++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2553

เรื่องเล็กน้อย มันจะไม่น้อยก็เพราะอย่างนี้..

วันนี้ท้องฟ้าในกรุงเทพสีแปลกๆ มันเหลืองๆ ขมุกขมัว พาลให้วันสวยๆ สวยได้แค่กลางวัน เพราะเมื่อฝนโปรยลงมาตอนเที่ยงครึ่ง จากนั้นฟ้าก็ขะมุกขะมอมทั้งวันเลยค่ะ

ลมฟ้าอากาศ มีผลต่อจิตใจของเราจริงๆค่ะ ฉันเชื่ออย่างนั้น
เพราะตัวเองก็เป็นคนหนึ่ง ที่มักจะแปรปรวนตามสภาพอากาศบ่อยๆ
เวลาฟ้าหม่น ฉันมักจะรู้สึกว่าอะไรรอบตัวไม่สดใส แต่เวลาฟ้าใส ฉันรู้สึกว่าโลกนี้ช่างสดสวย อยากจะโบยบินไปอยู่ที่ใดสักที่ ที่ไม่ใช่โต๊ะทำงาน

แล้วก็รู้สึกว่า ตายแล้ว มาเป็นนกน้อยในกรอบอยู่ทำไม ทำไมฉันไม่ไปทำนั่นทำนี่ ออกจากกฎของมนุษย์เงินเดือนแล้วก็โบยบิน
เฮ้อ บางทีฉันก็รู้สึกว่าตัวเองคิดอะไรง่ายๆพอๆกับยากๆ

จริงๆแล้วคนเราก็ซับซ้อนนั่นแหละค่ะ เหตุผลจึงมีไว้คะคานกับอารมณ์
เพราะอารมณ์ มันพาให้เราคิดอะไรไปได้ไกลๆ แต่ถ้าไม่มีเหตุผลมาดึงไว้ เราอาจจะทำในบางสิ่งที่อาจจะ ไม่ใช่ หรือ ผิด หรือว่า ไม่ควร
ก็เป็นได้ แต่ถึงกระนั้นเราก็ยังปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลได้
ตั้งหลายเรื่อง แถมบางเหตุผลก็เป็นเหตุผลที่ไม่ได้มีตรรกะอันใดเลย
นอกจากเป็นเหตุผลที่เกิดขึ้นมาเพื่อเข้าข้างตัวเอง ( ในทางที่ไม่ดีแต่ก็ยังจะทำ )

อารมณ์กับเหตุผล มันอยู่คนละซีกนี่คะ แถมยังไม่สามัคคีกันด้วย

ลองสังเกตตัวเองดูนะคะ อย่างฉันเองนั้นเป็นคนอารมณ์ร้อน และใช้อารมณ์มากกับทุกเรื่อง ฉันมักจะไม่ฟังอะไรใครทั้งนั้น เพราะฉัน
เอาตัวเองเป็นใหญ่ ( รู้ว่าไม่ดีค่ะ )

ฉันชอบตัวเองเวลาได้ใช้อารมณ์ในการเขียนหนังสือ แต่ไม่ชอบที่ตัวเองอารมณ์ร้อนและบางครั้งก็ไม่เข้าท่า เพราะความเป็นคนเจ้าอารมณ์ของตัวเอง ทำให้ฉันหยุดคิดไม่ค่อยได้

คือฉันจะนับ 1 – 10 ไม่ค่อยได้ เพราะฉันจะปล่อยให้ระเบิดลงก่อนเสมอค่ะ นี่เป็นสิ่งที่ไม่ดีเอาเสียเลย รู้นะ พยายามจะแก้ แต่แก้ไม่ได้
ทุกเคส เพราะบางเคสก็เหลือรับ ขอวีนแตกก่อนแหละ

แต่ก็แปลก ที่คนที่มักจะโดนระเบิดลงจากเรา มักจะเป็นคนใกล้ตัว สังเกตไหมคะ ว่าคนใกล้ตัวนี่แหละที่จะกลายเป็นที่รองรับอารมณ์ของเราโดยอัตโนมัติ โดยเฉพาะกับคนใกล้ชิด หรืออาจจะเป็นคนรัก
หรือใครก็ตามที่เราสนิทด้วย


แล้วเราก็มักจะมานั่งคิดได้ทีหลังอยู่เรื่อยเลย

เวลาที่อารมณ์เสีย หรืออารมณ์ไม่ดี ร้อยทั้งร้อย มักจะไม่คิดก่อนพูด หากหลุดอะไรออกไปก็มักจะเป็นคำที่ไม่เพราะ และทำให้คนฟังรู้สึกไม่ดี แถมบางทีไม่รู้ตัวด้วยนะคะ แต่พูดไปแล้ว อีกฝ่ายก็ record ไปแล้ว จะแก้ตัวอะไรได้อีก

พูด ไม่คิดนี่แหละตัวดี เพราะมันบั่นทอนความสัมพันธ์ ทำให้คนรักกันเลิกกันมาเยอะแล้ว บางเรื่องเล็กน้อยด้วยซ้ำ แต่คำพูดทำให้ความรู้สึกนั้นฝังใจ เมื่อโดนทำร้ายความรู้สึกไปเรื่อยๆ วันหนึ่งความอดทนก็ต้องสิ้นสุด

เรื่องเล็กน้อย มันจะไม่เล็กน้อยก็เพราะอย่างนี้...

ไม่มีอะไรเล็กน้อย สำหรับความสัมพันธ์ของคนสองคนค่ะ หากสองคนรักกัน ดูแลถนอมน้ำใจกัน ไม่ทำให้อีกฝ่ายระคายเคืองด้วยคำพูดบั่นทอน คิดถึงใจเขา ใจเรามากๆ

จะรักกันไปนานๆ ก็ต้องหมั่นเติมความรู้สึกดีๆให้กันเสมอ อย่าเห็นอีกฝ่ายเป็นกระโถนอยู่ร่ำไป คนเรามีหัวจิตหัวใจ เรายังไม่ชอบ ไม่อยากทนเลย แล้วใครจะไปชอบ จะไปทน

ถามตัวเองสั้นๆแค่นี้ จะได้ soft ลง ดีไหมคะ

เตียงไม่หัก บ้านไม่พังแน่ๆ รับรองค่า !!!

ศึกษาหลักสูตรเวชปฏิบัติฉบับประชาชน โรงพยาบาล 1800 เตียง กรณีศึกษา องค์การบริหารส่วนตำบลสะอาดสมบูรณ์ อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด

เรียบเรียงโดย กฤนกวรรณ สุวรรณกาญจน์

            "ผู้นำ คิดไกล ใจกว้าง
            ชุมชน ร่วมทาง แก้ไข
            ประชา คมเด่น เป็นใจ
            อนามัย เป็นหลัก ผลักดัน
                กองทุนสุขภาพฯ ก่อเกิด
            บรรเจิด ใช่เพียง ภาพฝัน
            สุขภาพ ดีด้วย ช่วยกัน
            ประชา สุขสันต์ กายใจ"

            นี่คือ บทกลอนอันกล่าวถึงผลสำเร็จของงานที่ อบต.สะอาดสมบูรณ์
            สะอาดสมบูรณ์ เป็นตำบลเล็กๆอีกแห่งหนึ่งในจังหวัดร้อยเอ็ด ที่ค่อนข้างห่างไกลตัวเมือง ถึง 13 กิโลเมตร คนส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพทำนา และไร่ยาสูบเตอร์กิช ซึ่งถูกมองว่า เป็นอาชีพที่เสี่ยงต่อระบบสุขภาพ แต่ถึงกระนั้น ชุมชนแห่งนี้ กลับมีต้นทุนสำคัญที่ช่วยสร้างหลักประกันสุขภาพฯ และสุขภาวะชุมชนได้อย่างครอบคลุมและตรงความต้องการ

            หลักสูตรเวชปฏิบัติฉบับประชาชนและโรงพยาบาล 1800 เตียง ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ทางความคิดและความภาคภูมิใจของคนสะอาดสมบูรณ์แห่งนี้
            นายกเขมชาติ โภคาเทพ เป็นที่รักและศรัทธาของคนในชุมชนแห่งนี้มานานมาก ด้วยแนวคิดทางด้านการจัดระบบสุขภาพและสามารถผันออกมาเป็นวิธีการอย่างชัดเจน กลายเป็นนโยบายอันดับต้นๆของ อบต.เล็กๆแห่งนี้

            จากการประเมินสภาพปัญหาเร่งด่วนของชุมชนอย่างมีส่วนร่วมคิดและ ร่วมแก้ไขปัญหา โดย อสม.จะทำหน้าที่ในการเก็บข้อมูลสภาพปัญหาชุมชนก่อนจะเริ่มประชุม เพื่อร่างแผนงานทำให้โครงการหลักประกันสุขภาพฯ จนเกิดแผนงานและคณะกรรมการซึ่งเป็นตัวแทนจากหน่วยต่างๆในชุมชน
            โดยแบ่งแนวคิดหลักออกเป็น 2 ส่วน คือ กิจกรรมเชิงป้องกันและกิจกรรมเชิงฟื้นฟู อันก่อให้เกิดนวัตกรรมใหม่ที่คนสะอาดสมบูรณ์เป็นผู้ร่วมคิดร่วมสร้าง

            โครงการส่งเสริมสุขภาพ โรงพยาบาล 1800 เตียง ที่เกิดจากการประมวลสภาพปัญหา ที่ว่า ไม่มีความรู้ในการดูแลรักษาสุขภาพตนเอง  หรือ การปฏิบัติตัวที่ถูกต้องป้องกันโรค นอกจากนี้ ยังเป็นเรื่องเวลาที่เสียไปในการเดินทางเมื่อต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลและความไม่เชื่อมั่นในระบบของสถานบริการอื่นๆ

            เมื่อพบสาเหตุแห่งปัญหา วิธีการแก้ไขจึงถูกต้องและตรงจุด อบต.สะอาดสมบูรณ์จัดให้มีการอบรมเรืองการดูแลสุขภาพเบื้องต้นที่คนทั่วไปสามารถทำได้เอง ทั้งในเชิงป้องกันและความรู้ในเรื่องวิธีการดูแลรักษาตนเอง ด้วยการสร้างหลักสูตร การพยาบาลเวชปฏิบัติ ฉบับประชาชนขึ้น เพื่อแจกจ่ายเป็นการศึกษาแก่คนในท้องถิ่น
            โครงการนี้ได้สนับสนุนให้แต่ละครอบครัวจัดมุมพยาบาล ทั้งตู้ยาสามัญพยาบาลและเตียงคนไข้ เอาไว้หนึ่งมุมภายในบ้าน ตามแนวคิดที่ว่า "หนึ่งครอบครัว หนึ่งหมอชาวบ้าน หนึ่งมุมพยาบาล"
            ปัจจุบัน โครงการนี้ครอบคลุมพื้นที่มากกว่า 1500 ครัวเรือนและจะขยายออกเป็น 1800 ครัวเรือน ในปี 2551
            ปัจจัยความสำเร็จ เป็นผลที่สืบเนื่องมาจากความรู้ความสามารถและแรงศรัทธาของคนสะอาดสมบูรณ์ที่มีกับตัวนายก อบต. อันเป็นต้นทุนของการสร้างความเข้มแข็งในการดำเนินโครงการ ความรู้สึกร่วมและการมีส่วนร่วมในการระดมปัญหาโดยการใช้ข้อมูลเป็นปัจจัยชี้ขาดในการทำงาน ที่ได้รับการทุ่มเทจาก อสม. ในการลงเก็บข้อมูลเพื่อหาสาเหตุที่ทำให้เห็นถึงวิธีทางในการแก้ไขอย่างตรงจุด พร้อมกับมาตรการเชิงรุกในการขยายผลความเข้าใจในสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับจากกองทุนฯ

            สมดังคำที่ว่า "กองทุนสุขภาพฯ ก่อเกิด บรรเจิด ใช่เพียง ภาพฝัน"  ดังบทกลอนข้างต้น

    ข้อมูลพื้นฐานประกอบการเขียนโดย
      สาคร อินโท่โล่
    สุจิมา ติลการยทรัพย์
    เนาวรัตน์ สุขณะล้ำ
           

ที่มา ถอดบทเรียน การดำเนินงานระบบหลักประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่
(กองทุนหลักประกันสุขภาพ อบต. และเทศบาล) ในพื้นที่ต้นแบบทั่วประเทศ กรณีศึกษา ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง
เลข  ISBN : 978-974-379-047-8
ธันวาคม 2551

วรรณคดีไทย สมัยกรุงสุโขทัย

            วรรณคดีไทยซึ่งเก่าแก่ที่สุด และปรากฏหลักฐานมาจนทุกวันนี้ เกิดขึ้นเพียงแค่สมัยสุโขทัยลงมา ทั้งนี้อาจเป็นเพราะอักษรไทยเพิ่งมีขึ้นในรัชกาลของพ่อขุนรามคำแหงแห่งกรุงสุโขทัย และการเขียนหนังสือในครั้งกระโน้น ใช้กระดาษข่อยหรือใบลาน จึงสูญหายไปได้ง่าย วรรณคดีซึ่งพอสันนิษฐานได้ว่า เกิดขึ้นในยุคเริ่มแรกคือ สมัยสุโขทัย มีเพียง ๕ เรื่อง คือ
            ๑. ศิลาจารึกหลักที่ ๑ ของพ่อขุนรามคำแหง
            ๒.สุภาษิตพระร่วง ของพ่อขุนรามคำแหง
            ๓. ศิลาจารึกวัดป่ามะม่วง ของพระยาลิไท
            ๔. ไตรภูมิกถา (ไตรภูมิพระร่วง) ของพระยาลิไท
            ๕. นางนพมาศ (ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์)

วิธีอยู่กับคน โดย ว.วชิรเมธี

รู้ไหมว่า เรามีเวลาอยู่ในโลกนี้คนละกี่ปี



ชีวิตนั้นสั้นยิ่งกว่าหยดน้ำค้างเสียอีก จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า



ถ้าเราใช้เวลาอันแสนสั้นนี้ไปมัวหลับๆตื่นๆอยู่ในความรัก โลภ โกรธ หลง

หมั่นไส้คนนั้น ปลาบปลื้มคนนี้ ริษยาเจ้านายใส่ไคล้ลูกน้อง

ปกป้องภาพลักษณ์ (อัตตา) กด (หัว)

คนรุ่นใหม่หลงใหลเปลือกของชีวิต



โดยลืมไปเลยว่าอะไรคือสิ่งที่ตนควรทำอย่างแท้จริง

คิดดูเถิดว่า เราจะขาดทุนขนาดไหน



ท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ เขียนบทกวีไว้ว่า



''น้ำไหลอายุขัยก็ไหลล่วง ใบไม้ร่วงชีพก็ร้างอย่างความฝัน

ฆ่าชีวาคือพร่าค่าคืนวัน จะกำนัลโลกนี้มีงานใด''



คนเราไม่ควรพร่าเวลาอันสูงค่าด้วยการปล่อยตัวปล่อยใจ

ให้ตกเป็นทาสของความชอบ ความชัง มากนัก

เพราะถ้าเราวิ่งตามกิเลส กิเลสก็จะพาเราวิ่งทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ต่อไปไม่รู้จบ

กิเลสไม่เคยเหนื่อย แต่ใจคนเราสิจะเหนื่อยหนักหนาสาหัสไม่รู้กี่เท่า



ควรคิดเสียใหม่ว่า



เราไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะชอบหรือไม่ชอบใคร

หรือเพื่อที่จะให้ใครมาชอบหรือมาชัง

แต่เราเกิดมาสู่โลกนี้



เพื่อทำในสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งควรจะทำ







เอาเวลาที่รู้สึกแย่ๆ กับคนอื่นนั้นหันกลับมามองตัวเองดีกว่า

ชีวิตนี้เรามีอะไรบ้างที่เป็นแก่นสาร มีงานอะไรบ้างที่เราควรทำ

นอกจากนั้นก็ควรมองกว้างออกไปอีกว่า

เราได้ทำอะไรไว้ให้แก่โลกบ้างแล้วหรือยัง



คนทุกคนนั้นต่างก็มีดีมีเสียอยู่ในตัวเอง

ถ้าเราเลือกมองแต่ด้านเสียของเขา

จิตใจของเราก็เร่าร้อน หม่นไหม้

เวลาที่เสียไปเพราะมัวแต่สนใจด้านไม่ดีของคนอื่น



ก็เป็นเวลาที่ถูกใช้ไปอย่างไร้ค่า



บางที่คนที่เราลอบมอง ลอบรู้สึกไม่ดีกับเขานั้น

เขาไม่เคยรู้สึกอะไรไปด้วยกันกับเราเลย

เราเผาตัวเราเองอยู่ฝ่ายเดียวด้วยความหงุดหงิด ขัดเคืองและอารมณ์เสีย

วันแล้ววันเล่า สภาพจิตใจแบบนี้ไม่เคยทำให้ใครมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นมาได้เลย



ลองเปลี่ยนวิธีคิด วิธีมองโลกเสียใหม่ดีกว่า

คิดเสียว่าคนเราไม่มีใครดีพร้อม



หรือ เลวไม่มีที่ติไปเสียทั้งหมดหรอก

เราอยู่ในโลกกันคนละไม่กี่ปี



ประเดี๋ยวเดียวก็จะล้มหายตายจากกันไปหมดแล้ว

มาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระทำไม



อะไรที่ควรทำก็รีบทำเถิดปล่อยวางเสียบ้าง

ความโกรธ ความเกลียดนั้นไม่มีคุณค่าอะไรต่อชีวิตอันแสนน้อยนิดนี้เลย

มุ่งไปข้างหน้า ไปหาสิ่งที่มีคุณค่าให้ชีวิตดีงามดีกว่า



วิธีที่แนะนำทั้งหมดนั้น



นักภาวนาเรียกว่า ''การกลับมาอยู่กับตัวเอง''

กล่าวคือ ถ้าเราเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องอยู่กับคนที่ไม่ถูกโฉลก

แทนที่จะปล่อยใจให้อยู่กับ ความรู้สึกแย่ๆไปตลอด



ก็ควรหันกลับเข้ามา ''มองด้านใน''

แก้ไขที่ตัวเอง อย่ามุ่งแก้ไขที่คนอื่น

เพราะยิ่งพยายามแก้ไขคนอื่น ก็ยิ่งยุ่งเหมือนลิงทอดแห

ยิ่งเราให้ความสำคัญกับคนที่เราเกลียดมากเท่าใด

สภาพจิตใจก็ยิ่งแย่ลงมากเท่านั้น



วิธีที่ดีที่สุดในการอยู่กับคนที่เรารู้สึกไม่ดีหรือเป็นปฏิปักษ์ก็คือ

การดึงความรู้สึกจากเขามาอยู่เราทุกขณะ

หรือถ้าเช่นนั้นก็ย้ายตัวเองออกไปเสียจาก สภาพแวดล้อมเช่นนั้นให้เร็วที่สุด

อย่าอยู่นานจนทุกข์นั้นกลัดหนองเป็นมะเร็งร้ายในอารมณ์



ปราชญ์จีนบอกว่า







''ถ้ามีขุนเขาขวางท่านอยู่ข้างหน้า อย่าเสียเวลาย้ายขุนเขา

แต่จงย้ายตัวเอง ''



ดังนั้นเราควรจะย้ายภูเขาที่อยู่ข้างในหรือจะย้ายภูเขาที่อยู่ข้างนอก?

ปัญญาทองสมองเพชร " คลี่คลายคดีด้วยคำว่าเงิน"



            ครั้งหนึ่ง มีคนๆหนึ่ง ไปพักที่โรงแรม พอตื่นขึ้นมาปรากฏว่าเงิน 50 ตำลึงได้อันตรธานหายไป คืนนั้นไม่มีผู้พักแรมคนอื่นๆนอกจากตัวเขา   เขาจึงสงสัยว่าเป็นฝีมือของเจ้าของโรงแรม ดังนั้นจึงไปแจ้งความกล่าวหาเจ้าของโรงแรมว่าเป็นคนขโมยเงินของเขาไป เจ้าของโรงแรมเห็นว่า ไม่มีทั้งพยานบุคคลและไม่มีทั้งพยานวัตถุจึงปฏิเสธอย่างแข็งขัน

            นายอำเภอเป็นคนที่มีประสบการณ์ในเรื่องคดีความมาก จากการเจรจาพาทีของเจ้าของโรงแรม เขาแน่ใจว่าเงินนี้ถูกเขาขโมยไปจริงๆ แต่เนื่องจากไม่มีพยานหลักฐานจึงตัดสินคดียาก นายอำเภอจึงเฉยไว้ก่อน แล้วให้เจ้าของโรงแรมยื่นมือออกมา จากนั้นเอาดินสอสีแดงเขียนคำว่า เงิน ติดอยู่ที่ฝ่ามือของเขาแล้วสั่งว่า "เจ้าจงไปนั่งตากแดดกลางแจ้ง ถ้าตากแดดเป็นเวลานานแล้วตัวหนังสือยังอยู่ ก็ถือว่าเจ้าบริสุทธิ์"

            ต่อจากนั้นนายอำเภอส่งเจ้าหน้าที่ที่มีความสามารถไปที่โรงแรมอย่างลับๆ ให้ไปกล่าวกับเมียเจ้าของโรงแรมว่า "แขกที่มาพักโรงแรมถูกขโมยเงิน สามีนางได้รับสารภาพแล้วว่า เป็นคนขโมยเงินไปเอง  ตอนนี้จะมาเอาเงิน ขอให้นำเงินมามอบให้ด้วย"   แต่ว่าเมียเจ้าของโรงแรมเป็นคนเจ้าเล่ห์มาก บอกว่านางไม่รู้ไม่เห็น เจ้าหน้าที่ไม่สามารถหลอกเอาความจริงจากนางได้ จึงคุมตัวนางมาที่ห้องพิจารณาคดี  นายอำเภอได้ทวนความกับนางอีกครั้ง ยังคงไม่ยอมรับ นางเห็นสามีนั่งตากแดดอยู่กลางแจ้ง ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอะไร จะเข้าไปพูดคุยด้วยก็ไม่กล้า  ได้แต่สงสัยใจ ยามนั้นพลันได้ยินนายอำเภอตะโกนถามสามีนางว่า "เงิน" ในมือเจ้ายังอยูาไหม เจ้าของโรงแรมตอบสวนทันควันว่า "ยังอยู่ครับ"  เมียเจ้าของโรงแรมหวาดระแวงแต่แรกแล้ว ครั้นได้ยินอย่างชัดแจ้งจากปากสามียอมรับว่า เงินยังอยู่ เข้าใจว่าสามีรับสารภาพแล้ว จึงไม่กล้าปกปิดอำพราง ยอมรับสารภาพแล้วกลับไปนำเอาเงินที่เก็บซ่อนอยู่ออกมาคืน

ศิลาจารึกหลักที่ ๑ - วรรณคดีไทยสมัยสุโขทัย



        ประวัติ - สันนิษฐานว่าจารึก ๒ ครั้ง ครั้งแรก จารึกตามพระบรมราชโองการของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ครั้งที่สองคงจารึกภายหลังรัชกาลพ่อขุนรามคำแหง เพราะเป็นข้อความพระบารมีของพ่อขุนรามคำแหง และใช้ตัวอักษรผิดกับครั้งแรกมาก
            เจ้าฟ้าชายมงกถฏ (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ขณะผนวชอยู่วัดราชาธิวาส ทรงนำศิลาจารึกหลักที่ ๑ จากบริเวณพระราชวังเก่ากรุงสุโขทัยลงมากรุงเทพฯ พร้อมกับ พระแท่นมนังคศิลา เมื่อ พ.ศ.๒๓๖๗ เวลานี้ศิลาจารึกหลักที่ ๑ อยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
                ทำนองแต่ง - แต่งเป็นร้อยแก้ว แต่บางตอนมีสัมผัส
            ข้อคิดเห็น - ศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช มีค่าทางอักษรศาสตร์เป็นอันมาก ทำให้ทราบลักษณะภาษาไทยสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชว่า ส่วนมากเป็นคำไทยแท้ มีคำภาษาอื่นปะปนอยู่บ้าง นิยมใช้คำคล้องจองกัน บางตอนใช้คำซ้ำกัน ส่วนใหญ่เป็นคำสำนวนสั้นๆหมดจด ไม่นิยมใช้คำเชื่อมคำต่อ นอกจากนี้ศิลาจารึกนี้ให้ความรู้ทางประวัติศาสตร์และขนบประเพณี เช่น กล่าวถึงพระราชประวัติและพระราชจริยวัตร ของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช  สภาพความเป็นอยู่ นิสัยใจคอและการทำมาหาเลี้ยงชีพของประชาชน การปกครอง การนับถือศาสนา การประดิษฐ์อักษรไทย ความอุดมสมบูรณ์และอาณาเขตของบ้านเมือง

วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2553

แจ้งประกาศตำแหน่งงานใหม่ ปลาย มกราคม 2553

ตำแหน่งงาน ณ : วันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2553

1.) ชื่อตำแหน่งงาน : อาจารย์ นักวิชาการพัสดุ  นักวิชาการคอมพิวเตอร์ จำนวนตำแหน่งว่าง : 8 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2553 - วันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634001829375312500

2.) ชื่อตำแหน่งงาน : เภสัชกร(รพ.หนองคาย) จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 - วันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634002070191875000

3.) ชื่อตำแหน่งงาน : พนักงานประจำห้องทดลอง (สวพ.1) จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : กรมวิชาการเกษตร
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 - วันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634001992782031250

4.) ชื่อตำแหน่งงาน : นักนโยบายและแผนปฏิบัติการ จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2553 - วันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634001969300468750


ตำแหน่งงาน ณ : วันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2553

1.) ชื่อตำแหน่งงาน : พนักงานราชการ หลายตำแหน่ง จำนวนตำแหน่งว่าง : 11 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553 - วันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634001128193593750

2.) ชื่อตำแหน่งงาน : อาจารย์   ภาควิชาบริหารธุรกิจ จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2553 - วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634001136982187500

วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2553

สุนทรพจน์ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีในงานวันครู ๑๖ มกราคม ๒๕๐๓




ท่านรัฐมนตรี ท่านประธานกรรมการจัดงาน ครูอาจารย์และท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย

            ข้าพเจ้ามีความยืนดีอย่างยิ่ง ที่ได้มาร่วมงานในวันนี้ซึ่งเป็นวันครู และข้าพเจ้าได้มีโอกาสมาอยู่ท่ามกลางผู้มีส่วนสำคัญในการสร้างอนาคตของชาติ  เพราะว่าในบรรดางานพัฒนาประเทศชาติในด้านต่างๆ นั้น ครูได้รับภาระอันสำคัญที่สุด คือ การพัฒนาคน และเป็นงานที่ยากลำบากมาก เพราะกว่าจะเห็นผลว่าเราทำถูกหรือผิดไป ก็ต้องใช้เวลานาน งานอื่นๆอาจจะเห็นผลในระยะใกล้ๆ ว่าที่เราทำไปนั้น ถูกหรือผิด แต่งานของครูคือ เรื่องให้การศึกษานั้น กว่าจะรู้กันก็ต้องใช้เวลาตั้ง ๒๐ ปี        เพราะต้องรอจนกว่าการศึกษาอบรมจะให้ผลในชั่วอายุของคนที่รับการศึกษา และถ้าได้พบว่า เราเดินทางผิดไป การที่จะแก้ไขก็ต้องใช้เวลานานเหมือนกัน ปัญหาอย่างนี้ได้มีขึ้นในสถาบันการศึกษาบางแห่ง ซึ่งเราจะต้องพยายามแก้ไขด้วยความยากลำบาก และเป็นตัวอย่างให้เราระมัดระวังในเรื่องแผนการศึกษา ทั้งในแผนส่วนกลางและแผนเฉพาะของโรงเรียน มหาวิทยาลัยและสำนักศึกษาต่างๆ  ว่าเราจะต้องทำด้วยความพินิจพิเคราะห์อย่างรอบคอบเป็นพิเศษ           

            ในงานประเภทอื่นๆ เราอาจจะรู้ขอบเขต รู้จุดจบว่าควรจะหยุดได้แค่ไหน คือ เมื่อสร้างคุณภาพและปริมาณได้เท่านั้นเท่านี้  ก็อาจจะเป็นการเพียงพอ เช่น ถ้าเราสร้างทางคมนาคมอย่างดีขึ้นได้อีก ๑๐,๐๐๐ กิโลเมตร หรือสร้างท่าเรือได้อีกสัก ๒ แห่ง เราก็รู้ว่าเป็นการเพียงพอ ผลผลิตทางเกษตรอุตสาหกรรมยังมีขอบเขตของปริมาณว่าต้องทำเพียงไร  ถ้าทำมากเกินขอบเขตอาจเป็นความเสียหาย เช่น การผลิตน้ำตาลตลาดซึ่งเป็นปัญหาลำบากอยู่ในเวลานี้ แต่ในเรื่องครูนั้น ไม่มีจุดจบ ไม่มีขอบเขต เราจะต้องสร้างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไป ทังในปริมาณและคุณภาพ ในทางปริมาณนั้น เรายังต้องการครูอีกหลายเท่าที่มีอยู่ในเวลานี้ และความต้องการอันนี้ จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไปตามส่วนที่เพิ่มของพลเมือง ส่วนในทางคุณภาพ ยิ่งสำคัญกว่าปริมาณ เพราะโลกก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว และความรู้ของเราจะต้องตามให้ทันเสมอ

            เราร่ำร้องกันถึงเรื่องฐานะของครู พูดกันอย่างตรงๆว่า อาชีพครูมีทางก้าวหน้าร่ำรวยน้อยกว่าอาชีพอื่น จึงเป็นเหตุให้ผู้มีความรู้เป็นอันมาก หลีกเลี่ยงอาชีพครูไปทำงานอื่น ข้าพเจ้ายอมรับว่า เรื่องนี้มีความจริงอยู่บ้าง ในปัจจุบันที่เราเห็นกับอาชีพครูอาจจะก้าวหน้าหรือร่ำรวยน้อยกว่าอาชีพอื่น แต่ก็ขอให้เราสังเกตว่า ครูอาจารย์มีอภิสิทธิ์หรือทางได้เปรียบเป็นพิเศษอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่มีในอาชีพอย่างอื่น คือ ความสงบสุข ไม่ต้องมีเวรมีภัยกับใคร มีแต่ทางที่จะสร้างพระคุณ สร้างความเคารพรักใคร่และนิยมนับถือ โดยเฉพาะชาติไทยเรา เป็นชาติที่ให้ความเคารพแก่ครูอาจารย์มาก นี้เป็นวัฒนธรรมอันล้ำเลิศที่เราจะต้องพยายามรักษาไว้ จารีตโบราณของไทย ซึ่งเราอาจจะได้พบในหนังสือเก่าๆ เช่น พงศาวดารหลวงพระบาง อธิบายแก่เราว่า ครูอาจารย์นั้นเป็นบุคคลที่สวรรค์ส่งมาให้ชาติไทย จึงให้เกียรติอย่างยิ่งแก่ครูอาจารย์ตั้งแต่โบราณกาลมา เรื่องความรัก ความเคารพบูชาและความนิยมนับถือเหล่านี้ ท่านอาจจะไม่เห็นผลในวันนี้ แต่ท่านจะเห็นผลในวันหน้า ผู้ที่เป็นครูอาจารย์มาช้านาน มีศิษย์หามาก  ย่อมเป็นผู้มีอิทธิพลอันสูงสุด จะเห็นประโยชน์ในยามคับขันในเมื่อเกิดความจำเป็นที่จะต้องได้การร่วมมือร่วมใจของคน เป็นประโยชน์ตลอดไปถึงลูกหลานผู้สืบตระกูลของท่าน ซึ่งเมื่อใครรู้ว่าเป็นลูกครูอาจารย์ของเขา  ก็ย่อมจะเกิดความรักใคร่ไมตรีขึ้นมาทันที เราได้ยินเรื่องบรรดาศิษย์ที่พากันไปรดน้ำครูอาจารย์ที่สูงอายุ เรี่ยไรกันซื้อของเครื่องใช้ให้เป็นสิ่งสักการะ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยพวกศิษย์ก็เข้ามาช่วยในการพยาบาลรักษา เราได้เห็นงานศพของบุคคลที่ไม่มีฐานะสูงอย่างไร แต่มีผู้คนคับคั่งมากมาย เพราะเหตุที่เป็นครูอาจารย์มา ถ้าเผอิญครอบครัวของครูอยู่ในที่ลำบาก พวกศิษย์ก็มักพร้อมใจกันให้ความช่วยเหลือ ใครจะใหญ่โตขึ้นสักเพียงไรก็ยังจะต้องเคารพครูอาจารย์ ตัวข้าพเจ้าเองในเวลานี้ พบครูอาจารย์เก่าแก่เข้าที่ไหน ก็ยังให้ความเคารพนบนอบ ทางดีของครูมีอยู่อย่างนี้ ถ้าเราเข้าที่ไหน ก็ยังให้ความเคารพนบนอบ ทางดีของครูมีอยู่อย่างนี้ ถ้าเราคิดถึงการไกลไปข้างหน้า เราจะเห็นได้ว่า  ฐานะของครูมอได้ต่ำต้อยเลย

            ข้าพเจ้าขอตั้งปณิธาน ให้ครูอาจารย์ทั้งหลายมีความสุขสวัสดี โดยทั่วกัน และขอตั้งปณิธานให้ชาติไทยเรารักษาวัฒนธรรมอันล้ำเลิศในการเคารพบูชาครูอาจารย์ และคงถือจารีตโบราณอยู่เสมอว่า ครูอาจารย์นั้น เป็นผู้ที่สวรรค์ส่งมาให้ ขอให้นักเรียนนักศึกษาไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่เคารพยกย่องครูอาจารย์ และข้าพเจ้ากล้าที่จะยืนยันว่า มีความจริงอันหนึ่งอยู่ในโลกนี้ว่า ผู้ที่ลบหลู่ครูอาจารย์นั้น จะไม่มีความเจริญในชีวิต ข้าพเจ้าสนับสนุนพิธีการที่ทำกันในวันนี้ ซึ่งเป็นพิธีที่ระลึกถึงครูอาจารย์ และตัวข้าพเจ้าเองก็มีส่วนแสดงความเคารพแก่ครูอาจารย์ทั้งหลายในที่นี้ด้วย

เคล็ดลับ แก้ปวดนิ้วหรือนิ้วล๊อก

ใครที่ต้องนั่งทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยการคลิกเมาส์บ่อย ๆ อาจเกิดอาการปวดนิ้วหรือนิ้วล๊อก วันนี้เกร็ดความรู้มีวิธีแก้มาฝากกัน...


ปวดนิ้วหรือนิ้วล๊อก เกิดจากเส้นเอ็นและเส้นประสาทที่บริเวณนิ้ว และข้อต่อต่าง ๆ ถูกกดทับเป็นเวลานานได้


วิธีแก้ คือ เมื่อเริ่มรู้สึกชาไม่มีแรงตามนิ้ว มือ และแขน ให้รีบหาลูกดิ่งหรือโยโย่มาเล่นทันที จะช่วยให้นิ้ว มือ และแขนได้ขยับเขยื้อน เคลื่อนไหว เลือดลมไหลเวียนไปเลี้ยงได้สะดวก และคลายตัวจากการล๊อก


วิธีป้องกัน พยายามลดการใช้เมาส์ลง แล้วหันมาใช้คีย์บอร์ดแทน


ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้.

ขอบคุณข้อมูลจาก เฮลตี้ทูเดย์

ตำครกกระเดื่อง กินข้าวกล้อง ลดเบาหวาน กรณีศึกษา องค์การบริหารส่วนตำบลดงเหนือ อ.บ้านม่วง จ.สกลนคร

เรียบเรียงโดย นพรัตน์ จิตรครบุรี


            "ตอนที่ ตร.กับน้าหมอที่อนามัยมาพาทำโครงการหมู่บ้านปลอดบุหรี่ ท่านมากินมานอนที่นี่ ท่านเป็นใครก็ไม่รู้ ไม่ใช่คนในหมู่บ้านท่านยังเห็นความสำคัญของสุขภาพชาวบ้าน พวกผมแท้ๆที่เป็นชาวบ้านและอยู่กับปัญหาจะเฉยอยู่ได้อย่างไร ตั้งแต่นั้นมาพวกผมก็นำเรื่องการสร้างสุขภาพของชุมชนเข้าสู่การประชุมของหมู่บ้านทุกเดือน" ประธาน อสม. บ้านคำอ้อ ตำบลดงเหนือ
            องค์การบริหารส่วนตำบลดงเหนือ เป็น อบต.ขนาดเล็ก ห่างจากจังหวัดสกลนคร 140 กิโลเมตร ผู้คนมีวิถีชีวิตดำเนินไปอย่างเรียบง่าย ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ทำนา ทำไร่ ทำสวน

            การจัดตั้งกองทุนหลักประกันสุขภาพระดับท้องถิ่น อบต.ดงเหนือ เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2549 กิจกรรมของกองทุนทั้งหมดเน้นเรื่องการสร้างเสริมสุขภาพ ได้แก่ โครงการอบรมพัฒนาศักยภาพ อสม. มุ่งสู่ตำบลสุขภาพดี, โครงการค่ายปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของประชาชนกลุ่มเสี่ยงเบาหวาน , โครงการครอบครัวอุ่นไอรัก , โครงการออกกำลังกายด้วยไม้พลองและโครงการออกกำลังกายด้วยครกกระเดื่อง ซึ่งเป็นโครงการที่เข้าถึงความเป็นชุมชนและได้รับความร่วมมือจากชุมชนเป็นอย่างดี

            "โครงการออกกำลังกายด้วยครกกระเดื่อง" พัฒนามาจากข้อมูลสุขภาพของชุมชนที่พบว่า กลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวานในชุมชนเพิ่มมากขึ้น จากการคัดกรองโดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขแต่ละปี แม้ว่าสถานีอนามัยจะจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพในกลุ่มเสี่ยงดังกล่าวมาโดยตลอด แต่ปัญหาก็ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับเจ้าหน้าที่ประจำสถานีอนามัยก็มีไม่เพียงพอกับจำนวนผู้รับบริการ จึงเป็นโจทย์สำคัญที่จะต้องช่วยกันคิดว่า จะทำอย่างไรกับปัญหานี้ดี

            คุณพาศิริ หล้าสอน พยาบาลวิชาชีพ 7 ประจำสถานีอนามัยคำยาง คือ หัวเรี่ยวหัวแรงในการทำประชาคมหมู่บ้าน ที่เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้เข้ามาช่วยกันคิดไม่ว่าจะเป็นชาวบ้าน อบต. อสม. หรือสถานีอนามัย เมื่อชุมชนช่วยกันคิดก็เจอทางออกร่วมกัน ใครจะไปคิดว่าภูมิปัญญาชาวบ้านที่เป็นวิถีชีวิตคนไทยมาช้านานจะช่วยบรรเทาและลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานได้
            "ตอนที่คิดวิธีแก้ปัญหาร่วมกับชาวบ้าน ตัวเองก็ได้แนวคิดมาจาก การไปดูงานสร้างสุขภาพในหลายๆที่ จึงมาคิดว่าถ้าคนที่เสี่ยงจะเป็นเบาหวานได้ออกกำลังกายด้วย ได้สุขภาพดีด้วย ครกกระเดื่องก็น่าจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยได้ ส่วนเรื่องรายได้จากการขายเป็นเรื่องรอง เพราะชาวบ้านที่นี่ ส่วนใหญ่ปลูกข้าวกินเอง แต่ถ้าเขาทำเยอะก็จะหาตลาดให้ เป็นการเสริมรายได้อีกทางหนึ่ง จึงเสนอให้แนวคิดชาวบ้านตอนทำประชาคม ซึ่งชาวบ้านก็เห็นด้วยและเขียนโครงการเพื่อขออนุมัติงบจากกองทุน.." คุณพาศิริ หล้าสอน พยาบาลวิชาชีพ 7 สถานีอนามัยคำยาง

            โครงการออกกำลังกายด้วยครกกระเดื่อง เป็นโครงการที่ต่อยอดมาจากการตรวจคัดกรองกลุ่มเสี่ยงเบาหวานในชุมชน เป็นการนำหลักการบูรณาการมาลดปัญหาสุขภาพ มีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนที่ตรวจพบภาวะเสี่ยงของการเป็นโรคเบาหวาน สามารถป้องกันการเกิดโรคด้วยการออกกำลังกายตามวิถีชีวิตโดยการตำข้าวด้วยครกกระเดื่อง และยังสามารถนำข้าวกล้องที่ได้จากการตำมาบริโภคเพื่อประโยชน์ทางสุขภาพ และในอนาคตก็ยังสามารถนำไปขายเป็นการสร้างรายได้ให้กับครอบครัวเพิ่มอีกทาง

            นอกจากการเชื่อมประสานในแง่ของแนวคิดแล้ว โครงการฯ ยังใช้การระดมทุนในการจัดซื้อครกกระเดื่อง ซึ่งงบประมาณสนับสนุนมาจาก 2 แหล่งทุน คือ สสส. ในโครงการสร้างสุขภาพตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ได้ครกกระเดื่องตำข้าวมา 6 ครก จากกองทุนหลักประกันสุขภาพฯ ของ อบต.ดงเหนือ อีก 4 ครก เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการของชุมชน
            เมื่อทุกอย่างพร้อม การดำเนินงานต้องมีผู้รับผิดชอบหลักซึ่งก็คือ อสม.ในหมู่บ้าน โดย อสม.จะเป็นผู้กระตุ้นให้เกิดการรวมกลุ่ม และชี้แจงแนวคิด ประโยชน์ของการออกกำลังกายด้วยครกกระเดื่อง ส่วนพยาบาลวิชาชีพประจำสถานีอนามัยก็จะคอยเป็นพี่เลี้ยง
            การรวมกลุ่มสมาชิกตำข้าวด้วยครกกระเดื่อง สมาชิกจะเป็นผู้ที่มีภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานในเบื้องต้น สมาชิกจะถูกแบ่งเป็นกลุ่มๆ มีประมาณ 6-10 คน ขึ้นอยู่กับความสมัครใจ เพราะบางคนมีข้อจำกัดก็จะเลือกวิธีการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับตนเอง

            ด้วยลักษณะงานที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของชุมชนทำให้ชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วมและมีความพึงพอใจในกิจกรรม ดังคำกล่าวของคุณพาศิริ
            "...ตอนนี้มีบ้านหลังหนึ่งไม่สีข้าวกินเลย กินแต่ข้าวที่ตำอย่างเดียว และระดับน้ำตาลก็ลดลงแม้จะไม่ใช่จากกิจกรรมนี้ทั้งหมดแต่เขาก็ภูมิใจ"คุณพาศิริ หล้าสอน พยาบาลวิชาชีพ 7 สถานีอนามัยคำยาง

            สิ่งที่ปรากฏขณะดำเนินกิจกรรม จำนวนผู้เข้าร่วมที่เพิ่มขึ้น ค่าดัชนีมวลกายและระดับน้ำตาลในเลือดของกลุ่มเสี่ยงลดลง จึงเป็นตัวชี้วัดของโครงการได้ในระดับหนึ่ง ปัจจุบัน กองทุนฯ ได้ขยายผลการดำเนินงานไปยังอีก 3 หมู่บ้านที่สนใจ ได้แก่ บ้านดอนแตง บ้านท่าช้าง และบ้านนาทวี โดยงบประมาณทั้งหมดได้รับการสนับสนุนจากทั้ง อบต. และกองทุนหลักประกันสุขภาพฯ          
            แต่กว่าจะได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนนั้นไม่ใช่ง่าย ปัจจัยความสำเร็จขึ้นอยู่กับประสบการณ์เดิมของชุมชน ที่ผ่านมาชุมชนได้มีโอกาสร่วมเรียนรู้ในกระบวนการทำงานสร้างเสริมสุขภาพกับ สสส. จึงทำให้ชาวบ้านเห็นความสำคัญของการสร้างเสริมสุขภาพชุมชน ส่งผลให้เกิดการมีส่วนร่วมสูงในการทำกิจกรรม

            ศักยภาพของเจ้าหน้าที่สถานีอนามัย ดังตัวอย่างของคุณพาศิริ หล้าสอน ที่มีความมุ่งมั่นในการสร้างสุขภาพของชุมชนอย่างแท้จริง ถึงแม้จะพึ่งย้ายมาทำงานได้ประมาณ 3 ปี แต่ชาวบ้านก็ให้ความไว้วางใจและร่วมมือในทุกกิจกรรม และ ทพ.ดร.สุขสมัย สมพงษ์ รองนายากแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสกลนคร  ก็ได้นำพาชาวบ้านสร้างชุมชนแบบมีส่วนร่วม โดยพัฒนากระบวนการทำงานและกระบวนการคิดแบบพึงตนเอง โดยชุมชน เพื่อชุมชน ทำให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ และชุมชนได้เกิดการเรียนรู้และพัฒนาทักษะการทำงานเพื่อสร้างเสริมสุขภาพของชุมชน

            พัฒนาการและความต่อเนื่องของกิจกรรมโครงการ เนื่องจากชุมชนมีการดำเนินงานเรื่องโรคเบาหวานมาโดยตลอด ตั้งแต่การตรวจคัดกรองโดย อสม. ในชุมชน เมื่อค้นพบกลุ่มเสี่ยงและผู้ป่วยสถานีอนามัยร่วมกับ อสม. ก็จัดกิจกรรมเข้าค่ายปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในกลุ่มเสี่ยงและผู้ป่วย จนมาถึงการออกกำลังกายโดยครกกระเดื่อง จึงทำให้เกิดความร่วมมือจากชุมชนสูง

            การใช้หลักการแก้ปัญหาแบบบูรณาการด้วยแนวคิดหลักของการแก้ปัญหาที่มาจากประเด็นความต้องการของชุมชน การนำภูมิปัญญาชาวบ้านที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตมาใช้ในการสร้างสุขภาพ
        และการระดมทุนทางสังคมที่มีอยู่ไม่ว่าจะเป็นการนำ อสม. มาเป็นแกนนำในการดำเนินการ การนำภูมิปัญญาท้องถิ่นคือ การตำข้าวด้วยครกกระเดื่องมาเป็นกิจกรรมการออกกำลังกาย รวมถึงงบสนับสนุนโครงการจาก สสส. และกองทุนหลักประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่น อบต.ดงเหนือ
            เงื่อนไขและปัจจัยที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นส่วนประกอบที่เชื่อมโยงซึ่งกันและกัน ที่จะนำพาให้การทำงานบรรลุสู่เป้าหมาย หากขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไปอาจทำให้งานหยุดชะงักลงได้
            การทำงานกองทุนหลักประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่น อบต.ดงเหนือ นอกจากจะช่วยให้ชาวบ้านได้รับประโยชน์ด้านสุขภาพแล้ว ยังทำให้องค์การบริหารส่วนตำบลและสถานีอนามัยได้เรียนรู้ความจริงอีกด้านว่า การสร้างสุขภาพในชุมชนจะดำเนินการโดยลำพังและแก้ปัญหามิติเดียวไมได้ ต้องมองปัญหาอย่างบูรณาการทุกมิติ ส่วนชาวบ้านก็ได้เรียนรู้กระบวนการมีส่วนร่วมและพึ่งพาตนเอง ชาวบ้านมีศักยภาพในการทำงานถ้าได้รับการกระตุ้นและส่งเสริมจากทุกภาคส่วนอย่างจริงใจและต่อเนื่อง

ข้อมูลพื้นฐานประกอบการเขียน โดย
กฤษณา ทรัพย์สิริโสภา
มัลลิกา มากรัตน์
วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี อุดรธานี



ที่มา ถอดบทเรียน การดำเนินงานระบบหลักประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่
(กองทุนหลักประกันสุขภาพ อบต. และเทศบาล) ในพื้นที่ต้นแบบทั่วประเทศ กรณีศึกษา ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง
เลข  ISBN : 978-974-379-047-8
ธันวาคม 2551

ทำชั่ว..ไม่มีวันหนีพ้น..

บางคนเข้าใจผิดว่า..
ทำชั่วแล้ว..หนีความชั่วได้...หนีความผิดได้..
ต่อให้หนีไปไกลแสนไกล..
ก็ไม่มีวันหนีกฎแห่งกรรมได้..

พระพุทธเจ้าของเราตรัสไว้ว่า...
บุคคลไม่ควรดูหมิ่น ‘บาป’ ว่า..
“บาปมีประมาณน้อย..จักไม่มาถึง.”
แม้หม้อน้ำ..ยังเต็มได้ด้วย..หยาดน้ำที่ตกลง (ทีละหยาด) ได้ฉันใด..
ชนพาล..เมื่อสั่งสมบาปแม้ทีละน้อย ๆ
ย่อมเต็มด้วยบาปได้...ฉันนั้น..

และบุคคลไม่ควรดูหมิ่น ‘บุญ’ ว่า..
“นิดหน่อย..จักไม่มาถึง”
แม้หม้อน้ำ..ยังเต็มได้..ด้วยหยาดน้ำที่ตกลงมา (ทีละหยาด ๆ )ได้ฉันใด...
ชนผู้มีปัญญา..สั่งสมบุญแม้ที่ละน้อย ๆ..
ย่อมเต็มด้วยบุญได้..ฉันนั้น..

ขอให้ทุกท่านเข้าใจเถอะว่า..
คนที่ทำกรรมชั่วไว้..
หนีไปแล้ว..ในอากาศ..
ก็ไม่มีวันหนีพ้น...จากความชั่วได้...

หนีไปในท่ามกลางมหาสมุทร..
ก็ไม่มีวันหนีพ้น..จากความชั่วได้...

หนีไปตามซอกภูเขา..
ก็ไม่มีวันหนีพ้น..จากความชั่วได้...

เพราะถ้าเขาอยู่บนพื้นแผ่นดินไม่ว่าในประเทศใดก็ตาม..
แผ่นดินหรือประเทศที่ชื่อว่า...
จะพึงหนีพ้น..จากกรรมชั่ว...นั้น ๆ ไม่มีในโลก..

จะหนีความชั่วไปให้ไกลแสนไกล..
ก็ไม่มีวันหนีพ้นได้..
การหนีกฎแห่งกรรม...ไม่มีวันหนีพ้นอย่างแน่นอน..

ทำดีได้ดี..............ดีให้ผล...
ทำชั่วได้ชั่ว...........ผลชั่วตอบสนอง...
ไม่มีใครหนีพ้น.......กฎแห่งกรรม...
จงเชื่อมั่น.............ผลกรรมดี – ชั่ว...ที่ตัวทำ ฯ

จาก ลานธรรมจักร

๑๔ หลักมนุษยสัมพันธ์



  1. ถ้าท่านเป็นสมาชิกใหม่ในวงงาน
    - จงเข้าหาเพื่อนก่อนที่จะให้เพื่อนเข้าหาเรา
    - โอภาปราศรัย และจงเอาใจใส่ต่อเพื่อนฉันมิตร
    - กล่าวถึงสิ่งที่น่าสนใจของเพื่อน อย่ากล่าวถึงสิ่งที่น่าสนใจของตัวเราเอง
    - หาโอกาสร่วมงานสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงานด้วยความเต็มใจ
  2. การสร้างตัวเองให้เป็นที่รู้จักของเพื่อนฝูงให้ดีขึ้น
    - จงตรวจสอบและปรับปรุงในส่วนที่ตนเองบกพร่อง
    - จงตรวจสอบตัวเองว่า มีส่วนดีอย่างไรบ้าง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับตนเอง
    - จงปรับปรุงข้อบพร่องของตัวเอง เช่น ถ้าไม่ชอบออกกำลังกาย ต้องพยายามเล่นกีฬาต่างๆ
    - อย่าท้อใจว่าผู้อื่นมองตนในแง่ไม่ดีเสมอ
  3. การทำตนให้เป็นที่ชอบพอในหมู่เพื่อนฝูง
    - จงเอาใจเขามาใส่ใจเรา
    - จงคิดก่อนพูด
    - จงคิดถึงเพื่อนของท่านในแง่กุศลเสมอ อย่าคิดในแง่อกุศล
    - วิพากษ์วิจารณ์ทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความเที่ยงธรรม
  4. การสร้างอารมณ์ขัน
    - จงมองทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องสนุกขบขัน
    - จงสัมพันธฺ์กับคนที่มีอารมณ์ขัน
    - จงพยายามศึกษาว่า วิธีการพูดอย่างไร จึงจะทำให้คนขบขัน
    - หมั่นอ่านบทการ์ตูน และขำขันในหนังสือ และหนังสือพิมพ์เสมอ
  5. การสร้างความเชื่อมั่นให้กับตนเอง
    - จงนับหนึ่งถึง 10 เมื่อท่านคิดจะขอร้องให้ใครช่วย จงพิจารณาช่วยตนเอง
    - จงพยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตัวของท่านเอง ถึงแม้จะยากเย็นแสนเข็ญเพียงไร
    - จงเขียนรายการบางสิ่งบางอย่างที่ท่านไม่กล้าทำตามลำพังคนเดียวและจงพยายามแก้ไข
    - พยายามแก้ไขสิ่งที่ท่านไม่กล้าทำตามลำพังคนเดียว และจงทำเมื่อรู้ว่า ท่านมีความสามารถสูงส่งอยู่
  6. ถ้าท่านต้องการเพื่อน
    - จงคล้อยตาม พบปะสังสรรค์ กับเพื่อนฝูงกันบ้างพอสมควร
    - จงช่วยเพื่อนของท่าน เพื่อให้เขาช่วยตัวเองมากที่สุด
    - จงสร้างความเชื่อมั่น และนับถือความเชื่อมั่นในเพื่อนของท่านเสมอ
    - จงเข้าใจในตัวเพื่อน ว่าเพื่อนมีความรู้สึก ความสนใจ และความต้องการอะไร
  7. การแก้ความรู้สึกอิจฉาริษยาต่อเพื่อนฝูง
    - จงทำบางสิ่งบางอย่างที่ท่านทำได้ และจงทำให้ดีที่สุด
    - จงสร้างความเชื่อมั่นให้กับตนเอง โดยคิดถึงผลงานที่ดีเด่นของท่านที่ล่วงมาแล้ว
    - จงนิยมยกย่องความสำเร็จของเพื่อนของท่านด้วยความจริงใจ
    - จงทำในสิ่งที่ทั้งเพื่อนและท่านได้รับความพึงพอใจ และรื่นเริง
  8. เทคนิคในการครองใจบุคคลอื่นๆ
    - จงแสดงความพอใจต่อเพื่อนฝูง
    - จงกระตุ้นให้เขาเกิดความต้องการ
    - จงให้การสนับสนุนในสิ่งที่ดีงามแก่เพื่อนของท่าน
    - จงฟังและแสดงว่า ท่านเอาใจใส่ต่อเขา
  9. ศิลปะบางประการในการสนทนา
    - คุยเรื่องที่น่าสนใจ และใครๆก็สนใจ
    - ถึงแม้เขาจะสนุกขบขันกับเรื่องราว และประสบการณ์ของเราเพียงไรก็ตาม จงกล่าวถึงเรื่องของเราแต่น้อย
    - ให้โอกาสแก่เพื่อนได้พูดบ้าง
    - อย่าพยายามอวดฉลาด เท่ห์ หรือ ตลกเสียคนเดียว
  10. การปรับปรุงนิสัยบางอย่าง
    - ลดความโกรธของท่าน โดยการทำงานบางอย่างที่จะเกิดประโยชน์ แทนที่จะบันดาลโทสะโดยไร้เหตุผลออกมา
    - หลีกเลี่ยงการเล่นแบบเด็กๆ และการตลกโดยผู้อื่นได้รับความอับอาย
    - เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เล็กๆน้อยๆอยู่เสมอ
    - พูดจาจะทำอะไร แล้วจงทำสิ่งนั้น
  11. การปรับปรุงสิ่งที่ไม่ดีบางอย่าง
    - พยายามให้รูปร่างการแต่งกายของท่านดึงดูดจิตใจแก่ผู้พบเห็น
    - จงสนใจบุคคลอื่นให้มากกว่าตัวท่านเอง
    - รู้จักกาละเทศะ ว่าโอกาสไหนควรจะทำอย่างไร
    - จงสงบเสงี่ยม ถึงแม้ในเวลาที่ท่านเคอะเขิน
  12. การแก้การตื่นเต้นเมื่อท่านต้องพูดต่อหน้าชุมชน
    - ต้องเชื่อมั่นและเข้าใจในเรื่องราวทั้งหมดที่ค้นคว้ามาแล้ว
    - พยายามฝึกหัดพูดมาล่วงหน้าก่อน
    - จ้องสายตาไปยังคนที่หนึ่ง แล้วจ้องไปยังบุคคลอื่นๆขณะพูด
    - พยายามพูดให้เป็นการคุยกับผู้ฟัง อย่าให้เป็นปาฐกถาเกินไป
  13. สิ่งที่ต้องจำ เมื่อท่านประสบความล้มเหลว
    - ทุกคนต้องประสบความล้มเหลว และมีโอกาสแก้ตัวเสมอ
    - ความล้มเหลวคือ บทเรียน
    - ไม่มีใครที่ทำอะไรทุกสิ่งทุกอย่างสัมฤทธิ์ผลไปหมด
    - ทุกๆคนจะทำบางสิ่งบางอย่างเท่านั้น ให้สัมฤทธิ์ผล
  14. ทัศนคติที่ดีจะสร้างความพึงพอใจในการทำงาน
    - จงทำให้มากกว่าที่ท่านคาดหวังไว้เล็กๆน้อยๆเสมอ
    - จงให้ความร่วมมือในการทำงาน ถ้าท่านได้รับคำแนะนำจากเพื่อนร่วมงาน
    - จงยิ้มแย้มแจ่มใส และเป็นกันเองกับเพื่อนร่วมงาน
    - จงสนใจในงานของผู้อื่นบ้างพอสมควร

เด็กหนีโรงเรียน และเด็กจรจัดเร่ร่อน



            ท่านผู้ปกครองเด็กส่วนมาก และบรรดาครูอาจารย์ทั้งหลาย ต่างก็พากันปวดสมองอยู่เป็นประจำวัน เรื่องเด็กในปกครอง หรือเด็กในโรงเรียนของตนหนีโรงเรียน ปัญหาเด็กหนีโรงเรียนนี้ เป็นปัญหาสากล คือ  เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทุกมุมเมือง ทุกประเทศ เด็กหนีโรงเรียนเป็นปัญหาอันแรกที่จะนำไปสู่ปัญหา "เด็กเร่ร่อนจรจัด" ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมปัจจุบัน เพราะเด็กเหล่านี้ นอกจากจะทำให้บิดามารดา ผู้ปกครองและครูทั้งหลาย เกิดความวิตกร้อนใจแล้ว ยังมีความโน้มเอียงที่จะก่ออาชญากรรมอันทำให้เกิดความเดือดร้อนแก่สังคมได้อีก ท่านที่เคยชมสถานพินิจของเด็กก็ดี โรงเรียนฝึกอาชีพหรือเยาวชนสถานบางแห่งของกรมประชาสงเคราะห์ก็ดี ย่อมจะตระหนักในปัญหาข้อนี้เป็นอย่างดี และย่อมจะแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลได้พยายามทุกวิถีทางที่จะป้องกัน และแก้ปัญหาต่างๆ อันจะเกิดจาก "เด็กหนีโรงเรียน" อย่างเต็มที่ ผู้เชี่ยวชาญทางสังคมวิทยา อาชญาวิทยา ตลอดจนจิตวิทยา ได้พยายามศึกษาหาสาเหตุการหนีโรงเรียน และการเร่ร่อนจรจัดของเด็กตลอดมา เพื่อวางแนวทางป้องกัน และแก้ไข ที่จะกล่าวต่อไปนี้เป็นส่วนหนึางของผลที่ศึกษาทางจิตวิทยา และสังคมวิทยา

            การหนีโรงเรียนนี้ บิดามารดาหรือผู้ปกครอง ครูหรือเจ้าหน้าที่อื่นๆ อาจจะคิดว่า เป็นความผิดของเด็ก หรือตัวเด็กเองเป็นสาเหตุ แต่ตามหลักจิตวิทยา สังคมวิทยา หรือสังคมสงเคราะห์ ถือว่า ตัวเด็กเองไม่ได้เป็นสาเหตุ หากแต่ว่า บางสิ่งบางอย่างเกิดผิดปกติขึ้น จึงทำให้เด็กหนีโรงเรียน

            ตามหลักทั่วไปแล้ว เราสามารถจะพบสาเหตุการหนีโดยแน่ชัด (แต่ก็มีไม่น้อยรายที่สาเหตุคลุมเครือ และต้องใช้เวลาศึกษานานๆ) เด็กที่เรียนไม่ทันเพื่อน โดยที่อาจจะเป็นเพราะเชาวน์ปัญญาต่ำ หรือ รากฐานเบื้องต้นไม่ดี เด็กที่ถูกเย้ยหยัน หรือถูกรังแก เด็กที่กลัวการลงโทษจากครู เด็กที่มีความเชื่อฝังใจว่า ไม่ได้รับความยุติธรรม  เหล่านี้เป็นต้น  สิ่งที่เด็กเหล่านี้ต้องประสบอยู่ดังกล่าวนั้นเป็นความกดดันทั้งสิ้น และเด็กเหล่านี้ เลือกเอาการ "หนี" แทนที่จะ "ต่อสู้" กับความกดดัน ความจริงใช่ว่า เขาจะพอใจที่จะหนีโรงเรียนก็หาไม่ แต่เขาหนี "ความกดดัน" มากกว่า เพราะเป็นทางเดียวที่จะทำให้เขาได้รับความพอใจ อาหารที่คุณแม่จัดให้ รวมทั้งเงินค่าขนมในกระเป๋าพอเพียง ที่จะทำให้เขาหาความสำราญจากการหลบมุมอยู่ในป่าละเมาะ หรือใต้ร่มไม้แห่งใดแห่งหนึ่ง พอได้เวลาก็อาจจะเข้าไปหย่อนอารมณ์ในโรงภาพยนตร์ได้ จากนั้นก็จะกลับบ้านด้วยคำพูดโกหกอันเตรียมไว้พร้อมแล้วในสมอง ดังนี้ย่อมทำให้เขาได้รับความพอใจยิ่งกว่าที่จะต้องไปเผชิญกับความกดดันต่างๆในโรงเรียน

            ในต่างประเทศ เขามีผู้แนะนำปัญหาเด็กนักเรียนประจำโรงเรียน ซึ่งบุคคลเหล่านี้ มีความรู้ความสามารถในการแนะนำแก้ไขปัญหาของนักเรียนโดยเฉพาะ ขอนำเอาตัวอย่างที่เกิดขึ้นในต่างประเทศมาเสนอท่านสัก ๒ ตัวอย่าง

วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2553

เรื่องของคนขี้แพ้ รายงานโดย :หนูดี-วนิษา เรซ

เมื่อประมาณสองสัปดาห์ที่ผ่านมา หนูดีเพิ่งรู้ตัวค่ะว่า เป็นคนขี้แพ้อย่างหนัก เพราะที่ผ่านมามีคุณหมอหลายรายพยายามบอกหนูดีแล้วว่า

หนูดีเป็น “ภูมิแพ้” แต่หนูดีก็ไม่เคยตั้งใจฟัง ให้ยาอะไรมาหนูดีก็ไม่เคยยอมกิน แค่รับยามาพอให้คุณหมอสบายใจ พอถึงบ้านก็วางไว้อย่างนั้นจนอาการหายไปเอง เรียกว่าอยู่ในภาวะ “ปฏิเสธความจริง” และดื้อเงียบแบบสุดขีด เพราะใครเลยจะนึกว่า คนที่ใช้ชีวิตปกติได้ เดินทางไปไหนมาไหนได้ ป่วยก็ไม่ค่อยบ่อย เกสรดอกไม้ก็ไม่เคยแพ้ จะเป็น “คนขี้แพ้” กับเขาได้ด้วย

แต่ก็เป็นไปแล้วค่ะ และแพ้ในสิ่งที่ไม่น่าแพ้ได้ คือ อาหารโปรดที่ชอบกิน รวมถึงโทรศัพท์มือถือ และคอมพิวเตอร์ของตัวเองด้วย


เมื่อต้องมาศึกษาข้อมูลเพื่อดูแลตัวเอง ก็เลยตกใจว่า หนูดีใช้ชีวิตมาได้ตั้ง 30 ปีเข้านี่แล้ว โดยกินอาหารที่ตัวเองแพ้มาเป็นส่วนใหญ่ ทั้งๆ ที่สิ่งนั้นคือ “อาหารสุขภาพ” ที่ใครๆ ก็ยอมรับกันทั่วโลก แต่หนูดีก็เพิ่งทราบว่า อาหารก็เหมือนแฟชั่นนะคะ คือ อะไรที่ซูเปอร์โมเดลใส่แล้วสวย ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะใส่สวยเหมือนเขาเสมอไป อาหารสุขภาพก็เช่นเดียวกันค่ะ อาหารที่ดีโดยสากลไม่ได้หมายความว่าจะดีกับร่างกายทุกคน บางทีอาหารที่เราคิดว่าดี กินเข้าไปแล้วกลับเป็นโทษกับร่างกายของเราเต็มๆ เลยไม่รู้ว่าเป็นอาหารหรือว่ายาพิษกันแน่

ต้องเท้าความก่อนว่า เมื่อหนึ่งเดือนที่ผ่านมา หนูดีโชคดีที่ได้ไปพบกับแพทย์ทางเลือกท่านหนึ่ง ที่ไม่สั่งยาแต่สั่งเป็นวิตามินแทน และมีวิธีตรวจร่างกายแบบใหม่ต่างจากการตรวจร่างกายประจำปีในโรงพยาบาล ซึ่งหนูดีตรวจทุกปีอย่างละเอียดเทียบเท่ากับคนอายุ 60 เสมอ และไม่เคยพบอะไรผิดปกติเลย แต่สิ่งหนึ่งที่งงก็คือ ทั้งๆ ที่ร่างกายดี แต่ทำไมบางครั้งกินอาหารเสร็จแล้วง่วง รู้สึกไม่มีแรง อยากกินของหวานช่วงบ่ายๆ และเป็นไมเกรนเป็นระยะๆ ด้วย ทั้งที่ผลเลือดก็แสนปกติ

หนนี้หนูดีเลยลองตรวจเซลล์เลือดสด ที่เจาะและเอาขึ้นจอดูสภาพเม็ดเลือดกันเดี๋ยวนั้นในเวลาไม่เกิน 2 นาทีก่อนที่เลือดจะแปรสภาพ ตอนแรกหมอเอาภาพเม็ดเลือดที่สุขภาพดีให้ดู จะเห็นเม็ดเลือดแดงกระจายตัวและเห็นเม็ดเลือดขาวเกาะกันอยู่อย่างแข็งแรง ส่วนเลือดที่ไม่ค่อยดีจะเห็นเม็ดเลือดแดงเกาะกันเป็นกระจุก แสดงว่าเลือดข้นไป

ก่อนตรวจหนูดีก็มั่นใจว่าเลือดเราดีแน่เพราะเราก็เลือกวิธีดูแลสุขภาพ แม้จะชอบกินขนมก็ไม่น่าจะส่งผลเสียกับภาพรวมได้มากมาย ที่ไหนได้ เจาะออกมาแล้ว พอเอาสไลด์เลือดขึ้นหน้าจอ เห็นสภาพเลือดตัวเองแล้วแทบเป็นลม ไม่นึกไม่ฝัน เพราะเม็ดเลือดแดงหนูดีเกาะตัวกันเป็นพวง เม็ดเลือดขาวแตกกระจายเป็นหย่อมๆ แถมเห็นโลหะหนักต่างๆ ลอยตัวปะปนในเลือดอีกเต็ม คนอ่านค่าบอกว่าเลือดหนูดีมีสารปนเปื้อนเยอะ ดื่มน้ำน้อยไป (โอ้โห ขนาดนี้ยังว่าน้อย ปกติหนูดีดื่มจนโดนเรียกว่าอูฐอยู่แล้ว) นอนดึกไป (หนูดีนอนก่อนเที่ยงคืนยังเรียกว่าดึกหรือคะ) และอีกสารพัด ต่อจากนั้นยังต้องเจาะเลือดเพื่อไปตรวจดูว่าหนูดีอาจแพ้อาหารอะไรได้บ้างอีก 170 ชนิด

ผลออกมาอีกสัปดาห์หนึ่ง เชื่อหรือไม่ว่าในอาหารท็อปเทนของโปรดตัวเองนั้น หนูดีแพ้เกือบครบทุกตัว แต่หมายเลขหนึ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงเลยคือ บลูเบอร์รี โดยคุณหมอแจ้งว่า หมอเสียใจด้วยนะครับ แต่ว่าคุณหนูดีคงต้องเปลี่ยนวิตามินตัวที่กินอยู่แล้วล่ะ เพราะว่าหนูดีกินวิตามินต้านอนุมูลอิสระที่ทำจากผลบลูเบอร์รี (อ้าว ก็ตำราทางสมองของหนูดีเขาบอกว่ามันเป็น “เบรนเบอร์รี” นี่นา) แถมวิตามินตัวที่สองที่กินทุกวันก็คือ น้ำมันปลา ผลออกมาว่า หนูดีแพ้ปลาทูน่าค่ะ ฉะนั้น น้ำมันปลาที่กินบำรุงสมองมาเป็นปีๆ ก็เท่ากับกำลังหยอดยาพิษให้ตัวเองทุกวัน ต้องเปลี่ยนแบบฉับพลัน เป็นน้ำมันจากปลาแซลมอน หรือน้ำมันเมล็ดแฟล็กซ์ที่มีโอเมก้า 3 เหมือนกัน ส่วนคุณแม่ของหนูดีแพ้ปลาแซลมอนค่ะ เลยได้มรดกน้ำมันปลาขวดที่เหลือของหนูดีไปกิน และคุณหมอสั่งวิตามินสำหรับลำไส้และข้อต่อ ชื่อแปลกๆ ที่หนูดีไม่มีวันซื้อมากินเองเป็นแน่แต่เหมาะกับการฟื้นฟูสภาพร่างกายหนูดีมากให้แทน

ส่วนอาหารประจำวันก็ปรากฏว่าหนูดีไม่ควรกินคาร์โบไฮเดรตเยอะไป เพราะลักษณะร่างกายย่อยแป้งได้ไม่เก่ง ควรเน้นกินผักต้มมากกว่าผักสด เน้นอาหารทะเล วุ้นเส้น โดยงดพวกเบเกอรี เพิ่งตาสว่างเลยว่า ทำไมหนูดีกิน “อาหารสุขภาพ” ก็แล้ว แต่ยังรู้สึกไม่ค่อยดี เพราะไป “เติมน้ำมันผิดประเภท” ให้ร่างกายตัวเองนั่นเอง พอกระบวนการย่อยทำงานได้ไม่ดี เครื่องยนต์ก็รวน แถมเหลือสารตกค้างเยอะ ให้เป็นสารปนเปื้อนในเลือดแบบที่เห็นนั่นเอง ตามมาด้วยอาการเพลีย ไม่มีแรงโดยไม่มีเหตุผล ทั้งๆ ที่เป็นคนไฮเปอร์ขนาดนี้

เรื่องการแพ้ของหนูดียังลามปามไปถึงแพ้โทรศัพท์มือถือ และที่หนักกว่านั้นคือแพ้แล็ปท็อปอีกด้วย ตอนแรกหนูดีก็ยังไม่เชื่อคุณหมอ เพราะเกิดมาไม่เคยได้ยินคนแพ้มือถือ แต่คุณหมออธิบายให้ฟังว่า ร่างกายหนูดีดูอ่อนแอกว่าที่ควร เพราะสนามแม่เหล็กธรรมชาติของร่างกายโดนรบกวนด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้ารอบตัว ว่าแล้วคุณหมอก็หยิบเครื่องมือเล็กๆ ที่ใช้วัดพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าออกมา ซึ่งตอนถือก็ดูปกติดี แต่พอเอามาจี้กับเครื่องแบล็คเบอร์รี่ของหนูดีเข้าก็ส่งแสงสีแดงแวบๆ ไม่หยุด และแสงนี้ยิ่งแรงเมื่อไปจี้ที่เครื่องส่งสัญญาณตรงด้านหลัง พ้นไปจากบีบีไม่พอ หนูดีหยิบเครื่องโนเกียรุ่นใหม่สีเงินส่งให้ ปรากฏว่าแรงไม่แพ้กัน เห็นแล้วสยอง อันที่ค่อยยังชั่วหน่อยคือ โทรศัพท์เครื่องละพันห้าที่สัญญาณรบกวนร่างกายต่ำ จนตอนนี้หนูดีกับบีบีต้องวางไว้ไกลๆ กันเลยค่ะ หนูดีกลัว ใครใช้ก็ระวังกันด้วยนะคะ โชคดีที่ไม่ติดมาตั้งแต่ซื้อแล้ว แต่ที่น่าตกใจกว่าคือ แป้นพิมพ์ตรงหน้าจอแล็ปท็อป ซึ่งต้องบอกว่าเครื่องวัดสัญญาณ “เสียสติไปเลย” เพราะส่งแสงแดงๆ ไม่หยุด เหมือนสัญญาณเตือนภัยทีเดียว

คุณหมอบอกว่า นี่ล่ะอันตรายมาก และหนูดีก็เลยหายสงสัย ว่าทำไมเวลาหนูดีพิมพ์ต้นฉบับนานๆ ตอนกลางคืน พอพิมพ์เสร็จจะล้าไปหมด ปวดหัว และนอนไม่ค่อยหลับ จนต้องเลิกทำงานหน้าจอตอนกลางคืนไป ทั้งๆ ที่ท่านั่งพิมพ์ก็จัดให้ถูกสุขลักษณะแล้วนะนี่ แต่พอมาเห็นแบบนี้เลยเข้าใจว่า อ๋อ ก็มือเราวางอยู่ตรงจุดอันตรายที่สุดเป็นชั่วโมงๆ แล้วจะให้ร่างกายทนทานไหวได้อย่างไร พอรู้อย่างนี้เลยเปลี่ยนมาใช้แป้นพิมพ์แบบเสียบสายแล้วลากมาเสียห่างหน้าจอ แถมไปถามเพื่อนฝรั่ง เขาเลยแนะนำว่า เพื่อนอีกคนมีสายเสียบคอมพิวเตอร์เข้ากับโทรทัศน์จอแบนขนาดใหญ่ที่บ้าน แล้วลากเอาแป้นมานั่งทำงานที่โซฟา เรียกว่าไกลกันที่สุดเท่าที่ทำได้ ฟังแล้วชักอยากทำตามบ้าง


ตั้งแต่ยอมรับได้ว่า ตัวเองเป็น “คนขี้ แพ้” และเริ่มปรับชีวิตแบบผู้แพ้ได้ หนูดีก็พบว่า เพียงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ระดับพลังงานของหนูดีเพิ่มขึ้นมากมาย เริ่มกินอาหารเสร็จแล้วสบายท้อง ไม่อึดอัด ไม่ปวดหัว ไม่อยากของหวานตอนบ่ายเหมือนที่เคย รวมถึงพอเปลี่ยนลักษณะการใช้งานโทรศัพท์มือถือ และแล็ปท็อปให้เป็นของไกลตัวขึ้น ก็พบว่าอาการปวดมึนหัว รวมทั้งปวดไหล่แบบแปลกๆ หายไปด้วย วันนี้ใครยังกินอาหารสุขภาพอยู่ด้วยความภาคภูมิใจ ลองเช็กสักนิดไหมคะว่า เราแพ้อาหารนั้นหรือเปล่า เพราะของดีสากล อาจไม่เหมาะกับเราก็เป็นได้ จะได้ไม่ต้องติดกับดักของ “คนขี้แพ้” แบบที่หนูดีติดมาเป็นปีโดยไม่รู้ตัว โชคดีนะคะ

Fwd: {นานาสาระ ธรรมะสวัสดี: ฉบับที่ 5653} หลากช่องทาง บริจาคเงินช่วยเหลือ ผู้ประสบภัย แผ่นดินไหวเฮติ

หลากช่องทาง บริจาคเงินช่วยเหลือ ผู้ประสบภัย แผ่นดินไหวเฮติ

หลากช่องทาง บริจาคเงินช่วยเหลือ ผู้ประสบภัย แผ่นดินไหวเฮติ


แผ่นดินไหวเฮติ

สภากาชาดไทย

สภากาชาดไทย
ขอเชิญชวนประชาชนร่วมบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหว
ประเทศเฮติ โดยสามารถบริจาคได้โดยตรงที่ สำนักงานการคลัง สภากาชาดไทย
ตึกอำนวยนรธรรม หรือ บริจาคผ่านธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาสภากาชาดไทย
ใช้ชื่อบัญชี "สภากาชาดไทย เพื่อการรับบริจาค" หมายเลขบัญชี
045-2-88000-6 หรือบัญชีกระแสรายวัน หมายเลขบัญชี 045-3-04368-1

(ส่งใบโอนเงินที่คุณภารดี วนกุล หัวหน้าฝ่ายการเงิน
สำนักงานการคลัง สภากาชาดไทย หมายเลขโทรสาร 0 2250 0120 กรุณาระบชื่อ
นามสกุล และหมายเลขโทรศัพท์
ผู้บริจาคให้ชัดเจนเพื่อการติดต่อขอรับใบเสร็จ)

ทั้งนี้ สภากาชาดไทยขอรับบริจาคเป็นเงินเท่านั้น
เพื่อนำเงินบริจาคดังกล่าวไปสนับสนุนการปฏิบัติงานด้านบรรเทาทุกข์ของสหพันธ์สภากาชาดและสภาเสี้ยววงเดือนแดง
ซึ่งกำลังให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยอยู่ในประเทศเฮติขณะนี้
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 0 2256 4035-6 หรือ 0 22564047-8


Dtac (เฉพาะผู้ใช้บริการระบบ dtac เท่านั้น)

ดีแทค ร่วมกับครอบครัวข่าว 3
ขอเชิญชวนลูกค้าดีแทคและแฮปปี้ร่วมบริจาคเงินผ่านทาง SMS
เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในประเทศเฮติจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่กำลังเดือดร้อนและต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน

โดยผู้ที่ต้องการแสดงความช่วยเหลือสามารถบริจาคผ่านทางโทรศัพท์มือถือ
เพียงพิมพ์ตัวอักษร "เฮติ" หรือตัวอักษรใด ๆ แล้วส่ง SMS มาที่หมายเลข
4567890 ซึ่งจะเป็นการร่วมบริจาค 10 บาทต่อครั้ง (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
เมื่อทำรายการสำเร็จลูกค้าจะได้รับ SMS ตอบรับทุกครั้ง

ทั้งนี้ สามารถส่ง SMS บริจาคได้ไม่จำกัด ตั้งแต่วันนี้ -19
มีนาคม 2553 โดยดีแทคจะมอบเงินบริจาคทั้งหมดไม่หักค่าใช้จ่ายใด ๆ
พร้อมทั้งบริจาคสมทบอีก 500,000 บาท เพื่อผู้ประสบภัยในประเทศเฮติต่อไป


มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย

มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย
เชิญร่วมบริจาคช่วยเหลือเหยื่อผู้ประสบภัย แผ่นดินไหว ประเทศเฮติ
ผ่านทางเว็บไซต์ http://www.worldvision.or.th/make_donation.html

หรือดาวน์โหลดแบบตอบรับการบริจาค และส่งกลับทางโทรสารหมายเลข
0-2711-4100 ถึง 2


มูลนิธิพุทธฉือจี้ไต้หวัน ในประเทศไทย

มูลนิธิพุทธฉือจี้
ขอเชิญทุกท่านร่วมบริจาคเงินเพื่อนำไปช่วยเหลือพี่น้องชาวเฮติ
ซึ่งมีช่องทางดังต่อไปนี้

เงินสด :

บริจาคได้ที่สำนักงานมูลนิธิฉือจี้ ในเวลาทำการ วันจันทร์ -
วันอาทิตย์ 08.30 - 17.30 น. ทั้ง 3 สาขาและ 1 สำนักงานย่อย
หรืออาสาสมัครของมูลนิธิฉือจี้

เช็ค :

กรุณาสั่งจ่ายเช็คในนาม มูลนิธิพุทธฉือจี้ไต้หวัน ในประเทศไทย
หรือ Taiwan Buddhist Compassion Relief Tzu Chi Foundation In Thailand
ทั้งนี้ กรุณาขีดคร่อมเช็คเพื่อเป็นการนำเข้าบัญชีของมูลนิธิเท่านั้น

โอนเงิน :

สามารถโอนเงินได้ที่ : ธนาคารกรุงเทพ สาขา : ถนนพระราม 9
ชื่อบัญชี : มูลนิธิพุทธฉือจี้ไต้หวัน ในประเทศไทย บัญชีประเภท :
ออมทรัพย์ หมายเลขบัญชี : 215-0-74133-4

เนื่องจากมูลนิธิฉือจี้
ได้แยกประเภทในการให้ความช่วยเหลืออย่างชัดเจน
กรณีที่ท่านบริจาคด้วยกำลังทรัพย์ ขอความกรุณาผู้มีจิตศรัทธาทุกท่าน
ระบุประเภทในการบริจาคเงินเข้ากองทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยชาวเฮติ
และเรียกรับใบเสร็จรับเงินที่ท่านบริจาคทันทีจากเจ้าหน้าที่หรืออาสาสมัคร


กระทรวงการต่างประเทศ

ประชาชนทั่วไปที่ประสงค์จะบริจาคเงินให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในเฮติสามารถบริจาคผ่านกระทรวงการต่างประเทศ
โดยโอนเงินเข้าบัญชีเพื่อรับบริจาคของกระทรวงการต่างประเทศ
ตามรายละเอียดดังนี้

ชื่อบัญชี กระทรวงการต่างประเทศ

ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาสามยอด

ประเภทบัญชี กระแสรายวัน

บัญชีเลขที่ 002 - 6 - 18233 - 5

ทั้งนี้ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
"ศูนย์รวบรวมเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยในเฮติ" สำนักนโยบายและแผน
กระทรวงการต่างประเทศ โทร 0 2620 6460-2 โทรสาร 0 2620 6463 ระหว่างเวลา
8.30 -16.30 น. ตั้งแต่วันจันทร์-วันศุกร์
โดยจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 19 มกราคม 2553 เป็นต้นไป


ช่อง 3

ร่วมบริจาคเงินได้ที่ กองทุนคนไทยช่วยผู้ประสบภัยเฮติ ของช่อง 3

ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาคาร์ฟูร์ พระรามสี่

บัญชีกระแสรายวัน 468-006737-9

บัญชีออมทรัพย์ 401-711157-9


รัฐบาล

บริจาคได้ 2 ทาง คือ

1. ผ่านทางบัญชีธนาคารกรุงไทย ชื่อบัญชี
"รวมน้ำใจชาวไทยช่วยผู้ประสบภัยเฮติ" เลขที่บัญชี 067-0-05765-7
สาขาย่อยทำเนียบรัฐบาล

2. มาบริจาคเงินได้ด้วยตัวเองที่จุดบริเวณลานน้ำพุ
เชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ ถนนราชดำเนินนอก ระหว่างวันที่ 20 ม.ค.-3
ก.พ.นี้ เวลา 08.30-16.30 น.ทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ

สอบถามรายละเอียดได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 1111


องค์การยูนิเซฟในประเทศไทย

ดาวน์โหลดแบบฟอร์มการบริจาคเงินช่วยเหลือได้ที่
http://www.unicef.org/thailand/tha/Donation_Form_for_Haiti_2010_Thai.pdf

หรือ บริจาคออนไลน์ผ่านยูนิเซฟ สำนักงานใหญ่ ผ่านทางเว็บไซต์:
http://www.supportunicef.org/site/pp.asp?c=9fLEJSOALpE&b=1023561

ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทรศัพท์ 0-2356-9299 โทรสาร
0-2356-9229,0-2281-6033 หรือ email: psfrbangkok@unicef.org


ผู้ที่อยู่ต่างประเทศ สามารถตรวจสอบช่องทางการบริจาค
ที่ท่านสะดวกได้ที่http://www.cnn.com/SPECIALS/2007/impact


ประกาศ ณ วันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2553

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
- unicef.org
- thaigov.go.th
- กระทรวงการต่างประเทศ
- มูลนิธิพุทธฉือจี้
- มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย
- pantip.com
- nipa.co.th
- สภากาชาดไทย
- รายการเรื่องเล่าเสาร์-อาทิตย์

ปราชญ์นักพัฒนา นำพาความเข้มแข็งสู่สุขภาพชุมชน กรณีศึกษา องค์การบริหารส่วนตำบลแสนตอ อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์

เรียบเรียงโดย ณัฐฏ์ รัตนกานต์

            แสนตอ พื้นที่ที่สามารถพัฒนาให้เป็นแหล่งเศรษฐกิจของตำบลได้ เพราะอยู่ใกล้ตัวอำเภอและตลาดสด การคมนาคมระหว่างหมู่บ้านและพื้นที่ใกล้เคียง สามารถติดต่อกันได้อย่างทั่วถึง มีกลุ่มอาชีพต่างๆในพื้นที่มากมายหลายกลุ่ม บางกลุ่มสามารถพัฒนาสินค้าท้องถิ่นเป็นสินค้าโอท็อปได้ เช่น กลุ่มอาชีพกระเทียมดอง กลุ่มข้าวซ้อมมือ กลุ่มแปรรูปขนมจีน และกลุ่มสุรากลั่นชุมชน

            อาชีพส่วนใหญ่ของคนในชุมชนคือ เกษตรกร ปลูกข้าวโพด ข้าว อ้อย หอมและกระเทียม ตำบลแสนตอ แบ่งออกเป็น 8 หมู่บ้าน มีประชากรทั้งสิ้น 5,355 คนหรือ 1,626 ครัวเรือน มีสถานีอนามัยอยู่ 1 แห่ง ตั้งอยู่ที่หมู่ 2 บ้านห้วยไคร้ ซึ่งหมู่ 2 นี้จัดเป็นหมู่บ้านที่โดดเด่นของตำบลแสนตอ เพราะชุมชนหมู่ 2 มีการจัดตั้งศูนย์สาธิตการตลาดมายาวนาน มีการจัดการบริหารที่ก่อให้เกิดกำไร และมีผู้นำที่มีศักยภาพ เป็นพื้นที่ตัวอย่างในการบริหารจัดการในตำบลแสนตออีกด้วย
             มุมมองของผู้นำอย่าง นายก อบต.แสนตอที่ชื่อว่า นายอุทัย ชัยชนะ มีอยู่ว่า

            " มั่นใจในศักยภาพของเจ้าหน้าที่ของตำบลแสนตอว่า จะสามารถดำเนินการกองทุนฯ ได้ เพราะทุกครั้งไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร เราก็ได้นำร่องตลอด จุดเด่นอีกอย่างของชุมชนเรา คือ ประชาชนมีความรู้ เหมือนมีปราชญ์ในชุมชน ผู้นำชุมชนเข้มแข็ง ผู้สูงอายุรวมตัวกันดี โดยเฉพาะหมู่ 2"
           
            ความมั่นใจในความเข้มแข็งของชุมชน จากตัวผู้นำนั้น มีผลต่อความกล้าในการดำเนินงานเพราะผู้นำมีความเชื่อในชุมชนว่า คนในชุมชน เป็นคนมีความรู้ความสามารถ และมีภูมิปัญญาในเรื่องต่างๆ มากมาย ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ผู้นำคิดว่าสามารถดึงศักยภาพของคนเหล่านั้นมาใช้ประโยชน์เพื่อพัฒนาเรื่องสุขภาพของคนในชุมชนได้แน่นอน

            เสียงจากชาวบ้านตำบลแสนตอ สะท้อนว่า "ในหมู่บ้าน ช่วยกันทำโครงการนี้ให้ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากเรื่องสุขภาพ เป็นเรื่องของทุกคน ทุกคนเป็นเจ้าของ กรรมการหมู่บ้านก้เข้มแข็ง ผู้นำมีความรู้ ความสามารถ" นี่คือ เสียงของชาวบ้านที่มีความเชื่อมั่นในตัวผู้นำเช่นกัน
            เมื่อทั้งสองฝ่ายมีความเชื่อมั่นซึ่งกันและกันแล้ว ไม่ว่าจะโครงการใดในตำบลแสนตอ คงไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำให้มันผ่านได้ด้วยความสำเร็จ นายก อบต.มีนโยบายด้านสุขภาพที่ชัดเจนว่า
            "สุขภาพดี อย่างอื่นก็จะดีด้วย รักษาสุขภาพดี โรคจะน้อย โรคไม่มี สุขภาพแข็งแรง สร้างสุขภาพคนให้สมบูรณ์แล้วก็จะทำให้การพัฒนาก้าวไกลขึ้น"

            โครงการที่กองทุนฯ ได้จัดทำขึ้นแล้วเห็นว่าดี คือ โครงการตั้งศูนย์ Fitness   ซึ่งถือได้ว่ามาจากความต้องการของคนในชุมชนเอง  เป็นการเสนอความต้องการผ่านคณะกรรมการหมู่บ้านจากการทำประชาคม ผู้เข้าร่วมโครงการส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุวัยเกษียณ และเด็ก เมื่อโครงการผ่านการอนุมัติ ผู้นำชุมชนก็เริ่มดำเนินการตามโครงการโดย เริ่มคัดเลือกสถานที่สำหรับจัดเป็นศูนย์ Fitness  จัดระเบียบในการใช้ศูนย์ ทำการประชาสัมพันธ์ในการใช้บริการฟรี สุดท้ายประเมินผลการดำเนินงาน ซึ่งวัดจากความพอใจของผู้ที่ใช้บริการจากการทำประชาคม หรือ โครงการที่จัดทำสามารถเป็นแบบอย่างให้พื้นที่อื่นดำเนินงานตามหรือไม่

            ปัจจัยสู่ความสำเร็จในการบริหารกองทุนของ อบต. แสนตอ คือ ความที่เชื่อว่า ตำบลนี้มีคนที่มีความรู้อยู่มาก เปรียบเสมือนมีปราชญ์ในหมู่บ้าน และปราชญ์เหล่านี้สนใจที่จะทำประโยชน์ให้แก่ชุมชนด้วย ดังนั้น ถือว่าทุนทางสังคมที่ตำบลแสนตออาจจะมี่มากกว่าที่อื่น ประกอบกับวิสัยทัศน์ของผู้นำที่ตัดสินใจเข้าร่วมกองทุนฯ และเปิดโอกาสให้สมาชิกกองทุนฯ มีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของโครงการร่วมกัน รวมไปถึงทีมงานที่มีความเข้มแข็ง ทำงานด้วยความเข้าใจ และมีจิตอาสาที่จะพัฒนาชุมชนของตนเอง สุดท้าย คือ การประชาสัมพันธ์โครงการให้ทั่วถึง ไม่ว่าจะเป็นการทำประชาคม การกระจายข่าวผ่านหอกระจายข่าว  ผ่านกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน กรรมการกองทุน หรือ ทำหนังสือเชิญเป็นจดหมายข่าว หรือ การติดป้ายประชาสัมพันธ์ต่างๆ สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนประกอบให้งานบรรลุเป้าหมายทั้งสิ้น

            ความเข้มแข็งของชุมชน นำมาซึ่งสุขภาพที่เข้มแข็งของชุมชนแสนตอ ที่สามารถพัฒนาไปข้างหน้าอีกไกลไม่ว่าจะเมื่อไร เพราะชุมชนนี้มรปราชญ์นักพัฒนามากมาย ที่จะทำให้ชุมชนนั้นมีหลักประกันสุขภาพที่มั่นคงเข้มแข็งอย่างยั่งยืน

ข้อมูลพื้นฐานประกอบการเขียนโดย
ดุจเดือน เขียวเหลือง
สุดารัตน์ ไชยประสิทธิ์
วพบ.อุตรดิตถ์
       

ที่มา ถอดบทเรียน การดำเนินงานระบบหลักประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่
(กองทุนหลักประกันสุขภาพ อบต. และเทศบาล) ในพื้นที่ต้นแบบทั่วประเทศ กรณีศึกษา ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง
เลข  ISBN : 978-974-379-047-8
ธันวาคม 2551

แจ้งประกาศตำแหน่งงานใหม่ 25 ม.ค.2553

ตำแหน่งงาน ณ : วันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553

1.) ชื่อตำแหน่งงาน : นักวิชาการคอมพิวเตอร์ จำนวนตำแหน่งว่าง : 3 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : มหาวิทยาลัยราชภัฎชัยภูมิ
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2553 - วันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634000340442812500

2.) ชื่อตำแหน่งงาน : เจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป จำนวนตำแหน่งว่าง : 2 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : มหาวิทยาลัยราชภัฎชัยภูมิ
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2553 - วันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634000347598437500

3.) ชื่อตำแหน่งงาน : เภสัชกรปฏิบัติการ(รพ.ยุพราชปัว)สสจ.น่าน จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553 - วันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634000132478411773

4.) ชื่อตำแหน่งงาน : นักกายภาพบำบัด (โรงพยาบาลพังงา) จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553 - วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634000094265911773

5.) ชื่อตำแหน่งงาน : พยาบาลวิชาชีพ,เจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน จำนวนตำแหน่งว่าง : 8 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : กรมการแพทย์
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553 - วันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634000282239505523

6.) ชื่อตำแหน่งงาน : อาจารย์    ภาควิชารัฐศาสตร์ จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553 - วันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634000064297630523

7.) ชื่อตำแหน่งงาน : นักวิเคราะห์นโยบายและแผน(รพ.ปทุมธานี) จำนวนตำแหน่งว่าง : 1 ตำแหน่ง
ชื่อหน่วยงาน : สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
ช่วงรับสมัคร : วันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553 - วันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
คุณสามารถคัดลอก URL ต่อไปนี้ไปเปิดเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป http://job.ocsc.go.th/JobShow.aspx?JobID=634000099494661773

ศูนย์สรรหาและเลือกสรร สำนักงาน ก.พ.

ขอเพียงเป็นคนดี...

ขอเพียงเป็นคนดี...

หัวใจของคนดีคือ...เมตตา กรุณา
เมตตา...คือปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข
กรุณา...คือความสงสารคิดจะช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์
จะเห็นได้ว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเราของเรา แต่เป็นคุณธรรมในใจ
ที่สูงค่ามาก เพราะเป็นการเผื่อแผ่แก่ผู้อื่น โดยไม่สนใจตัวเราเลย

'เมตตา กรุณา'...เป็นธรรมที่ยิ่งใหญ่ เป็นสากลของโลก ถ้าศึกษาใน
พระไตรปิฎก จะพบว่าอานิสงส์เป็นรองลงมาขากพระนิพพานเท่านั้น
พระพุทธองค์ทรงสอนพระภิกษุของท่านให้เจริญเมตตา อยู่เป็นนิตย์
ความมีเมตตาจะเป็นธรรมะที่ชนะความโกรธได้โดยตรง ท่านสอนถึง
ขั้นว่า ไม่ว่าใครก็ตาม พูดร้ายหรือทำร้ายพระภิกษุ ก็อย่าได้ตอบโต้
ขอให้เจริญเมตตาจิต แม้แต่จะโดนโจรนำเลื่อยมาตัดเป็นสองท่อน
ท่านก็ไม่ให้มีความโกรธ แต่ให้เจริญเมตตา

ความเมตตา...คือรักแท้ รักอื่นใดไม่อาจเทียบได้ เพราะความรักอื่นๆ
เจือปนด้วยความต้องการของตนเอง มีแต่เมตตา ที่ปรารถนาให้ผู้อื่น
เป็นสุขโดยไม่นึกถึงตนเอง...'ความเมตตา เป็นความรักแท้ของพระ-
พุทธองค์...เป็นความรักแท้ของพระเยซูเจ้า ที่มีต่อชาวโลก และเป็น
รักแท้ของพระศาสดา ทั้งหลาย

กล่าวกันว่า ครั้งหนึ่งท่าน...มหาตมคานธี ได้โดยสารรถไฟที่เต็มไป
ด้วยชาวอินเดียที่ยากจน ท่านยืนเบียดเสียดอยู่ที่กระไดเพราะผู้โดยสาร
แน่นมากเมื่อรถไฟแล่นไปด้วยความเร็ว ท่านได้เผลอทำรองเท้าแตะหลุด
ตกลงไปข้างหนึ่ง ท่านรีบสลัดอีกข้างตามไปทันที เมื่อมีคนถามว่า
ทำไมท่านจึงทำเช่นนั้น ท่านตอบว่า...'สงสารคนที่เก็บรองเท้าได้ข้าง
แรกข้างเดียว เขาคงจะต้องเดินตามรางรถไฟเพื่อหวังจะได้รองเท้าอีก
ข้างหนึ่ง'....ท่านคาดหวังได้ว่า เมื่อคนผู้นั้นเจอรองเท้าครบสองข้าง
เขาคงจะเป็นสุขใจถึงเพียงไหน นี่คือความเมตตาของท่านมหาตมะคานธี
คือ ปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข นี้คือรักแท้ใช่หรือไม่ เป็นความรักของท่าน
ที่มีต่อชาวอินเดียที่ยากจน ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะเป็นใคร ความรักชนิดนี้
เป็นความรักที่โลกต้องการ นี้คือ...'เมตตาธรรม' เมตตาธรรมค้ำจุนโลก
อย่างแท้จริง

ขอให้คิดว่า....ในโลกนี้ทุกคน ช่างน่าสงสาร ต่างก็เกลียดทุกข์ ปรารถนา
สุขทั้งสิ้น เกิดมาแล้วต่างก็ต้องตาย จะตายอย่างไรก็ไม่รู้ จะตายทรมาน
หรือตายสงบ ก็ไม่รู้ จะตายเมื่อไร ก็ไม่รู้ แต่ชะตาเดียวกันกับเราทั้งสิ้นคือ
ตายทุกคน ถ้าเขาได้ศึกษาพระธรรม เขาจะดำเนินชีวิตด้วยดีมีความสุขใจ
ตายแล้วก็ไปดี ถ้าไม่ได้ศึกษา ไม่เชื่อถือ ชีวิตก็มีทุกข์ใจ ไม่ว่าทรัพย์สินจะ
มากมายเพียงใด ตายแล้วก็เอาไปไม่ได้ และไปสู่ที่ไม่ดี อาจเป็นเปรต สัตว์
แม้แต่สัตว์นรก น่าสงสารทั้งนั้น ทั้งคนดี คนชั่ว เกิดมาแล้วช่างน่าสงสาร
เหมือนสัตว์อยู่ในเข่งรอเดินทางไปโรงฆ่าสัตว์ ทุกคน

เมื่อมีเมตตาแล้ว จะมี..'มุทิตา' ได้ง่าย คือพลอยยินดีกับผู้อื่น ไม่ต้องไป
อิจฉาอะไรใครเลย ฝึกใจให้ยินดีกับเขา เขามีเพราะเขาเคยทำมา เราไม่มี
เพราะเราไม่ทำมา หรือยังไม่ถึงเวลาของเราที่จะมี เราทำ อีกหน่อยเราก็มี
ทุกคนน่าสงสารอยู่แล้ว อะไรในโลกนี้ที่ทำให้ผู้อื่นมีความสุขได้ จงทำเถิด
จงยินดีกับเขาเถิด...'อย่าอยู่เพื่อตนเองอย่างเดียว จงอยู่เพื่อผู้อื่นบ้าง'

เนื่องจากโลกนี้เต็มไปด้วยทุกข์ ที่เราไม่สามารถช่วยเหลือได้ทุกคน ขอให้
มีคุณธรรมอีกอย่าง คือ...'อุเบกขา' คือวางใจเป็นกลาง ปล่อยวางเสียบ้าง
ไม่ต้องไปยุ่งกับทุกเรื่อง ไม่ไปแทรกแซงทุกเรื่อง บางอย่างก็เป็นกฏแห่งกรรม
เราเองก็ฝืนไม่ได้ ได้แต่ตั้งใจปรารถนาดีเท่านั้น...เมตร-กรุณา-มุทิตา-อุเบกขา
คือ...'พรหมวิหารสี่' เป็นธรรมของพระพรหม แปลว่า...ธรรมประจำใจอัน
ประเสริฐ หรือ ธรรมประจำใจของท่านผู้มีคุณความดียิ่งใหญ่

ไม่ว่าเราจะเป็นอย่างไร...ศีล สมาธิ ปัญญา จะมีมากน้อยเพียงใด
ขอเพียงแค่เป็นคนดี ขอให้มีความดีอันนี้ คือ...'เมตตา กรุณา ฯ'
เป็นเบื้องต้น นี้คือ...หัวใจของการเป็นคนดี...ฯ

~น.ท. น.พ. จักรพงศ์ ไพบูรย์/ผู้เรียบเรียง~
ขอนอบน้อมแด่คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ฯ
กล้วยไม้มีดอกช้า..ฉันใด
การศึกษา..ความรัก..ความฝัน
ก็เป็นไปฉันนั้น..
แต่ยามมีดอกมาคราไร..งามเด่น
การศึกษา..ความรัก..ความฝัน
ก็เช่นกัน..
เมื่อเราปลูกเพาะ..ด้วยปัญญา..
ความเข้าใจ..มากมาย..
ยามสำเร็จก็แสนสุดจะงาม
          Natnaree T.

บทกวี "ฝน" โดย ป่าค้างตะวัน



ก็แค่อยู่เดียวดายในห้องกว้าง
สายตา เคว้งคว้างไปในสายฝน
ก็แค่อยู่ เดียวดาย ไร้ผู้คน
มองสายฝนที่พรูพรั่งหลั่งโปรยปราย
            จากเม็ดแรกแทรกลงตรงที่พื้น
            เม็ดอื่นๆทยอยหล่นจนเป็นสาย
            เม็ดต่อเม็ดเย็นเกล็ดวาบตามพื้นทราย
            แล้วแทรกหายทรายซับดับเม็ดวาม
มองแล้วคิด คิดแล้วมอง ละอองฝน
ที่ร่วงหล่น เป็นสายใจคิดถาม
ว่าทำไมทิ้งฟ้าเล่าเจ้าฝนงาม
หรือฟ้าทำ เจ้าเจ็บช้ำระกำทรวง
            มีคำถาม อีกหลายหลากที่อยากถาม
            ทุกทุกยาม ที่เห็นฝนหล่นจากสรวง
            แต่ก็มีคำถามหนึ่งซึ่งในทรวง
            อยากถามทวงกับฝนที่หล่นพรำ
ฝนเจ้าเอ๋ยตกไปในทั่วหล้า
เคยเห็นหน้าคนซึ่งตาซึ้งขำ
ว่าเขาเป็นเช่นไรในงานทำ
หรือเขาช้ำหมองหม่นดั่งคนจร

25 มีนาคม 2537
"ป่าค้างตะวัน"
ฑิฆัมพร ชาลีกุล

เลิกงมงายได้แล้วครับ


Subject: FW: ไม่ต้องกลัวครับ ผล ทดสอบ???
Date: Wed, 20 Jan 2010 15:23:17 +0000


 

สวัสดีครับ

คุณเชื่อไหมครับ ว่ามีเบอร์แปลกปลอมโทรมา หากคุณรับ คุณจะตายใน2 วัน
แต่สำหรับผม ไม่เลยครับ ส่วนมากเป็นข่าวลือครับ ผมได้พิสูกกับตัวเองครับที่บ้าน

สาเหตุที่ทำให้มีโทรสับเข้าแล้วคนรับเสียชีวิต
คือ ความถี่ของโทรสับกับความถี่ของผู้โทร ผู้โทรไม่ได้ใช้มือถือ โทรนะครับ
ส่วนมากจะใช้ คอมพิวเตอร์เป็นส่วนใหญ่ ผู้ต้องสงสัยก้อประมานพวกโปรแกรมเมอร์(ผู้ไม่หวังดี)
ก้อ จะใช้โปรแกรมที่มืชื่อว่า Agr Vlice ซึ่งโปรแกรมนี้จะใช้ในการทำงานของพนักงานบริษัททั่วไป
ประมานว่าCall Centerอ่ะครับ แล้วมือใช้โปรไปหมายเลยปลายทางตามปกติก้อจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ถ้าหากใช้โปรแกรมผิดวิธีคืออ ปรับคลื่นความถี่ของ เสาอากาศที่ใช้ใน
การติดต่อของผู้กระทำนั้นๆจะทำให้เกิดเสียงจิ๊ด...ทันทีเมื่อมีคนรับโทรสับนั้นๆก้ออาจจะทำให้แก้วหูทะลุหรือ
เส้นเลือดในสมอง แตก ซึ่งทำให้ มีเลื่อดออกหู ออกจมูก ดังที่เป็นข่าวครึกโครมครับ
จากการที่ผมทดสอบโดยตัวผมเองผมใช้โปรแกรมหนึ่ง ที่ใช้ในการจัดวิยุออนไลน์
 หรือ วิทยุทั่วไปในชุมชนอ่ะนะครับ มันจะมีตัวหนึ่งซึ่งใช้พูดคุยกับคนฟังทางหน้าใมค์ครับ
โดยการใช้โทรสับแต่หากมีการปรับคลื่นEQของโปรแกรมจะทำให้เกิดเสียงจิ๊ดเล็กน้อยมาอ่ะครับ
ซึ่งไม่เป็นอันตรายใดๆครับอาจจะแสบแก้วหูนิดๆครับ แต่ถ้าเอาใว้ใกล้หูก้ออาจจะมีผลนะครับ
ก้อสำหรับคนที่สงสัยนะครับ ผมให้ลองพิสูบด้วยตนเองนะครับ โดยการเอาโทรสับตัวเองนะครับ
ไปวางใกล้ๆลำโพง แล้ว ใช้โทรสับอีกเครื่องโทรเข้าจะมีเสียง ความถี่ไม่ตรงกันเล็กน้อย คือ ประมานว่า
ตื๊ดๆ ๆ ๆตื๊ดๆ ๆๆอ่ะครับ นี่คือ ความถี่มีความไม่เสมอกันเล็กน้อยครับ เสียงอาจจะไม่เหมือน ข้อความข้างต้นที่ว่า
จิ๊ดๆ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ๆ ๆ  อ่ะครับ
ทีนี้คงหายสงสัยกันแล้วใช่ไหมครับ ว่าเสียงที่เกิดจากโทรสับเบอร์แปลกๆ นั่นคือเสียงอะไรครับ
เบอร์แปลกนั่นก้อคือเบอร์ที่ผู้ติดต่อ(ผู้ไม่หวังดี)ตั้งขึ้นเองครับส่วนใหญ่จะให้คอมพิมเตอร์
ในการติดต่อเป็นหลักครับ

วิธีป้องกันก้อคือ เวลารับครับให้เปิดลำโพงหรือ แฮนฟรีครับ จะปลดภัยกว่า หรือ อุปกรณ์ เสริมครับ บลูทูช หรือ หูฟังครับ

(ผลการทดลองนี้ ผมทดลองด้วยตัวเองครับ อาจจะไม่ตรงกับการทดลองของ ผู้เชี่ยวชาญนะครับ)

ผู้เขียนเมลนี้ >>MaI_HacKer//*


แต่กันไว้ก้อดีกว่าแก้นะครับ!!!!


วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553

7 วิธี ช่วยคุณจัดสรรเวลา

บางครั้งการไม่มีเวลาอาจมาจากการไม่รู้ว่าจะจัดสรรเวลาอย่างไร เรามีแนวทางช่วยคุณๆ จัดสรรเวลาให้มีคุณภาพยิ่งขึ้นมาฝาก 7 ข้อด้วยกัน



1. วางแผนล่วงหน้า

เขียนรายการที่จะต้องทำในวันรุ่งขึ้น ทั้งเรื่องการงานและชีวิตส่วนตัว เมื่อตื่นเช้าขึ้นมาอ่านทบทวนรายการที่จะต้องทำ ขีดฆ่ารายการที่ไม่จำเป็นต้องทำออกไป และพยายามกำหนดเวลาสำหรับแต่ละรายการ และพยายามปฏิบัติให้ได้ตามนั้น สิ่งสำคัญที่สุด 2 รายการคือ

รายการโทรทัศน์

เลือกโปรแกรมที่อยากดูล่วงหน้าตลอดทั้งสัปดาห์ และลองพินิจพิจารณาดูด้วยว่า ทำไมถึงต้องเลือกรายการนี้ มีความจำเป็นต้องดูมากน้อยแค่ไหน คุณแม่บ้านสมองไวที่ติดละครก็ไม่ ว่ากัน ไม่ว่าจะเป็นรองเท้าแก้ว รองเท้านางซิน บาปรัก บาปลวง เมียหลวงเมียน้อย ใดๆ ก็ตาม ควรจดลงไว้ นอกนั้นตัดออกจากรายการให้หมด และสัญญากับตัวเองว่าจะไม่เปิดดูให้เสียเวลาและเปลืองไฟด้วย

รายการอาหาร

หากต้องทำให้สมาชิกในครอบครัว ให้ทำรายการอาหารประจำสัปดาห์ก่อนไปจับจ่ายซื้อของ เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการเสียเวลาไปซ้ำไปซากที่ซูเปอร์มาร์เก็ต และเป็นการประหยัดเงินอีกด้วย

2. เข้มงวดกับสิ่งที่ตั้งใจไว้

การเข้มงวดควรเป็นทั้งกับตนเองและกับผู้อื่นจะช่วยประหยัดเวลาได้อย่างมาก

ในที่ทำงาน

- สำหรับเรื่องการทำงาน พยายามตั้งใจทำงานในเวลาให้เสร็จสิ้น หากต้องทำล่วงเวลาควรทำเฉพาะที่ได้รับการมอบหมาย และได้ค่าจ้างตอบแทนเท่านั้น (ฟังดูเหมือนใจแคบ แต่ก็ดูยุติธรรมดี) พยายามทำงานให้เสร็จดีกว่าใช้เวลาเป็นสองเท่าเพื่อทำให้สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ อย่างไรก็ตาม คนทั่วๆ ไปไม่ค่อยชอบความสมบูรณ์แบบนักหรอก เพราะบางครั้งสิ่งดั่งกล่าวอาจทำให้คนอื่นรู้สึกอึดอัดและด้อยค่า

- พยายามประชุมให้สั้นและได้เนื้อหามากที่สุด พยายามอย่าออกนอกเรื่อง และดึงคนรอบข้างที่ออกนอกเรื่องไปให้กลับสู่หัวข้อการประชุม

- พยายามกระจายงานออกไปให้ทุกคนได้มีส่วนร่วม (อย่าพยายามทำตัวเป็นนางเอกเพียงคนเดียว เดี๋ยวจะพลิกบทบาทกลายเป็นนางซิน นางแจ๋ว ในที่สุด

ในเรื่องชีวิตประจำวันที่เป็นส่วนตัว

- อย่ารับปากในสิ่งที่ไม่อยากทำ ฟังดูง่ายแต่ทำยาก บางครั้งเราไม่สามารถปฏิเสธคนรอบข้างได้ เนื่องจากความเกรงใจ หรือกลัวคนไม่รักนิยมชมชื่นในตัวเรา แต่ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเป็นที่รักของคนทั่วไป แต่สูญเสียเวลาที่จะรักตนเองและครอบครัว พยายามปฏิเสธสิ่งที่ไม่อยากทำอย่างนุ่มนวล

- เรียนรู้ขอบเขตที่ตนเองสามารถทำได้ อย่าพยายามทำเกินขอบเขตจนรู้สึกเหนื่อยล้าและหมดแรง และอาจทำให้หมดกำลังใจได้ง่ายๆ จนกลายเป็นความรู้สึกผิด ที่ไม่สามารถเป็นยอดหญิงที่สามารถปฏิบัติการล้านแปดได้

3. รักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง

สุขภาพที่ดีส่งผลให้เรามีความอดทนและสามารถฝ่าฝันอุปสรรคได้ ออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อเพิ่มออกซิเจนให้แก่สมอง ช่วยให้สมองโล่งโปร่งใส มีความทรงจำเป็นเลิศ ในขณะเดียวกันการรับประทานก็ต้องให้ถูกส่วน และครบถ้วนเพื่อนำสารอาหารไปเลี้ยงสมองด้วยเช่นกัน ได้มีการวิจัยแล้วว่าออกซิเจนและสารอาหารที่ไปเลี้ยงสมองช่วยเรื่องความทรงจำ การอ่าน การตัดสินใจได้รวดเร็วแม่นยำ

4. สังเกตดูการพักผ่อนหลับนอน

เข้านอนเมื่อรู้สึกเหนื่อย และเพลีย พยายามนอนในที่อากาศถ่ายเท ปิดเครื่องปรับอากาศเสียบ้าง ในตอนเช้า อย่าพยายามอ้อยอิ่งอยู่บนเตียง ตั้งนาฬิกาปลุก 30 นาทีล่วงหน้า หากตื่นแล้วรู้สึกแช่มชื่นไม่แตกต่าง พยายามตั้งล่วงหน้าที่ 1 ชั่วโมงในสัปดาห์ถัดไป จะช่วยให้การเข้านอนหลับดียิ่งขึ้นและได้เวลาสำหรับทำภารกิจต่างๆ เพิ่มขึ้นอีกด้วย

5. รักษาเวลา

- ไม่นั่งจุมปุ๊กดูทีวี เพราะเหตุว่าเปิดทิ้งค้างไว้ ปิดทีวีเสีย และทำอย่างอื่นแทนเช่น การอ่านหนังสือ หรือทำงานอดิเรกอื่นๆ

- ไม่เสียเวลานั่งร่วมวงนินทา เจรจาต้าอ่วย หากไม่มีเวลาควรหลีกเลี่ยงและเข้มงวดกับตนเอง

- ไม่เสียเวลาอ่านนิตยสาร คอลัมน์นินทาวิพากย์วิจารณ์ที่ไร้ประโยชน์ พวกเสี่ยงทาย ทำนายโชคชะตาต่างๆ อ่านหนังสือที่มีคุณค่าและให้ความรู้ หากอ่านไปแล้วประมาณ 10 หน้า และรู้สึกว่าน่าเบื่อให้ข้ามไปอ่านตอนท้ายเลยจะได้ไม่เสียเวลา

- หากต้องรอคอย ให้หาเรื่องต่างๆทำ ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือ การทำงานเล็กๆ น้อยที่สามารถเสร็จสิ้นได้ในเวลา 10 นาที

6. เรียนรู้ที่จะกระจายงาน

ผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่ชอบกระจายงาน โดยเฉพาะงานบ้าน แต่ควรให้สามีและลูก (ที่มีอายุเกิน 5 ขวบ) ได้มีส่วนร่วมในการทำงานบ้านด้วย อย่างน้อยคนละ 20 นาทีต่อวัน ก็สามารถช่วยให้คุณประหยัดเวลาได้ คำนวณดูว่ามีสัก 3 คน รวมกันช่วยได้ถึง 1 ชั่วโมง ซึ่งเป็นการแบ่งเบาภาระ และยังเป็นการเสริมสร้างเด็กๆให้มีน้ำจิตใจในการช่วยเหลือผู้หญิงทำงานบ้านอีกด้วย

อธิบายให้เข้าใจว่าทำไมถึงต้องช่วย เริ่มตั้งแต่เด็กๆ สอนให้เด็กเล็กให้รู้จักจัดห้องเอง แล้วค่อยเพิ่มงานบ้านทีละน้อย เด็กโตหน่อยอาจให้ช่วยล้างจานทำความสะอาด

7. ประหยัดเวลา

คุณสามารถประหยัดเวลาได้อีกมากด้วยวิธีการเหล่านี้

- สั่งซื้อของทางไปรษณีย์ โทรศัพท์ โทรสาร อินเตอร์เน็ต แทนที่จะเสียเวลาไปซื้อของในห้างฯ เสียทั้งเวลาและเสียทั้งเงิน (บางครั้งซื้อของที่ไม่ได้ตั้งใจจะซื้อ) - ทำอาหารเก็บไว้เผื่อมื้อต่อไป เก็บใส่ช่องแข็ง เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา

- เลือกสีผ้าที่มีสีล้วนหรือสีเดี่ยวจะได้ประหยัดเวลาในตอนเช้า ไม่ต้องมาเสียเวลาเลือกเสื้อกระโปรงให้สีเข้าชุดกัน

- เลือกทรงผมที่สวยเก๋ และสะดวกง่ายดายในการตกแต่งเอง

- ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์มากที่สุด เช่น นัดพบเพื่อน ในขณะเดียวกันก็ถือโอกาสไปชมงานศิลปะ หรือดูภาพยนตร์เรื่องที่อยากดู เข้าทำนองยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว






ที่มา นิตยสาร Life & Family

ให้พวกเราออกไปชุมนุมอีกสักครั้ง ... เราก็จะทำ

ให้พวกเราออกไปชุมนุมอีกสักครั้ง ... เราก็จะทำ
ให้เราถูกก่นด่าว่าเป็นพวก "ม๊อบข้างถนน" ... เราก็จะยอม
ให้เราออกไปสู้เพื่อคนไทยอื่นที่ "นิ่งเฉย" ... เราก็จะไป
ให้เราเสียสละเงินทอง ชื่อเสี่ยง เวลา เพื่อ "เต็มออก ๆ ไม่อั้น" ... เราก็จะเสีย
ให้เราออกไปนอนกลางดิน กินกลางถนน ... เราก็จะทำ
ให้เราออกไปสู้เสียงเป็นเสี่ยงตายกับ "ระเบิด M 79" ... เราก็จะเสี่ยง

เราทำได้ เรายอมได้ เราสู้ไม่ถอย ที่มิใช่เพื่อตัวเราเอง ...
แต่เพื่อให้ประเทศไทยยังมี "อนาคต" ที่งดงามต่อไป !!!

และถ้าจะต้องสู้กับไอ้นักการเมืองสารเลวอีกสักครั้ง มันจะเป็นไรไป

ขอโทษนะคะท่านผู้ทรงเกียรติทั้งหลายที่จะต้องตะโกนดังๆ ว่า ....

"กรูไม่กลัวเมิง !!! "
ป้าเนียน

วันพฤหัสก่อน ช่อง11 ตอนกลางคืน ระหว่าง 22 40 ถค
เกือบ 22 55 อ เจิมได้เอา เรื่อง 11ตุลาไป ออกทีวี
ผผมเคยดูแล้วทางเอเอสทีวี ดูแล้วอดร้องไห้ไม่ได้ ด้วยความดีใจ

1.ความจริงที่ถูก อำนาจรัฐ สั่งการจากรัฐบาล สั่งไปยังตำรวจชั่วๆ ให้
เข่นฆ่าประชาชน ได้ออก ฟรีทีวีแล้ว

ความ ยุติธรรม ยังไม่ได้รับหรอกครับ ชีว ตเลือกเนื้อความรุ้สึก
ของพี่ร้องพธม อาจจะร่วมถึง ผุ้ที่มิใช่ พธม
ที่ยังไม่เคยได้รับความจริงเลยว่า พธม ออกมาสู้กับใคร ทำไม
และใครฆ่าพี่น้องพธมมือเปล่าๆ

แม้นปต่ ตอนนี้เอง ปชป นายก ที่เคย พูดเรื่องนี้ก็เปลี่ยนไป มารเมือก
ก็อุ้ม กตร สองครั้ง

ให้กลับญัตติ ปปช
ob1st

พธม.บุรีรัมย์รุกเปิดเวทีเสวนาทิศทาง"การเมืองใหม่"-จี้"นช.แม้ว"หยุดทำลายชาติ

บุรีรัมย์ - เครือข่ายพันธมิตรฯบุรีรัมย์ร่วมกันใจก้าวสู่การเมืองใหม่
รุกเปิดเวทีเสวนาทิศทางประเทศไทยกับสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน ย้ำ
"ก.ม.ม."พร้อมเข้าไปสภาฯ ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ทั้งเรียกร้องให้
"นช.แม้ว" หยุดเคลื่อนไหวสร้างความแตกแยกเสียหายกับชาติบ้านเมือง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา ( 23 ม.ค.)
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) จังหวัดบุรีรัมย์
จัดกิจกรรมพบปะกลุ่มเครือข่ายพันธมิตรฯ "สวัสดีปีใหม่
ร่วมใจก้าวสู่การเมืองใหม่" พร้อมเปิดเวทีเสวนาหัวข้อ
"ทิศทางประเทศไทยจะไปทางไหน สถานการณ์สังคมไทยจะร่วมกันหาทางออกอย่างไร"
รวมถึงนโยบายการจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ (ก.ม.ม.) ของกลุ่มพันธมิตรฯ
ที่บริเวณร้านวังหรรษา ต.ชุมเห็ด อ.เมือง จ.บุรีรัมย์

โดยมี พล.อ.กิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ
กรรมการบริหารพรรคการเมืองใหม่ ร่วมขึ้นเวทีปราศรัยกับแกนนำพันธมิตรฯ
ในเขตพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ ทั้งนี้ได้มีสมาชิกเครือข่ายพันธมิตรฯ
จากอำเภอต่างๆ เข้าร่วมรับฟังการเสวนาในครั้งนี้กว่า 600 คน
พร้อมกันนี้ภายในงานยังได้มีการเปิดรับบริจาคเพื่อระดมทุนในการดำเนิน
กิจกรรม และต่อสู้ขับเคลื่อนของกลุ่มพันธมิตรฯ
และสมัครสมาชิกเครือข่ายที่มีอุดมการณ์เดียวกัน

พล.อ.กิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ กรรมการบริหารพรรคการเมืองใหม่
กล่าวว่า การจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ (ก.ม.ม.) ของกลุ่มพันธมิตรฯ
ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ ส.ส.กี่ที่นั่ง
แต่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการทำงานทางการเมือง
ให้การเมืองเป็นเรื่องของความเสียสละ ซื่อสัตย์ และกล้าหาญ
กล้าตัดสินใจในการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง พร้อมยอมรับว่าพรรคการเมืองใหม่
ต้องการที่จะเข้าไปในสภาฯ
เพื่อตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลเพื่อให้เกิดความถูกต้องกับสังคมมากกว่า

"เรา ขอเรียกร้องให้ นักโทษชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เข้ามามอบตัวสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม
และหยุดการเคลื่อนไหวสร้างกระแสให้ชาติบ้านเมืองเกิดความแตกแยกเสียหาย
ซึ่งการกระทำดังกล่าวไม่ได้เกิดประโยชน์กับตัวเองแต่อย่างใด"
พล.อ.กิตติศักดิ์ กล่าว

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9530000010236

อาการแบบนี้ flash drive เสียหรือเปล่าคะ

เพิ่งซื้อ flash drive มาได้ไม่นานค่ะ จากตลาดนัดแถวที่ทำงาน เป็น
kingston 4.0 Gb รุ่น Data traveler 101 ซื้อมา 300 บาท

ปัญหาคือ
- เวลาเสียบ บางครั้งเครื่องคอมก็อ่านได้ เห็นไฟล์ที่เก็บไว้ปกติ

- บางครั้งก็ขึ้นไดร์ฟใหม่ว่าเป็น removable disk แต่ไม่มีไฟล์ข้างใน
ความจุบางครั้งเป็น 0 byte , บางครั้งเป็น 14 Mb ... บางครั้ง file
system เป็น RAW บางครั้งเป็น FAT32 แล้วจะ format ก็ไม่ได้

- หรือบางทีก็ไม่มีไดร์ฟใหม่ขึ้น แล้วขึ้นว่า unknown port

- ไฟกระพริบทุกครั้งที่เสียบ flash drive แต่เป็นไฟสีแดง (ผิดปกติหรือเปล่าคะ)

รบกวนด้วยนะคะ ถ้าเอาไปที่ร้านเค้าจะให้เปลี่ยนหรือเปล่าก็ไม่รู้
เพราะไม่ได้มีใบเสร็จ แล้วก็ซื้อมาน่าจะประมาณ 3 อาทิตย์แล้วค่ะ

จากคุณ : kate -[ 25 ม.ค. 53 - 00:28:37 A:110.49.64.105 X: ]


Share/Save/Bookmark
แจ้งลบ ทดสอบแล้วใช้ได้ผล Bookmark ส่งต่อกระทู้ พิมพ์ โหวตกระทู้
ขอทราบด้วยคน ยกเลิกการแจ้งเมล์ เก็บเข้าคลังกระทู้ กระทู้ก่อนหน้า
กระทู้ถัดไป


ความคิดเห็นที่ 1 แจ้งลบ ทดสอบแล้วใช้ได้ผล

อาการนี้เกิดได้จาก สอง สาเหตุครับ

1 flash drive อาจมีปัญหา

2 ตัวเครื่องคอมที่ไปเสียบ บางครั้ง port อาจจ่ายไฟไม่

พอ ครับ


วิธีตรวจสอบ

เวลาเสียบ FLASH DRIVE แนะนำเสียบ

กับ USB PORT ด้านหลังเครื่องที่อยู๋บน mainboard

ถ้าอาการนี้หายไปแสดง ว่าเป็นที่เครื่องครับ ถ้าไม่หาย

ให้ส่ง FLASH DRIVE ไปเครม ครับ

แนะนำว่าให้รีบตรวจสอบครับ ถ้าเป็นที่ FLASH DRIVE

ลองไปคุยกับร้านดูครับ บางที่เค้าอาจมีฐานข้อมูลเก่าอยู่

ครับ ว่า FLASH DRIVE ของคุณประกันกับบริษัทอะไร

เพราะ kingston มีผู้นำเข้าหลายเจ้าครับ

จากคุณ : eakkkakpong - [ 25 ม.ค. 53 01:34:35
A:124.120.16.115 X: ]

ความคิดเห็นที่ 2 แจ้งลบ ทดสอบแล้วใช้ได้ผล

1.อันดับแรก ตรวจดูก่อนเลยว่าซื้อมาของจริงหรือปลอม

หาข้อมูล
http://images.google.co.th/images?hl=th&source=hp&q=Flash%20Drive%20%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%A1&um=1&ie=UTF-8&sa=N&tab=wi


2.ดูวอยซ์ ประกัน จากที่ไหนจะต้องมีสติ๊กเกอร์รับประกัน
เวลาเคลม FD นั้น วอยซ์ห้ามขาด หรือ ห้ามโดนแกะ

3.ลอง ก๊อปปี้ ไฟล์ 100mb-3gb ใส่ดูเอาจนเต็ม
เพื่อเช็คอีกทาง 4GB จะให้ความจุ 3700-3900
อันนี้ใช้เลขฐานคูณเท่าไรไม่รู้ จำไม่ได้ฮะ
แต่ถ้าใส่แล้วเต็มได้ขนาดนี้ก็ดี

4.ถ้ามันขึ้น removable disk หรือ unknown port
เฉยๆ ประมาณว่าเสียบไม่แน่น หรือ ช่อง USB
ของคอมมีปัญหา ควรเสียบข้างหลังเครื่อง แต่คอมผมเป็นบ่อย - -
เพราะข้างหน้าไฟไม่พอ

5.เมื่อเสียบ FD จะมีไฟ สีแดงเพื่อให้รู้ว่า FD
มันทำงานนะ เวลาก๊อปปี้ไฟล์ลงไป หรือ ออกมา มันจะกระพริบถี่ๆ เหมือน
ไฟคอมน่ะครับ

6. ความจุบางครั้งเป็น 0 byte , บางครั้งเป็น 14 Mb
... บางครั้ง file system เป็น RAW บางครั้งเป็น FAT32 แล้วจะ format
ก็ไม่ได้

ตอบ ผมคิดว่าอันนี้ตอบไม่ได้ อย่างน้อยไม่ใช่ไวรัสครับ - -
มันมีผลพวงมาจาก ข้อ 1 หรือ 4
หรืออีกอย่างคือมันเสียจริงๆ เคลมที่ประกันเลย ถ้าไม่ติดข้อ 1 และ 2 นะฮะ

โอ๊ะลืม บางครั้ง file system เป็น RAW บางครั้งเป็น
FAT32 แล้วจะ format ก็ไม่ได้

อันนี้ ไฟล์อาจเป็นไวรัส = =

ผมก็ช่วยได้แบบ งูๆ ปลาๆ ตามประสาเด็กนะฮะ ^^"a

อยากให้คุณพ่อใช้คอมพิวเตอร์ จะทำแบบไหนดีกว่าหรอครับ

คือว่า ที่บ้านมีคอมพิวเตอร์อยู่เครื่องนึง
พอดีว่าคุณพ่อเค้าอยากจะฝึกใช้คอมพิวเตอร์น่ะครับ
แต่คอมเครื่องนี้เป็นของน้องน่ะครับ
พ่อเค้ากลัวใช้แล้วเดี๋ยวจะมีปัญหาเรื่องการปรับแต่งวินโดวส์
เลยอยากจะถามหน่อยว่าทำแบบไหนดีครับ

1. ลงวินโดวน์แยกไว้อีกวินโดวส์ให้พ่อใช้ต่างหากกับน้องเลยครับ

2.แค่แยก user ก็พ่อ ให้น้องใช้อันนึง พ่อใช้อีกอันนึง

แบบไหนดีกว่าครับ แต่พ่อก็คงไม่ได้ใช้อะไรมากมาย คงแค่เล่นอินเตอร์เนดธรรมดาน่ะครับ


ความคิดเห็นที่ 1 แจ้งลบ ทดสอบแล้วใช้ได้ผล

งง เหมือนกันครับ ตกลงคุณพ่อจะใช้ปรับแต่งหรือเล่นเน๊ตเฉยๆ

คุณพ่อเค้าอยากจะฝึกใช้คอมพิวเตอร์
กลัวใช้แล้วเดี๋ยวจะมีปัญหาเรื่องการปรับแต่งวินโดวส์
:: อืม...ผมว่าคุณพ่อเริ่มต้นใช้ คุณพ่อปรับแต่งเป็นไหมครับ
ถ้าเป็นก็ไม่ต้องกลัวเรื่องปัณหา ถ้ามีปัณหาก็ลงวินโดว์ใหม่(อาจเสียเวลาหน่อย)
ถ้าปรับแต่งไม่เป็นก็ไม่ต้องกลัวปัณหาอีกเช่นกัน เพราะไม่รู้จะปรับตรงไหน

คุณพ่อไม่ได้ใช้อะไรมากมายเล่นเน๊ตธรรมดา
:: ผมว่าใช้ user เดียวกันก็ได้ครับถ้าแค่เล่นเน๊ตเฉยๆ

ความคิดส่วนตัวครับรอคำแนะนำข้างล่างดีกว่าครับ

จากคุณ : ชีพจรลงล้อ


เป็นผมจะซื้อเครื่องใหม่ให้ท่านครับ ไม่กี้ตังส์หรอก
เรามีพ่อคนเดียวให้ท่านมีความสุขเล็กๆ น้อยบ้างก็ดีนะครับ
ท่านทำมาให้เรามากแล้วทำให้ท่านบ้างเถอะครับ

จากคุณ : augie

แนะนำให้พาคุณพ่อไปเรียนด้วยค่ะ http://www.happyoppy.com
เป็นชมรมคนแก่อยากเล่นเป็นเด็ก มีคนสอนคนแก่ใช้คอมพิวเตอร์
ด้วยความใจเย็น ช้า ๆ

แก้ไขเมื่อ 24 ม.ค. 53 21:37:45

แถลงการณ์ ฉบับที่ 2/2553

แถลงการณ์ ฉบับที่ 2/2553
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
เรื่อง คำเตือนก่อนแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ตามที่พรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลซึ่งนำโดยนักการเมืองที่ถูกเพิกถอนสิทธิในการ
เลือกตั้งตามคำวินิจฉัยของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ
และคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งประกอบไปด้วย นายบรรหาร ศิลปอาชา
นายเนวิน ชิดชอบ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ฯลฯ
ได้ประชุมร่วมมือกันที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช
2550 นั้น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมีความเห็นต่อกรณีดังกล่าวต่อไปนี้

พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้เคยประกาศมาโดยตลอดว่า
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
นั้นได้ผ่านการลงประชามติด้วยคะแนนความเห็นชอบจากประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศ
กว่า 14 ล้าน 7 แสนเสียง
ซึ่งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว
ใน 3 ประเด็นดังต่อไปนี้

1.คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงหรือลดพระราชอำนาจและโครงสร้างที่เกี่ยวเนื่องกับของสถาบันพระมหากษัตริย์

2.คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อฟอกความผิดให้กับนักการเมืองและพวกพ้อง

3.คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์
หรือมีผลประโยชน์ทับซ้อนของนักการเมือง

ในขณะที่นักการเมืองฝ่ายรัฐบาลทั้งที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ซึ่งนำโดยอดีตนักการเมืองที่ถูกเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งโดยคำวินิจฉัยของ
ตุลาการรัฐธรรมนูญ ได้มีความพยายามในการที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญใน 2 ประเด็น
7 มาตรา คือ 1.ระบบเลือกตั้งจากแบ่งเขตเรียงเบอร์เป็นเขตเดียวเบอร์เดียว
และระบบบัญชีรายชื่อ ให้เป็นเหมือนในรัฐธรรมนูญ 2540
โดยจะให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตราที่เกี่ยวข้องได้แก่ มาตรา 93, 94,
95, 98, 103 และ 109

2.จะแก้ไขมาตรา 190
ว่าด้วยการทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา
เพราะเห็นว่าเป็นปัญหาของฝ่ายบริหาร

ดังนั้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญตามที่ปรากฏเป็นข่าวครั้งนี้เป็นการแก้ไขเพื่อผลประโยชน์
ต่อพรรคการเมืองและรัฐบาลโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝ่ายรัฐบาล
ซึ่งไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนใดๆ ทั้งสิ้น
และอาจมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลง สอดแทรก
มาตราอื่นๆเพื่อผลประโยชน์ของนักการเมืองเพิ่มเติม
หรือเปลี่ยนแปลงพระราชอำนาจและโครงสร้างของสถาบันพระมหากษัตริย์
เพื่อนำไปสู่การปกครองในรูปแบบอื่นในนาม "รัฐไทยใหม่" ในอนาคตอีกด้วย

ในขณะที่ประเทศชาติยังคงเต็มไปด้วยปัญหาการทุจริตเลือกตั้ง
ปัญหาวิกฤติการทุจริตคอร์รัปชั่น
ปัญหาวิกฤติอันตรายในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนและความมั่นคงของประเทศ
ปัญหาการบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์
แต่นักการเมืองในฝ่ายรัฐบาลไม่ให้ความสนใจที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้
กลับสนใจที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อผลประโยชน์ของพรรคพวกตัวเองแต่เพียงอย่าง
เดียว

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ว่า
ปัญหาทางการเมืองที่มีอยู่ในขณะนี้ไม่ได้อยู่ที่รัฐธรรมนูญ
หากแต่อยู่ที่นักการเมืองที่มองแต่ประโยชน์ของพรรคพวกตัวเอง
และไม่เคยคิดที่จะปฏิรูปการเมืองหรือแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยให้ประชาชนมีส่วน
ร่วมหรือขอความเห็นชอบจากประชาชนแต่ประการใด

พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงขอประณามการกระทำดังกล่าว
และขอประกาศยืนยันที่จะคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้อย่างถึงที่สุด

เราขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนชาวไทยทั่วประเทศ โดยเฉพาะพี่น้องประชาชนกว่า
14 ล้าน 7 แสนกว่าคนที่ได้ร่วมกันลงประชามติเห็นชอบให้ใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร
ไทย พุทธศักราช 2550 ได้แสดงจุดยืน
และกดดันสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในเขตเลือกตั้งของตัวเอง
เพื่อยับยั้งและคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เห็นแก่ผลประโยชน์ของนักการ
เมืองอย่างพร้อมเพรียงกัน

ด้วยจิตคารวะ
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
22 มกราคม 2553
ณ บ้านพระอาทิตย์

พร้อมหรือยัง..??? สู้ไม่สู้...ขอเสียงหน่อยยยยยยยย




by พันธมิตรประชาชน เพื่อ ประชาธิปไตย จ.สงขลา

เคาะข่าวริมบึงแก่นนครสุดคึกคัก

วันที่: 24 ม.ค. 18:06 น.

ศูนย์ข่าวขอนแก่น-
เวทีม่วนซื่นโฮแซวเคาะข่าวริมบึงแก่นนคร จังหวัดขอนแก่นคึกคัก
แม่ยกพันธมิตรขอนแก่นตั้งซุ้มอาหารบริการพี่น้องพันธมิตรฯ ที่มาร่วมงานเพียบ
ขณะที่สภาพอากาศเป็นใจ ท้องฟ้าปลอดโปร่ง
ด้านอ.สมเกียรติ วิเคราะห์การต่อสู้นักโทษทักษิณ เหลือทางสู้แคบลงทุกขณะ
หวั่นใช้เกมใต้ดิน ลอบสังหารบุคคลสำคัญ
แนะหน่วยงานความมั่นคงวางแผนป้องกัน ทั้งจัดกำลังอารักขา

รายละเอียดเข้าไปดูที่นี่

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9530000010216



ขอเชิญร่วมงาน คอนเสิร์ตการเมืองครั้งที่ 9 จังหวัดตรัง

อย่าพลาดงานคอนเสิร์ตครั้งที่ 9 ที่จังหวัดตรัง ณ สนามกีฬากลางทุ่งแจ้ง

ซึ่ง จะจัดขึ้นในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2553 ที่จะถึงนี้
เป็นการร่วมมือของพันธมิตร16จังหวัดภาคใต้
ให้จังหวัดตรังเป็นจังหวัดแรกของภาคใต้จัดงานคอนเสิร์ตการเมืองและจะเวียน
กันจัดจนครบทั้ง16จังหวัด
การลงทุนจัดงานเพื่อไม่ให้จังหวัดที่เป็นเจ้าภาพมีภาระหนักเกินไปจึงให้แต่
ละจังหวัดช่วยกันออกค่าใช้จ่าย และจะเป็นแบบนี้ตลอดไป

จึงขอเชิญพี่น้องพันธมิตรทุกท่านเข้าร่วมงานคอนเสิร์ทครั้งนี้ด้วยครับ
บัตรราคา 200 บาทเหมือนเดิม งานเริ่ม 17.00น. -12.00 น.

อโหสิกรรม (กรรมที่ตามไม่ทัน )

กรรมที่ได้กระทำลงไปแล้ว แต่ไม่มีโอกาสให้ผล เรียกว่า "อโหสิกรรม"

คนเราเกิดมามักกระทำทั้งกรรมดี และกรรมชั่วสลับกันไป

กรรม หลายอย่าง ที่เป็นกรรมชนิดที่ให้ผลในชาตินี้ เป็นกรรมทันตาเห็น
ซึ่งเป็นผลหนักเบาต่างกัน เมื่อได้กระทำลงไปแล้ว กรรมทันตาเห็น
ประเภทหนักสุด ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายดี หรือฝ่ายชั่ว ย่อมให้ผลก่อน
แต่ให้ผลไปจนกระทั่งเราตายจากชาตินี้ไป กรรมทันตาเห็นประเภทรองๆ ลงไป
ซึ่งเป็นกรรมที่ต้องให้ผลในชาตินี้เหมือนกัน เมื่อชาตินี้หมดไปแล้ว
กรรมเหล่านี้ก็กลายเป็น อโหสิกรรม

อย่าง เช่น พระเทวทัต ได้ทำกรรมหนักไว้หลายอย่าง
ที่ต้องให้ผลในชาติปัจจุบัน
แต่เมื่อถูกธรณีสูบไปอย่างปัจจุบันทันด่วนเสียก่อน
กรรมประเภทต้องให้ผลในชาติอย่างอื่น ก็เป็นอันไม่ได้ส่งผล เลยกลายเป็น
อโหสิกรรม

หรือ บางคนอาจจะสร้างความดีหลายๆ อย่าง ซึ่งจะค่อยๆ ให้ผล แต่ได้รับโชคดี
เลื่อนฐานะยากจนกลายเป็นเศรษฐีอย่างทันตาเห็นในชั่วร ะยะเวลาข้ามคืน
เมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้ว กรรมอื่นๆ ประเภทต้องให้ผลชาตินี้ ก็กลายเป็น
อโหสิกรรม

กรรมหลายอย่าง ที่กระทำไว้ในชาตินี้ แต่เป็นกรรม ชนิดที่ให้ผลในชาติหน้า
และได้กระทำไว้หลายอย่างด้วยกัน เมื่อกรรมชนิดหนักที่สุดให้ผลก่อนแล้ว
จนกระทั่งหมดสิ้นชาติหน้าไปแล้ว กรรมที่ให้ผลชาติหน้า
ชนิดที่รองลงไปก็ไม่มีโอกาสให้ผล กรรมเหล่านี้ก็กลายเป็นอโหสิกรรม

อย่าง เช่น อนันตริยกรรม ซึ่งมีกรรมสังฆเภท
มีโทษหนักสุดเมื่อชักนำให้ไปเกิดเป็นสัตวนรก ในนิรยภูมิ
(ซึ่งมีอายุยืนยาวมาก) แล้วอนันตริยกรรม ประเภทมีโทษรองลงไป
หรือกรรมประเภทให้ผลชาติหน้าอื่นๆ ก็ไม่มีโอกาสให้ผล จนตลอดอายุชาติหน้า
กรรมเหล่านี้จัดเป็น อโหสิกรรม คือ ไม่มีโอกาสให้ผล

หรือผู้ที่ได้ฌานต่างๆ ตั้งแต่ ฌาน 1 ฌาน 2 ฌาน 3 ฌาน 4 ฌาน 5 ฌาน 6 ฌาน
7 และฌาน 8 เมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้ว กรรมที่ให้ผลในชาติหน้า
คือตายแล้วไปเกิดเป็น พระพรหมผู้วิเศษ
ซึ่งเป็นชั้นที่มีอานิสงส์มากที่สุด ส่วนอานิสงส์ของชั้นอื่นๆ
ตั้งแต่ชั้นฌาน 1 ถึง 7 ไม่มีโอกาสให้ผล เพราะเสวยชั้นสูงสุดอยู่แล้ว
อานิสงส์หรือกรรมของ ฌาน 1-7 นี้ก็กลายเป็น อโหสิกรรม

สำหรับ กรรมชนิดที่ให้ผลตั้งแต่ชาติที่ 3 เป็นต้นไป
จนกว่าจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ถึงซึ่งพระนิพพานนั้น
มีผลยืนยาวมากกว่ากรรมชนิดให้ผลในชาติปัจจุบัน และชนิดที่ให้ผลในชาติหน้า
จึงไม่กลายเป็นอโหสิกรรม ได้ง่ายๆ ย่อมติดตามไปอย่างเหนียวแน่น และยาวนาน
ใน สมัยพุทธกาล ณ กรุงราชคฤห์ มีสาวโสภา
บุตรเศรษฐีคนหนึ่งพอได้เห็นหน้าโจรที่ถูกจับประหารผ่ านหน้าบ้าน
ก็ให้เกิดอาการหลงรัก แล้วเจ็บป่วยอย่างกระทันหัน
เศรษฐีผู้เป็นพ่อจึงไปซื้อโจรประหารมาให้เป็นสามี

เมื่อ อยู่กินเป็นสามีภริยา กันได้ระยะหนึ่ง
สันดานโจรก็กำเริบจึงได้ลวงธิดาเศรษฐีขึ้นไปบนภูเขา
เพื่อจะฆ่าให้ตายแล้วชิงทรัพย์ แต่ด้วยปัญญาไม่ทันเท่า
จึงถูกธิดาเศรษฐีผลักตกลงหน้าผาถึงแก่ความตาย
ธิดา เศรษฐีรู้สึกเบื่อหน่ายและกลัวบาปที่ตนได้ฆ่าสาม ี
จึงไปบวชอยู่นอกศาสนาพุทธ แล้วก็เจนจบมีวิชา มีปัญญา ที่ใครๆ
ก็ไม่อาจตอบปัญหา 1,000 ข้อ ของนางได้

แต่เมื่อมาพระสารีบุตรได้แถลงไขในปัญหาเหล่านี้ได้
นางจึงได้ขอบวชเป็นพระภิกษุณี แล้วก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในที่สุด
เมื่อนิพพานไปแล้ว กรรมที่ได้ฆ่าสามีไว้ จึงตามไม่ทันกลายเป็นอโหสิกรรม

เพราะฉะนั้น การตัดกรรม การหนีกรรม จะกระทำได้ ก็ด้วยวิธีเหล่านี้ทั้งนั้น

การ ตัดกรรมของหลวงพ่อคง จัตตมโล แห่งวัดเขาสมโภชน์ ก็ดี
การตัดกรรมของหลวงพ่อธรรมรส (หลวงพ่อคล้าย ฐิตธัมโม)
แห่งสำนักสงฆ์น้ำตกธรรมรส อ. วังจันทร์ จ.ระยอง ก็ดี
หรือการสวดมนต์เจริญภาวนาตามแบบของหลวงพ่อจรัญ แห่งวัดอัมพวัน อ.พรหมบุรี
จ. สิงห์บุรี ก็ดี หรือวิธีการตัดกรรมของอาจารย์ฤาษีสมพิศ
ก็คือการสร้างทาน ศีล ภาวนา เพื่อตัดกรรม หนีกรรม นั่นเอง

--
สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ
การให้ธรรมะเป็นทาน ย่อมชนะการให้ ทั้งปวง

ปฏิปทาของนักปฏิบัติธรรม อ.ไชย ณ พล

ดังที่ทราบแล้วว่า จิตสำนึกแท้ของเราเท่านั้น
เป็นจิตอันผุดผ่องแท้โดยธรรม

สำหรับกิเลสตัณหา อุปาทาน
เป็นสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาแฝง เข้ามาสิง เข้ามาครอบงำจิตอยู่
จนทำให้ชีวิตต้องดิ้นไปในดงทุกข์
เหยียบขวากหนามของความขมขื่นนานาประการ
ซวนเซเถลไถลล้มลุกคลุกคลาน จนเกิดอารมณ์ต่างๆ
สร้างความเศร้าหมอง ให้แก่จิตใจ

ซึ่งสิ่งเศร้าหมองเหล่านั้นได้แก่

ความโลภ ความโกรธ ความพยาบาท ความเบียดเบียน
ความลบหลู่คุณคน ความริษยา ความตระหนี่หวงแหน
มารยา ความถือตัว ความมัว และความประมาท เป็นอาทิ

สิ่งโสมมเหล่านี้ทำให้ชีวิตต้องโศก
โลกก็เลยเศร้าเร้นลึก

ซึ่ง กิเลส ตัณหา อุปทานอันเป็นสิ่งสกปรกนี้
มิใช่สิ่งปรารถนาของใคร มันไม่ใช่ธาตุแท้ของผู้ใด
มิใช่สิ่งเอื้อต่อความสุขตามธรรม
มันเป็นเพียงแขกจรเข้ามาเท่านั้น

แต่ความเขลาทำให้เราไปบำรุงบำเรอมัน
เสียจนอ้วนพี มีกำลังวังชา แล้วยึดครองใจเราไปเสียได้

ดังนั้นวัตรปฏิปทา ที่หลวงพ่อคงท่านแนะนำ
จึงมุ่งเน้นที่การขับไล่แขกจรอันเลวร้าย
กล่าวคือ กิเลส ตัณหา และอุปทานเหล่านั้น
ให้ปราศไป นำอิสรภาพของใจให้กลับคืนมา
คงเอกภาวะอันผุดผ่องตามเดิม

การที่จะขับไล่ซาตานที่ครอบครองใจอยู่มานานออกไปได้นั้น

เราจะต้องสร้างจิตใจให้มี อำนาจ (บารมี) เข้มแข็ง
ความแก่กล้าในธรรม (อินทรีย์)
เจริญสติ (ความล่วงรู้) ให้ตั้งมั่น
และรักษา สัมปชัญญะ (ความรู้ตัว) ไว้ให้บริบูรณ์

จึงจะมีพละกำลังพอที่จะเอาชนะอวิชชา
และอุปทาน ตัณหา กิเลส
ซึ่งเป็นลูกหลาน เหลน โหลน ของอวิชชาเสียได้

ด้วยเหตุนี้ ปฏิปทาของนักปฏิบัติธรรม
จึงค่อนข้างเคร่งครัดในการบริโภค
การนอน การพูด การบำเพ็ญตบะ
และสามัคคีธรรมในหมู่คณะ ดังนี้

http://www.dhammajak.net/board/files/268_1237218018.jpg_194.jpg

* ก า ร บ ริ โ ภ ค อ า ห า ร

นักปฏิบัติควรบริโภคอาหารวันละ ๑ หรือ ๒ ครั้ง
เป็นอาหารที่วิรัติจากการเบียดเบียนสัตว์ทั้งปวง
บริโภคโดยการสำรวมคือนำอาหารทุกอย่างใส่ภาชนะเดียวกัน
คลุกเคล้าให้เข้ากันเพื่อทำลายรสจำเพาะที่พอใจ หรือไม่พอใจ
ใครจะผสมน้ำเพื่อให้รสเจือจางลงด้วยก็ได้

อาหารที่ไม่เบียดเบียน ไม่สั่งฆ่า ไม่มีส่วนในกรฆ่า
คือวัตรปฏิบัติที่เคร่งครัดของนักปฏิบัติธรรม
พึงสังวรไว้ว่า เรากำลังจะตัดกรรมตัดเวร
ที่ได้เบียดเบียนปวงสัตว์น้อยใหญ่มาเป็นเวลานาน
จนต้องชดใช้กรรมกันอยู่

ดังนั้นต่อไปนี้จงตั้งปณิธานให้แน่วแน่ว่า
เราจะไม่ทำลายชีวิตสัตว์ แม้แมลงตัวน้อยให้ล่วงไป
เราจะไม่เบียดเบียนชีวิตใดใด
และใครฆ่าสัตว์เพื่อเอาเนื้อมาให้เราเป็นเฉพาะ
เราก็จะไม่บริโภคเนื้อสัตว์นั้น

ญาติโยมที่จะถวายภัตตาหารแก่สงฆ์
ก็พึงถวายแต่หารที่เว้นจากการเบียดเบียนเท่านั้น
เพราะการฆ่าสัตว์ถวายเนื้อแก่สงฆ์เป็นบาปใหญ่
ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ในชีวกสูตรไว้ว่า

"ผู้ฆ่าสัตว์อุทิศพระตถาคต หรือสาวกของพระตถาคต
ย่อมประสบสิ่งมิใช่บุญเป็นอันมากโดยฐานะ"

http://www.dhammajak.net/board/files/268_1237217931.jpg_139.jpg

คือ

๑. ข้อที่กล่าวว่า จงไปสัตว์ตัวโน้นมา
สัตว์นั้นถูกลากคอมา ย่อมเสวยทุกข์โทมนัส

๒. ข้อที่กล่าววาจาฆ่าสัตว์ตัวนี้
เมื่อสัตว์ถูกฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส

๓. คนย่อมรุกรานพระตถาคต และสาวกแห่งพระตถาคต
ด้วยเรื่องเนื้อสัตว์อันไม่สมควร

การบริโภคอาหารตามปฏิปทานี้
เป็นการเกื้อกูลแก่กรรมฐานโดยตรง

ด้วยการบริโภคปริมาณน้อย

ทำให้ให้เกิดกามราคะ ทำให้ไม่เกิดถีนมีทธะ
การบริโภคอาหารที่ไม่เบียดเบียน
ทำให้ไม่เกิดกำหนัดราคะ
ทำให้ไม่เกิดบ่วงเวรกับสัตว์ทั้งปวง
ทำให้เมตตาเจริญเป็นต้น

แต่หากใครยังรู้สึกว่าปฏิบัติได้ยาก
ด้วยมีความอยากในรสอาหาร
หรือปรารถนาปริมาณมากๆ ก็พึงลงอดอาหารดู


http://www.dhammajak.net/board/files/thai_food_set_128.jpg

* ก า ร อ ด อ า ห า ร

มิใช่จะสนับสนุนให้ทุกคนอดอาหาร

แต่สำหรับบุคคลที่ถูกกิเลสครอบงำอยู่โดยมาก
เห็นอาหารที่ชอบก็น้ำลายไหล
ได้รับอาหารน้อยก็กระสับกระส่วย
การควรลองงดการบริโภคลงบ้าง เพื่อประโยชน์ต่อไปนี้

๑. พิจารณาเวทนาที่เกิดขึ้นในร่างกาย

๒. เจริญความอดทนเพื่อขัดกิเลส

ดังพุทธพจน์ที่ว่า

"ความอดทนเป็นครื่องเผากิเลสอย่างยิ่ง"

๓. เจริญความเพียรเพื่อขุดกิเลส

ดังพุทธพจน์ที่ว่า

"ความเพียรเป็นเครื่องขูดกิเลสหาย"

๔. เข้าถึงความอยู่รอดได้โดยไม่มีอาหารไดยไม่หวั่นไหว

ดังพุทธภาษิตเปรียบเทียบว่า

"ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมมีความอดทนไม่หวั่นไหว
เสมือนช้างหลวงของแผ่นดิน ในข้อที่ว่า
เมื่อไม่ได้รับหญ้า น้ำ แม้วันหนึ่ง สองวัน หรือสามวัน
ก็ย่อมไม่สะทกสะท้าน"

๕. พัฒนาอำนาจจิตให้กล้าแข็ง

ในขณะที่อดอาหารนั้น
ร่างกายจะไม่ได้เคลื่อนจากพลังจากสารอาหาร
เพราะไม่ได้รับอาหาร แต่เคลื่อนไหวด้วยอำนาจจิตโดยตรง
(ช่วงนี้นักปฏิบัติจะเห็นอำนาจจิตได้ชัด)

ด้วยเหตุนี้จะทำให้จิตกล้าแข็งขึ้นมาก
นี่คือเหตุผลที่มุนีผู้บำเพ็ญอิทธิฤทธิ์ทั้งหลาย
มักบริโภคอาหารแต่น้อย
ควรฝึกฝนจิตใจให้อยู่เหนือความเคยชิน

๖. เมื่อผ่านการอดอาหารมาระยะหนึ่งแล้ว
จะพบความเป็นจริงที่ว่า
แท้จริงแล้ว ความหิวและความอยากในรสอาหาร
ล้วนเป็นอารมณ์ที่ปรุงแต่งยึดถือกันจนเคยชินเท่านั้น

http://www.dhammajak.net/board/files/268_1237219830.jpg_493.jpg

เมื่อกระจ่างดังนี้ ควรฝึกฝนจิตใจให้อยู่เหนือความเคยชิน
จากนั้นความอยาก และความติดใจในรสอาหาร
ก็จะจางคลายหายไป เมื่อเรารู้เท่าทันอนุกิเลสเหล่านี้แล้ว

สำหรับการอธิษฐานอดอาหารนั้นมี ๕ ประการ คือ

๑. อดอาหารขบเคี้ยว ดื่มแต่น้ำเปล่า

๒. อดอาหารขบเคี้ยว ดื่มแต่น้ำปานะและน้ำเปล่า

๓. อดอาหารหนัก รับประทานแต่ผักผลไม้และน้ำเปล่า
(เหมาะสำหรับคนที่ติดอุปาทานในข้าวว่า
ถ้าวันไหนไม่รับประทานข้างวันนั้นท้องไม่อิ่ม)

๔. งดอาหารคาวหวาน รับประทานแต่ข้าวเปล่าและน้ำเปล่า
(เหมาะสำหรับคนที่มีความอยากในรสอาหารต่างๆ)

๕. จำกัดจำนวนคำที่บริโภค เช่น ๓๐ คำ บ้าง,
๒๐ คำบ้าง, ๑๐ คำบ้าง, ๗ คำบ้าง ๓ คำบ้าง เป็นต้น
(เหมาะสำหรับคนที่ชอบรับประทานในปริมาณมาก)

สำหรับจำนวนวันในการอดอาหารนั้น
ขึ้นอยู่กับความมั่นใจของแต่ละคน
บางคนอาจอธิษฐานอด ๓ วัน, ๕ วัน, ๗ วัน, ๙ วัน
ตามที่เห็นเหมาะสมกับตนเอง

สำหรับนักปฏิบัติใหม่ไม่ควรอดเกิน ๕ วัน


http://www.dhammajak.net/board/files/268_1237289166.jpg_112.jpg

* ก า ร น อ น

นักปฏิบัติควรนอนวันละ ๓-๕ ชั่วโมง
ทั้งนี้เพื่อบำเพ็ญจิตให้ตื่นตัว
เต็มเปี่ยมด้วยสัมปชัญญะเสมอ

เพราะการนอนมากทำให้ประสาทมึน สมองชา
กายอ่อนแรง เลือดไหวเวียนไม่ดี
จิตใจเงื่องหงอยเซื่องซึม และหมดอาลัยตายอยาก
ไม่เป็นผู้ตื่นรู้ผู้เบิกบาน

นักปฏิบัติจึงนอนแต่น้อย
เพื่อปลุกจิตให้ตื่นรู้อยู่เสมอ

แต่หากใครถูกถีนมิทธะ (ความง่วงเหงาหาวนอน)
ครอบงำอยู่เป็นประจำ ก็ลองอดนอนดู


http://www.dhammajak.net/board/files/meditation_zen_do_206.jpg

* ก า ร อ ด น อ น

หากใครถูกความง่วงเหงาหาวนอนง่วงซึมครอบงำอยู่ตลอดเวลา
ก็อาจยืนหยัดขจัดถีนมิทธะนั้นได้ด้วยการอดนอน
ซึ่งวิธีการนี้ตรงกับการค้นพบกับจิตบำบัดสมัยใหม่ที่พบว่า

"การให้คนนอนน้อยๆ และปลุกให้ตื่นแต่กลางดึก
จะช่วยลดอาการของโรคจิตประเภท Depressive (หดหู่ ท้อถอย) ลงได้"

โดยปกติแล้ว อารมณ์ถีนมิทธะเกิดจากสาเหตุ ๕ ประการคือ

๑. ร่างกายเพลียจัด เพราะการออกกำลังหักโหมจนเกินไป

๒. กระเพาะตึงเครียดเพราะบริโภคอาหารมากเกิน

๓. ใจหมกมุ่นอยู่กับความวิตกกังวลในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

๔. ใจหดหู่ท้อถอย

๕. เสียสติเพราะของมึนเมา
แม้เสพมานานแล้ว ฤทธิ์ของความมึนเมาอาจจะคงค้างอยู่
ในรูปของความเคยชิน กดประสาทอยู่ได้

ดังนั้นนักปฏิบัติผู้อธิษฐานอดนอน ๑ คืน ก็ดี ๒ คืนก็ดี ๓ คืนก็ดี
(นักปฏิบัติใหม่ไม่ควรเกิน ๓ คืน) พึงเจริญธรรมต่อไปนี้

๑. เวลาทำงานควรทำงานอยู่ด้วยสติอันสำรวมอยู่ตลอด

จะทำให้ร่างกายไม่เสียพลังงานมาก จะไม่เพลีย
และในขณะที่มีสติก็จะมีปัญญาพิจารณาในงานที่กระทำโดยรอบคอบ
มีความผิดพลาดน้อย หรือไม่บกพร่องเลย
ตามกำลังสติปัญาที่ตั้งไว้โดยชอบ

๒. รู้จักปริมาณการบริโภค

๓. พิจารณากายคตาสติ ปลงสังขาร

ทรงจิตตื่นรู้อยู่ด้วยความเบิกบาน

๔. บำเพ็ญฌานให้มาก

เพื่อให้เกิดปีติหล่อเลี้ยงความตื่นรู้อันเบิกบานนั้น
(พรหมนั้นเสวยปีติเป็นอาหารโดยไม่บริโภคธาตุหยาบๆ เลย)

๕. เจริญสัมปชัญญะให้แจ่มใสในอุเบกขาอันตั้งมั่น

จิตจะไม่หวั่นไหวไปด้วยเวทนาใดใด

หากนักปฏิบัติกระทำได้ดังนี้
ก็จะไม่ถูกความง่วงเหงาหาวนอนเข้าครอบงำ
ซึ่งเป็นเหตุให้จิตเสียเวลาไปกับการหลับ
(เพราะในขณะที่หลับ จิตจะหยุดการพัฒนาไปชั่วขณะ)

http://www.dhammajak.net/board/files/a5_1_110.jpg

แต่หากแม้ผู้แม้ปฏิบัติได้ดังนี้แล้ว ยังรู้สึกว่ายาก
หรือยังไม่สามารถขจัดความง่วงงุนไปได้โดยเด็ดขาด
ก็ให้เลือกกระทำดังต่อไปนี้

๑. เดินจงกรมเสมอๆ

๒. แหงนดูดาวบนท้องฟ้า

๓. เอาน้ำล้างหน้าหรือลูบตาบ่อยๆ

๔. สนทนากับเพื่อพรหมาจารีในเรื่องที่เป็นกุศล
หรือในเรื่องที่เป็นอัศจรรย์

๕. อยู่ในที่กลางแจ้ง หรืออยู่ในที่ชุมชน

๖. ถ้าอยู่ที่กลางชุมชนแล้ว ยังสามารถหลับได้อีก
ก็ให้เข้าไปอยู่ในถ้ำ ในป่าชัฏ หรือในป่าช้าที่ว่าน่ากลัว
ความกลัวจะทำให้ระวังตัว จิตตื่นรู้อยู่เสมอ

๗. หากกระทำดังกล่าวจนเคยชินไม่กลัวแล้ว
ยังง่วงงุนอยู่อีก ก็ให้เจริญกสิณไฟ กสิณแสงสว่าง
กสิณสีแดง หรือกสิณสีเหลือง กองใดกองหนึ่งหนึ่ง

เมื่อได้พยายามตามนี้แล้ว
นักปฏิบัติก็จะประสบความสำเร็จตามความเพียร


http://www.dhammajak.net/board/files/talktalk_boyle_672.jpg

* ก า ร พู ด

โดยปกตินักปฏิบัติที่ปฏิบัติดีแล้ว
จะมีจิตใจอันตื่นรู้เบิกบานอ่อนโยน
เจรจาด้วยวาจาสุภาษิต

อันมีลักษณะ ๕ ประการ คือ

๑. เป็นสัจจะ

๒. มีสาระประโยชน์

๓. ไพเราะ อ่อนหวาน

๔. กล่าวออกมาจากใจจริงด้วยความเมตตา

๕. เจรจาถูกต้องตามกาล

นักปฏิบัติที่ปฏิบัติดีแล้ว
จะไม่พูดปด ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดหยาบคาย
ไม่พูดเพ้อเจ้อ ไม่พูดใส่ร้าย และไม่นินทากัน

แต่หากผู้ใดยังรู้ตัวว่าตัวยังมีการพูดจาที่ไม่ดี
อันควบคุมได้ยาก ก็พึงลองอดพูดดู


http://www.dhammajak.net/board/files/268_1237287022.jpg_188.jpg

* ก า ร อ ด พู ด

การพูดนั้นเป็นกรรมสำคัญประการหนึ่งคือวจีกรรม
มีผลมากต่อจิตใจและวิถีชีวิต

หากพูดดีก็จะได้รับผลดีเป็นอเนกอนันต์ เป็นที่สบายของตนเอง
เป็นที่เกื้อกูลต่อสังคม และเป้นที่รักของคนทั้งหลาย

หากพูดไม่ดีก็จะมีผลร้ายมาก
ทำให้ผู้พูดฟุ้งซ่าน หวาดระแวงเสียพลังปราณ
สูญกำลังภายในและเสื่อมสติได้โดยง่าย
ไม่เป็นที่เกื้อประโยชน์ต่อส่วนรวม
ไม่เป็นที่รัก ที่ชอบใจของคนทั้วหลาย

บางครั้งคำพูดที่พูดออกมาโดยไม่ได้ไตร่ตรองโดยรอบคอบ
อาจทำให้เกิดความรุ้สึกไม่ดีในจิตใจของชนทั้งหลาย
คลื่นเสียงของคำพูดหมดไปแล้ว
แต่ใจของผู้คนยังดูดซึมความหมายในความรู้สึก

ดังนั้นคำพูดจึงเป็นดาบสองคม
หากใช้ดีก็จะให้ผลดี
หากใช้ไม่ดีก็จะทำร้ายทั้งตนเอง และทำลายสังคมได้

ด้วยเหตุนี้ใครที่ยังเป็นคนพูดปด พดส่อเสียด
พูดหยาบคาย พูดเพ้อเจ้อ พูดใส่ร้าย
หรือชอบพูดนินทาผู้อื่นโดยควบคุมตัวเองได้ยาก
ก็ลองอธิษฐานจิตงดพูดดู
จะกำหนดเวลาเป็นวัน หรือเดือน หรือสัปดาห์ก็ได้

http://www.dhammajak.net/board/files/268_1237287057.jpg_197.jpg

เมื่อนักปฏิบัติงดพูดควรกระทำดังนี้

๑. ไม่มีหน้าที่รับผิดชอบใดที่จะอาจต้องใช้วาจาสื่อความต่อกัน

๒. ประกาศให้เพื่อนพรหมาจารีทราบโดยทั่วกัน
เพื่อมิให้เพื่อนสหธรรมิกผู้ใดมารบกวนไต่ถามเรื่องต่างๆ

๓. พยายามปลีกเร้นให้มาก อย่าคลุกคลีกับหม่คณะ

๔. เวลาเดินผ่านผู้คน จงสำรวม กาย สงบวาจา และดูใจตนเองอยู่

๕. เมื่อไม่ขยับปากนานๆ เชื้อแบคทีเรียอาจเพาะตัวได้มาก
(ปกติก็มีอยู่บ้างแล้ว) อาจรู้สึกเหนอะหนะในปาก
ควรแปรงฟันหรือบ้วนปากบ่อยๆ

๖. เมื่ออธิษฐานอดพูดแล้ว ก็ไม่ควรออกไปนอกวัด หรือนอกบ้าน
เพราะอาจทำให้ประสบความลำบากได้

การอธิษฐานงดพูด มี ๒ ประการ คือ

๑. งดพูด แต่สวดมนต์ทำวัตรปกติ

๒. งดออกเสียงทุกชนิด (แม้งดออกเสียงก็ให้สวดมนต์ในใจ)

ที่สำคัญคือให้ดูใจของตนเอง
ในขณะที่จิตปรุงแต่งวจีสังขาร และอยากขยับปากพูด
หากคิดปุ๊ปก็พูดปั๊ป จะไม่ทันได้เห็นกระบวนการของมัน
จุงทำให้ควบคุมไม่ได้

แต่เมื่ออธิษฐานงดพูดอยู่
จะเห็นกระบวนการปรุงแต่งของความคิด
ที่เป็นรากเหง้าขับดันให้มนุษย์พูด
เมื่อเข้าใจกระบวนการของวจีสังขารโดยถ่องแท้แล้ว
ก็ควบคุมวาจาได้โดยง่าย

จากนั้นก็เพียรพัฒนาใจให้ดี ฝึกความคิดให้งาม
เพื่อต่อไปจะได้พูดสิ่งที่ดีงามเกื้อกูลต่อกัน ในการเข้าสู่วิมุติ
พาหมู่คณะเข้าสู่ความผาสุกโดยไม่เนิ่นช้า

เมื่องดพูดจนครบกำหนดแล้ว
นิสัยพูดมาก พูดพล่าม พูดไม่งาม พูดไม่ดี จะค่อยๆหายไป

พึงจำไว้ว่า การอธิษฐานอดข้าวก็ดี อดนอนก็ดี อดพูดก็ดี
มิได้สนับสนุนให้ทำเสมอไป
ให้ทำเพียงเพื่อละกิเลสและอุปาทานเดิมที่ติดยึดมามากเท่านั้น
เพื่อขจัดความเคยชินอันเลวร้ายออกไปเสียได้แล้ว
ก็ไม่จำเป็นต้องกระทำอีกต่อไป

ดังพุทโธวาทที่ตรัสสอนไว้ใน เทวทหสูตร ว่า

"ภิกษุพึงพิจารณาเห็นอย่างนี้ว่า
ถ้าอยู่สบาย อกุศลธรรมเจริญ กุศลธรรมเสื่อม
ถ้าตั้งตนไว้ในทุกข์ อกุศลธรรมจะเสื่อม และกุศลธรรมจะเจริญ
ก็จงตั้งตนไว้ในทุกข์ เพื่อให้อกุศลธรรมเสื่อม และกุศลธรรมเจริญ

แต่ในสมัยอื่นจะไม่ทำเช่นนั้น
เพราะสำเร็จประโยชน์แล้วจึงไม่ทำเช่นนั้นอีก

เปรียบเสมือนช่างศร ย่างลูกศร
ดัดลูกศรที่ง่ามไม้ ทำให้ศรใช้การได้
เมื่อเข้าที่แล้วก็ไม่ต้องย่างหรือดัดซ้ำอีก
อย่างนี้ก็เป็นอีกประการหนึ่งที่ความพยายามความเพียรมีผล"

เมื่อบำเพ็ญดังนี้แล้ว
นักปฏิบัติย่อมพบความก้าวหน้าในการฝึกจิตตามลำดับ

แต่หากผู้ใดยังรู้สึกใจของตนยังไม่กล้าแข็ง
หรือมีอำนาจเพียงพอที่จะเอาชนะกิเลส
หรือควบคุมตัวเองให้อยู่ในครรลองคลองธรรมอันงามได้
ก็ให้เจริญตบะอันแก่กล้าต่อไป

http://www.dhammajak.net/board/files/268_1237288459.jpg_883.jpg
["ปทุมชาติ" : สัญลักษณ์แห่งการพัฒนาตน; บัวกำเนิดจากโคลนตม แต่ยามเบ่งบานงดงาม
ไม่มีกลิ่นตมในดอกและใบ ดังนั้นมนุษย์ควรพัฒนาตนจนเข้าถึงธรรม]