Theขี้ฝุ่นริมทาง
วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
ฟังรายการวิทยุรักพ่อ56 ป้ามีดบินในวันไร้ลุงพงศ์
คลิกฟังรายการวิทยุรักพ่อ56 ป้ามีดบินในวันไร้ลุงพงศ์
ที่: http://youtu.be/956FSrg2Bds
ครั้งแรกและครั้งเดียวกับรายการวิทยุที่เสียงของป้ามีดบินและลุงพงศ์อยู่ในรายการเดียวกัน
ครั้งสุดท้ายกับการให้ความรู้ของลุงพงศ์ เรื่องการปลูกมะนาว บันทึกไว้ 20 ชั่วโมงก่อนเสียชีวิต
หลากหลายคำถามที่ลุงสุเวศน์ ถามแทนหลายคน เกิดอะไรขึ้นกับลุงพงศ์, แล้วตอนนั้นป้า เป็นยังไง? จะสานต่องานลุงพงศ์หรือไม่,
ชีวิตต่อไปของป้า วางแผนยังไง, งานทำบุญ 100 วัน จะจัดที่ไหน ฯลฯ หลายคำถาม ฟังจากป้ามีดบินในรายการ
หลายคน สงสารป้ามีดบิน แต่การพุดคุยกับป้าในรายการ "อยู่กับปัจจุบัน และอนาคตเท่านั้น"
อยู่ที่แฟนคลับ คนรู้จักลุงพงศ์ จะนั่งสงสารป้า หรือ จะก้าวเดินต่อไปกับป้า ...อยู่ที่แต่ละท่านแล้ว...
คลิกฟังรายการวิทยุรักพ่อ56 ป้ามีดบินในวันไร้ลุงพงศ์
ที่: http://youtu.be/956FSrg2Bds
สูตรอาหารเสริมปลาดุก
สูตรอาหารเสริมปลาดุก ผลปาล์มน้ำมัน 15 กก. หมักในถัง 100 ลิตร ใส่น้ำเกือบเต็ม หมักไว้ 3-4 วัน ใช้ผลปาล์มดองเป็นอาหารปลาดุกกินได้เลย
Sms FarmerInfo by DTAC- 11.15 น. 25 พ.ย.2555
วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
มนุษย์ทุกคนล้วนรักตนเอง
มนุษย์ทุกคนล้วนรักตนเอง
มนุษย์ทุกคนล้วนรักตนเอง แต่น่าแปลกที่คนส่วนใหญ่กลับไม่สามารถอยู่กับตัวเองได้ หากอยู่คนเดียวเมื่อไหร่ ไม่นานก็จะรู้สึกกระสับกระส่าย หรือถูกความเหงาเกาะกุมจิตใจ คนจำนวนไม่น้อยจึงพยายามหนีตัวเอง ด้วยการทำตนให้วุ่นกับสิ่งต่างๆที่อยู่นอกตัว เช่น เที่ยวเตร่สนุกสนาน ช็อปปิ้งเล่นเกมออนไลน์ หรือไม่ก็วิ่งหาผู้คน สนทนาไม่หยุด อยู่ห่างจากโทรศัพท์ (และแบล็คเบอรี่) ไม่ได้ หลายคนยอมแลกอิสรภาพและความสุขสงบ เพื่อมีใครสักคนเป็นเพื่อนหรือคู่รัก แม้จะถูกเขาทำร้ายจิตใจก็ยอม ทั้งนี้เพียงเพื่อจะได้หายเหงาเท่านั้นเอง
เรารักตนเองแต่เหตุใดจึงทนอยู่กับตนเองไม่ได้ หากเรารักตนเองจริง เราย่อมพอใจและมีความสุขที่ได้อยู่กับตัวเอง แต่เหตุใ ดเราจึงรู้สึกเหงาในยามที่ไม่มีใครนอกจากตัวเองใช่หรือไม่ นั่นเป็นเพราะเรายังไม่เป็นมิตรกับตัวเอง ในส่วนลึกเรายังทะเลาะเบาะแว้งหรือขัดแย้งกับตัวเอง จึงพยายามหนีตัวเองตลอดเวลา จะว่าไปแล้วความทุกข์ส่วนใหญ่ของผู้คน ล้วนมีรากเหง้ามาจากการที่ไม่สามารถเป็นมิตรกับตัวเองได้อย่างแท้จริง
โดย พระไพศาล วิสาโล
อย่าโกรธเมื่อใครติเตียนพระพุทธเจ้า
อย่าโกรธเมื่อใครติเตียนพระพุทธเจ้า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนเหล่าอื่นอาจกล่าวติเตียนเรา
ติเตียนพระธรรม หรือติเตียนพระสงฆ์.
ท่านทั้งหลายไม่พึงผูกอาฆาต ขุ่นเคือง ไม่พอใจในบุคคลเหล่านั้น.
เพราะถ้าท่านทั้งหลายโกรธเคือง
หรือไม่พอใจในบุคคลที่กล่าวติเตียนเรา
ติเตียนพระธรรม หรือติเตียนพระสงฆ์นั้น,
อันตรายเพราะความโกรธเคืองนั้น ก็จะพึงเป็นของท่านทั้งหลายเอง.
ถ้าท่านทั้งหลายโกรธเคือง หรือไม่พอใจในบุคคลที่กล่าวติเตียนเรา
ติเตียนพระธรรม หรือติเตียนพระสงฆ์
จะรู้ได้ละหรือว่า คำกล่าวของคนเหล่าอื่นนั้น
เป็นคำกล่าวที่ดี (สุภาษิต) หรือไม่ดี (ทุพภาษิต) ?
...ไม่ทราบ พระเจ้าข้า...
...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายพึงชี้แจง (คลี่คลาย) เรื่องที่ไม่เป็นจริง
ให้เห็นว่าไม่เป็นจริง ในข้อที่คนเหล่าอื่นกล่าวติเตียนเรา
ติเตียนพระธรรม หรือติเตียนพระสงฆ์ ให้เขาเห็นว่าข้อนั้นไม่จริง ข้อนั้นไม่แท้
ข้อนั้นไม่มีในพวกเรา ข้อนั้นไม่ปรากฏในพวกเรา ดังนี้...
พรหมชาลสูตร ๙/๓
อย่าดีใจตื่นเต้นเมื่อใครชมเชยพระพุทธเจ้า
...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนเหล่าอื่นอาจกล่าวชมเชยเรา
ชมเชยพระธรรม หรือชมเชยพระสงฆ์
ท่านทั้งหลายไม่พึงแสดงความชื่นชมโสมนัส
หรือความรู้สึกตื่นเต้นในบุคคลเหล่านั้น
เพราะถ้าท่านทั้งหลายมีความชื่นชมโสมนัส
มีความตื่นเต้นในบุคคลที่กล่าวชมเชยเรา
ชมเชยพระธรรม หรือชมเชยพระสงฆ์
อันตรายเพราะเหตุนั้น ก็จะพึงเป็นของท่านทั้งหลายเอง.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายพึงรับรองเรื่องที่เป็นจริง ให้เห็นว่าเป็นจริง
ในข้อที่คนเหล่าอื่นกล่าวชมเชยเรา ชมเชยพระธรรม หรือชมเชยพระสงฆ์
ให้เขาเห็นว่าข้อนั้นจริง ข้อนั้นแท้
ข้อนั้นมีในพวกเรา ข้อนั้นปรากฏในพวกเรา ดังนี้...
พรหมชาลสูตร ๙/๔
คัดลอกจากหนังสือ...พระไตรปิฎก ฉบับสำหรับประชาชน
ย่อความจากประไตรปิฎกฉบับภาษาบาลี ๔๕ เล่ม...
โดยคุณสุชีพ ปุญญานุภาพ
เดิน : วิถีแห่งสติ ติช นัท ฮันห์ เขียน รสนา โตสิตระกูล แปล
เดิน : วิถีแห่งสติ
ติช นัท ฮันห์ เขียน รสนา โตสิตระกูล แปล
เธอจะต้องทำได้
การเดินจงกรม คือวิธีทำสมาธิโดยการเดิน วิธีนี้จะนำสันติสุขมาให้เธอในขณะปฏิบัติ เมื่อเธอฝึกเดินจงกรม จงก้าวช้าๆ ด้วยอาการผ่อนคลายและสงบ พร้อมกับยิ้มน้อยๆ บนใบหน้า เธอควรเดินเหมือนคนที่มีเวลาว่างอย่างยิ่ง และไม่มีอะไรต้องทำเลย ในขณะก้าวแต่ละก้าวจงสลัดทิ้งความกังวลและความเศร้าทั้งหลาย เพื่อที่จะอยู่อย่างสันติสุข เธอควรไปแต่ละก้าวด้วยอาการเช่นนี้ สิ่งนี้ไม่ยากเกินไปสำหรับเธอเลย เธอจะต้องทำได้แน่นอน ทุกคนสามารถทำได้ หากเขาหรือเธอต้องการอยู่ในความสุขสันติ
ไปโดยปราศจากการถึง
ในชีวิตที่ยุ่งเหยิงวุ่นวาย เรามักจะรู้สึกรีบร้อนด้วยเรื่องบีบคั้นเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เรามักจะต้องรีบเสมอ แต่เราจะรีบร้อนไปไหนเล่า? นี่เป็นคำถามที่เรามักไม่ค่อยถามตัวเอง
การเดินจงกรมก็เหมือนกับการเดินเล่น เราจะไม่กำหนดเป้าหมายแน่นอนที่จะต้องไปถึง หรือกำหนดเวลาที่จะไปถึง เป้าหมายของการเดินจงกรมก็คือการเดินจงกรม จุดสำคัญก็คือ การเดินโดยไม่มีการไปถึง การเดินจงกรมไม่ใช่วิธีการ แต่คือเป้าหมาย แต่ละก้าวคือชีวิต แต่ละก้าวคือความสุขสันติ นี่คือเหตุผลที่เราไม่ต้องเดินอย่างเร่งร้อน นี่คือเหตุผลของการก้าวอย่างเนิบช้า เดิน แต่อย่าเอาแต่เดิน เดิน อย่าให้ความมุ่งหมายใดผลักเราไปข้างหน้า ด้วยวิธีนี้ เมื่อเราเดิน จงเดินพร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ บนใบหน้า
ก้าวอย่างผ่อนคลาย
ในชีวิตประจำวัน ย่างก้าวของเราจะถูกถ่วงทับอยู่ด้วยความวิตก ความกังวล และความกลัว อาจกล่าวได้ว่า ชีวิตของเรา ก็คือ เดือนปีแห่งความวิตกกังวล ด้วยเหตุนี้ ย่างก้าวของเรา จึงไม่สามารถเป็นย่างก้าวแห่งความผ่อนคลาย
โลกนี้ช่างงดงามไปด้วยเส้นทางที่น่าตื่นใจมากมาย มีเส้นทางเล็กๆ ที่มีต้นไผ่ขึ้นอยู่สองข้างทาง มีเส้นทางที่ถูกอาบไล้ด้วยกลิ่นละมุนของทุ่งนาข้าว ยังมีเส้นทางแห่งสีสันอันงดงามของใบไม้ในฤดูใบไม้ร่วงแต่เราไม่ค่อยได้รับรู้ หรือชื่นชมเส้นทางเหล่านี้ เนื่องด้วยเราไม่รู้สึกผ่อนคลาย และย่างก้าวของเราก็ไม่ผ่อนคลายเช่นกัน
การเดินจงกรมคือการฝึกเดินอย่างผ่อนคลายอีกครั้งหนึ่ง สมัยเมื่อเราอายุได้หนึ่งขวบครึ่ง เราเริ่มต้นเดินอย่างไม่มั่นคง มาบัดนี้ เมื่อเราฝึกเดินจงกรม เราจะเริ่มต้นเดินอย่างไม่มั่นคงอีกครั้งหนึ่ง แต่หลังการฝึกสักไม่กี่อาทิตย์ เราจะเริ่มก้าวได้อย่างมั่นคง สงบ และเป็นธรรมชาติ ข้อความต่อไปนี้ เขียนขึ้นเพื่อช่วยให้เธอเริ่มการฝึกนี้ ฉันหวังว่าเธอจะพบกับความสำเร็จ
สลัดทิ้งความกังวล
หากฉันมีดวงตาดังพระเนตรของพระพุทธเจ้า ฉันก็จะสามารถมองเห็นรอยเท้าของเธอ ที่จารึกร่องรอยแห่งความกังวล และความเศร้า ที่เธอฝากไว้บนพื้นโลก ขณะที่เดินผ่านไปได้อย่างชัดเจน ราวกับนักวิทยาศาสตร์ที่ใช้แว่นขยายส่องเห็นจุลินทรีย์ ที่ปรากฏอยู่ในน้ำซึ่งนำมาจากทะเลสาบ ความลับของการเดินจงกรม ก็คือ การเดินด้วยอากัปกิริยาที่จะจารึกแต่ความสุขสงบไว้บนรอยเท้าของเธอเท่านั้น หากเธอปรารถนาที่จะเดินในลักษณะนี้ เธอจะต้องเรียนรู้การสลัดทิ้่งความเศร้า และความกังวลทั้งหลาย
เดินอยู่บนดินแดนบริสุทธิ์
หากฉันมีเท้าดังพระบาทของพระพุทธเจ้า ฉันจะพาเธอไปสู่ดินแดนบริสุทธิ์ของพระอามิตตพุทธ ทิวทัศน์ ณ ที่นั้น สวยสดงดงามและสุขสงบยิ่งนัก หากเธอมีโอกาสไปยังดินแดนแห่งนั้น เธอจะเดินด้วยท่วงทีอย่างไร? เธอแน่ใจหรือว่า เธอจะไม่ฝากร่องรอยแห่งความกังวล และความเศร้าของชีวิตทางโลกไว้บนรอยเท้าของเธอ ณ ดินแดนบริสุทธิ์แห่งนั้น
หากเธอนำความเศร้า และความกังวลไปกับเธอ และฝังรอยเหล่านั้นบนดินแดนบริสุทธิ์แห่งนั้น เธอก็จะทำให้ดินแดนแห่งนั้นมัวหมอง การที่จะสามารถอยู่ในโลกแห่งสันติสุข เธอจะต้องสามารถเดินด้วยฝีเท้าที่มีความสงบสุขเสียตั้งแต่ที่นี่ บนโลกแห่งนี้
ตราประทับแห่งกษัตริย์
เลือกทางเดินที่เรียบสม่ำเสมอ เพื่อฝึกเดินจงกรม อาจจะเป็นริมฝั่งน้ำ สวนสาธารณะ ลานบ้าน ในป่า หรือทางเดินเล็กๆ ระหว่างต้นไม้ ยังมีคนฝึกเดินจงกรมในค่ายกักกัน แม้แต่ในคุกอันคับแคบ และมืดทึบ จะเป็นการดีหากว่าทางเดินนั้นไม่ขรุขระหรือชันเกินไป เดินให้ช้าลงและจดจ่อความสนใจของเธอลงไปในแต่ละก้าว มีสติรู้อยู่ในการก้าวแต่ละก้าว ก้าวอย่างระมัดระวังและสงบ ก้าวด้วยอาการดำเนินแห่งพระพุทธองค์ เมื่อเธอก้าวจงประทับรอยเท้าของเธอ ลงบนพื้นโลกอย่างระมัดระวัง และด้วยความมั่นใจ ประดุจดังกษัตริย์ที่ทรงประทับตราประจำพระองค์ลงบนโองการแผ่นดิน
ตราประทับของกษัตริย์บนโองการแผ่นดิน อาจนำความสุขหรือความทุกข์มาให้แก่ประชาชน ฝีเท้าของเธอก็เป็นเฉกเช่นกัน โลกแห่งความสันติสุขขึ้นอยู่กับว่า เธอจะสามารถก้าวอย่างสุขสันติได้หรือไม่ ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับก้าวแต่ละก้าวของเธอ หากเธอสามารถก้าวหนึ่งก้าวได้อย่างสันติสุข เธอก็จะสามารถก้าวอีกสองก้าว จนกระทั่งสามารถก้าวได้ ๑๐๘ ก้าวอย่างสันติสุข
* กำหนดอนุสสติ คลายกังวลและนิวรณ์ ๕ ด้วยกระบวนความคิดที่ทำให้จิตเกิดความเบา ปลอดโปร่ง และมีปีติ
การก้าวของเธอคือการกระทำที่สำคัญที่สุด
การกระทำใดบ้างที่เป็นการกระทำที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเธอ? สอบไล่ผ่าน ซื้อรถ ซื้อบ้าน หรือการได้เลื่อนตำแหน่งการงาน? มีคนจำนวนมากที่สอบไล่ผ่าน ซื้อรถ และได้เลื่อนตำแหน่ง แต่เขาเหล่านั้นไม่เคยอยู่กับความสงบสุข เขาไม่เคยรู้สึกเต็มเปี่ยม ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตก็คือ การอยู่อย่างสันติสุขกับตัวเอง และแบ่งปันสันติสุขนั้นกับผู้อื่น (เจริญพรหมวิหาร ๔) แต่การที่เธอจะสามารถอยู่ได้อย่างสันติสุขนั้น เธอจะต้องมีสติกับการก้าวแต่ละก้้าว การก้าวของเธอ เป็นการกระทำที่สำคัญที่สุดของเธอ มันจะชี้ชะตาในทุกสิ่ง ฉันได้จุดธูปขึ้น แล้วพนมมือเข้าหากัน พร้อมกับตั้งความปรารถนาให้เธอได้พบกับความสำเร็จ
สายลมสดชื่นปรากฏขึ้นจากเท้าแต่ละก้าว
ในวัดแห่งหนึ่ง ที่จุดเริ่มของทางเดินจงกรม มีคำจารึก ๕ คำ บนแผ่นหินขนาดใหญ่ว่า "โบ โบ ทัน ฟอย กอย" ซึ่งมีความหมายว่า สายลมสดชื่น ปรากฏขึ้นจากเท้าแต่ละก้าว เธอไม่รู้สึกหรือว่า มันช่างเป็นคำพูดที่ไพเราะ ..
.. สายลมสดชื่น คือความแจ่มใส ความสงบสุข และอิสระที่พัดพาเอาความเศร้าของชีวิต และความตายออกไปให้สิ้น และนำเอาความสดชื่นแห่งสันติสุขมาสู่จิตใจของเรา เมื่อเธอก้าวด้วยอาการเช่นนี้ เธอจะสามารถช่วยโลกได้
จงตื่นขึ้นเพื่อที่จะปล่อยวาง
ความกังวลและความเศร้า มักจะเกาะตรึงอยู่กับชีวิตของเรา เราจะสลัดมันทิ้งได้อย่างไร? ก้าวอย่างผ่อนคลายและมั่นคง ตื่นขึ้น และมีความมุ่งมาดอันหนักแน่น ตื่นขึ้นเพื่อจะได้เห็นว่า เธอได้แบกเอาความกังวลและความเศร้าไว้หนักอึ้งเพียงไร มีความมุ่งมาดอันหนักแน่นเพื่อจะละวางความกังวลและความเศร้านั้นเสียอย่างเด็ดเดี่ยว ความกังวลและความเศร้าเกิดขึ้นเมื่อเธอถูกครอบงำด้วยอดีตและอนาคต เมื่อใดที่เราแลเห็นความกังวลและความเศร้า เมื่อนั้นเราก็ได้ตื่นขึ้น ขอให้เรามีความเมตตาต่อตัวเราเอง เราจะรู้สึกเมตตาตนเอง เมื่อเราได้แลเห็นว่า เราถูกจำกัดอยู่ด้วยโครงสร้างของเวลา ถูกจำกัดอยู่ด้วยความกังวลและความเศร้า หากเราต้องการ เราก็สามารถปล่อยวางมันเสียแต่เดี๋ยวนี้ เหมือนดังเราถอดเสื้อฝนออกสะบัด ให้หยาดฝนที่เกาะอยู่นั้นหลุดออกไป
ยิ้ม ดุจการแย้มโอษฐ์แห่งพระพุทธองค์
เมื่อเธอสลัดความกังวลและความเศร้าออกไป จงปล่อยให้รอยยิ้มปรากฏออกมาแทนที่ ยิ้มน้อยๆ และถนอมรอยยิ้มนั้นไว้บนริมฝีปาก ดุจการแย้มโอษฐ์แห่งพระพุทธองค์ จงเรียนรู้ที่จะก้าวดุจการดำเนินแห่งพระพุทธองค์
ยิ้มดุจการแย้มโอษฐ์แห่งพระพุทธองค์ เธอสามารถทำได้ เธอไม่จำเป็นต้องรอจนกว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าเสียเอง ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไรวันนั้นจะมาถึง แต่เธอสามารถเป็นพระพุทธเจ้าได้ในขณะปัจจุบันนี้เลยทีเดียว
การยิ้มน้อยๆ นี้ไม่เพียงแต่เป็นผลจากสติและสันติสุขเท่านั้น แต่การยิ้มน้อยๆ ยังมีผลในการหล่อเลี้ยงและรักษาสติด้วย นี่เป็นปาฏิหาริย์ที่แท้จริง ขอเธออย่าได้ละเลยเป็นอันขาด เพราะมันเป็นบ่อเกิดแห่งความสุขของเธอ มันจะนำความสงบสุขและสติมาให้แก่เธอ ในขณะเดียวกันก็จะช่วยให้คนรอบข้างของเธอได้พบสันติสุขและสติด้วยเช่นกัน สิ่งนี้จะเปลี่ยนโลกนี้ให้กลายเป็นดินแดนบริสุทธิ์
ในขณะเดินจงกรม ขอให้เธออย่าลืมรักษารอยยิ้มน้อยๆ ไว้ มันจะช่วยให้เธอก้าวได้อย่างผ่อนคลายมากขึ้น สงบและมีสติมากขึ้น
สายร้อยแห่งมุก
รอยยิ้มน้อยๆ และก้าวที่สุขสงบ อาจเปรียบได้กับประกายแสงแห่งไข่มุกแต่ละเม็ด ลมหายใจของเธอคือเชือกร้อยไข่มุกทั้งหลายเข้าด้วยกันเป็นสาย ไม่มีการแยกขาดระหว่างไข่มุกสองเม็ด
ขอให้เธอหายใจอย่างมีสติ เช่นเดียวกับเวลาเธอเดินจงกรม การตามรู้ลมหายใจเป็นวิธีที่วิเศษในการประคองสติและความสุขสงบเอาไว้ และด้วยวิธีนี้ เธอได้หล่อเลี้ยงการก้าวแต่ละก้าวของเธอไว้ด้วย
การนับลมหายใจ และการก้าวเดิน
การหายใจอย่างมีสติแตกต่างจากการหายใจตามธรรมดา การหายใจอย่างมีสติ หมายความว่า เมื่อเธอหายใจ เธอรู้ว่าเธอกำลังหายใจ เมื่อเธอหายใจยาว เธอย่อมรู้ว่า เธอกำลังหายใจยาว และเช่นเดียวกัน เมื่อเธอหายใจสั้น เธอย่อมรู้ว่า เธอกำลังหายใจสั้น เมื่อเธอหายใจละเอียด เธอย่อมรู้อยู่ว่า เธอกำลังหายใจละเอียด เธออาจจะถามว่า เธอจะกำหนดรู้ทั้งการหายใจและการเดินในเวลาเดียวกันได้อย่างไร มันทำได้ หากว่าเราเชื่อมประสานการหายใจและการเดินเข้าด้วยกัน เราสามารถทำได้ โดยอาศัยวิธีนับ เรานับจำนวนก้าว หรือพูดอีกนัยหนึ่ง ก็คือ เราวัดความยาวของลมหายใจด้วยจำนวนก้าว เช่น เราก้าวได้กี่ก้าว เมื่อหายใจเข้า และก้าวได้กี่ก้าว เมื่อเราหายใจออก
สนิมชีวิต โดย ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์
> บทความที่ดีที่อยากให้อ่านกันค่ะ
>
> สนิมชีวิต โดย ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์
>
> "ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง อธิการบดีกล่าวในการประชุมคณาจารย์ว่า ต้องใส่ใจดูแลลูกศิษย์ให้ดี ลูกศิษย์ที่สอบได้คะแนน 100% จะกลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ระดับประเทศ ลูกศิษย์ที่สอบได้คะแนน 80% ก็จะได้เป็นครูบาอาจารย์ ผู้ที่สอบตกได้คะแนนต่ำกว่า 50% ก็จะกลายเป็นคนร่ำรวยกลับมาช่วยเหลือสนับสนุนมหาวิทยาลัย ลูกศิษย์ที่โกงข้อสอบก็อย่าไปเอาเรื่องเขา เพราะต่อไปพวกเขาจะเติบโตไปเป็นนักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่ ลูกศิษย์ที่เรียนไม่จบแล้วลาออกไปก่อนก็ต้องให้เกียรติอย่างเต็มที่ เพราะพวกเขาจะกลายเป็นบิล เกตต์ และสตีฟ จ๊อบส์ในอนาคต!"
> (เรื่องขำขันเสียดสีจากอินเตอร์เน็ตจีน)
>
> เรื่องเล่าข้างต้นนี้ เมื่ออ่านจบแล้วคงต้องใช้สำนวนกำลังภายในบรรยายความรู้สึกว่า
> "หัวร่อมิออก ร่ำไห้มิได้" เพราะเป็นเรื่องขบขันที่ชวนขมขื่นยิ่งนัก ที่ระบบการศึกษาไม่สามารถสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพสมกับการลงทุนและเวลาที่เสียไป
> คนที่เรียนจนจบปริญญาตรีต่อปริญญาโท ตามด้วยปริญญาเอก จนมีคำว่าดอกเตอร์นำหน้าชื่อ แต่ปรากฏว่ายิ่งเรียนสูงเท่าใดยิ่งห่างไกลจากการเป็น "ผู้สร้างธุรกิจ"
> ไม่เชื่อก็ลองสืบค้นดูประวัติของนักธุรกิจใหญ่ระดับแนวหน้าในประเทศไทย ก็จะพบว่าส่วนใหญ่ไม่ได้มีใบปริญญาหรือร่ำเรียนสูงสักเท่าไร
> ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะว่า คนที่ยิ่งเรียนสูงก็ยิ่งหลงตัวเองว่ามีความรู้ความสามารถเกินกว่าปรกติ ถ้าจบจากสถาบันที่มีชื่อเสียงก็ยิ่งจะอาการหนักมากขึ้น
> เห็นแต่ความสำคัญของตนเองมากกว่าคุณค่าของผู้อื่น ภาษาชาวบ้านเรียกอาการนี้ว่า "อีโก้จัด" แต่ผมอยากเรียกว่าเป็นอาการ "สนิมจับ" น่าจะเห็นภาพได้ชัดเจนกว่า
> สนิมนี้คือ "สนิมชีวิต" ที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นระหว่างการเติบโตในชีวิตของแต่ละคน เมื่อมีสถานะที่สูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นฐานะการเงิน วุฒิการศึกษา ตำแหน่งทางวิชาการหรือ
> ตำแหน่งบริหารในองค์กร ก็จะมีลูกน้องหรือผู้หวังจะได้ประโยชน์มาห้อมล้อมและแซ่ซ้องสรรเสริญอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ซึ่งเรื่องที่ถูกยกยอปอปั้นนั้นก็มีทั้งจริงบ้างเท็จบ้าง
> แต่ผู้ถูกสรรเสริญก็จะชอบฟังทั้งจริงทั้งเท็จ เพราะฟังแล้วไพเราะเพราะพริ้งยากจะหาสิ่งใดมาเปรียบ
> กระบวนการเหล่านี้ เสมือนน้ำบวกอากาศที่ก่อให้เกิดสนิมกัดกร่อนเนื้อเหล็กเพิ่มขึ้นตลอดเวลา นานวันเข้าสนิมก็พอกพูนจนบดบังเนื้อแท้จนหมดสิ้น
> เหล็กเองก็เริ่มมองไม่เห็นตัวเองและโลกที่แท้จริง จึงปล่อยตัวเองถลำลึกสู่ความเสื่อมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
> ถ้าบุคคลที่สนิมชีวิตจับเขรอะเช่นนี้ยังมีบุญอยู่ เขาก็จะยังเสวยสุขต่อไปได้อีกระยะ ยังสามารถขยายอาณาจักรเพิ่มเติมไปได้ด้วยพลังที่เหลืออยู่ จนถึงวันที่เขารู้สึกว่าถูกใครขัดใจไม่ได้อีกต่อไป ถ้าใครขวางทางของเขา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลหรือเจตนาอย่างไร เขาก็จะบันดาลโทสะและถือผู้นั้นเป็นศัตรูที่ต้องตอบแทนให้สาสม เขาจึงบ่มเพาะศัตรูเพิ่มขึ้นทุกขณะ จนกระทั่งหายนะมาเยือน
> ดังนั้น ผู้ที่มีธรรมะเป็นหลักในชีวิต จึงต้องหมั่นฝึกจิตให้รู้เท่าทันอยู่เสมอ อาจต้องพกกระดาษทรายติดตัวไว้เตือนสติตนเองว่า พร้อมจะขัดถูสนิมที่เกิดขึ้นตลอดเวลาด้วยความไม่ประมาท เมื่อใด ที่เริ่มรู้สึกว่าตัวเองชักไม่ธรรมดา ก็จงมองไปยังบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ทั้งในอดีตและปัจจุบัน จะได้เห็นว่าเรายังห่างไกลจากท่านเหล่านั้นเหลือเกิน มองตัวเองให้เห็นเป็นเหมือนมดเล็กๆ ตัวหนึ่งท่ามกลางมดเป็นล้านๆ ตัว ไม่ได้มีความสำคัญยิ่งใหญ่อะไรเลย เพราะถ้าเทียบกับโลกและจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล ตัวเราก็เล็กกว่าฝุ่นละออง เป็นเพียงเศษธุลีบนดาวเคราะห์ดวงนี้เท่านั้น และหากจะเปรียบกับความยืนยาวของประวัติศาสตร์หรืออายุของกาแล็คซี่ ชีวิตหนึ่งของเรานี้ก็เป็นเพียงเศษเสี้ยววินาทีเท่านั้น
> เมื่อตระหนักในสัจธรรมดังกล่าว เราจึงพึงให้เกียรติเพื่อนมนุษย์เสมอหน้ากันไม่ว่าจะอยู่ในฐานะหรือตำแหน่งสูงต่ำอย่างไรก็ตาม ล้วนสมควรได้รับการปฏิบัติจากเราด้วยความสุภาพอ่อนโยนเฉกเช่นเดียวกัน โดยไม่แบ่งชั้นวรรณะ เพราะโดยแก่นแท้แล้ว เราทุกคนต่างเป็นเพื่อนร่วมชะตากรรมที่กำลังกระเสือกกระสนอยู่ในกระแสแห่งวัฏสงสารด้วยกันทั้งสิ้น
> ชีวิตที่ปราศจากสนิม จะเป็นชีวิตที่สวยงามและแข็งแกร่งไม่ผุกร่อนโดยง่าย สามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างมั่นคงจนกว่าจะ
> ก้าวลงจากเวทีอย่างสง่างาม ไม่ต้องสะดุดหกล้มหัวคะมำกลางเวทีให้ผู้คนสมน้ำหน้า ก่อนที่ละครชีวิตจะปิดฉากลง...
>
> (บทความจาก CEO ซีพี ออลล์)
>
>
> Sent from my iPad
อรรถกถา อุลูกชาดก ว่าด้วย หน้าตาไม่ดีไม่ควรให้เป็นใหญ่
อรรถกถา อุลูกชาดก
ว่าด้วย หน้าตาไม่ดีไม่ควรให้เป็นใหญ่
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภการทะเลาะของกาและนกเค้า จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า สพฺเพหิ กิร ญาตีหิ ดังนี้.
ได้ยินว่า ในกาลครั้งนั้น กาทั้งหลายพากันกินนกเค้าทั้งหลายในตอนกลางวัน ฝ่ายนกเค้าทั้งหลาย จำเดิมแต่พระอาทิตย์อัศดงคต ก็พากันเฉี่ยวศีรษะของพวกกาที่นอนอยู่ในที่นั้นๆ ทำให้พวกกาเหล่านั้นถึงความสิ้นชีวิตไป. ศีรษะกาแม้มากมายเปื้อนเลือดประมาณ ๗-๘ ทะนานหล่นจากต้นไม้ ภิกษุรูปหนึ่งผู้อยู่ในบริเวณแห่งหนึ่งท้ายพระวิหารเชตวัน ต้องเก็บทิ้งในเวลากวาด.
ภิกษุนั้นจึงบอกเนื้อความนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย.
ภิกษุเหล่านั้นนั่งสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย ได้ยินว่า ในเวลาที่ภิกษุรูปโน้นกวาดจะต้องทิ้งศีรษะกาทั้งหลายมีประมาณเท่านี้ทุกวันๆ
พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งประชุมกันด้วยเรื่องอะไร? เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า มิใช่ในบัดนี้เท่านั้นน่ะ ภิกษุทั้งหลาย แม้ในกาลก่อน กากับนกเค้าก็ได้กระทำการทะเลาะกันมาแล้ว.
ภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กากับนกเค้าก่อเวรแก่กันและกันขึ้นในคราวไร พระเจ้าข้า?
พระศาสดาตรัสว่า จำเดิมแต่กาลอันเป็นปฐมกัปทีเดียว แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล ครั้งปฐมกัป มนุษย์ทั้งหลายประชุมกัน คัดเลือกบุรุษคนหนึ่งผู้มีรูปงาม ถึงความเป็นผู้เลิศด้วยความงาม สมบูรณ์ด้วยมารยาท บริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง แต่งตั้งให้เป็นพระราชา.
ฝ่ายสัตว์ ๔ เท้าก็ประชุมกันตั้งราชสีห์ให้เป็นพระราชา.
พวกปลาในมหาสมุทรก็ได้ตั้งปลาอานนท์ให้เป็นพระราชา.
ลำดับนั้น หมู่นกพากันประชุมที่หินดาดแห่งหนึ่งในหิมวันตประเทศ ปรึกษากันว่า ในหมู่มนุษย์พระราชาก็ปรากฏ ในสัตว์ ๔ เท้าและปลาทั้งหลายก็ปรากฏเหมือนอย่างนั้น แต่ในระหว่างพวกเรา พระราชายังไม่มี ธรรมดาว่า การอยู่โดยไม่มีที่พึ่ง ย่อมไม่ควร แม้พวกเราก็ควรจะได้พระราชา พวกเราจงกำหนดนกตัวหนึ่งผู้สมควรตั้งไว้ในตำแหน่งพระราชา. นกทั้งหลายพิจารณาหานกเช่นนั้น เห็นนกเค้าตัวหนึ่งก็ชอบใจ จึงกล่าวว่า เราชอบใจนกตัวนี้.
ลำดับนั้น นกตัวหนึ่งจึงประกาศขึ้น ๓ ครั้ง เพื่อต้องการหยั่งดูอัธยาศัยใจคอของนกทุกตัว. เมื่อนกตัวนั้นร้องประกาศอยู่ ๒ ครั้ง ก็ยังสงบเงียบอยู่.
ในเวลาจะประกาศครั้งที่ ๓ กาตัวหนึ่งลุกขึ้นกล่าวว่า ก่อนอื่น ในเวลาอภิเษกเป็นพระราชาครั้งนี้ หน้าของนกเค้าผู้ยังไม่โกรธ ยังเห็นปานนี้ก่อน เมื่อเขาโกรธ หน้าจักเป็นเช่นไร ก็พวกเขาผู้ถูกนกเค้าตัวนี้โกรธ แลดูแล้วจักแตกตื่นกันในที่นั้นทันที เหมือนเกลือที่ใส่ในกระเบื้องร้อนฉะนั้น การตั้งนกเค้านี้ให้เป็นพระราชา ข้าพเจ้าหาพอใจไม่.
เมื่อจะประกาศเนื้อความนี้ จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-
ได้ยินว่า พวกญาติทั้งปวงจะตั้งนกเค้าให้เป็นใหญ่ ถ้าพวกญาติอนุญาต ฉันจะขอพูดสักคำหนึ่ง.
ความของคาถานั้นว่า ฉันได้ฟังการกล่าวประกาศ ซึ่งกำลังเป็นไปอยู่นั้น จึงขอกล่าว. ได้ยินว่า พวกญาติที่มาประชุมกันนี้ทั้งหมด จะตั้งนกเค้าตัวนี้ให้เป็นพระราชา ก็ถ้าพวกญาติจะอนุญาตฉันไซร้ ฉันขอกล่าวอะไรๆ สักคำหนึ่งที่จะพึงกล่าวในสมาคมนี้.
ลำดับนั้น นกทั้งหลาย เมื่อจะอนุญาตกานั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
ดูก่อนสหาย เราทั้งหมดอนุญาตให้ ท่านพูด แต่จงพูดแต่ถ้อยคำที่เป็นอรรถและธรรมอย่างเดียว เพราะว่านกหนุ่มๆ ที่มีปัญญาและทรงญาณอันรุ่งเรือง ยังมีอยู่.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภณ สมฺม อนุญฺญาโต ความว่า ดูก่อนกาผู้สหาย พวกเราอนุญาต ท่านจงพูดสิ่งที่ควรพูดเถิด.
บทว่า อตฺถํ ธมฺมญฺจ เกวลํ ความว่า ก็เมื่อท่านจะกล่าวจงกล่าวอย่าให้ละเลยเหตุ และคำอันมีมาตามประเพณีเสีย.
บทว่า ปญฺญวนฺโต ชุตินฺธรา ความว่า พวกนกแม้หนุ่มๆ ที่สมบูรณ์ด้วยปัญญา และทรงแสงสว่างแห่งญาณความรู้ยังมีอยู่เหมือนกัน.
กาตัวนั้นอันพวกนกอนุญาตอย่างนั้นแล้ว จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :--
ขอความเจริญจงมีแก่ท่านทั้งหลาย การแต่งตั้งนกเค้าให้เป็นใหญ่ ข้าพเจ้าไม่ชอบใจ ท่านจงมองดูหน้าของนกเค้าผู้ไม่โกรธเถิด นกเค้าโกรธแล้วจักทำหน้าตาอย่างไร.
เนื้อความของคาถานั้นนั้นว่า
ขอความเจริญจงมีแก่ท่านทั้งหลาย การที่ท่านทั้งหลายทำการอภิเษกนกเค้าด้วยการประกาศ ๓ ครั้งนั้น ข้าพเจ้าไม่ชอบใจ ก็ท่านทั้งหลายจงมองดูหน้าของนกเค้านี้ผู้ดีใจยังไม่โกรธขณะนี้ เราไม่รู้ว่า ก็นกเค้านี้โกรธแล้วจักกระทำหน้าอย่างไร การตั้งนกเค้าให้เป็นใหญ่นี้ ข้าพเจ้าจึงไม่ชอบโดยประการทั้งปวง.
กานั้นครั้นกล่าวอย่างนี้แล้วบินร้องไปในอากาศว่า ข้าพเจ้าไม่ชอบใจ ข้าพเจ้าไม่ชอบใจ. ฝ่ายนกเค้าก็บินขึ้นไล่ติดตามกานั้นไป ตั้งแต่นั้นมา กากับนกเค้าจึงได้ผูกเวรกันและกัน.
นกทั้งหลายตั้งหงส์ทองให้เป็นพระราชา แล้วพากันหลีกไป.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจจะ แล้วทรงประชุมชาดก. ในเวลาจบสัจจะ คนเป็นอันมากได้เป็นพระโสดาบันเป็นต้น.
หังสโปดกผู้ได้รับอภิเษกให้เป็นพระราชาในกาลนั้น ได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาอุลูกชาดกที่ ๑๐
รวมชาดกที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. ปทุมชาดก ว่าด้วย ไม่ควรพูดให้เกินความจริง
๒. มุทุปาณิชาดก ว่าด้วย ความปรารถนาสมประสงค์ในกาลมีของ ๔ อย่าง
๓. จุลลปโลภนชาดก ว่าด้วย หญิงทำบุรุษให้งงงวย
๔. มหาปนาทชาดก ว่าด้วย ปราสาทของพระเจ้ามหาปนาท
๕. ขุรัปปชาดก ว่าด้วย ถึงคราวกล้าควรกล้า
๖. วาตัคคสินธวชาดก ว่าด้วย มิตรสันถวะเกิดแต่แรกพบ
๗. สุวรรณกักกฏกชาดก ว่าด้วย ปูทอง
๘. อารามทูสกชาดก ว่าด้วย เหตุที่นายอุยยานบาลจะถูก
๙. สุชาตาชาดก ว่าด้วย ถ้อยคำไพเราะทำให้คนรัก
๑๐. อุลูกชาดก ว่าด้วย หน้าตาไม่ดีไม่ควรให้เป็นใหญ่
จบ ปทุมวรรคที่ ๒
-----------------------------------------------------
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=27&i=409
คิดบวก ชีวิตบวก Positive Thinking, Positive Life
คิดบวก ชีวิตบวก
Positive Thinking, Positive Life
เวลาเจองานหนัก
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือโอกาส
ในการเตรียมพร้อม
สู่ความเป็นมืออาชีพ
เวลาเจอปัญหาซับซ้อน
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทเรียน
ที่จะสร้างปัญญาได้อย่างวิเศษ
เวลาเจอความทุกข์หนัก
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือความฝึกหัด
ที่จะช่วยให้เกิดทักษะในการดำเนินชีวิต
เวลาเจอนายจอมละเมียด
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการฝึกตน
ให้เป็นคนสมบูรณ์แบบ (perfectionist)
เวลาเจอคำตำหนิ
ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการชี้ขุมทรัพย์มหาสมบัติ
เวลาเจอคำนินทา
ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการสะท้อนว่าเรายังคงเป็นคนที่มีความหมาย
เวลาเจอความผิดหวัง
ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือวิธีที่ธรรมชาติ
กำลังสร้างภูมิคุ้มกันให้กับชีวิต
เวลาเจอความป่วยไข้
ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการเตือนให้เห็นคุณค่า
ของการรักษาสุขภาพให้ดี
เวลาเจอความพลักพราก
ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบทเรียนของการรู้จักหยัดยืนด้วยขาตัวเอง
เวลาเจอลูกหัวดื้อ
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือโอกาสทอง
ของการพิสูจน์ความเป็นพ่อแม่ที่แท้จริง
เวลาเจอแฟนทิ้ง
ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือความเป็นอนิจจัง
ที่ทุกชีวิตมีโอกาสพานพบ
เวลาเจอคนที่ใช่
แต่เขามีคู่แล้ว
ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือประจักษ์พยานว่า
ไม่มีใครได้ทุกอย่างดั่งใจหวัง
เวลาเจอภาวะหลุดจากอำนาจ
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือความเป็นอนันตา
ของชีวิตและสรรพสิ่ง
เวลาเจอคนกลิ้งกะล่อน
ให้บอกตัวเองว่า นี่คืออุทาหรณ์ของชีวิต
ที่ไม่น่าเจริญรอยตาม
เวลาเจอคนเลว
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือตัวอย่าง
ของชีวิตที่ไม่พึงประสงค์
เวลาเจออุบัติเหตุ
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือคำเตือนว่า
จงอย่าประมาทซ้ำอีกเป็นอันขาด
เวลาเจอศัตรูคอยกลั่นแกล้ง
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบททดสอบที่ว่า
"มารไม่มีบารมีไม่เกิด
เวลาเจอวิกฤต
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทพิสูจน์ธรรม
"ในวิกฤตย่อมมีโอกาส"
เวลาเจอความจน
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือวิธีที่ธรรมชาติ
เปิดโอกาสให้เราได้ต่อสู้ชีวิต
เวลาเจอความตาย
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือฉากสุดท้าย
ที่จะทำให้ชีวิตมีความสมบูรณ์
Reference: D-Life (magazine of Life)
ประชาชาติธุรกิจ :
1 ตุลาคม 2550 ฉบับที่ 13
หน้าที่ 22 D I Dhamma Intrend
เรื่อง...ว.วชิรเมธี
หนังสือคนพอเพียง เลี้ยงชีพด้วยการให้ แบ่งปัน เสียสละชีวิตที่มั่นคง มีคุณค่า และผาสุกที่สุดในโลกโดย หมอเขียว
หนังสือคนพอเพียง เลี้ยงชีพด้วยการให้ แบ่งปัน เสียสละชีวิตที่มั่นคง มีคุณค่า และผาสุกที่สุดในโลกโดย หมอเขียว : ใจเพชร กล้าจน แพทย์วิถีธรรมและครูฝึกแพทย์แผนไทย ศูนย์สุขภาพสวนป่านาบุญนักวิชาการสาธารณสุขชำานาญการ โรงพยาบาลอำานาจเจริญคำานำาแท้จริงแล้วสิ่งที่ดีที่สุดสำาหรับคนทุกคนก็คือ ชีวิตที่มั่นคง มีคุณค่าและผาสุก ซึ่งตามความคิดของคนทั่วไปส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่า ความรวยเท่านั้น ที่จะทำาให้ได้มาซึ่งสิ่งดังกล่าว แต่พระพุทธเจ้า ในหลวง และปราชญ์แห่งความดีงามที่แท้จริงแต่ละท่าน กลับมีความคิดและความจริงที่ตรงกันข้ามกับคนทั่วไป คือ ท่านเหล่านั้นล้วนพบตรงกันว่า การมีกินมีใช้ส่วนตัวให้น้อยที่สุดเท่าที่พอดี เท่าที่จำาเป็น เท่าที่ไม่ทรมานตน ในส่วนที่เกินความพอดี เกินความจำาเป็นก็แบ่งปันเสียสละไปยังบุคคล/สถานที่ที่ควรให้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำาได้ เป็นสิ่งที่จะทำาให้ชีวิตมั่นคง มีคุณค่าและผาสุกที่สุดในโลก ผู้เขียนได้ทดลองฝึกฝนปฏิบัติทั้งสองแนวคิด จึงได้พบว่า การที่จะได้ชีวิตที่มีสภาพดังกล่าวนั้นเกิดจากการปฏิบัติตามแนวคิดของพระพุทธเจ้า ในหลวง และปราชญ์แห่งความดีงามที่แท้จริงแต่ละท่าน และเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งว่า เมื่อผู้เขียนพยายามทำาให้ตัวเองรวยมากขึ้นๆ กลับให้ผลตรงกันข้าม ผู้เขียนได้สังเกตและเก็บข้อมูลจากการปฏิบัติตัวของท่านอื่นๆก็ให้ผลทำานองเดียวกัน จึงได้นำาข้อมูลเรื่องราวที่ผู้เขียนได้เรียนรู้ฝึกฝน มาเล่าให้ผู้เข้าอบรมค่ายสุขภาพวิถีธรรม ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง ณ ศูนย์เรียนรู้สุขภาพพึ่งตนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง สวนป่านาบุญ อำาเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร ได้ทราบข้อมูล หลังจากอบรมก็มีหลายท่านต้องการเนื้อหาดังกล่าว ผู้เขียนจึงได้จัดทำาเป็นหนังสือเล่มนี้ ด้วยการถอดเทปและปรับปรุงเนื้อหาการบรรยายเพิ่มเติม เพื่อให้เนื้อหาสมบูรณ์และเป็นประโยชน์กับผู้อ่านมากที่สุดเท่าที่จะทำาได้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือเล่มนี้จะพอเป็นประโยชน์กับท่านผู้อ่านบ้าง
Page 2
จริงใจ ไมตรี มีอภัย ไร้ทุกข์ใจเพชร กล้าจน คนพอเพียง คนพอเพียง จะเลี้ยงชีพด้วยการให้ แบ่งปัน เสียสละ จึงทำาให้ชีวิตเป็นอยู่อย่างคนจน เพราะยิ่งให้ แบ่งปัน เสียสละ ในสิ่งที่เกินความจำาเป็นของชีวิตออกไปมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเหลือทรัพย์สมบัติของกินของใช้ส่วนตัวน้อยลงเท่านั้นๆ ถ้ามองเผินๆการปฏิบัติดังกล่าว น่าจะทำาให้ชีวิตมีแต่ความทุกข์ ลำาบาก ขาดแคลน เสียเปรียบ โง่ที่สุดในโลก แต่เชื่อหรือไม่ว่า คนที่ขยันทำากิจกรรม/การงาน/กุศลธรรม/สิ่งที่ดีงามต่างๆอย่างเต็มที่ ตัวเองก็กินน้อยใช้น้อยแค่พอดีสบาย ไม่มากหรือน้อยเกินจนทรมานตน เก็บสิ่งที่จำาเป็นไว้เท่าที่จะสามารถดำาเนินหน้าที่กิจกรรมการงานไปได้ ที่เหลือทำาการให้ แบ่งปัน เสียสละ ไปในบุคล/สถานที่ที่ควรให้ อันเป็นคุณสมบัติ/คุณลักษณะของคนพอเพียงที่แท้จริง กลับเป็นสุดยอดแห่งความชาญฉลาดของการปฏิบัติตน ที่ทำาให้ชีวิตมั่นคง มีคุณค่า และผาสุกที่สุดในโลก พระพุทธเจ้า ในหลวง และปราชญ์แห่งความดีงามที่แท้จริงแต่ละท่าน ล้วนเป็นต้นแบบของคนพอเพียงที่แท้จริง เพราะแต่ละท่านล้วนขยันกระทำาในสิ่งที่ดีงาม แต่กินใช้ส่วนตัวเพียงเล็กน้อย ดังคำาตรัสของพระพุทธเจ้าว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวธรรมของภิกษุ (ผู้ปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์) ซึ่งเป็น ผู้สันโดษ (ยินดีในความมักน้อยอย่างพอเหมาะ) อยู่เสมอ ด้วยปัจจัย (สิ่งที่จำาเป็นในการยังชีพ)ที่น้อย หาได้ง่ายและไม่มีโทษ ว่าเป็นองค์ (องค์คุณองค์ประกอบ) แห่งความเป็นสมณะ (ผู้สงบจากทุกข์ผู้พ้นทุกข์)” (พระไตรปิฎก เล่ม ๒๕ ข้อ ๒๘๑) จะเห็นได้ว่า พระพุทธเจ้าค้นพบว่า ผู้ที่จะพ้นทุกข์ได้อย่างแท้จริงนั้น จะต้องใช้สิ่งจำาเป็นในการยังชีพที่น้อย หาได้ง่ายและไม่มีโทษ ดังนั้น วิธีการที่ประหยัด เรียบง่าย จึงเป็นคำาตอบของการพ้นทุกข์ พระองค์ท่านทรงค้นพบว่า การดับทุกข์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ใช้สิ่งที่หาได้ง่าย อยู่ในตัวหรือใกล้ตัวเรา มาปรับสมดุลทั้งร่างกายและจิตใจสอดคล้องกับพระราชดำารัสเศรษฐกิจพอเพียง (๔ ธ.ค.๓๔) “เราเลยบอกว่า ถ้าจะแนะนำาก็แนะนำาได้ ต้องทำาแบบ “คนจน” เราไม่เป็นประเทศร่ำารวย เรามีพอสมควร พออยู่ได้ แต่ไม่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก เพราะถ้าเราเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก ก็จะมีแต่ถอยหลัง ประเทศเหล่านั้น ที่เป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมก้าวหน้า จะมีแต่ถอยหลัง และถอยหลังอย่างน่ากลัว”“แต่ถ้าเรามีการบริหาร แบบเรียกว่าแบบ “คนจน” แบบไม่ติดกับตำารามากเกินไป ทำาอย่างมีสามัคคีนี่แหละ คือเมตตากันก็จะอยู่ได้ตลอดไป คนที่ทำางานตามวิชาการ จะต้องดูตำารา เมื่อพลิกไปถึงหน้าสุดท้ายแล้ว ในหน้าสุดท้ายนั้น เขาบอก “อนาคตยังมี” แต่ไม่บอกว่าให้ทำาอย่างไร ก็ต้องปิดเล่มคือปิดตำารา ปิดตำาราแล้ว ไม่รู้จะทำาอะไร ลงท้ายก็ต้องเปิดหน้าแรกใหม่ เปิดหน้าแรกก็เริ่มต้นใหม่
Page 3
ถอยหลังเข้าคลอง แต่ถ้าเราใช้ ตำาราแบบ “คนจน” ใช้ความอะลุ่มอล่วยกัน ตำารานั้นไม่จบ เราจะก้าวหน้าเรื่อยๆ ” จะเห็นได้ว่า ในหลวงทรงพบว่า การแก้ปัญหาหรือพัฒนาที่ก้าวหน้าที่สุดนั้น ต้องกระทำาอย่างประหยัดที่สุดคือใช้เงินหรืออุปกรณ์ต่างๆ ให้น้อยที่สุด (ทำาแบบ คนจน) แต่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดเมื่อส่วนตัวกินใช้เพียงเล็กน้อย ทำากิจกรรมการงานด้วยสิ่งที่ประหยัดเรียบง่ายที่สุด แต่เกิดประโยชน์สูงที่สุดเท่าที่จะทำาได้ ซึ่งก็เหมือนกับการใช้ชีวิตแบบคนจน ที่เหลือก็แบ่งปันเกื้อกูลผู้อื่น ก็จะทำาให้เราและผองชนได้ประโยชน์สุขในชีวิต ดังคำาตรัสของพระพุทธเจ้าที่ว่า “ให้ของดี ย่อมได้ของดี” (องฺ.ปญฺจก. เล่ม ๒๒ ข้อ ๔๔), “ปราชญ์ผู้ให้ความสุข ย่อมได้รับความสุข”(องฺ.ปญฺจก. เล่ม ๒๒ ข้อ ๔๕), “ผู้ให้สิ่งที่เลิศ ย่อมได้สิ่งที่เลิศอีก”(องฺ.ปญฺจก. เล่ม ๒๒ ข้อ ๕๖), “ผู้ให้สิ่งที่ประเสริฐ ย่อมถึงฐานะที่ประเสริฐ” (องฺ.ปญฺจก. เล่ม ๒๒ ข้อ ๔๖), “นอกจากการแบ่งปันเผื่อแผ่กันแล้ว สัตว์ทั้งปวงหามีที่พึ่งอย่างอื่นไม่” (พระไตรปิฎก เล่ม ๒๘ ข้อ ๑๐๗๓) ซึ่งเราต้องทำาสิ่งดังกล่าวด้วยตัวของเราเอง ดังคำาตรัสของพระพุทธเจ้าที่ว่า “ตนแลเป็นที่พึ่งของตน” (พระไตรปิฎก เล่ม ๒๕ ข้อ ๒๒)ดังนั้นการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐ มีคุณค่าและผาสุก ก็คือชีวิตที่เกิดมาเพื่อพึ่งตนและช่วยคนให้พ้นทุกข์ นี้คือคุณค่าแท้ของชีวิต ดังนั้น ภารกิจที่ดีที่สุดในโลก คือ ทำาอย่างไรก็ได้ให้ชีวิตตนมีความผาสุกอย่างยั่งยืนด้วยสิ่งที่ประหยัดเรียบง่าย แล้วทำาให้เพื่อนร่วมโลกผาสุกอย่างยั่งยืนด้วยสิ่งที่ประหยัดเรียบง่าย เท่าที่จะทำาได้มีอาจารย์ท่านหนึ่งซึ่งเป็นอาจารย์จากดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล มาคุยกับผมว่าที่หมอเขียวมาบ่นๆว่าโรงเรียนนั้นโรงเรียนนี้ไม่ค่อยได้สอนเรื่องความผาสุกที่แท้จริงเลย อาจารย์ท่านนั้นก็เล่าให้ผมฟังว่า ก็มีหลายท่านพยายามทำาอยู่ เราก็ดีใจนะ มีหลายท่านพยายามทำาอยู่ ไม่ใช่เราทำาคนเดียว มีคนบุญมีเทวดามาช่วยกันคนละไม้คนละมือ อาจเพราะหูตาเราไปไม่ถึงก็ได้ จริงๆก็พอเห็นอยู่บ้าง แต่ผู้ที่จะสอนวิชาให้คนผาสุกอย่างยั่งยืนนั้นมีน้อย เพราะแต่ละท่านที่ทำาอยู่มันจะยากมาก แต่สอนวิชาให้เก่งนั้นง่ายและมีมาก แต่เมื่อไม่มีคุณธรรมแล้ว ความเก่งจะเป็นความโง่ที่ทำาร้ายตัวเองและผู้อื่น คนที่ไม่มีคุณธรรม เขาจะเอาความเก่งมาทำาร้ายตัวเองและสังคม ไม่มีประโยชน์อะไร เก่งแล้วไร้ค่า ถ้าไม่มีคุณธรรม ความจริงแย่กว่าไร้ค่า เพราะเลวร้ายกว่าไร้ค่า วันนี้ผมจะพูดถึงชีวิตที่มีความผาสุกอย่างยั่งยืนว่าจะทำาได้อย่างไร ลองปฏิบัติพิสูจน์ดู การทำาความดีจะทำาให้ได้ความผาสุกที่ยั่งยืน ความดีที่สำาคัญอันหนึ่งคือความจน ความจนคือสิ่งที่มีค่าที่สุดสำาหรับชีวิต ชีวิตใครจนได้ ชีวิตนั้นมีความผาสุกได้ ชีวิตใครจนไม่ได้ ชีวิตนั้นก็ไม่มีความผาสุกที่แท้จริง ครูบาอาจารย์ของผมยกให้ในหลวงองค์นี้ เป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง ใครจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม พระโพธิสัตว์ คือ ผู้ที่จะมาบำาเพ็ญให้ผองชนมีความผาสุกมากที่สุดเท่าที่จะทำาได้ นั่นคือหน้าที่ของพระโพธิสัตว์ ในเมื่อท่านมาบำาเพ็ญเพื่อให้มนุษย์เป็นอยู่อย่างผาสุก แล้วทำาไมท่านตรัสเรื่องความจนเอาไว้ ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ว่า การใช้สิ่งที่ประหยัดเรียบง่าย จะทำาให้พ้นทุกข์ ก็แปลว่าจนนั่นแหละ ซึ่ง
Page 4
สอดคล้องกับที่ในหลวงตรัสไว้ ต้องทำาแบบคนจน ประหยัด ไม่ต้องกินใช้มากก็ได้ ถ้าพี่น้องฟังเข้าใจจะเหมือนยกภูเขาออกจากอกเลยจนแบบในหลวงน่ะ จนแบบมีอยู่มีกินนะ ไม่ใช่ไม่มีอยู่ไม่มีกิน ไม่ใช่จนแบบสิ้นไร้ไม้ตอก หลายคนเข้าใจว่าเป็นความจนแบบสิ้นไร้ไม้ตอก ไม่ใช่นะ เป็นความจนอีกแบบ จนแบบมีอยู่มีกิน เหลืออยู่เหลือกิน(มีเหลือแบ่งปัน) จนแบบมีความสุขที่สุดในโลก สุขกว่าคนรวย สุขกว่าคนจนที่สิ้นไร้ไม้ตอก สุขกว่าคนที่มีฐานะปานกลางแบบทั่วไป สุขแบบคนจนที่ไร้กังวล เป็นคนจนที่มีคุณค่าและผาสุกที่สุดในโลก“อุตสาหกรรม ถ้ามีมากเกินไปจะเป็นภัย” ในหลวงท่านตรัสเลยว่า ประเทศที่มีอุตสาหกรรมก้าวหน้ามากเกินไปมีปัญหาแน่ๆ ไม่ใช่จะไม่มีอุตสาหกรรมเลยนะ ให้มีแบบสมควร แต่ถ้ามีมากไปจะเป็นภัยเป็นโทษมากกว่าเป็นประโยชน์ ที่เขาไม่บอกว่าให้ทำาอย่างไร ก็เพราะว่าเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำาอย่างไร นักวิชาการทั้งหลายที่เด่นๆ อยู่ในโลก เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน เขาจึงเปิดๆ ปิดๆ ตำาราอยู่นั่นแหละ เพราะเป็นตำาราที่แก้ทุกข์ไม่ได้นั่นแหละแบบเก่า แต่ในหลวงท่านตรัสว่า ถ้าใช้ตำาราแบบคนจน ใช้แบบอลุ้มอล่วยกัน จะก้าวหน้าเรื่อยๆ ทำาไมในหลวงผู้เป็นประมุขของประเทศจึงมีปรัชญาแนวคิดนโยบายให้ประชาชนมาจน แล้วบอกว่าจะก้าวหน้าเรื่อยๆ ถ้าคนฟังไม่เข้าใจ จะหูหักเลยจริงๆ แล้วบอกว่ามาจนนะดี ถ้าจนอย่างมีคุณค่าและผาสุก คือ จนอย่างมีชิวิตที่มั่นคง มีคุณค่าและผาสุก ซึ่งเป็นคนจนอีกประเภทหนึ่งที่ในระบบปกติทั่วไปไม่รู้ จึงไม่สอนกัน แต่ถ้าใครทำาได้จะมีความสุขที่สุดในโลกจนอย่างไร คือ ฝึกให้และฝึกทำางานฟรี ซึ่งเป็นคนจนที่มีคุณสมบัติ/คุณธรรม ๕ ประการ ได้แก่๑. พึ่งตน พึ่งตนในปัจจัย ๔ ได้ พึ่งตนในการดับทุกข์ของตัวเองได้๒. เรียบง่าย มีชีวิตที่เรียบง่าย ไม่รบกวนใคร ไม่รบกวนโลก สามารถใช้ทรัพยากรที่มีอยู่เพื่อแก้ปัญหาชีวิตหรือให้เกิดประโยชน์ในการดำารงชีวิตหรือให้เกิดประโยชน์ในการดำาเนินกิจกรรมการงาน จึงเป็นประโยชน์ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น เขาจะอยู่ได้อย่างผาสุก๓. ประหยัด จะกินน้อยใช้น้อย เท่าที่จะไม่ขาดแคลน ไม่ทรมานตน หรือเท่าที่จะสมบูรณ์แบบที่สุด๔. ขยัน เพียรเต็มที่และพักพอดี๕. แบ่งปัน จากการปฏิบัติคุณธรรมทั้ง ๔ ข้อ คือ พึ่งตน เรียบง่าย ประหยัด ขยัน จะทำาให้มีเหลือ ในส่วนเหลือถ้าเก็บเอาไว้จะเป็นภาระเป็นภัยทั้งต่อตนเองและผู้อื่น แต่ถ้าแบ่งปันออกไปก็จะเป็นบุญทั้งต่อตนเองและผู้อื่น คุณสมบัติ/คุณธรรมข้อนี้ จะเป็นสิ่งที่ทำาให้ชีวิตความสุขมากที่สุด และเป็นหลักประกันที่แท้จริงของความมั่นคงในชีวิต“ความสุขที่ซื้อไม่ได้ คือการแบ่งปัน/เสียสละ” คุณจะไม่มีความรู้สึกสุขแบบนี้ได้เลย ถ้าคุณไม่แบ่งปัน คือแม้คุณจะมีเงินเป็นล้านๆ แต่คุณก็จะไม่มีความสุข หรือได้ความรู้สึกว่าสุขที่สุดได้เลย ถ้าไม่แบ่งปัน คุณจะไม่มีความสุขเลย “ต้องให้ จนไม่มีอะไรจะเอา” จึงจะเกิดสภาพ “ให้ จนไม่มีอะไรจะทุกข์” ชีวิตที่มั่นคง คือ ชีวิตที่ให้และเสียสละอย่างแท้จริง เรามาเรียนรู้ว่า ผู้ที่ให้จะมีความสุขอย่างไร ผู้ที่ให้จะยิ่งมีความสุขที่สุดในโลก ผู้ที่ให้คือผู้ทำางานฟรี อาชีพทำางานฟรี คือ เป็นอาชีพที่ดีที่สุดในโลก เป็นอาชีพที่มั่นคง มีคุณค่าและผาสุกที่สุดในโลก
Page 5
ประโยชน์ของการเสียสละ ของการทำางานฟรี จะมีอานิสงค์อย่างน้อย ๗ ประการขออนุญาตยกตัวอย่างตัวผมเอง อาจจะดูไม่งามนักที่ยกตัวอย่างตัวเอง แต่ก็เป็นความจริงที่สุดที่ผมเชื่อถือได้มากที่สุด เพราะสิ่งนั้นเกิดกับตัวผมเอง ผมได้ฝึกทำางานฟรีมา ๑๕ ปี ไม่เอาค่าตอบแทนใดๆมาเป็นของตัวเอง ถ้าเขาให้เราก็เอาเข้ากองบุญ ทุกวันนี้ไม่มีเงินส่วนตัวสักบาท มีศูนย์บาท กรรมการกองบุญเขาให้ก็ใช้ เขาไม่ให้ก็ไม่เป็นไรผมได้พบ อานิสงส์(ประโยชน์) ๗ ประการ คือ๑. ไม่ตกงาน คนจะใช้งานเราอย่างตะบี้ตะบัน ช่วยทำาให้หน่อย ต่อให้มีวิชาล้างจานอย่างเดียว เราก็ไม่ตกงาน คนทำางานฟรีจะมีงานทำาทุกวันทั้งปีทั้งชาติ๒. จะพอกินพอใช้ ถ้าเราไปทำางานฟรีๆ ไปช่วยเหลือคนฟรีๆ ไปเข้าบ้านไหน บ้านนั้น บ้านนี้ ไปขอล้างจานฟรี เชื่อว่าจะไม่อดตาย แม้ว่าจะไม่ขอของกินของใช้ก็ตาม เชื่อมั๊ยว่าเราจะพอกินพอใช้ กินใช้ไม่หมด ต่อให้เราไม่ต้องขอ ถ้าเราไปล้างจาน เขาจะให้เอง เขาไม่ให้ก็ไม่เอา ผลจากการทำางานฟรีผมอยากให้ท่านลองทายว่า จะเป็นข้อไหน ถ้าเรากินทั้งหมดที่เขาให้โดยไม่ต้องขอของกินของใช้ แต่ถ้าเขาให้ก็เอาเพราะชีวิตก็ต้องกินต้องใช้ ระหว่างอดตายกับพุงแตกตาย จะเกิดผลข้อไหน ผมรับรองว่าพุงแตกตาย อย่าว่าแต่พอกินพอใช้เลย จะเหลือกินเหลือใช้ด้วย ซึ่งเป็นอานิสงค์ข้อที่ ๓๓. เหลือกินเหลือใช้ จะมีคนเอามาให้ตลอด อย่างผมไม่มีปัญญาซื้อรถ ก็จะมีคนเรียกร้องให้ขึ้นรถตลอด ขึ้นเครื่องบิน ขึ้นจนเมื่อยเลย ยิ่งกว่ารัฐมนตรี คนเขาเรียกร้องให้ไปขี้น ขึ้นจนเมื่อยเลยนะ คนหลายคนเขาคงแปลกๆงงๆ คนนี้ไม่มีรองเท้าใส่ แต่ก็ขึ้นเครื่องบินประจำาเลยที่พอกินพอใช้ เหลือกินเหลือใช้ เพราะคนจะเลี้ยงไว้ ถ้าเราทำางานเสียสละ คนจะเลี้ยงเราไว้ เขาเลี้ยงเอาไว้ใช้งานไง คนอย่างนี้อย่าเพิ่งให้ตาย เขาไม่อยากให้เราตาย เขาจะรักและถนอมเรามาก จะได้ใช้งานนานๆหน่อย เราก็ทำางานเต็มที่ เต็มใจ สุดฝีมือ คนเขาก็ยิ่งชอบ ทำางานฟรี บางทีเราทำางานล่วงเวลา บรรยายจนคนฟังเมื่อยเลย คนฟังแทบแย่ แต่คนพูดยังมีพลังลุยเต็มที่ การทำางานฟรีในอนาคตจะเป็นอาชีพของผู้เสียสละ อาชีพของผู้ฉลาดและผู้ประเสริฐที่แท้จริง๔. จะมีมิตรเต็มเมือง ผู้ที่ให้จะมีมิตรเต็มเมือง จะมีญาติพี่น้องทางธรรมเยอะไปหมด ตอนนี้ผมไปนอนจังหวัดไหนก็ได้ ไปจังหวัดไหนก็มีญาติพี่น้องทางธรรมทุกจังหวัด เพราะมาเข้าค่ายทุกจังหวัดแล้ว ญาติพี่น้องทางธรรมก็ขอให้ผมไปอยู่ไปกินไปใช้ในทรัพย์สมบัติของท่านเหล่านั้น ทุกจังหวัดทุกเวลา ก็ต้องขอขอบพระคุณในน้ำาใจของพี่น้องทางธรรมทุกท่าน แต่ผมก็ไม่มีปัญญา ไปอยู่ไปกินไปใช้ได้ทั้งหมดทุกที่ ไปได้แค่บางที่บางเวลาที่เหตุปัจจัยจัดสรรให้ได้ไปทำาประโยชน์ให้ประชาชนเท่านั้น ๕. แม้เราทำาเป็นอย่างเดียว แต่ก็จะได้หลายอย่างในเวลาเดียวกันได้ ต่อให้คนที่ให้เขามีความสามารถเพียงอย่างเดียว ถ้าเขาเป็นผู้ให้อย่างสุดความสามารถเลยนะ เขาจะได้หลายอย่างเลย ตรงกันข้ามถ้าคนที่มีความสามารถทำาได้ทุกอย่าง แต่ถ้าไม่ให้ไม่แบ่งปันใครเลย เขาจะไม่สามารถได้หลายอย่างในเวลาเดียวกัน อย่างเรามีความสามารถอย่างเดียว แต่เราไปช่วยคนขับรถ คนสอนหนังสือเป็น คนดำานาเป็น ช่วยคนทำาสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็น เวลาเราเดือนร้อน เขาก็จะมาช่วยเรา ต่อให้ไม่เดือนร้อน เขาก็อยากช่วยเรา นี้เป็นสัจจะ เป็นสังคมศาสตร์ธรรมดา
Page 6
แต่ที่ลึกซึ้งกว่านี้ก็มี คือเมื่อเราให้สิ่งที่ดีไปแล้ว ต่อให้คนๆนั้นไม่ตอบแทนคุณ ถามว่าเราได้มั๊ย เราได้สิ่งที่ดี ทำาความดี ได้วิบากดีแล้ว วิบากดีจะส่งผลดีให้เรา ซึ่งเป็นผลดีหลากหลายรูปแบบที่เราคาดคิดไม่ถึง ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ให้ของดี ย่อมได้ของดี” (องฺ.ปญฺจก. เล่ม ๒๒ ข้อ ๔๔), “ปราชญ์ผู้ให้ความสุข ย่อมได้รับความสุข”(องฺ.ปญฺจก. เล่ม ๒๒ ข้อ ๔๕), “ผู้ให้สิ่งที่เลิศ ย่อมได้สิ่งที่เลิศอีก”(องฺ.ปญฺจก. เล่ม ๒๒ ข้อ ๕๖), “ผู้ให้สิ่งที่ประเสริฐ ย่อมถึงฐานะที่ประเสริฐ” (องฺ.ปญฺจก. เล่ม ๒๒ ข้อ ๔๖), “นอกจากการแบ่งปันเผื่อแผ่กันแล้ว สัตว์ทั้งปวงหามีที่พึ่งอย่างอื่นไม่” (พระไตรปิฎก เล่ม ๒๘ ข้อ ๑๐๗๓) หลายคนไม่เข้าใจตรงนี้ พอไปทำาความดีให้เขาแล้ว เขาไม่ตอบแทนความดีให้เรา แล้วเราก็น้อยใจ เจ็บใจ ฉันอุตส่าห์ทำาดีกับเขา เขาก็ไม่ตอบแทนบุญคุณเรา แถมหักหลังเราอีกต่างหากความจริงเขายอมให้เราทำาความดีกับเขา ก็ต้องขอขอบคุณเขาอย่างมากแล้ว เพราะเราได้ทำาดีแล้ว ได้วิบากดีๆ แล้ว รอรับผลดีอย่างเดียวแล้ว คนยอมให้เราทำาดีนั้นดีที่สุดแล้ว เราได้ทำาแล้ว ได้สั่งสมพลังงานดีแล้ว ทำาวิบากดี วิบากดีก็รอส่งผลดีให้เราแล้ว เราจะไปเอาอะไรกับเขาอีก ทำาไมเราเป็นคนโลภจัง จะไปเอาอะไรกับเขาอีก ถือเป็นความกรุณาอย่างสูงส่งแล้ว ถือเป็นการสั่งสมพลังงานดี และถ้ายิ่งโดนเขาด่าอีก ยิ่งได้สองต่อ เพราะเราได้รับสิ่งที่ไม่ดีเท่าไหร่ เวรกรรมเราก็หมดเท่านั้นๆ เขาช่วยทำาให้วิบากที่ไม่ดีของเราหมดไป เราจะไปโกรธเขาทำาไมล่ะ อย่าไปทุกข์เลย ได้สองต่อเลย ความดีก็ได้ เวรกรรมก็หมด ขาดทุนตรงไหน มีแต่กำาไร ทำาดีมีแต่กำาไร ไม่มีอะไรขาดทุนเลย ชีวิตจะไม่มีอะไรขาดทุนเลย ถ้าทำาดีจะมีแต่กำาไร ผมยังไม่เคยเห็นอะไรขาดทุนเลย คนไม่ทำาดีซิ ไม่ให้ ไม่แบ่งปันใครๆ คนๆนั้นไม่มีกำาไรเลยมีแต่ขาดทุนอย่างเดียวถามว่า ถึงเรามีความสามารถหลายอย่างมากมาย แต่ไม่เคยให้ใครเลย ถามว่าเราสามารถทำาทุกอย่างในเวลาเดียวกันได้ไหม ไม่ได้ใช่ไหม เรามีความสามารถมากมาย แต่ไม่เคยให้เลย เราก็จะไม่ได้ในสิ่งดีที่ควรได้ “คนที่ให้คือคนที่ได้” “คนที่ไม่ให้คือคนที่ไม่ได้” คนโง่ที่แท้จริง คือ คนที่มีความสามารถแต่ไม่เคยให้ใคร ก็จะไม่ได้สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต คุณก็จะซวยตลอด นี่เป็นสัจจะนะ ฟังยากนะ มีโรงเรียนไหนสอนแบบนี้มั๊ย ส่วนใหญ่มีแต่จะสอนให้มีอาชีพสังคมบอกว่าสูง ค่าตอบแทนเยอะๆ สอนให้รวย มาที่นี่นะสอนกลับกันเลย ที่นี่สอนว่า ทำาอย่างไรจะจนได้ ลูกศิษย์ผมมุ่งมาจนทั้งนั้น สอนวิชาจน อย่างมีชีวิตที่มั่นคง มีคุณค่า และผาสุกที่สุดในโลก นี่เป็นสัจจะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ๖. ธุรกิจจะมั่นคง ไม่ว่าจะทำาธุรกิจที่เป็นสัมมาอาชีพอะไร ธุรกิจนั้นจะมั่นคง ทำาไมถึงมั่นคง เพราะคนที่เราเกื้อกูลไว้เขาจะช่วยไว้ จะไม่ให้ล้ม เช่น เรามีร้านขายของชำาร้านโชห่วย ร้านสิ้นค้า/บริการเล็กๆ แล้วมีห้างร้านทุนนิยมใหญ่ๆ เช่น Big C, Makro, Lotus, 7-11 มาตั้งข้างบ้าน เราจะไล่เขาได้มั๊ย ไม่ได้ แต่ละจังหวัดยกธงไล่ทั้งนั้น ไล่ได้แต่ปาก แต่เขาไม่ไป เขาซื้อกรรมการ ซื้อผู้มีอำานาจเซ็นอนุมัติได้หมดแล้ว เซ็นปุ๊บลงกลางเมืองเลยนะ ชาวบ้านที่ค้าขายสิ้นค้าและบริการที่เล็กๆก็เกิดความตกใจกลัว เพราะเขา ไม่รู้วิธีสู้กับทุนนิยม สู้กับทุนนิยมนั้นไม่ยากหรอก ก็อยู่แบบคนจน ถ้าเราไม่มีทุนมากเราจำาเป็นต้องขายของแพงกว่าร้านใหญ่ๆบ้าง แต่เราไม่ได้เอามากเกินไป มันจำาเป็น เราไม่อยากขายแพงหรอก เราก็บวกเท่าที่เราพออยู่ได้ มันก็สูงกว่าร้านยักษ์ใหญ่/นายทุนใหญ่ๆ ถามว่าร้านเราจะเจ้งมั๊ย ไม่เจ้ง เพราะคนที่เราเกื้อกูลไว้ เขาจะเกื้อกูลเรา เขาจะช่วยเราไว้ เขาบอกว่าให้เราเจ้งไม่ได้ เพราะเราเป็นผู้มีน้ำาใจให้เขา ถ้า
Page 7
เราให้ แบ่งปัน ร้านเราก็ ไม่เจ้ง เราจะอยู่กับทุนนิยมได้ การทำาธุรกิจอย่างมั่นคง ไม่มีอะไรยากหรอก คือ ฝึกให้ ครูบาอาจารย์ของผมบอกว่า วิชาธุรกิจไม่ต้องไปเรียนในสถาบันการศึกษาให้เสียเงินเสียเวลาหรอก(บางทีเสียคนด้วย) ทำาแค่ ๔ ข้อ แนวบุญนิยม ธุรกิจจะเจริญและมั่นคงได้แล้ว คือ ๑. ของดี เอาของที่ดีๆ มาให้ เอาสิ่งที่ปลอดภัย มีประโยชน์มาให้บริการ๒. ราคาถูก จำาหน่ายหรือให้บริการในราคาถูกที่สุดเท่าที่จะทำาได้ เอาแค่พออยู่ได้ อย่าไปขายของแพง เอาแค่เลี้ยงชีวิตได้ ๓. ซื่อสัตย์ อย่าไปโกหก บอกคุณสมบัติของสินค้า/บริการตามจริง เอาของดีๆ มาให้ของหมดก็บอกว่าหมด พอไม่มีก็บอกอย่างซื่อสัตย์ว่าไม่มี อย่าเอาของ ไม่มีคุณภาพมาให้ ต้องมีความจริงใจ ซื่อสัตย์ บอกไปตรงๆ เลยว่าซื้อมาเท่านี้ ขายเท่านี้ บอกไปเลยว่าเราต้องขายเท่าไร เช่น ซื้อมา 10 บาท ขาย 12 บาท ต้องเลี้ยงชีพบ้าง มีค่าแรงค่ารถ ถึงจะอยู่ได้ ซื่อสัตย์ไปเลย๔. มีน้ำาใจ “แบ่งปัน” ดังเป็นคำาตรัสของพระพุทธเจ้า ว่า “นอกจากการแบ่งปันเผื่อแผ่กันแล้ว สัตว์ทั้งปวงหามีที่พึ่งอย่างอื่นไม่” (พระไตรปิฎก เล่ม ๒๘ ข้อ ๑๐๗๓) และคำาตรัสของในหลวง เศรษฐกิจพอเพียงจะเกิดขึ้นได้ ต้องมีการแบ่งปัน ถ้าไม่แบ่งปันเศรษฐกิจพอเพียงเกิดขึ้นไม่ได้ ไม่มีทาง ไม่แบ่งปันไม่มั่นคงในชีวิต ยิ่งถ้าแบ่งปันจะยิ่งมั่นคงในชีวิต ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น โดยเริ่มจากซื่อสัตย์ต่อตนเอง คือ การพึ่งตนเอง อย่าไปรบกวนคนอื่น ขยัน อดทน มีสติปัญญา และแบ่งปัน จะทำาให้ชีวิต สังคม สิ่งแวดล้อม สมดุลมั่นคงอย่างยั่งยืน ๗. ชีวิตมั่นคง มีคุณค่า และผาสุกที่สุดในโลก เมื่อเรามีคุณธรรมถึงขั้นพึ่งตน เรียบง่าย ประหยัด ขยัน และแบ่งปันแล้ว เราจะเป็นคนที่มีคุณค่า มีความประเสริฐ มีกุศล มีความสุข นั่นคือ ชีวิตที่มั่นคง มีคุณค่า และผาสุกที่สุดในโลกหลายคนไม่รู้ว่าจะทำาอย่างไร ให้ชีวิตพอเพียงอย่างผาสุก นักวิชาการจำานวนมากที่ไม่รู้จริง เขาทำาไม่ได้หรอก เพราะเขายังไม่รู้เคล็ดแท้ๆ ที่ผมพาพี่น้องทำาค่อยๆ บอกเคล็ดมาตั้งแต่วันแรก คือ กินข้าวกับเกลือ ความเป็นจริงก็ไม่ใช่กินข้าวกับเกลืออย่างเดียวหรอกใช่ไหม กินอย่างอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายด้วย เป็นการใช้ชีวิตที่กินอยู่อย่างประหยัดเรียบง่าย เป็นการกินใช้ที่น้อยที่สุดแต่สมบูรณ์แบบที่สุด ไม่น้อยเกินจนขาดแคลน ไม่มากเกินจนสิ้นเปลืองและเป็นภัย เคล็ดของการทำาเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อเฉลิมพระเกียรติในหลวงของเรา เราเน้นการสร้างสุขภาพดีวิถีธรรมตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง องค์ประกอบที่จะทำาให้มีสุขภาพที่ดี ก็ต้องทำาทุกเรื่องที่สำาคัญของชีวิต การกินการใช้สิ่งต่างๆรวมถึงการทำาหน้าที่กิจกรรมการงานที่ดีงามอันเป็นกุศลและการพักผ่อน ที่ได้สมดุลกายใจและสิ่งแวดล้อม มันเป็นวิชาทักษะของการดำาเนินชีวิตให้ผาสุกต่อไปผมจะเล่าให้ฟังว่า คนรวยคือคนที่ซวยและน่าสงสารที่สุดในโลก ประเด็นที่คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่าคนรวยซวยและน่าสงสารได้อย่างไร ประเด็นนี้ถ้า กศน.เข้าใจ และเผยแพร่สัจจะอันประเสริฐนี้ให้คนอื่นๆเข้าใจตามได้ พลิกฟ้าเลยนะ ความผาสุกสูงสุดจะกลับมาสู่โลกใบนี้ทันที ความรวย คือความซวยและน่าสงสารที่แท้จริงของชีวิต โดยสัจจะเลย ยิ่งรวยเท่าไร ยิ่งซวยและน่าสงสาร
Page 8
เท่านั้นๆ คนยิ่งรวยยิ่งก่อให้เกิดความซวย เดือดร้อน ทุกข์ทรมานและความเลวร้ายทั้งตัวเองและผู้อื่น เดี๋ยวเราก็จะได้เรียนรู้กันว่า รวยจะทำาให้ซวย เดือดร้อนทุกข์ทรมานหรือเลวร้ายได้อย่างไร ถ้าท่านฟังไปเรื่อยๆ จนเข้าใจเหตุผลด้วยปัญญาที่ชาญฉลาดแท้ในการดำารงชีวิตให้ผาสุกที่สุด ท่านจะไม่อยากรวย ความรวยคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในชีวิต เพราะความรวยจะนำาความซวยและเดือดร้อนทุกข์ทรมานที่สุดในชีวิตมาให้เรา ดังนี้คนที่มีใจอยากรวย ก็ทุกข์ตั้งแต่เริ่มอยากแล้ว นั่นคือ ความซวยและน่าสงสารอันดับแรก ต่อมาการพยายามทำาให้รวย ก็ต้องทุกข์ เหนื่อย ต่อให้ทำาด้วยความสุจริต ก็เหนื่อย ยิ่งอยากได้มากจนต้องหาวิธีคดโกงหรือเอารัดเอาเปรียบให้ได้มากๆ ยิ่งเหนื่อยสุดเหนื่อย เพราะต้องคิดหาวีธี ต้องลงมือทำาและต้องระมัดระวังคนจะจับได้ การทำาให้รวยจึงทุกข์ยากลำาบากกว่าการไม่ต้องทำาให้รวย พอได้ทรัพย์สมบัติมามากๆแล้ว จะรักษาไว้ก็ลำาบาก ว่าต้องเอาทรัพย์สมบัติไปเก็บไว้ไหน จะดูแลรักษาอย่างไร ไม่ให้เสียหาย ไม่ให้ถูกลักขโมยฉ้อโกง ก็ทุกข์กายทุกข์ใจอีก ยิ่งพยายามจะให้รวยกว่าเดิมก็ยิ่งทุกข์กายทุกข์ใจหนักเข้าไปกว่าเดิมอีก พระพุทธเจ้าตรัสว่า “เงินทองเป็นอสรพิษ” สมมติว่าเรามีเงินทองล้นฟ้า เราก็กินใช้ไม่หมด คนที่อยากมาอยู่ใกล้เงินทองมากๆ คือ คนโลภ ซึ่งคนโลภจะเป็นคนไม่ดี เงินทองของเราเอง จะพาคนไม่ดีเข้ามาอยู่ใกล้เรา เขาจะทำาร้ายเราลักขโมยฉ้อโกงเราได้มั๊ย บางทีก็คนข้างตัวนั่นแหละที่ทำาเช่นนั้น มีข่าวให้เราได้รับรู้อยู่บ่อยๆไม่ใช่หรือ คนใกล้ตัวที่มีความโลภ โกรธ หลง ก็จะรู้ความลับของคนรวยคนนั้นหมดเลย วางแผนทำาร้ายได้อย่างเก่ง บางทีใส่ยาเบื่อในน้ำาในอาหาร ตายมาเยอะแล้ว หรือคนรวยรวมถึงครอบครัวของคนรวย พอเดินทางไปที่โน่นที่นี่ โอกาสที่คนรวยหรือคนจนจะถูกเรียกค่าไถ่ได้มากกว่ากัน คำาตอบก็คือคนรวย ดังนั้นคนรวยเดินทางไปนั่นไปนี่จะสบายใจมั๊ย เดี๋ยวนี้คนแต่งตัวดีๆมีมาก ไม่รู้หรอกว่าใครเป็นโจร โอกาสที่คนรวยจะมีอันตรายก็มากกว่า น่าสงสารนะ เงินที่เขามี เขาก็กินใช้ไม่หมด ในขณะที่เขาก็กินใช้ไม่หมด ส่วนเกินของเขาจะเป็นประโยชน์หรือโทษแก่เขา ก็เป็นโทษ เพราะเงินส่วนเกินจะดึงคนไม่ดี คนที่มีพิษมีภัยมาอยู่ใกล้ตัว คนโลภมาอยู่ใกล้ตัวเขา อันตรายก็อยู่ใกล้ตัวเขา เงินทองตัวเองกินใช้ก็ไม่หมด แต่ก็สร้างภาระและภัยให้กับตัวเองและครอบครัวคนรวยกินใช้ไม่หมด กินจนท้องแตกตาย ก็กินใช้ไม่หมด คนจะรวยได้ ก็ต้องดึงเอามาจากคนอื่นให้มากๆ โดยความจริงทรัพย์สินเงินทองในโลกนั้นมีจำากัด คนรวยมากๆ ก็ต้องดูดมาจากคนอื่นมากๆ คนอื่นก็ขาด คนขาดเดือดร้อนมั๊ย คนขาดก็เดือดร้อน คนรวยมีความคิดอย่างไร คนรวยก็จะภูมิใจจัง ที่เรากินใช้ไม่หมด คนอื่นอดตาย ชาตินี้กินใช้ไม่หมด ดีใจจัง แต่คนอื่นขาดแคลน คนอื่นอดตาย คนอื่นลำาบาก เราดีใจ มันประเสริฐตรงไหน มันน่าภูมิใจตรงไหน เพราะเราเอามามาก คนอื่นก็ขาดมาก ภูมิใจตรงไหน คนอื่นก็เดือดร้อนมาก ถามว่าเป็นบุญตรงไหน ต่อให้หามาด้วยความซื่อสัตย์ ถามว่าเป็นบุญตรงไหน มันไม่มีบุญเลย มีแต่บาป ความรวยจึงคือความซวยและน่าสงสารที่สุด เพราะทำาให้ตัวเองและคนอื่นเดือดร้อนที่สุดสมมติว่าคน ๒ คน ขยันทำางานเท่ากัน มีฝีมือเท่ากันไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม ได้เงินทองทรัพย์สมบัติมาเท่ากัน นาย ก. สร้างบ้านใหญ่โต นาย ข. สร้างบ้านแค่พออยู่ แล้วที่เหลือก็แบ่งปันให้กับผู้ที่ควรให้ด้วยปัญญา
Page 9
ถ้าเกิดสึนามิ เกิดภัยพิบัติอย่างรุนแรง เกิดพายุ แผ่นดินถล่ม ฟ้าผ่า ไฟไหม้ น้ำาท่วม ภัยพิบัติอะไรก็ได้ ทำาให้บ้าน ๒ คนนั้นเสียหาย แต่รอดตายทั้งคู่ หนีออกมาได้ ถามว่าใครจะมีกินมีใช้ ใครจะอยู่รอด นาย ก. ไม่แบ่ง นาย ข. แบ่งปัน ใครจะอยู่รอด คำาตอบคือ นาย ข. เพราะ เขาแบ่งปันไว้มาก นาย ก. ไม่ได้แบ่งปัน ระหว่างการเลือกช่วย นาย ก. และนาย ข. ท่านจะเลือกช่วยใครก่อน ช่วยนาย ข. แต่ละท่านต่างก็ตอบตรงกันว่าช่วยนาย ข.ก่อน นี้เป็นสัจจะชัดๆ เลยนะ ทรัพย์สมบัติคุ้มครองไม่ได้ วัตถุคุ้มครองเราไม่ได้ แต่ความดีคุ้มครองเราได้ “มิตรแท้ของเราคือความดีของเรา” เกิดอะไรขึ้นมาคนที่แบ่งปัน บุญ/ฟ้าจะส่งมาให้เลยนะ จะรอด ใครหวงไว้เยอะ ตัวเองกินใช้ก็ไม่หมด คนอื่นก็ไม่ได้กินไม่ได้ใช้สิ่งนั้น อยู่ก็ไม่มีบุญ ตายไปก็ไม่มีบุญ เกิดภัยพิบัติ ความเดือดร้อน ก็ไม่มีใครอยากช่วยเหลือ หรือได้รับการช่วยเหลือเป็นลำาดับท้ายๆ แต่ถ้าเราแบ่งปัน เดี๋ยวคนนั้นก็ช่วย คนนี้ก็ช่วย แม้เราไม่เกิดอุบัติภัย คนก็ช่วย แม้เกิดอุบัติภัย คนก็ช่วย ใครไม่ช่วย ฟ้าก็ช่วย แล้วขาดทุนตรงไหน คนที่ไม่แบ่งปันคือคนที่น่าสงสารที่สุดในโลก “ศรัทตรูที่แท้จริงของเราคือความชั่ว/ความเห็นแก่ตัวของเรา”เคยฟังนิทานในสมัยพุทธกาลมั๊ย มีลุงคนหนึ่งร่ำารวยมากแต่ขี้เหนียวมาก ไม่เคย แบ่งปันใครเลย ชาติไหนๆ ก็ไม่แบ่งปัน พอเกิดอุบัติภัยขึ้นมา จากเศรษฐีกลายเป็นคนจนเลย ไม่มีกิน จะไปขอข้าวขอแกง รอรับของแจก จากเศรษฐีใจดีที่ตั้งโรงบุญ จะแจกของกินของใช้ ๓ วัน ด้วยวิบากกรรมที่ไม่ดีจึงรู้ช้า ทำาให้ไปถึงทีหลัง ไปต่อท้ายแถว พอเขาแจกมาถึงท้ายแถวก่อนจะถึงลุงขี้เหนียวคนนั้นก็หมดพอดี วันรุ่งขึ้นไปรับใหม่ ลุงขี้เหนียวตั้งใจตื่นแต่เช้าตี๓ตี๔ ไปรอแถวหน้าเลย เศรษฐีผู้ใจบุญบอกว่าเมื่อวานคนข้างหลังท้ายแถวไม่ได้ของกินของใช้ ให้แจกจากข้างหลังมาข้างหน้า พอมาถึงข้างหน้าก่อนถึงลุงขี้เหนียวก็หมดอีก มารอข้างหน้า ก็ไม่ได้กินไม่ได้ใช้อีก ลุงขี้เหนียวคิดว่าอีกวันคงได้ของกินของใช้ วันก่อนมานั่งข้างหลังไม่ได้กินไม่ได้ใช้ วันนี้มานั่งข้างหน้าก็ไม่ได้กินไม่ได้ใช้อีก ลุงขี้เหนียวจึงมานั่งตรงกลางในวันที่ ๓ หวังว่าจะได้ของกินของใช้ เศรษฐีผู้ใจบุญก็บอกว่า วันแรกคนที่อยู่ข้างท้ายก็ไม่ได้กินไม่ได้ใช้ก็น่าสงสาร วันที่ ๒ คนที่อยู่ข้างหน้าก็ไม่ได้กินไม่ได้ใช้ก็น่าสงสาร เอาอย่างนี้วันที่ ๓ วันสุดท้ายให้แจกจากหัวจากท้ายเข้ามาดีกว่า เลยแจกจากหัวจากท้ายเข้ามา ก่อนถึงตรงกลางหมดพอดี ๓ วันลุง ขี้เหนียวก็ไม่ได้ของกินของใช้เลย ไม่แบ่งไม่ปันก็ไม่ได้กินไม่ได้ใช้ ฟ้าเขาพยายามช่วยแล้วนะ แจกถึง ๓ วัน กรรมลิขิตแปลว่าวิบาก(ผล)กรรมของแต่ละคนเป็นผู้เขียนเรื่องให้กับชีวิตแต่ละคน ชีวิตใครที่ไม่แบ่งปัน อันตราย วัตถุไม่ได้คุ้มครองเรา เราอาศัยวัตถุแค่ประมาณหนึ่ง ชีวิตไม่ได้ต้องอาศัยวัตถุมากมายหรอก ใช้ไม่มากหรอก ใช้เพียงเล็กน้อยก็มากพอที่จะเลี้ยงชีพได้อย่างเป็นสุขแล้ว อยู่ที่เงื่อนไขเราทำางานเต็มที่ กินใช้เพียงเล็กน้อยแค่พอดีไม่ขาดแคลน กินใช้ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะสมบูรณ์แบบที่สุด ก็จะเหลือกินเหลือใช้ ที่เหลือจะจัดการอย่างไรกับทรัพย์สมบัติของเรา เมื่อเราทำางานเต็มที่เราก็เก็บวัตถุไว้แค่พอกินพอใช้ก็พอ โดยให้พอกินพอใช้ เป็น ๒ ส่วนนะ๑. ส่วนของการเลี้ยงชีพ๒. ส่วนของการดำาเนินหน้าที่กิจกรรมการงาน เราทำาหน้าที่กิจกรรมการงานอะไร ก็เก็บเอาไว้ใช้ เพราะเราต้องใช้ทุนรอน อาจเผื่อเรื่องนั้นเรื่องนี้ก็ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะมั่นคงที่สุด เท่าที่ที่จะดำาเนินหน้าที่กิจกรรมการงานไปได้ โดยไม่ฝืดเคืองเกินไป เก็บไว้แค่นี้ก็พอแล้ว อย่าเก็บเอาไว้เกินนี้ ที่เหลือแบ่งปัน
Page 10
ไปในที่หรือคนที่ควรแบ่งปัน เก็บไว้ก็เป็นภาระเป็นภัยต่อตนเองและผู้อื่น สละออกไปเป็นบุญทั้งต่อตนเองและผู้อื่น โลกก็ได้ประโยชน์ เราก็ได้ประโยชน์ เรายิ่งแบ่งปัน ต่อให้คนไม่ช่วย ฟ้าก็จะช่วย เพราะฟ้า(วิบากกรรมทั้งดีและไม่ดี)มีหน้าที่เขียนบทให้กับทุกชีวิตตามกรรม(การกระทำา)ของผู้นั้นๆผมพยายามช่วยคนไปเรื่อยๆ ช่วยฟรีๆ กรรมดีก็เขียนบทให้ทางโรงพยาบาลอำานาจเจริญ ร่วมบำาเพ็ญบุญในการทำาประโยชน์สุขให้กับประชาชน ด้วยการช่วยสร้างศูนย์สุขภาพที่เรียกว่า ศูนย์แพทย์วิถีธรรม ที่จังหวัดอำานาจเจริญ เป็นศูนย์สุขภาพคล้ายกับศูนย์สวนป่านาบุญ โดยประสานให้ผมเป็นหัวหน้าเป็นผู้นำาในการดำาเนินงานที่ศูนย์ดังกล่าว เราช่วยคนในค่าย แม้คนที่มาเข้าค่ายจะไม่มาช่วยเราเลย ที่พูดนี้ก็ไม่ได้พูดเพื่อให้คนที่มาเข้าค่ายมาช่วยนะ เขาจะมาช่วยหรือไม่มาก็ได้ เป็นสิทธิส่วนบุคคลของเขา แต่เรามีหน้าที่ช่วยเขาให้ได้สิ่งที่ดีในชีวิตเท่าที่เราจะทำาได้ เมื่อเราทำาอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ต่อให้คนที่เราช่วยเขาไม่ได้มาช่วยเรา ฟ้า(กรรมดี)ก็จะช่วยเราเอง ความดีที่เราทำาก็จะเขียนบท/ดลบันดาลให้เราได้รับสิ่งที่ดีเอง ถ้าเราทำาดีมากๆ เราจะได้รับสิ่งที่ดีหลากหลายลักษณะ หลายอย่างเป็นสิ่งที่เราคาดคิดไม่ถึง พระพุทธเจ้าท่านมีพระปรีชาญาณอันยิ่ง สุดยอดแห่งความชาญฉลาด ท่านตรัสรู้พบว่ากรรมดีกรรมชั่วมีจริงให้ผลจริง ท่านจึงหยุดชั่วและทำาแต่ความดี ท่านสละออก ยิ่งสละยิ่งได้ ยิ่งทำาความดี ยิ่งได้สิ่งที่ดี คนที่ยิ่งให้ยิ่งได้ ขนาดชาติสุดท้าย ท่านไม่เอาแล้วนะ ท่านสละบ้านสละเมืองออกไป บุญของท่านก็เขียนบท/ดลให้พระเจ้าพิมพิสารขอยกเมืองให้ มากกว่าใหญ่กว่าเมืองเดิมที่พระองค์เคยครองมาอีก ยิ่งให้ยิ่งได้ แล้วเราจะเอามาให้มากทำาไม เอามาก็เป็นภาระเป็นภัยเปล่าๆ ถ้าเราไม่จำาเป็นต้องกินต้องใช้เราก็ไม่ต้องรับมาเป็นภาระเป็นภัยเปล่าๆ ผมพยายามทำาความดีเสียสละช่วยเหลือคนฟรีๆมาแค่สิบกว่าปี ทำาโดยไม่ได้คิดว่าจะได้อะไรตอบแทน แต่กรรมดีที่เราทำาก็พยายามส่งผลให้ผมเห็นบ้างอยู่ อย่างเช่นมีเทวดา(ผู้มีจิตใจดีงาม)หลายท่าน แจ้งกับผมว่า ให้ผมช่วยไปใช้พื้นที่ บ้าน รีสอร์ท ของท่านหน่อย จะใช้ชั่วคราวหรือใช้ทั้งชีวิตก็ได้ ผมเคยคำานวณคร่าวๆในที่ๆเทวดาอนุญาตให้ผมไปใช้ มีมูลค่าไม่ต่ำากว่า หมื่นล้าน ผมก็ขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ผมก็ไม่ได้เอา แหมทำาไมไม่ให้ก่อนหน้านี้ที่เราไม่ได้ปฏิบัติธรรม ถ้าให้ก่อนหน้านี้รับรองไม่เหลือ เราเอาแน่ๆ แต่ตอนนี้ปฏิบัติธรรมแล้วก็ไม่ได้อยากได้สิ่งเหล่านั้น นอนกระท่อมหลังเล็กๆมุงด้วยหญ้าคา พื้นทำาด้วยเศษไม้เก่าๆแค่นี้ก็มีความสุขมากแล้ว ผมมีเพียงแค่นี้ก็แทบจะไม่มีเวลาเก็บกวาด แทบจะไม่มีเวลาดูแลแล้ว คนเรามีกินแค่พออิ่ม มีที่นอนเล็กๆพอหลับสบายและมีพื้นที่หรือมีคนให้เราได้ทำาความดี แค่นี้ก็เป็นสุขที่สุดในชีวิตแล้ว ดังนั้นทรัพย์สมบัติที่เทวดายกให้ใช้ ผมก็ขออนุญาตใช้บางที่บางแห่งบางเวลา ที่เหตุปัจจัยจัดสรรให้สามารถทำาประโยชน์สุขให้กับผองชนได้ ก็เป็นพระคุณอย่างยิ่งแล้วสำาหรับชีวิตธรรมดาๆของผม ผมคิดว่าคนที่จะเป็นสุขที่สุดในโลก ก็คือคนที่ใช้ชีวิตอย่างธรรมดาๆ ให้มีคุณค่าและผาสุกที่สุดถ้าเราจำาเป็นต้องกินต้องใช้ เราก็รับมาแค่พอกินพอใช้ ตอนนี้มีเทวดายกที่ดินใจกลางกรุงเทพฯให้ผม ท่านถามผมว่าหมอเขียวเอามั๊ย ผมพิจารณาดูแล้ว คนกรุงเทพฯจำานวนมากที่กำาลังเดือดร้อนทุกข์ทรมานกับโรคภัยไข้เจ็บ ผมจึงรับไว้เพื่อสร้างศุนย์สุขภาพ จะได้เพื่อช่วยเหลือคนในเมือง ผมสงสารเขา แต่ยังไม่ได้ทำาตอนนี้ เพราะยัง ไม่มีคนมากพอที่จะช่วยกันทำาเอาไว้ผมสร้างคนให้เสียสละให้ได้มากพอก่อน แล้วจะไปสร้างศูนย์สุขภาพไว้ช่วยคนกรุงเทพฯเขา เขาทุกข์มาก
Page 11
การที่เราทำาความดีแล้วต้องการเบิกบุญมาใช้ ก็มีวิธีเบิกบุญนะ มันมีเคล็ดอยู่ อย่าไปอยากได้นั่นอยากได้นี่ จะเอาเร็วๆ ฟ้าเขาจะขวางไว้ เขาจะแกล้งให้เราบรรลุธรรม ถ้าเรามีบุญนะ ฟ้าจะขวางไว้ ถ้าเราทำาความดีมากๆ เรามีบุญจริงๆ ความลับวิธีเบิกบุญ คือ ให้ตั้งจิตไว้ว่า เราต้องการสิ่งนั้นสิ่งนี้เพื่อจะทำาบุญเรื่องนั้นเรื่องนี้ จะได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ได้ ถ้าได้ก็ดี ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร สิ่งนั้นจะมาเร็วก็ได้ มาช้าก็ได้ หรือไม่มาเลยก็ไม่เป็นไร จะมาแบบไหนหรือไม่มาเลยก็สุดแล้วแต่บาปบุญของโลก เรามีหน้าที่จัดสรรสิ่งที่กระทบหรือรับเข้ามาตามจริง ณ ปัจจุบัน ให้เป็นประโยชน์กับโลกให้ได้มากที่สุด เท่าที่เราจะทำาได้เท่านั้น ถ้าเราและโลกมีบุญจริงเมื่อถึงเวลาอันควร เขาก็จะให้มาเอง ถ้าไม่มีบุญก็จะไม่มา สัจจะ(กรรม) จะจัดสรรให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมผมเคยคิดเล่นๆ ว่า ถ้าเรามีเครือข่ายทั้งประเทศ จะเป็นอย่างไร พี่น้องที่มาครั้งละ ๓๐๐-๔๐๐ ท่าน แล้วท่านนั้นท่านนี้ไปช่วยจังหวัดนั้นจังหวัดนี้ ไปช่วยคนนั้นคนนี้ให้มีสุขภาพดี คงจะดีนะ คิดไปคิดมา พี่น้อง กศน. ก็พากันมาอบรมที่นี่ทั้งภาคอิสานเลย ความฝันของผมอาจจะเป็นจริงก็ได้ แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะทุกอย่างก็เป็นไปตามธรรม ครูอาจารย์ได้สอนผมไว้ว่า เราทำาเหตุปัจจัยที่ดีงามไปเรื่อยๆ ถึงเวลาอันควรมันก็จะปรากฏผลเอง ดอกไม้จะบานมันก็จะบานของมันเอง ไม่มีใครทำาให้มันบานได้หรอก เราทำาได้แค่ใส่ปุ๋ยรดน้ำาพรวนดินไปเรื่อยๆอย่างพอเหมาะพอดีเท่านั้นจะมีหรือไม่มีการรวมบุญก็ได้ ผมวางใจแล้วนะ เพราะไม่มีวี่แววเลย เห็นตรงนั้นตรงนี้มา หลอมแหลม แต่เขาไปทำาจริงนะ ที่จังหวัดน่านมีอสม. มากับทีมสาธารณสุข(หมออนามัย) มาแค่ ๑๐ คน พอเขากลับไป เขาไปลงหมู่บ้านทุกวัน เพราะเขามีอาวุธแล้ว มีอาวุธใช้ อาวุธนี้ไม่แพง แล้วก็ปราบโรคได้ ที่ผ่านมาอาวุธมันแพง แต่แก้ปัญหาหลายอย่าง ไม่ค่อยได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้าเราช่วยไม่ไหวก็ส่งโรงพยาบาล มีบางเรื่องที่โรงพยาบาลทำาได้ดีกว่า อสม.และหมออนามัยเขาลงหมู่บ้านทุกวันแก้ปัญหาได้ เขาบอกว่าตอนนี้มีความสุขมาก เพราะแก้ทุกข์ได้ ลงหมู่บ้านทุกวัน กัวซา/ขูดพิษได้ จะใช้กะลา ใช้ช้อนก็ได้ ไปขอยืมเหรียญบาทใครก็ได้ มีความสุข ไปสอนกดจุด สอนคนนั้นคนนี้ มีวิชาตั้งเยอะแยะ ผมว่า กศน.นี่แหละจะมีความสุข อาจจะถึงเวลาแล้วที่บุญเขาอั้นไว้นาน เหมือนที่ครูบาอาจารย์ว่าไว้ บุญเขาอั้นไว้นาน ถึงเวลาแล้วที่จะให้ผล บุญเขาสะสมมานานแล้ว รอวันระเบิด รอวันกระจาย ผมไม่รู้จะอธิบายยังไรแต่ผมเข้าใจนะกศน.เป็นผู้ที่ทำางานเสียสละ เพราะคนที่ตั้งใจทำางานจริงๆนะ เขาเหนื่อยนะ เหนื่อยช่วยคน เพราะเขาให้เราไปสอนคนด้อยโอกาส เพราะคนหัวดีๆ สอนง่ายๆ ฉลาดๆ เขาเอาไปสอนหมดแล้ว เหลือแต่คนอะไรก็ไม่รู้ให้เรา เขียน ก เขียนอยู่ครึ่งวัน ดูซิให้เราเหนื่อย เรายาก ค่าตอบแทนนิดเดียว แถมถูกดูถูกอีกต่างหาก ถ้าเขาไม่มีบุญในใจ เขาไม่อดทน อยู่ไม่ได้ บางคนอยู่ด้วยความสุขด้วยซ้ำา เพราะเขาเลี้ยงชีพเขาได้ แม้ถูกดูถูกเขาไม่แคร์ เขาอยู่ได้เพราะว่าเขามีคุณธรรม คนมีใจสูงจึงจะถูกเหยียดหยามได้ คนที่มีใจสูงเท่าไร ก็จะถูกคำาติ ถูกเหยียดหยามได้ โดยใจไม่ทุกข์รู้มั๊ยพระราหุลพระราชโอรสของพระพุทธเจ้า ลูกกษัตริย์ท่านคิดดูเอาเองแล้วกัน ก่อนจะบรรลุธรรม มีอัตตามานะหยิ่งยโสโอหัง พระสารีบุตรสอนจนเหนื่อยเมื่อยเลย สอนไม่ไหวแล้ว จึงขอพระบารมีของพระพุทธเจ้าให้ช่วยสอน พระพุทธเจ้าสอนพระราหุลว่า เธอจงทำาตัวเหมือนแผ่นดิน เท่านั้น พระราหุลบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์เลย การทำาตัวให้เหมือนแผ่นดิน ก็คือการทำาให้ตัวหนักแน่น ไม่สะดุ้ง
Page 12
สะเทือน ไม่หวั่นไหว ทำาตัวให้ต่ำา แต่มีคุณค่า ให้คนเหยียบได้ ให้คนถ่มน้ำาลายรดได้ ให้คนขี้รด เหยี่ยวรดก็ได้ คนมีภูมิ ธรรมนะโดนอะไรก็ไม่หวั่นไหว อยู่อย่างต่ำาแต่กระทำาอย่างสูง อยู่เกื้อกูลคนให้คนได้อาศัย กศน. อยู่ได้อย่างไร ถ้าเขาเป็นคนที่ไม่มีคุณธรรม เขาจะอยู่ไม่ได้หรอก อกแตกตาย จริงๆนะไม่ต้องไปน้อยใจหรอก เวลาโดนอะไรมากระทบในทางที่ไม่ดี เชื่อมั๊ยว่าพระพุทธเจ้าก็ถูกคนด่าว่า สมณะโล้นอย่างนั้นอย่างนี้ มนุษย์ประเสริฐที่สุดยังถูกด่าว่า ยิ่งเราถูกด่าเท่าไรเวรกรรมเรายิ่งหมด ยิ่งโดนเวรกรรมก็ยิ่งหมด อย่าไปเสียดายเลยเวรกรรม ชดใช้ไป ยิ่งชดใช้เวรกรรมก็ยิ่งหมด ทุกครั้งที่พระพุทธเจ้า ถูกวิบากบาปจัดสรรให้ใช้เวรใช้กรรมที่เคยหลงพลาดทำามาก่อน เวรกรรมก็ยิ่งหมดไปเท่าที่ได้รับผลของวิบากบาป ทำาให้วิบากบุญแสดงผลได้มากเพราะไม่มีวิบากบาปกั้น ดังนั้นหลังจากที่พระพุทธเจ้าถูกด่าว่าหรือได้รับวิบากที่ไม่ดีต่างๆ เวรกรรมนั้นๆก็จะลดหรือหมดไป วิบากบุญจะเปล่งประกายแสดงผลมากขึ้นทันที เพราะท่านทำาแต่ความดี โดยไม่ทำาบาปเพิ่ม เมื่อถูกใส่ร้ายด้วยคำาที่ไม่จริง ๗ วัน พระพุทธเจ้าและสาวก บิณฑบาตรแทบไม่ได้ของใส่บาตรเลย พอพ้น ๗ วัน วิบากบาปถูกชดใช้หมด ผู้คนจึงรู้ความจริงว่าท่านและสาวกไม่ได้ทำาสิ่งที่ไม่ดี ตามที่เขากล่าวหา พอบิณฑบาตรของที่คนมาทำาบุญเพียบเลย ไม่มีคนดีคนใดที่ไม่เคยทำาชั่วมา ดังนั้น เป็นไปไม่ได้ที่คนดีจะไม่ถูกด่า ไม่ถูกว่า ไม่ถูกดูถูก ไม่ถูกสิ่งไม่ดีสารพัด ถ้าใครอยากเป็นคนดีที่มีความสุข ทำาดีถูกด่าให้ได้ ทำาดีถูกดูถูกให้ได้ ทำาดีถูกนินทาให้ได้ ทำาดีถูกเข้าใจผิดให้ได้ ทำาดีถูกแกล้งให้ได้ ทำาดีถูกทำาไม่ดีตอบสารพัดเรื่องให้ได้ คุณจะเป็นคนดีที่มีความสุขขนาดพระพุทธเจ้าท่านทำาดีท่านยังโดนแกล้งโดนสิ่งไม่ดีสารพัดเลย แต่ท่านก็ไม่ได้ทุกข์ใจใดๆเลย เพราะท่านรู้ว่าไม่มีคนดีคนใดไม่เคยทำาชั่วมา เพราะถูกด่าเวรกรรมมันก็หมด รับเสร็จก็หมด พอวิบากบาปหมดบุญก็ขึ้นนี่อย่าคิดว่าผมไม่โดนนะ หลายคนคิดว่าหมอเขียวทำาดีไม่ถูกด่า คงมีแต่คนชม ความเป็นจริงโลกธรรมเขาส่งมาครบเครื่องนะ มีครบทั้งคนชมคนด่า มีคนเขานินทา มีคนจะคว่ำากระดาน ใส่ร้ายหนักๆ จนลูกศิษย์ผมบางคน หงุดหงิด โมโห ไม่ชอบใจ ไม่พอใจ ใน คนที่ใส่ร้ายผมเลยนะ ขึ้นเลย อาจารย์เราทำาดีขนาดนี้มาทำากับอาจารย์ได้ไง มีคนจะไปซัดเขาเลย แต่ผมว่าอย่าๆ อย่าไปทำาเขา ผมทำาดีขนาดนี้ ยังโดนขนาดนี้ แปลว่าอะไร แปลว่าผมแสบมาก ชาติใดชาติหนึ่งผมคงไปทำากับเขาหรือกับใครๆมามาก ไม่รู้เท่าไหร่ เพราะทำาดีขนาดนี้ยังโดนซะเละเลย ยังโดนซัดขนาดนี้ ยังต้านไม่อยู่ ถ้าไม่ทำาดีขนาดนี้ เชื่อมั๊ยว่า เละหนักกว่านี้แน่นอนถ้ารู้ตัวว่าเรากำาลังทำาดีอยู่ สิ่งหนึ่งที่พึงมีสติ พิจารณาระลึกรู้เลยว่า สิ่งไม่ดีที่เราโดนนั้น เราได้รับน้อยกว่าที่เราทำาไม่ดีมาจริง เพราะขนาดมีความดีมาช่วยต้านไว้ ยังโดนเลย แต่ก็โดนน้อยกว่าสิ่งไม่ดีที่เราทำามาจริง ไม่ดีหรือไง ถ้าเราโดนเท่าที่ทำามาจริง จะเป็นไง หนักว่าที่รับอยู่แน่ๆแต่คนที่มาซัดเราน่ะซวยเลยนะ เพราะพระพุทธเจ้าตรัสว่า เมื่อใครกระทำาสิ่งใดด้วยเจตนา สิ่งนั้นจะสั่งสมลงเป็นพลังงานวิบากกรรมทันที รอวันรับผลจากการกระทำานั้นทันที ดังข้อมูลในพระไตรปิฎก เล่ม ๓๗ ข้อ ๑๖๙๘ “พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราไม่
Page 13
กล่าวความที่กรรมอันเป็นไปด้วยความจงใจ ที่บุคคลทำาแล้ว สะสมแล้วจะสิ้นสุดไป เพราะมิได้เสวยผล แต่กรรมนั้นแล จะให้ผลในภพนี้ หรือในภพถัดไป หรือในภพอื่นสืบๆ ไป”เหมือนกับพระเทวทัต คิดฆ่าพระพุทธเจ้า และลงมือกลิ้งหินทับ แต่ก็ฆ่าไม่ได้ สะเก็ดหินโดนพระบาทห้อเลือด ด้วยวิบากกรรมนั้นของเทวทัต จึงดลให้แผ่นดินสูบเทวทัตตาย ซึ่งเหตุเกิดจาก ในชาติที่พระพุทธเจ้ายังไม่บำาเพ็ญ ได้ไปฆ่าน้องชายต่างมารดาซึ่งก็คือเทวทัตนั่นเอง ดังพระไตรปิฎกเล่ม ๓๒ ว่าด้วยบุพจริยาของพระองค์เองข้อ ๓๙๒ พระผู้มีพระภาคผู้เป็นนายกของโลก แวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์ เป็นอันมาก ประทับนั่งอยู่ที่พื้นหินอันเป็นรัมณียสถานโชติช่วงด้วยแก้วต่างๆ ในละแวกป่า อันมีกลิ่นหอมต่างๆ ใกล้สระอโนดาต ตรัสชี้แจงบุรพกรรมทั้งหลาย ของพระองค์ ณ ที่นั้นว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟังกรรมที่เราทำาแล้วของเรา ในกาลก่อน เราได้ฆ่าพี่น้องชายต่างมารดา เพราะเหตุแห่งทรัพย์ จับใส่ลงในซอกเขา และบด (ทับ) ด้วยหิน ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น พระเทวทัตจึงผลักก้อนหิน ก้อนหินกลิ้งลงมากระทบนิ้วแม่เท้าของเราจนห้อเลือดจะเห็นได้ว่า ในชาติก่อนพระพุทธเจ้าไปฆ่าเทวทัตซึ่งเป็นน้องชายต่างมารดามาก่อน พอมาถึงชาติที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ วิบากกรรมของพระพุทธเจ้าก็ดลดึงให้เทวทัตมาฆ่าคืน แต่ก็ฆ่าคืนไม่ได้ เพราะพระพุทธเจ้าท่านทำาความดีมาเยอะ ความดีก็บรรเทาสิ่งที่ไม่ดีให้เบาบางลง จึงโดนแค่พระบาทห้อเลือด ท่านรู้ว่าท่านทำามา ท่านจึงไม่ได้โกรธเทวทัต แต่เทวทัตสิน่าสงสารจะตาย มาเอาคืนก็เอาคืนได้ไม่มาก เพราะพระพุทธเจ้าทำาดีมากแล้ว แถมวิบากบาปของเทวทัตหนักกว่าเก่าอีก เพราะเขามีเจตนาทำาแล้วไปทำาไม่ดีกับคนดี วิบากก็หนักสิ ซวยเลย ถูกธรณีสูบ พระพุทธเจ้าไม่ตายแต่เทวทัตตายเลย ที่ผมทำามาอาจจะหนักก็ได้ คงไปฆ่าเขาหรือฆ่าใครๆมาก็ได้ แต่ชาตินี้เขาไม่ได้มาฆ่าเราก็ ดีนักหนาแล้ว แค่เตะเราหรือแค่ใส่ร้ายเราก็ดีนักหนาแล้ว น่าสงสารเขา เราช่วยเขาไม่ได้ เขาเอาคืนก็เอาคืนได้ไม่มาก วิบากเขาจะหนัก เพราะมาทำาไม่ดีกับเราตอนที่เราบำาเพ็ญบุญ เราช่วยเขาไม่ได้ก็ต้องปล่อยเขาลงนรกไป ถ้าทำากับเราตอนที่เราทำาไม่ดี เราก็คงได้รับวิบากบาปรุนแรงพอๆกับที่เราทำามา ท่านกลับจากอบรมไป แม้จะไปทำาดีได้เท่าไรก็ตาม ถ้าเราทำาเต็มที่ นั่นคือความสุข ความสุขคือทำาเต็มที่ ความสุขไม่ใช่ทำาสำาเร็จ ย้ำาความสุขไม่ใช่ทำาสำาเร็จ และความสุขไม่ใช่ทำาเสร็จ สุขแท้คือทำาเต็มที่ ทำาเต็มที่แล้วก็สุขเต็มที่ได้แล้ว ทำาดีที่สุดแล้วก็สุขที่สุดได้แล้ว สุขได้เลย เพราะมันดีที่สุดได้แค่เต็มที่ ไม่ใช่ดีที่สุดที่สำาเร็จ และไม่ใช่ดีที่สุดที่เสร็จ ทำาเต็มที่แล้วสุขได้เลย ทุกอย่างดีที่สุดได้แค่เต็มที่ ไม่ใช่ดีที่สุดที่สำาเร็จ เพราะงานบางงานไม่เสร็จง่ายๆหรอก แล้วคุณจะไปสุขตอนเสร็จหรือ แล้วทำาไมไม่สุขตอนทำาเต็มที่หล่ะพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “วิริเยนะ ทุกขมะเจติ” คนจะล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร เพียรเต็มที่ก็สุขแล้ว ย้ำาเพียรเต็มที่ก็สุขเต็มที่แล้วนี่คือสัจจะพี่น้อง กศน. ไม่ต้องไปน้อยใจนะ จงภาคภูมิใจที่เราทำาดี แล้วคนดูถูก เวรกรรมเราก็หมดนะ เราถูกดูถูกดูแคลน เวรกรรมเราก็หมด ขนาดพระพุทธเจ้าท่านทำาดีมากกว่าเราก็ยังถูกบางคนดูถูกเราเป็นขวัญใจของคนที่มีปัญญาแท้ก็พอแล้ว ทำาไมต้องเป็นขวัญใจของคนไม่มีตา ทำาไมต้องไปเป็น
Page 14
ขวัญใจของคนไม่มีปัญญา ทำาไมต้องการรับคำาชมจากคนที่ไม่มีปัญญา ไม่มีตา เขาจะไปชื่นชมอะไรที่ไร้สาระก็ช่าง คนที่มีปัญญาแท้เขาจะรู้สาระประโยชน์ที่แท้จริง คนที่มีปัญญาแท้ ๑ คน รู้เข้าใจและเห็นค่า ชื่นชม เชิดชู และสนับสนุนสิ่งดีที่เราทำาดีกว่าคนตอแหลล้านๆ คน มีแต่คำาตอแหล จะไปเอาทำาไม ให้มันเป็นไปตามสัจจะนั้นแหละดีที่สุด อย่าไปอยากได้จากคนไม่มีตา แม้ว่าเราจะถูกดูถูกดูแคลน จงจำาไว้ว่า ไม่มีอะไรที่เราได้รับโดยที่เราไม่ทำามา ชาติใดชาติหนึ่งเราไปดูถูกดูแคลน กศน.หรือดูถูกใครๆมาก่อนชาตินี้ต้องมาชดใช้กรรม อย่างผมเคยไปดูถูกแพทย์ทางเลือกมาก่อน ชาตินี้ต้องมาเป็นแพทย์ทางเลือกเสียเอง ก็ถูกดูถูก มันก็ถูกต้องเหมาะสมตามธรรมแล้ว เมื่อก่อนเราไม่รู้ว่าแพทย์ทางเลือกก็มีสิ่งที่ดี ตอนนี้เรารู้ว่าดี เราก็ทำาซิ ผมเคยไปดูถูก กศน. มาก่อน เมื่อก่อนเราไม่รู้ว่า กศน. ก็มีสิ่งที่ดี นอกระบบนั้นแหละดี มันไม่มีกรอบขวาง เราสามารถทำาสิ่งที่ดีได้มากได้หลากหลาย เราน่ะโชคดีแล้ว มันไม่มีกรอบขวาง ทุกวันนี้อย่าไปคิดว่าในระบบจะดี มันมีกรอบมีตอขวางเต็มไปหมด จะทำาสิ่งสร้างสรรที่ดีๆได้ลำาบาก แต่โดยสัจจะแล้วไม่ใช่ว่าอยู่ในระบบหรือนอกระบบจะดีกว่ากันหรอก อยู่ที่ว่าใครจะมีสาระที่เป็นประโยชน์แท้ต่อตนเองและผองชนมากกว่ากัน เพียงแต่ทุกวันนี้โดยส่วนใหญ่ในระบบไม่ค่อยจะมีสาระแท้เท่านั้นเอง จึงต้องอาศัยนอกระบบเพื่อเข้าสู่สาระประโยชน์ที่แท้จริง บางท่านได้สัจจะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการดูถูกดูแคลน ความจน ความรวย ถ้าท่านใดฟังแล้วเลิกอยากรวย สาธุคุ้มเลย จะอยากรวยอยากซวยไปทำาไม ความรวยไม่ใช่ความสุข ความรวยไม่ใช่ความมั่นคง ยิ่งรวยยิ่งทุกข์ ยิ่งรวยยิ่งไร้ค่า ยิ่งรวยยิ่งไม่ปลอดภัย ยิ่งรวย ยิ่งอันตราย ยิ่งรวย ยิ่งทุกข์ ยิ่งเหนื่อย ไม่มีประโยชน์อะไรซักอย่าง อย่าคิดว่าคนรวยมีความสุข จริงๆ ชีวิตมันควรจะอยากอะไร จริงๆ ชีวิตอยากมั่นคง ปลอดภัย มีคุณค่า ประเสริฐ และผาสุก นี้คือคนพอเพียง เป็นคนจนที่ไร้กังวล ไร้ทุกข์เราขยันทำามาหากินเต็มที่ เก็บไว้เท่าที่ต้องกินต้องใช้ ที่เหลือกินเหลือใช้ก็แบ่งปัน พอแบ่งปันไปเราก็จะไม่รวย เราจะเป็นคนจนอีกแบบหนึ่งที่ไม่เหมือนบ้าน ไม่เหมือนเมือง ไม่เหมือนคนอื่นเขา แบ่งปันก็ไม่รวย แต่จนอย่างมีคุณค่าเพราะแบ่งปัน ไม่รวย แต่จะ ไม่เป็นคนจนแบบสิ้นไร้ไม้ตอก จะไม่ใช่คนฐานะกลางๆแต่ยังอยากรวยอยู่ และไม่ใช่คนรวยที่ไม่รู้จักพอหรือไม่รู้จักแบ่งปัน ความจริงแล้วขอทานก็ทุกข์พอๆกับคนรวย แต่ขอทานไม่ทุกข์เท่าคนรวย เพราะขอทานก็ทุกข์แค่อยากมีกินมีใช้พอประทังชีวิต แต่คนรวยทุกข์มากกว่าขอทาน เพราะมีสมบัติมากกว่าจึงต้องกังวลมากกว่าในการดูแลรักษา กังวลเพราะอยากมีมากยิ่งขึ้นก็ทุกข์มากขึ้น คนรวยก็จะมีความอยากได้อยากเป็นอยากมีเรื่องนั้นเรื่องนี้มากกว่าขอทาน จึงทุกข์มากกว่าขอทาน หลายคนในโลกนี้คิดว่าคนรวยมีความสุขกว่าคนฐานะอื่นๆ ก็เชิญลองรวยดูแล้วจะรู้ซึ้งว่ารวยแล้วเป็นทุกข์จริงๆอยากให้มีคนทำาวิจัยความสุขความทุกข์ของคนรวย มีเรื่องเล่านี้เป็นเรื่องจริงอจินไตย(เข้าใจได้ยาก รู้ตามได้ยาก) คนรวยเอาไปกักตุนไว้มากๆ ก็จะมีวิบากที่ทำาให้คนอื่นเดือดร้อน ขาดแคลน ลำาบาก วิบากกรรมนั้นจะเขียนเรื่องให้เขาเดือดร้อน บางครั้งจนเขาต้องฉีดยานอนหลับ มีความกังวลมีภาระที่ต้องแก้ปัญหาเรื่องนั้นเรื่องนี้เต็มไปหมดเลย ถ้าคนเข้าใจกรรมเข้าใจจิตวิญญาณจะเข้าใจชัด เหมือนเมื่อเราสมัยก่อนเมื่อเรายังไม่มีงานทำาคิดว่ามีงานทำาจะมีความสุข พอมีเงินเดือนแล้วเป็นไง ทุกข์กว่าเก่า/หนักกว่าเดิมอีก ชาวบ้านมองคุณครูว่าคงมีความสุขนะ มีเงินเดือนมีหน้ามีตา แล้วจริงๆคุณครูมี
Page 15
ความสุขต่างจากตอนเป็นชาวบ้านมั๊ย เผลอๆทุกข์หนักกว่าชาวบ้านอีก บางทีชาวบ้านยังอยู่เฉยๆ แต่เจ้านายใช้เราให้ส่งงานเร็วๆ ชาวบ้านเขาจะรู้กับเรามั้ย ว่ามีเรื่องไหนบ้างที่กดดันเราอยู่ พอๆกับเราที่คิดว่าเราเป็นเจ้านายจะมีความสุข พอเป็นเจ้านายแล้วเป็นไง ทุกข์หนักกว่าเดิมอีก ทุกข์จากหน้าที่ที่ต้องบริหารรับผิดชอบ ทุกข์จากลูกน้องคาดหวัง ทุกข์จากเจ้านายที่เหนือกว่ากดดัน ทุกข์จากต้องรักษาต้องหวงแหนผลประโยชน์ตำาแหน่งลาบยศสรรเสริญ แท้จริงแล้วความสุขไม่ได้อยู่ที่เป็นอะไร แต่ความสุขอยู่ที่ใช้ชีวิตเป็น มีทักษะการดำาเนินชีวิตที่ผาสุก เป็นอะไรก็ไม่มีค่าเท่ากับเป็นสุขหรอกเป็นอะไรก็เป็นสุขได้ถ้าใช้ชีวิตเป็น เป็นอะไรก็ไม่เป็นสุขถ้าใช้ชีวิตไม่เป็น ต่อให้เป็นหัวหน้าเป็นลูกน้องก็ไม่สุขหรอกถ้าใช้ชีวิตไม่เป็น ถ้าอยากเป็นคนรวยให้ลองไปอยู่กับคนรวยสัก ๑ เดือน ก็จะรู้เห็นว่าเขาทุกข์แค่ไหนอย่างไร เพียงแต่เขาไม่เปิดเผยให้คนทั่วไปรู้เท่านั้น ถ้าเขาเปิดเผยออกมานะ มีปัญหาอะไรเยอะแยะมากมาย เช่น คนนั้นคนนี้ก็ไม่ได้ดั่งใจ ลูกคนนั้นก็เลวอย่างนั้นอย่างนี้ ญาติคนนั้นก็มายืมเงินไม่คืน บางคนมายืมเงินเราไม่ให้เขาเขาก็โกรธเรา เป็นศัตรูกับเราอีก ก็วุ่นวาย จะมาฆ่าเราหรือไม่ มันจะทะเลาะ กลัวคนจะคดโกงแย่งชิงสมบัติตรงนั้นตรงนี้ กลัวสมบัติที่ดูแลไม่ทั่วถึงจะเสียหาย มีเรื่องมากมายให้คนรวยทุกข์ มันจะปรุงจะคิดมาก จะฝันฟุ้งไม่สงบ กรรมเขาจะเขียนเรื่องให้ทุกข์กังวลวุ่นวายเยอะแยะไปหมดถ้าความรวยทำาให้มีความสุขจริง พระพุทธเจ้าไม่ทิ้งบ้านทิ้งเมืองไปสู่การ ไม่เอาอะไรหรอก แต่ท่านก็จนอย่างมีความสุข ไม่ใช่จนอย่างสิ้นไร้ไม้ตอก ไม่ใช่จนแบบงอมืองอเท้า ไม่ใช่จนอย่างไม่สุข แต่จนอย่างมีคุณค่า เราทำางานเต็มที่แล้วเราจนแบบแบ่งปัน เราพอกินพอใช้ก็พอ แล้วเราก็แบ่งปัน จนเพราะเราตั้งใจจน จนเพราะเรากล้าจน ทำาไมเราจึงกล้าจน เพราะเรารู้ว่าจนมีค่า จะประเสริฐที่สุด คนอื่นจะไม่ขาดแคลนเพราะเราคนรวยคือคนที่ไม่มีค่าในโลก ถ้าคนรวยอยากมีค่าต้องทำายังไงครับ เขาต้องจนต้องแบ่งปันซิ แบ่งปันเมื่อไหร่ก็มีค่าเมื่อนั้น แบ่งปันแล้วจะรวยมั๊ย แล้วจะรวยอย่างไร มันจะจน แต่ก็จะมีสภาพซ้อน แบ่งปันแล้วจน แต่มันก็จะรวย มันจะซ้อน แบ่งปันแล้วจะจนลง แต่เดี๋ยวจนสักพัก ก็จะรวยอีกแล้วยิ่งสลัดออกไปมันยิ่งกลับมา คนอื่นได้ประโยชน์ มันก็จะยิ่งกลับมา มันก็จะหมุนวนออกไป ยิ่งหมุนวนออกไป ยิ่งมาก ยิ่งมาก ยิ่งสลัดออกไปได้ คนได้ประโยชน์อีกแล้ว บุญก็จะมา บุญก็จะยิ่งมา พระพุทธเจ้าจึงรวยขึ้นทุกชาติ ทุกชาติ ทุกชาติ ทุกชาติ พระไตรปิฎก เล่ม ๑๑ ข้อ ๑๕๒ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเคยเป็นมนุษย์ในชาติก่อน ภพก่อน กำาเนิดก่อน เมื่อตรวจดูมหาชนที่ควรสงเคราะห์... แล้วทำากิจเป็นประโยชน์อันพิเศษในบุคคลนั้นๆ ในกาลก่อนๆ ตถาคตย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เพราะกรรมนั้น อันตนทำาสั่งสม พอกพูน ไพบูลย์ ฯลฯ... เมื่อเป็นพระพุทธเจ้าจึงได้รับผลข้อนี้ คือ เป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก...” จะเห็นได้ว่ายิ่งให้ยิ่งได้ เหตุแห่งการรวยคือการให้ ให้โดยไม่เอาอะไรเลยยิ่งรวย ไม่รู้สอนให้รวยหรือสอนให้จน ทั้งรวยทั้งจน ถ้าเรารู้สาระเรารวยด้วยสัจจะ รวยด้วยสิ่งที่มั่นคงปลอดภัยและผาสุก รวยด้วยวิบากดี วิบากที่เรารวยนั้นแหละ รวยคุณงามความดี รวยด้วยวิบากดี วิบากดีจะสั่งสมในจิตวิญญาณ
Page 16
เราไปข้ามภพข้ามชาติ ดลให้เราได้รับสิ่งที่ดีๆหลายท่านทำาความดีสะสมมาหลายชาติ ไม่งั้นท่านไม่ได้เกิดมาในเมืองไทยหรอก ไม่มีผืนดินเป็นของตัวเองหรอก แค่มีผืนดินไร่สองไร่ก็เลี้ยงชีพได้ ที่ที่มีดินน้ำาลมไฟเหมาะ คือเมืองไทย ที่ที่เหมาะสมที่สุดคือเมืองไทย พื้นที่ไม่กี่ไร่ก็เป็นสวรรค์ได้ ที่เหมาะสมที่สุดในโลกคือเมืองไทย ดังนั้นเราจึงควรพากเพียรเติมบุญเข้าไปอีกเพื่อให้ก่อเกิดสิ่งที่ดีงามยิ่งขึ้นๆจริงๆหลายท่านก็ไม่ได้อยากมาเข้าค่ายหรอกใช่มั๊ย ถ้าบุญไม่ถึงรอบ ก็คงไม่ได้มา บางท่านบุญเต็มๆเลยอยากมาบุญถึงเลย บางท่านบุญถีบ เพราะท่านทำาบุญมาท่านก็ต้องได้ดี บุญถีบมาถึงไปไหนก็ไม่ได้ ไปได้เหมือนกันไปตลาด แต่ก็ยังฟังเรื่องนั้นเรื่องนี้เข้าหูไว้ บุญของท่านเขาบังคับให้ พอถึงเวลาที่จะได้ บางสิ่งบางอย่าง เขาจะบังคับให้ ผมเองก็ไม่ได้อยากมาเป็นแพทย์วิถีธรรม มากินจืดๆไม่อร่อย อยากไปซื้อของกินอร่อยๆ บุญก็บังคับมา บุญก็ส่งความรู้มาให้ บุญส่งมาให้กินข้าวกับเกลือ เมื่อเพิ่งรับราชการได้ ๓ ปี เพิ่งเริ่มได้เงินได้ทอง บุญก็ไม่ยอมให้หลงนรกนาน(สวรรค์ลวงหรือนรกจริง) เราก็ไม่ได้อยากมาทำา แต่พอมาทำาแล้วก็มีความสุข ถึงเวลาแล้วก็เอาสัจจะไป บุญเขาส่งให้เราพระพุทธเจ้า ตรัสไว้ใน “มหาปทานสูตร” ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ทรงสวดพระปาติโมกข์ในที่ประชุมพระภิกษุสงฆ์ดังนี้ ขันติคือความทนทานเป็นตบะอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสว่า พระนิพพานเป็นธรรมอย่างยิ่ง ผู้ทำาร้ายผู้อื่นผู้เบียดเบียนผู้อื่นไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะเลย การไม่ทำาบาปทั้งสิ้น การยังกุศลให้ถึงพร้อม การทำาจิตของตนให้ผ่องใส นี้เป็นคำาสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย การไม่กล่าวร้าย ๑ การไม่ทำาร้าย ๑ ความสำารวมในพระปาติโมกข์ ๑ ความเป็นผู้รู้ประมาณในภัตตาหาร ๑ ที่นอนที่นั่งอันสงัด ๑ การประกอบความเพียรในอธิจิต ๑ หกอย่างนี้ เป็นคำาสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ฯ(พระไตรปิฎก เล่ม ๑๐ ข้อ ๕๔)จะเห็นได้ว่า สาระแท้ของการปฏิบัติธรรมตามคำาตรัสของพระพุทธเจ้านั้น เป็นการปฏิบัติที่ทำาให้เกิดประโยชน์สุขที่แท้จริงทั้งต่อตนเองและผู้อื่นไปพร้อมๆกันเสมอสอดคล้องกับที่พระพุทธเจ้า ตรัสไว้ใน “โกสัมพิยสูตร” ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วยธรรมดาเช่นใด ถึงเราก็ประกอบด้วยธรรมดาเช่นนั้น. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วยธรรมดาอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดานี้ของบุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ คือ อริยสาวกถึงความขวนขวายในกิจใหญ่น้อยที่ควรทำาอย่างไรของเพื่อน สหพรหมจารีโดยแท้ ถึงอย่างนั้น ความเพ่งเล็งกล้าในอธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และอธิปัญญาสิกขา ของอริยสาวกนั้นก็มีอยู่ เปรียบเหมือนแม่โคลูกอ่อน ย่อมเล็มหญ้ากินด้วยชำาเลืองดูลูกด้วยฉะนั้น. อริยสาวกนั้น ย่อมรู้ชัดอยู่อย่างนี้ว่า บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วยธรรมดาเช่นใด ถึงเราก็ประกอบด้วยธรรมดาเช่นนั้น. นี้ญาณที่ ๕ เป็นอริยะ เป็นโลกุตระไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชน อันอริยสาวกนั้นบรรลุแล้ว.(พระไตรปิฎก เล่ม ๑๒ ข้อ ๕๔๗)จะเห็นได้ว่า การขวนขวายในกิจน้อยใหญ่/การชำาเลืองดูลูกด้วย ก็คือการทำาประโยชน์สุขให้กับท่าน(ผู้อื่น) ส่วนการเพ่งเล็งกล้าในอธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และอธิปัญญาสิกขา/เล็มหญ้ากิน ก็คือ
Page 17
การทำาประโยชน์สุขให้กับตน เพราะศีลสมาธิปัญญา จะทำาให้ตนพ้นทุกข์ ดังนั้น การปฏิบัติที่ถูกต้องอย่างแท้จริงนั้น จะต้องปฏิบัติประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านพร้อมกันเสมอ พระพุทธเจ้าท่านได้ทรงตรัสสั่งสอนไว้ ใน”อภิณหปัจจเวกขณธรรมสูตร” ว่า “...พึงพิจารณาเนืองๆว่า...เราย่อมติเตียนตนเองได้โดยศีลหรือไม่...เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายผู้เป็นวิญญูชนพิจารณาแล้ว ติเตียนเราได้โดยศีลหรือไม่...บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ว่า เราต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น...เราเป็นผู้มีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทของกรรม มีกรรมเป็นกำาเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราจักทำากรรมใดดีหรือชั่วก็ตาม เราจักต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น ...วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เราทำาอะไรอยู่...ญาณทัสนะวิเศษอันสามารถกำาจัดกิเลส เป็นอริยะ คือ อุตริมนุสธรรมอันเราได้บรรลุแล้วมีอยู่หรือหนอ...” (พระไตรปิฎก เล่ม ๒๔ ข้อ ๔๘)จะเห็นได้ว่า คำาว่า “เราต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น” “วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เราทำาอะไรอยู่” เป็นการที่พระพุทธเจ้าให้สติกับสาวก ไม่ให้ประมาทในชีวิต ให้เร่งปฏิบัติศีลโดยการละชั่ว บำาเพ็ญความดี พร้อมกับทำาจิตใจให้ผ่องใสด้วยการกำาจัดกิเลส คือความยึดมั่นถือมั่นอันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ซึ่งเป็นทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านไปพร้อมกัน ประโยชน์ตนทำาอย่างไรก็ได้ ให้ชีวิตเราผาสุกอย่างยั่งยืน ด้วยการพึ่งตน ดังคำาตรัสของพระพุทธเจ้า ว่า “หากว่าบุคคลพึงรู้ว่าตนเป็นที่รักไซร้ พึงรักษาตนนั้นไว้ ให้เป็นอัตภาพอันตนรักษาดีแล้ว บัณฑิตพึงประคับประคองตนไว้ตลอดยามทั้งสาม ยามใดยามหนึ่ง บุคคลพึงยังตนนั้นแลให้ตั้งอยู่ในคุณอันสมควรเสียก่อน พึงพร่ำาสอนผู้อื่นในภายหลัง บัณฑิตไม่พึงเศร้าหมอง หากว่าภิกษุพึงทำา ตนเหมือนอย่างที่ตนพร่ำาสอนคนอื่นไซร้ ภิกษุนั้นมีตนอันฝึกดีแล้วหนอ พึงฝึก ได้ยินว่าตนแลฝึกได้ยาก ตนแลเป็นที่พึ่งของตน บุคคลอื่นใครเล่าพึงเป็นที่พึ่งได้ เพราะว่าบุคคลมีตนฝึกฝนดีแล้ว ย่อมได้ที่พึ่งอันได้โดยยาก ความชั่วที่ตนทำาไว้เองเกิดแต่ตน มีตนเป็นแดนเกิด ย่อมย่ำายีคนมีปัญญาทรามดุจเพชร ย่ำายีแก้วมณีที่เกิดแต่หิน ฉะนั้น ความเป็นผู้ทุศีล ล่วงส่วน ย่อมรวบรัดอัตภาพของบุคคลใด ทำาให้เป็นอัตภาพอันตนรัดลงแล้ว เหมือนเถาย่านทรายรวบรัดไม้สาละให้เป็นอันท่วมทับแล้ว บุคคลนั้นย่อมทำาตนเหมือนโจรผู้เป็นโจกปรารถนาโจรผู้เป็นโจก ฉะนั้น กรรมไม่ดีและไม่เป็นประโยชน์แก่ตน ทำาได้ง่าย ส่วนกรรมใดแล เป็นประโยชน์ด้วยดีด้วย กรรมนั้นแลทำาได้ยากอย่างยิ่ง ผู้ใดมีปัญญาทราม อาศัยทิฐิอันลามก ย่อมคัดค้านคำาสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ผู้อรหันต์ เป็นพระอริยเจ้า มีปกติเป็นอยู่โดยธรรม การคัดค้านและทิฐิอันลามกของผู้นั้น ย่อมเผ็ดเพื่อฆ่าตน เหมือนขุยไผ่ฆ่าต้นไผ่ฉะนั้น ทำาชั่วด้วยตนเอง ย่อมเศร้าหมองด้วยตนเอง ไม่ทำาชั่วด้วยตนเอง ย่อมหมดจดด้วยตนเอง ความบริสุทธิ์ ความไม่บริสุทธิ์ เป็นของเฉพาะตัวคนอื่นพึงชำาระคนอื่นให้หมดจดหาได้ไม่ บุคคล ไม่พึงยังประโยชน์ของตนให้เสื่อม เพราะประโยชน์ของผู้อื่นแม้มาก บุคคลรู้จักประโยชน์ของตนแล้ว พึงขวนขวายในประโยชน์ของตนฯ (พระไตรปิฎก เล่ม ๒๕ ข้อ ๒๒)และในขณะเดียวกัน ทำาอย่างไรก็ได้ให้เพื่อนร่วมโลกของเราได้ประโยชน์จากเรามากที่สุดเท่าที่เราจะทำาได้ ดังในพระไตรปิฎก เล่ม ๑๑ ข้อ ๑๐๘ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “พรหมจรรย์นั้นจะพึงเป็นไป เพื่อเกื้อกูลแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์แก่ชาวโลก เพื่อประโยชน์
Page 18
เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทพดาและมนุษย์ทั้งหลาย คืออะไรบ้างคือ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘ ดูกรจุนทะ ธรรมทั้งหลายเหล่านี้แล อันเราแสดง แล้วด้วยความรู้ยิ่ง ซึ่งเป็นธรรมที่บริษัททั้งหมดเทียว พึงพร้อมเพรียงกันประชุม รวบรวมตรวจตราอรรถด้วยอรรถ พยัญชนะด้วยพยัญชนะ โดยวิธีที่พรหมจรรย์ นี้จะพึงตั้งอยู่ตลอดกาล ยืดยาว ตั้งมั่นอยู่สิ้นกาลนาน พรหมจรรย์นั้นจะพึงเป็นไป เพื่อเกื้อกูลแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์แก่ชาวโลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทพดาและมนุษย์ทั้งหลายฯ”จะเห็นได้ว่า ผู้ที่ทำาประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านไปพร้อมๆกัน ก็คือผู้ที่พึ่งตนและแบ่งปัน ผลบุญนั้นก็จะเขียนบท/ดลให้เกิดสิ่งที่ดีทั้งต่อตนเองและผู้อื่น เป็นคุณสมบัติของคนพอเพียง อันเป็นชีวิตที่มั่นคง มีคุณค่า และผาสุกที่สุดในโลกท้ายนี้ผู้เขียนขอส่งกำาลังใจ ให้พี่น้องผองเพื่อนร่วมโลก ประสบความสำาเร็จในการเรียนรู้ฝึกฝนให้ชีวิตอยู่เย็นเป็นสุขกันทุกท่านครับจริงใจ ไมตรี มีอภัย ไร้ทุกข์ใจเพชร กล้าจนเอกสารอ้างอิงกรมการศาสนา. พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ. กรุงเทพมหานคร : สำานักพิมพ์มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย, ๒๕๔๑. . พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง. พิมพ์ครั้งที่ ๑. กรุงเทพมหานคร : กรมศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๑๔.คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง. คำาพ่อสอน: ประมวลพระบรมราโชวาท และพระราชดำารัสเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง. พิมพ์ครั้งที่ ๓. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์กรุงเทพ, ๒๕๕๒
Key to Your Heart - กุญแจใจ- “เคร็ดวิธีนอมเขาหาตนเพื่อดูใจ” สิริมตี นิมมานเหมินท
Key to Your Heart - กุญแจใจ- “เคร็ดวิธีนอมเขาหาตนเพื่อดูใจ” สิริมตี นิมมานเหมินท
Page 3
-3- บทที่ ๑เปดกับไก ฉันเองก็เหมือนคนทั่วไปที่เวลาไมพอใจ ไมถูกใจ หรือหงุดหงิดอะไรขึ้นมา ก็จะโทษวา“เปนเพราะเธอนั่นแหละที่ทําให.......”ไมวาจะเปนเพื่อนเจานายคนขางตัวใครก็ไดที่เกี่ยวของฉันจะตองเอาเรื่องกับคนๆนั้นใหไดเหตุการณตอไปนี้...ที่หลายคนอาจมองวาเปนเรื่องเดิมๆ ธรรมดาๆ แตถือเปนจุดเปลี่ยนที่ใหญหลวงสําหรับชีวิตของฉันเลยทีเดียวกอนที่ฉันจะเลา ตองขอขอบคุณทุกคนที่มีสวนเกี่ยวของกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้อีกครั้ง ไมวาจะเปนเพื่อนรวมบานของฉันทุกคนและญาติธรรมทุกทานที่ชี้ทางสวางใหฉันตอนนั้น...ฉันเปนนักเรียนทุนรัฐบาลไปเรียนตอปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษ ดวยความที่มีเงินไมมาก ทําใหมีทางเลือกนอย จึงขอใหทางมหาวิทยาลัยชวยจัดการหาที่พักให เพราะตองการประหยัดใหมากที่สุด เปนความโชคดีที่ทางมหาวิทยาลัยจัดใหฉันอยูบานพักที่อยูใกลกับตึกเรียนมากๆ เพียงขามถนนก็ถึง แถมยังเปนบาน penthouse คืออยูชั้นบนสุดของหอพักสําหรับนักศึกษาปริญญาตรี มีสามหองนอน สองหองน้ํา พรอมทั้งหองครัวและหองนั่งเลนในตัว สะดวกสบายมากแตนอกจากฉันที่จะไดอยูในบานหลังนี้แลว ยังมีนักเรียนปริญญาโทตางชาติอีก 3 คน ซึ่งไมเคยรูจักกันมากอนพักรวมอยูดวย TIP: “ ขณะที่อานขอใหทานไดจินตนาการไปดวย ใหเหมือนกับวาเรื่องนี้เปนเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวทานจริงๆ จะใสรายละเอียดเพิ่มเติมใหสมจริงยิ่งขึ้นก็ยังได หรือจะโยงเขากับเรื่องคลายกันๆที่ทานประสบมาก็ทําไดเชนกัน เพื่อใหเกิดประโยชนตอทานมากที่สุด ”
Page 4
-4-เมื่อยายเขาบานในวันแรกจึงไดรูวาฉันเปนคนไทยคนเดียวในบาน อีกสองคนเปนอเมริกันและปากีสถาน เขาตกลงอยูหองใหญที่สุดดวยกัน สวนฉันอยูหองเดี่ยวขนาดกลาง และเหลือหองเล็กสุดไวสําหรับคนที่สี่ซึ่งยังไมไดยายเขามา หลังจากพูดคุยกันไดสักพัก ดวยน้ําเสียง วิธีการพูดคุยและอัธยาศัยฉันรูสึกวาชอบเพื่อนอเมริกันมากกวาเพื่อนปากีสถานทันทีชวงเปดเทอมนี้เปนเดือนตุลาคม อีกไมนานก็จะถึงวันคริสตมาสและปใหมแลว เราทั้งสามจึงคุยกันเลนๆวา ถาอีกหองหนึ่งยังวางอยางนี้ตอไปก็คงดี เพราะจะไดใชตอนรับแขกที่จะมาเยี่ยมเราในชวงสิ้นป แขกจะไดไมตองเสียเงินคาที่พักสองสามวันตอมา เพื่อนปากีสถานมาเลาใหฉันฟงอยางตื่นเตนวา วันนี้เขาเจอจดหมายที่สงถึงสมาชิกคนที่สี่ที่ยังไมไดยายเขามา แตเพื่อใหเปนไปตามที่พวกเราคิดกันไว เขาไดทําลายจดหมายนั้นเรียบรอยแลวฉันคิดวา‘แหม..ทําไมตองทําขนาดนั้นยังไงเขาก็ตองยายเขามาอยูดี’ ไมนานสมาชิกคนสุดทายก็ยายเขามาจริงๆ เขาเปนคนกรีก วันแรกๆที่ยายเขามา เพื่อนกรีกตองเจอกับปญหาไมมีที่เก็บของ ทั้งตูในหองน้ํา หองนั่งเลน หองครัวหรือแมแตในตูเย็น ก็เพราะเพื่อนปากีสถานเอาของของเขาใสไวจนเต็มหมดแลว เพื่อนกรีกมาปรับทุกขกับฉันวา “ดูซิทําไมคนปากีสถานถึงทําอยางนี้...ไมรูจักขอบเขตของตัวเองเลย ไปบอกใหเขามายายของก็ทําเฉย” ฉันก็เห็นวาเปนอยางนั้นจริงๆนอกจากนี้ เพื่อนปากีสถานมักพูดจาชนิดไมยอมฟงใคร ไมมีใครถูกนอกจากเขาอีกดวยนับวันฉันก็ยิ่งไมชอบเขามากขึ้นทุกที บางครั้งฉันและเพื่อนกรีกกําลังดูทีวีรายการโปรดอยู เพื่อนปากีสถานมาถึงก็เปลี่ยนชองเฉยเลย...) ทีวีเปนสมบัติของเขา (เราสองคนก็รูสึกไมพอใจ บางทีเขาพาเพื่อนมาบานก็ทําเปนมองไมเห็นคนที่นั่งอยูกอน ทั้งคุยเสียงดังและทําทาไลใหคนอื่นเขาหองไปซะดวยทาทางไมสุภาพ ฉันรูสึกวาเพื่อนคนนี้ชางเห็นแกตัวจริงๆเมื่อเจอเหตุการณแบบนี้บอยๆเขาทําใหเกิดความไมพอใจซ้ําแลวซ้ําอีกจนเปนอัตโนมัติในที่สุดแคเห็นหนาคนปากีสถาน ฉันก็อารมณเสียไดทันที เรียกวาถาเขาอยูนอกหองฉันก็จะเก็บตัวอยูแตในหองจะไดไมตองเห็นหนากัน
Page 5
-5-ชวงนั้นการเรียนก็หนักมาก แทนที่กลับมาบานจะไดผอนคลาย ทําอาหาร ดูทีวีในหองนั่งเลนอยางสบายใจ แตไมเลย...กลับตองมาเจอคนที่เหม็นขี้หนากันในบานอีก เปนอยางนี้นานเปนเดือนๆ บางทีฉันกับเพื่อนอเมริกันและกรีกก็จะมานั่งจับกลุมปรับทุกขถึงความอึดอัดในบานกัน แตก็ไมไดทําใหอะไรดีขึ้น ยิ่งรูสึกวาไมชอบเพื่อนปากีสถานมากขึ้นเรื่อยๆ นานเขาชักทนไมไหวถึงขั้นมีปากเสียงกันก็มี ฉันพยายามหาทางออกทุกวิถีทาง คิดจะยายออกจากบานก็เคย แตไมสามารถหาที่พักใหมที่ราคาทั้งถูกทั้งดีอยางนี้ได พยายามคิดซะวา ‘เขาก็เปนอยางนี้กับทุกคนนั่นแหละไมใชเฉพาะกับฉัน’ หรือ ‘เขาก็มีสวนดีนะ ....’ แตก็ยังทําใจไมได เวลาเห็นหนาเขาก็ยังรูสึกเซ็งเหมือนเดิม เพราะตองเจอกับพฤติกรรมที่ไมชอบใจมากขึ้นทุกวัน อยูอยางกล้ํากลืนฝนทนอยางนี้นานถึง7 เดือนดวยกันพอดีชวงนั้น แมของฉันเริ่มสนใจปฏิบัติธรรมและไดพบกับญาติธรรมลูกศิษยหลวงปูทูลขิปปปญโญที่อยูที่อเมริกาแมเลาวาลูกศิษยหลวงปูกลุมนี้ปฏิบัติธรรมกันอยางจริงจังและสามารถนําธรรมะมาใชในชีวิตประจําวันไดจริง แมบอกฉันวา ปดเทอมแลวใหกลับบาน ทานจะพาไปเขาอบรมธรรมะเพราะญาติธรรมกลุมนี้จะมาจัดอบรมที่เมืองไทยชวงนั้นพอดีจะไดไปลองปฏิบัติดูแมบอกใหฉันคิดดูวา ฉันเปนทุกขใจเรื่องอะไรอยูบาง จะไดเอาไปเลาใหญาติธรรมฟง ทานจะไดชวยหาทางออกใหแมทิ้งทายไววา“เขาวากันวาวิธีนี้ไมยากหลายคนที่ไดฝกไมนานก็ทําไดแลว” จําไดวาชวงที่ปดเทอมมีจัดอบรมที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตรพอดี ในการอบรมมีญาติธรรมจากอเมริกา มาเลาถึงแนวปฏิบัติที่ทานใชไดผลและเลาอุบายธรรมที่ทานใชสอนใจตัวเองใหผูเขาอบรมฟง ฉันก็ฟงไปเรื่อยๆแตยังไมเขาใจจริงๆวา “ตนและของของตน” “นอม...” “ไตรลักษณ” ที่หลายๆทานพูดถึงหมายถึงอะไรกอนจบรายการ นาวิทยากรถามผูเขารวมอบรมวาใครมีความทุกขอะไร ใหเลาสูกันฟงเปนวิทยาทานและวิทยากรจะไดชวยกันหาอุบายธรรมสอนใจใหไดเห็นจริงตามความเปนจริง จะไดคลายทุกข
Page 6
-6-เมื่อถึงตาฉัน ฉันก็บอกไปวาฉันไมคอยมีความทุกขอะไร มีแคเรื่องไมชอบหนาเพื่อนที่อยูบานเดียวกันแลวจึงเลาเรื่องทั้งหมดใหทุกคนฟงเมื่อเลาจบ นาบอกใหฉันนึกถึงเปดกับไกที่เปนเพื่อนกัน วันหนึ่งเปดกําลังวายน้ําอยางสบายใจอยูในสระน้ําพอดีไกเดินผานมาเปดก็รองเรียกไก“ไกไกมาวายน้ําดวยกันสิน้ําเย็นสบายดีมาสิมาวายดวยกัน” ไกก็บอกวา“ไมเอาหรอกฉันวายน้ําไมเปนฉันไมลงไปหรอก” เปด“ไมเห็นเปนไรฉันยังวายไดเลยมาสิมาวายดวยกันนะ” ไก“ไมเอาหรอกฉันวายไมไดจริงๆเธอก็วายไปสิฉันอยูบนนี้แหละ” เปด“อะไรเปนเพื่อนกัน ทําไมไมเชื่อ ก็ฉันยังวายไดเลย ลงมาซะทีสิจะใหพูดไปถึงไหนมาวายดวยกันมะ” ไกก็บอกวา“ไมเอาหรอกฉันวายไมไดจริงๆเธอก็วายไปสิฉันอยูบนนี้แหละ” เปดโมโหมากที่เรียกเทาไหรไกก็ไมยอมลงมาวายน้ําดวยซะที“นี่ใครมันบาเนี่ยเปดหรือไก” นาถาม“ก็เปดนะสิที่บา ...ก็ไกมันวายน้ําไมไดจะใหลงไปวายน้ําไดยังไง แลวเปดยังไปโกรธไกอีก” ฉันตอบนาก็บอก “นั่นละใชเลย ..ลองนอม*เขาหาตัวซิวา เราเปนเปดหรือไกละ ที่จะใหเพื่อนปากีสถานมาทําอะไรอยางที่เราตองการ พอเขาไมทําก็โกรธเขา เขามีธรรมชาติของเขาอยางนั้นใครนะที่บา”
Page 7
-7-ฉันไดเห็นตัวเองทันทีวาฉันเองที่บานึกขําตัวเอง...เพิ่งเขาใจความจริงก็วันนี้วาฉันเปนเปดที่อยากจะใหไกคือเพื่อนปากีสถานมาเปนแบบที่ฉันคิดวาเขาควรจะเปน พอเขาไมเปนตามใจเราก็ไมพอใจเมื่อเห็นตัวเองเห็นความจริงความขุนของหมองใจตอเพื่อนปากีสถานก็หมดไปจากใจที่ผานมาที่ฉันไมสามารถเอาความทุกข ความไมพอใจออกจากใจตัวเองไดเพราะยังไมไดเห็นตัวเองไมเห็นวาฉันกําลังเรียกรองใหคนอื่นมาเปนแบบที่ฉันตองการทั้งๆที่เขาไมไดมีธรรมชาติแบบนั้น ฉัน ฉัน ฉัน ฉันเอาแตความคิดของตัวเองเปนที่ตั้ง เพื่อเปลี่ยนคนอื่น เพื่อนปากีสถานอาจทําบางอยางไดเหมือนฉันแตบางอยางก็ทําไมไดไมใชเขาเปนคนไมดีแตนั่นเปนธรรมชาติของเขา ฉันอยากใหเขารูจักขอบเขตในการอยูรวมกัน อยากใหเขาพูดดีๆ ฟงความคิดเห็นคนอื่นบาง อยากใหเขาสุภาพมากกวานี้ แตเมื่อเขาไมทําเพราะทําไมได คนที่ไมไดดังใจคือฉัน ก็โกรธไมพอใจเขาทําใหใจของฉันเปนทุกขเรื่องเปดกับไกเปนอุบายธรรมที่สอนใหฉันเขาใจความจริงวาสัตวที่คลายๆกัน มีธรรมชาติตางกันไดคนแตละคนก็มีธรรมชาติตางกัน และเหตุการณของเปดกับไกก็ทําใหฉันไดเห็นตัวเองวาฉันก็เหมือนเปดที่พยายามบังคับใหไกลงมาวายน้ําฉันพบวาการเปลี่ยนธรรมชาติของคนอื่นเปนเรื่องที่เปนไปไมได ที่พูดอยางนี้เพราะฉันไดเอาประสบการณในอดีตมาเปนหลักฐานยืนยัน หลังจากคิดทบทวนดู เห็นไดวาในชีวิตที่ผานมาของฉันไมมีซักครั้งที่ฉันจะเปลี่ยนใครได เขาอาจจะยอมทําตามที่เราตองการเพื่อใหเราสบายใจบางก็เทานั้น แตถาจะเปลี่ยนแปลงตัวเขาจริงๆเขาตองเปลี่ยนดวยตัวเอง ฉันเองก็เหมือนกันไมมีใครเปลี่ยนฉันได นอกจากตัวฉันเอง และถึงแมเห็นประโยชนในการเปลี่ยนตัวเองแลวก็ตองใชความพยายามไมนอยปญหาใจของฉันยังไมหมดลงแคนั้น ฉันถามนาตอไปวา “แลวที่เห็นหนาเพื่อนปากีสถานแลวหงุดหงิดไมพอใจเขาละ”
Page 8
-8-นาถามฉันวาเวลาฉันเห็นหนาเขาแลวไมพอใจ ณ ขณะนั้นเขาทําอะไรใหฉันหรือยัง ฉันก็คิดดูวา จริงๆแลวแตละครั้งที่ฉันเห็นหนาเขาแลวหงุดหงิด เขาก็ยังไมไดทําอะไรใหฉัน แตฉันจําไดวาเขาเปนคนเห็นแกตัวไมฟงคนอื่นพูดและชอบเอาชนะ ..... นาจึงบอกใหฉันคิดดูดีๆวาใครที่ทํารายฉัน ทําใหฉันหงุดหงิด ฉันก็ยังคงตอบวาเปนเพื่อนปากีสถานที่ทําใหฉันหงุดหงิด นาบอกใหฉันคิดทบทวนดูดีๆวาใครกันแน ฉันจึงคอยๆนึกยอนไปถึงเหตุการณจริงในบาน แตละครั้งที่ฉันเห็นหนาเพื่อนปากีสถานแลวรูสึกหงุดหงิด จริงๆแลวเขาไมไดทําอะไรฉันแตฉันก็หงุดหงิดเพราะฉันจําไดวาเขาเปนคน.......แบบที่ฉันไมชอบนาบอกวาก็ฉันขยันจําสิ่งที่ไมชอบ พอเห็นหนาเขาก็นึกถึงแตเรื่องที่ไมชอบ ก็ทําใหฉันไมสบายใจเองทําใหเห็นวาความจําของฉันเองนั่นแหละที่ทํารายใจฉันใหหงุดหงิดเวลาเห็นหนาเขาเมื่อเขาใจอยางนี้ ก็เห็นวาที่ผานมาฉันเขาใจผิดมาโดยตลอดวาคนโนนไมดี คนนี้ไมดีพยายามไปแกไขเขาซะอีก จริงๆแลวฉันนั่นแหละที่บาจะไปฝนธรรมชาติของคนอื่น แลวก็ยังทํารายตัวเองดวยความจําในแงลบอีก ไมใชเพราะเขาแตเพราะฉันที่เปนตนเหตุของเรื่องทั้งหมดใหใจเปนทุกขเปนนานสองนาน ใจจึงยอมรับในหลักฐานที่จริงและชัดเจนแตโดยดี ความทุกขที่มีในใจก็หายวับไปกับตาดวยการพลิกความเห็นเพียงนิดเดียวเมื่อกลับไปเรียนตอ ดวยรูทันความจริงและรูจักยอมรับธรรมชาติของผูอื่น ไมเอาความจํามาทํารายตัวเองอีก และเห็นวาคนที่ฉันควรแกไขและทําไดงายที่สุดก็คือตัวเอง หลังจากไดปรับความคิดแลว ก็ยังตองปรับตัวและเรียนรูที่จะจัดการสิ่งตางๆภายในบานใหฉันสามารถอยูรวมกับคนปากีสถานไดอยางสบายใจหายบาในเรื่องนี้*การนอม คือการเอาเรื่องที่ฟงมาเห็นมา ยอนมาเปนกระจกสองดูตัวเอง โดยการคิดงายๆวา“แลวฉันละเคยพูด เคยทําแบบนั้นมั้ย” เพื่อใหเกิดประโยชนกับตัวเอง เมื่อไดอุบายธรรมแลวตองนอมเขาหาตัวฉันจึงจะเกิดประโยชน มิฉะนั้นก็เหมือนกับวามีเครื่องมืออยูแลวแตไมไดเอาไปใชงานนั่นเอง
Page 9
-9- บทที่๒ ถวยกาแฟเปนเหตุ นอกจากเรื่องเพื่อนปากีสถานแลว การอยูรวมบานตามประสาสาวๆตางชาติตางภาษา ยังมีความกังวลใจเปนของแถมอีกเรื่องหนึ่งคือความกังวลตอถวยกาแฟของฉันที่ใชในบานตอนที่ยายเขาบาน ทุกคนตางตองหาซื้อของใชสวนตัวหลายอยางมาเอง เพราะเปนคนชางเลือก...เรียกอีกอยางวา “เรื่องมาก”นั่นแหละ ....ฉันจึงใชเวลาไมนอยในการเลือกสรรของใชสวนตัวเพื่อใหไดของที่สวยงามและเกไก ก็ตองใชไปอีกตั้งหนึ่งปนี่นา ฉันลงทุนซื้อถวยกาแฟและจานชามอยางดี เสียเงินไปไมนอยเลย เพราะคิดวาการไดใชของดีและสวยงามจะชวยผอนคลายความเครียดในการเรียนไดทุกครั้งที่เห็นชวงแรกๆที่ทุกคนในบานยังไมมีเพื่อนมากนัก ตางคนตางก็ใชสมบัติของตัวเองไมกาวกายกันแตเมื่อเริ่มมีการชวนเพื่อนมาบานก็มีการหยิบยืมถวยกาแฟ แกวน้ําของคนอื่นไปใชรับรองแขกของตัว แรกๆก็มีการขออนุญาตเจาของกอนและลางเก็บใหเรียบรอยเมื่อใชเสร็จ หลังๆดวยความเคยชิน ความเกรงใจก็ลดลง คิดจะใชของใครก็หยิบไปใชทันที แลวก็กองทิ้งไวในอางลางจานซะอยางนั้น..ครั้งสองครั้งแรก ฉันก็ไมรูสึกอะไรแตพอเปนแบบนี้บอยเขาๆฉันก็ชักเริ่มอารมณเสียแลวซิแตพูดไปบนไป ก็ไมมีอะไรดีขึ้น หลังๆกลายเปนวาเมื่อกลับถึงบาน อยางแรกที่ทําคือเดินเขาครัวไปดูกอนเลยวามีใครเอาถวยกาแฟ จานชามของเราไปใชแลวไมลางเก็บใหมั้ย แตคนเราไมชอบอะไรมักไดอยางนั้น...ฉันมักจะไดเจอถวยกาแฟ จานชามของฉันนอนแองแมงสกปรกอยูในอางลางจานแทบทุกครั้งไป ทําใหไมพอใจเพื่อนที่ทําอยางนี้มาก ทั้งไมพอใจวาทําไมเอาของเราไปใชโดยพลการแลวไมลางคืนใหทําใหฉันตองมาเดือดรอนลางเองทั้งกลัวของเราจะเสียฉันไดเลาความหงุดหงิดรําคาญใจซ้ําซากนี้ใหนาๆญาติธรรมฟงเปนเรื่องที่สอง นาถามฉันวาพวกถวยกาแฟ จานชามที่ฉันใชอยูนั้นเปนของฉันจริงหรือ ฉันก็ตอบไปวาจริง เพราะฉันเปนคนไปเลือกซื้อมาเองแลวมันก็แพงดวยกลัวคนอื่นใชแลวไมระวังจะทําแตกได
Page 10
-10-นาใหฉันลองคิดดูวา ถวยกาแฟนั้นกวาจะมาเปนถวยมีขั้นตอนอะไรบาง นาเนนวาตองบรรยายใหละเอียดใหเห็นภาพเลยนะ )ทานผูอานลองคิดตามนะคะ( ฉันก็คิดแลวเริ่มบรรยายวาถวยชามทํามาจากดินขาว ตองไปขุดดินขาวมา เอาดินมานวด พอไดที่ก็เอามาปนขึ้นรูปเปนถวยกาแฟ ผึ่งไวจนแหงแลวเอามาลงสี เสร็จแลวก็เอาไปเคลือบและเผาดวยความรอน เมื่อเสร็จขบวนการผลิตก็ขนสงไปยังรานคาตัวแทน แลวฉันก็ไปซื้อมา แลวมันก็เปนของฉันเพราะฉันจายเงินซื้อมา นาใหฉันคิดตอวาแลวถวยจะมีความเปนไปอยางไรอีก ฉันคิดและตอบวา ถาฉันใชไปเรื่อยๆ นานเขาถวยก็จะหมดสภาพ ราว แลวก็แตกในที่สุดก็ตองโยนทิ้งไป รถขยะก็ขนขยะไปทิ้งในหลุมขยะ ถวยก็แตกไปเรื่อย สุดทายก็สลายกลับเปนดินในที่สุด นาถามฉันตอวาเพราะอะไรฉันจึงตองหวงถวยกาแฟนัก ขนาดตองตามไปดูทุกครั้งที่กลับถึงบาน ก็ในเมื่อรูอยูแลววา ธรรมชาติของถวยกาแฟนั้นแตกได นาตั้งขอสังเกตวา ถาไมมีใครเอาถวยไปใช มันจะแตกไดมั้ย“ถาใชอยางระมัดระวังก็จะแตกชา” ฉันตอบ“ตองเปนอยางนั้นจริงๆเหรอ” นาถามทานผูอานละคะคิดวาอยางไรฉันไดคิดและเห็นวาจริงๆแลวเวลาถวยโดนความรอนบางเย็นบางเวลาใชงาน ถวยก็เริ่มราวทีละนิดๆ...อยางที่ฉันก็เคยเห็นบนถวยของฉัน ใชงานทุกครั้งทําใหถวยสึกหรอไปเรื่อยๆ ใชไปนานๆก็แตกไดเอง หรือเราอาจซุมซามปดตกแตกเองก็ยังได แตเล็กจนโตก็เคยทําถวยแตกมาแลวไมรูกี่ใบ เมื่อธรรมชาติของมันเปนของที่แตกได จะไปคิดทําไมวาใครทําแตก ยังไงมันก็ตองแตกจะเสียทั้งเงินที่ไปซื้อมาและตองมาเสียเวลา เสียอารมณคอยกังวลอีกเหรอ ถึงอยางไรถวยกาแฟก็มี
Page 11
-11-ธรรมชาติของมันแบบนี้อยูดี ถาคิดเชนนี้ตอไปก็มีแตขาดทุนกับขาดทุนเมื่อคิดไดอยางนี้ใจฉันก็ไมอยากขาดทุนอีกแลว เลย เลิกกังวล เลิกหวง เจาถวยกาแฟสุดที่รัก แตอยางไรก็ตามในฐานะเจาของฉันก็ไมละเลยที่จะคิดหาทางวาจะทําอยางไรเพื่อใหถวย จานชามของเราอยูใหเราใชไปนานๆ ก็ทําเทาที่จะทําไดแตไมใหขาดทุนทางใจเมื่อพิจารณาสิ่งของอยางอื่นอีกหลายๆอยาง ก็พบวา...ของทุกอยางมาจากที่ไหนก็ไปที่นั่นทั้งสิ้น....จริงๆนะ เพราะเราเองไมรูที่มา ที่เปน และที่ไปของมัน จึงทําใหพยายามบังคับใหมันตองอยูในสภาพเดิมหรือคิดวามันจะคงเดิมตลอดไป คิดแบบนี้เองทําใหขาดทุนที่ใจหลังจากนั้นมา เมื่อฉันจะเลือกซื้อของใช ฉันจะคิดอยางรอบคอบวาคุณภาพของของนั้นเหมาะสมกับราคามั้ย การใชงานเปนอยางไรเหมาะสมกับลักษณะงานที่จะเอามาใชหรือไม เชนถาคาดวาจะมีคนรวมใชดวยหลายคนก็จะเลือกซื้อแบบที่ทนทาน จะไดใชไดนานๆ แตก็ตองประกันใจ TIP: “ ใครที่ติดสมบัติอะไรของตัวเองอยูก็ตามลองพิจารณาดูนะคะวาที่มาที่เปนที่ไปของของเหลานั้นเปนอยางไรเราจะไดเขาใจธรรมชาติของมันและไมกังวลเกินเหตุเหมือนที่ฉันเคยเปนโดยเฉพาะเวลามันเปลี่ยนแปลงจะไดไมตกอกตกใจจนพาลใหใจเปนทุกขเพราะไมเตรียมใจไวกอน ”TIP: “ เมื่อเราแกปญหาดานจิตใจดวยการพิจารณาหาหลักฐานสอนใจจนใจยอมรับความจริงในเรื่องถวยกาแฟไดใจเราจะสบาย จากนั้นเราตองคิดหาทางหาวิธีวาเราจะดูแลสมบัติของเราที่มีอยูอยางไรจึงจะเหมาะสมในฐานะเจาของก็ตองใชปญญาอีกเชนกันแตเปนปญญาทางโลกที่ไมมีหลักตายตัวตองคอยปรับแกไปตามสถานการณ ”
Page 12
-12-ไวดวยวาอาจจะใชไดไมนานอยางที่คิดก็ได เพราะเขาใจธรรมชาติของของใชวามันเปลี่ยนแปลงไดเสมอ และจะไมเลือกซื้อตามความอยากอยางเดียวเหมือนเมื่อกอน เพราะไดเห็นโทษทางใจที่ชัดเจนมาแลว
Page 13
-13- บทที่๓ สิ่งแวดลอม นอกจากพิจารณาที่มา ที่เปน ที่ไป จะทําใหหายกังวลเรื่องจานชามไดแลว ยังมีประเด็นที่ชวนใหคิดตอไปอีกวาถาฉันวางถวยกาแฟใบสุดรักไวบนโตะ แลวแมวเกิดวิ่งมาชนถวยตกแตก ฉันถามตัวเองวาฉันจะโกรธแมวมั้ย จะดุดาแมวหรือรูสึกไมพอใจแมวมากเทากับที่เพื่อนรวมชายคาเดียวกันของฉันทําแตกมั้ย ตอบอยางซื่อสัตยตอตัวเองที่สุดไดวา ฉันจะไมโกรธแมว แตจะโกรธเพื่อน วาทําไมไมระวังไมดูแลสมบัติของฉันใหดีอยางแนนอนคิดไดอยางนี้ทําใหเห็นวามีบางอยางไมถูกตอง ทําไมเราไมโกรธแมวแตโกรธเพื่อนละ ทั้งที่ทั้งคูทําถวยเราแตกเหมือนกัน ลองคิดตอวา ถาถวยแตกเพราะแผนดินไหว หรือเพราะลมพัดตกลงมาละเราก็คงไมโกรธเชนกันเพราะอะไรนะ... เพราะฉันไมคาดหวังในตัวแมว และไมเอาผิดจากการกระทําของธรรมชาติเพราะเปนสิ่งที่ฉันควบคุมไมไดฉันคิดทบทวนไปมาก็พบวาจริงๆแลวเพื่อนก็ไมตางจากแมวไมตางจากการเกิดแผนดินไหว หรือลมพัดเลย เพื่อนก็เปนสิ่งแวดลอมอยางหนึ่งของฉัน เปนธรรมชาติรอบๆตัวฉัน ที่ฉันไมอาจบังคับควบคุมหรือคาดเดาไดรอยเปอรเซ็นตเชนกันในทางกลับกัน ฉันก็เปนสิ่งแวดลอมของเพื่อนเชนกัน แลวฉันอยากทําตัวฉันใหเปนสิ่งแวดลอมที่ดีหรือเปนแบบที่เต็มไปดวยมลพิษใหกับเพื่อนดีนะ.... TIP: “ ฉันพบวาเราจะเปนสิ่งแวดลอมที่ดีของผูคนรอบขางไดเราตองรูจัก‘เอาใจเขามาใสใจเรา’ นั่นเองจริงๆแลวฉันรูจักคํานี้มานานมากแลวแตเพิ่งจะรูจักนํามาใชในชีวิตจริงเมื่อไมนานมานี้เองสิ่งที่สําคัญที่สุดคือเราตองมองเห็นใจตัวเองกอน ”
Page 14
-14-นึกถึงคราวที่ฉันทําแกวของแมตกแตกดวยความซุมซาม ยอนดูวาฉันคิดอะไรนะตอนทําแกวแตกพบวาแตละครั้งฉันไมไดตั้งใจทําแตกแตก็พลาดทําแตกจนไดเพราะฉันก็เปนคนหนึ่งที่ยังมีความพรองอยู เมื่อเห็นใจตัวเองก็เห็นใจเพื่อนวา ถาเพื่อนทําแกวของฉันแตก เขาก็พลาดไดเชนกันถาเราไมเคยคิดแบบนี้ เราก็อาจคิดปรักปรําเพื่อนไดวาเขาไมระมัดระวัง อาจจะตอวาเพื่อนแรงๆเพื่อความสะใจ แตฉันจําไดวาครั้งที่ฉันทําแกวแตกแลวโดนดุฉันก็เสียใจ ถาฉันตอวาเพื่อนเพื่อนก็ตองเสียใจเชนกันการที่ฉันยอมรับความผิดพลาดหรือความพรองของตัวเองกอนฉันก็จะยอมรับความผิดพลาดหรือความพรองของคนอื่นและจะเลิกจับผิดผูอื่น เพราะฉันและเขาก็ไมตางกัน ฉันจึงไมคิดจะตอวาเพื่อน แตจะหันกลับมาดูวามีอะไรที่สามารถปรับแกไขไดบางในสถานการณนั้นๆ และมีความจริงอะไรที่สามารถนํามาเปนหลักฐานสอนใจตัวเองไดจากสิ่งที่พลาดไปแลว
Page 15
-15- บทที่ ๔ คนขี้ตู ในการอบรมครั้งแรกของฉัน ฉันเปดใจรับฟงและคิดตามเรื่องตางๆที่วิทยากรถายทอดใหทุกอยางเปนสิ่งแปลกใหมสําหรับฉันไปหมด“คนเราจะทุกขใจจากเรื่อง ตนและของของตน เปนหลัก” ฟงแลวงงๆไมเขาใจ นาวิทยากรจึงไดยกตนมะละกอขึ้นเปนกรณีศึกษาใหฉันและคนอื่นไดทําความเขาใจนาวา มีตนมะละกอ 2 ตน ตนหนึ่งขึ้นอยูในรั้วบานฉัน อีกตนหนึ่งขึ้นอยูอีกฝงหนึ่งของรั้วถามีคนแปลกหนาเอาขวานมาฟนตนมะละกอตนนอกบาน ฉันจะโกรธ จะไปไลคนนั้นไมใหตัดมั้ยฉันก็ตอบวาไมเพราะไมเกี่ยวกับฉัน นาถามตอวาแลวกลับกัน ถาเขามาตัดตนที่ขึ้นในบานของฉันละ ฉันจะทําอยางไร ฉันก็ตองไปไลคนที่มาตัดซิจะมาตัดตนมะละกอของฉันไดยังไง นาก็ถามวาตนมะละกอเหมือนกัน ทําไมตัดตนหนึ่งโกรธแตตัดอีกตนหนึ่งไมโกรธละ ฉันตอบวา ก็ตนของบานฉันฉันรดน้ําดูแลใสปุยแลวฉันก็ไดเก็บลูกกินฉันก็ตองหวงของฉันนี่ไง..ของของตนทําใหเปนทุกขเขาใจแลวเปนแบบนี้นี่เองนาก็ถามตอวา แลวแครดน้ํากับใสปุย มะละกอจะงอกงามจนออกลูกไดมั้ย ฉันก็วา ไมนะจริงๆแลว นอกจากน้ําและปุย มันยังตองการอากาศ แสงแดด และสภาพดินที่เหมาะสมอีกดวย แลวนาก็ถามวาแลวอากาศ แสงแดดพื้นดินเปนของใครกัน ฉันตอบไมไดนาจึงวาก็“ของโลก” ไง ฉันพยักหนาเห็นดวยแตโดยดีเพราะเราไดอาศัยเก็บลูกมะละกอกิน รดน้ําใหบางเปนครั้งคราว ใสปุยบางเพราะอยากใหลูกดก แคนี้เราก็ไปตูเอาวามะละกอเปนของเรา ปจจัยอีกหลายอยางที่ประกอบกันแลวทําใหมะละกอออกลูก เราไมไดคิดถึง ถาเปนของฉันจริงๆ ฉันตองสั่งใหตนมะละกอออกลูกไดตามใจ โตเร็วไดดังใจ และตองอยูกับฉันตลอดไปซิ
Page 16
-16-ถาสังเกตตัวเองดีๆ จะพบวาเรามักจะมีอารมณกับสิ่งที่เราเกี่ยวของหรือมีผลกระทบตอตัวเราหรืออะไรก็ตามที่เราวาเปนของของเรา เชน ถามีใครมาวิจารณหรือตอวาตัวเรา พอแมเรา เพื่อนเราผลงานของเรา เสื้อผาที่เราใส หรืออาหารที่เราทํา เรามักไมพอใจ จะมากนอยก็แลวแตสถานการณเพราะเราไมเคยพิจารณาสิ่งที่คิดวาเปนของเราวาจริงๆแลวคืออะไร ที่มา ที่เปน ที่ไปเปนอยางไรเปนของเราจริงหรือ จึงทําใหทุกขเพราะไมเขาใจความเปนจริงของสิ่งนั้นๆ อยางที่ฉันทุกขกับเรื่องถวยกาแฟนั่นเองมีอะไรอีกบางที่เราไปตูวาเปนของของเรา ทําใหใจเราเคยเปนทุกข หรือเสี่ยงตอการเกิดทุกขในอนาคตตองลองคนดูและคอยๆแจกแจงที่มาที่เปนที่ไปของสิ่งนั้นดูนะคะแตเพราะเรายังตองใชชีวิตอยูในสังคมมีหนาที่การงานเรายังตองอาศัยสิ่งตางๆเพื่อดํารงชีวิตและอํานวยความสะดวกใหเราตามอัตภาพและฐานะ สิ่งที่สําคัญคือเราตองเรียนรูที่จะเอาประโยชนจากสิ่งที่มี ทั้งทางกายใหตรงกับวัตถุประสงคของการมีของนั้น และทางใจคือใชสมบัติเหลานั้นเปนหลักฐานใหเราไดสัมผัสความจริงไมวาจะ“มี”อะไรใหมีใหไดประโยชนอยา “มี” ใหเปนตนเหตุใหใจทุกขเพราะความไมเขาใจความจริงการคิดพิจารณาความจริงตองคิดพินิจพิเคราะหอยางละเอียดถี่ถวนใหเกิดความรูสึก หามคิดแบบรวบรัดตัดความเพราะไมทําใหเรามีอารมณรวมกับการคิดนั้นก็ไมเกิดประโยชน ที่ตองทําอยางนี้เพราะเรากําลังจะสั่งสอนใจเรา แตใจเราไมคุนเคย เราตองเอาสิ่งตางๆที่เห็นภายนอกหลายๆอยางมาประกอบกันเพื่อเปนหลักฐานใหใจไดรับรูและเกิดความรูสึกตามไปนึกถึงเวลาที่ทนายความสืบพยานตอหนาลูกขุน ทนายตองผูกเรื่องราวจากคําใหการของพยานประกอบกับหลักฐานที่มีอยูใหลูกขุนฟงเพื่อพิจารณาคดี ทนายฝายโจทกกับทนายฝายจําเลยตองใชพยานและหลักฐานทั้งหมดที่มีเพื่อเอาชนะอีกฝายหนึ่ง ลูกขุนเปรียบเหมือนใจของเรา ทนายฝายโจทยคือปญญาทางธรรมที่คอยดูแลใหใจสบาย ทนายฝายจําเลยคือความเห็นผิดที่ทําใหใจเปนทุกข ปกติใจเราจะคุนเคยกับฝายความเห็นผิดเพราะฝายนี้มีกลยุทธแพรวพราวทําใหเราหลงเชื่อมานานแลว สวนปญญาทางธรรม
Page 17
-17-ของเรายังก็ไมเคยไดมีโอกาสออกมาทํางานแตขณะนี้เรากําลังจะฝกปญญาทางธรรมออกมาขับเคี่ยวกับความเห็นผิดที่เรามีอยูตองหมั่นคนหาความจริงและเก็บหลักฐานสอนใจบอยๆจะไดชํานาญ TIP: “ ในการพิจารณาความจริงเราตองทําหนาที่เปนหมอใจของตัวเองวินิจฉัยโรคใจที่เราเปนอยูดูวาเรามีโรคเรื้อรังอะไรฝงใจอยูบางมั้ยหรือขณะนี้เราเปนโรคอะไรอยูคือเรามักจะอารมณเสียกับเรื่องใดเปนประจําบางใหนั่งนึกดูนะคะโรคเหลานี้แหละคะที่เปนเปาหมายของเรา แตในเมื่อเรายังเปนผูฝกหัดเราตองติดอาวุธใหกับตัวเองโดยการฝกเปนคนชางสังเกตสังเกตความคิดความรูสึกของตัวเองในแตละขณะจากเดิมที่เราเคยชินกับการมองคนอื่นก็ใหหันกลับมามองตัวเองใหมากขึ้นฝกคิดพิจารณาสิ่งของตางๆรอบตัวโดยเฉพาะที่รักๆวามีที่มาที่เปนที่ไปอยางไรแลว“นอม” หรือยอนมาเทียบกับตัวเราเสมอๆเพื่อความชํานาญ ”
Page 18
-18- บทที่ ๕ หมากับไกสอนใจ เพราะเปนลูกคนโต เปนลูกคนเดียวในบานมากอน เมื่อมีนองก็ทําใหฉันรูสึกวาพอแมรักฉันนอยลง เวลาพอซื้ออะไรมาฝาก เมื่อกอนฉันก็ไมตองแบงใหใคร พอมีนองก็ตองแบงใหนอง เวลาเลนกับนองพอนองรองไหฉันก็โดนพอแมดุรูสึกนอยใจพอแมลึกๆมาตลอดมีอยูครั้งหนึ่ง...จําไดแมนวาไปซุปเปอรมารเก็ตแลวฉันอยากซื้อขนมอยางหนึ่งพอไมอนุญาตใหฉันซื้อ แตพอนองขอบาง พอกลับไมวาอะไร เมื่อเริ่มโตขึ้น เลนกับพอ พอก็ไมเลนดวยบางครั้งฉันไปนั่งใกลๆอยางเคย พอก็บนวารอน ถาฉันยังขืนเบียดอยูอีกก็จะโดนพอหยิก ฉันก็เสียใจดวยความที่ชอบกินขนมมากกวาขาว ก็เริ่มอวน พอก็มักจะดุเวลาฉันกินขนม ฉันเคยทะเลาะกับพอแรงๆเรื่องกินขนมหลายครั้งแมบอกวาพออยากใหลูกดูดีแตตอนนั้นฉันไมเขาใจความนอยใจถูกเก็บซอนไวในใจวาพอไมรักเรา ทําใหฉันกับพอหางเหินกันมากขึ้นเรื่อยๆหลังจากรูจักการหาอุบายธรรมมาสอนใจ และเคยลิ้มรสใจที่เบาสบายหลังจากปลดความทุกขที่เกิดจากความเห็นผิดออกไดบางแลว ฉันก็เริ่มขุดคุยคนหาขยะที่ซุกซอนไวใตพรมในใจเปนการใหญในขณะที่นั่งเครื่องบินกลับอังกฤษกอนเปดเทอมสอง ฉันก็นึกถึงคราวที่มีพอกับแมมาดวยพอกับแมบินมาสงฉันที่อังกฤษกอนวันเปดเทอมๆแรก เพื่อพาฉันไปดูที่พักและหาซื้อของที่จําเปนกอนยายเขาที่พักฉันทะเลาะกับพอเพราะฉันอยากไปเที่ยวที่ตางๆตามที่หนังสือนําเที่ยวแนะนํา แตบางทีพอก็ไมยอมพาไปฉันก็ไมพอใจนึกเสียใจวาพอไมรักไปตางๆนานาแลวก็นึกยอนไปถึงเรื่องเกาๆที่แอบนอยใจสมัยเด็กๆที่ยังจําไดแมน นอกจากเรื่องนอยใจฉันก็จําไดวา ทุกครั้งที่ฉันรองไหไมวาตอนเด็กหรือตอนโตพอก็จะดึงฉันไปกอดและใหเช็ดน้ําตากับเสื้อพอทุกทีก็นึกไปเรื่อยๆทั้งเรื่องที่นอยใจ และเรื่องอื่นๆปนเปกันไป ใจก็นึกไปถึงหมาที่วิ่งอยูริมถนนหนาบาน
Page 19
-19-แถวหนาบานฉัน คนชอบเอาหมาที่เขาไมตองการแลวมาปลอย เมื่อมีคนใหอาหาร มันก็อยูแถวๆนั้นไมไปไหน จนออกลูกออกหลาน ฉันก็เห็น พอ แมหมาเหลานั้นมันดูแลลูกมันไมนานนักมันก็แยกยายกันตางตัวตางไป ไมเปนพอเปนแม ไมตองคอยดูแลกันอีกตอไป นึกไปถึงไกที่เคยเลี้ยง แมไกมันกกไขไดไมนาน ไขก็ฟกออกมาเปนลูกเจี๊ยบ แมไกก็พาออกคุยเขี่ยหาอาหารไมนานก็แยกยายกันไปไมตางจากหมาใจก็ยอนคิดทันทีวา ‘แลวเราละ...ที่วาพอแมไมรักนะ...จริงเหรอ’ ฉันไดคิดวา...ถาพอแมไมรักฉัน ทานจะทําแบบพอแมหมา พอแมไกก็ได แคดูแลใหฉันหาอาหารกินเองได ชวยตัวเองได แลวก็แยกยายกันไป หรือทําแบบที่เห็นตามหนาหนังสือพิมพ ที่พอแมใจรายเอาลูกทารกไปทิ้งตามขางทาง ฉันจะทําอะไรได ถามีคนมาเจอก็ดีไป ถาไมมีก็ตายอยางเดียวแตพอแมฉันทานไมไดทําอยางนั้น ทานเลี้ยงฉันจนโต ใหอาหารที่ดี ซื้อของเลนใหสารพัดใหฉันไดเขาโรงเรียนที่ดี ไดเรียนสูงๆ มีบานดีๆอยู อยากไปเที่ยวก็ไดไป อยากไดรถก็ได ใหฉันมีโอกาสในชีวิตมากกวาคนอีกมากมาย พอแมฉันดีกับฉันและรักฉันมากมาย แตฉันกลับมองไมเห็นความรักของทานคิดอยูแตวาทานไมรักฉันฉันคิดหาสาเหตุวาอะไรนะที่ทําใหฉันคิดแบบนี้ ฉันตองการความรักแบบไหนกัน ฉันอยากใหพอแมทําอะไรใหฉันอีก ฉันพบวาเพราะฉันคิดถึงแตวาฉันตองการอะไรจากทาน ถาตองการใหทานกอดแลวทานไมกอด ฉันก็ไมพอใจ พาลคิดวาทานไมรัก ถาตองการใหทานซื้อของให ถาทานไมซื้อ ฉันก็ไมพอใจอีก คิดแตวาทานไมรัก ฉันก็เห็นแตจุดที่ไมไดดังใจแคนั้น เพราะทานไมไดรักฉันอยางที่ฉันตองการ อยางที่ฉันคาดหวังเทานั้นเอง จุดอื่นที่พอแมทําใหที่สําคัญกวา มีคุณคากวามีมากมาย แตฉันกลับไมเอามาคิด กลับนึกไมถึง ไดแตเก็บเอาความไมพอใจมานั่งนอยใจ ทําตัวหาง
Page 20
-20-เหิน และเอาแตพูดวาพอแมไมรัก ถึงตรงนี้ไดเห็นตัวเองวา ฉันนี่แยจริงๆ ฉันไมเห็นความรักของพอแมและยังทําใหพอแมตองเสียใจเพราะฉันเมื่อรูอยางนี้ จึงซาบซึ้งถึงพระคุณของพอแม ความนอยใจกอนใหญที่ซอนไวลึกๆในใจมานานก็หมดไป ไดแตนั่งเขียนจดหมายถึงทานวา วันนี้ไดเห็นความจริงในความรักของพอแมแลวอยางไรบาง ไดกราบขอโทษพอแมในความเห็นผิด ทําใหแสดงออกมาทางการกระทําและคําพูดที่ไมเหมาะสมไมนารักใหพอแมทุกขใจหลายๆครั้งตั้งแตเด็กจนโตดูซิ...ความเห็นผิด ความไมรูในใจเรามันรายกาจนัก ทั้งทํารายใจตัวเองและคนรอบขางเราไดมากขนาดไหนแลวอีกโรคที่เรื้อรังในใจมานานของฉันก็ไดยาดีมารักษา ดวยคุณหมอที่ดีที่สุดก็คือตัวฉันเอง ทานก็คือหมอใจที่ดีที่สุดของทานเองเชนกัน เมื่อพบโรคที่เปนอยูใหเอาเรื่องราวเหลานั้นมาพิจารณา คิดสบายๆ แตใหคิดปะติดปะตอเปนเรื่องราว แบบเดียวกับการยอนคิดถึงความหลัง เมื่อมีความตั้งมั่นในการคิดพิจารณา สิ่งที่ไดพบเห็นผานตามาอาจเปนอุบายธรรมใหเราไดไขปญหาใจใหคลายทุกขในเรื่องนั้นๆได เชนเดียวกับหมาและไกที่เปนอุบายธรรมใหฉันไดเห็นความจริงในความรักของพอแม TIP: “ การพิจารณารักษาโรคใจเปนเรื่องสวนตัวของแตละคน ไมจําเปนตองเหมือนกันใหแตละคนมีอิสระทางความคิดไดเต็มที่โดยอยูบนพื้นฐานเดียวกันคือความเปนจริงที่มีหลักฐานยืนยันไดไมใชคิดเอาเองตามความพอใจถาหลักฐานความจริงเพียงพอ ผลของการพิจารณาคือใจที่สบายคลายทุกขเพราะใจยอมรับความจริงในเรื่องนั้นนั่นเองผลของการปฏิบัติก็เปนสวนตัวรูไดดวยตัวเองเชนกัน ”
Page 21
-21- บทที่๖ หนักนักก็วาง…แลวจะเบา หลังจากเรียนจบปริญญาตรี กอนจะไปเรียนตอปริญญาโท ฉันไดเขาทํางานในบริษัทใหญแหงหนึ่ง ตลอดเวลาที่ทํางานที่นั่น ฉันไดรับคําชมมากมาย เคยไดรับจดหมายชมเชยจากบริษัทหลายครั้งวาเปนพนักงานที่มีคุณภาพ มีประสิทธิภาพการทํางานสูง เจานายทุกคนก็รัก ฉันคิดวาฉันประสบความสําเร็จในหนาที่การงานแลว ฉันภูมิใจในตัวเองและยิ่งทุมเทใหกับงานอยางมากขึ้นแตละวัน เมื่อกลับถึงบานค่ําๆมืดๆก็ยังไมหยุดคิด หยุดบนถึงเรื่องงาน เรื่องเพื่อนรวมงานคนโนนลูกคาคนนี้ ใหพอแมฟงตออีกไมเวนแตละวัน บางวันพอขี้เกียจฟง ก็วาฉันนั้นไมฉลาดเลยที่เปนแบบนี้ แตฉันก็ไมเขาใจที่พอพูด ยังบนใหแมฟงตอไป นับวันฉันจะชอบหาขอบกพรองของคนอื่นมากขึ้น และขี้รําคาญ ใครทําอะไรก็ไมถูกใจไปหมด หาขอติไดแทบทุกเรื่องในชวงนั้น ทําใหฉันหงุดหงิดไดตลอดทั้งวันเลยทีเดียวเมื่อเริ่มนอมเปน ไดเห็นคนขี้หงุดหงิดหลายคนรอบขาง เห็นวาเราก็เหมือนเขา ขี้หงุดหงิดงาย อารมณเสียงาย เวลาอารมณไมดีหนาตาก็ยูยี่ พูดเสียงแข็งๆไมนาฟง บางทีก็บนออกมา เปนที่นารําคาญกับคนรอบขาง ฉันเองก็ยังไมชอบอยูใกลคนแบบนี้เลย เห็นขอเสียของตัวเองแบบนี้จึงพยายามแกไขวันหนึ่งระหวางที่เดินไปสวนสาธารณะใกลบาน ก็คิดไปดวยวา ฉันกลายเปนคนขี้หงุดหงิดตั้งแตเมื่อไหรกัน นึกยอนไปตอนเด็กๆฉันเปนเด็กอารมณดีราเริง ยังไมมีนิสัยขี้หงุดหงิด เอาแตวิ่งเลนสนุก เลนกับคนโนนที คนนี้ที ฉันก็คิดวา ‘เอ....ตอนเด็กๆเราคิดตางจากตอนโตยังไงนะ อะไรทําใหเราเริ่มเปนแบบนี้’ ฉันนึกยอนตอไป เหมือนยอนดูหนังที่ฉันเลนเองนึกไปถึงตอนทํางานกลุมกับเพื่อนที่มหาวิทยาลัยกอนจะจบปริญญาตรีฉันเคยตอวาเพื่อนในกลุมวาเขาไมตั้งใจทํางานทําใหงานของเขาออกมาไมดีพอฉันคิดวาฉันทําไดดีกวาฉันเลยตองเปนคนทําซะเองสวนเพื่อนก็ไมพอใจฉันและไม
Page 22
-22-อยากจะทํางานตอฉันมักจะตอวาคนอื่นแรงๆเมื่อเขาทําอะไรไมถูกใจฉันหรือทําไมไดตามมาตรฐานที่ฉันตั้งไวเมื่อเรียนจบดวยคะแนนที่นับวาดีทีเดียว ดีกรีความไมพอใจคนอื่นยิ่งเพิ่มสูงขึ้น มีคนบอกฉันหลายคนวาฉันเปนคนมั่นใจในตัวเองมากแตฉันไมเห็นวาเสียหายตรงไหนชวงที่เขาทํางานใหมๆมีพี่ที่ทํางานมาขอใหฉันอธิบายรายละเอียดขั้นตอนผลิตผลิตภัณฑของบริษัทใหเขาฟงอธิบายเทาไหรเขาก็ไมเขาใจ จนฉันรําคาญและคิดวาเพราะเขาไมตั้งใจจึงไมเขาใจอยูอยางนั้น ฉันเลยบอกเขาไปวา วันหลังใหเอาสมองมาดวยแลวคอยมาถามใหมแลวกัน เขาโกรธฉันมาก แตฉันก็ยังไมรูวาตัวเองพูดอะไรออกไป และยังไมหยุดนิสัยแบบนี้ เหตุการณที่สะดุดใจที่สุดคือ ฉันเปนหนักขนาดหงุดหงิดแมกระทั่งเด็กปม วาเขาเติมน้ํามันไดไมเขาทา แตก็ไมรูจะทําอยางไรกับตัวเองในตอนนั้นฉันเห็นถึงความหนักในใจตัวเองแตละครั้งที่หงุดหงิด เพราะไมไดดั่งใจจากการกระทําของคนอื่นขณะที่ยอนนึกถึงเหตุการณที่ผานมา ใจก็นึกถึงคําพูดที่ไดยินเมื่อวันกอนวา “กระเปาหนักก็วางสิ” นาคนหนึ่งพูดกับเพื่อนที่ไมยอมวางกระเปาถือใบใหญ แตบนวาหนัก เมื่อเขาวางกระเปาลงตามที่เพื่อนแนะนําก็พูดวา“เออจริงเนอะ..พอวางแลวก็เบาจริงๆ” ใจก็นึกตอวา ‘แลวที่เราหนักละ เราถืออะไรอยูนะ’ ทันใดนั้นก็เห็นภาพตัวเองถือไมบรรทัดอันใหญมาก ที่คอยเที่ยววัดคนนั้นคนนี้ตลอดเวลา ‘เออนะก็มันทั้งใหญและหนัก ไมถือแลววางดีกวา’ พอใจยอมวางรูสึกเบาทันทีจริงๆ เข็ดแลวไมหลงแบกไมบรรทัดในใจอันใหญใหหนักอีกตอไป‘...แลวที่เคยติคนอื่นเขา..แลวฉันละเคยทําอะไรผิดพลาดบางมั้ย’ ยอนนึกดูตัวเองยกตัวอยาง เวลาสอบ เขาใหทําขอสอบใหถูก ฉันไมเคยทําถูกหมดสักที เพราะสะเพราและเลินเลอเวลาขับรถบางทีก็หลงทาง ไปซื้อของพอกลับถึงบานไมมีของซะแลวเพราะลืมไวที่รานนัดหมาย
Page 23
-23-กับเพื่อน บางครั้งก็ไปไมทัน บางครั้งก็ลืมสนิทจนผิดนัด แมฝากซื้อของ บางครั้งก็ซื้อมาผิด เปนตนฉันเองก็ไมตางจากคนที่ฉันเคยติหรอก เพราะก็เคยทําผิดทําพลาดทําไมถูกใจใครหลายๆคนเชนกันแตเวลาที่พลาดเอง มักจะไมถือสาตัวเอง คิดวาเปนเรื่องเล็กๆนอยๆบาง ธรรมดาบาง แตถาเปนคนอื่นพลาดยอมไมได ดูความไมเปนธรรมของตัวเราซิ เมื่อเห็นวาตัวฉันเองก็เคยพลาด ทําใหเขาใจผูอื่นวาเวลาเขาพลาดเขาก็คิดก็รูสึกไมตางจากเราหรอกฉันเคยซื้อของแตกลับลืมของทิ้งไวที่ราน จึงโดนแมดุ ฉันก็เสียใจเพราะไมไดตั้งใจพลาดทําใหเห็นใจผูคนที่ฉันเคยวาเคยพูดจาแยๆดวยจริงๆและเมื่อจะวิพากวิจารณใครอีกก็ตองระมัดระวังคําพูดเพราะเห็นใจเขากับใจฉันไมตางกัน ไมลืมที่จะคิดกอนพูดวา ถามีคนมาพูดแบบเดียวกับที่เรากําลังจะพูดออกไปเราจะรูสึกอยางไรถาเราไมชอบผูอื่นก็ไมชอบเชนเดียวกัน TIP: “ การนอมเปนก็ดีอยางนี้ยิ่งนอมเกงเทาไหรยิ่งทําใหเห็นวาฉันและเขาไมตางกันเราไมชอบอะไรเขาก็ไมชอบเชนกันเห็นใจกันเห็นใจตัวเองและเห็นใจผูอื่นแตถานอมแลวพิจารณาแลวยังเห็นวาตัวเราดีกวาเขาหรือยังเขาขางตัวเองอยูก็ใหหาหลักฐานความเปนจริงใหใจไดเห็นตอไปนะคะ เมื่อหลักฐานเพียงพอใจจะยอมรับความจริงทั้งหมดเอง ”TIP: “ ที่ใจยอมวางไดเปนเพราะใจไดเห็นหลักฐานเพียงพอไดเห็นทุกขโทษภัยของการเที่ยวเอาใจตัวเองไปวัดผูอื่นทุกขคือความหงุดหงิดขี้รําคาญความหนักที่เกิดขึ้นในใจเมื่อตองการใหทุกอยางเปนอยางใจคิดซึ่งไมมีทางเปนไปไดโทษคือเมื่อเราไมไดดังใจการแสดงออกทางกริยาวาจาก็ไมเหมาะสมสามารถสรางเวรสรางกรรมตอไปไดภัยคือปฏิกิริยาโตตอบที่ผูอื่นอาจกระทําตอเราจากการที่เราแสดงกริยาวาจาที่ไมเหมาะสมตอเขากอน ”
Page 24
-24- บทที่ ๗ขอบคุณดอกไมตนไมในสวน ในการอบรมที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตรครั้งนั้น วิทยากรพูดไดวา “ในการปฏิบัติแนวปญญา ไตรลักษณเปนหลักสําคัญในการพิจารณาพิจารณาอะไรก็ใหลงสูไตรลักษณ” ไตรลักษณประกอบดวย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ฉันเองก็เคยไดยินคําเหลานี้มานานแลวอนิจจัง แปลวาความเปลี่ยนแปลง ความไมเที่ยง ทุกขัง คือความทุกข อนัตตา ความไมมีอะไรเปนตัวตน ถามใจตัวเองวาเขาใจคําเหลานี้ดีมากนอยแคไหน เพราะถาเขาใจแคคําแปลก็ไมมีประโยชนอะไรกับเราจริง ตอบอยางซื่อสัตยกับตัวเองที่สุดวา ยัง....ยังไมเขาใจถองแทดวยตัวเอง แครูตามหนังสือเปนแคการรูจัก“ชื่อของธรรมะ” เทานั้นทําอยางไรดีละ ...จําไดวาปาๆนาๆกัลยาณมิตร บอกวา ถาอยากรูความจริงอะไร สิ่งตางๆรอบตัวโดยเฉพาะตนไมดอกไมชวยได ตอนนั้นฉันจึงออกจากหองไปเดินหาความจริงในสวนใกลที่พัก TIP: “ ขอเชิญชวนทานผูอานออกไปหาความจริงดวยกันนะคะใจเย็นๆไมตองรีบรอนรับรองวาตองไดเจอความจริงแนๆเปนความจริงในแบบของใครของคนนั้นอีกดวยไมตองเหมือนในหนังสือหรือเหมือนกับใครทั้งนั้น ถาทานพบความจริงดวยตัวเองแลวก็รับรองไดวาจะเกิดความมั่นใจโดยไมตองถามใครวาที่เราเขาใจนั้นถูกหรือผิดบอกใบใหวาตองชางสังเกตชางสงสัยทําตัวทําใจใหเหมือนเด็กที่สําคัญใหคิดตามสบายอยางเปนอิสระ)ทางความคิด(ใหตั้งคําถามถามตัวเองไมมีถูกผิดเหมือนทําขอสอบคะแคตองกลาๆคิดหนอย ”
Page 25
-25-ลองตั้งคําถามกับตัวเองดูซิวา...ดอกไมตนไมเปนอยางไร มีดอกมีใบกี่แบบ หลับตาบาง ลืมตามองดูบางที่เห็นวันนี้เหมือนที่เห็นเมื่อวานมั้ยความเปลี่ยนแปลงของกิ่งกานดอกใบแตละอันวาเหมือนกันมั้ยแตกตางกันอยางไรเมื่อหมดสภาพตกลงสูพื้นดินมีความเปลี่ยนแปลงอยางไรถาเราอยากใหดอกไมที่กําลังบานสวยอยูขณะนี้ คงอยูตลอดไป จะเปนอยางไร ถามตัวเองดูนะคะ เมื่อเขาใจกับความจริงทั้งสามขอนี้)อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา(บางแลว ลองนอมดูตัวเองวาเราเหมือนหรือตางกันอยางไรกับตนไมเหลานั้นบาง....วันนั้นเมื่อฉันไปถึงสวนสาธารณะ ฉันตั้งหลักใจของฉันวาจะตองทําความรูจักกับ “ความเปลี่ยนแปลง” ใหได ฉันเดินชมสวนอยางสบายใจเชนเคย เหลือบเห็นตนไมตนหนึ่งดอกสีชมพูบานสะพรั่งตัดกับใบสีเขียวเขมอยางสวยงาม ฉันชอบตนไมตนนี้มาก รูสึกอยากใหดอกบานสวยอยางนี้นานๆจึงเดินเขาไปดูใกลมองอยางพินิจพิเคราะหเมื่อสังเกตดีๆนอกจากตนไมที่มีดอกบานสะพรั่งเต็มตนแลว ฉันเห็นวาดอกบางดอกเริ่มโรยบางดอกก็เหี่ยวหอยรองแรงพรอมจะหลนจากตน บางดอกก็ยังตูมเปนตุมเล็กๆสีเขียว หาดอกที่สวยสมบูรณแบบไมไดเลย บางดอกยังไมทันบานก็เนาซะแลว สวนใบที่เห็นเขียวๆเปนพุม ดูใกลๆเห็นมีทั้งยอดออน ใบที่ยังไมแกมาก และใบที่เปนสีเขียวเขม สวนใหญก็มีรองรอยหนอนเจาะ บางใบก็หงิกๆงอๆมีฝุนเกาะ เมื่อมองเรื่อยๆลงมาที่โคนตนก็เห็นทั้งดอกและใบเหี่ยวๆสุมกันอยูมีแมลงหวี่บินไปมาคอยๆยอยสลายกลายเปนดินเปนอาหารใหลําตนดูดกินเพื่อเจริญเติบโตตอไปนี่ไง“ความเปลี่ยนแปลง” ดอกที่กําลังบานสะพรั่งขณะนี้ เมื่อกอนก็เปนดอกตูมและดอกตูมที่เห็นตรงหนาตอไปก็จะบาน แตความเปลี่ยนแปลงไมมีกฎตายตัว ดอกตูมก็เนาโดยที่ยังไมบานไดดอกที่บานสวยไมนานก็เปลี่ยนแปลง ถาไมโดนหนอนกิน ก็จะคอยๆเหี่ยวและรวงจากตน ‘นี่ก็ไมตางจากเรา’ ฉันคิดในใจ เมื่อกอนฉันก็ตัวเล็กๆเปนเด็กทารกเนื้อตัวเตงตึงเหมือนดอกตูม เมื่อไดรับการเลี้ยงดูอยางเหมาะสมก็คอยๆเติบโต บางครั้งที่เปนโรคก็เหมือนกับดอกไมที่โดนหนอนเจาะ ถาดอกไมดอกไหนไมแข็งแรงหรือมีศัตรูพืชมากก็รวงโรยไปตั้งแตยังไมบาน หรืออาจเกิดความพิการ
Page 26
-26-ไมสมบูรณอีกตอไป ดอกไมก็มีอายุของมันเมื่อบานเต็มที่ก็คอยๆโรยราไมวาสภาพแวดลอมจะดีเพียงใดก็ไมสามารถคงสภาพเดิมได ฉันก็เหมือนกัน และในที่สุดฉันก็ตองเปนดอกเหี่ยวรวงทับถมที่โคนตน เนา เปอย แหลกสลายกลายเปนดิน เปนสภาวะสุดทายของการเปลี่ยนแปลง ไมเหลือสภาพเดิมใหแยกแยะวาเคยเปนสิ่งใดมากอน คืออนัตตาไมมีตัวตน ถาไมมีดอกใบเหี่ยวๆรวงลงดินยอยสลายจนเปนดินในที่สุด ตนไมจะเอาอาหารจากที่ไหนเพื่อเจริญเติบโตตอไป ดอกไมมีวัฏจักรของมัน ฉันก็มีวัฏจักรที่ไมตางกัน ดอกไมทําใหฉันไดเห็นวาความเปลี่ยนแปลงมีอยูในทุกสิ่งทุกอยางและที่สําคัญไมมีกฎตายตัวใหเราคาดหวังไดเลย)ไมเที่ยง (เราไมมีทางรูวาดอกตูมดอกไหนจะบานสวย จะบิดเบี่ยวหรือจะรวงตั้งแตยังไมบานเลย และในที่สุดของการเปลี่ยนแปลงไมวาดอกไมหรือตัวฉันก็กลายเปนดินเหมือนๆกันหมดตอนแรกที่เห็นตนไมตนนี้ฉันรูสึกอยากใหดอกบนตนบานอยูนานๆเพราะสวยดี เมื่อเห็นแลววาความเปลี่ยนแปลงอยูในทุกๆสิ่ง ทําใหเขาใจตอไปวา ที่เราเปนทุกขกันทุกวันนี้ก็เพราะวาความคิดของเราที่ตั้งอยูบนความไมรูจริงนี่เอง ที่ฉันคิดวาอยากใหดอกไมบานสวยไปนานๆเพราะฉันไมยอมรับความเปลี่ยนแปลงและไมคิดวาความเปลี่ยนแปลงมีในทุกๆสิ่งจริงๆอยางหมดใจ จึงทําใหยังแอบหวังวาถาดอกไมอยูนานๆก็ดีเพราะเราพอใจกับความสวยงามของดอกไม จึงอยากเก็บไวดูนานๆ คิดตานความเปลี่ยนแปลงอยางนี้เทากับทําใหตัวเองเสี่ยงกับการเปนทุกขเขาแลว เพราะไมมีใครหรือสิ่งใดในโลกหนีความเปลี่ยนแปลงได ถาอยูๆมีคนเดินมาเด็ดดอกไมที่เรากําลังยืนชมความงามอยู รับรองฉันตองไมพอใจคนนั้นไมมากก็นอยอยางแนนอน นี่ไงความทุกขเกิดอยางนี้นี่เอง แตถาเรายอมรับความเปลี่ยนแปลงอยางหมดใจเราก็จะรูวา ดอกไมดอกนี้ตองเปลี่ยนแปลงไมทางใดก็ทางหนึ่ง คนเด็ด ลมพัดหัก หนอนกิน เหี่ยวไปเอง หรือถามีคนมาเด็ดจริงๆ คนๆนั้นก็ไมสามารถยืนเด็ดดอกไมไดตลอดไป เดี๋ยวเขาก็ไปและตนไมก็จะออกดอกใหมไดอีกในไมชา เราก็ไมจําเปนตองไปโกรธหรือไมพอใจคนๆนั้น
Page 27
-27-ฉันพบวาใจที่ยอมรับความเปลี่ยนแปลงและความไมเที่ยงเทานั้นที่จะไมมีความทุกขเพราะฉะนั้นฉันจึงตั้งหนาตั้งตาเก็บหลักฐานรอบตัวเพื่อตอกย้ําใหใจไดเห็นวาความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับทุกๆสิ่งทุกๆอยางรวมทั้งตัวเองดวยอยางไมมีขอแมและไมมีรูแบบตายตัวฉันเดินตอไปเรื่อยๆในสวนเพื่อเก็บหลักฐานความเปลี่ยนแปลง อยูๆก็มีลมแรงมากพัดมาลมแรงจนฉันตองหลับตาเพื่อไมใหฝุนเขาตา เมื่อลมสงบ...ฉันลืมตาขึ้น ฉันพบใบไมเกลื่อนกลาดไปหมด ฉันเริ่มสังเกตความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเมื่อครู ใบไมเหลานี้กอนลมจะพัดมาตองอยูบนตนไมไมตนใดก็ตนหนึ่งแถวๆนี้แนกอนหนาที่ลมจะพัดมาก็ไมมีลม ไมมีใบไมเกลื่อนกลาดบางสวนก็ยังอยูบนตน เมื่อลมพัดมา ใบไมถูกกระแสลมพัดอยางแรงจนหลุดออกจากตน สวนที่รวงอยูแลวก็ยายจากที่หนึ่งมาอีกที่หนึ่ง ถนนที่สะอาดสะอานเมื่อครูไมมีแลว จํานวนใบของตนไมแตละตนในบริเวณนั้นก็ไมเทาเดิม ฉันที่สะอาดสะอานกอนลมพัดตอนนี้ก็เต็มไปดวยฝุน ทําใหเห็นวาความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทุกขณะจริงๆจนทําใหหาคําจํากัดความสิ่งตางๆรวมทั้งตัวเราเองใหถูกตองรอยเปอรเซ็นตไดยากเพราะมันเปลี่ยนอยูตลอดเวลาฉันพบวาทุกๆขณะที่ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ทิ้งใหชวงที่ผานไปนั้นเปนเพียงอดีต ไมใชของจริงอีกตอไปเหลือเก็บไวแตความทรงจําเหมือนเราเอาหนังมาฉายดูกันจริงๆแลวภาพเคลื่อนไหวที่เราเห็น ก็คือภาพหลายๆภาพเรียงตอๆกัน แลวใหความเร็วเปนตัวเชื่อม ภาพแตละภาพผานสายตาเราเพียงแวบเดียว ภาพที่เห็นตรงหนาเมื่อครูขณะนี้ก็ไมมีแลวเพราะมีภาพใหมมาแทนที่ แลวภาพที่เห็นขณะนี้ก็ตองผานไปเชนกันเปนอยางนี้ซ้ําแลวซ้ําเลา ชีวิตเราก็เหมือนกัน แตละขณะที่เราไดสัมผัส ที่เรารูสึก ที่เรามี ที่เราเปน ก็อยูกับเราแคชั่วคราวแลวก็ผานไป เหลือแตความทรงจําที่ไมมีตัวตนอีกแลว อดีตแมแตเมื่อวินาทีที่แลวก็ไมมีตัวตนอีกตอไป ถาเราไมยอมปลอยใหอดีตหรือสิ่งที่ไมมีตัวตนแลวผานไปก็ทําใหใจเราเปนทุกขเทานั้นเองลองยอนไปดูอดีตที่ผานมาของเราก็ได อยางเมื่อกอน เวลาฉันอยูบานแลวเพื่อนปากีสถานไมอยูฉันมีความสุขมาก ออกมานั่งหองนั่งเลน ทํากับขาวอยางสบายใจ แตพอเพื่อนปากีสถาน
Page 28
-28-กลับมา ฉันจะรูสึกเซ็งตองกลับเขาไปหมกตัวในหองหรือไมก็ออกไปขางนอกซะเลย แลวก็คิดวาทําไมจะตองกลับมาตอนนี้ดวยนะ! นี่ก็เปนหลักฐานอันหนึ่งที่แสดงในเห็นถึงการไมยอมรับความเปลี่ยนแปลง พอใจสิ่งไหนก็อยากใหสิ่งนั้นคงอยูอยางนั้นนานๆ แตถาไมพอใจสิ่งไหนก็อยากใหสิ่งนั้นเปลี่ยนแปลงเร็วๆ(แตตองเปลี่ยนไปในทางที่เราอยากใหเปนดวยนะ) แลวทานผูอานละคะ...พบอะไรในสวนกันบาง...การเดินเลนในสวนในวันนั้น เปนครั้งแรกในชีวิตที่ฉันไดเปดโอกาสใหใจไดเรียนรูความจริงตามความเปนจริงของโลก ไดเขาใจเบื้องหนาเบื้องหลังของความทุกขใจที่เกิดขึ้นอยูเนืองๆวาที่แทก็มาจากความรูเทาไมถึงการณในความเปนไปของสิ่งตางๆรอบตัวแตก็เปนเพียงจุดเริ่มตนเทานั้น ฉันไดตั้งหลักใหกับใจของฉันวา ตอไปถามีความทุกขใจเกิดขึ้นอยาไดดวนตีโพยตีพายไปเหมือนเมื่อกอนที่ผานๆมา ใหคิดทบทวนดูกอนวา เราพยายามจะยึดใหอะไรคงเดิม ใหมันเที่ยงอยูอยางนั้น หรือไมยอมรับความเปลี่ยนแปลงหรือไม หรือวาเราลืมที่จะปรับตัวใหทันสถานการณที่เปลี่ยนไปไมรูจบหรือไม หรือมัวแตหลงอยูกับสิ่งที่ไมใชของจริงหรือไม เพราะทั้งหมดนี้แหละที่เปนสาเหตุของทุกขในใจเราที่แทจริงโดยมีความไมรูจริงไมยอมรับความจริงเปนตัวการใหญ
Page 29
-29- บทที่ ๘ หญิงกระโปรงแดง วันหนึ่งฉันนั่งอยูในรานกาแฟดูผูคนเดินผานไปมาเหลือบเห็นผูหญิงคนหนึ่งสวมกระโปรงยาวสีแดงแจดกับเสื้อแขนกุดสีสมสด ใจก็แอบคิดวา ‘โอโห...สีสดขนาดนี้ กลาใสออกมาเดินไดยังไงเนี่ย’ ‘เรากําลังไปยุงอะไรเรื่องของคนอื่นเขาอีกแลวนะเนี่ย’ จับความคิดตัวเองไดทัน จึงนอมเขาหาตัวทันทีวา ‘แลวเราละ...เวลาเราแตงตัว ถากลาออกจากบาน ก็แสดงวา..เราตองมั่นใจในชุดที่ใสวาสวยดีแลว เขาคนนั้นก็ตองคิดเหมือนกับเราไมอยางนั้นคงไมกลาออกจากบานแนนอน’ นี่ทําใหเห็นวาการคิดวิพากษวิจารณคนอื่นเกิดจากมีสิ่งที่มาขัดตาขัดใจของฉันเพราะฉันยังปลอยใหความคิดลองลอยไปตามความเคยชินแบบเดิมๆที่มีความเห็นผิดเปนตัวบงการผูถูกวิพากษวิจารณเขาก็ไมรูเรื่องอะไรและไมไดเดือดรอนไปกับฉันดวยเลย แตสําหรับฉันซิ...แคคิดก็ขาดทุนทั้งเวลาและพลังงานสมอง โดยไมไดประโยชนอะไรเลย ยิ่งถาฉันจับความคิดของตัวเองไมทัน นอมไมเปน ฉันก็จะไมมีโอกาสพลิกเอาความเคยชินแบบลบๆนี้ใหกลายเปนประโยชนกับตัวเองไดเลย แลวการคิดวิพากษวิจารณในใจก็อาจเปลี่ยนเปนการนินทาวารายผูอื่นในเวลาตอมาเปนการกอเวรกอกรรมไดอีกดวยการวิจารณเรื่องบางเรื่องอยางเผ็ดรอนเชน เรื่องการเมือง หรือนินทาคนที่เราไมชอบ ไมเกิดประโยชนกับเราแถมยังทําใหเกิดอารมณขุนมัว พระทานวา ผูมีจิตอกุศล หากหมดลมหายใจไปในขณะนั้นผูนั้นตองลงสูอบายภูมิ)ตกนรก(อยางแนนอนอยางไรก็ตาม ถายังเผลอวิจารณหรือนินทาผูอื่นอยู เมื่อจับความคิดตัวเองไดแลวใหรีบนอมทันทีวา “แลวเราละ...” ก็จะเกิดประโยชนตอตัวเองทันที เทากับเราไดยกผูนั้นมาเปนกระจกสองดูตัวเองใหไดเห็นสวนที่ไมดี สวนที่เรายังขาดตกบกพรองอยู นอกจากนี้ก็ใหพิจารณาทุกข โทษ ภัยของการวิจารณหรือนินทาคนอื่นใหมากๆจะไดเลิกนิสัยไมพึงประสงคนี้ได
Page 30
-30-ทุกข คือความรูสึกดานลบในใจที่เกิดขึ้นขณะที่เราวิจารณหรือนินทาใคร โทษ คือผลเสียที่เราไดรับในปจจุบันเชนเห็นวาเราขาดทุนทั้งเวลาและพลังงานสมองโดยที่ไมเกิดประโยชนตอตัวเอง และภัย คือความเดือดรอนที่จะตามมาในอนาคต จากการวิจารณหรือนินทาคนอื่น เชน ถาหากคนที่เราแอบวิจารณในใจอยูนั้นเปนเพื่อนสนิทของเรา เราอาจเผลอพูดสิ่งที่เราคิดออกมาเปนคําพูดอยางไมเกรงใจ คําพูดของเราสามารถทํารายจิตใจเพื่อนใหเกิดความไมสบายใจ และอาจผิดใจไมสนิทใจกันหรือทะเลาะกันเลยก็เปนไดทีนี้ถาเรากลายเปนฝายถูกกระทําบาง ถามีคนมาวิจารณ นินทา บน ติ ตอวาเรา ....กอนที่จะโกรธหรือไมพอใจ ใหคิดวา ‘แลวเราละ...เคยทําอยางนี้กับใครบางมั้ย’ นึกเหตุการณที่เคยเกิดขึ้นกับเราจริงๆ ใหเห็นหนาคูกรณีคนนั้นใหได เราจะไดรูซึ้งถึงความรูสึกของคนที่เราไปทําเขาไว วาเขาก็รูสึกเหมือนเราตอนนี้ ถาเราไมชอบใหคนอื่นมาวิจารณ มานินทา มาบน มาติ มาวาเรา เราก็อยาไปทําแบบนั้นกับคนอื่นเลย เพราะเขาก็ไมชอบเชนกันขณะเดียวกัน เราก็เคยเปนผูกระทํา เราจึงไมถือโทษโกรธคนที่กําลังวิจารณ นินทา บน หรือติเราเพราะเขาทําไปเพราะความเคยชิน เพราะความทุกขในใจไมวาจะเปนความขัดหู ขัดตา ขัดใจของเขาอยางที่เราก็เคยเปนนอมบอยๆ พิจารณาอยางนี้บอยๆ เราจะไมกลาทํารายคนอื่นทั้งดวยความคิด คําพูด สายตาและการกระทํา เพราะเรารูแลววาผูถูกกระทําเขาจะรูสึกอยางไร จากการที่เราก็เคยเปนผูถูกกระทํา TIP: “ การปฏิบัติดวยปญญาในการพิจารณาเรื่องใดก็ตามจะไมมีการเดาสุมๆไปวา‘เราคงเคยทําเคยเปนอยางนั้นมั้ง.....’ เราตองหาหลักฐานที่เกิดขึ้นจริงในอดีตของเราหรือของคนอื่นที่พบเห็นมาก็ไดเพราะถามีหลักฐานใหใจไมพอใจจะไมยอมรับใจเราก็เหมือนเด็กดื้อจะดื้อดึงไมยอมเชื่องายๆแตถาเราหมั่นหาความจริงใหใจรับรูไมนานเขาก็จะยอมรับแตโดยดี ”
Page 31
-31-เชนกันและไมนึกโกรธคนที่มาทําไมดีกับเราเพราะเขาก็ทําไปดวยความไมรูเพราะความทุกขในใจของเขาเปนเหตุ
Page 32
-32- บทที่ ๙ ทารซานสอนใจเรื่องการเรียน กอนจะรูจักคิดสอนใจตัวเอง...ฉันรูสึกวาปริญญาโทที่กําลังเรียนอยูนี้ชางยากเย็นเหลือเกินวิชาที่เรียนสวนใหญเปนวิชาใหม ไมเคยเรียนในชั้นปริญญาตรีมากอน ทั้งสําเนียงภาษาแบบผูดีอังกฤษก็ยังไมคุนเคย คําศัพทเทคนิคใหมๆ ก็ยังไมเขาใจ ทั้งหมดเปนอุปสรรคในการเขาถึงเนื้อหาของวิชาตางๆที่เรียนอยูอยางมาก ทําใหไมมีเวลาวางไปทําอะไรอยางอื่นเพราะมัวแตพะวักพะวงอยูกับการอานตําราเรียนจนเกินเหตุนานๆเขาก็เริ่มทอวาเราตองไมมีความรูความสามารถเทาเพื่อนในหองแนๆ ใจหนึ่งก็รูสึกอยากออกไปเดินเลน พักผอนหยอนใจ ทํากิจกรรมแปลกๆใหมๆบาง แตก็ไมสามารถออกไปทําอยางมีความสุขไดเพราะอีกใจหนึ่งรูสึกวาเปนการเสียเวลา...ควรรีบกลับมาอานหนังสือใหมากขึ้นอีก แตก็ไมสามารถจดจออยูกับหนังสือที่อานไดนาน ทําใหเสียเวลาไปอยางไมเกิดประโยชนเทาที่ควรเมื่อรูจักตรวจความรูสึกนึกคิดของตัวเอง ไดมาทบทวนดู เห็นความไมสบาย ไมเปนอิสระของใจที่เปนมานานตั้งแตเปดเทอมแรก เปนสัญญาณบอกใหรูวาเรามีความเห็นผิดคั่งคางในใจ จึงเริ่มคนหาตนเหตุทันที‘เราก็ไมไดโง เรียนไดดีมาตลอด ที่มาเรียนที่นี่ไดก็เพราะมีคนใหทุนมา แสดงวาเราไมไดโงหนังสือเราก็อาน แตรูสึกวาไมเขาใจซักที ทั้งที่วิชาสิ่งแวดลอมก็เปนเรื่อง common sense ทําไมเราถึงยังไมเขาใจนะ’ ใจนึกไปถึงการตูนเรื่องทารซานของวอลต ดิสนีย ตอนที่พวกลาอาณานิคมขึ้นไปบนเกาะที่ทารซานอยู เมื่อคนเหลานั้นเห็นทารซาน ที่เปนคนแตทําทาเปนลิงพูดภาษาลิง ก็พากันหัวเราะเยาะพากันลอเลียนเมื่อมีคนใจดีพยายามสอนภาษาคนใหทารซาน ทารซานจึงเริ่มพูดสื่อสารเปนภาษาเดียวกับคนพวกนั้นไดเขาก็เลิกลอเลียนและเห็นวาทารซานเปนพวกเดียวกับเขาปง....ทันทีวา ที่เรารูสึกโงกวาเพื่อน รูสึกวาเรียนไมรูเรื่องอยูคนเดียว รูสึกดอยกวาเพื่อนในหอง เปนเพราะเราพูดภาษานักสิ่งแวดลอมไมไดเหมือนเขาเทานั้นเอง ไมใชวาเราโงกวาเขา เมื่อคิด
Page 33
-33-ได...ใจก็สบายทันที จับจุดไดแลวก็เริ่มหัดคิด หัดพูดในแบบของนักสิ่งแวดลอมใหชํานาญมากขึ้นเวลาอานหนังสือแลวไมเขาใจ ก็พยายามพิจารณาวาเราไมเขาใจเนื้อหา หรือไมเขาใจภาษากันแน ถาเปนเรื่องเนื้อหาก็อานซ้ําอีกครั้ง ถาเปนเรื่องภาษาก็จะปรึกษาเพื่อนที่เปนเจาของภาษาและขยันเปดพจนานุกรมมากขึ้น แลวก็เริ่มหัดใชศัพทเฉพาะที่ไดเรียนมาในชีวิตประจําวันกับเพื่อนในชั้นที่สนิทกันใหสามารถใชคําเหลานั้นไดคลองขึ้นใหเกิดความมั่นใจแลวก็คิดตอวา เรามาเรียนหนังสือเพื่ออะไร ตองไดคะแนนแคไหนจึงจะพอ คิดไดวา จริงๆแลวเรามาเรียนเพื่อใหสอบผาน ไดปริญญากลับบาน และมีความรูเพียงพอสําหรับการทํางานในอนาคตที่รอเราอยู ไมจําเปนตองไดที่หนึ่ง ถาไดก็ดี แตไมไดก็ไมเปนไร ไมบีบบังคับตัวเองจนเกินไปอีกแลวเมื่อมองทะลุปญหาของตัวเอง ก็ทําใหไมหมกมุนกับการเรียนอีกตอไป สามารถแบงเวลาไปออกกําลังกาย ไปดูหนังกับเพื่อน ไปเที่ยวตามที่ตางๆ นอกจากการอานหนังสือไดอยางสมดุล ชีวิตก็มีความสุขใจก็แข็งแรงรางกายก็แข็งแรงสําหรับคนที่ตอบวาหมดกําลังใจ ขอใหนองๆหากระดาษมาแลวเขียนขอดีและขอเสียในการเรียนวิชาที่เราถอดใจแลวนั้นใหไดเยอะที่สุด ถานึกไมออกอาจจะถามเพื่อนๆดูก็ได ขอไหนที่เราเห็นดวยก็ใหเขียนลงไป เมื่อเขียนเสร็จแลวใหเราอานทบทวนสิ่งที่เขียนนั้นแลวตัดสินใจวาควรจะเรียนตอไปมั้ย TIP: “ หากนองๆนักเรียนนักศึกษาคนไหนกําลังเจอปญหาเรื่องเรียนเหมือนฉันฉันขอเสนอวิธีรับมือกับปญหาแบบนี้คะ...กอนอื่นฉันอยากใหนองๆอยูเงียบๆแลวลองนึกดูดีๆวาปญหาที่ทําใหเราเรียนไมไดเปนเพราะเราหมดกําลังใจหรือเราสมองไมดีกันแนจริงๆไมวาจะตอบอยางไรก็มีทางออกทั้งนั้น ”
Page 34
-34-สวนใหญปญหาเรื่องการเรียนมักเกิดจากการเรียนไมรูเรื่อง ไมรูเรื่องบอยๆเขาก็เริ่มไมอยากเรียนเพราะตอไมติดแลวก็กลายเปนปญหาหมดกําลังใจที่จะเรียนตอไปเพราะคิดอยูแตวาเราไมเหมาะกับวิชานี้ เราไมมีความสามารถพอ ไมอยากเรียนแลว แตถายังหาขอดีของการเรียนได แสดงวายังพอมีใจที่อยากจะไปถึงจุดหมายยังเห็นประโยชนทีนี้ก็ไมยากตองมาแกกันที่เรื่องวิชาการแลวในเรื่องวิชาการ ก็ตองถามตัวเองเหมือนเดิมวาเราไดใสความพยายามในการทําความเขาใจไปแลวมากนอยเพียงใด แตอยางไรก็ตามผลของการเรียนที่ผานมาจะเปนตัวบอกไดดีที่สุด วาความพยายามของเราเพียงพอหรือยัง ถาผลยังออกมาไมดีแสดงวา ยังจําเปนตองพยายามมากขึ้นไปอีกจริงๆแลวการเรียนเปนเรื่องสวนตัวเหมือนเรื่องธรรมะคือแตละคนมีความสามารถที่จะเขาใจเนื้อหาวิชาไมเทากัน เวลาที่ใชในการทบทวนบทเรียนใหเขาใจก็ไมเทากัน แตทุกคนมีระยะเวลาจํากัดเหมือนๆกัน คนที่เขาใจงาย ใชความพยายามนอย ไมนานก็เขาใจได แตบางคน ตองใชความพยายามมากกวาจึงจะเขาใจ เราตองทําความรูจักกับตัวเอง ลองไตรตรองดูซิวาเราเปนคนอยางไร ถาเราเขาใจยากเราก็ตองอานมากกวาคนที่เขาใจงายเพื่อใหเขาใจไดในเวลาเทาๆกัน ถาขี้เกียจก็ใหไปอานขอดีขอเสียที่เขียนไวปลุกกําลังใจอีกครั้ง บางครั้งอาจใหเพื่อนที่มีวิธีอธิบายที่เราเขาใจไดชวยสอนอีกแรงก็ยังได หรืออาจจะหากุศโลบายเชนถาชอบเที่ยว ก็ไปเที่ยวได แตตองกลับมาอานหนังสือใหจบกี่บทก็วากันไปหรือทํารายงานเสร็จอนุญาตใหตัวเองกินขนมไดถุงหนึ่งเปนตนหลายๆครั้งที่เราอานหนังสือวิชาตางๆ ถาเราคิดดูดีๆวิชาที่เขาเอามาเขียนเปนตําราที่อานยากๆนั้น จริงๆก็เปนเรื่องที่พบไดในความเปนจริง อยางวิชาฟสิกส วิชาเศรษฐศาสตร วิชากฎหมายเปนตน ถาเราโยงวิชาในหนังสือเขากับชีวิตจริงได จะชวยใหเราเขาใจวิชาเหลานั้นไดงายขึ้น หรืออาจจะหาแกนของวิชาใหเจอ เชนวิชาโครงสราง) วิศวกรรม โยธา (แกนของวิชาก็คือสรางตึกใหแข็งแรง เราอาจจะมองดูกระตอบ ที่มีโครงสรางงายๆวา อะไรที่ทําใหโครงสรางนี้อยูได ทําความเขาใจจากรากขึ้นไปยอด เพราะในการเรียนวิชานี้จะมีการคํานวณมากมาย ถาเราเขาใจพื้นฐานเราก็จะสามารถเชื่อมโยงทําความเขาใจกับเนื้อหาวิชาเมื่อมีความยากมากขึ้นได หรืออยางดานภาษาแกน
Page 35
-35-ก็คือการสื่อสารใหได สวนรายละเอียดอื่นเชนความถูกตองตามหลักภาษาและไวยกรณตางๆ ก็คอยๆศึกษาและฝกฝนไปเพื่อใหการสื่อสารมีประสิทธิภาพมากขึ้นสละสลวยมากขึ้นเปนตนที่สําคัญที่สุดคือการเรียนใหเกิดประโยชน เนนหาประโยชนที่เราจะไดใหเจอ เมื่อเห็นประโยชนที่จะไดความพยายามจะเกิดขึ้นเอง ยิ่งถาเราสมารถสรางความชอบในการเรียนวิชานั้นๆได ก็จะทําใหเราสามารถจดจออยูกับการศึกษาเนื้อหาวิชาไดมากขึ้นเอง TIP: “ เราตองจับหลักไวใหมั่นวาเราเรียนไปเพื่ออะไรเพื่อวันหนึ่งเราจะไดมีวิชามีคุณวุฒิเพียงพอในการประกอบอาชีพเพื่อหาเลี้ยงชีพอยางสุจริตใชหรือไม แตถึงอยางไรก็ตามแมเราเรียนจบแลวไมตองเรียนในโรงเรียนแลวเราก็ยังตองเรียนรูอยูทุกเมื่อเชื่อวันเพื่อเพิ่มพูนความรูประสบการณและที่สําคัญที่สุดที่หลายๆคนลืมก็คือเพื่อสอนใจเราใหใจเรามีความฉลาดรูทันความเปนจริงโดยเอาสิ่งที่ไดพบเห็นมาเปนหลักฐานสอนใจ เพราะการดูแลทั้งกายและใจเปนหนาที่ของเราทุกคน ”
Page 36
-36- บทที่ ๑๐ แกผา บอยครั้งที่มีคนพูดถึงฉันวาฉันเปนคนขวานผาซากบาง ปากเสียบาง ฉันไมเคยสนใจคําพูดเหลานั้น และไมเขาใจวาฉันเปนอยางที่เขาวาอยางไร ฉันมักตอบโตคําวิจารณเหลานั้นวา “ไมชอบก็อยาชอบ ฉันก็เปนคนอยางนี้แหละ พูดอะไรพูดตรงๆ ชอบไมชอบก็บอกตรงๆ ไมออมคอม ถารับไมไดก็ชวยไมได” แปลกมั้ย....ที่เรามองไมเห็นตัวเอง แตมักมองเห็นขอเสียของคนรอบขางและพยายามแกไขผูอื่นเมื่อรูจักการนอมนําเอาสิ่งตางๆที่เห็น ที่ไดยินรอบตัวมาเปนกระจกสะทอนใหเห็นตัวเองทําใหนึกถึงเหตุการณที่ฉันเคยพูดกับเพื่อนเมื่อนานมาแลวตอนนั้นเพื่อนสนิทมากของฉันไปเที่ยวตางประเทศแลวซื้อเสื้อลายดอกมาฝาก ฉันไมชอบเสื้อตัวนั้นเลยแตเก็บความรูสึกไมเปนและคิดวาตองบอกใหเพื่อนรูตองพูดตรงๆเพราะฉันเปนคนพูดอะไรพูดตรงจึงพูดออกไปวา“โห...ไมเห็นสวยเลย ดูซิลายพรอยเชียว ทําไมไมซื้อแบบเรียบๆมาละ อะไร...ไมรูเหรอวาฉันชอบแบบเรียบๆ” แลวทําหนาเซ็งๆเพื่อนก็บอก “ไมชอบก็ไมตองเอาไปจะไปรูไดไงวาจะไมชอบฉันวาสวยดีออก” ฉันพูดตอวา “ทําไมตองนอยใจดวย อุตสาหบอกนะวาฉันชอบแบบไหน” แลวก็คิดไมพอใจที่เพื่อนโกรธกับคําวิจารณวา ‘ฉันก็เปนอยางนี้แหละ พูดตรงๆ จะไดรูไปเลยวาชอบไมชอบแบบไหนทําไมตองโกรธดวยนะ..’ ผลของคําพูดของฉันวันนั้น ทําใหเพื่อนเสียใจที่อุตสาหนึกถึง ยอมหอบหิ้วของมาฝาก แตยังโดนตอวา ดวยคําพูดที่ไมนาฟง ทําใหมีการตอบโตกันดวยอารมณ และเสียความรูสึกกันไปทั้งคู
Page 37
-37-เพื่อนงอนฉันไปหลายชั่วโมง แตฉันก็ยังไมรูสึกตัววาการเปนคนพูดตรงเกินเหตุ มีผลเสียอยางไรและควรรีบแกไขดวนเมื่อพิจารณาเหตุการณขางตน ทําใหฉันนึกไปถึงคนบาที่เดินแกผาตามขางถนน ผูคนที่พบเห็นตางเบือนหนาและรีบเดินหนีเพราะมีแตความนาเกลียด ไมมีใครอยากเห็น ทําใหคิดไดวา อะไรที่ไมนาดู ที่เปนพิษตอผูพบเห็น ตองปกปดไวใหมิดชิด อยาเปดเผยใหใครเห็นเปนอันขาด แลวก็ยอนดูตัวเองสมัยที่ยังไมรูจักเก็บอารมณไมรูจักระวังการกระทําและคําพูดวา‘เราก็ไมตางกับคนบา ที่เอาความรูสึกนึกคิดและอารมณของตัวเองแสดงออกมาใหคนอื่นเห็น ไมพอใจอะไร ก็พูดออกมาหมด ดวยน้ําเสียง สีหนา กิริยาทาทางที่ไมนาดู ทําใหผูอื่นตองเบือนหนาหนีเพราะรับไมไดไมอยากฟงไมอยากเห็นฟงแลวเห็นแลวทําใหเขาไมสบายใจเสียใจแตเรากลับไมรูสึกตัว ยังเห็นผิดวาการพูดตรงๆเปนสิ่งดี เหมือนคนบาที่ไมรูตัว จริงอยูเราอาจไมชอบ ไมพอใจอะไรไดอยู แตตองรูจักสํารวมคําพูดและการกระทํา เพื่อปองกันไมใหกระทบกระทั่งกับคนรอบขาง แลวคอยหาเวลา หาทางหาหลักฐานความจริงสอนใจเกี่ยวกับสิ่งที่ทําใหเราไมชอบ ไมพอใจนั้นแบบลับๆคนเดียวจะดีกวา’ การเปนคนพูดตรงอยางฉัน ถารูจักพิจารณาตั้งแตตอนนั้น คงจะแกไขตัวเองไดนานแลวทั้งๆที่ผานมาก็มีผลเสียมากกวาผลดี เกือบทุกครั้งที่ฉันพูดอะไรออกไปตรงๆ มักกระทบความรูสึกผูฟง ทําใหเขาไมพอใจ เสียใจเสมอ สวนใหญฉันจะพูดตรงก็แตเฉพาะเวลาติ ตอวา หรือวิพากษวิจารณคนอื่น เวลามีอะไรไมไดดังใจ และเวลาอารมณเสีย แตเวลาคนอื่นทําดีกับฉัน ฉัน TIP: “ ทานอานแลวมีความเห็นวาอยางไรอยาลืมนอมสอนใจตัวเองนะคะวา‘แลวเราละ....เคยเปนแบบนี้บางมั้ย....’ไมวาจะเปนแบบฉัน)ผูกระทํา(หรือจะเปนแบบเพื่อนฉัน)ผูถูกกระทํา(ก็นอมไดทั้งคูนอมใหเขาใจตัวเองและฝายตรงขาม ”
Page 38
-38-กลับไมเคยชมเขาตรงๆ ดูซิ...ที่คิดวาตัวเองเปนคนตรง จริงๆแลวก็ไมตรงจริง แตมองไมเห็นวาตัวเองเบี้ยวแลวฉันรูไดอยางไรวาแตละครั้งที่ฉันพูดอะไรออกไป คนฟงจะรูสึกอยางไร ฉันก็เริ่มจากการหัดนอมวา ถามีคนพูดจาแบบเดียวกันกับฉัน ฉันจะรูสึกอยางไร เชน ถาฉันซื้อเสื้อแบบที่ฉันชอบจากตางประเทศมาฝากเพื่อน แลวเขาพูดแบบเดียวกับที่ฉันพูด ฉันจะรูสึกอยางไร ถาฉันคิดแบบนี้เปนแตแรก ฉันคงไมกลาพูดตรงๆออกไป เพราะฉันก็ไมชอบคําพูดแบบนั้นเหมือนกัน ฉันคงอยากไดคําขอบคุณมากกวา เพื่อนก็คงอยากไดเชนเดียวกันหรืออาจนอมเอาเหตุการณคนทะเลาะกันที่เคยเห็นมาพิจารณาก็ได ทั้งคําพูดที่เขาใช น้ําเสียง ทาทาง ลักษณะไหนที่ไมเหมาะสมฉันจะไมทําอยางนั้นกับใคร เมื่อชํานาญในการนอมมากขึ้น จะพูดอะไรก็มีความระวังมากขึ้น ทั้งน้ําเสียงแววตาและทาทางในขณะพูดอยางไรก็ตาม แมจะนอมไดบาง พยายามหาคําพูดดีๆมาพูดแลวก็ตาม คําพูดของเราก็อาจจะไมถูกใจคนฟงเสมอไปใหสังเกตปฏิกิริยาของคูสนทนา ทั้งสีหนาและแววตา เพื่อจะไดแกสถานการณไดทันทวงที ไมใหเกิดความเสียหายมาก เพราะความจริงที่วาโลกใบนี้เปนโลกแหงความพรอง ไมมีอะไรสมบูรณแบบ ถึงพยายามเต็มที่ก็ยังพลาดกันได ใจของเราจะไดไมเดือดรอนกับความผิดพลาดนั้นแตใหหาทางวาเราจะปรับปรุงอะไรไดบางสําหรับครั้งตอไปนึกถึงคําวิพากษวิจารณที่วาฉันเปนคนขวานผาซาก คนปากเสีย ทําใหเห็นวา คนรอบขางเขาเห็นขอบกพรองของฉันชัดเจน วามีอะไรที่ฉันควรแกไข และก็พยายามบอก พยายามเตือนใหฉันรูใหฉันไดเห็นตัวเอง แตฉันก็ไมเห็น เพราะคิดวาตัวเองดีแลว ในทางกลับกัน ฉันเองก็ชอบติคนอื่นหวังใหเขาแกไขตัวเขา แตบางครั้งเขากลับไมพอใจฉัน โกรธฉัน เพราะเขาก็ไมเห็นตัวเขาเองอยางที่ฉันเห็น เชนเดียวกับที่ฉันก็เคยมองไมเห็นตัวเอง เมื่อมองไมเห็นตัวเอง เขาก็ไมรูจะแกไขอยางไรเมื่อเห็นอยางนี้ ทําใหฉันเห็นคุณคาและขอบคุณคําตําหนิของคนอื่น ทําใหไดเห็นจุดบกพรองของ
Page 39
-39-ตัวเองที่ฉันยังมองไมเห็น แทนทําจะไมพอใจเหมือนเคย ก็ฉันก็ยังพรองอยูนี่นา ตองคอยๆเติมไปเรื่อยๆจนกวาจะเต็ม ..นึกถึงคําพูดของตัวเอง ที่วา “ไมชอบก็อยาชอบ ฉันก็เปนคนอยางนี้แหละ พูดอะไรพูดตรงๆ ชอบไมชอบก็บอกตรงๆ ไมออมคอม ถารับไมไดก็ชวยไมได” ฉันเห็นความดันทุรัง ความไมฟงใครของฉัน คิดวาตัวเองดีแลว เปลี่ยนแปลงไมได และผูอื่นตองยอมรับ เพราะมองไมเห็นตัวเองมีกําแพงบังตาไมใหฉันเห็นขอบกพรองของตัวเอง คือความยึดมั่นถือมั่นในใจวาตัวเองดีแลว เปนคนพูดตรงๆดีอยูแลว เพราะไมเคยเก็บหลักฐานวาการพูดตรงแตละที ผูฟงเขารูสึกอยางไร มีสีหนาอยางไรทําใหไมรูตัวอยูอยางนั้นแตเอาละ เห็นอยางนี้แลว เริ่มลงมือตรวจสอบตัวเองกันเลย โดยการสังเกตความรูสึกของเราที่มีตอการกระทําของผูคนรอบขาง เราชอบอะไรไมชอบอะไร และสังเกตคนรอบขางวาเขารูสึกอยางไรจากการกระทําของเราเพื่อเปนกระจกสองใหเห็นตัวเราเอง การสังเกตนี้เราไมมีเจตนาจะไปตําหนิคนที่เปนกระจกใหเรา แตเราจะเอาสิ่งที่เห็นมาเปนหลักฐานสอนใจวา เห็นมั้ยถาทําอยางนี้พูดอยางนี้ แลวผลจะเปนแบบนี้นะ การกระทําของผูอื่นที่ทําใหเรารูสึกไมดีทําใหเรารูวาเราไมควรไปทําแบบเดียวกันนี้กับใคร สวนอะไรที่เราทําไปแตกลับทําใหผูอื่นเดือดรอนกาย เดือดรอนใจเราก็จะไมทําอีก TIP: “ การยึดมั่นถือมั่นวาเราเปนคนอยางใดอยางหนึ่งเชนเปนคนพูดตรงทําใหเราไมสามารถปรับตัวเขากับสถานการณตางๆไดเหมือนเปนของแข็งที่สามารถไปกระทบกระทั่งคนรอบขางไดใหเขาเจ็บปวดรําคาญไดตลอดเวลาที่อยูใกลตางกับน้ําที่ออนโยนและนิ่มนวลถาเราเปนคนยังไงก็ไดถึงเวลาแข็งก็ทําไดเวลาตองออนก็ออนไดยืดหยุนได แบบหลังดีกวาเยอะเลยเนอะ... ”
Page 40
-40-นอกจากนี้ จากเหตุการณที่ยกตัวอยางมาขางตน เราตองพิจารณาตอวา ทําไมเราไมพอใจกับเสื้อลาย ...จริงๆแลวเสื้อคืออะไร ...มีที่มา ที่เปน ที่ไปอยางไร ...เสื้อมีความสําคัญอยางไรกับเรา ...เสื้อลายหรือเสื้อสีเรียบๆ ตางกันอยางไร ...สวยในแบบของเรากับสวยแบบของเพื่อนเหมือนกันมั้ย...แลวถาเราตองการบอกใหเพื่อนรูวาเราชอบเสื้อแบบไหน ควรพูดเวลาใด พูดอยางไร เพื่อนถึงจะไมเสียใจไมเสียความรูสึก..เปนตนการพิจารณาเรื่องเหลานี้จะละเลยไมไดเพราะความไมพอใจเกิดจากความเห็นผิด ถาไมแกไขที่ตนเหตุ โดยการเอาความจริงเขาไปแทนที่ เราก็จะเห็นผิดอยูอยางนั้นความไมพอใจก็จะเกิดไดอีก
Page 41
-41- บทที่ ๑๑ถุงขยะ ในครั้งแรกที่เขาอบรม จําไดวาวิทยากรพูดถึงรางกายของเราวาเปนเพียง “ธาตุสี่ เปนของโลก...” ก็เห็นตามวาเนื้อกระดูกผมคือสวนที่เปนของแข็งก็เปนธาตุดิน เลือดน้ําเหลืองเปนธาตุน้ําลมในทองเปนธาตุลม สวนความอุน อุณหภูมิในตัวเราก็เปนธาตุไฟ เมื่อตายไปก็เอาไปดวยไมได ก็เขาใจไปตามที่เคยไดยินมา ตามความหมายของคําเทานั้น แตใจไมยอมรับ ก็ยังรักตัวเองแบบเดิมๆอยูดีเพราะไมไดเขาใจดวยการพิจารณาตริตรองดวยปญญาของตัวเองเราทุกคนเกิดมากับรางกายนี้รางกายนี้ก็คือเราเรารักเราดูแลรางกายของเราอยางดียิ่งผูหญิงดวยแลว...หลังอาบน้ําดวยสบูอยางดีแลวก็ตองขัดนวดผิว ทาครีม เพื่อใหผิวสวยไมแหงกราน แลวยังตองทาครีมกันแดดเพราะกลัวดําเดี๋ยวจะไมสวย ฉันก็เปนคนหนึ่งที่เคยทําแบบนี้ทุกวัน มีบางคนที่ทุกขใจเพราะเกิดมาไมสวยเทาพี่นอง หรือเกิดมาพรอมกับความพิการไมสมประกอบ บางคนเมื่อตองศูนยเสียอวัยวะหรือเปนโรครายก็ทําใจไมได เพราะไมคิดวาเหตุการณอยางนี้จะเกิดกับตัวเองฉันไดเห็นโทษของการไมเขาใจความจริงเกี่ยวกับตัวเอง แลวทําใหเกิดความทุกขไปไดมากมาย ทําใหเห็นวาฉันตองทําความเขาใจซะเดี๋ยวนี้เพื่อเปนการเตรียมพรอมกอนที่เหตุการณตางๆจะเกิดขึ้นกับฉันขณะที่อาน ขอใหทานไดจินตนาการตามไปดวย ใหเห็นภาพตามเลยทีเดียว จะใสรายละเอียดเพิ่มเติมใหสมจริงยิ่งขึ้นไดก็ยิ่งดี หรือจะคิดตอใหเกิดประโยชนตามนิสัยของทานผูอานแตละคนก็ทําไดเพื่อใหเกิดประโยชนตอทานเองมากที่สุด TIP: “ ขณะที่อานขอใหทานไดจินตนาการไปดวย ใหเหมือนกับวาเรื่องนี้เปนเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวทานจริงๆ จะใสรายละเอียดเพิ่มเติมใหสมจริงยิ่งขึ้นก็ยังได หรือจะโยงเขากับเรื่องคลายกันๆที่ทานประสบมาก็ทําไดเชนกัน เพื่อใหเกิดประโยชนตอทานมากที่สุด ”
Page 42
-42-ขณะที่ออกเดินไปยังสวนสาธารณะใกลศูนยเพาะชําเหมือนเคย ฉันเห็นถุงดําที่อัดแนนดวยขยะวางอยูหนาบานหลังหนึ่งที่ฉันเดินผาน คาดวาจะเปนขยะจําพวกเศษอาหาร เพราะถึงแมจะมัดปากถุงซะแนน แตก็ยังสงกลิ่นเหม็นลอยมาเตะจมูกฉัน แถมยังมีน้ําขยะไหลออกมาจากกนถุงเปนทาง ใจก็ฉุกคิด ‘อุย...ถุงขยะนี่เหมือนเราเลย เราก็คือถุงที่ใสอาหาร อาหารที่เรากินเขาไปวันละสามมื้อทุกวันๆ.....แลวอาหารที่เรากินอยูทุกวันมีอะไรบางนะ...ขาว..ผัดผัก..แกงจืด..น้ําพริก...หมูทอด..ผลไม...ขนมเคก...มีทั้งที่เปนพืชผักแลวก็เนื้อสัตว’ นึกถึงที่มาของพืชผัก...เห็นภาพชาวนาชาวสวนเอาเมล็ดหยอดลงในดิน คอยๆงอก จนเปนตนกลา โตขึ้นเรื่อยๆ มีการใสปุย รดน้ํา มีแสงแดดที่พอเหมาะ อากาศที่ดี จนโตเต็มที่ พืชก็เปนธาตุสี่เพราะมันกินดินน้ําอากาศและแสงแดดเปนอาหารนึกถึงที่มาของเนื้อสัตว ...เห็นภาพวัวกินหญาที่งอกจากดินเปนอาหาร หมูกินรํา รําก็มาจากตนขาว สัตวที่เรากินสวนใหญกินพืชเปนอาหาร พืชเปนธาตุสี่ เพราะมันกินดิน น้ํา อากาศ และแสงแดดเปนอาหารเพราะฉะนั้นสัตวกินพืชสัตวก็เปนธาตุสี่‘พืชผักและเนื้อสัตวเปนธาตุสี่เราเปนถุงใสอาหารเราก็เปนธาตุสี่’ พิจารณาเห็นแบบนี้ทําใหใจของฉันยอมรับความจริงที่วารางกายเปนธาตุสี่ไดมากขึ้น‘อาหารที่เรากิน ตอนที่ปรุงเสร็จใหมๆยังรอนๆก็ดูนากิน แตถาทิ้งไวสักชั่วโมงสองชั่วโมงเราก็ไมอยากเอามากินแลว หาความนากินไมได เวลาเอาจานไปลาง กวาดเศษอาหารทิ้งแลว ไขมันยังติดอยูที่จาน แลวในทองเรา ลําไสเราก็คงนาเกลียดไมตางกัน วันๆเรากินสารพัดอยาง ทั้งของมันของคาวมากมาย ภาพทอน้ําทิ้งหลังโรงอาหารที่เคยเห็นยังจําติดตา มีไขมันขาวๆเกาะเต็ม มีเศษกวยเตี๋ยว เศษกับขาวปนกันอยู สงกลิ่นเหม็นเนา นาขยะแขยงมาก อาหารเหลานั้นไมนากินเหมือนตอนปรุงเสร็จใหมๆ จัดใสจานอยางดีมาใหเรา อาหารในกระเพาะเราก็มีสภาพไมตางจากที่เห็น
Page 43
-43-ลําไสเราก็ไมตางจากทอน้ําทิ้งนี่หรอก เวลาเราเรอ อาเจียนหรือผายลมก็เปนตัวยืนยันอยูแลว แตเราตองปกปดทําในที่ลับตามมารยาท’ ‘สวนน้ําที่ไหลเปอนพื้นสงกลิ่นเหม็นก็มาจากสวนที่บูดเนา อาหารที่กินเขาไปบางสวนบูดเนาอยูในตัวเรา ถึงเวลาก็ตองถายทิ้ง แตเราซอนความจริงเอาไวโดยการทําธุระในหองสวมแลวชักโครกทิ้งไป มีการกลบกลิ่นดวยน้ําหอม ทําใหเราไมคุนกับความจริงแบบนี้และยอมรับไดยากวาเราก็สกปรกไมตางจากถุงขยะนั้น เวลารอนเหงื่อออก มีกลิ่นตัวโชยมาเปนหลักฐานวารางกายของเรานั้นมีเต็มไปดวยสิ่งสกปรก แตเราก็ตองคิดหาวิธีกลบไว เวลาขึ้นรถเมล ถาคนขางๆกลิ่นตัวแรงเราก็ไมพอใจ เอานิ้วปดจมูก รังเกียจ ดูซิวาการปดบังไมรับรูความจริงก็กลับมาสรางทุกขใหกับเราจนไดทั้งๆที่เราก็ไมตางจากเขาตองขอบคุณเขาที่ทําใหเรามีโอกาสไดเห็นความจริงดวยซ้ํา’ การที่เราเขาใจผิดวารางกายนี้เปนของเรา ทําใหเราไมมีความพอดีในการดูแลรางกาย กินอาหารเกินความพอดี อะไรอรอยก็กินเขาไปเยอะๆ ฉันคิดตอไปวาเวลาเรากินอาหารเขาไป รางกายทํางานเหมือนเครื่องยอยอาหาร ถาเรากินมากเกินไป เครื่องจักรก็ตองทํางานมาก เพราะฉะนั้นเครื่องก็จะเสื่อมเร็วขึ้น เหมือนคนที่ดื่มเหลามาก ตับเสีย ตองเปลี่ยนตับ กินอาหารไมระวัง ไตเสียตองถายเลือดทรมาน ถาหัวใจเสียละ ถาสมองเสียละ...ที่เคยกินเพื่ออรอย ยิ่งอรอยก็ยิ่งกินมากขึ้นเปนการบั่นทอนเครื่องจักรเครื่องนี้เปนอยางมาก บอกกับตัวเองวาเราจะกินเทาที่จําเปนเทานั้น เพื่อถนอมเครื่องจักรนี้ไวใชงานนานๆ แตถาเมื่อใดที่เครื่องจักหมดสภาพ เหมือนรถที่เราใชจนเกา ผุพังจนซอมไมไดก็ตองทิ้งไป อยางที่เคยเห็นตามสุสานรถเกา ไมเห็นมีเจาของรถคนไหนดันทุรังตามไปนั่งอยูในซากรถเกาที่หมดสภาพเลย รถเกาก็ตองทิ้งแลวก็ไปซื้อรถใหมที่สมประกอบมาใชงานแทน ก็เหมือนรางกายเรา เมื่อไมสมประกอบอวัยวะหมดสภาพแลวจิตก็ตองออกจากรางไป เพื่อหาที่อยูใหมเทานั้นเอง รางเกาก็เอาไปเผาบาง ฝงบาง สุดทายก็กลับเปนดิน เปนปุย เปนอาหารใหกับพืช เพื่อชีวิตอื่นๆไดอาศัยเปนอาหารตอไป เหมือนรถเกายังเอาไปขายเปนเศษเหล็กเพื่อถลุงเปนเหล็กนํามาใชไดอีกหมุนเวียนกันไปอยางนี้ในโลกนี้ไมมีที่สิ้นสุด
Page 44
-44-แลวเราจะไปยึดเอารางกายนี้วาเปนตัวตนของเราใหใจตองเดือดรอนในภายหลังไปเพื่ออะไรรักษาไวใชชั่วคราวก็พออาหารกินไปมื้อละพัน...ไดใชพลังงานในการทํางานถึงพันมั้ย ...เราลงทุนกับรางกายของเรามากมายจนเกินพอดี เพราะไมรูวาในที่สุดก็ตองคืนเขา แถมยังไมไดประโยชนเทาที่ควรอีกดวย ฉันเองขอใชรางกายที่ดูแลอยางดีมาโดยตลอดนี้เปนเครื่องมือพัฒนาใจที่กําลังเดินทางไปสูจุดหมายเปนงานที่สําคัญที่สุดสําหรับชีวิตนี้จะไดคุมคาที่ลงทุนไปไมอยางนั้นถือวาขาดทุนยอยยับ....การดูแลรางกายภายนอก เมื่อเราอยูในเมืองตาหลิ่วแลวเราก็ตองหลิ่วตาตาม สังคมเขาทํากันอยางไรเราก็ทําไปอยางนั้น เพื่อไมใหเปนที่รําคาญใจของคนรอบขาง แตจะทําดวยความรูอยางพอเหมาะพอดีไมมากเกินไปอยางเคย การปอนความจริงใหใจ เมื่อใจเห็นจริงตามความเปนจริง ใจจะคลายยึดในรางกายของเราไดบาง แตเราก็ยังมีหนาที่ดูแลรางกายนี้ตอไป เพราะความจริงที่ไดพบเปนเรื่องของใจ...เปนความลับตองไมแพรงพรายใหใครรูไงคะ
Page 45
-45- บทที่ ๑๒ เด็กนอยกับเมล็ดถั่ว ขณะที่คิดพิจารณาถึงตัวเราวาเปนธาตุสี่อยางไร มีการเปลี่ยนแปลงอยางไร คิดไปเรื่อยๆ ใจก็นึกไปถึงเรื่องราวของเด็กชายคนหนึ่ง... เด็กชายคนนี้...เขากําลังเดินไปตลาดเพื่อซื้อผักและเนื้อสัตวมาใหแมปรุงอาหารค่ํา เมื่อถึงตลาด..เขารีบหาซื้อของตามที่แมสั่ง พอคาใจดีใหเมล็ดถั่วเขียวกับเขาเปนของแถม เขาถือเมล็ดถั่วกลับบานดวยความดีใจ ระหวางทางเขาหยุดดูปลาที่สระน้ําใกลบานที่ประจําของเขาเขาสังเกตเห็นอะไรบางอยางในน้ํา จึงวางขาวของและเมล็ดถั่วในมือลงบนดินขางๆบอนั้น แลวไปเลนจับปลาในสระ เขานึกขึ้นไดอีกทีวาตองรีบเอาของที่ซื้อมากลับไปใหแมก็เย็นมากแลว จึงรีบวิ่งกลับบานจนลืมเมล็ดถั่วเสียสนิทสองสามวันผานไป เขานึกขึ้นมาไดวาวันกอนไดเมล็ดถั่วมาจากตลาด เขาพยายามหามันจนทั่วบานแตก็ไมพบ นึกขึ้นไดวาวันนั้นระหวางทางกลับจากตลาดเขาไดหยุดนั่งเลนที่สระน้ํา เขาตองลืมมันไวที่นั่นแนๆ จึงรีบวิ่งไปที่สระเพื่อหาเมล็ดถั่ว เขาเดินวนหาอยูหลายรอบแตก็ไมพบเริ่มคิดไปวาตองมีคนมาขโมยมันไปเปนแนแลว เพราะเขามั่นใจวามันตองอยูแถวๆนี้แน เขาเดินหาอีกรอบ พบวาบริเวณที่เขานั่งเลนเปนประจํา มีตนไมเล็กๆขึ้นอยูตนหนึ่งแตก็ยังไมพบเมล็ดถั่ว เขาเสียใจรองไหฟูมฟายโวยวายวามีคนมาขโมยเมล็ดถั่วของเขาไป ใครมาเอาของรักของหวงของเขาไปแตก็ไมไดเมล็ดถั่วคืนมาเมื่อนึกมาถึงตรงนี้ ฉันก็ไดเห็นตัวเอง ‘เออ...เราก็เหมือนเด็กคนนี้แหละ เวลารถของเราถูกเฉี่ยว เวลาสงเสื้อตัวใหมไปซักแลวสีตกใส เวลาของที่รักที่หวงหายไป หรือเวลาคนที่เปนที่รักจากไป เราก็หงุดหงิด อารมณเสีย โวยวาย เสียใจ ไมพอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ไมตางจากเด็กนอยที่รองไหฟูมฟายหาเมล็ดถั่วที่ไดกลายเปนตนไปแลว...’ เพราะความไมรูวาสิ่งเหลานั้นไดเปลี่ยนไปแลว...
Page 46
-46-เด็กนอยรองไหเพราะไมรูวาเมล็ดถั่วที่หายไปนั้นไดกลายเปนตนถั่วแลว เมื่อเมล็ดถั่วไดดินน้ํา แสงแดดที่พอเพียง มันก็งอกเปนตน และที่สําคัญเขาไมรูความจริงวา ตอไปตนถั่วตนนี้สามารถออกฝกใหเมล็ดถั่วอีกจํานวนมากกับเขา เพราะเด็กนอยไมรูจักวงจรชีวิตของตนถั่วจึงไดแตรองไหสวนฉัน....ไมพอใจ หงุดหงิด เวลารถถูกเฉี่ยว ทั้งยังโกรธคนที่มาชนซะอีก เพราะใจยังคิดถึงรถคันเดิม คันที่ยังสมบูรณอยู อยากจะใหรถของตัวเองคงสภาพเดิม นี่ก็เปนเพราะไมรูจักวงจรของรถนั่นเอง ไมรูวารถที่ยังดูใหมอยูนั้นกําลังเปลี่ยนเปนรถเกาอยูตลอดเวลา จะคอยๆผุทีละนิดหรือจะดวยการถูกเฉียวชนก็ไดเมื่อพิจารณากันจริงๆ พบวากอนที่รถจะมาเปนรถไดนั้น มีขบวนการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย จากเหล็กธรรมดาๆ เอามาขึ้นรูปทาสี เอามาประกอบกับลอที่ทํามาจากยาง อุปกรณอื่นๆอีกหลายอยาง แลวมันก็เปนรถใหมอยูชั่วขณะหนึ่งเทานั้น เมื่อโดนน้ํา ความชื้นในอากาศ แสงแดด ก็คอยๆผุทีละนิดๆ รถใหมก็คอยๆเกา ถาโดนกระแทก โดนชนแรงๆ ก็บุบ เพราะเหล็กสามารถเปลี่ยนรูปรางได ใชๆไปในที่สุดก็หมดสภาพตองทิ้งไป ใหคนเอาไปแยกออกเปนชิ้นสวนตางๆเหล็กก็ขายเปนเศษเหล็กเพื่อหลอมทําเหล็กมาใชใหมอยางอื่นก็ขายตามสภาพในความเปนจริง ถึงแมเด็กนอยอยากใหเมล็ดถั่วคงสภาพเดิม หรือฉันอยากใหของของฉันทุกอยางคงอยูในสภาพดีตลอดไป ก็ไมอาจฝนความเปนไปได เพราะเมื่อสภาวะและปจจัยตางๆเปลี่ยนไป เมล็ดถั่วก็เปลี่ยนไปตามธรรมชาติของมัน รถยนตคันงาม เสื้อใหม บาน พอ แม พี่ นองลูกและตัวเราเองก็เชนเดียวกันฉันสังเกตตัวเอง ที่ผานๆมากอนที่ฉันไดเรียนรูความเปนจริงเชนนี้ อารมณของฉันมักจะขึ้นๆลงๆอยูตลอดทั้งวัน ถาอะไรๆเปนไปตามที่ใจคิดฉันก็รูสึกพอใจ ถามีอะไรที่ไมอยากใหเปนเกิดขึ้นก็จะหงุดหงิดไมพอใจ สลับกันไปมาอยูอยางนี้ คือเอาใจตัวเองเปนที่ตั้ง แทนที่จะอยูกับความเปนจริง เมื่อไมรูความจริง ความคิด การตัดสินใจ การแสดงออก ก็มักจะทําใหตัวเองตองเดือดรอนในภายหลังทั้งบทบาทหนาที่ภายนอกและจิตใจ การเรียนรูที่มา ที่เปน ที่ไปของสิ่งตางๆที่เรา
Page 47
-47-เกี่ยวของในแตละวัน ทําใหฉันไดปรับเปลี่ยนวิธีคิดซะใหม...ไมอยากนั่งรองไหเพราะแคเมล็ดถั่วกลายเปนตนอีก...เอาเด็กนอยเมล็ดถั่วเปนครูยกตัวอยางเชนการเลือกซื้อรถ เพราะรูจักวงจรชีวิตของรถ รูแลววารถอะไรก็ไมอาจหนีความเปลี่ยนแปลงได รถของเราก็มีสิทธิถูกชน ถูกเฉี่ยว หรือถูกขโมยอยางที่มีขาวใหเห็นในหนังสือพิมพไดเชนกัน ฉันจึงตัดสินใจเลือกซื้อรถดวยเหตุผล นึกถึงวัตถุประสงคเปนหลัก วาฉันตองการรถไวเพื่ออํานวยความสะดวกในการเดินทางจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งโดยสวัสดิภาพ ฉันจึงไมตัดสินใจซื้อรถที่แพงเกินไปเพียงเพราะดูสวยงามหรือมีสมรรถนะสูงแตเกินจําเปน และก็ไมลืมเตือนใจตัวเองเสมอวา สิ่งที่เกิดขึ้นกับคนอื่นก็สามารถเกิดขึ้นกับเราไดทุกขณะ ไมวาเราจะชอบหรือไมก็ตาม เพราะฉะนั้นเมื่อเห็นเหตุการณอะไร เชน รถเสีย รถคว่ําตามถนน ก็ไมลืมนอมวา ‘ถาเปนเราละ เจอเหตุการณอยางนี้จะทํายังไง...’ เพื่อเปนการเตรียมตัวเตรียมใจไวกอนเกิดเหตุการณจริงนี่สําคัญมาก เพราะเราทุกคนมักจะเลือกมองแตสิ่งที่อยากมอง รับรูแตสิ่งที่อยากรับรู และมักจะเขาขางตัวเองวาสิ่งที่เราไมชอบ ไมปรารถนาคงไมเกิดกับเราแนนอน ทั้งๆที่เรื่องที่เราไมชอบ TIP: “ ไมวาจะพบเห็นสิ่งใดเจอะเจอเหตุการณอะไรไมวาจะเปนดอกไมเหี่ยวๆในแจกันตนไมริมทางอุบัติเหตุรถชนกันไปเยี่ยมคนปวยที่โรงพยาบาลถารูจักมองมองอยางพินิจพิเคราะหฉันพบวาทุกๆอยางเปนครูสอนใจได ขอเพียงเรารูจักนอมเอาความจริงมาสอนใจอยูเรื่อยๆวาสิ่งตางๆที่เห็นในขณะนี้กอนหนานี้มีสภาพอยางไรและตอไปจะเปนอยางไรเราจะไดรูทันความเปลี่ยนแปลงรูที่มาที่เปนที่ไปของสิ่งตางๆรอบตัวเรารวมถึงของของเราและที่สําคัญตัวเราเองเมื่อเรายอมรับและไมฝนความเปลี่ยนแปลงเราก็จะมีความทุกขเพราะความเปลี่ยนแปลงนอยลงเรื่อยๆ ”
Page 48
-48-เหลานั้นก็เกิดกับคนรอบขางใหเราไดรับรูรับเห็นอยูตลอดเวลาทั้งหนังสือพิมพเอยโทรทัศนเอยถาเราปลอยปละละเลยเชนนี้ตอไปเราเทานั้นที่จะขาดทุนเหมือนกับการซอมหนีไฟ ถาถึงเวลาซอมแตเรากลับคิดวา ‘ไฟไมมีทางไหมแนนอน เพราะตึกนี้มีระบบเตือนภัยและระบบดับเพลิงอัตโนมัติอยางดี...’ เราก็อาจจะอยูเฉยๆ ใครจะซอมก็ซอมไป หรือไมก็ซอมแบบเสียไมได ทําใหไมไดประโยชนเต็มที่ แตถาเราคิดจินตนาการถึงสถานการณไฟไหมจริงๆไดแบบเดียวกับที่เราเคยเห็นในโทรทัศนวามีความโกลาหลอยางไรบาง เราก็พอจะเตรียมพรอมวาเรานาจะทําอะไรไดบาง หนึ่ง..สอง...สาม เปนขอๆไว หากวันใดไฟเกิดไหมจริงๆเราจะไดพอมีแนวทางเรื่องความตายก็เชนกัน ความตายเปนสวนหนึ่งของวงจรชีวิตเรา แตนอยคนนักที่จะซอมคิดเตรียมพรอมวาถาคนที่เปนที่รักเสียชีวิตกระทันหันหรือแมแตตัวเราเองเสียชีวิตไปเดี๋ยวนี้จะทําอยางไร ก็ตองทําใจไมไดแนนอน เพราะเรื่องความตายจะเปนเรื่องสุดทายที่เราจะคิดถึง อาจรูสึกไมเปนมงคลที่จะคิด แตมันเปนความจริง ที่สําคัญเรื่องความตายเปนเรื่องที่เรายอมรับไดยากที่สุดจําเปนตองใชเวลาในการทําความเขาใจมากที่สุด การเก็บไวคิดเปนเรื่องสุดทายจึงไมทันทวงที ถือวาเปนการอยูอยางประมาทมากทีเดียว TIP: “ ตอไปนี้ไมวาอะไรที่เราไดพบเห็นใหเรานอมวา‘ถาเหตุการณนี้เกิดกับเราละเราจะทํายังไง’ จินตนาการใหสมจริงเลยเราจะไดรูวาเราจะมีความรูสึกอยางไรในวินาทีที่สถานการณนั้นเกิดขึ้นถารูสึกแยรูสึกเสียใจไมพอใจหรือโกรธก็แสดงวาเรามีงานทางใจตองทําแลวงานที่วาก็คืองานคนหาความเขาใจผิดความเขาใจที่ไมเปนไปตามความเปนจริงของโลกคือขัดกับหลักไตรลักษณโดยเฉพาะในหัวขอความเปลี่ยนแปลงแนๆเราจะไดมาศึกษาหาความจริงในเรื่องนั้นใหมากขึ้น ”
Page 49
-49-เวลาฉันอยูบานคนเดียว ฉันมักจะสมมติเหตุการณวาพอ แม นองสาวหรือสามีของฉันเสียชีวิต เพื่อดูความรูสึกที่เกิดขึ้นในใจตัวเอง และเราจะตองทําอยางไรตอไป เวลาไปงานศพก็เชนเดียวกัน ไมลืมสมมติเหตุการณวางานศพนั้นเปนงานของคนที่เรารัก เพื่อไมใหเสียเวลาและโอกาสในการอบรมจิตใจตัวเอง เรื่องยากๆตองฝกบอยๆ ทดสอบใจอยูบอยๆ จะไดชํานาญ เหมือนที่เราๆรูกันดีวาเมล็ดถั่วก็ตองขึ้นเปนตน แตเด็กนอยกลับรองไหฟูมฟาย เพราะฉะนั้นเราตองฝกใจใหเปนผูใหญ ใหรูความจริงในเรื่องตางๆที่เราไปเกี่ยวของอยู จะไดไมเปนเหมือนกับเด็กนอยเมล็ดถั่ววันนี้ทุกคนมีทุนเทากันใครที่ยังมีลมหายใจมีปญญาและสติสัมปชัญญะครบถวนถือวามีทุนเทาเทียมกันหมด ทีนี้ก็ขึ้นอยูกับวาใครจะเริ่มตนสังเกตสิ่งตางๆรอบตัวเพื่อเก็บขอมูลสอนใจตัวเองกอนกันเพราะไมมีใครรูวาเราจะหมดทุนเมื่อไหรเพราะฉะนั้นอยางรอชาอีกเลยคะ
Page 50
-50- บทที่ ๑๓ ไมมีที่สิ้นสุด ผูคนสวนใหญที่รูวาฉันปฏิบัติธรรมมักจะอยากรูวาดวยหนาที่การงานและวัยอยางฉันนี้อะไรเปนแรงบันดาลใจใหมาในเสนทางสายธรรมะนี้ไดอยางตอเนื่องสวนหนึ่งเปนเพราะธรรมะทําใหชีวิตในแตละวันของฉันมีความสุขมากขึ้น เกิดประโยชนมากขึ้น แตกอนเคยทําแตประโยชนทางกาย เดี๋ยวนี้ทําประโยชนทางกายแตไดประโยชนทางใจควบคูกันไปดวย ไดความเพลิดเพลินในการคิดพิจารณาหาหลักฐานสอนใจเหมือนไดของเลนใหมและดวยความที่ฉันเชื่อวาการตายไมใชจุดสิ้นสุดของเรา แมรางกายเราจะหมดสภาพแตจิตของเรายังคงเดินทางตอไป ที่ผานมาเราเลือกเกิดไมไดก็จริง แตเลือกที่จะเปนในอนาคตได เราตองเปนคนมองการณไกล ใหไกลกวาที่เคยมอง ไมใชแควางแผนสําหรับในชวงชีวิตนี้เทานั้น แควาเราจะเรียนอะไร ทําอาชีพอะไร แตงงานเมื่อไหร มีลูกกี่คน มีบานหลังใหญแคไหน มีรถกี่คัน นี่ถือวาเปนแคแผนระยะสั้น ตองมองกันถึงชาติหนาและชาติตอๆไปเลยทีเดียว เมื่อฉันเห็นอยางนี้ จึงไดวางแผนของชีวิตใหกับตัวเองและลงมือทําตามแผนที่วางไวนั้นทันที เพราะรูวาชีวิตเปนเรื่องเสี่ยงๆ ถาประมาท ฉันก็ตองรับผลของการกระทําแตผูเดียว แลวจะใหฉันรีรออยูไดอยางไรกัน อะไรเปนกรรมชั่วก็ไมทํา อะไรที่สะสมในชาตินี้แลวสามารถนําติดตัวไปใชตอในชาติหนาไดก็จะรีบทํา การฝกใหใจเห็นความจริงนี้แหละ ที่จะทําใหฉันเปนคนรวยถาวร คือรวยดวยอริยทรัพย รวยบุญรวยกุศล โดยเฉพาะกุศลคือความฉลาดของใจ)จิต (ที่เราฝกสังเกตสิ่งรอบตัวใหเห็นจริงตามความเปนจริงในสัจธรรมนั้นก็เพื่อใหใจไดรับรูความจริงใหใจมีความฉลาด รูเทาทันไมหลงกับสิ่งที่ไมเที่ยงเปนทุกขและไมมีตัวตนใหยึด ซึ่งกุศลนี้เองที่จะติดตัวไปทุกภพทุกชาติ ถายังไปไมถึงจุดหมายปลายทางนี่คือที่มาของความเพียรในการปฏิบัติของฉัน นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวที่ฉันใชเปนแรงจูงใจไดเปนอยางดี...จะเลาใหฟงเดี๋ยวนี้ละคะ....
Page 51
-51-ถึงแมฉันจะเรียนมาจนจบปริญญาโทก็ตาม ฉันก็รูตัวดีวาฉันไมชอบเรียนหนังสือเอาเลย แตเพราะเห็นประโยชน จึงอดทนตั้งหนาตั้งตาเรียนจนจบมาได ตั้งแตเล็กจนโตกวาคอนชีวิตที่เราเสียเวลาไปกับการเรียนที่ไมมีที่สิ้นสุด จบชั้นหนึ่งก็ตองไปเริ่มใหมในชั้นที่สูงขึ้นไป จบโรงเรียนก็ตองไปตอมหาวิทยาลัย จบปริญญาตรี ก็ตองไปตอปริญญาโท ปริญญาเอก และมากกวานั้นก็ยังมีแถมเมื่อเขาทํางานความรูที่เรียนมาก็ยังไมเพียงพอยังตองมาศึกษาหาความรูเกี่ยวกับงานที่ทําเพิ่มเติมอีกบางครั้งการเรียนก็มาในรูปของหนังสือแนะนําการใชงานเครื่องใชในบานเครื่องใชไฟฟา และอีกมากมายหาที่สิ้นสุดของการเรียนไมได ในขณะเดียวกันเมื่อวิวัฒนาการทางวิทยาศาสตรและเทคโนโลยีมีการพัฒนามากขึ้น ก็พบวาสิ่งที่เรียนกันมาในอดีต ที่เคยเขาใจวาเปนความจริง เปนสิ่งที่เชื่อถือได กลับถูกเปดเผยวาไมเปนความจริงอีกตอไป และมีทฤษฎีใหมๆมาแทนที่ แลวความรูที่เรียนในปจจุบันที่เรียนกันอยูนี้ละจะมีความจริงอยูมากนอยเพียงใดไมมี ...ไมใชเฉพาะเรื่องเรียนที่ไมมีที่สิ้นสุด ฉันพบวาความไมสิ้นสุดซอนอยูในทุกอยางที่ฉันทําในแตละวัน เชนการเดินทาง ฉันเปนคนชอบเที่ยว ฉันพบวาทุกครั้งที่ไปเที่ยว เมื่อถึงจุดหมายหนึ่ง เราคิดวาการเดินทางนั้นจบลงแลว แตจริงๆแลวไมเลย เมื่อถึงจุดหมายเราก็อยูที่นั่นชั่วคราว แลวเราก็ออกเดินทางอีกเพื่อไปจุดหมายตอไปตามแผนที่วางไว เมื่อถึงจุดหมายสุดทายก็ตองกลับบาน เมื่อถึงบานเชาวันรุงขึ้นเราก็ตองออกเดินทางไปที่ทํางาน เมื่อถึงที่ทํางาน เราก็ทํางานสักพักหนึ่ง แลวก็กลับบาน จากบานอาจไปรานขายของ จากรานขายของไปรานอาหาร จากรานอาหารก็กลับบาน ในวันรุงขึ้นก็ออกจากบานไปทํางานเปนอยางนี้วนไปวนมาเปนการเดินทางที่ไมรูจบการทํางานของเราแตละวัน เรามักอยากจะทํางานใหเสร็จ แตเสร็จจากงานหนึ่ง ก็ตองเริ่มตนทํางานชิ้นใหมอยูดีทํางานไดเงินมา นําไปซื้ออาหาร เสื้อผา จายคาที่อยูอาศัย ใชไปเรื่อยๆ ทํางานไปเรื่อยๆ สิ้นเดือนไดเงินเดือนไดเงินมาใชจายไปวนเวียนอยูอยางนี้
Page 52
-52-การทํางานบานก็เชนกัน กวาดบาน ถูบาน ซักผา เปนงานอมตะนิรันดรกาล ไมมีวันเสร็จ ทําสะอาดวันนี้พรุงนี้สกปรกก็ตองทําอีกการกินขาว หิวเราก็กินขาว กินจนอิ่ม สักพักก็หิวอีกแลว เราก็ตองกินอีก ในเรื่องการกินยังประกอบดวยกิจกรรมที่ซ้ําซากอื่นๆกวาจะไดกินแตละที ทั้งการซื้อกับขาว ปรุงอาหาร ลางจาน วนไปวนมาไมรูจบการหาความสุขสนุกสนาน ดูหนัง ฟงเพลง เฮฮากับเพื่อน ก็ตองทําซ้ําๆอยูอยางนั้นความสุขแบบนี้ทําแลวก็หมดไปไมตางจากเงินดูซิคะไมมีอะไรที่ทําแลวจบเลยสักอยางตองทําซ้ําแลวซ้ําเลาฉันยังเห็นวาไมวาจะเรียนมากแคไหน ทํางานหาเงินมากแคไหน หรือดูแลรางกายดีมากแคไหน สุดทายตายไปก็ตองคืนโลกทั้งหมด เอาอะไรไปไมไดเลย เมื่อจะมาในโลกครั้งตอไปก็ตองเริ่มใหมอีกอยูดี ไมมีเด็กที่เกิดมาคนไหนไมตองมาทําอะไรพวกนี้ ไมมีใครอานออก เขียนได คิดเลขเปนตั้งแตเกิด แมแตพูดยังตองมาเรียนใหมเลย ทําใหเห็นวาถึงแมสิ่งที่เราทําอยูทุกวันนี้ดูเปนเรื่องธรรมดาก็จริง แตสําหรับคนขี้เกียจอยางฉันเห็นวาถามีทางเลือกฉันขอทําอะไรที่ลงทุนลงแรงครั้งเดียวแลวจบดีกวาดวยความที่เปนชาวพุทธโดยกําเนิดทําใหไดฟงมาแตเล็กๆวา ที่สิ้นสุดนะมีอยู คือพระนิพพาน แตเคยคิดวาเปนเรื่องที่เกินกําลังความสามารถจึงไมไดสนใจปลอยเวลาใหลวงเลยมา ถึงวันนี้ไดสัมผัส ไดเขาใจดวยตัวเอง ทําใหรูความจริงวา การปฏิบัตินั้นไมใชเรื่องยากอยางที่คิด มีความเปนไปได ถามีการวางแผนและลงมือปฏิบัติตามอยางจริงจัง ฉันจึงตัดสินใจอยางแนวแนวาจะใชเวลาที่เหลือศึกษาธรรมะ คือศึกษาหาความจริงสอนใจนั่นแหละ ไมวาจะถึงปลายทางเมื่อไหร ไมสําคัญ รูแตวาตองเริ่มออกเดินและสักวันก็คงจะถึงจุดหมายปลายทาง ตามที่พระพุทธองคทรงชี้ทางไวอยางชัดเจนแลวแนนอน
Page 53
-53- บทที่ ๑๔‘ทําไม...’ขยะลนใจ เคยมั้ยคะ เวลาขับรถ พอมีมอเตอรไซคปาดหนา เราดาตามไปเลย หรือคิดอยางไมพอใจวา‘ทําไมตองมาปาดหนาฉันดวยนะ’ ใครเคยเปนบางยกมือขึ้นวันหนึ่งขณะขับรถไปทํางานตามปกติ มีรถมอเตอรไซคขับแซงปาดหนาฉันไป ฉันไมพอใจและนึกในใจ‘ทําไมตองปาดนะที่มีตั้งเยอะตั้งแยะไมไป...’ ความไมพอใจคือสัญญาณของความเห็นผิด ทําใหฉันเริ่มคิดทบทวนการกระทําและความคิดของตัวเองทันที‘ตอนที่มอเตอรไซคปาดหนา เราทําอะไร เราเบรก...ใชเราตองเบรกใหมอเตอรไซคผานไปไมชนกันแลวเราก็ไมพอใจคิดในใจวาทําไมตองปาด....’ เห็นตัวเองวา ‘เราเปนคนไมทันเหตุการณนี่นา...มอเตอรไซคไดผานไปแลว เรื่องจบแลว แตเรายังไมจบ ยังไมพอใจ ยังตั้งคําถามวาทําไมตองมาปาดเรา...ไมไดอะไรเลย ขาดทุนทั้งอารมณ ทั้งเวลา’ เห็นวาตัวเองไมทันเหตุการณจนขาดทุนอยางนี้แลว ทําใหสํารวจตัวเองตอไปวา ทุกๆวันที่เราขับรถไปทํางานเราไมทันเหตุการณกับเรื่องอะไรอีก ...นึกถึงเวลารีบๆ ถาติดไฟแดงที่สี่แยกเราก็จะคิดในใจ ‘ไฟแดงอีกแลว ทําไมถึงตองเจอไฟแดงทุกแยกเลยนะ..’ เจอคนขามถนนไมเปนที่ ก็คิดในใจ ‘ทําไมไมขามสะพานลอยนะ อยูบนหัวตัวเองแทๆ....’ หรือ เวลารถติดมาก ก็คิด ‘ทําไมรถติดจัง ทําไมไมมีตํารวจมาคอยโบกรถเลยนะ’ อยางนี้เปนตน แตละวันเราขาดทุนเยอะมาก นี่แคขับรถมาทํางานนะ ... จริงๆ แลวตอนที่เราขึ้นรถขับออกจากบานมา ความตั้งใจของเราคือขับไปใหถึงที่ทํางาน แตพอออกถนนใหญเราเริ่มสนใจกับอยางอื่นรอบตัวมากกวา จนลืมความตั้งใจเดิมไป...ถึงสี่แยกอยากใหเปนไฟเขียวตลอด ไมอยากใหมีคนขามถนนผิดที่ ไมอยากใหรถติด เหมือนกับวา ใจเรามัวสนใจกับสองขางทางตลอดเวลา ตรงนั้นบาง ตรงนี้บาง แทนที่จะตั้งหนาตั้งตาขับรถไปใหถึงที่ทํางาน ทํา
Page 54
-54-ใหเสียเวลา และไดแตขยะมาใสใจตัวเอง เมื่อเราไมไดอยางที่ตองการ ก็จะเกิดความไมพอใจ เพราะการออกจากบานมาทํางานทุกครั้ง ไมมีทางที่รถจะไมติด ไฟสัญญาณจราจรจะเปนไฟเขียวทุกสี่แยกและคนจะขามสะพานลอยกันหมดไมมีทางเปนไปไดถากอนออกจากบานเราตั้งใจวา เอาละเราจะขับรถออกจากบานเพื่อไปใหถึงที่ทํางาน เมื่อมีรถปาดหนา เราก็เบรก เจอไฟแดงหรือมีคนขามถนน เราก็หยุด เราก็ทําไดแคนี้จริงๆ รับมือไปตามสถานการณไมขาดทุนและไมมีการเก็บขยะขางทางมาใสใจทุกครั้งจะทําอะไรก็ตาม ฉันจะคิดถึงวัตถุประสงคของการกระทํานั้นอยางชัดเจน เมื่อเริ่มเก็บขยะสองขางทางก็จะรูตัว และจะไดกลับตัวไดทัน ฝกตัวเองใหเปนคนทันเหตุการณ ทันสมัยอยูเรื่อยๆ ใหเคยชินกับการคิดแบบใหมนี้ ทําใหแตละวันฉันขาดทุนนอยลง ขยะในใจก็นอยลงเพราะเก็บเพิ่มนอยนอกจากนี้ ถาเรารูจักใชคําวา “ทําไม...” มาถามตัวเราเอง จะเปนประโยชนอยางมาก ลองดูนะคะ..ทําไมแตกับตัวเองอยาไปทําไมกับคนอื่นเขา
Page 55
-55- บทที่ ๑๕ คนขี้บน หลายครั้งที่คนใกลตัวฉันหมดความอดทนและแสดงออกใหฉันรูตัววาฉันบนเขามาพอประมาณแลว หยุดไดแลว เพราะเขาไมพอใจแลวนะ แตฉันมักเถียงเขาวาฉันไมไดบนซะหนอยแคอยากบอกใหรูวาเขาลืมทําอะไรและควรทําอะไรคราวหนาจะไดไมลืมจะไดไมเดือดรอนฉันตองทําแทน แตเขาก็ยืนยันวาฉันนั่นแหละขี้บน หลังจากเกิดเหตุการณอยางนี้อยูหลายครั้ง ทําใหฉันไดหยุดคิดวาเกิดอะไรขึ้นกันแนระหวางเขาที่ไมเอาไหนหรือฉันขี้บนจริงๆอยางเขาวาฉันคอยๆลําดับเหตุการณ คิดทบทวนวาอะไรทําใหฉันเกิดความไมพอใจ แลวฉันคิดอยางไรตอไปจนทําใหเกิดเปนคําพูดการแสดงออกที่เขาเรียกวาการบนและก็ไดพบกับความจริง....เรื่องที่ฉันบนสามีมักเปนเรื่องเล็กๆนอยๆ เชน ไมเติมน้ําในที่ทําน้ําแข็ง ใชกระดาษชําระในหองน้ําหมดแลวไมนํามวนใหมมาเปลี่ยน ลางมือแลวสะบัดจนน้ํากระจายไปรอบๆ หรือไมเก็บของใหเปนระเบียบเปนตนทุกครั้งที่ฉันเห็นที่ทําน้ําแข็งเปลาๆวางอยูในครัวเห็นมวนกระดาษชําระที่หมดแลวในหองน้ํา......ฉันจะคิดไปทันทีวา ‘ดูซิไม....อีกแลว ทําไมไมชวยกันทํานะ จะใหฉันทําอยูคนเดียวหรือไง’ เมื่อคิดอยางนี้ ความไมพอใจก็เกิดขึ้นทันทีเหมือนกันถาเขาอยูในรัศมี ฉันก็จะถามเขาทันทีวา ‘ทําไมไมทํา....ละ’ ดวยน้ําเสียงและหนาตาไมปกติ เพราะหงุดหงิดไปแลว ถาเขาอารมณดีเขาก็จะไมขัดใจฉัน จะลุกมาทําสิ่งที่ยังไมไดทําทันที แตถาเขาเกิดไมพอใจกับคําพูดฉันขึ้นมา ก็จะดื้อแพงไมสนใจซะอยางนั้น ปลอยใหฉันไมพอใจตอไป แตถาเขาไมอยูบาน ความไมพอใจของฉันจะเพิ่มมากขึ้นเพราะฉันไมสามารถพูดกับเขาไดทันที แตฉันจะคิดถึงเรื่องที่เขาไมสนใจทําทั้งหลายทั้งปวงที่ผานมาทําใหฉันตองเปนคนทําซะเองในอดีต คิดทบทวนซ้ําไปซ้ํามา จนเรื่องเล็กๆกลายเปนเรื่องใหญ เมื่อเขากลับถึงบานฉันก็จะระบายความไมพอใจใสเขาทันที ดวยน้ําเสียงและคําพูดที่ไมนาฟง เพราะเก็บกดมาไดพักใหญแลว เชน ถามเขาวา “ทําไมเธอถึงไมเคย....เลยละ” ทําใหคนฟงก็
Page 56
-56-ไมพอใจขึ้นมาไดทันทีเหมือนกัน รูสึกเหมือนถูกกลาวหา เรื่องเล็กๆ แทๆทําใหเปนเรื่องใหญบางครั้งก็เลยเถิดกลายเปนทะเลาะกันงอนกันไปเลยก็มีเมื่อมานั่งคิดไตรตรองดู เหตุการณแบบนี้ทําใหเราขาดทุนกันทั้งคูนี่นา ทั้งเสียอารมณและเสียเวลา เพียงเพราะฉันตองการใหเขาทําอยางที่ฉันตองการ เมื่อไมไดดั่งใจฉันก็แสดงออกดวยคําพูดน้ําเสียงและสีหนาที่ไมดีเพื่อใหเขายอมและทําตามความตองการของฉันฉันคิดเปรียบเทียบ ระหวางการที่ฉันพูดไมดีกับเขาหรือบนเขานั่นแหละ แลวเขาก็ทําตามอยางที่ฉันตองการดวยความรูสึกแยๆกับฉันทําซะเองไมตองบนอยางไหนจะดีกวากัน ฉันวาทําซะเองเปนทางออกที่ดีกวาเพราะไดดั่งใจแตทํารายความรูสึกของคนที่ฉันรักนั้นไมคุมและไมเปนธรรมกับอีกฝายหนึ่งเลยนึกไดวา...เวลาเขาบนฉัน ฉันก็ไมชอบเหมือนกัน แตที่ฉันทําสิ่งที่เขาไมชอบลงไปก็เพราะฉันไมไดคิดอะไร ฉันแคสะดวกอยางไรก็ทําอยางนั้น แคคิดนอยไปหนอยหรือมักงายไปนิดเทานั้นเอง ไมไดคิดวาสิ่งที่ทําไปจะทําใหอีกคนไมพอใจ ฉันไมไดแกลงขัดใจเขา เพราะฉะนั้นเขาก็ไมไดแกลงขัดใจฉันเชนกัน ทําใหเห็นวาจากการที่คนสองคนมีความพอใจที่ขัดแยงกัน คนหนึ่งพอใจทําอยางหนึ่งแตไปขัดใจอีกคนหนึ่งคนที่ถูกขัดใจก็จะบนขึ้นมา... เมื่อคิดไดอยางนี้ เวลาพบอะไรที่ยังไมไดทํา อะไรที่เขาทําแลวไมถูกใจฉัน ฉันก็ทําซะเองงายจะตาย ก็ไมเสียหายอะไร ไดความพอใจเปนของตัวเองและไมทํารายความรูสึกของคนที่ฉันรักอีกดวยเรารักใครก็ตองทําใหเขามีความสุขสิจริงมั้ยเมื่อคิดยอนไปถึงตอนที่ยังเปนคนขี้บน เห็นวาคนที่บนมักไมรูสึกตัว ทําใหไมถือสาคนที่มาบนใสฉันอีกดวยเพราะเขาใจเมื่อไมบนแลว ถามีโอกาสฉันกับสามีจะนั่งคุยกันวาที่ผานมา มีอะไรชอบใจไมชอบใจบางแลวก็ชวยๆกันปรับไปทําใหอยูดวยกันอยางมีความสุขมากขึ้นและเขาใจกันมากขึ้นกวาเดิมเยอะเลย
Page 57
-57- บทที่ ๑๖ มาวิ่งไลแครอท ฉันพบวา มีหลายอยางในชีวิตที่เราไมชอบทํา แตเราก็อดทนทําตอไปได เพราะอะไรนะหรือ....ก็เขาเอาบางสิ่งบางอยางมาลอใจใหเราไมออกนอกลูนอกทางนะสินึกถึงภาพมาแขงในการตูนที่เคยดูตอนเด็กๆ มาตัวนี้แสนขี้เกียจ ไมยอมวิ่งในสนามแขงซะอยางนั้นเจาของแสนฉลาดก็มีวิธีทําใหมันวิ่งเอาชนะคูแขงจนไดโดยเอาเบ็ดเกี่ยวแครอทแลวหยอนไวหนาเจามาจอมขี้เกียจ ลอใหมันวิ่งไลงับไปเรื่อย แตงับเทาไหรก็งับไมถึง มันจึงวิ่งไลงับไปเรื่อยจนถึงเสนชัยจําได...สมัยเด็กๆ ฉันไมชอบกินผัก ลุงก็จะหลอกลอวา ถากินผักหมดจะพาไปจับหิ่งหอยแถวบานลุงเปนทุงจึงมีหิ่งหอยเยอะฉันก็กินผักจนหมดเพราะอยากไปจับหิ่งหอยแสนสวยถึงเวลาตองไปโรงเรียน พอแมบอกวาคนที่ไปโรงเรียนแลวไมรองไหเปนคนเกง ฉันก็ไมรองไหและขยันไปโรงเรียนเพราะอยากเปนคนเกงของพอแมเมื่อโตขึ้นใครๆบอกวาตองขยันเรียนจะไดเอนทรานซติดมหาวิทยาลัยดีๆจะไดมีงานดีๆทําฉันก็ทําตามตองเรียนพิเศษวันเสารอาทิตยก็ยังไปเมื่อจบปริญญาตรี เขาวายังไมพอ ถาอยากไดงานดีๆ เงินเดือนเยอะๆ ตองไปตอปริญญาโทฉันก็ไปตามที่เขาวา แลวตองไปเรียนที่มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงจะไดเปนเกียรติตอวงศตระกูล ฉันก็ทําตามทั้งที่ไมชอบเรียนเลยเมื่อทํางาน นายจางก็วาถาขยัน ตั้งใจทํางาน จะไดขึ้นเงินเดือนและไดรับยกยองวาเปนพนักงานดีเดน ฉันก็ทํางานเอาจริงเอาจัง หามรุงหามค่ํา จนไดรับคําชม แมจะเหนื่อยกับงานแตก็ทนไดจริงๆแลวสิ่งที่เราพอใจขวนขวายใหไดมาทั้งคําชมความสําเร็จเกียรติยศชื่อเสียงก็เปนแคแครอทที่มาไมมีวันไดกิน เปนสิ่งที่เขาใชลอใหเราทําตามกลไกทางสังคม กลไกของโลก เพื่อให
Page 58
-58-สังคมอยูได ประเทศอยูได โลกนี้อยูได แตเราไมไดไดมาเปนของเราจริงๆซะหนอย ทุกอยางเหลานั้นอยูกับเราแคชั่วคราวทั้งนั้นเศรษฐีที่มีเงินมากที่สุดก็เปนเจาของเงินแคชั่วคราว นายพลยศสูงที่สุดก็มียศ มีคนนับถือมากมายแคชั่วคราว ผูหญิงที่สวยที่สุดก็มีความสวยแคชั่วคราว ของที่รักที่สุดก็เปนของเราแคชั่วคราว เราจะเอาจริงเอาจังอะไรมากนักถาใจรูทันเขาซะแลวแบบนี้อยาลืม ภายนอกก็ยังตองแสดงใหสมบทบาทตอไปเชนเดิม เพราะเรามีรางกายที่จะตองดูแลรักษา มีบทบาทหนาที่ที่ติดตัวมา ชีวิตเราก็ตองดําเนินตอไป ทํางานก็ตองเอาเงินเดือนและตองขยันใหไดเงินเดือนขึ้นดวย เปนเจาของรานขายกวยเตี๋ยวก็ตองทําใหไดกําไรแตไมเอาจริงเอาจังที่ใจคะ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)