม
แต่... "ตายทันที"
ก็จบเรื่องนั้น ทันที นั่นเอง
       
เพราะฉะนั้น เรื่องที่ปรากฏว่า...
เป็นเรื่องยาวๆ เป็นความคิดของเรา
แท้ที่จริงเป็น "จิต" เกิดขึ้น
คิดทีละคำ ทีละขณะ ทีละเรื่อง เท่านั้นเอง
ไม่ว่าจะคิดเรื่อง "โลก"
เป็นใบๆ, กลมๆ ฯลฯ
หรือ เรื่องอะไรทั้งหมด
เรื่องสาขาวิชาการใดๆ ก็ตาม
เพราะมี "จิต" เกิดขึ้น
แล้วขณะนั้น ก็ "คิด" นั่นเอง
       
เพราะฉะนั้น เวลาที่ "บางคน"
ยังไม่รู้จัก "ปรมัตถธรรม"
ยังไม่รู้จักว่า "โลก" นั้น
ความจริง ก็คือ มี "ทาง" (ทวาร)
ที่จะมากระทบ ๕ ทาง
(ตา หู จมูก ลิ้น กาย)
ส่วน "ใจ" นั้น "คิดนึก" ตลอด
       
เพราะฉะนั้น ถ้าไม่รู้จักอย่างนี้จริงๆ
เหมือนเราอยู่ในโลกที่มีคนเยอะแยะ
แต่.. เยอะเพราะ "คิดนึก" นั่นเอง

เพราะฉะนั้น "บางคน" มีความไม่รู้
(กิเลสอย่างหนา อวิชชาครอบงำ)
เรียกสั้นๆ ว่า.. "โง่"
จึงยืดถือ "โลก" นี้ว่า..
เป็น ใบๆ, กลมๆ

จึงยืดถือ "โลก" นี้ว่า..
"เป็นเรา" ฉันใด
ก็เห็นเป็นคนอื่น ฉันนั้น

เพราะฉะนั้น จึงมีรัก มีชัง
เพราะเหตุว่า.. "ไม่รู้ความจริง"
ว่าเป็น "สภาพธรรม"
ที่เพียง "ปรากฏ" แล้ว "ดับ" สั้นมาก
ถ้าประจักษ์จริงๆ
ความยืดถือ "สภาพธรรม"
ว่า... เป็นตัวตนก็ไม่มี
แต่เพราะว่าไม่ประจักษ์
ก็ยังมีอยู่นั่นแหละ
ยังเป็นเราที่นั่งอยู่ที่นี่
ยังเป็นคนนั้นคนนี้
ถ้าจิตไม่คิดถึงคนนั้น
จะมีคนนั้นหรือ
ถ้าจิตไม่โกรธ
จะมีคนนั้นที่เราโกรธหรือ

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะความโกรธ
หรือ ความรัก ความผูกพัน
ก็เพราะคิดถึงสิ่งต่างๆ
ที่เพียง "ปรากฏ" แล้ว
ก็ "ดับ" ไป นั่นเอง.
..............................................
พระพุทธเจ้าก็แนะให้ใช้ความผูกใจเกลียดนี่เอง เป็นตัวตั้ง

"การสอนให้โกรธ (ความผูกใจเกลียด)
ไม่มีในคำสอนทางพระพุทธศาสนา"

กิเลส เป็นเครื่องเศร้าหมองของ "จิต"
ไม่ได้มีเพียงแค่ ๓ อย่าง
คือ "โลภะ โทสะ โมหะ" เท่านั้น
ยังมีอีกมาก เช่น ความไม่ละอายต่ออกุศล
ความไม่เกรงกลัวต่ออกุศล
ความฟุ้งซ่านไม่สงบแห่ง "จิต" เป็นต้น
และ ทุกครั้งที่ "จิต" เป็น  "อกุศล"
ไม่ว่าจะเป็นประเภทใดก็ตาม
ก็จะมีโมหะ ซึ่งเป็นความหลง
(ความไม่รู้) เกิดร่วมด้วยทุกครั้ง  
ขึ้นชื่อว่ากิเลสแล้ว
ไม่เคยนำประโยชน์ใด ๆ
มาให้เลยแม้แต่น้อย
เพราะเป็นสภาพธรรม
ที่ขจัดซึ่งคุณความดี  
พร้อมทั้งให้ผลเป็นทุกข์เท่านั้น      
ตราบใดที่ยังมีกิเลส
ก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิด
ในสังสารวัฏฏ์อีกต่อไปไม่จบไม่สิ้น
   
"พระธรรม" ที่ 'พระพุทธเจ้า' ทรงแสดง
ตลอด ๔๕ พรรษา
เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูก
เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรม
ไม่ใช่อกุศลธรรม    
ไม่มีพระพุทธพจน์แม้แต่บทเดียว
ที่ส่งเสริม หรือ สนับสนุน
ให้คนเกิดอกุศลเลย
แม้เพียงเล็กน้อย
รวมถึงความโกรธ,
ความผูกใจเกลียด ด้วย        
เพราะโดยทั่วไปแล้ว
คนเรามักจะโกรธในคนที่ทำไม่ดี
แต่ความโกรธ ไม่ว่าเป็นใครโกรธ
และ โกรธใคร ก็ไม่ดีด้วยกันทั้งนั้น
เพราะเป็นอกุศล,
เมื่อประสบกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจ
ไม่ว่าจะจากบุคคลอื่น
หรือ เรืองอื่น ๆ ก็ตาม  
ถ้าหากว่าไม่โกรธ  
ไม่เกิดความไม่พอใจ    
ก็นับว่าเป็นบุคคลที่หาได้ยาก  
เพราะโดยปกติของปุถุชน
ผู้ที่ยังหนาแน่นด้วยกิเลสแล้ว
กิเลสย่อมเกิดขึ้นมากเป็นธรรมดา  
แต่ก็สามารถขัดเกลาได้
ด้วยการศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ      
"ตามความเป็นจริง"
ที่สำคัญ "พระธรรม" สอนไม่ให้โกรธ  
สอนไม่ให้อาฆาต
ไม่ให้ผูกใจเกลียด
มีแต่สอนให้มีเมตตา
มีความเป็นมิตร มีความเป็นเพื่อน
มีความหวังดีต่อผู้อื่น
ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นใครก็ตาม
"การสอนให้โกรธ
ไม่มีในคำสอนทางพระพุทธศาสนา"
   
ความโกรธ เป็นสภาพธรรมที่มีจริง
เกิดได้กับทุกบุคคล เมื่อได้เหตุได้ปัจจัย  
แต่... บุคคลผู้มีปัญญาเท่านั้น
ที่จะเห็นโทษของความโกรธ
ว่าเป็นอกุศลธรรม ที่พึง "ละ"    
ไม่ควรพอใจ ไม่ควรยินดีที่จะโกรธต่อไป  
เพราะความโกรธแม้เพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ
เมื่อสะสมมากขึ้น
ก็อาจจะถึงขั้นผูกโกรธ
พยาบาท เกลียดชัง แค้นเคือง
ที่จะเป็นเหตุให้เกิดการประทุษร้าย    
ทางกาย หรือ ทางวาจา ในภายหน้าได้      
ซึ่งไม่เป็นผลดีเลย

ดังนั้น "ธรรม" (ธัมมะ)
ที่ 'พระพุทธเจ้า' ทรงแสดง
จึงเป็นเครื่องเตือนที่ดี
และ ควรอย่างยิ่ง
ที่จะน้อมประพฤติตาม
ด้วยความจริงใจ
กล่าวคือ ควรมีเมตตา    
มีความเป็นมิตร
มีความเป็นเพื่อนต่อบุคคลอื่น
ด้วยกาย วาจา ใจ  
เพราะเหตุว่า แต่ละบุคคล
ก็เป็นเพื่อนร่วมเดินทาง
ในสังสารวัฏฏ์เหมือนกันทั้งนั้น
มีทั้งดี และ ไม่ดี เหมือนกันทั้งนั้น  
การเห็นใจ และ เข้าใจซึ่งกันและกัน
เป็นสิ่งที่ถูกต้องสมควรที่สุด  
แต่... การไม่ชอบกัน การโกรธกัน
การไม่พอใจกัน ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย
มีแต่โทษอย่างเดียว เท่านั้น.
..............................................
บุคคล "บางคน" ในโลกนี้
เป็นคนไม่ดี, ชั่ว
ทำลายพุทธศาสนา
แต่งตำราออกขาย
ได้เงินมากมาย แบบสบายๆ
เราไม่กลัวความผิดพลาดใดๆ
เรา "ยอมผิด" บ่อยๆ
(แต่.. สวดอิติปิโส ตลอดวัน ตลอดคืน
แม้จะสวดจน "ตลอดชีวิต")
เมื่อแตกกายตายไป เข้าสู่ทุคติ
อบายภูมิ มี "นรก" เป็นต้น
เวียนว่ายตายเกิดไม่จบไม่สิ้น
จึงมี "ยามรัก ยามชัง" นั่นเอง.

จีมาผู้ดูแล อ.กำพล ทองบุญนุ่ม

จีมาผู้ดูแล อ.กำพล ทองบุญนุ่ม

"He is my destiny.
ข้าพเจ้า ขออนุญาตใช้พื้นที่แห่งนี้
เขียนคำสรรเสริญ...ชายหนุ่มผู้หนึ่ง
ซึ่งจากบ้านเกิดเมืองนอนจากจีนแผ่นดินใหญ่
มาเพื่อเติมเต็มชีวิตของเขา
เชื่อหรือไม่ว่า เขามาเพื่อค้นหาคำตอบให้กับชีวิต
และวันนี้ เราก็ได้สัมผัสจากเขาว่า
“ความรักและเมตตา” คือกำลังสำคัญ
ที่จะนำพาชายหนุ่มผู้นี้ไปสู่เป้าหมายที่เขารอคอย
“He is my destiny."
เป็นประโยคที่ จีมา ได้กล่าวถึง
ท่าน อ.กำพล ทองบุญนุ่ม นั่นเอง
ก่อนหน้านี้ จีมาได้ติดตาม
ท่านอ.กำพล ทองบุญนุ่ม
มาบวชเรียน ที่วัดป่าสุคะโต จ. ชัยภูมิ
และบัดนี้ ได้สึกออกมาเพื่อดูแลอาจารย์ของเขา
ซึ่งกำลังป่วยด้วยโรคไวรัสซี ตับแข็ง และมะเร็งตับ
การป่วยครั้งนี้ของท่านอ.กำพล
หนักหนาสาหัสจริงๆ
ด้วยเหตุของตับที่แข็งเป็นเปอร์เซ็นต์ไม่น้อย
ทำให้ท่านสามารถมีอาการแทรกซ้อนได้ตลอดเวลา
ทางทีมงานผู้ดูแล เราทราบประสงค์
ของท่านอาจารย์เป็นอย่างดี
ว่าท่านยอมรับทุกเขเวทนาจากโรคภัย
ที่กำลังเป็นอยู่ได้ทุกรูปแบบ
ด้วย "ใจที่เป็นปกติ” จริงๆ
สิ่งที่ท่านกำลังแสดงให้เราดู
ถือเป็นการส่งกำลังใจและเตือนสติกลับ
มายังทีมงานผู้ดูแลได้เป็นอย่างดีเสมอว่า
สมควรจะดูแลท่านด้วย "ใจที่เป็นปกติ" ด้วยเช่นกัน
จีมา เป็นหนึ่งในทีมงานผู้อุทิศการดูแลรักษา
ท่านอ.กำพล ด้วยกายด้วยใจอย่างชนิดศิโลราบ
ทุกๆ วัน จีมาจะนอนอยู่ปลายเตียง อ.กำพล
ยามคำคืนโดยเฉพาะกลางดึก
อ.กำพล ซึ่งนอนหลับไม่ค่อยได้ดีนัก
จากอาการทางตับ ทุกครั้งที่ท่านต้องขยับตัว
ท่านจะพยายามทำให้เบาที่สุด
เพื่อไม่ให้จีมาได้ยินและตื่นขึ้นมาให้การดูแลท่าน
แต่จีมา ซึ่งได้ผ่านการฝึกเจริญสติด้วย ความรู้สึกตัว
จาก อ.กำพล มาอย่างดี สติท่านจึงไวอยู่ไม่น้อย
สามารถตื่นขึ้นมาปรณนิบัติให้แทบทุกครั้งจนได้
จนกระทั่ง ท่าน อ.กำพล รู้สึกเกรงใจ
อยากให้จีมาได้พักเต็มที่บ้าง
พอจีมาล่วงรู้ จึงรีบเปิดใจกับอาจารย์ทันทีว่า
“ผมดูแลอาจารย์ด้วยความรักครับ
ยินดีทำทุกอย่างเพื่ออาจารย์
ขออย่างได้เกรงใจผมเลย
You are my destiny”
เมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ทั้งหมด
ยากที่ข้าพเจ้าและทีมงาน
จะสกัดกลั้นน้ำตาไว้ได้
อย่างดีที่สุด ข้าพเจ้าขอนำเรื่องนี้มาขยาย
ความรู้สึกชื่นชมให้ถึงแก่บรรดาญาติธรรมทุกท่าน
ที่เอาใจช่วย บ้างสละกำลังทรัพย์
บ้างแรงกาย บ้างกำลังความรู้
โดยเฉพาะผู้กำลังสละเวลาอ่านทั้งหมดของโพสต์นี้
ขอกราบอนุโมทนาบุญไปพร้อมๆ
กับจีมาของเรานะคะ”
ข้อมูล จาก ท่านประธานชมรมเพื่อนคุณธรรม

นิทานเรื่อง....เเม่มด ถ้าเป็นคุณ จะเลือกแบบไหน ดีมาก ๆ ...อ่านให้จบนะ

ส่งให้ที่รักที่บ้านด้วยนะ โดนมาก ช้อบ ชอบจิง ๆนะ
นิทานเรื่อง....เเม่มด
ถ้าเป็นคุณ จะเลือกแบบไหน ดีมาก ๆ ...อ่านให้จบนะ

กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว.....
อาเธอร์ถูกจับและจะประหารชีวิต
แต่ กษัตริย์เสนอให้เขาเป็นอิสระ
ถ้าหากเขาสามารถตอบ ปัญหาแสนยากข้อหนึ่ง ได้ถูกต้อง
อาเธอร์มีเวลาหาคำตอบ 1 ปีเต็ม ถ้าเขาตอบไม่ได้
เขาก็จะ ถูกประหาร ' คำถามนั้นคือ ....
สิ่งที่ผู้หญิงต้องการจริงๆ คืออะไร ?'

ปัญหา ดังกล่าวช่างยากเย็นจนแม้นักปราชญ์ที่ฉลาดก็ยังงุนงง
เขากลับไปยัง อาณาจักรของเขาและ
เริ่มหาคำตอบจากทุกผู้คน
แต่ไม่มีใครให้คำตอบที่ น่าพอใจได้
คนส่วนมากจะแนะนำให้เขาไปปรึกษาเรื่องนี้กับยายแม่มดแก่
ซึ่ง น่าจะเป็นผู้เดียวที่จะรู้คำตอบ
แต่ราคาค่าปรึกษาคงจะแสนแพง

แล้ว วันสิ้นปีก็มาถึง
อาเธอร์ไม่มีทางเลือกอื่น
แม่มดตกลงจะให้ คำตอบ
แต่อาเธอร์ต้องยอมรับเงื่อนไขแลกเปลี่ยนก่อน
นังแม่มดต้องการ แต่งงานกับกาเวน
อัศวินผู้ทรงเกียรติสูงสุดของ เหล่าอัศวินโต๊ะกลม
และ เป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของอาเธอร์
อาเธอร์หนุ่มถึงกับสยองขวัญ
เพราะ ยายแก่หลังโกง
มีฟันเหลือซี่เดียว ตัวก็เหม็น เหมือนโถส้วม
ชอบทำ เสียงประหลาดน่ารังเกียจ
เขาปฏิเสธที่จะให้เพื่อนรักแต่งงานกับหล่อน
ฝ่าย กาเวนพอได้รับรู้ถึงข้อเสนอนั้น
เขายอมแต่งงาน
เพื่อชีวิตของอา เธอร์ และการดำรงอยู่ของอัศวินโต๊ะกลม
และยายแม่มดก็ให้คำตอบต่อคำ ถามของอาเธอร์
' สิ่งที่ผู้หญิงต้องการจริงๆ ก็คือการได้เป็นตัวของตัวเอง '
ทุกคนทราบได้ทันทีว่าแม่มดได้กล่าวอมตะ วาจาอันยิ่งใหญ่
และอาเธอร์ก็รอดพ้นจากการประหารแน่นอน
และก็เป็น เช่นนั้นจริง

แต่ทว่า........งานแต่งงานของกาเวนกับนังแม่มด ช่างเหลือรับจริงๆ
กาเวนสง่าผ่าเผยเช่นปกติทั้งสุภาพอ่อนน้อม
ส่วน ฝ่ายนังแม่มดเฒ่านั้นออกลายนิสัยเลวสุดเดช

ทั้งกินมูมมามด้วยสองมือ ทั้ง เรอ ทั้งตด
ทุกผู้คนต่างรู้สึกอึดอัด
และ แล้วยามค่ำของวันส่งตัวก็มาถึง

กาเวนได้ปลอบตนเองพร้อมรับคืนสยอง
เขา ก้าวเขาสู่ห้องนอนวิวาห์
ช่างไม่เชื่อสายตาตนเอง!!!!
หญิงสาวแสนสวย ที่สุดที่ เคยพบพานนอนรออยู่เบื้องหน้า
กาเวนงุนงง ???? สาวแสนสวยเฉลยว่า

เพราะกาเวนช่างแสนดีกับหล่อน ( เมื่อยามเป็นแม่มด)
ดังนั้นครึ่งหนึ่งของวัน เธอจะอยู่ในสภาพพิกลพิการน่า
รังเกียจส่วนอีกครึ่งหนี่งของวัน เธอจะอยู่ในร่างแสนสวยนี้

กลางวันเขาอยากให้เธอเป็นแบบไหน กลางคืนอยากให้เป็นแบบไหน ?

เป็นคำถามที่ช่างโหดร้าย!!! กาเวนเริ่มคิดไตร่ตรอง
หญิงสาวสวยยามกลางวันเพื่ออวดต่อเพื่อนฝูง
แต่ กลางคืนเมื่ออยู่สองต่อสอง เป็นยายแม่มด ?

หรือว่าเขาควรจะเลือกยาย แม่มดตอนกลางวัน
แล้วได้สาวสวยเพื่อเริงระบำยามค่ำคืนดี ??
เป็นคุณ หล่ะ
คุณจะเลือกอย่างไร ???
( กรุณาหยุดคิดสักนิดเมื่อตัดสินใจได้แล้ว ค่อย อ่านคำตอบข้างล่าง นะ )

เอา ละ..
เมื่อได้คำตอบของคุณแล้ว
อ่านคำตอบของกาเวนที่อยู่
ข้าง ล่างนี้ กาเวนตอบว่า
' เขาขอมอบให้เธอเป็นผู้ติดสินใจเลือกเอง '
เมื่อ เธอได้ยินดังนั้น เธอ
จึงประกาศก้องว่าเธอจะสวยตลอดเวลา
เพราะเขา ได้ให้ความเคารพและให้เธอเป็นตัวของตัวเอง
นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า...

1. ผู้หญิงไม่ว่าจะสวยหรือจะน่าเกลียด ลึกๆ ข้างในเธอก็คือ แม่มด
2. ผู้หญิงจะกลายร่างเป็นแม่มด หรือเป็นสาวแสนสวยเมื่อไหร่
นั้นขึ้นอยู่กับ ความประพฤติของผู้ชาย

อย่า ลืมส่งต่อนะ

ส่งมากกว่า 2 คน....
ขอให้พบรักแท้... สาธุ!!!!!!!

ดาบเด็ดเดี่ยวภาคที่สิบสอง ตอนที่เจ็ด.......พลังดัชนีกำเนิดเทพพยากรณ์

 ดาบเด็ดเดี่ยวภาคที่สิบสอง ตอนที่เจ็ด.......พลังดัชนีกำเนิดเทพพยากรณ์

สตรีไม่ได้มีไว้ให้เข้าใจ
                 สตรีมีไว้ให้รัก
                 สตรีมีไว้ให้ทนุถนอม  หาก....................นางยังมีลมหายใจหรือมิใช่คนตาย

                                                              มีดบิน
               

                  ดาบเด็ดเดี่ยวภาคที่สิบสอง ตอนที่เจ็ด.......พลังดัชนีกำเนิดเทพพยากรณ์
       

                  แต้สุหลีกำลังจะก้าวเท้าเดินเข้าไปยังผู้แซ่เล็ก เพื่อกล่าวคำขอบคุณ แต่นางกลับทำเช่นนั้นไม่ได้ เพราะว่า
                  " ตูม "
                  นางกลับถูกฝ่ามือมหานิลกาฬกระแทกเข้าที่กลางหลังอย่างไม่ทันตั้งตัว
                  นางเซถลาเกือบตกระเบียงสำนักนางโลมออกไป เพียงแต่นางยังใช้มือรั้งราวระเบียงไว้ได้
                  พลังภายในระส่ำแปรปรวนไปหมด เจ็บรวดร้าวไปทั่วร่างที่สั่นสะท้านกระทั่งเข่า
                  แต่ที่แปลกคือใบหน้าของนางเดี๋ยวกลับเป็นเด็ก สตรีเยาว์วัย สตรีเต็มตัว แล้วเป็นหญิงชรา หมุนเวียนไปมาอยู่เช่นนั้นเกือบครึ่งชั่วยาม และนางเองก็จมไปกับอารมณ์ที่นำนางไปสู่อบาย อันมี นรก เปตร อสูรกาย เดรัจฉานภูมิ
                  มีควันสีแดง ดำ ม่วง ขาวกระจายออกจากร่างของนางทั่วไปหมดแล้วพุ่งตรงออกกลางศรีษะของนางอย่างรุนแรง
                  ร่างที่สั่นสะท้านเดี๋ยวกลายเป็นเดรัจฉาน เปตร อสูรกาย พญาไฟ สลับกันไป แต้สุหลีนางจะทนได้อีกนานสักเท่าไรกัน
                  จนกระทั่งกลางหน้าอกของนางเปล่งแสงสีทองลุกโชติช่วง กระแทกพลังฝ่ามือมหานิลกาฬของสตรีลึกลับที่อยู่ด้านหลังของนางที่ฟาดใส่หลุดออกไป
                 ร่างของแต้สุหลีลอยขึ้นกลางอากาศ แล้วแสงสีแดง ดำ ม่วง ขาวกระจายกระจายออกจากร่างแต้สุหลี สี่เส้นทาง กระแทกไปที่ใด ก็นำมาซึ่งการทำลายตามมาด้วย
                 " ตูม ตูม ตูม ตูม "
                 หรือเทพพยากรณ์ยังไม่ทันได้เกิดจะด่วนดับจากไปเสียแล้ว เพราะกรรมตัดรอน
                 ทันใดนั้น.........................กลับมีแสงสว่างสีเหลืองทองอร่ามเกิดขึ้นทีละเล็กละน้อยจนเป็นเงาร่างของชายผู้หนึ่ง ที่ซัดพลังดัชนีเหลืองทองออกจากปลายนิ้วชี้
                  พลังนั้นพรุ่งตรงไปยังกลางหน้าผากที่มีจุดสีแดงของ แต้สุหลี
                  " เปรี้ยง "
                 ร่างของ แต้สุหลีแทบจะระเบิดออกเป็ยเสี่ยงๆ สั่นสะท้านไปราวกับคนชัก
                 ควันสีสีแดง ดำ ม่วง ขาวกระจายออกจากร่างของ แต้สุหลี
                 ควันสีแดง ดำ ม่วง ขาวที่ออกจากร่างของนาง จากสีเข้มข้นไปจนจางเบาบางแล้วหายไป
                 ร่างที่ใกล้หมดสติและเริ่มมีสติของนางกลับคืนมา อาภรณ์ที่ขาดไหม้จากไฟหลากสีกลับมาเรียบร้อยสะอาดสะอ้านด้วยพลังดัชนีสีเหลืองทอง
                 จุดแดงกลางหน้าผากของนางกลับมีกรอบทองครอบอยู๋อีกชั้น ใบหน้ากลับดูอ่อนเยาว์ขึ้นกว่าสามสิบปีเหมือนอิสตรีอายุเพียงยี่สิบแปดปีสวยสดใส
                  เล็กสี่คิ้วยืนตะลึงในปรากฎการณ์เช่นนี้ แต่ก็มิได้ทำให้เขาหวาดหวั่นอะไร
                   แต้สุหลีเมื่อรู้สึกตัวดีแล้ว น้อมคารวะบุรุษเรืองแสงสีทองอร่ามทันที โดยที่ยังไม่ทราบว่ามันเป็นผู้ใดและน้อมคารวะเล็กสี่คิ้วอีกผู้หนึ่ง
                   แสงเหลืองทองอร่ามจางลง กลับปรากฎใบหน้าชายหนุ่มงดงาม องอาจ มาดมั่น แข็งแกร่ง ห้าวหาญเด็ดเดี่ยว ดูเปี่ยมพลังล้นเหลือ
                   มันกลับกลายเป็น................มุซาชิผู้พิทักษ์จักรวาล
                 
               
             


ธรรมรักษาผู้ประพฤติธรรมให้อยู่เป็นสุข โดยธรรมสุจริต "ตดเกิดตดดับ"

ฟัง รายการ ในหลวงในดวงใจ Radio ตอน 24 ขอบ้างได้ไหม - โดย Thida Weangsamoot & Maliwan Pukka Keewiriyakul

ฟัง รายการ ในหลวงในดวงใจ Radio ตอน 24 ขอบ้างได้ไหม -  โดย Thida Weangsamoot & Maliwan Pukka Keewiriyakul

http://www.youtube.com/watch?v=6V6f9m13yko

ช่วงในหลวงในดวงใจ 24 ขอบ้างได้ไหม
 ช่วง"ในหลวงในดวงใจ" ตอน24 (ขอบ้างได้ไหม) ในรายการวิทยุรักพ่อ  โดย ธิดา เวียงสมุทร (Thida Weangsamoot) และ มะลิวัลย์ กี้วิริยะกุล (Maliwan Pukka Keewiriyakul)

 ฟังเพลง Can't You Ever See, เรื่องเล่าในหลวง ฉันขอน้ำบ้างได้ไหม, รัก-ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี,สารคดี ๙ คำพ่อสอน ตอน  หนังสือเป็นออมสิน : วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์ บก. นิตยสาร A DAY กับแนวคิดการสะสมประสบการณ์ จากการอ่านหนังสือ, ฟังเพลงทรงพระเจริญ,  เพลงบรรเลง Friday Night Rag, พระราชดำรัสปิดท้ายรายการ


ดูวิดีโอทั้งหมด http://www.youtube.com/playlist?list=PLVsD_y46lu19NJdvLk3XHzdc1DoPcoCE-




เพลง สายฝนแห่งน้ำใจ- วง 32 October Band อัลบั้ม "๙" จาก ๙ ศิลปินร้องเพลงที่ได้แรงบันดาลใจจาก..พ่อ

เพลง สายฝนแห่งน้ำใจ-  วง 32 October Band   อัลบั้ม "๙" จาก ๙ ศิลปินร้องเพลงที่ได้แรงบันดาลใจจาก..พ่อ


 วง 32 October Band ร้องเพลง สายฝนแห่งน้ำใจ
www.youtube.com/watch?v=LzeeONAvL0k

๑ ใน ๙ เพลง ใน อัลบั้ม "๙" จาก ๙ ศิลปินที่คุณจะหลงรัก ร้องเพลงที่ได้แรงบันดาลใจจาก..พ่อ
ในบรรยากาศซาบซึ้ง อบอุ่น เรียบง่าย ไพเราะ ฟังสบาย ..สุดประทับใจ

classy ภูมิใจเสนอ ผลงานเพลงอัลบั้มในลำดับที่ 3
ใน อัลบั้ม "๙" อัลบั้มสุดพิเศษ ที่เราบรรจงสร้างสรรค์ขึ้น เพื่อมอบแด่ทุกหัวใจที่..รักพ่อ

..ร่วมด้วยนักดนตรีชั้นนำอีกคับคั่ง เทหัวใจมาบันทึกเสียงสด..หมดทุกชิ้นดนตรี

..ทุกคำร้อง จากปลายปากกา และ โปรดิวซ์โดย แจ็ค รัสเซล (Jack Russell.th)
นักแต่งเพลง และ โปรดิวเซอร์ที่คุณเคยชื่นชอบ..
..จากอัลบั้ม "ความรัก ปากกา กีตาร์โปร่ง" (love in the light lines)

..ทั้ง ๙ เพลง แต่งโดยได้รับแรงบันดาลใจจาก..พ่อ
ใน อัลบั้ม "๙" จาก ๙ ศิลปินที่คุณจะหลงรัก ร้องเพลงที่ได้แรงบันดาลใจจาก..พ่อ
ในบรรยากาศซาบซึ้ง อบอุ่น เรียบง่าย ไพเราะ ฟังสบาย ..สุดประทับใจ

กุมารปัญหา

กุมารปัญหา

อนึ่ง ในระยะเวลาที่พระราหุลมีพระชนม์พรรษาน้อยอยู่นี้  พระอรรถกถาจารย์ท่านแสดงว่า พระพุทธเจ้าได้ทรงอบรมด้วย  กุมารปัญหา คือ ปัญหาที่ผูกขึ้นสำหรับถามเด็ก หรือ สามเณรปัญหา ปัญหาที่ผูกขึ้นสำหรับสามเณร ปัญหานี้ในที่แห่งหนึ่งแสดงว่า พระพุทธเจ้าตรัสถามให้สามเณรรูปหนึ่งชื่อว่า โสปากสามเณร ตอบ แต่ท่านพระอรรถกถาจารย์ได้กล่าวว่า พระพุทธเจ้าได้ตรัสตั้งปัญหาอันเดียวกันนี้ถามพระราหุลด้วย มี  ๑๐  ข้อ  คือ
ถามว่า “อะไรชื่อว่าหนึ่ง”
ก็ทูลตอบว่า “ที่ชื่อว่าหนึ่ง ก็คือสัตว์ทั้งปวงตั้งอยู่ได้ด้วยอาหาร”
ถามว่า “อะไรชื่อว่าสอง”
ก็ตอบว่า “ที่ชื่อว่าสองคือนามรูป”
ถามว่า “อะไรชื่อว่าสาม”
ก็ตอบว่า “คือเวทนาสาม”
ถามว่า “อะไรชื่อว่าสี่”
ก็ตอบว่า “อริยสัจสี่”
ถามว่า “อะไรชื่อว่าห้า”
ก็ตอบว่า “อุปาทานขันธ์ คือ ขันธ์เป็นที่ยึดถือห้า”
ถามว่า “อะไรช่อว่าหก”
ก็ตอบว่า “อายตนะภายในหก”
ถามว่า “อะไรชื่อว่าเจ็ด”
ก็ตอบว่า “โพชฌงค์เจ็ด”
ถามว่า “อะไรชื่อว่าแปด”
ก็ตอบว่า “อริยมรรคมีองค์แปด”
ถามว่า “อะไรชื่อว่าเก้า”
ก็ตอบว่า “สัตตาวาส คือ ที่อยู่ของสัตว์เก้าจำพวก”
ถามว่า “อะไรชื่อว่าสิบ”
ก็ตอบว่า “ท่านที่ประกอบด้วยองค์สิบ เรียกว่า พระอรหันต์”

ชื่อธรรมะเหล่านี้เป็นที่รู้จักกันอยู่เป็นส่วนมาก สัตตาวาส ๙ นั้นเป็นภูมิภพของสัตว์  ๙  จำพวก ส่วนพระอรหันต์ประกอบด้วยองค์  ๑๐ นั้นก็คือ ประกอบด้วยสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ   สัมมาญาณะ คือความรู้ชอบ สัมมาวิมุตติคือความพ้นชอบ ซึ่งเป็นอเสขะคือเป็นองค์ที่เสร็จกิจจะต้องศึกษา อันเรียกว่าเป็นของพระอเสขะผู้ที่ไม่ต้องศึกษา ก็ได้แก่มรรคมีองค์ ๘  และเพิ่มสัมมาญาณะ และสัมมาวิมุตติเข้าอีก  ๒ รวมเป็น  ๑๐

ปัญหาเหล่านี้เท่ากับว่า ตั้งขึ้นถามให้ตอบหรือว่าทาย และคอยแก้ก็เพื่อที่จะให้จดจำข้อธรรมะได้ ในตอนแรกก็อาจจะไม่เข้าใจ แต่เมื่อได้รับอบรมมากขึ้น ก็อาจเข้าใจในหัวข้อธรรมะเหล่านั้นมากขึ้น ในตอนแรกก็ตั้งให้ตอบพอจำได้ เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า กุมารปัญหา หรือว่า สามเณรปัญหา มี ๑๐ ข้อ ด้วยกัน.

ในระหว่างพรรษาเหล่านี้ ครั้งหนึ่งได้ทรงแสดงโอวาทโปรดบุตรคฤหบดีผู้หนึ่ง ซึ่งชื่อว่า สิงคาลกะ เป็นพระโอวาทสั่งสอนทางคดีโลก นับว่าได้ทรงสั่งสอนผ่อนจากคดีโลกุตตรธรรมลงมา พระธรรมเทศนาที่แสดงมาในเบื้องต้นโดยลำดับนั้นเป็นเรื่องโลกุตตรธรรม หรือปรมัตถธรรมเป็นพื้น และผู้นับถือพระพุทธศาสนาก็ปรากฏว่าได้มีภิกษุมีสามเณรเป็นฝ่ายบรรพชิต ทางฝ่ายคฤหัสถ์ก็มีอุบาสกอุบาสิกา ปรากฏว่าได้ทรงอบรมด้วยอนุปุพพิกถาและอริยสัจ ๔ ท่านแสดงว่าผู้ที่จะทรงอบรมดั่งกล่าวนั้น ต้องมีอุปนิสัยที่จะได้ธรรมจักษุ ดวงตาเห็นธรรม ที่กล่าวว่าเป็นพระโสดาบัน  พระโสดาบันนั้น คฤหัสถ์ก็เป็นได้ พระสกทาคามีก็เหมือนกัน ส่วนพระอนาคามีนั้น ท่านแสดงว่าคฤหัสถ์ก็เป็นไปได้ แต่โดยมากเมื่อคฤหัสถ์เป็นพระอนาคามี ก็มักจะบวช ส่วนที่ไม่บวชมีตัวอย่างอยู่ ท่านอ้างว่า เพราะมีกิจต้องทะนุบำรุงมารดาบิดา ทิ้งไปบวชไม่ได้ แต่ว่าถ้าเป็นพระอรหันต์ต้องออกบวช จะอยู่เป็นคฤหัสถ์ต่อไปไม่ได้และมีกำหนดว่า ต้องบวชในวันนั้น  ด้วย กำหนดเป็นแบบธรรมดานิยม เพราะฉะนั้น คำสั่งสอนที่แล้วมา แม้จะสอนแก่คฤหัสถ์ก็สอนตั้งแต่เบื้องต้นจนถึงอริยสัจ ส่วนที่สอนแก่สิงคาลกะนี้ เป็นการสอนทางคดีโลกโดยตรง

ที่มา :  ๔๕ พรรษาของพระพุทธเจ้า
พระนิพนธ์ใน สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก; วัดบวรนิเวศวิหาร

http://www.phuttha.com/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2/%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89/%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%93%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B8%A5?print=1&tmpl=component

วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2557

6 คุณประโยชน์จากแสงแดด

6 คุณประโยชน์จากแสงแดด
1. แสงแดดให้วิตามิน ดี ซึ่งช่วยในการดูดซึมแคลเซียม เป็นประโยชน์ต่อกระดูกและฟันและช่วยในการย่อยอาหาร การได้รับแสงแดดในช่วงเช้าหรือช่วงเย็นทุกวัน จะทำให้ร่างกายสามารถสร้างวิตามิน ดี
ตามที่ร่างกายต้องการ ได้ทั้งหมด
แสงแดดอ่อนๆ จะให้คุณประโยชน์อย่างเต็มที่ จะนั่งสมาธิไปด้วย หรือจะนั่งนอน แบบพักผ่อน ก็ได้ประโยชน์ทั้งนั้น
ห้ามโดนแดดจัด เป็นเวลานาน เพราะอาจจะทำให้เป็นมะเร็งผิวหนังได้ โดยเฉพาะในเวลา 10.00 - 14.00 น. ซึ่งเป็นเวลาแดดจัดมาก
*** เวลาแต่ละประเทศ ไม่เหมือนกัน เป็นการประมาณเท่านั้น

2. แสงแดดทำให้ผิวหนังแข็งแรงขึ้น สามารถต้านทานโรค และลดอาการอักเสบติดเชื้อได้ โดยเฉพาะกับโรคสะเก็ดเงิน แผลแมลงสัตว์กัดต่อย และสิว

3. แสงแดดช่วยลดอาการตัวเหลืองในเด็กแรกเกิดได้ โดยให้เด็กตากแดดอ่อนในตอนเช้า และให้ดื่มน้ำมากๆ

4. แสงแดดช่วยให้อารมณ์แจ่มใส มีงานวิจัยพบว่า ผู้หญิงบางคนที่อยู่ในแถบประเทศที่มีฤดูหนาว ซึ่งมีแสงสว่างน้อย เป็นเวลายาวนาน จะเกิดอารมณ์ซึมเศร้า ที่เกิดตามฤดูกาล แสดงถึงว่า แสงแดดมีผลกระทบต่อระบบประสาทและอารมณ์ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะแสงแดดช่วยให้สมองหลั่งฮอร์โมนเอนดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารสุขที่ช่วยให้รู้สึกสบายนั่นเอง

5. แสงแดดช่วยเสริมสร้างระบบภูมิต้านทาน โดยไปช่วยเพิ่มความสามารถของเม็ดเลือดแดง ในการลำเลียงออกซิเจน เมื่อได้รับออกซิเจนอย่างเต็มที่ เซลล์ต่างๆ ก็จะทำงานได้ดีขึ้น

6. แสงแดดช่วยลดน้ำหนัก โดยไปกระตุ้นอัตราเผาผลาญอาหารของร่างกาย ช่วยให้เผาผลาญแคลอรีได้มากขึ้น (บ้าง) แต่ไม่ได้มากขนาดที่จะทำให้ คุณกินข้าวขาหมูทั้งจาน แล้วจะไปตากแดด เพื่อเผาผลาญพลังงานได้หมด โปรดอย่าเข้าใจผิด

นี่ล่ะ!! 6 คุณประโยชน์ของแสงแดดจากธรรมชาติทุกวัน เริ่มต้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เพื่อประโยชน์สุขภาพของท่านจะดีขึ้น

******* *******
ชีวอโรคยา แบ่งปันความรู้ทั่วไป เพื่อเป็นวิทยาทาน เพื่อความพอเพียง เพื่อสุขภาพที่ดี โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมด้วยตนเอง ไม่รับปรึกษาปัญหาสุขภาพ เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญไม่ได้ประจำหน้าเพจ
โดย ชีวอโรคยา จาก นิตยสารชีวจิต ขอบคุณภาพจาก picturesbymom.com


ปลิงในกระดองปู แพทย์เตือนกินส้มตำปูช่วงนี้ระวัง!!!

ปลิงในกระดองปู แพทย์เตือนกินส้มตำปูช่วงนี้ระวัง!!! ควรต้มปูเค็มให้สุกก่อนเพราะอาจมีไข่พยาธิอีกด้วย

เล่นเอาคนที่ชอบกินส้มตำปูถึงกับไม่กล้ากินไปตามๆ กัน เมื่อมีผู้เผยแพร่คลิป ปลิงในกระดองปู ตัวเล็กๆ สีแดงๆ คลานอยู่ในกระดองปูน้ำจืดที่แม่ค้าเอามาดอง ก่อนปรุงใส่ในส้มตำ

คลิปปลิงในกระดองปู ถูกโพสต์อยู่ในเฟซบุ๊กของคุณ Fonluang Worachai บรรยายใต้คลิปว่า "เตือนภัยปลิง #อย่ากินปูน้ำจืด ช่วยกันแชร์หน่อยค่ะ เจอกับตัวถึงกับอึ้ง @อำเภอ บ้านดุงจังหวัดอุดรธานี" โดยในคลิปปลิงในกระดองปู เป็นภาพของปูน้ำจืด หรือที่รู้จักกันในชื่อปูนา ที่เราเอามาดองใส่ในส้มตำปู

ในคลิปเมื่อแกะกระดองปูออกมาก็ต้องพบกับสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก ตัวสีแดง ซ่อนอยู่ในกระดองปู โดยในคลิปมีเสียงสนทนากันในภาษาอีสาน ไถ่ถามกันอย่างตระหนกว่าถ้ามันเข้าไปอยู่ในท้องคนแล้วจะเป็นอย่างไร

คลิปปลิงในกระดองปูดังกล่าว มีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวาง บ้างก็บอกว่าเป็นปลิงบ้าง พยาธิบ้าง บ้างก็บอกว่า เขาเรียกกันว่า แม่ปู ซึ่งคนเฒ่าคนแก่รู้จักกันเป็นอย่างดี และมีที่ไม่น้อยเลยที่บอกว่าจะไม่กินส้มตำปูอีกแล้วเพราะรู้สึกหวาดกลัว

แต่เมื่อคลิปปลิงในกระดองปูได้รับการตรวจสอบจากนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ก็ได้รับคำตอบว่า เป็นปลิงชนิดหนึ่งชื่อ "พาราคลิปสิส" อยู่ในเหงือกปูตัวเมีย ดูดกินเลือดปู ไม่ใช่พยาธิ ซึ่งพยาธิจะเป็นตัวกลมๆ ไม่ดิ้น ซึ่งหากบังเอิญกินเข้าไป น้ำย่อยของมนุษย์จะย่อยปลิงเหล่านี้จนหมด ไม่เจริญเติบโตในร่างกาย แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่ปลิงเหล่านี้จะเกาะอยู่ตามเหงือกหรือช่องคอ และดูดกินเลือดเราได้

กรณีปูที่ถูกทำให้เค็ม พยาธิอาจตาย แต่จะมีไข่พยาธิหลงเหลือได้ และจะไปเจริญเติบโตในร่างกายได้ด้วย

ทั้งนี้ ควรกินปูน้ำจืดที่ปรุงสุกจะปลอดภัยที่สุด ซึ่งนอกจากจะปลอดภัยจากปลิงแล้ว ยังปลอดภัยจากพยาธิด้วย

ชมคลิปได้ที่
www.youtube.com/watch?v=Tq1QTpF1to4

******* *******
ชีวอโรคยา แบ่งปันความรู้ทั่วไป เพื่อเป็นวิทยาทาน เพื่อความพอเพียง เพื่อสุขภาพที่ดี โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมด้วยตนเอง ไม่รับปรึกษาปัญหาสุขภาพ เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญไม่ได้ประจำหน้าเพจ
โดย ชีวอโรคยา จาก news.ch7.com ตุลาคม 2557

ลูกอมสมุนไพรย่ายิ้ม คืออะไร


ลูกอมสมุนไพรย่ายิ้ม คืออะไร - ช่วยล้างพิษ ระบบทางเดินอาหาร เลือด น้ำเหลือง ปรับสมดุลชีวิต กายและใจ สุขภาพดี อารมณ์ดี ผิวพรรณดี ลดไขมัน ลดความอ้วน

ลูกอมสมุนไพรย่ายิ้ม หรือ ลูกอมย่ายิ้ม เกิดมาจากการปฏิบัติธรรมที่วัดป่าจะมีการถวายน้ำปานะแด่พระสงฆ์ ที่งดฉันอาหาร และดื่มน้ำปานะ คือน้ำต้มสมุนไพรไทย ต่างๆ และสามารถอมลูกอมที่มีจำหน่ายทั่วไปได้

จึงทำให้กลุ่มผู้ไปปฏิบัติธรรมมีความคิดนำเอาสมุนไพรไทยที่มากด้วยคุณค่าและเป็นประโยชน์มากมาย เช่น ชะเอมไทย สมอไทย ขมิ้นชัน ส้ม ลูกสำรอง มะขามป้อม อบเชย ใบย่านาง คลอโรฟิลล์ มะละกอ มะตาเสือ เป็นผลไม้และสมุนไพรต่างๆ ตามพระไตรปิฎกในศาสนาพุทธ มาทำเป็นลูกอมเพื่อให้สะดวกต่อการรับกินและให้ได้ประโยชน์จากการกินลูกอม ได้รสชาติความเป็นสมุนไพรโบราณผสมกับรสชาติร่วมสมัยในปัจจุบัน

มีการผลิตปี พ.ศ.2552 ลูกอมสมุนไพรย่ายิ้มเป็นลูกอมที่มีส่วนผสมของสมุนไพรหลากหลายชนิด เช่นชะเอมไทย สมอไทย อบเชย คลอโรฟิลล์ มะตูม ขมิ้นชัน ส้ม เพชรสังฆาต ยอ มะรุม ฮ่อสะพานควาย ลูกสำรอง เถาวัลย์เปรียง มะละกอ มะตาเสือ กระชายดำ ใบย่านาง กำแพงเจ็ดชั้น ฯลฯ โดยการสกัดเอนไซน์จากสมุนไพรธรรมชาติที่มีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพมาผสมกันในสัดส่วนที่พอเหมาะ และผลิตเป็นลูกอมห่อด้วยกระดาษนาโนเทคโนโลยีที่เป็นกระดาษชนิดพิเศษช่วยดูดซับความชื้นได้ดี ทำให้สะดวกต่อการรับประทานและพกติดตัวไปทานได้ทุกที่ ทุกเวลา ทุกเพศ ทุกวัย ผ่านการขอรับรอง อ.ย. การอนุญาตผลิตอาหารประเภท หมากฝรั่งและลูกอม

วิธีกิน
- อมอย่างน้อยวันละ 5 เม็ด
- ชงกับน้ำร้อนดื่มเหมือนชา ครั้งละ 7-10 เม็ด/น้ำร้อน 100 ซี.ซี
- ปั่นร่วมกับน้ำผลไม้ ครั้งละ 7 เม็ด/น้ำปั่น 1 ลิตร

สรรพคุณ
ช่วยล้างพิษ ระบบทางเดินอาหาร เลือด น้ำเหลือง ปรับสมดุลชีวิต กายและใจ สุขภาพดี อารมณ์ดี ผิวพรรณดี ลดไขมัน ลดความอ้วน

คำเตือน!!!
ระวังของเลียนแบบ ให้เลือกซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้ และมีเลยหมาย อ.ย. เท่านั้น มิฉะนั้นอาจมีอันตราย

******* *******
ประกาศจากแอดมิน: คุณสามารถซื้อลูกอมย่ายิ้มได้ที่ไหน???

ชีวอโรคยา แบ่งปันข้อมูลเพื่อสุขภาพ ไม่ใช่เพจขายผลิตภัณฑ์นะคะ ปัจจุบันมีลูกอมย่ายิ้ม และสมุนไพรแปรรูป - ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติจำหน่ายตามร้านค้าเพื่อสุขภาพทั่วไป หากท่านหาซื้อไม่ได้ กรุณาติดต่อสอบถามได้ที่ Health me Shop
เพจ ที่ชมรมชีวอโรคยา มอบหมายให้สมาชิกชมรมจัดทำขึ้นเพื่อจัดหาสมุนไพรจำหน่ายสำหรับผู้ที่ไปหาซื้อด้วยตนเองไม่ได้ ติดต่อ Health me Shop ได้ที่ลิ้งค์นี้นะคะ
www.facebook.com/healthmeshop999

ทำผอมตอนรถติด

ทำผอมตอนรถติด
รถติดคุณผอมเพรียวได้ เพราะท่าออกกำลังกายทั้ง 7 นี้
นอกจากจะช่วยให้คุณเผาผลาญแคลอรีระหว่างที่นับถอยหลังรอไฟเขียวแล้ว
ยังช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ตึงเครียดมาทั้งวันได้อีกด้วย

1. กดแผ่นหลังให้แนบกับเบาะรถ แล้วเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้อง ค้างไว้สักสามวินาที หลังจากนั้นทำอย่างเดียวกันนี้กับกล้ามเนื้อบั้นท้าย ทำสลับกันไปมาสัก 10 ครั้ง
2. เอียงคอไปทางซ้าย และขวา สลับกันไปมา 10-12 ครั้ง
3. จับพวงมาลัยรถและกำให้แน่น นับ 1 ถึง 3 แล้วคลายออก 10 ครั้ง
4. จับพวงมาลัยให้มือซ้ายอยู่ที่ 9 นาฬิกา และมือขวาอยู่ที่ 3 นาฬิกา บีบแขนทั้งสองเข้าหากัน โดยพยายามให้ข้อศอกทั้งสองข้างอยู่ชิดกันมากที่สุด ท่านี้ก็ 10 ครั้งเหมือนกัน
5. ยกไหล่ทั้งสองข้างขึ้นพร้อมกัน เกร็งไว้สามวินาที 10 ครั้ง
6. นั่งโน้มตัวมาข้างหน้า แล้วเกร็งแผ่นหลัง โดยพยายามดันสะบักทั้งสองข้างเข้าหากันให้มากที่สุด 10 ครั้ง
7. จบด้วยการเกร็งกล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกายไว้สักสามวินาที 5 ครั้ง

******* *******
ชีวอโรคยา แบ่งปันความรู้ทั่วไป เพื่อเป็นวิทยาทาน เพื่อความพอเพียง เพื่อสุขภาพที่ดี โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมด้วยตนเอง ไม่รับปรึกษาปัญหาสุขภาพ เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญไม่ได้ประจำหน้าเพจ
โดย ชีวอโรคยา จาก วิธีออกกำลังกายในชีวิตประจำวัน ขอบคุณภาพจาก telegraph.co.uk

อาหารที่คุณกินมีกี่แคลอรี... วิธีเผาผลาญแคลอรี

อาหารที่คุณกินมีกี่แคลอรี... วิธีเผาผลาญแคลอรี
เยลลี่ Gummy Bears 51 กรัม (ประมาณ 17 ชิ้น) = 200 แคลอรี่

เว็บไซต์ Health.com บอกวิธีกำจัดเผาผลาญพลังงาน 200 แคลอรีออกไปได้บ้างต้องเลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้คือ

- เต้นรำ 37 นาที
- ออกกำลังกาย 1 ชั่วโมง
- เคลื่อนย้ายเฟอร์นิเจอร์ในห้อง 30 นาที
- เล่นปาเป้า 1 ชั่วโมง 10 นาที
- ทาสีบ้าน 1 ชั่วโมง
- เล่นแบดมินตัน 40 นาที
- ร้องเพลง 1 ชั่วโมง
- หัวเราะ 20 นาที
- เล่นตั้งเต 40 นาที
- เล่นโบว์ลิ่ง 1 ชั่วโมง
- เล่นโยคะ 25 นาที
- ล้างรถ 40 นาที
- นวดให้คนอื่น 42 นาที
- เล่นเกมต่อคำ 2 ชั่วโมง
- ไดรฟ์กอลฟ์ 1 ชั่วโมง
- กระโดดบนเตียงผ้าใบ 1 ชั่วโมง
- ทำงานบ้าน 1 ชั่วโมง
- เดินเล่น 1 ชั่วโมง
- ขี่จักรยาน 1 ชั่วโมง

อาหารที่มีพลังงาน 200 แคลอรี บางชนิดถึงแม้ว่าจะดูมีปริมาณน้อยแต่ว่าก็ควรระมัดระวังในการรับประทานด้วยนะคะ เพราะถ้าหากเราเผลอกินมากเกินไปมันจะกลายเป็นส่วนเกินสะสมอยู่ในร่างกาย

แคลอรี (calorie) คือ หน่วยในการวัดพลังงานที่อยู่ในอาหาร ซึ่งอาหารแต่ละชนิดก็จะให้ปริมาณอาหารแตกต่างกัน แต่โดยปกติแล้ว สารอาหารที่ให้พลังงาน อย่างเช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และ ไขมัน จะให้ระดับแคลอรีดังนี้

- ไขมัน ให้พลังงานคือ 9 แคลอรีต่อกรัม

- โปรตีน ให้พลังงาน 4 แคลอรีต่อกรัม

- คาร์โบไฮเดรต ให้พลังงาน 4 แคลอรีต่อกรัม

โดยกองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้แนะนำปริมาณพลังงานที่ควรได้รับในแต่ละวันไว้ใน ธงโภชนาการ ดังนี้ค่ะ

- เด็กตั้งแต่อายุ 6 - 13 ปี ผู้หญิงทำงานนั่งโต๊ะ และผู้สูงอายุ ควรได้รับพลังงานประมาณ 1,600 กิโลแคลอรี

- วัยรุ่นชาย - หญิง และผู้ชายวัยทำงาน และผู้สูงอายุ ควรได้รับพลังงานประมาณ 2,000 กิโลแคลอรี

- กลุ่มผู้ใช้แรงงาน เกษตร และนักกีฬา ควรได้รับพลังงานประมาณ 2,400 กิโลแคลอรี

******* *******
ชีวอโรคยา แบ่งปันความรู้ทั่วไป เพื่อเป็นวิทยาทาน เพื่อความพอเพียง เพื่อสุขภาพที่ดี โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมด้วยตนเอง ไม่รับปรึกษาปัญหาสุขภาพ เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญไม่ได้ประจำหน้าเพจ
เรียบเรียงโดย ชีวอโรคยา จาก kapook.com อ้างอิง Health.com ขอบคุณภาพจาก wisegeek.com

วิธีคิดบวกกับทุกเรื่องแย่ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา

วิธีคิดบวกกับทุกเรื่องแย่ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา
เวลาเจองานหนัก
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือ โอกาส ในการ เตรียมพร้อม สู่ความ เป็น มืออาชีพ

เวลาเจอปัญหาซับซ้อน
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือ บทเรียนที่จะสร้าง ปัญญา ได้อย่างวิเศษ

เวลาเจอความทุกข์หนัก
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือ แบบฝึกหัด ที่จะช่วยให้เกิด ทักษะ ในการ ดำเนินชีวิต

เวลาเจอนายจอมละเมียด
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือ การฝึกตน ให้เป็น คนสมบูรณ์แบบ

เวลาเจอคำตำหนิ
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือ การชี้ขุมทรัพย์ มหาสมบัติ

เวลาเจอคำนินทา
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือ การสะท้อนว่า เรายังคงเป็น คน ที่มีความหมาย

เวลาเจอความผิดหวัง
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือ วิธีที่ธรรมชาติ กำลังสร้าง ภูมิคุ้มกัน ให้กับชีวิต

เวลาเจอความป่วยไข้
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือ การเตือน ให้เห็นคุณค่า ของการ รักษาสุขภาพ ให้ดี

เวลาเจอความพลัดพราก
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือ บทเรียนของ การรู้จักยืนหยัด ด้วยตัวเอง

เวลาเจอลูกหัวดื้อ
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือ โอกาสทอง ของการพิสูจน์ ความเป็นพ่อแม่ ที่แท้จริง

เวลาเจอแฟนทิ้ง
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือ ความเป็นอนิจจัง ที่ทุกชีวิต มีโอกาสพานพบ

เวลาเจอคนที่ใช่แต่เขามีคู่แล้ว
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือ ประจักษ์พยานว่า ไม่มีใคร ได้ทุกอย่าง ดั่งใจหวัง

เวลาเจอภาวะหลุดจากอำนาจ
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือ ความอนัตตา ของชีวิต และสรรพสิ่ง

เวลาเจอคนกลิ้งกะล่อน
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือ อุทาหรณ์ของชีวิต ที่ไม่น่าเจริญรอยตาม

เวลาเจอคนเลว
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือ ตัวอย่างของชีวิต ที่ไม่พึงประสงค์

เวลาเจออุบัติเหตุ
ให้บอกตัวเอง นี่คือ คำเตือนว่า จงอย่าประมาทซ้ำอีก เป็นอันขาด

เวลาเจอศัตรูคอยกลั่นแกล้ง
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือ บททดสอบ ที่ว่า 'มารไม่มี บารมีไม่เกิด'

เวลาเจอวิกฤต
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือ บทพิสูจน์สัจธรรม 'ในวิกฤต ย่อมมีโอกาส'

เวลาเจอความจน
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือวิธีที่ธรรมชาติ เปิดโอกาส ให้เราได้ต่อสู้ชีวิต

เวลาเจอความตาย
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือฉากสุดท้าย ที่จะทำให้ ชีวิต มีความสมบูรณ์

กำลังใจมีให้ไม่สิ้นสุด... ไม่ให้กำลังใจตัวเอง แล้วใครจะให้กำลังใจเรา... ใช่มั้ยคะ...

******* *******
ชีวอโรคยา แบ่งปันความรู้ทั่วไป เพื่อเป็นวิทยาทาน เพื่อความพอเพียง และสุขภาพที่ดี โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมด้วยตนเอง ไม่รับปรึกษาปัญหาสุขภาพ เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญไม่ได้ประจำหน้าเพจ
เครดิต: ชีวอโรคยา นำมาจาก Line ไม่ปรากฏชื่อผู้เขียน

ชีวอโรคยา อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีไม่พึ่งสารเคมี ไม่ต้องรอให้ป่วยไปเสียค่ารักษาพยาบาลแพงๆ

ติดตามข้อมูลข่าวสารการดูแลตัวเองวิถีธรรมชาติ ไม่พึ่งสารเคมีได้ที่ Facebook ชีวอโรคยา
www.facebook.com/pages/ชีวอโรคยา/135957369811772

คนเราทุกคนเกิดมาเหมือนเลือกไม่ได้

คนเราทุกคนเกิดมาเหมือนเลือกไม่ได้
แต่ที่แท้เรากำหนดเลือกไว้เองแล้วด้วยกรรมจากอดีตของเราเอง
เพียงแต่เราไม่สามารถระลึกรู้
นาทีนี้เราเป็นเช่นไร
ก็พอคะเนบอกอนาคตนาทีหน้าได้ไม่ยากเย็น
หากกรรมเก่าในอดีตแต่ครั้งไหนจะส่งผลต่อปัจจุบันชาติ
ก็ขอให้นาทีนี้มีผลต่อนาทีถัดไปด้วยกรรมดีที่สร้างที่ทำ
หากผลบาปยังส่งผลได้
ผลบุญก็ส่งได้ไม่แพ้กัน
เราเลือกสิ่งใหม่ๆ ให้ชีวิตได้เสมอ
ว่าจะให้ชีวิตนี้ชั่วนาทีข้างหน้าของเราเป็นเช่นไร
เริ่มต้นได้ตั้งแต่นาทีนี้

-หมอก้อย

สุขง่าย ทุกข์ยาก โดย พระไพศาล วิสาโล

 สุขง่าย ทุกข์ยาก
โดย พระไพศาล วิสาโล

ธรรมชาติคนเราเวลามีความเจ็บปวดก็จะพยายามผลัก พยายามปฏิเสธ พยายามดิ้น สังเกตนะเวลากายร้อน เวลากายเหนื่อย เวลากายปวด กายจะผลักไสความเจ็บปวดออกไป แต่มันไม่ยอมไป สิ่งใดที่ไม่ยอมไปไปเราจะทำอย่างไร เราก็ต้องอยู่กับมันให้ได้ คนเราต้องอยู่กับความผิดหวัง ความไม่สมหวัง อยู่กับความทุกข์ อยู่กับความเจ็บปวดให้ได้ วันนี้อาจจะไม่เจอแต่พรุ่งนี้อาจจะเจอ อย่างน้อยต้องมีสักครั้งหนึ่งในชีวิตที่ต้องเจอ ถ้าไม่เจอตอนเป็นหนุ่มเป็นสาวก็เจอตอนแก่
หลายคนรักษาตัวให้มีสุขภาพดีมาตลอดแต่สุดท้ายเป็นมะเร็ง เป็นมะเร็งเราก็รู้อยู่แล้วว่ามันปวดมาก ยามักเอาไม่อยู่ แม้จะไปฉีดยา ไปทำเคมีบำบัด หรือฉายแสงก็ยังปวด หลายคนตายไปด้วยความทุกข์ทรมานเพราะความปวด ไม่ว่ารวยแค่ไหนเป็นเศรษฐีพันล้านหรือร้อยล้าน เงินทั้งหมดทั้งหลายทั้งปวงที่มีไม่ได้ช่วยเราเลย แต่สิ่งที่จะช่วยเราได้ก็คือใจ ใจที่ไม่ใช่อดทนเท่านั้นนะ แต่ใจต้องมีสติด้วย ใจที่มีสติจะทำให้เราอยู่กับความเจ็บปวดได้ ทำอย่างไรเราถึงจะอยู่กับความเจ็บปวดได้อย่างสงบ สันติ ต่างตนต่างอยู่ ความเจ็บปวดก็อยู่ไปแต่ใจไม่ทุกข์ ให้มันรบกวนแต่ร่างกาย ส่วนใจเราสงบเป็นปกติ นี่คืออานิสงส์ของการฝึกจิต เราไม่ได้เดินกลางแดด เดินเท้าเปล่า เพื่อฝึกความอดทนเท่านั้น แต่ฝึกเพื่อให้ใจเป็นอิสระจากความทุกข์ทางกายได้ แล้วใจก็จะเบา
มีบางคนเป็นมะเร็งลำไส้แล้วปวดมากจนยาก็เอาไม่อยู่ แต่ว่าพอตั้งสติได้ เขาเล่าว่า สติดึงจิตมาอยู่ที่หัวไหล่แล้วมาดูกาย กายปวดแต่ใจไม่ปวดเลย สงบมาก แต่พอเผลอสติใจก็ไปรวมเข้ากับกาย จะรู้สึกปวดสุดๆ เลย ต้องตั้งสติใหม่ดึงจิตออกมาดูกาย ความปวดยังอยู่ ไม่ได้หายไปไหน แต่ใจไม่เป็นทุกข์แล้ว
เราอยากทำได้แบบนี้ไหม ถ้าอยากทำได้แบบนี้ก็ต้องฝึก แล้วจะฝึกอย่างไรก็ต้องฝึกจากชีวิต จากประสบการณ์จริงๆ การฝึกมันทำได้หลายแบบ การมาเดินให้แดดเผา เดินให้กรวดทิ่มแทงเท้า ก็เป็นการฝึกอีกแบบหนึ่ง แต่ไม่จำเป็นต้องฝึกแบบนี้ก็ได้ แต่ว่าควรจะฝึก ไหนๆ มาถึงนี่แล้ว แทนที่จะเดินด้วยความทุกข์ทั้งกายและใจ ก็ควรเดินด้วยใจที่ทุกข์น้อยที่สุด
แล้วจะทำอย่างไร ก็ต้องฝึก อาตมาถึงได้แนะว่า เวลาเดินให้เดินอย่างมีสติ พยายามพูดคุยกันให้น้อย การพูดการคุยมันช่วยให้เจ็บน้อยลงก็จริง แต่ช่วยได้ไม่มาก คุยกันนานๆ ก็เหนื่อย แถมยังสร้างความทุกข์ให้คนข้างๆ บางคนอุตส่าห์มาเดินถึงนี่ ก็ยังมาเดินคุยกัน มันได้แค่ความอดทนแต่อย่างอื่นไม่ได้เลย นับว่าเสียดายโอกาสเพราะว่าเราไม่ได้ถูกบังคับให้มาเดิน เมื่อมาเดินทั้งทีก็ควรใช้โอกาสนี้ฝึกใจของเราให้มีสติ ถ้าใจเรามีสติแล้วก็จะได้ประโยชน์คุ้มค่า แต่ถ้าเดินแล้วคุยกันเรื่องหนัง เรื่องการเมือง มันได้ประโยชน์น้อย แถมยังไปรบกวนคนอื่นที่ต้องการความสงบด้วย แต่ถ้าเดินอย่างมีสติจริงๆ แม้คนรอบข้างจะคุยกัน เราก็ใจสงบได้ อย่างที่พูดเมื่อวานว่า ใจก็สงบได้แม้ว่าคนจะคุยกันเพราะเราไม่เอาเสียงเหล่านี้มาเป็นเครื่องกวนอารมณ์
ถ้าเราเดินไปได้เรื่อยๆ แม้บางคนอาจจะยังฝึกไม่ถึงขั้นที่อาตมาว่า แต่สิ่งหนึ่งที่จะเกิดขึ้นกับเราคือ ทำให้เราเป็นคนสุขง่ายและทุกข์ยาก คนเดี๋ยวนี้มักจะสุขยากแต่ทุกข์ง่าย ทั้งๆ ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อยู่ที่บ้านมีโทรทัศน์ มีโทรศัพท์มือถือ มีพัดลม มีแอร์ มีอาหารอร่อยๆ กิน แต่ว่าทุกข์ อยู่ที่บ้านไม่ได้ รู้สึกกระสับกระส่าย ต้องออกไปเที่ยวห้าง บางคนอยู่ว่างๆ ไม่เป็น ต้องโทรศัพท์หาเพื่อนคุยเป็นชั่วโมงสองชั่วโมง อาการอยู่เฉยไม่ได้นี้เป็นสิ่งบ่งบอกถึงความทุกข์ใจ คนเราถ้ามีความสุขจะนิ่งได้ ถ้าอยู่เฉยไม่ได้แสดงว่าทุกข์ เสาร์อาทิตย์ก็อยู่นิ่งๆ ไม่เป็น ต้องไปเที่ยวห้าง ต้องไปทำโน่นทำนี่ อันนี้เขาเรียกว่าทุกข์ง่าย สุขยาก
แต่เมื่อมาที่นี่ หลายคนบอกว่ามีความสุขง่ายขึ้น เวลาเดินแค่มีลมพัดมาเบาๆ หรือได้พักใต้เงาไม้ก็มีความสุขแล้ว กำลังเหนื่อยๆ ได้กินน้ำ น้ำเปล่า ๆ ไม่ต้องแช่น้ำแข็ง ไม่ต้องเป็นน้ำอัดลมก็มีความสุขแล้ว ถ้าเป็นแต่ก่อนต้องกินน้ำอัดลม ต้องกินไอศกรีมฮาเก้นดาส แต่ว่าที่นี่เพียงแค่ได้กินน้ำเปล่าดับกระหายก็มีความสุขแล้ว ความสุขหาได้ง่ายเพราะไม่ต้องใช้เงินเลย ได้กินน้ำฝน น้ำประปา ไม่ต้องใส่น้ำแข็ง ได้นอนกลางดินก็หลับได้ ไม่จำเป็นต้องนอนบนเตียงในห้องที่หรูหรา หลายๆ คนได้นอนบนเตียงราคาแพงในห้องที่หรูหราก็ยังไม่หลับ แต่มาที่นี่นอนในเต๊นท์กลับหลับได้สบาย ความสุขนั้นหาได้ง่ายมาก สังเกตหรือเปล่าว่า เราไม่มีโทรศัพท์มือถือ เราไม่ได้ดูโทรทัศน์ คืนนี้เป็นคืนที่ ๔ ก็ยังอยู่ได้ ไม่ตาย ไม่มีวีดีโอเกมส์ให้เล่น ไม่มีคอมพิวเตอร์ให้แชทก็ยังอยู่ได้ ขณะที่อยู่ในเมืองถ้าไม่มีอินเตอร์เน็ท ไม่มีโทรศัพท์มือถือจะตายให้ได้ เคยมีการสอบถามคนในเมือง โดยเฉพาะวัยรุ่นว่าอะไรเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิต มากกว่าครึ่งตอบว่าโทรศัพท์มือถือ ไม่รู้ว่ารวมถึงพวกเราด้วยหรือเปล่า แต่เห็นไหมว่าถึงแม้ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์เราก็ยังอยู่ได้และอยู่ได้สบายด้วย
ลองไตร่ตรองดูว่าสิ่งของเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นที่ชีวิตต้องการจริงๆ หรือเปล่า หลายคนบอกว่าโทรศัพท์มือถือเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิต แต่มาอยู่ที่นี่จะรู้เลยว่า ถึงไม่มีมันเราก็อยู่ได้ อยู่ที่นี่ไม่ต้องมีอะไรมาก แค่ได้พักใต้ร่มไม้ก็มีความสุขแล้ว มีข้าวกิน แม้ข้าวไม่อร่อย ก็ยังมีความสุขได้ มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งอายุ ๑๓ ปี เขาอยากเป็นนักแสดง ก็เลยไปสมัครเข้าค่ายละคร พอไปเห็นค่ายก็รู้สึกผิดหวังมาก เพราะมันอยู่กลางทุ่งเป็นค่ายเหมือนที่เรากางเต็นท์แบบนี้ ที่แย่กว่านั้นคือไม่มีสัญญาณโทรศัพท์มือถือ โทรทัศน์ก็ไม่มีให้ดู รู้สึกผิดหวังมากเพราะฝันไว้อีกแบบหนึ่ง แต่พอเข้าค่ายละครได้สี่ห้าวัน ได้แสดงละครได้เข้ากลุ่มพูดคุยกันในเรื่องการกำกับละคร การเขียนบท เธอก็ลืมความทุกข์ไปเลย ถึงวันสุดท้ายเธอบอกว่ามีความสุขมาก แล้วก็ฉุกคิดขึ้นมาว่าวันแรกเธอมีความทุกข์มากเพราะไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ความสะดวกก็ไม่มี ห้องน้ำก็ลำบาก แต่ทำไมพอถึงวันที่ ๕ กลับมีความสุข ทำไมถึงมีความสุข ก็เพราะได้ทำสิ่งที่ชอบ เธอเห็นเลยว่าความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับการมีสิ่งของสิ่งอำนวยความสะดวก ความสุขมันอยู่ที่ใจ อยู่ที่การทำสิ่งดีๆ ที่มีค่าที่น่าภาคภูมิใจ คนเราถ้าเห็นความจริงอย่างนี้จะเป็นคนสุขง่าย ทุกข์ยาก
ทุกข์ยากหมายความว่าเป็นคนที่ไม่ทุกข์ง่ายๆ อยู่ที่นี่ถ้ากินกล้วยใบหนึ่งแล้วรู้สึกอร่อย กินข้าวกับน้ำพริกก็อร่อย อันนี้เรียกว่าสุขง่าย ถ้าสุขง่ายแบบนี้ความทุกข์จะเกิดขึ้นได้ยาก เราอยากจะเป็นไหมคนสุขง่าย ทุกข์ยาก หลายคนบอกว่ามาลำบากทำไม ประการแรกก็เพื่อให้เรารู้ว่าคนเราสามารถมีความสุขโดยไม่มีสิ่งมาอำนวยความสะดวกก็ได้ ของแบบนี้ถ้าไม่ได้ปฏิบัติเองก็ไม่รู้ คิดเอาเองก็ไม่รู้นะ ประการที่สอง ก็เพื่อให้เราหันมาชื่นชมสิ่งที่เรามีอยู่ที่บ้าน หลายคนตอนอยู่บ้านมักมีเรื่องบ่นอยู่เรื่อย อาหารทานไม่อร่อย ที่นอนก็ไม่ค่อยดี ห้องนอนเล็ก ห้องน้ำไม่หรู แต่มาพออยู่อย่างนี้หลายคนจะคิดถึงบ้านและได้รู้ว่าบ้านนั้นคือสวรรค์ ถ้าไม่มาลำบากอย่างนี้ก็ไม่รู้นะว่าสิ่งที่เราเคยมี หรือกำลังมีอยู่นั้นมีค่ามากเพียงใด
คนเราถ้าไม่เคยพลัดพรากจากสิ่งที่เคยมีจะไม่เห็นคุณค่าของสิ่งนั้น คนที่มีมือมีเท้าจะไม่รู้สึกเลยว่ามือเท้านั้นสำคัญเพียงใด จนกว่ามือหรือเท้าจะมีอันเป็นไป เช่น พิการหรือยกแขนไม่ขึ้น เคยเป็นไหมยกแขนไม่ขึ้น แล้วจะรู้เลยว่าการมีมือปกติที่เคลื่อนไหวไปมาปกตินั้นเป็นความสุขอย่างหนึ่งที่มีค่ามาก แต่ก่อนเราไม่รู้สึกเลยว่ารองเท้าธรรมดานั้นมีค่าเพียงใด เราอยากได้รองเท้าสวยๆ ราคาแพงๆ ได้อย่างไร ยี่ห้อธรรมดาไม่เอาจะเอายี่ห้อที่แพงกว่านั้น แต่มาอยู่ที่นี่เพียงคุณมีรองเท้าแตะคู่หนึ่งคุณก็มีความสุขแล้ว ไม่เชื่อก็ลองถอดรองเท้าดู รองเท้าแตะราคา ๑๐ บาท ๑๕ บาทก็ทำให้มีความสุขได้
คนเราถ้าไม่ขาด ไม่สูญเสีย หรือไม่พลัดพรากห่างไกลจากสิ่งที่เคยมีเราจะไม่รู้เลยว่าสิ่งนั้นมีคุณค่า ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของหรือบุคคล คนที่มีพ่อแม่จะค่อยไม่รู้สึกเลยว่าการที่ได้อยู่กับพ่อแม่ หรือพ่อแม่ยังอยู่กับเรานั้นมีความหมายเพียงใด พอไกลจากท่านหรือท่านเสียชีวิตไปจึงค่อยได้คิดว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่เรามีความสุขที่สุดในชีวิต แต่ตอนนั้นไม่รู้สึกนะว่าเป็นช่วงที่มีความสุขเพราะใจอยากได้อย่างอื่นที่ไม่เคยมี คนเรามักจะแสวงหาสิ่งที่ไม่มี เราคิดว่าถ้าเราได้มันมาเราจะมีความสุข แต่เราลืมมองไปว่าสิ่งที่เรามีอยู่กับตัวตอนนี้ให้ความสุขกับเราแล้ว ไม่ต้องแสวงหาความสุขจากที่ไหนอีก
การที่เรามาลำบากอย่างนี้ อย่างน้อยๆ มันทำให้เราได้เห็นว่าบ้านเอย หอพักเอย เป็นที่ ๆ ให้ความสุขแก่เรา ไม่ต้องดิ้นรนเรียกร้องแสวงหาอะไรมากกว่านี้ก็ได้ เป็นเพราะเราไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่เรามี เราถึงอยากได้โน่นอยากได้นี่ มีโทรศัพท์มือถือแล้ว ก็ไม่พอใจอยากได้รุ่นใหม่ อยากได้รุ่นที่มีลูกเล่นมากกว่านี้ แต่พอโทรศัพท์หายถึงค่อยรู้ว่ามันมีค่า เราอย่ามาคอยให้มันหายหรือสูญเสียมันไปก่อนแล้วค่อยเห็นคุณค่า ต้องรู้จักชื่นชมมันเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ตั้งแต่มันยังอยู่กับเรา
ที่มา สารโกมล มีนาคม - เมษายน ๒๕๕๕

มุมมองเพื่อความเข้าใจในชีวิต

มุมมองเพื่อความเข้าใจในชีวิต
1. เมื่อเด็กกำลังเติบโตเป็นวัยรุ่น มีความต้องการเป็นตัวของตัวเองสูง ผู้ใหญ่ที่ไม่เข้าใจและใจแคบมักจะมองว่าเด็กดื้อ
2. คนเราจิตตกได้เป็นครั้งคราว อาจทำอะไรที่ไม่เหมาะสมได้ การรู้ตัวเองและให้อภัยตัวเอง จึงเป็นสิ่งสำคัญ
3. คนอกหักไม่อาจตัดความโศกเศร้าได้ด้วยเหตุผลเพียงอย่างเดียว เวลาเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเยียวยาความรู้สึกดังกล่าว
4. ให้เคารพแนวคิดของผู้อื่นบ้าง เสมือนหนึ่งเป็นอีกแนวคิดหนึ่งที่ต่างไปจากเราเท่านั้นเอง
5. ตนเองเสียเมื่อไหร่ที่คิดดี คิดชอบเป็นอยู่คนเดียว
6. ทำไปเพราะไม่รู้ ให้อภัยกันได้ รู้แล้วยังทำ คือ ความดื้อ
7. ก่อนที่จะว่ากล่าวถึงนิสัยไม่ดีของลูกนั้น ให้มองตัวพ่อแม่เองก่อนด้วยว่า เรามีส่วนผลักดันให้เขาเป็นเช่นนั้นด้วยหรือเปล่า
8. ความทุกข์ของมนุษย์ 100% เกิดจากการพยายามฝืนความจริงของธรรมชาติ
9. หากต้องอยู่กับคนที่ไม่เกรงใจกันเลย พูดกับเขาให้น้อยลง เล่นกับเขาให้น้อยลง
10. หากอยากได้อะไร ก็ควรเสียอะไรบ้าง
11. ถ้าเราปล่อยให้โลก เร่งตัวเรา ควบคุมตัวเรา จนเราขาดอิสระภาพ เราก็จะทุกข์ ถ้าเราจะเร่งโลก ควบคุมโลกให้โลกนี้เป็นไปตามความต้องการของเรา เราก็ทุกข์เช่นกัน
12. ความฉลาดอาจหลอกคนได้ ความจริงใจต่างหากที่จะชนะใจคน
13. การให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์มากไป ทำให้เราลืมธรรมชาติ ลืมความเป็นจริงได้ง่าย
14. อารมณ์เป็นตัวกำหนดความคิด ความคิดกำหนดพฤติกรรม หากจะเข้าใจพฤติกรรมของคนให้ถูกต้อง จึงต้องอ่านอารมณ์ให้ออก
15. การมองอะไร ว่าดี ว่าเลว ขึ้นกับว่าอารมณ์ของเราขณะนั้นเป็นอย่างไร
16. ทำอะไรก็แล้วแต่ ควรมีหลักการบ้าง แต่ต้องระวังอย่ายึดเป็นกฎเกินไป
17. อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดเป็นคำพื้นๆ ที่ใช้มาเตือนสติเราได้ดีตลอดกาล
18. การพยายามทำอะไรทุกอย่างให้ได้ การสงสัยอะไรทุกเรื่องเป็นความโง่ได้ก็เพราะว่าเรื่องต่างๆ ในโลกนี้มีตั้งหลายเรื่องที่ใช่ว่าเราจะรู้มันได้ง่ายและเรื่องอีกหลายเรื่องก็ไม่จำเป็นที่ต้องตอบให้ได้ด้วย
19. คุณธรรมส่อคุณค่าของมนุษย์มากกว่าความฉลาด
20. อะไรก็ตามแต่แม้ว่ามันจะจริง จะถูกต้อง แต่ถ้าการพูดออกไปนั้น มันไม่มีประโยชน์มีแต่ผลเสีย อย่าพูดดีกว่า
21. การขาดความเกรงใจต่อกัน ทำให้เราทะเลาะกันได้ง่าย การมีความเกรงใจต่อกันที่มากเกินไป ก็ทำให้เราไม่เป็นตัวของตัวเอง
22. ใครที่เขากล้าพูดความจริงกับเราออกมา นั่นก็เพราะเขามีความเชื่อมั่นว่าเราจะยอมรับเขาได้
23. การฝึกวินัยให้กับลูกนั้นแท้ที่จริงแล้วเป็นการฝึกวินัยให้กับพ่อแม่ด้วย
24. หากลูกเป็นคนเฉื่อยชา เราคงต้องช่วยกระตุ้นให้กำลังใจ หากลูกเป็นคนเอาจริงเอาจังเกินไป เราคงต้องช่วยสอนให้ลูกได้ปล่อยวางบ้าง กฎเกณฑ์การเลี้ยงลูกของคนๆ หนึ่ง จึงไม่เหมือนของอีกคนๆหนึ่ง
25. เมื่อคิดจะเสนอความคิดเห็นต่างๆ ที่มองว่าดี ต้องมองถึงความเป็นจริง ความเป็นไปได้ด้วยเสมอ
26. แต่ละคนมีศักยภาพของตัวเองอยู่แล้ว เราจึงควรต้องให้เกียรติต่อกันบ้าง
27. เมื่อเป็นคนก้าวร้าวคนอื่นไม่เป็น ก็มักจะถูกคนอื่นรุกรานได้ง่ายเช่นกัน
28. ถ้าเราเชื่อเรื่องกรรม การตายก็ไม่ใช่วิธีการหนีปัญหาได้ตลอดไป เนื่องจากกรรมนั้นๆ ยังไม่ได้ชดใช้ จนหมดวาระในตัวของมันเอง เกิดชาติหน้า กรรมเก่าก็จะติดตัวต่อไปอยู่ดี
29. การมองปัญหาในแง่มุมต่างกัน ในจุดต่างกันจะทำให้เข้าใจปัญหาได้ต่างกัน
30. เราจะให้อภัยตัวเอง กับผู้อื่นได้นั้น เราต้องเข้าใจในตัวเองและผู้อื่นได้ก่อน
31. การแก้ปัญหาทางบุคลิกภาพต้องอาศัยทั้งความจริงใจและการอดทนเป็นอย่างยิ่ง
32. ความเชื่อมั่นในตนเองเป็นเรื่องที่ดี แต่..ปัจจัยแห่งความสำเร็จนั้นก็หาได้ขึ้นอยู่กับเราคนเดียวไม่
33. เวลาที่พ่อแม่จะสะกิดฝีหนองให้ลูกนั้น พ่อแม่เองก็เจ็บปวดไม่น้อย
34. บางครั้งเราต้องการให้คนอื่นมาเข้าใจเรา มากกว่าที่เราอยากจะเข้าใจตัวเอง นั่นก็เพราะว่า เรายังเป็นมนุษย์ที่ยังมีความอ่อนแออยู่บ้าง
35. เรื่องที่คนเราประทับใจ มักจะลืมเลือนได้ยาก ก็เนื่องจากความประทับใจ ไม่ใช่ความจำนั่นเอง
36. จะมีเราอยู่.....เขาก็เป็นอย่างนั้น
ไม่มีเราอยู่.....เขาก็เป็นอย่างนั้น
37. หากเขาคิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง จริงๆ แล้ว เราเป็นได้แค่เพียงตัวกระตุ้นเท่านั้น
38. ถ้าเราเรียนรู้ธรรมะด้วยเหตุผลเพียงอย่างเดียว เราจะสัมผัส "การรู้" ได้ยากยิ่ง
39. ความสับสนในชีวิดมันเกิด ควรหาที่ยึดเหนี่ยวให้จิตใจได้พักเสียบ้าง
40. เรื่องของชีวิต มันมีจังหวะที่ต้องรอคอยอยู่บ้าง จะเรียกร้องให้มันได้ดั่งใจเสมอไปได้อย่างไร ความจริงใจ หากถูกแปลเป็นแง่ลบแล้ว ใครยังอยากจะกล้าจริงใจให้อีก
41. เพราะความอยาก..มันถึงได้วุ่นวายกันเพียงนี้
42. ไม่ใช่ว่า ห้ามโกรธ แต่ให้รู้ว่าโกรธ ไม่ใช่แสดงความโกรธแต่ให้พูดออกมาว่าโกรธ
43. จิตและอารมณ์เป็นของแท้ ความคิด คือ ตัวปรุง
44. หากเชื่อว่า "การบ่น" จะทำให้ลูกนิสัยดีขึ้นก็น่าจะลองดู ในเมื่อความเป็นจริงนั้น "การบ่น" มักจะยิ่งทำให้ลูกแย่ลงมากกว่าเดิมเสียอีก
45. ใครเขาจะเป็นอย่างไรก็ช่าง มันอยู่ที่..เรารู้สึกอย่างไรด้วยต่างหาก
46. หากพ่อแม่คาดหวัง อยากจะให้ลูกเป็นคนดีนั้น พ่อแม่ต้องช่วยให้ลูกเป็นคนดีด้วย (อย่าเพียงแต่หวัง)
47. พ่อแม่ หากมีความรักลูกมากไปแล้ว ก็ยากที่จะสอนวินัยให้กับลูกได้ดี
48. การเข้าใจคนอื่นได้ เป็นเรื่องที่ดี การเข้าใจตนเองได้ยิ่งเป็นเรื่องที่ดี เรื่องที่แย่ และก่อให้เกิดทุกข์ได้มากก็ คือรู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจเราเลย
49. กังวล เกินกว่าเหตุ..เชื่อมั่น มากเกินไป..ล้วนเป็นสิ่งที่เราต้องรู้จักตนเองอยู่เสมอ
50. การเร่งแก้ปัญหา โดยรีบคิดให้ตกทันที จะยิ่งสร้างปัญหาทางอารมณ์ได้มากยิ่งขึ้น
ที่มา http://www.dhammajak.net

เครียดที่พ่อแม่ไม่มีเหตุผล..เป็นโรคกระเพาะ!!

เรื่องที่ไม่ควรใช้เหตุผล....
@ เครียดที่พ่อแม่ไม่มีเหตุผล..เป็นโรคกระเพาะ!!
วันนี้ มีคนไข้หญิงอายุ 30ปีเศษ มารักษา คุณพ่ออายุ60กว่า มาส่ง..
พ่อเคยทำงานที่องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นในเชียงใหม่
หลังเกษียณแล้วก็มาอยู่บ้านที่สารภี มีลูกสาวคนเดียวคือคนไข้ ซึ่งได้งานที่เดียวกับคุณพ่อ
โชคร้ายที่บุตรสาวป่วยด้วยโรคเบาหวานและต่อมาไตวาย ต้องฟอกไต ตั้งแต่อายุน้อยๆ...
ทุกวันนี้ ฟอกไต2ครั้งต่อสัปดาห์ แต่ ปัญหาค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาล ไม่มีเพราะหน่วยงานต้นสังกัดดูแลเป็นอย่างดี..
จากสีหน้าท่าทางที่มาวันนี้ พร้อมกับอาการปวดจุกแน่นท้อง อันเป็นอาการที่พาผู้ป่วยไปรักษายังสถานบริการต่างๆมากแห่ง นานนับ5ปี ทั้ง คลินิก ร.พ. ชุมชน(รวมสารภีด้วย). รพ. จังหวัดและ รพ. มหาวิทยาลัย ได้รับการตรวจพิเศษทั้งการส่องกล้อง อัลตร้าซาวน์และเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ แต่ก็ไม่พบพยาธิสภาพร้ายแรงใดๆ
สอบถามความเป็นอยู่ก็ทราบว่า ครอบครัวอยู่กัน3คนพ่อแม่และลูก อาจจะด้วยความเป็นลูกสาวคนเดียวทั้งพ่อและแม่จึงดูแลเอาใจใส่ ถามไถ่ และอาจจ้ำจี้จ้ำไช จู้จี้จุกจิกกับลูก ยิ่งช่วงเป็นเบาหวานและมีไตวายด้วย ...ผลจึงนำพาให้คนไข้เครียด ..ด้วยคำพูดว่า" เครียดลึกซึ้งจนอธิบายคุณหมอไม่ได้..."
คุณพ่อที่นั่งฟังข้างๆ ฟังการสนทนาไป แลดูเห็นแกยิ้มๆ ถามว่ามีอะไรจะให้หมอช่วยไหม คุณพ่อพูดไม่ออก ... พอดีลูกสาวขออนุญาตไปล้วงคออาเจียนก่อนในห้องน้ำ เลยได้โอกาสสอบถามพ่อว่าเป็นอย่างไร มีหนี้สินอะไรไหม คุณพ่อบอกว่า"ไม่มีหนี้ครับ ปัญหาหยิบย่อยครับหมอ...เฮ่อ กู้คนต่างก็เอาตัวเก่าเป็นที่ตั้ง " ลูกก่อย่อย แม่ก่อย่อย เป๋นกั๋นหมดครับ"(ทุกคนเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ลูกก็เรื่องมาก แม่ก็เรื่องมาก เป็นกันหมด)...
จังหวะที่ลูกกลับเข้ามาพอดี เลยสอบถามว่า แม่จุกจิกอะไร แกบอกว่าแม่ไม่มีเหตุผล อยากว่าอะไรก็ว่า อยากทำอะไรก็ทำ ไม่ฟังใคร แม้เรื่องที่ไม่ควรว่าก็ว่า ...(สีหน้าเริ่มเครียด ทำท่าผะอืดผะอมจะอาเจียนอีกรอบ) เลยรีบให้ไปห้องฉุกเฉินเพื่อ ให้ยาแก้ท้องอืดและอาเจียนก่อนที่แกจะเป็นมากขึ้น..ก่อนรับใบสั่งยาก็บอกไปเผินๆว่า.... หลายครั้งที่คนเป็นพ่อเป็นแม่จะให้อะไรสักอย่างกับลูก ก็ไม่เคยมีเหตุผล เช่นไปงานวัด เห็นของเล่นก็ซื้อมาเลย ทั้งๆที่ลูกก็ไม่เคยขอ หลายคราวที่พ่อแม่สังเกตว่าเราชอบทานอะไร พอรู้ว่าวันนี้ลูกจะกลับบ้าน ท่านก็ทำไว้รอ ทั้งๆที่บางครั้งลูกก็ห้ามแล้วว่าจะซื้อมาทานเอง หลายคนที่ทำผิดในสิ่งที่คนในสังคมยากจะให้อภัยเช่นเสพยาเสพติดหรือฆ่าคนตาย พ่อแม่เท่านั้นที่ยังเหลือความรักความเมตตาอยู่ในก้นบึ้งลึกๆของใจ และตรงข้าม สิ่งที่พ่อแม่ห้ามเช่น อย่ากลับค่ำนะ แม่เป็นห่วง เราก็ไม่เคยใช้ความเป็นห่วงของท่านเป็นเหตุผลบอกเพื่อนที่ไปด้วยกันว่าต้องกลับแล้ว พ่อแม่สั่งไว้...เป็นเบาหวานแต่อายุน้อย คงทานอะไรหวานๆประจำ คุมน้ำตาลไม่ได้ ไขมันสูง ตาไตเท้า เสียหายก่อนเวลาอันควร แถมเป็นลูกคนเดียว. ท่านคงหวังพึ่งพาตอนแก่ชราด้วย..คงไม่มีพ่อแม่คนไหนที่จะเพิกเฉย ไม่ดูแลเอาใจใส่ลูกของท่าน....ถ้าเข้าใจท่าน เราก็ควรลดการใช้เหตุผลและข้ออ้างของเราต่อท่านนะ ลองใช้ความรู้สึกรักท่าน เข้าใจท่าน รับรู้ถึงพลังแห่งรักและเมตตาของท่าน นอกจากจะทำให้ท่านสบายใจ เราก็คงจะไม่ขัดแย้งในใจ จนเจ็บป่วยไม่สบาย ด้วยอาการที่หมอเรียกว่า โรคทางกายที่มีสาเหตุมาจากทางใจหรอกนะ(Psychosomatic Disorder)"...
พ่อรับใบสั่งยา รีบไปเอายาอย่างเป็นห่วงลูกของตนเอง ในขณะที่คนไข้นั่งรถเข็นไปพร้อมกับพนักงานเปลไปรอฉีดยาที่ห้องฉีดยา...
มีสิ่งที่นอกเหตุเหนือผลอยู่หลายอย่าง ในจำนวนสิ่งเหล่านั้นมีสิ่งหนึ่งที่กำกับใจของมนุษย์เสมอและเป็นความดีที่พึงน้อมรับไว้เสมอๆ สิ่งนั้นเป็นคุณธรรมที่หาได้ยากในเหล่าปุถุชนที่มีต่อกัน แต่มีในใจของพ่อแม่ที่มีต่อลูกเสมอ สิ่งนั้นเรียกว่า ความรักความเมตตา และถ้าปรากฎอยู่ในใจของลูก เรียกว่าความรักความกตัญญู ทั้งสองคุณธรรม จะไม่ต้องอาศัยเหตุผลมาอธิบายในวิถีการให้ทุกๆอย่างแก่กันและกัน ไม่ว่าจะแพงไป ให้มากไป ให้บ่อยไป ก็ไม่ปรากฎ ...ถ้าพ่อแม่คิดจะให้ลูกหรือถ้าลูกคิดจะตอบแทนพระคุณพ่อแม่...
ครอบครัวใด ดำรงชีวิตร่วมกันด้วยการใช้เหตุผลใส่กันอย่างเดียว คงอยู่ยาก เพราะมิติของครอบครัวเป็นมิติแห่งความรักความเมตตาอันอยู่นอกเหตุ เหนือผล. อันจะนำไปสู่การให้อภัยต่อกันได้ง่ายๆ นั่นเอง..
ข้อคิดวันนี้คือ ลองมาฝึกการใช้ความรู้สึกรักเมตตา กตัญญูรู้คุณให้อยู่นอกเหตุเหนือผลกันให้มากกันเถอะ...(เหตุผลก็ควรใช้บ้าง หลายครั้งก็จำเป็น แต่ควรรับรู้ รู้สึกในมิติใจกันมากๆ)

ฝึกนอนละลายความเครียดกัน

ฝึกนอนละลายความเครียดกัน
ความเครียดท่านกล่าวว่า เกิดมาจากความตื่นตัวของจิตต่อสถานการณ์ที่ไม่มีความพร้อม เช่น จะสอบแล้วหนังสือยังไม่ได้อ่านเลย ความเครียดแบบนี้จะผ่อนคลายลงเมื่อสอบเสร็จแล้ว
ความเครียดที่รุนแรงจะเป็นความเครียดที่มาจากการยึดถือ โดยไม่รู้จักผ่อนคลายและปล่อยวาง ต้องฝึกบอกตนเองบ่อยๆ เป็นประจำในกิจที่ต้องทำ และเมื่อหมดเวลาแห่งการงานถึงเวลาพัก ถึงเวลากลับบ้าน วางการงานนั้นไว้ ในที่ทำงานซะ ไม่หอบงานกลับมาเพิ่มปัญหาในบ้านที่มีอยู่ให้เพิ่มมากขึ้นไปอีก
อาหารมื้อเย็นไม่ควรเป็นอาหารหนักจำพวกเนื้อ ซึ่งจะทำให้ร่างกายทำงานหนักในการย่อย และการทำงานของร่างกายในขณะที่เราหลับจะลดความเข้มข้นลง จึงควรรับประทานอาหารเบาๆ และย่อยง่าย จำพวกผักผลไม้ ดื่มน้ำหน่อย
ก่อนนอนไม่ควรดื่มน้ำมาก เพราะจะทำให้ต้องลุกมาเข้าห้องน้ำ
เมื่อถึงเวลานอนฝึกสั่งตนเองให้วางทุกอย่างที่มีอยู่ในใจให้หมด และนอนในท่าที่สบายที่สุดสำหรับตนเอง แล้วบอกกล้ามเนื้อร่างกายให้ผ่อนคลาย โดยทำความรู้สึกตั้งแต่ศีรษะไล่ลงไปตามลำดับถึงปลายมือและไล่ลงไปจนถึงปลายเท้า และไล่จากปลาเท้าปลายมือย้อนกลับมาตามลำดับถึงศีรษะ บอกผ่อนคลายๆ ๆ แล้วหายใจยาวๆ จนหลับไป
ที่มา คุณไฉน

การใช้เทคนิคความเงียบจัดการความเครียด

 การใช้เทคนิคความเงียบจัดการความเครียด
การจะสยบความวุ่นวายของจิตใจที่ได้ผล คงต้องอาศัยความเงียบเข้าช่วย โดยมีวิธีการดังนี้
- เลือกสถานที่ที่สงบเงียบ มีความเป็นส่วนตัว และควรบอกผู้ใกล้ชิดว่าอย่าเพิ่งรบกวนสัก 15 นาที
- เลือกเวลาที่เหมาะสม เช่น หลังตื่นนอน เวลาพักกลางวัน ก่อนเข้านอน ฯลฯ
-นั่งหรือนอนในท่าที่สบาย ถ้านั่งควรเลือกเก้าอี้ที่มีพนักพิงศีรษะอย่าไขว่ห้างหรือกอดอก
- หลับตา เพื่อตัดสิ่งรบกวนจากภายนอก
- หายใจเข้าออกช้าๆ ลึกๆ
- ทำใจให้เป็นสมาธิ โดยท่องคาถาบทสั้นๆ ซ้ำไปซ้ำมา เช่น พุทโธ พุทโธ หรือจะสวดมนต์บทยาวๆ ต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ เช่น สวดพระคาถาชินบัญชร 3-5 จบ เป็นต้น
ฝึกครั้งละ 10-15 นาที ทุกวัน วันละ 2 ครั้ง แรกๆ ให้เอานาฬิกามาวางตรงหน้า และลืมตาดูเวลาเป็นระยะๆ เมื่อฝึกบ่อยเข้าจะกะเวลาได้อย่างแม่นยำ ไม่ควรใช้นาฬิกาปลุก เพราะเสียงจากนาฬิกาจะทำให้ตกใจเสียสมาธิ และรู้สึกหงุดหงิดแทนที่จะสงบ
(ที่มา. เภสัชมหิดล)

วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2557

11 พฤติกรรมที่ทำให้คนเก่งต้องล้มเหลว

11 พฤติกรรมที่ทำให้คนเก่งต้องล้มเหลว

1) ผู้บริหารผู้เย่อหยิ่ง = คุณเท่านั้นที่เป็นฝ่ายถูกแต่มองคนอื่นผิดหมด
2) ผู้บริหารเจ้าบทบาท = คุณมักจะทำตัวให้เป็นจุดสนใจเสมอ
3) ผู้บริหารเจ้าอารมณ์ = อารมณ์ของคุณนั้นเปลียนแปลงอย่างรวดเร็ว และเอาแน่อะไรไม่ได้
4) ผู้บริหารผู้รอบคอบจนเกินเหตุ = การตัดสินใจที่กำลังจะมาถึงอาจเป็นการตัดสินใจครั้งแรกของคุณ
5) ผู้บริหารผู้ไม่ไว้ใจใคร = คุณมองแต่ในแง่ลบเท่านั้น
6) ผู้บริหารผู้ตัดขาดจากโลก = คุณไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร และตัดขาดจากผู้อื่น
7) ผู้บริหารผู้ชอบออกนอกกฎ = คุณรู้ดีว่ากฎมีไว้เพื่อแนะนำเท่านั้น
8) ผู้บริหารผู้ชอบทำตัวไม่เหมือนใคร = คุณรู้สึกสนุกทร่จะทำอะไรไม่เหมือนผู้อื่น
9) ผู้บริหารผู้ต่อต้านด้วยความเงียบ = ความเงียบของคุณมักจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นการมองเห็นด้วย
10) ผู้บริหารจอมสมบูรณ์แบบ = คุณจัดการเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เสียจนไม่มีที่ติด แต่กลับพลาดในเรื่องใหญ่ๆ
11) ผู้บริหารนักเอาอกเอาใจ = คุณต้องการชนะใจคนทั้งโลก

การกินล้างกินผลาญในงานเลี้ยง

สิ่งหนึ่งที่พ่อรู้สึกทุกครั้งหลังมีงานเลี้ยงคือ เราฟุ่มเฟือยกินล้างกินผลาญกันมาก ทุกอย่างถูกจัดหามาอย่างล้นเหลือ เหลือดีกว่าขาด เรามักคิดกันเช่นนั้น ถ้าขาด ไม่มากพอ หรือ ไม่ดีพอ เราจะรู้สึกว่ากลัวเสียหน้า กลัวถูกมองว่า ใจไม่ถึง ขี้เหนียว กลัวถูกตำหนิว่า ไม่มีรสนิยม เราจึงต้องสรรหาสิ่งที่ดีเข้าไว้ ให้มากเข้าไว้ ทั้งๆที่ในความเป็นจริง การบริโภคอย่างล้นเกิน ไม่ได้มีผลดีทั้งต่อตนเองและต่อโลกใบนี้ พ่อเป็นคนหนึ่งที่ไม่สามารถจัดการกับความขัดแย้งนี้ได้อย่างหมดจด ลูกจะเห็นว่า ยามอยู่ที่บ้าน พ่อกินข้าวกับผักปลาไม่กี่คำ หรือไม่ก็ข้าวผัดจานเดียวก็อิ่มแล้ว แต่เวลามีงานหรือเลี้ยงแขก มักจะมีความล้นเกินเสมอ

พ่อพูดกับลูกบ่อยๆ เรื่องอย่ากินทิ้งกินขว้าง เรื่องความรู้สึกผิดบาปที่ไม่สามารถเฉลี่ยความล้นเกิน กับความขาดแคลนได้ดีมากเท่าที่มันควรจะเป็น พ่อย้ำเสมอเรื่องเรามีกินอิ่มหนำ เหลือทิ้งเหลือขว้างเน่าเสีย แต่ในเวลาเดียวกัน คนจำนวนมาก ขาดแคลนโดยที่ไม่มีใครแบ่งปัน

สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ

หลักการทำให้จิตใจเบิกบาน เพื่องานเป็นสุข 5 ประการ

#หลักการทำให้จิตใจเบิกบาน เพื่องานเป็นสุข 5 ประการ #
โดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี

1.การมีหัวใจเพื่อเพื่อนมนุษย์

เวลาทำงานอะไรต้องเอาใจนำไม่ใช่ความรู้นำ หากนำความรู้นำจะทำให้เครียด เกิดความกลัวว่าตนเองมีความรู้ไม่เพียงพอ แต่หากใจนำแล้ว เมื่อมีใจเข้าทำงานก็จะทำให้มีความสุข

2.เมื่อทำงานอย่างมีความสุขแล้วจะเกิดฉันทะ

วิริยะอย่างแรงกล้า เวลาตั้งใจทำอะไรแล้วมีความเพียรพยายาม ก็จะหมดความเกลียดความกลัวโดยสิ้นเชิง

3.ใช้แนวคิดรวมตัว ร่วมคิด ร่วมทำ

หมายถึง จะทำอะไรก็ได้ที่กลุ่มสนใจ การทำงานเป็นกลุ่มจะช่วยลดความเห็นแก่ตัว ทำให้มีความมีตัวตนหายไป โลกที่เกิดในอนาคตคือโลกที่เกิดเป็นชุมชนเป็นเครือข่าย

4.เมื่อจะทำงานให้ทำอย่างมีความประณีต

ทำให้มีคุณภาพ งานก็จะกลายเป็นความงดงาม ทำนุบำรุงจิตใจ โดยเฉพาะทางการแพทย์ หากทำงานด้วยใจเบิกบานมีความอยากช่วยให้เพื่อนมนุษย์ดีขึ้น

5.การทำงานทุกอย่างเป็นการเรียนรู้

การถือทุกอย่างเป็นการเรียนรู้ ไม่ถือว่าเป็นความการล้มเหลว ให้ถือว่าเป็นการเจอของใหม่ที่ไม่รู้จักมาก่อน ตัวคนทุกคนมีศัตรูร้ายอยู่ 3 ตัวคือ ตัณหา-ความอยากได้, มานะ-ความอดทน การใช้อำนาจเหนือผู้อื่น และทิฐิ-ความถือตัว ใช้ความคิดตัวเองเป็นใหญ่

ขอขอบคุณข้อมูลจากwww.blog.eduzones.com/rangsit/21090

มหัศจรรย์แห่งมะนาว

"มหัศจรรย์แห่งมะนาว "

กุ๊กมืออาชีพในภัตตาคารหลายแห่ง ใช้มะนาวได้ทั้งลูก โดยไม่มีสิ่งใด


ง่ายมาก...ใส่มะนาวที่ล้างให้สะอาดแล้ว ไว้ในช่องแช่แข็ง พอมะนาวแข็งตัว
ได้ที่แล้ว ขูดมะนาวทั้งลูกเพื่อเอาไว้ใช้โรยหน้าบนอาหาร –
ไม่จำเป็นต้อง

โรยมะนาวที่ขูดแล้ว บนสลัด บนไอซครีม ในซุป ในซีเรียล ในก๋วยเตี๋ยว
บนข้าว บนซูชิ ฯลฯ แล้วอาหารเหล่านั้น จะมีรสชาดดีอย่างคาดไม่ถึง

ส่วนใหญ่ เราจะนึกถึงมะนาว ในแง่ของวิตามินซี แต่ มันยังมีอย่างอื่นอีก


อะไรคือข้อดีของการใช้มะนาวทั้งลูก?
เปลือกมะนาวที่เราทิ้งไป มีวิตามิน มากกว่าน้ำมะนาว ในระดับ 5-10 เท่า
เปลือกมะนาว ยังมีคุณสมบัติในการช่วยล้างพิษ ออกจากร่างกายด้วย


น่าประหลาดที่ มะนาวยังสามารถช่วยฆ่าเซลล์มะเร็งได้ด้วย มันมีประสิทธิภาพดีกว่า
การทำคีโม ถึง 10,000


รู้ได้ไง?
ที่รู้ก็เพราะ มี ห้องวิจัยหลายแห่ง กำลังทำสารสังเคราะห์
ที่ไกล้เคียงสารที่ได้จากมะนาว อย ซึ่งสารเหล่านี้จะทำเงินได้อย่างมหาศาล


น้ำมะนาว มีประโยชน์ ในการป้องกันโรค แถมยังมีรสชาดดี และ
ไม่มีผลข้างเคียงที่เลวร้าย อย่างการทำคีโม
มีคนต้องตายไปแล้วกี่คน เพราะ ความลับนี้ถูกปกปิดเอาไว้
โดยบริษัทฯใหญ่ๆ

มะนาวได้รับการกล่าวขวัญถึง ในหลายด้าน แต่ ประสิทธิภาพที่น่าสนใจ
ที่สุดของมัน คือ ผลที่มันมีต่อ ซีสต์ (ถุงน้ำ หรือก้อนตุ่มไตที่ผิดปกติ) และ เนื้อร้ายต่างๆ

มันได้รับการพิสูจน์แล้ว ว่า มีผลในทางรักษามะเร็งทุกชนิด บางคนกล่าวว่า
มันมีผลต่อมะเร็งทุกสายพันธุ์ มันยังมีผลในการต่อต้านการอักเสบจากเชื้อรา แบคทีเรีย พยาธิ และ หนอนด้วย
นอกจากนั้นมันยัง ในการรักษาระดับความดันเลือดไม่ให้สูงเกินไป
ช่วยรักษาอาการซึมเศร้า

น่าทึ่งมากที่ ที่มาของข้อมูลเหล่านี้ ได้มาจากบริษัทยายักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง
ที่กล่าวว่า หลังจากการทดสอบในห้องทดลองกว่า 20 แห่งตั้งแต่ปี 1970
พบว่า มะนาวสามารถทำลาย เซลล์อันตรายของมะเร็ง 12 ชนิด รวมทั้งมะเร็งลำไส้
เต้านม ลูกอันฑะ ปอด และ

ส่วนต่างๆของพืชชนิดนี้ ให้ผลดีกว่ายา Adriamycin (ที่ใช้ในขบวนการดีโม)
ถึง 10,000 เท่า ในการชลอ การขยายตัวของเซลล์มะเร็ง

และ ที่น่าทึ่งกว่านั้นคือ การรักษาด้วยผลิตภัณฑ์ที่สกัดจากมะนาว ทำลายเฉพาะเนื้อร้าย
ของเซลล์มะเร็ง โดยไม่มีผลเสียกับเซลล์ที่ดี

ดังนั้น ในการใช้มะนาว ควรล้างให้ดี แช่เย็นไว้ แล้วใช้เครื่องขูด ขูดมันออกมาโรยบนอาหาร
จะทำให้ร่างกายของคุณ รักคุณเพิ่มขึ้นอีก

.....................................................................................
ให้ความรักและห่วงใยเพื่อนร่วมโลกด้วยการส่งต่อนะครับ....
ขอบคุณครับ

มีชีวิตอย่างผู้ที่รู้ตื่น

มีชีวิตอย่างผู้ที่รู้ตื่น
มีความชื่นบานในหัวใจยิ่ง
มีความรักเผื่อแผ่ไปจากใจจริง
มีทุกสิ่งจากใจที่ให้พอ

มีศรัทธาชีวิตด้วยจิตพ้น
มีความสุขที่ล้นหลั่งเพราะยั้งขอ
มีปัญญาตรองดูรู้จักพอ
มีสติถักทอใจให้มั่นคง

มองรอบตัวให้รู้อยู่ทุกสิ่ง
ว่าเป็นจริงหรือหลอกตัวให้มัวหลง
รู้ด้วยจิตด้วยความคิดอันมั่นคง
รู้ดำรงชีวิตจิตเบิกบาน

แม้พบพานมารให้ใจหมองเศร้า
ครอบงำเราหาได้มิดด้วยจิตหาญ
รู้ชีวิต รู้ตื่น รู้เบิกบาน
จิตตระการเพราะเท่าทันด้วยปัญญา

แต่งโดย ผู้ใช้นามปากกาว่า "ครูนาย"

ทำฟรีเซนเตชั่นให้น่าสนใจ โดย ทฤษฎีเลข 3

>ทำ Presentation ให้น่าสนใจได้ง่ายๆ โดยใช้ทฤษฎีเลข 3 “The Rule of Three”
Published by PresentationX

ทฤษฎีเลข 3 เป็นทฤษฎีพื้นฐานที่สามารถใช้กับศาสตร์ได้หลากหลายแขนงไม่ว่าจะเป็นการพูด การเขียน และดนตรี หรือจะนำมาใช้เป็นไอเดีย แนวความคิดในการนำเสนอ Presentation เพื่อให้เกิดความเพลิดเพลินกับผู้ฟังและความน่าสนใจก็ได้เช่นกัน

● การใช้ทฤษฎีเลข 3 ในการเอ่ยถึงประเด็นต่างๆ

ให้แบ่งประเด็นที่จะนำเสนอ ออกเป็น 3 ส่วน เช่น ลองคิดว่า อะไรคือประโยชน์ของการบริการ? อะไรคือสิ่งสำคัญที่คุณต้องการให้ผู้ฟังจดจำมัน? ผู้ฟังส่วนใหญ่มักจะไม่อยากจดจำประเด็นที่มีมากถึง 5-6 ประเด็น ฉะนั้น 3 ประเด็น หรือ 3 keyword เพียงพอแล้วที่ผู้ฟังจะจดจำ

Steve Jobs เป็นบุคคลที่นิยมใช้ทฤษฎีเลข 3 ใน Presentation ของเขาเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นในปี 2011 เขาได้ทำการอธิบายการทำงานของ Ipad 2 ว่า

“เบา บาง และเร็วกว่า”

ซึ่งคำทั้ง 3 คำนี้เป็นประเด็นที่ทรงพลังมาก เพราะเขาพูดทุกอย่างที่ผู้ฟังอยากฟังในแบบสั้นๆ กระชับ แต่ได้ใจความ ซึ่งมันสามารถดึงดูดความสนใจของผู้ชมได้มากกว่าการพูดว่า “นี่คือ 20 วิธีที่ Ipad2 แตกต่างจากแบบเดิมอย่างไร” ได้อย่างแน่นอน

● นำมาใช้อธิบายการสอน

ถ้าคุณจะต้องเป็นผู้นำเสนอการสอน ให้ลองแบ่งการสอนออกเป็น 3 ขั้นตอน ยกตัวอย่างเช่น กระบวนการ 3 ขั้นตอน สำหรับการรักษาความปลอดภัยบนเครื่องบิน “แสดงบัตรประชาชนและ Boarding Pass / นำของเหลวออก และถอดรองเท้า,เสื้อแจ๊กเก๊ตออก” ขั้นตอนนี้จะทำให้ง่ายต่อการจดจำ และยังสามารถนำไปใช้ในการนำเสนอการสอนได้ดีมากขึ้น

รวมทั้งเทคนิคการสอนอีกแบบหนึ่ง ตามทฤษฎีเลข 3 โดยการบอกให้ผู้ชมรับรู้ว่า

“คุณกำลังจะพูดเรื่องอะไร / อธิบายออกมา / หลังจากนั้นถามเขาอีกรอบว่าคุยพูดเรื่องอะไรไปแล้วบ้าง” เป็นต้น

● นำมาใช้การเล่าเรื่อง

เรื่องเล่าดีๆ หลายเรื่อง แม้ว่าจะเป็นเรื่องตลกต่างๆนั้น ต่างก็มีโครงสร้างของทฤษฎีเลข 3 ทั้งนั้น ลองดูเรื่องอย่างนิทานเรื่องลูกหมู 3 ตัว หรือ เรื่อง 3 ทหารเสือ ซึ่งต่างมีลำดับการเล่าเรื่อง ที่ประกอบไปด้วย

“จุดเริ่มต้น
กลางเรื่อง
และตอนจบ”

ลองนำโครงสร้างนี้ไปใช้ในการนำเสนอ เพื่อแนะนำหัวข้อ อธิบายปัญหา และสุดท้ายเผยให้เห็นถึงสิ่งที่ต้องการให้ผู้ชมรับรู้

●● Tips แต่ทำไมเราต้องใช้การเล่าเรื่องล่ะ?

“นักประสาทวิทยากล่าวไว้ว่า สมองของคนเราจะจดจำเรื่องเล่ามากกว่าไอเดียที่เป็นนามธรรม ฉะนั้นนิทานหรือเรื่องราวเล็กน้อยๆ จะสามารถทำให้คนจดจำได้มากกว่าสไลด์ที่อัดแน่นไปด้วยข้อความเชิงวิเคราะห์ต่างๆ”

เรามาดูตัวอย่างการใช้ทฤษฎีเลข 3 จากสิ่งที่คุ้นเคยรอบๆตัวเรา เช่น

“จน เครียด กินเหล้า” จากแคมเปญเลิกเหล้าของ สสส. หรือว่าจะเป็น

“ใจดี สปอร์ต กทม.” จากข่าวดัง เงียบ..สงสัยไม่ช๊อต ซึ่งทำให้คนส่วนใหญ่ สามารถจดจำและสนใจมาจนถึงปัจจุบัน

♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡

สูตรแห่งความสุข... ตำราชีวิตประจำวัน โดย สุทธิชัย หยุ่น

สูตรแห่งความสุข...
ตำราชีวิตประจำวัน โดย สุทธิชัย หยุ่น

สูตรที่ว่านี้มีง่าย ๆ ดังนี้

๑. ดื่มน้ำให้มาก

๒. กินอาหารเช้าเหมือนราชา
รับประทานอาหารเที่ยงเหมือนเจ้าชาย
และเมื่อถึงอาหารเย็นให้วาดภาพว่าตัวเองเป็นแค่ขอทาน
(แปลว่ากินมือหนักที่สุดตอนเช้า, กลาง ๆ ตอนเที่ยง
และตกเย็นแล้ว, ทำตัวเป็นยาจก,ไม่มีอะไรจะกิน...
สุขภาพจะเป็นอย่างเทวดาทีเดียวเชียวแหละ)

๓. กินอาหารที่โตบนต้นและบนดิน
พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่ผลิตจากโรงงาน

๔. ใช้ชีวิตบนหลักการ 3 E...นั่นคือ
energy หรือพลังงาน,
enthusiasm หรือกระตือตือร้น
และempathy คือเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มาก ๆ

๕. หาเวลาทำสมาธิหรือสวดมนต์เสมอ

๖. เล่นเกมสนุก ๆ เสียบ้าง, อย่าเครียดกันนักเลย

๗. อ่านหนังสือให้มากขึ้น...ตั้งเป้าว่าปีนี้จะอ่านมากกว่าปีที่ผ่านมา

๘. นั่งเงียบ ๆ อยู่กับตัวเองสักวันละ 10 นาทีให้ได้

๙. นอนวันละ 7 ชั่วโมง

๑๐. เดินสักวันละ 10 ถึง 30 นาที
แล้วแต่จะสะดวก ไม่ต้องเครียดกับมัน
วันไหนไม่ได้เดินก็อย่าหงุดหงิดกับมัน

๑๑. ระหว่างเดิน อย่าลืมยิ้ม
นั่นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสุขภาพกายและใจ
ที่ผสมปนเปกันได้เสมอ
หากทำเป็นกิจวัตร ชีวิตก็จะแจ่มใส
แต่อย่าทำให้ตัวเองเครียดด้วยการรู้สึกผิด
ถ้าหากวันไหนทำไม่ได้ตามที่วางกำหนดเวลาของตนเอาไว้
วันนี้ทำไม่ได้, พรุ่งนี้ทำก็ได้
แต่การไม่เอาจริงเอาจังกับตัวเองเกินไป
ไม่ได้หมายถึงการผัดวันประกันพรุ่ง
ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน

สูตรเกี่ยวกับบุคลิกของตัวเอง
ที่ควรไปจะคู่กับสูตรสุขภาพมีดังนี้

๑. อย่าเปรียบเทียบชีวิตของตัวเองกับคนอื่น
คุณไม่รู้หรอกว่าคนที่คุณอิจฉานั้น
เขามีความทุกข์ยิ่งกว่าคุณอย่างไรบ้าง

๒. อย่าคิดทางลบเกี่ยวกับเรื่องที่คุณควบคุม
หรือกำหนดไม่ได้ แทนที่จะมองโลกในแง่ร้าย
ก็ทุ่มเทกำลังและพลังงานให้กับความคิดทางบวก
ณ ปัจจุบันเสีย

๓. อย่าทำอะไรเกินกว่าที่ตัวเองทำได้...
รู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ที่ไหน

๔. อย่าเอาจริงเอาจังกับตัวเองนัก
เพราะคนอื่นเขาไม่ได้ซีเรียสกับคุณเท่าไหร่หรอก

๕. อย่าเสียเวลาและพลังงานอันมีค่าของคุณ
กับเรื่องหยุมหยิมหรือเรื่องซุบซิบ...
นอกเสียจากว่ามันจะทำให้คุณผ่อนคลายได้อย่างจริงจัง

๖. จงฝันตอนตื่นมากกว่าตอนหลับ

๗. ความรู้สึกอิจฉาริษยาเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่าๆ ปลี้ๆ
คิดให้ดีก็จะรู้ว่าคุณมีทุกอย่างที่คุณจำเป็นต้องมีแล้ว

๘. ลืมเรื่องขัดแย้งในอดีตเสีย
และอย่าได้เตือนสามีหรือภรรยาคุณ
เกี่ยวกับความผิดพลาดในอดีตของอีกฝ่ายหนึ่งเลย
เพราะมันจะทำลายความสุขปัจจุบันของคุณ

๙. ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าที่เราจะไปโกรธเกลียดใคร
จงอย่าเกลียดคนอื่น

๑๐. ประกาศสงบศึกกับอดีตให้สิ้น
จะได้ไม่ทำลายปัจจุบันของคุณ

๑๑. ไม่มีใครกำหนดความสุขของคุณได้
นอกจากคุณเอง

๑๒. จงเข้าใจเสียว่าชีวิตก็คือโรงเรียน
คุณมาเพื่อเรียนรู้
และปัญหาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลักสูตร
ซึ่งมาแล้วก็หายไป...เหมือนโจทย์วิชาพีชคณิต
แต่สิ่งที่คุณเรียนรู้นั้นอยู่กับคุณตลอดชีวิต

๑๓. จงยิ้มและหัวเราะมากขึ้น

๑๔. คุณไม่จำเป็นต้องชนะทุกครั้ง
ที่ถกแถลงกับคนอื่นหรอก..
บางครั้งก็ยอมรับว่าเราเห็นแตกต่างกันได้
เห็นพ้องที่จะเห็นต่างก็ไม่เห็นเสียหายแต่อย่างไร
แล้วเราควรจะมีทัศนคติอย่างไรต่อชุมชน
และคนรอบข้างเราล่ะ?

๑. อย่าลืมโทรฯหาครอบครัวบ่อย ๆ

๒. จงหาอะไรดี ๆ ให้คนอื่นทุกวัน

๓. จงให้อภัยทุกคนสำหรับทุกอย่าง

๔. จงหาเวลาอยู่กับคนอายุเกิน 70 และต่ำกว่า 6ขวบ

๕. พยายามทำให้อย่างน้อย 3 คนยิ้มได้ทุกวัน

๖. คนอื่นเขาคิดอย่างไรกับคุณไม่ใช่เรื่องของคุณสัก หน่อย

๗. งานของคุณไม่ดูแลคุณตอนคุณป่วยหรอก
แต่ครอบครัวและเพื่อนคุณต่างหากเล่าที่จะดูแลคุณ
ในยามคุณมีปัญหาสุขภาพ

ดังนั้น อย่าได้ห่างเหินกับคนใกล้ชิดเป็นอันขาด
และถ้าหากสามารถดำรงชีวิตให้มีความหมายได้
ก็ควรจะทำดังต่อไปนี้

๑. ทำสิ่งที่ควรทำ

๒. อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์, ไม่สวย, ไม่น่ารื่นรมย์,จงทิ้งไปเสีย...เก็บไว้ทำไม?

๓. เวลาและพระเจ้าย่อมรักษาแผลทุกอย่างได้

๔. ไม่ว่าสถานการณ์จะดีหรือเลวปานใด, เดี๋ยวมันก็เปลี่ยน

๕. ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรในตอนเช้าของทุกวัน
จงลุกจากเตียง, แต่งตัว
และปรากฎตัวต่อหน้าคนที่เราร่วมงานด้วย...
get up, dress up and show up.

๖. สิ่งที่ดีที่สุดยังมาไม่ถึง

๗. ถ้าคุณยังลุกขึ้นตอนเช้าได้
อย่าลืมขอบคุณพระเจ้า
หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุณนับถือเสียด้วย

๘. เชื่อเถอะว่าส่วนลึก ๆ ในใจของคุณนั้นมีความสุขเสมอ...
ดังนั้นส่วนนอกของคุณทุกข์โศกไปทำไมเล่า?

#ความสุข#ชีวิตประจำวัน#สุทธิชัย หยุ่น#

ผมรู้แล้วว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่ต้องปลอบ

รพ.แห่งหนึ่ง...
พยาบาลเข็นคนไข้เข้าห้องผ่าตัดเพื่อตัดไส้ติ่ง
เข็นไปพูดปลอบไปตลอดเวลา
โดยมีหมอเดินประกบไปด้วย

"ไม่เป็นไรนะคะ ผ่านิดเดียว
เรื่องเล็กมากเดี๋ยวเดียวก็เสร็จ"

เข็นไปพร่ำพูดไป...
จนคนไข้ทนไม่ไหวพูดสวนขึ้นว่า

"ผมรู้แล้วว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่ต้องปลอบ
ผมไม่กังวลเรื่องแค่นี้..."

พยาบาลหันขวับพร้อมตะโกนขึ้นว่า
"ฉันไม่ได้ปลอบคุณ ฉันปลอบหมอ...
เพราะเพิ่งผ่าตัดเป็นครั้งแรก "

55555

ฟังรายการวิทยุรักพ่อ ตอนที่ 190 รักพ่อ รักในหลวง โดย กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ - โรงงานหลวงเพื่อปวงชน

ฟังรายการวิทยุรักพ่อ ตอนที่ 190 รักพ่อ รักในหลวง โดย กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ -  โรงงานหลวงเพื่อปวงชน



http://youtu.be/bpgcjlc8e54
รายการรักพ่อ190 โรงงานหลวงเพื่อปวงชน

ฟังรายการทั้งหมด http://www.youtube.com/playlist?list=PL381074716754C1A0






 พบกับ สารคดีเฉลิมพระเกียรติฯ ในหลวง 12.ประโยชน์สุขแห่งแผ่นดิน โรงงานหลวง เพื่อปวงชน ,

เพราะพ่อเหนื่อยมามากแล้ว, เพลงพระภูมิพล-สุเวศน์ ภู่ระหงษ์, ทีนพลัสรักพ่อ จากชมรมวิทยุเด็ก เยาวชน และครอบครัว จ.ชลบุรี (กนกพรรณ รัตนวิเวก), ช่วงในหลวงในดวงใจ,
บทกวีจากณุ บูรพา - นักเขียน, ทำไมเรารักพระเจ้าอยู่หัว,



มาแล้วครับรายการรักพ่อ ช่วยสายต่อ ให้ระบือ ส่งสื่อสาร
เหมือนคนที่มีจิตร่วมกัน ร่วมปกป้องสถาบัน ให้มั่นคง
ช่วงเวลาต่อจากนี้ไป ขอนำท่านผู้ฟังเข้าสู่รายการรักพ่อ

รายการวิทยุดีๆที่ตั้งใจทำในแนวจิตอาสา
ผู้ดำเนินรายการ : สุเวศน์ ภู่ระหงษ์
ทีมงาน ห้องบันทึกเสียง สิงหา ต.ท่าช้าง อ.เมือง จ.จันทบุรี
- กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ

เพลง ข้าวของพ่อ - บี๋ คณาคำ อภิรดี อัลบั้ม "๙" จาก ๙ ศิลปินร้องเพลงที่ได้แรงบันดาลใจจาก..พ่อ

เพลง ข้าวของพ่อ - บี๋ คณาคำ อภิรดี  อัลบั้ม "๙" จาก ๙ ศิลปินร้องเพลงที่ได้แรงบันดาลใจจาก..พ่อ

บี๋ คณาคำ อภิรดี ร้องเพลง ข้าวของพ่อ
www.youtube.com/watch?v=ImrvscRQg1o


๑ ใน ๙ เพลง ใน อัลบั้ม "๙" จาก ๙ ศิลปินที่คุณจะหลงรัก ร้องเพลงที่ได้แรงบันดาลใจจาก..พ่อ
ในบรรยากาศซาบซึ้ง อบอุ่น เรียบง่าย ไพเราะ ฟังสบาย ..สุดประทับใจ

classy ภูมิใจเสนอ ผลงานเพลงอัลบั้มในลำดับที่ 3
ใน อัลบั้ม "๙" อัลบั้มสุดพิเศษ ที่เราบรรจงสร้างสรรค์ขึ้น เพื่อมอบแด่ทุกหัวใจที่..รักพ่อ

..ร่วมด้วยนักดนตรีชั้นนำอีกคับคั่ง เทหัวใจมาบันทึกเสียงสด..หมดทุกชิ้นดนตรี

..ทุกคำร้อง จากปลายปากกา และ โปรดิวซ์โดย แจ็ค รัสเซล (Jack Russell.th)
นักแต่งเพลง และ โปรดิวเซอร์ที่คุณเคยชื่นชอบ..
..จากอัลบั้ม "ความรัก ปากกา กีตาร์โปร่ง" (love in the light lines)

..ทั้ง ๙ เพลง แต่งโดยได้รับแรงบันดาลใจจาก..พ่อ
ใน อัลบั้ม "๙" จาก ๙ ศิลปินที่คุณจะหลงรัก ร้องเพลงที่ได้แรงบันดาลใจจาก..พ่อ
ในบรรยากาศซาบซึ้ง อบอุ่น เรียบง่าย ไพเราะ ฟังสบาย ..สุดประทับใจ

วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ความสุขเรียบง่ายในโลกดิจิตอล

ความสุขเรียบง่ายในโลกดิจิตอล

1 ปิดมือถือบ้าง ลองหยุดการสื่อสารด้วยการปิดโทรศัพท์มือถือดูบ้าง แม้เพียงวันละไม่กี่ชั่วโมง จะช่วยให้เป็นอิสระและเป็นนายของตัวเองอย่างเต็มที่ เมื่อคนเราเป็นอิสระ ย่อมคิดและตัดสินใจได้อย่างเต็มที่และถูกต้อง
2 งดรับข่าวสารในบางวัน เพราะหลายครั้งข่าวในโทรทัศน์หรือในอินเตอร์เน็ตทำให้เราหดหู่ใจ เพราะเนื้อหามีแต่การฆ่าฟัน ทำลายล้าง ในทางจิตวิทยาถือว่าอาจทำให้ชาชินกับความรุนแรงที่เกิดขึ้นจนเห็นเป็นเรื่องธรรมดา และทำให้จิตใต้สำนึกสะสมข้อมูลแย่ๆเอาไว้โดยเปล่าประโยชน์
3 ออกกำลังกายสมองเสียหน่อย สมองเป็นอวัยวะที่ต้องมีการฝึกฝนอยู่เสมอ จึงจะว่องไว ไม่หลงลืมก่อนวัยอันควร การอ่านหนังสือจะทำให้สมองมีการทำงานมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับการดูโทรทัศน์ที่สมองทำงานเพียง 20 เปอร์เซ็นต์ เพราะการอ่านหนังสือต้องอาศัยการคิด จินตนาการ การตีความ และประมวลความเข้าใจ
4 ประโยชน์ของความเงียบ หัดตัวเองให้เคยชินกับความเงียบดูบ้าง หากอยู่ในบ้านก็ลองปิดวิทยุ โทรทัศน์ ถอดปลั๊กโทรศัพท์ ปลีกตัวเองไปนั่งๆนอนๆ เอกเขนกในมุมโปรดที่สงบๆ หลับตาแล้วทอดใจไปกับความสบาย ฟังเสียงความเงียบให้ใจสงบ
5 เข้านอนเร็วขึ้น เพราะในโลกปัจจุบัน เทคโนโลยีรอบตัวมักจะแย่งชิงเวลาพักผ่อนของเราไปอย่างไม่รู้ตัว ลองสังเกตดูว่าเราดูโทรทัศน์จนดึกดื่น คุยโทรศัพท์กับเพื่อนจนถึงเที่ยงคืน หรือนั่งคุยทางอินเตอร์เน็ตข้ามวันข้ามคืนอยู่หรือเปล่า ถ้าใช่ก็มาลองเข้านอนให้เป็นเวลา เช่นอาจจะไม่เกิน 4 ทุ่มและตื่นนอนแต่เช้า จะรู้สึกว่าสดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้นเยอะเลย
6 กินอย่างมีสติ ยิ่งใช้เทคโนโลยีมากเท่าไร เราก็จะกลายเป็นคนที่เร่งรีบมากขึ้น เพราะชินกับความรวดเร็ว แม้แต่จะกินข้าว ก็ยังต้องรับกินให้เสร็จ ความจริงแล้วเราควรจะค่อยๆเคี้ยวอย่างช้าๆเพื่อซึมวับรสชาติของอาหารไปทีละนิดจนกว่าจะหมดรสชาติ เคี้ยวอาหารให้ได้สักคำละ 50 ครั้ง เป็นดีที่สุด
ที่มา http://www.cheewajit.com

ละลายเครียดด้วยการฝึกเกร็งกล้ามเนื้อ

ละลายเครียดด้วยการฝึกเกร็งกล้ามเนื้อ
การฝึกเกร็งและคลายกล้ามเนื้อคลายเครียเ
กล้ามเนื้อที่ควรฝึกมี 10 กลุ่มด้วยกัน คือ
1. แขนขวา
2. แขนซ้าย
3. หน้าผาก
4. ตา แก้มและจมูก
5. ขากรรไกร ริมฝีปากและลิ้น
6. คอ
7. อก หลัง และไหล่
8. หน้าท้อง และก้น
9. ขาขวา
10. ขาซ้าย
วิธีการฝึกมีดังนี้
- นั่งในท่าสบาย
- เกร็งกล้ามเนื้อไปทีละกลุ่ม ค้างไว้สัก 10 วินาที แล้วคลายออก จากนั้นก็เกร็งใหม่สลับกันไปประมาณ 10 ครั้ง ค่อยๆ ทำไปจนครบทั้ง 10 กลุ่ม
- เริ่มจากการกำมือ และเกร็งแขนทั้งซ้ายขวาแล้วปล่อย
- บริเวณหน้าผาก ใช้วิธีเลิกคิ้วให้สูง หรือขมวดคิ้วจนชิดแล้วคลาย
- ตา แก้ม และจมูก ใช้วิธีหลับตาปี๋ ย่นจมูกแล้วคลาย
- ขากรรไกร ริมฝีปากและลิ้น ใช้วิธีกัดฟัน เม้มปากแน่นและใช้ลิ้นดันเพดานโดยหุบปากไว้แล้วคลาย
- คอ โดยการก้มหน้าให้คางจรดคอ เงยหน้าให้มากที่สุดแล้วกลับสู่ท่าปกติ
- อก หลัง และไหล่ โดยหายใจเข้าลึกๆ แล้วเกร็งไว้ ยกไหล่ให้สูงที่สุดแล้วคลาย
- หน้าท้องและก้น ใช้วิธีแขม่วท้อง ขมิบกันแล้วคลาย
- งอนิ้วเท้าเข้าหากัน กระดกปลายเท้าขึ้นสูง เกร็งขาซ้ายและขวาแล้วปล่อย
การฝึกเช่นนี้จะทำให้รับรู้ถึงความเครียดจากการเกร็งกล้ามเนื้อกลุ่มต่างๆ และรู้สึกสบายเมื่อคลายกล้ามเนื้อออกแล้ว
ดังนั้น ครั้งต่อไปเมื่อเครียดและกล้ามเนื้อเกร็งจะได้รู้ตัว และรีบผ่อนคลายโดยเร็ว ก็จะช่วยได้มาก
ที่มา health2click

ฝึกจินตนาการ...ทำเป็น หายเครียดได้.....

ฝึกจินตนาการ...ทำเป็น หายเครียดได้.....
การใช้จินตนาการ เป็นกลวิธีอย่างหนึ่ง ที่จะดึงความสนใจออกจากสถานการณ์อันเคร่งเครียดในปัจจุบัน ไปสู่ประสบการณ์อันงดงามที่เคยผ่านมาแล้วในอดีต หรือเป็นเรื่องที่จินตนาการขึ้นใหม่ เป็นการเรียนรู้วิธีการปรับความคิดวิธีหนึ่ง ซึ่งแตกต่างจากการคิดแบบไม่มีเป้าหมาย หรือเลื่อนลอย ในการจินตนาการสถานการณ์ที่สดชื่นงดงามนั้น สามารถกระทำได้หลายลักษณะ เช่น การย้อยระลึกถึงสถานที่สวยงาม ที่เคยได้ไปท่องเที่ยวมาแล้ว จำพวกชายทะเล น้ำตก ภูเขา สวนดอกไม้ ทุ่งหญ้า ป่าไม้ เป็นต้น หรือจินตนาการเอาเอง ถึงสถานที่ที่สวยงาม ซึ่งเมื่อนึกถึงแล้ว จะทำให้จิตใจรู้สึกสงบ มีความสุขสดชื่น
ในขณะใช้จินตนาการนั้น จะต้องทำให้ตัวเองรู้สึกว่าเหมือนจริงที่สุด โดยประสาทสัมผัสทั้ง 5 จนแทบจะได้กลิ่นหอมของดอกไม้ ได้ยินเสียงคลื่น ได้สัมผัสหยาดน้ำค้างตามใบหญ้า รู้สึกถึงความอบอุ่นของแสงแดดยามเช้า ฯลฯ เพื่อจะได้เกิดอารมณ์คล้อยตาม จนรู้สึกเป็นสุขได้เหมือนอยู่ในเหตุการณ์จริงเลยทีเดียว
เมื่อจิตใจกำลังสงบและเพลิดเพลินกับจินตนาการ ขอให้ใช้เวลาช่วงนี้บอกย้ำกับตัวเองว่า คุณกำลังผ่อนคลาย กำลังสบายอย่างที่สุด พร้อมทั้งให้กำลังใจตัวเองด้วยว่าคุณเป็นคนเก่ง คุณสามารถเอาชนะปัญหา และอุปสรรคในชีวิตได้อย่างแน่นอน และเมื่อจบการจินตนาการแล้ว ขอให้คุณคงความสดชื่นต่อไป และเกิดกำลังใจ ที่จะสู้ปัญหามากขึ้นด้วย
ขั้นตอนของการใช้จินตนาการมีดังนี้
1.เลือกสถานที่ที่สงบและเป็นส่วนตัว ปลอดจากการรบกวนจากผู้อื่นสัก 10-15 นาที
2.นั่งในท่าที่สบาย บนเก้าอี้ที่มีพนักพิงศีรษะ หรือจะนอนเอนหลังก็ได้ แต่ต้องระวังอย่าหลับ
3.คลายเสื้อผ้าให้หลวม ถอดรองเท้าออกด้วย
4.หลับตาลง แล้วเริ่มจินตนาการถึงสถานที่ที่สวยงาม สงบและเป็นสุข เช่น การเดินชมชายหาด
5.เมื่อจิตใจเริ่มสงบและเป็นสุข ให้ย้ำกับตัวเองว่า คุณรู้สึกสบาย และคุณเป็นคนดีมีความสามารถมากพอ ที่จะเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ได้เสมอ
6.ค่อยๆ ลืมตาขึ้น คงความรู้สึกสดชื่นเอาไว้พร้อมที่จะลงมือทำงานต่อไป
ขอบคุณ health2click

โรคจน. ปัญหาทางจิต....

โรคจน. ปัญหาทางจิต....
คติทางพุทธศาสนากล่าวว่า ความสุขของคฤหัสเกิดแก่การมีทรัพย์ การบริโภคใช้จ่ายทรัพย์ การไม่เป็นหนี้ การประกอบอาชีพไม่เป็นโทษ และถือว่าความยากจนเป็นทุกข์ในโลก แต่ทุกข์จากความยากจน ก็ไม่เท่าทุกข์จากการเป็นหนี้
คนที่เกิดมาในครอบครัวกลาง ๆ หรือค่อนข้างต่ำ กว่าจะสามารถสร้างตัวให้กลายเป็นคนร่ำรวยได้ ต้องประกอบด้วยคุณลักษณะ 3 ประการเป็นอย่างน้อยได้แก่ เก่ง ขยัน ประหยัด
ให้เก่งแค่ไหน ขยันอย่างไร ถ้าขาดการประหยัด ไม่มีทางรวยได้ คนร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีอยู่ได้จนทุกวันนี้ เพราะยึดมั่นในหลักการที่ว่า "รายได้ไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่รายเหลือ"
ส่วนต้นตอของโรคจนมีอยู่เพียง 2 ทางคือ
1. ไม่มีรายได้ เพราะไม่ได้ทำงาน หรือทำงานไม่ได้
2. รายจ่ายมากกว่ารายรับ
คนที่มีความยุ่งยากทางการเงินอยู่เป็นประจำนั้น ประสบการณ์ในวัยเด็กมักไม่สมหวังทางด้านวัตถุ อยากได้สิ่งซึ่งตามความเป็นจริงแล้วไม่ควรได้ มักคิดว่าคนอื่น ๆ ร่ำรวยสุขสบายกว่าตนเองเสมอ ขาดความรู้สึกมั่นคง ไม่เชื่อมั่นในตัวเอง ไม่มีความสุขทั้งในชีวิตครอบครัวและการงาน ไม่พอใจชีวิตความเป็นอยู่ ทั้งในด้านส่วนตัว ความรัก กามารมณ์ รู้สึกหงอยเหงา ว้าเหว่ ชีวิตอยู่ภายใต้การควบคุมของเงิน ตรงข้ามกับคนที่มีเงินพอใช้ จะเป็นฝ่ายบังคับเงินได้มากกว่าปล่อยให้เงินบังคับ ถ้าอยากได้อะไรสักอย่างถ้ารู้สึกว่าแพงเกินกำลัง ก็ใช้เวลาในการเก็บสะสมทรัพย์ จนหมดความอยากไปเอง ไม่เหมือนกับคนที่มีปัญหาทางการเงิน ถ้าอยากได้อะไรจะซื้อมาก่อน แล้วค่อยแก้ปัญหาเอาทีหลัง แรงจูงใจที่อยากได้แรงเกินกว่าที่จะบังคับควบคุมได้ จากการศึกษาพบว่า คนเหล่านี้มีความกลัว วิตกกังวล และหวาดหวั่นสูง มีอาการเจ็บป่วยทางกายที่มีสาเหตุมาจากทางใจสูงกว่าคนทั่วไป
คนที่ป่วยเป็นโรคจนเรื้อรัง โดยเฉพาะที่ไม่ได้ติดต่อมาจากบรรพบุรุษ แต่เป็นเพราะแรงจูงใจให้จับจ่ายใช้สอยมากเป็นพิเศษนั้น ปกติมักเป็นคนที่ไม่มีความสามารถสร้างความรู้สึกที่มีคุณค่า มีราคา มีความสำคัญให้เกิดขึ้นกับตัวเองได้ จึงใช้จ่ายเงินทองเป็นอย่างมากเพื่อ
1. ซื้อหาสิ่งของเครื่องใช้มาเป็นเฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งให้ตัวเองมีค่า มีราคา
2. ซื้อหาเพื่อนพ้องบริวาร มาคอยห้อมล้อม ยกยอปอปั้นตัวเอง
ยามใดที่ขาดแคลน นอนแขม่วท้องตาปรอยมองเพดานรำพึงรำพัน...
"เมื่อมั่งมีมากมิตรมาหมายมอง เมื่อมัวหมองมิตรมองเหมือนหมูหมา
เมื่อไม่มีมวลมิตรไม่มองมา เมื่อมอดม้วยแม้หมูหมาไม่มามอง"
3. ปรนเปรอตัวเอง คนจนประเภทนี้ให้ความรู้สึกสงสารเวทนา มักเริ่มจากแผลที่พ่อแม่ฝากไว้ในหัวใจ พ่อแม่ร่ำรวย แต่บ้างาน มัวแต่หาเงิน ไม่เอาใจใส่ดูแลใกล้ชิดลูก ใช้เงินแทนความรัก เมื่อโตขึ้นหาเงินได้ ก็ใช้เงินเป็นทาสปรนเปรอความสุขให้กับตัวเอง และมักฝังใจว่าในโลกนี้ ไม่มีใครรักตัวเองจริงมากเท่ากับตัวเอง จึงเอาใจใส่ตัวเองเป็นอย่างดี เขาว่าอะไรดี อะไรใหม่ อะไรสวย ก็ไปซื้อหามา อะไรอร่อย ที่ไหนสนุกก็บากบั่นไปหา เพื่อเขาเป็นอยู่อย่างไรต้องไม่ให้น้อยหน้า มีเงินเท่าไหร่ใช้จนหมด หลายคนคงได้ยินว่า
- ทำไมคนทำงานธนาคารจึงเป็นหนี้แขกยาม
- ทำไมภารโรงจึงมีเงินให้ครูกู้กินดอก
เนื่องจากแรงจูงใจให้ใช้จ่ายสูงกว่า ความอดทนต่อความอยากได้ อยากเป็น อยากมี ผลก็คือ ยากจนกว่า ทำให้สุขภาพจิตเสียมากก็ใช้จ่ายมาก จ่ายมากก็จนมาก
- สูตรความจนมีอยู่ว่า
"คนจนทำรวยยิ่งจน
คนรวยทำจนยิ่งรวย
คนจนทำจนยิ่งไม่รวยก็สุขได้"
แต่ก็อุตส่าห์มีคนทักท้วงว่า เกิดมาชาตินี้ขอเป็นคนจนดีกว่า เพราะเป็นมาจนเคยชินเสียแล้ว เกิดร่ำรวยปุบปับ ปรับตัวไม่ทัน อาจเป็นบ้าเอาง่าย ๆ เพราะอย่างน้อยคนจนดีกว่าคนรวยอยู่หนึ่งอย่างคือ คนรวยไม่กลัวรวยแต่กลัวจน ส่วนคนจนไม่กลัวทั้งจน ไม่กลัวทั้งรวย
บทความโดย : พรชนก จงตระการสมบัติ http://www.ku.ac.th/e-magazine