Theขี้ฝุ่นริมทาง
วันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2552
ม.มหิดลจัด ‘สืบสานพระราชบิดาสู่ปัญญาของแผ่นดิน’
มหาวิทยาลัยมหิดล จัดงาน “มหิดลวิชาการ 52” ภายใต้แนวคิด “สืบสานพระราชบิดา สู่ปัญญาของแผ่นดิน” เพื่อเฉลิมฉลองโอกาสครบรอบ 40 ปี แห่งการพระราชทานนาม “มหาวิทยาลัยมหิดล” ระหว่างวันที่ 6 – 7 กุมภาพันธ์ 2552 ณ มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา
กิจกรรมภานในงานมีมากมายไม่ว่าจะเป็น กิจกรรม MU Exhibition “นานานิทรรศการแห่งมหิดล” , กิจกรรม MU Innovation นำเสนอผลงานที่โดดเด่น ได้รับรางวัลในระดับนานาชาติ, กิจกรรม MU Product การนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นโดยมหาวิทยาลัยมหิดล และ MUGE Exhibition กิจกรรมแสดงผลงานการจัดการเรียนการสอน รายวิชา “การศึกษาทั่วไปเพื่อการพัฒนามนุษย์” และผลงานโครงงานของนักศึกษาที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชนและสังคม
กิจกรรม Open House “เปิดบ้านมหิดล บ้านแห่งการเรียนรู้ไร้ขีดจำกัด” เป็นกิจการรมที่จัดขึ้นโดยให้คณะ วิทยาลัย สถาบัน และสำนักต่างๆ ของมหาวิทยาลัยมหิดลจัดแสดงผลงานทางวิชาการของอาจารย์ และนักศึกษา นวัตกรรมที่น่าสนใจ ผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อบุคคลทั่วไป
กิจกรรม MU Admission 2009 “ค้นหาตัวเอง เจาะลึกเส้นทางสู่รั้วมหาวิทยาลัย” พบกับการแนะนำหลักสูตร และให้ข้อมูลการรับสมัครนักศึกษาในระบบโควตา รับตรง และ Admission ประจำปี 2552 รวมถึงรายละเอียดคะแนนสูง – ต่ำ ของนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดลแต่ละคณะในปีที่ผ่านมา พร้อมด้วยอาจารย์และรุ่นพี่ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการเลือกคณะต่างๆ กิจกรรมสนุกๆ ที่จะค้นหาความถนัดของตนเอง
นอกจากนั้นเรายังมี MU Hospital “บริการตรวจสุขภาพครบวงจร” เปิดให้บริการตรวจสุขภาพครบวงจร ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับบุคลากรทางการแพทย์ การให้บริการทันตกรรม อุดฟัน ถอนฟัน ขูดหินปูน อีกทั้งบริการแพทย์ทางเลือกอีกหลายศาสตร์ เช่น การฝังเข็ม นวดแผนไทย เก้าอี้นั่งสบาย กายภาพบำบัด, กิจกรรม MU Festival “ร้อง เล่น เต้น ช็อป กับมหกรรมกิจกรรมนักศึกษา”, กิจกรรม MU Relaxing Zone “ผ่อนคลายสบายอารมณ์กับตลาดนัด และ Book Fair” และกิจกรรม MU Tour “เพลิดเพลินบรรยากาศ มหิดล ศาลายา”
ผู้สนใจสามารถเข้าชมงาน “มหิดลวิชาการ 52” ได้ตั้งแต่เวลา 08.00-18.00 น ณ มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา
http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9520000003139
“ส.ป.ก.” รุกจัดตั้ง “นิคมเศรษฐกิจพอเพียง” ทั่วประเทศ
ศรีสะเกษ - ส.ป.ก.เดินหน้าโครงการตั้ง “นิคมเศรษฐกิจพอเพียง” ในปฏิรูปที่ดิน เพื่อให้เป็นชุมชนต้นแบบนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ไปปรับประยุกต์ใช้ในการพัฒนาอาชีพและสร้างรายได้ของเกษตรกรในพื้นที่โครงการ ฯ เผยจัดตั้งนิคมฯ แล้ว 86 แห่งทั่วประเทศ
วันนี้ (26 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่นิคมเศรษฐกิจพอเพียง ต.ตระกาจ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ นายอนันต์ ภู่สิทธิกุล เลขาธิการสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) เป็นประธานเปิดการประชุมเสวนาวันไร่นา เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง ปี 2552 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีปราชญ์ เกษตรกรและตัวแทนเกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดิน จาก 10 จังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ได้รับการจัดตั้งเป็นนิคมเศรษฐกิจพอเพียง ในปี 2552 จำนวน 500 คน เข้าร่วมการเสวนา
นายอนันต์ ภู่สิทธิกุล เลขาธิการสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) กล่าวว่า ส.ป.ก.ได้น้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อขับเคลื่อนและดำเนินการแก้ไขปัญหาความยากจน ด้วยการปรับเปลี่ยนรูปแบบการปฏิบัติงาน จากเดิมที่มีการจัดสรรที่ดิน ส.ป.ก.ให้เกษตรกรจัดหาอาชีพเอง มาเป็นการจัดสรรที่ดินควบคู่การสร้างอาชีพในรูปแบบนิคมหรือการรวมตัวเป็นกลุ ่มการผลิต และพัฒนาเป็นวิสาหกิจชุมชน เน้นการพึ่งพาตนเองได้
ทั้งนี้ มีการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง และการจัดตั้งนิคมเศรษฐกิจพอเพียงในเขตปฏิรูปที่ดิน เพื่อเป็นชุมชนต้นแบบขับเคลื่อนหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ในเขตพื้นที่ สปก. ทั้งนี้ที่ผ่านมา ได้ดำเนินการไปแล้ว 56 แห่ง และ ในปี 2552 จัดตั้งเพิ่มอีก 30 แห่งทั่วประเทศ โดยเป็นนิคมเศรษฐกิจพอเพียงในพื้นที่ภาคอีสานจำนวน 10 แห่ง
จึงได้ให้แกนนำเกษตรกร ปราชญ์เกษตรกรและผู้นำหน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่น ได้ร่วมกันสร้างองค์ความรู้ รวมทั้งการรวมกลุ่มเพื่อพัฒนาอาชีพและสร้างรายได้ของเกษตรกรในพื้นที่โครงกา รฯ ซึ่งสำนักงาน ส.ป.ก. พร้อมจัดสรรเงินทุนประกอบอาชีพตามแผนงานที่ได้มีการจัดเสวนาร่วมกัน แห่งละ 1 ล้านบาท และจะมีการจัดกิจกรรมการประกวดนิคมเศรษฐกิจพอเพียง และจัดการเงินทุนเป็นรางวัล เพื่อนำไปพัฒนาอาชีพและสร้างรายได้ต่อไปด้วย
Clip video เกี่ยวข้าวที่บ้านป่าไผ่
กลุ่มเยาวชนบ้านป่าไผ่ อ.เด่นชัย จ.แพร่ เรียนรู้ตามอัธยาศัยลงแขกเกี่ยวข้าว โดยมีผูปกครองและเพื่อน ๆ จากโรงเรียนบ้านค้างปินใจ อ.วังชิ้น มาช่วยด้วย ประสานงานโดย อำนวย คลี่ใบ จากฮอมบุญอโศก
Author: zumeth
Keywords: เกี่ยวข้าว บ้านป่าไผ่ บ้านค้างปินใจ เรียนรู้ตามอัธยาศัย
Added: January 10, 2009
แพทย์พบของเล่นปนตะกั่วเพียบ ทั้งศูนย์เด็ก กทม.-หน้า ร.ร.ชี้ทำเด็กโง่-ไอคิวต่ำ
ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ ตรวจของเล่นเด็กในศูนย์กทม.-ร้านขายของเล่นหน้า ร.ร.ชี้ ปนเปื้อนสารตะกั่วเพียบ ส่งผลเด็กโง่-ไอคิวต่ำ แนะพ่อ-แม่เลือกของเล่นสังเกตมีตรา มอก.หนุนมี “ห้องสมุดของเล่น” เสริมพัฒนาการเด็กทั่วถึง เลือกของเล่นพื้นบ้าน ย้ำต้องเลือกของเล่นให้ ปลอดภัย เหมาะสมกับพัฒนาการ พร้อมกระตุ้นรณรงค์ปี 52 ปีแห่งของเล่นปลอดภัย ขณะที่สระว่ายน้ำ อาคาร สนามเด็กเล่น ยังอันตราย วอน ผู้ว่าฯ กทม.คนใหม่ แก้ไขปัญหาให้ความสำคัญกับเด็ก
วันที่ 6 ม.ค.2552 แพทยสภาร่วมกับราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยและสมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย แถลงข่าวเรื่อง “อันตรายจากของเล่นเด็กและอุบัติเหตุใน กทม.” และ "กรุงเทพฯ เมืองอันตรายสำหรับเด็ก” โดยนพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้แทนราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และหัวหน้าศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า ในปี 2551 ราชวิทยาลัยฯ ได้ร่วมกับภาคีดำเนินการเก็บตัวอย่างของเล่นจากศูนย์พัฒนาเด็กสังกัดกรุงเทพ มหานคร จำนวน 23 ศูนย์ เพื่อตรวจหาสารตะกั่ว พบว่า ของเล่นจาก 4 ศูนย์ หรือคิดเป็นร้อยละ 17 มีสารตะกั่วสูงกว่าค่ามาตรฐานกำหนดที่ 600 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม นอกจากนี้ได้เก็บตัวอย่างของเล่นที่วางขายหน้าโรงเรียนในกรุงเทพมหานคร 26 แห่ง พบว่า ของเล่นจากหน้าโรงเรียน 4 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 15 มีสารตะกั่วสูงกว่าค่ามาตรฐานกำหนด
นพ.อดิศักดิ์ กล่าวอีกว่า ช่วงปลายปี 2551 ราชวิทยาลัยฯได้ทำการสำรวจ โดยซื้อของเล่นที่ราคาไม่สูง ซึ่งครอบครัวสามารถซื้อหาให้เด็กได้ง่าย ทั้งจากห้างสรรพสินค้าและตลาดทั่วไปใน จ.กรุงเทพฯ พิจิตร บุรีรัมย์ สระแก้ว และชลบุรี จำนวน 126 ชิ้น ส่งตรวจคุณสมบัติทางกายภาพจำนวน 50 ชิ้น พบว่า ไม่เป็นไปตามาตรฐานกำหนดจำนวน 9 ชิ้น หรือร้อยละ 18 โดยมีเสียงดังเกิน 75-85 เดซิเบล เป็นอันตรายต่อเซลล์ประสาทการได้ยิน 4 ชิ้น เส้นสายยาวเกินกว่า 30 เซนติเมตร มีความเสี่ยงต่อการพันรัดคอเด็ก 3 ชิ้น มีช่องรูระหว่าง 5-12 มิลลิเมตร เสี่ยงต่อนิ้วเด็กติดค้างในช่องรู 2 ชิ้น และมีขอบแหลมคม 1 ชิ้น รวมถึง ส่งตรวจคุณสมบัติทางเคมีโดยตรวจหาสารตะกั่วจำนวน 80 ชิ้น พบว่า มีสารตะกั่วสูงกว่าค่ามาตรฐานกำหนด 6 ชิ้น หรือร้อยละ 7.5
“ของเล่นที่มีสารตะกั่วเกินกว่ามาตรฐานกำหนดจะเป็นอันตรายอย่างยิ่งส ำหรับเด็ก เพราะเด็กส่วนใหญ่ชอบเอาของเล่นเข้าปาก ทำให้สารตะกั่วเข้าไปสะสมอยู่ในกระดูก และจะติดอยู่กับตัวเด็กไปจนโตแล้วจะละลายเข้าเนื้อเยื่อ ทำให้มีผลต่อเซลล์สมอง หากได้รับซ้ำๆ จะทำให้พัฒนาการล่าช้าและระดับไอคิวต่ำ ดังนั้นในการเลือกซื้อของเล่นให้กับเด็ก โดยเฉพาะเพื่อเป็นของขวัญวันเด็กแห่งชาติ พ่อแม่ควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ได้รับตรามาตรฐานอุตสาหกรรมหรือ มอก.ที่แม้จะไม่ปลอดภัย 100% แต่ก็พอที่จะบรรเทาอันตรายได้ในระดับหนึ่ง นอกจากนี้กำลังดำเนินการตรวจสอบเครื่องมือศิลปะในศูนย์เด็กเล็กทั้งดินน้ำมั น สีแท่ง สีเทียน สีทาบ้านว่ามีการปนเปื้อนของสารที่จะทำให้เกิดอันตรายต่อเด็กหรือไม่ คาดว่าอีก 3 เดือนจึงจะรู้ผล” นพ.อดิศักดิ์ กล่าว
นพ.อดิศักดิ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ซึ่งเด็กอาจไม่มีสิทธิ์ในการเลือกตั้ง แต่ก็ควรได้รับการดูแลคุ้มครอง ซึ่งผู้ว่าฯ กทม.ถือเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่คุ้มครองเด็กโดยตำแหน่งอยู่แล้วตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก จึงควรให้ความสำคัญกับเด็ก โดยเฉพาะในเรื่องของอุบัติเหตุและความรุนแรงที่เป็นสาเหตุสำคัญในการเสียชีว ิตของเด็กในกทม. โดยในแต่ละเด็กอายุระหว่าง 1-14 ปี เสียชีวิตจากอุบัติเหตุและการบาดเจ็บจำนวน 184 ราย คิดเป็นร้อยละ 41 ของการตายทั้งหมด โดยจมน้ำเป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่ง จราจรเป็นสาเหตุการตายอันดับที่สอง
“พบว่า เด็กไปโรงเรียน หรือศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ด้วยมอเตอร์ไซค์กว่าร้อยละ 18 แต่ส่วนใหญ่เด็กร้อยละ 80 ไม่ใส่หมวกนิรภัยทั้งๆ ที่มีกฎหมายควบคุม ขณะที่สนามเด็กเล่น ทั่ว กทม.ยังคงไม่ปลอดภัย ของเล่นไม่ยึดติดฐานราก ทำให้เครื่องเล่นล้มทับเด็ก หรือเด็กตกกระแทกพื้นเลือดออกในสมอง แขน ขาหัก หรือแม้แต่แต่อาคารที่พัก แฟลต อพาร์ตเมนต์ หลายแห่งในกทม.มีโครงสร้างกายภาพที่ไม่ปลอดภัย เช่น ช่องห่างราวระเบียงกว้าง ทำให้เด็กพลัดตกจากที่สูงได้ หรือไม่มีระบบป้องกันไฟไหม้ รวมทั้งทางเดินเลียบคลอง ไม่มีรั้วกั้นก็เป็นสาเหตุให้เด็กจมน้ำตาย แม้ว่าในสมัย นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน เป็นผู้ว่าฯ กทม.มีนโยบาย ว่ายน้ำเป็น เล่นน้ำได้ แต่ทางโรงเรียนก็ไม่เอาจริงเอาจัง ทำให้เด็กเสี่ยงอันตรายจากการจมน้ำอยู่” นพ.อดิศักดิ์ กล่าว
ด้านรศ.พญ.นิตยา คชภักดี ผู้แทนราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในปี 2552 ราชวิทยาลัยฯและสมาคมกุมารแพทย์ฯจะดำเนินการรณรงค์ให้เป็นปีแห่งของเล่นปลอด ภัย โดยขอความร่วมมือกุมารแพทย์ทั่วประเทศช่วยกันเฝ้าระวังของเล่นอันตราย หากมีเด็กบาดเจ็บจากของเล่นให้เก็บตัวอย่างส่งตรวจโดยผ่านราชวิทยาลัยฯ อย่างไรก็ตาม อยากย้ำว่า ของเล่นยังเป็นสิ่งสำคัญของเด็ก เหมือนเป็นอาหารสมองและจิตใจ จะช่วยส่งเสริมให้เด็กมีพัฒนาการที่ดีทั้งด้านร่างกาย จิตใจและสังคม แต่ต้องเลือกชนิดที่มีความปลอดภัยและเหมาะกับพัฒนาการของเด็กในแต่ละวัย
“เนื่องจากของเล่นที่ดีมีคุณภาพ อาจมีราคาแพง ถ้าไม่มีของเล่นให้เด็กก็ไม่ได้ ห้องสมุดของเล่น จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดช่องว่างการพัฒนาเด็กจากการเล่น เพราะมีของเล่นหลากหลาย สามารถเล่นเวียนกันได้หมด ไม่ว่าจะเป็นเด็กหญิงหรือเด็กชาย หากเป็นของเล่นมีสร้างสรรค์ สามารถกระตุ้นพัฒนาการของเด็กก็สามารถเล่นร่วมกัน โดยเวียนกันเล่นได้ นอกจากนี้ การละเล่น หรือของเล่นเด็กที่ทำขึ้นเอง ก็สามารถเล่นได้อย่างสร้างสรรค์ และมีราคาไม่แพง อีกทั้งยังสามารถเล่นด้วยกันได้ทั้งครอบครัวอีกด้วย” รศ.พญ.นิตยา กล่าว
ร ศ.พญ.นิตยา กล่าวอีกว่า ขอแนะนำเคล็ดลับให้พ่อแม่ที่จะซื้อของขวัญในวันเด็ก โดยพ่อแม่จำเป็นต้องเป็นผู้เลือกของเล่นด้วยตัวเอง ไม่ควรพาลูกไปเลือกของเล่นด้วย เพราะเด็กอาจจะถูกสีสันของของเล่นหลอกล่อ จนพ่อแม่ไม่สามารถเลือกของเล่นที่มีประโยชน์และปลอดภัยให้กับลูกได้ และจะได้ไม่เกิดปัญหาขัดแย้งกับลูกด้วย
การศึกษาคาริโอไทป์ของชะนีมงกุฎ (Hylobates pileatus) ด้วยเทคนิคการย้อมสีแบบธรรมดา
A study on karyotype of pileated gibbon (Hylobates pileatus) by conventional staining and G-banding
ประวีรณ์ สุพรรณอ่วม (Praween Supanuam)*
ดร.สัมภาษณ์ คุณสุข (Dr.Sumpars Khunsook)**
อลงกลด แทนออมทอง (Alongkoad Tanomtong)****
บทคัดย่อ
การศึกษาพันธุศาสตร์เซลล์ของชะนีมงกุฎจากสวนสัตว์นครราชสีมา เตรียมโครโมโซมจากการเพาะเลี้ยงเซลล์เม็ดเลือดขาวจากชะนีมงกุฎเพศผู้และเพศเมียอย่างละ 1 ตัว เก็บเกี่ยวเซลล์ด้วยเทคนิคโคลชิซิน-ไฮโปโทนิค-ฟิกเซซั่น-แอร์ดรายอิง ย้อมสีโครโมโซมแบบธรรมดา และแถบสีแบบจี พบว่าชะนีมงกุฎมีจำนวนโครโมโซมดิพลอยด์ เท่ากับ 44 แท่ง มีจำนวนโครโมโซมพื้นฐานเท่ากับ 88 ในเพศเมียและเพศผู้ โครโมโซมร่างกายประกอบด้วยโครโมโซมชนิดเมทาเซนทริกขนาดใหญ่ 12 แท่ง เมทาเซนทริกขนาดกลาง 6 แท่ง ซับเมทาเซนทริกขนาดกลาง 2 แท่ง อะโคร เซนทริกขนาดกลาง 2 แท่ง เมทาเซนทริกขนาดเล็ก 12 แท่ง และซับเมทาเซนทริกขนาดเล็ก 8 แท่ง โครโมโซมคู่ที่ 15 จัดเป็น satellite chromosome โครโมโซมเอ็กซ์เป็นชนิดซับเมทาเซนทริกขนาดกลาง และโครโมโซมวายเป็นชนิดอะโครเซนทริกขนาดเล็กมากที่สุด และทำอิดิโอแกรมแถบโครโมโซมมาตรฐาน โครโมโซมระยะเมทาเฟสพบแถบ 239 แถบ การศึกษาครั้งนี้เป็นประโยชน์ในการช่วยในการอนุกรมวิธาน ขยายพันธุ์ การจัดการอนุรักษ์ การศึกษาวิวัฒนาการของโครโมโซม และเป็นข้อมูลพื้นฐานในการศึกษาพันธุศาสตร์ด้านอื่น ๆ
คำสำคัญ : ชะนีมงกุฎ พันธุศาสตร์เซลล์ โครโมโซม
Key wbrds : pileated gibbon (Hylobates pileatus), cytogenetics, chromosome
ABSTRACT
Cytogenetics of the pileated gibbon (Hylobates pileatus) Nakhon Ratchasima Zoo was studied. Blood sample were taken from male and female gibbons. After lymphocyte culture, the mitotic chromosome preparation was done by air-dry method followed by conventional staining and G-banding. The results show that diploid chromosome number was 2n=44, and the fundamental number (NF) were 88 in both female and male. The autosomes consist of 12 large metacentric, 6 medium metacentric, 2 medium submetacentric, 2 medium acrocentric, 12 small metacentric and 8 small submetacentric chromosomes. In addition, a pair of the long arm of chromosome 15 showed clearly observable satellite chromosome. The X chromosome was the medium submetacentric and the Y chromosome was a smallest acrocentric chromosome. idiogram represents banding pattern at the metaphase chromosome which are 239 bands. These results are useful for future studies of taxonomy, breeding, conservation, chromosome evolution and basic genetics information in this animal.
* นักศึกษาหลักสูตรวิทยาศาตรมหาบัณฑิตภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
** อาจารย์ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
*** ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
จากการประชุมทางวิชาการ เสนอผลงานวิจัย ระดับบัณฑืตศึกษา ครั้งที่ 9
วันศุกร์ที่ 19 มกราคม 2550 ณ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
The 9th Symposium on Graduate Research, KKU. 19 January 2007
ดีแทคชวญร่วมกิจกรรม“เรื่องเล่าจากธนบัตร”
ดีแทคจัดกิจกรรมเรื่องเล่าจากธนบัตร เสริมความรู้เรื่องลวดลายบนธนบัตร ที่บ่งบอกถึงวัฒนธรรมไทย สถานที่สำคัญของชาติ เนื้อความที่เป็นประโยชน์สำหรับการดำรงชีวิต โดยจับมือกับสถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน FM99.5 ในกรุงเทพฯ และอีก 32 สถานีของร่วมด้วยช่วยกันแฮปปี้ สเตชั่นในทุกภูมิภาค
นายพีระพงษ์ กลิ่นละออ ผู้อำนวยการสำนักงานสำนึกรักบ้านเกิด บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) กล่าวว่ากิจกรรมเรื่องเล่าจากธนบัตรจะเริ่มออกอากาศให้ผู้ฟังรายการร่วมด้วย ช่วยกัน FM 99.5 ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 17.10 -17.30 น. ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 17 ม.ค. จนถึงสิ้นเดือนก.พ. 2552 โดยผู้ดำเนินรายการจะได้เปิดสายจากผู้ฟังให้โทร.เข้ามาเล่าหรือพูดถึงข้อคิด ที่ได้จากธนบัตรแต่ละฉบับในวันนั้น เช่น ให้ผู้ฟังลองหยิบธนบัตรใบละ 1,000 บาท ขึ้นมาดูแล้วโทร.มาบอกเล่ากับทางรายการว่าคุณคิดว่าใน ธนบัตร 1,000 บาท ในมือคุณนั้นบอกอะไรบ้าง โดยจะรับสายหน้าไมค์ วันละ 3 สาย สำหรับผู้ฟังที่โทรเข้ามาในรายการและแสดงความคิดเห็นได้ประทับใจจะได้รับหนั งสือ “CEO สลับร่าง” ซึ่งเป็นหนังสือรวบรวมเรื่องราวและประสบการณ์ของผู้บริหาร 3 องค์กรที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการนำเอาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้เป็น หลักในการบริหารองค์กรไว้สำหรับศึกษาเป็นกรณีตัวอย่างคนละ 1 เล่ม
ก ิจกรรมนี้ มีวัตถุประสงค์รณรงค์ส่งเสริมให้ทุกคนได้พิจารณาใช้เงินได้อย่างคุ้มค่า เพราะคติธรรมในการดำเนินชีวิต สามารถอ่านและเตือนใจได้ทุกวันจากการสังเกตลวดลายบนธนบัตรแต่ละใบที่นำขึ้นม าใช้ ซึ่งแสดงเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจของชาติ พร้อมข้อคิดต่างๆ ที่น่าสนใจ สามารถนำมาปรับใช้ในวิถีการดำเนินชีวิตให้มีความสุขและความดีที่ยั่งยืนได้ เช่น ธนบัตรใบละ 20 บาท จะเป็นพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 8 และรัชกาลที่ 9 ที่ทรงกำลังเยี่ยมเยียนราษฎรของพระองค์ เป็นพระราชกรณียกิจที่ทรงมีคุณูปการต่อประเทศ และพระราชดำรัสของรัชกาลที่ 8 “ถือว่าตนเป็นเจ้าของชาติบ้านเมือง และต่างปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และถูกต้องตามทำนองคลองธรรมแล้ว ความทุกข์ยากของบ้านเมืองก็จะผ่านพ้นไปได้” หรือธนบัตรใบละ 100 บาท กล่าวถึง การเลิกทาสในรัชกาลที่ 5 เพื่อให้คนไทยมีสิทธิเสมอภาคกัน ไม่แบ่งชั้นวรรณะ และธนบัตรใบละ 1,000 บาท ปรากฎเป็นพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เกี่ยวกับเรื่องของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
“ เรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ ล้วนให้ความรู้และแง่คิดที่สามารถนำมาปรับใช้ในการดำรงชีวิต และทุกคนสามารถร่วมใช้ข้อคิดและร่วมรณรงค์ในการนำข้อคิดเหล่านี้มาพิจารณา ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทั้งส่วนบุคคลและประโยชน์แก่ประเทศชาติได้อีกด้วย ในทุกครั้งที่นำธนบัตรมาใช้”
ผู้สนใจร่วมแสดงความคิดเห็นกับกิจกรรมเรื่องเล่าจากธนบัตรร่วมรณรงค์ และรับหนังสือ CEO สลับร่าง ที่พลิกคัมภีร์บริหาร 3 ซีอีโอ โชค บูลกุล จากฟาร์มโชคชัย ,วริสร รักษ์พันธุ์ จากชุมพรคาบาน่า และจงสฤษดิ์ คุ้นวงศ์ จากจุลไหมไทย ภายใต้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่แลกธุรกิจสลับการบริหาร เป็นประสบการณ์จริงที่เรียงร้อยเป็นตัวอักษรครั้งแรกของวงการ
Company Related Links :
DTAC
จะทำอย่างไรกับอำนาจมืดจากกลุ่มอิทธิพล
ประชาชนในท้องถิ่นที่ต้องต่อสู้กับพวกนี้ อย่ายอมมัน
เรามีมือมีเท้ามีสมองมีความคิดความยุติธรรมต่อสังคม
เราจะไม่ยอมให้กลุ่มคนพวกนี้เข้ามาทำลายอีกต่อไป
เ ราต้องต่อสู้เพื่อความยุติธรรม หากเจ้าที่รัฐและกฏหมายไม่สามารถปกป้องคนดีๆ ได้อีกต่อไป ก็จงจำไว้ว่าประเทศไทยคือ เมืองเถื่อน แล้วเราจะไปเคารพกฏหมายที่เจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติได้อย่างไรกัน เราต้องจัดการกับเจ้าหน้าที่รัฐ (ตำรวจและข้าราชการบางคน)
ที่ยังเห็นแก่ เงินใต้โต๊ะ เราต้องเอาเจ้าหน้าที่รัฐชั่วๆ เข้าคุกให้หมด หากเรายังทำอะไรไม่ได้ แล้วประชาชนจะมาจ่ายภาษีให้คนพวกนี้อยู่อีกหรือ ในเมื่อเจ้าหน้าที่รัฐเป็นโจรในเครื่องแบบชาติชั่ว ขอให้กระรอกสู้ต่อไป ยังมีคนที่เป็นกำลังใจให้มาก สู้ต่อความอยุติธรรมของสังคมไทย วันนี้เราร้องไห้แต่จำไว้ว่าพรุ่งนี้เราจะยิ้มด้วยกัน
เจ็ดคันนา
“ขายตรง” จัดกิจกรรมดึง นศ.ร่วมขายตรง
บริษัทขายตรงตั้งบริษัทจำลอง ดึงนักศึกษาฝึกวิชาชีพขายตรง ในรูปแบบประกวดเป็นทีม พร้อมทำโรดโชว์ไปยัง 10 มหาวิทยาลัย ชิงเงินรางวัลกว่าแสน
ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกตกต่ำเช่นนี้ ผลกระทบหาได้เกิดกับบรรดาคนทำงานแล้วเท่านั้น แม้แต่นิสิต นักศึกษา ซึ่งกำลังจะเรียนจบยังได้รับผลกระทบด้วย เพราะโอกาสในการหางานทำนั้นยากยิ่งนัก เพราะผู้ประกอบการโดยมากมักต้องการผู้มีประสบการณ์ในการทำงานมาเข้าร่วมงานม ากกว่า
ดังนั้นทางออกของนิสิต นักศึกษา หลายต่อหลายคนหลังจบการศึกษา จึงหันไปทำธุรกิจเอง ไม่ว่าจะเป็นเปิดแผงขายของที่ทำเอง หรือไปรับสินค้ามาข่าย ที่พอมีทุนบ้างก็ร่วมกันลงขันทำธุรกิจเล็กๆ เป็นของตัวเอง หรือไม่ก็หันไปทำธุรกิจขายตรงไม่ว่าจะเป็นขายประกัน หรือขายสินค้า
ล่าสุดบริษัทออริเฟลม คอสเมติกส์ (ประเทศไทย) จำกัดทำโครงการ “Good Vision with Oriframe” ขึ้น โดยจัดตั้งเป็นบริษัทจำลองให้นิสิต นักศึกษา ได้เข้ารับการอบรมเทคนิคการขาย และข้อมูลผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางของบริษัท
ศุภราภรณ์ เอสซี เปา กรรมการผู้จัดการ บริษัทออริเฟลมฯ กล่าวว่ากิจกรรมในครั้งนี้ นิสิต นักศึกษา ที่เข้าร่วมจะได้เก็บประสบการณ์ไปใช้เมื่อจบการศึกษา และโครงการในครั้งนี้จะมีโรดโชว์ไปที่ 10 มหาวิทยาลัยก่อน
“เราหวังว่าโครงการของเราจะสร้างทักษะนักการตลาดและนักขายให้กับนักศ ึกษาได้นำไปใช้หลังจบการศึกษาแล้ว และรายได้ที่นักศึกษาทำยอดขายได้จริง นักศึกษาก็จะได้รับส่วนแบ่งไป โดยไม่ต้องเป็นพนักงานของบริษัท”
ทั้งนี้ 10 มหาวิทยาลัยที่กรรมการผู้จัดการ บริษัทออริเฟลมฯ กล่าวมามีดังนี้ มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา มหาวิทยาลัยราชภัฎจันทรเกษม มหาวิทยาลัยราชภัฎนครราชสีมา มหาวิทยาลัยราชภัฎมหาสารคาม มหาวิทยาลัยราชภัฎกาฬสินธุ์ มหาวิทยาลัยราชภัฎอุดรธานี มหาวิทยาลัยราชภัฎสุรินทร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎศรีสะเกษ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และมหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต
“กติกาก็คือขอให้สมัครเป็นทีม ทีมละ 4 คน เป็นนักศึกษาอายุระหว่าง 17 – 25 ปี แล้วก็ผู้ที่ เป็นสมาชิกออริเฟลมฯ ก็ไม่สามารถที่จะเข้าร่วมโครงการนี้ได้” ศุภราภรณ์กล่าวปิดท้าย
http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9520000008850
เหล้าปั่น อสูรร้ายในคราบน้ำหวานหลากสี
เหล้าปั่น ยาพิษหลากหลายสีสัน
“เหล้าปั่น” หลายคนอาจมองว่าเป็นเพียงน้ำผลไม้ที่มีส่วนผสมของหัวเชื้อแอลกอฮอล์ แต่ความจริงแล้ว เหล้าปั่นคือ “ภัยเงียบ” ที่กำลังคุกคามและทำร้ายเยาวชนของชาติ และพร้อมที่จะสร้างนักดื่มหน้าใหม่ทุกเมื่อ ด้วยช่องทางทางการค้าที่อาศัยช่องโหว่ของกฎหมาย และความเห็นแก่ได้ของผู้ประกอบการ จนลืมคิดถึงเยาวชนที่เป็นอนาคตของชาติในวันข้างหน้า และทุกวันนี้ “เหล้าปั่น” ก็กลายเป็นกระแสที่นิยมของกลุ่มวัยรุ่นอย่างกว้างขวางไปโดยปริยาย
นอกจากนี้ จากผลการศึกษาในปี 2550 ของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ที่สำรวจกลุ่มตัวอย่างเยาวชนตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาจนถึงระดับปวช. จำนวน 53,010 คน ใน 24 จังหวัด พบข้อมูลที่น่าตกใจว่า กลุ่มตัวอย่างนักเรียนชายในระดับ ม.2 เคยมีประวัติเคยดื่มแอลกอฮอล์แล้วถึงร้อยละ 33.7 และหญิงร้อยละ 22.1 โดยเฉลี่ยอายุเมื่อเริ่มดื่มครั้งแรกเท่ากับ 11.9 ปี และ 12 ปี ตามลำดับ ซึ่งแน่นอนว่าจากสาเหตุเหล่านี้ย่อมนำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ในวัยเด็กวัยเรี ยนที่มีปริมาณเพิ่มมากขึ้นอย่างน่าตกใจด้วยเช่นกัน
ดังนั้น ในการประชุมวิชาการสุราระดับชาติ ครั้งที่ 4 ซึ่งในปีนี้จัดขึ้นในหัวข้อ “ยุติวิกฤตปัญหาสุรา...ด้วยกฎหมาย” โดยความร่วมมือของ ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) และเครือข่ายกว่า 20 องค์กร จึงได้มีการร่วมมือของทุกภาคส่วนในการรวบรวมผลวิจัยในการต่อต้านและรับมือกั บอสูรร้ายให้หายไปจากสังคม โดยกลุ่มนักศึกษาปริญญาโท คณะนิเทศศาสตร์ จาก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ร่วมกันทำการวิจัยในหัวข้อ รูปแบบการสื่อสาร และปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการดื่มเหล้าปั่นของวัยรุ่น ด้วยการศึกษาและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายโดยตรง
เหล้าปั่น ภัยร้ายที่กำลังคุกคามเยาวชน
ผู้นำกลุ่มอย่าง มิ้ว หรือ นางสาวทัศนาวดี แก้วสนิท นักศึกษาปริญญาโทปีที่ 2 จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำการวิจัยเรื่องราวของเหล้าปั่นในเชิงคุณภาพ ด้วยการสัมภาษณ์แบบเจาะลึกกับกลุ่มตัวอย่างวัยรุ่นที่ดื่มจริง จำนวน 9 คน จากการที่ได้ลงไปศึกษาเรื่องราวของเหล้าปั่นอย่างลึกซึ้งก็พบข้อมูลที่น่ากล ัวว่ากลุ่มนักดื่มเหล้าปั่นส่วนใหญ่จะเป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชาย โดยส่วนใหญ่จะมีอายุเฉลี่ยตั้งแต่ 13-19 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับมัธยมต้น จนถึงระดับอุดมศึกษา
ส่วนสาเหตุในการดื่มก็มีจะหลากหลายไม่ว่าจะเป็น ดื่มง่าย เพื่อนชักชวน รวมไปถึงกลยุทธ์ในการขาย ทั้งในเรื่องของรูปแบบภาชนะที่ใช้ในการใส่ที่โปร่งใสเพื่อให้เห็นถึงสีสันขอ งเหล้าปั่นได้อย่างชัดเจน เรื่องของราคาที่ถูกทำให้เยาวชนสามารถซื้อหาได้ง่าย รวมไปถึงบรรยากาศในการตกแต่งร้านเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคกลุ่มเป้าห มาย ที่มีหลากหลายแนวเพื่อเรียกให้กลุ่มวัยรุ่นสนใจ
อสูรร้ายในคราบน้ำหวานหลากสี
ที่น่ากลัวไปกว่านั้นคือ ร้านเหล้าปั่นส่วนใหญ่มักจะตั้งอยู่ในละแวกเดียวกับสถานศึกษาแทบทั้งสิ้น ซึ่งจากปัจจัยต่างๆ เหล่านี้แน่นอนว่าทำให้เอื้อประโยชน์ต่อการเกิดนักดื่มหน้าใหม่ทั้งในกลุ่มเ ด็กเยาวชนและสตรีได้ไม่ยาก อีกทั้งการจัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขายแบบ ลด แลก แจก แถม ก็เป็นปัจจัยหนุนที่ช่วยเพิ่มปริมาณการดื่มได้เป็นอย่างดี
โดย นางสาวทัศนาวดี ได้แสดงความเห็นถึงแนวทางการแก้ปัญหานี้ ว่า“ ทุกวันนี้วัยรุ่นหันมาดื่มเหล้าปั่นกันมาก ยิ่งดื่มตั้งแต่เด็กก็จะทำให้เลิกได้ช้ากว่า เพราะระยะเวลาในการดื่มก็จะยาวนานตามไปด้วย เพราะฉะนั้นทางแก้ก่อนอื่นก็จะต้องแก้ที่ตัวของผู้ดื่มเอง เพราะการเริ่มดื่มเหล้าปั่น ก็เหมือนเป็นการจุดชนวนนำไปสู่การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่รุนแรงขึ้นและ เพิ่มปริมาณการดื่มมากขึ้นเรื่อยๆ”
มิ้ว หรือ นางสาวทัศนาวดี แก้วสนิท นักศึกษาปริญญาโทปีที่ 2 จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
นอกจากจะแก้ไขที่ตัวผู้ดื่มแล้ว สถานศึกษาเองก็ควรจะต้องสอดส่องดูแลนักเรียนนักศึกษาอย่างใกล้ชิดและเข้มงวด รวมถึงการให้คำแนะนำถึงอันตรายจากสีสันจากเหล้าปั่นเหล่านี้ไม่ให้เยาวชนของ ชาติตกเป็นทาสของน้ำเมา เพราะร้านเหล้าปั่นส่วนใหญ่จะอยู่ใกล้กับสถานศึกษา และมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นอย่างน่าตกใจ
“กฎหมายในปัจจุบันยังไม่ครอบคลุมไปถึงเหล้าปั่น จึงยังไม่สามารถทำอะไรกับร้านเหล่านี้ได้ นักศึกษาบางคนซื้อใส่ถุงดูดเข้าสถานศึกษาเลยก็มี เพราะถ้ามองภายนอกก็จะไม่รู้ว่าเป็นเหล้าปั่น ลักษณะจะเหมือนเป็นแค่น้ำผลไม้ปั่นธรรมดา ซึ่งอันตรายมากค่ะ” นางสาวทัศนาวดี กล่าว
กลุ่มวิจัย ในหัวข้อรูปแบบการสื่อสาร และปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการดื่มเหล้าปั่นของวัยรุ่น
ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ และก่อนที่กระแสของเหล้าปั่นจะมอมเมาเยาวชนไทย และบ่อนทำลายสังคมไปมากกว่านี้ ถึงเวลาแล้วที่ทุกหน่วยงานจะต้องหันมาเอาจริงเอาจัง ให้ความสำคัญและร่วมมือกันแก้ปัญหา และตัดช่องทางอบายมุขที่คอยบ่อนทำลายเยาวชนของชาติไม่ให้กลายเป็นทาสน้ำเมาก ันอีกต่อไป
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9510000153321
เหล้าปั่นก็คือสุราผสมน้ำผลไม้เอาไปปั่น กินไปก็เมาได้เหมือนกัน คนที่ดื่มสุราทำให้ขาดความยับยั้งช่างใจ กล้าที่จะทำในสิ่งที่คนมีสติไม่ทำ ดังนั้นโอกาสที่จะทำผิดศีลข้ออื่นจึงเป็นเรื่องง่ายมาก เช่นทำร้ายร่างกาย ทะเลาะวิวาท ฆ่ากันตาย ลักเล็กขโมยน้อย ประพฤติผิดในลูกเมียชาวบ้าน
ด ังนั้นปีใหม่นี้ ขอให้คนไทยมีสติมากๆอย่าดื่มสุรากันเลย เขาให้เราเกิดมาเป็นมนุษย์เพื่อรีบเร่งทำความดี อย่าให้ชีวิตนี้ต้องขาดทุน กลับไปตกนรกอีก
ความตายเป็นของเที่ยง ไม่จำเป็นต้องแก่ถึงตาย อย่าประมาทมีโอกาสต้องรีบทำดี ทำบุญ มากๆ
2552
วันศุกร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2552
ประเทศมหาอำนาจ ที่ใช้รถเมล์โดยสารระหว่างรัฐต่อรัฐ
ป ระเทศไทย ก็มีบ่อน้ำมัน หลายแห่ง ที้งบนบก ที่ฝาง เพชรบูรณ์ และบ่อกาซในทะเล แต่ไม่พอใช้ เพราะใช้เชื้อเพลิงมาก เงินตรงของประเทศหมดไปเพราะสั่งเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง มากเป็นลำดับหนึ่ง (จำตัวเลขไม่ได้) ตามมาด้วยปัญหามลภาวะ และอุปัทวะเหตุ ถ้าพัฒนาระบบรถไฟให้ดีขึ้น สร้างระบบรางคู่ ที่ราคาค่าก่อสร้างถูกกว่าสร้างถนน ไฮเวย์ ควรจะยกเลิกรถยนต์โดยสารในเส้นทางที่รถไฟไปถึง ที่ดินของรถไฟ ที่พระพุทธเจ้าหลวงพระราชทานไว้ ก็อย่าเอาไปขายกิน นักการเมืองเอาไปออกโฉนดก็มี บ้านเมืองจึงเป็นอย่างที่เห็นเวลานี้
ควรจะยกเลิกรถโดยสารทางไกล
กระตุ้นเด็กสนใจวิทย์ ไทยเตรียมเป็นเจ้าภาพ “ฟิสิกส์โอลิมปิก ครั้งที่ 10” ดึง 15 ชาติเอเชียร่วม
ไ ทยรับหน้าสื่อเจ้าภาพจัดแข่งขัน “ฟิสิกส์โอลิมปิก ครั้งที่ 10” มีกว่า 15 ประเทศส่งเด็กเข้าร่วมแข่งขัน วันที่ 24 เม.ย.ถึง 2 พ.ค. เพื่อพัฒนาการเรียน “รศ.เย็นใจ” ติงเด็กค่อยสนใจเรียนฟิสิกส์เพราะการสอบโอเน็ต-เอเน็ต ใช้วิธี เคมี ชีวะ เตือนหากทิ้งฟิสิกส์จะทำให้ประเทศไทยล้าหลัง
ที่กระทรวงศึกษาธิการ วันที่ 19 ม.ค. นายสุรพล ภัทราคร คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รศ.สุวรรณ คูสำราญ กรรมการและเลขานุการ คณะกรรมการอำนวยการ ดำเนินการจัดการแข่งขันฟิสิกส์โอลิมปิกระดับทวีปเอเชีย รศ.เย็นใจ สมวิเชียร กรรมการและเหรัญญิก มูลนิธิ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) นายสุชาติ วงศ์สุวรรณ ที่ปรึกษาสำนักงานกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (ที่ปรึกษา สพฐ.) ร่วมแถลงข่าวการจัดการแข่งขันฟิสิกส์โอลิมปิกระดับทวีปเอเชีย ระหว่างวันที่ 24 เมษายน - 2 พฤษภาคม 2552 ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
นายสุรพล กล่าวว่า การแข่งขันดังกล่าวจะเป็นการแข่งขันระหว่างนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ทีมละไม่เกิน 8 คน จะแบ่งข้อสอบออกเป็น 2 ส่วน คือ ภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติ ใช้เวลาสอบ 5 ชั่วโมง ซึ่งจะมีประเทศที่เข้าร่วมการแข่งขันทั้งสิ้น 15 ประเทศ ได้แก่ จีน ไต้หวัน ฮ่องกง มาเก๊า สิงคโปร์ อินโดนีเซีย กัมพูชา อินเดีย คีร์กีซสถาน ศรีลังกา จอร์แดน เตอร์กมินิสถาน เวียดนาม อิสราเอล และไทย พร้อมกันนี้คาดว่าจะมีประเทศบูรไน คาซัคสถาน มองโกเลีย เมียนมาร์ ฟิลิปปินส์ ลาว เนปาล และมาเลเซีย เข้าร่วมแข่งขันด้วย
ดร.พรพรรณ กล่าวว่า การแข่งขันครั้งนี้กระตุ้นให้เด็กตื่นตัวสนใจมาเรียนวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ อันนำไปสู่การปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตร ตลอดจนการเรียนการสอน เพื่อให้ระบบการศึกษาไทยมีมาตรฐานเท่าเทียมกับนานาประเทศ พร้อมกันนี้ยังเป็นการกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่สนใจวิทยาศาสตร์อีกด้วย
รศ.สุวรรณ กล่าวเสริมว่า ทาง มูลนิธิ สอวน.จะคัดเลือกนักเรียนในส่วนภูมิภาคอีกจำนวน 8 คน ที่เข้ารับการอมรมในศูนย์ สอวน.ให้ได้รับโอกาสเข้าร่วมแข่งขันในฐานะทีมรับเชิญ ซึ่งเด็กกลุ่มนี้จะทำข้อสอบเหมือนกับเด็กตัวจริงทุกอย่าง เพื่อให้เด็กเหล่านี้ได้เรียนรู้ เก็บเกี่ยวประสบการณ์และนำไปพัฒนาการเรียนวิทยาศาสตร์ สำหรับข้อสอบนั้นจะต้องไม่ซ้ำของเก่า และไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน ส่วนการตรวจข้อสอบนั้นได้มีการเชิญอาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วประเทศ จำนวน 40 ท่านมาทำการตรวจเพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน
ด้าน นายสุชาติ แสดงความเห็นว่า นักเรียนที่เข้าร่วมแข่งขันจะได้ความรู้และประสบการณ์ เพื่อนำไปปรับปรุงการเรียนการสอนด้านวิทยาศาสตร์ให้มีความก้าวหน้า อีกทั้งยังเป็นเวทีที่ช่วยกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความสนใจ และประสบความสำเร็จในการเรียนวิทยาศาสตร์
รศ.เย็นใจ กล่าวว่า ว ิชาฟิสิกส์เป็นวิชาที่มีความสำคัญอย่างมาก แต่การสอบโอเน็ตและเอเน็ตนั้น ทำให้เด็กทิ้งวิชาฟิสิกส์ไป เพราะการสอบดังกล่าวสอบแค่ 2 วิชาคือ เคมีกับชีวะ ส่งผลให้เด็กไม่สนใจเรียนฟิสิกส์ ถ้าไม่มีวิชาฟิสิกส์จะทำให้ประเทศไทยล้าหลัง
ส ่วนในพิธีปิดการแข่งขันฟิสิกส์โอลิมปิก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะเสด็จฯมาเป็นองค์ประธาน พร้อมพระราชทานรางวัลแก่ผู้เข้าร่วมแข่งขันด้วย
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000006109
ับันได 5 ขั้นสู่การมีชีวิตที่ดีขึ้น...
บันไดขั้นที่ 1 มองตัวเองว่าดีและมีค่าทุกวัน ในแต่ละวันให้นึกถึงความดี
และความโชคดีของตนเอง เริ่มต้นด้วยการ.......
1.ตื่นนอนตอนเช้า ให้ยิ้มกับตัวเอง และนึกว่าโชคดีที่ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว
2. ให้นึกถึงความดีของตนเอง ที่เคยทำมาแล้วในอดีต (ที่สามารถนึกได้ง่ายๆ) เช่น
เคยทำบุญ เคย ช่วยคนที่อ่อนแอกว่า เคยสงเคราะห์สัตว์ ฯลฯ คิดว่าตัวเองดี
และมีคุณค่าที่ได้เคยทำสิ่งดีๆ และให้ นึกซ้ำๆ จะได้เกิดความเชื่อตามที่นึกนั้น
คุณก็จะเกิดความอิ่มเอิบใจ และเชื่อว่าตัวเองมีความดี ความ เก่ง
ตามความเป็นจริงในขณะนั้นด้วย คุณจะเกิดความอยากมีชีวิตอยู่ และสร้างสิ่งที่ดีๆ
ให้กับชีวิตต่อ ไป และ
3.ต้องอวยพรตัวเองเสมอๆ อย่าแช่ง หรือตำหนิตัวเอง
และอย่ารอให้คนอื่นมาชื่นชมคุณ ซึ่งมักจะไม่ ได้ดั่งใจ หรือได้มาก็ไม่สมใจ
บันไดขั้นที่ 2 มองคนอื่นดี มองโลกในแง่ดี ขั้นนี้คุณจะต้องมองว่า.....
1.ทุกๆ คน มีขีดจำกัดของความสามารถ ความดี ความเก่งกันทุกคน
ตามความเป็นจริงของเขา ซึ่ง ไม่เท่ากัน และไม่เหมือนกันเลย
2. ส่วนความไม่ดี หรือไม่เก่งของเขา (ซึ่งมีกันทุกคน)
ปล่อยให้เป็นเรื่องของเขาไป ให้มองเฉพาะ ส่วนที่ดีของเขาเท่านั้น
ถ้าคุณทำได้เช่นนี้ คุณก็จะเป็นคนที่มองอนาคต และชีวิตดี
มีความหวังที่ดีในชีวิต
ตลอดเวลา สองสิ่งนี้ ถ้าคุณทำเป็นนิสัย คุณจะพบว่า โลกนี้มีสิ่งที่ดีๆ
และไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคต่างๆ และท้ายที่สุดก็จะกลายเป็นสุขนิยมทั้งชีวิต
บันไดขั้นที่ 3 ทำวันนี้ให้ดีที่สุด คือ.....
1. การอยู่กับปัจจุบัน ทำกิจกรรมในวันนี้และเวลานี้ให้ดีที่สุด
ทำได้แค่ไหนเอาแค่นั้น ไม่ทุกข์ร้อน หรือคาดหวังกับผลลัพธ์ของมัน ไม่ว่าจะสมใจ
หรือไม่สมใจก็ตาม
2.จงชื่นชมในความตั้งใจ ทำเต็มความสามารถของตนเอง และคิดต่อว่า
ในอนาคตจะต้องทำให้ดีกว่า นี้ นอกจากนั้น
3. คุณต้องเลิกจดจำ หรือนึกถึงเรื่องที่ไม่ดีที่เกิดกับคุณในอดีต
เพราะการจดจำเรื่องราวที่ไม่ดีในอดีต เท่ากับคุณไปสะกิดแผลในใจ
และจะทำให้คุณเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น จนส่งผลให้ปัจจุบันคุณไม่มีความสุข
และกลัวว่าอนาคตจะเกิดสิ่งที่ไม่ดีซ้ำๆ อีก
บันไดขั้นที่ 4 มีความหวังและเชื่อว่าอนาคตจะดีเสมอ ความหวัง ความเชื่อ
เกิดจากความคิดถึง บ่อยๆ หรือได้ยินบ่อยๆ
1. จงนึกและบอกกับตัวเองเสมอว่า อนาคตจะดีขึ้นอีกเรื่อยๆ
จะส่งผลให้เกิดกำลังใจมากขึ้น อยากพบ เห็นสิ่งต่างๆ
ที่จะเข้ามาในชีวิตโดยไม่กลัว
2.มีอารมณ์ขัน และไม่จริงจังกับชีวิตมากนัก แต่จะมีความหวังที่ดีๆ (Good Hope)
อยู่เสมอ แต่อย่ามี ความคาดหวัง ( Expectation) กับชีวิต
เพราะถ้าคาดหวังกับชีวิต เรามักจะกลัว หรือกังวลว่าจะ
ไม่ได้ผลลัพธ์ดังความคาดหวัง หรือเมื่อได้มาแล้วก็มักไม่พอใจ
จึงอาจทำให้เกิดทุกข์ได้
บันได้ขั้นที่ 5 ปรับปรุงตัวเองเสมอ โดยปรับปรุง 4 ส่วนที่มีความสำคัญต่อ ชีวิต
คือ
1. การงาน ให้มีความขยัน อดทน หมั่นหาความรู้ใส่ตัว
และกล้าลงมือปฏิบัติในสิ่งที่ควรทำ จะทำให้มี การลงมือทำสิ่งใหม่ๆ
ในชีวิตได้เรื่อยๆ และปรากฏเป็นผลงานที่ชัดเจน
2.ครอบครัว จะต้องยึดหลักที่เป็นมงคลต่อกันคือ ไม่อิจฉา ไม่ระแวง ไม่แข่งขัน
ไม่นอกใจ รู้จักการให้ และการอภัย มีน้ำใจ และรู้จักเกรงใจกัน
3.สังคม หมั่นสร้างมิตรเสมอ มีการให้ความสำคัญกัน
ให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และพูดจากันแบบปิยะวาจา
4. ตนเอง ต้องมีการพัฒนาตนเองเสมอ มีความภูมิใจตนเองตามความเป็นจริง
สามารถให้กำลังใจตัว เองได้
และมีกำลังใจที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงตนเองไปในทางที่ดีขึ้น
--
ไก่
อย.เตือน ทินต์ทาปาก-แก้มราคาถูกอันตราย เสี่ยงเป็นมะเร็งสูง
เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เตือนวัยรุ่นใช้เจลทินต์ทาในปากและแก้มให้ดูสวยใส เซ็กซี่ ต้องเลือกที่มีมาตรฐานเชื่อถือได้ เพราะอาจมีสีอันตรายห้ามใช้ ทำให้เกิดอาการแพ้ ปากบวม เสี่ยงเป็นมะเร็งได้ ด้านแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนัง แนะวิธีช่วยให้เลือดฝาดดี ปากแก้มแดงตามธรรมชาติ ไม่เสี่ยงแพ้ ให้ออกกำลังกาย กินอาหารมีประโยชน์ และดื่มน้ำมากๆ
นายแพทย์พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า วัยรุ่นไทยเป็นวัยที่สนใจและให้ความสำคัญกับเรื่องความสวยความงามอย่างมาก โดยเฉพาะวัยรุ่นหญิงส่วนใหญ่จะรู้จักใช้เครื่องสำอางตั้งแต่อายุยังน้อย และมักจะเน้นการแต่งหน้าอิงตามกระแสแฟชั่น เพื่อให้ดูสวยใส มีสุขภาพดี ดูเป็นธรรมชาติ โดยเครื่องสำอางที่กำลังฮิต ในหมู่วัยรุ่นไทยขณะนี้ก็คือ เจลสีที่วัยรุ่นเรียกว่า ทินต์ (tint) เพื่อให้ปากมีสีอมชมพูระเรื่อหรือออกโทนส้มอ่อน ดูแล้วจะให้ความรู้สึกว่าเป็นคนมีสุขภาพดี มีเลือดฝาดดี มีความสวยเป็นธรรมชาติ และทาลิปกลอสทับ เพิ่มความมันวาวหรือเพิ่มความเซ็กซี่ จึงมีผู้ผลิตออกมาจำหน่ายหลากหลายยี่ห้อ วางขายตั้งแต่ห้างร้านราคาแพงลงไปถึงตามตลาดนัดราคาถูก
น ายแพทย์พิพัฒน์ กล่าวต่อว่า การใช้ทินต์แตกต่างจากลิปสติกทั่วไปซึ่งมักจะทาที่ริมฝีปาก แต่การใช้ทินท์นั้นน่าเป็นห่วงมาก เพราะมีโอกาสที่วัยรุ่นจะกลืนกินสีที่เป็นส่วนผสมในเจลทินต์เข้าไปในร่างกาย ง่ายกว่า เนื่องจากจะใช้ทินท์ป้ายเข้าไปในริมฝีปากด้านในทั้งบนและล่าง ซึ่งเป็นเยื่อบุที่บอบบาง หากเป็นสีที่ไม่ใ ช่สีที่ใช้ผสมอาหาร เป็นสีต้องห้ามอันตราย หรือสีไม่ได้มาตรฐาน สารที่อยู่ในสีก็จะซึมเข้าไปตามเยื่อบุปาก และถูกกลืนกินเข้าไปในร่างกายได้ง่าย ทำให้มีความเสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะโรคมะเร็ง ซึ่งจากผลทดสอบทางห้องปฏิบัติการพบว่าสามารถก่อมะเร็งในสัตว์ทดลองได้ ดังนั้นการเลือกใช้จึงต้องพิถีพิถันในเรื่องคุณภาพเป็นพิเศษ
นายแพทย์พิพัฒน์ กล่าวต่อไปว่า กองเครื่องสำอางและวัตถุอันตราย อย.ได้ทำการตรวจสอบเครื่องสำอางประเภทลิปสติก ในรอบ 3 ปีมานี้ โดยเน้นตัวอย่างในแหล่งชุมชนที่มีการจำหน่ายสินค้าราคาถูกและในจังหวัดที่ติ ดเขตแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน จำนวน 693 ตัวอย่าง พบสีห้ามใช้ 164 ตัวอย่าง โดยลิปสติกที่ฉลากไม่ครบถ้วนหรือเป็นภาษาต่างประเทศ พบสีห้ามใช้ถึงร้อยละ 39 ซึ่งมีความผิดตามพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ.2535 ดังนั้น วัยรุ่นที่คิดจะใช้เครื่องสำอาง จึงควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์นั้นๆ มีความปลอดภัย โดยดูจากบรรจุภัณฑ์ที่สะอาด ปิดผนึกแน่นหนา ที่สำคัญต้องมีฉลากระบุส่วนผสมสำคัญ แหล่งผลิต ผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า ข้อแนะนำการใช้อย่างชัดเจน เครื่องสำอางที่แบ่งบรรจุ ไม่มีฉลาก ไม่ควรซื้อมาใช้อย่างเด็ดขาด
ด้านนายแพทย์จิโรจ สินธวานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กล่าวว่า ลิปสติกเป็นเครื่องสำอางที่ใช้แต่งริมฝีปาก เพื่อให้ความชุ่มชื้น ทำให้ริมฝีปากสวยงามและปกปิดความบกพร่องของริมฝีปาก หากลิปสติกมีส ่วนผสมของสารต้องห้าม เช่น สารนิเกิล โลหะหรือสารตะกั่ว ซึ่งจะอยู่ในสีที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรมก็จะก่อให้เกิดอาการระคายเคืองอย่างรุน แรง เกิดพิษรุนแรง และพิษดูดซึมเข้าระบบทางเดินอาหาร ทำให้คลื่นไส้ อาเจียน ตาพร่ามัว หรือทำให้ริมฝีปากปากปวดแสบปวดร้อน คัน เห่อแดง บวม หรือลอกเป็นขุย อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นลิปสติกที่ได้มาตรฐานทั่วไป แต่การใช้ลิปสติกทาบนริมฝีปาก ซึ่งเป็นเนื้อเยื่ออ่อนวันละหลายครั้ง และสัมผัสริมฝีปากเป็นเวลานานๆ ก็อาจทำให้เกิดการแพ้ได้ง่ายกว่าผิวหนังบริเวณอื่น โดยสาเหตุของการแพ้นั้น มาจากน้ำหอมที่เป็นส่วนผสมในลิปสติก หรืออาจมีสารบางชนิดกระตุ้นให้เกิดการแพ้
นายแพทย์จิโรจ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ สีในลิปสติกบางชนิดอาจทำปฏิกิริยากับแสงแดด ทำให้เกิดผื่นผิวหนังอักเสบ ส่วนลิปสติกที่มีไขมันและน้ำมันน้อย อาจทำให้ริมฝีปากแห้งแตก ทำให้แพ้ง่าย เป็นต้น โดยระยะในการแพ้จะอยู่ในช่วง 7-10 วัน ที่ผ่านมาพบว่าสีลิปสติกที่ทำให้ผู้ใช้แพ้มากที่สุด ได้แก่ กลุ่มที่ให้สีสด คือ สีส้ม ชมพู และสีแดง แต่การแพ้นั้นไม่ได้เกิดทุกคน แต่ละปีจะมีคนแพ้ลิปสติก ปากเจ่อ พบแพทย์ที่สถาบันโรคผิวหนัง เฉลี่ยปีละประมาณ 100 ราย
“ปกติวัยรุ่นมักจะมีริมฝีปากเป็นสีที่เป็นธรรมชาติสวยอยู่แล้ว เพราะเป็นวัยที่มีสุขภาพดี การดูแลความสะอาดริมฝีปาก และทาลิปมันหรือลิปกลอสเพื่อให้ความชุ่มชื้นจึงเพียงพอแล้ว และหากมีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะยิ่งช่วยให้ระบบการสูบฉีดเลือดในร่างกายดี ทำให้ปากและแก้มเป็นสีชมพูตามธรรมชาติยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ควรเลือกกินอาหารที่มีสารอาหารและวิตามินครบถ้วน ดื่มน้ำมากๆ เพื่อให้ปากชุ่มชื้น หากต้องการจะใช้เครื่องสำอาง ขอให้เลือกเครื่องสำอางที่มีคุณภาพเชื่อถือได้ มีการรับรองมาตรฐานถูกต้อง และควรสังเกตอาการแพ้ด้วย เพราะมีโอกาสเกิดขึ้นได้” นายแพทย์จิโรจกล่าว
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000008601
สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯเหนือ-อีสานร่วมช่วยเหลือกะเหรี่ยงคอยาวต้านภัยหนาว
แม่ฮ่องสอน – สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯเหนือ-อีสาน ร่วมช่วยเหลือกะเหรี่ยงคอยาวต้านภัยหนาว เดินสายมอบผ้าห่ม พร้อมอุปกรณ์กีฬาตามหมู่บ้านชนเผ่าต่อเนื่อง
จากสภาพอากาศที่หนาวเย็นในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนติดต่อกันเป็นเวล าแรมเดือน อุณหภูมิต่ำกว่า 10 องศาฯ โดยเฉพาะตามเทือกเขา ล่าสุดนายเฉลิมชัย เจริญสุข ประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนมัคคุเทศก์แม่ฮ่องสอนและเพื่อน จำกัด ได้นำผ้าห่มนวมกันหนาวไปมอบให้แก่กะเหรี่ยงคอยาว บ้านห้วยปูแกง / ราษฏรชาวไทยภูเขาบ้านไม้เดื่อโง้ม/ ราษฏรบ้านน้ำเพียงดิน / และราษฏรบ้านห้วยเดื่อ จำนวน 200 ครอบครัว
พร้อมทั้งมอบอุปกรณ์การกีฬาให้กับคณะกรรมการหมู่บ้านห้วยเดื่อ เพื่อนำไปมอบให้กับโรงเรียนในพื้นที่ ต.ผาบ่อง อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน
นอกจากนี้ เมื่อ 23 มกราคม 2552 ก็ได้นำผ้าห่มนวมไปมอบให้แก่ราษฏรบ้านน้ำกัด จำนวน 200 ครอบครัว และมอบอุปกรณ์การกีฬา ให้แก่โรงเรียนบ้านน้ำกัด ตำบลห้วยผา อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน
นายเฉลิมชัย เจริญสุข เปิดเผยว่า ผ้าห่มนวมและอุปกรณ์การกีฬาที่ทางสหกรณ์ฯนำมามอบให้แก่ราษฏรในพื้นที่ดังกล่ าวนั้น ได้รับการสนับสนุนจากชุมนุมสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนแห่งประเทศไทยภาคเหนือ และภาคตะวันออก โดยได้จัดเป็นโครงการเพื่อเครดิตยูเนี่ยนต้านภัยหนาว ระหว่างวันที่ 23 – 25 มกราคม 2552 นำผ้าห่มนวมและอุปกรณ์การกีฬามามอบให้แก่ราษฏรในพื้นที่ดักล่าว จำนวน 400 ครอบครัว
อย่างไรก็ตามโดรงการ ฯ ดังกล่าว สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนมัคคุเทศก์แม่ฮ่องสอนและเพื่อน จำกัด ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะสิ้นสุดฤดูหนาว
นายเฉลิมชัย เจริญสุข ประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนมัคคุเทศก์แม่ฮ่องสอน และเพื่อนจำกัด ได้นำผ้าห่มนวมกันไปมอบให้แก่กะเหรี่ยงคอยาวบ้านห้วยปูแกง ต.ผาบ่อง อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน
http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000008592
Clip video เพลงค่ายสัจธรรมชีวิต
เพลงแปลงชุดค่ายวิถีชีวิต คำร้องโดยสุเมธ พรหมรักษา เครือข่ายชุมชนแห่งการเรียนรู้อย่างยั่งยืน
Author: zumeth
Keywords: ค่ายวิถีชีวิต
Added: January 9, 2009
"ฮีตสิบสอง" ประเพณี 12 เดือนอีสาน
ประเพณีแห่เทียนพรรษา เดือนแปด
ปฏิทินสากลเดินทางเข้าสู่ปีใหม่อีกครั้ง ถือเป็นการเปลี่ยนผ่านของรอบปี จากปีชวด-หนู 2551 เข้าสู่ปีฉลู- วัว 2552
ขณะที่การเปลี่ยนผ่านในวงรอบเล็กลงมาอย่างการเปลี่ยนผ่านของแต่ละเดื อนนั้น หลายประเทศอาจไม่ให้ความสนใจ แต่สำหรับชาวอีสานโบราณแล้วนี่คือส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตวัฒนธรรม ซึ่งชาวอีสานได้บ่มเพาะภูมิปัญญา ก่อกำเนิดเป็นประเพณีสำคัญๆขึ้นมาและได้ร่วมสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน โดยพวกเขาเรียกขานประเพณีเหล่านี้รวมกันว่า "ฮีตสิบสอง"
ฮีตสิบสอง หมายถึง จารีตประเพณีประจำสิบสองเดือน ซึ่งถือเป็นโอกาสดีที่ชาวบ้านจะได้มาร่วมชุมนุมและทำบุญในทุกๆ เดือนของรอบปี และถือเป็นจรรยาของสังคม ผู้ที่ฝ่าฝืนก็จะเป็นผู้ที่ ผิดฮีต หรือ ผิดจารีต นั่นเอง(หลายครั้ง ฮีตสิบสอง มักจะกล่าวควบคู่" คลองสิบสี่ "(คองสิบสี่) ที่เป็นดังแบบแผนหรือแนวทางดำเนินชีวิต(คลอง=ครรลอง)แต่จะมุ่งเน้นไปทางศีลธรรมมากกว่าด้านอาชีพ)
ประเพณีแห่ปราสาทผึ้ง เดือนสิบเอ็ด
สำหรับประเพณีหลักๆ 12 เดือนตามฮีตสิบสองของชาวอีสานโบราณนั้นประกอบด้วย
เดือนเจียง (เดือนอ้าย) มีการประกอบพิธีบุญเข้ากรรม ซึ่งเป็นเดือนที่พระสงฆ์เข้ากรรม (ปริวาสกรรม) เพื่อให้พระสงฆ์ผู้กระทำผิด ได้สารภาพต่อหน้าคณะสงฆ์ เป็นการฝึกจิตสำนึกถึงความบกพร่องของตน และมุ่งประพฤติตนให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัยต่อไป ชาวบ้านก็จะมีการทำบุญเลี้ยงผีต่างๆ
เดือนยี่ ในฤดูหลังการเก็บเกี่ยว ชาวบ้านจะทำบุญคูณข้าวหรือบุญคูณลาน โดยนิมนต์พระสวดมนต์เย็น เพื่อเป็นมงคลแก่ข้าวเปลือก รุ่งเช้าเมื่อพระฉันเช้าแล้วจะมีการทำพิธีสู่ขวัญข้าว นอกจากนี้ชาวบ้านจะเตรียมเก็บสะสมฟืนไว้หุงต้มที่บ้าน
เดือนสาม ในมื้อเพ็ง หรือวันเพ็ญเดือนสาม จะมีการทำบุญข้าวจี่และบุญมาฆบูชา การทำบุญข้าวจี่จะเริ่มตอนเช้า โดยใช้ข้าวเหนียวปั้นใส่น้ำอ้อยนำไปจี่บนไฟอ่อนแล้วชุบด้วยไข่ เมื่อสุกแล้วนำไป ถวายพระ
เดือนสี่ ทำบุญพระเวสฟังเทศน์มหาชาติ ในงานบุญนี้มักจะมีผู้นำของมาถวายพระ ซึ่งเรียกว่า "กัณฑ์หลอน" หรือถ้าจะถวายเจาะจงเฉพาะพระนักเทศน์ที่ตนนิมนต์มาก็จะเรียกว่า "กัณฑ์จอบ" เพราะต้องแอบซุ่มดูให้แน่เสียก่อนว่าใช่พระรูปที่จะถวายเฉพาะเจาะจงหรือไม่
เดือนห้า ประเพณีตรุษสงกรานต์ หรือบุญสรงน้ำ หรือบุญเดือนห้า ซึ่งมีขึ้นในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนห้า และถือเป็นเดือนสำคัญ เพราะเป็นเดือนเริ่มต้นปีใหม่ไทย การสรงน้ำจะมีทั้งการรดน้ำพระพุทธรูป พระสงฆ์ และผู้หลักผู้ใหญ่ ด้วยน้ำอบน้ำหอมเพื่อขอขมาและขอพร ตลอดจนมีการทำบุญถวายทาน
เดือนหก ประเพณีบุญบั้งไฟและบุญวันวิสาขบูชา การทำบุญบั้งไฟเป็นการขอฝน พร้อมกับงานบวชนาค ซึ่งการทำบุญเดือนหกถือเป็นงานสำคัญก่อนการทำนา หมู่บ้านใกล้เคียงจะนำเอาบั้งไฟมาจุดประชันขันแข่งกัน หมู่บ้านที่รับเป็นเจ้าภาพจะจัดอาหาร เหล้ายามาเลี้ยง เมื่อถึงเวลาก็จะตั้งขบวนแห่บั้งไฟและรำเซิ้งออกไป ณ ลานที่จุดบั้งไฟ ด้วยความสนุกสนาน คำเซิ้งและการแสดงประกอบจะออกไปในเรื่องเพศ แต่จะไม่คิดเป็นเรื่องหยาบคายแต่อย่างใด ซึ่งประเพณีบุญบั้งไฟจะจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ทุกปีที่จังหวัดยโสธร ส่วนการทำบุญวิสาขบูชานั้น จะมีการทำบุญเลี้ยงพระ ฟังเทศน์ ช่วงเย็นมีการเวียนเทียนเช่นเดียวกับภาคอื่นๆ
เดือนเจ็ด ทำบุญซำฮะ (ล้าง) หรือบุญบูชาบรรพบุรุษ มีการเซ่นสรวงหลักเมือง หลักบ้าน ปู่ตา ผีตาแฮก ผีเมือง เป็นการทำบุญเพื่อระลึกถึงผู้มีพระคุณ
ประเพณีบุญบั้งไฟ เดือนหก
เดือนแปด ทำบุญเข้าพรรษาซึ่งเป็นประเพณีทางพุทธศาสนาโดยตรง ลักษณะการจัดงานจึงคล้ายกับทางภาคอื่นๆ ของประเทศไทย เช่น มีการทำบุญตักบาตร ถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์สามเณร มีการฟังธรรมเทศนาตอนบ่าย ชาวบ้านหล่อเทียนใหญ่ถวายเป็นพุทธบูชาและเก็บไว้ตลอดพรรษา การนำไปถวายวัดจะมีขบวนแห่ฟ้อนรำเพื่อให้เกิดความคึกคักสนุกสนาน ประเพณีแห่เทียนพรรษาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต้องเป็นที่จังหวัดอุบลราชธานี
เดือนเก้า ประเพณีทำบุญข้าวประดับดิน เป็นการทำบุญเพื่ออุทิศแก่ญาติผู้ล่วงลับ เพื่อบูชาผีบรรพบุรุษและผีไร้ญาติ โดยชาวบ้านจะทำการจัดอาหาร ประกอบด้วยข้าว ของหวาน หมากพลู บุหรี่ ห่อด้วยใบตองกล้วย ร้อยเป็นพวง เตรียมไว้ถวายพระช่วงเลี้ยงเพล บางพื้นที่อาจจะนำห่อข้าวน้อย เหล้า บุหรี่ แล้วนำไปวางหรือแขวนไว้ตามต้นไม้ และกล่าว เชิญวิญญาณของบรรพบุรุษและญาติมิตรที่ล่วงลับไปมารับส่วนกุศลในครั้งนี้ ต่อมาใช้วิธีการกรวดน้ำหลังการถวายภัตตาหารพระสงฆ์แทน การทำบุญข้าวประดับดิน นิยมทำกันในวันแรม 14 ค่ำ เดือนเก้า หรือที่เรียกว่า บุญเดือนเก้า
เดือนสิบ ประเพณีทำบุญข้าวสากหรือข้าวสลาก (สลากภัตร) ตรงกับวันเพ็ญ เดือนสิบ ผู้ถวายจะเขียนชื่อของตนลงในภาชนะที่ใส่ของทาน และเขียนชื่อลงในบาตร ภิกษุสามเณรรูปใดจับได้ สลากของใคร ผู้นั้นจะเข้าไปถวายของ เมื่อพระฉันเสร็จแล้วจะมีการฟังเทศน์ เพื่อเป็นการอุทิศให้แก่ผู้ตาย
ประเพณีไหลเรือไฟ เดือนสิบเอ็ด
เดือนสิบเอ็ด ประเพณีทำบุญออกพรรษา ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนสิบเอ็ด พระสงฆ์จะแสดงอาบัติ ทำการปวารณา คือ การเปิดโอกาสให้ว่ากล่าวตักเตือนกันได้ ต่อมาเจ้าอาวาสหรือพระผู้ใหญ่จะให้โอวาทเตือนพระสงฆ์ ให้ปฏิบัติตนอย่างผู้ทรงศีล พอตกกลางคืนจะมีการจุดประทีป โคมไฟ นำไปแขวนไว้ตามต้นไม้ในวัดหรือตามริมรั้ววัด จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า บุญจุดประทีป ในจังหวัดนครพนมจะมีประเพณีการไหลเหลือไฟ ซึ่งตกแต่งด้วยตะเกียงน้ำมันก๊าดเป็นรูปต่างๆ สวยงามกลางลำน้ำโขง และมีหลายจังหวัดที่จัดงานแห่ปราสาทผึ้งขึ้น แต่ที่นับว่าเป็นต้นตำรับและมีความยิ่งใหญ่กว่าที่ใด ก็คือ จังหวัดสกลนคร
และเดือนสิบสอง เป็นเดือนส่งท้ายปีเก่า ซึ่งจะมีการทำบุญกองกฐิน โดยเริ่มตั้งแต่วันแรม หนึ่งค่ำ เดือนสิบเอ็ดถึงกลางเดือนสิบสอง แต่ชาวอีสานในสมัยก่อนนิยมเริ่มทำบุญทอดกฐินกันตั้งแต่ข้างขึ้นเดือนสิบสอง จึงมักจะเรียกบุญกฐินว่า บุญเดือนสิบสอง สำหรับประชาชนที่อาศัยอยู่ตามริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ เช่น แม่น้ำโขง แม่น้ำชี และแม่น้ำมูล จะมีการจัดส่วงเฮือ (แข่งเรือ) เพื่อระลึกถึง อุสุพญานาค บางแห่งจะมีการทำบุญดอกฝ้ายเพื่อใช้ทอเป็นผ้าห่มกันหนาวถวายพระเณร มีการจุดพลุตะไล และบางแห่งจะมีการทำบุญโกนจุกลูกสาว ซึ่งนิยมทำกันมากในสมัยก่อน
ประเพณีทั้งสิบสองเดือน ชาวอีสานโบราณถือว่าเป็นหน้าที่ของทุกคนที่จะต้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง ตั้งแต่เดือนอ้ายจนถึงเดือนสิบสอง ใครที่ไม่ไปช่วยงานบุญก็จะถูกสังคมตั้งข้อรังเกียจ และไม่คบค้าสมาคมด้วย การร่วมประชุมทำบุญเป็นประจำทำให้ชาวอีสานมีความสนิทสนมรักใคร่และสามัคคีกั น ทั้งภายในหมู่บ้านของตนและในหมู่บ้านใกล้เคียง
สำหรับวันนี้ด้วยสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป ส่งผลให้ประเพณี 12 เดือนหลายอย่างของชาวอีสานเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ในขณะที่บางประเพณีก็เริ่มสูญหาย ซึ่งหากประเพณีเหล่านี้ไม่มีการสืบต่อหรือไม่มีการอนุรักษ์ไว้ บางทีในอนาคตเด็กรุ่นใหม่อาจไม่รู้จักประเพณีอันดีงามอย่าง"ฮีตสิบสอง"ก็เป็นได้
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
ผู้สนใจร่วมสัมผัสศิลปวัฒนธรรม ประเพณี และสถานที่ท่องเที่ยวของภาคอีสาน และบริการด้านการท่องเที่ยวอื่นๆได้ในงาน เทศกาลเที่ยวอีสาน 2552 หรือ Amazing E-san Fair 2009 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 15 – 18 มกราคม 2552 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9520000000288
แผนที่ สถานที่จัดงาน “ทำบุญให้เมธี สังสรรค์สามัคคีพันธมิตรเพื่อ “การเมืองใหม่”
ค่อนข้างในการประชาสัมพันธ์น้อย เพราะชนกับงานคอนเสิร์ตที่สระบุรี แต่พี่น้องพันธมิตรหลายท่านที่ทราบข่าว สอบถามมาว่า จัดงานที่ไหน
จัดงาน ณ เวทีลานวัฒนธรรมเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์
ว่าแล้วก็แนบแผนที่จุดที่จัดงานมาให้ชมกันชัดๆ จุด A ที่ปักหมุดในรูป คือ สำนักงานเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ ส่วนเวทีลานวัฒนธรรมเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ คือ จุดกลมสีดำที่อยู่ทางขวาของจุด A
ขยายอีกที
ถนนจิระ ถนนสายหลักที่ผ่านกลางเมือง จะผ่านศาลหลักเมือง, สถานีตำรวจ, สำนักงานสาธารณสุข, วิทยาลัยสารพัดช่าง หากไปถึงสำนักงานเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ สถานที่จัดงานก็อยู่ใกล้ๆกันนั่นเอง
ลานวัฒนธรรมเป็นบริเวณที่ สารวัตรจ๊าบ และพันธมิตรบุรีรัมย์เคยมาตั้งจอโปรเจคเตอร์ถ่ายทอด ASTV เจอทั้งลม ฝน สารวัตรเคยนอนเฝ้าจอจากเย็นถึงเช้าตรู่ของอีกวัน และเป็นบริเวณที่ พวก นปก.เกือบ 1,000 คน เคลื่อนกำลังพลเข้ามาข่มขู่ ให้รื้อถอนจอ และห้ามถ่ายทอดสด ASTV
ซึงเขียนไว้ใน บันทึกชีวิตตอน.....1
ติดต่อสอบถามเส้นทางได้ ทางโทรศัพท์ติดต่อ คุณขนิษฐา ศิริพล
- โทรสาร 044-615084
-โทร. 044-620330 ,044-620701, 044-625252
มือถือ 086-8796058
ชมแผนที่ภาพขยายใหญ่
รากเหง้าของปัญหาชนกลุ่มน้อยชาวโรฮิงญาคือระบอบเผด็จการทหารพม่า
กล่าวในภาพรวม ประเทศพม่าประกอบด้วยชาติพันธุ์ 19 กลุ่มหลักโดยชนกลุ่มน้อยชาวโรฮิงญาถือเป็นกลุ่มย่อยใน 19 กลุ่มชาติพันธุ์ เป็นชนกลุ่มน้อยที่นับถือศาสนาอิสลาม อาศัยอยู่ในรัฐอาราคาน(Arakan) ด้านทิศตะวันตกของพม่า มีพรมแดนติดต่อกับประเทศบังกลาเทศ ซึ่งในรัฐอาราคานมีชนชาติอาราคานที่นับถือศาสนาพุทธประกอบเป็นกลุ่มคนส่วนให ญ่ของรัฐอาราคาน
รัฐบาลเผด็จการทหารพม่าสมัยนายพลเนวินได้ทำการรัฐประหารโค่นรัฐบาลปร ะชาธิปไตยของอูนุเมื่อปี พ.ศ. 2505 และได้สถาปนาระบอบเผด็จการทหารมาตลอด 46 ปีที่ผ่านมา เป็นที่ทราบกันดีทั่วไปว่า นับตั้งแต่ระบอบเผด็จการทหารพม่าขึ้นมามีอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จเป็นเวลา 46 ปีเต็มจนถึงปัจจุบันระบอบเผด็จการทหารพม่ามีนโยบายเพื่อแบ่งแยกและปกครอง (divide and rule) ในพม่าอย่างชัดเจนมาตลอด ด้วยการใช้ปัจจัยความแตกต่างทางเชื้อชาติและศาสนาระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ทั้ ง 19 กลุ่มหลักและกลุ่มย่อย เป็นเครื่องมือทางการเมืองการปกครอง สร้างความเกลียดชังความแตกแยกระหว่างคนเชื้อชาติพม่า (ซึ่งมีกว่า 70%) กับกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ และระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ด้วยกัน ทั้งนี้ ฝ่ายเผด็จการทหารพม่าจะพยายามทำความเข้าใจและให้การสนับสนุนกลุ่มชาติพันธุ์ ต่าง ๆ ที่นับถือศาสนาพุทธเพื่อดึงมาเป็นแนวร่วม ในการทำสงครามปราบปรามกลุ่มชนส่วนน้อยอื่น ๆ ที่ไม่นับถือศาสนาพุทธ (เช่น ปราบปรามชาวกะเหรี่ยง KNU ที่นับถือศาสนาคริสต์และชาวโรฮิงญาซึ่งนับถือศาสนาอิสลาม เป็นต้น) พร้อมกับให้ความร่วมมือกับกลุ่มชนส่วนน้อยบางกลุ่มหารายได้และผลประโยชน์มหา ศาลจากการผลิตและค้ายาเสพติดทุกประเภท (เช่น ยินยอมหลับหูหลับตาให้กับชนกลุ่มน้อยว้าแดงในรัฐฉานทำการผลิตและค้ายาบ้าเพื ่อลักลอบเข้ามาขายในประเทศไทย) ตลอดจนการหารายได้จากการทำลายสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ (เช่น การตัดไม้ทำลายป่า)
สำหรับกรณีของชนกลุ่มน้อยชาวโรฮิงญาในพม่านั้น รัฐบาลเผด็จการทหารพม่าได้ทำการปราบปรามอย่างรุนแรงมาโดยตลอด เพื่อบีบให้ชาวโรฮิงญาหนีการปราบปราม ทิ้งที่อยู่อาศัย อันเป็นการเปิดโอกาสให้ชาวอาราคาน (ซึ่งส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ) เข้ามาครอบครองพื้นที่อาศัยของชาวโรฮิงญา การบีบให้ชนกลุ่มน้อยชาวโรฮิงญาละทิ้งที่อยู่อาศัยเพื่อหนีการปราบปรามโดยฝ่ ายรัฐบาลเผด็จการทหารพม่าถือได้ว่าเป็นนโยบายการบริหารจัดการเพื่อกำจัดชาติ พันธุ์อย่างเป็นระบบ (managed ethnic cleansing) ไม่ต่างจากนโยบายของอดีตประธานาธิบดี Slobodan Milosevic ที่ใช้การปราบปรามชาวบอสเนียอย่างรุนแรงเพื่อบีบให้ออกจากพื้นที่อาศัย เปิดทางให้ชาวเซิร์บเข้ามายึดครองพื้นที่อาศัยของชาวบอสเนียในอดีตประเทศยูโ กสลาเวีย อีกทั้งไม่แตกต่างจากนโยบายและการปฏิบัติการรุนแรงของขบวนการก่อการร้ายใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย เพื่อหวังสร้างความสะพรึงกลัวให้กับชาวไทยที่ไม่ใช่มุสลิมหนีอพยพออกจากพื้น ที่อันตรายของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ อันนำไปสู่สภาพการณ์ของผู้พลัดถิ่นภายในประเทศ (internally displaced persons)เพื่อเปิดทางให้กับกลุ่มที่สนับสนุนการก่อการร้ายย้ายเข้ามายึดครอง พื้นที่ที่ถูกทอดทิ้ง
รัฐบาลเผด็จการทหารพม่าได้ทำการปราบปรามชาวโรฮิงญาอย่างรุนแรงและอย่ างกว้างขวางครั้งใหญ่ 2 ครั้ง (ช่วงปี พ.ศ. 2521 และ พ.ศ. 2544) โดยผลของการปราบปรามอย่างรุนแรงอย่างโหดเหี้ยมทั้งสองครั้งดังกล่าวได้ทำให้ ชาวโรฮิงญาหนีภัยไปอาศัยอยู่ในประเทศบังกลาเทศ (ครั้งแรกจำนวน 200,000 คน ครั้งที่สอง 250,000 กว่าคน) และแม้ว่าทางสำนักข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยของสหประชาชาติ (องค์การ UNHCR) จะได้ช่วยให้ชาวโรฮิงญาเดินทางกลับไปยังถิ่นฐานเดิมในพม่าช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2544-2548 แต่เนื่องจากทางรัฐบาลเผด็จการทหารพม่าได้ปล่อยให้ชาวอาราคานที่นับถือศาสนา พุทธเข้าไปครอบครองพื้นที่อาศัยของชาวโรฮิงญาเกือบหมดแล้ว อีกทั้งไม่เคยให้สัญชาติพม่าแก่ชาวโรฮิงญา (รวมทั้งชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ ในพม่า) เป็นผลทำให้ชาวโรฮิงญากลายเป็นบุคคลไร้สัญชาติในพม่าและยังต้องประสบกับการป ราบปรามอย่างต่อเนื่องจากฝ่ายทหารพม่า ทำให้ต้องหนีกลับไปหาที่พักพิงในค่ายผู้อพยพของ UNHCR (กว่า 60,000 คน) และค่ายที่ทางการบังกลาเทศจัดให้ (กว่า 100,000 คน) ภายใต้สภาพความเป็นอยู่ที่เลวร้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านสาธารณสุขและสาธารณูปโภค
เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปทั้งในวงการของ NGO ระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับงานด้านสิทธิมนุษยชนและความช่วยเหลือด้านมนุษ ยธรรมว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้ชาวโรฮิงญาหนีภัยไปยังประเทศบังกลาเทศนั้น เป็นเพราะการปราบปรามอย่างรุนแรงของรัฐบาลเผด็จการทหารพม่า ส่วนการหนีออกจากค่ายผู้อพยพในบังกลาเทศโดยเดินทางมาทางเรือโดยส่วนใหญ่อ้าง ว่าเพื่อไปยังประเทศมาเลเซีย แต่หลงทางหรือถูกลมพัดมายังฝั่งไทยนั้น มีสาเหตุสำคัญมาจากการไม่สามารถทนสภาพเลวร้ายของค่ายผู้อพยพ จึงจำเป็นต้องดิ้นรนหาแหล่งพักพิงใหม่ จึงทำให้เกิดขบวนการค้าและลักลอบมนุษย์ระหว่างประเทศ ทั้งนี้ การที่ชาวโรฮิงญาสามารถเดินทางออกมาจากประเทศบังกลาเทศทางเรือโดยเลาะมาตามช ายฝั่งของบังกลาเทศพม่า จนถึงไทยได้ย่อมต้องได้รับการรู้เห็นเป็นใจจากเจ้าหน้าที่ของบังกลาเทศและพม ่าจนสามารถมาขึ้นบนฝั่งไทยได้ มีการจ่ายเบี้ยบ้ายรายทางให้กับขบวนการลักลอบมนุษย์ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ของบังกลาเทศ พม่า ไทย และมาเลเซียเป็นทอด ๆ ไป (ไม่แตกต่างจากขบวนการลักลอบมนุษย์ทางบกที่นำชาวเกาหลีเหนือหลบหนีออกมาจากเ กาหลีเหนือผ่านทางจีนลงมายังพม่าหรือลาว เพื่อเข้ามายังประเทศไทย) ชาวโรฮิงญาเหล่านี้เมื่อมาถึงไทยหรือมาเลเซียแล้วก็จะกระจายไปอยู่ตามโรงงาน ต่างๆ เป็นคนเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายที่กลายเป็นแรงงานผิดกฎหมาย ไม่ต่างจากแรงงานทาส และเป็นที่ต้องการของบรรดานายทุน เจ้าของโรงงาน เจ้าของไร่ยางพารา เพราะค่าจ้างต่ำมากเป็นพิเศษ ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ เป็นผลทำให้ประเทศไทยกลายเป็นแหล่งรองรับบุคคลเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายหลายสัญ ชาติหลายเผ่าพันธุ์ที่ขบวนการค้ามนุษย์และการลักลอบมนุษย์ในภูมิภาคเอเชียใต ้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียตะวันออก นำมาทิ้งไว้ให้ไทยต้องแบกภาระอย่างไม่มีที่สิ้นสุด โดยการสมรู้ร่วมคิดของบรรดาเจ้าหน้าที่ไทยที่ทุจริตประพฤติมิชอบ
โดยข้อเท็จจริงแล้ว รัฐบาลของพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่ฝ่ายไทยจำต้องรีบดำเนินการหาทางแก้ไขปัญหาผ ู้เข้าเมืองผิดกฎหมายชาวโรฮิงญามาตั้งแต่กรกฎาคม 2550 แล้ว และได้มีบัญชาเป็นทางการมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศและสภาความมั่นคงแห่ งชาติเป็นหน่วยงานหลักร่วมกันพิจารณาดำเนินการหามาตรการแก้ไขเป็นการเร่งด่ว นที่สุด พร้อมทั้งได้สั่งการชัดเจนให้กระทรวงการต่างประเทศจัดการประชุมระดับภูมิภาค เกี่ยวกับประเด็นการลักลอบขนคนเข้าเมือง (Human smuggling) ที่กรุงเทพฯ ในโอกาสแรก ซึ่งรวมทั้งกรณีชาวโรฮิงญา แต่เวลาผ่านไป 1 ปีครึ่ง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกลับไม่ได้ดำเนินการอะไรอย่างจริงจัง กลับปล่อยปละละเลยจนมีเหตุการณ์ร้ายแรงตามที่เป็นข่าวเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ทางกองทัพเรือได้ปฏิบัติต่อชาวโรฮิงญาอย่างไร้มนุษยธรรม เป็นผลให้ชาวโรฮิงญาเสียชีวิตกลางทะเลจำนวนมาก ส่วนข่าวดังกล่าวจะจริงหรือเท็จยังไม่มีใครสามารถยืนยันได้ แต่ที่แน่นอนคือ ภาพลักษณ์และภาพพจน์ของประเทศไทยได้รับความเสียหายไปแล้วจากการรายงานข่าวขอ งบรรดาสื่อต่างประเทศ เพราะความไม่เอาใจใส่และไม่รับผิดชอบของหน่วยงานของไทย โดยปล่อยปละละเลยมาเป็นเวลากว่า 1 ปีครึ่ง
ประเด็นข่าวเรื่องหน่วยงานไทยที่เกี่ยวข้องได้ละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อ ชาวโรฮิงญาจนมีผลทำให้เกิดการเสียชีวิตจำนวนมากนั้น ประเด็นไม่ได้อยู่ที่สิทธิในการผลักดันหรือในการส่งตัวชาวโรฮิงญากลับ ไปยังแหล่งที่เดิม เพราะทุกประเทศมีอำนาจอธิปไตยที่จะไม่ให้มีการเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย หากแต่ประเด็นอยู่ที่วิธีการดำเนินการและการปฏิบัติต่อชาวโรฮิงญาว่าผิดหลัก มนุษยธรรมหรือไม่ มีการดำเนินการเกินกว่าเหตุ และขัดต่อหลักการว่าด้วยสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานหรือไม่ แต่สิทธิมนุษยชนไม่ได้หมายความว่าชาวโรฮิงญามีสิทธิที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมา ยของไทยหรือมีสิทธิที่จะอ้างสิทธิมนุษยชนเพื่อละเมิดอธิปไตยในน่านน้ำของไทย ข้อครหาที่มีต่อรัฐบาลไทยจะเบาบางและหมดไปต่อเมื่อคณะกรรมการที่มีหน้าที่สอ บสวนหาข้อเท็จจริงในเรื่องนี้สามารถสรุปความจริงออกมาได้อย่างปราศจากข้อสงส ัยใด ๆ ในโอกาสแรก
โดยสรุปปัญหาเรื่องของคนเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายชาวโรฮิงญาโดยเนื้อหาแ ล้วไม่ได้แตกต่างจากแรงงานผิดกฎหมายชนกลุ่มน้อยชาวพม่าอีกกว่า 3 ล้านคนในประเทศไทย รวมทั้งแรงงานผิดกฎหมายชาวเกาหลีเหนือ ชาวลาว และกัมพูชาอีกหลายหมื่นคนที่เข้ามาในไทยอย่างผิดกฎหมาย แต่ในกรณีของชาวพม่า(ชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์ต่าง ๆ) ที่หนีมาฝั่งไทยจะด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจหรือเป็นเพราะถูกปราบปรามอย่างรุนแร งจากเผด็จการทหารพม่าก็ตาม ล้วนเป็นเหตุการณ์ยืนยันให้เป็นที่ประจักษ์อย่างปราศจากข้อสงสัยใด ๆ ทั้งสิ้นว่า รัฐบาลที่ทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงที่สุดและอย่างยาวนานที่สุดใน ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือภูมิภาคอาเซียนคือรัฐบาลของระบอบเผด็จการ ทหารพม่าซึ่งอยู่ในอำนาจมากว่า 46 ปีแล้ว ไม่ใช่รัฐบาลไทยชุดปัจจุบันแน่นอน ตรงกันข้ามประเทศไทยกลับต้องมาแบกภาระหนักหน่วงดูแลผู้อพยพผู้เข้าเมืองโดยผ ิดกฎหมายจากประเทศพม่ามาเป็นเวลากว่า 46 ปี ทั้งนี้เพราะรากเหง้าของปัญหาชาวโรฮิงญาและปัญหาชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ จากพม่าที่หนีมาพักพิงในประเทศไทย มีสาเหตุโดยตรงมาจากระบอบการเมืองที่เป็นเผด็จการ และไร้มนุษยธรรมที่มีอยู่ในประเทศพม่า นั่นคือ ระบอบเผด็จการทหารพม่าที่ไม่เอื้ออาทรต่อประชาชนพม่าที่มุ่งแต่จะปราบปรามอย ่างรุนแรง ที่ไม่เคยคิดแก้ปัญหาขัดแย้งที่มีกับบรรดากลุ่มชนส่วนน้อยชาติพันธุ์ต่าง ๆ ด้วยวิธีการทางการเมืองหรือด้วยการเจรจาหาข้อยุติอย่างสันติวิธี แต่กลับมุ่งใช้การแก้ปัญหาขัดแย้งด้วยวิธีการทางการทหารตลอด 46 ปีที่ผ่านมา โดยไม่ใส่ใจกับผลกระทบร้ายแรงที่มีต่อประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทย หากแต่จงใจสร้างปัญหาให้กับไทยมาโดยตลอดอย่างไม่มีที่จบสิ้น และในเมื่อข้อเท็จจริงเป็นดังกล่าวมานี้ จึงเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าเพราะเหตุใดความขัดแย้งระหว่างระบอบเผด็จการทหารพ ม่ากับบรรดากลุ่มชนส่วนน้อยกลุ่มต่าง ๆ ถึงไม่เคยได้ข้อยุติแบบสันติวิธีในรูปแบบของข้อตกลงทางการเมือง (political settlement) จะมีบางครั้งก็แต่เพียงในรูปแบบของข้อตกลงหยุดยิง (ceasefire agreement) อันเป็นเพียงการหย่าศึกชั่วคราวเท่านั้น เพื่อรอวันที่จะกลับมาห้ำหั่นกันอีกในอนาคต รากเหง้าของปัญหาร้ายแรงทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นในพม่าและส่งผลกระทบทางล บโดยตรงต่อความมั่นคงทุกด้านของประเทศไทยคือ ระบอบการเมืองที่เป็นเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จที่มีอยู่ในพม่ามากว่า 46 ปีแล้ว ฉะนั้นตราบใดที่ยังไม่มีกระบวนการประชาธิปไตยและการปรองดองภายในพม่าเกิดขึ้ นอย่างเป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่องและอย่างชอบธรรมสันติภาพ เสถียรภาพ และความมั่นคงบริเวณชายแดนด้านทิศตะวันตกของไทยก็ยากที่จะเกิดขึ้นได้
31 มกราคม : วันเด่นหรือวันดับของเสื้อแดง
ในขณะที่ผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมไทยกำลังผนึกกำลังกันเพื่อต่อสู้กับภาวะเศรษฐก ิจถดถอย อันถือได้ว่าเป็นศัตรูร่วมของคนทั้งประเทศโดยมีรัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิส ิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นแกนนำในการต่อสู้กับภาวะที่ว่านี้ คนกลุ่มหนึ่งภายใต้สัญลักษณ์ของเสื้อแดงได้ทำการเคลื่อนไหวก่อกวน ขัดขวางการทำงานของรัฐบาล ด้วยเหตุอ้างเพียงว่ามาด้วยความไม่ชอบธรรม เนื่องจากพรรคที่เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลคือพรรคประชาธิปัตย์ เป็นพรรคมีเสียงข้างน้อย เมื่อเทียบกับพรรคเพื่อไทยที่มี ส.ส.มาจากพรรคพลังประชาชนที่ถูกยุบไป และที่น่าจะเป็นเหตุอ้างว่าเป็นความไม่ชอบธรรมมากที่สุดก็คือ การที่ ส.ส.กลุ่มเพื่อนเนวินซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพรรคเพื่อไทยได้แยกตัวออกมาสนับสน ุนให้หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้รัฐบาลผสมเกิดขึ้นได้
กลุ่มเสื้อแดงที่ว่านี้ได้ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองในหลายรูปแบบเพื่อต่อต้า นรัฐบาล แต่กิจกรรมที่โดดเด่นและถือได้ว่าเป็นกิจกรรมหลักของกลุ่มนี้ก็คือการจัดราย การความจริงวันนี้ ซึ่งมีนายวีระ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็นแกนนำในนามกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือที่เรียกย่อๆ ว่า นปช.
ในอดีตที่ผ่านมาก่อนที่รัฐบาลชุดนี้จะเกิดขึ้นกลุ่มเสื้อแดงได้จัดชุมนุมมาห ลายครั้ง และแต่ละครั้งก็จะมีคนมาร่วมหนาแน่นพอสมควรมีจำนวนเป็นพันเป็นหมื่นคนขึ้นไป และเป็นที่น่าสังเกตว่าผู้มาร่วมชุมนุมส่วนใหญ่จะมาจากภาคอีสานและภาคเหนือ ส่วนภาคกลางและภาคใต้มีบ้างก็ไม่มากเมื่อเทียบกับ 2 ภาคดังกล่าวข้างต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากภาคใต้มีน้อยมาก ทั้งๆ ที่ผู้ที่เป็นแกนนำสำคัญล้วนแล้วแต่มาจากภาคใต้ ทั้งนี้น่าจะด้วยเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้
1. พรรคการเมืองที่กลุ่มสังกัด และให้การสนับสนุนคือ พรรคพลังประชาชน มีฐานเสียงทางการเมืองส่วนใหญ่อยู่ในภาคอีสาน และภาคเหนือ จะเห็นได้จาก ส.ส.ที่ได้รับเลือกส่วนใหญ่มาจาก 2 ภาคนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาคอีสานมากที่สุด
2. นโยบายประชานิยมที่พรรคไทยรักไทยเริ่มและสืบทอดด้วยพรรคพลังประชาชนได้รับกา รตอบรับจากประชาชนคนชั้นรากหญ้าในภาคเหนือและภาคอีสานมากที่สุด จนดูประหนึ่งว่าคนใน 2 ภาคนี้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับนักการเมืองในระบอบทักษิณ
ดังนั้น เมื่อมีการเรียกระดมพลคนเสื้อแดงจากแกนนำก็จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาลโดยมี ส.ส.กลุ่มเพื่อนเนวินเข้าร่วม ก็เกิดปรากฏการณ์ทางการเมืองสวนทางกับอดีตในยุคที่พรรคไทยรักไทย และพรรคพลังประชาชนเป็นรัฐบาล กล่าวคือ กลุ่มเสื้อแดงขัดแย้งกัน จะเห็นได้จากการที่แกนนำกลุ่มเสื้อแดงในภาคอีสาน เช่น อุดรธานี และศรีสะเกษ ได้ออกมาปฏิเสธที่จะมาร่วมชุมนุมที่กรุงเทพฯ ในวันที่ 31 มกราคมที่จะถึงนี้ เนื่องจากมีความขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างนายขวัญชัย ไพรพนา แกนนำกลุ่มคนรักอุดร ที่ออกมาโจมตีแกนนำในทางการเมืองในทำนองว่าไม่ช่วยเหลือดูแลทางด้านการเงินใ ห้กลุ่มตน และทำให้เดือดร้อน ทั้งเหตุผลในการไม่มาชุมนุมก็ดูจะแปลกไปจากแนวคิดของแกนนำ นปช.กล่าวคือ ฝ่ายคนรักอุดรฯ และศรีสะเกษบอกว่าให้โอกาสรัฐบาลทำงานระยะหนึ่ง ถ้าไม่มีผลงานค่อยเคลื่อนไหว
แต่กลุ่มแกนนำ นปช.ที่จะจัดชุมนุมในวันที่ 31 มกราคม เห็นว่าจะต้องเดินหน้าเพื่อต่อต้านโดยไม่ฟังเหตุผลใดๆ ของกลุ่มเสื้อแดง ทั้งในส่วนของอุดรฯ และศรีสะเกษ
ดังนั้น การจัดชุมนุมในวันที่ 31 มกราคมของกลุ่ม นปช.จึงเท่ากับเป็นบทพิสูจน์ภาวะผู้นำของกลุ่มเสื้อแดงทั้งประเทศว่า จะยอมให้คนกลุ่มนี้ชี้นำในทางการเมืองหรือไม่
แต่อย่างไรก็ตาม ในทัศนะของผู้เขียนเห็นว่า โอกาสที่แกนนำ นปช.จะได้รับการยอมรับให้เป็นผู้นำกลุ่มเสื้อแดงอย่างท่วมท้นเหมือนอดีตคงเก ิดขึ้นได้ยาก ทั้งนี้ด้วยเหตุปัจจัยในเชิงตรรกะดังต่อไปนี้
1. แกนนำ นปช.คนสำคัญ 3 คน คือ นายวีระ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ล้วนแล้วแต่เป็นคนภาคใต้ แต่ไม่ปรากฏว่าได้รับการยอมรับจากคนภาคใต้ด้วยกัน จึงไม่มีฐานทางการเมืองในบ้านเกิดของตนเองมากพอที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งในภ าคใต้เพื่อแข่งกับผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ จึงได้ผันตัวเองมาหาตำแหน่งทางการเมืองจากพรรคไทยรักไทย และพรรคพลังประชาชน หรือแม้กระทั่งพรรคเพื่อไทยซึ่งสืบทอดมาจากพรรคไทยรักไทยเป็นทอดๆ จึงเท่ากับมาอาศัยฐานการเมืองจากคนภาคอีสาน และภาคเหนือเติบโตทางการเมือง
ดังนั้น เมื่อแกนนำเสื้อแดงจากภาคเหนือและภาคอีสานบางส่วนปฏิเสธการมาร่วมชุมนุม จึงยากที่การชุมนุมในวันที่ 31 มกราคม จะเกิดอย่างยิ่งใหญ่สมราคาที่คุยไว้ได้
2. ในการจัดชุมนุมแต่ละครั้งจะต้องมีกำลังทางด้านการเงินมาเกื้อหนุนจากกลุ่มทุ นทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากกลุ่มอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร แต่วันนี้และเวลานี้ดูเหมือนว่ากำลังเงินจากกลุ่มทุนที่ว่านี้น้อยลง หรือถึงขั้นปฏิเสธการจ่ายให้แล้ว จึงทำให้กำลังเงินลดลงหรือร่อยหรอไม่อยู่ในขั้นเดินต่อไปได้ จึงยากที่จะทำให้การชุมนุมซึ่งต้องอาศัยเงินเกิดขึ้นได้อย่างที่ต้องการ
3. การที่ ส.ส.กลุ่มเพื่อนเนวินได้เข้ามาร่วมเป็นรัฐบาล ก็เท่ากับว่ากลุ่มเสื้อแดงได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่คัดค้านรัฐบาล และกลุ่มที่กำลังจะกลายเป็นพลังหนุนรัฐบาลแล้วหันไปต่อต้านเสื้อแดงด้วยกัน ภายใต้การกำกับและสั่งการของ ส.ส.กลุ่มเพื่อนเนวิน
ด้วยเหตุ 3 ประการที่ว่ามานี้ น่าจะพอคาดเดาได้ว่าการจัดชุมนุมของกลุ่ม นปช.ในวันที่ 31 มกราคม จะอยู่ในภาวะแตกแยก และรอวันดับลงด้วยหมดแรงหนุนของเงิน และอำนาจรัฐ ทั้งจะถูกต่อต้านด้วยกลุ่มเสื้อแดงด้วยกันแต่สังกัดนักการเมืองต่างกลุ่มกัน
ส ุดท้าย ถ้าท่านผู้อ่านติดตามดูไปจนถึงวันที่ 31 มกราคม ก็คงจะได้เห็นเสื้อแดงเปลี่ยนสี และแยกกันเดินคนละทิศคนละทางเพื่อความอยู่รอดทางเศรษฐกิจของแต่ละคน
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000009143
ใครบ้างไม่หลงติดอยู่กับวัตถุ
ผ มเชื่อนะว่าคุณ คห 11 ก็ยังยึดติดกับวัตถุอยู่เหมือนกัน และรู้ด้วยว่าปากกับใจคุณมันอยู่กันคนละฝั่งกัน ปากคุณนะร้าย แต่ใจคุณนะก็หลงติดอยู่กับวัตถุเหมือนกัน
ไม่เชื่อคุณลองย้อนดูอดีตที่ผ่านมาของคุณสิว่าคุณเคยยกมือไหว้วัตถุอะไรบ้าง เพื่อขอพรจากวัตถุเหล่านั้น
ใครบ้างไม่หลงติดอยู่กับวัตถุ
Mblog Hot article 29 Jan 2552
อนิจจา บัดนี้ชาติเราขาดสัญชาตญานดั้งเดิมแห่งการอยู่รอดไปแล้ว ต่างหันไปพึ่งคนอื่นกันหมดในทุกมิติแห่งการดำรงชีวิต
งาน “ทำบุญให้เมธี สังสรรค์สามัคคีพันธมิตรเพื่อ “การเมืองใหม่” ในวันเสาร์ที่ 31 มกราคม 2552 อาจจะมีการประชาสัมพันธ์น้อยไปบ้าง เพราะชนกับงานคอนเสิร์ตที่สระบุรี แต่พี่น้องพันธมิตรหลายท่านที่ทราบข่าว สอบถามมาว่า จัดงานที่ไหน จัดงาน ณ เวทีลานวัฒนธรรมเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์ ว่าแล้วก็แนบแผนที่จุดที่จัดงานมาให้ชมกันชัดๆ จุด A ที่ปักหมุดในรูป คือ สำนักงานเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ ส่วนเวทีลานวัฒนธรรมเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ คือ จุดกลมสีดำที่อยู่ทางขวาของจุด A ขยายอีกที ถนนจิระ ถนนสายหลักที่ผ่านกลางเมือง จะผ่านศาลหลักเมือง, สถานีตำรวจ, สำนักงานสาธารณสุข, วิทยาลัยสารพัดช่าง หากไปถึงสำนักงานเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ สถานที่จัดงานก็อยู่ใกล้ๆกันนั่นเอง ลานวัฒนธรรมเป็นบริเวณที่ สารวัตรจ๊าบ และพันธมิตรบุรีรัมย์เคยมาตั้งจอโปรเจคเตอร์ถ่ายทอด ASTV เจอทั้งลม ฝน สารวัตรเคยนอนเฝ้าจอจากเย็นถึงเช้าตรู่ของอีกวัน และเป็นบริเวณที่ พวก นปก.เกือบ 1,000 คน เคลื่อนกำลังพลเข้ามาข่มขู่ ให้รื้อถอนจอ และห้ามถ่ายทอดสด ASTV ซึงเขียนไว้ใน บันทึกชีวิตสารวัตรจ๊าบ (๑) เมื่อพันธมิตรบุรีรัมย์ 30 คนเผชิญหน้ากับ นปก.1000 คน ติดต่อสอบถามเส้นทางได้ ทางโทรศัพท์ติดต่อ คุณขนิษฐา ศิริพล - โทรสาร 044-615084 -โทร. 044-620330 ,044-620701, 044-625252 มือถือ 086-8796058 ชมแผนที่ภาพขยายใหญ่
มีหลายคนอยากมีโอกาสได้ลองลิ้มรส อาหารอีสาน ในแดนดินถิ่นอีสาน แต่ใน blog สามารถเอามาฝากได้แค่ภาพ ในงานวันเกษตรภาคอีสาน นอกจากมีต้นไม้ สัตว์เลี้ยงในงานแล้ว อาหารก็มีมากมายเช่นกัน นี่คือ การรวมภาพอาหารหลากหลายในงาน เรียกว่า ถ่ายภาพไป กลืนน้ำลายไป อยากกินไปโม้ด... มาดูรูปกันหน่อยว่า มีอาหารอีสานยั่วน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร อะไรกันบ้าง ลองดูซิว่า มีกี่ภาพ ที่คุณเคยทานมาแล้ว ....
เดี๋ยวนี้มีเทคโนโลยีใหม่ๆ ให้ลองใช้มากขึ้น แม้แต่การนำหนังสือทั้งเล่ม ใส่เข้าไปในเวบ แล้วสามารถเปิดอ่านได้เหมือนหนังสือจริงๆ แต่เป็นการเปิดบนหน้าเวบไซต์ ลักษณะการพลิดเปิดแต่ละหน้า เหมือนเปิดหนังสือจริงๆ นี่คือเทคโนโลยีที่เวบไซต์ www.issuu.com ให้บริการจับหนังสือใส่เวบ ว่าแล้ว นายบอนจึงนำไฟล์หนังสือ 2 เล่ม ใส่ลงในเวบนี้ ซึ่งให้บริการฟรี เพียงการลงทะเบียนสมัครสมาชิก แล้วทำไฟล์หนังสือ ที่เป็น pdf ซึ่งเปิดดูด้วยโปรแกรม Acrobat Reader ทำการ Upload ไฟล์นั้น ขึ้นไปบนเวบ issuu.com หลังจากนั้น เวบ issuu.com ก็จะจัดการแปลงไฟล์ ให้กลายเป็นหนังสือในรูปแบบของ flash โดยที่เราไม่ต้องเขียนโปรแกรมให้เสียเวลา
บอลไทยไม่พัฒนาเพราะคนไทยนิยมแต่บอลนอก ชาติไทยไม่พัฒนาก็เพราะนักการเมืองไทย นักวิชาการไทย นิยมแต่ต่างชาติ เช่น การลงทุน การตีพิมพ์ในวารสารต่างชาติ การส่งนักศึกษาไปเรียนนอก ไม่เคยคิดพึ่งตัวเองเลย พึ่งแต่ต่างชาติ ทั้งนี้เพราะมีรากมาจากการนิยมต่างชาติ และดูถูกตัวเอง
ฝนตกก็แช่ง...ฝนแล้งก็ด่า การทำอะไรๆ ให้ถูกใจคนทั้งหมดนั้นเป็นไปไม่ได้..ทำอย่างไรๆก็ไม่ถูกใจสักอย่าง
ในสายตาผู้ใหญ่นั้น ความกระตือรือร้นของเด็ก ที่จะทำสิ่งไร้ประโยชน์ ดูเป็นเรื่องไร้สาระที่ไม่เข้าใจเลยสักนิด เวลาเด็กมองเห็นว่า ผ้าปูโต๊ะย่นยู่ยี่ แกจะได้ว่ามันน่าจะปูคลุม อย่างเป็นระเบียบ และ จะพยายามหาทางปูใหม่ อย่างกระตือรือร้นและเชื่องช้า
(ภาพประกอบจากwww.212cafe.com) จำได้ว่า ผมนึกอยากมีลูกครั้งแรกตอนยังเรียนหนังสือไม่จบดี และตอนนั้นผมก็ยังไม่มีแ ฟนเป็นตัวเป็นตนด้วย ไม่รู้ว่าคิดบ้าบอไปได้อย่างไรในเมื่อการมีลูกต้องอาศัยการมีแม่ของลูกและต้ องอาศัย...
พระราชกรณียกิจในด้าน IT 1. พระราชกรณียกิจด้านสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ 2. พระราชกรณียกิจด้านวิทยุกระจายเสียง 3. พระราชกรณียกิจด้านดาวเทียม 1. พระราชกรณียกิจด้านสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนพระทัยด้านการสื่อสารตั้งแต่ทรงพระเยาว์ "...ทรงทดลองต่อสายไฟพ่วงขนานกับลำโพงขยาย ของเครื่องรับวิทยุส่วนพระองค์ที่ผลิตจากประเทศสวีเดน ยี่ห้อ 'Centrum' จากห้องที่ประทับพระองค์ท่านไปยังห้องที่ประทับของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ทั้งสองพระองค์ทรงพอพระทัยในบริการเสียงตามสายไม่น้อย..." (สุชาติ เผือกสกนธ์, วันสื่อสารแห่งชาติ : 2530) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงอุทิศพระองค์ พระอัจฉริยะและพระอุตสาหะทั้งมวล เพื่อราษฎรในทุกภูมิภาค พระองค์ทรงมีดำริให้มีการพัฒนาด้านระบบวิทยุสื่อสารอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น กล่าวคือสามารถรับส่งได้ไกลยิ่งขึ้น ดังจะเห็นได้จากการที่พระองค์ทรงใช้เครื่องมือสื่อสารพกติดพระองค์ เพื่อประกอบพระราชกรณียกิจต่างๆ อยู่เสมอ เพราะสิ่งที่พระองค์ทรงขาดไม่ได้คือการสดับตรับฟังข่าวทุกข์สุขของประชาชน ดังเช่น ในระหว่างการเสด็จเยี่ยมราษฎรได้ทรงพบว่า มีผู้ใดที่กำลังป่วยเจ็บจำเป็นต้องบำบัดรักษา จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คณะแพทย์ผู้ตามเสด็จดูแลตรวจรักษาทันที ในบางรายที่มีอาการป่วยหนัก จำเป็นต้องส่งตัวเข้าบำบัดรักษาในโรงพยาบาลท้องถิ่นหรือโรงพยาบาลในกรุงเทพม หานครโดยเร็ว หากมีเวลาเพียงพอ พระองค์ท่านจะรับสั่งผ่านทางวิทยุถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ตำรวจตระเวนชายแดน ขอรับการสนับสนุนเรื่องการขนส่ง เช่น เฮลิคอปเตอร์ เพื่อนำผู้ป่วยเจ็บส่งยังที่หมายปลายทางด้วยพระองค์เอง นอกจากนี้ พระองค์ได้ทรงพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นำระบบสื่อสารแบบถ่ายทอดสัญญาณหรื อ Repeater ซึ่งเชื่อมต่อทางวงจรทางไกลขององค์การโทรศัพท์ฯ ให้มูลนิธิแพทย์อาสาฯ (พอ.สว.) นำไปใช้เพื่อช่วยเหลือรักษาพยาบาลแก่ผู้เจ็บป่วยในท้องถิ่นห่างไกล ในเรื่องการปฏิบัติการฝนเทียมหรือฝนหลวงพระราชทาน ในการปฏิบัติระยะแรกๆ ได้ประสบปัญหาเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่ไม่ทราบล่วงหน้า ซึ่งนักบินผู้ปฏิบัติจำเป็นต้องได้รับคำแนะนำแก้ไขโดยฉับพลัน เนื่องจากยังไม่มีการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้ปฏิบัติการด้วยกัน จึงเป็นเหตุให้ไม่ได้ผลเท่าที่ควร กล่าวคือฝนไม่ตกในเป้าหมายบ้าง ตกน้อย หรือไม่ตกตามที่คิดบ้าง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงสดับตรับฟังข่าวการปฏิบัติการฝนเทียมทุกคร ั้ง และทรงทราบถึงปัญหาสำคัญคือ การขาดการติดต่อสื่อสารที่ดี จึงโปรดเกล้าฯ ให้ติดตั้งวิทยุให้แก่หน่วยปฏิบัติการฝนเทียม ทั้งทางอากาศและทางภาคพื้นดิน นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริให้ทำการศึกษาวิจัย รวมถึงการออกแบบและสร้างสายอากาศย่านความถี่สูงมาก หรือที่เรียกว่า VHF (วี.เอช.เอฟ) ขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ 3 ประการ ประการแรก เพื่อที่จะได้ใช้งานกับวิทยุส่วนพระองค์ ทั้งนี้โดยมีพระราชประสงค์ที่จะให้ทราบเหตุการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของสาธารณภัยที่เกิดขึ้นกับประชาชน เรื่องไฟไหม้ เรื่องน้ำท่วม ฯลฯ ทั้งนี้เพื่อที่จะได้ทรงช่วยเหลือได้ทันท่วงที ประการที่สอง เพื่อที่จะพระราชทานให้แก่หน่วยราชการต่างๆ ประการที่สาม เพื่อส่งเสริมให้คนไทยที่มีความรู้ ความสามารถและตั้งใจจริง ได้ใช้ความอุตสาหวิริยะในการพัฒนาระบบวิทยุสื่อสารขึ้นใช้เองภายในประเทศ นอกเหนือจากวิทยุสื่อสารแล้ว ในเรื่องของเทเล็กซ์พระองค์ทรงสนพระทัยอยู่ไม่น้อย และสิ่งหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่เคยทรงขาดคือ การพระราชทานพรปีใหม่ นอกจากจะทรงมีกระแสพระราชดำรัส พระราชทานพรปีใหม่แก่พสกนิกรไทยทางวิทยุและโทรทัศน์ทุกแห่งแล้ว พระองค์ท่านยังทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ พระราชทานพรทางเทเล็กซ์สม่ำเสมอทุกปี แต่ในปัจจุบันท่านทรงใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในการประดิษฐ์บัตรอวยพรปีใหม่แทน นอกจากนี้พระองค์ทรงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการสื่อสารว่า การสื่อสารเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินธุรกิจทุกประเภท, การสื่อสารเป็นหัวใจของความมั่นคงของประเทศ และการสื่อสารเป็นองค์ประกอบที่สำคัญยิ่งในการพัฒนาประเทศให้ประชาชนอยู่ดีก ินดี 2. พระราชกรณียกิจด้านวิทยุกระจายเสียง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสนพระทัยในเรื่องวิทยุเป็นอย่างมาก ตั้งแต่เมื่อครั้งยังเยาว์ ซึ่งพระองค์ประทับอยู่ ณ เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พระองค์ได้ทรงซื้ออุปกรณ์เครื่องรับวิทยุ ซึ่งมีวางขายเลหลังราคาถูกทรงประกอบเป็นเครื่องรับวิทยุชนิดแร่ สามารถรับฟังวิทยุกระจายเสียงในยุโรปได้หลายแห่ง ต่อมาเมื่อกิจการวิทยุเจริญก้าวหน้ามากขึ้น ได้นำหลอดวิทยุมาใช้ในเครื่องรับ-ส่งวิทยุ และเครื่องขยายเสียง และพระองค์ท่านก็ได้ทรงทดลองอุปกรณ์แบบใหม่นี้ด้วยเช่นกัน เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินกลับมา ประทับอยู่ในประเทศไทยเป็นการถาวร ในปี พ.ศ. 2495 พระองค์ได้ทรงตั้งสถานีวิทยุ อ.ส. ขึ้นที่พระราชวังสวนดุสิต และชื่อสถานีวิทยุดังกล่าวได้ทรงนำมาจากอักษรย่อของพระที่นั่งอัมพรสถาน ซึ่งเป็นสถานที่ที่ใช้ออกอากาศครั้งแรก ต่อมาจึงย้ายสถานีวิทยุ อ.ส. เข้าไปตั้งในบริเวณพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน สถานีวิทยุ อ.ส. เมื่อแรกตั้งเป็นสถานีเล็กๆ มีเครื่องส่ง 2 เครื่อง ขนาดที่มีกำลังส่ง 100 วัตต์ ออกอากาศด้วยคลื่นสั้นและคลื่นยาวในระบบ AM พร้อมๆ กัน เครื่องส่งรุ่นแรกนี้เป็นเครื่องที่ กรมประชาสัมพันธ์ทูลเกล้าฯ ถวายและติดตั้งให้ด้วยเมื่อออกอากาศไปได้ระยะหนึ่ง และในระบบคลื่นสั้นก็มีจดหมายรายงานผลการรับฟัง เข้ามาจากหลายประเทศ เช่น นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา เยอรมันฯ เป็นต้น ดังนั้นจึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้ขยายกำลังส่ง โดยมีชื่อรหัสสถานีว่า HS 1 AS ในปี พ.ศ. 2525 สถานีวิทยุ อ.ส. ได้เพิ่มการส่งกระจายเสียงในระบบ FM ขึ้นอีกระบบหนึ่ง ในการขยายด้านกำลังส่งนั้นอุปกรณ์ต่างๆ ล้วนแต่มีผู้โดยเสด็จพระราชกุศล เพื่อให้สถานีวิทยุ อ.ส. สามารถบริการประชาชนได้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น อาจถือได้ว่าเป็นสถานีวิทยุเอกชนเพียงแห่งเดียวที่สามารถกระจายเสียงคลื่นสั ้นได้ ทั้งนี้เพราะถือว่าเป็นเครือข่ายกรมประชาสัมพันธ์ พระองค์ทรงมีวัตถุประสงค์ที่ทรงตั้งสถานีวิทยุ อ.ส. เพื่อเปิดโอกาสให้พสกนิกรมีช่องทางในการติดต่อกับพระองค์ได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องผ่านกระบวนการขั้นตอนตามพิธีการเหมือนในสมัยก่อน ทรงใช้สถานีวิทยุเพื่อเป็นสื่อในการประชาสัมพันธ์ติดต่อข่าวสารกับประชาชน และเป็นสื่อสัมพันธ์ระหว่างพระองค์และประชาราษฎร์ ที่ทรงแสดงให้ทราบถึงใจรักที่พระองค์ท่านพระราชทานให้กับประชาชนทั่วทุกคน นอกเหนือจากเป็นสถานีวิทยุของสื่อมวลชนเพื่อการบันเทิง และเผยแพร่ความรู้กับประชาชนแล้ว ยังได้ทำหน้าที่แจ้งข่าวสารแก่ประชาชนในโอกาสสำคัญ หรือเกิดเหตุการณ์ที่สำคัญต่างๆ ขึ้น เช่น การเกิดโรคโปลีโอระบาดในปี พ.ศ. 2495 อหิวาตกโรคในปี พ.ศ. 2501 และเมื่อเกิดวาตภัยที่แหลมตะลุมพุกในปี พ.ศ. 2505 โดยมีพระราชดำริให้ใช้สถานีวิทยุ อ.ส. เพื่อทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการช่วยเหลือผู้ประสบเคราะห์กรรม จนเป็นบ่อเกิดของมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ซึ่งปัจจุบันมีคุณขวัญแก้ว วัชโรทัย ทำหน้าที่นายสถานี เล่าให้ฟังว่า นโยบายหลักเกี่ยวกับการบริหารงานของสถานี ตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานไว้ก็คือ การเปิดโอกาสให้คนที่มีความรู้ ความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยราชการหรือเอกชน ได้เข้ามาสนองพระมหากรุณาธิคุณให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ดังนั้นเจ้าหน้าที่ของสถานีจึงเป็นอาสาสมัครทั้งสิ้น และทรงรับภาระต่างๆ ด้านสถานีด้วยทุนทรัพย์ส่วนพระองค์ พระองค์ทรงใช้นโยบายประหยัดและใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่าที่สุด และในปัจจุบันนี้สถานีวิทยุ อ.ส. ยังคงกระจายเสียงเป็นประจำทุกวันเว้นวันจันทร์ โดยออกอากาศทั้งคลื่นสั้นและคลื่นยาว ในระบบ AM 1332 KHzและ FM 104 MHz ควบคู่กันไปด้วยกำลังส่ง 10 กิโลวัตต์ โดยออกอากาศวันอังคารถึงวันเสาร์ เวลา 10.30-12.00 และ 16.00-19.00 วันอาทิตย์ เวลา 9.00-12.00 หยุดทุกวันจันทร์ 3. พระราชกรณียกิจด้านดาวเทียม ดาวเทียมไทยคมนับว่า เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้การสื่อสารโทรคมนาคมของไทยก้าวสู่ยุคแห่งความล้ำหน้า และได้เข้ามามีส่วนร่วม ในการสนอ งพระราชดำริ ในเรื่องของการศึกษา คุณขวัญแก้ว วัชโรทัย เป็นผู้สนองพระราชภารกิจที่โรงเรียนไกลกังวล หัวหิน ซึ่งขณะนี้ได้พยายามที่จะนำเอาดาวเทียมไทยคม เข้าไปใช้ในกิจการด้านการเรียนการสอน เจตนารมณ์ดังกล่าว เป็นการสนองตอบความต้องการของประชาชน และเป็นการปรับปรุงในเรื่องของการศึกษาให้สอดคล้องกับยุคสมัยอีกด้วย อีกทั้งยังเป็นการจัดการศึกษาใต้ร่มพระบารมีอย่างแท้จริง และที่สำคัญเพื่อเป็นการสนองพระบรมราโชบายทางการศึกษา ในอันที่จะทำให้โรงเรียนไกลกังวลเป็นเครือข่ายและเป็นศูนย์กลางทางการศึกษาไ ทยคมอย่างแท้จริง กล่าวได้ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเป็นอเนกอนันต์ต่อประเทศชาติ ที่ได้มีพระราชดำริ ให้มีการพัฒนางานทางระบบวิทยุสื่อสารขึ้นในประเทศอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง เพราะสังคมปัจจุบันนั้น การสื่อสารก็เปรียบเสมือนกับระบบประสาทของร่างกายมนุษย์ ดังนั้นจึงนับได้ว่า พระองค์ท่านนั้นมีสายพระเนตรที่ยาวไกล ทรงเห็นบทบาทที่สำคัญยิ่งต่อการสื่อสาร จัดทำโดย นางสาวรุจิรา ไชยธงยศ 51116930225 ที่มา : http://www.prdnorth.in.th/The_King/king_it_01.php
ช่วงปลายเดือน ม.ค. ของทุกปี ที่ขอนแก่นจะมีงานวันเกษตรภาคอีสาน จัดในพื้นที่ของคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งจะมีผู้คนหลั่งไหลมาชมงาน ซื้อต้นไม้ ดูนิทรรศการ เป็นจำนวนมาก งานวันเกษตรฯ ปี 2552 จัดระหว่าง 23 ม.ค. - 1 ก.พ. ว่าแล้วก็หาโอกาสไปเที่ยวชมงานนี้ซะเลย เดินชม ซะเพลิน และถ่ายรูปไว้เยอะ เลยเอาบรรยากาศธรรมชาติๆมาฝากกัน เพียบ....
ธรรมชาติให้สิ่งต่างๆกับเรามากมาย ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่ อาหาร หรือแม้แต่เสื้อผ้า สิ่งเหล่านี้ธรรมชาติเป็นผู้ให้และรังสรรค์ขึ้นอย่างทะนุถนอม ให้พวกเราได้มีสิ่งที่ดีๆ เส้นใยธรรมชาติ..... (Natural fiber)
หลายคนพลาดชมคลิปชุดนี้ .. เลยนำมาให้ได้ชมกันอีกครั้งนะคะ บังเอิญเย็นวันนั้นชบาได้ชมอยู่พอดี เลยได้อัด เพิ่งตัดคลิปก่อนไปเมืองชลบุรี กลับมาจาก กทม. คิคิ.. ก็ได้โพสคลิปชุดนี้ขึ้น YouTube วันนี้พร้อมแล้ว จึงนำมาเสนอให้ได้ชม ได้ฟังกันนะคะ..
.............. สภา หมาวัด .... !!!
นับเป็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อที่ฝรั่งก็มีความเชื่อโบราณเกี่ยวกับต้นไม้กะเขาด้วยเหมือนกัน เป็นการโยงเข้ากับวันเกิดเพื่อบ่งบอกถึงบุคลิกลักษณะของบุคคลผู้นั้น คิดว่าน่าจะเกิดจากการสังเกตคาแรกเตอร์ของทั้งคนทั้งต้นไม้แล้วนำมาแมทช์กัน
มีแฟนบล๊อคขอมา บอกว่า ขอชมคลิปบรรยากาศจากโรงเรียนผู้นำ ท่ามกลางอากาศหนาว ที่แสนอบอุ่นด้วยมิตรภาพ พระจันทร์ดวงโตที่สุดในรอบปี.. และมุขตลก น่ารัก ๆ ของคุณเทียรี่ ลาสเวกัส แม่ยกได้ยิน คงต้องร้องกรี๊ดเสียงหลงค่ะ ก่อนชมคลิปอย่างไร ก็ขอได้โปรดสงบอกสงบใจ ก่อนนะคะขอบอก ๆๆ คิคิ.. ^^J&&
กันขโมยบ้าน วันนี้ผมอยากพูดถึงวิธีเลือกระบบรักษาความปลอดภัยสำหรับบ้าน หรือเรียกว่า กันขโมยบ้านมาให้เพื่อนๆ ฟัง โดยส่วนตัวแล้วเคยเล่นกันขโมยบ้านมาหลายยี่ห้อเช่น Bosch, Vanguard, Honeywell, Visonic, Rokonet มีบ้างที่ซื้อมาลองเล่นเอง กันขโมยบางยี่ห้อก็เป็นเพื่อนผมที่ซื้อ วันนี้เลยมาแชร์วิธีเลือกกัน.....
ขาวิเศษ โดนขโมยลักตัด ข่าว แปลก เรื่อง แปลก พิสดาร เมื่อมีชาวอินเดียผู้หนึ่งที่ตั้งตนเป็น ผู้วิเศษ จอมขมังเวทย์ ที่มีพลังทาง ไสยศาสตร์ โดยพลัง แปลก ของแกก็คือใครก็ตามที่ได้สัมผัสขาของแกชีวิตจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากป่วยก็กลายเป็นหาย จากล้มเหลวกลายเป็นรุ่งเรือง แต่ล่าสุด ผู้วิเศษ จอมขมังเวทย์ ผู้นี้โดนวายร้ายตัดขาไปซะแล้ว ตั้งตัวเป็นผู้วิเศษจอมขมังเวทย์ ยานาดี คอนไดอาห์ อายุ 80 ปี ชาวอินเดีย นับถือศาสนาฮินดู อวดอ้างว่าตนมี "พลังไสยศาสตร์" แก่กล้าเหนือปุถุชน....
...ลมทุ่ง...ครับท่าน...เรื่องยาวที่อาจจะน่าเบื่อสำหรับบางท่าน..แต่..ข้าพ เจ้าเต็มใจยัดเยียดให้กับท่านที่หลงเข้ามาอ่านครับ..อิ..อิ.. ...เป็นการเขียนนวนิยายเรื่องแรกของข้าพเจ้า...เพื่อส่งเข้าประกวดประชัน ณ.บริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง...ลมทุ่ง...เป็นเรื่องราวที่ถูกกำหนดให้มีเนื้อหาที่ เหมาะสมกับเยาวชนในยุคปัจจุบัน...แต่...ข้าพเจ้าพาลนึกย้อนกลับไปในกาลอดีต ...อดีตที่มีท้องทุ่ง ท้องนาเป็นฉากแห่งการดำเนินชีวิต...ข้าพเจ้าเพียรพยายามให้เยาวชนยุคใหม่มอง เห็นภาพอดีตของประเทศไทย... ...ตามวัตถุประสงค์ของกฏเกณฑ์ของโครงการนี้...ลมทุ่ง...ถือว่าผ่านตามวัตถุป ระสงค์ที่ท่านกำหนดขึ้น...แต่...ลมทุ่งยังอ่อนด้อยกว่าเรื่องราวอื่น ๆ อีกมากมายนัก... ...ข้าพเจ้าเพียงคาดหวังว่า...ลมทุ่ง...นวนิยายที่ถูกลืม จะสามารถให้สาระและความบันเทิงกับท่านที่เข้ามาเที่ยวชม...cumpreram blog....และระหว่างที่ลมทุ่งกำลังโชยพัด...ข้าพเจ้าจึงถือโอกาสสะสมเรื่องรา วของเรื่องสั้นไว้สำหรับทุก ๆ ท่านครับ...ขอบคุณครับที่มาอุดหนุน .....................
"ช่วงนี้อากาศเย็นมาก มาดูว่ากล้วยไม้ออกดอกให้ชมครับ"= document.images[0].src = "http://www.bloggang.com/data/close2heaven/picture/1127994342.gif"; document.images[0].width =241; document.images[0].height =117 document.images[0].src = "http://www.bloggang.com/data/close2heaven/picture/1127994342.gif"; document.images[0].width =241; document.images[0].height =117 ..ช้างกระพันธุ์แท้ จากคุณอ้อย ต้นใหญ่ ได้มา 6 ช่อ ยังบานไม่เต็มที่ หอมมากครับ.. document.images[0].src = "http://www.bloggang.com/data/close2heaven/picture/1127994342.gif"; document.images[0].width =241; document.images[0].height =117 ช้างพลาย...ไม่ทราบสังกัด ช้างประหลาด 1 X ช้างประหลาด 2 ออกมาเป็นช้างเผือก อ่ะ page="jumppy";
ปัญหาติดไวรัส ในแฟลช ไดร์ฟ ขณะนี้มีกันมาก มีคำขอมาถึงวิธีแก้ปัญหา จัดการรวมทั้งฟอร์แมต (format) แฟลช ไดร์ฟ ให้สะอาด ปราศจากเชื้อทั้งหลายมารบกวน ทุกวันนี้ แฟลช ไดร์ฟ เป็นอุปกรณ์สำคัญ หลายคนมีพกติดตัว พอๆ กับการมีโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพราะความสะดวกในการใช้งานและความสามารถที่จัดเก็บข้อมูลได้มาก ท่ามกลางความสะดวก แฟลช ไดร์ฟ กลายเป็นตัวการทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์รู้สึกขยาด บ่อยครั้งแฟลช ไดร์ฟ เป็นตัวนำไวรัสมาเผยแพร่ เป็นของฟรีที่ไม่ต้องการเอาเสียเลย จึงต้องหาวิธีจัดการ
เมื่อวานนี้มีใครได้ดูข่าวงานเปิดตัวละครแนวดราม่า แฟนตาซี เรื่องเรารักกันนะ จุ๊บๆบ้างไหม? ใครพลาดนี่ฉันก็รู้สึกเสียดายแทน เพราะเป็นละครเรื่องที่ล้านแปดที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ อุตส่าห์ทั้งทุ่มทุน เล่นเอง กำกับเอง ไม่ใช้สแตนด์อินยังกับจา พนม อย่างไรอย่างนั้นเลย
วันนี้สลึมสลือ ตื่นมาประมาณตี4 เพราะมีเสียงคุ้นหูมากระทบโสตประสาทเบื้องล่าง พลันแลไปตรงทีวีที่เปิดทิ้งไว้ เพราะหลับไปโดยไม่ได้ปิด เป็นอันต๊กกะใจเป็นอย่างมาก... เนื่องจากเห็นไอ้สามตัวหัวปลัดคิก นั่งหน้าสลอนอยู่ในจอ....อ้าว นี่บ้านตูรับช่อง HDTV เอ๊ย DTV ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ฟระ แต่เอ...ทำไมมันมีโลโก้ ASTV ขึ้นบนมุมซ้ายบนหว่า... ว่าแล้วก็ขยี้ตาเบิ่งดูใหม่อีกรอบ อ๋อ รายการอ.เจิมฯนี่เอง
เมื่อคืน ฉันได้ออกเดินทางไปสู่ดินแดนลึกลับแห่งหนึ่ง... ซึ่งดินแดนลึกลับที่ฉันพลัดหลงเข้าไปแห่งนั้น...ช่างงดงามและวิจิตรตะการตายิ่งนัก งาม...จนยากเกินบรรยายและถ่ายทอดออกมาเป็นตัวอักษรได้ งาม...จนนึกเสียดายที่ตัวเองไม่ได้เกิดมามีพรสวรรค์ทางด้านจิตรกรรมเลยสักชนิดเดียว น่าเสียดาย ที่ฉันต้องเก็บความงามในสถานที่แห่งนั้นไว้ในความทรงจำของตัวเองเท่านั้น ... ...... .........
ยาขม ยาหวานหรือรสใด ๆ ก็คือยา, ยารักษาอาการป่วย ความป่วยหาย หายมากกว่าตาย ! ทำไมธรรมะจึงได้ขม เพราะธรรมะเป็นยาชนิดหนึ่ง ธรรมะคือยาขจัดทุกข์ บริโภคหรือมีอยู่กับตัวแล้วเกิดสุข บางคนว่า " ธรรมะคือยานอนหลับ " บางคนว่า "มีธรรมะแล้วทำให้ตื่น ตื่นจาก..?.."
นับตั้งแต่วันที่เลิกการชุมนุม เป็นต้นมา พันธมิตรหลาย ๆ ท่านก็รู้สึกว่าวิถีชีวิตเปลี่ยนไป มีทั้งอารมณ์เหงา เศร้า และอาจจะมีบางทีที่สับสน กับวิถีทาง ทางการเมืองที่จะดำเนินต่อไป พี่แมน สปริงเกอร์ ศิลปิน ชาวกองทัพธรรม ที่ไปร่วมชุมนุมตั้งแต่วันแรก ที่กองทัพธรรม ประกาศให้ไปปักหลัก ยึดพื้นที่เป็นแนวหน้าของการชุมนุม ตามประสา ก็ต้องเตรียมพร้อม ทุกสถานการณ์ที่จะรับการเปลี่ยนแปลง จะกลับบ้านที่เชียงรายบ้าง ก็ประมาณ 2-3 ครั้ง ตลอดการชุมนุม แต่รวม ๆ แล้ว ก็คงไม่เกิน 10 วัน เย็นวันที่ 26 ธันวาคม 2552 ชบาติดตามพี่แมน สปริงเกอร์ ซึ่งขับรถยนต์ปิ๊กอัพฟอร์ด ด้วยตัวเอง เดินทางไปร่วมงานปีใหม่ฉลองชัยพันธมิตร ที่ธันเดอร์โดม เมืองทองธานี กรุงเทพฯ พร้อมทั้งนำซีดีผลงานเพลงที่เคยร้องบนกู้ชาติชุดแรก ไปจำหน่ายด้วย (ชบาได้ทำบันทึกเส้นทาง การเดินทางของชีวิต ไว้ที่กระทู้นี้... ..การเดินทางของชีวิต..+*update โดย : chabaเมื่อ : 2009-01-26 14:10:03 ) เย็นวันที่ 27 ธันวาคม 2552 นั้น พี่หมียุทธิยงค์ ลิ้มเลิศวาที ได้เดินมาที่หน้าเต็นท์จำหน่ายซีดีผลงานศิลปิน ก็ออกปากเชิญพี่แมนว่า ถ้าวันจันทร์ที่ 29 ธันวาคม ช่วงบ่ายพี่แมน ยังไม่รีบกลับเชียงราย ก็ขอเชิญไปช่วยร้องเพลงในรายการ เวทีชาวบ้าน ที่สถานี่ ASTV news1 พี่แมน ตกปากรับคำเชิญพี่หมี-ยุทธิยงค์ ด้วยความเต็มใจ
จากรายการสภาท่าพระอาทิตย์ หลายวันก่อน ชบาเปิดฟังเสียงผ่านอินเตอร์เนต ได้ยินคุณเทียรี่ ลาสเวกัส มาร้องเพลงเทียนแห่งธรรม ภาค 2 ได้ไพเราะ ไม่แพ้ เทียนแห่งธรรม ภาคแรก เลยรีบวิ่งไปเปิดทีวี ก็ปรากฏว่า อัดได้ท่อนปลาย ๆ ของเพลงแล้วหล่ะ เพราะเสียงจากอินเตอร์เนต จะดีเลย์กว่าในทีวี ...แต่ยังไงเสีย ก็ไม่อัดคลิปเสียแรงเปล่าหล่ะค่ะ เพราะพี่สำราญ รอดเพชร ผู้ดำเนินรายการ (และพี่อมร ผู้ดำเนินรายการร่วม) ได้พูดคุยรายละเอียดการจัดงานคอนเสิร์ตการเมือง ครั้งที่ 2 (จ.สระบุรี) ที่จะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 31 มกราคม ที่จะถึงนี้ พร้อมทั้งเบอร์โทรศัพท์ที่จะจองซื้อตั๋ว ท่านใดยังไม่ได้ซื้อ ก็เร่เข้ามา.. เชิญจดเบอร์โทร.ในบล๊อคชบา สั่งซื้อ เพื่อจะได้ไปพบกับ ศิลปินคนเก่ง (แถมรูปหล่อ คิคิ..)
".. ประเทศไทยอันมีการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข มีความเจริญก้าวหน้าในช่วงรฐบ.ที่มีนายรูปหล่ออีตันคนนั้นเป็นนายก ประชาชนกลับสู่ความสงบทำมาหากิน
ขอบคุณภาพประกอบจาก203.172.208.242/.../Science/darasad/con-cas.htm นำเฟรมออก ผมมีแผนที่ดาวอยู่แผ่นหนึ่ง มันเป็นกระดาษแข็งที่เป็นวงหมุนได้รอบ เดือนน ี้ วันที่เท่านี้ ณ องศาประมาณนั้น เราจะได้เห็นกลุ่มดาวกลุ่มนั้น และในดาวกลุ่มนั้นก็จะเห็น ดาวดวงที่มีแสงแจ่มที่สุดดวงนั้นดวงนั้น ผมเพลินมากในคืนที่ดาวพราว..
ระบบรักษาความปลอดภัย ระบบรักษาความปลอดภัย หรือระบบกันขโมยปัจจุบันมีอยู่ด้วยกันหลายประเภท แต่หลักๆแล้ว จะใช้กันอยู่ 4 ระบบใหญ่ๆ คือ ระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV), ระบบสัญญาณกันขโมย (Alarm system), ระบบการควบคุมการเข้าออก (Access control), ระบบแจ้งเตือนอัคคีภัย (Fire alarm) ซึ่งแต่ระบบนั้นมีวัตถุประสงค์ในการใช้งานแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การที่จะเลือกใช้ระบบใดนั้น จึงขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ที่ต้องการนั่นเอง ...