++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ฟังรายการวิทยุรักพ่อ56 ป้ามีดบินในวันไร้ลุงพงศ์



คลิกฟังรายการวิทยุรักพ่อ56 ป้ามีดบินในวันไร้ลุงพงศ์
ที่: http://youtu.be/956FSrg2Bds


ครั้งแรกและครั้งเดียวกับรายการวิทยุที่เสียงของป้ามีดบินและลุงพงศ์อยู่ในรายการเดียวกัน
ครั้งสุดท้ายกับการให้ความรู้ของลุงพงศ์ เรื่องการปลูกมะนาว บันทึกไว้ 20 ชั่วโมงก่อนเสียชีวิต

หลากหลายคำถามที่ลุงสุเวศน์ ถามแทนหลายคน เกิดอะไรขึ้นกับลุงพงศ์, แล้วตอนนั้นป้า เป็นยังไง? จะสานต่องานลุงพงศ์หรือไม่,
ชีวิตต่อไปของป้า วางแผนยังไง, งานทำบุญ 100 วัน จะจัดที่ไหน ฯลฯ หลายคำถาม ฟังจากป้ามีดบินในรายการ

 หลายคน สงสารป้ามีดบิน แต่การพุดคุยกับป้าในรายการ "อยู่กับปัจจุบัน และอนาคตเท่านั้น"
อยู่ที่แฟนคลับ คนรู้จักลุงพงศ์ จะนั่งสงสารป้า หรือ จะก้าวเดินต่อไปกับป้า ...อยู่ที่แต่ละท่านแล้ว...


คลิกฟังรายการวิทยุรักพ่อ56 ป้ามีดบินในวันไร้ลุงพงศ์
ที่: http://youtu.be/956FSrg2Bds

สูตรอาหารเสริมปลาดุก


สูตรอาหารเสริมปลาดุก ผลปาล์มน้ำมัน 15 กก.  หมักในถัง 100 ลิตร ใส่น้ำเกือบเต็ม หมักไว้ 3-4 วัน  ใช้ผลปาล์มดองเป็นอาหารปลาดุกกินได้เลย
Sms FarmerInfo by DTAC-  11.15 น. 25  พ.ย.2555

วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

มนุษย์ทุกคนล้วนรักตนเอง


 มนุษย์ทุกคนล้วนรักตนเอง

มนุษย์ทุกคนล้วนรักตนเอง แต่น่าแปลกที่คนส่วนใหญ่กลับไม่สามารถอยู่กับตัวเองได้ หากอยู่คนเดียวเมื่อไหร่ ไม่นานก็จะรู้สึกกระสับกระส่าย หรือถูกความเหงาเกาะกุมจิตใจ คนจำนวนไม่น้อยจึงพยายามหนีตัวเอง ด้วยการทำตนให้วุ่นกับสิ่งต่างๆที่อยู่นอกตัว เช่น เที่ยวเตร่สนุกสนาน ช็อปปิ้งเล่นเกมออนไลน์ หรือไม่ก็วิ่งหาผู้คน สนทนาไม่หยุด อยู่ห่างจากโทรศัพท์ (และแบล็คเบอรี่) ไม่ได้ หลายคนยอมแลกอิสรภาพและความสุขสงบ เพื่อมีใครสักคนเป็นเพื่อนหรือคู่รัก แม้จะถูกเขาทำร้ายจิตใจก็ยอม ทั้งนี้เพียงเพื่อจะได้หายเหงาเท่านั้นเอง

เรารักตนเองแต่เหตุใดจึงทนอยู่กับตนเองไม่ได้ หากเรารักตนเองจริง เราย่อมพอใจและมีความสุขที่ได้อยู่กับตัวเอง แต่เหตุใ ดเราจึงรู้สึกเหงาในยามที่ไม่มีใครนอกจากตัวเองใช่หรือไม่ นั่นเป็นเพราะเรายังไม่เป็นมิตรกับตัวเอง ในส่วนลึกเรายังทะเลาะเบาะแว้งหรือขัดแย้งกับตัวเอง จึงพยายามหนีตัวเองตลอดเวลา จะว่าไปแล้วความทุกข์ส่วนใหญ่ของผู้คน ล้วนมีรากเหง้ามาจากการที่ไม่สามารถเป็นมิตรกับตัวเองได้อย่างแท้จริง
โดย พระไพศาล วิสาโล

อย่าโกรธเมื่อใครติเตียนพระพุทธเจ้า



อย่าโกรธเมื่อใครติเตียนพระพุทธเจ้า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนเหล่าอื่นอาจกล่าวติเตียนเรา
ติเตียนพระธรรม หรือติเตียนพระสงฆ์.
ท่านทั้งหลายไม่พึงผูกอาฆาต ขุ่นเคือง ไม่พอใจในบุคคลเหล่านั้น.
เพราะถ้าท่านทั้งหลายโกรธเคือง
หรือไม่พอใจในบุคคลที่กล่าวติเตียนเรา
ติเตียนพระธรรม หรือติเตียนพระสงฆ์นั้น,
อันตรายเพราะความโกรธเคืองนั้น ก็จะพึงเป็นของท่านทั้งหลายเอง.
ถ้าท่านทั้งหลายโกรธเคือง หรือไม่พอใจในบุคคลที่กล่าวติเตียนเรา
ติเตียนพระธรรม หรือติเตียนพระสงฆ์
จะรู้ได้ละหรือว่า คำกล่าวของคนเหล่าอื่นนั้น
เป็นคำกล่าวที่ดี (สุภาษิต) หรือไม่ดี (ทุพภาษิต) ?
...ไม่ทราบ พระเจ้าข้า...
...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายพึงชี้แจง (คลี่คลาย) เรื่องที่ไม่เป็นจริง
ให้เห็นว่าไม่เป็นจริง ในข้อที่คนเหล่าอื่นกล่าวติเตียนเรา
ติเตียนพระธรรม หรือติเตียนพระสงฆ์ ให้เขาเห็นว่าข้อนั้นไม่จริง ข้อนั้นไม่แท้
ข้อนั้นไม่มีในพวกเรา ข้อนั้นไม่ปรากฏในพวกเรา ดังนี้...

พรหมชาลสูตร ๙/๓


อย่าดีใจตื่นเต้นเมื่อใครชมเชยพระพุทธเจ้า

...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนเหล่าอื่นอาจกล่าวชมเชยเรา
ชมเชยพระธรรม หรือชมเชยพระสงฆ์
ท่านทั้งหลายไม่พึงแสดงความชื่นชมโสมนัส
หรือความรู้สึกตื่นเต้นในบุคคลเหล่านั้น
เพราะถ้าท่านทั้งหลายมีความชื่นชมโสมนัส
มีความตื่นเต้นในบุคคลที่กล่าวชมเชยเรา
ชมเชยพระธรรม หรือชมเชยพระสงฆ์
อันตรายเพราะเหตุนั้น ก็จะพึงเป็นของท่านทั้งหลายเอง.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายพึงรับรองเรื่องที่เป็นจริง ให้เห็นว่าเป็นจริง
ในข้อที่คนเหล่าอื่นกล่าวชมเชยเรา ชมเชยพระธรรม หรือชมเชยพระสงฆ์
ให้เขาเห็นว่าข้อนั้นจริง ข้อนั้นแท้
ข้อนั้นมีในพวกเรา ข้อนั้นปรากฏในพวกเรา ดังนี้...

พรหมชาลสูตร ๙/๔

คัดลอกจากหนังสือ...พระไตรปิฎก ฉบับสำหรับประชาชน
ย่อความจากประไตรปิฎกฉบับภาษาบาลี ๔๕ เล่ม...
โดยคุณสุชีพ ปุญญานุภาพ

เดิน : วิถีแห่งสติ ติช นัท ฮันห์ เขียน รสนา โตสิตระกูล แปล


เดิน : วิถีแห่งสติ
ติช นัท ฮันห์ เขียน รสนา โตสิตระกูล แปล

เธอจะต้องทำได้

การเดินจงกรม คือวิธีทำสมาธิโดยการเดิน วิธีนี้จะนำสันติสุขมาให้เธอในขณะปฏิบัติ เมื่อเธอฝึกเดินจงกรม จงก้าวช้าๆ ด้วยอาการผ่อนคลายและสงบ พร้อมกับยิ้มน้อยๆ บนใบหน้า เธอควรเดินเหมือนคนที่มีเวลาว่างอย่างยิ่ง และไม่มีอะไรต้องทำเลย ในขณะก้าวแต่ละก้าวจงสลัดทิ้งความกังวลและความเศร้าทั้งหลาย เพื่อที่จะอยู่อย่างสันติสุข เธอควรไปแต่ละก้าวด้วยอาการเช่นนี้ สิ่งนี้ไม่ยากเกินไปสำหรับเธอเลย เธอจะต้องทำได้แน่นอน ทุกคนสามารถทำได้ หากเขาหรือเธอต้องการอยู่ในความสุขสันติ

ไปโดยปราศจากการถึง

ในชีวิตที่ยุ่งเหยิงวุ่นวาย เรามักจะรู้สึกรีบร้อนด้วยเรื่องบีบคั้นเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เรามักจะต้องรีบเสมอ แต่เราจะรีบร้อนไปไหนเล่า? นี่เป็นคำถามที่เรามักไม่ค่อยถามตัวเอง

การเดินจงกรมก็เหมือนกับการเดินเล่น เราจะไม่กำหนดเป้าหมายแน่นอนที่จะต้องไปถึง หรือกำหนดเวลาที่จะไปถึง เป้าหมายของการเดินจงกรมก็คือการเดินจงกรม จุดสำคัญก็คือ การเดินโดยไม่มีการไปถึง การเดินจงกรมไม่ใช่วิธีการ แต่คือเป้าหมาย แต่ละก้าวคือชีวิต แต่ละก้าวคือความสุขสันติ นี่คือเหตุผลที่เราไม่ต้องเดินอย่างเร่งร้อน นี่คือเหตุผลของการก้าวอย่างเนิบช้า เดิน แต่อย่าเอาแต่เดิน เดิน อย่าให้ความมุ่งหมายใดผลักเราไปข้างหน้า ด้วยวิธีนี้ เมื่อเราเดิน จงเดินพร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ บนใบหน้า

ก้าวอย่างผ่อนคลาย

ในชีวิตประจำวัน ย่างก้าวของเราจะถูกถ่วงทับอยู่ด้วยความวิตก ความกังวล และความกลัว อาจกล่าวได้ว่า ชีวิตของเรา ก็คือ เดือนปีแห่งความวิตกกังวล ด้วยเหตุนี้ ย่างก้าวของเรา จึงไม่สามารถเป็นย่างก้าวแห่งความผ่อนคลาย

โลกนี้ช่างงดงามไปด้วยเส้นทางที่น่าตื่นใจมากมาย มีเส้นทางเล็กๆ ที่มีต้นไผ่ขึ้นอยู่สองข้างทาง มีเส้นทางที่ถูกอาบไล้ด้วยกลิ่นละมุนของทุ่งนาข้าว ยังมีเส้นทางแห่งสีสันอันงดงามของใบไม้ในฤดูใบไม้ร่วงแต่เราไม่ค่อยได้รับรู้ หรือชื่นชมเส้นทางเหล่านี้ เนื่องด้วยเราไม่รู้สึกผ่อนคลาย และย่างก้าวของเราก็ไม่ผ่อนคลายเช่นกัน

การเดินจงกรมคือการฝึกเดินอย่างผ่อนคลายอีกครั้งหนึ่ง สมัยเมื่อเราอายุได้หนึ่งขวบครึ่ง เราเริ่มต้นเดินอย่างไม่มั่นคง มาบัดนี้ เมื่อเราฝึกเดินจงกรม เราจะเริ่มต้นเดินอย่างไม่มั่นคงอีกครั้งหนึ่ง แต่หลังการฝึกสักไม่กี่อาทิตย์ เราจะเริ่มก้าวได้อย่างมั่นคง สงบ และเป็นธรรมชาติ ข้อความต่อไปนี้ เขียนขึ้นเพื่อช่วยให้เธอเริ่มการฝึกนี้ ฉันหวังว่าเธอจะพบกับความสำเร็จ

สลัดทิ้งความกังวล

หากฉันมีดวงตาดังพระเนตรของพระพุทธเจ้า ฉันก็จะสามารถมองเห็นรอยเท้าของเธอ ที่จารึกร่องรอยแห่งความกังวล และความเศร้า ที่เธอฝากไว้บนพื้นโลก ขณะที่เดินผ่านไปได้อย่างชัดเจน ราวกับนักวิทยาศาสตร์ที่ใช้แว่นขยายส่องเห็นจุลินทรีย์ ที่ปรากฏอยู่ในน้ำซึ่งนำมาจากทะเลสาบ ความลับของการเดินจงกรม ก็คือ การเดินด้วยอากัปกิริยาที่จะจารึกแต่ความสุขสงบไว้บนรอยเท้าของเธอเท่านั้น หากเธอปรารถนาที่จะเดินในลักษณะนี้ เธอจะต้องเรียนรู้การสลัดทิ้่งความเศร้า และความกังวลทั้งหลาย

เดินอยู่บนดินแดนบริสุทธิ์

หากฉันมีเท้าดังพระบาทของพระพุทธเจ้า ฉันจะพาเธอไปสู่ดินแดนบริสุทธิ์ของพระอามิตตพุทธ ทิวทัศน์ ณ ที่นั้น สวยสดงดงามและสุขสงบยิ่งนัก หากเธอมีโอกาสไปยังดินแดนแห่งนั้น เธอจะเดินด้วยท่วงทีอย่างไร? เธอแน่ใจหรือว่า เธอจะไม่ฝากร่องรอยแห่งความกังวล และความเศร้าของชีวิตทางโลกไว้บนรอยเท้าของเธอ ณ ดินแดนบริสุทธิ์แห่งนั้น

หากเธอนำความเศร้า และความกังวลไปกับเธอ และฝังรอยเหล่านั้นบนดินแดนบริสุทธิ์แห่งนั้น เธอก็จะทำให้ดินแดนแห่งนั้นมัวหมอง การที่จะสามารถอยู่ในโลกแห่งสันติสุข เธอจะต้องสามารถเดินด้วยฝีเท้าที่มีความสงบสุขเสียตั้งแต่ที่นี่ บนโลกแห่งนี้

ตราประทับแห่งกษัตริย์

เลือกทางเดินที่เรียบสม่ำเสมอ เพื่อฝึกเดินจงกรม อาจจะเป็นริมฝั่งน้ำ สวนสาธารณะ ลานบ้าน ในป่า หรือทางเดินเล็กๆ ระหว่างต้นไม้ ยังมีคนฝึกเดินจงกรมในค่ายกักกัน แม้แต่ในคุกอันคับแคบ และมืดทึบ จะเป็นการดีหากว่าทางเดินนั้นไม่ขรุขระหรือชันเกินไป เดินให้ช้าลงและจดจ่อความสนใจของเธอลงไปในแต่ละก้าว มีสติรู้อยู่ในการก้าวแต่ละก้าว ก้าวอย่างระมัดระวังและสงบ ก้าวด้วยอาการดำเนินแห่งพระพุทธองค์ เมื่อเธอก้าวจงประทับรอยเท้าของเธอ ลงบนพื้นโลกอย่างระมัดระวัง และด้วยความมั่นใจ ประดุจดังกษัตริย์ที่ทรงประทับตราประจำพระองค์ลงบนโองการแผ่นดิน

ตราประทับของกษัตริย์บนโองการแผ่นดิน อาจนำความสุขหรือความทุกข์มาให้แก่ประชาชน ฝีเท้าของเธอก็เป็นเฉกเช่นกัน โลกแห่งความสันติสุขขึ้นอยู่กับว่า เธอจะสามารถก้าวอย่างสุขสันติได้หรือไม่ ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับก้าวแต่ละก้าวของเธอ หากเธอสามารถก้าวหนึ่งก้าวได้อย่างสันติสุข เธอก็จะสามารถก้าวอีกสองก้าว จนกระทั่งสามารถก้าวได้ ๑๐๘ ก้าวอย่างสันติสุข

* กำหนดอนุสสติ คลายกังวลและนิวรณ์ ๕ ด้วยกระบวนความคิดที่ทำให้จิตเกิดความเบา ปลอดโปร่ง และมีปีติ

การก้าวของเธอคือการกระทำที่สำคัญที่สุด

การกระทำใดบ้างที่เป็นการกระทำที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเธอ? สอบไล่ผ่าน ซื้อรถ ซื้อบ้าน หรือการได้เลื่อนตำแหน่งการงาน? มีคนจำนวนมากที่สอบไล่ผ่าน ซื้อรถ และได้เลื่อนตำแหน่ง แต่เขาเหล่านั้นไม่เคยอยู่กับความสงบสุข เขาไม่เคยรู้สึกเต็มเปี่ยม ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตก็คือ การอยู่อย่างสันติสุขกับตัวเอง และแบ่งปันสันติสุขนั้นกับผู้อื่น (เจริญพรหมวิหาร ๔) แต่การที่เธอจะสามารถอยู่ได้อย่างสันติสุขนั้น เธอจะต้องมีสติกับการก้าวแต่ละก้้าว การก้าวของเธอ เป็นการกระทำที่สำคัญที่สุดของเธอ มันจะชี้ชะตาในทุกสิ่ง ฉันได้จุดธูปขึ้น แล้วพนมมือเข้าหากัน พร้อมกับตั้งความปรารถนาให้เธอได้พบกับความสำเร็จ

สายลมสดชื่นปรากฏขึ้นจากเท้าแต่ละก้าว

ในวัดแห่งหนึ่ง ที่จุดเริ่มของทางเดินจงกรม มีคำจารึก ๕ คำ บนแผ่นหินขนาดใหญ่ว่า "โบ โบ ทัน ฟอย กอย" ซึ่งมีความหมายว่า สายลมสดชื่น ปรากฏขึ้นจากเท้าแต่ละก้าว เธอไม่รู้สึกหรือว่า มันช่างเป็นคำพูดที่ไพเราะ ..

.. สายลมสดชื่น คือความแจ่มใส ความสงบสุข และอิสระที่พัดพาเอาความเศร้าของชีวิต และความตายออกไปให้สิ้น และนำเอาความสดชื่นแห่งสันติสุขมาสู่จิตใจของเรา เมื่อเธอก้าวด้วยอาการเช่นนี้ เธอจะสามารถช่วยโลกได้

จงตื่นขึ้นเพื่อที่จะปล่อยวาง

ความกังวลและความเศร้า มักจะเกาะตรึงอยู่กับชีวิตของเรา เราจะสลัดมันทิ้งได้อย่างไร? ก้าวอย่างผ่อนคลายและมั่นคง ตื่นขึ้น และมีความมุ่งมาดอันหนักแน่น ตื่นขึ้นเพื่อจะได้เห็นว่า เธอได้แบกเอาความกังวลและความเศร้าไว้หนักอึ้งเพียงไร มีความมุ่งมาดอันหนักแน่นเพื่อจะละวางความกังวลและความเศร้านั้นเสียอย่างเด็ดเดี่ยว ความกังวลและความเศร้าเกิดขึ้นเมื่อเธอถูกครอบงำด้วยอดีตและอนาคต เมื่อใดที่เราแลเห็นความกังวลและความเศร้า เมื่อนั้นเราก็ได้ตื่นขึ้น ขอให้เรามีความเมตตาต่อตัวเราเอง เราจะรู้สึกเมตตาตนเอง เมื่อเราได้แลเห็นว่า เราถูกจำกัดอยู่ด้วยโครงสร้างของเวลา ถูกจำกัดอยู่ด้วยความกังวลและความเศร้า หากเราต้องการ เราก็สามารถปล่อยวางมันเสียแต่เดี๋ยวนี้ เหมือนดังเราถอดเสื้อฝนออกสะบัด ให้หยาดฝนที่เกาะอยู่นั้นหลุดออกไป

ยิ้ม ดุจการแย้มโอษฐ์แห่งพระพุทธองค์

เมื่อเธอสลัดความกังวลและความเศร้าออกไป จงปล่อยให้รอยยิ้มปรากฏออกมาแทนที่ ยิ้มน้อยๆ และถนอมรอยยิ้มนั้นไว้บนริมฝีปาก ดุจการแย้มโอษฐ์แห่งพระพุทธองค์ จงเรียนรู้ที่จะก้าวดุจการดำเนินแห่งพระพุทธองค์

ยิ้มดุจการแย้มโอษฐ์แห่งพระพุทธองค์ เธอสามารถทำได้ เธอไม่จำเป็นต้องรอจนกว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าเสียเอง ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไรวันนั้นจะมาถึง แต่เธอสามารถเป็นพระพุทธเจ้าได้ในขณะปัจจุบันนี้เลยทีเดียว

การยิ้มน้อยๆ นี้ไม่เพียงแต่เป็นผลจากสติและสันติสุขเท่านั้น แต่การยิ้มน้อยๆ ยังมีผลในการหล่อเลี้ยงและรักษาสติด้วย นี่เป็นปาฏิหาริย์ที่แท้จริง ขอเธออย่าได้ละเลยเป็นอันขาด เพราะมันเป็นบ่อเกิดแห่งความสุขของเธอ มันจะนำความสงบสุขและสติมาให้แก่เธอ ในขณะเดียวกันก็จะช่วยให้คนรอบข้างของเธอได้พบสันติสุขและสติด้วยเช่นกัน สิ่งนี้จะเปลี่ยนโลกนี้ให้กลายเป็นดินแดนบริสุทธิ์

ในขณะเดินจงกรม ขอให้เธออย่าลืมรักษารอยยิ้มน้อยๆ ไว้ มันจะช่วยให้เธอก้าวได้อย่างผ่อนคลายมากขึ้น สงบและมีสติมากขึ้น

สายร้อยแห่งมุก

รอยยิ้มน้อยๆ และก้าวที่สุขสงบ อาจเปรียบได้กับประกายแสงแห่งไข่มุกแต่ละเม็ด ลมหายใจของเธอคือเชือกร้อยไข่มุกทั้งหลายเข้าด้วยกันเป็นสาย ไม่มีการแยกขาดระหว่างไข่มุกสองเม็ด

ขอให้เธอหายใจอย่างมีสติ เช่นเดียวกับเวลาเธอเดินจงกรม การตามรู้ลมหายใจเป็นวิธีที่วิเศษในการประคองสติและความสุขสงบเอาไว้ และด้วยวิธีนี้ เธอได้หล่อเลี้ยงการก้าวแต่ละก้าวของเธอไว้ด้วย

การนับลมหายใจ และการก้าวเดิน

 การหายใจอย่างมีสติแตกต่างจากการหายใจตามธรรมดา การหายใจอย่างมีสติ หมายความว่า เมื่อเธอหายใจ เธอรู้ว่าเธอกำลังหายใจ เมื่อเธอหายใจยาว เธอย่อมรู้ว่า เธอกำลังหายใจยาว และเช่นเดียวกัน เมื่อเธอหายใจสั้น เธอย่อมรู้ว่า เธอกำลังหายใจสั้น เมื่อเธอหายใจละเอียด เธอย่อมรู้อยู่ว่า เธอกำลังหายใจละเอียด เธออาจจะถามว่า เธอจะกำหนดรู้ทั้งการหายใจและการเดินในเวลาเดียวกันได้อย่างไร มันทำได้ หากว่าเราเชื่อมประสานการหายใจและการเดินเข้าด้วยกัน เราสามารถทำได้ โดยอาศัยวิธีนับ เรานับจำนวนก้าว หรือพูดอีกนัยหนึ่ง ก็คือ เราวัดความยาวของลมหายใจด้วยจำนวนก้าว เช่น เราก้าวได้กี่ก้าว เมื่อหายใจเข้า และก้าวได้กี่ก้าว เมื่อเราหายใจออก

สนิมชีวิต โดย ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์


> บทความที่ดีที่อยากให้อ่านกันค่ะ
>
> สนิมชีวิต โดย ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์
>
> "ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง อธิการบดีกล่าวในการประชุมคณาจารย์ว่า ต้องใส่ใจดูแลลูกศิษย์ให้ดี ลูกศิษย์ที่สอบได้คะแนน 100% จะกลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ระดับประเทศ ลูกศิษย์ที่สอบได้คะแนน 80% ก็จะได้เป็นครูบาอาจารย์ ผู้ที่สอบตกได้คะแนนต่ำกว่า 50% ก็จะกลายเป็นคนร่ำรวยกลับมาช่วยเหลือสนับสนุนมหาวิทยาลัย ลูกศิษย์ที่โกงข้อสอบก็อย่าไปเอาเรื่องเขา เพราะต่อไปพวกเขาจะเติบโตไปเป็นนักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่ ลูกศิษย์ที่เรียนไม่จบแล้วลาออกไปก่อนก็ต้องให้เกียรติอย่างเต็มที่ เพราะพวกเขาจะกลายเป็นบิล เกตต์ และสตีฟ จ๊อบส์ในอนาคต!"
> (เรื่องขำขันเสียดสีจากอินเตอร์เน็ตจีน)
>
> เรื่องเล่าข้างต้นนี้ เมื่ออ่านจบแล้วคงต้องใช้สำนวนกำลังภายในบรรยายความรู้สึกว่า
> "หัวร่อมิออก ร่ำไห้มิได้" เพราะเป็นเรื่องขบขันที่ชวนขมขื่นยิ่งนัก ที่ระบบการศึกษาไม่สามารถสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพสมกับการลงทุนและเวลาที่เสียไป
> คนที่เรียนจนจบปริญญาตรีต่อปริญญาโท ตามด้วยปริญญาเอก จนมีคำว่าดอกเตอร์นำหน้าชื่อ แต่ปรากฏว่ายิ่งเรียนสูงเท่าใดยิ่งห่างไกลจากการเป็น "ผู้สร้างธุรกิจ"
> ไม่เชื่อก็ลองสืบค้นดูประวัติของนักธุรกิจใหญ่ระดับแนวหน้าในประเทศไทย ก็จะพบว่าส่วนใหญ่ไม่ได้มีใบปริญญาหรือร่ำเรียนสูงสักเท่าไร
> ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะว่า คนที่ยิ่งเรียนสูงก็ยิ่งหลงตัวเองว่ามีความรู้ความสามารถเกินกว่าปรกติ ถ้าจบจากสถาบันที่มีชื่อเสียงก็ยิ่งจะอาการหนักมากขึ้น
> เห็นแต่ความสำคัญของตนเองมากกว่าคุณค่าของผู้อื่น ภาษาชาวบ้านเรียกอาการนี้ว่า "อีโก้จัด" แต่ผมอยากเรียกว่าเป็นอาการ "สนิมจับ" น่าจะเห็นภาพได้ชัดเจนกว่า
> สนิมนี้คือ "สนิมชีวิต" ที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นระหว่างการเติบโตในชีวิตของแต่ละคน เมื่อมีสถานะที่สูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นฐานะการเงิน วุฒิการศึกษา ตำแหน่งทางวิชาการหรือ
> ตำแหน่งบริหารในองค์กร ก็จะมีลูกน้องหรือผู้หวังจะได้ประโยชน์มาห้อมล้อมและแซ่ซ้องสรรเสริญอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ซึ่งเรื่องที่ถูกยกยอปอปั้นนั้นก็มีทั้งจริงบ้างเท็จบ้าง
> แต่ผู้ถูกสรรเสริญก็จะชอบฟังทั้งจริงทั้งเท็จ เพราะฟังแล้วไพเราะเพราะพริ้งยากจะหาสิ่งใดมาเปรียบ
> กระบวนการเหล่านี้ เสมือนน้ำบวกอากาศที่ก่อให้เกิดสนิมกัดกร่อนเนื้อเหล็กเพิ่มขึ้นตลอดเวลา นานวันเข้าสนิมก็พอกพูนจนบดบังเนื้อแท้จนหมดสิ้น
> เหล็กเองก็เริ่มมองไม่เห็นตัวเองและโลกที่แท้จริง จึงปล่อยตัวเองถลำลึกสู่ความเสื่อมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
> ถ้าบุคคลที่สนิมชีวิตจับเขรอะเช่นนี้ยังมีบุญอยู่ เขาก็จะยังเสวยสุขต่อไปได้อีกระยะ ยังสามารถขยายอาณาจักรเพิ่มเติมไปได้ด้วยพลังที่เหลืออยู่ จนถึงวันที่เขารู้สึกว่าถูกใครขัดใจไม่ได้อีกต่อไป ถ้าใครขวางทางของเขา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลหรือเจตนาอย่างไร เขาก็จะบันดาลโทสะและถือผู้นั้นเป็นศัตรูที่ต้องตอบแทนให้สาสม เขาจึงบ่มเพาะศัตรูเพิ่มขึ้นทุกขณะ จนกระทั่งหายนะมาเยือน
> ดังนั้น ผู้ที่มีธรรมะเป็นหลักในชีวิต จึงต้องหมั่นฝึกจิตให้รู้เท่าทันอยู่เสมอ อาจต้องพกกระดาษทรายติดตัวไว้เตือนสติตนเองว่า พร้อมจะขัดถูสนิมที่เกิดขึ้นตลอดเวลาด้วยความไม่ประมาท เมื่อใด ที่เริ่มรู้สึกว่าตัวเองชักไม่ธรรมดา ก็จงมองไปยังบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ทั้งในอดีตและปัจจุบัน จะได้เห็นว่าเรายังห่างไกลจากท่านเหล่านั้นเหลือเกิน มองตัวเองให้เห็นเป็นเหมือนมดเล็กๆ ตัวหนึ่งท่ามกลางมดเป็นล้านๆ ตัว ไม่ได้มีความสำคัญยิ่งใหญ่อะไรเลย เพราะถ้าเทียบกับโลกและจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล ตัวเราก็เล็กกว่าฝุ่นละออง เป็นเพียงเศษธุลีบนดาวเคราะห์ดวงนี้เท่านั้น และหากจะเปรียบกับความยืนยาวของประวัติศาสตร์หรืออายุของกาแล็คซี่ ชีวิตหนึ่งของเรานี้ก็เป็นเพียงเศษเสี้ยววินาทีเท่านั้น
> เมื่อตระหนักในสัจธรรมดังกล่าว เราจึงพึงให้เกียรติเพื่อนมนุษย์เสมอหน้ากันไม่ว่าจะอยู่ในฐานะหรือตำแหน่งสูงต่ำอย่างไรก็ตาม ล้วนสมควรได้รับการปฏิบัติจากเราด้วยความสุภาพอ่อนโยนเฉกเช่นเดียวกัน โดยไม่แบ่งชั้นวรรณะ เพราะโดยแก่นแท้แล้ว เราทุกคนต่างเป็นเพื่อนร่วมชะตากรรมที่กำลังกระเสือกกระสนอยู่ในกระแสแห่งวัฏสงสารด้วยกันทั้งสิ้น
> ชีวิตที่ปราศจากสนิม จะเป็นชีวิตที่สวยงามและแข็งแกร่งไม่ผุกร่อนโดยง่าย สามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างมั่นคงจนกว่าจะ
> ก้าวลงจากเวทีอย่างสง่างาม ไม่ต้องสะดุดหกล้มหัวคะมำกลางเวทีให้ผู้คนสมน้ำหน้า ก่อนที่ละครชีวิตจะปิดฉากลง...
>
> (บทความจาก CEO ซีพี ออลล์)
>
>
> Sent from my iPad

อรรถกถา อุลูกชาดก ว่าด้วย หน้าตาไม่ดีไม่ควรให้เป็นใหญ่


อรรถกถา อุลูกชาดก
ว่าด้วย หน้าตาไม่ดีไม่ควรให้เป็นใหญ่
               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภการทะเลาะของกาและนกเค้า จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า สพฺเพหิ กิร ญาตีหิ ดังนี้.
               ได้ยินว่า ในกาลครั้งนั้น กาทั้งหลายพากันกินนกเค้าทั้งหลายในตอนกลางวัน ฝ่ายนกเค้าทั้งหลาย จำเดิมแต่พระอาทิตย์อัศดงคต ก็พากันเฉี่ยวศีรษะของพวกกาที่นอนอยู่ในที่นั้นๆ ทำให้พวกกาเหล่านั้นถึงความสิ้นชีวิตไป. ศีรษะกาแม้มากมายเปื้อนเลือดประมาณ ๗-๘ ทะนานหล่นจากต้นไม้ ภิกษุรูปหนึ่งผู้อยู่ในบริเวณแห่งหนึ่งท้ายพระวิหารเชตวัน ต้องเก็บทิ้งในเวลากวาด.
               ภิกษุนั้นจึงบอกเนื้อความนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย.
               ภิกษุเหล่านั้นนั่งสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย ได้ยินว่า ในเวลาที่ภิกษุรูปโน้นกวาดจะต้องทิ้งศีรษะกาทั้งหลายมีประมาณเท่านี้ทุกวันๆ
               พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งประชุมกันด้วยเรื่องอะไร? เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า มิใช่ในบัดนี้เท่านั้นน่ะ ภิกษุทั้งหลาย แม้ในกาลก่อน กากับนกเค้าก็ได้กระทำการทะเลาะกันมาแล้ว.
               ภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กากับนกเค้าก่อเวรแก่กันและกันขึ้นในคราวไร พระเจ้าข้า?
               พระศาสดาตรัสว่า จำเดิมแต่กาลอันเป็นปฐมกัปทีเดียว แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
               ในอดีตกาล ครั้งปฐมกัป มนุษย์ทั้งหลายประชุมกัน คัดเลือกบุรุษคนหนึ่งผู้มีรูปงาม ถึงความเป็นผู้เลิศด้วยความงาม สมบูรณ์ด้วยมารยาท บริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง แต่งตั้งให้เป็นพระราชา.
               ฝ่ายสัตว์ ๔ เท้าก็ประชุมกันตั้งราชสีห์ให้เป็นพระราชา.
               พวกปลาในมหาสมุทรก็ได้ตั้งปลาอานนท์ให้เป็นพระราชา.
               ลำดับนั้น หมู่นกพากันประชุมที่หินดาดแห่งหนึ่งในหิมวันตประเทศ ปรึกษากันว่า ในหมู่มนุษย์พระราชาก็ปรากฏ ในสัตว์ ๔ เท้าและปลาทั้งหลายก็ปรากฏเหมือนอย่างนั้น แต่ในระหว่างพวกเรา พระราชายังไม่มี ธรรมดาว่า การอยู่โดยไม่มีที่พึ่ง ย่อมไม่ควร แม้พวกเราก็ควรจะได้พระราชา พวกเราจงกำหนดนกตัวหนึ่งผู้สมควรตั้งไว้ในตำแหน่งพระราชา. นกทั้งหลายพิจารณาหานกเช่นนั้น เห็นนกเค้าตัวหนึ่งก็ชอบใจ จึงกล่าวว่า เราชอบใจนกตัวนี้.
               ลำดับนั้น นกตัวหนึ่งจึงประกาศขึ้น ๓ ครั้ง เพื่อต้องการหยั่งดูอัธยาศัยใจคอของนกทุกตัว. เมื่อนกตัวนั้นร้องประกาศอยู่ ๒ ครั้ง ก็ยังสงบเงียบอยู่.
               ในเวลาจะประกาศครั้งที่ ๓ กาตัวหนึ่งลุกขึ้นกล่าวว่า ก่อนอื่น ในเวลาอภิเษกเป็นพระราชาครั้งนี้ หน้าของนกเค้าผู้ยังไม่โกรธ ยังเห็นปานนี้ก่อน เมื่อเขาโกรธ หน้าจักเป็นเช่นไร ก็พวกเขาผู้ถูกนกเค้าตัวนี้โกรธ แลดูแล้วจักแตกตื่นกันในที่นั้นทันที เหมือนเกลือที่ใส่ในกระเบื้องร้อนฉะนั้น การตั้งนกเค้านี้ให้เป็นพระราชา ข้าพเจ้าหาพอใจไม่.
               เมื่อจะประกาศเนื้อความนี้ จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-
               ได้ยินว่า พวกญาติทั้งปวงจะตั้งนกเค้าให้เป็นใหญ่ ถ้าพวกญาติอนุญาต ฉันจะขอพูดสักคำหนึ่ง.

               ความของคาถานั้นว่า ฉันได้ฟังการกล่าวประกาศ ซึ่งกำลังเป็นไปอยู่นั้น จึงขอกล่าว. ได้ยินว่า พวกญาติที่มาประชุมกันนี้ทั้งหมด จะตั้งนกเค้าตัวนี้ให้เป็นพระราชา ก็ถ้าพวกญาติจะอนุญาตฉันไซร้ ฉันขอกล่าวอะไรๆ สักคำหนึ่งที่จะพึงกล่าวในสมาคมนี้.

               ลำดับนั้น นกทั้งหลาย เมื่อจะอนุญาตกานั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
               ดูก่อนสหาย เราทั้งหมดอนุญาตให้ ท่านพูด แต่จงพูดแต่ถ้อยคำที่เป็นอรรถและธรรมอย่างเดียว เพราะว่านกหนุ่มๆ ที่มีปัญญาและทรงญาณอันรุ่งเรือง ยังมีอยู่.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภณ สมฺม อนุญฺญาโต ความว่า ดูก่อนกาผู้สหาย พวกเราอนุญาต ท่านจงพูดสิ่งที่ควรพูดเถิด.
               บทว่า อตฺถํ ธมฺมญฺจ เกวลํ ความว่า ก็เมื่อท่านจะกล่าวจงกล่าวอย่าให้ละเลยเหตุ และคำอันมีมาตามประเพณีเสีย.
               บทว่า ปญฺญวนฺโต ชุตินฺธรา ความว่า พวกนกแม้หนุ่มๆ ที่สมบูรณ์ด้วยปัญญา และทรงแสงสว่างแห่งญาณความรู้ยังมีอยู่เหมือนกัน.

               กาตัวนั้นอันพวกนกอนุญาตอย่างนั้นแล้ว จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :--
               ขอความเจริญจงมีแก่ท่านทั้งหลาย การแต่งตั้งนกเค้าให้เป็นใหญ่ ข้าพเจ้าไม่ชอบใจ ท่านจงมองดูหน้าของนกเค้าผู้ไม่โกรธเถิด นกเค้าโกรธแล้วจักทำหน้าตาอย่างไร.

               เนื้อความของคาถานั้นนั้นว่า
               ขอความเจริญจงมีแก่ท่านทั้งหลาย การที่ท่านทั้งหลายทำการอภิเษกนกเค้าด้วยการประกาศ ๓ ครั้งนั้น ข้าพเจ้าไม่ชอบใจ ก็ท่านทั้งหลายจงมองดูหน้าของนกเค้านี้ผู้ดีใจยังไม่โกรธขณะนี้ เราไม่รู้ว่า ก็นกเค้านี้โกรธแล้วจักกระทำหน้าอย่างไร การตั้งนกเค้าให้เป็นใหญ่นี้ ข้าพเจ้าจึงไม่ชอบโดยประการทั้งปวง.
               กานั้นครั้นกล่าวอย่างนี้แล้วบินร้องไปในอากาศว่า ข้าพเจ้าไม่ชอบใจ ข้าพเจ้าไม่ชอบใจ. ฝ่ายนกเค้าก็บินขึ้นไล่ติดตามกานั้นไป ตั้งแต่นั้นมา กากับนกเค้าจึงได้ผูกเวรกันและกัน.
               นกทั้งหลายตั้งหงส์ทองให้เป็นพระราชา แล้วพากันหลีกไป.

               พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจจะ แล้วทรงประชุมชาดก. ในเวลาจบสัจจะ คนเป็นอันมากได้เป็นพระโสดาบันเป็นต้น.
               หังสโปดกผู้ได้รับอภิเษกให้เป็นพระราชาในกาลนั้น ได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.

               จบ อรรถกถาอุลูกชาดกที่ ๑๐              

               รวมชาดกที่มีในวรรคนี้ คือ
                         ๑. ปทุมชาดก ว่าด้วย ไม่ควรพูดให้เกินความจริง
                         ๒. มุทุปาณิชาดก ว่าด้วย ความปรารถนาสมประสงค์ในกาลมีของ ๔ อย่าง
                         ๓. จุลลปโลภนชาดก ว่าด้วย หญิงทำบุรุษให้งงงวย
                         ๔. มหาปนาทชาดก ว่าด้วย ปราสาทของพระเจ้ามหาปนาท
                         ๕. ขุรัปปชาดก ว่าด้วย ถึงคราวกล้าควรกล้า
                         ๖. วาตัคคสินธวชาดก ว่าด้วย มิตรสันถวะเกิดแต่แรกพบ
                         ๗. สุวรรณกักกฏกชาดก ว่าด้วย ปูทอง
                         ๘. อารามทูสกชาดก ว่าด้วย เหตุที่นายอุยยานบาลจะถูก
                         ๙. สุชาตาชาดก ว่าด้วย ถ้อยคำไพเราะทำให้คนรัก
                         ๑๐. อุลูกชาดก ว่าด้วย หน้าตาไม่ดีไม่ควรให้เป็นใหญ่

               จบ ปทุมวรรคที่ ๒              
               -----------------------------------------------------        
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=27&i=409

คิดบวก ชีวิตบวก Positive Thinking, Positive Life


คิดบวก ชีวิตบวก
Positive Thinking, Positive Life

เวลาเจองานหนัก  
ให้บอกตัวเองว่า  นี่คือโอกาส
ในการเตรียมพร้อม
สู่ความเป็นมืออาชีพ



เวลาเจอปัญหาซับซ้อน  
ให้บอกตัวเองว่า  นี่คือบทเรียน
ที่จะสร้างปัญญาได้อย่างวิเศษ

เวลาเจอความทุกข์หนัก  
ให้บอกตัวเองว่า  นี่คือความฝึกหัด
ที่จะช่วยให้เกิดทักษะในการดำเนินชีวิต
 



เวลาเจอนายจอมละเมียด  
ให้บอกตัวเองว่า  นี่คือการฝึกตน
ให้เป็นคนสมบูรณ์แบบ (perfectionist)

เวลาเจอคำตำหนิ  
ให้บอกตัวเองว่า  
นี่คือการชี้ขุมทรัพย์มหาสมบัติ



เวลาเจอคำนินทา  
ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการสะท้อนว่าเรายังคงเป็นคนที่มีความหมาย

เวลาเจอความผิดหวัง  
ให้บอกตัวเองว่า  
นี่คือวิธีที่ธรรมชาติ
กำลังสร้างภูมิคุ้มกันให้กับชีวิต



เวลาเจอความป่วยไข้  
ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการเตือนให้เห็นคุณค่า
ของการรักษาสุขภาพให้ดี

เวลาเจอความพลักพราก  
ให้บอกตัวเองว่า  
นี่คือบทเรียนของการรู้จักหยัดยืนด้วยขาตัวเอง



เวลาเจอลูกหัวดื้อ  
ให้บอกตัวเองว่า  นี่คือโอกาสทอง
ของการพิสูจน์ความเป็นพ่อแม่ที่แท้จริง

เวลาเจอแฟนทิ้ง  
ให้บอกตัวเองว่า  
นี่คือความเป็นอนิจจัง
ที่ทุกชีวิตมีโอกาสพานพบ




เวลาเจอคนที่ใช่
แต่เขามีคู่แล้ว  
ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือประจักษ์พยานว่า
ไม่มีใครได้ทุกอย่างดั่งใจหวัง

เวลาเจอภาวะหลุดจากอำนาจ  
ให้บอกตัวเองว่า  นี่คือความเป็นอนันตา
ของชีวิตและสรรพสิ่ง
 



เวลาเจอคนกลิ้งกะล่อน  
ให้บอกตัวเองว่า  นี่คืออุทาหรณ์ของชีวิต
ที่ไม่น่าเจริญรอยตาม
 

เวลาเจอคนเลว  
ให้บอกตัวเองว่า  นี่คือตัวอย่าง
ของชีวิตที่ไม่พึงประสงค์
 



เวลาเจออุบัติเหตุ  
ให้บอกตัวเองว่า  นี่คือคำเตือนว่า
จงอย่าประมาทซ้ำอีกเป็นอันขาด
 

เวลาเจอศัตรูคอยกลั่นแกล้ง  
ให้บอกตัวเองว่า  นี่คือบททดสอบที่ว่า
"มารไม่มีบารมีไม่เกิด


เวลาเจอวิกฤต  
ให้บอกตัวเองว่า  นี่คือบทพิสูจน์ธรรม
"ในวิกฤตย่อมมีโอกาส"

เวลาเจอความจน  
ให้บอกตัวเองว่า  นี่คือวิธีที่ธรรมชาติ
เปิดโอกาสให้เราได้ต่อสู้ชีวิต



เวลาเจอความตาย  
ให้บอกตัวเองว่า  นี่คือฉากสุดท้าย
ที่จะทำให้ชีวิตมีความสมบูรณ์
Reference: D-Life (magazine of  Life)
 ประชาชาติธุรกิจ :  
1 ตุลาคม 2550 ฉบับที่ 13
หน้าที่ 22  D I Dhamma Intrend
เรื่อง...ว.วชิรเมธี

หนังสือคนพอเพียง เลี้ยงชีพด้วยการให้ แบ่งปัน เสียสละชีวิตที่มั่นคง มีคุณค่า และผาสุกที่สุดในโลกโดย หมอเขียว


หนังสือคนพอเพียง เลี้ยงชีพด้วยการให้ แบ่งปัน เสียสละชีวิตที่มั่นคง มีคุณค่า และผาสุกที่สุดในโลกโดย หมอเขียว : ใจเพชร กล้าจน แพทย์วิถีธรรมและครูฝึกแพทย์แผนไทย ศูนย์สุขภาพสวนป่านาบุญนักวิชาการสาธารณสุขชำานาญการ โรงพยาบาลอำานาจเจริญคำานำาแท้จริงแล้วสิ่งที่ดีที่สุดสำาหรับคนทุกคนก็คือ ชีวิตที่มั่นคง มีคุณค่าและผาสุก ซึ่งตามความคิดของคนทั่วไปส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่า ความรวยเท่านั้น ที่จะทำาให้ได้มาซึ่งสิ่งดังกล่าว แต่พระพุทธเจ้า ในหลวง และปราชญ์แห่งความดีงามที่แท้จริงแต่ละท่าน กลับมีความคิดและความจริงที่ตรงกันข้ามกับคนทั่วไป คือ ท่านเหล่านั้นล้วนพบตรงกันว่า การมีกินมีใช้ส่วนตัวให้น้อยที่สุดเท่าที่พอดี เท่าที่จำาเป็น เท่าที่ไม่ทรมานตน ในส่วนที่เกินความพอดี เกินความจำาเป็นก็แบ่งปันเสียสละไปยังบุคคล/สถานที่ที่ควรให้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำาได้ เป็นสิ่งที่จะทำาให้ชีวิตมั่นคง มีคุณค่าและผาสุกที่สุดในโลก ผู้เขียนได้ทดลองฝึกฝนปฏิบัติทั้งสองแนวคิด จึงได้พบว่า การที่จะได้ชีวิตที่มีสภาพดังกล่าวนั้นเกิดจากการปฏิบัติตามแนวคิดของพระพุทธเจ้า ในหลวง และปราชญ์แห่งความดีงามที่แท้จริงแต่ละท่าน และเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งว่า เมื่อผู้เขียนพยายามทำาให้ตัวเองรวยมากขึ้นๆ กลับให้ผลตรงกันข้าม ผู้เขียนได้สังเกตและเก็บข้อมูลจากการปฏิบัติตัวของท่านอื่นๆก็ให้ผลทำานองเดียวกัน จึงได้นำาข้อมูลเรื่องราวที่ผู้เขียนได้เรียนรู้ฝึกฝน มาเล่าให้ผู้เข้าอบรมค่ายสุขภาพวิถีธรรม ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง ณ ศูนย์เรียนรู้สุขภาพพึ่งตนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง สวนป่านาบุญ อำาเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร ได้ทราบข้อมูล หลังจากอบรมก็มีหลายท่านต้องการเนื้อหาดังกล่าว ผู้เขียนจึงได้จัดทำาเป็นหนังสือเล่มนี้ ด้วยการถอดเทปและปรับปรุงเนื้อหาการบรรยายเพิ่มเติม เพื่อให้เนื้อหาสมบูรณ์และเป็นประโยชน์กับผู้อ่านมากที่สุดเท่าที่จะทำาได้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือเล่มนี้จะพอเป็นประโยชน์กับท่านผู้อ่านบ้าง
Page 2
จริงใจ ไมตรี มีอภัย ไร้ทุกข์ใจเพชร กล้าจน คนพอเพียง คนพอเพียง จะเลี้ยงชีพด้วยการให้ แบ่งปัน เสียสละ จึงทำาให้ชีวิตเป็นอยู่อย่างคนจน เพราะยิ่งให้ แบ่งปัน เสียสละ ในสิ่งที่เกินความจำาเป็นของชีวิตออกไปมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเหลือทรัพย์สมบัติของกินของใช้ส่วนตัวน้อยลงเท่านั้นๆ ถ้ามองเผินๆการปฏิบัติดังกล่าว น่าจะทำาให้ชีวิตมีแต่ความทุกข์ ลำาบาก ขาดแคลน เสียเปรียบ โง่ที่สุดในโลก แต่เชื่อหรือไม่ว่า คนที่ขยันทำากิจกรรม/การงาน/กุศลธรรม/สิ่งที่ดีงามต่างๆอย่างเต็มที่ ตัวเองก็กินน้อยใช้น้อยแค่พอดีสบาย ไม่มากหรือน้อยเกินจนทรมานตน เก็บสิ่งที่จำาเป็นไว้เท่าที่จะสามารถดำาเนินหน้าที่กิจกรรมการงานไปได้ ที่เหลือทำาการให้ แบ่งปัน เสียสละ ไปในบุคล/สถานที่ที่ควรให้ อันเป็นคุณสมบัติ/คุณลักษณะของคนพอเพียงที่แท้จริง กลับเป็นสุดยอดแห่งความชาญฉลาดของการปฏิบัติตน ที่ทำาให้ชีวิตมั่นคง มีคุณค่า และผาสุกที่สุดในโลก พระพุทธเจ้า ในหลวง และปราชญ์แห่งความดีงามที่แท้จริงแต่ละท่าน ล้วนเป็นต้นแบบของคนพอเพียงที่แท้จริง เพราะแต่ละท่านล้วนขยันกระทำาในสิ่งที่ดีงาม แต่กินใช้ส่วนตัวเพียงเล็กน้อย ดังคำาตรัสของพระพุทธเจ้าว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวธรรมของภิกษุ (ผู้ปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์) ซึ่งเป็น ผู้สันโดษ (ยินดีในความมักน้อยอย่างพอเหมาะ) อยู่เสมอ ด้วยปัจจัย (สิ่งที่จำาเป็นในการยังชีพ)ที่น้อย หาได้ง่ายและไม่มีโทษ ว่าเป็นองค์ (องค์คุณองค์ประกอบ) แห่งความเป็นสมณะ (ผู้สงบจากทุกข์ผู้พ้นทุกข์)” (พระไตรปิฎก เล่ม ๒๕ ข้อ ๒๘๑) จะเห็นได้ว่า พระพุทธเจ้าค้นพบว่า ผู้ที่จะพ้นทุกข์ได้อย่างแท้จริงนั้น จะต้องใช้สิ่งจำาเป็นในการยังชีพที่น้อย หาได้ง่ายและไม่มีโทษ ดังนั้น วิธีการที่ประหยัด เรียบง่าย จึงเป็นคำาตอบของการพ้นทุกข์ พระองค์ท่านทรงค้นพบว่า การดับทุกข์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ใช้สิ่งที่หาได้ง่าย อยู่ในตัวหรือใกล้ตัวเรา มาปรับสมดุลทั้งร่างกายและจิตใจสอดคล้องกับพระราชดำารัสเศรษฐกิจพอเพียง (๔ ธ.ค.๓๔) “เราเลยบอกว่า ถ้าจะแนะนำาก็แนะนำาได้ ต้องทำาแบบ “คนจน” เราไม่เป็นประเทศร่ำารวย เรามีพอสมควร พออยู่ได้ แต่ไม่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก เพราะถ้าเราเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก ก็จะมีแต่ถอยหลัง ประเทศเหล่านั้น ที่เป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมก้าวหน้า จะมีแต่ถอยหลัง และถอยหลังอย่างน่ากลัว”“แต่ถ้าเรามีการบริหาร แบบเรียกว่าแบบ “คนจน” แบบไม่ติดกับตำารามากเกินไป ทำาอย่างมีสามัคคีนี่แหละ คือเมตตากันก็จะอยู่ได้ตลอดไป คนที่ทำางานตามวิชาการ จะต้องดูตำารา เมื่อพลิกไปถึงหน้าสุดท้ายแล้ว ในหน้าสุดท้ายนั้น เขาบอก “อนาคตยังมี” แต่ไม่บอกว่าให้ทำาอย่างไร ก็ต้องปิดเล่มคือปิดตำารา ปิดตำาราแล้ว ไม่รู้จะทำาอะไร ลงท้ายก็ต้องเปิดหน้าแรกใหม่ เปิดหน้าแรกก็เริ่มต้นใหม่
Page 3
ถอยหลังเข้าคลอง แต่ถ้าเราใช้ ตำาราแบบ “คนจน” ใช้ความอะลุ่มอล่วยกัน ตำารานั้นไม่จบ เราจะก้าวหน้าเรื่อยๆ ” จะเห็นได้ว่า ในหลวงทรงพบว่า การแก้ปัญหาหรือพัฒนาที่ก้าวหน้าที่สุดนั้น ต้องกระทำาอย่างประหยัดที่สุดคือใช้เงินหรืออุปกรณ์ต่างๆ ให้น้อยที่สุด (ทำาแบบ คนจน) แต่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดเมื่อส่วนตัวกินใช้เพียงเล็กน้อย ทำากิจกรรมการงานด้วยสิ่งที่ประหยัดเรียบง่ายที่สุด แต่เกิดประโยชน์สูงที่สุดเท่าที่จะทำาได้ ซึ่งก็เหมือนกับการใช้ชีวิตแบบคนจน ที่เหลือก็แบ่งปันเกื้อกูลผู้อื่น ก็จะทำาให้เราและผองชนได้ประโยชน์สุขในชีวิต ดังคำาตรัสของพระพุทธเจ้าที่ว่า “ให้ของดี ย่อมได้ของดี” (องฺ.ปญฺจก. เล่ม ๒๒ ข้อ ๔๔), “ปราชญ์ผู้ให้ความสุข ย่อมได้รับความสุข”(องฺ.ปญฺจก. เล่ม ๒๒ ข้อ ๔๕), “ผู้ให้สิ่งที่เลิศ ย่อมได้สิ่งที่เลิศอีก”(องฺ.ปญฺจก. เล่ม ๒๒ ข้อ ๕๖), “ผู้ให้สิ่งที่ประเสริฐ ย่อมถึงฐานะที่ประเสริฐ” (องฺ.ปญฺจก. เล่ม ๒๒ ข้อ ๔๖), “นอกจากการแบ่งปันเผื่อแผ่กันแล้ว สัตว์ทั้งปวงหามีที่พึ่งอย่างอื่นไม่” (พระไตรปิฎก เล่ม ๒๘ ข้อ ๑๐๗๓) ซึ่งเราต้องทำาสิ่งดังกล่าวด้วยตัวของเราเอง ดังคำาตรัสของพระพุทธเจ้าที่ว่า “ตนแลเป็นที่พึ่งของตน” (พระไตรปิฎก เล่ม ๒๕ ข้อ ๒๒)ดังนั้นการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐ มีคุณค่าและผาสุก ก็คือชีวิตที่เกิดมาเพื่อพึ่งตนและช่วยคนให้พ้นทุกข์ นี้คือคุณค่าแท้ของชีวิต ดังนั้น ภารกิจที่ดีที่สุดในโลก คือ ทำาอย่างไรก็ได้ให้ชีวิตตนมีความผาสุกอย่างยั่งยืนด้วยสิ่งที่ประหยัดเรียบง่าย แล้วทำาให้เพื่อนร่วมโลกผาสุกอย่างยั่งยืนด้วยสิ่งที่ประหยัดเรียบง่าย เท่าที่จะทำาได้มีอาจารย์ท่านหนึ่งซึ่งเป็นอาจารย์จากดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล มาคุยกับผมว่าที่หมอเขียวมาบ่นๆว่าโรงเรียนนั้นโรงเรียนนี้ไม่ค่อยได้สอนเรื่องความผาสุกที่แท้จริงเลย อาจารย์ท่านนั้นก็เล่าให้ผมฟังว่า ก็มีหลายท่านพยายามทำาอยู่ เราก็ดีใจนะ มีหลายท่านพยายามทำาอยู่ ไม่ใช่เราทำาคนเดียว มีคนบุญมีเทวดามาช่วยกันคนละไม้คนละมือ อาจเพราะหูตาเราไปไม่ถึงก็ได้ จริงๆก็พอเห็นอยู่บ้าง แต่ผู้ที่จะสอนวิชาให้คนผาสุกอย่างยั่งยืนนั้นมีน้อย เพราะแต่ละท่านที่ทำาอยู่มันจะยากมาก แต่สอนวิชาให้เก่งนั้นง่ายและมีมาก แต่เมื่อไม่มีคุณธรรมแล้ว ความเก่งจะเป็นความโง่ที่ทำาร้ายตัวเองและผู้อื่น คนที่ไม่มีคุณธรรม เขาจะเอาความเก่งมาทำาร้ายตัวเองและสังคม ไม่มีประโยชน์อะไร เก่งแล้วไร้ค่า ถ้าไม่มีคุณธรรม ความจริงแย่กว่าไร้ค่า เพราะเลวร้ายกว่าไร้ค่า วันนี้ผมจะพูดถึงชีวิตที่มีความผาสุกอย่างยั่งยืนว่าจะทำาได้อย่างไร ลองปฏิบัติพิสูจน์ดู การทำาความดีจะทำาให้ได้ความผาสุกที่ยั่งยืน ความดีที่สำาคัญอันหนึ่งคือความจน ความจนคือสิ่งที่มีค่าที่สุดสำาหรับชีวิต ชีวิตใครจนได้ ชีวิตนั้นมีความผาสุกได้ ชีวิตใครจนไม่ได้ ชีวิตนั้นก็ไม่มีความผาสุกที่แท้จริง ครูบาอาจารย์ของผมยกให้ในหลวงองค์นี้ เป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง ใครจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม พระโพธิสัตว์ คือ ผู้ที่จะมาบำาเพ็ญให้ผองชนมีความผาสุกมากที่สุดเท่าที่จะทำาได้ นั่นคือหน้าที่ของพระโพธิสัตว์ ในเมื่อท่านมาบำาเพ็ญเพื่อให้มนุษย์เป็นอยู่อย่างผาสุก แล้วทำาไมท่านตรัสเรื่องความจนเอาไว้ ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ว่า การใช้สิ่งที่ประหยัดเรียบง่าย จะทำาให้พ้นทุกข์ ก็แปลว่าจนนั่นแหละ ซึ่ง
Page 4
สอดคล้องกับที่ในหลวงตรัสไว้ ต้องทำาแบบคนจน ประหยัด ไม่ต้องกินใช้มากก็ได้ ถ้าพี่น้องฟังเข้าใจจะเหมือนยกภูเขาออกจากอกเลยจนแบบในหลวงน่ะ จนแบบมีอยู่มีกินนะ ไม่ใช่ไม่มีอยู่ไม่มีกิน ไม่ใช่จนแบบสิ้นไร้ไม้ตอก หลายคนเข้าใจว่าเป็นความจนแบบสิ้นไร้ไม้ตอก ไม่ใช่นะ เป็นความจนอีกแบบ จนแบบมีอยู่มีกิน เหลืออยู่เหลือกิน(มีเหลือแบ่งปัน) จนแบบมีความสุขที่สุดในโลก สุขกว่าคนรวย สุขกว่าคนจนที่สิ้นไร้ไม้ตอก สุขกว่าคนที่มีฐานะปานกลางแบบทั่วไป สุขแบบคนจนที่ไร้กังวล เป็นคนจนที่มีคุณค่าและผาสุกที่สุดในโลก“อุตสาหกรรม ถ้ามีมากเกินไปจะเป็นภัย” ในหลวงท่านตรัสเลยว่า ประเทศที่มีอุตสาหกรรมก้าวหน้ามากเกินไปมีปัญหาแน่ๆ ไม่ใช่จะไม่มีอุตสาหกรรมเลยนะ ให้มีแบบสมควร แต่ถ้ามีมากไปจะเป็นภัยเป็นโทษมากกว่าเป็นประโยชน์ ที่เขาไม่บอกว่าให้ทำาอย่างไร ก็เพราะว่าเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำาอย่างไร นักวิชาการทั้งหลายที่เด่นๆ อยู่ในโลก เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน เขาจึงเปิดๆ ปิดๆ ตำาราอยู่นั่นแหละ เพราะเป็นตำาราที่แก้ทุกข์ไม่ได้นั่นแหละแบบเก่า แต่ในหลวงท่านตรัสว่า ถ้าใช้ตำาราแบบคนจน ใช้แบบอลุ้มอล่วยกัน จะก้าวหน้าเรื่อยๆ ทำาไมในหลวงผู้เป็นประมุขของประเทศจึงมีปรัชญาแนวคิดนโยบายให้ประชาชนมาจน แล้วบอกว่าจะก้าวหน้าเรื่อยๆ ถ้าคนฟังไม่เข้าใจ จะหูหักเลยจริงๆ แล้วบอกว่ามาจนนะดี ถ้าจนอย่างมีคุณค่าและผาสุก คือ จนอย่างมีชิวิตที่มั่นคง มีคุณค่าและผาสุก ซึ่งเป็นคนจนอีกประเภทหนึ่งที่ในระบบปกติทั่วไปไม่รู้ จึงไม่สอนกัน แต่ถ้าใครทำาได้จะมีความสุขที่สุดในโลกจนอย่างไร คือ ฝึกให้และฝึกทำางานฟรี ซึ่งเป็นคนจนที่มีคุณสมบัติ/คุณธรรม ๕ ประการ ได้แก่๑. พึ่งตน พึ่งตนในปัจจัย ๔ ได้ พึ่งตนในการดับทุกข์ของตัวเองได้๒. เรียบง่าย มีชีวิตที่เรียบง่าย ไม่รบกวนใคร ไม่รบกวนโลก สามารถใช้ทรัพยากรที่มีอยู่เพื่อแก้ปัญหาชีวิตหรือให้เกิดประโยชน์ในการดำารงชีวิตหรือให้เกิดประโยชน์ในการดำาเนินกิจกรรมการงาน จึงเป็นประโยชน์ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น เขาจะอยู่ได้อย่างผาสุก๓. ประหยัด จะกินน้อยใช้น้อย เท่าที่จะไม่ขาดแคลน ไม่ทรมานตน หรือเท่าที่จะสมบูรณ์แบบที่สุด๔. ขยัน เพียรเต็มที่และพักพอดี๕. แบ่งปัน จากการปฏิบัติคุณธรรมทั้ง ๔ ข้อ คือ พึ่งตน เรียบง่าย ประหยัด ขยัน จะทำาให้มีเหลือ ในส่วนเหลือถ้าเก็บเอาไว้จะเป็นภาระเป็นภัยทั้งต่อตนเองและผู้อื่น แต่ถ้าแบ่งปันออกไปก็จะเป็นบุญทั้งต่อตนเองและผู้อื่น คุณสมบัติ/คุณธรรมข้อนี้ จะเป็นสิ่งที่ทำาให้ชีวิตความสุขมากที่สุด และเป็นหลักประกันที่แท้จริงของความมั่นคงในชีวิต“ความสุขที่ซื้อไม่ได้ คือการแบ่งปัน/เสียสละ” คุณจะไม่มีความรู้สึกสุขแบบนี้ได้เลย ถ้าคุณไม่แบ่งปัน คือแม้คุณจะมีเงินเป็นล้านๆ แต่คุณก็จะไม่มีความสุข หรือได้ความรู้สึกว่าสุขที่สุดได้เลย ถ้าไม่แบ่งปัน คุณจะไม่มีความสุขเลย “ต้องให้ จนไม่มีอะไรจะเอา” จึงจะเกิดสภาพ “ให้ จนไม่มีอะไรจะทุกข์” ชีวิตที่มั่นคง คือ ชีวิตที่ให้และเสียสละอย่างแท้จริง เรามาเรียนรู้ว่า ผู้ที่ให้จะมีความสุขอย่างไร ผู้ที่ให้จะยิ่งมีความสุขที่สุดในโลก ผู้ที่ให้คือผู้ทำางานฟรี อาชีพทำางานฟรี คือ เป็นอาชีพที่ดีที่สุดในโลก เป็นอาชีพที่มั่นคง มีคุณค่าและผาสุกที่สุดในโลก
Page 5
ประโยชน์ของการเสียสละ ของการทำางานฟรี จะมีอานิสงค์อย่างน้อย ๗ ประการขออนุญาตยกตัวอย่างตัวผมเอง อาจจะดูไม่งามนักที่ยกตัวอย่างตัวเอง แต่ก็เป็นความจริงที่สุดที่ผมเชื่อถือได้มากที่สุด เพราะสิ่งนั้นเกิดกับตัวผมเอง ผมได้ฝึกทำางานฟรีมา ๑๕ ปี ไม่เอาค่าตอบแทนใดๆมาเป็นของตัวเอง ถ้าเขาให้เราก็เอาเข้ากองบุญ ทุกวันนี้ไม่มีเงินส่วนตัวสักบาท มีศูนย์บาท กรรมการกองบุญเขาให้ก็ใช้ เขาไม่ให้ก็ไม่เป็นไรผมได้พบ อานิสงส์(ประโยชน์) ๗ ประการ คือ๑. ไม่ตกงาน คนจะใช้งานเราอย่างตะบี้ตะบัน ช่วยทำาให้หน่อย ต่อให้มีวิชาล้างจานอย่างเดียว เราก็ไม่ตกงาน คนทำางานฟรีจะมีงานทำาทุกวันทั้งปีทั้งชาติ๒. จะพอกินพอใช้ ถ้าเราไปทำางานฟรีๆ ไปช่วยเหลือคนฟรีๆ ไปเข้าบ้านไหน บ้านนั้น บ้านนี้ ไปขอล้างจานฟรี เชื่อว่าจะไม่อดตาย แม้ว่าจะไม่ขอของกินของใช้ก็ตาม เชื่อมั๊ยว่าเราจะพอกินพอใช้ กินใช้ไม่หมด ต่อให้เราไม่ต้องขอ ถ้าเราไปล้างจาน เขาจะให้เอง เขาไม่ให้ก็ไม่เอา ผลจากการทำางานฟรีผมอยากให้ท่านลองทายว่า จะเป็นข้อไหน ถ้าเรากินทั้งหมดที่เขาให้โดยไม่ต้องขอของกินของใช้ แต่ถ้าเขาให้ก็เอาเพราะชีวิตก็ต้องกินต้องใช้ ระหว่างอดตายกับพุงแตกตาย จะเกิดผลข้อไหน ผมรับรองว่าพุงแตกตาย อย่าว่าแต่พอกินพอใช้เลย จะเหลือกินเหลือใช้ด้วย ซึ่งเป็นอานิสงค์ข้อที่ ๓๓. เหลือกินเหลือใช้ จะมีคนเอามาให้ตลอด อย่างผมไม่มีปัญญาซื้อรถ ก็จะมีคนเรียกร้องให้ขึ้นรถตลอด ขึ้นเครื่องบิน ขึ้นจนเมื่อยเลย ยิ่งกว่ารัฐมนตรี คนเขาเรียกร้องให้ไปขี้น ขึ้นจนเมื่อยเลยนะ คนหลายคนเขาคงแปลกๆงงๆ คนนี้ไม่มีรองเท้าใส่ แต่ก็ขึ้นเครื่องบินประจำาเลยที่พอกินพอใช้ เหลือกินเหลือใช้ เพราะคนจะเลี้ยงไว้ ถ้าเราทำางานเสียสละ คนจะเลี้ยงเราไว้ เขาเลี้ยงเอาไว้ใช้งานไง คนอย่างนี้อย่าเพิ่งให้ตาย เขาไม่อยากให้เราตาย เขาจะรักและถนอมเรามาก จะได้ใช้งานนานๆหน่อย เราก็ทำางานเต็มที่ เต็มใจ สุดฝีมือ คนเขาก็ยิ่งชอบ ทำางานฟรี บางทีเราทำางานล่วงเวลา บรรยายจนคนฟังเมื่อยเลย คนฟังแทบแย่ แต่คนพูดยังมีพลังลุยเต็มที่ การทำางานฟรีในอนาคตจะเป็นอาชีพของผู้เสียสละ อาชีพของผู้ฉลาดและผู้ประเสริฐที่แท้จริง๔. จะมีมิตรเต็มเมือง ผู้ที่ให้จะมีมิตรเต็มเมือง จะมีญาติพี่น้องทางธรรมเยอะไปหมด ตอนนี้ผมไปนอนจังหวัดไหนก็ได้ ไปจังหวัดไหนก็มีญาติพี่น้องทางธรรมทุกจังหวัด เพราะมาเข้าค่ายทุกจังหวัดแล้ว ญาติพี่น้องทางธรรมก็ขอให้ผมไปอยู่ไปกินไปใช้ในทรัพย์สมบัติของท่านเหล่านั้น ทุกจังหวัดทุกเวลา ก็ต้องขอขอบพระคุณในน้ำาใจของพี่น้องทางธรรมทุกท่าน แต่ผมก็ไม่มีปัญญา ไปอยู่ไปกินไปใช้ได้ทั้งหมดทุกที่ ไปได้แค่บางที่บางเวลาที่เหตุปัจจัยจัดสรรให้ได้ไปทำาประโยชน์ให้ประชาชนเท่านั้น ๕. แม้เราทำาเป็นอย่างเดียว แต่ก็จะได้หลายอย่างในเวลาเดียวกันได้ ต่อให้คนที่ให้เขามีความสามารถเพียงอย่างเดียว ถ้าเขาเป็นผู้ให้อย่างสุดความสามารถเลยนะ เขาจะได้หลายอย่างเลย ตรงกันข้ามถ้าคนที่มีความสามารถทำาได้ทุกอย่าง แต่ถ้าไม่ให้ไม่แบ่งปันใครเลย เขาจะไม่สามารถได้หลายอย่างในเวลาเดียวกัน อย่างเรามีความสามารถอย่างเดียว แต่เราไปช่วยคนขับรถ คนสอนหนังสือเป็น คนดำานาเป็น ช่วยคนทำาสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็น เวลาเราเดือนร้อน เขาก็จะมาช่วยเรา ต่อให้ไม่เดือนร้อน เขาก็อยากช่วยเรา นี้เป็นสัจจะ เป็นสังคมศาสตร์ธรรมดา
Page 6
แต่ที่ลึกซึ้งกว่านี้ก็มี คือเมื่อเราให้สิ่งที่ดีไปแล้ว ต่อให้คนๆนั้นไม่ตอบแทนคุณ ถามว่าเราได้มั๊ย เราได้สิ่งที่ดี ทำาความดี ได้วิบากดีแล้ว วิบากดีจะส่งผลดีให้เรา ซึ่งเป็นผลดีหลากหลายรูปแบบที่เราคาดคิดไม่ถึง ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ให้ของดี ย่อมได้ของดี” (องฺ.ปญฺจก. เล่ม ๒๒ ข้อ ๔๔), “ปราชญ์ผู้ให้ความสุข ย่อมได้รับความสุข”(องฺ.ปญฺจก. เล่ม ๒๒ ข้อ ๔๕), “ผู้ให้สิ่งที่เลิศ ย่อมได้สิ่งที่เลิศอีก”(องฺ.ปญฺจก. เล่ม ๒๒ ข้อ ๕๖), “ผู้ให้สิ่งที่ประเสริฐ ย่อมถึงฐานะที่ประเสริฐ” (องฺ.ปญฺจก. เล่ม ๒๒ ข้อ ๔๖), “นอกจากการแบ่งปันเผื่อแผ่กันแล้ว สัตว์ทั้งปวงหามีที่พึ่งอย่างอื่นไม่” (พระไตรปิฎก เล่ม ๒๘ ข้อ ๑๐๗๓) หลายคนไม่เข้าใจตรงนี้ พอไปทำาความดีให้เขาแล้ว เขาไม่ตอบแทนความดีให้เรา แล้วเราก็น้อยใจ เจ็บใจ ฉันอุตส่าห์ทำาดีกับเขา เขาก็ไม่ตอบแทนบุญคุณเรา แถมหักหลังเราอีกต่างหากความจริงเขายอมให้เราทำาความดีกับเขา ก็ต้องขอขอบคุณเขาอย่างมากแล้ว เพราะเราได้ทำาดีแล้ว ได้วิบากดีๆ แล้ว รอรับผลดีอย่างเดียวแล้ว คนยอมให้เราทำาดีนั้นดีที่สุดแล้ว เราได้ทำาแล้ว ได้สั่งสมพลังงานดีแล้ว ทำาวิบากดี วิบากดีก็รอส่งผลดีให้เราแล้ว เราจะไปเอาอะไรกับเขาอีก ทำาไมเราเป็นคนโลภจัง จะไปเอาอะไรกับเขาอีก ถือเป็นความกรุณาอย่างสูงส่งแล้ว ถือเป็นการสั่งสมพลังงานดี และถ้ายิ่งโดนเขาด่าอีก ยิ่งได้สองต่อ เพราะเราได้รับสิ่งที่ไม่ดีเท่าไหร่ เวรกรรมเราก็หมดเท่านั้นๆ เขาช่วยทำาให้วิบากที่ไม่ดีของเราหมดไป เราจะไปโกรธเขาทำาไมล่ะ อย่าไปทุกข์เลย ได้สองต่อเลย ความดีก็ได้ เวรกรรมก็หมด ขาดทุนตรงไหน มีแต่กำาไร ทำาดีมีแต่กำาไร ไม่มีอะไรขาดทุนเลย ชีวิตจะไม่มีอะไรขาดทุนเลย ถ้าทำาดีจะมีแต่กำาไร ผมยังไม่เคยเห็นอะไรขาดทุนเลย คนไม่ทำาดีซิ ไม่ให้ ไม่แบ่งปันใครๆ คนๆนั้นไม่มีกำาไรเลยมีแต่ขาดทุนอย่างเดียวถามว่า ถึงเรามีความสามารถหลายอย่างมากมาย แต่ไม่เคยให้ใครเลย ถามว่าเราสามารถทำาทุกอย่างในเวลาเดียวกันได้ไหม ไม่ได้ใช่ไหม เรามีความสามารถมากมาย แต่ไม่เคยให้เลย เราก็จะไม่ได้ในสิ่งดีที่ควรได้ “คนที่ให้คือคนที่ได้” “คนที่ไม่ให้คือคนที่ไม่ได้” คนโง่ที่แท้จริง คือ คนที่มีความสามารถแต่ไม่เคยให้ใคร ก็จะไม่ได้สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต คุณก็จะซวยตลอด นี่เป็นสัจจะนะ ฟังยากนะ มีโรงเรียนไหนสอนแบบนี้มั๊ย ส่วนใหญ่มีแต่จะสอนให้มีอาชีพสังคมบอกว่าสูง ค่าตอบแทนเยอะๆ สอนให้รวย มาที่นี่นะสอนกลับกันเลย ที่นี่สอนว่า ทำาอย่างไรจะจนได้ ลูกศิษย์ผมมุ่งมาจนทั้งนั้น สอนวิชาจน อย่างมีชีวิตที่มั่นคง มีคุณค่า และผาสุกที่สุดในโลก นี่เป็นสัจจะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ๖. ธุรกิจจะมั่นคง ไม่ว่าจะทำาธุรกิจที่เป็นสัมมาอาชีพอะไร ธุรกิจนั้นจะมั่นคง ทำาไมถึงมั่นคง เพราะคนที่เราเกื้อกูลไว้เขาจะช่วยไว้ จะไม่ให้ล้ม เช่น เรามีร้านขายของชำาร้านโชห่วย ร้านสิ้นค้า/บริการเล็กๆ แล้วมีห้างร้านทุนนิยมใหญ่ๆ เช่น Big C, Makro, Lotus, 7-11 มาตั้งข้างบ้าน เราจะไล่เขาได้มั๊ย ไม่ได้ แต่ละจังหวัดยกธงไล่ทั้งนั้น ไล่ได้แต่ปาก แต่เขาไม่ไป เขาซื้อกรรมการ ซื้อผู้มีอำานาจเซ็นอนุมัติได้หมดแล้ว เซ็นปุ๊บลงกลางเมืองเลยนะ ชาวบ้านที่ค้าขายสิ้นค้าและบริการที่เล็กๆก็เกิดความตกใจกลัว เพราะเขา ไม่รู้วิธีสู้กับทุนนิยม สู้กับทุนนิยมนั้นไม่ยากหรอก ก็อยู่แบบคนจน ถ้าเราไม่มีทุนมากเราจำาเป็นต้องขายของแพงกว่าร้านใหญ่ๆบ้าง แต่เราไม่ได้เอามากเกินไป มันจำาเป็น เราไม่อยากขายแพงหรอก เราก็บวกเท่าที่เราพออยู่ได้ มันก็สูงกว่าร้านยักษ์ใหญ่/นายทุนใหญ่ๆ ถามว่าร้านเราจะเจ้งมั๊ย ไม่เจ้ง เพราะคนที่เราเกื้อกูลไว้ เขาจะเกื้อกูลเรา เขาจะช่วยเราไว้ เขาบอกว่าให้เราเจ้งไม่ได้ เพราะเราเป็นผู้มีน้ำาใจให้เขา ถ้า
Page 7
เราให้ แบ่งปัน ร้านเราก็ ไม่เจ้ง เราจะอยู่กับทุนนิยมได้ การทำาธุรกิจอย่างมั่นคง ไม่มีอะไรยากหรอก คือ ฝึกให้ ครูบาอาจารย์ของผมบอกว่า วิชาธุรกิจไม่ต้องไปเรียนในสถาบันการศึกษาให้เสียเงินเสียเวลาหรอก(บางทีเสียคนด้วย) ทำาแค่ ๔ ข้อ แนวบุญนิยม ธุรกิจจะเจริญและมั่นคงได้แล้ว คือ ๑. ของดี เอาของที่ดีๆ มาให้ เอาสิ่งที่ปลอดภัย มีประโยชน์มาให้บริการ๒. ราคาถูก จำาหน่ายหรือให้บริการในราคาถูกที่สุดเท่าที่จะทำาได้ เอาแค่พออยู่ได้ อย่าไปขายของแพง เอาแค่เลี้ยงชีวิตได้ ๓. ซื่อสัตย์ อย่าไปโกหก บอกคุณสมบัติของสินค้า/บริการตามจริง เอาของดีๆ มาให้ของหมดก็บอกว่าหมด พอไม่มีก็บอกอย่างซื่อสัตย์ว่าไม่มี อย่าเอาของ ไม่มีคุณภาพมาให้ ต้องมีความจริงใจ ซื่อสัตย์ บอกไปตรงๆ เลยว่าซื้อมาเท่านี้ ขายเท่านี้ บอกไปเลยว่าเราต้องขายเท่าไร เช่น ซื้อมา 10 บาท ขาย 12 บาท ต้องเลี้ยงชีพบ้าง มีค่าแรงค่ารถ ถึงจะอยู่ได้ ซื่อสัตย์ไปเลย๔. มีน้ำาใจ “แบ่งปัน” ดังเป็นคำาตรัสของพระพุทธเจ้า ว่า “นอกจากการแบ่งปันเผื่อแผ่กันแล้ว สัตว์ทั้งปวงหามีที่พึ่งอย่างอื่นไม่” (พระไตรปิฎก เล่ม ๒๘ ข้อ ๑๐๗๓) และคำาตรัสของในหลวง เศรษฐกิจพอเพียงจะเกิดขึ้นได้ ต้องมีการแบ่งปัน ถ้าไม่แบ่งปันเศรษฐกิจพอเพียงเกิดขึ้นไม่ได้ ไม่มีทาง ไม่แบ่งปันไม่มั่นคงในชีวิต ยิ่งถ้าแบ่งปันจะยิ่งมั่นคงในชีวิต ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น โดยเริ่มจากซื่อสัตย์ต่อตนเอง คือ การพึ่งตนเอง อย่าไปรบกวนคนอื่น ขยัน อดทน มีสติปัญญา และแบ่งปัน จะทำาให้ชีวิต สังคม สิ่งแวดล้อม สมดุลมั่นคงอย่างยั่งยืน ๗. ชีวิตมั่นคง มีคุณค่า และผาสุกที่สุดในโลก เมื่อเรามีคุณธรรมถึงขั้นพึ่งตน เรียบง่าย ประหยัด ขยัน และแบ่งปันแล้ว เราจะเป็นคนที่มีคุณค่า มีความประเสริฐ มีกุศล มีความสุข นั่นคือ ชีวิตที่มั่นคง มีคุณค่า และผาสุกที่สุดในโลกหลายคนไม่รู้ว่าจะทำาอย่างไร ให้ชีวิตพอเพียงอย่างผาสุก นักวิชาการจำานวนมากที่ไม่รู้จริง เขาทำาไม่ได้หรอก เพราะเขายังไม่รู้เคล็ดแท้ๆ ที่ผมพาพี่น้องทำาค่อยๆ บอกเคล็ดมาตั้งแต่วันแรก คือ กินข้าวกับเกลือ ความเป็นจริงก็ไม่ใช่กินข้าวกับเกลืออย่างเดียวหรอกใช่ไหม กินอย่างอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายด้วย เป็นการใช้ชีวิตที่กินอยู่อย่างประหยัดเรียบง่าย เป็นการกินใช้ที่น้อยที่สุดแต่สมบูรณ์แบบที่สุด ไม่น้อยเกินจนขาดแคลน ไม่มากเกินจนสิ้นเปลืองและเป็นภัย เคล็ดของการทำาเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อเฉลิมพระเกียรติในหลวงของเรา เราเน้นการสร้างสุขภาพดีวิถีธรรมตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง องค์ประกอบที่จะทำาให้มีสุขภาพที่ดี ก็ต้องทำาทุกเรื่องที่สำาคัญของชีวิต การกินการใช้สิ่งต่างๆรวมถึงการทำาหน้าที่กิจกรรมการงานที่ดีงามอันเป็นกุศลและการพักผ่อน ที่ได้สมดุลกายใจและสิ่งแวดล้อม มันเป็นวิชาทักษะของการดำาเนินชีวิตให้ผาสุกต่อไปผมจะเล่าให้ฟังว่า คนรวยคือคนที่ซวยและน่าสงสารที่สุดในโลก ประเด็นที่คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่าคนรวยซวยและน่าสงสารได้อย่างไร ประเด็นนี้ถ้า กศน.เข้าใจ และเผยแพร่สัจจะอันประเสริฐนี้ให้คนอื่นๆเข้าใจตามได้ พลิกฟ้าเลยนะ ความผาสุกสูงสุดจะกลับมาสู่โลกใบนี้ทันที ความรวย คือความซวยและน่าสงสารที่แท้จริงของชีวิต โดยสัจจะเลย ยิ่งรวยเท่าไร ยิ่งซวยและน่าสงสาร
Page 8
เท่านั้นๆ คนยิ่งรวยยิ่งก่อให้เกิดความซวย เดือดร้อน ทุกข์ทรมานและความเลวร้ายทั้งตัวเองและผู้อื่น เดี๋ยวเราก็จะได้เรียนรู้กันว่า รวยจะทำาให้ซวย เดือดร้อนทุกข์ทรมานหรือเลวร้ายได้อย่างไร ถ้าท่านฟังไปเรื่อยๆ จนเข้าใจเหตุผลด้วยปัญญาที่ชาญฉลาดแท้ในการดำารงชีวิตให้ผาสุกที่สุด ท่านจะไม่อยากรวย ความรวยคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในชีวิต เพราะความรวยจะนำาความซวยและเดือดร้อนทุกข์ทรมานที่สุดในชีวิตมาให้เรา ดังนี้คนที่มีใจอยากรวย ก็ทุกข์ตั้งแต่เริ่มอยากแล้ว นั่นคือ ความซวยและน่าสงสารอันดับแรก ต่อมาการพยายามทำาให้รวย ก็ต้องทุกข์ เหนื่อย ต่อให้ทำาด้วยความสุจริต ก็เหนื่อย ยิ่งอยากได้มากจนต้องหาวิธีคดโกงหรือเอารัดเอาเปรียบให้ได้มากๆ ยิ่งเหนื่อยสุดเหนื่อย เพราะต้องคิดหาวีธี ต้องลงมือทำาและต้องระมัดระวังคนจะจับได้ การทำาให้รวยจึงทุกข์ยากลำาบากกว่าการไม่ต้องทำาให้รวย พอได้ทรัพย์สมบัติมามากๆแล้ว จะรักษาไว้ก็ลำาบาก ว่าต้องเอาทรัพย์สมบัติไปเก็บไว้ไหน จะดูแลรักษาอย่างไร ไม่ให้เสียหาย ไม่ให้ถูกลักขโมยฉ้อโกง ก็ทุกข์กายทุกข์ใจอีก ยิ่งพยายามจะให้รวยกว่าเดิมก็ยิ่งทุกข์กายทุกข์ใจหนักเข้าไปกว่าเดิมอีก พระพุทธเจ้าตรัสว่า “เงินทองเป็นอสรพิษ” สมมติว่าเรามีเงินทองล้นฟ้า เราก็กินใช้ไม่หมด คนที่อยากมาอยู่ใกล้เงินทองมากๆ คือ คนโลภ ซึ่งคนโลภจะเป็นคนไม่ดี เงินทองของเราเอง จะพาคนไม่ดีเข้ามาอยู่ใกล้เรา เขาจะทำาร้ายเราลักขโมยฉ้อโกงเราได้มั๊ย บางทีก็คนข้างตัวนั่นแหละที่ทำาเช่นนั้น มีข่าวให้เราได้รับรู้อยู่บ่อยๆไม่ใช่หรือ คนใกล้ตัวที่มีความโลภ โกรธ หลง ก็จะรู้ความลับของคนรวยคนนั้นหมดเลย วางแผนทำาร้ายได้อย่างเก่ง บางทีใส่ยาเบื่อในน้ำาในอาหาร ตายมาเยอะแล้ว หรือคนรวยรวมถึงครอบครัวของคนรวย พอเดินทางไปที่โน่นที่นี่ โอกาสที่คนรวยหรือคนจนจะถูกเรียกค่าไถ่ได้มากกว่ากัน คำาตอบก็คือคนรวย ดังนั้นคนรวยเดินทางไปนั่นไปนี่จะสบายใจมั๊ย เดี๋ยวนี้คนแต่งตัวดีๆมีมาก ไม่รู้หรอกว่าใครเป็นโจร โอกาสที่คนรวยจะมีอันตรายก็มากกว่า น่าสงสารนะ เงินที่เขามี เขาก็กินใช้ไม่หมด ในขณะที่เขาก็กินใช้ไม่หมด ส่วนเกินของเขาจะเป็นประโยชน์หรือโทษแก่เขา ก็เป็นโทษ เพราะเงินส่วนเกินจะดึงคนไม่ดี คนที่มีพิษมีภัยมาอยู่ใกล้ตัว คนโลภมาอยู่ใกล้ตัวเขา อันตรายก็อยู่ใกล้ตัวเขา เงินทองตัวเองกินใช้ก็ไม่หมด แต่ก็สร้างภาระและภัยให้กับตัวเองและครอบครัวคนรวยกินใช้ไม่หมด กินจนท้องแตกตาย ก็กินใช้ไม่หมด คนจะรวยได้ ก็ต้องดึงเอามาจากคนอื่นให้มากๆ โดยความจริงทรัพย์สินเงินทองในโลกนั้นมีจำากัด คนรวยมากๆ ก็ต้องดูดมาจากคนอื่นมากๆ คนอื่นก็ขาด คนขาดเดือดร้อนมั๊ย คนขาดก็เดือดร้อน คนรวยมีความคิดอย่างไร คนรวยก็จะภูมิใจจัง ที่เรากินใช้ไม่หมด คนอื่นอดตาย ชาตินี้กินใช้ไม่หมด ดีใจจัง แต่คนอื่นขาดแคลน คนอื่นอดตาย คนอื่นลำาบาก เราดีใจ มันประเสริฐตรงไหน มันน่าภูมิใจตรงไหน เพราะเราเอามามาก คนอื่นก็ขาดมาก ภูมิใจตรงไหน คนอื่นก็เดือดร้อนมาก ถามว่าเป็นบุญตรงไหน ต่อให้หามาด้วยความซื่อสัตย์ ถามว่าเป็นบุญตรงไหน มันไม่มีบุญเลย มีแต่บาป ความรวยจึงคือความซวยและน่าสงสารที่สุด เพราะทำาให้ตัวเองและคนอื่นเดือดร้อนที่สุดสมมติว่าคน ๒ คน ขยันทำางานเท่ากัน มีฝีมือเท่ากันไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม ได้เงินทองทรัพย์สมบัติมาเท่ากัน นาย ก. สร้างบ้านใหญ่โต นาย ข. สร้างบ้านแค่พออยู่ แล้วที่เหลือก็แบ่งปันให้กับผู้ที่ควรให้ด้วยปัญญา
Page 9
ถ้าเกิดสึนามิ เกิดภัยพิบัติอย่างรุนแรง เกิดพายุ แผ่นดินถล่ม ฟ้าผ่า ไฟไหม้ น้ำาท่วม ภัยพิบัติอะไรก็ได้ ทำาให้บ้าน ๒ คนนั้นเสียหาย แต่รอดตายทั้งคู่ หนีออกมาได้ ถามว่าใครจะมีกินมีใช้ ใครจะอยู่รอด นาย ก. ไม่แบ่ง นาย ข. แบ่งปัน ใครจะอยู่รอด คำาตอบคือ นาย ข. เพราะ เขาแบ่งปันไว้มาก นาย ก. ไม่ได้แบ่งปัน ระหว่างการเลือกช่วย นาย ก. และนาย ข. ท่านจะเลือกช่วยใครก่อน ช่วยนาย ข. แต่ละท่านต่างก็ตอบตรงกันว่าช่วยนาย ข.ก่อน นี้เป็นสัจจะชัดๆ เลยนะ ทรัพย์สมบัติคุ้มครองไม่ได้ วัตถุคุ้มครองเราไม่ได้ แต่ความดีคุ้มครองเราได้ “มิตรแท้ของเราคือความดีของเรา” เกิดอะไรขึ้นมาคนที่แบ่งปัน บุญ/ฟ้าจะส่งมาให้เลยนะ จะรอด ใครหวงไว้เยอะ ตัวเองกินใช้ก็ไม่หมด คนอื่นก็ไม่ได้กินไม่ได้ใช้สิ่งนั้น อยู่ก็ไม่มีบุญ ตายไปก็ไม่มีบุญ เกิดภัยพิบัติ ความเดือดร้อน ก็ไม่มีใครอยากช่วยเหลือ หรือได้รับการช่วยเหลือเป็นลำาดับท้ายๆ แต่ถ้าเราแบ่งปัน เดี๋ยวคนนั้นก็ช่วย คนนี้ก็ช่วย แม้เราไม่เกิดอุบัติภัย คนก็ช่วย แม้เกิดอุบัติภัย คนก็ช่วย ใครไม่ช่วย ฟ้าก็ช่วย แล้วขาดทุนตรงไหน คนที่ไม่แบ่งปันคือคนที่น่าสงสารที่สุดในโลก “ศรัทตรูที่แท้จริงของเราคือความชั่ว/ความเห็นแก่ตัวของเรา”เคยฟังนิทานในสมัยพุทธกาลมั๊ย มีลุงคนหนึ่งร่ำารวยมากแต่ขี้เหนียวมาก ไม่เคย แบ่งปันใครเลย ชาติไหนๆ ก็ไม่แบ่งปัน พอเกิดอุบัติภัยขึ้นมา จากเศรษฐีกลายเป็นคนจนเลย ไม่มีกิน จะไปขอข้าวขอแกง รอรับของแจก จากเศรษฐีใจดีที่ตั้งโรงบุญ จะแจกของกินของใช้ ๓ วัน ด้วยวิบากกรรมที่ไม่ดีจึงรู้ช้า ทำาให้ไปถึงทีหลัง ไปต่อท้ายแถว พอเขาแจกมาถึงท้ายแถวก่อนจะถึงลุงขี้เหนียวคนนั้นก็หมดพอดี วันรุ่งขึ้นไปรับใหม่ ลุงขี้เหนียวตั้งใจตื่นแต่เช้าตี๓ตี๔ ไปรอแถวหน้าเลย เศรษฐีผู้ใจบุญบอกว่าเมื่อวานคนข้างหลังท้ายแถวไม่ได้ของกินของใช้ ให้แจกจากข้างหลังมาข้างหน้า พอมาถึงข้างหน้าก่อนถึงลุงขี้เหนียวก็หมดอีก มารอข้างหน้า ก็ไม่ได้กินไม่ได้ใช้อีก ลุงขี้เหนียวคิดว่าอีกวันคงได้ของกินของใช้ วันก่อนมานั่งข้างหลังไม่ได้กินไม่ได้ใช้ วันนี้มานั่งข้างหน้าก็ไม่ได้กินไม่ได้ใช้อีก ลุงขี้เหนียวจึงมานั่งตรงกลางในวันที่ ๓ หวังว่าจะได้ของกินของใช้ เศรษฐีผู้ใจบุญก็บอกว่า วันแรกคนที่อยู่ข้างท้ายก็ไม่ได้กินไม่ได้ใช้ก็น่าสงสาร วันที่ ๒ คนที่อยู่ข้างหน้าก็ไม่ได้กินไม่ได้ใช้ก็น่าสงสาร เอาอย่างนี้วันที่ ๓ วันสุดท้ายให้แจกจากหัวจากท้ายเข้ามาดีกว่า เลยแจกจากหัวจากท้ายเข้ามา ก่อนถึงตรงกลางหมดพอดี ๓ วันลุง ขี้เหนียวก็ไม่ได้ของกินของใช้เลย ไม่แบ่งไม่ปันก็ไม่ได้กินไม่ได้ใช้ ฟ้าเขาพยายามช่วยแล้วนะ แจกถึง ๓ วัน กรรมลิขิตแปลว่าวิบาก(ผล)กรรมของแต่ละคนเป็นผู้เขียนเรื่องให้กับชีวิตแต่ละคน ชีวิตใครที่ไม่แบ่งปัน อันตราย วัตถุไม่ได้คุ้มครองเรา เราอาศัยวัตถุแค่ประมาณหนึ่ง ชีวิตไม่ได้ต้องอาศัยวัตถุมากมายหรอก ใช้ไม่มากหรอก ใช้เพียงเล็กน้อยก็มากพอที่จะเลี้ยงชีพได้อย่างเป็นสุขแล้ว อยู่ที่เงื่อนไขเราทำางานเต็มที่ กินใช้เพียงเล็กน้อยแค่พอดีไม่ขาดแคลน กินใช้ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะสมบูรณ์แบบที่สุด ก็จะเหลือกินเหลือใช้ ที่เหลือจะจัดการอย่างไรกับทรัพย์สมบัติของเรา เมื่อเราทำางานเต็มที่เราก็เก็บวัตถุไว้แค่พอกินพอใช้ก็พอ โดยให้พอกินพอใช้ เป็น ๒ ส่วนนะ๑. ส่วนของการเลี้ยงชีพ๒. ส่วนของการดำาเนินหน้าที่กิจกรรมการงาน เราทำาหน้าที่กิจกรรมการงานอะไร ก็เก็บเอาไว้ใช้ เพราะเราต้องใช้ทุนรอน อาจเผื่อเรื่องนั้นเรื่องนี้ก็ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะมั่นคงที่สุด เท่าที่ที่จะดำาเนินหน้าที่กิจกรรมการงานไปได้ โดยไม่ฝืดเคืองเกินไป เก็บไว้แค่นี้ก็พอแล้ว อย่าเก็บเอาไว้เกินนี้ ที่เหลือแบ่งปัน
Page 10
ไปในที่หรือคนที่ควรแบ่งปัน เก็บไว้ก็เป็นภาระเป็นภัยต่อตนเองและผู้อื่น สละออกไปเป็นบุญทั้งต่อตนเองและผู้อื่น โลกก็ได้ประโยชน์ เราก็ได้ประโยชน์ เรายิ่งแบ่งปัน ต่อให้คนไม่ช่วย ฟ้าก็จะช่วย เพราะฟ้า(วิบากกรรมทั้งดีและไม่ดี)มีหน้าที่เขียนบทให้กับทุกชีวิตตามกรรม(การกระทำา)ของผู้นั้นๆผมพยายามช่วยคนไปเรื่อยๆ ช่วยฟรีๆ กรรมดีก็เขียนบทให้ทางโรงพยาบาลอำานาจเจริญ ร่วมบำาเพ็ญบุญในการทำาประโยชน์สุขให้กับประชาชน ด้วยการช่วยสร้างศูนย์สุขภาพที่เรียกว่า ศูนย์แพทย์วิถีธรรม ที่จังหวัดอำานาจเจริญ เป็นศูนย์สุขภาพคล้ายกับศูนย์สวนป่านาบุญ โดยประสานให้ผมเป็นหัวหน้าเป็นผู้นำาในการดำาเนินงานที่ศูนย์ดังกล่าว เราช่วยคนในค่าย แม้คนที่มาเข้าค่ายจะไม่มาช่วยเราเลย ที่พูดนี้ก็ไม่ได้พูดเพื่อให้คนที่มาเข้าค่ายมาช่วยนะ เขาจะมาช่วยหรือไม่มาก็ได้ เป็นสิทธิส่วนบุคคลของเขา แต่เรามีหน้าที่ช่วยเขาให้ได้สิ่งที่ดีในชีวิตเท่าที่เราจะทำาได้ เมื่อเราทำาอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ต่อให้คนที่เราช่วยเขาไม่ได้มาช่วยเรา ฟ้า(กรรมดี)ก็จะช่วยเราเอง ความดีที่เราทำาก็จะเขียนบท/ดลบันดาลให้เราได้รับสิ่งที่ดีเอง ถ้าเราทำาดีมากๆ เราจะได้รับสิ่งที่ดีหลากหลายลักษณะ หลายอย่างเป็นสิ่งที่เราคาดคิดไม่ถึง พระพุทธเจ้าท่านมีพระปรีชาญาณอันยิ่ง สุดยอดแห่งความชาญฉลาด ท่านตรัสรู้พบว่ากรรมดีกรรมชั่วมีจริงให้ผลจริง ท่านจึงหยุดชั่วและทำาแต่ความดี ท่านสละออก ยิ่งสละยิ่งได้ ยิ่งทำาความดี ยิ่งได้สิ่งที่ดี คนที่ยิ่งให้ยิ่งได้ ขนาดชาติสุดท้าย ท่านไม่เอาแล้วนะ ท่านสละบ้านสละเมืองออกไป บุญของท่านก็เขียนบท/ดลให้พระเจ้าพิมพิสารขอยกเมืองให้ มากกว่าใหญ่กว่าเมืองเดิมที่พระองค์เคยครองมาอีก ยิ่งให้ยิ่งได้ แล้วเราจะเอามาให้มากทำาไม เอามาก็เป็นภาระเป็นภัยเปล่าๆ ถ้าเราไม่จำาเป็นต้องกินต้องใช้เราก็ไม่ต้องรับมาเป็นภาระเป็นภัยเปล่าๆ ผมพยายามทำาความดีเสียสละช่วยเหลือคนฟรีๆมาแค่สิบกว่าปี ทำาโดยไม่ได้คิดว่าจะได้อะไรตอบแทน แต่กรรมดีที่เราทำาก็พยายามส่งผลให้ผมเห็นบ้างอยู่ อย่างเช่นมีเทวดา(ผู้มีจิตใจดีงาม)หลายท่าน แจ้งกับผมว่า ให้ผมช่วยไปใช้พื้นที่ บ้าน รีสอร์ท ของท่านหน่อย จะใช้ชั่วคราวหรือใช้ทั้งชีวิตก็ได้ ผมเคยคำานวณคร่าวๆในที่ๆเทวดาอนุญาตให้ผมไปใช้ มีมูลค่าไม่ต่ำากว่า หมื่นล้าน ผมก็ขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ผมก็ไม่ได้เอา แหมทำาไมไม่ให้ก่อนหน้านี้ที่เราไม่ได้ปฏิบัติธรรม ถ้าให้ก่อนหน้านี้รับรองไม่เหลือ เราเอาแน่ๆ แต่ตอนนี้ปฏิบัติธรรมแล้วก็ไม่ได้อยากได้สิ่งเหล่านั้น นอนกระท่อมหลังเล็กๆมุงด้วยหญ้าคา พื้นทำาด้วยเศษไม้เก่าๆแค่นี้ก็มีความสุขมากแล้ว ผมมีเพียงแค่นี้ก็แทบจะไม่มีเวลาเก็บกวาด แทบจะไม่มีเวลาดูแลแล้ว คนเรามีกินแค่พออิ่ม มีที่นอนเล็กๆพอหลับสบายและมีพื้นที่หรือมีคนให้เราได้ทำาความดี แค่นี้ก็เป็นสุขที่สุดในชีวิตแล้ว ดังนั้นทรัพย์สมบัติที่เทวดายกให้ใช้ ผมก็ขออนุญาตใช้บางที่บางแห่งบางเวลา ที่เหตุปัจจัยจัดสรรให้สามารถทำาประโยชน์สุขให้กับผองชนได้ ก็เป็นพระคุณอย่างยิ่งแล้วสำาหรับชีวิตธรรมดาๆของผม ผมคิดว่าคนที่จะเป็นสุขที่สุดในโลก ก็คือคนที่ใช้ชีวิตอย่างธรรมดาๆ ให้มีคุณค่าและผาสุกที่สุดถ้าเราจำาเป็นต้องกินต้องใช้ เราก็รับมาแค่พอกินพอใช้ ตอนนี้มีเทวดายกที่ดินใจกลางกรุงเทพฯให้ผม ท่านถามผมว่าหมอเขียวเอามั๊ย ผมพิจารณาดูแล้ว คนกรุงเทพฯจำานวนมากที่กำาลังเดือดร้อนทุกข์ทรมานกับโรคภัยไข้เจ็บ ผมจึงรับไว้เพื่อสร้างศุนย์สุขภาพ จะได้เพื่อช่วยเหลือคนในเมือง ผมสงสารเขา แต่ยังไม่ได้ทำาตอนนี้ เพราะยัง ไม่มีคนมากพอที่จะช่วยกันทำาเอาไว้ผมสร้างคนให้เสียสละให้ได้มากพอก่อน แล้วจะไปสร้างศูนย์สุขภาพไว้ช่วยคนกรุงเทพฯเขา เขาทุกข์มาก
Page 11
การที่เราทำาความดีแล้วต้องการเบิกบุญมาใช้ ก็มีวิธีเบิกบุญนะ มันมีเคล็ดอยู่ อย่าไปอยากได้นั่นอยากได้นี่ จะเอาเร็วๆ ฟ้าเขาจะขวางไว้ เขาจะแกล้งให้เราบรรลุธรรม ถ้าเรามีบุญนะ ฟ้าจะขวางไว้ ถ้าเราทำาความดีมากๆ เรามีบุญจริงๆ ความลับวิธีเบิกบุญ คือ ให้ตั้งจิตไว้ว่า เราต้องการสิ่งนั้นสิ่งนี้เพื่อจะทำาบุญเรื่องนั้นเรื่องนี้ จะได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ได้ ถ้าได้ก็ดี ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร สิ่งนั้นจะมาเร็วก็ได้ มาช้าก็ได้ หรือไม่มาเลยก็ไม่เป็นไร จะมาแบบไหนหรือไม่มาเลยก็สุดแล้วแต่บาปบุญของโลก เรามีหน้าที่จัดสรรสิ่งที่กระทบหรือรับเข้ามาตามจริง ณ ปัจจุบัน ให้เป็นประโยชน์กับโลกให้ได้มากที่สุด เท่าที่เราจะทำาได้เท่านั้น ถ้าเราและโลกมีบุญจริงเมื่อถึงเวลาอันควร เขาก็จะให้มาเอง ถ้าไม่มีบุญก็จะไม่มา สัจจะ(กรรม) จะจัดสรรให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมผมเคยคิดเล่นๆ ว่า ถ้าเรามีเครือข่ายทั้งประเทศ จะเป็นอย่างไร พี่น้องที่มาครั้งละ ๓๐๐-๔๐๐ ท่าน แล้วท่านนั้นท่านนี้ไปช่วยจังหวัดนั้นจังหวัดนี้ ไปช่วยคนนั้นคนนี้ให้มีสุขภาพดี คงจะดีนะ คิดไปคิดมา พี่น้อง กศน. ก็พากันมาอบรมที่นี่ทั้งภาคอิสานเลย ความฝันของผมอาจจะเป็นจริงก็ได้ แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะทุกอย่างก็เป็นไปตามธรรม ครูอาจารย์ได้สอนผมไว้ว่า เราทำาเหตุปัจจัยที่ดีงามไปเรื่อยๆ ถึงเวลาอันควรมันก็จะปรากฏผลเอง ดอกไม้จะบานมันก็จะบานของมันเอง ไม่มีใครทำาให้มันบานได้หรอก เราทำาได้แค่ใส่ปุ๋ยรดน้ำาพรวนดินไปเรื่อยๆอย่างพอเหมาะพอดีเท่านั้นจะมีหรือไม่มีการรวมบุญก็ได้ ผมวางใจแล้วนะ เพราะไม่มีวี่แววเลย เห็นตรงนั้นตรงนี้มา หลอมแหลม แต่เขาไปทำาจริงนะ ที่จังหวัดน่านมีอสม. มากับทีมสาธารณสุข(หมออนามัย) มาแค่ ๑๐ คน พอเขากลับไป เขาไปลงหมู่บ้านทุกวัน เพราะเขามีอาวุธแล้ว มีอาวุธใช้ อาวุธนี้ไม่แพง แล้วก็ปราบโรคได้ ที่ผ่านมาอาวุธมันแพง แต่แก้ปัญหาหลายอย่าง ไม่ค่อยได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้าเราช่วยไม่ไหวก็ส่งโรงพยาบาล มีบางเรื่องที่โรงพยาบาลทำาได้ดีกว่า อสม.และหมออนามัยเขาลงหมู่บ้านทุกวันแก้ปัญหาได้ เขาบอกว่าตอนนี้มีความสุขมาก เพราะแก้ทุกข์ได้ ลงหมู่บ้านทุกวัน กัวซา/ขูดพิษได้ จะใช้กะลา ใช้ช้อนก็ได้ ไปขอยืมเหรียญบาทใครก็ได้ มีความสุข ไปสอนกดจุด สอนคนนั้นคนนี้ มีวิชาตั้งเยอะแยะ ผมว่า กศน.นี่แหละจะมีความสุข อาจจะถึงเวลาแล้วที่บุญเขาอั้นไว้นาน เหมือนที่ครูบาอาจารย์ว่าไว้ บุญเขาอั้นไว้นาน ถึงเวลาแล้วที่จะให้ผล บุญเขาสะสมมานานแล้ว รอวันระเบิด รอวันกระจาย ผมไม่รู้จะอธิบายยังไรแต่ผมเข้าใจนะกศน.เป็นผู้ที่ทำางานเสียสละ เพราะคนที่ตั้งใจทำางานจริงๆนะ เขาเหนื่อยนะ เหนื่อยช่วยคน เพราะเขาให้เราไปสอนคนด้อยโอกาส เพราะคนหัวดีๆ สอนง่ายๆ ฉลาดๆ เขาเอาไปสอนหมดแล้ว เหลือแต่คนอะไรก็ไม่รู้ให้เรา เขียน ก เขียนอยู่ครึ่งวัน ดูซิให้เราเหนื่อย เรายาก ค่าตอบแทนนิดเดียว แถมถูกดูถูกอีกต่างหาก ถ้าเขาไม่มีบุญในใจ เขาไม่อดทน อยู่ไม่ได้ บางคนอยู่ด้วยความสุขด้วยซ้ำา เพราะเขาเลี้ยงชีพเขาได้ แม้ถูกดูถูกเขาไม่แคร์ เขาอยู่ได้เพราะว่าเขามีคุณธรรม คนมีใจสูงจึงจะถูกเหยียดหยามได้ คนที่มีใจสูงเท่าไร ก็จะถูกคำาติ ถูกเหยียดหยามได้ โดยใจไม่ทุกข์รู้มั๊ยพระราหุลพระราชโอรสของพระพุทธเจ้า ลูกกษัตริย์ท่านคิดดูเอาเองแล้วกัน ก่อนจะบรรลุธรรม มีอัตตามานะหยิ่งยโสโอหัง พระสารีบุตรสอนจนเหนื่อยเมื่อยเลย สอนไม่ไหวแล้ว จึงขอพระบารมีของพระพุทธเจ้าให้ช่วยสอน พระพุทธเจ้าสอนพระราหุลว่า เธอจงทำาตัวเหมือนแผ่นดิน เท่านั้น พระราหุลบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์เลย การทำาตัวให้เหมือนแผ่นดิน ก็คือการทำาให้ตัวหนักแน่น ไม่สะดุ้ง
Page 12
สะเทือน ไม่หวั่นไหว ทำาตัวให้ต่ำา แต่มีคุณค่า ให้คนเหยียบได้ ให้คนถ่มน้ำาลายรดได้ ให้คนขี้รด เหยี่ยวรดก็ได้ คนมีภูมิ ธรรมนะโดนอะไรก็ไม่หวั่นไหว อยู่อย่างต่ำาแต่กระทำาอย่างสูง อยู่เกื้อกูลคนให้คนได้อาศัย กศน. อยู่ได้อย่างไร ถ้าเขาเป็นคนที่ไม่มีคุณธรรม เขาจะอยู่ไม่ได้หรอก อกแตกตาย จริงๆนะไม่ต้องไปน้อยใจหรอก เวลาโดนอะไรมากระทบในทางที่ไม่ดี เชื่อมั๊ยว่าพระพุทธเจ้าก็ถูกคนด่าว่า สมณะโล้นอย่างนั้นอย่างนี้ มนุษย์ประเสริฐที่สุดยังถูกด่าว่า ยิ่งเราถูกด่าเท่าไรเวรกรรมเรายิ่งหมด ยิ่งโดนเวรกรรมก็ยิ่งหมด อย่าไปเสียดายเลยเวรกรรม ชดใช้ไป ยิ่งชดใช้เวรกรรมก็ยิ่งหมด ทุกครั้งที่พระพุทธเจ้า ถูกวิบากบาปจัดสรรให้ใช้เวรใช้กรรมที่เคยหลงพลาดทำามาก่อน เวรกรรมก็ยิ่งหมดไปเท่าที่ได้รับผลของวิบากบาป ทำาให้วิบากบุญแสดงผลได้มากเพราะไม่มีวิบากบาปกั้น ดังนั้นหลังจากที่พระพุทธเจ้าถูกด่าว่าหรือได้รับวิบากที่ไม่ดีต่างๆ เวรกรรมนั้นๆก็จะลดหรือหมดไป วิบากบุญจะเปล่งประกายแสดงผลมากขึ้นทันที เพราะท่านทำาแต่ความดี โดยไม่ทำาบาปเพิ่ม เมื่อถูกใส่ร้ายด้วยคำาที่ไม่จริง ๗ วัน พระพุทธเจ้าและสาวก บิณฑบาตรแทบไม่ได้ของใส่บาตรเลย พอพ้น ๗ วัน วิบากบาปถูกชดใช้หมด ผู้คนจึงรู้ความจริงว่าท่านและสาวกไม่ได้ทำาสิ่งที่ไม่ดี ตามที่เขากล่าวหา พอบิณฑบาตรของที่คนมาทำาบุญเพียบเลย ไม่มีคนดีคนใดที่ไม่เคยทำาชั่วมา ดังนั้น เป็นไปไม่ได้ที่คนดีจะไม่ถูกด่า ไม่ถูกว่า ไม่ถูกดูถูก ไม่ถูกสิ่งไม่ดีสารพัด ถ้าใครอยากเป็นคนดีที่มีความสุข ทำาดีถูกด่าให้ได้ ทำาดีถูกดูถูกให้ได้ ทำาดีถูกนินทาให้ได้ ทำาดีถูกเข้าใจผิดให้ได้ ทำาดีถูกแกล้งให้ได้ ทำาดีถูกทำาไม่ดีตอบสารพัดเรื่องให้ได้ คุณจะเป็นคนดีที่มีความสุขขนาดพระพุทธเจ้าท่านทำาดีท่านยังโดนแกล้งโดนสิ่งไม่ดีสารพัดเลย แต่ท่านก็ไม่ได้ทุกข์ใจใดๆเลย เพราะท่านรู้ว่าไม่มีคนดีคนใดไม่เคยทำาชั่วมา เพราะถูกด่าเวรกรรมมันก็หมด รับเสร็จก็หมด พอวิบากบาปหมดบุญก็ขึ้นนี่อย่าคิดว่าผมไม่โดนนะ หลายคนคิดว่าหมอเขียวทำาดีไม่ถูกด่า คงมีแต่คนชม ความเป็นจริงโลกธรรมเขาส่งมาครบเครื่องนะ มีครบทั้งคนชมคนด่า มีคนเขานินทา มีคนจะคว่ำากระดาน ใส่ร้ายหนักๆ จนลูกศิษย์ผมบางคน หงุดหงิด โมโห ไม่ชอบใจ ไม่พอใจ ใน คนที่ใส่ร้ายผมเลยนะ ขึ้นเลย อาจารย์เราทำาดีขนาดนี้มาทำากับอาจารย์ได้ไง มีคนจะไปซัดเขาเลย แต่ผมว่าอย่าๆ อย่าไปทำาเขา ผมทำาดีขนาดนี้ ยังโดนขนาดนี้ แปลว่าอะไร แปลว่าผมแสบมาก ชาติใดชาติหนึ่งผมคงไปทำากับเขาหรือกับใครๆมามาก ไม่รู้เท่าไหร่ เพราะทำาดีขนาดนี้ยังโดนซะเละเลย ยังโดนซัดขนาดนี้ ยังต้านไม่อยู่ ถ้าไม่ทำาดีขนาดนี้ เชื่อมั๊ยว่า เละหนักกว่านี้แน่นอนถ้ารู้ตัวว่าเรากำาลังทำาดีอยู่ สิ่งหนึ่งที่พึงมีสติ พิจารณาระลึกรู้เลยว่า สิ่งไม่ดีที่เราโดนนั้น เราได้รับน้อยกว่าที่เราทำาไม่ดีมาจริง เพราะขนาดมีความดีมาช่วยต้านไว้ ยังโดนเลย แต่ก็โดนน้อยกว่าสิ่งไม่ดีที่เราทำามาจริง ไม่ดีหรือไง ถ้าเราโดนเท่าที่ทำามาจริง จะเป็นไง หนักว่าที่รับอยู่แน่ๆแต่คนที่มาซัดเราน่ะซวยเลยนะ เพราะพระพุทธเจ้าตรัสว่า เมื่อใครกระทำาสิ่งใดด้วยเจตนา สิ่งนั้นจะสั่งสมลงเป็นพลังงานวิบากกรรมทันที รอวันรับผลจากการกระทำานั้นทันที ดังข้อมูลในพระไตรปิฎก เล่ม ๓๗ ข้อ ๑๖๙๘ “พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราไม่
Page 13
กล่าวความที่กรรมอันเป็นไปด้วยความจงใจ ที่บุคคลทำาแล้ว สะสมแล้วจะสิ้นสุดไป เพราะมิได้เสวยผล แต่กรรมนั้นแล จะให้ผลในภพนี้ หรือในภพถัดไป หรือในภพอื่นสืบๆ ไป”เหมือนกับพระเทวทัต คิดฆ่าพระพุทธเจ้า และลงมือกลิ้งหินทับ แต่ก็ฆ่าไม่ได้ สะเก็ดหินโดนพระบาทห้อเลือด ด้วยวิบากกรรมนั้นของเทวทัต จึงดลให้แผ่นดินสูบเทวทัตตาย ซึ่งเหตุเกิดจาก ในชาติที่พระพุทธเจ้ายังไม่บำาเพ็ญ ได้ไปฆ่าน้องชายต่างมารดาซึ่งก็คือเทวทัตนั่นเอง ดังพระไตรปิฎกเล่ม ๓๒ ว่าด้วยบุพจริยาของพระองค์เองข้อ ๓๙๒ พระผู้มีพระภาคผู้เป็นนายกของโลก แวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์ เป็นอันมาก ประทับนั่งอยู่ที่พื้นหินอันเป็นรัมณียสถานโชติช่วงด้วยแก้วต่างๆ ในละแวกป่า อันมีกลิ่นหอมต่างๆ ใกล้สระอโนดาต ตรัสชี้แจงบุรพกรรมทั้งหลาย ของพระองค์ ณ ที่นั้นว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟังกรรมที่เราทำาแล้วของเรา ในกาลก่อน เราได้ฆ่าพี่น้องชายต่างมารดา เพราะเหตุแห่งทรัพย์ จับใส่ลงในซอกเขา และบด (ทับ) ด้วยหิน ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น พระเทวทัตจึงผลักก้อนหิน ก้อนหินกลิ้งลงมากระทบนิ้วแม่เท้าของเราจนห้อเลือดจะเห็นได้ว่า ในชาติก่อนพระพุทธเจ้าไปฆ่าเทวทัตซึ่งเป็นน้องชายต่างมารดามาก่อน พอมาถึงชาติที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ วิบากกรรมของพระพุทธเจ้าก็ดลดึงให้เทวทัตมาฆ่าคืน แต่ก็ฆ่าคืนไม่ได้ เพราะพระพุทธเจ้าท่านทำาความดีมาเยอะ ความดีก็บรรเทาสิ่งที่ไม่ดีให้เบาบางลง จึงโดนแค่พระบาทห้อเลือด ท่านรู้ว่าท่านทำามา ท่านจึงไม่ได้โกรธเทวทัต แต่เทวทัตสิน่าสงสารจะตาย มาเอาคืนก็เอาคืนได้ไม่มาก เพราะพระพุทธเจ้าทำาดีมากแล้ว แถมวิบากบาปของเทวทัตหนักกว่าเก่าอีก เพราะเขามีเจตนาทำาแล้วไปทำาไม่ดีกับคนดี วิบากก็หนักสิ ซวยเลย ถูกธรณีสูบ พระพุทธเจ้าไม่ตายแต่เทวทัตตายเลย ที่ผมทำามาอาจจะหนักก็ได้ คงไปฆ่าเขาหรือฆ่าใครๆมาก็ได้ แต่ชาตินี้เขาไม่ได้มาฆ่าเราก็ ดีนักหนาแล้ว แค่เตะเราหรือแค่ใส่ร้ายเราก็ดีนักหนาแล้ว น่าสงสารเขา เราช่วยเขาไม่ได้ เขาเอาคืนก็เอาคืนได้ไม่มาก วิบากเขาจะหนัก เพราะมาทำาไม่ดีกับเราตอนที่เราบำาเพ็ญบุญ เราช่วยเขาไม่ได้ก็ต้องปล่อยเขาลงนรกไป ถ้าทำากับเราตอนที่เราทำาไม่ดี เราก็คงได้รับวิบากบาปรุนแรงพอๆกับที่เราทำามา ท่านกลับจากอบรมไป แม้จะไปทำาดีได้เท่าไรก็ตาม ถ้าเราทำาเต็มที่ นั่นคือความสุข ความสุขคือทำาเต็มที่ ความสุขไม่ใช่ทำาสำาเร็จ ย้ำาความสุขไม่ใช่ทำาสำาเร็จ และความสุขไม่ใช่ทำาเสร็จ สุขแท้คือทำาเต็มที่ ทำาเต็มที่แล้วก็สุขเต็มที่ได้แล้ว ทำาดีที่สุดแล้วก็สุขที่สุดได้แล้ว สุขได้เลย เพราะมันดีที่สุดได้แค่เต็มที่ ไม่ใช่ดีที่สุดที่สำาเร็จ และไม่ใช่ดีที่สุดที่เสร็จ ทำาเต็มที่แล้วสุขได้เลย ทุกอย่างดีที่สุดได้แค่เต็มที่ ไม่ใช่ดีที่สุดที่สำาเร็จ เพราะงานบางงานไม่เสร็จง่ายๆหรอก แล้วคุณจะไปสุขตอนเสร็จหรือ แล้วทำาไมไม่สุขตอนทำาเต็มที่หล่ะพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “วิริเยนะ ทุกขมะเจติ” คนจะล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร เพียรเต็มที่ก็สุขแล้ว ย้ำาเพียรเต็มที่ก็สุขเต็มที่แล้วนี่คือสัจจะพี่น้อง กศน. ไม่ต้องไปน้อยใจนะ จงภาคภูมิใจที่เราทำาดี แล้วคนดูถูก เวรกรรมเราก็หมดนะ เราถูกดูถูกดูแคลน เวรกรรมเราก็หมด ขนาดพระพุทธเจ้าท่านทำาดีมากกว่าเราก็ยังถูกบางคนดูถูกเราเป็นขวัญใจของคนที่มีปัญญาแท้ก็พอแล้ว ทำาไมต้องเป็นขวัญใจของคนไม่มีตา ทำาไมต้องไปเป็น
Page 14
ขวัญใจของคนไม่มีปัญญา ทำาไมต้องการรับคำาชมจากคนที่ไม่มีปัญญา ไม่มีตา เขาจะไปชื่นชมอะไรที่ไร้สาระก็ช่าง คนที่มีปัญญาแท้เขาจะรู้สาระประโยชน์ที่แท้จริง คนที่มีปัญญาแท้ ๑ คน รู้เข้าใจและเห็นค่า ชื่นชม เชิดชู และสนับสนุนสิ่งดีที่เราทำาดีกว่าคนตอแหลล้านๆ คน มีแต่คำาตอแหล จะไปเอาทำาไม ให้มันเป็นไปตามสัจจะนั้นแหละดีที่สุด อย่าไปอยากได้จากคนไม่มีตา แม้ว่าเราจะถูกดูถูกดูแคลน จงจำาไว้ว่า ไม่มีอะไรที่เราได้รับโดยที่เราไม่ทำามา ชาติใดชาติหนึ่งเราไปดูถูกดูแคลน กศน.หรือดูถูกใครๆมาก่อนชาตินี้ต้องมาชดใช้กรรม อย่างผมเคยไปดูถูกแพทย์ทางเลือกมาก่อน ชาตินี้ต้องมาเป็นแพทย์ทางเลือกเสียเอง ก็ถูกดูถูก มันก็ถูกต้องเหมาะสมตามธรรมแล้ว เมื่อก่อนเราไม่รู้ว่าแพทย์ทางเลือกก็มีสิ่งที่ดี ตอนนี้เรารู้ว่าดี เราก็ทำาซิ ผมเคยไปดูถูก กศน. มาก่อน เมื่อก่อนเราไม่รู้ว่า กศน. ก็มีสิ่งที่ดี นอกระบบนั้นแหละดี มันไม่มีกรอบขวาง เราสามารถทำาสิ่งที่ดีได้มากได้หลากหลาย เราน่ะโชคดีแล้ว มันไม่มีกรอบขวาง ทุกวันนี้อย่าไปคิดว่าในระบบจะดี มันมีกรอบมีตอขวางเต็มไปหมด จะทำาสิ่งสร้างสรรที่ดีๆได้ลำาบาก แต่โดยสัจจะแล้วไม่ใช่ว่าอยู่ในระบบหรือนอกระบบจะดีกว่ากันหรอก อยู่ที่ว่าใครจะมีสาระที่เป็นประโยชน์แท้ต่อตนเองและผองชนมากกว่ากัน เพียงแต่ทุกวันนี้โดยส่วนใหญ่ในระบบไม่ค่อยจะมีสาระแท้เท่านั้นเอง จึงต้องอาศัยนอกระบบเพื่อเข้าสู่สาระประโยชน์ที่แท้จริง บางท่านได้สัจจะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการดูถูกดูแคลน ความจน ความรวย ถ้าท่านใดฟังแล้วเลิกอยากรวย สาธุคุ้มเลย จะอยากรวยอยากซวยไปทำาไม ความรวยไม่ใช่ความสุข ความรวยไม่ใช่ความมั่นคง ยิ่งรวยยิ่งทุกข์ ยิ่งรวยยิ่งไร้ค่า ยิ่งรวยยิ่งไม่ปลอดภัย ยิ่งรวย ยิ่งอันตราย ยิ่งรวย ยิ่งทุกข์ ยิ่งเหนื่อย ไม่มีประโยชน์อะไรซักอย่าง อย่าคิดว่าคนรวยมีความสุข จริงๆ ชีวิตมันควรจะอยากอะไร จริงๆ ชีวิตอยากมั่นคง ปลอดภัย มีคุณค่า ประเสริฐ และผาสุก นี้คือคนพอเพียง เป็นคนจนที่ไร้กังวล ไร้ทุกข์เราขยันทำามาหากินเต็มที่ เก็บไว้เท่าที่ต้องกินต้องใช้ ที่เหลือกินเหลือใช้ก็แบ่งปัน พอแบ่งปันไปเราก็จะไม่รวย เราจะเป็นคนจนอีกแบบหนึ่งที่ไม่เหมือนบ้าน ไม่เหมือนเมือง ไม่เหมือนคนอื่นเขา แบ่งปันก็ไม่รวย แต่จนอย่างมีคุณค่าเพราะแบ่งปัน ไม่รวย แต่จะ ไม่เป็นคนจนแบบสิ้นไร้ไม้ตอก จะไม่ใช่คนฐานะกลางๆแต่ยังอยากรวยอยู่ และไม่ใช่คนรวยที่ไม่รู้จักพอหรือไม่รู้จักแบ่งปัน ความจริงแล้วขอทานก็ทุกข์พอๆกับคนรวย แต่ขอทานไม่ทุกข์เท่าคนรวย เพราะขอทานก็ทุกข์แค่อยากมีกินมีใช้พอประทังชีวิต แต่คนรวยทุกข์มากกว่าขอทาน เพราะมีสมบัติมากกว่าจึงต้องกังวลมากกว่าในการดูแลรักษา กังวลเพราะอยากมีมากยิ่งขึ้นก็ทุกข์มากขึ้น คนรวยก็จะมีความอยากได้อยากเป็นอยากมีเรื่องนั้นเรื่องนี้มากกว่าขอทาน จึงทุกข์มากกว่าขอทาน หลายคนในโลกนี้คิดว่าคนรวยมีความสุขกว่าคนฐานะอื่นๆ ก็เชิญลองรวยดูแล้วจะรู้ซึ้งว่ารวยแล้วเป็นทุกข์จริงๆอยากให้มีคนทำาวิจัยความสุขความทุกข์ของคนรวย มีเรื่องเล่านี้เป็นเรื่องจริงอจินไตย(เข้าใจได้ยาก รู้ตามได้ยาก) คนรวยเอาไปกักตุนไว้มากๆ ก็จะมีวิบากที่ทำาให้คนอื่นเดือดร้อน ขาดแคลน ลำาบาก วิบากกรรมนั้นจะเขียนเรื่องให้เขาเดือดร้อน บางครั้งจนเขาต้องฉีดยานอนหลับ มีความกังวลมีภาระที่ต้องแก้ปัญหาเรื่องนั้นเรื่องนี้เต็มไปหมดเลย ถ้าคนเข้าใจกรรมเข้าใจจิตวิญญาณจะเข้าใจชัด เหมือนเมื่อเราสมัยก่อนเมื่อเรายังไม่มีงานทำาคิดว่ามีงานทำาจะมีความสุข พอมีเงินเดือนแล้วเป็นไง ทุกข์กว่าเก่า/หนักกว่าเดิมอีก ชาวบ้านมองคุณครูว่าคงมีความสุขนะ มีเงินเดือนมีหน้ามีตา แล้วจริงๆคุณครูมี
Page 15
ความสุขต่างจากตอนเป็นชาวบ้านมั๊ย เผลอๆทุกข์หนักกว่าชาวบ้านอีก บางทีชาวบ้านยังอยู่เฉยๆ แต่เจ้านายใช้เราให้ส่งงานเร็วๆ ชาวบ้านเขาจะรู้กับเรามั้ย ว่ามีเรื่องไหนบ้างที่กดดันเราอยู่ พอๆกับเราที่คิดว่าเราเป็นเจ้านายจะมีความสุข พอเป็นเจ้านายแล้วเป็นไง ทุกข์หนักกว่าเดิมอีก ทุกข์จากหน้าที่ที่ต้องบริหารรับผิดชอบ ทุกข์จากลูกน้องคาดหวัง ทุกข์จากเจ้านายที่เหนือกว่ากดดัน ทุกข์จากต้องรักษาต้องหวงแหนผลประโยชน์ตำาแหน่งลาบยศสรรเสริญ แท้จริงแล้วความสุขไม่ได้อยู่ที่เป็นอะไร แต่ความสุขอยู่ที่ใช้ชีวิตเป็น มีทักษะการดำาเนินชีวิตที่ผาสุก เป็นอะไรก็ไม่มีค่าเท่ากับเป็นสุขหรอกเป็นอะไรก็เป็นสุขได้ถ้าใช้ชีวิตเป็น เป็นอะไรก็ไม่เป็นสุขถ้าใช้ชีวิตไม่เป็น ต่อให้เป็นหัวหน้าเป็นลูกน้องก็ไม่สุขหรอกถ้าใช้ชีวิตไม่เป็น ถ้าอยากเป็นคนรวยให้ลองไปอยู่กับคนรวยสัก ๑ เดือน ก็จะรู้เห็นว่าเขาทุกข์แค่ไหนอย่างไร เพียงแต่เขาไม่เปิดเผยให้คนทั่วไปรู้เท่านั้น ถ้าเขาเปิดเผยออกมานะ มีปัญหาอะไรเยอะแยะมากมาย เช่น คนนั้นคนนี้ก็ไม่ได้ดั่งใจ ลูกคนนั้นก็เลวอย่างนั้นอย่างนี้ ญาติคนนั้นก็มายืมเงินไม่คืน บางคนมายืมเงินเราไม่ให้เขาเขาก็โกรธเรา เป็นศัตรูกับเราอีก ก็วุ่นวาย จะมาฆ่าเราหรือไม่ มันจะทะเลาะ กลัวคนจะคดโกงแย่งชิงสมบัติตรงนั้นตรงนี้ กลัวสมบัติที่ดูแลไม่ทั่วถึงจะเสียหาย มีเรื่องมากมายให้คนรวยทุกข์ มันจะปรุงจะคิดมาก จะฝันฟุ้งไม่สงบ กรรมเขาจะเขียนเรื่องให้ทุกข์กังวลวุ่นวายเยอะแยะไปหมดถ้าความรวยทำาให้มีความสุขจริง พระพุทธเจ้าไม่ทิ้งบ้านทิ้งเมืองไปสู่การ ไม่เอาอะไรหรอก แต่ท่านก็จนอย่างมีความสุข ไม่ใช่จนอย่างสิ้นไร้ไม้ตอก ไม่ใช่จนแบบงอมืองอเท้า ไม่ใช่จนอย่างไม่สุข แต่จนอย่างมีคุณค่า เราทำางานเต็มที่แล้วเราจนแบบแบ่งปัน เราพอกินพอใช้ก็พอ แล้วเราก็แบ่งปัน จนเพราะเราตั้งใจจน จนเพราะเรากล้าจน ทำาไมเราจึงกล้าจน เพราะเรารู้ว่าจนมีค่า จะประเสริฐที่สุด คนอื่นจะไม่ขาดแคลนเพราะเราคนรวยคือคนที่ไม่มีค่าในโลก ถ้าคนรวยอยากมีค่าต้องทำายังไงครับ เขาต้องจนต้องแบ่งปันซิ แบ่งปันเมื่อไหร่ก็มีค่าเมื่อนั้น แบ่งปันแล้วจะรวยมั๊ย แล้วจะรวยอย่างไร มันจะจน แต่ก็จะมีสภาพซ้อน แบ่งปันแล้วจน แต่มันก็จะรวย มันจะซ้อน แบ่งปันแล้วจะจนลง แต่เดี๋ยวจนสักพัก ก็จะรวยอีกแล้วยิ่งสลัดออกไปมันยิ่งกลับมา คนอื่นได้ประโยชน์ มันก็จะยิ่งกลับมา มันก็จะหมุนวนออกไป ยิ่งหมุนวนออกไป ยิ่งมาก ยิ่งมาก ยิ่งสลัดออกไปได้ คนได้ประโยชน์อีกแล้ว บุญก็จะมา บุญก็จะยิ่งมา พระพุทธเจ้าจึงรวยขึ้นทุกชาติ ทุกชาติ ทุกชาติ ทุกชาติ พระไตรปิฎก เล่ม ๑๑ ข้อ ๑๕๒ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเคยเป็นมนุษย์ในชาติก่อน ภพก่อน กำาเนิดก่อน เมื่อตรวจดูมหาชนที่ควรสงเคราะห์... แล้วทำากิจเป็นประโยชน์อันพิเศษในบุคคลนั้นๆ ในกาลก่อนๆ ตถาคตย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เพราะกรรมนั้น อันตนทำาสั่งสม พอกพูน ไพบูลย์ ฯลฯ... เมื่อเป็นพระพุทธเจ้าจึงได้รับผลข้อนี้ คือ เป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก...” จะเห็นได้ว่ายิ่งให้ยิ่งได้ เหตุแห่งการรวยคือการให้ ให้โดยไม่เอาอะไรเลยยิ่งรวย ไม่รู้สอนให้รวยหรือสอนให้จน ทั้งรวยทั้งจน ถ้าเรารู้สาระเรารวยด้วยสัจจะ รวยด้วยสิ่งที่มั่นคงปลอดภัยและผาสุก รวยด้วยวิบากดี วิบากที่เรารวยนั้นแหละ รวยคุณงามความดี รวยด้วยวิบากดี วิบากดีจะสั่งสมในจิตวิญญาณ
Page 16
เราไปข้ามภพข้ามชาติ ดลให้เราได้รับสิ่งที่ดีๆหลายท่านทำาความดีสะสมมาหลายชาติ ไม่งั้นท่านไม่ได้เกิดมาในเมืองไทยหรอก ไม่มีผืนดินเป็นของตัวเองหรอก แค่มีผืนดินไร่สองไร่ก็เลี้ยงชีพได้ ที่ที่มีดินน้ำาลมไฟเหมาะ คือเมืองไทย ที่ที่เหมาะสมที่สุดคือเมืองไทย พื้นที่ไม่กี่ไร่ก็เป็นสวรรค์ได้ ที่เหมาะสมที่สุดในโลกคือเมืองไทย ดังนั้นเราจึงควรพากเพียรเติมบุญเข้าไปอีกเพื่อให้ก่อเกิดสิ่งที่ดีงามยิ่งขึ้นๆจริงๆหลายท่านก็ไม่ได้อยากมาเข้าค่ายหรอกใช่มั๊ย ถ้าบุญไม่ถึงรอบ ก็คงไม่ได้มา บางท่านบุญเต็มๆเลยอยากมาบุญถึงเลย บางท่านบุญถีบ เพราะท่านทำาบุญมาท่านก็ต้องได้ดี บุญถีบมาถึงไปไหนก็ไม่ได้ ไปได้เหมือนกันไปตลาด แต่ก็ยังฟังเรื่องนั้นเรื่องนี้เข้าหูไว้ บุญของท่านเขาบังคับให้ พอถึงเวลาที่จะได้ บางสิ่งบางอย่าง เขาจะบังคับให้ ผมเองก็ไม่ได้อยากมาเป็นแพทย์วิถีธรรม มากินจืดๆไม่อร่อย อยากไปซื้อของกินอร่อยๆ บุญก็บังคับมา บุญก็ส่งความรู้มาให้ บุญส่งมาให้กินข้าวกับเกลือ เมื่อเพิ่งรับราชการได้ ๓ ปี เพิ่งเริ่มได้เงินได้ทอง บุญก็ไม่ยอมให้หลงนรกนาน(สวรรค์ลวงหรือนรกจริง) เราก็ไม่ได้อยากมาทำา แต่พอมาทำาแล้วก็มีความสุข ถึงเวลาแล้วก็เอาสัจจะไป บุญเขาส่งให้เราพระพุทธเจ้า ตรัสไว้ใน “มหาปทานสูตร” ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ทรงสวดพระปาติโมกข์ในที่ประชุมพระภิกษุสงฆ์ดังนี้ ขันติคือความทนทานเป็นตบะอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสว่า พระนิพพานเป็นธรรมอย่างยิ่ง ผู้ทำาร้ายผู้อื่นผู้เบียดเบียนผู้อื่นไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะเลย การไม่ทำาบาปทั้งสิ้น การยังกุศลให้ถึงพร้อม การทำาจิตของตนให้ผ่องใส นี้เป็นคำาสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย การไม่กล่าวร้าย ๑ การไม่ทำาร้าย ๑ ความสำารวมในพระปาติโมกข์ ๑ ความเป็นผู้รู้ประมาณในภัตตาหาร ๑ ที่นอนที่นั่งอันสงัด ๑ การประกอบความเพียรในอธิจิต ๑ หกอย่างนี้ เป็นคำาสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ฯ(พระไตรปิฎก เล่ม ๑๐ ข้อ ๕๔)จะเห็นได้ว่า สาระแท้ของการปฏิบัติธรรมตามคำาตรัสของพระพุทธเจ้านั้น เป็นการปฏิบัติที่ทำาให้เกิดประโยชน์สุขที่แท้จริงทั้งต่อตนเองและผู้อื่นไปพร้อมๆกันเสมอสอดคล้องกับที่พระพุทธเจ้า ตรัสไว้ใน “โกสัมพิยสูตร” ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วยธรรมดาเช่นใด ถึงเราก็ประกอบด้วยธรรมดาเช่นนั้น. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วยธรรมดาอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดานี้ของบุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ คือ อริยสาวกถึงความขวนขวายในกิจใหญ่น้อยที่ควรทำาอย่างไรของเพื่อน สหพรหมจารีโดยแท้ ถึงอย่างนั้น ความเพ่งเล็งกล้าในอธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และอธิปัญญาสิกขา ของอริยสาวกนั้นก็มีอยู่ เปรียบเหมือนแม่โคลูกอ่อน ย่อมเล็มหญ้ากินด้วยชำาเลืองดูลูกด้วยฉะนั้น. อริยสาวกนั้น ย่อมรู้ชัดอยู่อย่างนี้ว่า บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วยธรรมดาเช่นใด ถึงเราก็ประกอบด้วยธรรมดาเช่นนั้น. นี้ญาณที่ ๕ เป็นอริยะ เป็นโลกุตระไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชน อันอริยสาวกนั้นบรรลุแล้ว.(พระไตรปิฎก เล่ม ๑๒ ข้อ ๕๔๗)จะเห็นได้ว่า การขวนขวายในกิจน้อยใหญ่/การชำาเลืองดูลูกด้วย ก็คือการทำาประโยชน์สุขให้กับท่าน(ผู้อื่น) ส่วนการเพ่งเล็งกล้าในอธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และอธิปัญญาสิกขา/เล็มหญ้ากิน ก็คือ
Page 17
การทำาประโยชน์สุขให้กับตน เพราะศีลสมาธิปัญญา จะทำาให้ตนพ้นทุกข์ ดังนั้น การปฏิบัติที่ถูกต้องอย่างแท้จริงนั้น จะต้องปฏิบัติประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านพร้อมกันเสมอ พระพุทธเจ้าท่านได้ทรงตรัสสั่งสอนไว้ ใน”อภิณหปัจจเวกขณธรรมสูตร” ว่า “...พึงพิจารณาเนืองๆว่า...เราย่อมติเตียนตนเองได้โดยศีลหรือไม่...เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายผู้เป็นวิญญูชนพิจารณาแล้ว ติเตียนเราได้โดยศีลหรือไม่...บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ว่า เราต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น...เราเป็นผู้มีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทของกรรม มีกรรมเป็นกำาเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราจักทำากรรมใดดีหรือชั่วก็ตาม เราจักต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น ...วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เราทำาอะไรอยู่...ญาณทัสนะวิเศษอันสามารถกำาจัดกิเลส เป็นอริยะ คือ อุตริมนุสธรรมอันเราได้บรรลุแล้วมีอยู่หรือหนอ...” (พระไตรปิฎก เล่ม ๒๔ ข้อ ๔๘)จะเห็นได้ว่า คำาว่า “เราต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น” “วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เราทำาอะไรอยู่” เป็นการที่พระพุทธเจ้าให้สติกับสาวก ไม่ให้ประมาทในชีวิต ให้เร่งปฏิบัติศีลโดยการละชั่ว บำาเพ็ญความดี พร้อมกับทำาจิตใจให้ผ่องใสด้วยการกำาจัดกิเลส คือความยึดมั่นถือมั่นอันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ซึ่งเป็นทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านไปพร้อมกัน ประโยชน์ตนทำาอย่างไรก็ได้ ให้ชีวิตเราผาสุกอย่างยั่งยืน ด้วยการพึ่งตน ดังคำาตรัสของพระพุทธเจ้า ว่า “หากว่าบุคคลพึงรู้ว่าตนเป็นที่รักไซร้ พึงรักษาตนนั้นไว้ ให้เป็นอัตภาพอันตนรักษาดีแล้ว บัณฑิตพึงประคับประคองตนไว้ตลอดยามทั้งสาม ยามใดยามหนึ่ง บุคคลพึงยังตนนั้นแลให้ตั้งอยู่ในคุณอันสมควรเสียก่อน พึงพร่ำาสอนผู้อื่นในภายหลัง บัณฑิตไม่พึงเศร้าหมอง หากว่าภิกษุพึงทำา ตนเหมือนอย่างที่ตนพร่ำาสอนคนอื่นไซร้ ภิกษุนั้นมีตนอันฝึกดีแล้วหนอ พึงฝึก ได้ยินว่าตนแลฝึกได้ยาก ตนแลเป็นที่พึ่งของตน บุคคลอื่นใครเล่าพึงเป็นที่พึ่งได้ เพราะว่าบุคคลมีตนฝึกฝนดีแล้ว ย่อมได้ที่พึ่งอันได้โดยยาก ความชั่วที่ตนทำาไว้เองเกิดแต่ตน มีตนเป็นแดนเกิด ย่อมย่ำายีคนมีปัญญาทรามดุจเพชร ย่ำายีแก้วมณีที่เกิดแต่หิน ฉะนั้น ความเป็นผู้ทุศีล ล่วงส่วน ย่อมรวบรัดอัตภาพของบุคคลใด ทำาให้เป็นอัตภาพอันตนรัดลงแล้ว เหมือนเถาย่านทรายรวบรัดไม้สาละให้เป็นอันท่วมทับแล้ว บุคคลนั้นย่อมทำาตนเหมือนโจรผู้เป็นโจกปรารถนาโจรผู้เป็นโจก ฉะนั้น กรรมไม่ดีและไม่เป็นประโยชน์แก่ตน ทำาได้ง่าย ส่วนกรรมใดแล เป็นประโยชน์ด้วยดีด้วย กรรมนั้นแลทำาได้ยากอย่างยิ่ง ผู้ใดมีปัญญาทราม อาศัยทิฐิอันลามก ย่อมคัดค้านคำาสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ผู้อรหันต์ เป็นพระอริยเจ้า มีปกติเป็นอยู่โดยธรรม การคัดค้านและทิฐิอันลามกของผู้นั้น ย่อมเผ็ดเพื่อฆ่าตน เหมือนขุยไผ่ฆ่าต้นไผ่ฉะนั้น ทำาชั่วด้วยตนเอง ย่อมเศร้าหมองด้วยตนเอง ไม่ทำาชั่วด้วยตนเอง ย่อมหมดจดด้วยตนเอง ความบริสุทธิ์ ความไม่บริสุทธิ์ เป็นของเฉพาะตัวคนอื่นพึงชำาระคนอื่นให้หมดจดหาได้ไม่ บุคคล ไม่พึงยังประโยชน์ของตนให้เสื่อม เพราะประโยชน์ของผู้อื่นแม้มาก บุคคลรู้จักประโยชน์ของตนแล้ว พึงขวนขวายในประโยชน์ของตนฯ (พระไตรปิฎก เล่ม ๒๕ ข้อ ๒๒)และในขณะเดียวกัน ทำาอย่างไรก็ได้ให้เพื่อนร่วมโลกของเราได้ประโยชน์จากเรามากที่สุดเท่าที่เราจะทำาได้ ดังในพระไตรปิฎก เล่ม ๑๑ ข้อ ๑๐๘ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “พรหมจรรย์นั้นจะพึงเป็นไป เพื่อเกื้อกูลแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์แก่ชาวโลก เพื่อประโยชน์
Page 18
เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทพดาและมนุษย์ทั้งหลาย คืออะไรบ้างคือ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘ ดูกรจุนทะ ธรรมทั้งหลายเหล่านี้แล อันเราแสดง แล้วด้วยความรู้ยิ่ง ซึ่งเป็นธรรมที่บริษัททั้งหมดเทียว พึงพร้อมเพรียงกันประชุม รวบรวมตรวจตราอรรถด้วยอรรถ พยัญชนะด้วยพยัญชนะ โดยวิธีที่พรหมจรรย์ นี้จะพึงตั้งอยู่ตลอดกาล ยืดยาว ตั้งมั่นอยู่สิ้นกาลนาน พรหมจรรย์นั้นจะพึงเป็นไป เพื่อเกื้อกูลแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์แก่ชาวโลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทพดาและมนุษย์ทั้งหลายฯ”จะเห็นได้ว่า ผู้ที่ทำาประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านไปพร้อมๆกัน ก็คือผู้ที่พึ่งตนและแบ่งปัน ผลบุญนั้นก็จะเขียนบท/ดลให้เกิดสิ่งที่ดีทั้งต่อตนเองและผู้อื่น เป็นคุณสมบัติของคนพอเพียง อันเป็นชีวิตที่มั่นคง มีคุณค่า และผาสุกที่สุดในโลกท้ายนี้ผู้เขียนขอส่งกำาลังใจ ให้พี่น้องผองเพื่อนร่วมโลก ประสบความสำาเร็จในการเรียนรู้ฝึกฝนให้ชีวิตอยู่เย็นเป็นสุขกันทุกท่านครับจริงใจ ไมตรี มีอภัย ไร้ทุกข์ใจเพชร กล้าจนเอกสารอ้างอิงกรมการศาสนา. พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ. กรุงเทพมหานคร : สำานักพิมพ์มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย, ๒๕๔๑. . พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง. พิมพ์ครั้งที่ ๑. กรุงเทพมหานคร : กรมศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๑๔.คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง. คำาพ่อสอน: ประมวลพระบรมราโชวาท และพระราชดำารัสเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง. พิมพ์ครั้งที่ ๓. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์กรุงเทพ, ๒๕๕๒

Key to Your Heart - กุญแจใจ- “เคร็ดวิธีนอมเขาหาตนเพื่อดูใจ” สิริมตี นิมมานเหมินท


Key to Your Heart - กุญแจใจ- “เคร็ดวิธีนอมเขาหาตนเพื่อดูใจ” สิริมตี นิมมานเหมินท
Page 3
-3- บทที่ ๑เปดกับไก ฉันเองก็เหมือนคนทั่วไปที่เวลาไมพอใจ ไมถูกใจ หรือหงุดหงิดอะไรขึ้นมา ก็จะโทษวา“เปนเพราะเธอนั่นแหละที่ทําให.......”ไมวาจะเปนเพื่อนเจานายคนขางตัวใครก็ไดที่เกี่ยวของฉันจะตองเอาเรื่องกับคนๆนั้นใหไดเหตุการณตอไปนี้...ที่หลายคนอาจมองวาเปนเรื่องเดิมๆ ธรรมดาๆ แตถือเปนจุดเปลี่ยนที่ใหญหลวงสําหรับชีวิตของฉันเลยทีเดียวกอนที่ฉันจะเลา ตองขอขอบคุณทุกคนที่มีสวนเกี่ยวของกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้อีกครั้ง ไมวาจะเปนเพื่อนรวมบานของฉันทุกคนและญาติธรรมทุกทานที่ชี้ทางสวางใหฉันตอนนั้น...ฉันเปนนักเรียนทุนรัฐบาลไปเรียนตอปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษ ดวยความที่มีเงินไมมาก ทําใหมีทางเลือกนอย จึงขอใหทางมหาวิทยาลัยชวยจัดการหาที่พักให เพราะตองการประหยัดใหมากที่สุด เปนความโชคดีที่ทางมหาวิทยาลัยจัดใหฉันอยูบานพักที่อยูใกลกับตึกเรียนมากๆ เพียงขามถนนก็ถึง แถมยังเปนบาน penthouse คืออยูชั้นบนสุดของหอพักสําหรับนักศึกษาปริญญาตรี มีสามหองนอน สองหองน้ํา พรอมทั้งหองครัวและหองนั่งเลนในตัว สะดวกสบายมากแตนอกจากฉันที่จะไดอยูในบานหลังนี้แลว ยังมีนักเรียนปริญญาโทตางชาติอีก 3 คน ซึ่งไมเคยรูจักกันมากอนพักรวมอยูดวย TIP: “ ขณะที่อานขอใหทานไดจินตนาการไปดวย ใหเหมือนกับวาเรื่องนี้เปนเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวทานจริงๆ จะใสรายละเอียดเพิ่มเติมใหสมจริงยิ่งขึ้นก็ยังได หรือจะโยงเขากับเรื่องคลายกันๆที่ทานประสบมาก็ทําไดเชนกัน เพื่อใหเกิดประโยชนตอทานมากที่สุด ”
Page 4
-4-เมื่อยายเขาบานในวันแรกจึงไดรูวาฉันเปนคนไทยคนเดียวในบาน อีกสองคนเปนอเมริกันและปากีสถาน เขาตกลงอยูหองใหญที่สุดดวยกัน สวนฉันอยูหองเดี่ยวขนาดกลาง และเหลือหองเล็กสุดไวสําหรับคนที่สี่ซึ่งยังไมไดยายเขามา หลังจากพูดคุยกันไดสักพัก ดวยน้ําเสียง วิธีการพูดคุยและอัธยาศัยฉันรูสึกวาชอบเพื่อนอเมริกันมากกวาเพื่อนปากีสถานทันทีชวงเปดเทอมนี้เปนเดือนตุลาคม อีกไมนานก็จะถึงวันคริสตมาสและปใหมแลว เราทั้งสามจึงคุยกันเลนๆวา ถาอีกหองหนึ่งยังวางอยางนี้ตอไปก็คงดี เพราะจะไดใชตอนรับแขกที่จะมาเยี่ยมเราในชวงสิ้นป แขกจะไดไมตองเสียเงินคาที่พักสองสามวันตอมา เพื่อนปากีสถานมาเลาใหฉันฟงอยางตื่นเตนวา วันนี้เขาเจอจดหมายที่สงถึงสมาชิกคนที่สี่ที่ยังไมไดยายเขามา แตเพื่อใหเปนไปตามที่พวกเราคิดกันไว เขาไดทําลายจดหมายนั้นเรียบรอยแลวฉันคิดวา‘แหม..ทําไมตองทําขนาดนั้นยังไงเขาก็ตองยายเขามาอยูดี’ ไมนานสมาชิกคนสุดทายก็ยายเขามาจริงๆ เขาเปนคนกรีก วันแรกๆที่ยายเขามา เพื่อนกรีกตองเจอกับปญหาไมมีที่เก็บของ ทั้งตูในหองน้ํา หองนั่งเลน หองครัวหรือแมแตในตูเย็น ก็เพราะเพื่อนปากีสถานเอาของของเขาใสไวจนเต็มหมดแลว เพื่อนกรีกมาปรับทุกขกับฉันวา “ดูซิทําไมคนปากีสถานถึงทําอยางนี้...ไมรูจักขอบเขตของตัวเองเลย ไปบอกใหเขามายายของก็ทําเฉย” ฉันก็เห็นวาเปนอยางนั้นจริงๆนอกจากนี้ เพื่อนปากีสถานมักพูดจาชนิดไมยอมฟงใคร ไมมีใครถูกนอกจากเขาอีกดวยนับวันฉันก็ยิ่งไมชอบเขามากขึ้นทุกที บางครั้งฉันและเพื่อนกรีกกําลังดูทีวีรายการโปรดอยู เพื่อนปากีสถานมาถึงก็เปลี่ยนชองเฉยเลย...) ทีวีเปนสมบัติของเขา (เราสองคนก็รูสึกไมพอใจ บางทีเขาพาเพื่อนมาบานก็ทําเปนมองไมเห็นคนที่นั่งอยูกอน ทั้งคุยเสียงดังและทําทาไลใหคนอื่นเขาหองไปซะดวยทาทางไมสุภาพ ฉันรูสึกวาเพื่อนคนนี้ชางเห็นแกตัวจริงๆเมื่อเจอเหตุการณแบบนี้บอยๆเขาทําใหเกิดความไมพอใจซ้ําแลวซ้ําอีกจนเปนอัตโนมัติในที่สุดแคเห็นหนาคนปากีสถาน ฉันก็อารมณเสียไดทันที เรียกวาถาเขาอยูนอกหองฉันก็จะเก็บตัวอยูแตในหองจะไดไมตองเห็นหนากัน
Page 5
-5-ชวงนั้นการเรียนก็หนักมาก แทนที่กลับมาบานจะไดผอนคลาย ทําอาหาร ดูทีวีในหองนั่งเลนอยางสบายใจ แตไมเลย...กลับตองมาเจอคนที่เหม็นขี้หนากันในบานอีก เปนอยางนี้นานเปนเดือนๆ บางทีฉันกับเพื่อนอเมริกันและกรีกก็จะมานั่งจับกลุมปรับทุกขถึงความอึดอัดในบานกัน แตก็ไมไดทําใหอะไรดีขึ้น ยิ่งรูสึกวาไมชอบเพื่อนปากีสถานมากขึ้นเรื่อยๆ นานเขาชักทนไมไหวถึงขั้นมีปากเสียงกันก็มี ฉันพยายามหาทางออกทุกวิถีทาง คิดจะยายออกจากบานก็เคย แตไมสามารถหาที่พักใหมที่ราคาทั้งถูกทั้งดีอยางนี้ได พยายามคิดซะวา ‘เขาก็เปนอยางนี้กับทุกคนนั่นแหละไมใชเฉพาะกับฉัน’ หรือ ‘เขาก็มีสวนดีนะ ....’ แตก็ยังทําใจไมได เวลาเห็นหนาเขาก็ยังรูสึกเซ็งเหมือนเดิม เพราะตองเจอกับพฤติกรรมที่ไมชอบใจมากขึ้นทุกวัน อยูอยางกล้ํากลืนฝนทนอยางนี้นานถึง7 เดือนดวยกันพอดีชวงนั้น แมของฉันเริ่มสนใจปฏิบัติธรรมและไดพบกับญาติธรรมลูกศิษยหลวงปูทูลขิปปปญโญที่อยูที่อเมริกาแมเลาวาลูกศิษยหลวงปูกลุมนี้ปฏิบัติธรรมกันอยางจริงจังและสามารถนําธรรมะมาใชในชีวิตประจําวันไดจริง แมบอกฉันวา ปดเทอมแลวใหกลับบาน ทานจะพาไปเขาอบรมธรรมะเพราะญาติธรรมกลุมนี้จะมาจัดอบรมที่เมืองไทยชวงนั้นพอดีจะไดไปลองปฏิบัติดูแมบอกใหฉันคิดดูวา ฉันเปนทุกขใจเรื่องอะไรอยูบาง จะไดเอาไปเลาใหญาติธรรมฟง ทานจะไดชวยหาทางออกใหแมทิ้งทายไววา“เขาวากันวาวิธีนี้ไมยากหลายคนที่ไดฝกไมนานก็ทําไดแลว” จําไดวาชวงที่ปดเทอมมีจัดอบรมที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตรพอดี ในการอบรมมีญาติธรรมจากอเมริกา มาเลาถึงแนวปฏิบัติที่ทานใชไดผลและเลาอุบายธรรมที่ทานใชสอนใจตัวเองใหผูเขาอบรมฟง ฉันก็ฟงไปเรื่อยๆแตยังไมเขาใจจริงๆวา “ตนและของของตน” “นอม...” “ไตรลักษณ” ที่หลายๆทานพูดถึงหมายถึงอะไรกอนจบรายการ นาวิทยากรถามผูเขารวมอบรมวาใครมีความทุกขอะไร ใหเลาสูกันฟงเปนวิทยาทานและวิทยากรจะไดชวยกันหาอุบายธรรมสอนใจใหไดเห็นจริงตามความเปนจริง จะไดคลายทุกข
Page 6
-6-เมื่อถึงตาฉัน ฉันก็บอกไปวาฉันไมคอยมีความทุกขอะไร มีแคเรื่องไมชอบหนาเพื่อนที่อยูบานเดียวกันแลวจึงเลาเรื่องทั้งหมดใหทุกคนฟงเมื่อเลาจบ นาบอกใหฉันนึกถึงเปดกับไกที่เปนเพื่อนกัน วันหนึ่งเปดกําลังวายน้ําอยางสบายใจอยูในสระน้ําพอดีไกเดินผานมาเปดก็รองเรียกไก“ไกไกมาวายน้ําดวยกันสิน้ําเย็นสบายดีมาสิมาวายดวยกัน” ไกก็บอกวา“ไมเอาหรอกฉันวายน้ําไมเปนฉันไมลงไปหรอก” เปด“ไมเห็นเปนไรฉันยังวายไดเลยมาสิมาวายดวยกันนะ” ไก“ไมเอาหรอกฉันวายไมไดจริงๆเธอก็วายไปสิฉันอยูบนนี้แหละ” เปด“อะไรเปนเพื่อนกัน ทําไมไมเชื่อ ก็ฉันยังวายไดเลย ลงมาซะทีสิจะใหพูดไปถึงไหนมาวายดวยกันมะ” ไกก็บอกวา“ไมเอาหรอกฉันวายไมไดจริงๆเธอก็วายไปสิฉันอยูบนนี้แหละ” เปดโมโหมากที่เรียกเทาไหรไกก็ไมยอมลงมาวายน้ําดวยซะที“นี่ใครมันบาเนี่ยเปดหรือไก” นาถาม“ก็เปดนะสิที่บา ...ก็ไกมันวายน้ําไมไดจะใหลงไปวายน้ําไดยังไง แลวเปดยังไปโกรธไกอีก” ฉันตอบนาก็บอก “นั่นละใชเลย ..ลองนอม*เขาหาตัวซิวา เราเปนเปดหรือไกละ ที่จะใหเพื่อนปากีสถานมาทําอะไรอยางที่เราตองการ พอเขาไมทําก็โกรธเขา เขามีธรรมชาติของเขาอยางนั้นใครนะที่บา”
Page 7
-7-ฉันไดเห็นตัวเองทันทีวาฉันเองที่บานึกขําตัวเอง...เพิ่งเขาใจความจริงก็วันนี้วาฉันเปนเปดที่อยากจะใหไกคือเพื่อนปากีสถานมาเปนแบบที่ฉันคิดวาเขาควรจะเปน พอเขาไมเปนตามใจเราก็ไมพอใจเมื่อเห็นตัวเองเห็นความจริงความขุนของหมองใจตอเพื่อนปากีสถานก็หมดไปจากใจที่ผานมาที่ฉันไมสามารถเอาความทุกข ความไมพอใจออกจากใจตัวเองไดเพราะยังไมไดเห็นตัวเองไมเห็นวาฉันกําลังเรียกรองใหคนอื่นมาเปนแบบที่ฉันตองการทั้งๆที่เขาไมไดมีธรรมชาติแบบนั้น ฉัน ฉัน ฉัน ฉันเอาแตความคิดของตัวเองเปนที่ตั้ง เพื่อเปลี่ยนคนอื่น เพื่อนปากีสถานอาจทําบางอยางไดเหมือนฉันแตบางอยางก็ทําไมไดไมใชเขาเปนคนไมดีแตนั่นเปนธรรมชาติของเขา ฉันอยากใหเขารูจักขอบเขตในการอยูรวมกัน อยากใหเขาพูดดีๆ ฟงความคิดเห็นคนอื่นบาง อยากใหเขาสุภาพมากกวานี้ แตเมื่อเขาไมทําเพราะทําไมได คนที่ไมไดดังใจคือฉัน ก็โกรธไมพอใจเขาทําใหใจของฉันเปนทุกขเรื่องเปดกับไกเปนอุบายธรรมที่สอนใหฉันเขาใจความจริงวาสัตวที่คลายๆกัน มีธรรมชาติตางกันไดคนแตละคนก็มีธรรมชาติตางกัน และเหตุการณของเปดกับไกก็ทําใหฉันไดเห็นตัวเองวาฉันก็เหมือนเปดที่พยายามบังคับใหไกลงมาวายน้ําฉันพบวาการเปลี่ยนธรรมชาติของคนอื่นเปนเรื่องที่เปนไปไมได ที่พูดอยางนี้เพราะฉันไดเอาประสบการณในอดีตมาเปนหลักฐานยืนยัน หลังจากคิดทบทวนดู เห็นไดวาในชีวิตที่ผานมาของฉันไมมีซักครั้งที่ฉันจะเปลี่ยนใครได เขาอาจจะยอมทําตามที่เราตองการเพื่อใหเราสบายใจบางก็เทานั้น แตถาจะเปลี่ยนแปลงตัวเขาจริงๆเขาตองเปลี่ยนดวยตัวเอง ฉันเองก็เหมือนกันไมมีใครเปลี่ยนฉันได นอกจากตัวฉันเอง และถึงแมเห็นประโยชนในการเปลี่ยนตัวเองแลวก็ตองใชความพยายามไมนอยปญหาใจของฉันยังไมหมดลงแคนั้น ฉันถามนาตอไปวา “แลวที่เห็นหนาเพื่อนปากีสถานแลวหงุดหงิดไมพอใจเขาละ”
Page 8
-8-นาถามฉันวาเวลาฉันเห็นหนาเขาแลวไมพอใจ ณ ขณะนั้นเขาทําอะไรใหฉันหรือยัง ฉันก็คิดดูวา จริงๆแลวแตละครั้งที่ฉันเห็นหนาเขาแลวหงุดหงิด เขาก็ยังไมไดทําอะไรใหฉัน แตฉันจําไดวาเขาเปนคนเห็นแกตัวไมฟงคนอื่นพูดและชอบเอาชนะ ..... นาจึงบอกใหฉันคิดดูดีๆวาใครที่ทํารายฉัน ทําใหฉันหงุดหงิด ฉันก็ยังคงตอบวาเปนเพื่อนปากีสถานที่ทําใหฉันหงุดหงิด นาบอกใหฉันคิดทบทวนดูดีๆวาใครกันแน ฉันจึงคอยๆนึกยอนไปถึงเหตุการณจริงในบาน แตละครั้งที่ฉันเห็นหนาเพื่อนปากีสถานแลวรูสึกหงุดหงิด จริงๆแลวเขาไมไดทําอะไรฉันแตฉันก็หงุดหงิดเพราะฉันจําไดวาเขาเปนคน.......แบบที่ฉันไมชอบนาบอกวาก็ฉันขยันจําสิ่งที่ไมชอบ พอเห็นหนาเขาก็นึกถึงแตเรื่องที่ไมชอบ ก็ทําใหฉันไมสบายใจเองทําใหเห็นวาความจําของฉันเองนั่นแหละที่ทํารายใจฉันใหหงุดหงิดเวลาเห็นหนาเขาเมื่อเขาใจอยางนี้ ก็เห็นวาที่ผานมาฉันเขาใจผิดมาโดยตลอดวาคนโนนไมดี คนนี้ไมดีพยายามไปแกไขเขาซะอีก จริงๆแลวฉันนั่นแหละที่บาจะไปฝนธรรมชาติของคนอื่น แลวก็ยังทํารายตัวเองดวยความจําในแงลบอีก ไมใชเพราะเขาแตเพราะฉันที่เปนตนเหตุของเรื่องทั้งหมดใหใจเปนทุกขเปนนานสองนาน ใจจึงยอมรับในหลักฐานที่จริงและชัดเจนแตโดยดี ความทุกขที่มีในใจก็หายวับไปกับตาดวยการพลิกความเห็นเพียงนิดเดียวเมื่อกลับไปเรียนตอ ดวยรูทันความจริงและรูจักยอมรับธรรมชาติของผูอื่น ไมเอาความจํามาทํารายตัวเองอีก และเห็นวาคนที่ฉันควรแกไขและทําไดงายที่สุดก็คือตัวเอง หลังจากไดปรับความคิดแลว ก็ยังตองปรับตัวและเรียนรูที่จะจัดการสิ่งตางๆภายในบานใหฉันสามารถอยูรวมกับคนปากีสถานไดอยางสบายใจหายบาในเรื่องนี้*การนอม คือการเอาเรื่องที่ฟงมาเห็นมา ยอนมาเปนกระจกสองดูตัวเอง โดยการคิดงายๆวา“แลวฉันละเคยพูด เคยทําแบบนั้นมั้ย” เพื่อใหเกิดประโยชนกับตัวเอง เมื่อไดอุบายธรรมแลวตองนอมเขาหาตัวฉันจึงจะเกิดประโยชน มิฉะนั้นก็เหมือนกับวามีเครื่องมืออยูแลวแตไมไดเอาไปใชงานนั่นเอง
Page 9
-9- บทที่๒ ถวยกาแฟเปนเหตุ นอกจากเรื่องเพื่อนปากีสถานแลว การอยูรวมบานตามประสาสาวๆตางชาติตางภาษา ยังมีความกังวลใจเปนของแถมอีกเรื่องหนึ่งคือความกังวลตอถวยกาแฟของฉันที่ใชในบานตอนที่ยายเขาบาน ทุกคนตางตองหาซื้อของใชสวนตัวหลายอยางมาเอง เพราะเปนคนชางเลือก...เรียกอีกอยางวา “เรื่องมาก”นั่นแหละ ....ฉันจึงใชเวลาไมนอยในการเลือกสรรของใชสวนตัวเพื่อใหไดของที่สวยงามและเกไก ก็ตองใชไปอีกตั้งหนึ่งปนี่นา ฉันลงทุนซื้อถวยกาแฟและจานชามอยางดี เสียเงินไปไมนอยเลย เพราะคิดวาการไดใชของดีและสวยงามจะชวยผอนคลายความเครียดในการเรียนไดทุกครั้งที่เห็นชวงแรกๆที่ทุกคนในบานยังไมมีเพื่อนมากนัก ตางคนตางก็ใชสมบัติของตัวเองไมกาวกายกันแตเมื่อเริ่มมีการชวนเพื่อนมาบานก็มีการหยิบยืมถวยกาแฟ แกวน้ําของคนอื่นไปใชรับรองแขกของตัว แรกๆก็มีการขออนุญาตเจาของกอนและลางเก็บใหเรียบรอยเมื่อใชเสร็จ หลังๆดวยความเคยชิน ความเกรงใจก็ลดลง คิดจะใชของใครก็หยิบไปใชทันที แลวก็กองทิ้งไวในอางลางจานซะอยางนั้น..ครั้งสองครั้งแรก ฉันก็ไมรูสึกอะไรแตพอเปนแบบนี้บอยเขาๆฉันก็ชักเริ่มอารมณเสียแลวซิแตพูดไปบนไป ก็ไมมีอะไรดีขึ้น หลังๆกลายเปนวาเมื่อกลับถึงบาน อยางแรกที่ทําคือเดินเขาครัวไปดูกอนเลยวามีใครเอาถวยกาแฟ จานชามของเราไปใชแลวไมลางเก็บใหมั้ย แตคนเราไมชอบอะไรมักไดอยางนั้น...ฉันมักจะไดเจอถวยกาแฟ จานชามของฉันนอนแองแมงสกปรกอยูในอางลางจานแทบทุกครั้งไป ทําใหไมพอใจเพื่อนที่ทําอยางนี้มาก ทั้งไมพอใจวาทําไมเอาของเราไปใชโดยพลการแลวไมลางคืนใหทําใหฉันตองมาเดือดรอนลางเองทั้งกลัวของเราจะเสียฉันไดเลาความหงุดหงิดรําคาญใจซ้ําซากนี้ใหนาๆญาติธรรมฟงเปนเรื่องที่สอง นาถามฉันวาพวกถวยกาแฟ จานชามที่ฉันใชอยูนั้นเปนของฉันจริงหรือ ฉันก็ตอบไปวาจริง เพราะฉันเปนคนไปเลือกซื้อมาเองแลวมันก็แพงดวยกลัวคนอื่นใชแลวไมระวังจะทําแตกได
Page 10
-10-นาใหฉันลองคิดดูวา ถวยกาแฟนั้นกวาจะมาเปนถวยมีขั้นตอนอะไรบาง นาเนนวาตองบรรยายใหละเอียดใหเห็นภาพเลยนะ )ทานผูอานลองคิดตามนะคะ( ฉันก็คิดแลวเริ่มบรรยายวาถวยชามทํามาจากดินขาว ตองไปขุดดินขาวมา เอาดินมานวด พอไดที่ก็เอามาปนขึ้นรูปเปนถวยกาแฟ ผึ่งไวจนแหงแลวเอามาลงสี เสร็จแลวก็เอาไปเคลือบและเผาดวยความรอน เมื่อเสร็จขบวนการผลิตก็ขนสงไปยังรานคาตัวแทน แลวฉันก็ไปซื้อมา แลวมันก็เปนของฉันเพราะฉันจายเงินซื้อมา นาใหฉันคิดตอวาแลวถวยจะมีความเปนไปอยางไรอีก ฉันคิดและตอบวา ถาฉันใชไปเรื่อยๆ นานเขาถวยก็จะหมดสภาพ ราว แลวก็แตกในที่สุดก็ตองโยนทิ้งไป รถขยะก็ขนขยะไปทิ้งในหลุมขยะ ถวยก็แตกไปเรื่อย สุดทายก็สลายกลับเปนดินในที่สุด นาถามฉันตอวาเพราะอะไรฉันจึงตองหวงถวยกาแฟนัก ขนาดตองตามไปดูทุกครั้งที่กลับถึงบาน ก็ในเมื่อรูอยูแลววา ธรรมชาติของถวยกาแฟนั้นแตกได นาตั้งขอสังเกตวา ถาไมมีใครเอาถวยไปใช มันจะแตกไดมั้ย“ถาใชอยางระมัดระวังก็จะแตกชา” ฉันตอบ“ตองเปนอยางนั้นจริงๆเหรอ” นาถามทานผูอานละคะคิดวาอยางไรฉันไดคิดและเห็นวาจริงๆแลวเวลาถวยโดนความรอนบางเย็นบางเวลาใชงาน ถวยก็เริ่มราวทีละนิดๆ...อยางที่ฉันก็เคยเห็นบนถวยของฉัน ใชงานทุกครั้งทําใหถวยสึกหรอไปเรื่อยๆ ใชไปนานๆก็แตกไดเอง หรือเราอาจซุมซามปดตกแตกเองก็ยังได แตเล็กจนโตก็เคยทําถวยแตกมาแลวไมรูกี่ใบ เมื่อธรรมชาติของมันเปนของที่แตกได จะไปคิดทําไมวาใครทําแตก ยังไงมันก็ตองแตกจะเสียทั้งเงินที่ไปซื้อมาและตองมาเสียเวลา เสียอารมณคอยกังวลอีกเหรอ ถึงอยางไรถวยกาแฟก็มี
Page 11
-11-ธรรมชาติของมันแบบนี้อยูดี ถาคิดเชนนี้ตอไปก็มีแตขาดทุนกับขาดทุนเมื่อคิดไดอยางนี้ใจฉันก็ไมอยากขาดทุนอีกแลว เลย เลิกกังวล เลิกหวง เจาถวยกาแฟสุดที่รัก แตอยางไรก็ตามในฐานะเจาของฉันก็ไมละเลยที่จะคิดหาทางวาจะทําอยางไรเพื่อใหถวย จานชามของเราอยูใหเราใชไปนานๆ ก็ทําเทาที่จะทําไดแตไมใหขาดทุนทางใจเมื่อพิจารณาสิ่งของอยางอื่นอีกหลายๆอยาง ก็พบวา...ของทุกอยางมาจากที่ไหนก็ไปที่นั่นทั้งสิ้น....จริงๆนะ เพราะเราเองไมรูที่มา ที่เปน และที่ไปของมัน จึงทําใหพยายามบังคับใหมันตองอยูในสภาพเดิมหรือคิดวามันจะคงเดิมตลอดไป คิดแบบนี้เองทําใหขาดทุนที่ใจหลังจากนั้นมา เมื่อฉันจะเลือกซื้อของใช ฉันจะคิดอยางรอบคอบวาคุณภาพของของนั้นเหมาะสมกับราคามั้ย การใชงานเปนอยางไรเหมาะสมกับลักษณะงานที่จะเอามาใชหรือไม เชนถาคาดวาจะมีคนรวมใชดวยหลายคนก็จะเลือกซื้อแบบที่ทนทาน จะไดใชไดนานๆ แตก็ตองประกันใจ TIP: “ ใครที่ติดสมบัติอะไรของตัวเองอยูก็ตามลองพิจารณาดูนะคะวาที่มาที่เปนที่ไปของของเหลานั้นเปนอยางไรเราจะไดเขาใจธรรมชาติของมันและไมกังวลเกินเหตุเหมือนที่ฉันเคยเปนโดยเฉพาะเวลามันเปลี่ยนแปลงจะไดไมตกอกตกใจจนพาลใหใจเปนทุกขเพราะไมเตรียมใจไวกอน ”TIP: “ เมื่อเราแกปญหาดานจิตใจดวยการพิจารณาหาหลักฐานสอนใจจนใจยอมรับความจริงในเรื่องถวยกาแฟไดใจเราจะสบาย จากนั้นเราตองคิดหาทางหาวิธีวาเราจะดูแลสมบัติของเราที่มีอยูอยางไรจึงจะเหมาะสมในฐานะเจาของก็ตองใชปญญาอีกเชนกันแตเปนปญญาทางโลกที่ไมมีหลักตายตัวตองคอยปรับแกไปตามสถานการณ ”
Page 12
-12-ไวดวยวาอาจจะใชไดไมนานอยางที่คิดก็ได เพราะเขาใจธรรมชาติของของใชวามันเปลี่ยนแปลงไดเสมอ และจะไมเลือกซื้อตามความอยากอยางเดียวเหมือนเมื่อกอน เพราะไดเห็นโทษทางใจที่ชัดเจนมาแลว
Page 13
-13- บทที่๓ สิ่งแวดลอม นอกจากพิจารณาที่มา ที่เปน ที่ไป จะทําใหหายกังวลเรื่องจานชามไดแลว ยังมีประเด็นที่ชวนใหคิดตอไปอีกวาถาฉันวางถวยกาแฟใบสุดรักไวบนโตะ แลวแมวเกิดวิ่งมาชนถวยตกแตก ฉันถามตัวเองวาฉันจะโกรธแมวมั้ย จะดุดาแมวหรือรูสึกไมพอใจแมวมากเทากับที่เพื่อนรวมชายคาเดียวกันของฉันทําแตกมั้ย ตอบอยางซื่อสัตยตอตัวเองที่สุดไดวา ฉันจะไมโกรธแมว แตจะโกรธเพื่อน วาทําไมไมระวังไมดูแลสมบัติของฉันใหดีอยางแนนอนคิดไดอยางนี้ทําใหเห็นวามีบางอยางไมถูกตอง ทําไมเราไมโกรธแมวแตโกรธเพื่อนละ ทั้งที่ทั้งคูทําถวยเราแตกเหมือนกัน ลองคิดตอวา ถาถวยแตกเพราะแผนดินไหว หรือเพราะลมพัดตกลงมาละเราก็คงไมโกรธเชนกันเพราะอะไรนะ... เพราะฉันไมคาดหวังในตัวแมว และไมเอาผิดจากการกระทําของธรรมชาติเพราะเปนสิ่งที่ฉันควบคุมไมไดฉันคิดทบทวนไปมาก็พบวาจริงๆแลวเพื่อนก็ไมตางจากแมวไมตางจากการเกิดแผนดินไหว หรือลมพัดเลย เพื่อนก็เปนสิ่งแวดลอมอยางหนึ่งของฉัน เปนธรรมชาติรอบๆตัวฉัน ที่ฉันไมอาจบังคับควบคุมหรือคาดเดาไดรอยเปอรเซ็นตเชนกันในทางกลับกัน ฉันก็เปนสิ่งแวดลอมของเพื่อนเชนกัน แลวฉันอยากทําตัวฉันใหเปนสิ่งแวดลอมที่ดีหรือเปนแบบที่เต็มไปดวยมลพิษใหกับเพื่อนดีนะ.... TIP: “ ฉันพบวาเราจะเปนสิ่งแวดลอมที่ดีของผูคนรอบขางไดเราตองรูจัก‘เอาใจเขามาใสใจเรา’ นั่นเองจริงๆแลวฉันรูจักคํานี้มานานมากแลวแตเพิ่งจะรูจักนํามาใชในชีวิตจริงเมื่อไมนานมานี้เองสิ่งที่สําคัญที่สุดคือเราตองมองเห็นใจตัวเองกอน ”
Page 14
-14-นึกถึงคราวที่ฉันทําแกวของแมตกแตกดวยความซุมซาม ยอนดูวาฉันคิดอะไรนะตอนทําแกวแตกพบวาแตละครั้งฉันไมไดตั้งใจทําแตกแตก็พลาดทําแตกจนไดเพราะฉันก็เปนคนหนึ่งที่ยังมีความพรองอยู เมื่อเห็นใจตัวเองก็เห็นใจเพื่อนวา ถาเพื่อนทําแกวของฉันแตก เขาก็พลาดไดเชนกันถาเราไมเคยคิดแบบนี้ เราก็อาจคิดปรักปรําเพื่อนไดวาเขาไมระมัดระวัง อาจจะตอวาเพื่อนแรงๆเพื่อความสะใจ แตฉันจําไดวาครั้งที่ฉันทําแกวแตกแลวโดนดุฉันก็เสียใจ ถาฉันตอวาเพื่อนเพื่อนก็ตองเสียใจเชนกันการที่ฉันยอมรับความผิดพลาดหรือความพรองของตัวเองกอนฉันก็จะยอมรับความผิดพลาดหรือความพรองของคนอื่นและจะเลิกจับผิดผูอื่น เพราะฉันและเขาก็ไมตางกัน ฉันจึงไมคิดจะตอวาเพื่อน แตจะหันกลับมาดูวามีอะไรที่สามารถปรับแกไขไดบางในสถานการณนั้นๆ และมีความจริงอะไรที่สามารถนํามาเปนหลักฐานสอนใจตัวเองไดจากสิ่งที่พลาดไปแลว
Page 15
-15- บทที่ ๔ คนขี้ตู ในการอบรมครั้งแรกของฉัน ฉันเปดใจรับฟงและคิดตามเรื่องตางๆที่วิทยากรถายทอดใหทุกอยางเปนสิ่งแปลกใหมสําหรับฉันไปหมด“คนเราจะทุกขใจจากเรื่อง ตนและของของตน เปนหลัก” ฟงแลวงงๆไมเขาใจ นาวิทยากรจึงไดยกตนมะละกอขึ้นเปนกรณีศึกษาใหฉันและคนอื่นไดทําความเขาใจนาวา มีตนมะละกอ 2 ตน ตนหนึ่งขึ้นอยูในรั้วบานฉัน อีกตนหนึ่งขึ้นอยูอีกฝงหนึ่งของรั้วถามีคนแปลกหนาเอาขวานมาฟนตนมะละกอตนนอกบาน ฉันจะโกรธ จะไปไลคนนั้นไมใหตัดมั้ยฉันก็ตอบวาไมเพราะไมเกี่ยวกับฉัน นาถามตอวาแลวกลับกัน ถาเขามาตัดตนที่ขึ้นในบานของฉันละ ฉันจะทําอยางไร ฉันก็ตองไปไลคนที่มาตัดซิจะมาตัดตนมะละกอของฉันไดยังไง นาก็ถามวาตนมะละกอเหมือนกัน ทําไมตัดตนหนึ่งโกรธแตตัดอีกตนหนึ่งไมโกรธละ ฉันตอบวา ก็ตนของบานฉันฉันรดน้ําดูแลใสปุยแลวฉันก็ไดเก็บลูกกินฉันก็ตองหวงของฉันนี่ไง..ของของตนทําใหเปนทุกขเขาใจแลวเปนแบบนี้นี่เองนาก็ถามตอวา แลวแครดน้ํากับใสปุย มะละกอจะงอกงามจนออกลูกไดมั้ย ฉันก็วา ไมนะจริงๆแลว นอกจากน้ําและปุย มันยังตองการอากาศ แสงแดด และสภาพดินที่เหมาะสมอีกดวย แลวนาก็ถามวาแลวอากาศ แสงแดดพื้นดินเปนของใครกัน ฉันตอบไมไดนาจึงวาก็“ของโลก” ไง ฉันพยักหนาเห็นดวยแตโดยดีเพราะเราไดอาศัยเก็บลูกมะละกอกิน รดน้ําใหบางเปนครั้งคราว ใสปุยบางเพราะอยากใหลูกดก แคนี้เราก็ไปตูเอาวามะละกอเปนของเรา ปจจัยอีกหลายอยางที่ประกอบกันแลวทําใหมะละกอออกลูก เราไมไดคิดถึง ถาเปนของฉันจริงๆ ฉันตองสั่งใหตนมะละกอออกลูกไดตามใจ โตเร็วไดดังใจ และตองอยูกับฉันตลอดไปซิ
Page 16
-16-ถาสังเกตตัวเองดีๆ จะพบวาเรามักจะมีอารมณกับสิ่งที่เราเกี่ยวของหรือมีผลกระทบตอตัวเราหรืออะไรก็ตามที่เราวาเปนของของเรา เชน ถามีใครมาวิจารณหรือตอวาตัวเรา พอแมเรา เพื่อนเราผลงานของเรา เสื้อผาที่เราใส หรืออาหารที่เราทํา เรามักไมพอใจ จะมากนอยก็แลวแตสถานการณเพราะเราไมเคยพิจารณาสิ่งที่คิดวาเปนของเราวาจริงๆแลวคืออะไร ที่มา ที่เปน ที่ไปเปนอยางไรเปนของเราจริงหรือ จึงทําใหทุกขเพราะไมเขาใจความเปนจริงของสิ่งนั้นๆ อยางที่ฉันทุกขกับเรื่องถวยกาแฟนั่นเองมีอะไรอีกบางที่เราไปตูวาเปนของของเรา ทําใหใจเราเคยเปนทุกข หรือเสี่ยงตอการเกิดทุกขในอนาคตตองลองคนดูและคอยๆแจกแจงที่มาที่เปนที่ไปของสิ่งนั้นดูนะคะแตเพราะเรายังตองใชชีวิตอยูในสังคมมีหนาที่การงานเรายังตองอาศัยสิ่งตางๆเพื่อดํารงชีวิตและอํานวยความสะดวกใหเราตามอัตภาพและฐานะ สิ่งที่สําคัญคือเราตองเรียนรูที่จะเอาประโยชนจากสิ่งที่มี ทั้งทางกายใหตรงกับวัตถุประสงคของการมีของนั้น และทางใจคือใชสมบัติเหลานั้นเปนหลักฐานใหเราไดสัมผัสความจริงไมวาจะ“มี”อะไรใหมีใหไดประโยชนอยา “มี” ใหเปนตนเหตุใหใจทุกขเพราะความไมเขาใจความจริงการคิดพิจารณาความจริงตองคิดพินิจพิเคราะหอยางละเอียดถี่ถวนใหเกิดความรูสึก หามคิดแบบรวบรัดตัดความเพราะไมทําใหเรามีอารมณรวมกับการคิดนั้นก็ไมเกิดประโยชน ที่ตองทําอยางนี้เพราะเรากําลังจะสั่งสอนใจเรา แตใจเราไมคุนเคย เราตองเอาสิ่งตางๆที่เห็นภายนอกหลายๆอยางมาประกอบกันเพื่อเปนหลักฐานใหใจไดรับรูและเกิดความรูสึกตามไปนึกถึงเวลาที่ทนายความสืบพยานตอหนาลูกขุน ทนายตองผูกเรื่องราวจากคําใหการของพยานประกอบกับหลักฐานที่มีอยูใหลูกขุนฟงเพื่อพิจารณาคดี ทนายฝายโจทกกับทนายฝายจําเลยตองใชพยานและหลักฐานทั้งหมดที่มีเพื่อเอาชนะอีกฝายหนึ่ง ลูกขุนเปรียบเหมือนใจของเรา ทนายฝายโจทยคือปญญาทางธรรมที่คอยดูแลใหใจสบาย ทนายฝายจําเลยคือความเห็นผิดที่ทําใหใจเปนทุกข ปกติใจเราจะคุนเคยกับฝายความเห็นผิดเพราะฝายนี้มีกลยุทธแพรวพราวทําใหเราหลงเชื่อมานานแลว สวนปญญาทางธรรม
Page 17
-17-ของเรายังก็ไมเคยไดมีโอกาสออกมาทํางานแตขณะนี้เรากําลังจะฝกปญญาทางธรรมออกมาขับเคี่ยวกับความเห็นผิดที่เรามีอยูตองหมั่นคนหาความจริงและเก็บหลักฐานสอนใจบอยๆจะไดชํานาญ TIP: “ ในการพิจารณาความจริงเราตองทําหนาที่เปนหมอใจของตัวเองวินิจฉัยโรคใจที่เราเปนอยูดูวาเรามีโรคเรื้อรังอะไรฝงใจอยูบางมั้ยหรือขณะนี้เราเปนโรคอะไรอยูคือเรามักจะอารมณเสียกับเรื่องใดเปนประจําบางใหนั่งนึกดูนะคะโรคเหลานี้แหละคะที่เปนเปาหมายของเรา แตในเมื่อเรายังเปนผูฝกหัดเราตองติดอาวุธใหกับตัวเองโดยการฝกเปนคนชางสังเกตสังเกตความคิดความรูสึกของตัวเองในแตละขณะจากเดิมที่เราเคยชินกับการมองคนอื่นก็ใหหันกลับมามองตัวเองใหมากขึ้นฝกคิดพิจารณาสิ่งของตางๆรอบตัวโดยเฉพาะที่รักๆวามีที่มาที่เปนที่ไปอยางไรแลว“นอม” หรือยอนมาเทียบกับตัวเราเสมอๆเพื่อความชํานาญ ”
Page 18
-18- บทที่ ๕ หมากับไกสอนใจ เพราะเปนลูกคนโต เปนลูกคนเดียวในบานมากอน เมื่อมีนองก็ทําใหฉันรูสึกวาพอแมรักฉันนอยลง เวลาพอซื้ออะไรมาฝาก เมื่อกอนฉันก็ไมตองแบงใหใคร พอมีนองก็ตองแบงใหนอง เวลาเลนกับนองพอนองรองไหฉันก็โดนพอแมดุรูสึกนอยใจพอแมลึกๆมาตลอดมีอยูครั้งหนึ่ง...จําไดแมนวาไปซุปเปอรมารเก็ตแลวฉันอยากซื้อขนมอยางหนึ่งพอไมอนุญาตใหฉันซื้อ แตพอนองขอบาง พอกลับไมวาอะไร เมื่อเริ่มโตขึ้น เลนกับพอ พอก็ไมเลนดวยบางครั้งฉันไปนั่งใกลๆอยางเคย พอก็บนวารอน ถาฉันยังขืนเบียดอยูอีกก็จะโดนพอหยิก ฉันก็เสียใจดวยความที่ชอบกินขนมมากกวาขาว ก็เริ่มอวน พอก็มักจะดุเวลาฉันกินขนม ฉันเคยทะเลาะกับพอแรงๆเรื่องกินขนมหลายครั้งแมบอกวาพออยากใหลูกดูดีแตตอนนั้นฉันไมเขาใจความนอยใจถูกเก็บซอนไวในใจวาพอไมรักเรา ทําใหฉันกับพอหางเหินกันมากขึ้นเรื่อยๆหลังจากรูจักการหาอุบายธรรมมาสอนใจ และเคยลิ้มรสใจที่เบาสบายหลังจากปลดความทุกขที่เกิดจากความเห็นผิดออกไดบางแลว ฉันก็เริ่มขุดคุยคนหาขยะที่ซุกซอนไวใตพรมในใจเปนการใหญในขณะที่นั่งเครื่องบินกลับอังกฤษกอนเปดเทอมสอง ฉันก็นึกถึงคราวที่มีพอกับแมมาดวยพอกับแมบินมาสงฉันที่อังกฤษกอนวันเปดเทอมๆแรก เพื่อพาฉันไปดูที่พักและหาซื้อของที่จําเปนกอนยายเขาที่พักฉันทะเลาะกับพอเพราะฉันอยากไปเที่ยวที่ตางๆตามที่หนังสือนําเที่ยวแนะนํา แตบางทีพอก็ไมยอมพาไปฉันก็ไมพอใจนึกเสียใจวาพอไมรักไปตางๆนานาแลวก็นึกยอนไปถึงเรื่องเกาๆที่แอบนอยใจสมัยเด็กๆที่ยังจําไดแมน นอกจากเรื่องนอยใจฉันก็จําไดวา ทุกครั้งที่ฉันรองไหไมวาตอนเด็กหรือตอนโตพอก็จะดึงฉันไปกอดและใหเช็ดน้ําตากับเสื้อพอทุกทีก็นึกไปเรื่อยๆทั้งเรื่องที่นอยใจ และเรื่องอื่นๆปนเปกันไป ใจก็นึกไปถึงหมาที่วิ่งอยูริมถนนหนาบาน
Page 19
-19-แถวหนาบานฉัน คนชอบเอาหมาที่เขาไมตองการแลวมาปลอย เมื่อมีคนใหอาหาร มันก็อยูแถวๆนั้นไมไปไหน จนออกลูกออกหลาน ฉันก็เห็น พอ แมหมาเหลานั้นมันดูแลลูกมันไมนานนักมันก็แยกยายกันตางตัวตางไป ไมเปนพอเปนแม ไมตองคอยดูแลกันอีกตอไป นึกไปถึงไกที่เคยเลี้ยง แมไกมันกกไขไดไมนาน ไขก็ฟกออกมาเปนลูกเจี๊ยบ แมไกก็พาออกคุยเขี่ยหาอาหารไมนานก็แยกยายกันไปไมตางจากหมาใจก็ยอนคิดทันทีวา ‘แลวเราละ...ที่วาพอแมไมรักนะ...จริงเหรอ’ ฉันไดคิดวา...ถาพอแมไมรักฉัน ทานจะทําแบบพอแมหมา พอแมไกก็ได แคดูแลใหฉันหาอาหารกินเองได ชวยตัวเองได แลวก็แยกยายกันไป หรือทําแบบที่เห็นตามหนาหนังสือพิมพ ที่พอแมใจรายเอาลูกทารกไปทิ้งตามขางทาง ฉันจะทําอะไรได ถามีคนมาเจอก็ดีไป ถาไมมีก็ตายอยางเดียวแตพอแมฉันทานไมไดทําอยางนั้น ทานเลี้ยงฉันจนโต ใหอาหารที่ดี ซื้อของเลนใหสารพัดใหฉันไดเขาโรงเรียนที่ดี ไดเรียนสูงๆ มีบานดีๆอยู อยากไปเที่ยวก็ไดไป อยากไดรถก็ได ใหฉันมีโอกาสในชีวิตมากกวาคนอีกมากมาย พอแมฉันดีกับฉันและรักฉันมากมาย แตฉันกลับมองไมเห็นความรักของทานคิดอยูแตวาทานไมรักฉันฉันคิดหาสาเหตุวาอะไรนะที่ทําใหฉันคิดแบบนี้ ฉันตองการความรักแบบไหนกัน ฉันอยากใหพอแมทําอะไรใหฉันอีก ฉันพบวาเพราะฉันคิดถึงแตวาฉันตองการอะไรจากทาน ถาตองการใหทานกอดแลวทานไมกอด ฉันก็ไมพอใจ พาลคิดวาทานไมรัก ถาตองการใหทานซื้อของให ถาทานไมซื้อ ฉันก็ไมพอใจอีก คิดแตวาทานไมรัก ฉันก็เห็นแตจุดที่ไมไดดังใจแคนั้น เพราะทานไมไดรักฉันอยางที่ฉันตองการ อยางที่ฉันคาดหวังเทานั้นเอง จุดอื่นที่พอแมทําใหที่สําคัญกวา มีคุณคากวามีมากมาย แตฉันกลับไมเอามาคิด กลับนึกไมถึง ไดแตเก็บเอาความไมพอใจมานั่งนอยใจ ทําตัวหาง
Page 20
-20-เหิน และเอาแตพูดวาพอแมไมรัก ถึงตรงนี้ไดเห็นตัวเองวา ฉันนี่แยจริงๆ ฉันไมเห็นความรักของพอแมและยังทําใหพอแมตองเสียใจเพราะฉันเมื่อรูอยางนี้ จึงซาบซึ้งถึงพระคุณของพอแม ความนอยใจกอนใหญที่ซอนไวลึกๆในใจมานานก็หมดไป ไดแตนั่งเขียนจดหมายถึงทานวา วันนี้ไดเห็นความจริงในความรักของพอแมแลวอยางไรบาง ไดกราบขอโทษพอแมในความเห็นผิด ทําใหแสดงออกมาทางการกระทําและคําพูดที่ไมเหมาะสมไมนารักใหพอแมทุกขใจหลายๆครั้งตั้งแตเด็กจนโตดูซิ...ความเห็นผิด ความไมรูในใจเรามันรายกาจนัก ทั้งทํารายใจตัวเองและคนรอบขางเราไดมากขนาดไหนแลวอีกโรคที่เรื้อรังในใจมานานของฉันก็ไดยาดีมารักษา ดวยคุณหมอที่ดีที่สุดก็คือตัวฉันเอง ทานก็คือหมอใจที่ดีที่สุดของทานเองเชนกัน เมื่อพบโรคที่เปนอยูใหเอาเรื่องราวเหลานั้นมาพิจารณา คิดสบายๆ แตใหคิดปะติดปะตอเปนเรื่องราว แบบเดียวกับการยอนคิดถึงความหลัง เมื่อมีความตั้งมั่นในการคิดพิจารณา สิ่งที่ไดพบเห็นผานตามาอาจเปนอุบายธรรมใหเราไดไขปญหาใจใหคลายทุกขในเรื่องนั้นๆได เชนเดียวกับหมาและไกที่เปนอุบายธรรมใหฉันไดเห็นความจริงในความรักของพอแม TIP: “ การพิจารณารักษาโรคใจเปนเรื่องสวนตัวของแตละคน ไมจําเปนตองเหมือนกันใหแตละคนมีอิสระทางความคิดไดเต็มที่โดยอยูบนพื้นฐานเดียวกันคือความเปนจริงที่มีหลักฐานยืนยันไดไมใชคิดเอาเองตามความพอใจถาหลักฐานความจริงเพียงพอ ผลของการพิจารณาคือใจที่สบายคลายทุกขเพราะใจยอมรับความจริงในเรื่องนั้นนั่นเองผลของการปฏิบัติก็เปนสวนตัวรูไดดวยตัวเองเชนกัน ”
Page 21
-21- บทที่๖ หนักนักก็วาง…แลวจะเบา หลังจากเรียนจบปริญญาตรี กอนจะไปเรียนตอปริญญาโท ฉันไดเขาทํางานในบริษัทใหญแหงหนึ่ง ตลอดเวลาที่ทํางานที่นั่น ฉันไดรับคําชมมากมาย เคยไดรับจดหมายชมเชยจากบริษัทหลายครั้งวาเปนพนักงานที่มีคุณภาพ มีประสิทธิภาพการทํางานสูง เจานายทุกคนก็รัก ฉันคิดวาฉันประสบความสําเร็จในหนาที่การงานแลว ฉันภูมิใจในตัวเองและยิ่งทุมเทใหกับงานอยางมากขึ้นแตละวัน เมื่อกลับถึงบานค่ําๆมืดๆก็ยังไมหยุดคิด หยุดบนถึงเรื่องงาน เรื่องเพื่อนรวมงานคนโนนลูกคาคนนี้ ใหพอแมฟงตออีกไมเวนแตละวัน บางวันพอขี้เกียจฟง ก็วาฉันนั้นไมฉลาดเลยที่เปนแบบนี้ แตฉันก็ไมเขาใจที่พอพูด ยังบนใหแมฟงตอไป นับวันฉันจะชอบหาขอบกพรองของคนอื่นมากขึ้น และขี้รําคาญ ใครทําอะไรก็ไมถูกใจไปหมด หาขอติไดแทบทุกเรื่องในชวงนั้น ทําใหฉันหงุดหงิดไดตลอดทั้งวันเลยทีเดียวเมื่อเริ่มนอมเปน ไดเห็นคนขี้หงุดหงิดหลายคนรอบขาง เห็นวาเราก็เหมือนเขา ขี้หงุดหงิดงาย อารมณเสียงาย เวลาอารมณไมดีหนาตาก็ยูยี่ พูดเสียงแข็งๆไมนาฟง บางทีก็บนออกมา เปนที่นารําคาญกับคนรอบขาง ฉันเองก็ยังไมชอบอยูใกลคนแบบนี้เลย เห็นขอเสียของตัวเองแบบนี้จึงพยายามแกไขวันหนึ่งระหวางที่เดินไปสวนสาธารณะใกลบาน ก็คิดไปดวยวา ฉันกลายเปนคนขี้หงุดหงิดตั้งแตเมื่อไหรกัน นึกยอนไปตอนเด็กๆฉันเปนเด็กอารมณดีราเริง ยังไมมีนิสัยขี้หงุดหงิด เอาแตวิ่งเลนสนุก เลนกับคนโนนที คนนี้ที ฉันก็คิดวา ‘เอ....ตอนเด็กๆเราคิดตางจากตอนโตยังไงนะ อะไรทําใหเราเริ่มเปนแบบนี้’ ฉันนึกยอนตอไป เหมือนยอนดูหนังที่ฉันเลนเองนึกไปถึงตอนทํางานกลุมกับเพื่อนที่มหาวิทยาลัยกอนจะจบปริญญาตรีฉันเคยตอวาเพื่อนในกลุมวาเขาไมตั้งใจทํางานทําใหงานของเขาออกมาไมดีพอฉันคิดวาฉันทําไดดีกวาฉันเลยตองเปนคนทําซะเองสวนเพื่อนก็ไมพอใจฉันและไม
Page 22
-22-อยากจะทํางานตอฉันมักจะตอวาคนอื่นแรงๆเมื่อเขาทําอะไรไมถูกใจฉันหรือทําไมไดตามมาตรฐานที่ฉันตั้งไวเมื่อเรียนจบดวยคะแนนที่นับวาดีทีเดียว ดีกรีความไมพอใจคนอื่นยิ่งเพิ่มสูงขึ้น มีคนบอกฉันหลายคนวาฉันเปนคนมั่นใจในตัวเองมากแตฉันไมเห็นวาเสียหายตรงไหนชวงที่เขาทํางานใหมๆมีพี่ที่ทํางานมาขอใหฉันอธิบายรายละเอียดขั้นตอนผลิตผลิตภัณฑของบริษัทใหเขาฟงอธิบายเทาไหรเขาก็ไมเขาใจ จนฉันรําคาญและคิดวาเพราะเขาไมตั้งใจจึงไมเขาใจอยูอยางนั้น ฉันเลยบอกเขาไปวา วันหลังใหเอาสมองมาดวยแลวคอยมาถามใหมแลวกัน เขาโกรธฉันมาก แตฉันก็ยังไมรูวาตัวเองพูดอะไรออกไป และยังไมหยุดนิสัยแบบนี้ เหตุการณที่สะดุดใจที่สุดคือ ฉันเปนหนักขนาดหงุดหงิดแมกระทั่งเด็กปม วาเขาเติมน้ํามันไดไมเขาทา แตก็ไมรูจะทําอยางไรกับตัวเองในตอนนั้นฉันเห็นถึงความหนักในใจตัวเองแตละครั้งที่หงุดหงิด เพราะไมไดดั่งใจจากการกระทําของคนอื่นขณะที่ยอนนึกถึงเหตุการณที่ผานมา ใจก็นึกถึงคําพูดที่ไดยินเมื่อวันกอนวา “กระเปาหนักก็วางสิ” นาคนหนึ่งพูดกับเพื่อนที่ไมยอมวางกระเปาถือใบใหญ แตบนวาหนัก เมื่อเขาวางกระเปาลงตามที่เพื่อนแนะนําก็พูดวา“เออจริงเนอะ..พอวางแลวก็เบาจริงๆ” ใจก็นึกตอวา ‘แลวที่เราหนักละ เราถืออะไรอยูนะ’ ทันใดนั้นก็เห็นภาพตัวเองถือไมบรรทัดอันใหญมาก ที่คอยเที่ยววัดคนนั้นคนนี้ตลอดเวลา ‘เออนะก็มันทั้งใหญและหนัก ไมถือแลววางดีกวา’ พอใจยอมวางรูสึกเบาทันทีจริงๆ เข็ดแลวไมหลงแบกไมบรรทัดในใจอันใหญใหหนักอีกตอไป‘...แลวที่เคยติคนอื่นเขา..แลวฉันละเคยทําอะไรผิดพลาดบางมั้ย’ ยอนนึกดูตัวเองยกตัวอยาง เวลาสอบ เขาใหทําขอสอบใหถูก ฉันไมเคยทําถูกหมดสักที เพราะสะเพราและเลินเลอเวลาขับรถบางทีก็หลงทาง ไปซื้อของพอกลับถึงบานไมมีของซะแลวเพราะลืมไวที่รานนัดหมาย
Page 23
-23-กับเพื่อน บางครั้งก็ไปไมทัน บางครั้งก็ลืมสนิทจนผิดนัด แมฝากซื้อของ บางครั้งก็ซื้อมาผิด เปนตนฉันเองก็ไมตางจากคนที่ฉันเคยติหรอก เพราะก็เคยทําผิดทําพลาดทําไมถูกใจใครหลายๆคนเชนกันแตเวลาที่พลาดเอง มักจะไมถือสาตัวเอง คิดวาเปนเรื่องเล็กๆนอยๆบาง ธรรมดาบาง แตถาเปนคนอื่นพลาดยอมไมได ดูความไมเปนธรรมของตัวเราซิ เมื่อเห็นวาตัวฉันเองก็เคยพลาด ทําใหเขาใจผูอื่นวาเวลาเขาพลาดเขาก็คิดก็รูสึกไมตางจากเราหรอกฉันเคยซื้อของแตกลับลืมของทิ้งไวที่ราน จึงโดนแมดุ ฉันก็เสียใจเพราะไมไดตั้งใจพลาดทําใหเห็นใจผูคนที่ฉันเคยวาเคยพูดจาแยๆดวยจริงๆและเมื่อจะวิพากวิจารณใครอีกก็ตองระมัดระวังคําพูดเพราะเห็นใจเขากับใจฉันไมตางกัน ไมลืมที่จะคิดกอนพูดวา ถามีคนมาพูดแบบเดียวกับที่เรากําลังจะพูดออกไปเราจะรูสึกอยางไรถาเราไมชอบผูอื่นก็ไมชอบเชนเดียวกัน TIP: “ การนอมเปนก็ดีอยางนี้ยิ่งนอมเกงเทาไหรยิ่งทําใหเห็นวาฉันและเขาไมตางกันเราไมชอบอะไรเขาก็ไมชอบเชนกันเห็นใจกันเห็นใจตัวเองและเห็นใจผูอื่นแตถานอมแลวพิจารณาแลวยังเห็นวาตัวเราดีกวาเขาหรือยังเขาขางตัวเองอยูก็ใหหาหลักฐานความเปนจริงใหใจไดเห็นตอไปนะคะ เมื่อหลักฐานเพียงพอใจจะยอมรับความจริงทั้งหมดเอง ”TIP: “ ที่ใจยอมวางไดเปนเพราะใจไดเห็นหลักฐานเพียงพอไดเห็นทุกขโทษภัยของการเที่ยวเอาใจตัวเองไปวัดผูอื่นทุกขคือความหงุดหงิดขี้รําคาญความหนักที่เกิดขึ้นในใจเมื่อตองการใหทุกอยางเปนอยางใจคิดซึ่งไมมีทางเปนไปไดโทษคือเมื่อเราไมไดดังใจการแสดงออกทางกริยาวาจาก็ไมเหมาะสมสามารถสรางเวรสรางกรรมตอไปไดภัยคือปฏิกิริยาโตตอบที่ผูอื่นอาจกระทําตอเราจากการที่เราแสดงกริยาวาจาที่ไมเหมาะสมตอเขากอน ”
Page 24
-24- บทที่ ๗ขอบคุณดอกไมตนไมในสวน ในการอบรมที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตรครั้งนั้น วิทยากรพูดไดวา “ในการปฏิบัติแนวปญญา ไตรลักษณเปนหลักสําคัญในการพิจารณาพิจารณาอะไรก็ใหลงสูไตรลักษณ” ไตรลักษณประกอบดวย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ฉันเองก็เคยไดยินคําเหลานี้มานานแลวอนิจจัง แปลวาความเปลี่ยนแปลง ความไมเที่ยง ทุกขัง คือความทุกข อนัตตา ความไมมีอะไรเปนตัวตน ถามใจตัวเองวาเขาใจคําเหลานี้ดีมากนอยแคไหน เพราะถาเขาใจแคคําแปลก็ไมมีประโยชนอะไรกับเราจริง ตอบอยางซื่อสัตยกับตัวเองที่สุดวา ยัง....ยังไมเขาใจถองแทดวยตัวเอง แครูตามหนังสือเปนแคการรูจัก“ชื่อของธรรมะ” เทานั้นทําอยางไรดีละ ...จําไดวาปาๆนาๆกัลยาณมิตร บอกวา ถาอยากรูความจริงอะไร สิ่งตางๆรอบตัวโดยเฉพาะตนไมดอกไมชวยได ตอนนั้นฉันจึงออกจากหองไปเดินหาความจริงในสวนใกลที่พัก TIP: “ ขอเชิญชวนทานผูอานออกไปหาความจริงดวยกันนะคะใจเย็นๆไมตองรีบรอนรับรองวาตองไดเจอความจริงแนๆเปนความจริงในแบบของใครของคนนั้นอีกดวยไมตองเหมือนในหนังสือหรือเหมือนกับใครทั้งนั้น ถาทานพบความจริงดวยตัวเองแลวก็รับรองไดวาจะเกิดความมั่นใจโดยไมตองถามใครวาที่เราเขาใจนั้นถูกหรือผิดบอกใบใหวาตองชางสังเกตชางสงสัยทําตัวทําใจใหเหมือนเด็กที่สําคัญใหคิดตามสบายอยางเปนอิสระ)ทางความคิด(ใหตั้งคําถามถามตัวเองไมมีถูกผิดเหมือนทําขอสอบคะแคตองกลาๆคิดหนอย ”
Page 25
-25-ลองตั้งคําถามกับตัวเองดูซิวา...ดอกไมตนไมเปนอยางไร มีดอกมีใบกี่แบบ หลับตาบาง ลืมตามองดูบางที่เห็นวันนี้เหมือนที่เห็นเมื่อวานมั้ยความเปลี่ยนแปลงของกิ่งกานดอกใบแตละอันวาเหมือนกันมั้ยแตกตางกันอยางไรเมื่อหมดสภาพตกลงสูพื้นดินมีความเปลี่ยนแปลงอยางไรถาเราอยากใหดอกไมที่กําลังบานสวยอยูขณะนี้ คงอยูตลอดไป จะเปนอยางไร ถามตัวเองดูนะคะ เมื่อเขาใจกับความจริงทั้งสามขอนี้)อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา(บางแลว ลองนอมดูตัวเองวาเราเหมือนหรือตางกันอยางไรกับตนไมเหลานั้นบาง....วันนั้นเมื่อฉันไปถึงสวนสาธารณะ ฉันตั้งหลักใจของฉันวาจะตองทําความรูจักกับ “ความเปลี่ยนแปลง” ใหได ฉันเดินชมสวนอยางสบายใจเชนเคย เหลือบเห็นตนไมตนหนึ่งดอกสีชมพูบานสะพรั่งตัดกับใบสีเขียวเขมอยางสวยงาม ฉันชอบตนไมตนนี้มาก รูสึกอยากใหดอกบานสวยอยางนี้นานๆจึงเดินเขาไปดูใกลมองอยางพินิจพิเคราะหเมื่อสังเกตดีๆนอกจากตนไมที่มีดอกบานสะพรั่งเต็มตนแลว ฉันเห็นวาดอกบางดอกเริ่มโรยบางดอกก็เหี่ยวหอยรองแรงพรอมจะหลนจากตน บางดอกก็ยังตูมเปนตุมเล็กๆสีเขียว หาดอกที่สวยสมบูรณแบบไมไดเลย บางดอกยังไมทันบานก็เนาซะแลว สวนใบที่เห็นเขียวๆเปนพุม ดูใกลๆเห็นมีทั้งยอดออน ใบที่ยังไมแกมาก และใบที่เปนสีเขียวเขม สวนใหญก็มีรองรอยหนอนเจาะ บางใบก็หงิกๆงอๆมีฝุนเกาะ เมื่อมองเรื่อยๆลงมาที่โคนตนก็เห็นทั้งดอกและใบเหี่ยวๆสุมกันอยูมีแมลงหวี่บินไปมาคอยๆยอยสลายกลายเปนดินเปนอาหารใหลําตนดูดกินเพื่อเจริญเติบโตตอไปนี่ไง“ความเปลี่ยนแปลง” ดอกที่กําลังบานสะพรั่งขณะนี้ เมื่อกอนก็เปนดอกตูมและดอกตูมที่เห็นตรงหนาตอไปก็จะบาน แตความเปลี่ยนแปลงไมมีกฎตายตัว ดอกตูมก็เนาโดยที่ยังไมบานไดดอกที่บานสวยไมนานก็เปลี่ยนแปลง ถาไมโดนหนอนกิน ก็จะคอยๆเหี่ยวและรวงจากตน ‘นี่ก็ไมตางจากเรา’ ฉันคิดในใจ เมื่อกอนฉันก็ตัวเล็กๆเปนเด็กทารกเนื้อตัวเตงตึงเหมือนดอกตูม เมื่อไดรับการเลี้ยงดูอยางเหมาะสมก็คอยๆเติบโต บางครั้งที่เปนโรคก็เหมือนกับดอกไมที่โดนหนอนเจาะ ถาดอกไมดอกไหนไมแข็งแรงหรือมีศัตรูพืชมากก็รวงโรยไปตั้งแตยังไมบาน หรืออาจเกิดความพิการ
Page 26
-26-ไมสมบูรณอีกตอไป ดอกไมก็มีอายุของมันเมื่อบานเต็มที่ก็คอยๆโรยราไมวาสภาพแวดลอมจะดีเพียงใดก็ไมสามารถคงสภาพเดิมได ฉันก็เหมือนกัน และในที่สุดฉันก็ตองเปนดอกเหี่ยวรวงทับถมที่โคนตน เนา เปอย แหลกสลายกลายเปนดิน เปนสภาวะสุดทายของการเปลี่ยนแปลง ไมเหลือสภาพเดิมใหแยกแยะวาเคยเปนสิ่งใดมากอน คืออนัตตาไมมีตัวตน ถาไมมีดอกใบเหี่ยวๆรวงลงดินยอยสลายจนเปนดินในที่สุด ตนไมจะเอาอาหารจากที่ไหนเพื่อเจริญเติบโตตอไป ดอกไมมีวัฏจักรของมัน ฉันก็มีวัฏจักรที่ไมตางกัน ดอกไมทําใหฉันไดเห็นวาความเปลี่ยนแปลงมีอยูในทุกสิ่งทุกอยางและที่สําคัญไมมีกฎตายตัวใหเราคาดหวังไดเลย)ไมเที่ยง (เราไมมีทางรูวาดอกตูมดอกไหนจะบานสวย จะบิดเบี่ยวหรือจะรวงตั้งแตยังไมบานเลย และในที่สุดของการเปลี่ยนแปลงไมวาดอกไมหรือตัวฉันก็กลายเปนดินเหมือนๆกันหมดตอนแรกที่เห็นตนไมตนนี้ฉันรูสึกอยากใหดอกบนตนบานอยูนานๆเพราะสวยดี เมื่อเห็นแลววาความเปลี่ยนแปลงอยูในทุกๆสิ่ง ทําใหเขาใจตอไปวา ที่เราเปนทุกขกันทุกวันนี้ก็เพราะวาความคิดของเราที่ตั้งอยูบนความไมรูจริงนี่เอง ที่ฉันคิดวาอยากใหดอกไมบานสวยไปนานๆเพราะฉันไมยอมรับความเปลี่ยนแปลงและไมคิดวาความเปลี่ยนแปลงมีในทุกๆสิ่งจริงๆอยางหมดใจ จึงทําใหยังแอบหวังวาถาดอกไมอยูนานๆก็ดีเพราะเราพอใจกับความสวยงามของดอกไม จึงอยากเก็บไวดูนานๆ คิดตานความเปลี่ยนแปลงอยางนี้เทากับทําใหตัวเองเสี่ยงกับการเปนทุกขเขาแลว เพราะไมมีใครหรือสิ่งใดในโลกหนีความเปลี่ยนแปลงได ถาอยูๆมีคนเดินมาเด็ดดอกไมที่เรากําลังยืนชมความงามอยู รับรองฉันตองไมพอใจคนนั้นไมมากก็นอยอยางแนนอน นี่ไงความทุกขเกิดอยางนี้นี่เอง แตถาเรายอมรับความเปลี่ยนแปลงอยางหมดใจเราก็จะรูวา ดอกไมดอกนี้ตองเปลี่ยนแปลงไมทางใดก็ทางหนึ่ง คนเด็ด ลมพัดหัก หนอนกิน เหี่ยวไปเอง หรือถามีคนมาเด็ดจริงๆ คนๆนั้นก็ไมสามารถยืนเด็ดดอกไมไดตลอดไป เดี๋ยวเขาก็ไปและตนไมก็จะออกดอกใหมไดอีกในไมชา เราก็ไมจําเปนตองไปโกรธหรือไมพอใจคนๆนั้น
Page 27
-27-ฉันพบวาใจที่ยอมรับความเปลี่ยนแปลงและความไมเที่ยงเทานั้นที่จะไมมีความทุกขเพราะฉะนั้นฉันจึงตั้งหนาตั้งตาเก็บหลักฐานรอบตัวเพื่อตอกย้ําใหใจไดเห็นวาความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับทุกๆสิ่งทุกๆอยางรวมทั้งตัวเองดวยอยางไมมีขอแมและไมมีรูแบบตายตัวฉันเดินตอไปเรื่อยๆในสวนเพื่อเก็บหลักฐานความเปลี่ยนแปลง อยูๆก็มีลมแรงมากพัดมาลมแรงจนฉันตองหลับตาเพื่อไมใหฝุนเขาตา เมื่อลมสงบ...ฉันลืมตาขึ้น ฉันพบใบไมเกลื่อนกลาดไปหมด ฉันเริ่มสังเกตความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเมื่อครู ใบไมเหลานี้กอนลมจะพัดมาตองอยูบนตนไมไมตนใดก็ตนหนึ่งแถวๆนี้แนกอนหนาที่ลมจะพัดมาก็ไมมีลม ไมมีใบไมเกลื่อนกลาดบางสวนก็ยังอยูบนตน เมื่อลมพัดมา ใบไมถูกกระแสลมพัดอยางแรงจนหลุดออกจากตน สวนที่รวงอยูแลวก็ยายจากที่หนึ่งมาอีกที่หนึ่ง ถนนที่สะอาดสะอานเมื่อครูไมมีแลว จํานวนใบของตนไมแตละตนในบริเวณนั้นก็ไมเทาเดิม ฉันที่สะอาดสะอานกอนลมพัดตอนนี้ก็เต็มไปดวยฝุน ทําใหเห็นวาความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทุกขณะจริงๆจนทําใหหาคําจํากัดความสิ่งตางๆรวมทั้งตัวเราเองใหถูกตองรอยเปอรเซ็นตไดยากเพราะมันเปลี่ยนอยูตลอดเวลาฉันพบวาทุกๆขณะที่ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ทิ้งใหชวงที่ผานไปนั้นเปนเพียงอดีต ไมใชของจริงอีกตอไปเหลือเก็บไวแตความทรงจําเหมือนเราเอาหนังมาฉายดูกันจริงๆแลวภาพเคลื่อนไหวที่เราเห็น ก็คือภาพหลายๆภาพเรียงตอๆกัน แลวใหความเร็วเปนตัวเชื่อม ภาพแตละภาพผานสายตาเราเพียงแวบเดียว ภาพที่เห็นตรงหนาเมื่อครูขณะนี้ก็ไมมีแลวเพราะมีภาพใหมมาแทนที่ แลวภาพที่เห็นขณะนี้ก็ตองผานไปเชนกันเปนอยางนี้ซ้ําแลวซ้ําเลา ชีวิตเราก็เหมือนกัน แตละขณะที่เราไดสัมผัส ที่เรารูสึก ที่เรามี ที่เราเปน ก็อยูกับเราแคชั่วคราวแลวก็ผานไป เหลือแตความทรงจําที่ไมมีตัวตนอีกแลว อดีตแมแตเมื่อวินาทีที่แลวก็ไมมีตัวตนอีกตอไป ถาเราไมยอมปลอยใหอดีตหรือสิ่งที่ไมมีตัวตนแลวผานไปก็ทําใหใจเราเปนทุกขเทานั้นเองลองยอนไปดูอดีตที่ผานมาของเราก็ได อยางเมื่อกอน เวลาฉันอยูบานแลวเพื่อนปากีสถานไมอยูฉันมีความสุขมาก ออกมานั่งหองนั่งเลน ทํากับขาวอยางสบายใจ แตพอเพื่อนปากีสถาน
Page 28
-28-กลับมา ฉันจะรูสึกเซ็งตองกลับเขาไปหมกตัวในหองหรือไมก็ออกไปขางนอกซะเลย แลวก็คิดวาทําไมจะตองกลับมาตอนนี้ดวยนะ! นี่ก็เปนหลักฐานอันหนึ่งที่แสดงในเห็นถึงการไมยอมรับความเปลี่ยนแปลง พอใจสิ่งไหนก็อยากใหสิ่งนั้นคงอยูอยางนั้นนานๆ แตถาไมพอใจสิ่งไหนก็อยากใหสิ่งนั้นเปลี่ยนแปลงเร็วๆ(แตตองเปลี่ยนไปในทางที่เราอยากใหเปนดวยนะ) แลวทานผูอานละคะ...พบอะไรในสวนกันบาง...การเดินเลนในสวนในวันนั้น เปนครั้งแรกในชีวิตที่ฉันไดเปดโอกาสใหใจไดเรียนรูความจริงตามความเปนจริงของโลก ไดเขาใจเบื้องหนาเบื้องหลังของความทุกขใจที่เกิดขึ้นอยูเนืองๆวาที่แทก็มาจากความรูเทาไมถึงการณในความเปนไปของสิ่งตางๆรอบตัวแตก็เปนเพียงจุดเริ่มตนเทานั้น ฉันไดตั้งหลักใหกับใจของฉันวา ตอไปถามีความทุกขใจเกิดขึ้นอยาไดดวนตีโพยตีพายไปเหมือนเมื่อกอนที่ผานๆมา ใหคิดทบทวนดูกอนวา เราพยายามจะยึดใหอะไรคงเดิม ใหมันเที่ยงอยูอยางนั้น หรือไมยอมรับความเปลี่ยนแปลงหรือไม หรือวาเราลืมที่จะปรับตัวใหทันสถานการณที่เปลี่ยนไปไมรูจบหรือไม หรือมัวแตหลงอยูกับสิ่งที่ไมใชของจริงหรือไม เพราะทั้งหมดนี้แหละที่เปนสาเหตุของทุกขในใจเราที่แทจริงโดยมีความไมรูจริงไมยอมรับความจริงเปนตัวการใหญ
Page 29
-29- บทที่ ๘ หญิงกระโปรงแดง วันหนึ่งฉันนั่งอยูในรานกาแฟดูผูคนเดินผานไปมาเหลือบเห็นผูหญิงคนหนึ่งสวมกระโปรงยาวสีแดงแจดกับเสื้อแขนกุดสีสมสด ใจก็แอบคิดวา ‘โอโห...สีสดขนาดนี้ กลาใสออกมาเดินไดยังไงเนี่ย’ ‘เรากําลังไปยุงอะไรเรื่องของคนอื่นเขาอีกแลวนะเนี่ย’ จับความคิดตัวเองไดทัน จึงนอมเขาหาตัวทันทีวา ‘แลวเราละ...เวลาเราแตงตัว ถากลาออกจากบาน ก็แสดงวา..เราตองมั่นใจในชุดที่ใสวาสวยดีแลว เขาคนนั้นก็ตองคิดเหมือนกับเราไมอยางนั้นคงไมกลาออกจากบานแนนอน’ นี่ทําใหเห็นวาการคิดวิพากษวิจารณคนอื่นเกิดจากมีสิ่งที่มาขัดตาขัดใจของฉันเพราะฉันยังปลอยใหความคิดลองลอยไปตามความเคยชินแบบเดิมๆที่มีความเห็นผิดเปนตัวบงการผูถูกวิพากษวิจารณเขาก็ไมรูเรื่องอะไรและไมไดเดือดรอนไปกับฉันดวยเลย แตสําหรับฉันซิ...แคคิดก็ขาดทุนทั้งเวลาและพลังงานสมอง โดยไมไดประโยชนอะไรเลย ยิ่งถาฉันจับความคิดของตัวเองไมทัน นอมไมเปน ฉันก็จะไมมีโอกาสพลิกเอาความเคยชินแบบลบๆนี้ใหกลายเปนประโยชนกับตัวเองไดเลย แลวการคิดวิพากษวิจารณในใจก็อาจเปลี่ยนเปนการนินทาวารายผูอื่นในเวลาตอมาเปนการกอเวรกอกรรมไดอีกดวยการวิจารณเรื่องบางเรื่องอยางเผ็ดรอนเชน เรื่องการเมือง หรือนินทาคนที่เราไมชอบ ไมเกิดประโยชนกับเราแถมยังทําใหเกิดอารมณขุนมัว พระทานวา ผูมีจิตอกุศล หากหมดลมหายใจไปในขณะนั้นผูนั้นตองลงสูอบายภูมิ)ตกนรก(อยางแนนอนอยางไรก็ตาม ถายังเผลอวิจารณหรือนินทาผูอื่นอยู เมื่อจับความคิดตัวเองไดแลวใหรีบนอมทันทีวา “แลวเราละ...” ก็จะเกิดประโยชนตอตัวเองทันที เทากับเราไดยกผูนั้นมาเปนกระจกสองดูตัวเองใหไดเห็นสวนที่ไมดี สวนที่เรายังขาดตกบกพรองอยู นอกจากนี้ก็ใหพิจารณาทุกข โทษ ภัยของการวิจารณหรือนินทาคนอื่นใหมากๆจะไดเลิกนิสัยไมพึงประสงคนี้ได
Page 30
-30-ทุกข คือความรูสึกดานลบในใจที่เกิดขึ้นขณะที่เราวิจารณหรือนินทาใคร โทษ คือผลเสียที่เราไดรับในปจจุบันเชนเห็นวาเราขาดทุนทั้งเวลาและพลังงานสมองโดยที่ไมเกิดประโยชนตอตัวเอง และภัย คือความเดือดรอนที่จะตามมาในอนาคต จากการวิจารณหรือนินทาคนอื่น เชน ถาหากคนที่เราแอบวิจารณในใจอยูนั้นเปนเพื่อนสนิทของเรา เราอาจเผลอพูดสิ่งที่เราคิดออกมาเปนคําพูดอยางไมเกรงใจ คําพูดของเราสามารถทํารายจิตใจเพื่อนใหเกิดความไมสบายใจ และอาจผิดใจไมสนิทใจกันหรือทะเลาะกันเลยก็เปนไดทีนี้ถาเรากลายเปนฝายถูกกระทําบาง ถามีคนมาวิจารณ นินทา บน ติ ตอวาเรา ....กอนที่จะโกรธหรือไมพอใจ ใหคิดวา ‘แลวเราละ...เคยทําอยางนี้กับใครบางมั้ย’ นึกเหตุการณที่เคยเกิดขึ้นกับเราจริงๆ ใหเห็นหนาคูกรณีคนนั้นใหได เราจะไดรูซึ้งถึงความรูสึกของคนที่เราไปทําเขาไว วาเขาก็รูสึกเหมือนเราตอนนี้ ถาเราไมชอบใหคนอื่นมาวิจารณ มานินทา มาบน มาติ มาวาเรา เราก็อยาไปทําแบบนั้นกับคนอื่นเลย เพราะเขาก็ไมชอบเชนกันขณะเดียวกัน เราก็เคยเปนผูกระทํา เราจึงไมถือโทษโกรธคนที่กําลังวิจารณ นินทา บน หรือติเราเพราะเขาทําไปเพราะความเคยชิน เพราะความทุกขในใจไมวาจะเปนความขัดหู ขัดตา ขัดใจของเขาอยางที่เราก็เคยเปนนอมบอยๆ พิจารณาอยางนี้บอยๆ เราจะไมกลาทํารายคนอื่นทั้งดวยความคิด คําพูด สายตาและการกระทํา เพราะเรารูแลววาผูถูกกระทําเขาจะรูสึกอยางไร จากการที่เราก็เคยเปนผูถูกกระทํา TIP: “ การปฏิบัติดวยปญญาในการพิจารณาเรื่องใดก็ตามจะไมมีการเดาสุมๆไปวา‘เราคงเคยทําเคยเปนอยางนั้นมั้ง.....’ เราตองหาหลักฐานที่เกิดขึ้นจริงในอดีตของเราหรือของคนอื่นที่พบเห็นมาก็ไดเพราะถามีหลักฐานใหใจไมพอใจจะไมยอมรับใจเราก็เหมือนเด็กดื้อจะดื้อดึงไมยอมเชื่องายๆแตถาเราหมั่นหาความจริงใหใจรับรูไมนานเขาก็จะยอมรับแตโดยดี ”
Page 31
-31-เชนกันและไมนึกโกรธคนที่มาทําไมดีกับเราเพราะเขาก็ทําไปดวยความไมรูเพราะความทุกขในใจของเขาเปนเหตุ
Page 32
-32- บทที่ ๙ ทารซานสอนใจเรื่องการเรียน กอนจะรูจักคิดสอนใจตัวเอง...ฉันรูสึกวาปริญญาโทที่กําลังเรียนอยูนี้ชางยากเย็นเหลือเกินวิชาที่เรียนสวนใหญเปนวิชาใหม ไมเคยเรียนในชั้นปริญญาตรีมากอน ทั้งสําเนียงภาษาแบบผูดีอังกฤษก็ยังไมคุนเคย คําศัพทเทคนิคใหมๆ ก็ยังไมเขาใจ ทั้งหมดเปนอุปสรรคในการเขาถึงเนื้อหาของวิชาตางๆที่เรียนอยูอยางมาก ทําใหไมมีเวลาวางไปทําอะไรอยางอื่นเพราะมัวแตพะวักพะวงอยูกับการอานตําราเรียนจนเกินเหตุนานๆเขาก็เริ่มทอวาเราตองไมมีความรูความสามารถเทาเพื่อนในหองแนๆ ใจหนึ่งก็รูสึกอยากออกไปเดินเลน พักผอนหยอนใจ ทํากิจกรรมแปลกๆใหมๆบาง แตก็ไมสามารถออกไปทําอยางมีความสุขไดเพราะอีกใจหนึ่งรูสึกวาเปนการเสียเวลา...ควรรีบกลับมาอานหนังสือใหมากขึ้นอีก แตก็ไมสามารถจดจออยูกับหนังสือที่อานไดนาน ทําใหเสียเวลาไปอยางไมเกิดประโยชนเทาที่ควรเมื่อรูจักตรวจความรูสึกนึกคิดของตัวเอง ไดมาทบทวนดู เห็นความไมสบาย ไมเปนอิสระของใจที่เปนมานานตั้งแตเปดเทอมแรก เปนสัญญาณบอกใหรูวาเรามีความเห็นผิดคั่งคางในใจ จึงเริ่มคนหาตนเหตุทันที‘เราก็ไมไดโง เรียนไดดีมาตลอด ที่มาเรียนที่นี่ไดก็เพราะมีคนใหทุนมา แสดงวาเราไมไดโงหนังสือเราก็อาน แตรูสึกวาไมเขาใจซักที ทั้งที่วิชาสิ่งแวดลอมก็เปนเรื่อง common sense ทําไมเราถึงยังไมเขาใจนะ’ ใจนึกไปถึงการตูนเรื่องทารซานของวอลต ดิสนีย ตอนที่พวกลาอาณานิคมขึ้นไปบนเกาะที่ทารซานอยู เมื่อคนเหลานั้นเห็นทารซาน ที่เปนคนแตทําทาเปนลิงพูดภาษาลิง ก็พากันหัวเราะเยาะพากันลอเลียนเมื่อมีคนใจดีพยายามสอนภาษาคนใหทารซาน ทารซานจึงเริ่มพูดสื่อสารเปนภาษาเดียวกับคนพวกนั้นไดเขาก็เลิกลอเลียนและเห็นวาทารซานเปนพวกเดียวกับเขาปง....ทันทีวา ที่เรารูสึกโงกวาเพื่อน รูสึกวาเรียนไมรูเรื่องอยูคนเดียว รูสึกดอยกวาเพื่อนในหอง เปนเพราะเราพูดภาษานักสิ่งแวดลอมไมไดเหมือนเขาเทานั้นเอง ไมใชวาเราโงกวาเขา เมื่อคิด
Page 33
-33-ได...ใจก็สบายทันที จับจุดไดแลวก็เริ่มหัดคิด หัดพูดในแบบของนักสิ่งแวดลอมใหชํานาญมากขึ้นเวลาอานหนังสือแลวไมเขาใจ ก็พยายามพิจารณาวาเราไมเขาใจเนื้อหา หรือไมเขาใจภาษากันแน ถาเปนเรื่องเนื้อหาก็อานซ้ําอีกครั้ง ถาเปนเรื่องภาษาก็จะปรึกษาเพื่อนที่เปนเจาของภาษาและขยันเปดพจนานุกรมมากขึ้น แลวก็เริ่มหัดใชศัพทเฉพาะที่ไดเรียนมาในชีวิตประจําวันกับเพื่อนในชั้นที่สนิทกันใหสามารถใชคําเหลานั้นไดคลองขึ้นใหเกิดความมั่นใจแลวก็คิดตอวา เรามาเรียนหนังสือเพื่ออะไร ตองไดคะแนนแคไหนจึงจะพอ คิดไดวา จริงๆแลวเรามาเรียนเพื่อใหสอบผาน ไดปริญญากลับบาน และมีความรูเพียงพอสําหรับการทํางานในอนาคตที่รอเราอยู ไมจําเปนตองไดที่หนึ่ง ถาไดก็ดี แตไมไดก็ไมเปนไร ไมบีบบังคับตัวเองจนเกินไปอีกแลวเมื่อมองทะลุปญหาของตัวเอง ก็ทําใหไมหมกมุนกับการเรียนอีกตอไป สามารถแบงเวลาไปออกกําลังกาย ไปดูหนังกับเพื่อน ไปเที่ยวตามที่ตางๆ นอกจากการอานหนังสือไดอยางสมดุล ชีวิตก็มีความสุขใจก็แข็งแรงรางกายก็แข็งแรงสําหรับคนที่ตอบวาหมดกําลังใจ ขอใหนองๆหากระดาษมาแลวเขียนขอดีและขอเสียในการเรียนวิชาที่เราถอดใจแลวนั้นใหไดเยอะที่สุด ถานึกไมออกอาจจะถามเพื่อนๆดูก็ได ขอไหนที่เราเห็นดวยก็ใหเขียนลงไป เมื่อเขียนเสร็จแลวใหเราอานทบทวนสิ่งที่เขียนนั้นแลวตัดสินใจวาควรจะเรียนตอไปมั้ย TIP: “ หากนองๆนักเรียนนักศึกษาคนไหนกําลังเจอปญหาเรื่องเรียนเหมือนฉันฉันขอเสนอวิธีรับมือกับปญหาแบบนี้คะ...กอนอื่นฉันอยากใหนองๆอยูเงียบๆแลวลองนึกดูดีๆวาปญหาที่ทําใหเราเรียนไมไดเปนเพราะเราหมดกําลังใจหรือเราสมองไมดีกันแนจริงๆไมวาจะตอบอยางไรก็มีทางออกทั้งนั้น ”
Page 34
-34-สวนใหญปญหาเรื่องการเรียนมักเกิดจากการเรียนไมรูเรื่อง ไมรูเรื่องบอยๆเขาก็เริ่มไมอยากเรียนเพราะตอไมติดแลวก็กลายเปนปญหาหมดกําลังใจที่จะเรียนตอไปเพราะคิดอยูแตวาเราไมเหมาะกับวิชานี้ เราไมมีความสามารถพอ ไมอยากเรียนแลว แตถายังหาขอดีของการเรียนได แสดงวายังพอมีใจที่อยากจะไปถึงจุดหมายยังเห็นประโยชนทีนี้ก็ไมยากตองมาแกกันที่เรื่องวิชาการแลวในเรื่องวิชาการ ก็ตองถามตัวเองเหมือนเดิมวาเราไดใสความพยายามในการทําความเขาใจไปแลวมากนอยเพียงใด แตอยางไรก็ตามผลของการเรียนที่ผานมาจะเปนตัวบอกไดดีที่สุด วาความพยายามของเราเพียงพอหรือยัง ถาผลยังออกมาไมดีแสดงวา ยังจําเปนตองพยายามมากขึ้นไปอีกจริงๆแลวการเรียนเปนเรื่องสวนตัวเหมือนเรื่องธรรมะคือแตละคนมีความสามารถที่จะเขาใจเนื้อหาวิชาไมเทากัน เวลาที่ใชในการทบทวนบทเรียนใหเขาใจก็ไมเทากัน แตทุกคนมีระยะเวลาจํากัดเหมือนๆกัน คนที่เขาใจงาย ใชความพยายามนอย ไมนานก็เขาใจได แตบางคน ตองใชความพยายามมากกวาจึงจะเขาใจ เราตองทําความรูจักกับตัวเอง ลองไตรตรองดูซิวาเราเปนคนอยางไร ถาเราเขาใจยากเราก็ตองอานมากกวาคนที่เขาใจงายเพื่อใหเขาใจไดในเวลาเทาๆกัน ถาขี้เกียจก็ใหไปอานขอดีขอเสียที่เขียนไวปลุกกําลังใจอีกครั้ง บางครั้งอาจใหเพื่อนที่มีวิธีอธิบายที่เราเขาใจไดชวยสอนอีกแรงก็ยังได หรืออาจจะหากุศโลบายเชนถาชอบเที่ยว ก็ไปเที่ยวได แตตองกลับมาอานหนังสือใหจบกี่บทก็วากันไปหรือทํารายงานเสร็จอนุญาตใหตัวเองกินขนมไดถุงหนึ่งเปนตนหลายๆครั้งที่เราอานหนังสือวิชาตางๆ ถาเราคิดดูดีๆวิชาที่เขาเอามาเขียนเปนตําราที่อานยากๆนั้น จริงๆก็เปนเรื่องที่พบไดในความเปนจริง อยางวิชาฟสิกส วิชาเศรษฐศาสตร วิชากฎหมายเปนตน ถาเราโยงวิชาในหนังสือเขากับชีวิตจริงได จะชวยใหเราเขาใจวิชาเหลานั้นไดงายขึ้น หรืออาจจะหาแกนของวิชาใหเจอ เชนวิชาโครงสราง) วิศวกรรม โยธา (แกนของวิชาก็คือสรางตึกใหแข็งแรง เราอาจจะมองดูกระตอบ ที่มีโครงสรางงายๆวา อะไรที่ทําใหโครงสรางนี้อยูได ทําความเขาใจจากรากขึ้นไปยอด เพราะในการเรียนวิชานี้จะมีการคํานวณมากมาย ถาเราเขาใจพื้นฐานเราก็จะสามารถเชื่อมโยงทําความเขาใจกับเนื้อหาวิชาเมื่อมีความยากมากขึ้นได หรืออยางดานภาษาแกน
Page 35
-35-ก็คือการสื่อสารใหได สวนรายละเอียดอื่นเชนความถูกตองตามหลักภาษาและไวยกรณตางๆ ก็คอยๆศึกษาและฝกฝนไปเพื่อใหการสื่อสารมีประสิทธิภาพมากขึ้นสละสลวยมากขึ้นเปนตนที่สําคัญที่สุดคือการเรียนใหเกิดประโยชน เนนหาประโยชนที่เราจะไดใหเจอ เมื่อเห็นประโยชนที่จะไดความพยายามจะเกิดขึ้นเอง ยิ่งถาเราสมารถสรางความชอบในการเรียนวิชานั้นๆได ก็จะทําใหเราสามารถจดจออยูกับการศึกษาเนื้อหาวิชาไดมากขึ้นเอง TIP: “ เราตองจับหลักไวใหมั่นวาเราเรียนไปเพื่ออะไรเพื่อวันหนึ่งเราจะไดมีวิชามีคุณวุฒิเพียงพอในการประกอบอาชีพเพื่อหาเลี้ยงชีพอยางสุจริตใชหรือไม แตถึงอยางไรก็ตามแมเราเรียนจบแลวไมตองเรียนในโรงเรียนแลวเราก็ยังตองเรียนรูอยูทุกเมื่อเชื่อวันเพื่อเพิ่มพูนความรูประสบการณและที่สําคัญที่สุดที่หลายๆคนลืมก็คือเพื่อสอนใจเราใหใจเรามีความฉลาดรูทันความเปนจริงโดยเอาสิ่งที่ไดพบเห็นมาเปนหลักฐานสอนใจ เพราะการดูแลทั้งกายและใจเปนหนาที่ของเราทุกคน ”
Page 36
-36- บทที่ ๑๐ แกผา บอยครั้งที่มีคนพูดถึงฉันวาฉันเปนคนขวานผาซากบาง ปากเสียบาง ฉันไมเคยสนใจคําพูดเหลานั้น และไมเขาใจวาฉันเปนอยางที่เขาวาอยางไร ฉันมักตอบโตคําวิจารณเหลานั้นวา “ไมชอบก็อยาชอบ ฉันก็เปนคนอยางนี้แหละ พูดอะไรพูดตรงๆ ชอบไมชอบก็บอกตรงๆ ไมออมคอม ถารับไมไดก็ชวยไมได” แปลกมั้ย....ที่เรามองไมเห็นตัวเอง แตมักมองเห็นขอเสียของคนรอบขางและพยายามแกไขผูอื่นเมื่อรูจักการนอมนําเอาสิ่งตางๆที่เห็น ที่ไดยินรอบตัวมาเปนกระจกสะทอนใหเห็นตัวเองทําใหนึกถึงเหตุการณที่ฉันเคยพูดกับเพื่อนเมื่อนานมาแลวตอนนั้นเพื่อนสนิทมากของฉันไปเที่ยวตางประเทศแลวซื้อเสื้อลายดอกมาฝาก ฉันไมชอบเสื้อตัวนั้นเลยแตเก็บความรูสึกไมเปนและคิดวาตองบอกใหเพื่อนรูตองพูดตรงๆเพราะฉันเปนคนพูดอะไรพูดตรงจึงพูดออกไปวา“โห...ไมเห็นสวยเลย ดูซิลายพรอยเชียว ทําไมไมซื้อแบบเรียบๆมาละ อะไร...ไมรูเหรอวาฉันชอบแบบเรียบๆ” แลวทําหนาเซ็งๆเพื่อนก็บอก “ไมชอบก็ไมตองเอาไปจะไปรูไดไงวาจะไมชอบฉันวาสวยดีออก” ฉันพูดตอวา “ทําไมตองนอยใจดวย อุตสาหบอกนะวาฉันชอบแบบไหน” แลวก็คิดไมพอใจที่เพื่อนโกรธกับคําวิจารณวา ‘ฉันก็เปนอยางนี้แหละ พูดตรงๆ จะไดรูไปเลยวาชอบไมชอบแบบไหนทําไมตองโกรธดวยนะ..’ ผลของคําพูดของฉันวันนั้น ทําใหเพื่อนเสียใจที่อุตสาหนึกถึง ยอมหอบหิ้วของมาฝาก แตยังโดนตอวา ดวยคําพูดที่ไมนาฟง ทําใหมีการตอบโตกันดวยอารมณ และเสียความรูสึกกันไปทั้งคู
Page 37
-37-เพื่อนงอนฉันไปหลายชั่วโมง แตฉันก็ยังไมรูสึกตัววาการเปนคนพูดตรงเกินเหตุ มีผลเสียอยางไรและควรรีบแกไขดวนเมื่อพิจารณาเหตุการณขางตน ทําใหฉันนึกไปถึงคนบาที่เดินแกผาตามขางถนน ผูคนที่พบเห็นตางเบือนหนาและรีบเดินหนีเพราะมีแตความนาเกลียด ไมมีใครอยากเห็น ทําใหคิดไดวา อะไรที่ไมนาดู ที่เปนพิษตอผูพบเห็น ตองปกปดไวใหมิดชิด อยาเปดเผยใหใครเห็นเปนอันขาด แลวก็ยอนดูตัวเองสมัยที่ยังไมรูจักเก็บอารมณไมรูจักระวังการกระทําและคําพูดวา‘เราก็ไมตางกับคนบา ที่เอาความรูสึกนึกคิดและอารมณของตัวเองแสดงออกมาใหคนอื่นเห็น ไมพอใจอะไร ก็พูดออกมาหมด ดวยน้ําเสียง สีหนา กิริยาทาทางที่ไมนาดู ทําใหผูอื่นตองเบือนหนาหนีเพราะรับไมไดไมอยากฟงไมอยากเห็นฟงแลวเห็นแลวทําใหเขาไมสบายใจเสียใจแตเรากลับไมรูสึกตัว ยังเห็นผิดวาการพูดตรงๆเปนสิ่งดี เหมือนคนบาที่ไมรูตัว จริงอยูเราอาจไมชอบ ไมพอใจอะไรไดอยู แตตองรูจักสํารวมคําพูดและการกระทํา เพื่อปองกันไมใหกระทบกระทั่งกับคนรอบขาง แลวคอยหาเวลา หาทางหาหลักฐานความจริงสอนใจเกี่ยวกับสิ่งที่ทําใหเราไมชอบ ไมพอใจนั้นแบบลับๆคนเดียวจะดีกวา’ การเปนคนพูดตรงอยางฉัน ถารูจักพิจารณาตั้งแตตอนนั้น คงจะแกไขตัวเองไดนานแลวทั้งๆที่ผานมาก็มีผลเสียมากกวาผลดี เกือบทุกครั้งที่ฉันพูดอะไรออกไปตรงๆ มักกระทบความรูสึกผูฟง ทําใหเขาไมพอใจ เสียใจเสมอ สวนใหญฉันจะพูดตรงก็แตเฉพาะเวลาติ ตอวา หรือวิพากษวิจารณคนอื่น เวลามีอะไรไมไดดังใจ และเวลาอารมณเสีย แตเวลาคนอื่นทําดีกับฉัน ฉัน TIP: “ ทานอานแลวมีความเห็นวาอยางไรอยาลืมนอมสอนใจตัวเองนะคะวา‘แลวเราละ....เคยเปนแบบนี้บางมั้ย....’ไมวาจะเปนแบบฉัน)ผูกระทํา(หรือจะเปนแบบเพื่อนฉัน)ผูถูกกระทํา(ก็นอมไดทั้งคูนอมใหเขาใจตัวเองและฝายตรงขาม ”
Page 38
-38-กลับไมเคยชมเขาตรงๆ ดูซิ...ที่คิดวาตัวเองเปนคนตรง จริงๆแลวก็ไมตรงจริง แตมองไมเห็นวาตัวเองเบี้ยวแลวฉันรูไดอยางไรวาแตละครั้งที่ฉันพูดอะไรออกไป คนฟงจะรูสึกอยางไร ฉันก็เริ่มจากการหัดนอมวา ถามีคนพูดจาแบบเดียวกันกับฉัน ฉันจะรูสึกอยางไร เชน ถาฉันซื้อเสื้อแบบที่ฉันชอบจากตางประเทศมาฝากเพื่อน แลวเขาพูดแบบเดียวกับที่ฉันพูด ฉันจะรูสึกอยางไร ถาฉันคิดแบบนี้เปนแตแรก ฉันคงไมกลาพูดตรงๆออกไป เพราะฉันก็ไมชอบคําพูดแบบนั้นเหมือนกัน ฉันคงอยากไดคําขอบคุณมากกวา เพื่อนก็คงอยากไดเชนเดียวกันหรืออาจนอมเอาเหตุการณคนทะเลาะกันที่เคยเห็นมาพิจารณาก็ได ทั้งคําพูดที่เขาใช น้ําเสียง ทาทาง ลักษณะไหนที่ไมเหมาะสมฉันจะไมทําอยางนั้นกับใคร เมื่อชํานาญในการนอมมากขึ้น จะพูดอะไรก็มีความระวังมากขึ้น ทั้งน้ําเสียงแววตาและทาทางในขณะพูดอยางไรก็ตาม แมจะนอมไดบาง พยายามหาคําพูดดีๆมาพูดแลวก็ตาม คําพูดของเราก็อาจจะไมถูกใจคนฟงเสมอไปใหสังเกตปฏิกิริยาของคูสนทนา ทั้งสีหนาและแววตา เพื่อจะไดแกสถานการณไดทันทวงที ไมใหเกิดความเสียหายมาก เพราะความจริงที่วาโลกใบนี้เปนโลกแหงความพรอง ไมมีอะไรสมบูรณแบบ ถึงพยายามเต็มที่ก็ยังพลาดกันได ใจของเราจะไดไมเดือดรอนกับความผิดพลาดนั้นแตใหหาทางวาเราจะปรับปรุงอะไรไดบางสําหรับครั้งตอไปนึกถึงคําวิพากษวิจารณที่วาฉันเปนคนขวานผาซาก คนปากเสีย ทําใหเห็นวา คนรอบขางเขาเห็นขอบกพรองของฉันชัดเจน วามีอะไรที่ฉันควรแกไข และก็พยายามบอก พยายามเตือนใหฉันรูใหฉันไดเห็นตัวเอง แตฉันก็ไมเห็น เพราะคิดวาตัวเองดีแลว ในทางกลับกัน ฉันเองก็ชอบติคนอื่นหวังใหเขาแกไขตัวเขา แตบางครั้งเขากลับไมพอใจฉัน โกรธฉัน เพราะเขาก็ไมเห็นตัวเขาเองอยางที่ฉันเห็น เชนเดียวกับที่ฉันก็เคยมองไมเห็นตัวเอง เมื่อมองไมเห็นตัวเอง เขาก็ไมรูจะแกไขอยางไรเมื่อเห็นอยางนี้ ทําใหฉันเห็นคุณคาและขอบคุณคําตําหนิของคนอื่น ทําใหไดเห็นจุดบกพรองของ
Page 39
-39-ตัวเองที่ฉันยังมองไมเห็น แทนทําจะไมพอใจเหมือนเคย ก็ฉันก็ยังพรองอยูนี่นา ตองคอยๆเติมไปเรื่อยๆจนกวาจะเต็ม ..นึกถึงคําพูดของตัวเอง ที่วา “ไมชอบก็อยาชอบ ฉันก็เปนคนอยางนี้แหละ พูดอะไรพูดตรงๆ ชอบไมชอบก็บอกตรงๆ ไมออมคอม ถารับไมไดก็ชวยไมได” ฉันเห็นความดันทุรัง ความไมฟงใครของฉัน คิดวาตัวเองดีแลว เปลี่ยนแปลงไมได และผูอื่นตองยอมรับ เพราะมองไมเห็นตัวเองมีกําแพงบังตาไมใหฉันเห็นขอบกพรองของตัวเอง คือความยึดมั่นถือมั่นในใจวาตัวเองดีแลว เปนคนพูดตรงๆดีอยูแลว เพราะไมเคยเก็บหลักฐานวาการพูดตรงแตละที ผูฟงเขารูสึกอยางไร มีสีหนาอยางไรทําใหไมรูตัวอยูอยางนั้นแตเอาละ เห็นอยางนี้แลว เริ่มลงมือตรวจสอบตัวเองกันเลย โดยการสังเกตความรูสึกของเราที่มีตอการกระทําของผูคนรอบขาง เราชอบอะไรไมชอบอะไร และสังเกตคนรอบขางวาเขารูสึกอยางไรจากการกระทําของเราเพื่อเปนกระจกสองใหเห็นตัวเราเอง การสังเกตนี้เราไมมีเจตนาจะไปตําหนิคนที่เปนกระจกใหเรา แตเราจะเอาสิ่งที่เห็นมาเปนหลักฐานสอนใจวา เห็นมั้ยถาทําอยางนี้พูดอยางนี้ แลวผลจะเปนแบบนี้นะ การกระทําของผูอื่นที่ทําใหเรารูสึกไมดีทําใหเรารูวาเราไมควรไปทําแบบเดียวกันนี้กับใคร สวนอะไรที่เราทําไปแตกลับทําใหผูอื่นเดือดรอนกาย เดือดรอนใจเราก็จะไมทําอีก TIP: “ การยึดมั่นถือมั่นวาเราเปนคนอยางใดอยางหนึ่งเชนเปนคนพูดตรงทําใหเราไมสามารถปรับตัวเขากับสถานการณตางๆไดเหมือนเปนของแข็งที่สามารถไปกระทบกระทั่งคนรอบขางไดใหเขาเจ็บปวดรําคาญไดตลอดเวลาที่อยูใกลตางกับน้ําที่ออนโยนและนิ่มนวลถาเราเปนคนยังไงก็ไดถึงเวลาแข็งก็ทําไดเวลาตองออนก็ออนไดยืดหยุนได แบบหลังดีกวาเยอะเลยเนอะ... ”
Page 40
-40-นอกจากนี้ จากเหตุการณที่ยกตัวอยางมาขางตน เราตองพิจารณาตอวา ทําไมเราไมพอใจกับเสื้อลาย ...จริงๆแลวเสื้อคืออะไร ...มีที่มา ที่เปน ที่ไปอยางไร ...เสื้อมีความสําคัญอยางไรกับเรา ...เสื้อลายหรือเสื้อสีเรียบๆ ตางกันอยางไร ...สวยในแบบของเรากับสวยแบบของเพื่อนเหมือนกันมั้ย...แลวถาเราตองการบอกใหเพื่อนรูวาเราชอบเสื้อแบบไหน ควรพูดเวลาใด พูดอยางไร เพื่อนถึงจะไมเสียใจไมเสียความรูสึก..เปนตนการพิจารณาเรื่องเหลานี้จะละเลยไมไดเพราะความไมพอใจเกิดจากความเห็นผิด ถาไมแกไขที่ตนเหตุ โดยการเอาความจริงเขาไปแทนที่ เราก็จะเห็นผิดอยูอยางนั้นความไมพอใจก็จะเกิดไดอีก
Page 41
-41- บทที่ ๑๑ถุงขยะ ในครั้งแรกที่เขาอบรม จําไดวาวิทยากรพูดถึงรางกายของเราวาเปนเพียง “ธาตุสี่ เปนของโลก...” ก็เห็นตามวาเนื้อกระดูกผมคือสวนที่เปนของแข็งก็เปนธาตุดิน เลือดน้ําเหลืองเปนธาตุน้ําลมในทองเปนธาตุลม สวนความอุน อุณหภูมิในตัวเราก็เปนธาตุไฟ เมื่อตายไปก็เอาไปดวยไมได ก็เขาใจไปตามที่เคยไดยินมา ตามความหมายของคําเทานั้น แตใจไมยอมรับ ก็ยังรักตัวเองแบบเดิมๆอยูดีเพราะไมไดเขาใจดวยการพิจารณาตริตรองดวยปญญาของตัวเองเราทุกคนเกิดมากับรางกายนี้รางกายนี้ก็คือเราเรารักเราดูแลรางกายของเราอยางดียิ่งผูหญิงดวยแลว...หลังอาบน้ําดวยสบูอยางดีแลวก็ตองขัดนวดผิว ทาครีม เพื่อใหผิวสวยไมแหงกราน แลวยังตองทาครีมกันแดดเพราะกลัวดําเดี๋ยวจะไมสวย ฉันก็เปนคนหนึ่งที่เคยทําแบบนี้ทุกวัน มีบางคนที่ทุกขใจเพราะเกิดมาไมสวยเทาพี่นอง หรือเกิดมาพรอมกับความพิการไมสมประกอบ บางคนเมื่อตองศูนยเสียอวัยวะหรือเปนโรครายก็ทําใจไมได เพราะไมคิดวาเหตุการณอยางนี้จะเกิดกับตัวเองฉันไดเห็นโทษของการไมเขาใจความจริงเกี่ยวกับตัวเอง แลวทําใหเกิดความทุกขไปไดมากมาย ทําใหเห็นวาฉันตองทําความเขาใจซะเดี๋ยวนี้เพื่อเปนการเตรียมพรอมกอนที่เหตุการณตางๆจะเกิดขึ้นกับฉันขณะที่อาน ขอใหทานไดจินตนาการตามไปดวย ใหเห็นภาพตามเลยทีเดียว จะใสรายละเอียดเพิ่มเติมใหสมจริงยิ่งขึ้นไดก็ยิ่งดี หรือจะคิดตอใหเกิดประโยชนตามนิสัยของทานผูอานแตละคนก็ทําไดเพื่อใหเกิดประโยชนตอทานเองมากที่สุด TIP: “ ขณะที่อานขอใหทานไดจินตนาการไปดวย ใหเหมือนกับวาเรื่องนี้เปนเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวทานจริงๆ จะใสรายละเอียดเพิ่มเติมใหสมจริงยิ่งขึ้นก็ยังได หรือจะโยงเขากับเรื่องคลายกันๆที่ทานประสบมาก็ทําไดเชนกัน เพื่อใหเกิดประโยชนตอทานมากที่สุด ”
Page 42
-42-ขณะที่ออกเดินไปยังสวนสาธารณะใกลศูนยเพาะชําเหมือนเคย ฉันเห็นถุงดําที่อัดแนนดวยขยะวางอยูหนาบานหลังหนึ่งที่ฉันเดินผาน คาดวาจะเปนขยะจําพวกเศษอาหาร เพราะถึงแมจะมัดปากถุงซะแนน แตก็ยังสงกลิ่นเหม็นลอยมาเตะจมูกฉัน แถมยังมีน้ําขยะไหลออกมาจากกนถุงเปนทาง ใจก็ฉุกคิด ‘อุย...ถุงขยะนี่เหมือนเราเลย เราก็คือถุงที่ใสอาหาร อาหารที่เรากินเขาไปวันละสามมื้อทุกวันๆ.....แลวอาหารที่เรากินอยูทุกวันมีอะไรบางนะ...ขาว..ผัดผัก..แกงจืด..น้ําพริก...หมูทอด..ผลไม...ขนมเคก...มีทั้งที่เปนพืชผักแลวก็เนื้อสัตว’ นึกถึงที่มาของพืชผัก...เห็นภาพชาวนาชาวสวนเอาเมล็ดหยอดลงในดิน คอยๆงอก จนเปนตนกลา โตขึ้นเรื่อยๆ มีการใสปุย รดน้ํา มีแสงแดดที่พอเหมาะ อากาศที่ดี จนโตเต็มที่ พืชก็เปนธาตุสี่เพราะมันกินดินน้ําอากาศและแสงแดดเปนอาหารนึกถึงที่มาของเนื้อสัตว ...เห็นภาพวัวกินหญาที่งอกจากดินเปนอาหาร หมูกินรํา รําก็มาจากตนขาว สัตวที่เรากินสวนใหญกินพืชเปนอาหาร พืชเปนธาตุสี่ เพราะมันกินดิน น้ํา อากาศ และแสงแดดเปนอาหารเพราะฉะนั้นสัตวกินพืชสัตวก็เปนธาตุสี่‘พืชผักและเนื้อสัตวเปนธาตุสี่เราเปนถุงใสอาหารเราก็เปนธาตุสี่’ พิจารณาเห็นแบบนี้ทําใหใจของฉันยอมรับความจริงที่วารางกายเปนธาตุสี่ไดมากขึ้น‘อาหารที่เรากิน ตอนที่ปรุงเสร็จใหมๆยังรอนๆก็ดูนากิน แตถาทิ้งไวสักชั่วโมงสองชั่วโมงเราก็ไมอยากเอามากินแลว หาความนากินไมได เวลาเอาจานไปลาง กวาดเศษอาหารทิ้งแลว ไขมันยังติดอยูที่จาน แลวในทองเรา ลําไสเราก็คงนาเกลียดไมตางกัน วันๆเรากินสารพัดอยาง ทั้งของมันของคาวมากมาย ภาพทอน้ําทิ้งหลังโรงอาหารที่เคยเห็นยังจําติดตา มีไขมันขาวๆเกาะเต็ม มีเศษกวยเตี๋ยว เศษกับขาวปนกันอยู สงกลิ่นเหม็นเนา นาขยะแขยงมาก อาหารเหลานั้นไมนากินเหมือนตอนปรุงเสร็จใหมๆ จัดใสจานอยางดีมาใหเรา อาหารในกระเพาะเราก็มีสภาพไมตางจากที่เห็น
Page 43
-43-ลําไสเราก็ไมตางจากทอน้ําทิ้งนี่หรอก เวลาเราเรอ อาเจียนหรือผายลมก็เปนตัวยืนยันอยูแลว แตเราตองปกปดทําในที่ลับตามมารยาท’ ‘สวนน้ําที่ไหลเปอนพื้นสงกลิ่นเหม็นก็มาจากสวนที่บูดเนา อาหารที่กินเขาไปบางสวนบูดเนาอยูในตัวเรา ถึงเวลาก็ตองถายทิ้ง แตเราซอนความจริงเอาไวโดยการทําธุระในหองสวมแลวชักโครกทิ้งไป มีการกลบกลิ่นดวยน้ําหอม ทําใหเราไมคุนกับความจริงแบบนี้และยอมรับไดยากวาเราก็สกปรกไมตางจากถุงขยะนั้น เวลารอนเหงื่อออก มีกลิ่นตัวโชยมาเปนหลักฐานวารางกายของเรานั้นมีเต็มไปดวยสิ่งสกปรก แตเราก็ตองคิดหาวิธีกลบไว เวลาขึ้นรถเมล ถาคนขางๆกลิ่นตัวแรงเราก็ไมพอใจ เอานิ้วปดจมูก รังเกียจ ดูซิวาการปดบังไมรับรูความจริงก็กลับมาสรางทุกขใหกับเราจนไดทั้งๆที่เราก็ไมตางจากเขาตองขอบคุณเขาที่ทําใหเรามีโอกาสไดเห็นความจริงดวยซ้ํา’ การที่เราเขาใจผิดวารางกายนี้เปนของเรา ทําใหเราไมมีความพอดีในการดูแลรางกาย กินอาหารเกินความพอดี อะไรอรอยก็กินเขาไปเยอะๆ ฉันคิดตอไปวาเวลาเรากินอาหารเขาไป รางกายทํางานเหมือนเครื่องยอยอาหาร ถาเรากินมากเกินไป เครื่องจักรก็ตองทํางานมาก เพราะฉะนั้นเครื่องก็จะเสื่อมเร็วขึ้น เหมือนคนที่ดื่มเหลามาก ตับเสีย ตองเปลี่ยนตับ กินอาหารไมระวัง ไตเสียตองถายเลือดทรมาน ถาหัวใจเสียละ ถาสมองเสียละ...ที่เคยกินเพื่ออรอย ยิ่งอรอยก็ยิ่งกินมากขึ้นเปนการบั่นทอนเครื่องจักรเครื่องนี้เปนอยางมาก บอกกับตัวเองวาเราจะกินเทาที่จําเปนเทานั้น เพื่อถนอมเครื่องจักรนี้ไวใชงานนานๆ แตถาเมื่อใดที่เครื่องจักหมดสภาพ เหมือนรถที่เราใชจนเกา ผุพังจนซอมไมไดก็ตองทิ้งไป อยางที่เคยเห็นตามสุสานรถเกา ไมเห็นมีเจาของรถคนไหนดันทุรังตามไปนั่งอยูในซากรถเกาที่หมดสภาพเลย รถเกาก็ตองทิ้งแลวก็ไปซื้อรถใหมที่สมประกอบมาใชงานแทน ก็เหมือนรางกายเรา เมื่อไมสมประกอบอวัยวะหมดสภาพแลวจิตก็ตองออกจากรางไป เพื่อหาที่อยูใหมเทานั้นเอง รางเกาก็เอาไปเผาบาง ฝงบาง สุดทายก็กลับเปนดิน เปนปุย เปนอาหารใหกับพืช เพื่อชีวิตอื่นๆไดอาศัยเปนอาหารตอไป เหมือนรถเกายังเอาไปขายเปนเศษเหล็กเพื่อถลุงเปนเหล็กนํามาใชไดอีกหมุนเวียนกันไปอยางนี้ในโลกนี้ไมมีที่สิ้นสุด
Page 44
-44-แลวเราจะไปยึดเอารางกายนี้วาเปนตัวตนของเราใหใจตองเดือดรอนในภายหลังไปเพื่ออะไรรักษาไวใชชั่วคราวก็พออาหารกินไปมื้อละพัน...ไดใชพลังงานในการทํางานถึงพันมั้ย ...เราลงทุนกับรางกายของเรามากมายจนเกินพอดี เพราะไมรูวาในที่สุดก็ตองคืนเขา แถมยังไมไดประโยชนเทาที่ควรอีกดวย ฉันเองขอใชรางกายที่ดูแลอยางดีมาโดยตลอดนี้เปนเครื่องมือพัฒนาใจที่กําลังเดินทางไปสูจุดหมายเปนงานที่สําคัญที่สุดสําหรับชีวิตนี้จะไดคุมคาที่ลงทุนไปไมอยางนั้นถือวาขาดทุนยอยยับ....การดูแลรางกายภายนอก เมื่อเราอยูในเมืองตาหลิ่วแลวเราก็ตองหลิ่วตาตาม สังคมเขาทํากันอยางไรเราก็ทําไปอยางนั้น เพื่อไมใหเปนที่รําคาญใจของคนรอบขาง แตจะทําดวยความรูอยางพอเหมาะพอดีไมมากเกินไปอยางเคย การปอนความจริงใหใจ เมื่อใจเห็นจริงตามความเปนจริง ใจจะคลายยึดในรางกายของเราไดบาง แตเราก็ยังมีหนาที่ดูแลรางกายนี้ตอไป เพราะความจริงที่ไดพบเปนเรื่องของใจ...เปนความลับตองไมแพรงพรายใหใครรูไงคะ
Page 45
-45- บทที่ ๑๒ เด็กนอยกับเมล็ดถั่ว ขณะที่คิดพิจารณาถึงตัวเราวาเปนธาตุสี่อยางไร มีการเปลี่ยนแปลงอยางไร คิดไปเรื่อยๆ ใจก็นึกไปถึงเรื่องราวของเด็กชายคนหนึ่ง... เด็กชายคนนี้...เขากําลังเดินไปตลาดเพื่อซื้อผักและเนื้อสัตวมาใหแมปรุงอาหารค่ํา เมื่อถึงตลาด..เขารีบหาซื้อของตามที่แมสั่ง พอคาใจดีใหเมล็ดถั่วเขียวกับเขาเปนของแถม เขาถือเมล็ดถั่วกลับบานดวยความดีใจ ระหวางทางเขาหยุดดูปลาที่สระน้ําใกลบานที่ประจําของเขาเขาสังเกตเห็นอะไรบางอยางในน้ํา จึงวางขาวของและเมล็ดถั่วในมือลงบนดินขางๆบอนั้น แลวไปเลนจับปลาในสระ เขานึกขึ้นไดอีกทีวาตองรีบเอาของที่ซื้อมากลับไปใหแมก็เย็นมากแลว จึงรีบวิ่งกลับบานจนลืมเมล็ดถั่วเสียสนิทสองสามวันผานไป เขานึกขึ้นมาไดวาวันกอนไดเมล็ดถั่วมาจากตลาด เขาพยายามหามันจนทั่วบานแตก็ไมพบ นึกขึ้นไดวาวันนั้นระหวางทางกลับจากตลาดเขาไดหยุดนั่งเลนที่สระน้ํา เขาตองลืมมันไวที่นั่นแนๆ จึงรีบวิ่งไปที่สระเพื่อหาเมล็ดถั่ว เขาเดินวนหาอยูหลายรอบแตก็ไมพบเริ่มคิดไปวาตองมีคนมาขโมยมันไปเปนแนแลว เพราะเขามั่นใจวามันตองอยูแถวๆนี้แน เขาเดินหาอีกรอบ พบวาบริเวณที่เขานั่งเลนเปนประจํา มีตนไมเล็กๆขึ้นอยูตนหนึ่งแตก็ยังไมพบเมล็ดถั่ว เขาเสียใจรองไหฟูมฟายโวยวายวามีคนมาขโมยเมล็ดถั่วของเขาไป ใครมาเอาของรักของหวงของเขาไปแตก็ไมไดเมล็ดถั่วคืนมาเมื่อนึกมาถึงตรงนี้ ฉันก็ไดเห็นตัวเอง ‘เออ...เราก็เหมือนเด็กคนนี้แหละ เวลารถของเราถูกเฉี่ยว เวลาสงเสื้อตัวใหมไปซักแลวสีตกใส เวลาของที่รักที่หวงหายไป หรือเวลาคนที่เปนที่รักจากไป เราก็หงุดหงิด อารมณเสีย โวยวาย เสียใจ ไมพอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ไมตางจากเด็กนอยที่รองไหฟูมฟายหาเมล็ดถั่วที่ไดกลายเปนตนไปแลว...’ เพราะความไมรูวาสิ่งเหลานั้นไดเปลี่ยนไปแลว...
Page 46
-46-เด็กนอยรองไหเพราะไมรูวาเมล็ดถั่วที่หายไปนั้นไดกลายเปนตนถั่วแลว เมื่อเมล็ดถั่วไดดินน้ํา แสงแดดที่พอเพียง มันก็งอกเปนตน และที่สําคัญเขาไมรูความจริงวา ตอไปตนถั่วตนนี้สามารถออกฝกใหเมล็ดถั่วอีกจํานวนมากกับเขา เพราะเด็กนอยไมรูจักวงจรชีวิตของตนถั่วจึงไดแตรองไหสวนฉัน....ไมพอใจ หงุดหงิด เวลารถถูกเฉี่ยว ทั้งยังโกรธคนที่มาชนซะอีก เพราะใจยังคิดถึงรถคันเดิม คันที่ยังสมบูรณอยู อยากจะใหรถของตัวเองคงสภาพเดิม นี่ก็เปนเพราะไมรูจักวงจรของรถนั่นเอง ไมรูวารถที่ยังดูใหมอยูนั้นกําลังเปลี่ยนเปนรถเกาอยูตลอดเวลา จะคอยๆผุทีละนิดหรือจะดวยการถูกเฉียวชนก็ไดเมื่อพิจารณากันจริงๆ พบวากอนที่รถจะมาเปนรถไดนั้น มีขบวนการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย จากเหล็กธรรมดาๆ เอามาขึ้นรูปทาสี เอามาประกอบกับลอที่ทํามาจากยาง อุปกรณอื่นๆอีกหลายอยาง แลวมันก็เปนรถใหมอยูชั่วขณะหนึ่งเทานั้น เมื่อโดนน้ํา ความชื้นในอากาศ แสงแดด ก็คอยๆผุทีละนิดๆ รถใหมก็คอยๆเกา ถาโดนกระแทก โดนชนแรงๆ ก็บุบ เพราะเหล็กสามารถเปลี่ยนรูปรางได ใชๆไปในที่สุดก็หมดสภาพตองทิ้งไป ใหคนเอาไปแยกออกเปนชิ้นสวนตางๆเหล็กก็ขายเปนเศษเหล็กเพื่อหลอมทําเหล็กมาใชใหมอยางอื่นก็ขายตามสภาพในความเปนจริง ถึงแมเด็กนอยอยากใหเมล็ดถั่วคงสภาพเดิม หรือฉันอยากใหของของฉันทุกอยางคงอยูในสภาพดีตลอดไป ก็ไมอาจฝนความเปนไปได เพราะเมื่อสภาวะและปจจัยตางๆเปลี่ยนไป เมล็ดถั่วก็เปลี่ยนไปตามธรรมชาติของมัน รถยนตคันงาม เสื้อใหม บาน พอ แม พี่ นองลูกและตัวเราเองก็เชนเดียวกันฉันสังเกตตัวเอง ที่ผานๆมากอนที่ฉันไดเรียนรูความเปนจริงเชนนี้ อารมณของฉันมักจะขึ้นๆลงๆอยูตลอดทั้งวัน ถาอะไรๆเปนไปตามที่ใจคิดฉันก็รูสึกพอใจ ถามีอะไรที่ไมอยากใหเปนเกิดขึ้นก็จะหงุดหงิดไมพอใจ สลับกันไปมาอยูอยางนี้ คือเอาใจตัวเองเปนที่ตั้ง แทนที่จะอยูกับความเปนจริง เมื่อไมรูความจริง ความคิด การตัดสินใจ การแสดงออก ก็มักจะทําใหตัวเองตองเดือดรอนในภายหลังทั้งบทบาทหนาที่ภายนอกและจิตใจ การเรียนรูที่มา ที่เปน ที่ไปของสิ่งตางๆที่เรา
Page 47
-47-เกี่ยวของในแตละวัน ทําใหฉันไดปรับเปลี่ยนวิธีคิดซะใหม...ไมอยากนั่งรองไหเพราะแคเมล็ดถั่วกลายเปนตนอีก...เอาเด็กนอยเมล็ดถั่วเปนครูยกตัวอยางเชนการเลือกซื้อรถ เพราะรูจักวงจรชีวิตของรถ รูแลววารถอะไรก็ไมอาจหนีความเปลี่ยนแปลงได รถของเราก็มีสิทธิถูกชน ถูกเฉี่ยว หรือถูกขโมยอยางที่มีขาวใหเห็นในหนังสือพิมพไดเชนกัน ฉันจึงตัดสินใจเลือกซื้อรถดวยเหตุผล นึกถึงวัตถุประสงคเปนหลัก วาฉันตองการรถไวเพื่ออํานวยความสะดวกในการเดินทางจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งโดยสวัสดิภาพ ฉันจึงไมตัดสินใจซื้อรถที่แพงเกินไปเพียงเพราะดูสวยงามหรือมีสมรรถนะสูงแตเกินจําเปน และก็ไมลืมเตือนใจตัวเองเสมอวา สิ่งที่เกิดขึ้นกับคนอื่นก็สามารถเกิดขึ้นกับเราไดทุกขณะ ไมวาเราจะชอบหรือไมก็ตาม เพราะฉะนั้นเมื่อเห็นเหตุการณอะไร เชน รถเสีย รถคว่ําตามถนน ก็ไมลืมนอมวา ‘ถาเปนเราละ เจอเหตุการณอยางนี้จะทํายังไง...’ เพื่อเปนการเตรียมตัวเตรียมใจไวกอนเกิดเหตุการณจริงนี่สําคัญมาก เพราะเราทุกคนมักจะเลือกมองแตสิ่งที่อยากมอง รับรูแตสิ่งที่อยากรับรู และมักจะเขาขางตัวเองวาสิ่งที่เราไมชอบ ไมปรารถนาคงไมเกิดกับเราแนนอน ทั้งๆที่เรื่องที่เราไมชอบ TIP: “ ไมวาจะพบเห็นสิ่งใดเจอะเจอเหตุการณอะไรไมวาจะเปนดอกไมเหี่ยวๆในแจกันตนไมริมทางอุบัติเหตุรถชนกันไปเยี่ยมคนปวยที่โรงพยาบาลถารูจักมองมองอยางพินิจพิเคราะหฉันพบวาทุกๆอยางเปนครูสอนใจได ขอเพียงเรารูจักนอมเอาความจริงมาสอนใจอยูเรื่อยๆวาสิ่งตางๆที่เห็นในขณะนี้กอนหนานี้มีสภาพอยางไรและตอไปจะเปนอยางไรเราจะไดรูทันความเปลี่ยนแปลงรูที่มาที่เปนที่ไปของสิ่งตางๆรอบตัวเรารวมถึงของของเราและที่สําคัญตัวเราเองเมื่อเรายอมรับและไมฝนความเปลี่ยนแปลงเราก็จะมีความทุกขเพราะความเปลี่ยนแปลงนอยลงเรื่อยๆ ”
Page 48
-48-เหลานั้นก็เกิดกับคนรอบขางใหเราไดรับรูรับเห็นอยูตลอดเวลาทั้งหนังสือพิมพเอยโทรทัศนเอยถาเราปลอยปละละเลยเชนนี้ตอไปเราเทานั้นที่จะขาดทุนเหมือนกับการซอมหนีไฟ ถาถึงเวลาซอมแตเรากลับคิดวา ‘ไฟไมมีทางไหมแนนอน เพราะตึกนี้มีระบบเตือนภัยและระบบดับเพลิงอัตโนมัติอยางดี...’ เราก็อาจจะอยูเฉยๆ ใครจะซอมก็ซอมไป หรือไมก็ซอมแบบเสียไมได ทําใหไมไดประโยชนเต็มที่ แตถาเราคิดจินตนาการถึงสถานการณไฟไหมจริงๆไดแบบเดียวกับที่เราเคยเห็นในโทรทัศนวามีความโกลาหลอยางไรบาง เราก็พอจะเตรียมพรอมวาเรานาจะทําอะไรไดบาง หนึ่ง..สอง...สาม เปนขอๆไว หากวันใดไฟเกิดไหมจริงๆเราจะไดพอมีแนวทางเรื่องความตายก็เชนกัน ความตายเปนสวนหนึ่งของวงจรชีวิตเรา แตนอยคนนักที่จะซอมคิดเตรียมพรอมวาถาคนที่เปนที่รักเสียชีวิตกระทันหันหรือแมแตตัวเราเองเสียชีวิตไปเดี๋ยวนี้จะทําอยางไร ก็ตองทําใจไมไดแนนอน เพราะเรื่องความตายจะเปนเรื่องสุดทายที่เราจะคิดถึง อาจรูสึกไมเปนมงคลที่จะคิด แตมันเปนความจริง ที่สําคัญเรื่องความตายเปนเรื่องที่เรายอมรับไดยากที่สุดจําเปนตองใชเวลาในการทําความเขาใจมากที่สุด การเก็บไวคิดเปนเรื่องสุดทายจึงไมทันทวงที ถือวาเปนการอยูอยางประมาทมากทีเดียว TIP: “ ตอไปนี้ไมวาอะไรที่เราไดพบเห็นใหเรานอมวา‘ถาเหตุการณนี้เกิดกับเราละเราจะทํายังไง’ จินตนาการใหสมจริงเลยเราจะไดรูวาเราจะมีความรูสึกอยางไรในวินาทีที่สถานการณนั้นเกิดขึ้นถารูสึกแยรูสึกเสียใจไมพอใจหรือโกรธก็แสดงวาเรามีงานทางใจตองทําแลวงานที่วาก็คืองานคนหาความเขาใจผิดความเขาใจที่ไมเปนไปตามความเปนจริงของโลกคือขัดกับหลักไตรลักษณโดยเฉพาะในหัวขอความเปลี่ยนแปลงแนๆเราจะไดมาศึกษาหาความจริงในเรื่องนั้นใหมากขึ้น ”
Page 49
-49-เวลาฉันอยูบานคนเดียว ฉันมักจะสมมติเหตุการณวาพอ แม นองสาวหรือสามีของฉันเสียชีวิต เพื่อดูความรูสึกที่เกิดขึ้นในใจตัวเอง และเราจะตองทําอยางไรตอไป เวลาไปงานศพก็เชนเดียวกัน ไมลืมสมมติเหตุการณวางานศพนั้นเปนงานของคนที่เรารัก เพื่อไมใหเสียเวลาและโอกาสในการอบรมจิตใจตัวเอง เรื่องยากๆตองฝกบอยๆ ทดสอบใจอยูบอยๆ จะไดชํานาญ เหมือนที่เราๆรูกันดีวาเมล็ดถั่วก็ตองขึ้นเปนตน แตเด็กนอยกลับรองไหฟูมฟาย เพราะฉะนั้นเราตองฝกใจใหเปนผูใหญ ใหรูความจริงในเรื่องตางๆที่เราไปเกี่ยวของอยู จะไดไมเปนเหมือนกับเด็กนอยเมล็ดถั่ววันนี้ทุกคนมีทุนเทากันใครที่ยังมีลมหายใจมีปญญาและสติสัมปชัญญะครบถวนถือวามีทุนเทาเทียมกันหมด ทีนี้ก็ขึ้นอยูกับวาใครจะเริ่มตนสังเกตสิ่งตางๆรอบตัวเพื่อเก็บขอมูลสอนใจตัวเองกอนกันเพราะไมมีใครรูวาเราจะหมดทุนเมื่อไหรเพราะฉะนั้นอยางรอชาอีกเลยคะ
Page 50
-50- บทที่ ๑๓ ไมมีที่สิ้นสุด ผูคนสวนใหญที่รูวาฉันปฏิบัติธรรมมักจะอยากรูวาดวยหนาที่การงานและวัยอยางฉันนี้อะไรเปนแรงบันดาลใจใหมาในเสนทางสายธรรมะนี้ไดอยางตอเนื่องสวนหนึ่งเปนเพราะธรรมะทําใหชีวิตในแตละวันของฉันมีความสุขมากขึ้น เกิดประโยชนมากขึ้น แตกอนเคยทําแตประโยชนทางกาย เดี๋ยวนี้ทําประโยชนทางกายแตไดประโยชนทางใจควบคูกันไปดวย ไดความเพลิดเพลินในการคิดพิจารณาหาหลักฐานสอนใจเหมือนไดของเลนใหมและดวยความที่ฉันเชื่อวาการตายไมใชจุดสิ้นสุดของเรา แมรางกายเราจะหมดสภาพแตจิตของเรายังคงเดินทางตอไป ที่ผานมาเราเลือกเกิดไมไดก็จริง แตเลือกที่จะเปนในอนาคตได เราตองเปนคนมองการณไกล ใหไกลกวาที่เคยมอง ไมใชแควางแผนสําหรับในชวงชีวิตนี้เทานั้น แควาเราจะเรียนอะไร ทําอาชีพอะไร แตงงานเมื่อไหร มีลูกกี่คน มีบานหลังใหญแคไหน มีรถกี่คัน นี่ถือวาเปนแคแผนระยะสั้น ตองมองกันถึงชาติหนาและชาติตอๆไปเลยทีเดียว เมื่อฉันเห็นอยางนี้ จึงไดวางแผนของชีวิตใหกับตัวเองและลงมือทําตามแผนที่วางไวนั้นทันที เพราะรูวาชีวิตเปนเรื่องเสี่ยงๆ ถาประมาท ฉันก็ตองรับผลของการกระทําแตผูเดียว แลวจะใหฉันรีรออยูไดอยางไรกัน อะไรเปนกรรมชั่วก็ไมทํา อะไรที่สะสมในชาตินี้แลวสามารถนําติดตัวไปใชตอในชาติหนาไดก็จะรีบทํา การฝกใหใจเห็นความจริงนี้แหละ ที่จะทําใหฉันเปนคนรวยถาวร คือรวยดวยอริยทรัพย รวยบุญรวยกุศล โดยเฉพาะกุศลคือความฉลาดของใจ)จิต (ที่เราฝกสังเกตสิ่งรอบตัวใหเห็นจริงตามความเปนจริงในสัจธรรมนั้นก็เพื่อใหใจไดรับรูความจริงใหใจมีความฉลาด รูเทาทันไมหลงกับสิ่งที่ไมเที่ยงเปนทุกขและไมมีตัวตนใหยึด ซึ่งกุศลนี้เองที่จะติดตัวไปทุกภพทุกชาติ ถายังไปไมถึงจุดหมายปลายทางนี่คือที่มาของความเพียรในการปฏิบัติของฉัน นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวที่ฉันใชเปนแรงจูงใจไดเปนอยางดี...จะเลาใหฟงเดี๋ยวนี้ละคะ....
Page 51
-51-ถึงแมฉันจะเรียนมาจนจบปริญญาโทก็ตาม ฉันก็รูตัวดีวาฉันไมชอบเรียนหนังสือเอาเลย แตเพราะเห็นประโยชน จึงอดทนตั้งหนาตั้งตาเรียนจนจบมาได ตั้งแตเล็กจนโตกวาคอนชีวิตที่เราเสียเวลาไปกับการเรียนที่ไมมีที่สิ้นสุด จบชั้นหนึ่งก็ตองไปเริ่มใหมในชั้นที่สูงขึ้นไป จบโรงเรียนก็ตองไปตอมหาวิทยาลัย จบปริญญาตรี ก็ตองไปตอปริญญาโท ปริญญาเอก และมากกวานั้นก็ยังมีแถมเมื่อเขาทํางานความรูที่เรียนมาก็ยังไมเพียงพอยังตองมาศึกษาหาความรูเกี่ยวกับงานที่ทําเพิ่มเติมอีกบางครั้งการเรียนก็มาในรูปของหนังสือแนะนําการใชงานเครื่องใชในบานเครื่องใชไฟฟา และอีกมากมายหาที่สิ้นสุดของการเรียนไมได ในขณะเดียวกันเมื่อวิวัฒนาการทางวิทยาศาสตรและเทคโนโลยีมีการพัฒนามากขึ้น ก็พบวาสิ่งที่เรียนกันมาในอดีต ที่เคยเขาใจวาเปนความจริง เปนสิ่งที่เชื่อถือได กลับถูกเปดเผยวาไมเปนความจริงอีกตอไป และมีทฤษฎีใหมๆมาแทนที่ แลวความรูที่เรียนในปจจุบันที่เรียนกันอยูนี้ละจะมีความจริงอยูมากนอยเพียงใดไมมี ...ไมใชเฉพาะเรื่องเรียนที่ไมมีที่สิ้นสุด ฉันพบวาความไมสิ้นสุดซอนอยูในทุกอยางที่ฉันทําในแตละวัน เชนการเดินทาง ฉันเปนคนชอบเที่ยว ฉันพบวาทุกครั้งที่ไปเที่ยว เมื่อถึงจุดหมายหนึ่ง เราคิดวาการเดินทางนั้นจบลงแลว แตจริงๆแลวไมเลย เมื่อถึงจุดหมายเราก็อยูที่นั่นชั่วคราว แลวเราก็ออกเดินทางอีกเพื่อไปจุดหมายตอไปตามแผนที่วางไว เมื่อถึงจุดหมายสุดทายก็ตองกลับบาน เมื่อถึงบานเชาวันรุงขึ้นเราก็ตองออกเดินทางไปที่ทํางาน เมื่อถึงที่ทํางาน เราก็ทํางานสักพักหนึ่ง แลวก็กลับบาน จากบานอาจไปรานขายของ จากรานขายของไปรานอาหาร จากรานอาหารก็กลับบาน ในวันรุงขึ้นก็ออกจากบานไปทํางานเปนอยางนี้วนไปวนมาเปนการเดินทางที่ไมรูจบการทํางานของเราแตละวัน เรามักอยากจะทํางานใหเสร็จ แตเสร็จจากงานหนึ่ง ก็ตองเริ่มตนทํางานชิ้นใหมอยูดีทํางานไดเงินมา นําไปซื้ออาหาร เสื้อผา จายคาที่อยูอาศัย ใชไปเรื่อยๆ ทํางานไปเรื่อยๆ สิ้นเดือนไดเงินเดือนไดเงินมาใชจายไปวนเวียนอยูอยางนี้
Page 52
-52-การทํางานบานก็เชนกัน กวาดบาน ถูบาน ซักผา เปนงานอมตะนิรันดรกาล ไมมีวันเสร็จ ทําสะอาดวันนี้พรุงนี้สกปรกก็ตองทําอีกการกินขาว หิวเราก็กินขาว กินจนอิ่ม สักพักก็หิวอีกแลว เราก็ตองกินอีก ในเรื่องการกินยังประกอบดวยกิจกรรมที่ซ้ําซากอื่นๆกวาจะไดกินแตละที ทั้งการซื้อกับขาว ปรุงอาหาร ลางจาน วนไปวนมาไมรูจบการหาความสุขสนุกสนาน ดูหนัง ฟงเพลง เฮฮากับเพื่อน ก็ตองทําซ้ําๆอยูอยางนั้นความสุขแบบนี้ทําแลวก็หมดไปไมตางจากเงินดูซิคะไมมีอะไรที่ทําแลวจบเลยสักอยางตองทําซ้ําแลวซ้ําเลาฉันยังเห็นวาไมวาจะเรียนมากแคไหน ทํางานหาเงินมากแคไหน หรือดูแลรางกายดีมากแคไหน สุดทายตายไปก็ตองคืนโลกทั้งหมด เอาอะไรไปไมไดเลย เมื่อจะมาในโลกครั้งตอไปก็ตองเริ่มใหมอีกอยูดี ไมมีเด็กที่เกิดมาคนไหนไมตองมาทําอะไรพวกนี้ ไมมีใครอานออก เขียนได คิดเลขเปนตั้งแตเกิด แมแตพูดยังตองมาเรียนใหมเลย ทําใหเห็นวาถึงแมสิ่งที่เราทําอยูทุกวันนี้ดูเปนเรื่องธรรมดาก็จริง แตสําหรับคนขี้เกียจอยางฉันเห็นวาถามีทางเลือกฉันขอทําอะไรที่ลงทุนลงแรงครั้งเดียวแลวจบดีกวาดวยความที่เปนชาวพุทธโดยกําเนิดทําใหไดฟงมาแตเล็กๆวา ที่สิ้นสุดนะมีอยู คือพระนิพพาน แตเคยคิดวาเปนเรื่องที่เกินกําลังความสามารถจึงไมไดสนใจปลอยเวลาใหลวงเลยมา ถึงวันนี้ไดสัมผัส ไดเขาใจดวยตัวเอง ทําใหรูความจริงวา การปฏิบัตินั้นไมใชเรื่องยากอยางที่คิด มีความเปนไปได ถามีการวางแผนและลงมือปฏิบัติตามอยางจริงจัง ฉันจึงตัดสินใจอยางแนวแนวาจะใชเวลาที่เหลือศึกษาธรรมะ คือศึกษาหาความจริงสอนใจนั่นแหละ ไมวาจะถึงปลายทางเมื่อไหร ไมสําคัญ รูแตวาตองเริ่มออกเดินและสักวันก็คงจะถึงจุดหมายปลายทาง ตามที่พระพุทธองคทรงชี้ทางไวอยางชัดเจนแลวแนนอน
Page 53
-53- บทที่ ๑๔‘ทําไม...’ขยะลนใจ เคยมั้ยคะ เวลาขับรถ พอมีมอเตอรไซคปาดหนา เราดาตามไปเลย หรือคิดอยางไมพอใจวา‘ทําไมตองมาปาดหนาฉันดวยนะ’ ใครเคยเปนบางยกมือขึ้นวันหนึ่งขณะขับรถไปทํางานตามปกติ มีรถมอเตอรไซคขับแซงปาดหนาฉันไป ฉันไมพอใจและนึกในใจ‘ทําไมตองปาดนะที่มีตั้งเยอะตั้งแยะไมไป...’ ความไมพอใจคือสัญญาณของความเห็นผิด ทําใหฉันเริ่มคิดทบทวนการกระทําและความคิดของตัวเองทันที‘ตอนที่มอเตอรไซคปาดหนา เราทําอะไร เราเบรก...ใชเราตองเบรกใหมอเตอรไซคผานไปไมชนกันแลวเราก็ไมพอใจคิดในใจวาทําไมตองปาด....’ เห็นตัวเองวา ‘เราเปนคนไมทันเหตุการณนี่นา...มอเตอรไซคไดผานไปแลว เรื่องจบแลว แตเรายังไมจบ ยังไมพอใจ ยังตั้งคําถามวาทําไมตองมาปาดเรา...ไมไดอะไรเลย ขาดทุนทั้งอารมณ ทั้งเวลา’ เห็นวาตัวเองไมทันเหตุการณจนขาดทุนอยางนี้แลว ทําใหสํารวจตัวเองตอไปวา ทุกๆวันที่เราขับรถไปทํางานเราไมทันเหตุการณกับเรื่องอะไรอีก ...นึกถึงเวลารีบๆ ถาติดไฟแดงที่สี่แยกเราก็จะคิดในใจ ‘ไฟแดงอีกแลว ทําไมถึงตองเจอไฟแดงทุกแยกเลยนะ..’ เจอคนขามถนนไมเปนที่ ก็คิดในใจ ‘ทําไมไมขามสะพานลอยนะ อยูบนหัวตัวเองแทๆ....’ หรือ เวลารถติดมาก ก็คิด ‘ทําไมรถติดจัง ทําไมไมมีตํารวจมาคอยโบกรถเลยนะ’ อยางนี้เปนตน แตละวันเราขาดทุนเยอะมาก นี่แคขับรถมาทํางานนะ ... จริงๆ แลวตอนที่เราขึ้นรถขับออกจากบานมา ความตั้งใจของเราคือขับไปใหถึงที่ทํางาน แตพอออกถนนใหญเราเริ่มสนใจกับอยางอื่นรอบตัวมากกวา จนลืมความตั้งใจเดิมไป...ถึงสี่แยกอยากใหเปนไฟเขียวตลอด ไมอยากใหมีคนขามถนนผิดที่ ไมอยากใหรถติด เหมือนกับวา ใจเรามัวสนใจกับสองขางทางตลอดเวลา ตรงนั้นบาง ตรงนี้บาง แทนที่จะตั้งหนาตั้งตาขับรถไปใหถึงที่ทํางาน ทํา
Page 54
-54-ใหเสียเวลา และไดแตขยะมาใสใจตัวเอง เมื่อเราไมไดอยางที่ตองการ ก็จะเกิดความไมพอใจ เพราะการออกจากบานมาทํางานทุกครั้ง ไมมีทางที่รถจะไมติด ไฟสัญญาณจราจรจะเปนไฟเขียวทุกสี่แยกและคนจะขามสะพานลอยกันหมดไมมีทางเปนไปไดถากอนออกจากบานเราตั้งใจวา เอาละเราจะขับรถออกจากบานเพื่อไปใหถึงที่ทํางาน เมื่อมีรถปาดหนา เราก็เบรก เจอไฟแดงหรือมีคนขามถนน เราก็หยุด เราก็ทําไดแคนี้จริงๆ รับมือไปตามสถานการณไมขาดทุนและไมมีการเก็บขยะขางทางมาใสใจทุกครั้งจะทําอะไรก็ตาม ฉันจะคิดถึงวัตถุประสงคของการกระทํานั้นอยางชัดเจน เมื่อเริ่มเก็บขยะสองขางทางก็จะรูตัว และจะไดกลับตัวไดทัน ฝกตัวเองใหเปนคนทันเหตุการณ ทันสมัยอยูเรื่อยๆ ใหเคยชินกับการคิดแบบใหมนี้ ทําใหแตละวันฉันขาดทุนนอยลง ขยะในใจก็นอยลงเพราะเก็บเพิ่มนอยนอกจากนี้ ถาเรารูจักใชคําวา “ทําไม...” มาถามตัวเราเอง จะเปนประโยชนอยางมาก ลองดูนะคะ..ทําไมแตกับตัวเองอยาไปทําไมกับคนอื่นเขา
Page 55
-55- บทที่ ๑๕ คนขี้บน หลายครั้งที่คนใกลตัวฉันหมดความอดทนและแสดงออกใหฉันรูตัววาฉันบนเขามาพอประมาณแลว หยุดไดแลว เพราะเขาไมพอใจแลวนะ แตฉันมักเถียงเขาวาฉันไมไดบนซะหนอยแคอยากบอกใหรูวาเขาลืมทําอะไรและควรทําอะไรคราวหนาจะไดไมลืมจะไดไมเดือดรอนฉันตองทําแทน แตเขาก็ยืนยันวาฉันนั่นแหละขี้บน หลังจากเกิดเหตุการณอยางนี้อยูหลายครั้ง ทําใหฉันไดหยุดคิดวาเกิดอะไรขึ้นกันแนระหวางเขาที่ไมเอาไหนหรือฉันขี้บนจริงๆอยางเขาวาฉันคอยๆลําดับเหตุการณ คิดทบทวนวาอะไรทําใหฉันเกิดความไมพอใจ แลวฉันคิดอยางไรตอไปจนทําใหเกิดเปนคําพูดการแสดงออกที่เขาเรียกวาการบนและก็ไดพบกับความจริง....เรื่องที่ฉันบนสามีมักเปนเรื่องเล็กๆนอยๆ เชน ไมเติมน้ําในที่ทําน้ําแข็ง ใชกระดาษชําระในหองน้ําหมดแลวไมนํามวนใหมมาเปลี่ยน ลางมือแลวสะบัดจนน้ํากระจายไปรอบๆ หรือไมเก็บของใหเปนระเบียบเปนตนทุกครั้งที่ฉันเห็นที่ทําน้ําแข็งเปลาๆวางอยูในครัวเห็นมวนกระดาษชําระที่หมดแลวในหองน้ํา......ฉันจะคิดไปทันทีวา ‘ดูซิไม....อีกแลว ทําไมไมชวยกันทํานะ จะใหฉันทําอยูคนเดียวหรือไง’ เมื่อคิดอยางนี้ ความไมพอใจก็เกิดขึ้นทันทีเหมือนกันถาเขาอยูในรัศมี ฉันก็จะถามเขาทันทีวา ‘ทําไมไมทํา....ละ’ ดวยน้ําเสียงและหนาตาไมปกติ เพราะหงุดหงิดไปแลว ถาเขาอารมณดีเขาก็จะไมขัดใจฉัน จะลุกมาทําสิ่งที่ยังไมไดทําทันที แตถาเขาเกิดไมพอใจกับคําพูดฉันขึ้นมา ก็จะดื้อแพงไมสนใจซะอยางนั้น ปลอยใหฉันไมพอใจตอไป แตถาเขาไมอยูบาน ความไมพอใจของฉันจะเพิ่มมากขึ้นเพราะฉันไมสามารถพูดกับเขาไดทันที แตฉันจะคิดถึงเรื่องที่เขาไมสนใจทําทั้งหลายทั้งปวงที่ผานมาทําใหฉันตองเปนคนทําซะเองในอดีต คิดทบทวนซ้ําไปซ้ํามา จนเรื่องเล็กๆกลายเปนเรื่องใหญ เมื่อเขากลับถึงบานฉันก็จะระบายความไมพอใจใสเขาทันที ดวยน้ําเสียงและคําพูดที่ไมนาฟง เพราะเก็บกดมาไดพักใหญแลว เชน ถามเขาวา “ทําไมเธอถึงไมเคย....เลยละ” ทําใหคนฟงก็
Page 56
-56-ไมพอใจขึ้นมาไดทันทีเหมือนกัน รูสึกเหมือนถูกกลาวหา เรื่องเล็กๆ แทๆทําใหเปนเรื่องใหญบางครั้งก็เลยเถิดกลายเปนทะเลาะกันงอนกันไปเลยก็มีเมื่อมานั่งคิดไตรตรองดู เหตุการณแบบนี้ทําใหเราขาดทุนกันทั้งคูนี่นา ทั้งเสียอารมณและเสียเวลา เพียงเพราะฉันตองการใหเขาทําอยางที่ฉันตองการ เมื่อไมไดดั่งใจฉันก็แสดงออกดวยคําพูดน้ําเสียงและสีหนาที่ไมดีเพื่อใหเขายอมและทําตามความตองการของฉันฉันคิดเปรียบเทียบ ระหวางการที่ฉันพูดไมดีกับเขาหรือบนเขานั่นแหละ แลวเขาก็ทําตามอยางที่ฉันตองการดวยความรูสึกแยๆกับฉันทําซะเองไมตองบนอยางไหนจะดีกวากัน ฉันวาทําซะเองเปนทางออกที่ดีกวาเพราะไดดั่งใจแตทํารายความรูสึกของคนที่ฉันรักนั้นไมคุมและไมเปนธรรมกับอีกฝายหนึ่งเลยนึกไดวา...เวลาเขาบนฉัน ฉันก็ไมชอบเหมือนกัน แตที่ฉันทําสิ่งที่เขาไมชอบลงไปก็เพราะฉันไมไดคิดอะไร ฉันแคสะดวกอยางไรก็ทําอยางนั้น แคคิดนอยไปหนอยหรือมักงายไปนิดเทานั้นเอง ไมไดคิดวาสิ่งที่ทําไปจะทําใหอีกคนไมพอใจ ฉันไมไดแกลงขัดใจเขา เพราะฉะนั้นเขาก็ไมไดแกลงขัดใจฉันเชนกัน ทําใหเห็นวาจากการที่คนสองคนมีความพอใจที่ขัดแยงกัน คนหนึ่งพอใจทําอยางหนึ่งแตไปขัดใจอีกคนหนึ่งคนที่ถูกขัดใจก็จะบนขึ้นมา... เมื่อคิดไดอยางนี้ เวลาพบอะไรที่ยังไมไดทํา อะไรที่เขาทําแลวไมถูกใจฉัน ฉันก็ทําซะเองงายจะตาย ก็ไมเสียหายอะไร ไดความพอใจเปนของตัวเองและไมทํารายความรูสึกของคนที่ฉันรักอีกดวยเรารักใครก็ตองทําใหเขามีความสุขสิจริงมั้ยเมื่อคิดยอนไปถึงตอนที่ยังเปนคนขี้บน เห็นวาคนที่บนมักไมรูสึกตัว ทําใหไมถือสาคนที่มาบนใสฉันอีกดวยเพราะเขาใจเมื่อไมบนแลว ถามีโอกาสฉันกับสามีจะนั่งคุยกันวาที่ผานมา มีอะไรชอบใจไมชอบใจบางแลวก็ชวยๆกันปรับไปทําใหอยูดวยกันอยางมีความสุขมากขึ้นและเขาใจกันมากขึ้นกวาเดิมเยอะเลย
Page 57
-57- บทที่ ๑๖ มาวิ่งไลแครอท ฉันพบวา มีหลายอยางในชีวิตที่เราไมชอบทํา แตเราก็อดทนทําตอไปได เพราะอะไรนะหรือ....ก็เขาเอาบางสิ่งบางอยางมาลอใจใหเราไมออกนอกลูนอกทางนะสินึกถึงภาพมาแขงในการตูนที่เคยดูตอนเด็กๆ มาตัวนี้แสนขี้เกียจ ไมยอมวิ่งในสนามแขงซะอยางนั้นเจาของแสนฉลาดก็มีวิธีทําใหมันวิ่งเอาชนะคูแขงจนไดโดยเอาเบ็ดเกี่ยวแครอทแลวหยอนไวหนาเจามาจอมขี้เกียจ ลอใหมันวิ่งไลงับไปเรื่อย แตงับเทาไหรก็งับไมถึง มันจึงวิ่งไลงับไปเรื่อยจนถึงเสนชัยจําได...สมัยเด็กๆ ฉันไมชอบกินผัก ลุงก็จะหลอกลอวา ถากินผักหมดจะพาไปจับหิ่งหอยแถวบานลุงเปนทุงจึงมีหิ่งหอยเยอะฉันก็กินผักจนหมดเพราะอยากไปจับหิ่งหอยแสนสวยถึงเวลาตองไปโรงเรียน พอแมบอกวาคนที่ไปโรงเรียนแลวไมรองไหเปนคนเกง ฉันก็ไมรองไหและขยันไปโรงเรียนเพราะอยากเปนคนเกงของพอแมเมื่อโตขึ้นใครๆบอกวาตองขยันเรียนจะไดเอนทรานซติดมหาวิทยาลัยดีๆจะไดมีงานดีๆทําฉันก็ทําตามตองเรียนพิเศษวันเสารอาทิตยก็ยังไปเมื่อจบปริญญาตรี เขาวายังไมพอ ถาอยากไดงานดีๆ เงินเดือนเยอะๆ ตองไปตอปริญญาโทฉันก็ไปตามที่เขาวา แลวตองไปเรียนที่มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงจะไดเปนเกียรติตอวงศตระกูล ฉันก็ทําตามทั้งที่ไมชอบเรียนเลยเมื่อทํางาน นายจางก็วาถาขยัน ตั้งใจทํางาน จะไดขึ้นเงินเดือนและไดรับยกยองวาเปนพนักงานดีเดน ฉันก็ทํางานเอาจริงเอาจัง หามรุงหามค่ํา จนไดรับคําชม แมจะเหนื่อยกับงานแตก็ทนไดจริงๆแลวสิ่งที่เราพอใจขวนขวายใหไดมาทั้งคําชมความสําเร็จเกียรติยศชื่อเสียงก็เปนแคแครอทที่มาไมมีวันไดกิน เปนสิ่งที่เขาใชลอใหเราทําตามกลไกทางสังคม กลไกของโลก เพื่อให
Page 58
-58-สังคมอยูได ประเทศอยูได โลกนี้อยูได แตเราไมไดไดมาเปนของเราจริงๆซะหนอย ทุกอยางเหลานั้นอยูกับเราแคชั่วคราวทั้งนั้นเศรษฐีที่มีเงินมากที่สุดก็เปนเจาของเงินแคชั่วคราว นายพลยศสูงที่สุดก็มียศ มีคนนับถือมากมายแคชั่วคราว ผูหญิงที่สวยที่สุดก็มีความสวยแคชั่วคราว ของที่รักที่สุดก็เปนของเราแคชั่วคราว เราจะเอาจริงเอาจังอะไรมากนักถาใจรูทันเขาซะแลวแบบนี้อยาลืม ภายนอกก็ยังตองแสดงใหสมบทบาทตอไปเชนเดิม เพราะเรามีรางกายที่จะตองดูแลรักษา มีบทบาทหนาที่ที่ติดตัวมา ชีวิตเราก็ตองดําเนินตอไป ทํางานก็ตองเอาเงินเดือนและตองขยันใหไดเงินเดือนขึ้นดวย เปนเจาของรานขายกวยเตี๋ยวก็ตองทําใหไดกําไรแตไมเอาจริงเอาจังที่ใจคะ