++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2558

บัญญัคิการค้า 16 ประการของเถาจูกง

บัญญัติการค้า 16 ประการของ เถาจูกง นักเศรษฐกิจของจีน

ในหนังสือของสมชาติ กิจยรรยง เล่มหนึ่ง ที่บอกหลักการทำการค้า ที่น่าสนใจหลายข้อ หลักการสร้างเนื้อสร้างตัว สร้างธุรกิจหลายอย่าง น่าสนใจตลอดทั้งเล่ม เนื้อหาเข้มข้นจริงๆ มีบทกวี บัญญัติการค้า 16 ประกาส ที่เขียนเป้นร้อยกรอง ซึ่งน่าจะท่องจำไว้ จะได้เป็นประโยชน์ในการทำการค้าให้ประสบความสำเร็จ และได้กำไรตามที่ต้องการ

เรื่องการค้าขายนั้น ชาวจีนมีฝีมือ และประสบการณ์ในเรื่องนี้เป็นอย่างดี หลายประเทศหลายเมืองที่มีคนจีนอาศัยอยู่ เราจะพบว่า กิจการค้าขาย เจริญรุ่งเรืองมากๆ คนจีนค้าขายเก่ง จึงมีหลักคิด หลักการปฏิบัติที่น่าสนใจและนำมาปฏิบัติมากมายหลายข้อ หนึ่งในนั้นคือ บัญญัติการค้า 16 ประการ ซึ่งกลุ่มจุดตะเกียงขอหยิบยกส่วนหนึ่งนำมาถ่ายทอด ณ ที่แห่งนี้

หนึ่งจักทำ การค้า อุตส่าห์เกิด
วิริยะ จะประเสริฐ สมใจหวัง
แม้นเกียจคร้าน บอกตรงตรง ว่าคงฟัง
จะต้องนั่ง ตรอมใจ ให้ลำเค็ญ

หนึ่งวางของ ที่จะขาย รายเรียงเรียบ
เป็นระเบียบ หายก็รู้ อยู่ก็เห็น
วางกระจาย หายไม่รู้ ดูยากเย็น
มักต้องเต้น ตรวจสอบ รอบด้านไป

หนึ่งรายจ่าย ทั้งผอง ต้องประหยัด
มัธยัสถ์ เงินงอก ออกไสว
ทำนักเลง เบ่งวุ่นวาย จ่ายเป็นไฟ
เงินจะไม่ ติดเก๊ะ เละเทะแฮ

หนึ่งลูกจ้าง เก่งไพร่ เราใช้ชิด
จะสนิท หรือห่าง ต่างกระแส
ความเที่ยงธรรม ต่อเขา เฝ้าดูแล
ใจแน่วแน่ เลืองลือ นับถือเรา

หนึ่งนั้นหรือ คือสภาพ ไม่หยาบหยาม
พยายาม ดับโมโห อย่างโง่เขลา
อารมณ์ร้าย ขายลำบาก ยากไม่เบา
คนไม่เข้า เหยียบร้าน อานจริงจริง

หนึ่งรับจ่าย รอบคอบ ประกอบไว้
เผลอไม่ได้ เป็นอันขาด อาจยุ่งยิ่ง
ความมักง่าย ร้ายนัก มักประวิง
ความเจริญ หยุดนิ่ง ไม่ใกล้กราย

หนึ่งตื่นตัว อยู่เสมอ เจอโอกาส
กระวีกระวาด ขมีขมัน ทันซื้อขาย
แม้นร่ำไร พลาดโอกาส ตลาดวาย
จะซื้อขาย ไวว่อง จ้องให้ดี

หนึ่งสินค้า เขา เราตระหนัก
ซึ้อมากนัก ขายไม่หมด ลดราศี
ซื้อพอขาย มีของใหม่ ไร้ราคี
จึงควรที่ จดจำ เป็นตำรา

หนึ่งซื้อของ ต้องดู ให้รู้แจ้ง
ความโต้แย้ง กันก่อน ตอนซื้อหา
ครบจำนวน ตรงประเภท ตามเจตนา
คลุมเครือหา โต้เถียงบ่อย พลอยเสียการ

หนึ่งการเปิด บัญชี มีกำหนด
ต้องวางกฎ จ่ายเมื่อไร ให้ไขขาน
ปล่อยให้เชื่อ ยืดเยื้อ เรื้อรังนาน
จะแน่นร้าน แต่คนเก เก๊เต็มทน

หนึ่งรู้ใจ ลูกค้า ที่มาซื้อ
อย่าพร่ำเพื่อ ตามใจ ไปทุกหน
เขาชักดาบ ฟันยับ เราอับจน
กำไรป่น ต้นทุนขาด อนาถนัก

หนึ่งการเงิน การทอง ต้องจะแจ้ง
ขืนเคลือบแคลง รั่วไหล ไม่ประจักษ์
เหมือนตักน้ำ เติมตุ่มรั่ว กลัวจะชัก
ท่านผู้รัก การค้า น่าคะนึง

หนึ่งบัญชี มีเท่าไหร่ ให้หมั่นตรวจ
อย่ายิ่งยวด ตรวจให้รู้ ดูให้ถึง
แม้นเกียจคร้าน การหมุนเวียน หันเหียนตึง
เหมือนถูกดึง อยู่กับที่ ไม่ดีพอ

หนึ่งงานใน ในความ รับผิดชอบ
ควรรอบคอบ ประกอบกิจ ประสิทธิ์หนอ
ยอมทำงาน คร่ำเครียด ละเอียดลออ
ไม่นน่อท้อ แชเชือน เหมือนถูกน็อก

หนึ่งสินค้า เลว หรือดี นี้ต้องชัด
ตัวเองตัด สินใจ ต้องขายออก
อย่าลังเล รีบมุ รุสต๊อค
จึงไม่งอก ดอกเบี้ย เสียเชิงครู

หนึ่งดวงจิต อุเบกขา อย่าหวั่นไหว
ความเสียหาย เกิดเพราะเรา ถูกเป่าหู
ทำการค้า หูเบา เศร้าน่าดู
หมดประตู จะจำเริญ เดินไส้กลวง

จะทำยังไงกับคนสมาธิสั้นในยุคนี้

จะทำยังไงกับคนสมาธิสั้นในยุคนี้

อาจจะเป็นเพราะระบบการศึกษา (เป็นสิ่งหนึ่งที่หลายคน กล่าวโทษ) ที่ทำให้ คนยุคสมัยนี้ สมาธิสั้น ทั้งๆที่มีเทคโนโลยี เครื่องมือมากมาย ที่จะทำให้คนเรา เก่งขึ้น ฉลาดขึ้น และเลือกสิ่งที่ดีๆ ให้กับชีวิตมากขึ้น แต่กลับพบว่า ท่ามกลางสิ่งที่มีให้เลือกใช้ เทคโนโลยีมากมาย แต่สมาธิของคนไทย กลับสั้นลง

หรือ เทคโนโลยี มากมาย มันกระชากสมาธิไปจากคนเรา

นาย - " แปลกนะ ยิ่งเจริญก้าวหน้า อะไรๆก็ลดลง คุณธรรม ก็ลดลง น้ำใจก็น้อยลง เทคโนโลยี ความเจริญมากมาย กลับทำให้ คนเห็นแก่ตัวมากขึ้น"
นาง - " ไม่รู้มันจะรีบอะไรนักหนา ทำอะไรก็ต้องให้เร็ว จะอดทนรออีกนิดก็ไม่ได้"
นาย - "รออะไรเหรอ"
นาง - " ไปเข้าคิว ซื้อส้มตำเจ้าอร่อย แม่ค้าก็สับมะละกอ ใส่เครื่อง และตำให้ตามคิว แต่ไอ้เด็กเวร พยายามเร่ง จะแซงคิว มันจะรีบแดกอะไรนักหนา"
นาย - "มันคงรีบไปทำงาน หรือ มีนัดมั้ง"
นาง - "ถ้ารีบขนาดนั้น มันน่าจะไปสั่งข้าวมันไก่ หรือ ซื้อมาม่ามาต้มกินจะดีกว่า จะได้ทันใจมัน"
นาย - "มันจะรอนิดหน่อยไม่ได้เรอะงัย ทำยังกะเวลาในชีวิตมันเหลือน้อย จะตายวันตายพรุ่งซะงั้นล่ะ"

นาง - "เรื่องอื่นๆ รอไม่ได้ แต่แม่ง มีเวลาอยู่ที่หน้าจอทั้งวัน ทีงี้ ไม่เห็นรีบเล่น แล้วรีบไปทำอย่างอื่นมั่ง อยู่หน้าจอ ไม่เห็นเสียดายเวลาเลย แค่มารอซื้อส้มตำ รอคิวแค่นี้ ทำเป็นจะตาย รอไม่ได้ซะงั้น"
นาย - "ชีวิตมันมีแค่ หน้าจอ อยู่หน้าจอ และหน้าจอ"

นาง - "ถ้าวันนึง เกิดภัยพิบัติ ไฟฟ้าถูกตัดขาด ระบบการสื่อสารล่ม ชีวิตพวกนี้ จะอยู่กันยังไงนะ จะหายใจต่อไปได้รึเปล่า"

นาย - "พูดถึงเรื่องนี้ทีไรก็เซ็งนะ ลูกหลาน แม่งโคตรสมาธิสั้นกันจริงๆ แค่พูด หรือ สอน มันยังไม่ใส่ใจจำเลย เหมือนพูดเข้าหูซ้าย แล้วทะลุออกหูขวาไปเลย ไม่รู้จะทำยังไงดี"
นาง - "สงสัยจะต้องไปพูด ไปสอนใน facebook เพราะมันอยู่หน้าจอตลอด"
นาย - " ไปสอนมันแบบนั้น มันไม่กดไลท์แหงๆ อาจจะบล็อกอีกด้วย"
นาง - "เด็กวันนี้ สมาธิสั้น ชอบอะไรที่สั้นๆง่ายๆ อะไรที่ซับซ้อนมากเกินไป แม่งไม่รู้เรื่อง"
นาย - "พวกนักการเมือง พวกโจรปล้น มิจฉาชีพ คงชอบล่ะ วางแผนปลดทรัพย์ ขโมย โกงเงิน ไอ้พวกสมาธิสั้นคงตามไม่ทัน ถ้าคิดอะไรสั้นๆอย่างงี้"
นาง - " เวลาจะพูดกับมัน ต้องพูดสั้นๆ อย่าซับซ้อนมาก เดี๋ยวมันไม่รู้เรื่อง บางที พูดสั้นๆ คิดว่าจะเข้าใจก็แล้ว แต่มันยังไม่เข้าใจ ไม่ใส่ใจ สงสัยจะต้องแปลงให้เป็นภาษาวัยรุ่น เปลี่ยนคำพูดให้เหมือนที่โพส ใน facebook หรือ twitter"
นาย - " นี่จะต้องจำกัดความยาว 140 ตัวอักษร จะพูด จะบอกอะไรต้องย่อความให้สั้นก่อนงั้นเหรอ"
นาง - "หลายเรื่อง ก็ต้องพูด อธิบายให้เข้าใจที่มาที่ไป รายละเอียด นี่จะให้ย่อเหลือ 140 ตัวอักษร ทำเป็นพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์งั้นสิ"
นาย - "พาดหัวหนังสือพิมพ์นี่ละตัวดีเลย หลายข่าวพาดหัวแรงๆ คนอ่านก็คิดว่า มันรุนแรง มันแย่มากๆขนาดนั้น หลายพาดหัว เป็นแค่คำพูด หรือ สิงที่เกิดขึ้นไปแล้ว แต่ทำให้คนคิดว่า มันเป็นจริง มันรุนแรงและมันยังเกิดเหตุการณ์นั้นอยู่ ... ถ้าเปิดอ่านรายละเอีนด เนื้อหาข่าว คนอ่านจะเข้าใจที่มาที่ไปของข่าวนี่น แต่หลายคนเห็นหัวข้อ ก็รีบมโนไปเองว่า มันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ คิดเอาเอง ยังกะเป็นคนเขียนบท หรือ ผู้กำกับการแสดง"
นาง - " คนยุคนี้ มันไม่ยอมเสียเวลาที่จะอ่านอะไรยาวๆ ถ้าไม่สนใจเรื่องนั้นจริงๆ ชอบมโนเอาเอง"
นาย - " เหนื่อยเลยนะ ลูกหลาน ยิ่งคิดน้อยๆ ใช้สมองน้อยๆ ไม่อดทน แบบนี้ ยิ่งจะเป็นคนไม่รอบคอบ คิดไม่เป็น เพราะมีข้อมูล ความรอบรู้ในสมอง มีน้อย ใครพูดอะไรก็เชื่อไปหมด ถ้ามีใครมาหลอกลวง กว่าจะรู้ตัว ก็เสียอะไรไปเยอะแล้ว"
นาง - " สอนเด็กยุคนี้ ที่สมาธิสั้น คงต้องเหนื่อยหน่อยล่ะ พูด บอก เตือน สอน กว่าจะเข้าหู กว่าจะสำนึก คงต้องย้ำๆๆๆ หลายสิบหลายร้อยครั้ง เด็กสมาธิสั้น ก็จะเสียเปรียบเด็กที่สมาธิยาว สมาธิสูง เพราะพวกนั้น สามารถที่จะควบคุมคนสมาธิสั้นไว้ใต้อำนาจได้เลย"
นาย - "เราสอนเด็กๆตอนที่อยู่ในบ้าน อยู่กับเราได้ แต่พอเค้าเติบโต ออกไปสู่โลกภายนอก เราไม่สามารถที่จะตามไปดูแล ปกป้องพวกเขาได้ตลอดเวลานะ ที่เหลือจากนั้น ก็อยู่ที่ตัวของพวกเขาเองล่ะ"

วิธีลืมเรื่องเลวร้ายที่ได้ผล

วิธีลืมเรื่องเลวร้ายที่ได้ผล

1.จดจ่อกับปัญหาและความเจ็บปวดให้ได้
2.หาวิธีแก้ไขที่ไม่ซับซ้อน เพื่อให้สมองไม่ต้องค้นหา สมองจะได้ผ่อนคลาย
3.กำหนดเวลาและสั่งสมองว่า เราจะแก้ปัญหาเมื่อไร เมื่อถึงเวลานั้นสมองก็จะหยุดค้นหา และเลิกคิดถึงปัญหานั้นๆ
4.ไม่ต้องใส่ใจสภาพแวดล้อมอื่นๆ ที่นำไปสู่ความทรงจำเลวร้ายอีก
5.ให้ผู้อื่นมีส่วนร่วมในปัญหา ด้วยการเขียนหรือเล่าให้รู้
6.ลดอารมณ์ที่ควบคู่กับความทรงจำ ต่อสู้ จดจ่อ และสั่งความคิด เราได้ลบมันทิ้งไป

ธรรมะไม่ฝังลงไปในใจ ใกล้พระแต่ใจมีกิเลส

ธรรมะไม่ฝังลงไปในใจ ใกล้พระแต่ใจมีกิเลส

หลวงพ่อคูณ เป็นพระที่หลายคนนึกถึงในแง่มุมต่างๆ ส่วนนึง คือ ท่านมีหลักธรรมะคำสอนที่ใช้คำพูด และภาษาง่ายๆ เข้าใจง่าย ประชาชนทั่วไป นำไปยึดถือ ปฏิบัติ หรือทำสติกเกอร์ติดรถ เห็นข้อความแล้ว จำได้ขึ้นใจ

หลวงพ่อคุณ อยู่ที่วัดบ้านไร่ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา แต่มีคนรู้จัก เคารพศรัทธา และนับถือท่าน ทั่วประเทศ เมื่อท่านมรณภาพ และมีการนำสรีระร่างของท่านไปที่ จ.ขอนแก่นตามพินัยกรรมของท่าน พุทธศาสนิกชน จากทั่วสารทิศ ต่างมุ่งหน้าเดินทางไปกราบสรีระร่างกายของหลวงพ่อคุณ ที่ขอนแก่นกันมากมาย ถึงแม้หลวงพ่อคูณจะพูดภาษาไทยแท้ "กู มึง" ที่ฟังดูไม่สุภาพสำหรับคนยุคปัจจุบัน แต่คำสอนกลับเข้าไปอยู่ในใจคนมากมาย .. มากกว่า พระหลายรูป ที่มีเทศนาธรรม ได้ออกสื่อ มีตารางเดินสายไปบรรยายธรรมะในสถานที่ต่างๆ

แต่พระหลายรูป ที่เดินสายไปเทศนา บรรยายธรรมะ ยังไม่ค่อยมีใครทำสติกเกอร์ คำพูด คำสอนออกมาเผยแพร่ เหมือนสติกเกอร์ของหลวงพ่อคุณ

พระหลายรูป มีชื่อเสียง และผู้คนศรัทธา นับถือ เพราะการบรรยายธรรมะ พูดธรรมะ จนผู้คนยกย่อง ศรัทธา นับถือ แต่สำหรับหลวงพ่อคุณ ท่านปฏิบัติยิ่งกว่านั้น จนอยู่ในใจผู้คนเป็นระยะเวลายาวนาน

แม้ธรรมะ คำสอนของหลวงพ่อคูณ อยู่ในใจของหลายคน แต่มนุษย์ มีหลายระดับ เปรียบเหมือนบัวสี่เหล่า แต่ละระดับ ก็จะรับรู้ เข้าใจ สิ่งต่างๆ ได้ไม่เท่าเทียมกัน

มีคนสงสัย และถามว่า ทำไม กลุ่มคนที่อยู่ใกล้หลวงพ่อคูณ อยู่ใกล้วัดบ้านไร่ ทำไมถึงไม่ซึมซับ เอาคำสอนของหลวงพ่อคูณเข้าไปในจิตใจของตนเองบ้าง อยู่ใกล้น่าจะรับคำสอน ได้อย่างเข้มข้น เข้าใจได้มากกว่าคนที่อยู่ไกลๆ.. ทำไม ถึงเกิดเรื่องราวความขัดแย้ง เร่องทรัพย์สิน ทรัพย์สมบัติภายในวัดบ้านไร่ หลังจากที่หลวงพ่อคูณมรณภาพไปแล้ว ทั้งๆที่หลวงพ่อคูณ ท่านเขียนพินัยกรรมไว้อย่างชัดเจน มีเจตนารมณ์ที่ชัดเจน แต่ทำไม คนที่อยู่ใกล้ๆหลวงพ่อคูณ ไม่ซึมซับ ไม่คิดอย่างที่หลวงพ่อคูณ ปฏิบัติ และสอนไว้บ้าง

ขึ้นชื่อว่า มนุษย์ไซร้ จิตใจยากแท้หยั่งถึง เห็นเข้ามาอยู่ในวัด อยู่ใกล้พระ รับใช้ใกล้ชิด ก็ใช่ว่า ทุกคนจะปฏิบัติตามคำสอนได้ทั้งหมด...

เรื่องแบบนี้ต่างจิตต่างใจกันจริงๆ

ชีวิตเดิมๆของช่างซ่อมรถที่ด่านขุนทด ในวันที่หลวงพ่อคูณจากไป

ชีวิตเดิมๆของช่างซ่อมรถคนด่านขุนทด ในวันที่หลวงพ่อคุณจากไป

เขาเป็นคนด่านขุนทดตั้งแต่เกิด รู้จัก และเคยไปกราบหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ ที่วัดบ้านไร่ตั้งแต่เรียนชั้น ม.5 ถือได้ว่า เป็นลูกหลานของหลวงพ่อคูณ ลูกหลานชาวด่านขุนทดขนานแท้ แต่ในวันที่หลวงพ่อคูณมรณภาพ และสรีระสังขาร เคลื่อนไปที่ขอนแก่น ไปเป็น อาจารย์ใหญ่ให้นักศึกษาแพทย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ไม่ได้กลับมาที่วัดบ้านไร่ ให้ได้กราบ อีกต่อไป เขาก็อยากจะมีโอกาสได้ไปกราบหลวงพ่อคุณ ที่ขอนแก่นเช่นกัน

ตั้งใจไว้ว่า ในวันหยุด เสาร์ที่ 24 พ.ค.2558 จะเดินทางไปขอนแก่น ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่ประชาชนทุกคนจะมีโอกาสได้กราบสรีระสังขารของหลวงพ่อคูณ ก่อนที่จะมีพิธีเคลื่อนย้ายไปยังคณะแพทย์ศาสตร์เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนการดอง หลังจากนี้ไปอีก 3 ปี จึงจะได้กราบหลวงพ่อคูณอีกครั้งในพิธีศพของท่านในเดือนมิถุนายน 2561

"แกไปกราบท่านรึยัง"
"จะไปพรุ่งนี้ล่ะ ขึ้นรถหน้าที่ว่าการอำเภอด่าน รถฟรี ออกตอน 8.30 น. วันสุดท้ายแล้ว"
"คนคงจะแย่งกันไป ต้องรีบไปแต่เช้า ไม่งั้น รถจะเต็มซะก่อน"
"ฉันว่าจะไปรถไฟ ดูข่าวบอกว่า จัดรถไฟฟรี จากโคราช ไปขอนแก่น แล้วจะมีรถมารับไปยังบริเวณงาน ให้ไปกราบหลวงพ่อคูณด้วย"
"แล้วแกจะไปรึเปล่า" เพื่อนคนหนึ่งหันมาถามเขา เขาพยักหน้า ด้วยความตั้งใจแน่นแน่ว่าจะไปกราบท่านในวันสุดท้าย



หลังทานข้าวมื้อเที่ยงวันนั้นผ่านไป เขากลับเข้าไปทำงานในร้านอู่ซ่อมรถ ริมถนนมิตรภาพในตัวเมืองโคราช มีลูกค้านำรถมาเข้าอู่สองคัน ต้องการให้ซ่อมรถให้เสร็จในวันที่ 25 พ.ค.2558 เพราะจะรีบเอาไปขนสินค้า ส่งให้ลูกค้าถึง กทม เขาและทีมช่างซ่อมรถ อีก 2 คน จึงต้องรับงานชิ้นนี้

"โห ให้ซ่อมสองคันนี่ให้เสร็จ ภายใน 3 วันนี่ จะทันมั้ยน้อ"
"เช็คสภาพแล้ว ทันแน่นอน ถ้ามึงไม่อู้งานน่ะ ยังไงก็ทัน"
"มึงบอกว่า อยากไปกราบหลวงพ่อคูณที่ขอนแก่น ในวันที่ 24 งั้นมึงต้องรีบซ่อมรถให้เสร็จภายใน 2 วัน ไม่งั้นอดแน่"
"เอาว่ะ ลุย.."

เขาและเพื่อนร่วมงาน ต่างลงมือทำงานทันที จนถึงช่วงเย็น แต่ละคน เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า

"ขอพักซักครึ่งชั่วโมงนะ"
"กูจะไปซื้อน้ำ กะขนมที่ เซเว่น มึงจะเอาอะไรรึเปล่า"
"ฝากซื้อเอ็ม 150 ขวดนึง"
"กูเอากาแฟ กระป๋องนึง น้ำเปล่าขวดนึงนะ"
"เออ เดี๋ยวกูมา เดี๋ยวกูออกตังค์ให้ก่อน เดี๋ยวพวกมึงค่อยจ่าย ตอนปิดร้านละกัน"

เขาเดินไปที่ร้านเซเว่นที่ปากทาง เห็นมีคนหลายคน มายืนแถวนั้น ดูท่าทางไม่น่าไว้ใจ ที่ริมฝั่งถนนทั้งสองฝั่ง มีสองกลุ่ม กำลังยืนประจันหน้ากันอยู่ แบบนี้ คงจะมีเรื่องกันล่ะมั้ง... เขาพยายามหาทางเดินเลี่ยงบริเวณนั้น จะได้เข้าร้านเซเว่น ซื้อของให้เร็วที่สุด แต่ถนนเส้นนั้น เป็นซอยแคบๆ เขาจึงต้องเดินไปด้านหลังคนกลุ่มหนึ่ง ด้านที่ติดกับเซเว่น เดินอ้อมคนที่ยืนแถวหลังอย่างตัวลีบ

"เฮ๊ย!! ลุย"
กลุ่มคนที่อยู่อีกฝั่งถนน โยนก้อนหินมา ก้อนหนึ่งโดนหัวของเขา ฝ่ายคนที่ยืนอยู่ฝั่งที่เขาเดินอยู่ ถือไม้แล้วรีบวิ่งเข้าหาอีกฝั่ง สองฝ่ายวิ่งเข้าหา ปะทะกัน ชุลมุน มีใครคนหนึ่งจากฝั่งถนนตรงข้าม เหวี่ยวไม้มาเกือบโดนเขา เขารีบวิ่งเข้าไปในร้านเซเว่น

ข้างนอก ชุลมุนอยู่พักหนึ่ง เมื่อมีใครคนหนึ่งขับรถกระบะ แล่นเข้ามาบริเวณนั้น เขาได้ยินนักเลงฝ่ายหนึ่ง ตะโกนขึ้นมาว่า เอ๊ย ไอ้นั่นมาแล้ว ถอยก่อนๆๆๆ แล้วสถานการณ์ก็เริ่มคลี่คลาย....

เขารีบซื้อของตามที่เพื่อนฝากซื้อ รีบจ่ายเงินแล้ว รีบหิ้วถุงออกจากร้านทันที จู่ๆ มีคนขี่มอเซอร์ไซต์มาที่บริเวณนั้น ลงจากรถแล้ว ชี้หน้าด่าฝ่ายตรงกันข้าม เขาเดินเข้าไปในซอยไม่ได้ เพราะคนสองกลุ่ม ยืนประจันหน้ากัน ปิดทางเข้าซอย และแล้ว ทั้งสองฝ่าย ก็เริ่มตะลุมบอนกันอีกครั้ง

"โอ๊ย.."
เขาโดนลูกหลงอีกแล้ว คนฝ่ายที่ยืนอยู่ฝั่งถนนเดียวกันเขา หันมามอง แล้วถามว่า ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย แล้วหยิบไม้ให้เขา แล้วดึงมือเขาออกไปสู้กับฝ่ายตรงกับข้าม เขาเซตามแรงผลัก เขาไปอยู่ในวงที่เกิดเรื่องตีกัน เขาโดนไม้หน้าสามตีเข้าที่แขน เขารีบหลบออกมาจากบริเวณนั้น คนสองกลุ่มตีกันอยู่พักหนึ่ง ตำรวจก็มาถึง เขารีบเดินเข้าซอย ไปยังร้านซ่อมรถทันที

"เฮ๊ย อะไรวะ ฝากซื้อกาแฟกระป๋อง กะน้ำ นี่มึงได้เลือดเลยเหรอ"
"โคตรซวยจริงๆว่ะ ดันไปเจอคนตีกันพอดี กูเลยโดนลูกหลง"
"ถือซะว่า ฟาดเคราะห์ละกันนะ"
"โดนฟาดแบบนี้ ก็ไม่ไหวเหมือนกันนะโว้ย ดีไม่โดนหัวแตก"
"ทำงานไหวรึเปล่าวะ"
"พักสักชั่วโมงก่อนก็ได้นะมึง ไปหาทายาแก้ฟกช้ำก่อน เดี๋ยวสักครึ่งชั่วโมง มึงค่อยมาทำงานต่อ"
"เออ ก็ได้ว่ะ"

เมื่อได้พัก เขาจึงเดินไปที่ร้านอินเตอร์เนตคาเฟ่ พักสักชั่วโมง เล่น facebook ทักทายเพื่อนฝูงซะหน่อย นี่เป็นอีกหนึ่งความสุขเล็กๆในชีวิตของเขา

เดินเข้ามาในร้าน ก็เจอหนุ่มคนหนึ่ง มายืนมองๆ แปลกๆ เขาเดินไปถามเจ้าของร้าน ว่า ไอ้หนุ่มนั่น มารอใครเหรอ เจ้าของร้านตอบว่า เห็นบอกว่า รอเพื่อน ตะกี้เข้าไปถามว่า จะเล่นเนตมั้ย มันบอกว่า รอเพื่อนแป๊บนึงก่อน ถึงจะเล่น

"แปลกนะ แทนที่จะนั่งเล่นรอเพื่อน นี่มันจะยืมเงินเพื่อนมาเล่นเนตรึยังไง"
เขานั่งเล่นเนต ที่เครื่องเบอร์ 9 ในร้านส่วนใหญ่ มีแต่เด็กๆ มานั่งเล่นเกม กันเต็มเกือบทุกโต๊ะ เขาสังเกตเห็น หนุ่มคนนั้น เข้าไปถามเด็กคนนั้น คนนี้ ว่า ว่างมั้ย จะให้ไปช่วยยกของ มีค่าขนมให้ คนละ 100 บาท เลยนะ ไปแป๊บเดียว เขาได้ยินเด็กหลายคน ปฏิเสธ ไม่อยากไปไหน อยากจะเล่นเกมส์มากกว่า

ไอ้หนุ่มคนนี้ พยายามเข้าไปถามเด็กคนนั้น คนนี้ ..

แปลก.. มันจะมาเอาเด็กตัวเล็กๆ ไปช่วยยกของทำไมกัน ทำไมไม่จ้างผู้ใหญ่ ที่มีกำลังวังชามากกว่าเด็กๆล่ะ
"พี่ เดี๋ยวผมไปช่วยยกของให้ก็ได้ ที่ไหนล่ะ"

ไอ้หนุ่มคนนั้น หันมามองหน้า แล้วบอกว่า ไม่เป็นไร แต่เขาบอกว่า เขาช่วยยกให้ก็ได้ ไอ้หนุ่มคนนั้น รีบเดินออกมาจากร้านเนตทันที

จนกระทั่งเขาเล่นเนต ครบเวลา จึงเดินออกมา เห็นผู้ชายคนที่เจอในร้านเนต เดินอยู่ข้างหน้าเขา มีเด็กคนหนึ่งเดินตามเขาไปด้วย

"อะไรวะ หาเด็กไปยกของจนได้ ทำไมมันต้องให้เด็กไปช่วยยกวะ"
เขาเดินต่อไป จะกลับไปทำงานที่ร้าน

"เอ๊ะ นั่น จะพาลูกชั้นไปไหนน่ะ" เสียงดังขึ้นมาจากด้านหลังของเขา เมื่อมองไป เขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมา
เขาหันกลับไปมองที่หนุ่มคนนั้น เห็นก้มลงอุ้มเด็ก แล้วรีบวิ่งทันที...

"แก๊งขโมยเด็ก !!!"

พอได้ยินเสียงตะโกน เขาก็รีบวิ่งตามชายคนนั้นทันที เสียงตะโกนเรียก ทำให้คนในซอยนั้น โผล่ออกมามุงดู ชายคนนั้น รีบปล่อยเด็กลง แล้วรีบวิ่งหนีออกจากบริเวณนั้น เขารีบวิ่งไปดักอีกทาง โผล่มาตรงทางแยก หนุ่มคนนั้น วิ่งเข้ามาชนเขาพอดี จนเขาล้มโครม กระเด็นไปชนเข้ากับถังขยะ หัวเขาไปชนโดนอะไรสักอย่าง หนุ่มคนนั้น ก็ลุกขึ้นวิ่งหนีต่อไป

เขาเดินลูบหัว กลับเข้าไปที่ร้าน เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้เพื่อนร่วมงานฟัง

"เฮ๊ย ให้ไปพัก ดันซวยไปเจอเรื่องใหม่อีก เจ็บหัวมาอีกแล้ว แบบนี้ ดวงไม่ค่อยดีแล้วล่ะ ต้องไปทำบุญซะแล้ว"
"วันนี้ พอแค่นี้ดีกว่า จะปิดร้านแล้ว กลับบ้านกันดีกว่า พรุ่งนี้ ค่อยมาทำงานต่อ"

ระหว่างนั่งรถโดยสารกับด่านขุนทด เขารู้สึกปวดเนื้อปวดตัว พอสมควร คงเกิดจากสิ่งที่เขาได้เจอในวันนี้ เขาอยากจะกลับให้ถึงบ้าน จะได้กินยาแก้ปวดและเข้านอน.. "รถติดขบวนอะไรเหรอ เห็นจอดแช่ตั้งนานแล้ว"
"ปิดถนน มีขบวนแห่งานอะไรรึเปล่า"
"รถข้างหน้า ต่อแถวยาวเลย รถติดเหมือน กทม อีกแล้ว"
รถค่อยๆ ขยับๆ ไปเรื่อยๆ จนผ่าน จุดที่เกิดอุบัติเหตุ รถชนกัน มีเจ้าหน้าที่กู้ภัย เอารถยก ลากรถที่เกิดอุบัติเหตุออกจากช่องทางจราจรแล้ว รถบนถนนจึงค่อยๆเคลื่อนตัวออกมาจากบริเวณนั้นได้

กว่าจะนั่งรถมาถึงหมู่บ้าน เกือบสองชั่วโมง...

"โอย ไม่ไหวแล้วพ่อ งานที่ร้านก็ยังไม่เสร็จ แบบนี้จะได้ไปงานหลวงพ่อคุณ มั้ยน้อ"
"ถึงไม่ได้ไปก็ไม่เป็นไรหรอก ความนับถือมาจากใจ เคารพนับถือท่าน เอาคำสอนของท่านมาปฏิบัติเป็นทางนำชีวิต นี่ก็ตรงตามเจตนาของหลวงพ่อคุณ เช่นกันนะ ท่านสอนให้พวกเราเป็นคนดีนี่"
"ดูข่าวในทีวี แล้วน้อมส่งจิต ระลึกถึงท่านก็ได้ ปลายเดือนนี้ ในตัวเมืองโคราช ก็จัดสวดมนต์บำเพ็ญกุศล ครบ 15 วันที่หลวงพ่อคุณจากไป เราไปร่วมงานที่วัดก็ได้นะ"


เขาพนมมือขึ้นท่วมหัว ระลึกถึงหลวงพ่อคุณ ยังมีคนอีกหลายล้านคน ที่ไม่ได้ไปกราบสรีระร่างของหลวงพ่อคูณที่ขอนแก่น เหมือนกับคนด่านขุนทดอีกหลายคน ที่ไม่มีโอกาสได้ไปขอนแก่น เช่นกัน

ชีวิตของคนธรรมดาๆของเขา ไม่ใช่คนเด่นคนดัง เรื่องราวไม่ดราม่า น่าสนใจสำหรับใครๆ ชีวิตรายวันที่เจอเรื่องราวริมถนน จนไม่ได้ไปกราบหลวงพ่อคูณตามที่ตั้งใจไว้ แต่ท่านยังอยู่ใกล้ๆ อยู่ในใจ ไม่ใช่ใกล้แค่เหรียญหลวงพ่อคุณรุ่นเก่า ที่มีคนถามซื้อจากเขาหลายๆครั้ง...