Theขี้ฝุ่นริมทาง
วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2554
การเจริญปัญญา บริหารจิตและการเจริญปัญญา
การเจริญปัญญา หมายถึง การพัฒนาปัญญา
ปัญญา แปลว่า ความรอบรู้ในสิ่งที่ควรรู้
คนเราทุกคนต้องอาศัยปัญญาเป็นเสมือนแสงสว่างส่องทางในการดำเนินชีวิต
หมายถึง ความสามารถในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ให้ลุล่วงได้เป็นอย่างดี
ซึ่งมนุษย์หรือที่เกิดมาในโลกนี้จะมีพื้นฐานทางปัญญามาแต่กำเนิดหรือสัญชาติญาณ
หรือสามัญสำนึก เรียกว่า สชาติกปัญญา คือปัญญาที่เกิดมาพร้อมกับชาติ
จะเรียกว่า ไอคิว ก็ได้ แต่เป็นปัญญาที่มีอยู่ในระดับปกติทั่ว ๆไป
ไม่แก่กล้า บางคนที่มี สชาติกปัญญาน้อยหรือมีไอคิวต่ำ ก็เรียกว่า
ปัญญาอ่อน ซึ่งต่ำกว่าคนปรกติ ตามธรรมดามนาย์ที่เกิดมาโดยทั่ว ๆ
ไปนั้นย่อมมีปัญญาติดตัวมาทุกคน
แต่ถ้าจะพัฒนาให้มีปัญญาอยู่ในระดับสูงขึ้นไป
มีปัญญาความรอบรู้ในสิ่งต่าง ๆ รอบรู้
ถึงอุบายวิธีที่จะละเว้นความชั่วหันมาประพฤติความดี
จนมีความบริสุทธิ์ทั้งกาย วาจา ใจ จะต้องอาศัย
การฝึกฝนอบรมปัญญาเพิ่มเติมขึ้นมาใหม่ ด้วยการปฏิบัติ กัมมัฏฐาน
ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
1. สมถกัมมัฏฐาน คืออุบายสงบใจหรือวิธีฝึกอบรมจิตให้เป็นสมาธิ
เพื่อเป็นการระงับนิวรณ์อันเป็นสิ่งปิดกั้นจิตไว้ไม้ให้บรรลุความดี
2. วิปัสสนากัมมัฏฐาน คือ
อุบายเรืองปัญญาหรือวิธีฝึกอบรมปัญญาให้เกิดความรู้
ตามที่เป็นจริงโดยการพิจารณา ขันธ์ 5 ให้เห็นถึงนามรูป
เพื่อให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง โดยอาศัยหลักไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
) ประกอบการพจารณาซึ่งจะสามารถทำลายอวิชชาลงได้
สมถะและวิปัสสนาต่างก็เป็นปัจจัยซึ่งกันและกันกล่าวคือ
เมื่อปฏิบัติสามธิจนสงบจิตใจไม่ฟุ้งซ่าน
ซึ่งจะเป็นพื้นฐานให้อบรมปัญญาได้
เมื่อเกิดปัญญารู้แจ้งก็จะกำจัดอวิชชาลงได้ ซึ่งจะส่งผลมายังจิตให้สงบ
เยือกเย็นมากยิ่งขึ้น
ปัญญา แปลได้หลายอย่าง เช่น ความรอบรู้เหตุผล รู้ชัด รู้ทัน รู้ประจักษ์
และรู้ถึงทั้งภายในและภายนอก เป็นต้น ปัญญาแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. โลกิยปัญญา เป็นปัญญาของโลกิยชน เป็นปัญญาของปุถุชนทั่ว ๆ ไป
ที่ใช้ปัญญาในการดำรงชีพ
2. โลกุตตรปัญญา เป็นปัญญาของพระอริยบุคคล
ปัญญามีไว้สำหรับปราบปรามกิเลสอย่างละเอียด คือ อวิชชา (ความหลง
ความไม่รู้เท่า ความเห็นผิดว่า สิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง
สิ่งทั้งหลายเป็นสุข)
บ่อเกิดแห่งปัญญา มี 3 ทาง ประกอบด้วย
สุตมยปัญญา หรือปัญญาอันเกิดจากการฟัง
จินตมยปัญญา หรือปัญญาอันเกิดจากการคิด
ภาวนามยปัญญา หรือปัญญาอันเกิดจากการกระทำ
วิธีแก้ไขกามฉันทะ
ในอรรถกถา พระไตรปิฎกได้กล่าวถึงการละกามฉันทะ ด้วยวิธีการ 6 ประการ7) คือ
1.การเรียนอสุภนิมิต
2.การประกอบเนืองๆ ในอสุภภาวนา
3.ความเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์
4.ความเป็นผู้รู้ประมาณในโภชนะ
5.ความเป็นผู้มีกัลยาณมิตร
6.การกล่าวถ้อยคำแต่ที่เป็นสัปปายะ
1.การเรียนอสุภนิมิต คือ ศึกษาความไม่งามในร่างกาย โดยพิจารณาให้เห็นความเป็นของน่าเกลียดในร่างกายของตนเองและคนอื่นว่า กายนี้ ตั้งแต่พื้นเท้าจนจดปลายผมเต็มไปด้วยของไม่สะอาด ปฏิกูล ไม่งามทั้งสิ้น
แท้จริงร่างกายของคนเรานั้นเต็มไปด้วยของไม่สะอาดต่างๆ อยู่ภายใน และมีของไม่สะอาดไหลออกจากกายนี้อยู่ตลอดเวลา ซึ่งมีทวารหรือช่องสำหรับถ่ายเทของไม่สะอาดออกจากร่างกายนี้อยู่ 9 ช่องคือ มีขี้ตาไหลออกจากตาทั้ง 2 มีขี้หูไหลออกจากหูทั้ง 2 มีน้ำมูกไหลออกจากกระพุ้งจมูกทั้ง 2 มีขี้ฟัน เลือดและอาเจียนไหลออกจากปาก มีปัสสาวะไหลออกจากทวารเบา มีอุจจาระไหลออกจากทวารหนัก นอกจากทวารทั้ง 9 นี้แล้วยังมีเหงื่อไหลออกจากรูขุมขนซึ่งท่านกล่าวว่ามีถึง 99,000 ขุม
ร่างกายนี้เต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆ และยังเต็มไปด้วยซากศพนานาชนิดที่มนุษย์รับประทานเข้าไป เช่น ศพเป็ด ศพไก่ ศพกุ้ง ศพปลา ศพวัว และศพควายเป็นต้น ซ้ำยังมีเชื้อโรคนานาชนิดอาศัยเกิดแก่เจ็บตายอยู่ในร่างกายนี้ ร่างกายนี้จึงเป็นรังแห่งโรค
ความไม่สะอาดในร่างกาย หากเราพิจารณาอย่างพินิจพิเคราะห์ด้วยปัญญา เราก็จะเห็นได้ชัดเจน เช่น ถ้าเจ้าของร่างกายไม่อาบน้ำเพียงวันเดียวโดยเฉพาะฤดูร้อนจะมีกลิ่น ยิ่งปล่อยไว้นานวันยิ่งเห็นได้ชัดยิ่งขึ้น แม้เจ้าของกายเองก็ไม่ชอบใจ เมื่อพูดกันตามความจริงแล้ว กายนี้มองดูว่าสวยก็เพราะมีผิวหนังปิดไว้และเครื่องอาภรณ์ปกปิดไว้ต่างหาก ถ้าไม่มีเครื่องอาภรณ์หรือผิวหนังปกปิดไว้ก็จะสกปรกอย่างยิ่ง ไม่มีการแตกต่างกันอะไรระหว่างร่างกายของพระราชาและคนจัณฑาล คือมีความสกปรกปฏิกูลน่าเกลียดเหมือนกันหมด ถ้าพิจารณาเห็นร่างกายว่าเป็นของไม่งามอย่างนี้จัดเป็นอสุภนิมิตก็จะทำให้กามฉันทะสงบลงได้
2.การประกอบเนืองๆ ในอสุภภาวนา คือ หมั่นเจริญอสุภะบ่อยๆ นึกถึงความน่าเกลียด และความสกปรกในร่างกายบ่อยๆ เพื่อให้เกิดความเบื่อหน่าย และไม่เกิดความยินดีในเรื่องเพศเรื่องกาม อันจะเป็นเครื่องขัดขวางใจไม่ให้สงบนิ่ง
3.อินทรีย์สังวร คือ การสำรวมระวังตนโดยอาศัยสติเป็นตัวกำกับ โดยอินทรีย์ในที่นี้หมายถึง ช่องทางที่ติดต่ออยู่กับภายนอก ซึ่งในตัวของคนเรานี้มีช่องทางติดต่อกับภายนอกอยู่ 6 ทาง คือ
1.ตา
2.หู
3.จมูก
4.ลิ้น
5.กาย
6.ใจ
ร่างกายก็เหมือนบ้านที่มีประตูหน้าต่างอยู่ 6 ช่องทาง สิ่งต่างๆ ภายนอกที่เราจะรับรู้ รับทราบก็มาจาก 6 ทางนี้ จะเป็นสิ่งที่ดีทำให้ใจของเราสงบผ่องใสก็มาจาก 6 ทางนี้ จะเป็นสิ่งที่ทำให้ใจของเราฟุ้งซ่าน ขุ่นมัว ก็มาจาก 6 ทางนี้เหมือนกัน ช่องทางทั้ง 6 นี้ นับว่ามีความสำคัญมาก เราจึงควรมารู้จักถึงธรรมชาติของช่องทางทั้ง 6 นี้
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเปรียบช่องทางทั้ง 68) ไว้ดังนี้
1.ตาคนเรานี้เหมือนงู คือชอบที่ลับๆ อะไรที่เขาปกปิดเอาไว้ ชอบดู ยิ่งปกปิดยิ่งอยากดู แต่อะไรที่เปิดเผยออกแล้วไม่ลับแล้ว ความอยากดูกลับลดลง
2.หูคนเรานี้เหมือนจระเข้ คือชอบที่เย็นๆ อยากฟังคำพูดเย็นๆ ที่เขาชมตัว หรือคำพูดเพราะๆ ที่เขาพูดกับเรา
3.จมูกคนเรานี้เหมือนนกในกรง คือชอบดิ้นรน พอได้กลิ่นอะไรหน่อย ก็ตามดมทีเดียว ว่ามาจากไหน
4.ลิ้นคนเรานี้เหมือนสุนัขบ้า คือบ้าน้ำลาย ว่างๆ ไม่รู้จะทำอะไร ขอให้ได้นินทาชาวบ้านละก็ชอบ
5.กายคนเรานี้เหมือนสุนัขจิ้งจอก คือชอบที่อุ่นๆ ที่นุ่มๆ ชอบซุก เดี๋ยวจะไปซุกตักคนโน้น เดี๋ยวจะไปซุกตักคนนี้ ชอบอิงคนโน้น ชอบจับคนนี้
6.ใจคนเรานี้เหมือนลิง คือชอบซน คิดโน่น คิดนี่ ประเดี๋ยวก็ฟุ้งซ่านถึงเรื่องในอดีต ประเดี๋ยวก็สร้างวิมานในอากาศถึงเรื่องในอนาคต ไม่ยอมอยู่นิ่ง ไม่ยอมสงบ
อินทรีย์สังวร ก็คือ สำรวมระวังช่องทางทั้ง 6 เพราะเรารู้ถึงธรรมชาติของช่องทางนี้แล้วก็ต้องคอยระวังใช้สติเข้าช่วยกำกับ อะไรที่ไม่ควรดูก็อย่าไปดู อะไรที่ไม่ควรฟังก็อย่าไปฟัง อะไรที่ไม่ควรดมก็อย่าไปดมอะไรที่ไม่ควรลิ้มชิมรสก็อย่าไปชิม อะไรที่ไม่ควรสัมผัสก็อย่าไปสัมผัส อะไรที่ไม่ควรคิดก็อย่าไปคิด หรือถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรดูเข้าแล้ว ก็ให้จบแค่เห็น ไม่คิดปรุงแต่งต่อว่าสวยจริงนะหล่อจริงนะ ต้องไม่นึกถึงโดยนิมิต หมายถึงเห็นว่าสวยไปทั้งตัว เช่น คนนี้สวยจริงๆ ต้องไม่นึกถึงโดย อนุพยัญชนะ หมายถึง เห็นว่าส่วนใดส่วนหนึ่งสวย เช่น ตาสวย ปากสวย หรือแขนสวย ขาสวย เป็นต้น
อินทรีย์สังวรนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เราสู้กับกิเลสชนะหรือแพ้ก็อยู่ตรงนี้ ถ้าเรามีอินทรีย์สังวรดีแล้ว โอกาสที่กิเลสจะรุกรานเราก็ยาก คุณธรรมต่างๆ ที่เราตั้งใจรักษาไว้ก็จะสามารถทำได้ อย่างที่ตั้งใจ เหมือนบ้าน ถ้าเราใส่กุญแจ ดูแลประตูหน้าต่างอย่างดีแล้ว ถึงแม้ตามลิ้นชักตามตู้จะไม่ได้ใส่กุญแจก็ย่อมปลอดภัย โจรมาเอาไปไม่ได้ แต่ถ้าเราขาดการสำรวมอินทรีย์ไปดูในสิ่งที่ไม่ควรดู จับต้องสัมผัสในสิ่งที่ไม่ควรสัมผัส คิดในสิ่งที่ไม่ควรคิด ฯลฯ แม้เราจะมีความตั้งใจรักษาคุณธรรมต่างๆ ดีเพียงไร ก็มีโอกาสพลาดได้มาก เหมือนบ้านที่ไม่ได้ปิดประตูหน้าต่าง แม้จะใส่กุญแจตู้ลิ้นชักดีเพียงไร ก็ย่อมไม่ปลอดภัย โจรสามารถมาลักไปได้ง่าย
ผู้มีอินทรีย์สังวรดี สมาธิย่อมเกิดได้ง่าย สมาธิจะตั้งมั่น ปัญญาก็เกิดขึ้น เป็นความสว่างภายในเห็นถึงสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง เห็นถึงตัวกิเลสที่ซุกซ่อนอยู่ภายในและสามารถกำจัดไปให้หมดสิ้นได้
4.รู้ประมาณในโภชนะ อาหารที่กินเข้าไปก็มุ่งหวังเพื่อนำมาหล่อเลี้ยงอัตภาพร่างกายให้ได้ดำรงคงอยู่เป็นปกติ แต่การไม่รู้จักประมาณในการบริโภค เช่น บริโภคมากเกินไป นอกจากจะทำให้เกิดโทษ มีอาการอึดอัด ไม่สบายกาย หรือทำให้เจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ แล้ว ยังเป็นเสบียงกาม ทำให้กามกำเริบได้ ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงแนะนำให้อุบาสก-อุบาสิกาผู้จะปฏิบัติธรรม ให้รักษาอุโบสถศีล หรือ ศีล 8 ซึ่งมีข้อหนึ่งที่ว่าด้วยการงดเว้นการบริโภคอาหารในเวลาวิกาล หลังเที่ยงวันไป เพราะอาหารในเวลานั้น จะเป็นอาหารที่ไม่ได้ถูกนำไปใช้งาน เนื่องจากช่วงค่ำ มักเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายได้พักผ่อน อาหารนี้จึงถูกแปรเปลี่ยนให้เป็นพลังงานไปสะสมเก็บไว้ ซึ่งพลังงานเหล่านี้ถ้าเราไม่ได้นำแปรเปลี่ยนเป็นกิจกรรม หรือการสร้างความดีต่างๆ ก็ย่อมจะเปลี่ยนเป็นพลังกามตามกระแสกิเลสที่อยู่ในใจของมนุษย์ ดังนั้น ท่านจึงแนะนำให้รู้จักการประมาณในการบริโภค ให้บริโภคแต่พอดี ไม่มากเกินไป หรือน้อยเกินไป
5.ความเป็นผู้มีกัลยาณมิตร คือ การเข้าหากัลยาณมิตร ที่ไม่ชอบพูดเรื่องเพศ เรื่องกาม เรื่องรักๆ ใคร่ๆ หรือคุยเรื่องฟุ้งเฟ้อ เรื่องแต่งตัวสวยๆ งามๆ อันเป็นเหตุให้เราพลอยคิด พูด ทำ ไปเช่นเดียวกัน รวมทั้งหลีกห่างไกลจากแหล่งอบายมุข ผับ บาร์ อาบ อบ นวด สถานเริงรมย์ต่างๆ อันเป็นแหล่งมั่วสุมของสิ่งยัวยุกามให้เกิดขึ้น
6.การกล่าวถ้อยคำที่เป็นสัปปายะ คือ พูดคุยกันในเรื่องความไม่งามของร่างกาย ที่จะทำให้เห็นทุกข์โทษภัยของความทะยานอยากในกาม รวมถึงพิจารณาให้เห็นโทษภัยของกาม และควรพูดคุยกันในเรื่องที่จะทำให้มักน้อย สันโดษ ไม่ฟุ้งเฟ้อกับสิ่งต่างๆ ภายนอกตัว อันทำให้ใจครุ่นคิด ปรารถนา และคอยแสวงหา ซึ่งเมื่อคุยเช่นนั้นใจก็จะสงบนิ่ง มีความพึงพอใจ สุขใจในสิ่งที่ตนเองมี
2.3.2 ตามหลักปฏิบัติ
นอกเหนือจากวิธีการแก้ไขตามคัมภีร์แล้ว เรายังสามารถใช้วิธีการต่อไปนี้ช่วย เพื่อให้คลายกามฉันทะลงไปได้ คือ
1.ใช้การพิจารณาถึงความจริงที่ว่ากามคุณทั้งหลายนั้นมีสุขน้อยมีทุกข์มาก คือ ให้ความสุขในช่วงที่ได้มาใหม่ๆ ซึ่งเป็นเสมือนเหยื่อล่อให้ติด ครั้นเมื่อติดในสิ่งนั้นๆ แล้ว ความทุกข์ทั้งหลายก็จะตามมา ถ้ายิ่งถูกใจมากเท่าใด ก็จะยิ่งนำความทุกข์มาให้มากขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นทุกข์จากการแสวงหา เพื่อให้ได้มากยิ่งขึ้น ทุกข์จากการพยายามรักษาสิ่งนั้นเอาไว้ ทุกข์จากความหวงแหน ความกลัวว่าจะต้องสูญเสียสิ่งนั้นไป และเมื่อต้องสูญเสียสิ่งนั้นไป ก็จะยิ่งเป็นทุกข์ยิ่งขึ้นไปอีก เพราะเราทั้งหลายล้วนจะต้องพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รักที่พอใจ ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
แม้ว่ากามจะก่อให้เกิดความสุข ความพอใจ ต่อเมื่อเราได้รับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่เราปรารถนาและพอใจ แต่เมื่อว่าโดยโทษของกามนั้นมีมากมายหลายประการ ในพระไตรปิฎกก็ได้กล่าวถึงโทษของกามไว้ใน มหาทุกขักขันธสูตร9)ว่า
1.เมื่อบุคคลทำงานเลี้ยงชีพด้วยความขยัน ด้วยศิลปะต่างๆ ผู้ทำงานต้องได้รับทุกข์นานาชนิด เช่น ทุกข์จากการตรากตรำทำงาน ทุกข์จากความหนาว ความร้อน ลม แดด จากถูกสัตว์ เช่น เหลือบ ยุง ขบกัด จากความหิว กระหาย
2.เมื่อผู้นั้นขยัน พากเพียรทำงาน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ก็เป็นทุกข์ ผู้ทำงานจนได้รับผลก็เป็นทุกข์ในการรักษาผลงานนั้นมิให้ถูกภัยต่างๆ เช่น โจรภัย ราชภัย อุทกภัย ภัยจากลูกหลานที่คอยล้างผลาญ เขาย่อมประสบความทุกข์ เศร้าโศก คร่ำครวญ เห็นว่า สิ่งใดที่เคยเป็นของเรา สิ่งนั้นก็ไม่ได้เป็นของเรา
3.กามทั้งหลายเป็นเหตุให้เกิดโทษต่างๆ เช่น เป็นเหตุให้เกิดการทะเลาะวิวาทกันในวงการต่างๆ เช่น พระราชาทะเลาะกับพระราชา ผู้นำประเทศทะเลาะกับผู้นำประเทศ เศรษฐีทะเลาะกับเศรษฐี ตลอดจนการทะเลาะวิวาทในครอบครัว พ่อแม่ พี่น้อง ทะเลาะกันและกัน การทะเลาะวิวาทเป็นเหตุให้ต้องประหัตประหารกัน ฆ่าฟันกันด้วยศัตราวุธต่างๆ ซึ่งก่อให้เกิดการบาดเจ็บจนถึงเสียชีวิต และยังเป็นเหตุให้มีการทำทุจริตหลายประการทั้งกายทุจริต วจีทุจริต และมโนทุจริต นี้ก็เป็นเพราะโทษแห่งกาม
นอกจากนี้ในพระไตรปิฎกยังชี้ให้เห็นโทษของกามโดยยกอุปมาขึ้นแสดงให้เห็นโทษอีกว่า มีสุขเพียงเล็กน้อย แต่มีโทษมาก10) คือ
1.เปรียบเหมือนสุนัขที่มีความเพลียเพราะความหิว เข้าไปยืนอยู่ใกล้เขียงของคนฆ่าโคหรือลูกมือของคนฆ่าโค พึงโยนร่างกระดูกที่เชือดชำแหละออกจนหมดเนื้อแล้ว เปื้อนแต่เลือดไปยังสุนัข สุนัขนั้นก็แทะร่างกระดูกที่เชือดชำแหละออกจนหมดเนื้อ เปื้อนแต่เลือด ย่อมไม่สามารถบำบัดความเพลียเพราะความหิวได้ กามทั้งหลายก็เช่นเดียวกันเปรียบเหมือนร่างกระดูก มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก
2.เปรียบเหมือนแร้ง นกตะกรุม หรือเหยี่ยว พาชิ้นเนื้อบินไป แร้งทั้งหลาย นกตะกรุมทั้งหลายหรือเหยี่ยวทั้งหลายจะพึงโผเข้ารุมจิกแย่งชิ้นเนื้อนั้น ถ้าแร้ง นกตะกรุม หรือเหยี่ยวตัวนั้น ไม่รีบปล่อยชิ้นเนื้อนั้นเสีย มันจะถึงตาย หรือถึงทุกข์ปางตายเพราะชิ้นเนื้อนั้นเป็นเหตุ กามทั้งหลายก็เปรียบเหมือนชิ้นเนื้อ มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก
3.เปรียบเหมือนบุรุษถือคบเพลิงหญ้าที่ติดไฟ เดินทวนลมไป ถ้าบุรุษนั้นไม่รีบปล่อยคบเพลิงหญ้านั้นเสีย คบเพลิงหญ้านั้น ก็จะไหม้มือ ไหม้แขน หรืออวัยวะน้อยใหญ่แห่งใดแห่งหนึ่งของบุรุษนั้น บุรุษนั้นจะถึงตายหรือถึงทุกข์ปางตาย เพราะคบเพลิงนั้นเป็นเหตุ กามทั้งหลายก็เปรียบเหมือนคบเพลิงหญ้า มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก
4.เปรียบเหมือนหลุมถ่านเพลิง ลึกกว่าชั่วบุรุษหนึ่ง เต็มด้วยถ่านเพลิงอันปราศจากเปลว ปราศจากควัน บุรุษผู้รักชีวิตไม่อยากตาย รักสุข เกลียดทุกข์ พึงมา บุรุษมีกำลังสองคนช่วยกันจับแขนบุรุษนั้นข้างละคน ฉุดเข้าไปยังหลุมถ่านเพลิง บุรุษนั้นย่อมไม่อยากเข้าไป เพราะรู้ว่าจะตกไปในหลุมถ่านเพลิงตาย หรือเป็นทุกข์ปางตาย กามทั้งหลายก็มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก
5.เปรียบเหมือนบุรุษพึงฝันเห็นสวนอันน่ารื่นรมย์ ป่าอันน่ารื่นรมย์ ภาคพื้นอันน่ารื่นรมย์ สระโบกขรณีอันน่ารื่นรมย์ บุรุษนั้นตื่นขึ้นแล้ว ไม่พึงเห็นอะไร กามทั้งหลายก็เปรียบด้วยความฝัน มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก
6.เปรียบเหมือนบุรุษพึงยืมโภคสมบัติ คือ แก้วมณี และตุ้มหูอย่างดีบรรทุกยานไป เขาแวดล้อมด้วยทรัพย์สมบัติที่ตนยืมมา พึงเดินไปภายในตลาด คนเห็นเขาเข้าแล้ว พึงกล่าวอย่างนี้ว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญ บุรุษผู้นี้มีโภคสมบัติหนอ ได้ยินว่าชนทั้งหลายผู้มีโภคสมบัติ ย่อมใช้สอยโภคสมบัติอย่างนี้ ดังนี้ พวกเจ้าของ พึงพบบุรุษนั้น ณ ที่ใดๆ พึงนำเอาของตนคืนไปในที่นั้นๆ ฉันใด กามทั้งหลายก็เปรียบเหมือนของยืม มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก
7.เปรียบเหมือนราวป่าใหญ่ ในที่ไม่ไกลบ้านหรือนิคม ต้นไม้ในราวป่านั้น พึงมีผลรสอร่อย ทั้งมีผลดก แต่ไม่มีผลหล่นลง ณ ภาคพื้นสักผลเดียว บุรุษผู้ต้องการผลไม้ พึงเที่ยวมาเสาะแสวงหาผลไม้ เขาแวะยังราวป่านั้น เห็นต้นไม้อันมีผลรสอร่อย มีผลดกนั้น เขาพึงคิดอย่างนี้ว่า ต้นไม้นี้มีผลรสอร่อย มีผลดก แต่ไม่มีผลหล่นลง ณ ภาคพื้นสักผลเดียว แต่เรารู้เพื่อขึ้นต้นไม้ ไฉนหนอ เราพึงขึ้นต้นไม้นี้แล้วกินพออิ่ม และห่อพกไปบ้าง เขาขึ้นต้นไม้นั้นแล้ว กินจนอิ่ม และห่อพกไว้ ลำดับนั้น บุรุษคนที่สองต้องการผลไม้ ถือขวาน อันคมเที่ยวมาเสาะแสวงหาผลไม้ เขาแวะยังราวป่านั้นแล้ว เห็นต้นไม้มีผลรสอร่อย มีผลดกนั้น เขาพึงคิดอย่างนี้ว่า ต้นไม้นี้มีผลรสอร่อย มีผลดกแต่ไม่มีผลหล่นลง ณ ภาคพื้นสักผลเดียว และเราก็ไม่รู้เพื่อขึ้นต้นไม้ ไฉนหนอเราพึงตัดต้นไม้นี้แต่โคนต้น แล้วกินพออิ่ม และห่อพกไปบ้าง เขาพึงตัดต้นไม้นั้นแต่โคนต้น บุรุษคนซึ่งขึ้นต้นไม้ก่อนนั้น ถ้าเขาไม่รีบลง ต้นไม้นั้นจะพึงล้มลง หักมือหักเท้า หรือหักอวัยวะน้อยใหญ่แห่งใดแห่งหนึ่งของบุรุษนั้น บุรุษนั้นพึงถึงตายหรือถึงทุกข์ปางตาย เพราะต้นไม้นั้นล้มเป็นเหตุ ฉันใด กามทั้งหลายก็เปรียบด้วยผลไม้ มีทุกข์ มีความคับแค้นมาก
2.พิจารณาถึงความที่สิ่งทั้งหลายมีความแปรปรวนไปตลอดเวลา สิ่งที่ให้ความสุขในวันนี้ ก็อาจจะนำความทุกข์มาให้ได้ในวันข้างหน้า เช่น คนที่ทำดีกับเราในวันนี้ ต่อไปถ้าเขาเบื่อ หรือไม่พอใจอะไรเราขึ้นมา เขาก็อาจจะร้ายกับเราอย่างมากก็ได้
3.พิจารณาถึงคุณของการออกจากกาม หรือประโยชน์ของสมาธิ เช่น เป็นความสุขที่ประณีต ละเอียดอ่อน เบาสบายไม่หนักอึ้งเหมือนกาม คนที่ได้สัมผัสกับความสุขจากสมาธิสักครั้ง ก็จะรู้ได้เองว่าเหนือกว่าความสุขจากกามมากเพียงใด เป็นความสุขที่ไม่ต้องแสวงหาจากภายนอก เพราะเกิดจากความสงบภายใน จึงไม่ต้องมีการแย่งชิง ไม่ต้องยื้อแย่งแข่งขัน ไม่ต้องกลัวถูกลักขโมย เป็นความสุขที่ไม่ต้องมีวัตถุใดๆ มาเป็นเครื่องล่อ จึงไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น
ทั้งหมดนี้เป็นแนวทางในการแก้ไขกามฉันทะให้หมดออกไปจากใจ แม้เพียงชั่วขณะ แต่ถ้าหากเราได้หมั่นพิจารณา หมั่นสอนตัวเองบ่อยๆ อุปสรรคข้อนี้ก็จะไม่คอยมาขัดวางใจของเราได้
1.การเรียนอสุภนิมิต
2.การประกอบเนืองๆ ในอสุภภาวนา
3.ความเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์
4.ความเป็นผู้รู้ประมาณในโภชนะ
5.ความเป็นผู้มีกัลยาณมิตร
6.การกล่าวถ้อยคำแต่ที่เป็นสัปปายะ
1.การเรียนอสุภนิมิต คือ ศึกษาความไม่งามในร่างกาย โดยพิจารณาให้เห็นความเป็นของน่าเกลียดในร่างกายของตนเองและคนอื่นว่า กายนี้ ตั้งแต่พื้นเท้าจนจดปลายผมเต็มไปด้วยของไม่สะอาด ปฏิกูล ไม่งามทั้งสิ้น
แท้จริงร่างกายของคนเรานั้นเต็มไปด้วยของไม่สะอาดต่างๆ อยู่ภายใน และมีของไม่สะอาดไหลออกจากกายนี้อยู่ตลอดเวลา ซึ่งมีทวารหรือช่องสำหรับถ่ายเทของไม่สะอาดออกจากร่างกายนี้อยู่ 9 ช่องคือ มีขี้ตาไหลออกจากตาทั้ง 2 มีขี้หูไหลออกจากหูทั้ง 2 มีน้ำมูกไหลออกจากกระพุ้งจมูกทั้ง 2 มีขี้ฟัน เลือดและอาเจียนไหลออกจากปาก มีปัสสาวะไหลออกจากทวารเบา มีอุจจาระไหลออกจากทวารหนัก นอกจากทวารทั้ง 9 นี้แล้วยังมีเหงื่อไหลออกจากรูขุมขนซึ่งท่านกล่าวว่ามีถึง 99,000 ขุม
ร่างกายนี้เต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆ และยังเต็มไปด้วยซากศพนานาชนิดที่มนุษย์รับประทานเข้าไป เช่น ศพเป็ด ศพไก่ ศพกุ้ง ศพปลา ศพวัว และศพควายเป็นต้น ซ้ำยังมีเชื้อโรคนานาชนิดอาศัยเกิดแก่เจ็บตายอยู่ในร่างกายนี้ ร่างกายนี้จึงเป็นรังแห่งโรค
ความไม่สะอาดในร่างกาย หากเราพิจารณาอย่างพินิจพิเคราะห์ด้วยปัญญา เราก็จะเห็นได้ชัดเจน เช่น ถ้าเจ้าของร่างกายไม่อาบน้ำเพียงวันเดียวโดยเฉพาะฤดูร้อนจะมีกลิ่น ยิ่งปล่อยไว้นานวันยิ่งเห็นได้ชัดยิ่งขึ้น แม้เจ้าของกายเองก็ไม่ชอบใจ เมื่อพูดกันตามความจริงแล้ว กายนี้มองดูว่าสวยก็เพราะมีผิวหนังปิดไว้และเครื่องอาภรณ์ปกปิดไว้ต่างหาก ถ้าไม่มีเครื่องอาภรณ์หรือผิวหนังปกปิดไว้ก็จะสกปรกอย่างยิ่ง ไม่มีการแตกต่างกันอะไรระหว่างร่างกายของพระราชาและคนจัณฑาล คือมีความสกปรกปฏิกูลน่าเกลียดเหมือนกันหมด ถ้าพิจารณาเห็นร่างกายว่าเป็นของไม่งามอย่างนี้จัดเป็นอสุภนิมิตก็จะทำให้กามฉันทะสงบลงได้
2.การประกอบเนืองๆ ในอสุภภาวนา คือ หมั่นเจริญอสุภะบ่อยๆ นึกถึงความน่าเกลียด และความสกปรกในร่างกายบ่อยๆ เพื่อให้เกิดความเบื่อหน่าย และไม่เกิดความยินดีในเรื่องเพศเรื่องกาม อันจะเป็นเครื่องขัดขวางใจไม่ให้สงบนิ่ง
3.อินทรีย์สังวร คือ การสำรวมระวังตนโดยอาศัยสติเป็นตัวกำกับ โดยอินทรีย์ในที่นี้หมายถึง ช่องทางที่ติดต่ออยู่กับภายนอก ซึ่งในตัวของคนเรานี้มีช่องทางติดต่อกับภายนอกอยู่ 6 ทาง คือ
1.ตา
2.หู
3.จมูก
4.ลิ้น
5.กาย
6.ใจ
ร่างกายก็เหมือนบ้านที่มีประตูหน้าต่างอยู่ 6 ช่องทาง สิ่งต่างๆ ภายนอกที่เราจะรับรู้ รับทราบก็มาจาก 6 ทางนี้ จะเป็นสิ่งที่ดีทำให้ใจของเราสงบผ่องใสก็มาจาก 6 ทางนี้ จะเป็นสิ่งที่ทำให้ใจของเราฟุ้งซ่าน ขุ่นมัว ก็มาจาก 6 ทางนี้เหมือนกัน ช่องทางทั้ง 6 นี้ นับว่ามีความสำคัญมาก เราจึงควรมารู้จักถึงธรรมชาติของช่องทางทั้ง 6 นี้
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเปรียบช่องทางทั้ง 68) ไว้ดังนี้
1.ตาคนเรานี้เหมือนงู คือชอบที่ลับๆ อะไรที่เขาปกปิดเอาไว้ ชอบดู ยิ่งปกปิดยิ่งอยากดู แต่อะไรที่เปิดเผยออกแล้วไม่ลับแล้ว ความอยากดูกลับลดลง
2.หูคนเรานี้เหมือนจระเข้ คือชอบที่เย็นๆ อยากฟังคำพูดเย็นๆ ที่เขาชมตัว หรือคำพูดเพราะๆ ที่เขาพูดกับเรา
3.จมูกคนเรานี้เหมือนนกในกรง คือชอบดิ้นรน พอได้กลิ่นอะไรหน่อย ก็ตามดมทีเดียว ว่ามาจากไหน
4.ลิ้นคนเรานี้เหมือนสุนัขบ้า คือบ้าน้ำลาย ว่างๆ ไม่รู้จะทำอะไร ขอให้ได้นินทาชาวบ้านละก็ชอบ
5.กายคนเรานี้เหมือนสุนัขจิ้งจอก คือชอบที่อุ่นๆ ที่นุ่มๆ ชอบซุก เดี๋ยวจะไปซุกตักคนโน้น เดี๋ยวจะไปซุกตักคนนี้ ชอบอิงคนโน้น ชอบจับคนนี้
6.ใจคนเรานี้เหมือนลิง คือชอบซน คิดโน่น คิดนี่ ประเดี๋ยวก็ฟุ้งซ่านถึงเรื่องในอดีต ประเดี๋ยวก็สร้างวิมานในอากาศถึงเรื่องในอนาคต ไม่ยอมอยู่นิ่ง ไม่ยอมสงบ
อินทรีย์สังวร ก็คือ สำรวมระวังช่องทางทั้ง 6 เพราะเรารู้ถึงธรรมชาติของช่องทางนี้แล้วก็ต้องคอยระวังใช้สติเข้าช่วยกำกับ อะไรที่ไม่ควรดูก็อย่าไปดู อะไรที่ไม่ควรฟังก็อย่าไปฟัง อะไรที่ไม่ควรดมก็อย่าไปดมอะไรที่ไม่ควรลิ้มชิมรสก็อย่าไปชิม อะไรที่ไม่ควรสัมผัสก็อย่าไปสัมผัส อะไรที่ไม่ควรคิดก็อย่าไปคิด หรือถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรดูเข้าแล้ว ก็ให้จบแค่เห็น ไม่คิดปรุงแต่งต่อว่าสวยจริงนะหล่อจริงนะ ต้องไม่นึกถึงโดยนิมิต หมายถึงเห็นว่าสวยไปทั้งตัว เช่น คนนี้สวยจริงๆ ต้องไม่นึกถึงโดย อนุพยัญชนะ หมายถึง เห็นว่าส่วนใดส่วนหนึ่งสวย เช่น ตาสวย ปากสวย หรือแขนสวย ขาสวย เป็นต้น
อินทรีย์สังวรนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เราสู้กับกิเลสชนะหรือแพ้ก็อยู่ตรงนี้ ถ้าเรามีอินทรีย์สังวรดีแล้ว โอกาสที่กิเลสจะรุกรานเราก็ยาก คุณธรรมต่างๆ ที่เราตั้งใจรักษาไว้ก็จะสามารถทำได้ อย่างที่ตั้งใจ เหมือนบ้าน ถ้าเราใส่กุญแจ ดูแลประตูหน้าต่างอย่างดีแล้ว ถึงแม้ตามลิ้นชักตามตู้จะไม่ได้ใส่กุญแจก็ย่อมปลอดภัย โจรมาเอาไปไม่ได้ แต่ถ้าเราขาดการสำรวมอินทรีย์ไปดูในสิ่งที่ไม่ควรดู จับต้องสัมผัสในสิ่งที่ไม่ควรสัมผัส คิดในสิ่งที่ไม่ควรคิด ฯลฯ แม้เราจะมีความตั้งใจรักษาคุณธรรมต่างๆ ดีเพียงไร ก็มีโอกาสพลาดได้มาก เหมือนบ้านที่ไม่ได้ปิดประตูหน้าต่าง แม้จะใส่กุญแจตู้ลิ้นชักดีเพียงไร ก็ย่อมไม่ปลอดภัย โจรสามารถมาลักไปได้ง่าย
ผู้มีอินทรีย์สังวรดี สมาธิย่อมเกิดได้ง่าย สมาธิจะตั้งมั่น ปัญญาก็เกิดขึ้น เป็นความสว่างภายในเห็นถึงสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง เห็นถึงตัวกิเลสที่ซุกซ่อนอยู่ภายในและสามารถกำจัดไปให้หมดสิ้นได้
4.รู้ประมาณในโภชนะ อาหารที่กินเข้าไปก็มุ่งหวังเพื่อนำมาหล่อเลี้ยงอัตภาพร่างกายให้ได้ดำรงคงอยู่เป็นปกติ แต่การไม่รู้จักประมาณในการบริโภค เช่น บริโภคมากเกินไป นอกจากจะทำให้เกิดโทษ มีอาการอึดอัด ไม่สบายกาย หรือทำให้เจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ แล้ว ยังเป็นเสบียงกาม ทำให้กามกำเริบได้ ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงแนะนำให้อุบาสก-อุบาสิกาผู้จะปฏิบัติธรรม ให้รักษาอุโบสถศีล หรือ ศีล 8 ซึ่งมีข้อหนึ่งที่ว่าด้วยการงดเว้นการบริโภคอาหารในเวลาวิกาล หลังเที่ยงวันไป เพราะอาหารในเวลานั้น จะเป็นอาหารที่ไม่ได้ถูกนำไปใช้งาน เนื่องจากช่วงค่ำ มักเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายได้พักผ่อน อาหารนี้จึงถูกแปรเปลี่ยนให้เป็นพลังงานไปสะสมเก็บไว้ ซึ่งพลังงานเหล่านี้ถ้าเราไม่ได้นำแปรเปลี่ยนเป็นกิจกรรม หรือการสร้างความดีต่างๆ ก็ย่อมจะเปลี่ยนเป็นพลังกามตามกระแสกิเลสที่อยู่ในใจของมนุษย์ ดังนั้น ท่านจึงแนะนำให้รู้จักการประมาณในการบริโภค ให้บริโภคแต่พอดี ไม่มากเกินไป หรือน้อยเกินไป
5.ความเป็นผู้มีกัลยาณมิตร คือ การเข้าหากัลยาณมิตร ที่ไม่ชอบพูดเรื่องเพศ เรื่องกาม เรื่องรักๆ ใคร่ๆ หรือคุยเรื่องฟุ้งเฟ้อ เรื่องแต่งตัวสวยๆ งามๆ อันเป็นเหตุให้เราพลอยคิด พูด ทำ ไปเช่นเดียวกัน รวมทั้งหลีกห่างไกลจากแหล่งอบายมุข ผับ บาร์ อาบ อบ นวด สถานเริงรมย์ต่างๆ อันเป็นแหล่งมั่วสุมของสิ่งยัวยุกามให้เกิดขึ้น
6.การกล่าวถ้อยคำที่เป็นสัปปายะ คือ พูดคุยกันในเรื่องความไม่งามของร่างกาย ที่จะทำให้เห็นทุกข์โทษภัยของความทะยานอยากในกาม รวมถึงพิจารณาให้เห็นโทษภัยของกาม และควรพูดคุยกันในเรื่องที่จะทำให้มักน้อย สันโดษ ไม่ฟุ้งเฟ้อกับสิ่งต่างๆ ภายนอกตัว อันทำให้ใจครุ่นคิด ปรารถนา และคอยแสวงหา ซึ่งเมื่อคุยเช่นนั้นใจก็จะสงบนิ่ง มีความพึงพอใจ สุขใจในสิ่งที่ตนเองมี
2.3.2 ตามหลักปฏิบัติ
นอกเหนือจากวิธีการแก้ไขตามคัมภีร์แล้ว เรายังสามารถใช้วิธีการต่อไปนี้ช่วย เพื่อให้คลายกามฉันทะลงไปได้ คือ
1.ใช้การพิจารณาถึงความจริงที่ว่ากามคุณทั้งหลายนั้นมีสุขน้อยมีทุกข์มาก คือ ให้ความสุขในช่วงที่ได้มาใหม่ๆ ซึ่งเป็นเสมือนเหยื่อล่อให้ติด ครั้นเมื่อติดในสิ่งนั้นๆ แล้ว ความทุกข์ทั้งหลายก็จะตามมา ถ้ายิ่งถูกใจมากเท่าใด ก็จะยิ่งนำความทุกข์มาให้มากขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นทุกข์จากการแสวงหา เพื่อให้ได้มากยิ่งขึ้น ทุกข์จากการพยายามรักษาสิ่งนั้นเอาไว้ ทุกข์จากความหวงแหน ความกลัวว่าจะต้องสูญเสียสิ่งนั้นไป และเมื่อต้องสูญเสียสิ่งนั้นไป ก็จะยิ่งเป็นทุกข์ยิ่งขึ้นไปอีก เพราะเราทั้งหลายล้วนจะต้องพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รักที่พอใจ ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
แม้ว่ากามจะก่อให้เกิดความสุข ความพอใจ ต่อเมื่อเราได้รับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่เราปรารถนาและพอใจ แต่เมื่อว่าโดยโทษของกามนั้นมีมากมายหลายประการ ในพระไตรปิฎกก็ได้กล่าวถึงโทษของกามไว้ใน มหาทุกขักขันธสูตร9)ว่า
1.เมื่อบุคคลทำงานเลี้ยงชีพด้วยความขยัน ด้วยศิลปะต่างๆ ผู้ทำงานต้องได้รับทุกข์นานาชนิด เช่น ทุกข์จากการตรากตรำทำงาน ทุกข์จากความหนาว ความร้อน ลม แดด จากถูกสัตว์ เช่น เหลือบ ยุง ขบกัด จากความหิว กระหาย
2.เมื่อผู้นั้นขยัน พากเพียรทำงาน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ก็เป็นทุกข์ ผู้ทำงานจนได้รับผลก็เป็นทุกข์ในการรักษาผลงานนั้นมิให้ถูกภัยต่างๆ เช่น โจรภัย ราชภัย อุทกภัย ภัยจากลูกหลานที่คอยล้างผลาญ เขาย่อมประสบความทุกข์ เศร้าโศก คร่ำครวญ เห็นว่า สิ่งใดที่เคยเป็นของเรา สิ่งนั้นก็ไม่ได้เป็นของเรา
3.กามทั้งหลายเป็นเหตุให้เกิดโทษต่างๆ เช่น เป็นเหตุให้เกิดการทะเลาะวิวาทกันในวงการต่างๆ เช่น พระราชาทะเลาะกับพระราชา ผู้นำประเทศทะเลาะกับผู้นำประเทศ เศรษฐีทะเลาะกับเศรษฐี ตลอดจนการทะเลาะวิวาทในครอบครัว พ่อแม่ พี่น้อง ทะเลาะกันและกัน การทะเลาะวิวาทเป็นเหตุให้ต้องประหัตประหารกัน ฆ่าฟันกันด้วยศัตราวุธต่างๆ ซึ่งก่อให้เกิดการบาดเจ็บจนถึงเสียชีวิต และยังเป็นเหตุให้มีการทำทุจริตหลายประการทั้งกายทุจริต วจีทุจริต และมโนทุจริต นี้ก็เป็นเพราะโทษแห่งกาม
นอกจากนี้ในพระไตรปิฎกยังชี้ให้เห็นโทษของกามโดยยกอุปมาขึ้นแสดงให้เห็นโทษอีกว่า มีสุขเพียงเล็กน้อย แต่มีโทษมาก10) คือ
1.เปรียบเหมือนสุนัขที่มีความเพลียเพราะความหิว เข้าไปยืนอยู่ใกล้เขียงของคนฆ่าโคหรือลูกมือของคนฆ่าโค พึงโยนร่างกระดูกที่เชือดชำแหละออกจนหมดเนื้อแล้ว เปื้อนแต่เลือดไปยังสุนัข สุนัขนั้นก็แทะร่างกระดูกที่เชือดชำแหละออกจนหมดเนื้อ เปื้อนแต่เลือด ย่อมไม่สามารถบำบัดความเพลียเพราะความหิวได้ กามทั้งหลายก็เช่นเดียวกันเปรียบเหมือนร่างกระดูก มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก
2.เปรียบเหมือนแร้ง นกตะกรุม หรือเหยี่ยว พาชิ้นเนื้อบินไป แร้งทั้งหลาย นกตะกรุมทั้งหลายหรือเหยี่ยวทั้งหลายจะพึงโผเข้ารุมจิกแย่งชิ้นเนื้อนั้น ถ้าแร้ง นกตะกรุม หรือเหยี่ยวตัวนั้น ไม่รีบปล่อยชิ้นเนื้อนั้นเสีย มันจะถึงตาย หรือถึงทุกข์ปางตายเพราะชิ้นเนื้อนั้นเป็นเหตุ กามทั้งหลายก็เปรียบเหมือนชิ้นเนื้อ มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก
3.เปรียบเหมือนบุรุษถือคบเพลิงหญ้าที่ติดไฟ เดินทวนลมไป ถ้าบุรุษนั้นไม่รีบปล่อยคบเพลิงหญ้านั้นเสีย คบเพลิงหญ้านั้น ก็จะไหม้มือ ไหม้แขน หรืออวัยวะน้อยใหญ่แห่งใดแห่งหนึ่งของบุรุษนั้น บุรุษนั้นจะถึงตายหรือถึงทุกข์ปางตาย เพราะคบเพลิงนั้นเป็นเหตุ กามทั้งหลายก็เปรียบเหมือนคบเพลิงหญ้า มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก
4.เปรียบเหมือนหลุมถ่านเพลิง ลึกกว่าชั่วบุรุษหนึ่ง เต็มด้วยถ่านเพลิงอันปราศจากเปลว ปราศจากควัน บุรุษผู้รักชีวิตไม่อยากตาย รักสุข เกลียดทุกข์ พึงมา บุรุษมีกำลังสองคนช่วยกันจับแขนบุรุษนั้นข้างละคน ฉุดเข้าไปยังหลุมถ่านเพลิง บุรุษนั้นย่อมไม่อยากเข้าไป เพราะรู้ว่าจะตกไปในหลุมถ่านเพลิงตาย หรือเป็นทุกข์ปางตาย กามทั้งหลายก็มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก
5.เปรียบเหมือนบุรุษพึงฝันเห็นสวนอันน่ารื่นรมย์ ป่าอันน่ารื่นรมย์ ภาคพื้นอันน่ารื่นรมย์ สระโบกขรณีอันน่ารื่นรมย์ บุรุษนั้นตื่นขึ้นแล้ว ไม่พึงเห็นอะไร กามทั้งหลายก็เปรียบด้วยความฝัน มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก
6.เปรียบเหมือนบุรุษพึงยืมโภคสมบัติ คือ แก้วมณี และตุ้มหูอย่างดีบรรทุกยานไป เขาแวดล้อมด้วยทรัพย์สมบัติที่ตนยืมมา พึงเดินไปภายในตลาด คนเห็นเขาเข้าแล้ว พึงกล่าวอย่างนี้ว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญ บุรุษผู้นี้มีโภคสมบัติหนอ ได้ยินว่าชนทั้งหลายผู้มีโภคสมบัติ ย่อมใช้สอยโภคสมบัติอย่างนี้ ดังนี้ พวกเจ้าของ พึงพบบุรุษนั้น ณ ที่ใดๆ พึงนำเอาของตนคืนไปในที่นั้นๆ ฉันใด กามทั้งหลายก็เปรียบเหมือนของยืม มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก
7.เปรียบเหมือนราวป่าใหญ่ ในที่ไม่ไกลบ้านหรือนิคม ต้นไม้ในราวป่านั้น พึงมีผลรสอร่อย ทั้งมีผลดก แต่ไม่มีผลหล่นลง ณ ภาคพื้นสักผลเดียว บุรุษผู้ต้องการผลไม้ พึงเที่ยวมาเสาะแสวงหาผลไม้ เขาแวะยังราวป่านั้น เห็นต้นไม้อันมีผลรสอร่อย มีผลดกนั้น เขาพึงคิดอย่างนี้ว่า ต้นไม้นี้มีผลรสอร่อย มีผลดก แต่ไม่มีผลหล่นลง ณ ภาคพื้นสักผลเดียว แต่เรารู้เพื่อขึ้นต้นไม้ ไฉนหนอ เราพึงขึ้นต้นไม้นี้แล้วกินพออิ่ม และห่อพกไปบ้าง เขาขึ้นต้นไม้นั้นแล้ว กินจนอิ่ม และห่อพกไว้ ลำดับนั้น บุรุษคนที่สองต้องการผลไม้ ถือขวาน อันคมเที่ยวมาเสาะแสวงหาผลไม้ เขาแวะยังราวป่านั้นแล้ว เห็นต้นไม้มีผลรสอร่อย มีผลดกนั้น เขาพึงคิดอย่างนี้ว่า ต้นไม้นี้มีผลรสอร่อย มีผลดกแต่ไม่มีผลหล่นลง ณ ภาคพื้นสักผลเดียว และเราก็ไม่รู้เพื่อขึ้นต้นไม้ ไฉนหนอเราพึงตัดต้นไม้นี้แต่โคนต้น แล้วกินพออิ่ม และห่อพกไปบ้าง เขาพึงตัดต้นไม้นั้นแต่โคนต้น บุรุษคนซึ่งขึ้นต้นไม้ก่อนนั้น ถ้าเขาไม่รีบลง ต้นไม้นั้นจะพึงล้มลง หักมือหักเท้า หรือหักอวัยวะน้อยใหญ่แห่งใดแห่งหนึ่งของบุรุษนั้น บุรุษนั้นพึงถึงตายหรือถึงทุกข์ปางตาย เพราะต้นไม้นั้นล้มเป็นเหตุ ฉันใด กามทั้งหลายก็เปรียบด้วยผลไม้ มีทุกข์ มีความคับแค้นมาก
2.พิจารณาถึงความที่สิ่งทั้งหลายมีความแปรปรวนไปตลอดเวลา สิ่งที่ให้ความสุขในวันนี้ ก็อาจจะนำความทุกข์มาให้ได้ในวันข้างหน้า เช่น คนที่ทำดีกับเราในวันนี้ ต่อไปถ้าเขาเบื่อ หรือไม่พอใจอะไรเราขึ้นมา เขาก็อาจจะร้ายกับเราอย่างมากก็ได้
3.พิจารณาถึงคุณของการออกจากกาม หรือประโยชน์ของสมาธิ เช่น เป็นความสุขที่ประณีต ละเอียดอ่อน เบาสบายไม่หนักอึ้งเหมือนกาม คนที่ได้สัมผัสกับความสุขจากสมาธิสักครั้ง ก็จะรู้ได้เองว่าเหนือกว่าความสุขจากกามมากเพียงใด เป็นความสุขที่ไม่ต้องแสวงหาจากภายนอก เพราะเกิดจากความสงบภายใน จึงไม่ต้องมีการแย่งชิง ไม่ต้องยื้อแย่งแข่งขัน ไม่ต้องกลัวถูกลักขโมย เป็นความสุขที่ไม่ต้องมีวัตถุใดๆ มาเป็นเครื่องล่อ จึงไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น
ทั้งหมดนี้เป็นแนวทางในการแก้ไขกามฉันทะให้หมดออกไปจากใจ แม้เพียงชั่วขณะ แต่ถ้าหากเราได้หมั่นพิจารณา หมั่นสอนตัวเองบ่อยๆ อุปสรรคข้อนี้ก็จะไม่คอยมาขัดวางใจของเราได้
การดูแลคนใกล้ชิด .....และคนชิดใกล้
การดูแลคนใกล้ชิด .....และคนชิดใกล้
บ่อยครั้ง เวลาเราอยู่นอกบ้าน
ไปทำงาน ไปงานต่างๆนอกบ้าน
เวลาเดินชนกัน เดินเบียดกัน กับคนแปลกหน้า
หรือจะทำอะไรสักอย่าง อย่างรีบร้อน
เรามักจะ พูดจาไพเราะ หน้าตายิ้มแย้ม
ขอโทษครับ ( ค่ะ) มิเป็นไรครับ ( ค่ะ) ........
แต่กับคนในบ้าน คนใกล้ตัว มักจะมีอารมย์
เกะกะจัง วุ้ย --- คนกำลังจะรีบร้อน .... อื่นๆ
บ่อยครั้ง คนแปลกหน้า โทรมา ถามนั่นถามนี่
เราจะใจเย็น พูดจาเพราะ ทั้งๆที่ไม่ค่อยว่าง .......
แต่กับ พ่อ แม่ พี่น้อง หรือคนใกล้ชิด ( จนเบื่อ )
เราจะหงุดหงิด ... รำคาน ( อยากคลานหนี )
รู้แล้วๆ ... อย่าพูดยึดยาด .... ไว้พูดที่บ้าน .... อื่นๆ
ทั้งๆ เขาหวังดี หรือ เป็นห่วงใย .......
บางคนโทรทั้งวัน งานยุ่งจัง แต่ไม่ค่อยโทรเข้าบ้านเลย ....
การกระทำ เราอาจไม่ได้คิดอะไร ....หรือลืมคิด
แต่จะน่ารักมาก ถ้าเราดูแลความรู้สึก คนใกล้ชิดด้วย ครับ
บ่อยครั้ง เวลาเราอยู่นอกบ้าน
ไปทำงาน ไปงานต่างๆนอกบ้าน
เวลาเดินชนกัน เดินเบียดกัน กับคนแปลกหน้า
หรือจะทำอะไรสักอย่าง อย่างรีบร้อน
เรามักจะ พูดจาไพเราะ หน้าตายิ้มแย้ม
ขอโทษครับ ( ค่ะ) มิเป็นไรครับ ( ค่ะ) ........
แต่กับคนในบ้าน คนใกล้ตัว มักจะมีอารมย์
เกะกะจัง วุ้ย --- คนกำลังจะรีบร้อน .... อื่นๆ
บ่อยครั้ง คนแปลกหน้า โทรมา ถามนั่นถามนี่
เราจะใจเย็น พูดจาเพราะ ทั้งๆที่ไม่ค่อยว่าง .......
แต่กับ พ่อ แม่ พี่น้อง หรือคนใกล้ชิด ( จนเบื่อ )
เราจะหงุดหงิด ... รำคาน ( อยากคลานหนี )
รู้แล้วๆ ... อย่าพูดยึดยาด .... ไว้พูดที่บ้าน .... อื่นๆ
ทั้งๆ เขาหวังดี หรือ เป็นห่วงใย .......
บางคนโทรทั้งวัน งานยุ่งจัง แต่ไม่ค่อยโทรเข้าบ้านเลย ....
การกระทำ เราอาจไม่ได้คิดอะไร ....หรือลืมคิด
แต่จะน่ารักมาก ถ้าเราดูแลความรู้สึก คนใกล้ชิดด้วย ครับ
ไลฟ์สไตล์มรณะ ทั้ง 14 ประการ....นพ.กฤษดา ศิรามพุช , พบ.(จุฬาฯ)
เซลล์มะเร็ง เป็นคล้ายสัตว์กินเนื้อที่ดำรงชีพอยู่ได้ด้วยการแตกรากออกไปดูดกินสาร
อาหารจากในร่างกายจนทำให้ผ่ายผอมและกลายเป็นรังมะเร็งในที่สุด
แต่ถ้าท่านยังไม่อยากสร้างสิ่งมหัศจรรย์ในกายประเภทสวนลอยแห่งมะเร็งไว้แข่งกับ
บาบิโลน ก็ขอให้เลี่ยงวิถีที่จะเปลี่ยนกายให้เป็นแม่เหล็กดูดมะเร็งชั้นดี
ขอให้เลี่ยงพฤติกรรมที่มะเร็งโปรดทั้งหลายต่อไปนี้ ครับ
1)
นอนดึก ทำให้ไม่มีฮอร์โมนต้านมะเร็งหลั่งออกมา นอกจากนั้นยังจะทำให้เกิดโรคร้าย อื่นได้ เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันสูง และโรคอ้วน ด้วยว่าเมื่อนอนดึกแล้วมักจะหิวและ
ต้องหาของขบเคี้ยว มากินแก้ปากว่างกัน
2)
สูบบุหรี่และขี้เหล้า ทั้งสองสิ่งนี้ทำให้ปอดและตับทำงานหนัก แม้จะสูบซิการ์ซึ่งมี นิโคตินต่ำกว่าบุหรี่ก็ตามที หรือดื่มเหล้าแบบกลั่นอย่างดีของฝรั่ง แต่ตัวมันเองก็สร้าง
" สนิมมะเร็ง " ออกมาไม่น้อย ทำให้คนที่เสพทั้งแก่เร็วและตายไวได้จากโรคมะเร็งครับ
3 ) เอาแต่ไขมันเข้าปากและอยากแต่เนื้อแดง ไขมันอิ่มตัวและโปรตีนจากเนื้อนั้นเป็นแหล่งอาหารชั้นหนึ่งของมะเร็งที่จะใช้เจริญเติบโตได้ไม่แพ้ทารกเกิดใหม่ มันจะสร้างหลอดเลือดยื่นไปดูดกินเลือดเนื้อของเราจนแทบไม่เหลือเลือดอันสมบูรณ์ไปเลี้ยงอวัยวะอื่น ตัวเราจึงผอมเอาๆ ตรงข้ามกับมะเร็งกาฝากที่โตไวไม่มีลิมิตชีวิตหดหู่แน่
4) แฝงด้วยเครียดจัด
จนมีสารทุกข์หลั่งออกมาหล่อเลี้ยงมะเร็งให้โตขึ้นเร็วราวกับ น้ำมันราดบนกองไฟให้คุโชนขึ้น
5) ไวรัสตับอักเสบบีและมีภูมิแพ้ที่รักษาไม่หาย ดังที่กล่าวไปว่า ถ้าภูมิดีก็มีพลังต้าน
มะเร็งได้ตั้งแต่ในเซลล์แรกที่อุตริเกิดขึ้นมา ด้วยตามปกติในกายเราก็มีเซลล์แบบมะเร็ง
นี้เกิดขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ ทุกวัน
6) ปล่อยกายให้อ้วน
สร้างให้เกิดธาตุแก่ออกมาแช่อิ่มอวัยวะภายในร่างกาย และไขมันตาม ตัวยังสร้างให้เกิดฮอร์โมนกระตุ้นให้มะเร็งแบ่งตัวดีขึ้นด้วย
7) ล้วนขาดวิตามิน ด้วยวิตามินทำหน้าที่ต้านเชื้อมะเร็งให้ดับเป็นจุณไป ก่อนที่จะเผยอ
หน้าขึ้นมาแบ่งตัวปนเปไปในร่างกายเรา
8) กินของร้อนจัดไป ช่น ซดชาร้อนหรือกาแฟร้อนจัดประเภทควันฉุย จะไปลวกให้เซลล์หลอดอาหารอักเสบอยู่ทุกบ่อย เมื่ออักเสบเป็นอาจิณก็จะมีโอกาสเปลี่ยนไปเป็นเซลล์มะเร็งง่ายขึ้น
9) ทำให้คอเลสเตอรอลลดต่ำ
พบว่าถ้าต่ำเกินไปก็ไม่ดีครับ มีผลกับภูมิคุ้มกันที่แย่ลง เมื่อภูมิต่ำแล้วก็จะหมดปัญญาต้านเซลล์มะเร็งที่จะเข้ามาหา
10) กลั้นปัสสาวะ น้ำปัสสาวะเป็นของเสีย ยิ่งอยู่นิ่งเป็นเวลานานจากการอั้นมันก็ไม่
ต่างอะไรกับน้ำนิ่งในคลองแสนแสบ ซึ่งทิ้งไว้ไม่นานจะกลายเป็นน้ำเน่า แต่ถ้าเน่าใน
กระเพาะฉี่เรา ก็มีผลให้เกิดเซลล์มะเร็งงอกขึ้นมาได้
11) ป ะทะเค็มจัด
พบว่าสิ่งมีชีวิตที่ทานอาหารเค็มมีอัตราการเกิดมะเร็งสูงกว่า โดยเฉพาะ ในอาหารจำพวกเนื้อเค็ม เนื้อแห้ง หมูแดง ที่นอกจากเค็มแล้วยังมีสีแดงดีจากดินประสิวอีกด้วย
12) ประวัติมะเร็งในครอบครัว
มะเร็งร้ายในครอบครัวบางอย่างสามารถถ่ายทอดมาทาง พันธุกรรมได้ แม้จะไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์แต่ต้องรับไว้ด้วยความไม่เต็มใจ เช่น มะเร็งเต้านม
มะเร็งลำไส้ใหญ่ แต่ถ้าป้องกันไว้ดีๆ แล้วบางทีก็ไม่เกิดขึ้นมาครับ
13) ตัวตากแดดบ่อย
แสงแดดเป็นรังสีที่กระตุ้นอณูเซลล์ของคุณให้สะดุ้งตกใจ จน เครื่องในรวนหมดครับ เมื่อเครื่องในรวนแล้วก็ไม่สามารถที่จะคุมการแบ่งตัวได้ ทำให้
แบ่งต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง กลายเป็นก้อนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
14) ไม่ค่อยช่วยใคร
ถ้าพูดให้ง่ายเข้า คือเห็นแก่ตัว และไม่ค่อยได้ทำบุญนั่นเอง เพราะ เมื่อใดก็ตามที่ได้หมั่นช่วยเหลือผู้อื่นจนชินแล้ว เรามักไม่ค่อยได้นึกถึงตัวเองนัก และเมื่อ
ไม่หมกมุ่นกับตัวเองแล้วก็ไม่ค่อยเกิดความ " อยาก " อันนำไปสู่ความเครียดร้อนอกร้อนใจ
หรือถ้าไม่มีเวลาก็แค่อนุโมทนากับบุญที่เราได้พานพบก็ทำให้มี "สารสุข " หลั่งออกมา
เสริมภูมิรู้สู้มะเร็งแล้วครับ
ด้วยวิถีแห่งการมี
" ไลฟสไตล์มรณะ " ทั้ง 14 ประการ ดังที่ได้กล่าวไปก็จะทำให้ได้มะเร็งมาเป็นเจ้าของอย่างง่ายดาย
ขอบคุณ ข้อมูลดี ๆ จาก....
นพ.กฤษดา ศิรามพุช , พบ.(จุฬาฯ)
ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์อายุรวัฒน์
( American Board of Anti-agin g medicine)
"พุทธทาส" พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo
ในสายตาของคนทั่วไป หลวงพ่อพุทธทาสเป็นพระที่ดุ น่าเกรงขาม จนไม่ค่อยมีใครกล้าโต้เถียงหรือถามท่านตรง ๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วท่านชอบเวลามีคนมาซักถามหรือโต้แย้งท่าน หากมีเหตุผล ท่านก็รับฟัง แม้กิริยาอาการของผู้ถามจะดูไม่สุภาพ ท่านก็ไม่โกรธ กลับนิ่งสงบ และตอบเป็นปกติเพื่อประโยชน์ของผู้ฟัง
เทพศิริ สุขโสภา นักเขียนและศิลปินชื่อดัง เล่าว่าคราวหนึ่งได้ถามท่านว่า
"อาจารย์ครับ อาจารย์สอนเรื่องจิตว่างมานาน ท่านไม่โกรธไม่เกลียดใคร ผมก็เชื่อแต่เคยนึกพอใจไหม"
"ถ้าเผลอก็มี" ท่านตอบเรียบ ๆ
"แล้วท่านเผลอบ่อยหรือเปล่า" เทพศิริถามพลางชี้หน้าท่าน แต่ท่านกลับไม่ว่าอะไร ท่านพูดน้ำเสียงปกติ พูดว่า "ของอย่างนี้ปฏิบัติมากเท่าไร โอกาสเผลอก็มีน้อยลงเท่านั้น"
ท่านมีความปกติแม้กระทั่งเวลาได้ฟังปัญหาต่าง ๆ ที่ชวนให้หดหู่หรือโกรธแค้น เทพศิริเล่าว่าคราวหนึ่งได้เล่าให้พระที่สวนโมกข์ฟังถึงการทำลายโบราณสถาน โดยเฉพาะเจดีย์เก่า ๆ มีการเอารถแทรกเตอร์ทำลายพระเจดีย์เพื่อหากรุพระ หลายคนได้ฟังก็ไม่พอใจ แม้แต่พระก็รู้สึกโกรธเคืองโจรเหล่านั้น แต่หลวงพ่อพุทธทาสฟังเป็นปกติราวกับไม่ได้ยินเรื่องเล่า จนในที่สุดเทพศิริซึ่งเป็นนักเล่านิทานตัวยงก็ค่อย ๆ ลดเสียงลง แล้วเลิกเล่าไปกลางคันเลย เมื่อเห็นท่านไม่มีอารมณ์ร่วม มองดูเหมือนว่าท่านไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ หรือไม่เห็นคุณค่าของโบราณสถาน แต่ที่จริงน่าจะเป็นเพราะท่านเห็นว่ามันเป็นธรรมดาโลก ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะโกรธเคืองพฤติกรรมของคนเหล่านี้
ความซื่อตรงกับตัวเอง กล้าที่จะยอมรับความผิดพลาดหรือข้อจำกัดของตนเองเป็นคุณลักษณะประการหนึ่งของหลวงพ่อพุทธทาสที่ประทับใจผู้ใกล้ชิด โกวิท เขมานันทะซึ่งเคยบวชกับท่านนานนับสิบปีเล่าว่า
"วันหนึ่งพวกเราพระเณร กำลังกวนปูนกันอยู่ ท่านอาจารย์เดินมาพูดว่า "พวกคุณโง่อยู่ได้ คุณไปกวนทำไมให้เสียเวลา ทำไมไม่เอาปูน เอาทราย เอาหิน เอาน้ำเทรวมในถังน้ำมันปิดฝา แล้วก็กลิ้งมันไปในสนามหญ้า " ทุกคนก็สว่างไสว พูดกันว่าเออจริง ๆ แล้วทุกคนก็ปฏิบัติตาม กลิ้งกันไปกลิ้งกันมาจนเหงื่อตกพอเปิดฝา หินอยู่หิน ทรายอยู่ทราย ปูนอยู่ปูน พวกเราก็ชักมีอารมณ์ ทั้งเหนื่อยทั้งผิดหวัง อาจารย์เห็นเข้าท่านก็หัวเราะ บอกว่า "ผมจะไปรู้อะไร ผมไม่เคยทำ"
นอกจากไม่สร้างภาพให้ตนเองดูดีแล้ว ท่านยังชอบล้อตัวเอง ดังมักเรียกตัวเองว่าเป็น สุนัขปากร้าย หรือกล่าวหาว่าตัวเองชอบใช้คำว่าโสกโดก กล่าวได้ว่าท่านไม่ยอมพะนอหรือปรนเปรออัตตาตนเองเลย สมกับที่เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ประพันธ์ไว้ว่า
"พุทธทาส" นามท่านปานขุนเขา
ทว่าเบาสบายอย่างว่างน้ำหนัก
และตัวตนของท่านนั้นใหญ่นัก
ใหญ่ด้วยหลักให้สละละตัวตน
เทพศิริ สุขโสภา นักเขียนและศิลปินชื่อดัง เล่าว่าคราวหนึ่งได้ถามท่านว่า
"อาจารย์ครับ อาจารย์สอนเรื่องจิตว่างมานาน ท่านไม่โกรธไม่เกลียดใคร ผมก็เชื่อแต่เคยนึกพอใจไหม"
"ถ้าเผลอก็มี" ท่านตอบเรียบ ๆ
"แล้วท่านเผลอบ่อยหรือเปล่า" เทพศิริถามพลางชี้หน้าท่าน แต่ท่านกลับไม่ว่าอะไร ท่านพูดน้ำเสียงปกติ พูดว่า "ของอย่างนี้ปฏิบัติมากเท่าไร โอกาสเผลอก็มีน้อยลงเท่านั้น"
ท่านมีความปกติแม้กระทั่งเวลาได้ฟังปัญหาต่าง ๆ ที่ชวนให้หดหู่หรือโกรธแค้น เทพศิริเล่าว่าคราวหนึ่งได้เล่าให้พระที่สวนโมกข์ฟังถึงการทำลายโบราณสถาน โดยเฉพาะเจดีย์เก่า ๆ มีการเอารถแทรกเตอร์ทำลายพระเจดีย์เพื่อหากรุพระ หลายคนได้ฟังก็ไม่พอใจ แม้แต่พระก็รู้สึกโกรธเคืองโจรเหล่านั้น แต่หลวงพ่อพุทธทาสฟังเป็นปกติราวกับไม่ได้ยินเรื่องเล่า จนในที่สุดเทพศิริซึ่งเป็นนักเล่านิทานตัวยงก็ค่อย ๆ ลดเสียงลง แล้วเลิกเล่าไปกลางคันเลย เมื่อเห็นท่านไม่มีอารมณ์ร่วม มองดูเหมือนว่าท่านไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ หรือไม่เห็นคุณค่าของโบราณสถาน แต่ที่จริงน่าจะเป็นเพราะท่านเห็นว่ามันเป็นธรรมดาโลก ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะโกรธเคืองพฤติกรรมของคนเหล่านี้
ความซื่อตรงกับตัวเอง กล้าที่จะยอมรับความผิดพลาดหรือข้อจำกัดของตนเองเป็นคุณลักษณะประการหนึ่งของหลวงพ่อพุทธทาสที่ประทับใจผู้ใกล้ชิด โกวิท เขมานันทะซึ่งเคยบวชกับท่านนานนับสิบปีเล่าว่า
"วันหนึ่งพวกเราพระเณร กำลังกวนปูนกันอยู่ ท่านอาจารย์เดินมาพูดว่า "พวกคุณโง่อยู่ได้ คุณไปกวนทำไมให้เสียเวลา ทำไมไม่เอาปูน เอาทราย เอาหิน เอาน้ำเทรวมในถังน้ำมันปิดฝา แล้วก็กลิ้งมันไปในสนามหญ้า " ทุกคนก็สว่างไสว พูดกันว่าเออจริง ๆ แล้วทุกคนก็ปฏิบัติตาม กลิ้งกันไปกลิ้งกันมาจนเหงื่อตกพอเปิดฝา หินอยู่หิน ทรายอยู่ทราย ปูนอยู่ปูน พวกเราก็ชักมีอารมณ์ ทั้งเหนื่อยทั้งผิดหวัง อาจารย์เห็นเข้าท่านก็หัวเราะ บอกว่า "ผมจะไปรู้อะไร ผมไม่เคยทำ"
นอกจากไม่สร้างภาพให้ตนเองดูดีแล้ว ท่านยังชอบล้อตัวเอง ดังมักเรียกตัวเองว่าเป็น สุนัขปากร้าย หรือกล่าวหาว่าตัวเองชอบใช้คำว่าโสกโดก กล่าวได้ว่าท่านไม่ยอมพะนอหรือปรนเปรออัตตาตนเองเลย สมกับที่เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ประพันธ์ไว้ว่า
"พุทธทาส" นามท่านปานขุนเขา
ทว่าเบาสบายอย่างว่างน้ำหนัก
และตัวตนของท่านนั้นใหญ่นัก
ใหญ่ด้วยหลักให้สละละตัวตน
ธรรมะมีประโยชน์อย่างไร ดูตัวอย่างครับ
หอม
ว.วชิรเมธี
ดอกไม้หอมได้บางดอก แต่คนหอมได้ทุกคน ถ้าเป็นคนดี
วันอาทิตย์เวลา 12:38 น.
หอม
“พอ”
ว.วชิรเมธี
ยิ่งเรา “พอ” เร็วเท่าไหร่ ชีวิตเราก็ยิ่งมีความสุขเร็วเท่านั้น การรู้จักพอจึงเป็นวิธีเพิ่มความสุขที่ง่ายที่สุด
: ค่าน้ำนมยิ่งใหญ่ใครก็รู้
ว.วชิรเมธี
ค่าน้ำนมยิ่งใหญ่ใครก็รู้ แต่ยังสู้เนรคุณพ่อทูนหัว ต้องเทศน์อีกกี่ครั้งจึ่งสร่างมัว พ้นเป็นบัวใต้ตมชมตะวัน
คนชอบรู้เรื่องชาวบ้าน
ว.วชิรเมธี
คนชอบรู้เรื่องชาวบ้านคือคนที่ไม่รู้จักตัวเองดีพอ ไม่รู้ว่าเรื่องที่สำคัญสุดคือเรื่องของตัวเอง ตนยังมีทุกข์แต่กลับสนุกที่เฝ้ามองคนอื่น
: คนล้ม 3 แบบ
ว.วชิรเมธี
ในโลกนี้มีคนล้มอยู่ 3 แบบ 1. ล้มแล้วตาย 2. ล้มแล้วเข็ด 3. ล้มแล้วสู้ คุณอยากอยู่ในจำพวกไหนลองคิดดู
วันอาทิตย์เวลา 12:49 น.
: สรรพสิ่งล้วนอิงอาศัยกัน
ว.วชิรเมธี
นิ้ว1นิ้วไม่เป็นมือ คน1คนไม่เป็นบ้าน เจ้าอาวาส1รูปไม่เป็นวัด นายก1คนไม่เป็นประเทศ สรรพสิ่งล้วนอิงอาศัยกันไม่มีใครใหญ่อยู่ได้คนเดียวในโลก
วันอาทิตย์เวลา 12:46 น.
let it go
ว.วชิรเมธี
เมื่อทำเต็มที่ ทำอย่างดีที่สุดแล้ว แต่ผลไม่เป็นอย่างที่หวัง จงบอกตัวเองว่า “สุดมือสอยก็ต้องปล่อยมันไป” (let it go)
ว.วชิรเมธี
ดอกไม้หอมได้บางดอก แต่คนหอมได้ทุกคน ถ้าเป็นคนดี
วันอาทิตย์เวลา 12:38 น.
หอม
“พอ”
ว.วชิรเมธี
ยิ่งเรา “พอ” เร็วเท่าไหร่ ชีวิตเราก็ยิ่งมีความสุขเร็วเท่านั้น การรู้จักพอจึงเป็นวิธีเพิ่มความสุขที่ง่ายที่สุด
: ค่าน้ำนมยิ่งใหญ่ใครก็รู้
ว.วชิรเมธี
ค่าน้ำนมยิ่งใหญ่ใครก็รู้ แต่ยังสู้เนรคุณพ่อทูนหัว ต้องเทศน์อีกกี่ครั้งจึ่งสร่างมัว พ้นเป็นบัวใต้ตมชมตะวัน
คนชอบรู้เรื่องชาวบ้าน
ว.วชิรเมธี
คนชอบรู้เรื่องชาวบ้านคือคนที่ไม่รู้จักตัวเองดีพอ ไม่รู้ว่าเรื่องที่สำคัญสุดคือเรื่องของตัวเอง ตนยังมีทุกข์แต่กลับสนุกที่เฝ้ามองคนอื่น
: คนล้ม 3 แบบ
ว.วชิรเมธี
ในโลกนี้มีคนล้มอยู่ 3 แบบ 1. ล้มแล้วตาย 2. ล้มแล้วเข็ด 3. ล้มแล้วสู้ คุณอยากอยู่ในจำพวกไหนลองคิดดู
วันอาทิตย์เวลา 12:49 น.
: สรรพสิ่งล้วนอิงอาศัยกัน
ว.วชิรเมธี
นิ้ว1นิ้วไม่เป็นมือ คน1คนไม่เป็นบ้าน เจ้าอาวาส1รูปไม่เป็นวัด นายก1คนไม่เป็นประเทศ สรรพสิ่งล้วนอิงอาศัยกันไม่มีใครใหญ่อยู่ได้คนเดียวในโลก
วันอาทิตย์เวลา 12:46 น.
let it go
ว.วชิรเมธี
เมื่อทำเต็มที่ ทำอย่างดีที่สุดแล้ว แต่ผลไม่เป็นอย่างที่หวัง จงบอกตัวเองว่า “สุดมือสอยก็ต้องปล่อยมันไป” (let it go)
โทษของกาม
โทษของกามนั้นมีมากมายหลายประการ ในพระไตรปิฎกก็ได้กล่าวถึงโทษของกามไว้ในมหาทุกขักขันธสูตร นอกเหนือจากวิธีการแก้ไขตามคัมภีร์แล้ว เรายังสามารถใช้วิธีการต่อไปนี้ช่วย เพื่อให้คลายกามฉันทะลงไปได้ คือ
1. ใช้การพิจารณาถึงความจริงที่ว่ากามคุณทั้งหลายนั้นมีสุขน้อยมีทุกข์มาก คือ ให้ความสุขในช่วงที่ได้มาใหม่ๆ ซึ่งเป็นเสมือนเหยื่อล่อให้ติด ครั้นเมื่อติดในสิ่งนั้นๆ แล้ว ความทุกข์ทั้งหลายก็จะตามมา ถ้ายิ่งถูกใจมากเท่าใด ก็จะยิ่งนำความทุกข์มาให้มากขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นทุกข์จากการแสวงหา เพื่อให้ได้มากยิ่งขึ้น ทุกข์จากการพยายามรักษาสิ่งนั้นเอาไว้ ทุกข์จากความหวงแหน ความกลัวว่าจะต้องสูญเสียสิ่งนั้นไป และเมื่อต้องสูญเสียสิ่งนั้นไป ก็จะยิ่งเป็นทุกข์ยิ่งขึ้นไปอีก เพราะเราทั้งหลายล้วนจะต้องพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รักที่พอใจ ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
แม้ว่ากามจะก่อให้เกิดความสุข ความพอใจ ต่อเมื่อเราได้รับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่เราปรารถนาและพอใจ แต่เมื่อว่าโดยโทษของกามนั้นมีมากมายหลายประการ ในพระไตรปิฎกก็ได้กล่าวถึงโทษของกามไว้ใน มหาทุกขักขันธสูตรว่า
1. เมื่อบุคคลทำงานเลี้ยงชีพด้วยความขยัน ด้วยศิลปะต่างๆ ผู้ทำงานต้องได้รับทุกข์นานาชนิด เช่น ทุกข์จากการตรากตรำทำงาน ทุกข์จากความหนาว ความร้อน ลม แดด จากถูกสัตว์ เช่น เหลือบ ยุง ขบกัด จากความหิว กระหาย
2. เมื่อผู้นั้นขยัน พากเพียรทำงาน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ก็เป็นทุกข์ ผู้ทำงานจนได้รับผลก็เป็นทุกข์ในการรักษาผลงานนั้นมิให้ถูกภัยต่างๆ เช่น โจรภัย ราชภัย อุทกภัย ภัยจากลูกหลานที่คอยล้างผลาญ เขาย่อมประสบความทุกข์ เศร้าโศก คร่ำครวญ เห็นว่า สิ่งใดที่เคยเป็นของเรา สิ่งนั้นก็ไม่ได้เป็นของเรา
3. กามทั้งหลายเป็นเหตุให้เกิดโทษต่างๆ เช่น เป็นเหตุให้เกิดการทะเลาะวิวาทกันในวงการต่างๆ เช่น พระราชาทะเลาะกับพระราชา ผู้นำประเทศทะเลาะกับผู้นำประเทศ เศรษฐีทะเลาะกับเศรษฐี ตลอดจนการทะเลาะวิวาทในครอบครัว พ่อแม่ พี่น้อง ทะเลาะกันและกัน การทะเลาะวิวาทเป็นเหตุให้ต้องประหัตประหารกัน ฆ่าฟันกันด้วยศัตราวุธต่างๆ ซึ่งก่อให้เกิดการบาดเจ็บจนถึงเสียชีวิต และยังเป็นเหตุให้มีการทำทุจริตหลายประการทั้งกายทุจริต วจีทุจริต และมโนทุจริต นี้ก็เป็นเพราะโทษแห่งกาม
นอกจากนี้ในพระไตรปิฎกยังชี้ให้เห็นโทษของกามโดยยกอุปมาขึ้นแสดงให้เห็นโทษอีกว่า มีสุขเพียงเล็กน้อย แต่มีโทษมากคือ
1. เปรียบเหมือนสุนัขที่มีความเพลียเพราะความหิว เข้าไปยืนอยู่ใกล้เขียงของคนฆ่าโคหรือลูกมือของคนฆ่าโค พึงโยนร่างกระดูกที่เชือดชำแหละออกจนหมดเนื้อแล้ว เปื้อนแต่เลือดไปยังสุนัข สุนัขนั้นก็แทะร่างกระดูกที่เชือดชำแหละออกจนหมดเนื้อ เปื้อนแต่เลือด ย่อมไม่สามารถบำบัดความเพลียเพราะความหิวได้ กามทั้งหลายก็เช่นเดียวกันเปรียบเหมือนร่างกระดูก มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก
2. เปรียบเหมือนแร้ง นกตะกรุม หรือเหยี่ยว พาชิ้นเนื้อบินไป แร้งทั้งหลาย นกตะกรุมทั้งหลายหรือเหยี่ยวทั้งหลายจะพึงโผเข้ารุมจิกแย่งชิ้นเนื้อนั้น ถ้าแร้ง นกตะกรุม หรือเหยี่ยวตัวนั้น ไม่รีบปล่อยชิ้นเนื้อนั้นเสีย มันจะถึงตาย หรือถึงทุกข์ปางตายเพราะชิ้นเนื้อนั้นเป็นเหตุ กามทั้งหลายก็เปรียบเหมือนชิ้นเนื้อ มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก
3. เปรียบเหมือนบุรุษถือคบเพลิงหญ้าที่ติดไฟ เดินทวนลมไป ถ้าบุรุษนั้นไม่รีบปล่อยคบเพลิงหญ้านั้นเสีย คบเพลิงหญ้านั้น ก็จะไหม้มือ ไหม้แขน หรืออวัยวะน้อยใหญ่แห่งใดแห่งหนึ่งของบุรุษนั้น บุรุษนั้นจะถึงตายหรือถึงทุกข์ปางตาย เพราะคบเพลิงนั้นเป็นเหตุ กามทั้งหลายก็เปรียบเหมือนคบเพลิงหญ้า มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก
4. เปรียบเหมือนหลุมถ่านเพลิง ลึกกว่าชั่วบุรุษหนึ่ง เต็มด้วยถ่านเพลิงอันปราศจากเปลว ปราศจากควัน บุรุษผู้รักชีวิตไม่อยากตาย รักสุข เกลียดทุกข์ พึงมา บุรุษมีกำลังสองคนช่วยกันจับแขนบุรุษนั้นข้างละคน ฉุดเข้าไปยังหลุมถ่านเพลิง บุรุษนั้นย่อมไม่อยากเข้าไป เพราะรู้ว่าจะตกไปในหลุมถ่านเพลิงตาย หรือเป็นทุกข์ปางตาย กามทั้งหลายก็มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก
5. เปรียบเหมือนบุรุษพึงฝันเห็นสวนอันน่ารื่นรมย์ ป่าอันน่ารื่นรมย์ ภาคพื้นอันน่ารื่นรมย์ สระโบกขรณีอันน่ารื่นรมย์ บุรุษนั้นตื่นขึ้นแล้ว ไม่พึงเห็นอะไร กามทั้งหลายก็เปรียบด้วยความฝัน มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก
6. เปรียบเหมือนบุรุษพึงยืมโภคสมบัติ คือ แก้วมณี และตุ้มหูอย่างดีบรรทุกยานไป เขาแวดล้อมด้วยทรัพย์สมบัติที่ตนยืมมา พึงเดินไปภายในตลาด คนเห็นเขาเข้าแล้ว พึงกล่าวอย่างนี้ว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญ บุรุษผู้นี้มีโภคสมบัติหนอ ได้ยินว่าชนทั้งหลายผู้มีโภคสมบัติ ย่อมใช้สอยโภคสมบัติอย่างนี้ ดังนี้ พวกเจ้าของ พึงพบบุรุษนั้น ณ ที่ใดๆ พึงนำเอาของตนคืนไปในที่นั้นๆ ฉันใด กามทั้งหลายก็เปรียบเหมือนของยืม มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก
7. เปรียบเหมือนราวป่าใหญ่ ในที่ไม่ไกลบ้านหรือนิคม ต้นไม้ในราวป่านั้น พึงมีผลรสอร่อย ทั้งมีผลดก แต่ไม่มีผลหล่นลง ณ ภาคพื้นสักผลเดียว บุรุษผู้ต้องการผลไม้ พึงเที่ยวมาเสาะแสวงหาผลไม้ เขาแวะยังราวป่านั้น เห็นต้นไม้อันมีผลรสอร่อย มีผลดกนั้น เขาพึงคิดอย่างนี้ว่า ต้นไม้นี้มีผลรสอร่อย มีผลดก แต่ไม่มีผลหล่นลง ณ ภาคพื้นสักผลเดียว แต่เรารู้เพื่อขึ้นต้นไม้ ไฉนหนอ เราพึงขึ้นต้นไม้นี้แล้วกินพออิ่ม และห่อพกไปบ้าง เขาขึ้นต้นไม้นั้นแล้ว กินจนอิ่ม และห่อพกไว้ ลำดับนั้น บุรุษคนที่สองต้องการผลไม้ ถือขวาน อันคมเที่ยวมาเสาะแสวงหาผลไม้ เขาแวะยังราวป่านั้นแล้ว เห็นต้นไม้มีผลรสอร่อย มีผลดกนั้น เขาพึงคิดอย่างนี้ว่า ต้นไม้นี้มีผลรสอร่อย มีผลดกแต่ไม่มีผลหล่นลง ณ ภาคพื้นสักผลเดียว และเราก็ไม่รู้เพื่อขึ้นต้นไม้ ไฉนหนอเราพึงตัดต้นไม้นี้แต่โคนต้น แล้วกินพออิ่ม และห่อพกไปบ้าง เขาพึงตัดต้นไม้นั้นแต่โคนต้น บุรุษคนซึ่งขึ้นต้นไม้ก่อนนั้น ถ้าเขาไม่รีบลง ต้นไม้นั้นจะพึงล้มลง หักมือหักเท้า หรือหักอวัยวะน้อยใหญ่แห่งใดแห่งหนึ่งของบุรุษนั้น บุรุษนั้นพึงถึงตายหรือถึงทุกข์ปางตาย เพราะต้นไม้นั้นล้มเป็นเหตุ ฉันใด กามทั้งหลายก็เปรียบด้วยผลไม้ มีทุกข์ มีความคับแค้นมาก
2. พิจารณาถึงความที่สิ่งทั้งหลายมีความแปรปรวนไปตลอดเวลา สิ่งที่ให้ความสุขในวันนี้ ก็อาจจะนำความทุกข์มาให้ได้ในวันข้างหน้า เช่น คนที่ทำดีกับเราในวันนี้ ต่อไปถ้าเขาเบื่อ หรือไม่พอใจอะไรเราขึ้นมา เขาก็อาจจะร้ายกับเราอย่างมากก็ได้
3. พิจารณาถึงคุณของการออกจากกาม หรือประโยชน์ของสมาธิ เช่น เป็นความสุขที่ประณีต ละเอียดอ่อน เบาสบายไม่หนักอึ้งเหมือนกาม คนที่ได้สัมผัสกับความสุขจากสมาธิสักครั้ง ก็จะรู้ได้เองว่าเหนือกว่าความสุขจากกามมากเพียงใด เป็นความสุขที่ไม่ต้องแสวงหาจากภายนอก เพราะเกิดจากความสงบภายใน จึงไม่ต้องมีการแย่งชิง ไม่ต้องยื้อแย่งแข่งขัน ไม่ต้องกลัวถูกลักขโมย เป็นความสุขที่ไม่ต้องมีวัตถุใดๆ มาเป็นเครื่องล่อ จึงไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น
ทั้งหมดนี้เป็นแนวทางในการแก้ไขกามฉันทะให้หมดออกไปจากใจ แม้เพียงชั่วขณะ แต่ถ้าหากเราได้หมั่นพิจารณา หมั่นสอนตัวเองบ่อยๆ อุปสรรคข้อนี้ก็จะไม่คอยมาขัดวางใจของเราได้
1. ใช้การพิจารณาถึงความจริงที่ว่ากามคุณทั้งหลายนั้นมีสุขน้อยมีทุกข์มาก คือ ให้ความสุขในช่วงที่ได้มาใหม่ๆ ซึ่งเป็นเสมือนเหยื่อล่อให้ติด ครั้นเมื่อติดในสิ่งนั้นๆ แล้ว ความทุกข์ทั้งหลายก็จะตามมา ถ้ายิ่งถูกใจมากเท่าใด ก็จะยิ่งนำความทุกข์มาให้มากขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นทุกข์จากการแสวงหา เพื่อให้ได้มากยิ่งขึ้น ทุกข์จากการพยายามรักษาสิ่งนั้นเอาไว้ ทุกข์จากความหวงแหน ความกลัวว่าจะต้องสูญเสียสิ่งนั้นไป และเมื่อต้องสูญเสียสิ่งนั้นไป ก็จะยิ่งเป็นทุกข์ยิ่งขึ้นไปอีก เพราะเราทั้งหลายล้วนจะต้องพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รักที่พอใจ ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
แม้ว่ากามจะก่อให้เกิดความสุข ความพอใจ ต่อเมื่อเราได้รับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่เราปรารถนาและพอใจ แต่เมื่อว่าโดยโทษของกามนั้นมีมากมายหลายประการ ในพระไตรปิฎกก็ได้กล่าวถึงโทษของกามไว้ใน มหาทุกขักขันธสูตรว่า
1. เมื่อบุคคลทำงานเลี้ยงชีพด้วยความขยัน ด้วยศิลปะต่างๆ ผู้ทำงานต้องได้รับทุกข์นานาชนิด เช่น ทุกข์จากการตรากตรำทำงาน ทุกข์จากความหนาว ความร้อน ลม แดด จากถูกสัตว์ เช่น เหลือบ ยุง ขบกัด จากความหิว กระหาย
2. เมื่อผู้นั้นขยัน พากเพียรทำงาน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ก็เป็นทุกข์ ผู้ทำงานจนได้รับผลก็เป็นทุกข์ในการรักษาผลงานนั้นมิให้ถูกภัยต่างๆ เช่น โจรภัย ราชภัย อุทกภัย ภัยจากลูกหลานที่คอยล้างผลาญ เขาย่อมประสบความทุกข์ เศร้าโศก คร่ำครวญ เห็นว่า สิ่งใดที่เคยเป็นของเรา สิ่งนั้นก็ไม่ได้เป็นของเรา
3. กามทั้งหลายเป็นเหตุให้เกิดโทษต่างๆ เช่น เป็นเหตุให้เกิดการทะเลาะวิวาทกันในวงการต่างๆ เช่น พระราชาทะเลาะกับพระราชา ผู้นำประเทศทะเลาะกับผู้นำประเทศ เศรษฐีทะเลาะกับเศรษฐี ตลอดจนการทะเลาะวิวาทในครอบครัว พ่อแม่ พี่น้อง ทะเลาะกันและกัน การทะเลาะวิวาทเป็นเหตุให้ต้องประหัตประหารกัน ฆ่าฟันกันด้วยศัตราวุธต่างๆ ซึ่งก่อให้เกิดการบาดเจ็บจนถึงเสียชีวิต และยังเป็นเหตุให้มีการทำทุจริตหลายประการทั้งกายทุจริต วจีทุจริต และมโนทุจริต นี้ก็เป็นเพราะโทษแห่งกาม
นอกจากนี้ในพระไตรปิฎกยังชี้ให้เห็นโทษของกามโดยยกอุปมาขึ้นแสดงให้เห็นโทษอีกว่า มีสุขเพียงเล็กน้อย แต่มีโทษมากคือ
1. เปรียบเหมือนสุนัขที่มีความเพลียเพราะความหิว เข้าไปยืนอยู่ใกล้เขียงของคนฆ่าโคหรือลูกมือของคนฆ่าโค พึงโยนร่างกระดูกที่เชือดชำแหละออกจนหมดเนื้อแล้ว เปื้อนแต่เลือดไปยังสุนัข สุนัขนั้นก็แทะร่างกระดูกที่เชือดชำแหละออกจนหมดเนื้อ เปื้อนแต่เลือด ย่อมไม่สามารถบำบัดความเพลียเพราะความหิวได้ กามทั้งหลายก็เช่นเดียวกันเปรียบเหมือนร่างกระดูก มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก
2. เปรียบเหมือนแร้ง นกตะกรุม หรือเหยี่ยว พาชิ้นเนื้อบินไป แร้งทั้งหลาย นกตะกรุมทั้งหลายหรือเหยี่ยวทั้งหลายจะพึงโผเข้ารุมจิกแย่งชิ้นเนื้อนั้น ถ้าแร้ง นกตะกรุม หรือเหยี่ยวตัวนั้น ไม่รีบปล่อยชิ้นเนื้อนั้นเสีย มันจะถึงตาย หรือถึงทุกข์ปางตายเพราะชิ้นเนื้อนั้นเป็นเหตุ กามทั้งหลายก็เปรียบเหมือนชิ้นเนื้อ มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก
3. เปรียบเหมือนบุรุษถือคบเพลิงหญ้าที่ติดไฟ เดินทวนลมไป ถ้าบุรุษนั้นไม่รีบปล่อยคบเพลิงหญ้านั้นเสีย คบเพลิงหญ้านั้น ก็จะไหม้มือ ไหม้แขน หรืออวัยวะน้อยใหญ่แห่งใดแห่งหนึ่งของบุรุษนั้น บุรุษนั้นจะถึงตายหรือถึงทุกข์ปางตาย เพราะคบเพลิงนั้นเป็นเหตุ กามทั้งหลายก็เปรียบเหมือนคบเพลิงหญ้า มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก
4. เปรียบเหมือนหลุมถ่านเพลิง ลึกกว่าชั่วบุรุษหนึ่ง เต็มด้วยถ่านเพลิงอันปราศจากเปลว ปราศจากควัน บุรุษผู้รักชีวิตไม่อยากตาย รักสุข เกลียดทุกข์ พึงมา บุรุษมีกำลังสองคนช่วยกันจับแขนบุรุษนั้นข้างละคน ฉุดเข้าไปยังหลุมถ่านเพลิง บุรุษนั้นย่อมไม่อยากเข้าไป เพราะรู้ว่าจะตกไปในหลุมถ่านเพลิงตาย หรือเป็นทุกข์ปางตาย กามทั้งหลายก็มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก
5. เปรียบเหมือนบุรุษพึงฝันเห็นสวนอันน่ารื่นรมย์ ป่าอันน่ารื่นรมย์ ภาคพื้นอันน่ารื่นรมย์ สระโบกขรณีอันน่ารื่นรมย์ บุรุษนั้นตื่นขึ้นแล้ว ไม่พึงเห็นอะไร กามทั้งหลายก็เปรียบด้วยความฝัน มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก
6. เปรียบเหมือนบุรุษพึงยืมโภคสมบัติ คือ แก้วมณี และตุ้มหูอย่างดีบรรทุกยานไป เขาแวดล้อมด้วยทรัพย์สมบัติที่ตนยืมมา พึงเดินไปภายในตลาด คนเห็นเขาเข้าแล้ว พึงกล่าวอย่างนี้ว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญ บุรุษผู้นี้มีโภคสมบัติหนอ ได้ยินว่าชนทั้งหลายผู้มีโภคสมบัติ ย่อมใช้สอยโภคสมบัติอย่างนี้ ดังนี้ พวกเจ้าของ พึงพบบุรุษนั้น ณ ที่ใดๆ พึงนำเอาของตนคืนไปในที่นั้นๆ ฉันใด กามทั้งหลายก็เปรียบเหมือนของยืม มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก
7. เปรียบเหมือนราวป่าใหญ่ ในที่ไม่ไกลบ้านหรือนิคม ต้นไม้ในราวป่านั้น พึงมีผลรสอร่อย ทั้งมีผลดก แต่ไม่มีผลหล่นลง ณ ภาคพื้นสักผลเดียว บุรุษผู้ต้องการผลไม้ พึงเที่ยวมาเสาะแสวงหาผลไม้ เขาแวะยังราวป่านั้น เห็นต้นไม้อันมีผลรสอร่อย มีผลดกนั้น เขาพึงคิดอย่างนี้ว่า ต้นไม้นี้มีผลรสอร่อย มีผลดก แต่ไม่มีผลหล่นลง ณ ภาคพื้นสักผลเดียว แต่เรารู้เพื่อขึ้นต้นไม้ ไฉนหนอ เราพึงขึ้นต้นไม้นี้แล้วกินพออิ่ม และห่อพกไปบ้าง เขาขึ้นต้นไม้นั้นแล้ว กินจนอิ่ม และห่อพกไว้ ลำดับนั้น บุรุษคนที่สองต้องการผลไม้ ถือขวาน อันคมเที่ยวมาเสาะแสวงหาผลไม้ เขาแวะยังราวป่านั้นแล้ว เห็นต้นไม้มีผลรสอร่อย มีผลดกนั้น เขาพึงคิดอย่างนี้ว่า ต้นไม้นี้มีผลรสอร่อย มีผลดกแต่ไม่มีผลหล่นลง ณ ภาคพื้นสักผลเดียว และเราก็ไม่รู้เพื่อขึ้นต้นไม้ ไฉนหนอเราพึงตัดต้นไม้นี้แต่โคนต้น แล้วกินพออิ่ม และห่อพกไปบ้าง เขาพึงตัดต้นไม้นั้นแต่โคนต้น บุรุษคนซึ่งขึ้นต้นไม้ก่อนนั้น ถ้าเขาไม่รีบลง ต้นไม้นั้นจะพึงล้มลง หักมือหักเท้า หรือหักอวัยวะน้อยใหญ่แห่งใดแห่งหนึ่งของบุรุษนั้น บุรุษนั้นพึงถึงตายหรือถึงทุกข์ปางตาย เพราะต้นไม้นั้นล้มเป็นเหตุ ฉันใด กามทั้งหลายก็เปรียบด้วยผลไม้ มีทุกข์ มีความคับแค้นมาก
2. พิจารณาถึงความที่สิ่งทั้งหลายมีความแปรปรวนไปตลอดเวลา สิ่งที่ให้ความสุขในวันนี้ ก็อาจจะนำความทุกข์มาให้ได้ในวันข้างหน้า เช่น คนที่ทำดีกับเราในวันนี้ ต่อไปถ้าเขาเบื่อ หรือไม่พอใจอะไรเราขึ้นมา เขาก็อาจจะร้ายกับเราอย่างมากก็ได้
3. พิจารณาถึงคุณของการออกจากกาม หรือประโยชน์ของสมาธิ เช่น เป็นความสุขที่ประณีต ละเอียดอ่อน เบาสบายไม่หนักอึ้งเหมือนกาม คนที่ได้สัมผัสกับความสุขจากสมาธิสักครั้ง ก็จะรู้ได้เองว่าเหนือกว่าความสุขจากกามมากเพียงใด เป็นความสุขที่ไม่ต้องแสวงหาจากภายนอก เพราะเกิดจากความสงบภายใน จึงไม่ต้องมีการแย่งชิง ไม่ต้องยื้อแย่งแข่งขัน ไม่ต้องกลัวถูกลักขโมย เป็นความสุขที่ไม่ต้องมีวัตถุใดๆ มาเป็นเครื่องล่อ จึงไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น
ทั้งหมดนี้เป็นแนวทางในการแก้ไขกามฉันทะให้หมดออกไปจากใจ แม้เพียงชั่วขณะ แต่ถ้าหากเราได้หมั่นพิจารณา หมั่นสอนตัวเองบ่อยๆ อุปสรรคข้อนี้ก็จะไม่คอยมาขัดวางใจของเราได้
"กินอาหารบำรุงใจ" (mindful eating)
พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo
"กินอาหารบำรุงใจ" (mindful eating)
เช่นเดียวกับการหายใจ การกินเป็นประโยชน์ทั้งต่อร่างกายและจิตใจ ประโยชน์นั้นไม่ได้อยู่ที่ว่าเรากินอะไร หรือเท่าไร หากยังขึ้นอยู่กับว่าเรากินอย่างไรด้วย
การกินที่ถูกต้องนอกจากจะเป็นการบำรุงร่างกายแล้ว ยังสามารถบำรุงใจได้ด้วย การกินที่ถูกต้อง นอกจากจะหมายถึงการกินอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ในปริมาณที่เหมาะสมแล้ว ยังรวมถึงการกินอย่างมีสติ กล่าวคือรู้เท่าทันความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น ไม่ปล่อยใจลอยไปกับความคิดต่าง ๆ จนลืมไปว่ากินอะไรไปแล้วบ้าง หรือกำลังกินอะไรอยู่ ขณะที่กิน ใจก็อยู่กับกินหรือการเคี้ยวอาหาร แต่ไม่ถึงกับเพ่งหรือจดจ่อกับการเคี้ยว จนไม่รู้ว่ากำลังตักอะไรเข้าปากขณะเดียวกันก็ไม่หงุดหงิดกับใจที่ชอบออกนอกตัว เพราะเป็นธรรมดาของใจที่ชอบฟุ้งโดยเฉพาะในยามนี้
ใช่แต่ความคิดเท่านั้นที่ทำให้เราขาดสติ อารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ ก็ทำให้เราเผลอบ่อย ๆ โดยเฉพาะความเพลิดเพลินในรสชาติของอาหาร หลายคนกินเอา ๆ โดยไม่ทันเคี้ยวให้ละเอียดก็เพราะลืมตัวไปกับความเอร็ดอร่อยของอาหารนั่นเอง การกินอาหารอย่างมีสติไม่ได้หมายถึงการปฏิเสธรสชาติของอาหาร แต่หมายความว่าเมื่ออาหารอร่อย ก็รู้ว่าอร่อย แต่ไม่เพลิดเพลินดื่มด่ำกับมันจนลืมตัว ยังคงกินด้วยความรู้ตัว เรียกว่ากินอย่างเป็น "นาย" ของอาหาร มิใช่เป็น "ทาส" ของอาหาร
ในทางตรงข้าม หากอาหารไม่อร่อย ไม่น่าดู ก็หาได้รังเกียจไม่ แม้จะมีความรู้สึกดังกล่าวเกิดขึ้น ก็รู้ว่ามีอยู่ แต่ไม่ปล่อยให้มันครอบงำใจ จนกินด้วยความทุกข์
หากจำเป็นจะต้องคุยกับใคร ก็คุยอย่างมีสติ ไม่เพลินหรือเครียดกับการคุย จนไม่รู้ว่ากำลังกินอะไรหรือตักอะไรใส่ปาก แต่ถ้าไม่มีใครมาคุยด้วย ก็ไม่ควรหาอะไรอย่างอื่นมาทำขณะที่กำลังกินอาหาร เช่น อ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์ หรือคุยโทรศัพท์ การทำอะไรหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน แม้มุ่งหวังจะใช้เวลาให้เป็นประโยชน์อย่างเต็มที่ แต่อาจลงเอยด้วยการทำอะไรไม่ได้ดีสักอย่างเดียว ได้แต่ปริมาณ แต่ขาดคุณภาพ ที่สำคัญก็คือบั่นทอนจิตใจ ทำให้เป็นคนมีสมาธิหรือสติได้ยาก
การกินอย่างมีสติ จะช่วยให้เรากินอาหารในปริมาณที่เหมาะสม ไม่กินมากเกินไปเพราะหลงในรสชาติ จนเกิดอันตรายแก่ร่างกาย ขณะเดียวกันก็ช่วยให้เราเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ ไม่กินตามใจปากทั้ง ๆ ที่เป็นโทษ สิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้เรากินอย่างมีสติได้ก็คือ การตระหนักถึงจุดมุ่งหมายที่ถูกต้องของการกินอาหาร กล่าวคือ กินเพื่อให้ร่างกายมีสุขภาพดี สามารถทำประโยชน์ให้แก่ตนเองและผู้อื่นได้ เป็นการส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้งอกงามสูงส่งขึ้น ซึ่งตรงข้ามกับการกินเพื่อรสชาติหรือเสริมทรง เพื่อหน้าตาหรืออวดมั่งอวดมี การกินในลักษณะหลังนอกจากจะเป็นโทษแก่ร่างกาย สิ้นเปลืองเงินทองแล้ว ยังเป็นการบ่มเพาะกิเลสหรือความหลงให้แก่จิตใจ ซึ่งชักนำความทุกข์มาให้ในที่สุด
ด้วยเหตุนี้ก่อนกินอาหาร เราจึงควรเตือนใจอยู่เสมอว่า กินเพื่ออะไร หรือกินอย่างไรจึงจะทำให้ชีวิตเจริญงอกงาม ขณะเดียวกันก็พึงระลึกถึงบุญคุณของผู้ที่ทำให้เรามีอาหารกินในวันนี้ รวมถึงสรรพชีวิตที่กลายมาเป็นอาหารของเรา การใช้ชีวิตไปในทางที่เป็นกุศล หมั่นทำความดีอยู่เสมอ เป็นวิธีหนึ่งที่จะตอบแทนบุญคุณของเขาเหล่านั้นได้
"กินอาหารบำรุงใจ" (mindful eating)
เช่นเดียวกับการหายใจ การกินเป็นประโยชน์ทั้งต่อร่างกายและจิตใจ ประโยชน์นั้นไม่ได้อยู่ที่ว่าเรากินอะไร หรือเท่าไร หากยังขึ้นอยู่กับว่าเรากินอย่างไรด้วย
การกินที่ถูกต้องนอกจากจะเป็นการบำรุงร่างกายแล้ว ยังสามารถบำรุงใจได้ด้วย การกินที่ถูกต้อง นอกจากจะหมายถึงการกินอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ในปริมาณที่เหมาะสมแล้ว ยังรวมถึงการกินอย่างมีสติ กล่าวคือรู้เท่าทันความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น ไม่ปล่อยใจลอยไปกับความคิดต่าง ๆ จนลืมไปว่ากินอะไรไปแล้วบ้าง หรือกำลังกินอะไรอยู่ ขณะที่กิน ใจก็อยู่กับกินหรือการเคี้ยวอาหาร แต่ไม่ถึงกับเพ่งหรือจดจ่อกับการเคี้ยว จนไม่รู้ว่ากำลังตักอะไรเข้าปากขณะเดียวกันก็ไม่หงุดหงิดกับใจที่ชอบออกนอกตัว เพราะเป็นธรรมดาของใจที่ชอบฟุ้งโดยเฉพาะในยามนี้
ใช่แต่ความคิดเท่านั้นที่ทำให้เราขาดสติ อารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ ก็ทำให้เราเผลอบ่อย ๆ โดยเฉพาะความเพลิดเพลินในรสชาติของอาหาร หลายคนกินเอา ๆ โดยไม่ทันเคี้ยวให้ละเอียดก็เพราะลืมตัวไปกับความเอร็ดอร่อยของอาหารนั่นเอง การกินอาหารอย่างมีสติไม่ได้หมายถึงการปฏิเสธรสชาติของอาหาร แต่หมายความว่าเมื่ออาหารอร่อย ก็รู้ว่าอร่อย แต่ไม่เพลิดเพลินดื่มด่ำกับมันจนลืมตัว ยังคงกินด้วยความรู้ตัว เรียกว่ากินอย่างเป็น "นาย" ของอาหาร มิใช่เป็น "ทาส" ของอาหาร
ในทางตรงข้าม หากอาหารไม่อร่อย ไม่น่าดู ก็หาได้รังเกียจไม่ แม้จะมีความรู้สึกดังกล่าวเกิดขึ้น ก็รู้ว่ามีอยู่ แต่ไม่ปล่อยให้มันครอบงำใจ จนกินด้วยความทุกข์
หากจำเป็นจะต้องคุยกับใคร ก็คุยอย่างมีสติ ไม่เพลินหรือเครียดกับการคุย จนไม่รู้ว่ากำลังกินอะไรหรือตักอะไรใส่ปาก แต่ถ้าไม่มีใครมาคุยด้วย ก็ไม่ควรหาอะไรอย่างอื่นมาทำขณะที่กำลังกินอาหาร เช่น อ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์ หรือคุยโทรศัพท์ การทำอะไรหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน แม้มุ่งหวังจะใช้เวลาให้เป็นประโยชน์อย่างเต็มที่ แต่อาจลงเอยด้วยการทำอะไรไม่ได้ดีสักอย่างเดียว ได้แต่ปริมาณ แต่ขาดคุณภาพ ที่สำคัญก็คือบั่นทอนจิตใจ ทำให้เป็นคนมีสมาธิหรือสติได้ยาก
การกินอย่างมีสติ จะช่วยให้เรากินอาหารในปริมาณที่เหมาะสม ไม่กินมากเกินไปเพราะหลงในรสชาติ จนเกิดอันตรายแก่ร่างกาย ขณะเดียวกันก็ช่วยให้เราเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ ไม่กินตามใจปากทั้ง ๆ ที่เป็นโทษ สิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้เรากินอย่างมีสติได้ก็คือ การตระหนักถึงจุดมุ่งหมายที่ถูกต้องของการกินอาหาร กล่าวคือ กินเพื่อให้ร่างกายมีสุขภาพดี สามารถทำประโยชน์ให้แก่ตนเองและผู้อื่นได้ เป็นการส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้งอกงามสูงส่งขึ้น ซึ่งตรงข้ามกับการกินเพื่อรสชาติหรือเสริมทรง เพื่อหน้าตาหรืออวดมั่งอวดมี การกินในลักษณะหลังนอกจากจะเป็นโทษแก่ร่างกาย สิ้นเปลืองเงินทองแล้ว ยังเป็นการบ่มเพาะกิเลสหรือความหลงให้แก่จิตใจ ซึ่งชักนำความทุกข์มาให้ในที่สุด
ด้วยเหตุนี้ก่อนกินอาหาร เราจึงควรเตือนใจอยู่เสมอว่า กินเพื่ออะไร หรือกินอย่างไรจึงจะทำให้ชีวิตเจริญงอกงาม ขณะเดียวกันก็พึงระลึกถึงบุญคุณของผู้ที่ทำให้เรามีอาหารกินในวันนี้ รวมถึงสรรพชีวิตที่กลายมาเป็นอาหารของเรา การใช้ชีวิตไปในทางที่เป็นกุศล หมั่นทำความดีอยู่เสมอ เป็นวิธีหนึ่งที่จะตอบแทนบุญคุณของเขาเหล่านั้นได้
ข้อคิดคติสอนใจ ... จากพระท่าน ว.วชิรเมธี
ข้อคิดคติสอนใจ
(ถ้าใครสามารถน้อมนำมาคิดและปฏิบัติได้
มันก็จะเป็น สิ่งดี ๆ อีกสิ่งหนึ่งในชีวิตที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จ
และมีความสุขในชีวิตแบบพอเพียงได้)
สิ่งที่เราให้คนอื่น แท้จริงแล้วคือของที่เราฝากให้แก่ตนเองในวันข้างหน้า เช่น วันนี้เราด่าเขา วันข้างหน้าเราจะถูกเขาด่า วันนี้เราโกงเขา วันข้างหน้าเราจะถูกเขาโกง วันนี้เราเนรคุณเขา วันข้างหน้าเราจะถูกเขาเนรคุณ
ความดีที่ทำไว้ในหมู่คนพาลถึงมากมายมหาศาลก็สูญเปล่า การทำสิ่งดีๆใก้แก่คนที่ไม่เห็นคุณค่าก็ไม่ต่างอะไรกับการเทน้ำลงกองทราย ถึงเทอย่างไรก็ซึมหายหมด ดังนั้นจะทำดีกับใครควรใช้ปัญญาคิดให้รอบคอบ
คนใกล้ชิด เป็นศัตรู แม้กำแพง 7 ชั้น ก็ป้องกันไม่ได้ ศัตรูที่มาจากภายนอกต่อให้ยกมาถึง 9 ทัพ เราก็มองเห็นและเตรียมตัวทัน แต่ศัตรูที่มาจากคนในด้วยกันคือศัตรูที่อันตรายที่สุดเพราะเรามักมองไม่เห็น และไหวตัวไม่ทัน
เวลาเรือเอียงเรามักจะมองเห็นและแก้ไขได้ทันท่วงที แต่ความลำเอียงในใจคนมักถูกปกปิดอย่างมิดชิดและแสดงออกอย่างแยบยล กว่าจะรู้ว่าคนที่เรารักมากด้วยความลำเอียงบางครั้งมันก็สายเกินไป
ไม่มีแรงใดเสมอด้วยแรงกรรม แรงฟ้ามนุษย์แก้ได้ด้วยสายล่อฟ้า แรงน้ำมนุษย์แก้ด้วยการเปลี่ยนเส้นทางหรือสร้างกำแพงกั้นน้ำ แรงพายุมนุษย์แก้ได้ด้วยการปลูกป่า แต่แรงกรรมมีแต่ต้องก้มหน้ารับโดยส่วนเดียว
การมีความ สุขที่ก่อ ความทุกข์ให้คนอื่นั้นไม่ใช่ความสุขที่แท้ มันเป็นได้แค่ความสุขจากการเกาขอบแผลที่กำลังคัน ยิ่งเกาดูเหมือนยิ่งสุข แต่แท้ที่จริงมันคือความทุกข์ที่แฝงมาอย่างแนบเนียน
ดูข่าวการเมืองยิ่งดูยิ่งวุ่นวายยิ่งดูยิ่งฟุ้งซ่าน แต่หากกลับมาดูใจของตนอย่างมีสติ รู้เท่าทันทุกเรื่องที่คิด ทุกจิตที่ทำ ทุกคำที่พูด ทุกครั้งที่เคลื่อนไหว ความทุกข์มากมายจะดับลง ดูจิตวันละนิดจิตแจ่มใส
ทำบาตรแตก ถ้วยแตก ชามแตก แก้วแตก ยังดีกว่าทำให้คนแตกกันเนื่องเพราะวัตถุที่แตกแล้วสามารถประสานให้ดีดังเดิม ได้อย่างง่ายดาย แต่ถ้าคนแตกสามัคคีกันเป็นฝักฝ่ายแล้ว บางทีทั้งชีวิตก็ไม่สามารถสนิทสนมกันได้อีก
หวังว่า ข้อคิดคติสอนใจเหล่านี้ จะเป็นประโยชน์ แก่ทุกคนนะครับ
(ถ้าใครสามารถน้อมนำมาคิดและปฏิบัติได้
มันก็จะเป็น สิ่งดี ๆ อีกสิ่งหนึ่งในชีวิตที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จ
และมีความสุขในชีวิตแบบพอเพียงได้)
สิ่งที่เราให้คนอื่น แท้จริงแล้วคือของที่เราฝากให้แก่ตนเองในวันข้างหน้า เช่น วันนี้เราด่าเขา วันข้างหน้าเราจะถูกเขาด่า วันนี้เราโกงเขา วันข้างหน้าเราจะถูกเขาโกง วันนี้เราเนรคุณเขา วันข้างหน้าเราจะถูกเขาเนรคุณ
ความดีที่ทำไว้ในหมู่คนพาลถึงมากมายมหาศาลก็สูญเปล่า การทำสิ่งดีๆใก้แก่คนที่ไม่เห็นคุณค่าก็ไม่ต่างอะไรกับการเทน้ำลงกองทราย ถึงเทอย่างไรก็ซึมหายหมด ดังนั้นจะทำดีกับใครควรใช้ปัญญาคิดให้รอบคอบ
คนใกล้ชิด เป็นศัตรู แม้กำแพง 7 ชั้น ก็ป้องกันไม่ได้ ศัตรูที่มาจากภายนอกต่อให้ยกมาถึง 9 ทัพ เราก็มองเห็นและเตรียมตัวทัน แต่ศัตรูที่มาจากคนในด้วยกันคือศัตรูที่อันตรายที่สุดเพราะเรามักมองไม่เห็น และไหวตัวไม่ทัน
เวลาเรือเอียงเรามักจะมองเห็นและแก้ไขได้ทันท่วงที แต่ความลำเอียงในใจคนมักถูกปกปิดอย่างมิดชิดและแสดงออกอย่างแยบยล กว่าจะรู้ว่าคนที่เรารักมากด้วยความลำเอียงบางครั้งมันก็สายเกินไป
ไม่มีแรงใดเสมอด้วยแรงกรรม แรงฟ้ามนุษย์แก้ได้ด้วยสายล่อฟ้า แรงน้ำมนุษย์แก้ด้วยการเปลี่ยนเส้นทางหรือสร้างกำแพงกั้นน้ำ แรงพายุมนุษย์แก้ได้ด้วยการปลูกป่า แต่แรงกรรมมีแต่ต้องก้มหน้ารับโดยส่วนเดียว
การมีความ สุขที่ก่อ ความทุกข์ให้คนอื่นั้นไม่ใช่ความสุขที่แท้ มันเป็นได้แค่ความสุขจากการเกาขอบแผลที่กำลังคัน ยิ่งเกาดูเหมือนยิ่งสุข แต่แท้ที่จริงมันคือความทุกข์ที่แฝงมาอย่างแนบเนียน
ดูข่าวการเมืองยิ่งดูยิ่งวุ่นวายยิ่งดูยิ่งฟุ้งซ่าน แต่หากกลับมาดูใจของตนอย่างมีสติ รู้เท่าทันทุกเรื่องที่คิด ทุกจิตที่ทำ ทุกคำที่พูด ทุกครั้งที่เคลื่อนไหว ความทุกข์มากมายจะดับลง ดูจิตวันละนิดจิตแจ่มใส
ทำบาตรแตก ถ้วยแตก ชามแตก แก้วแตก ยังดีกว่าทำให้คนแตกกันเนื่องเพราะวัตถุที่แตกแล้วสามารถประสานให้ดีดังเดิม ได้อย่างง่ายดาย แต่ถ้าคนแตกสามัคคีกันเป็นฝักฝ่ายแล้ว บางทีทั้งชีวิตก็ไม่สามารถสนิทสนมกันได้อีก
หวังว่า ข้อคิดคติสอนใจเหล่านี้ จะเป็นประโยชน์ แก่ทุกคนนะครับ
เงาอุบาทว์พิฆาตสันติสุขของคนไทย โดย ว.ร. ฤทธาคนี
รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แถลงนโยบายไปเรียบร้อยแล้ว ไม่มีอะไรใหม่ เป็นภาพลวงตาที่ถูกนักวาดภาพจินตรัฐ สร้างบรรจงแต่งให้นางสาวยิ่งลักษณ์แถลง ไม่ต่างกับครั้งที่ทักษิณแถลงนโยบายรัฐครั้งแรกในปี พ.ศ. 2544 ที่เน้นในเรื่องการปราบทุจริตคอร์รัปชันในทุกวงการ การปราบยาเสพติด และการยกฐานะประชาชน โดยมีรายละเอียดต่างๆ แต่ทุกอย่างล้มเหลว โดยเฉพาะเรื่องการปราบทุจริตคอร์รัปชันนั้น ปรากฏขึ้นเมื่อทักษิณสั่งการให้ยุติการขุดคุ้ยการทุจริตซื้อที่ดินโครงการบำบัดน้ำเสียของนายวัฒนา อัศวเหม เมื่อ พ.ศ. 2545 ขณะที่หลายฝ่ายรับหลักการจากการแถลงนโยบายทั้งนอกสภาและในสภาของทักษิณ ขบวนการ NGO ต่อต้านทุจริตคอร์รัปชัน
หน่วยงานของรัฐและคณะทำงานของกลุ่มนายพล 53 คนที่บ้านพิษณุโลก ภายใต้การนำของ พล.อ.ดร.ชัยศึก เกตุทัต งงงวยมากกับการถอนคำพูดของเขา ที่สั่งการไว้ในตอนแรกว่าจัดการอย่างเด็ดขาด รวดเร็ว และไม่ต้องเกรงกลัวอิทธิพลใดๆ ทั้งสิ้น แต่มากลับลำเมื่อหลายส่วนงานประสานข้อมูลประมวลแล้วนายวัฒนามีความผิดแต่หลุดเพราะขายพรรคการเมืองให้ทักษิณ จนในที่สุดภายใต้รัฐบาลใหม่ของพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นำเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณาใหม่ และพบว่านายวัฒนา มีความผิดตามหลักฐานชัดเจน แต่นกรู้อย่างนายวัฒนา ไม่ยอมติดคุก เลยเผ่นหนีไปก่อนด้วยพลังลับทั้งหลายเหนือตาสีตาสาทั่วๆ ไป ซึ่งหากผิดถูกพิพากษาอย่างไรก็รับกรรมในคุก
การปราบปรามยาเสพติดช่วงแรกดูเหมือนดี แต่ต่อมากลายเป็นเรื่องของการฆ่าตัดตอน เพื่อมิให้มีการโยงถึง “ขาใหญ่ตัวจริง” และหลายกรณีเชื่อมโยงถึงตำรวจ ทำให้มีการสังหารคนในวงการ 2,500 คน โดยไม่มีการรายงานรายละเอียดของการวิสามัญฆาตกรรม หรือการสังหารกันเองจนเป็นเรื่องระดับโลก
การยกฐานะความเป็นอยู่ของประชาชนด้วยสิทธิประชานิยม และการลองส่งให้คนไทยใช้เงินในอนาคต เพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจเอื้ออำนวยนายทุนเล่นหุ้นทั้งหลาย ที่เครือข่ายการผลิตสินค้าบริโภคเชื่อมโยงกัน ทั้งที่ผลิตภายในประเทศ และผลิตภายนอกประเทศ จึงพบว่าประชาชนเป็นหนี้มาก ทำให้กลุ่มที่เชื่อในอุดมการณ์ เช่น สายกลางออกมารณรงค์ให้นำทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาประยุกต์ใช้ ขัดแย้งกับกลุ่มนายทุนสามานย์ที่สามารถตักตวงรายได้แบบได้เปล่าจากการปั่นหุ้น
ความเชื่อมโยงของตลาดหุ้นคึกคัก เพราะทุกอย่างมาจบลงที่พลังงาน และ ปตท.อันเป็นรัฐวิสาหกิจที่หลายคนในรัฐบาลทักษิณได้ประโยชน์จากที่แปรรูป คือ หุ้นของผู้มีพระคุณ ซึ่งกระจายอยู่ในหมู่นักลงทุนธุรกิจการเมือง เช่น นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตเลขาธิการพรรคไทยรักไทย และเป็นอดีตรัฐมนตรีอุตสาหกรรม และคมนาคม ซึ่งตักตวงจากดอกผลและลูกหุ้นของรัฐวิสาหกิจในอาณัติของกระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงคมนาคม
การละลายเงินภาษีรัฐที่มาจากประชาชนสู่ชนบทเฉพาะกลุ่มฐานการเมืองท้องถิ่น ดูเหมือนจะดี แต่มันเป็นเรื่อง “ฝนตกไม่ทั่วฟ้า” อยู่แล้ว เพราะไม่ใช่ทุกคนในหมู่บ้านในอุตสาหกรรม “หนึ่งผลิตภัณฑ์ หนึ่งตำบล” จะได้อานิสงส์โดยโดยทั่วหน้า แต่เงื่อนไขแฝงซึ่งสัมฤทธิ์ให้เห็นในกรณีคนเสื้อแดงภูธรออกมาร่วมการล้มรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ และสร้างเงื่อนไขต่อต้านสถาบัน และระบอบอำมาตย์ ที่แกนนำอุปโลกน์ขึ้นมาเพื่อปลุกระดมเพียงประการเดียว
แผนอุบาทว์ที่ดำเนินการควบคู่ไปกับการแถลงนโยบายของรัฐบาลน้องสาวทักษิณ ที่เป็นฉากละครใหญ่ที่มีการสร้างบทที่เลิศล้ำ และอุบาทว์นี้เป็นเงาพิฆาตความผาสุกของคนไทย
การที่มีการสร้างฉากข่าวการพบศพ 169 ศพ ที่จังหวัดระยอง โดยมีบัตรสนเท่ห์ส่งถึง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ทั้งสองจึงสั่งให้ พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผู้บัญชาการสำนักกฎหมายและคดี เดินทางไปตรวจสอบพื้นที่พบซากศพ ที่ อ.ห้วยยาง, อ.แกลง จ.ระยอง พล.ต.ท.สัณฐาน รายงานว่า ได้พบมีการนำศพมาฝังเป็นจำนวนมากบริเวณรอบวัดคลองตากวา ซึ่งพระอธิการวิรัตน์ อติวีโร เจ้าอาวาส ชี้แจงว่าเจ้าหน้าที่สมาคมพุทธศาสตร์สังเคราะห์ อ.แกลง นำศพมาจากจังหวัดชุมพร เพื่อนำมาฝังไว้ที่นี่ โดยใช้รถเทลเลอร์ 18 ล้อขนมา และขุดด้วยรถขุดดินแบคโฮ
ขณะที่ พล.ต.ท.สัณฐาน กล่าวอีกว่าต้องตรวจสอบโดยละเอียด เพราะไม่มีหลักฐานแสดงความถูกต้องทางกฎหมาย เช่น มรณบัตร และรายงานการเสียชีวิต
ซึ่งต่อมา พล.ต.ท.ก่อเกียรติ วงศ์วรชาติ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ออกมารายงานได้ตรวจสอบแล้ว พบว่ามีการเคลื่อนย้ายศพไม่มีญาติจาก อ.หลังสวน จ.ชุมพร โดยสมาคมพุทธประชัย หลังสวน จำนวน 165 ศพ จากหลายแหล่งในห้วงระยะ พ.ศ. 2541 – 2550 และนายธวัชชัย เทอดเผ่าไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง กล่าวภายหลังจากการประชุมให้กำลังใจสมาชิกสมาคมพุทธศาสตร์สงเคราะห์แกลง จ.ระยอง ว่า “ขบวนการขนศพนั้นถูกต้องชัดเจน โปร่งใส และชี้แจงรายละเอียดได้ และไม่ส่งผลกระทบต่องานบุญล้างป่าช้าของสมาคม”
งานนี้นายระพินทร์ พรานนท์สถิตย์ แกนนำเสื้อแดงระยอง แสดงภาวะผู้นำ โดยเข้าร่วมกับ พล.ต.ท.สัณฐาน แต่เรื่องกลับโอละพ่อ ซึ่ง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ถึงกับออกปากต่อว่า พล.ต.ท.สัณฐาน ว่า “อ้างชื่อเขาทำไม” และเสื้อแดงอย่างธิดา ถาวรเศรษฐ ก็เล่นละครตามด้วยการขยายผลสร้างกระแสให้เหมือนจริงว่า “เป็นศพคนเสื้อแดง” และนายเหวง โตจิราการ สามีก็สวมบทนายหน้าสร้างบทอุบาทว์ จี้รัฐบาลโดยตรงกับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ซึ่งยินดีต่อข่าวเช่นนี้อยู่แล้ว ให้จัดการเรื่องนี้เพราะเป็นเรื่องใหญ่ของชาติ
เมื่อเรื่องนี้ถูกพบว่าถูกกุขึ้นมา ทำไมรัฐบาลไม่ออกมาชี้แจงเป็นทางการ เพราะว่าข่าวบิดเบือนย่อมสร้างความเสียหายตั้งแต่ระดับชาติ ระดับภูมิภาค และระดับสมาคมผู้บำเพ็ญกุศล รวมทั้งหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องที่ไม่ได้จัดการสยบข่าวนี้อย่างทันทีทันใด เหมือนกับว่า “เป็นเรื่องเล็กๆ” ผลเสียหายเป็นกระแสกระทบกับระบอบการเมือง วัฒนธรรมระดับสากล และความเป็นอยู่พื้นฐานของคนระยองเอง
การเดินทางไปปาฐกถาของทักษิณที่ญี่ปุ่นนั้น ก็เป็นการสร้างฉากให้กับตัวเอง เพราะผู้เชิญเป็นนายมิชิโนะ คิโยชิ ประธานสถาบันเศรษฐกิจและวัฒนธรรมญี่ปุ่น จีน และอาเซียน ที่สมยอมกับบทบาทผู้ประสานผลประโยชน์ เชิญทักษิณให้ไปแสดงจุดยืนของตนเอง
แต่สถานะของทักษิณเป็นพี่ชายของนางสาวยิ่งลักษณ์นายกรัฐมนตรีไทย ทำให้การปาฐกถาของทักษิณศักดิ์สิทธิ์ในสายตาของนักธุรกิจญี่ปุ่นที่หวังแสวงโชคจากการนี้ได้อย่างเต็มที่ เพราะว่านายมิชิโนะ คิโยชิ ประธานสถาบัน สามารถประสานตรงกับผู้มีอำนาจรัฐ หรือตรงกับนางสาวยิ่งลักษณ์ แสดงถึงความชื่นชอบ ศรัทธา และเชื่อมั่นในตัวทักษิณ ของกลุ่มนักธุรกิจที่ไปร่วมชุมนุมกันที่สโมสรนักศึกษา
ทักษิณสร้างจุดยืนให้กับตัวเอง ด้วยการ “ยกตัวข่มท่าน” ว่าฉันคือพี่ชายของนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศ หรือนัยว่าฉันมีอำนาจพลังลับที่ยิ่งใหญ่ ฉันถูกใส่ร้ายเรื่องทุจริตคอร์รัปชัน ประเทศฉันต้องมีประชาธิปไตย นิติธรรม เสรีภาพในการแสดงออก และเศรษฐกิจดี
ทักษิณพูดถึงนิติธรรมหรือ Rule of Laws แต่ต่างกับ Ruled by Laws หรือปกครองโดยกฎหมาย
ผมว่านักกฎหมายจะต้องตีความวลีสองวลีนี้ให้ชัดเจนด้วย เพราะว่าผู้คนจะสับสน แต่ทั่วโลกนั้นปกครองด้วยกฎหมาย Ruled by Laws และเป็นมติรัฐ เช่น ในออสเตรเลีย ทุกอย่างอยู่ในกรอบกฎหมายทั้งสิ้น หรือในสหรัฐฯ บางรัฐทุกอย่างอยู่ภายใต้กฎหมายแม้กระทั่งการร่วมรัก
ขอให้พิจารณาเมื่อช่วงทักษิณครองอำนาจรัฐนั้นมีการออกกฎหมายที่หลายฉบับออกมาก็เพื่อให้ผลประโยชน์กับทักษิณและพวก เช่น กฎหมายภาษีหุ้นในคดีนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ถูกศาลอุทธรณ์คดีอาญาจำคุกนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ 2 ปี รอลงอาญา 1 ปีแม้คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภรรยาทักษิณนั้นศาลยกฟ้องแต่ยังมีศาลฎีกาอีก ขอให้คนไทยได้ตรวจสอบดู อย่าเพิ่งด่วนสรุป ทุกอย่างต้องตรวจสอบได้ด้วยเหตุผล หลักฐาน ข้อเท็จจริง บ้านเมืองจึงจะสงบสุข
หน่วยงานของรัฐและคณะทำงานของกลุ่มนายพล 53 คนที่บ้านพิษณุโลก ภายใต้การนำของ พล.อ.ดร.ชัยศึก เกตุทัต งงงวยมากกับการถอนคำพูดของเขา ที่สั่งการไว้ในตอนแรกว่าจัดการอย่างเด็ดขาด รวดเร็ว และไม่ต้องเกรงกลัวอิทธิพลใดๆ ทั้งสิ้น แต่มากลับลำเมื่อหลายส่วนงานประสานข้อมูลประมวลแล้วนายวัฒนามีความผิดแต่หลุดเพราะขายพรรคการเมืองให้ทักษิณ จนในที่สุดภายใต้รัฐบาลใหม่ของพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นำเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณาใหม่ และพบว่านายวัฒนา มีความผิดตามหลักฐานชัดเจน แต่นกรู้อย่างนายวัฒนา ไม่ยอมติดคุก เลยเผ่นหนีไปก่อนด้วยพลังลับทั้งหลายเหนือตาสีตาสาทั่วๆ ไป ซึ่งหากผิดถูกพิพากษาอย่างไรก็รับกรรมในคุก
การปราบปรามยาเสพติดช่วงแรกดูเหมือนดี แต่ต่อมากลายเป็นเรื่องของการฆ่าตัดตอน เพื่อมิให้มีการโยงถึง “ขาใหญ่ตัวจริง” และหลายกรณีเชื่อมโยงถึงตำรวจ ทำให้มีการสังหารคนในวงการ 2,500 คน โดยไม่มีการรายงานรายละเอียดของการวิสามัญฆาตกรรม หรือการสังหารกันเองจนเป็นเรื่องระดับโลก
การยกฐานะความเป็นอยู่ของประชาชนด้วยสิทธิประชานิยม และการลองส่งให้คนไทยใช้เงินในอนาคต เพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจเอื้ออำนวยนายทุนเล่นหุ้นทั้งหลาย ที่เครือข่ายการผลิตสินค้าบริโภคเชื่อมโยงกัน ทั้งที่ผลิตภายในประเทศ และผลิตภายนอกประเทศ จึงพบว่าประชาชนเป็นหนี้มาก ทำให้กลุ่มที่เชื่อในอุดมการณ์ เช่น สายกลางออกมารณรงค์ให้นำทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาประยุกต์ใช้ ขัดแย้งกับกลุ่มนายทุนสามานย์ที่สามารถตักตวงรายได้แบบได้เปล่าจากการปั่นหุ้น
ความเชื่อมโยงของตลาดหุ้นคึกคัก เพราะทุกอย่างมาจบลงที่พลังงาน และ ปตท.อันเป็นรัฐวิสาหกิจที่หลายคนในรัฐบาลทักษิณได้ประโยชน์จากที่แปรรูป คือ หุ้นของผู้มีพระคุณ ซึ่งกระจายอยู่ในหมู่นักลงทุนธุรกิจการเมือง เช่น นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตเลขาธิการพรรคไทยรักไทย และเป็นอดีตรัฐมนตรีอุตสาหกรรม และคมนาคม ซึ่งตักตวงจากดอกผลและลูกหุ้นของรัฐวิสาหกิจในอาณัติของกระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงคมนาคม
การละลายเงินภาษีรัฐที่มาจากประชาชนสู่ชนบทเฉพาะกลุ่มฐานการเมืองท้องถิ่น ดูเหมือนจะดี แต่มันเป็นเรื่อง “ฝนตกไม่ทั่วฟ้า” อยู่แล้ว เพราะไม่ใช่ทุกคนในหมู่บ้านในอุตสาหกรรม “หนึ่งผลิตภัณฑ์ หนึ่งตำบล” จะได้อานิสงส์โดยโดยทั่วหน้า แต่เงื่อนไขแฝงซึ่งสัมฤทธิ์ให้เห็นในกรณีคนเสื้อแดงภูธรออกมาร่วมการล้มรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ และสร้างเงื่อนไขต่อต้านสถาบัน และระบอบอำมาตย์ ที่แกนนำอุปโลกน์ขึ้นมาเพื่อปลุกระดมเพียงประการเดียว
แผนอุบาทว์ที่ดำเนินการควบคู่ไปกับการแถลงนโยบายของรัฐบาลน้องสาวทักษิณ ที่เป็นฉากละครใหญ่ที่มีการสร้างบทที่เลิศล้ำ และอุบาทว์นี้เป็นเงาพิฆาตความผาสุกของคนไทย
การที่มีการสร้างฉากข่าวการพบศพ 169 ศพ ที่จังหวัดระยอง โดยมีบัตรสนเท่ห์ส่งถึง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ทั้งสองจึงสั่งให้ พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผู้บัญชาการสำนักกฎหมายและคดี เดินทางไปตรวจสอบพื้นที่พบซากศพ ที่ อ.ห้วยยาง, อ.แกลง จ.ระยอง พล.ต.ท.สัณฐาน รายงานว่า ได้พบมีการนำศพมาฝังเป็นจำนวนมากบริเวณรอบวัดคลองตากวา ซึ่งพระอธิการวิรัตน์ อติวีโร เจ้าอาวาส ชี้แจงว่าเจ้าหน้าที่สมาคมพุทธศาสตร์สังเคราะห์ อ.แกลง นำศพมาจากจังหวัดชุมพร เพื่อนำมาฝังไว้ที่นี่ โดยใช้รถเทลเลอร์ 18 ล้อขนมา และขุดด้วยรถขุดดินแบคโฮ
ขณะที่ พล.ต.ท.สัณฐาน กล่าวอีกว่าต้องตรวจสอบโดยละเอียด เพราะไม่มีหลักฐานแสดงความถูกต้องทางกฎหมาย เช่น มรณบัตร และรายงานการเสียชีวิต
ซึ่งต่อมา พล.ต.ท.ก่อเกียรติ วงศ์วรชาติ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ออกมารายงานได้ตรวจสอบแล้ว พบว่ามีการเคลื่อนย้ายศพไม่มีญาติจาก อ.หลังสวน จ.ชุมพร โดยสมาคมพุทธประชัย หลังสวน จำนวน 165 ศพ จากหลายแหล่งในห้วงระยะ พ.ศ. 2541 – 2550 และนายธวัชชัย เทอดเผ่าไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง กล่าวภายหลังจากการประชุมให้กำลังใจสมาชิกสมาคมพุทธศาสตร์สงเคราะห์แกลง จ.ระยอง ว่า “ขบวนการขนศพนั้นถูกต้องชัดเจน โปร่งใส และชี้แจงรายละเอียดได้ และไม่ส่งผลกระทบต่องานบุญล้างป่าช้าของสมาคม”
งานนี้นายระพินทร์ พรานนท์สถิตย์ แกนนำเสื้อแดงระยอง แสดงภาวะผู้นำ โดยเข้าร่วมกับ พล.ต.ท.สัณฐาน แต่เรื่องกลับโอละพ่อ ซึ่ง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ถึงกับออกปากต่อว่า พล.ต.ท.สัณฐาน ว่า “อ้างชื่อเขาทำไม” และเสื้อแดงอย่างธิดา ถาวรเศรษฐ ก็เล่นละครตามด้วยการขยายผลสร้างกระแสให้เหมือนจริงว่า “เป็นศพคนเสื้อแดง” และนายเหวง โตจิราการ สามีก็สวมบทนายหน้าสร้างบทอุบาทว์ จี้รัฐบาลโดยตรงกับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ซึ่งยินดีต่อข่าวเช่นนี้อยู่แล้ว ให้จัดการเรื่องนี้เพราะเป็นเรื่องใหญ่ของชาติ
เมื่อเรื่องนี้ถูกพบว่าถูกกุขึ้นมา ทำไมรัฐบาลไม่ออกมาชี้แจงเป็นทางการ เพราะว่าข่าวบิดเบือนย่อมสร้างความเสียหายตั้งแต่ระดับชาติ ระดับภูมิภาค และระดับสมาคมผู้บำเพ็ญกุศล รวมทั้งหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องที่ไม่ได้จัดการสยบข่าวนี้อย่างทันทีทันใด เหมือนกับว่า “เป็นเรื่องเล็กๆ” ผลเสียหายเป็นกระแสกระทบกับระบอบการเมือง วัฒนธรรมระดับสากล และความเป็นอยู่พื้นฐานของคนระยองเอง
การเดินทางไปปาฐกถาของทักษิณที่ญี่ปุ่นนั้น ก็เป็นการสร้างฉากให้กับตัวเอง เพราะผู้เชิญเป็นนายมิชิโนะ คิโยชิ ประธานสถาบันเศรษฐกิจและวัฒนธรรมญี่ปุ่น จีน และอาเซียน ที่สมยอมกับบทบาทผู้ประสานผลประโยชน์ เชิญทักษิณให้ไปแสดงจุดยืนของตนเอง
แต่สถานะของทักษิณเป็นพี่ชายของนางสาวยิ่งลักษณ์นายกรัฐมนตรีไทย ทำให้การปาฐกถาของทักษิณศักดิ์สิทธิ์ในสายตาของนักธุรกิจญี่ปุ่นที่หวังแสวงโชคจากการนี้ได้อย่างเต็มที่ เพราะว่านายมิชิโนะ คิโยชิ ประธานสถาบัน สามารถประสานตรงกับผู้มีอำนาจรัฐ หรือตรงกับนางสาวยิ่งลักษณ์ แสดงถึงความชื่นชอบ ศรัทธา และเชื่อมั่นในตัวทักษิณ ของกลุ่มนักธุรกิจที่ไปร่วมชุมนุมกันที่สโมสรนักศึกษา
ทักษิณสร้างจุดยืนให้กับตัวเอง ด้วยการ “ยกตัวข่มท่าน” ว่าฉันคือพี่ชายของนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศ หรือนัยว่าฉันมีอำนาจพลังลับที่ยิ่งใหญ่ ฉันถูกใส่ร้ายเรื่องทุจริตคอร์รัปชัน ประเทศฉันต้องมีประชาธิปไตย นิติธรรม เสรีภาพในการแสดงออก และเศรษฐกิจดี
ทักษิณพูดถึงนิติธรรมหรือ Rule of Laws แต่ต่างกับ Ruled by Laws หรือปกครองโดยกฎหมาย
ผมว่านักกฎหมายจะต้องตีความวลีสองวลีนี้ให้ชัดเจนด้วย เพราะว่าผู้คนจะสับสน แต่ทั่วโลกนั้นปกครองด้วยกฎหมาย Ruled by Laws และเป็นมติรัฐ เช่น ในออสเตรเลีย ทุกอย่างอยู่ในกรอบกฎหมายทั้งสิ้น หรือในสหรัฐฯ บางรัฐทุกอย่างอยู่ภายใต้กฎหมายแม้กระทั่งการร่วมรัก
ขอให้พิจารณาเมื่อช่วงทักษิณครองอำนาจรัฐนั้นมีการออกกฎหมายที่หลายฉบับออกมาก็เพื่อให้ผลประโยชน์กับทักษิณและพวก เช่น กฎหมายภาษีหุ้นในคดีนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ถูกศาลอุทธรณ์คดีอาญาจำคุกนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ 2 ปี รอลงอาญา 1 ปีแม้คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภรรยาทักษิณนั้นศาลยกฟ้องแต่ยังมีศาลฎีกาอีก ขอให้คนไทยได้ตรวจสอบดู อย่าเพิ่งด่วนสรุป ทุกอย่างต้องตรวจสอบได้ด้วยเหตุผล หลักฐาน ข้อเท็จจริง บ้านเมืองจึงจะสงบสุข
การใช้เงินสำรองของประเทศกับความล่มจม โดย ไสว บุญมา
ทันทีที่รัฐบาลใหม่เข้าบริหารประเทศก็มีแนวคิดที่จะนำเงินสำรองของชาติออกมาใช้โดยเฉพาะในด้านพลังงาน พร้อมๆ กันนั้นก็เริ่มมีบทความตามหน้าสื่อที่สรุปแบบซื่อบื้อว่าอาร์เจนตินาไม่เคยมีปัญหาจากการใช้นโยบายประชานิยม เรื่องเหล่านี้จะมีความสัมพันธ์กันหรือไม่หรือเกิดขึ้นโดยบังเอิญยากที่จะพิสูจน์ ในฐานะที่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์การพัฒนาของอาร์เจนติมาพอควร ขอทบทวนคร่าวๆ ว่าอะไรเกิดขึ้นในประเทศนั้นและอะไรอาจเกิดกับเมืองไทยหากนักการเมืองเข้าไปจุ้นจ้านในการบริหารเงินสำรองของชาติ
อาร์เจนตินาเริ่มใช้นโยบายประชานิยมเมื่อปี 2459 อันเป็นตอนกลางสงครามโลกครั้งที่ 1 ในช่วงนั้นอาร์เจนตินาพัฒนาไปมากจนมีรายได้ไม่ต่างกับบรรดาประเทศก้าวหน้าในยุโรป เช่น ฝรั่งเศสและเยอรมนี อาร์เจนตินาแตกต่างกับประเทศเหล่านั้นในด้านโครงสร้างทางเศรษฐกิจ นั่นคือ รายได้ส่วนใหญ่เกิดจากการผลิตสินค้าเกษตรส่งขายเนื่องจากมีที่ดินกว้างใหญ่ในภูมิอากาศอันเหมาะสมกับการเลี้ยงสัตว์และปลูกพืชไร่ ส่วนประเทศในยุโรปพัฒนาโดยอาศัยการอุตสาหกรรม สินค้าเกษตรของอาร์เจนตินาที่ส่งออกไปขายจนทำให้อาร์เจนตินาร่ำรวยนั้นผลิตโดยชนชั้นเศรษฐีเจ้าของที่ดินขนาดใหญ่ มิใช่ผู้ถือครองที่ดินขนาดย่อมเช่นในเมืองไทย ชนชั้นเจ้าของที่ดินเหล่านั้นครอบงำการบริหารประเทศติดต่อกันเป็นเวลานานผ่านระบบการเลือกตั้ง ยังผลให้ชาวอาร์เจนตินาส่วนใหญ่เข้าไม่ถึงทั้งอำนาจทางเศรษฐกิจและอำนาจทางการเมือง
ในภาวะดังกล่าวมีนักการเมืองหัวใสเกิดขึ้นชื่อ ฮิโปลิโต อิริโกเยน เขามองทะลุว่าถ้าจะเอาชนะพวกเศรษฐีที่ดินในการเลือกตั้ง เขาจะต้องใช้นโยบายประชานิยมเพื่อเอาใจชาวอาร์เจนตินาส่วนใหญ่ที่เข้าไม่ถึงอำนาจด้วยการเสนอให้ของเปล่าต่างๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม กลยุทธ์ของเขาได้ผล เขาชนะการเลือกตั้งในปี 2459 และเริ่มนโยบายให้ของเปล่าแก่ชาวอาร์เจนตินาทันที เขาได้รับความนิยมมากจากชาวอาร์เจนตินา แต่เขาไม่สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งในปี 2465 ได้เนื่องจากรัฐธรรมนูญห้ามมิให้ประธานาธิบดีสืบทอดอำนาจทันที พรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งในปีนั้นพยายามยกเลิกนโยบายประชานิยมยังผลให้เป็นที่เกลียดชังของประชาชนผู้เสียประโยชน์ เมื่อถึงการเลือกตั้งปี 2471 ฮิโปลิโต อิริโกเยน ลงสมัครอีกและชนะการเลือกตั้งอย่างท่วมท้น แต่เขาอยู่ได้ไม่ครบ 6 ปีเพราะทหารยึดอำนาจหลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลกครั้งใหญ่หลวงในช่วงหลังตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกาล่มเมื่อปี 2472
หลังจากนั้นมา อาร์เจนตินาก็ปกครองผ่านการเลือกตั้งสลับกับเผด็จการทหารหลายครั้ง อย่างไรก็ตาม เผด็จการทหารก็ใช้นโยบายประชานิยมเพื่อเอาใจประชาชนซึ่งเสพติดนโยบายจำพวกให้ของเปล่านั้นอย่างรวดเร็ว ในภาวะเช่นนี้มีนายทหารคนหนี่งซึ่งมองการเมืองทะลุปรุโปร่งชื่อฮวน เปโรน เขาปูทางทุกอย่างในระหว่างที่เป็นทหารเพื่อนำไปสู่การเป็นประธานาธิบดี เขามีคู่คิดเป็นดาราหน้าตาดีและเป็นที่ชื่นชอบของชาวอาร์เจนตินา ต่อมาเป็นเธอที่รู้จักของชาวโลกตามชื่อเล่นของเธอซึ่งเป็นชื่อภาพยนตร์เรื่อง “เอวิตา”
ฮวน เปโรน ใช้นโยบายประชานิยมเข้าสู่อำนาจและมอมเมาชาวอาร์เจนตินาด้วยของเปล่าจนพวกเขาหลงใหลในขณะที่ไม่มีใครใส่ใจว่าเงินที่นำมาปิดงบประมาณขาดดุลจำนวนมากนั้นมาจากไหน ตอนที่เขาเข้าบริหารประเทศ อาร์เจนตินามีเงินสำรองจำนวนมหาศาล นั่นคือ มากกว่า 2 เท่าของเงินสำรองของประเทศละตินอเมริกาทั้งหมดรวมกัน ในเวลาเพียงไม่นานหลังประธานาธิบดีสั่งให้นำมาใช้เงินสำรองนั้นก็หมด เมื่อเงินสำรองหมด อาร์เจนตินาก็หายืมจากต่างประเทศ ยืมจนกระทั่งไม่มีใครให้ยืมอีกต่อไปก็เริ่มพิมพ์ธนบัตรออกมาใช้ชนิดทีละหลายเล่มเกวียน เพียงไม่นานอาร์เจนตินาก็ประสบปัญหาเงินเฟ้อชนิดสินค้าขึ้นราคาเป็นรายวัน วิกฤตครั้งนั้นพาอาร์เจนตินาไปสู่ความล้มละลายในปี 2499 หรือ 40 ปีหลังวันที่เริ่มใช้นโยบายประชานิยม
จากนั้นมา อาร์เจนตินาก็พัฒนาแบบล้มลุกคลุกคลานและล้มละลายอีกหลายครั้ง รวมทั้งครั้งล่าสุดคือการชักดาบหนี้ต่างประเทศจำนวน 9.3 หมื่นล้านดอลลาร์เมื่อปี 2544 ตอนนี้อาร์เจนตินาอาจเริ่มฟื้นตัวบ้างแล้ว แต่ผู้ที่สรุปว่าอาร์เจนตินาไม่เคยมีปัญหาเพราะประชานิยมคงไม่เคยศึกษาประวัติศาสตร์อย่างจริงจัง หากนั่งเทียนเขียนบทความตามใจชอบ หรือตามคำสั่งเพราะหวังอามิส
ทั้งหลายทั้งปวงนี้น่าจะชี้ให้เห็นว่าอะไรอาจเกิดขึ้นได้เมื่อนักการเมืองนำทุนสำรองของชาติออกมาใช้ ในฐานะที่เคยทำงานกับผู้เชี่ยวชาญด้านธนาคารกลางในต่างประเทศเป็นเวลานาน ขอฝากไว้ด้วยว่าชื่อเสียงของธนาคารแห่งประเทศไทยเกือบถูกทำลายหลังนักการเมืองปลาไหลเข้าไปจุ้นจ้านในกิจการของธนาคารเมื่อตนเป็นรัฐมนตรีคลัง ถ้าตอนนี้มีนักการเมืองเข้าไปจุ้นจ้านอีก ไม่เฉพาะชื่อเสียงของธนาคารเท่านั้นที่จะถูกทำลาย หากจะเป็นเมืองไทยทั้งประเทศ
อาร์เจนตินาเริ่มใช้นโยบายประชานิยมเมื่อปี 2459 อันเป็นตอนกลางสงครามโลกครั้งที่ 1 ในช่วงนั้นอาร์เจนตินาพัฒนาไปมากจนมีรายได้ไม่ต่างกับบรรดาประเทศก้าวหน้าในยุโรป เช่น ฝรั่งเศสและเยอรมนี อาร์เจนตินาแตกต่างกับประเทศเหล่านั้นในด้านโครงสร้างทางเศรษฐกิจ นั่นคือ รายได้ส่วนใหญ่เกิดจากการผลิตสินค้าเกษตรส่งขายเนื่องจากมีที่ดินกว้างใหญ่ในภูมิอากาศอันเหมาะสมกับการเลี้ยงสัตว์และปลูกพืชไร่ ส่วนประเทศในยุโรปพัฒนาโดยอาศัยการอุตสาหกรรม สินค้าเกษตรของอาร์เจนตินาที่ส่งออกไปขายจนทำให้อาร์เจนตินาร่ำรวยนั้นผลิตโดยชนชั้นเศรษฐีเจ้าของที่ดินขนาดใหญ่ มิใช่ผู้ถือครองที่ดินขนาดย่อมเช่นในเมืองไทย ชนชั้นเจ้าของที่ดินเหล่านั้นครอบงำการบริหารประเทศติดต่อกันเป็นเวลานานผ่านระบบการเลือกตั้ง ยังผลให้ชาวอาร์เจนตินาส่วนใหญ่เข้าไม่ถึงทั้งอำนาจทางเศรษฐกิจและอำนาจทางการเมือง
ในภาวะดังกล่าวมีนักการเมืองหัวใสเกิดขึ้นชื่อ ฮิโปลิโต อิริโกเยน เขามองทะลุว่าถ้าจะเอาชนะพวกเศรษฐีที่ดินในการเลือกตั้ง เขาจะต้องใช้นโยบายประชานิยมเพื่อเอาใจชาวอาร์เจนตินาส่วนใหญ่ที่เข้าไม่ถึงอำนาจด้วยการเสนอให้ของเปล่าต่างๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม กลยุทธ์ของเขาได้ผล เขาชนะการเลือกตั้งในปี 2459 และเริ่มนโยบายให้ของเปล่าแก่ชาวอาร์เจนตินาทันที เขาได้รับความนิยมมากจากชาวอาร์เจนตินา แต่เขาไม่สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งในปี 2465 ได้เนื่องจากรัฐธรรมนูญห้ามมิให้ประธานาธิบดีสืบทอดอำนาจทันที พรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งในปีนั้นพยายามยกเลิกนโยบายประชานิยมยังผลให้เป็นที่เกลียดชังของประชาชนผู้เสียประโยชน์ เมื่อถึงการเลือกตั้งปี 2471 ฮิโปลิโต อิริโกเยน ลงสมัครอีกและชนะการเลือกตั้งอย่างท่วมท้น แต่เขาอยู่ได้ไม่ครบ 6 ปีเพราะทหารยึดอำนาจหลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลกครั้งใหญ่หลวงในช่วงหลังตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกาล่มเมื่อปี 2472
หลังจากนั้นมา อาร์เจนตินาก็ปกครองผ่านการเลือกตั้งสลับกับเผด็จการทหารหลายครั้ง อย่างไรก็ตาม เผด็จการทหารก็ใช้นโยบายประชานิยมเพื่อเอาใจประชาชนซึ่งเสพติดนโยบายจำพวกให้ของเปล่านั้นอย่างรวดเร็ว ในภาวะเช่นนี้มีนายทหารคนหนี่งซึ่งมองการเมืองทะลุปรุโปร่งชื่อฮวน เปโรน เขาปูทางทุกอย่างในระหว่างที่เป็นทหารเพื่อนำไปสู่การเป็นประธานาธิบดี เขามีคู่คิดเป็นดาราหน้าตาดีและเป็นที่ชื่นชอบของชาวอาร์เจนตินา ต่อมาเป็นเธอที่รู้จักของชาวโลกตามชื่อเล่นของเธอซึ่งเป็นชื่อภาพยนตร์เรื่อง “เอวิตา”
ฮวน เปโรน ใช้นโยบายประชานิยมเข้าสู่อำนาจและมอมเมาชาวอาร์เจนตินาด้วยของเปล่าจนพวกเขาหลงใหลในขณะที่ไม่มีใครใส่ใจว่าเงินที่นำมาปิดงบประมาณขาดดุลจำนวนมากนั้นมาจากไหน ตอนที่เขาเข้าบริหารประเทศ อาร์เจนตินามีเงินสำรองจำนวนมหาศาล นั่นคือ มากกว่า 2 เท่าของเงินสำรองของประเทศละตินอเมริกาทั้งหมดรวมกัน ในเวลาเพียงไม่นานหลังประธานาธิบดีสั่งให้นำมาใช้เงินสำรองนั้นก็หมด เมื่อเงินสำรองหมด อาร์เจนตินาก็หายืมจากต่างประเทศ ยืมจนกระทั่งไม่มีใครให้ยืมอีกต่อไปก็เริ่มพิมพ์ธนบัตรออกมาใช้ชนิดทีละหลายเล่มเกวียน เพียงไม่นานอาร์เจนตินาก็ประสบปัญหาเงินเฟ้อชนิดสินค้าขึ้นราคาเป็นรายวัน วิกฤตครั้งนั้นพาอาร์เจนตินาไปสู่ความล้มละลายในปี 2499 หรือ 40 ปีหลังวันที่เริ่มใช้นโยบายประชานิยม
จากนั้นมา อาร์เจนตินาก็พัฒนาแบบล้มลุกคลุกคลานและล้มละลายอีกหลายครั้ง รวมทั้งครั้งล่าสุดคือการชักดาบหนี้ต่างประเทศจำนวน 9.3 หมื่นล้านดอลลาร์เมื่อปี 2544 ตอนนี้อาร์เจนตินาอาจเริ่มฟื้นตัวบ้างแล้ว แต่ผู้ที่สรุปว่าอาร์เจนตินาไม่เคยมีปัญหาเพราะประชานิยมคงไม่เคยศึกษาประวัติศาสตร์อย่างจริงจัง หากนั่งเทียนเขียนบทความตามใจชอบ หรือตามคำสั่งเพราะหวังอามิส
ทั้งหลายทั้งปวงนี้น่าจะชี้ให้เห็นว่าอะไรอาจเกิดขึ้นได้เมื่อนักการเมืองนำทุนสำรองของชาติออกมาใช้ ในฐานะที่เคยทำงานกับผู้เชี่ยวชาญด้านธนาคารกลางในต่างประเทศเป็นเวลานาน ขอฝากไว้ด้วยว่าชื่อเสียงของธนาคารแห่งประเทศไทยเกือบถูกทำลายหลังนักการเมืองปลาไหลเข้าไปจุ้นจ้านในกิจการของธนาคารเมื่อตนเป็นรัฐมนตรีคลัง ถ้าตอนนี้มีนักการเมืองเข้าไปจุ้นจ้านอีก ไม่เฉพาะชื่อเสียงของธนาคารเท่านั้นที่จะถูกทำลาย หากจะเป็นเมืองไทยทั้งประเทศ
แม่หลังคลอดกินอะไรตามศาสตร์แพทย์แผนไทย
เมื่อลูกน้อยถือกำเนิดลืมตามาดูโลก ความเป็นแม่ก็ถือกำเนิดขึ้นด้วยพร้อมๆ กัน ฉะนั้น คนเป็นแม่ก็ต้องดูแลตัวเองเป็นพิเศษ เพื่อให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สามารถดูแลลูกน้อยได้ “108 เคล็ดกิน” จึงมีเคล็ดลับดีๆ จากโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร มาฝากกัน
สำหรับคุณแม่ที่ตั้งครรภ์มาจนกระทั่งคลอดลูก ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ ดังนั้น อาหารที่กินเข้าไปก็จะต้องดูแลเป็นพิเศษด้วยเช่นกัน อย่างเช่น คุณแม่ที่ให้นมลูก ควรจะกินแกงเลียง ที่ใส่ใบแมงลัก ตำลึง และหัวปลีลงไปด้วย ซึ่งจะช่วยบำรุงน้ำนม และขับน้ำนม หรือจะเป็นแกงจืดตำลึง ผัดดอกกุยช่าย ยำหัวปลี ก็ช่วยขับน้ำนมด้วยเช่นกัน
ส่วนผัก ผลไม้ อื่นๆ ที่มีสรรพคุณช่วยบำรุงและขับน้ำนม อาทิ ฟักทอง มะละกอทั้งสุกและดิบ และน้ำคั้นจากขิง และใบกระเพรา ซึ่งมีฤทธิ์ร้อน จะช่วยเพิ่มน้ำนมให้มากขึ้น แต่สำหรับขิงควรใช้แต่น้อย แต่ถ้าใช้มากจะเป็นโทษมากกว่าคุณ
อาหารที่คุณแม่หลังคลอดไม่ควรกิน หรือควรงด คือ ควรงดอาหารรสจัด เผ็ดจัด ของหมักดอง หรืออาหารที่มีกลิ่นรุนแรง เช่น หัวหอมใหญ่ ซึ่งอาจส่งผลต่อลูกให้ร้องในสามเดือนแรก เพราะเกิดอาการจุกเสียด (Colic) และอาจทำให้คุณแม่ท้องเสีย ควรงดกินชะอม เพราะจะทำให้น้ำนมแห้ง
ควรงดกะหล่ำปลี และฝรั่ง เพราะอาจทำให้ท้องอืด กลิ่นและรสชาติของน้ำนมเปลี่ยนไป ซึ่งจะทำให้ลูกปฏิเสธไม่กินน้ำนมมารดา ควรงดกินว่านหางจระเข้ในช่วงตั้งครรภ์และระหว่างให้นมลูก เนื่องจากว่านหางจระเข้จะกระตุ้นการหดตัวของมดลูก
สุดท้าย ควรงดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ ช็อคโกแลต เครื่องดื่มบำรุงร่างกาย และน้ำอัดลม ซึ่งคาเฟอีนจะถูกขับออกทางน้ำนม ทำให้ลูกมีอาการตื่นเต้น กระวนกระวายไม่ยอมนอน นอกจากนี้ยังทำให้ปริมาณเหล็กในน้ำนมแม่ลดลงด้วย
สำหรับคุณแม่ที่ตั้งครรภ์มาจนกระทั่งคลอดลูก ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ ดังนั้น อาหารที่กินเข้าไปก็จะต้องดูแลเป็นพิเศษด้วยเช่นกัน อย่างเช่น คุณแม่ที่ให้นมลูก ควรจะกินแกงเลียง ที่ใส่ใบแมงลัก ตำลึง และหัวปลีลงไปด้วย ซึ่งจะช่วยบำรุงน้ำนม และขับน้ำนม หรือจะเป็นแกงจืดตำลึง ผัดดอกกุยช่าย ยำหัวปลี ก็ช่วยขับน้ำนมด้วยเช่นกัน
ส่วนผัก ผลไม้ อื่นๆ ที่มีสรรพคุณช่วยบำรุงและขับน้ำนม อาทิ ฟักทอง มะละกอทั้งสุกและดิบ และน้ำคั้นจากขิง และใบกระเพรา ซึ่งมีฤทธิ์ร้อน จะช่วยเพิ่มน้ำนมให้มากขึ้น แต่สำหรับขิงควรใช้แต่น้อย แต่ถ้าใช้มากจะเป็นโทษมากกว่าคุณ
อาหารที่คุณแม่หลังคลอดไม่ควรกิน หรือควรงด คือ ควรงดอาหารรสจัด เผ็ดจัด ของหมักดอง หรืออาหารที่มีกลิ่นรุนแรง เช่น หัวหอมใหญ่ ซึ่งอาจส่งผลต่อลูกให้ร้องในสามเดือนแรก เพราะเกิดอาการจุกเสียด (Colic) และอาจทำให้คุณแม่ท้องเสีย ควรงดกินชะอม เพราะจะทำให้น้ำนมแห้ง
ควรงดกะหล่ำปลี และฝรั่ง เพราะอาจทำให้ท้องอืด กลิ่นและรสชาติของน้ำนมเปลี่ยนไป ซึ่งจะทำให้ลูกปฏิเสธไม่กินน้ำนมมารดา ควรงดกินว่านหางจระเข้ในช่วงตั้งครรภ์และระหว่างให้นมลูก เนื่องจากว่านหางจระเข้จะกระตุ้นการหดตัวของมดลูก
สุดท้าย ควรงดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ ช็อคโกแลต เครื่องดื่มบำรุงร่างกาย และน้ำอัดลม ซึ่งคาเฟอีนจะถูกขับออกทางน้ำนม ทำให้ลูกมีอาการตื่นเต้น กระวนกระวายไม่ยอมนอน นอกจากนี้ยังทำให้ปริมาณเหล็กในน้ำนมแม่ลดลงด้วย
ททท.ชวนร่วมโครงการรักษ์ป่า ช่วยช้าง เขาอ่างฤาไน จ.ฉะเชิงเทรา
ททท.สำนักงานกรุงเทพมหานคร ร่วมกับจังหวัดฉะเชิงเทรา กรมอุทยานสัตว์ป่าและพันธุ์พืชกองทัพภาคที่ 1 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดโครงการ “รักษ์ป่า ช่วยช้าง เขาอ่างฤาไน จังหวัดฉะเชิงเทรา” เพื่อประชาสัมพันธ์ให้เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไนเป็นที่รู้จักในฐานะแหล่งท่องเที่ยวเพื่อการอนุรักษ์ และเป็นการรณรงค์ช่วยเหลือช้างป่าในเขตพื้นที่เขาอ่างฤาไน จังหวัดฉะเชิงเทรา
นางเยียรยง ไชยรัตน์ ผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน ซึ่งตั้งอยู่ตำบลคลองตะเกรา อำเภอท่าตะเกียบ จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นพื้นที่ผืนดินราบต่ำผืนสุดท้ายของประเทศที่มีเนื้อที่กว่า ๗ แสนไร่ มีความหลากหลายทางพรรณพืชและพันธุ์สัตว์ อีกทั้งยังเป็นสถานที่ จัดกิจกรรม CSR ขององค์กรต่างๆ มากมาย อาทิ กิจกรรมการสร้างฝายชะลอน้ำ การสร้างโป่งเทียม รวมถึงการเป็นแหล่งศึกษาธรรมชาติการดำรงชีวิตของสัตว์ป่า อาทิ นก ผีเสื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช้างป่า ซึ่งมีปริมาณมากที่สุดในประเทศไทย
ปัจจุบันพื้นที่ป่าเขาอ่างฤาไน มีประชากรช้างมากที่สุดในประเทศไทยถึง 270 ตัว ในขณะที่พื้นที่ป่าแห่งนี้รองรับประชากรช้างได้ประมาณ 160 ตัวเท่านั้น ปัญหาการขาดแคลนแหล่งน้ำและอาหาร จนทำให้ช้างต้องออกหาอาหารนอกเขตพื้นที่ป่ามากขึ้น จนเกิดความขัดแย้งระหว่างช้างป่าและชาวบ้านในพื้นที่เกษตรกรรมและด้วยพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่มีต่อช้าง ความว่า “ ช้างควรอยู่ในป่า เพียงแต่ต้องทำให้ป่านั้นมีอาหารเพียงพอ” จากพระราชดำริดังกล่าว จึงนำมาสู่การร่วมมือกันของภาครัฐ และประชาชนเพื่อช่วยเหลือช้าง ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนอาหารและแหล่งน้ำของช้างป่า ด้วยแนวคิดของคำว่า “การให้”ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญในการที่เราจะร่วมกันรักษาป่าไม้ และช่วยเหลือช้างป่า ที่ไม่เพียงแค่ “ให้ป่า” กลับมาอุดมสมบูรณ์ “ให้ช้าง” มีป่าอยู่ มีอาหารกิน แต่รวมไปถึง “การให้คนและช้าง” ต่างพึ่งพาอาศัยกันได้อย่างสมดุล
ดังนั้น ททท. จึงขอเชิญชวนผู้สนใจ ร่วมรักษ์ป่า ช่วยช้างเขาอ่างฤาไน โดยร่วมบริจาคทุนทรัพย์ เพื่อช่วยเหลือช้างป่าเขาอ่างฤาไน ผ่านบัญชี “รักษ์ป่า ช่วยช้าง เขาอ่างฤาไน จังหวัดฉะเชิงเทรา”บัญชีกระแสรายวัน ธนาคารกรุงไทย เลขที่บัญชี 980 433 2469 สาขาศาลากลางจังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อวันข้างหน้าจะได้มีผืนป่าอันสมบรูณ์ไว้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ให้ลูกหลานของเราได้ชื่นชม และมีช้าง สัตว์ป่าคู่บ้านคู่เมือง ให้คงอยู่
ผู้สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ททท. สำนักงานกรุงเทพมหานคร โทรศัพท์ 0-2250-2250 ต่อ 2991-7 หรือที่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน จังหวัดฉะเชิงเทรา โทรศัพท์ 0-3850-2001
นางเยียรยง ไชยรัตน์ ผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน ซึ่งตั้งอยู่ตำบลคลองตะเกรา อำเภอท่าตะเกียบ จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นพื้นที่ผืนดินราบต่ำผืนสุดท้ายของประเทศที่มีเนื้อที่กว่า ๗ แสนไร่ มีความหลากหลายทางพรรณพืชและพันธุ์สัตว์ อีกทั้งยังเป็นสถานที่ จัดกิจกรรม CSR ขององค์กรต่างๆ มากมาย อาทิ กิจกรรมการสร้างฝายชะลอน้ำ การสร้างโป่งเทียม รวมถึงการเป็นแหล่งศึกษาธรรมชาติการดำรงชีวิตของสัตว์ป่า อาทิ นก ผีเสื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช้างป่า ซึ่งมีปริมาณมากที่สุดในประเทศไทย
ปัจจุบันพื้นที่ป่าเขาอ่างฤาไน มีประชากรช้างมากที่สุดในประเทศไทยถึง 270 ตัว ในขณะที่พื้นที่ป่าแห่งนี้รองรับประชากรช้างได้ประมาณ 160 ตัวเท่านั้น ปัญหาการขาดแคลนแหล่งน้ำและอาหาร จนทำให้ช้างต้องออกหาอาหารนอกเขตพื้นที่ป่ามากขึ้น จนเกิดความขัดแย้งระหว่างช้างป่าและชาวบ้านในพื้นที่เกษตรกรรมและด้วยพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่มีต่อช้าง ความว่า “ ช้างควรอยู่ในป่า เพียงแต่ต้องทำให้ป่านั้นมีอาหารเพียงพอ” จากพระราชดำริดังกล่าว จึงนำมาสู่การร่วมมือกันของภาครัฐ และประชาชนเพื่อช่วยเหลือช้าง ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนอาหารและแหล่งน้ำของช้างป่า ด้วยแนวคิดของคำว่า “การให้”ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญในการที่เราจะร่วมกันรักษาป่าไม้ และช่วยเหลือช้างป่า ที่ไม่เพียงแค่ “ให้ป่า” กลับมาอุดมสมบูรณ์ “ให้ช้าง” มีป่าอยู่ มีอาหารกิน แต่รวมไปถึง “การให้คนและช้าง” ต่างพึ่งพาอาศัยกันได้อย่างสมดุล
ดังนั้น ททท. จึงขอเชิญชวนผู้สนใจ ร่วมรักษ์ป่า ช่วยช้างเขาอ่างฤาไน โดยร่วมบริจาคทุนทรัพย์ เพื่อช่วยเหลือช้างป่าเขาอ่างฤาไน ผ่านบัญชี “รักษ์ป่า ช่วยช้าง เขาอ่างฤาไน จังหวัดฉะเชิงเทรา”บัญชีกระแสรายวัน ธนาคารกรุงไทย เลขที่บัญชี 980 433 2469 สาขาศาลากลางจังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อวันข้างหน้าจะได้มีผืนป่าอันสมบรูณ์ไว้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ให้ลูกหลานของเราได้ชื่นชม และมีช้าง สัตว์ป่าคู่บ้านคู่เมือง ให้คงอยู่
ผู้สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ททท. สำนักงานกรุงเทพมหานคร โทรศัพท์ 0-2250-2250 ต่อ 2991-7 หรือที่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน จังหวัดฉะเชิงเทรา โทรศัพท์ 0-3850-2001
ทำชีวิตให้ช้าลง พระไพศาล วิสาโล
สารโกมล กรกฎาคม ๒๕๕๔
ทำชีวิตให้ช้าลง
พระไพศาล วิสาโล
แบ่งปันบน facebook Share
พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราพิจารณาธรรมชาติเสมือนครูของเรา เช่น ให้ไปอย่างเบาเหมือนกับนกที่มีเพียงแค่ปีก ๒ ข้างก็สามารถไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ อันนี้ท่านสอนพระให้มีสัมภาระน้อย เราลองสังเกตธรรมชาติ เขาจะสอนเราหลายอย่าง เช่น ต้นไม้ เวลาเดินกลางแดดเราเคยนึกสงสัยบ้างหรือเปล่า เราเดินแค่ ๒ ชั่วโมงก็เหนื่อยแล้ว แต่ต้นไม้นี่เขียวตลอดเลย ขนาดอยู่กลางแดด รับแดดเข้าไปเต็มๆ ก็ยังเขียวได้ มีต้นไม้บางต้นบอบบางแต่เขียว แถมผลิดอกสวยงาม
อาตมาเดินธรรมยาตราทุกปี ปีหนึ่งผ่านเส้นทางที่เป็นทางดินฝุ่นจับหนามาก ตอนนั้นเป็นตอนกลางวัน สองข้างทางมีแต่หญ้าเหลืองแห้ง พวกเราเดินไปก็รู้สึกห่อเหี่ยวไปด้วย แต่พอมาถึงจุดหนึ่งระหว่างห้วยลาดผักหนามกับซับสมบูรณ์ มีต้นประทัดจีนขึ้นอยู่ริมทาง ต้นเล็กๆ ดอกแดงสด แถมหันดอกให้กับพระอาทิตย์ พวกเราหลายคนพอเห็นแล้วรู้สึกเลยว่าดอกไม้ในใจเราเบ่งบานเลย เพราะเกิดกำลังใจว่าขนาดดอกเล็กๆ เขายังสู้แดดได้ และไม่ได้สู้แดดแบบฝืนทน แต่สู้แดดแบบร่าเริงแจ่มใส เราเสียอีกกลับห่อเหี่ยวเมื่อเจอแดด ทั้ง ๆ ที่เรียกตัวเองว่านักปฏิบัติธรรม พอเจอดอกประทัดจีนบาน ดอกไม้ในใจก็บาน หน้าก็บานด้วย เลยยิ้มกันใหญ่
แต่มีบางคนมองไม่เห็นดอกประทัดจีน เพราะมัวแต่กลุ้มใจ เอาแต่บ่นว่า ร้อนเหลือเกิน เมื่อไหร่จะถึง ถ้าคิดแบบนี้ก็ไม่เห็นหรอกแม้สองข้างทางจะสวยงามเพียงใดเพราะใจไม่ว่างแล้ว ใจอัดแน่นด้วยความทุกข์ เราจะเห็นภาพสวยงามชุ่มชื่นใจอย่างนี้ได้ก็ต่อเมื่อเราเปิดใจ แล้วเราก็จะเห็นธรรมชาติ เห็นความจริงที่เขาสอนและแสดงให้เราเห็น
นอกจากต้นไม้ทนต่อแดด สามารถเขียวสะพรั่งได้ตลอดวันแล้ว ต้นไม้ยังทำได้ยิ่งกว่านั้นอีก คือเปลี่ยนแดดให้กลายเป็นร่มเงา เปลี่ยนแดดให้กลายเป็นใบไม้ เปลี่ยนแดดให้กลายเป็นดอกไม้ที่สวยงามได้ ไม่มีแดดก็ไม่มีสีเขียว ไม่มีแดดก็ไม่มีดอกไม้ นี้เป็นความเก่งกาจของต้นไม้ นอกจากจะทนต่อแดดแล้ว ยังสามารถเปลี่ยนแดดมาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ด้วย พวกเราก็ได้รับประโยชน์จากความสามารถของต้นไม้ ถ้าต้นไม้ไม่มีความสามารถที่จะเปลี่ยนแดดร้อนให้กลายเป็นร่มเงาที่เย็น ดอกไม้ที่สวยงาม หรือผลไม้ที่หอมหวานได้ เราก็คงจะไม่สามารถอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ เขาสอนเรามากเลยนะ คือสอนเรื่องความเสียสละ เพราะว่าเขายอมทนแดดเพื่อให้ร่มเงาแก่เรา ให้ร่มเงาแก่สัตว์เล็กสัตว์น้อย เราจะมองว่าเขาฉลาดก็ได้ที่เปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี
คนเราถ้ารู้จักเปลี่ยนทุกข์ให้กลายเป็นสุข เปลี่ยนอุปสรรคให้กลายเป็นกำลังบำรุงใจเราก็จะไม่ด้อยกว่าต้นไม้เลย เปลี่ยนทุกข์ให้กลายเป็นสุขให้ได้ เปลี่ยนเคราะห์ให้กลายเป็นโชคให้ได้ ไม่ใช่แค่ใบเท่านั้นที่ทำอย่างนี้ได้ รากต้นไม้ก็ทำอย่างนี้ได้เหมือนกัน เราเอาขยะ เอาขี้หมา เอาซากเอาศพเน่าทิ้งลงไปที่โคนต้น ประเดี๋ยวรากก็จัดการเอง เปลี่ยนของที่เน่าเหม็นให้กลายเป็นดอกไม้ที่สวยงามหรือผลไม้ที่อร่อยได้
พวกเรา เคยไปเมืองจีนไหม ปุ๋ยที่เอามาทำสวน จนได้ผักใบงามๆ ผลไม้ลูกใหญ่ๆ ล้วนมาจากขี้ทั้งนั้น ที่เมืองจีนส้วมจะมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร คือไม่มีประตู มีแต่ฝาคั่นเป็นช่องๆ เวลาจะถ่ายเราก็หันหน้า ส่วนอุจจาระก็จะหล่นลงไปในราง แล้วชาวบ้านจะกวาดเก็บอุจจาระเหล่านี้มาทำปุ๋ย สวนผลไม้ สวนผักชอบปุ๋ยแบบนี้มาก อันนี้คือความสามารถของต้นไม้ ทั้งใบทั้งรากสามารถเปลี่ยนขยะปฏิกูลให้กลายเป็นของดีขึ้นมาได้
เวลาเราเดิน หากเราเดินช้าๆ จะช่วยให้ชีวิตเราเร่งรีบน้อยลง ชีวิตคนเราสมัยนี้เร่งรีบมาก เราเร่งรีบเพื่อจะได้ไปทำอีกอย่างหนึ่ง พอทำงานชิ้นที่ ๒ เราก็เร่งรีบอีกเพื่อไปทำงานชิ้นที่ ๓ กับชิ้นที่ ๓ เราก็เร่งรีบอีก กลายเป็นว่าเราเร่งรีบเพื่อจะไปเร่งรีบอีกอย่างหนึ่ง ไม่ได้มีเป้าหมายอะไรนอกจากนี้ ผลก็คือเรา กลายเป็นคนไม่มีเวลาว่าง แม้แต่ไปเที่ยวธรรมชาติก็รีบๆ คนสมัยนี้มีเครื่องทุ่นแรงทุ่นเวลามากมาย เพื่อทำอะไรให้เร็วๆ ให้เสร็จไวๆ แต่สุดท้ายก็ไม่มีเวลาว่างเลย ไม่มีเวลาแม้แต่จะพักผ่อน หรือมีเวลาให้กับพ่อแม่ลูกหลาน ตรงกันข้ามกับชาวบ้าน ชาวบ้านไม่ค่อยมีเครื่องทุ่นแรงทุ่นเวลา จะทำอะไรแต่ละอย่างๆ ใช้เวลามาก ไม่ว่า การเดินทาง การหุงหาอาหาร การตักน้ำ แต่ทำไมเขามีเวลาว่างเยอะ ลองสังเกตก็จะเห็นว่า เขามีเวลานอนเล่น กลับถึงบ้านเขาก็มีเวลาอยู่กับลูกกับหลาน ส่วนคนเมืองกลับไม่มีเวลาว่างทั้ง ๆ ที่รีบทุกอย่าง แปลกไหม ยิ่งรีบ กลับไม่มีเวลาว่าง ส่วนคนไม่รีบ กลับมีเวลาว่าง เราลองสังเกตดู
มาเดินธรรมยาตรา เราบ่นว่าใช้เวลาเดินเยอะเหลือเกิน ถ้านั่งรถครู่เดียวก็ถึงแล้ว แต่สิ่งที่เราสูญเสียไปกับการเร่งรีบนี้มีเยอะมาก เราเคยคิดบ้างหรือเปล่า การเร่งรีบดูเหมือนจะทำให้ประหยัดเวลา แต่นับวันเวลาว่างเรากลับมีน้อยลง การเร่งรีบยังทำให้เราสูญเสียหลายอย่าง เช่น สูญเสียความสงบใจ สูญเสียโอกาสที่จะเพ่งพินิจธรรมชาติตามรายทาง รวมทั้งสูญเสียโอกาสที่จะได้ใกล้ชิดกับผู้คน ไม่มีโอกาสพูดคุยกับผู้คน เดี๋ยวนี้เวลาไปเที่ยวต่างประเทศ เรารู้จักแต่สถานที่ โดยเฉพาะย่านช็อปปิ้ง แต่เราแทบไม่รู้จักกับผู้คนที่เป็นเจ้าของประเทศเลย เพราะเราไปกันแบบรีบๆ เลยไม่ได้มีโอกาสปฏิสัมพันธ์หรือเรียนรู้จากผู้คน เวลาไปต่างประเทศก็อยู่โรงแรม พอย่างท้าวออกจากโรงแรมก็ขึ้นรถทัวร์ ถึงสถานที่ท่องเที่ยวก็ลงรถ เที่ยวๆ เสร็จกลับมาขึ้นรถทัวร์ กลับมาพักโรงแรม เราถ่ายรูปเพื่อบอกใครว่าได้ไปสถานที่โน้นสถานที่นี้ แต่เรารู้จักคนที่เป็นเจ้าของประเทศบ้างหรือเปล่า
การขาดปฏิสัมพันธ์แบบนี้เป็นความขาดทุนอย่างหนึ่ง เพราะการมีปฏิสัมพันธ์กันทำให้เกิดความเข้าอกเข้าใจกัน รวมทั้งได้ซาบซึ้งกับน้ำใจของผู้คน เวลาเราเอาท้องฝากไว้กับคนอื่น มันจะทำให้เราเห็นน้ำใจของผู้คนมากขึ้น อย่างขบวนธรรมยาตรานี้ จะเรียกว่าเราเอาปากท้องฝากไว้กับชาวบ้าน กับผู้คนสองข้างทางก็ได้ เมื่อไรก็ตามที่เราทำอย่างนี้ เราจะเห็นน้ำใจของผู้คน คนที่นั่งรถ คนที่ทำอะไรเร็วๆ ไปถึงที่หมายเร็วๆ หรือนั่งรถทัวร์ จะไม่มีโอกาสได้สัมผัสน้ำใจแบบนี้เลย ประสบการณ์แบบนี้เป็นสิ่งมีค่า และอาจตราตรึงใจเราได้ไม่น้อยกว่าการได้เห็นสถานที่แปลกๆ ก็ได้
การได้เห็นสถานที่แปลกๆ ส่วนใหญ่ก็แค่ประทับไว้ในภาพถ่าย อาจถ่ายเป็นพันรูปแต่ไม่ได้กลับมาดูเลยก็ได้ หรืออาจจะดูแค่วันสองวันแล้วก็ลืมไป แต่สิ่งที่จะประทับอยู่ในใจเรานานก็คือเมตตาของผู้คน โดยเฉพาะเวลาตกระกำลำบากเราจะซาบซึ้งน้ำใจของเขามาก เวลาประสบความยากลำบากในต่างแดนแล้วมีคนช่วยเรา เราจะจำหน้าเขาได้ไม่ลืม ทุกวันนี้อาตมายังจำหน้าคนหลายคนที่ช่วยอาตมาตอนมีปัญหาได้ หากเราอยู่แต่ในบ้านเราจะไม่รู้สึกแบบนี้ เพราะเวลาเราอยู่บ้าน เราจะรู้สึกว่าเรามีทุกอย่าง เราเป็นใหญ่ในบ้าน ทุกอย่างเรียบร้อยเลิศเลอเพอร์เฟ็ค สบาย เราจะรู้สึกว่าเราเป็นคนสำคัญ ทุกอย่างอยู่ในอำนาจของเรา แต่พอเราไปต่างแดน ตัวเราจะเล็กลง เพราะเราไม่ใช่เจ้าบ้าน ยิ่งเราตกระกำลำบาก เราจะได้พบกับน้ำใจผู้คน และหากเราไปช้า ๆ เราจะได้เรียนรู้จากผู้คน ได้มีโอกาสพูดคุยกับเขา ประสบการณ์เหล่านี้ทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้น แม้จะต่างชาติ ต่างภาษา หรือต่างศาสนาก็ตาม
การเดินจึงมีหลายมิติมาก การท่องเที่ยวด้วยการเดินไปช้าๆ ทำให้ได้เห็นธรรมชาติ ได้อาศัยธรรมชาติเป็นครู และได้รู้จักผู้คนต่างชาติต่างภาษาที่อาจจะไม่ได้เจอกันอีกเลย เจอกันเพียงครั้งเดียว แต่อาจซาบซึ้งน้ำใจของเขาไปตลอดชีวิตเลยก็ได้
ที่มา : http://www.visalo.org/article/komol255407.htm
ทำชีวิตให้ช้าลง
พระไพศาล วิสาโล
แบ่งปันบน facebook Share
พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราพิจารณาธรรมชาติเสมือนครูของเรา เช่น ให้ไปอย่างเบาเหมือนกับนกที่มีเพียงแค่ปีก ๒ ข้างก็สามารถไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ อันนี้ท่านสอนพระให้มีสัมภาระน้อย เราลองสังเกตธรรมชาติ เขาจะสอนเราหลายอย่าง เช่น ต้นไม้ เวลาเดินกลางแดดเราเคยนึกสงสัยบ้างหรือเปล่า เราเดินแค่ ๒ ชั่วโมงก็เหนื่อยแล้ว แต่ต้นไม้นี่เขียวตลอดเลย ขนาดอยู่กลางแดด รับแดดเข้าไปเต็มๆ ก็ยังเขียวได้ มีต้นไม้บางต้นบอบบางแต่เขียว แถมผลิดอกสวยงาม
อาตมาเดินธรรมยาตราทุกปี ปีหนึ่งผ่านเส้นทางที่เป็นทางดินฝุ่นจับหนามาก ตอนนั้นเป็นตอนกลางวัน สองข้างทางมีแต่หญ้าเหลืองแห้ง พวกเราเดินไปก็รู้สึกห่อเหี่ยวไปด้วย แต่พอมาถึงจุดหนึ่งระหว่างห้วยลาดผักหนามกับซับสมบูรณ์ มีต้นประทัดจีนขึ้นอยู่ริมทาง ต้นเล็กๆ ดอกแดงสด แถมหันดอกให้กับพระอาทิตย์ พวกเราหลายคนพอเห็นแล้วรู้สึกเลยว่าดอกไม้ในใจเราเบ่งบานเลย เพราะเกิดกำลังใจว่าขนาดดอกเล็กๆ เขายังสู้แดดได้ และไม่ได้สู้แดดแบบฝืนทน แต่สู้แดดแบบร่าเริงแจ่มใส เราเสียอีกกลับห่อเหี่ยวเมื่อเจอแดด ทั้ง ๆ ที่เรียกตัวเองว่านักปฏิบัติธรรม พอเจอดอกประทัดจีนบาน ดอกไม้ในใจก็บาน หน้าก็บานด้วย เลยยิ้มกันใหญ่
แต่มีบางคนมองไม่เห็นดอกประทัดจีน เพราะมัวแต่กลุ้มใจ เอาแต่บ่นว่า ร้อนเหลือเกิน เมื่อไหร่จะถึง ถ้าคิดแบบนี้ก็ไม่เห็นหรอกแม้สองข้างทางจะสวยงามเพียงใดเพราะใจไม่ว่างแล้ว ใจอัดแน่นด้วยความทุกข์ เราจะเห็นภาพสวยงามชุ่มชื่นใจอย่างนี้ได้ก็ต่อเมื่อเราเปิดใจ แล้วเราก็จะเห็นธรรมชาติ เห็นความจริงที่เขาสอนและแสดงให้เราเห็น
นอกจากต้นไม้ทนต่อแดด สามารถเขียวสะพรั่งได้ตลอดวันแล้ว ต้นไม้ยังทำได้ยิ่งกว่านั้นอีก คือเปลี่ยนแดดให้กลายเป็นร่มเงา เปลี่ยนแดดให้กลายเป็นใบไม้ เปลี่ยนแดดให้กลายเป็นดอกไม้ที่สวยงามได้ ไม่มีแดดก็ไม่มีสีเขียว ไม่มีแดดก็ไม่มีดอกไม้ นี้เป็นความเก่งกาจของต้นไม้ นอกจากจะทนต่อแดดแล้ว ยังสามารถเปลี่ยนแดดมาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ด้วย พวกเราก็ได้รับประโยชน์จากความสามารถของต้นไม้ ถ้าต้นไม้ไม่มีความสามารถที่จะเปลี่ยนแดดร้อนให้กลายเป็นร่มเงาที่เย็น ดอกไม้ที่สวยงาม หรือผลไม้ที่หอมหวานได้ เราก็คงจะไม่สามารถอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ เขาสอนเรามากเลยนะ คือสอนเรื่องความเสียสละ เพราะว่าเขายอมทนแดดเพื่อให้ร่มเงาแก่เรา ให้ร่มเงาแก่สัตว์เล็กสัตว์น้อย เราจะมองว่าเขาฉลาดก็ได้ที่เปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี
คนเราถ้ารู้จักเปลี่ยนทุกข์ให้กลายเป็นสุข เปลี่ยนอุปสรรคให้กลายเป็นกำลังบำรุงใจเราก็จะไม่ด้อยกว่าต้นไม้เลย เปลี่ยนทุกข์ให้กลายเป็นสุขให้ได้ เปลี่ยนเคราะห์ให้กลายเป็นโชคให้ได้ ไม่ใช่แค่ใบเท่านั้นที่ทำอย่างนี้ได้ รากต้นไม้ก็ทำอย่างนี้ได้เหมือนกัน เราเอาขยะ เอาขี้หมา เอาซากเอาศพเน่าทิ้งลงไปที่โคนต้น ประเดี๋ยวรากก็จัดการเอง เปลี่ยนของที่เน่าเหม็นให้กลายเป็นดอกไม้ที่สวยงามหรือผลไม้ที่อร่อยได้
พวกเรา เคยไปเมืองจีนไหม ปุ๋ยที่เอามาทำสวน จนได้ผักใบงามๆ ผลไม้ลูกใหญ่ๆ ล้วนมาจากขี้ทั้งนั้น ที่เมืองจีนส้วมจะมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร คือไม่มีประตู มีแต่ฝาคั่นเป็นช่องๆ เวลาจะถ่ายเราก็หันหน้า ส่วนอุจจาระก็จะหล่นลงไปในราง แล้วชาวบ้านจะกวาดเก็บอุจจาระเหล่านี้มาทำปุ๋ย สวนผลไม้ สวนผักชอบปุ๋ยแบบนี้มาก อันนี้คือความสามารถของต้นไม้ ทั้งใบทั้งรากสามารถเปลี่ยนขยะปฏิกูลให้กลายเป็นของดีขึ้นมาได้
เวลาเราเดิน หากเราเดินช้าๆ จะช่วยให้ชีวิตเราเร่งรีบน้อยลง ชีวิตคนเราสมัยนี้เร่งรีบมาก เราเร่งรีบเพื่อจะได้ไปทำอีกอย่างหนึ่ง พอทำงานชิ้นที่ ๒ เราก็เร่งรีบอีกเพื่อไปทำงานชิ้นที่ ๓ กับชิ้นที่ ๓ เราก็เร่งรีบอีก กลายเป็นว่าเราเร่งรีบเพื่อจะไปเร่งรีบอีกอย่างหนึ่ง ไม่ได้มีเป้าหมายอะไรนอกจากนี้ ผลก็คือเรา กลายเป็นคนไม่มีเวลาว่าง แม้แต่ไปเที่ยวธรรมชาติก็รีบๆ คนสมัยนี้มีเครื่องทุ่นแรงทุ่นเวลามากมาย เพื่อทำอะไรให้เร็วๆ ให้เสร็จไวๆ แต่สุดท้ายก็ไม่มีเวลาว่างเลย ไม่มีเวลาแม้แต่จะพักผ่อน หรือมีเวลาให้กับพ่อแม่ลูกหลาน ตรงกันข้ามกับชาวบ้าน ชาวบ้านไม่ค่อยมีเครื่องทุ่นแรงทุ่นเวลา จะทำอะไรแต่ละอย่างๆ ใช้เวลามาก ไม่ว่า การเดินทาง การหุงหาอาหาร การตักน้ำ แต่ทำไมเขามีเวลาว่างเยอะ ลองสังเกตก็จะเห็นว่า เขามีเวลานอนเล่น กลับถึงบ้านเขาก็มีเวลาอยู่กับลูกกับหลาน ส่วนคนเมืองกลับไม่มีเวลาว่างทั้ง ๆ ที่รีบทุกอย่าง แปลกไหม ยิ่งรีบ กลับไม่มีเวลาว่าง ส่วนคนไม่รีบ กลับมีเวลาว่าง เราลองสังเกตดู
มาเดินธรรมยาตรา เราบ่นว่าใช้เวลาเดินเยอะเหลือเกิน ถ้านั่งรถครู่เดียวก็ถึงแล้ว แต่สิ่งที่เราสูญเสียไปกับการเร่งรีบนี้มีเยอะมาก เราเคยคิดบ้างหรือเปล่า การเร่งรีบดูเหมือนจะทำให้ประหยัดเวลา แต่นับวันเวลาว่างเรากลับมีน้อยลง การเร่งรีบยังทำให้เราสูญเสียหลายอย่าง เช่น สูญเสียความสงบใจ สูญเสียโอกาสที่จะเพ่งพินิจธรรมชาติตามรายทาง รวมทั้งสูญเสียโอกาสที่จะได้ใกล้ชิดกับผู้คน ไม่มีโอกาสพูดคุยกับผู้คน เดี๋ยวนี้เวลาไปเที่ยวต่างประเทศ เรารู้จักแต่สถานที่ โดยเฉพาะย่านช็อปปิ้ง แต่เราแทบไม่รู้จักกับผู้คนที่เป็นเจ้าของประเทศเลย เพราะเราไปกันแบบรีบๆ เลยไม่ได้มีโอกาสปฏิสัมพันธ์หรือเรียนรู้จากผู้คน เวลาไปต่างประเทศก็อยู่โรงแรม พอย่างท้าวออกจากโรงแรมก็ขึ้นรถทัวร์ ถึงสถานที่ท่องเที่ยวก็ลงรถ เที่ยวๆ เสร็จกลับมาขึ้นรถทัวร์ กลับมาพักโรงแรม เราถ่ายรูปเพื่อบอกใครว่าได้ไปสถานที่โน้นสถานที่นี้ แต่เรารู้จักคนที่เป็นเจ้าของประเทศบ้างหรือเปล่า
การขาดปฏิสัมพันธ์แบบนี้เป็นความขาดทุนอย่างหนึ่ง เพราะการมีปฏิสัมพันธ์กันทำให้เกิดความเข้าอกเข้าใจกัน รวมทั้งได้ซาบซึ้งกับน้ำใจของผู้คน เวลาเราเอาท้องฝากไว้กับคนอื่น มันจะทำให้เราเห็นน้ำใจของผู้คนมากขึ้น อย่างขบวนธรรมยาตรานี้ จะเรียกว่าเราเอาปากท้องฝากไว้กับชาวบ้าน กับผู้คนสองข้างทางก็ได้ เมื่อไรก็ตามที่เราทำอย่างนี้ เราจะเห็นน้ำใจของผู้คน คนที่นั่งรถ คนที่ทำอะไรเร็วๆ ไปถึงที่หมายเร็วๆ หรือนั่งรถทัวร์ จะไม่มีโอกาสได้สัมผัสน้ำใจแบบนี้เลย ประสบการณ์แบบนี้เป็นสิ่งมีค่า และอาจตราตรึงใจเราได้ไม่น้อยกว่าการได้เห็นสถานที่แปลกๆ ก็ได้
การได้เห็นสถานที่แปลกๆ ส่วนใหญ่ก็แค่ประทับไว้ในภาพถ่าย อาจถ่ายเป็นพันรูปแต่ไม่ได้กลับมาดูเลยก็ได้ หรืออาจจะดูแค่วันสองวันแล้วก็ลืมไป แต่สิ่งที่จะประทับอยู่ในใจเรานานก็คือเมตตาของผู้คน โดยเฉพาะเวลาตกระกำลำบากเราจะซาบซึ้งน้ำใจของเขามาก เวลาประสบความยากลำบากในต่างแดนแล้วมีคนช่วยเรา เราจะจำหน้าเขาได้ไม่ลืม ทุกวันนี้อาตมายังจำหน้าคนหลายคนที่ช่วยอาตมาตอนมีปัญหาได้ หากเราอยู่แต่ในบ้านเราจะไม่รู้สึกแบบนี้ เพราะเวลาเราอยู่บ้าน เราจะรู้สึกว่าเรามีทุกอย่าง เราเป็นใหญ่ในบ้าน ทุกอย่างเรียบร้อยเลิศเลอเพอร์เฟ็ค สบาย เราจะรู้สึกว่าเราเป็นคนสำคัญ ทุกอย่างอยู่ในอำนาจของเรา แต่พอเราไปต่างแดน ตัวเราจะเล็กลง เพราะเราไม่ใช่เจ้าบ้าน ยิ่งเราตกระกำลำบาก เราจะได้พบกับน้ำใจผู้คน และหากเราไปช้า ๆ เราจะได้เรียนรู้จากผู้คน ได้มีโอกาสพูดคุยกับเขา ประสบการณ์เหล่านี้ทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้น แม้จะต่างชาติ ต่างภาษา หรือต่างศาสนาก็ตาม
การเดินจึงมีหลายมิติมาก การท่องเที่ยวด้วยการเดินไปช้าๆ ทำให้ได้เห็นธรรมชาติ ได้อาศัยธรรมชาติเป็นครู และได้รู้จักผู้คนต่างชาติต่างภาษาที่อาจจะไม่ได้เจอกันอีกเลย เจอกันเพียงครั้งเดียว แต่อาจซาบซึ้งน้ำใจของเขาไปตลอดชีวิตเลยก็ได้
ที่มา : http://www.visalo.org/article/komol255407.htm
การกำจัดเห็บหมัดให้สุนัข
การกำจัดเห็บหมัดให้สุนัข นำเม็ดน้อยหน่ามาตำให้แตก แช่แอลกอฮอล์ ทิ้งไว้สักครู่ นำมาชโลมบนตัวสุนัขหลังอาบน้ำ แล้วเช็ดตัวให้แห้ง
จาก SMS Farmer Info by DTAC - 21 ส.ค.2554 - 11.12 น.
จาก SMS Farmer Info by DTAC - 21 ส.ค.2554 - 11.12 น.
การสังเกตปลาที่มีเห็บระฆัง
การสังเกตปลาที่มีเห็บระฆัง จะมีอาการดังต่อไปนี้ ปลาจะซึมลง ว่ายน้ำถูกับหินหรือตู้ หายใจลำบาก เมือกมากผิดปกติ
จาก SMS Farmer Info by DTAC - 27 ส.ค.2554 - 11.12 น.
จาก SMS Farmer Info by DTAC - 27 ส.ค.2554 - 11.12 น.
อาหารที่ผู้เป็นริดสีดวงทวาร ควรหลีกเลี่ยง
อาหารที่ผู้เป็นริดสีดวงทวาร ควรหลีกเลี่ยง คือ หอม กระเทียม พริกไทย พริกขิงสด เพราะอาหารเหล่านี้จะทำให้ท้องผูกเสี่ยงต่ออาการกำเริบได้
จาก SMS Farmer Info by DTAC - 28 ส.ค.2554 - 11.12 น.
จาก SMS Farmer Info by DTAC - 28 ส.ค.2554 - 11.12 น.
การรักษาเห็บระฆังในปลา
การรักษาเห็บระฆังในปลา ผสมเกลือกับน้ำให้ได้ความเข้มข้น 1% แล้วแช่ปลาไว้นาน 30 นาที ก็จะสามารถกำจัดเห็บระฆังได้
จาก SMS Farmer Info by DTAC - 28 ส.ค.2554 - 13.12 น.
จาก SMS Farmer Info by DTAC - 28 ส.ค.2554 - 13.12 น.
สูตรปุ๋ยเพิ่มขนาด + น้ำหนักกล้วยหอมทอง
สูตรปุ๋ยเพิ่มขนาด + น้ำหนักกล้วยหอมทอง ใช้เศษปลา 60 ก.ก.+พ.ด.2+น้ำเปล่า 10 ลิตร หมัก 30 วัน ก่อนนำไปรดโคนต้นทุก 7 วัน ให้ผสมปุ๋ย 10 ลิตร ต่อน้ำ 200 ลิตร
จาก SMS Farmer Info by DTAC - 29 ส.ค.2554 - 11.12 น.
จาก SMS Farmer Info by DTAC - 29 ส.ค.2554 - 11.12 น.
เทคนิคที่ชาวสวนองุ่นนิยมนำมาใช้เพิ่มคุณภาพ
เทคนิคที่ชาวสวนองุ่นนิยมนำมาใช้เพิ่มคุณภาพผลผลิตขององุ่นและทำให้มีรสหวานมากขึ้น คือ การใส่ปุ๋ยมูลค้างคาวในระยะที่ผลองุ่นเริ่มเปลี่ยนสี
จาก SMS Farmer Info by DTAC - 22 ส.ค.2554 - 11.12 น.
จาก SMS Farmer Info by DTAC - 22 ส.ค.2554 - 11.12 น.
เมื่อถึงฤดูน้ำหลากหรือน้ำท่วม
เมื่อถึงฤดูน้ำหลากหรือน้ำท่วม ควรป้องกันไม่ให้ปลาหนีออกจากบ่อโดยการขึงตาข่ายป้องกันรอบๆบ่อ
จาก SMS Farmer Info by DTAC - 30 ส.ค.2554 - 11.12 น.
จาก SMS Farmer Info by DTAC - 30 ส.ค.2554 - 11.12 น.
ควรให้อาหารกบช่วงเช้า
ควรให้อาหารกบช่วงเช้า/ เย็นที่มีอากาศอบอุ่น หรือมีแสงแดดส่งค่อนข้างร้อน เพราะกบจะกินอาหารดี และย่อยอาหารได้ดีมาก ป้องกันโรคท้องอืดได้
จาก SMS Farmer Info by DTAC - 23 ส.ค.2554 - 11.12 น.
จาก SMS Farmer Info by DTAC - 23 ส.ค.2554 - 11.12 น.
อีกหนึ่งสรรพคุณของขมิ้นชัน
อีกหนึ่งสรรพคุณของขมิ้นชันคือ ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร หากผู้ป่วยได้ทานขมิ้นชันติดต่อกันตั้งแต่ 4 สัปดาห์ขึ้นไปจะทำให้อาการดีขึ้น
จาก SMS Farmer Info by DTAC - 21 ส.ค.2554 - 11.12 น.
จาก SMS Farmer Info by DTAC - 21 ส.ค.2554 - 11.12 น.
เทคนิคกำจัดสิวแบบไร้รอยบุ๋มบนใบหน้า
เทคนิคกำจัดสิวแบบไร้รอยบุ๋มบนใบหน้า ใช้กระเทียมสะกิดหัวสิวออก หลังใช้เข็มเจาะ จากนั้นทำความสะอาดด้วยน้ำอุ่น พอกทับด้วยขมิ้นชัน+ใบบัวบก
จาก SMS Farmer Info by DTAC - 27 ส.ค.2554 - 11.12 น.
จาก SMS Farmer Info by DTAC - 27 ส.ค.2554 - 11.12 น.
วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2554
พ่อแม่คือพระอรหันต์ของลูก อย่ามัวทำบุญที่อื่นแต่ลืมพ่อแม่ตัวเอง
สวัสดีค่ะทุกคนที่อ่านไดอารี่หมอดู
ช่วงนี้ฝนตกเยอะทำให้เชื้อโรคเจริญเติบโตง่ายเลยค่ะ เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาพีร์พาแม่ไปเที่ยวทะเลมาค่ะ ดีนะคะที่ฝนตกวันอาทิตย์ตอนจะกลับพอดีเลย แต่ลูกชายก็ไม่วายเป็นไข้ ดูแลลูกไปดูแลลูกมาก็เลยติดมาด้วย บ้านนี้มีกรรมฆ่าสัตว์ติดตัวมากันทั้งบ้าน เลยชินที่คนที่บ้านไม่สบายบ่อยเหมือนกันค่ะ ก็จะหมั่นปล่อยสัตว์และทำบุญด้วยยากันเป็นประจำ ผลที่ได้คือเวลาไม่สบายอาจจะไม่ต้องถึงขั้นนอนโรงพยาบาล แค่ทานยาก็หายได้ค่ะ ไม่สบายครั้งนี้เล่นเอามึนดีเหมือนกันค่ะ คิดงานไดอารี่ส่งไม่ค่อยออกเลย มาคิดออกได้ตอนนาทีสุดท้ายค่ะ
เมื่อเย็นที่ผ่านมามีลูกค้าประจำโทรมาอัพเดทดวงของเธอว่าเป็นยังไงบ้าง ช่วงนี้เธอไปไหว้พระสวดมนต์ที่วัดได้ทุกวันศุกร์ แถมกลับมาที่บ้านยังได้ไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิทุกวัน มีโอกาสได้ทำบุญตลอดเลย เธอยากรู้ว่าเป็นยังไงบ้างเธอสว่างขึ้นบ้างหรือยัง พอเธอพูดเสร็จพีร์ก็อนุโมทนากับการกระทำของเธอค่ะ ทำในรูปแบบได้ดีมาก ๆ เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมาก ๆ
เธอเล่าให้ฟังอีกว่าเมื่อคืนเธอฝันเห็นหวย เธอเดินไปร้ายขายสลาก พ่อค้านำเสนอเลขที่ตรงกับในฝันของเธอเลย ตัดสินใจซื้อมาหลายใบปรากฏว่ามันออกตามที่เธอฝัน เธอเลยถามว่าจะเอาเงินก้อนนี้ไปทำบุญอะไรดี พีร์บอกพี่เขาให้ไปดูแลพ่อแม่ก่อนเป็นสิ่งแรก ยังไม่ต้องคิดจะไปทำอย่างอื่น
ดวงเธอมีจุดอ่อนเรื่องของการกตัญญูกับพ่อแม่ ชอบที่จะทำบุญแต่กับคนนอกบ้าน พอได้ทำจะมีความสุขมาก ๆ ทำบุญที่วัดถึงไหนถึงกัน หลักหลายหมื่นก็มีความสุขมาก ๆ สิ่งที่เธอพลาดครั้งใหญ่ในดวงเธอตั้งแต่ครั้งแรกคือ การเงินเธอมรณะ ทรัพย์สินรั่วง่ายมาก ๆ ไม่สามารถรักษาทรัพย์ที่หามาได้ ทั้งที่เงินเดือนที่ได้ก็เฉียดแสนได้ ตอนนี้เธออายุสี่สิบต้น ๆ เธอยังมีภาระทางการเงินจากที่เธอใช้เงินเกินตัวมาตลอด มาดูดวงครั้งแรกแนะนำเรื่องการใช้เงินให้บริหารเงินให้เป็น และเริ่มกตัญญูกับพ่อแม่ให้ได้ก่อน เธอจะมีข้ออ้างว่าเธอมีภาระหนี้สินที่ต้องใช้ ความจริงหนี้สินส่วนหนี้สิน ให้แม่ส่วนให้แม่ เวลาจะใช้จ่ายของในซุปเปอร์มาร์เก็ต หรือจะซื้ออะไรให้คิดนาน ๆ จะรอเงินให้แม่ตอนที่รวยก่อนคงเป็นไปไม่ได้
เธอยอมรับว่าไม่เคยคิดว่าจะให้แม่ก่อน จนกว่าเธอจะมีเงินเหลือเฟือ เธอคิดแบบนี้ผ่านมาจนเธออายุสี่สิบแล้ว เธอเล่าให้ฟังอีกว่าความคิดเห็นไม่เคยตรงกับแม่เลย ทุกวันนี้เธอไปไหว้พระสวดมนต์แทนที่แม่จะอนุโมทนา กลับมากระแนะกระแหนเธอต่างๆนานา ส่วนหนึ่งที่ทำให้เธอรู้สึกโกรธมาก คือแม่บอกว่าไปวัดทำบุญไม่เห็นจะมีเงินเก็บหรือจะมีเงินมากขึ้นกว่านี้เลย เธอวางแผนให้น้าไปกล่อมแม่ให้เขาใจเธอด้วย ว่าเธอมาถูกทางนะไม่ได้หลงทางเลย เพื่อที่จะไม่ให้แม่ขวางทางการปฏิบัติธรรมของเธอ ชีวิตตั้งแต่เกิดมาความเห็นของเธอกับแม่มันสวนทางกันตลอด แม้กระทั่งเรื่องทางธรรม ซึ่งพีร์แนะนำพี่เขาไปว่า แม่พูดถูกแล้วไม่ได้พูดผิดหรอกนะ การที่พี่จะให้แม่ยอมรับในตัวพี่ว่าธรรมะช่วยให้ชีวิตพี่ดีขึ้นได้นั้น ต้องมุ่งเน้นการแก้ไขขัดเกลาข้อบกพร่องของตัวเองก่อน ไม่ใช่ที่พี่ไหว้พระสวดมนต์ ถือศีล นั่งสมาธิ จะทำให้เขายอมรับว่าพี่ทำถูกทาง ความจริงการตักเตือนของแม่ถูกแล้ว ควรเอามาแก้ไขปรับปรุงก่อน เริ่มต้นจากการทำบุญกับแม่ก่อน เธอบอกว่าให้แม่ไปแม่ก็เอาไปช่วยญาติ ๆ ยามเธอเดือดร้อนแม่ไม่เห็นมาช่วยเธอบ้างเลย พีร์ถามกลับไปว่า ตอนเรียนหนังสือสมัยที่แม่พี่ส่งพี่เรียนจบ เขาเคยถามพี่ไหม ว่าพี่เอาเงินไปทำอะไรบ้าง บางทีเอาไปซื้อของไร้สาระ หรือเลี้ยงข้าวเพื่อนบ้าง ดังนั้นเงินที่ให้เขาไป จะคิดทำไมว่าเขาจะไปใช้อะไร ส่วนกรณีที่ทำไมเขาไม่ช่วยพี่ยามที่เดือดร้อน ตอนที่ทำงานหาเงินได้เคยให้เขาบ้างไหม ไม่เคยให้ และพี่เป็นคนที่ได้เงินเดือนเยอะ และส่วนตัวใช้จ่ายเงินไม่ระวังซื้อของฟุ่มเฟือยตลอด เธอก็พูดขึ้นมาว่าอย่างนั้นคงต้องแก้ที่ลูกพี่ด้วยแน่เลย เพราะลูกพี่ก็ใช้ฟุ่มเฟือยเหมือนกัน บอกว่าพี่เริ่มแก้ไขที่ตัวเองก่อนดีที่สุด วันหนึ่งลูกย่อมทำตามเราได้
เธอยอมรับว่าไม่เคยมองมุมนี้เลย เธอเอะใจขึ้นมานิดหนึ่ง เปรยออกมาว่าพี่สาวสองคนของเธอให้เงินแม่ตลอดทั้งที่มีเงินเดือนน้อยกว่าเธอ ทำไมถึงได้รวยกว่า เธอบอกว่าคงไม่สายเกินไปใช่ไหม บอกเธอว่าไม่สายค่ะ ตราบใดที่ยังเป็นมนุษย์กันอยู่
จุดหนึ่งคงไม่ได้แก้ไขกันง่าย ๆ ต้องใช้เวลาอยู่แล้ว แต่ต้องได้เริ่ม การที่เธอจะก้าวทางธรรมได้ดี ต้องไม่แบ่งแยกระหว่างที่บ้านกับวัดออกจากกัน ต้องใช้บ้านเป็นวัด ธรรมะที่จริงไม่ได้มีแบ่งแยก มีแต่ความลงตัวต่างหาก เธอสงสัยว่าแล้วธรรมะกับเงินส่วนตัวมันเกี่ยวกันตรงไหน ก็บอกเธอว่าเกี่ยวสิค่ะ เราจะก้าวหน้าทางธรรมะได้ดี เรื่องทางโลกต้องประสบความสำเร็จด้วย การประสบความสำเร็จได้หมายถึง การทำอะไรที่สูงเกินความสามารถ ทำงานที่เขามอบหมายมาให้ได้ดีไม่มีบกพร่อง การเงินส่วนตัวต้องใช้ให้เป็น ไม่ใช้เกินตัว การมีภาวะหนี้สินที่มากเกินไปจิตใจจะกระวนกระวาย ใจจะฟุ้งซ่านเยอะ ซึ่งเรื่องราวของพี่เขาไม่ได้เกิดจากบาปกรรมที่หาเงินไม่ได้ เกิดจากอยากได้อะไรแล้วใช้เงินซื้อตามความอยากต่างหาก
พีร์ยกตัวอย่างครูบาอาจารย์สองสามท่าน ที่ท่านใช้สมบัติบนโลกแบบไม่ได้เกินตัวให้ฟัง พี่เขาเริ่มเห็นภาพธรรมะที่แปลได้อีกย่างหนึ่งคือความเป็นธรรมดา ธรรมดาเรื่องง่าย ๆ พื้น ๆ คนไปทำให้มันสับสนวุ่นวายยุ่งยากเกินไปต่างหาก ตอนแรกพี่เขาแปลออกมาว่าสมถะเรียบง่าย นั้นหมายถึงลำบาก ๆ ซึ่งต้องยกคำของในหลวงมาใช้ค่ะ “พอเพียง” พอเพียงเรียบง่ายสมถะ ไม่ได้หมายถึงไม่มีของใช้ดี ๆ ไม่ได้ห้ามกินข้าวของอร่อย ๆ ไม่ได้ไม่ให้นอนที่นอนนุ่มสักหน่อยค่ะ แต่คือซื้อของแค่พออิ่ม พอใช้ เหลือเก็บ เหลือให้คนอื่นอีก
พอเพียงเป็นสิ่งที่ทำได้จริงค่ะ จุดเริ่มต้นสำหรับเธอคือ เริ่มทำดีกับที่บ้าน เรื่องลูกเรื่องในครอบครัวต้องทำให้แม่รู้สึกว่า เธอไม่ได้เป็นความบกพร่องหรือสร้างภาระให้คนอื่น และเน้นให้ใช้บ้านเป็นวัดไม่ใช่แยกออกจากกัน ถ้าเธอทำอย่างนี้ วันหนึ่งแม่จะยอมรับได้แน่นอน
ช่วงนี้ฝนตกเยอะทำให้เชื้อโรคเจริญเติบโตง่ายเลยค่ะ เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาพีร์พาแม่ไปเที่ยวทะเลมาค่ะ ดีนะคะที่ฝนตกวันอาทิตย์ตอนจะกลับพอดีเลย แต่ลูกชายก็ไม่วายเป็นไข้ ดูแลลูกไปดูแลลูกมาก็เลยติดมาด้วย บ้านนี้มีกรรมฆ่าสัตว์ติดตัวมากันทั้งบ้าน เลยชินที่คนที่บ้านไม่สบายบ่อยเหมือนกันค่ะ ก็จะหมั่นปล่อยสัตว์และทำบุญด้วยยากันเป็นประจำ ผลที่ได้คือเวลาไม่สบายอาจจะไม่ต้องถึงขั้นนอนโรงพยาบาล แค่ทานยาก็หายได้ค่ะ ไม่สบายครั้งนี้เล่นเอามึนดีเหมือนกันค่ะ คิดงานไดอารี่ส่งไม่ค่อยออกเลย มาคิดออกได้ตอนนาทีสุดท้ายค่ะ
เมื่อเย็นที่ผ่านมามีลูกค้าประจำโทรมาอัพเดทดวงของเธอว่าเป็นยังไงบ้าง ช่วงนี้เธอไปไหว้พระสวดมนต์ที่วัดได้ทุกวันศุกร์ แถมกลับมาที่บ้านยังได้ไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิทุกวัน มีโอกาสได้ทำบุญตลอดเลย เธอยากรู้ว่าเป็นยังไงบ้างเธอสว่างขึ้นบ้างหรือยัง พอเธอพูดเสร็จพีร์ก็อนุโมทนากับการกระทำของเธอค่ะ ทำในรูปแบบได้ดีมาก ๆ เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมาก ๆ
เธอเล่าให้ฟังอีกว่าเมื่อคืนเธอฝันเห็นหวย เธอเดินไปร้ายขายสลาก พ่อค้านำเสนอเลขที่ตรงกับในฝันของเธอเลย ตัดสินใจซื้อมาหลายใบปรากฏว่ามันออกตามที่เธอฝัน เธอเลยถามว่าจะเอาเงินก้อนนี้ไปทำบุญอะไรดี พีร์บอกพี่เขาให้ไปดูแลพ่อแม่ก่อนเป็นสิ่งแรก ยังไม่ต้องคิดจะไปทำอย่างอื่น
ดวงเธอมีจุดอ่อนเรื่องของการกตัญญูกับพ่อแม่ ชอบที่จะทำบุญแต่กับคนนอกบ้าน พอได้ทำจะมีความสุขมาก ๆ ทำบุญที่วัดถึงไหนถึงกัน หลักหลายหมื่นก็มีความสุขมาก ๆ สิ่งที่เธอพลาดครั้งใหญ่ในดวงเธอตั้งแต่ครั้งแรกคือ การเงินเธอมรณะ ทรัพย์สินรั่วง่ายมาก ๆ ไม่สามารถรักษาทรัพย์ที่หามาได้ ทั้งที่เงินเดือนที่ได้ก็เฉียดแสนได้ ตอนนี้เธออายุสี่สิบต้น ๆ เธอยังมีภาระทางการเงินจากที่เธอใช้เงินเกินตัวมาตลอด มาดูดวงครั้งแรกแนะนำเรื่องการใช้เงินให้บริหารเงินให้เป็น และเริ่มกตัญญูกับพ่อแม่ให้ได้ก่อน เธอจะมีข้ออ้างว่าเธอมีภาระหนี้สินที่ต้องใช้ ความจริงหนี้สินส่วนหนี้สิน ให้แม่ส่วนให้แม่ เวลาจะใช้จ่ายของในซุปเปอร์มาร์เก็ต หรือจะซื้ออะไรให้คิดนาน ๆ จะรอเงินให้แม่ตอนที่รวยก่อนคงเป็นไปไม่ได้
เธอยอมรับว่าไม่เคยคิดว่าจะให้แม่ก่อน จนกว่าเธอจะมีเงินเหลือเฟือ เธอคิดแบบนี้ผ่านมาจนเธออายุสี่สิบแล้ว เธอเล่าให้ฟังอีกว่าความคิดเห็นไม่เคยตรงกับแม่เลย ทุกวันนี้เธอไปไหว้พระสวดมนต์แทนที่แม่จะอนุโมทนา กลับมากระแนะกระแหนเธอต่างๆนานา ส่วนหนึ่งที่ทำให้เธอรู้สึกโกรธมาก คือแม่บอกว่าไปวัดทำบุญไม่เห็นจะมีเงินเก็บหรือจะมีเงินมากขึ้นกว่านี้เลย เธอวางแผนให้น้าไปกล่อมแม่ให้เขาใจเธอด้วย ว่าเธอมาถูกทางนะไม่ได้หลงทางเลย เพื่อที่จะไม่ให้แม่ขวางทางการปฏิบัติธรรมของเธอ ชีวิตตั้งแต่เกิดมาความเห็นของเธอกับแม่มันสวนทางกันตลอด แม้กระทั่งเรื่องทางธรรม ซึ่งพีร์แนะนำพี่เขาไปว่า แม่พูดถูกแล้วไม่ได้พูดผิดหรอกนะ การที่พี่จะให้แม่ยอมรับในตัวพี่ว่าธรรมะช่วยให้ชีวิตพี่ดีขึ้นได้นั้น ต้องมุ่งเน้นการแก้ไขขัดเกลาข้อบกพร่องของตัวเองก่อน ไม่ใช่ที่พี่ไหว้พระสวดมนต์ ถือศีล นั่งสมาธิ จะทำให้เขายอมรับว่าพี่ทำถูกทาง ความจริงการตักเตือนของแม่ถูกแล้ว ควรเอามาแก้ไขปรับปรุงก่อน เริ่มต้นจากการทำบุญกับแม่ก่อน เธอบอกว่าให้แม่ไปแม่ก็เอาไปช่วยญาติ ๆ ยามเธอเดือดร้อนแม่ไม่เห็นมาช่วยเธอบ้างเลย พีร์ถามกลับไปว่า ตอนเรียนหนังสือสมัยที่แม่พี่ส่งพี่เรียนจบ เขาเคยถามพี่ไหม ว่าพี่เอาเงินไปทำอะไรบ้าง บางทีเอาไปซื้อของไร้สาระ หรือเลี้ยงข้าวเพื่อนบ้าง ดังนั้นเงินที่ให้เขาไป จะคิดทำไมว่าเขาจะไปใช้อะไร ส่วนกรณีที่ทำไมเขาไม่ช่วยพี่ยามที่เดือดร้อน ตอนที่ทำงานหาเงินได้เคยให้เขาบ้างไหม ไม่เคยให้ และพี่เป็นคนที่ได้เงินเดือนเยอะ และส่วนตัวใช้จ่ายเงินไม่ระวังซื้อของฟุ่มเฟือยตลอด เธอก็พูดขึ้นมาว่าอย่างนั้นคงต้องแก้ที่ลูกพี่ด้วยแน่เลย เพราะลูกพี่ก็ใช้ฟุ่มเฟือยเหมือนกัน บอกว่าพี่เริ่มแก้ไขที่ตัวเองก่อนดีที่สุด วันหนึ่งลูกย่อมทำตามเราได้
เธอยอมรับว่าไม่เคยมองมุมนี้เลย เธอเอะใจขึ้นมานิดหนึ่ง เปรยออกมาว่าพี่สาวสองคนของเธอให้เงินแม่ตลอดทั้งที่มีเงินเดือนน้อยกว่าเธอ ทำไมถึงได้รวยกว่า เธอบอกว่าคงไม่สายเกินไปใช่ไหม บอกเธอว่าไม่สายค่ะ ตราบใดที่ยังเป็นมนุษย์กันอยู่
จุดหนึ่งคงไม่ได้แก้ไขกันง่าย ๆ ต้องใช้เวลาอยู่แล้ว แต่ต้องได้เริ่ม การที่เธอจะก้าวทางธรรมได้ดี ต้องไม่แบ่งแยกระหว่างที่บ้านกับวัดออกจากกัน ต้องใช้บ้านเป็นวัด ธรรมะที่จริงไม่ได้มีแบ่งแยก มีแต่ความลงตัวต่างหาก เธอสงสัยว่าแล้วธรรมะกับเงินส่วนตัวมันเกี่ยวกันตรงไหน ก็บอกเธอว่าเกี่ยวสิค่ะ เราจะก้าวหน้าทางธรรมะได้ดี เรื่องทางโลกต้องประสบความสำเร็จด้วย การประสบความสำเร็จได้หมายถึง การทำอะไรที่สูงเกินความสามารถ ทำงานที่เขามอบหมายมาให้ได้ดีไม่มีบกพร่อง การเงินส่วนตัวต้องใช้ให้เป็น ไม่ใช้เกินตัว การมีภาวะหนี้สินที่มากเกินไปจิตใจจะกระวนกระวาย ใจจะฟุ้งซ่านเยอะ ซึ่งเรื่องราวของพี่เขาไม่ได้เกิดจากบาปกรรมที่หาเงินไม่ได้ เกิดจากอยากได้อะไรแล้วใช้เงินซื้อตามความอยากต่างหาก
พีร์ยกตัวอย่างครูบาอาจารย์สองสามท่าน ที่ท่านใช้สมบัติบนโลกแบบไม่ได้เกินตัวให้ฟัง พี่เขาเริ่มเห็นภาพธรรมะที่แปลได้อีกย่างหนึ่งคือความเป็นธรรมดา ธรรมดาเรื่องง่าย ๆ พื้น ๆ คนไปทำให้มันสับสนวุ่นวายยุ่งยากเกินไปต่างหาก ตอนแรกพี่เขาแปลออกมาว่าสมถะเรียบง่าย นั้นหมายถึงลำบาก ๆ ซึ่งต้องยกคำของในหลวงมาใช้ค่ะ “พอเพียง” พอเพียงเรียบง่ายสมถะ ไม่ได้หมายถึงไม่มีของใช้ดี ๆ ไม่ได้ห้ามกินข้าวของอร่อย ๆ ไม่ได้ไม่ให้นอนที่นอนนุ่มสักหน่อยค่ะ แต่คือซื้อของแค่พออิ่ม พอใช้ เหลือเก็บ เหลือให้คนอื่นอีก
พอเพียงเป็นสิ่งที่ทำได้จริงค่ะ จุดเริ่มต้นสำหรับเธอคือ เริ่มทำดีกับที่บ้าน เรื่องลูกเรื่องในครอบครัวต้องทำให้แม่รู้สึกว่า เธอไม่ได้เป็นความบกพร่องหรือสร้างภาระให้คนอื่น และเน้นให้ใช้บ้านเป็นวัดไม่ใช่แยกออกจากกัน ถ้าเธอทำอย่างนี้ วันหนึ่งแม่จะยอมรับได้แน่นอน
ตถุมงคล ดีหรือไม่ดี ควรมีหรือไม่มี โดยพระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo เมื่อ 27 มีนาคม 2011
anut Udomhirun หลวงพ่อครับ ผมไม่เข้าใจ ในเรื่องวัตถุมงคลอ่ะครับ เช่น มี หลวงพ่อหลาย ๆ ท่านที่ดัง ๆ ท่านทำวัตถุมงคลออกมา แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีหลวงพ่ออีกหลาย ๆ คนมองว่ามันเป็นสิ่งไม่ดีทำให้คนลุ่มหลง ประมาณออกแนวแอนตี้อ่ะครับ ผมเลยไม่เข้าใจว่า ศาสนาพุทธเรา มีการ อนุญาติให้ทำวัตถุมงคลหรือเปล่าครับ
พระไพศาล วิสาโล พุทธศาสนาไม่ปฏิเสธวัตถุมงคล ถ้าใช้ให้เป็นก็มีประโยชน์ สมัยก่อนหลวงพ่อท่านจะให้วัตถุมงคลพร้อมกับแนะนำหรือกำชับให้คนรับหมั่นทำความดี หลีกเลี่ยงความชั่ว (วัตถุมงคลจะได้ศักดิ์สิทธิ์) แต่สมัยนี้วัตถุมงคลกลายเป็นสินค้า ใครมีก็ซื้อหามาได้ และไม่สนใจทำความดี กลายเป็นประมาทไป เพราะคิดว่าวัตถุมงคลจะป้องกันภัยหรือนำความร่ำรวยมาให้ ถ้าคิดอย่างนี้ วัตถุมงคลก็เป็นโทษ เพราะทำให้ประมาท ไม่รู้จักพึ่งตน หรือฝึกฝนพัฒนาตน แต่ถ้าใช้วัตถุมงคลให้เป็น ก็สามารถจะเป็นสะพานไปสู่ธรรม ทำให้มีกำลังใจในการทำความดีและการฝึกฝนตน หลวงพ่อหลายรูปที่ทำวัตถุมงคลก็เพราะเหตุนี้ แต่ตอนหลังก็ถูกลัทธิบริโภคนิยมฉวยโอกาสเอามาใช้เพื่อส่งเสริมกิเลสและความคิดแบบบริโภคนิยมก็มาก รวมทั้งสร้างกำไรให้แก่ผู้เกี่ยวข้องด้วย
พระไพศาล วิสาโล พุทธศาสนาไม่ปฏิเสธวัตถุมงคล ถ้าใช้ให้เป็นก็มีประโยชน์ สมัยก่อนหลวงพ่อท่านจะให้วัตถุมงคลพร้อมกับแนะนำหรือกำชับให้คนรับหมั่นทำความดี หลีกเลี่ยงความชั่ว (วัตถุมงคลจะได้ศักดิ์สิทธิ์) แต่สมัยนี้วัตถุมงคลกลายเป็นสินค้า ใครมีก็ซื้อหามาได้ และไม่สนใจทำความดี กลายเป็นประมาทไป เพราะคิดว่าวัตถุมงคลจะป้องกันภัยหรือนำความร่ำรวยมาให้ ถ้าคิดอย่างนี้ วัตถุมงคลก็เป็นโทษ เพราะทำให้ประมาท ไม่รู้จักพึ่งตน หรือฝึกฝนพัฒนาตน แต่ถ้าใช้วัตถุมงคลให้เป็น ก็สามารถจะเป็นสะพานไปสู่ธรรม ทำให้มีกำลังใจในการทำความดีและการฝึกฝนตน หลวงพ่อหลายรูปที่ทำวัตถุมงคลก็เพราะเหตุนี้ แต่ตอนหลังก็ถูกลัทธิบริโภคนิยมฉวยโอกาสเอามาใช้เพื่อส่งเสริมกิเลสและความคิดแบบบริโภคนิยมก็มาก รวมทั้งสร้างกำไรให้แก่ผู้เกี่ยวข้องด้วย
ก่อนกองทุนมั่งคั่งแห่งชาติจะล้วงเงินคลังหลวง!? โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
2 เรื่องที่มีความสำคัญ ซึ่งบรรจุอยู่ในนโยบายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่างเป็นทางการก็คือ การที่จะจัดตั้งกองทุนมั่งคั่งแห่งชาติ และจะเร่งเจรจากับกัมพูชาเพื่อสูบพลังงานใต้ผิวดินของท้องทะเลในอ่าวไทยมาใช้ให้เร็วที่สุด
นักธุรกิจและนักการเงินในรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ต่างจับตาจ้องหมายจะนำขุมทรัพย์ส่วนหนึ่งจากทุนสำรองระหว่างประเทศซึ่งมีสินทรัพย์อยู่ประมาณ 6.22 ล้านล้านบาท ไปลงทุนในกองทุนมั่งคั่ง ในอีกด้านหนึ่งก็เร่งเจรจาผลประโยชน์ทางพลังงานในอ่าวไทยซึ่งมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 5 ล้านล้านบาท
รวมวงเงินขุมทรัพย์ของชาติที่เกี่ยวข้องในการเดินหน้าครั้งนี้ไม่ต่ำกว่า 11 ล้านล้านบาท ซึ่งถือเป็นเม็ดเงินมหาศาล และผลประโยชน์มหาศาลที่จะต้องตอบคำถามหลายประการก่อนที่จะเดินหน้าต่อไป
เรื่องกองทุนมั่งคั่งที่คิดจะล้วงเงินจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 6.21 ล้านล้านบาทนั้น ประกอบไปด้วย สินทรัพย์ 2 ส่วนที่สำคัญคือ
1. สินทรัพย์ใน “ทุนสำรองเงินตรา” อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.เงินตรา พ.ศ. 2501 (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2545) ปัจจุบันมีสินทรัพย์อยู่ประมาณ 1.96 ล้านล้านบาท และ
2. สินทรัพย์ใน “ทุนสำรองทั่วไป” อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 อีกประมาณ 4.25 ล้านล้านบาท
ส่วนแรก คือ “ทุนสำรองเงินตรา” หรือที่หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เรียกว่า “คลังหลวง” ซึ่งเป็นระบบที่มีเอาไว้ให้หนุนหลังการพิมพ์ธนบัตรเงินบาทตั้งแต่บรรพบุรุษและบูรพมหากษัตริย์ที่ได้จัดเตรียมเอาไว้ เพื่อทำให้เกิดความเชื่อมั่นว่าเงินบาทที่พิมพ์ออกมาใช้นั้นมีมูลค่ามีสินทรัพย์หนุนหลังที่พร้อมแลกคืนได้ โดยไม่มีวันกลายเป็นกระดาษแบงก์กงเต็ก
โดยพระราชบัญญัติ เงินตรา พ.ศ.2501 (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2521) มาตรา 30 กำหนดให้สินทรัพย์ของทุนสำรองเงินตรา ไม่ว่าจะเป็น ทองคำ เงินตราต่างประเทศ พันธบัตรรัฐบาลในต่างประเทศ ฯลฯ จะต้องจัดดำรงไว้ให้มีค่ารวมกันทั้งสิ้นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60 ของจำนวนธนบัตรเงินบาทที่ออกใช้
“ทุนสำรองเงินตรา” ที่ใช้สำหรับการหนุนหลังการพิมพ์ธนบัตรเงินบาทนั้น ปรากฏอยู่ในฐานะการเงินประจำสัปดาห์สิ้นสุด ณ วันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2554 ว่ามีสินทรัพย์รวม 1.96 ล้านล้านบาท กระจายอยู่ใน 3 บัญชีซึ่งเป็นกลไกในการหนุนหลังมูลค่าของธนบัตรเงินบาท ได้แก่
1. บัญชีทุนสำรองเงินตรา ซึ่งมีทรัพย์สินหนุนหลังธนบัตรร้อยละ 100 มีอยู่จำนวน 1.21 ล้านล้านบาท
2. บัญชีผลประโยชน์ประจำปี ซึ่งเกิดขึ้นจากดอกผลในทุนสำรองเงินตราในแต่ละปี ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 4.9 พันล้านบาท ปัจจุบันดอกผลจากบัญชีนี้มามีส่วนร่วมในการทยอยชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินที่รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยได้ทำความเสียหายเอาไว้
3. บัญชีสำรองพิเศษซึ่งเป็นปราการด่านสุดท้าย ใช้สำหรับในยามจำเป็นเป็นครั้งคราวไป เช่น เพิ่มเติมในบัญชีทุนสำรองเงินตราในกรณีที่มีไม่เพียงพอในการพิมพ์ธนบัตร หรือในยามจำเป็น รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เคยออกพระราชกำหนดในปี พ.ศ. 2545 โอนสินทรัพย์จำนวน 165,000 ล้านบาทจากบัญชีนี้ นำไปใช้ล้างผลการขาดทุนของธนาคารแห่งประเทศไทยบางส่วน ซึ่งปัจจุบันทองคำประมาณ 13 ตัน ที่คณะลูกศิษย์ของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ได้บริจาคเพื่อเข้าคลังหลวง ก็อยู่บัญชีทุนสำรองพิเศษนี้เช่นกัน ปัจจุบันมีสินทรัพย์เหลืออยู่ประมาณ 7.46 แสนล้านบาท
จริงอยู่ที่ว่าวันนี้เงินบาทได้ลอยตัวไปแล้วไม่ได้ตรึงเอาไว้กับมูลค่าเงินสกุลเงินต่างประเทศเหมือนในอดีต ประกอบกับนับตั้งแต่ลอยค่าเงินบาทมูลค่าเงินบาทจึงเป็นไปตามกลไกลตลาด อีกทั้งประเทศไทยนับตั้งแต่ปี 2540 ก็กลายเป็นประเทศที่เกินดุลบัญชีเดินสะพัดมาโดยตลอด ด้วยเหตุนี้บางคนอาจจะคิดว่า “ทุนสำรองเงินตรา” จึงไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป
แต่ในความเป็นจริง “ทุนสำรองเงินตรา” คือหลักประกันความเสี่ยงว่าเงินบาทจะมีมูลค่าตามสินทรัพย์ที่หนุนหลัง และสามารถนำมาแก้ไขปัญหาวิกฤตของประเทศในอนาคต เพราะไม่มีใครรู้ได้ว่าวันข้างหน้าเศรษฐกิจไทยจะเป็นอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันหรือไม่?
ยกตัวอย่างเช่นหากประเทศไทยเปลี่ยนวิธีคิดจะ “กระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศให้มากกว่าการพึ่งการส่งออก” ในภาวะที่เศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศถดถอยตามนโยบายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ 1 และรัฐบาลชุดนี้ก็ประกาศแล้วว่าจะใช้นโยบายค่าเงินบาทแข็งเพื่อสู้กับปัญหาอัตราเงินเฟ้ออันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการใช้งบประมาณมหาศาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ผลก็คือประเทศไทยก็มีความเสี่ยงในอนาคตอีกที่อาจจะกลับมาขาดดุลการค้า ขาดดุลบัญชีเดินสะพัด หรือต่างชาติย้ายฐานการผลิตออกนอกประเทศไทย หรือเงินทุนไหลออกจากตลาดทุนของประเทศไทยอย่างฉับพลันเพื่อถอนทุนคืนจากการเก็งกำไรค่าเงินบาทเสร็จสิ้นแล้ว
แม้ว่าสถานการณ์ที่กล่าวมาข้างต้นนักการเงินอาจประเมินว่าอาจเกิดยากหรือหากจะเกิดก็คงจะใช้เวลาอีกนาน แต่การมีทุนสำรองเงินตราก็เป็นหลักประกันความเสี่ยงในอนาคตที่ยังมองไม่เห็นจึงย่อมเท่ากับเป็นการธำรงเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษที่ไม่ต้องการให้เงินบาทเสี่ยงกลายเป็นเศษกระดาษที่ไร้ค่า อีกทั้งยังทำให้ประเทศไทยมี “ทางเลือก” ในการจัดการหรือเปลี่ยนระบบค่าเงินบาทในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่โลกปั่นป่วนด้วยการเก็งกำไรและโจมตีค่าเงิน
“คลังหลวง” ของชาติมีความสำคัญอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์ จากเงินถุงแดงของล้นเกล้ารัชกาลที่ 3 มาจนเก็บรักษาเอาไว้อย่างดีในสมัยล้นเกล้ารัชกาลที่ 4 เมื่อรวมกับเงินทองบริจาคของล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ร่วมกับเจ้านายในวังเพื่อจ่ายให้กับฝรั่งเศสป้องกันไม่ให้ราชอาณาจักรสยามอยู่ภายใต้อาณานิคมของฝรั่งเศสและรักษาเอกราชเอาไว้ได้ มาจนถึงการวิวัฒนาการเป็นทุนสำรองเงินตรา ที่ช่วยเหลือวิกฤตปี 2540 ไม่ให้เงินบาทไร้ค่ากลายเป็นเศษกระดาษแบงก์กงเต็กจากการโจมตีค่าเงินบาทของต่างชาติมาแล้ว
เงินคลังหลวงจึงไม่ใช่เงินของธนาคารแห่งประเทศไทย และไม่ใช่เงินของรัฐบาล แต่เป็นเงินของคนไทยทั้งชาติ และคนที่น่าจะรู้ดีในเรื่องนี้ก็คือคนที่เคยต่อต้านการรวมบัญชีของแบงก์ชาติที่ชื่อ ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช ซึ่งปัจจุบันเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย ได้เคยเขียนบทความในเรื่องคลังหลวงเอาไว้ความตอนหนึ่งว่า:
“เรื่องเงินสำรองในส่วนที่ 1 (ทุนสำรองเงินตรา) นี้ไม่ใช่เงินเของแบงก์ชาติ หรือของรัฐบาล เป็นเงินของประเทศ เป็นของประชาชนไทยทุกคน ที่มีมานานแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2445 สมัยพระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ 5 ซึ่งทรงเริ่มพิมพ์ธนบัตรออกใช้ โดยมีเงินตราต่างประเทศ ส่วนนี้หนุนการพิมพ์ธนบัตร เพิ่งจะโอนเงินสำรองฯ ในส่วนที่ 1 (ทุนสำรองเงินตรา) นี้ให้แบงก์ชาติดูแลเมื่อ ปี พ.ศ. 2485 คือ โอนการพิมพ์ธนบัตรให้แบงก์ชาติเป็นผู้ดูแล โดยใช้เงินส่วนนี้หนุนหลัง แล้วเงินส่วนนี้ก็เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไปฝากแล้วได้ดอกเบี้ย
ประชาชนไทยจึงควรทราบว่าเงิน 27,000 ล้านดอลลาร์ (ในเวลานั้น) เป็นสมบัติส่วนรวมของทุกคน ดังนั้นที่พระอาจารย์หลวงตามหาบัวพูดไว้นั้น ท่านพูดถูก เพราะท่านไม่ได้พูดเฉพาะเงินที่ท่านนำมาบริจาค แต่ท่านพูดถึงเงินคลังหลวง คือเงิน 27,000 ล้านดอลลาร์นี้ ว่าเอาเงินนี้ไปรวมบัญชีจะเสียหาย ท่านอาจมองเห็นอะไรในอนาคตที่ท่านกังวลอยู่ ท่านได้พยายามหาเงินบริจาคมาตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2541 ไว้เพื่อเป็นยันต์ปิดฝาโอ่งที่เก็บเงินคลังหลวงนี้ เพื่อไว้ให้เป็นสมบัติของลูกหลาน ไว้ค้ำประกันค่าเงินบาทและความมั่นคงของเศรษฐกิจไทย”
จึงไม่น่าแปลกใจนักถ้า ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช เป็นถึงหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย จึงไม่มีตำแหน่งใดๆ ในรัฐบาล เพราะหากเห็นด้วยกับรัฐบาลในการดึงเงินคลังหลวงมาใช้ก็ย่อมอาจถูกประชาชนทวงถาม ประณาม และตราหน้าว่ากลืนน้ำลายตัวเอง และหากไม่เห็นด้วยก็น่าจะอึดอัดหากรับตำแหน่งใดๆ ในรัฐบาล
“ทุนสำรองเงินตรา”นี้ได้มีกฎหมาย พ.ร.บ.เงินตรา พ.ศ. 2501 ดูแลสินทรัพย์นี้แยกออกมาจากสินทรัพย์ของธนาคารแห่งประเทศไทยต่างหาก โดยเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2523 ศ.ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้ทำบันทึกการตีความกฎหมายเกี่ยวกับ “ทุนสำรองเงินตรา” ตาม พ.ร.บ.เงินตรา พ.ศ. 2501 ความตอนหนึ่งว่า:
“ตามบทบัญญัติของกฎหมายที่กล่าวมาแล้วนี้แสดงให้เห็นว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยจะกระทำการผูกพันทรัพย์อันเป็นทุนสำรองเงินตราหรือใช้ผลประโยชน์แห่งทุนสำรองเงินตราให้ผิดไปจากที่กฎหมายบัญญัติไว้มิได้ และ “ทุนสำรองเงินตรา” มิใช่กรรมสิทธิ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย”
ส่วนที่สอง คือ ทุนสำรองทั่วไป ซึ่งเป็นอีกส่วนหนึ่งของทุนสำรองระหว่างประเทศที่หักทุนสำรองเงินตราออกไปแล้วอยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2545 เป็นการดูแลบริหารจัดการโดยธนาคารแห่งประเทศไทยโดยตรง หรือที่เรียกว่าฝ่ายธนาคาร ปัจจุบันมีสินทรัพย์รวม 4.25 ล้านล้านบาท
ฝ่ายธนาคารของธนาคารแห่งประเทศไทย ได้เคยนำทุนสำรองระหว่างประเทศในส่วนที่ตัวเองดูแล (ฝ่ายการธนาคาร) ไปปกป้องค่าเงินบาทจากการโจมตีจนหมดทุนสำรองระหว่างประเทศมาแล้ว และประเทศไทยโชคดีที่ยังเหลือทุนสำรองเงินตรา (เงินคลังหลวง) ของบรรพบุรุษที่ค้ำจุนเงินบาทเอาไว้
แต่นับตั้งแต่ลอยค่าเงินบาทในปี 2540 มาจนถึงปัจจุบันประเทศไทยกลับมาเป็นประเทศที่เกินดุลการค้าและเกินดุลบัญชีเดินสะพัดมาโดยตลอด โดยทุนสำรองระหว่างประเทศมาจากการเกินดุลการค้า 3 ล้านล้านบาท เกินดุลบริการ (เช่นการท่องเที่ยว) อีกประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท เป็นผลทำให้ทุนสำรองระหว่างประเทศมาจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดนับตั้งแต่ลอยค่าเงินบาทจนถึงปัจจุบันสะสมได้ถึง 4.1 ล้านล้านบาท
ซึ่งแน่นอนว่าหากธนาคารแห่งประเทศไทยต้องการเพิ่มปริมาณเงินบาท ก็สามารถนำเงินทุนสำรองทั่วไป ไปเติมให้กับทุนสำรองเงินตราเพื่อพิมพ์เงินบาทเพิ่มปริมาณขึ้นได้ แต่ในขณะเดียวกันด้วยการบริหารงานของธนาคารแห่งประเทศไทยก็มักจะควบคุมดูดซับสภาพคล่องทางการเงินโดยการออกพันธบัตรของธนาคารแห่งประเทศไทยหรือกู้ยืมเงินบาทเพื่อไม่ให้มีเงินบาทมากเกินไป และไม่ให้มีอัตราเงินเฟ้อมากเกินไปและอยู่ในขอบเขตเงินเฟ้อที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ตั้งเป้าหมายเอาไว้
และกฎหมายก็ให้อำนาจธนาคารแห่งประเทศไทยไปเก็บสินทรัพย์ได้หลายประเภท ทั้งทองคำ, เงินตราต่างประเทศ, พันธบัตรรัฐบาลต่างประเทศ แม้จะมีอัตราผลตอบแทนไม่มากนัก แต่อย่างน้อยการถือสินทรัพย์เหล่านี้เน้นในเรื่องความมั่นคงทางทรัพย์สินมากกว่าอัตราผลตอบแทน
โจทย์สำคัญคือรัฐบาลคิดจะตั้งกองทุนมั่งคั่งแห่งชาติโดยจะนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศไม่ว่าจะมาจาก “ทุนสำรองเงินตรา” หรือ “ทุนสำรองทั่วไป” มาใช้นั้นคงไม่ใช่เรื่องง่ายนักเพราะหากจะทำจริงคงต้องมีการแก้ไขกฎหมายหรือออกกฎหมาย หรือไม่ก็ต้องหาทางเปลี่ยนคณะกรรมการและผู้บริหารของธนาคารแห่งประเทศไทยเสียก่อน
แม้รัฐบาลอาจจะมีเสียงในสภาข้างมาก แต่ถ้าหากรัฐบาลคิดจะล้วงเงินจาก “คลังหลวง” หรือทุนสำรองเงินตรา ซึ่งมีสินทรัพย์ 1.96 ล้านล้านบาท โดยการแก้ไขกฎมาย พ.ร.บ.เงินตรา ก็ดี หรือการออกพระราชกำหนดล้วงเงินจากทุนสำรองเงินตราก็ดี รับรองได้ว่าต้องเผชิญหน้ากับลูกศิษย์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน จำนวนมหาศาล ซึ่งมีอยู่ทั่วประเทศในทุกกลุ่ม ทุกสี ทุกหมู่เหล่า
หรือหากรัฐบาลคิดจะล้วงเงินจากทุนสำรองทั่วไปของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งมีอยู่ประมาณ 4.25 ล้านล้านบาท ไปลงทุนทางพลังงาน หรือถือหุ้นเป็นผู้ก่อตั้งกองทุนทางพลังงาน ก็ต้องพึงตระหนักเอาไว้ด้วยว่า พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2545 มาตรา 9 ได้กำหนดให้ธนาคารแห่งประเทศไทยห้ามกระทำการบางประการดังต่อไปนี้
(1) ห้ามประกอบการค้าหรือมีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงในกิจการพาณิชย์หรืออุตสาหกรรม หรือดำเนินการอื่นใดเพื่อหากำไรกับประชาชน แต่ ธปท.อาจได้มาซึ่งส่วนได้ส่วนเสียอันเนื่องมาจากการบังคับตามสิทธิเรียกร้องของ ธปท.
(2) ซื้อหรือมีหุ้นในสถาบันการเงินหรือบริษัทใด เว้นแต่ (ก) เป็นหุ้นในธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศหรือสถาบันการเงินระหว่างประเทศ (ข) เป็นหุ้นที่ได้จากการชำระหนี้หรือการประกันการให้กู้ยืมเงินแก่สถาบันการเงินตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้
ประการสำคัญท้ายที่สุดต่อให้รัฐบาลจะมีนโยบายหรือโครงการที่หัวใสแค่ไหน ก็ต้องทำความเข้าใจด้วยว่าด้วยข้อกำหนดกฎหมาย “คลังหลวง” ไม่ใช่ทรัพย์สินของธนาคารแห่งประเทศไทยและไม่ใช่ทรัพย์สินของรัฐบาล และการดูแลบริหารเงินในทุนสำรองระหว่างประเทศเป็นอำนาจการตัดสินใจของธนาคารแห่งประเทศไทยโดยตรงภายใต้กรอบของกฎหมาย ทั้งกฎหมายเงินตรา และกฎหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย
แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ทุนสำรองระหว่างประเทศไม่ใช่อำนาจตามกฎหมายของรัฐบาลที่จะนำไปใช้ได้ตามอำเภอใจ!?
นักธุรกิจและนักการเงินในรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ต่างจับตาจ้องหมายจะนำขุมทรัพย์ส่วนหนึ่งจากทุนสำรองระหว่างประเทศซึ่งมีสินทรัพย์อยู่ประมาณ 6.22 ล้านล้านบาท ไปลงทุนในกองทุนมั่งคั่ง ในอีกด้านหนึ่งก็เร่งเจรจาผลประโยชน์ทางพลังงานในอ่าวไทยซึ่งมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 5 ล้านล้านบาท
รวมวงเงินขุมทรัพย์ของชาติที่เกี่ยวข้องในการเดินหน้าครั้งนี้ไม่ต่ำกว่า 11 ล้านล้านบาท ซึ่งถือเป็นเม็ดเงินมหาศาล และผลประโยชน์มหาศาลที่จะต้องตอบคำถามหลายประการก่อนที่จะเดินหน้าต่อไป
เรื่องกองทุนมั่งคั่งที่คิดจะล้วงเงินจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 6.21 ล้านล้านบาทนั้น ประกอบไปด้วย สินทรัพย์ 2 ส่วนที่สำคัญคือ
1. สินทรัพย์ใน “ทุนสำรองเงินตรา” อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.เงินตรา พ.ศ. 2501 (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2545) ปัจจุบันมีสินทรัพย์อยู่ประมาณ 1.96 ล้านล้านบาท และ
2. สินทรัพย์ใน “ทุนสำรองทั่วไป” อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 อีกประมาณ 4.25 ล้านล้านบาท
ส่วนแรก คือ “ทุนสำรองเงินตรา” หรือที่หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เรียกว่า “คลังหลวง” ซึ่งเป็นระบบที่มีเอาไว้ให้หนุนหลังการพิมพ์ธนบัตรเงินบาทตั้งแต่บรรพบุรุษและบูรพมหากษัตริย์ที่ได้จัดเตรียมเอาไว้ เพื่อทำให้เกิดความเชื่อมั่นว่าเงินบาทที่พิมพ์ออกมาใช้นั้นมีมูลค่ามีสินทรัพย์หนุนหลังที่พร้อมแลกคืนได้ โดยไม่มีวันกลายเป็นกระดาษแบงก์กงเต็ก
โดยพระราชบัญญัติ เงินตรา พ.ศ.2501 (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2521) มาตรา 30 กำหนดให้สินทรัพย์ของทุนสำรองเงินตรา ไม่ว่าจะเป็น ทองคำ เงินตราต่างประเทศ พันธบัตรรัฐบาลในต่างประเทศ ฯลฯ จะต้องจัดดำรงไว้ให้มีค่ารวมกันทั้งสิ้นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60 ของจำนวนธนบัตรเงินบาทที่ออกใช้
“ทุนสำรองเงินตรา” ที่ใช้สำหรับการหนุนหลังการพิมพ์ธนบัตรเงินบาทนั้น ปรากฏอยู่ในฐานะการเงินประจำสัปดาห์สิ้นสุด ณ วันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2554 ว่ามีสินทรัพย์รวม 1.96 ล้านล้านบาท กระจายอยู่ใน 3 บัญชีซึ่งเป็นกลไกในการหนุนหลังมูลค่าของธนบัตรเงินบาท ได้แก่
1. บัญชีทุนสำรองเงินตรา ซึ่งมีทรัพย์สินหนุนหลังธนบัตรร้อยละ 100 มีอยู่จำนวน 1.21 ล้านล้านบาท
2. บัญชีผลประโยชน์ประจำปี ซึ่งเกิดขึ้นจากดอกผลในทุนสำรองเงินตราในแต่ละปี ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 4.9 พันล้านบาท ปัจจุบันดอกผลจากบัญชีนี้มามีส่วนร่วมในการทยอยชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินที่รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยได้ทำความเสียหายเอาไว้
3. บัญชีสำรองพิเศษซึ่งเป็นปราการด่านสุดท้าย ใช้สำหรับในยามจำเป็นเป็นครั้งคราวไป เช่น เพิ่มเติมในบัญชีทุนสำรองเงินตราในกรณีที่มีไม่เพียงพอในการพิมพ์ธนบัตร หรือในยามจำเป็น รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เคยออกพระราชกำหนดในปี พ.ศ. 2545 โอนสินทรัพย์จำนวน 165,000 ล้านบาทจากบัญชีนี้ นำไปใช้ล้างผลการขาดทุนของธนาคารแห่งประเทศไทยบางส่วน ซึ่งปัจจุบันทองคำประมาณ 13 ตัน ที่คณะลูกศิษย์ของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ได้บริจาคเพื่อเข้าคลังหลวง ก็อยู่บัญชีทุนสำรองพิเศษนี้เช่นกัน ปัจจุบันมีสินทรัพย์เหลืออยู่ประมาณ 7.46 แสนล้านบาท
จริงอยู่ที่ว่าวันนี้เงินบาทได้ลอยตัวไปแล้วไม่ได้ตรึงเอาไว้กับมูลค่าเงินสกุลเงินต่างประเทศเหมือนในอดีต ประกอบกับนับตั้งแต่ลอยค่าเงินบาทมูลค่าเงินบาทจึงเป็นไปตามกลไกลตลาด อีกทั้งประเทศไทยนับตั้งแต่ปี 2540 ก็กลายเป็นประเทศที่เกินดุลบัญชีเดินสะพัดมาโดยตลอด ด้วยเหตุนี้บางคนอาจจะคิดว่า “ทุนสำรองเงินตรา” จึงไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป
แต่ในความเป็นจริง “ทุนสำรองเงินตรา” คือหลักประกันความเสี่ยงว่าเงินบาทจะมีมูลค่าตามสินทรัพย์ที่หนุนหลัง และสามารถนำมาแก้ไขปัญหาวิกฤตของประเทศในอนาคต เพราะไม่มีใครรู้ได้ว่าวันข้างหน้าเศรษฐกิจไทยจะเป็นอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันหรือไม่?
ยกตัวอย่างเช่นหากประเทศไทยเปลี่ยนวิธีคิดจะ “กระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศให้มากกว่าการพึ่งการส่งออก” ในภาวะที่เศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศถดถอยตามนโยบายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ 1 และรัฐบาลชุดนี้ก็ประกาศแล้วว่าจะใช้นโยบายค่าเงินบาทแข็งเพื่อสู้กับปัญหาอัตราเงินเฟ้ออันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการใช้งบประมาณมหาศาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ผลก็คือประเทศไทยก็มีความเสี่ยงในอนาคตอีกที่อาจจะกลับมาขาดดุลการค้า ขาดดุลบัญชีเดินสะพัด หรือต่างชาติย้ายฐานการผลิตออกนอกประเทศไทย หรือเงินทุนไหลออกจากตลาดทุนของประเทศไทยอย่างฉับพลันเพื่อถอนทุนคืนจากการเก็งกำไรค่าเงินบาทเสร็จสิ้นแล้ว
แม้ว่าสถานการณ์ที่กล่าวมาข้างต้นนักการเงินอาจประเมินว่าอาจเกิดยากหรือหากจะเกิดก็คงจะใช้เวลาอีกนาน แต่การมีทุนสำรองเงินตราก็เป็นหลักประกันความเสี่ยงในอนาคตที่ยังมองไม่เห็นจึงย่อมเท่ากับเป็นการธำรงเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษที่ไม่ต้องการให้เงินบาทเสี่ยงกลายเป็นเศษกระดาษที่ไร้ค่า อีกทั้งยังทำให้ประเทศไทยมี “ทางเลือก” ในการจัดการหรือเปลี่ยนระบบค่าเงินบาทในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่โลกปั่นป่วนด้วยการเก็งกำไรและโจมตีค่าเงิน
“คลังหลวง” ของชาติมีความสำคัญอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์ จากเงินถุงแดงของล้นเกล้ารัชกาลที่ 3 มาจนเก็บรักษาเอาไว้อย่างดีในสมัยล้นเกล้ารัชกาลที่ 4 เมื่อรวมกับเงินทองบริจาคของล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ร่วมกับเจ้านายในวังเพื่อจ่ายให้กับฝรั่งเศสป้องกันไม่ให้ราชอาณาจักรสยามอยู่ภายใต้อาณานิคมของฝรั่งเศสและรักษาเอกราชเอาไว้ได้ มาจนถึงการวิวัฒนาการเป็นทุนสำรองเงินตรา ที่ช่วยเหลือวิกฤตปี 2540 ไม่ให้เงินบาทไร้ค่ากลายเป็นเศษกระดาษแบงก์กงเต็กจากการโจมตีค่าเงินบาทของต่างชาติมาแล้ว
เงินคลังหลวงจึงไม่ใช่เงินของธนาคารแห่งประเทศไทย และไม่ใช่เงินของรัฐบาล แต่เป็นเงินของคนไทยทั้งชาติ และคนที่น่าจะรู้ดีในเรื่องนี้ก็คือคนที่เคยต่อต้านการรวมบัญชีของแบงก์ชาติที่ชื่อ ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช ซึ่งปัจจุบันเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย ได้เคยเขียนบทความในเรื่องคลังหลวงเอาไว้ความตอนหนึ่งว่า:
“เรื่องเงินสำรองในส่วนที่ 1 (ทุนสำรองเงินตรา) นี้ไม่ใช่เงินเของแบงก์ชาติ หรือของรัฐบาล เป็นเงินของประเทศ เป็นของประชาชนไทยทุกคน ที่มีมานานแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2445 สมัยพระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ 5 ซึ่งทรงเริ่มพิมพ์ธนบัตรออกใช้ โดยมีเงินตราต่างประเทศ ส่วนนี้หนุนการพิมพ์ธนบัตร เพิ่งจะโอนเงินสำรองฯ ในส่วนที่ 1 (ทุนสำรองเงินตรา) นี้ให้แบงก์ชาติดูแลเมื่อ ปี พ.ศ. 2485 คือ โอนการพิมพ์ธนบัตรให้แบงก์ชาติเป็นผู้ดูแล โดยใช้เงินส่วนนี้หนุนหลัง แล้วเงินส่วนนี้ก็เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไปฝากแล้วได้ดอกเบี้ย
ประชาชนไทยจึงควรทราบว่าเงิน 27,000 ล้านดอลลาร์ (ในเวลานั้น) เป็นสมบัติส่วนรวมของทุกคน ดังนั้นที่พระอาจารย์หลวงตามหาบัวพูดไว้นั้น ท่านพูดถูก เพราะท่านไม่ได้พูดเฉพาะเงินที่ท่านนำมาบริจาค แต่ท่านพูดถึงเงินคลังหลวง คือเงิน 27,000 ล้านดอลลาร์นี้ ว่าเอาเงินนี้ไปรวมบัญชีจะเสียหาย ท่านอาจมองเห็นอะไรในอนาคตที่ท่านกังวลอยู่ ท่านได้พยายามหาเงินบริจาคมาตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2541 ไว้เพื่อเป็นยันต์ปิดฝาโอ่งที่เก็บเงินคลังหลวงนี้ เพื่อไว้ให้เป็นสมบัติของลูกหลาน ไว้ค้ำประกันค่าเงินบาทและความมั่นคงของเศรษฐกิจไทย”
จึงไม่น่าแปลกใจนักถ้า ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช เป็นถึงหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย จึงไม่มีตำแหน่งใดๆ ในรัฐบาล เพราะหากเห็นด้วยกับรัฐบาลในการดึงเงินคลังหลวงมาใช้ก็ย่อมอาจถูกประชาชนทวงถาม ประณาม และตราหน้าว่ากลืนน้ำลายตัวเอง และหากไม่เห็นด้วยก็น่าจะอึดอัดหากรับตำแหน่งใดๆ ในรัฐบาล
“ทุนสำรองเงินตรา”นี้ได้มีกฎหมาย พ.ร.บ.เงินตรา พ.ศ. 2501 ดูแลสินทรัพย์นี้แยกออกมาจากสินทรัพย์ของธนาคารแห่งประเทศไทยต่างหาก โดยเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2523 ศ.ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้ทำบันทึกการตีความกฎหมายเกี่ยวกับ “ทุนสำรองเงินตรา” ตาม พ.ร.บ.เงินตรา พ.ศ. 2501 ความตอนหนึ่งว่า:
“ตามบทบัญญัติของกฎหมายที่กล่าวมาแล้วนี้แสดงให้เห็นว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยจะกระทำการผูกพันทรัพย์อันเป็นทุนสำรองเงินตราหรือใช้ผลประโยชน์แห่งทุนสำรองเงินตราให้ผิดไปจากที่กฎหมายบัญญัติไว้มิได้ และ “ทุนสำรองเงินตรา” มิใช่กรรมสิทธิ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย”
ส่วนที่สอง คือ ทุนสำรองทั่วไป ซึ่งเป็นอีกส่วนหนึ่งของทุนสำรองระหว่างประเทศที่หักทุนสำรองเงินตราออกไปแล้วอยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2545 เป็นการดูแลบริหารจัดการโดยธนาคารแห่งประเทศไทยโดยตรง หรือที่เรียกว่าฝ่ายธนาคาร ปัจจุบันมีสินทรัพย์รวม 4.25 ล้านล้านบาท
ฝ่ายธนาคารของธนาคารแห่งประเทศไทย ได้เคยนำทุนสำรองระหว่างประเทศในส่วนที่ตัวเองดูแล (ฝ่ายการธนาคาร) ไปปกป้องค่าเงินบาทจากการโจมตีจนหมดทุนสำรองระหว่างประเทศมาแล้ว และประเทศไทยโชคดีที่ยังเหลือทุนสำรองเงินตรา (เงินคลังหลวง) ของบรรพบุรุษที่ค้ำจุนเงินบาทเอาไว้
แต่นับตั้งแต่ลอยค่าเงินบาทในปี 2540 มาจนถึงปัจจุบันประเทศไทยกลับมาเป็นประเทศที่เกินดุลการค้าและเกินดุลบัญชีเดินสะพัดมาโดยตลอด โดยทุนสำรองระหว่างประเทศมาจากการเกินดุลการค้า 3 ล้านล้านบาท เกินดุลบริการ (เช่นการท่องเที่ยว) อีกประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท เป็นผลทำให้ทุนสำรองระหว่างประเทศมาจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดนับตั้งแต่ลอยค่าเงินบาทจนถึงปัจจุบันสะสมได้ถึง 4.1 ล้านล้านบาท
ซึ่งแน่นอนว่าหากธนาคารแห่งประเทศไทยต้องการเพิ่มปริมาณเงินบาท ก็สามารถนำเงินทุนสำรองทั่วไป ไปเติมให้กับทุนสำรองเงินตราเพื่อพิมพ์เงินบาทเพิ่มปริมาณขึ้นได้ แต่ในขณะเดียวกันด้วยการบริหารงานของธนาคารแห่งประเทศไทยก็มักจะควบคุมดูดซับสภาพคล่องทางการเงินโดยการออกพันธบัตรของธนาคารแห่งประเทศไทยหรือกู้ยืมเงินบาทเพื่อไม่ให้มีเงินบาทมากเกินไป และไม่ให้มีอัตราเงินเฟ้อมากเกินไปและอยู่ในขอบเขตเงินเฟ้อที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ตั้งเป้าหมายเอาไว้
และกฎหมายก็ให้อำนาจธนาคารแห่งประเทศไทยไปเก็บสินทรัพย์ได้หลายประเภท ทั้งทองคำ, เงินตราต่างประเทศ, พันธบัตรรัฐบาลต่างประเทศ แม้จะมีอัตราผลตอบแทนไม่มากนัก แต่อย่างน้อยการถือสินทรัพย์เหล่านี้เน้นในเรื่องความมั่นคงทางทรัพย์สินมากกว่าอัตราผลตอบแทน
โจทย์สำคัญคือรัฐบาลคิดจะตั้งกองทุนมั่งคั่งแห่งชาติโดยจะนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศไม่ว่าจะมาจาก “ทุนสำรองเงินตรา” หรือ “ทุนสำรองทั่วไป” มาใช้นั้นคงไม่ใช่เรื่องง่ายนักเพราะหากจะทำจริงคงต้องมีการแก้ไขกฎหมายหรือออกกฎหมาย หรือไม่ก็ต้องหาทางเปลี่ยนคณะกรรมการและผู้บริหารของธนาคารแห่งประเทศไทยเสียก่อน
แม้รัฐบาลอาจจะมีเสียงในสภาข้างมาก แต่ถ้าหากรัฐบาลคิดจะล้วงเงินจาก “คลังหลวง” หรือทุนสำรองเงินตรา ซึ่งมีสินทรัพย์ 1.96 ล้านล้านบาท โดยการแก้ไขกฎมาย พ.ร.บ.เงินตรา ก็ดี หรือการออกพระราชกำหนดล้วงเงินจากทุนสำรองเงินตราก็ดี รับรองได้ว่าต้องเผชิญหน้ากับลูกศิษย์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน จำนวนมหาศาล ซึ่งมีอยู่ทั่วประเทศในทุกกลุ่ม ทุกสี ทุกหมู่เหล่า
หรือหากรัฐบาลคิดจะล้วงเงินจากทุนสำรองทั่วไปของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งมีอยู่ประมาณ 4.25 ล้านล้านบาท ไปลงทุนทางพลังงาน หรือถือหุ้นเป็นผู้ก่อตั้งกองทุนทางพลังงาน ก็ต้องพึงตระหนักเอาไว้ด้วยว่า พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2545 มาตรา 9 ได้กำหนดให้ธนาคารแห่งประเทศไทยห้ามกระทำการบางประการดังต่อไปนี้
(1) ห้ามประกอบการค้าหรือมีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงในกิจการพาณิชย์หรืออุตสาหกรรม หรือดำเนินการอื่นใดเพื่อหากำไรกับประชาชน แต่ ธปท.อาจได้มาซึ่งส่วนได้ส่วนเสียอันเนื่องมาจากการบังคับตามสิทธิเรียกร้องของ ธปท.
(2) ซื้อหรือมีหุ้นในสถาบันการเงินหรือบริษัทใด เว้นแต่ (ก) เป็นหุ้นในธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศหรือสถาบันการเงินระหว่างประเทศ (ข) เป็นหุ้นที่ได้จากการชำระหนี้หรือการประกันการให้กู้ยืมเงินแก่สถาบันการเงินตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้
ประการสำคัญท้ายที่สุดต่อให้รัฐบาลจะมีนโยบายหรือโครงการที่หัวใสแค่ไหน ก็ต้องทำความเข้าใจด้วยว่าด้วยข้อกำหนดกฎหมาย “คลังหลวง” ไม่ใช่ทรัพย์สินของธนาคารแห่งประเทศไทยและไม่ใช่ทรัพย์สินของรัฐบาล และการดูแลบริหารเงินในทุนสำรองระหว่างประเทศเป็นอำนาจการตัดสินใจของธนาคารแห่งประเทศไทยโดยตรงภายใต้กรอบของกฎหมาย ทั้งกฎหมายเงินตรา และกฎหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย
แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ทุนสำรองระหว่างประเทศไม่ใช่อำนาจตามกฎหมายของรัฐบาลที่จะนำไปใช้ได้ตามอำเภอใจ!?
ว่าด้วย..คนกินหมา-กับ-คนกินน้ำมัน? โดย ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย
หมา-เป็นสัตว์ที่รักเจ้าของ-เชื่อง-ซื่อสัตย์ หมาบางตัวรักเจ้าของจนยอมตายแทน หมาบางตัวเจ้าของตาย..หมาจะเฝ้ารอแล้วรอเล่า รอจนเหงา..ไม่ยอมกิน..สุดท้ายหมาผู้ซื่อสัตย์ก็ตรอมใจตาย
คนทุกชาติในโลกใบนี้..จึงรักหมา หมากับคนจึงเป็นเพื่อนสนิทกัน..บางรายกลายเป็นเพื่อนตายกันเลย
ข่าว-คนขายหมาแลกกับข้าวของเครื่องใช้หรือเงินสด ก่อนที่คนรับซื้อหมาจะนำหมาไปฆ่าขายให้คนกินหมาอีกทอดหนึ่ง กลายเป็นข่าวใหญ่อย่างต่อเนื่องของสื่อมวลชนไทยทุกแขนง
คนรักหมามากมายได้ตั้งคำถามว่า..คนขายหมารู้ไหม ว่าหมาของตนที่ขายกำลังจะถูกนำไปฆ่า เพื่อให้คนชอบกินเนื้อหมา-กิน ถ้าไม่รู้ว่าหมาที่ขายถูกส่งไปตายหรือไปให้คนกินหมา-กิน นั่นยังพอทำใจได้
แต่ถ้ารู้ว่า..คนซื้อหมาจะเอาหมาไปให้คนกินหมา-กิน แล้วยังขายหมาอีก..เฮ้อ..ใจร้ายใจดำและคิดเตลิดเลยไปจนถึงขั้นขยะแขยง-รับไม่ได้-ไม่พอใจ?
ความจริงแล้ว..มีคนหลายประเทศในโลกนี้ที่นิยมกินหมา พวกเขาว่าหมาอร่อย..ลองกินกันหรือยัง? คนรักหมา..บอกตรงกันว่า..กินไม่ลง..อ้วกจะแตก..อ้วกจะแตกจริงๆไม่ได้ดัดจริต!
ประเทศเวียดนาม..ตลาดสดที่นั่น..มีหมาพันธุ์ขนเหลืองคล้ายๆ หมาจู..เป็นหมาที่เลี้ยงเป็นฟาร์มแบบเลี้ยงหมูเลี้ยงไก่ เพราะเป็นหมาเพื่อการบริโภคโดยเฉพาะ หมาจะถูกจับใส่ไว้ในสุ่มไม้ไผ่แบบเดียวกับไก่ คนซื้อจะเลือกหมาตัวที่ถูกใจ คนขายจะยกขึ้นชั่งบนกิโลแบบชั่งไก่ชั่งหมู หลังจ่ายเงินเสร็จ..คนซื้อก็หิ้วขาหมานั่งรถมอเตอร์ไซค์กลับบ้าน
หมา-ถูกนำไปปรุงเป็นอาหารหลากชนิด ทั้งลูกชิ้นหมา-เนื้อสดหมาสำหรับใส่ในเฝอหรือก๋วยเตี๋ยวเวียดนาม ที่ฮิตหน่อยก็..หมาสะเต๊ะ ส่วนในโรงแรมห้าดาวบางที่..กินสเต๊กหมาครับ
คนชอบกินหมาพูดตรงกันว่า..กินหมาไม่เห็นแปลกหรือผิดตรงไหน ไก่-ยังโดนคนกิน หมู-ก็โดนคนกิน วัว-ใช้ลากเกวียนแล้ว..คนยังเอาไปกินอีก ส่วนควาย..ซื่อสัตย์จะตายไป..สุดท้ายคนก็ฆ่ากินหน้าตาเฉย
คนชอบกินหมาจึงข้องใจว่า ถ้าการกินหมา..เป็นการทรมานสัตว์ แล้วคนกินไก่-หมู-วัว-ควาย..ไม่เป็นการทรมานสัตว์หรือ?
ดังนั้น..ชาวไทยเชื้อสายเวียดนามบางส่วนจึงยังบริโภคเนื้อหมาอยู่ แม้จะไม่มีกฎหมายให้กินหมากันได้อย่างเปิดเผย แต่ที่ภาคอีสานบางแห่ง..หมาถูกจับฆ่าแบบไก่-หมู-วัว-ควาย หมาถูกแล่ขายอยู่บนเขียงในตลาดอย่างเปิดเผย
เมื่อมีคนกินหมา-ก็มีคนขายหมา มีคนแอบจับหมาตามวัด-ถนน-ตรอก-ซอก-ซอย เพื่อนำไปฆ่าแล้วแล่เนื้อขาย จนเรื่องหมา-หมา-โฮ่งๆ-บ๊อกๆ กลายเป็นข่าวสะเทือนใจคนไทยไงล่ะครับ!
เรื่องคนขายหมา-คนกินหมา-เรื่องหมาๆ เป็นเรื่องใหญ่โตเป็นข่าวฮือฮาเป็นอาทิตย์ๆ แต่เรื่องคนโกงกินน้ำมัน..แปลก..คนไทยกับสื่อมวลชนไม่ยักสนใจกันเลย
คนโกงกินน้ำมัน..มีหลายเชื้อชาติ ทั้งไทย-เขมร-อเมริกัน-ฝรั่งเศส-อังกฤษ-ญี่ปุ่น-จีน ฯลฯ
โดยเฉพาะคนโกงกินน้ำมันไทยนั้น เป็นพวกตะกละตะกลาม-เห็นแก่ตัว-เอาแต่ได้ ไม่รักแผ่นดินที่ตนเกิด-เติบโต-ร่ำรวย เรียกว่า..คนกินน้ำมันไทย..ขายชาติกันได้หน้าตาเฉยเลยล่ะ
คนไทยที่ชอบโกงกินน้ำมันบางคน หลังใช้เงินซื้อเสียงยึดอำนาจรัฐได้แล้ว ก็แอบขโมยบ่อน้ำมันในอ่าวไทยไปถึง 5 บ่อ สมยอมให้แผนที่เขมรกินเข้ามาในดินแดนไทย เพราะหากเขมรได้แผ่นดินทับซ้อนในทะเลมากกว่าชาติไทย คนโกงกินน้ำมันไทยกับเขมรฮุนเซน จะให้มหาอำนาจเข้าร่วมสวาปามบ่อน้ำมันกันจนพุงกางไงล่ะครับ
โดยคนไทยและคนเขมรทั้งสองชาติ ยังคงต้องซื้อน้ำมันที่เป็นทรัพยากรของตนเอง ในราคาที่แสนแพงตามราคาสากล วันนี้..บริษัทน้ำมันไทยที่นักการเมืองแอบถือหุ้นอยู่ ได้ประกาศผลกำไรแค่ครึ่งปีแรกกว่า 67,000 ล้านบาท ทั้งปีคงได้กำไรสะดือปลิ้นไม่ต่ำกว่า 130,000 ล้านบาทแน่นอน โดยคนโกงกินน้ำมันไม่เคยแยแสต่อความทุกข์แสนสาหัสของคนไทยทั้งชาติเลยครับ
การนำน้ำมันขึ้นมาขาย-ขึ้นมาใช้..เป็นหลักการที่ควรทำ ทว่า..หากเอาน้ำมันขึ้นมาแล้วชาติและคนไทยไม่ได้ประโยชน์เท่าที่ควร แถมยังต้องเสียดินแดน..เสียเปรียบต่อต่างชาติ คนไทยยังต้องซื้อน้ำมันราคาแพงเหมือนเดิม โดยมีคนโกงกินน้ำมันรวยอู้ฟู่อยู่ไม่กี่คน
นั่นเป็นเรื่องไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง หากไม่มีความยุติธรรมแล้ว..สู้ปล่อยน้ำมันไว้ใต้ทะเลไทยดังเดิม รอการเจรจาที่ยุติธรรม..แล้วค่อยนำน้ำมันขึ้นมาขาย-ขึ้นมาใช้มิดีกว่าหรือ? อนาคตน้ำมันมีแต่ราคาจะสูงขึ้นดั่งทองคำ ปล่อยน้ำมันให้ลูกหลานเราทำเงินในอนาคตมิดีกว่าหรือ?
คนโกงกินน้ำมัน-สมคบกับต่างชาติคอร์รัปชันทำลายทั้งชาติและประชาชน แต่คนไทย-สื่อมวลชนไทยกลับเงียบเฉย ทำเสมือนมิใช่เรื่องเลวร้าย ไม่เคยเปิดโปงเป็นข่าวใหญ่ให้ผู้คนได้รับรู้ แต่ “คนกินหมา” ที่หลายประเทศกินจนเป็นเรื่องปกติธรรมดา..ไม่ได้ทำลายชาติ เพียงแต่ทำให้คนรักหมา..รับไม่ได้-ไม่พอใจ กลับกลายเป็นข่าวใหญ่ฮือฮากันทั้งชาติ..ตลกไหม..น่าแปลกไหม?
ส่วนตัวผมแล้ว..ผมรับไม่ได้ทั้งกินหมา-โกงกินน้ำมัน แต่ขอถามว่า..คนกินหมากับคนสวาปามน้ำมันนั้น ใครชั่วร้าย-ใครเป็นอันตรายต่อชาติและประชาชนมากกว่ากัน..หือ..?
คนทุกชาติในโลกใบนี้..จึงรักหมา หมากับคนจึงเป็นเพื่อนสนิทกัน..บางรายกลายเป็นเพื่อนตายกันเลย
ข่าว-คนขายหมาแลกกับข้าวของเครื่องใช้หรือเงินสด ก่อนที่คนรับซื้อหมาจะนำหมาไปฆ่าขายให้คนกินหมาอีกทอดหนึ่ง กลายเป็นข่าวใหญ่อย่างต่อเนื่องของสื่อมวลชนไทยทุกแขนง
คนรักหมามากมายได้ตั้งคำถามว่า..คนขายหมารู้ไหม ว่าหมาของตนที่ขายกำลังจะถูกนำไปฆ่า เพื่อให้คนชอบกินเนื้อหมา-กิน ถ้าไม่รู้ว่าหมาที่ขายถูกส่งไปตายหรือไปให้คนกินหมา-กิน นั่นยังพอทำใจได้
แต่ถ้ารู้ว่า..คนซื้อหมาจะเอาหมาไปให้คนกินหมา-กิน แล้วยังขายหมาอีก..เฮ้อ..ใจร้ายใจดำและคิดเตลิดเลยไปจนถึงขั้นขยะแขยง-รับไม่ได้-ไม่พอใจ?
ความจริงแล้ว..มีคนหลายประเทศในโลกนี้ที่นิยมกินหมา พวกเขาว่าหมาอร่อย..ลองกินกันหรือยัง? คนรักหมา..บอกตรงกันว่า..กินไม่ลง..อ้วกจะแตก..อ้วกจะแตกจริงๆไม่ได้ดัดจริต!
ประเทศเวียดนาม..ตลาดสดที่นั่น..มีหมาพันธุ์ขนเหลืองคล้ายๆ หมาจู..เป็นหมาที่เลี้ยงเป็นฟาร์มแบบเลี้ยงหมูเลี้ยงไก่ เพราะเป็นหมาเพื่อการบริโภคโดยเฉพาะ หมาจะถูกจับใส่ไว้ในสุ่มไม้ไผ่แบบเดียวกับไก่ คนซื้อจะเลือกหมาตัวที่ถูกใจ คนขายจะยกขึ้นชั่งบนกิโลแบบชั่งไก่ชั่งหมู หลังจ่ายเงินเสร็จ..คนซื้อก็หิ้วขาหมานั่งรถมอเตอร์ไซค์กลับบ้าน
หมา-ถูกนำไปปรุงเป็นอาหารหลากชนิด ทั้งลูกชิ้นหมา-เนื้อสดหมาสำหรับใส่ในเฝอหรือก๋วยเตี๋ยวเวียดนาม ที่ฮิตหน่อยก็..หมาสะเต๊ะ ส่วนในโรงแรมห้าดาวบางที่..กินสเต๊กหมาครับ
คนชอบกินหมาพูดตรงกันว่า..กินหมาไม่เห็นแปลกหรือผิดตรงไหน ไก่-ยังโดนคนกิน หมู-ก็โดนคนกิน วัว-ใช้ลากเกวียนแล้ว..คนยังเอาไปกินอีก ส่วนควาย..ซื่อสัตย์จะตายไป..สุดท้ายคนก็ฆ่ากินหน้าตาเฉย
คนชอบกินหมาจึงข้องใจว่า ถ้าการกินหมา..เป็นการทรมานสัตว์ แล้วคนกินไก่-หมู-วัว-ควาย..ไม่เป็นการทรมานสัตว์หรือ?
ดังนั้น..ชาวไทยเชื้อสายเวียดนามบางส่วนจึงยังบริโภคเนื้อหมาอยู่ แม้จะไม่มีกฎหมายให้กินหมากันได้อย่างเปิดเผย แต่ที่ภาคอีสานบางแห่ง..หมาถูกจับฆ่าแบบไก่-หมู-วัว-ควาย หมาถูกแล่ขายอยู่บนเขียงในตลาดอย่างเปิดเผย
เมื่อมีคนกินหมา-ก็มีคนขายหมา มีคนแอบจับหมาตามวัด-ถนน-ตรอก-ซอก-ซอย เพื่อนำไปฆ่าแล้วแล่เนื้อขาย จนเรื่องหมา-หมา-โฮ่งๆ-บ๊อกๆ กลายเป็นข่าวสะเทือนใจคนไทยไงล่ะครับ!
เรื่องคนขายหมา-คนกินหมา-เรื่องหมาๆ เป็นเรื่องใหญ่โตเป็นข่าวฮือฮาเป็นอาทิตย์ๆ แต่เรื่องคนโกงกินน้ำมัน..แปลก..คนไทยกับสื่อมวลชนไม่ยักสนใจกันเลย
คนโกงกินน้ำมัน..มีหลายเชื้อชาติ ทั้งไทย-เขมร-อเมริกัน-ฝรั่งเศส-อังกฤษ-ญี่ปุ่น-จีน ฯลฯ
โดยเฉพาะคนโกงกินน้ำมันไทยนั้น เป็นพวกตะกละตะกลาม-เห็นแก่ตัว-เอาแต่ได้ ไม่รักแผ่นดินที่ตนเกิด-เติบโต-ร่ำรวย เรียกว่า..คนกินน้ำมันไทย..ขายชาติกันได้หน้าตาเฉยเลยล่ะ
คนไทยที่ชอบโกงกินน้ำมันบางคน หลังใช้เงินซื้อเสียงยึดอำนาจรัฐได้แล้ว ก็แอบขโมยบ่อน้ำมันในอ่าวไทยไปถึง 5 บ่อ สมยอมให้แผนที่เขมรกินเข้ามาในดินแดนไทย เพราะหากเขมรได้แผ่นดินทับซ้อนในทะเลมากกว่าชาติไทย คนโกงกินน้ำมันไทยกับเขมรฮุนเซน จะให้มหาอำนาจเข้าร่วมสวาปามบ่อน้ำมันกันจนพุงกางไงล่ะครับ
โดยคนไทยและคนเขมรทั้งสองชาติ ยังคงต้องซื้อน้ำมันที่เป็นทรัพยากรของตนเอง ในราคาที่แสนแพงตามราคาสากล วันนี้..บริษัทน้ำมันไทยที่นักการเมืองแอบถือหุ้นอยู่ ได้ประกาศผลกำไรแค่ครึ่งปีแรกกว่า 67,000 ล้านบาท ทั้งปีคงได้กำไรสะดือปลิ้นไม่ต่ำกว่า 130,000 ล้านบาทแน่นอน โดยคนโกงกินน้ำมันไม่เคยแยแสต่อความทุกข์แสนสาหัสของคนไทยทั้งชาติเลยครับ
การนำน้ำมันขึ้นมาขาย-ขึ้นมาใช้..เป็นหลักการที่ควรทำ ทว่า..หากเอาน้ำมันขึ้นมาแล้วชาติและคนไทยไม่ได้ประโยชน์เท่าที่ควร แถมยังต้องเสียดินแดน..เสียเปรียบต่อต่างชาติ คนไทยยังต้องซื้อน้ำมันราคาแพงเหมือนเดิม โดยมีคนโกงกินน้ำมันรวยอู้ฟู่อยู่ไม่กี่คน
นั่นเป็นเรื่องไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง หากไม่มีความยุติธรรมแล้ว..สู้ปล่อยน้ำมันไว้ใต้ทะเลไทยดังเดิม รอการเจรจาที่ยุติธรรม..แล้วค่อยนำน้ำมันขึ้นมาขาย-ขึ้นมาใช้มิดีกว่าหรือ? อนาคตน้ำมันมีแต่ราคาจะสูงขึ้นดั่งทองคำ ปล่อยน้ำมันให้ลูกหลานเราทำเงินในอนาคตมิดีกว่าหรือ?
คนโกงกินน้ำมัน-สมคบกับต่างชาติคอร์รัปชันทำลายทั้งชาติและประชาชน แต่คนไทย-สื่อมวลชนไทยกลับเงียบเฉย ทำเสมือนมิใช่เรื่องเลวร้าย ไม่เคยเปิดโปงเป็นข่าวใหญ่ให้ผู้คนได้รับรู้ แต่ “คนกินหมา” ที่หลายประเทศกินจนเป็นเรื่องปกติธรรมดา..ไม่ได้ทำลายชาติ เพียงแต่ทำให้คนรักหมา..รับไม่ได้-ไม่พอใจ กลับกลายเป็นข่าวใหญ่ฮือฮากันทั้งชาติ..ตลกไหม..น่าแปลกไหม?
ส่วนตัวผมแล้ว..ผมรับไม่ได้ทั้งกินหมา-โกงกินน้ำมัน แต่ขอถามว่า..คนกินหมากับคนสวาปามน้ำมันนั้น ใครชั่วร้าย-ใครเป็นอันตรายต่อชาติและประชาชนมากกว่ากัน..หือ..?
ประเทศไทยกับความมั่นคงพลังงานไทยในอนาคต โดย ดร.รักไทย บูรพ์ภาค
สวัสดีทุกๆ ท่านผมในฐานะที่พอมีความรู้และผ่านงานด้านพลังงานมาบ้าง ผมขอฝากข้อคิดต่อรัฐบาลชุดใหม่เกี่ยวกับด้านพลังงานด้วย อะไรที่รัฐบาลชุดใหม่ทำถูกผมก็สนับสนุน แต่อะไรที่ผิดและอาจจะทำให้ประเทศชาติเสียหายหรือเสียผลประโยชน์นี้ ผมไม่เห็นด้วยแน่นอน
เอาเรื่องที่เห็นด้วยก่อน ผมเห็นด้วยที่มีการลดภาษีน้ำมันหรือลอยตัวราคาน้ำมันในอนาคตจากความเห็นส่วนตัวก็คิดว่าน่าจะช่วยประชาชนลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางซึ่งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่อยากเห็นนโยบายแบบนี้ในระยะยาวมากกว่านะซึ่งผลกระทบจากนโยบายนี้หลักๆ ก็จะมีสองประเด็นก็คือ
1. จะมีการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นและอาจทำให้มีมลพิษเพิ่มขึ้น
2. เงินสำรองในกองทุนน้ำมันลดลง
คิดว่าทั้งสองประเด็นนั้นเราน่าจะมีการแก้ปัญหาดังนี้
มีการชดเชยเงินส่วนนี้ด้วยการวางแผนเก็บภาษีรถยนต์ตามประสิทธิภาพของรถยนต์ ยกตัวอย่างเช่น ถ้ารถยนต์แบบไฮบริดรถกระบะรุ่นไหนที่ประหยัดพลังงานหรือมอเตอร์ไซค์ก็ควรจะเก็บภาษีน้อย แต่ถ้ารถยนต์ประเภทไหนใช้พลังงานเยอะไม่ได้ประหยัดพลังงานอย่างเช่น รถยนต์สองประตูก็อาจจะต้องเก็บภาษีมากหน่อย คิดว่าถ้าวางโครงสร้างดีๆ ถ้าหลายๆ ฝ่ายร่วมมือกันคงจะนำเงินส่วนต่างตรงนี้ไปชดเชยกองทุนน้ำมันได้ แล้วยังรณรงค์ให้ผู้ซื้อรถยนต์ใหม่เลือกรถยนต์แบบประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย ก็ขอย้ำว่าเห็นด้วยกับการลดการเก็บภาษีและขอเสนอให้มีการชดเชยกองทุนน้ำมันด้วยการจัดโครงสร้างภาษีรถยนต์ใหม่ จะได้เห็นนโยบายแบบนี้ระยะยาวซึ่งก็มีหลายประเทศที่ทำแบบนี้อย่างเช่นประเทศแถบยุโรปอเมริกา หรือแม้กระทั่งจีนเองก็พยายามทำอยู่
แต่เรื่องที่ผมไม่เห็นด้วยคือการที่ดูเหมือนว่ารัฐบาลของเราพยายามเจรจาตกลงกับทางกัมพูชา (ตามที่ผู้บริหารบางกระทรวงให้สัมภาษณ์) เพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์ที่สุดนี้จริงหรือ?
มีการยกกรณีที่ประเทศไทยเราตกลงกับทางมาเลเซียมาเป็นโมเดล (จากการที่ผู้บริหารบางกระทรวงให้สัมภาษณ์) อันนี้ผมคิดว่าคนละกรณีกัน
เพราะเราไม่ได้มีปัญหาเรื่องเขตแดนกับทางมาเลเซีย และเรามีความจำเป็นอะไร
ต้องรีบขนาดนั้น?? ถ้าบอกว่าอยากให้เรานำพลังงานตรงนั้นมาใช้อันนี้ผมเข้าใจ และเห็นด้วยแต่มันมีความจำเป็นต้องรีบทำขนาดนั้นเลยหรือ และก่อนที่เราจะตกลงกันนี้ผมไม่แน่ใจว่าทางรัฐบาลเราจะทำในฐานะอะไร ถ้าในฐานะนักธุรกิจหรือเอื้อนักธุรกิจบางท่านการที่ตกลงและทำสัญญาได้เร็วกับทางกัมพูชาแน่นอนว่าอาจจะหมายถึงว่าท่านทำผลงานสำเร็จ แต่ถ้าทำในนามรัฐบาลไทยท่านต้องทำให้ประเทศเราได้ประโยชน์มากที่สุดไม่ใช่หรือ ท่านจะตกลงกันเองโดยที่ไม่ประเมินข้อมูลที่แน่นอนบริเวณนั้นก่อนรึ
เราอาจจะมีภาพถ่ายดาวเทียวคร่าวๆ แต่เรายังต้องทำการประเมินแหล่งน้ำมัน (seismic) และเจาะสำรวจก่อน (well testing) ของแหล่งน้ำมันบริเวณนั้นก่อนอย่าทำแบบอ่าวไทยเหมือนครั้งที่เราเคยตกลงกับบริษัทน้ำมันต่างชาติในอดีตเมื่อหลาย 40-50 ปีก่อนแล้วเราเสียผลประโยชน์บางส่วนอันนั้นผมเข้าใจว่าตอนนั้นเราไม่มีความรู้และความสามารถในเรื่องนี้ แต่ปัจจุบันนี้ประเทศเรามีทั้งบุคลากรและองค์กรต่างๆ ที่ช่วยกันดูแลเรื่องนี้
ขอบอกก่อนเลยว่าต้องใช้เวลานานอาจจะหลายปี แต่ถ้าทางเราจะเริ่มเก็บข้อมูลตอนของทางฝั่งเราก็ไม่เป็นไร แต่เรื่องจะตกลงกันนั้นต้องรอให้ทุกอย่างชัดเจนก่อน ไหนจะเรื่องเขตแดนปริมาณน้ำมันที่คาดการณ์แน่นอนและบริษัทที่รับสัมปทานถ้าบริษัทที่รับสัมปทานของทางกัมพูชามีชื่อของบริษัทฝรั่งเศสอันนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับกรณีข้อพิพาทเขตแดนเราไปจนถึงกรณีศาลโลกเลย ซึ่งอาจจะเกี่ยวกันหมดก็ต้องจับตามองกัน ไม่มีความจำเป็นต้องรีบเลย แม้กระทั่งตอนอเมริกาตกลงกับเม็กซิโกเกี่ยวกับแหล่งน้ำมันในอ่าวเม็กซิโกยังใช้เวลานานเลยขนาดทางเขาไม่มีปัญหาเรื่องเขตแดนบนดินนะครับ
อีกประเด็นหนึ่งคือมีการผลักดันเรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติ ทำไมต้องรีบทำเรื่องนี้มีอีกหลายเรื่องที่ท่านควรจะรีบทำก่อน เช่น คาร์บอนเครดิตซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อบ้านเราไหนจะเรื่องการยกระดับพลังงานทดแทนโดยการผลักดันพลังงานลม ซึ่งอาจจะส่งผลให้เราเป็นแหล่งพลังงานลมที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียนเลยก็ได้ อีกทั้งเราจะลดการนำเข้าพลังงานมหาศาลรวมไปถึงผลักดันให้เราเข้าร่วมทบวงพลังงานทดแทนโลก(International Renewable Energy Agency (IRENA)) ซึ่งประเทศเรายังไม่เข้าร่วมเลยขณะนี้มีประเทศลงนาม 149 ประเทศ และประเทศสมาชิก 81 ประเทศ เรื่องอย่างนี้ไม่จำเป็นกว่าหรือ มีความจำเป็นอะไรขนาดนั้นที่ต้องรีบทำเรื่องแหล่งน้ำมันในบริเวณที่ยังมีปัญหาเรื่องเขตแดนนี้ตั้งแต่ต้น
ขอให้ทุกคนอย่าให้รัฐบาลปิดหูปิดตาทำสัมปทานกับต่างชาติโดยที่เราไม่รู้อย่างในอดีต เพราะเรื่องนี้เป็นยุทธศาสตร์พลังงานในอนาคตเพื่อรุ่นลูกหลานด้วย ผมมีข้อมูลเชิงลึกที่พร้อมจะเปิดเผยโดยจะขอเสนอในบทความต่อๆ ไป
เอาเรื่องที่เห็นด้วยก่อน ผมเห็นด้วยที่มีการลดภาษีน้ำมันหรือลอยตัวราคาน้ำมันในอนาคตจากความเห็นส่วนตัวก็คิดว่าน่าจะช่วยประชาชนลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางซึ่งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่อยากเห็นนโยบายแบบนี้ในระยะยาวมากกว่านะซึ่งผลกระทบจากนโยบายนี้หลักๆ ก็จะมีสองประเด็นก็คือ
1. จะมีการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นและอาจทำให้มีมลพิษเพิ่มขึ้น
2. เงินสำรองในกองทุนน้ำมันลดลง
คิดว่าทั้งสองประเด็นนั้นเราน่าจะมีการแก้ปัญหาดังนี้
มีการชดเชยเงินส่วนนี้ด้วยการวางแผนเก็บภาษีรถยนต์ตามประสิทธิภาพของรถยนต์ ยกตัวอย่างเช่น ถ้ารถยนต์แบบไฮบริดรถกระบะรุ่นไหนที่ประหยัดพลังงานหรือมอเตอร์ไซค์ก็ควรจะเก็บภาษีน้อย แต่ถ้ารถยนต์ประเภทไหนใช้พลังงานเยอะไม่ได้ประหยัดพลังงานอย่างเช่น รถยนต์สองประตูก็อาจจะต้องเก็บภาษีมากหน่อย คิดว่าถ้าวางโครงสร้างดีๆ ถ้าหลายๆ ฝ่ายร่วมมือกันคงจะนำเงินส่วนต่างตรงนี้ไปชดเชยกองทุนน้ำมันได้ แล้วยังรณรงค์ให้ผู้ซื้อรถยนต์ใหม่เลือกรถยนต์แบบประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย ก็ขอย้ำว่าเห็นด้วยกับการลดการเก็บภาษีและขอเสนอให้มีการชดเชยกองทุนน้ำมันด้วยการจัดโครงสร้างภาษีรถยนต์ใหม่ จะได้เห็นนโยบายแบบนี้ระยะยาวซึ่งก็มีหลายประเทศที่ทำแบบนี้อย่างเช่นประเทศแถบยุโรปอเมริกา หรือแม้กระทั่งจีนเองก็พยายามทำอยู่
แต่เรื่องที่ผมไม่เห็นด้วยคือการที่ดูเหมือนว่ารัฐบาลของเราพยายามเจรจาตกลงกับทางกัมพูชา (ตามที่ผู้บริหารบางกระทรวงให้สัมภาษณ์) เพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์ที่สุดนี้จริงหรือ?
มีการยกกรณีที่ประเทศไทยเราตกลงกับทางมาเลเซียมาเป็นโมเดล (จากการที่ผู้บริหารบางกระทรวงให้สัมภาษณ์) อันนี้ผมคิดว่าคนละกรณีกัน
เพราะเราไม่ได้มีปัญหาเรื่องเขตแดนกับทางมาเลเซีย และเรามีความจำเป็นอะไร
ต้องรีบขนาดนั้น?? ถ้าบอกว่าอยากให้เรานำพลังงานตรงนั้นมาใช้อันนี้ผมเข้าใจ และเห็นด้วยแต่มันมีความจำเป็นต้องรีบทำขนาดนั้นเลยหรือ และก่อนที่เราจะตกลงกันนี้ผมไม่แน่ใจว่าทางรัฐบาลเราจะทำในฐานะอะไร ถ้าในฐานะนักธุรกิจหรือเอื้อนักธุรกิจบางท่านการที่ตกลงและทำสัญญาได้เร็วกับทางกัมพูชาแน่นอนว่าอาจจะหมายถึงว่าท่านทำผลงานสำเร็จ แต่ถ้าทำในนามรัฐบาลไทยท่านต้องทำให้ประเทศเราได้ประโยชน์มากที่สุดไม่ใช่หรือ ท่านจะตกลงกันเองโดยที่ไม่ประเมินข้อมูลที่แน่นอนบริเวณนั้นก่อนรึ
เราอาจจะมีภาพถ่ายดาวเทียวคร่าวๆ แต่เรายังต้องทำการประเมินแหล่งน้ำมัน (seismic) และเจาะสำรวจก่อน (well testing) ของแหล่งน้ำมันบริเวณนั้นก่อนอย่าทำแบบอ่าวไทยเหมือนครั้งที่เราเคยตกลงกับบริษัทน้ำมันต่างชาติในอดีตเมื่อหลาย 40-50 ปีก่อนแล้วเราเสียผลประโยชน์บางส่วนอันนั้นผมเข้าใจว่าตอนนั้นเราไม่มีความรู้และความสามารถในเรื่องนี้ แต่ปัจจุบันนี้ประเทศเรามีทั้งบุคลากรและองค์กรต่างๆ ที่ช่วยกันดูแลเรื่องนี้
ขอบอกก่อนเลยว่าต้องใช้เวลานานอาจจะหลายปี แต่ถ้าทางเราจะเริ่มเก็บข้อมูลตอนของทางฝั่งเราก็ไม่เป็นไร แต่เรื่องจะตกลงกันนั้นต้องรอให้ทุกอย่างชัดเจนก่อน ไหนจะเรื่องเขตแดนปริมาณน้ำมันที่คาดการณ์แน่นอนและบริษัทที่รับสัมปทานถ้าบริษัทที่รับสัมปทานของทางกัมพูชามีชื่อของบริษัทฝรั่งเศสอันนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับกรณีข้อพิพาทเขตแดนเราไปจนถึงกรณีศาลโลกเลย ซึ่งอาจจะเกี่ยวกันหมดก็ต้องจับตามองกัน ไม่มีความจำเป็นต้องรีบเลย แม้กระทั่งตอนอเมริกาตกลงกับเม็กซิโกเกี่ยวกับแหล่งน้ำมันในอ่าวเม็กซิโกยังใช้เวลานานเลยขนาดทางเขาไม่มีปัญหาเรื่องเขตแดนบนดินนะครับ
อีกประเด็นหนึ่งคือมีการผลักดันเรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติ ทำไมต้องรีบทำเรื่องนี้มีอีกหลายเรื่องที่ท่านควรจะรีบทำก่อน เช่น คาร์บอนเครดิตซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อบ้านเราไหนจะเรื่องการยกระดับพลังงานทดแทนโดยการผลักดันพลังงานลม ซึ่งอาจจะส่งผลให้เราเป็นแหล่งพลังงานลมที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียนเลยก็ได้ อีกทั้งเราจะลดการนำเข้าพลังงานมหาศาลรวมไปถึงผลักดันให้เราเข้าร่วมทบวงพลังงานทดแทนโลก(International Renewable Energy Agency (IRENA)) ซึ่งประเทศเรายังไม่เข้าร่วมเลยขณะนี้มีประเทศลงนาม 149 ประเทศ และประเทศสมาชิก 81 ประเทศ เรื่องอย่างนี้ไม่จำเป็นกว่าหรือ มีความจำเป็นอะไรขนาดนั้นที่ต้องรีบทำเรื่องแหล่งน้ำมันในบริเวณที่ยังมีปัญหาเรื่องเขตแดนนี้ตั้งแต่ต้น
ขอให้ทุกคนอย่าให้รัฐบาลปิดหูปิดตาทำสัมปทานกับต่างชาติโดยที่เราไม่รู้อย่างในอดีต เพราะเรื่องนี้เป็นยุทธศาสตร์พลังงานในอนาคตเพื่อรุ่นลูกหลานด้วย ผมมีข้อมูลเชิงลึกที่พร้อมจะเปิดเผยโดยจะขอเสนอในบทความต่อๆ ไป
ปฏิรูปโครงสร้างการผลิตเพื่อสร้างระบบเกษตรที่เป็นธรรม โดย ภาณุเบศร์ มหาเรือนขวัญ
ความไม่เป็นธรรมนำวิกฤตการณ์ขัดแย้งรุนแรงสู่สังคมไทย ไม่เว้นแม้แต่ในระบบเกษตรที่เป็นรากฐานความมั่นคงของประชาชนจำนวนมาก เพราะการมุ่งเพิ่มผลผลิตตามวิถีปฏิวัติเขียวนอกจากจะลดทอนศักยภาพและนวัตกรรมทางการเกษตรที่ถ่ายทอดกันมารุ่นสู่รุ่นของเกษตรกรรายย่อยโดยกระบวนทัศน์การพัฒนาที่ใช้เทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ นโยบาย และกฎหมายเป็นเครื่องมือแล้ว ยังกีดกันเกษตรกรออกจากสิทธิในการเข้าถึงและครอบครองทรัพยากรธรรมชาติ เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง เพราะปัจจัยการผลิตนานัปการถูกผูกขาดมากขึ้นเรื่อยๆ โดยกลุ่มทุนที่มี ‘เป้าหมายเป็นกำไรสูงสุด’ (maximize profit)
การขยายตัวของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะการสูงขึ้นของตัวเลขการส่งออกสินค้าเกษตรที่ถูกควบคุมโดยทุนขนาดใหญ่จึงไม่ได้หมายความว่าเกษตรกรรายย่อยจะมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นหรือมีรายได้สูงขึ้นตามไปด้วยแต่อย่างใด ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมาพบว่าแม้แต่ในช่วงราคาอาหารโลกสูงเป็นประวัติการณ์ดังปีที่ผ่านมา และในอนาคตจากการคาดการณ์ของธนาคารโลก เกษตรกรก็ไม่สามารถสลัดความยากจนข้นแค้นเป็นสุขสบายได้ ตราบใดที่ยังไม่ได้ ‘ปฏิรูปโครงสร้างการผลิตเพื่อสร้างระบบเกษตรที่เป็นธรรม’
ทั้งนี้ด้วยในข้อเท็จจริงขื่นคาวพบว่าอาชีพเกษตรกรสร้างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ เกษตรกรมีรายได้น้อยและขาดโอกาสเพิ่มรายได้ ในทางกลับกันก็มีหนี้สินสูงขึ้นมากจากการพึ่งพิงปัจจัยการผลิตตั้งแต่ที่ดิน น้ำ เมล็ดพันธุ์ ภายใต้กฎหมายและนโยบายรัฐที่เอื้อประโยชน์บรรดาบรรษัทเกษตรและอาหารยักษ์ใหญ่ต่างๆ ลำพังเพียงความกล้าหาญและรับผิดชอบของเกษตรกรในการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์การผลิตของตนเองจากเกษตรเคมีเข้มข้นเป็นเกษตรอินทรีย์หรือเกษตรลดต้นทุนเพื่อลดการพึ่งพิงไม่เพียงพอ
เพราะถึงที่สุดแล้วราคาสินค้าเกษตรที่สูงขึ้นจากการกำหนดนโยบายประชานิยมของรัฐมิได้คำนวณต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นของเกษตรกร หรือมีนัยสำคัญต่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของเกษตรกรรายย่อยแต่อย่างใด โดยเฉพาะนโยบายด้านราคา (price policy) ในรูปแบบของการรับจำนำที่กำหนดราคารับจำนำสูงกว่าราคาตลาดมากนั้นไม่เพียงจะบิดเบือนกลไกตลาดอย่างรุนแรง แต่ยังเสี่ยงต่อการคอร์รัปชันมหาศาลจากกระบวนการรับจำนำด้วย มิหนำซ้ำยังทำลายแรงบันดาลใจในการเปลี่ยนวิถีการผลิตของเกษตรกรที่ต้องการ ‘ปลดแอก’ ตนเองออกจากหนี้สินและอาณัติอิทธิพลทุนโดยเลือกวิถีเกษตรกรรมยั่งยืน เกษตรอินทรีย์ และเกษตรลดต้นทุนที่ไม่ต้องพึ่งสารเคมีเกษตรที่อันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง carbofuran, dicrotophos, EPN และ methomyl ที่ทั้งประเทศพัฒนาแล้วและไม่พัฒนาต่าง ban สารเคมีกำจัดศัตรูพืชทั้ง 4 ชนิดนี้เพื่อปกป้องสุขภาวะประชาชนและสังคม
สอดคล้องกับข้อเสนอคณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) ในส่วนของการปฏิรูประบบการควบคุมสารเคมีเกษตรเพื่อสร้างระบบเกษตรที่เป็นธรรม ทั้งยังเป็นส่วนผลักดันสังคมไทยโดยรวมให้มีความเป็นธรรมกับประชาชนจำนวนมาก ไม่เฉพาะเกษตรกรรายย่อย แต่รวมถึงผู้บริโภคที่นอกจากจะได้บริโภคพืชผักปลอดสารพิษเหมือนประชากรกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป (EU) แล้ว ประเทศชาติยังไม่ต้องสูญเสียต้นทุนทางสังคม (social cost) จากการสั่งสมสารพิษในสิ่งแวดล้อมจนผืนแผ่นดินไทยกลายเป็น ‘แผ่นดินอาบยาพิษ’
ดังนั้นข้อเสนอการปฏิรูประบบเกษตรเพื่อสร้างความเป็นธรรม และลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมจากการประชุมสมัชชาปฏิรูปครั้งที่ 1 และครั้งต่อไปในปี 2555 จึงมุ่งสลายรื้อถอนโครงสร้างความไม่เป็นธรรมในกระบวนการผลิตและระบบตลาดที่ไม่ใช่แค่แก้ไขวิกฤตการณ์สารเคมีเกษตรเพื่อสร้างความปลอดภัยทางอาหารและสิ่งแวดล้อม แต่ยังพยายามปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตเพื่อที่เกษตรกรจะเป็นอิสรภาพจากการครอบงำของทุนด้วยการบริหารจัดการลดต้นทุนและความเสี่ยงในการผลิต ซึ่งรวมถึงการเลิกใช้สารเคมีเกษตรร้ายแรง 4 ชนิดข้างต้นที่มีราคาสูงและผลตกค้างยาวนานด้วยการใช้แนวทาง ‘ชีววิถี’
การกลับมามีอำนาจในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง เมื่อผนวกกับพลังการต่อรองที่เพิ่มสูงขึ้นจากการรวมกลุ่มเกษตรกร และการกระตือรืนร้นที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ด้านต่างๆ ตั้งแต่การผลิต การตลาด การแปรรูป และการส่งออก ตลอดจนเพิ่มเติมความรู้เท่าทันเหลี่ยมมุมธุรกิจ การบังคับใช้กฎหมาย และร่วมผลักดันนโยบายสำคัญๆ จากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั้งในระดับพื้นที่และข้ามพื้นที่ จะทำให้พึ่งตนเองได้ ลดต้นทุนการผลิตได้ กระทั่งสามารถอยู่รอดได้ในสภาวการณ์เศรษฐกิจโลกผันผวน ดังหลายพื้นที่ที่ลดต้นทุนการผลิตจนเป็นต้นแบบที่ดี (best practice)
รวมทั้งยังต้องปฏิรูปนโยบายราคาโดยลดการแทรกแซงกลไกตลาดโดยรัฐเพื่อไม่ให้บิดเบือนราคาจนทำลายตลาดโดยรวม ดังกรณีการแทรกแซงราคาข้าวด้วยนโยบายประชานิยม (populist) ที่นอกจากจะสะเทือนทั้งห่วงโซ่การผลิตตั้งแต่เกษตรกรจนถึงผู้ส่งออกและผู้บริโภค จนอุตสาหกรรมข้าวไทยถูกท้าทายอย่างหนักหน่วงในปัจจุบัน ทั้งๆ ที่มีอดีตเป็นบทเรียนแล้วก็ตามที และที่สำคัญยังทำลายตลาดทางเลือกที่จะเกิดขึ้นเพราะเกษตรกรส่วนใหญ่ไม่จำเป็นหรือต้องการปรับเปลี่ยนวิถีการผลิตเพราะรัฐยังคงอุดหนุนวิถีเกษตรเคมีแบบเดิมอยู่ จนตลาดทางเลือกทั้งตลาดสีเขียว ตลาดอินทรีย์ หรือตลาดที่เป็นธรรม (fair trade) ที่เกษตรกรมีอำนาจต่อรองมากกว่าในระบบตลาดทั่วไปไม่เกิดขึ้น เพราะกลไกในการส่งเสริมสูญสิ้นไป
ไม่เท่านั้นยังต้องเร่งปฏิรูปปัญหาหนี้สินเกษตรกร และปรับความสัมพันธ์ของเกษตรพันธสัญญา (contract farming) ให้เป็นธรรมและมีความรับผิดชอบร่วมกันระหว่างบรรษัทกับเกษตรกร
การยกระดับราคาสินค้าเกษตรและให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลชุดปัจจุบันจากการแถลงต่อรัฐสภาโดยการออกบัตรเครดิตเกษตรกร และกำหนดราคารับจำนำสูงกว่าราคาตลาดมากๆ จึงไม่สามารถสร้างระบบเกษตรที่เป็นธรรมขึ้นได้ เพราะไม่ได้รื้อถอนสั่นคลอนโครงสร้างความไม่เป็นธรรมและเหลื่อมล้ำ หรือนำไปสู่การลดต้นทุนการผลิตและพัฒนาคุณภาพผลผลิตแต่อย่างใด
แต่ในนโยบายระยะยาว 4 ปีที่มุ่งเสริมสร้างรากฐานความเข้มแข็งครัวเรือนเกษตรกรโดยการเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูก ลดต้นทุนการผลิต พัฒนาระบบการผลิตที่เป็นขั้นตอน โดยมีการวางแผนการผลิตและการจำหน่ายล่วงหน้าที่แม่นยำ และถ่ายทอดองค์ความรู้จากการวิจัยไปสู่เกษตรกรเพื่อให้ได้ใช้พันธุ์ดี มีเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับพื้นที่ จะทำให้ความเป็นธรรมเกิดขึ้นได้ในระบบเกษตร เพราะเกษตรกรพึ่งตนเองได้มากขึ้น
การขยายตัวของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะการสูงขึ้นของตัวเลขการส่งออกสินค้าเกษตรที่ถูกควบคุมโดยทุนขนาดใหญ่จึงไม่ได้หมายความว่าเกษตรกรรายย่อยจะมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นหรือมีรายได้สูงขึ้นตามไปด้วยแต่อย่างใด ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมาพบว่าแม้แต่ในช่วงราคาอาหารโลกสูงเป็นประวัติการณ์ดังปีที่ผ่านมา และในอนาคตจากการคาดการณ์ของธนาคารโลก เกษตรกรก็ไม่สามารถสลัดความยากจนข้นแค้นเป็นสุขสบายได้ ตราบใดที่ยังไม่ได้ ‘ปฏิรูปโครงสร้างการผลิตเพื่อสร้างระบบเกษตรที่เป็นธรรม’
ทั้งนี้ด้วยในข้อเท็จจริงขื่นคาวพบว่าอาชีพเกษตรกรสร้างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ เกษตรกรมีรายได้น้อยและขาดโอกาสเพิ่มรายได้ ในทางกลับกันก็มีหนี้สินสูงขึ้นมากจากการพึ่งพิงปัจจัยการผลิตตั้งแต่ที่ดิน น้ำ เมล็ดพันธุ์ ภายใต้กฎหมายและนโยบายรัฐที่เอื้อประโยชน์บรรดาบรรษัทเกษตรและอาหารยักษ์ใหญ่ต่างๆ ลำพังเพียงความกล้าหาญและรับผิดชอบของเกษตรกรในการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์การผลิตของตนเองจากเกษตรเคมีเข้มข้นเป็นเกษตรอินทรีย์หรือเกษตรลดต้นทุนเพื่อลดการพึ่งพิงไม่เพียงพอ
เพราะถึงที่สุดแล้วราคาสินค้าเกษตรที่สูงขึ้นจากการกำหนดนโยบายประชานิยมของรัฐมิได้คำนวณต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นของเกษตรกร หรือมีนัยสำคัญต่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของเกษตรกรรายย่อยแต่อย่างใด โดยเฉพาะนโยบายด้านราคา (price policy) ในรูปแบบของการรับจำนำที่กำหนดราคารับจำนำสูงกว่าราคาตลาดมากนั้นไม่เพียงจะบิดเบือนกลไกตลาดอย่างรุนแรง แต่ยังเสี่ยงต่อการคอร์รัปชันมหาศาลจากกระบวนการรับจำนำด้วย มิหนำซ้ำยังทำลายแรงบันดาลใจในการเปลี่ยนวิถีการผลิตของเกษตรกรที่ต้องการ ‘ปลดแอก’ ตนเองออกจากหนี้สินและอาณัติอิทธิพลทุนโดยเลือกวิถีเกษตรกรรมยั่งยืน เกษตรอินทรีย์ และเกษตรลดต้นทุนที่ไม่ต้องพึ่งสารเคมีเกษตรที่อันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง carbofuran, dicrotophos, EPN และ methomyl ที่ทั้งประเทศพัฒนาแล้วและไม่พัฒนาต่าง ban สารเคมีกำจัดศัตรูพืชทั้ง 4 ชนิดนี้เพื่อปกป้องสุขภาวะประชาชนและสังคม
สอดคล้องกับข้อเสนอคณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) ในส่วนของการปฏิรูประบบการควบคุมสารเคมีเกษตรเพื่อสร้างระบบเกษตรที่เป็นธรรม ทั้งยังเป็นส่วนผลักดันสังคมไทยโดยรวมให้มีความเป็นธรรมกับประชาชนจำนวนมาก ไม่เฉพาะเกษตรกรรายย่อย แต่รวมถึงผู้บริโภคที่นอกจากจะได้บริโภคพืชผักปลอดสารพิษเหมือนประชากรกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป (EU) แล้ว ประเทศชาติยังไม่ต้องสูญเสียต้นทุนทางสังคม (social cost) จากการสั่งสมสารพิษในสิ่งแวดล้อมจนผืนแผ่นดินไทยกลายเป็น ‘แผ่นดินอาบยาพิษ’
ดังนั้นข้อเสนอการปฏิรูประบบเกษตรเพื่อสร้างความเป็นธรรม และลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมจากการประชุมสมัชชาปฏิรูปครั้งที่ 1 และครั้งต่อไปในปี 2555 จึงมุ่งสลายรื้อถอนโครงสร้างความไม่เป็นธรรมในกระบวนการผลิตและระบบตลาดที่ไม่ใช่แค่แก้ไขวิกฤตการณ์สารเคมีเกษตรเพื่อสร้างความปลอดภัยทางอาหารและสิ่งแวดล้อม แต่ยังพยายามปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตเพื่อที่เกษตรกรจะเป็นอิสรภาพจากการครอบงำของทุนด้วยการบริหารจัดการลดต้นทุนและความเสี่ยงในการผลิต ซึ่งรวมถึงการเลิกใช้สารเคมีเกษตรร้ายแรง 4 ชนิดข้างต้นที่มีราคาสูงและผลตกค้างยาวนานด้วยการใช้แนวทาง ‘ชีววิถี’
การกลับมามีอำนาจในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง เมื่อผนวกกับพลังการต่อรองที่เพิ่มสูงขึ้นจากการรวมกลุ่มเกษตรกร และการกระตือรืนร้นที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ด้านต่างๆ ตั้งแต่การผลิต การตลาด การแปรรูป และการส่งออก ตลอดจนเพิ่มเติมความรู้เท่าทันเหลี่ยมมุมธุรกิจ การบังคับใช้กฎหมาย และร่วมผลักดันนโยบายสำคัญๆ จากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั้งในระดับพื้นที่และข้ามพื้นที่ จะทำให้พึ่งตนเองได้ ลดต้นทุนการผลิตได้ กระทั่งสามารถอยู่รอดได้ในสภาวการณ์เศรษฐกิจโลกผันผวน ดังหลายพื้นที่ที่ลดต้นทุนการผลิตจนเป็นต้นแบบที่ดี (best practice)
รวมทั้งยังต้องปฏิรูปนโยบายราคาโดยลดการแทรกแซงกลไกตลาดโดยรัฐเพื่อไม่ให้บิดเบือนราคาจนทำลายตลาดโดยรวม ดังกรณีการแทรกแซงราคาข้าวด้วยนโยบายประชานิยม (populist) ที่นอกจากจะสะเทือนทั้งห่วงโซ่การผลิตตั้งแต่เกษตรกรจนถึงผู้ส่งออกและผู้บริโภค จนอุตสาหกรรมข้าวไทยถูกท้าทายอย่างหนักหน่วงในปัจจุบัน ทั้งๆ ที่มีอดีตเป็นบทเรียนแล้วก็ตามที และที่สำคัญยังทำลายตลาดทางเลือกที่จะเกิดขึ้นเพราะเกษตรกรส่วนใหญ่ไม่จำเป็นหรือต้องการปรับเปลี่ยนวิถีการผลิตเพราะรัฐยังคงอุดหนุนวิถีเกษตรเคมีแบบเดิมอยู่ จนตลาดทางเลือกทั้งตลาดสีเขียว ตลาดอินทรีย์ หรือตลาดที่เป็นธรรม (fair trade) ที่เกษตรกรมีอำนาจต่อรองมากกว่าในระบบตลาดทั่วไปไม่เกิดขึ้น เพราะกลไกในการส่งเสริมสูญสิ้นไป
ไม่เท่านั้นยังต้องเร่งปฏิรูปปัญหาหนี้สินเกษตรกร และปรับความสัมพันธ์ของเกษตรพันธสัญญา (contract farming) ให้เป็นธรรมและมีความรับผิดชอบร่วมกันระหว่างบรรษัทกับเกษตรกร
การยกระดับราคาสินค้าเกษตรและให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลชุดปัจจุบันจากการแถลงต่อรัฐสภาโดยการออกบัตรเครดิตเกษตรกร และกำหนดราคารับจำนำสูงกว่าราคาตลาดมากๆ จึงไม่สามารถสร้างระบบเกษตรที่เป็นธรรมขึ้นได้ เพราะไม่ได้รื้อถอนสั่นคลอนโครงสร้างความไม่เป็นธรรมและเหลื่อมล้ำ หรือนำไปสู่การลดต้นทุนการผลิตและพัฒนาคุณภาพผลผลิตแต่อย่างใด
แต่ในนโยบายระยะยาว 4 ปีที่มุ่งเสริมสร้างรากฐานความเข้มแข็งครัวเรือนเกษตรกรโดยการเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูก ลดต้นทุนการผลิต พัฒนาระบบการผลิตที่เป็นขั้นตอน โดยมีการวางแผนการผลิตและการจำหน่ายล่วงหน้าที่แม่นยำ และถ่ายทอดองค์ความรู้จากการวิจัยไปสู่เกษตรกรเพื่อให้ได้ใช้พันธุ์ดี มีเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับพื้นที่ จะทำให้ความเป็นธรรมเกิดขึ้นได้ในระบบเกษตร เพราะเกษตรกรพึ่งตนเองได้มากขึ้น
แค่ .. คนใจดี เขาดูแลเอาใจ เพราะเขาแคร์...คุณ
เป็นวาสนาและความโชคดีของผมที่ได้มีโอกาสเดินทางไป จ.นครพนม และที่สำคัญการได้เดินทางไปมนัสการ บูชา พระธาตุพนม สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของชาวอิสานมาอย่างยาวนาน ซึ่งเคยได้ยินชื่อมาแสนนานแล้ว สำหรับเด็กอิสานอย่างผม แต่ด้วยปัจจัยมากมายและอาจคงยังไม่ถึงเวลาด้วยจึงคลาดเคลื่อนมาตลอดในที่สุดวันนี้ก็ได้มีโอกาสไปมนัสการและก็ไม่ลืมเก็บภาพมาเป็นความทรงจำด้วย..
พระธาตุพนมประดิษฐาน ณ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร อำเภอธาตุ พนม จังหวัดนครพนม ตามตำนานกล่าวว่าสร้างมานานไม่น้อยกว่า ๒,๓๐๐ ปี ผู้ที่สร้าง คือ พระ มหากัสปะพร้อมด้วยพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ ได้นำพระอุรังคธาตุหรือกระดูกหน้าอก ของสมเด็จพระสัมมนาพุทธเจ้ามาเพื่อบรรจุไว้ในพระธาตุผู้ที่ร่วมช่วยในการสร้างพระ ธาตุนี้คือ ท้ายพระยาเมืองต่าง ๆ พญานันทเสน เมืองศรีโคตรบูรณ์ (เมืองนครพนม เดิม) พญาจุลนีพรหมทัด พระยาอินทรปัตนคร และพญาดำแดง เมืองหนองหารน้อย พากันยกโยธามาช่วยสร้างพระธาตุพนมจนเสร็จและบรรจุอุรังคธาตุพร้อมของมีค่าไว้ ภายในเป็นจำนวนมาก
พระธาตุพนม เป็นวัดพระอารามหลวง ชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ถนนชยางกูร บ้านธาตุพนม ตำบลธาตุพนม อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม พระธาตุพนม ลักษณะเป็นเจดีย์รูปสี่เหลี่ยมจตุรัสก่อด้วยอิฐ กว้างด้านละ 12.33 เมตร สูง 53.6 เมตร มีกำแพงล้อมองค์พระธาตุ 4 ชั้น องค์พระธาตุตั้งอยู่บนภูกำพร้า (เนินดินสูงจากพื้นธรรมดาประมาณ 3 เมตร) ภายในบริเวณมีบึงขนาดใหญ่เรียกว่าบึงธาตุพนม ในวันเพ็ญเดือน 3 ถึง แรม 1 ค่ำ เดือน 3 ของทุกปีจะมีงานประจำปีเพื่อเป็นการนมัสการพระธาตุพนม
ตามตำนานอุรังคธาตุ กล่าวว่า ท้าวพญาทั้งห้าผู้เป็นใหญ่ ได้แก่พญาสุวรรณภิงคาร เจ้าเมืองหนองหานหลวง พญาคำแดง เจ้าเมืองหนองหานน้อย พญาจุลณีพรหมทัต เจ้าเมืองจุลนีพรหมทัต พญาอินทรปัตถ์ เจ้าเมืองอินทปัตถนคร และพญานันทเสน เจ้านครศรีโคตรบูรณ์อันเป็นที่ตั้งของพระธาตุ ได้สร้างอูบมูงขึ้นเพื่อประดิษฐานพระอุรังคธาตุ ตามพุทธพยากรณ์ โดยก่อสร้างด้วยดินดิบ (อิฐดิบ) ฐานพระธาตุพนมได้ขุดลงไปจนเป็นอูบมุง (อุโมง) เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ กระดูกส่วนหน้าอก เมื่อก่อด้วยดินดิบเสร็จแล้ว จึงได้ก่อไฟเผาพระธาตุเป็นเวลากว่าหลายวัน อิฐจึงได้แห้งสนิทจรดกัน ในพระธาตุพนม บรรจุพระอุรังคธาตุ (กระดูกส่วนหน้าอก) ของพระพุทธเจ้า ซึ่งประมาณ พ.ศ. 8 พระอุตรเถระและพระโสณเถระ สมรทูตของพระเจ้าอโศกมหาราช ได้อัญเชิญมา และพระมหากัสสปะเถระได้นำมาประดิษฐานไว้บนภูกำพร้า ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ พระธาตุพนมได้รับการบูรณะและอุปถัมภ์โดยกษัตริย์แห่งล้านช้าง
วัดพระธาตุพนมเป็นวัดวรมหาวิหาร พระอารามหลวง ถือเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ถึงคราวพระราชพิธีราชาภิเษกทุกรัชกาลมา จะต้องนำน้ำจากสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ไปร่วมพิธีด้วยเพื่อประกอบพิธีมุรธาภิเษก และเมื่อถึงเทศกาลสงกรานต์ซึ่งถือ ว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ตามประเพณีเดิม จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานต้นไม้ ทอง เงิน น้ำอบและผ้าคลุมส่งไปนมัสการพระธาตุพนมทุกปี และเมื่อถึงเทศกาลเข้าปุ ริมพรรษา ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเทียนพรรษาเป็นพุทธบูชาทุกปีมา
พระธาตุพนมไม่เพียงแต่เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวนครพนมเท่านั้น พระธาตุพนมยังเป็นที่เคารพของชาวไทยภาคอื่น ๆ และชาวลาวอีกด้วย ว่ากันว่าถ้าใครได้มานมัสการพระธาตุครบ 7 ครั้ง จะถือว่าเป็น "ลูกพระธาตุ" เป็นสิริมงคลแก่ชีวิตและจะมีความเจริญรุ่งเรือง หรือแม้แต่การได้มากราบพระธาตุพนม 1 ครั้ง ก็ถือเป็นมงคลแก่ชีวิตแล้ว
ในวันที่ 11 สิงหาคม 2518 เวลา 19.38 น. พระธาตุพนมได้ล้มทลายลงทั้งองค์ เนื่องจากความเก่าแก่ขององค์พระธาตุพนมและประจวบกับระหว่างนั้นฝนตกพายุพัดแรงติดต่อกันมาหลายวัน ประชาชนทั้งประเทศได้ร่วมบริจาคทุนทรัพย์และรัฐบาลได้ก่อสร้างองค์พระธาตุขึ้นใหม่ตามแบบเดิม การก่อสร้างนี้เสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2522 นอกจากพระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุในองค์พระธาตุแล้ว ยังมีของมีค่ามากมายนับหมื่นชิ้น โดยเฉพาะฉัตรทองคำบนยอดพระธาตุ
พลบค่ำ เมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ทางวัดจะเปิดไฟส่องสว่างองค์พระธาตุพนม ดูสวยงามมากยิ่งขึ้น ด้านหน้าวัดที่เป็นเส้นทางไปชายฝั่งแม่น้ำโขง เวลาประมาณ 2 ทุ่มเศษ วัดยังเปิดให้ประชาชนได้เข้าไปสักการะพระธาตุ
แค่ .. คนใจดี
เขาดูแลเอาใจ เพราะเขาแคร์...คุณ
แต่ไม่เห็นจำเป็น ต้องแปลว่า รักคุณ
พระธาตุพนมประดิษฐาน ณ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร อำเภอธาตุ พนม จังหวัดนครพนม ตามตำนานกล่าวว่าสร้างมานานไม่น้อยกว่า ๒,๓๐๐ ปี ผู้ที่สร้าง คือ พระ มหากัสปะพร้อมด้วยพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ ได้นำพระอุรังคธาตุหรือกระดูกหน้าอก ของสมเด็จพระสัมมนาพุทธเจ้ามาเพื่อบรรจุไว้ในพระธาตุผู้ที่ร่วมช่วยในการสร้างพระ ธาตุนี้คือ ท้ายพระยาเมืองต่าง ๆ พญานันทเสน เมืองศรีโคตรบูรณ์ (เมืองนครพนม เดิม) พญาจุลนีพรหมทัด พระยาอินทรปัตนคร และพญาดำแดง เมืองหนองหารน้อย พากันยกโยธามาช่วยสร้างพระธาตุพนมจนเสร็จและบรรจุอุรังคธาตุพร้อมของมีค่าไว้ ภายในเป็นจำนวนมาก
พระธาตุพนม เป็นวัดพระอารามหลวง ชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ถนนชยางกูร บ้านธาตุพนม ตำบลธาตุพนม อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม พระธาตุพนม ลักษณะเป็นเจดีย์รูปสี่เหลี่ยมจตุรัสก่อด้วยอิฐ กว้างด้านละ 12.33 เมตร สูง 53.6 เมตร มีกำแพงล้อมองค์พระธาตุ 4 ชั้น องค์พระธาตุตั้งอยู่บนภูกำพร้า (เนินดินสูงจากพื้นธรรมดาประมาณ 3 เมตร) ภายในบริเวณมีบึงขนาดใหญ่เรียกว่าบึงธาตุพนม ในวันเพ็ญเดือน 3 ถึง แรม 1 ค่ำ เดือน 3 ของทุกปีจะมีงานประจำปีเพื่อเป็นการนมัสการพระธาตุพนม
ตามตำนานอุรังคธาตุ กล่าวว่า ท้าวพญาทั้งห้าผู้เป็นใหญ่ ได้แก่พญาสุวรรณภิงคาร เจ้าเมืองหนองหานหลวง พญาคำแดง เจ้าเมืองหนองหานน้อย พญาจุลณีพรหมทัต เจ้าเมืองจุลนีพรหมทัต พญาอินทรปัตถ์ เจ้าเมืองอินทปัตถนคร และพญานันทเสน เจ้านครศรีโคตรบูรณ์อันเป็นที่ตั้งของพระธาตุ ได้สร้างอูบมูงขึ้นเพื่อประดิษฐานพระอุรังคธาตุ ตามพุทธพยากรณ์ โดยก่อสร้างด้วยดินดิบ (อิฐดิบ) ฐานพระธาตุพนมได้ขุดลงไปจนเป็นอูบมุง (อุโมง) เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ กระดูกส่วนหน้าอก เมื่อก่อด้วยดินดิบเสร็จแล้ว จึงได้ก่อไฟเผาพระธาตุเป็นเวลากว่าหลายวัน อิฐจึงได้แห้งสนิทจรดกัน ในพระธาตุพนม บรรจุพระอุรังคธาตุ (กระดูกส่วนหน้าอก) ของพระพุทธเจ้า ซึ่งประมาณ พ.ศ. 8 พระอุตรเถระและพระโสณเถระ สมรทูตของพระเจ้าอโศกมหาราช ได้อัญเชิญมา และพระมหากัสสปะเถระได้นำมาประดิษฐานไว้บนภูกำพร้า ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ พระธาตุพนมได้รับการบูรณะและอุปถัมภ์โดยกษัตริย์แห่งล้านช้าง
วัดพระธาตุพนมเป็นวัดวรมหาวิหาร พระอารามหลวง ถือเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ถึงคราวพระราชพิธีราชาภิเษกทุกรัชกาลมา จะต้องนำน้ำจากสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ไปร่วมพิธีด้วยเพื่อประกอบพิธีมุรธาภิเษก และเมื่อถึงเทศกาลสงกรานต์ซึ่งถือ ว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ตามประเพณีเดิม จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานต้นไม้ ทอง เงิน น้ำอบและผ้าคลุมส่งไปนมัสการพระธาตุพนมทุกปี และเมื่อถึงเทศกาลเข้าปุ ริมพรรษา ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเทียนพรรษาเป็นพุทธบูชาทุกปีมา
พระธาตุพนมไม่เพียงแต่เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวนครพนมเท่านั้น พระธาตุพนมยังเป็นที่เคารพของชาวไทยภาคอื่น ๆ และชาวลาวอีกด้วย ว่ากันว่าถ้าใครได้มานมัสการพระธาตุครบ 7 ครั้ง จะถือว่าเป็น "ลูกพระธาตุ" เป็นสิริมงคลแก่ชีวิตและจะมีความเจริญรุ่งเรือง หรือแม้แต่การได้มากราบพระธาตุพนม 1 ครั้ง ก็ถือเป็นมงคลแก่ชีวิตแล้ว
ในวันที่ 11 สิงหาคม 2518 เวลา 19.38 น. พระธาตุพนมได้ล้มทลายลงทั้งองค์ เนื่องจากความเก่าแก่ขององค์พระธาตุพนมและประจวบกับระหว่างนั้นฝนตกพายุพัดแรงติดต่อกันมาหลายวัน ประชาชนทั้งประเทศได้ร่วมบริจาคทุนทรัพย์และรัฐบาลได้ก่อสร้างองค์พระธาตุขึ้นใหม่ตามแบบเดิม การก่อสร้างนี้เสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2522 นอกจากพระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุในองค์พระธาตุแล้ว ยังมีของมีค่ามากมายนับหมื่นชิ้น โดยเฉพาะฉัตรทองคำบนยอดพระธาตุ
พลบค่ำ เมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ทางวัดจะเปิดไฟส่องสว่างองค์พระธาตุพนม ดูสวยงามมากยิ่งขึ้น ด้านหน้าวัดที่เป็นเส้นทางไปชายฝั่งแม่น้ำโขง เวลาประมาณ 2 ทุ่มเศษ วัดยังเปิดให้ประชาชนได้เข้าไปสักการะพระธาตุ
แค่ .. คนใจดี
เขาดูแลเอาใจ เพราะเขาแคร์...คุณ
แต่ไม่เห็นจำเป็น ต้องแปลว่า รักคุณ
ข่าวดีกับข่าวร้ายเรื่อง ปิโตรเลียมในประเทศไทย โดย ประสาท มีแต้ม
เรื่องที่เขียนในวันนี้ผมเชื่อว่า ท่านผู้อ่านส่วนใหญ่คงไม่ทราบ เพราะเป็นข่าวธุรกิจเล็กๆ ขอเริ่มที่ข่าวดีสองข่าวก่อนแล้วค่อยตามด้วยข่าวร้ายหนึ่งข่าว ผมว่าน่าสนใจนะครับ
ข่าวแรกจากเอเอสทีวีผู้จัดการพาดหัวว่า “จุดพลุแหล่งก๊าซขนาดใหญ่ในอีสาน ยันศักยภาพสูง-เหนือกว่าซาอุฯ” (10 มกราคม 54 อ่านแล้วรู้สึกตื่นเต้น) เนื้อข่าวเป็นการเปิดเผยของนายทรงภพ พลจันทร์ รักษาการอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ว่า
“รัฐเตรียมเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบ 21 เน้นพื้นที่ภาคอีสาน แย้มมีปริมาณก๊าซธรรมชาติสูงคิดเป็น 1 ใน 3 ของปริมาณในอ่าวไทย ยันศักยภาพรองรับโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่หรือผลิตก๊าซเอ็นจีวีป้อนได้ทั้งอีสาน คาดใหญ่กว่าซาอุฯ โดยระบุว่าขณะนี้ไทยมีความพร้อมในการเปิดสัมปทานสำรวจ และขุดเจาะปิโตรเลียมรอบใหม่โดยรอเพียงการตัดสินใจของรัฐบาลว่า จะตัดสินใจดำเนินการช่วงไหน ปัจจุบันแปลงปิโตรเลียมที่มีศักยภาพเหลืออยู่ทั่วประเทศมีประมาณ 30 แปลง โดยจะเปิดให้ผู้สนใจยื่นประมูลคราวละ 5 แปลง ซึ่งต่างจากครั้งที่ผ่านมาเปิดให้ขอสัมปทานทั้งปีในทั่วประเทศ และพบปัญหาหลายด้าน เช่น การถอนตัวเมื่อราคาน้ำมันในตลาดโลกต่ำลง สำหรับพื้นที่ที่มีศักภาพเปิดสัมปทานในรอบที่ 21 คือ พื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีแหล่งปิโตรเลียมที่มีศักยภาพสูงกว่าแหล่งสัมปทานในอ่าวไทย หรือในภาคกลาง ที่เปิดสัมปทานไปจนเต็มพื้นที่เกือบหมดแล้ว ซึ่งการให้ความสำคัญกับการสำรวจปิโตรเลียมในภาคอีสานมาก เพราะการเปิดสัมปทานในรอบที่ 19 และ 20 เมื่อปี 2548 บริษัทที่ขอสัปทานสำรวจพบก๊าซในภาคอีสานเพิ่มมากขึ้น ซึ่งหากพบก๊าซในปริมาณที่มากพอจะสามารถก่อสร้างโรงไฟฟ้าแห่งใหม่เพิ่มเติม หรือนำมาผลิตเป็นก๊าซธรรมชาติสำหรับรถยนต์ (เอ็นจีวี) ขายให้ประชาชนในแถบอีสานได้”
รองอธิบดีฯ สรุปว่า “ผมบอกได้คำเดียวว่า ถ้าเราเจอก๊าซในทุกโครงสร้างของภาคอีสาน ผมว่าไทยจะใหญ่กว่าประเทศซาอุดีอาระเบียเสียอีก แต่ที่ผ่านมาโอกาสเจอก๊าซในภาคอีสานอยู่ที่ 20% เมื่อเทียบกับอ่าวไทยเจอในระดับ 50-60% และบางโครงสร้างที่ขุดเจาะสำรวจต้องใช้เวลากว่า 20 ปีถึงจะเจอหลุมก๊าซฯ”
อ้าว! มีโอกาสเพียง 20% เอง อย่างไรก็ตามผมถือว่ายังไม่ใช่ข่าวร้ายนะ ไปที่ข่าวดีชิ้นที่สองจากมติชนออนไลน์ (8 สิงหาคม 54) ครับ
ผู้ให้ข่าวยังคงเป็นท่านเดิมเป็นเรื่องต่อเนื่องว่า “คาดว่าจะเปิดประมูลในไตรมาสแรกของปี 2555 การประมูลดังกล่าวจะแก้ไขระเบียบการประมูล เพื่อความยุติธรรมและโปร่งใสมากยิ่งขึ้น เช่น การทยอยเปิดสัมปทานครั้งละ 5 แปลง การกำหนดให้มีการวางเงินประกันการลงทุน เพื่อป้องกันการทิ้งสัมปทาน ภายหลังได้รับการคัดเลือกแล้ว”
ข่าวชิ้นนี้ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า “การลงทุนสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศไทย จากอดีตจนถึงปี 2553 มีมูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 1.3 ล้านล้านบาท เป็นเงินลงทุนด้านการสำรวจปิโตรเลียมประมาณ 1.591 แสนล้านบาท ด้านการพัฒนาแหล่ง 7.573 แสนล้านบาท ด้านการผลิตและขายประมาณ 2.79 แสนล้านบาท และเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานประมาณ 1.09 แสนล้านบาท ตั้งแต่ปี 2549 ถึงปี 2553 การลงทุนสำรวจ
ปิโตรเลียม มีมูลค่าเฉลี่ยกว่า 1 แสนล้านบาทต่อปี โดยในปี 2553 มีมูลค่าสูงถึง 1.45 แสนล้านบาท มีการเจาะหลุมสำรวจ 500-600 หลุมต่อปี”
โดยปกติคนเรามักจะสนใจเฉพาะข่าวใหญ่ๆ ที่อยู่ในกระแส เมื่ออ่านเนื้อข่าวแล้วหากไม่ได้ติดตามเรื่องนั้นๆ มาดีพอก็จะหาประเด็นโต้แย้งหรือข้อสงสัยได้ยาก ตัวอย่างจากสองข่าวนี้หากคิดผิวเผินก็น่าจะถือว่าเป็นข่าวดีทั้งนั้น
แต่ถ้ามีข้อมูล เราก็จะสงสัยว่า ไหนๆ มีการแก้ไขระเบียบการประมูลแล้ว ทำไมไม่แก้ไขประเด็นอัตราค่าภาคหลวงด้วย เพราะเราเก็บในอัตราที่จัดอยู่ในกลุ่มที่ต่ำที่สุดในโลก รายงานเรื่อง ธรรมาภิบาลในระบบพลังงานของประเทศ ภาคที่สอง” โดยคณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภาได้เคยตั้งข้อสังเกตว่า
“ระหว่างปี 2546-2551 ประเทศทั่วโลกตื่นตัวต่อการปรับปรุงส่วนแบ่งรายได้จากปิโตรเลียมให้สูงขึ้นเพื่อประโยชน์ของประชาชน เนื่องจากเป็นช่วงที่ราคาปิโตรเลียมมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก ตัวอย่างรัฐและประเทศที่มีการปรับส่วนแบ่งรายได้จากปิโตรเลียมเพิ่มขึ้น ได้แก่ มาเลเซีย คาซัคสถาน เวเนซุเอลา โบลิเวีย อินเดีย รัฐเซีย อังกฤษ แองโกล่า อัลจีเรีย ลิเบีย ทรินิแดดแอนโทบาโค่ รัฐอลาสกาของสหรัฐอเมริกา และรัฐอัลเบอร์ท่าของแคนาดา
ส่วนประเทศไทยนอกจากไม่ได้ปรับวิธีการให้สัมปทานที่มีส่วนแบ่งกำไร หรือปรับส่วนแบ่งรายได้อย่างประเทศอื่นแล้ว ในปี 2550 ยังมีการแก้ไขพระราชบัญญัติปิโตรเลียมหลายครั้งในการเพิ่มอำนาจให้กับรัฐมนตรีและอธิบดี ทั้งการให้สัมปทานและแก้ไขสัมปทานอย่างเบ็ดเสร็จโดยยกเลิกข้อจำกัดทั้งจำนวนแปลงสัมปทานจาก 4-5 แปลง เป็นไม่จำกัดแปลงและไม่จำกัดพื้นที่ และยังแก้ไขให้รัฐมนตรีสามารถพิจารณาลดหย่อนค่าภาคหลวงจากเดิมไม่เกินร้อยละ 30 เป็นไม่เกินร้อยละ 90 ทั้งที่ค่าภาคหลวงที่รัฐได้อยู่ในอัตราต่ำที่สุดอยู่แล้วคือร้อยละ 5-15”
นี่เป็นข่าวร้ายใช่ไหม? แต่ยังมีร้ายกว่านี้อีกครับ คือบริษัทที่ได้รับสัมปทานขุดเจาะไปตั้งบริษัทลูกมารับซื้อก๊าซที่ปากหลุมด้วยราคาต่ำกว่าตลาดโลกถึง 40 - 67% ทั้งนี้เพื่อให้จำนวนเงินค่าภาคหลวงที่ประชาชนไทยได้รับต่ำลงไปอีก ดังตารางเปรียบเทียบข้างล่างนี้
ส่งผลให้ บมจ.ปตท.มีกำไรหลังหักภาษีแล้ว 9 เดือนแรกของปี 53 ถึงกว่า 7.4 หมื่นล้านบาท นี่ยังไม่นับกำไรส่วนที่เป็นบริษัทลูกที่มีต่างชาติถือหุ้นอีกประมาณ 40 ถึง 48% เช่น Suez International Energy และ Chevron
ข้อสงสัยอีกข้อหนึ่งคือ นับถึงปี 2553 มีการลงทุนรวมทั้งหมด 1.3 ล้านล้านบาท แล้วเขาได้ปิโตรเลียมไปคิดเป็นมูลค่าเท่าใด คำตอบนับถึงปี 2550 (ย้ำถึง 2550) มูลค่าปิโตรเลียมทั้งสิ้น 1.9 ล้านล้านบาท บริษัทกำไรอื้อเลย นี่เป็นแค่มูลค่าที่ถูกกดให้ต่ำกว่าตลาดโลกตามที่วุฒิสภาตั้งข้อสังเกตแล้วนะ
ผมเขียนเรื่องนี้สองครั้งแล้ว แต่สังคมส่วนใหญ่ยังไม่สนใจ หรือว่านี่คือข่าวร้ายชิ้นที่สองครับ
ข่าวแรกจากเอเอสทีวีผู้จัดการพาดหัวว่า “จุดพลุแหล่งก๊าซขนาดใหญ่ในอีสาน ยันศักยภาพสูง-เหนือกว่าซาอุฯ” (10 มกราคม 54 อ่านแล้วรู้สึกตื่นเต้น) เนื้อข่าวเป็นการเปิดเผยของนายทรงภพ พลจันทร์ รักษาการอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ว่า
“รัฐเตรียมเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบ 21 เน้นพื้นที่ภาคอีสาน แย้มมีปริมาณก๊าซธรรมชาติสูงคิดเป็น 1 ใน 3 ของปริมาณในอ่าวไทย ยันศักยภาพรองรับโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่หรือผลิตก๊าซเอ็นจีวีป้อนได้ทั้งอีสาน คาดใหญ่กว่าซาอุฯ โดยระบุว่าขณะนี้ไทยมีความพร้อมในการเปิดสัมปทานสำรวจ และขุดเจาะปิโตรเลียมรอบใหม่โดยรอเพียงการตัดสินใจของรัฐบาลว่า จะตัดสินใจดำเนินการช่วงไหน ปัจจุบันแปลงปิโตรเลียมที่มีศักยภาพเหลืออยู่ทั่วประเทศมีประมาณ 30 แปลง โดยจะเปิดให้ผู้สนใจยื่นประมูลคราวละ 5 แปลง ซึ่งต่างจากครั้งที่ผ่านมาเปิดให้ขอสัมปทานทั้งปีในทั่วประเทศ และพบปัญหาหลายด้าน เช่น การถอนตัวเมื่อราคาน้ำมันในตลาดโลกต่ำลง สำหรับพื้นที่ที่มีศักภาพเปิดสัมปทานในรอบที่ 21 คือ พื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีแหล่งปิโตรเลียมที่มีศักยภาพสูงกว่าแหล่งสัมปทานในอ่าวไทย หรือในภาคกลาง ที่เปิดสัมปทานไปจนเต็มพื้นที่เกือบหมดแล้ว ซึ่งการให้ความสำคัญกับการสำรวจปิโตรเลียมในภาคอีสานมาก เพราะการเปิดสัมปทานในรอบที่ 19 และ 20 เมื่อปี 2548 บริษัทที่ขอสัปทานสำรวจพบก๊าซในภาคอีสานเพิ่มมากขึ้น ซึ่งหากพบก๊าซในปริมาณที่มากพอจะสามารถก่อสร้างโรงไฟฟ้าแห่งใหม่เพิ่มเติม หรือนำมาผลิตเป็นก๊าซธรรมชาติสำหรับรถยนต์ (เอ็นจีวี) ขายให้ประชาชนในแถบอีสานได้”
รองอธิบดีฯ สรุปว่า “ผมบอกได้คำเดียวว่า ถ้าเราเจอก๊าซในทุกโครงสร้างของภาคอีสาน ผมว่าไทยจะใหญ่กว่าประเทศซาอุดีอาระเบียเสียอีก แต่ที่ผ่านมาโอกาสเจอก๊าซในภาคอีสานอยู่ที่ 20% เมื่อเทียบกับอ่าวไทยเจอในระดับ 50-60% และบางโครงสร้างที่ขุดเจาะสำรวจต้องใช้เวลากว่า 20 ปีถึงจะเจอหลุมก๊าซฯ”
อ้าว! มีโอกาสเพียง 20% เอง อย่างไรก็ตามผมถือว่ายังไม่ใช่ข่าวร้ายนะ ไปที่ข่าวดีชิ้นที่สองจากมติชนออนไลน์ (8 สิงหาคม 54) ครับ
ผู้ให้ข่าวยังคงเป็นท่านเดิมเป็นเรื่องต่อเนื่องว่า “คาดว่าจะเปิดประมูลในไตรมาสแรกของปี 2555 การประมูลดังกล่าวจะแก้ไขระเบียบการประมูล เพื่อความยุติธรรมและโปร่งใสมากยิ่งขึ้น เช่น การทยอยเปิดสัมปทานครั้งละ 5 แปลง การกำหนดให้มีการวางเงินประกันการลงทุน เพื่อป้องกันการทิ้งสัมปทาน ภายหลังได้รับการคัดเลือกแล้ว”
ข่าวชิ้นนี้ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า “การลงทุนสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศไทย จากอดีตจนถึงปี 2553 มีมูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 1.3 ล้านล้านบาท เป็นเงินลงทุนด้านการสำรวจปิโตรเลียมประมาณ 1.591 แสนล้านบาท ด้านการพัฒนาแหล่ง 7.573 แสนล้านบาท ด้านการผลิตและขายประมาณ 2.79 แสนล้านบาท และเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานประมาณ 1.09 แสนล้านบาท ตั้งแต่ปี 2549 ถึงปี 2553 การลงทุนสำรวจ
ปิโตรเลียม มีมูลค่าเฉลี่ยกว่า 1 แสนล้านบาทต่อปี โดยในปี 2553 มีมูลค่าสูงถึง 1.45 แสนล้านบาท มีการเจาะหลุมสำรวจ 500-600 หลุมต่อปี”
โดยปกติคนเรามักจะสนใจเฉพาะข่าวใหญ่ๆ ที่อยู่ในกระแส เมื่ออ่านเนื้อข่าวแล้วหากไม่ได้ติดตามเรื่องนั้นๆ มาดีพอก็จะหาประเด็นโต้แย้งหรือข้อสงสัยได้ยาก ตัวอย่างจากสองข่าวนี้หากคิดผิวเผินก็น่าจะถือว่าเป็นข่าวดีทั้งนั้น
แต่ถ้ามีข้อมูล เราก็จะสงสัยว่า ไหนๆ มีการแก้ไขระเบียบการประมูลแล้ว ทำไมไม่แก้ไขประเด็นอัตราค่าภาคหลวงด้วย เพราะเราเก็บในอัตราที่จัดอยู่ในกลุ่มที่ต่ำที่สุดในโลก รายงานเรื่อง ธรรมาภิบาลในระบบพลังงานของประเทศ ภาคที่สอง” โดยคณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภาได้เคยตั้งข้อสังเกตว่า
“ระหว่างปี 2546-2551 ประเทศทั่วโลกตื่นตัวต่อการปรับปรุงส่วนแบ่งรายได้จากปิโตรเลียมให้สูงขึ้นเพื่อประโยชน์ของประชาชน เนื่องจากเป็นช่วงที่ราคาปิโตรเลียมมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก ตัวอย่างรัฐและประเทศที่มีการปรับส่วนแบ่งรายได้จากปิโตรเลียมเพิ่มขึ้น ได้แก่ มาเลเซีย คาซัคสถาน เวเนซุเอลา โบลิเวีย อินเดีย รัฐเซีย อังกฤษ แองโกล่า อัลจีเรีย ลิเบีย ทรินิแดดแอนโทบาโค่ รัฐอลาสกาของสหรัฐอเมริกา และรัฐอัลเบอร์ท่าของแคนาดา
ส่วนประเทศไทยนอกจากไม่ได้ปรับวิธีการให้สัมปทานที่มีส่วนแบ่งกำไร หรือปรับส่วนแบ่งรายได้อย่างประเทศอื่นแล้ว ในปี 2550 ยังมีการแก้ไขพระราชบัญญัติปิโตรเลียมหลายครั้งในการเพิ่มอำนาจให้กับรัฐมนตรีและอธิบดี ทั้งการให้สัมปทานและแก้ไขสัมปทานอย่างเบ็ดเสร็จโดยยกเลิกข้อจำกัดทั้งจำนวนแปลงสัมปทานจาก 4-5 แปลง เป็นไม่จำกัดแปลงและไม่จำกัดพื้นที่ และยังแก้ไขให้รัฐมนตรีสามารถพิจารณาลดหย่อนค่าภาคหลวงจากเดิมไม่เกินร้อยละ 30 เป็นไม่เกินร้อยละ 90 ทั้งที่ค่าภาคหลวงที่รัฐได้อยู่ในอัตราต่ำที่สุดอยู่แล้วคือร้อยละ 5-15”
นี่เป็นข่าวร้ายใช่ไหม? แต่ยังมีร้ายกว่านี้อีกครับ คือบริษัทที่ได้รับสัมปทานขุดเจาะไปตั้งบริษัทลูกมารับซื้อก๊าซที่ปากหลุมด้วยราคาต่ำกว่าตลาดโลกถึง 40 - 67% ทั้งนี้เพื่อให้จำนวนเงินค่าภาคหลวงที่ประชาชนไทยได้รับต่ำลงไปอีก ดังตารางเปรียบเทียบข้างล่างนี้
ส่งผลให้ บมจ.ปตท.มีกำไรหลังหักภาษีแล้ว 9 เดือนแรกของปี 53 ถึงกว่า 7.4 หมื่นล้านบาท นี่ยังไม่นับกำไรส่วนที่เป็นบริษัทลูกที่มีต่างชาติถือหุ้นอีกประมาณ 40 ถึง 48% เช่น Suez International Energy และ Chevron
ข้อสงสัยอีกข้อหนึ่งคือ นับถึงปี 2553 มีการลงทุนรวมทั้งหมด 1.3 ล้านล้านบาท แล้วเขาได้ปิโตรเลียมไปคิดเป็นมูลค่าเท่าใด คำตอบนับถึงปี 2550 (ย้ำถึง 2550) มูลค่าปิโตรเลียมทั้งสิ้น 1.9 ล้านล้านบาท บริษัทกำไรอื้อเลย นี่เป็นแค่มูลค่าที่ถูกกดให้ต่ำกว่าตลาดโลกตามที่วุฒิสภาตั้งข้อสังเกตแล้วนะ
ผมเขียนเรื่องนี้สองครั้งแล้ว แต่สังคมส่วนใหญ่ยังไม่สนใจ หรือว่านี่คือข่าวร้ายชิ้นที่สองครับ
นโยบาย....ที่ภาคใต้ไม่ปลื้ม โดย บรรจง นะแส
หวังเอาไว้ว่าในการแถลงนโยบายของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในวันที่ 23 นี้ จะได้นำเอาปัญหาของพี่น้องร่วมชาติมาเป็นตัวตั้ง แม้การประกาศนโยบายตอนหาเสียงของพรรคเพื่อไทยแทบจะไม่ได้หยิบยกเอาปัญหาเชิงโครงสร้างที่เป็นสาเหตุหลักของปัญหาในสังคมที่ดำรงอยู่ออกมาอย่างชัดๆไม่ว่าสาเหตุของปัญหาความอดอยากยากจน ปัญหาช่องว่างทางสังคมทั้งในแง่เศรษฐกิจ การศึกษา และสังคม ปัญหาผลประโยชน์ของชาติโดยเฉพาะในเรื่องพลังงานที่ต่างชาติยึดกุมอยู่อย่างแน่นเหนียว ยกเว้นการโหมโฆษณาหว่านแจก ลดแลกแจกแถมเพื่อเอาใจผู้ด้อยโอกาส
....วันนี้ วันที่ท่านมีโอกาสในการบริหารบ้านเมือง ภายใต้กรอบกติกาของระบอบประชาธิปไตยท่านและพรรคเพื่อไทยมีโอกาสที่จะทำตามสิ่งที่ได้ประกาศไว้ แต่อยากจะบอกว่ามีหลายนโยบายที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พี่ชายของท่านดำเนินไปในพื้นที่ภาคใต้ก่อนหน้านั้น บอกตรงๆ ว่าเราไม่ปลื้ม...
การใช้อำนาจบาตรใหญ่โดยไม่คำนึงถึงกฎหมาย อย่างกรณีการปราบปรามยาเสพติด การดำเนินนโยบายโดยไม่เคารพในศักดิ์ศรีของผู้คนที่แตกต่างทางศาสนาและวัฒนธรรม ไม่เคารพสิทธิของชุมชนอย่างกรณีโครงการโรงแยกก๊าซท่อส่งก๊าซไทย-มาเลย์ กรณีกรือแซะ ตากใบ ยังเป็นบาดแผลลึกของสังคมภาคใต้และสังคมไทยที่ยังรักษาไม่หาย รวมไปถึงการยกแหล่งพลังงาน(น้ำมัน)ในแปลง G5/43 ชายฝั่งสงขลาให้กับบริษัทนิวคอสตอล ที่วันนี้ผู้คนก็ไม่กระจ่างว่าบริษัทแม่ของบริษัทดังกล่าวที่เกาะเคย์แมนนั้น ท่านทักษิณและบริวารมีส่วนเป็นเจ้าของด้วยหรือไม่?
ตอนที่อดีตนายกฯ ทักษิณมีอำนาจ ได้ดำเนินการให้บริษัทดูไบเวิลด์เข้ามาทำการศึกษาเพื่อก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกที่ปากบาราและเชื่อมต่อด้วยถนน ทางรถไฟ ท่อน้ำมันไปสู่ฝั่งอ่าวไทยที่อำเภอจะนะนั้น คนสงขลา คนสตูลเขามีคำถามว่าทำไปเพื่อใคร รวมไปถึงการเตรียมขยายนิคมอุตสาหกรรมจากมาบตาพุดไปสู่ภาคใต้นั้น อยากบอกว่าพื้นที่ภาคใต้ไม่ใช่บ่อบำบัดน้ำเสีย ชายหาดและทะเลของเราไม่ใช่สถานที่ทิ้งขยะและของเสียของนิคมอุตสาหกรรม และคนใต้ก็ไม่ได้หูหนวกตาบอดที่จะไม่รับรู้ว่าพี่น้องมาบตาพุดกำลังเผชิญหน้าอยู่กับอะไรบ้าง
นอกจากนั้นเรายังพบว่ามีแผนการเตรียมสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ท่าศาลา ที่หัวไทร แผนการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ชุมพร เพื่อผลิตไฟฟ้าป้อนนิคมอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมโรงงานเหล็กต้นน้ำที่ทุ่งระโนด ฯลฯ บอกตรงๆ ว่า...เราไม่ปลื้ม
เราไม่ปลื้มกับแผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ ที่มีสาระสำคัญเพียงเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ทั้งอุตสาหกรรมน้ำมันและปิโตรเคมีเป็นหลัก เพียงเพื่อกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ต่อเนื่อง และกำเนิดโครงการสามเหลี่ยมเศรษฐกิจไทย-มาเลเซีย-อินโดนีเซีย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle Development Project (IMT-GT) เพียงเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มของผลิตภัณฑ์ พัฒนาท่าเรือน้ำลึกเป็น Gateway การพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ซึ่งพบว่าในปี 2551 มีการศึกษาพื้นที่ที่เหมาะสมในการตั้งนิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวน 3 พื้นที่ คือ นิคมอุตสาหกรรมปิโตรเคมี 2 พื้นที่ที่ตำบลทุ่งปรัง อ.สิชล และในเขตพื้นที่ตำบลกลาย อ.ท่าศาลา
นอกจากนั้นยังมีการวางแผนสร้างนิคมอุตสาหกรรมทางเกษตร 1 พื้นที่ ในตำบลแก้วเสน อ.นาบอน ตามมาด้วยในปีเดียวกันก็มีการศึกษาความเหมาะสมในการก่อสร้างสะพานเศรษฐกิจ (Land bridge) ระหว่างพื้นที่ฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน ซึ่งมีอยู่หลายเส้นทางเลือก แต่ก็มีการสรุปว่าเส้นทางที่เหมาะสม คือ เส้นทางระหว่างตำบลปากราบา อ.ละงู จ.สตูล กับตำบลนาทับ อ.จะนะ จ.สงขลา และในปี 2553 การศึกษาเพื่อสร้างท่าเรือน้ำลึกปากบาราแล้วเสร็จ ขณะนี้อยู่ระหว่างการขอใช้พื้นที่ในเขตอุทยานแห่งเกาะเภตราเท่านั้น เราอยากให้ท่านพิจารณาทบทวนยกเลิก
เราไม่ปลื้มกับทิศทางการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน การพัฒนาที่ไม่คำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ทำลายสิ่งแวดล้อมไม่ว่าอากาศ ทะเล ผืนแผ่นดิน ป่าไม้ หรือการพัฒนาที่ไม่คำนึงถึงคนในรุ่นต่อๆ ไปของสังคม เราไม่ปลื้มกับเอาตัวชี้วัดของการพัฒนาที่มีตัววัดแค่รายได้หรือ GDP เท่านั้น คนธรรมดาพูดเช่นนี้ท่านนายกฯ อาจจะไม่เห็นด้วย แต่คุณโจเซฟ สติกลิตซ์ นักเศรษฐศาสตร์ที่ได้รับรางวัลโนเบลปี 2544 ท่านอาจจะยอมฟังบ้าง ท่านกล่าวในงานสัมมนาเรื่อง “เอเชีย:เส้นทางสู่เศรษฐกิจใหม่” จัดโดยเดอะเนชั่น และเอเชีย นิวส์ เน็ตเวิร์ค ที่ รร.พลาซ่า แอทธินี เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2552 ว่า
“สังคมที่ผ่านมามองแต่เรื่อง GDP ประเด็นนี้ขอให้ทำความเข้าใจใหม่ว่าเป็นสิ่งไม่ดีเลยที่ใช้ GDP ประเมินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่ง GDP นี้ถือเป็นตัวชี้วัดผลประกอบการกับการทำงานที่แย่ ผมมอง GDP ว่าไม่ใช่ตัวชี้วัดที่ทำให้เห็นถึงเศรษฐกิจมีความผาสุกอยู่ดีกินดี และไม่ใช่ตัวช่วยให้สังคมโดยรวมเป็นวงกว้างมีความสุขได้” ก็ได้แต่หวังว่าการแถลงนโยบายของท่านนายกฯ ในครั้งนี้จะไม่ยกเอา GDP สร้างความฝันให้กับสังคม มาอ้างเพื่อดำเนินโครงการขนาดใหญ่ในพื้นที่ภาคใต้นะครับ
เรารู้ว่าการแถลงนโยบายของรัฐบาลเป็นแค่พิธีกรรมหนึ่งของการเมืองในระบอบประชาธิปไตย (แค่เปลือกๆ) ของประเทศนี้มายาวนาน บทเรียนของประเทศ ของผู้คนในสังคม ต่างตระหนักดีถึงผลพวงหลังจากนี้ว่า ทุกพรรคการเมืองล้วนแปรเปลี่ยนไปสู่การหาผลประโยชน์เพื่อตัวเองและพวกพ้อง ทั้งตัวของนักการเมือง กลุ่มทุนที่สนับสนุนนักการเมืองและพรรคการเมืองทั้งที่เปิดเผยและไม่เปิดเผย ภาคใต้ของเราอ่อนไหวและเปราะบางเพราะพื้นที่ของภูมิภาคแนบอิงอยู่กับฐานทรัพยากรที่เป็นชายฝั่ง ภูเขา การนำเอาโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ลงมาจะส่งผลกระทบง่ายและรุนแรง เราจะไม่ยินยอมให้รัฐบาลลงมาทำอะไรกับพื้นที่ภาคใต้ตามใจชอบ ตามอำเภอใจอีกต่อไปแน่นอน.
....วันนี้ วันที่ท่านมีโอกาสในการบริหารบ้านเมือง ภายใต้กรอบกติกาของระบอบประชาธิปไตยท่านและพรรคเพื่อไทยมีโอกาสที่จะทำตามสิ่งที่ได้ประกาศไว้ แต่อยากจะบอกว่ามีหลายนโยบายที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พี่ชายของท่านดำเนินไปในพื้นที่ภาคใต้ก่อนหน้านั้น บอกตรงๆ ว่าเราไม่ปลื้ม...
การใช้อำนาจบาตรใหญ่โดยไม่คำนึงถึงกฎหมาย อย่างกรณีการปราบปรามยาเสพติด การดำเนินนโยบายโดยไม่เคารพในศักดิ์ศรีของผู้คนที่แตกต่างทางศาสนาและวัฒนธรรม ไม่เคารพสิทธิของชุมชนอย่างกรณีโครงการโรงแยกก๊าซท่อส่งก๊าซไทย-มาเลย์ กรณีกรือแซะ ตากใบ ยังเป็นบาดแผลลึกของสังคมภาคใต้และสังคมไทยที่ยังรักษาไม่หาย รวมไปถึงการยกแหล่งพลังงาน(น้ำมัน)ในแปลง G5/43 ชายฝั่งสงขลาให้กับบริษัทนิวคอสตอล ที่วันนี้ผู้คนก็ไม่กระจ่างว่าบริษัทแม่ของบริษัทดังกล่าวที่เกาะเคย์แมนนั้น ท่านทักษิณและบริวารมีส่วนเป็นเจ้าของด้วยหรือไม่?
ตอนที่อดีตนายกฯ ทักษิณมีอำนาจ ได้ดำเนินการให้บริษัทดูไบเวิลด์เข้ามาทำการศึกษาเพื่อก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกที่ปากบาราและเชื่อมต่อด้วยถนน ทางรถไฟ ท่อน้ำมันไปสู่ฝั่งอ่าวไทยที่อำเภอจะนะนั้น คนสงขลา คนสตูลเขามีคำถามว่าทำไปเพื่อใคร รวมไปถึงการเตรียมขยายนิคมอุตสาหกรรมจากมาบตาพุดไปสู่ภาคใต้นั้น อยากบอกว่าพื้นที่ภาคใต้ไม่ใช่บ่อบำบัดน้ำเสีย ชายหาดและทะเลของเราไม่ใช่สถานที่ทิ้งขยะและของเสียของนิคมอุตสาหกรรม และคนใต้ก็ไม่ได้หูหนวกตาบอดที่จะไม่รับรู้ว่าพี่น้องมาบตาพุดกำลังเผชิญหน้าอยู่กับอะไรบ้าง
นอกจากนั้นเรายังพบว่ามีแผนการเตรียมสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ท่าศาลา ที่หัวไทร แผนการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ชุมพร เพื่อผลิตไฟฟ้าป้อนนิคมอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมโรงงานเหล็กต้นน้ำที่ทุ่งระโนด ฯลฯ บอกตรงๆ ว่า...เราไม่ปลื้ม
เราไม่ปลื้มกับแผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ ที่มีสาระสำคัญเพียงเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ทั้งอุตสาหกรรมน้ำมันและปิโตรเคมีเป็นหลัก เพียงเพื่อกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ต่อเนื่อง และกำเนิดโครงการสามเหลี่ยมเศรษฐกิจไทย-มาเลเซีย-อินโดนีเซีย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle Development Project (IMT-GT) เพียงเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มของผลิตภัณฑ์ พัฒนาท่าเรือน้ำลึกเป็น Gateway การพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ซึ่งพบว่าในปี 2551 มีการศึกษาพื้นที่ที่เหมาะสมในการตั้งนิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวน 3 พื้นที่ คือ นิคมอุตสาหกรรมปิโตรเคมี 2 พื้นที่ที่ตำบลทุ่งปรัง อ.สิชล และในเขตพื้นที่ตำบลกลาย อ.ท่าศาลา
นอกจากนั้นยังมีการวางแผนสร้างนิคมอุตสาหกรรมทางเกษตร 1 พื้นที่ ในตำบลแก้วเสน อ.นาบอน ตามมาด้วยในปีเดียวกันก็มีการศึกษาความเหมาะสมในการก่อสร้างสะพานเศรษฐกิจ (Land bridge) ระหว่างพื้นที่ฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน ซึ่งมีอยู่หลายเส้นทางเลือก แต่ก็มีการสรุปว่าเส้นทางที่เหมาะสม คือ เส้นทางระหว่างตำบลปากราบา อ.ละงู จ.สตูล กับตำบลนาทับ อ.จะนะ จ.สงขลา และในปี 2553 การศึกษาเพื่อสร้างท่าเรือน้ำลึกปากบาราแล้วเสร็จ ขณะนี้อยู่ระหว่างการขอใช้พื้นที่ในเขตอุทยานแห่งเกาะเภตราเท่านั้น เราอยากให้ท่านพิจารณาทบทวนยกเลิก
เราไม่ปลื้มกับทิศทางการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน การพัฒนาที่ไม่คำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ทำลายสิ่งแวดล้อมไม่ว่าอากาศ ทะเล ผืนแผ่นดิน ป่าไม้ หรือการพัฒนาที่ไม่คำนึงถึงคนในรุ่นต่อๆ ไปของสังคม เราไม่ปลื้มกับเอาตัวชี้วัดของการพัฒนาที่มีตัววัดแค่รายได้หรือ GDP เท่านั้น คนธรรมดาพูดเช่นนี้ท่านนายกฯ อาจจะไม่เห็นด้วย แต่คุณโจเซฟ สติกลิตซ์ นักเศรษฐศาสตร์ที่ได้รับรางวัลโนเบลปี 2544 ท่านอาจจะยอมฟังบ้าง ท่านกล่าวในงานสัมมนาเรื่อง “เอเชีย:เส้นทางสู่เศรษฐกิจใหม่” จัดโดยเดอะเนชั่น และเอเชีย นิวส์ เน็ตเวิร์ค ที่ รร.พลาซ่า แอทธินี เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2552 ว่า
“สังคมที่ผ่านมามองแต่เรื่อง GDP ประเด็นนี้ขอให้ทำความเข้าใจใหม่ว่าเป็นสิ่งไม่ดีเลยที่ใช้ GDP ประเมินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่ง GDP นี้ถือเป็นตัวชี้วัดผลประกอบการกับการทำงานที่แย่ ผมมอง GDP ว่าไม่ใช่ตัวชี้วัดที่ทำให้เห็นถึงเศรษฐกิจมีความผาสุกอยู่ดีกินดี และไม่ใช่ตัวช่วยให้สังคมโดยรวมเป็นวงกว้างมีความสุขได้” ก็ได้แต่หวังว่าการแถลงนโยบายของท่านนายกฯ ในครั้งนี้จะไม่ยกเอา GDP สร้างความฝันให้กับสังคม มาอ้างเพื่อดำเนินโครงการขนาดใหญ่ในพื้นที่ภาคใต้นะครับ
เรารู้ว่าการแถลงนโยบายของรัฐบาลเป็นแค่พิธีกรรมหนึ่งของการเมืองในระบอบประชาธิปไตย (แค่เปลือกๆ) ของประเทศนี้มายาวนาน บทเรียนของประเทศ ของผู้คนในสังคม ต่างตระหนักดีถึงผลพวงหลังจากนี้ว่า ทุกพรรคการเมืองล้วนแปรเปลี่ยนไปสู่การหาผลประโยชน์เพื่อตัวเองและพวกพ้อง ทั้งตัวของนักการเมือง กลุ่มทุนที่สนับสนุนนักการเมืองและพรรคการเมืองทั้งที่เปิดเผยและไม่เปิดเผย ภาคใต้ของเราอ่อนไหวและเปราะบางเพราะพื้นที่ของภูมิภาคแนบอิงอยู่กับฐานทรัพยากรที่เป็นชายฝั่ง ภูเขา การนำเอาโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ลงมาจะส่งผลกระทบง่ายและรุนแรง เราจะไม่ยินยอมให้รัฐบาลลงมาทำอะไรกับพื้นที่ภาคใต้ตามใจชอบ ตามอำเภอใจอีกต่อไปแน่นอน.
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)