++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2548

วิธีมอมยามีอย่างไรบ้าง?

บทความทางการแพทย์ โดย น.พ.โกสินทร์ แจ่มเพ็ชรรัตน์ คัดลอกจากนิตยสาร Image
ฉบับเดือน มกราคม 2542
เพื่อเป็นวิทยาทานแก่บุคคลทั่วไปโดยเฉพาะสุภาพสตรี จะได้รู้ไว้ป้องกันตัวเอง

Q : สมัยนี้ได้ยินอยู่บ่อยๆว่า
มิจฉาชีพใช้วธีมอมยากับเหยื่อเพื่อประทุษร้ายต่างๆ
นานา จึงอยากทราบว่าวิธีที่เค้าเรียกกันว่า "มอมยา" นั้น
มีกี่อย่างคะและยาแต่ละชนิดมีอันตรายอย่างไรเผื่อผู้หญิงอย่างเราจะได้รู้ไว้ป้อ
งกัน
ตัวเอง สุนิศา/กรุงเทพฯ

A : เป็นคำถามที่ดีซึ่งผมอยากจะตอบมากเลยครับเพราะภัยใกล้ตัวเช่นนี้แพร่ระบาดหนักขึ้น
ทุกวันยาที่เหล่ามิจฉาชีพใช้ มีทั้งในรูปแบบ สูบ สูดดม อม และดื่มกิน
ชนิดสูบ พบได้บ่อยตามสถานบันเทิงต่างๆ
อาจเริ่มจากมีบริกรหรือคนแปลกหน้ามาแจกมวนบุหรี่ให้สูบ แสร้งสร้างมิตรภาพบ้าง
หรืออ้างเป็นการบริการของสถานบันเทิงบ้าง สารเสพติดที่ใช้อัดใส่มวนบุหรี่คือ
กัญชา
หรือ เฮโรอีน กลิ่นกัญชาจะเหมือนเชือกหรือหญ้าแห้งไหม้ไฟ หลังสูบใหม่ๆ
จะกระตุ้นประสาท ร่าเริง ช่างพูด หัวเราะง่าย
ต่อมาจะคล้ายคนเมาเหล้าอย่างอ่อน
เพราะออกฤทธิ์กดประสาท ง่วงนอน ซึม มีภาพหลอน หูแว่ว สับสน
ควบคุมตัวเองไม่ได้
คราวนี้ก็หมูขึ้นเขียงเตรียมถูกเชือดกันละ

ชนิดสูดดม พวกนี้มีลักษณะเป็นไอระเหยได้รวดเร็วในอากาศ
ที่แพร่ระบาดมีหลายชนิดเช่น
Ether , Ethyl chloride , Buthly nitrite , Nitrous oxide
ที่รู้จักกันดีในชื่อก๊าซหัวเราะหรือ Amyl nitrite
ที่บรรดานัดเล่นยาเรียกว่าป๊อปเปอร์ส (Poppers)
กลุ่มนี้มิจฉาชีพจะเข้ามาประชิดตัวเพื่อให้เหยื่อสลบได้ในเวลาอันรวดเร็ว
อาการที่เกิดขึ้นหลังได้กลิ่นสารระเหยเหล่านี้คือ ไอ จาม คลื่นไส้
จนอาจมีเลือดออกจากโพรงจมูกได้ จนกระทั่งหมดแรงในที่สุด
วิธีแก้ปัญหาคือกลั้นหายใจเพื่อหยุดการสูดดม นอกจากสารระเหยที่กล่าวมาแล้ว
ยังมียายอดฮิตที่นิยมใช้สูดดมคือยาบ้า(Methamphetamine) และยาเค (Ketamine)
ยาบ้ามีหลายลักษณะทั้งกลม แบน รูปเหลี่ยม สีต่างๆกันตามรุ่น ตามปี พ.ศ.
เลยทีเดียว
บ้านเราที่พบบ่อยมักมีตัวอักษร ฬ บ้างเขียนเป็นตัว M บ้าง
หรือไม่ก็เป็นตัวเลข 99
อยู่บนเม็ดยากลมออกฤทธิ์คล้ายยาม้า ยาขยัน แต่มีความรุนแรงมากกว่า
ทำให้ตื่นตัวอยู่เสมอ เสพได้หลายวิธีทั้ง กิน ดองในเครื่องดื่มชูกำลัง
หรือนำมาบดแล้วนำไปลนไฟสูดดม นี่เหละครับที่นิยมเสพกัน สำหรับยาเค
ทางการแพทย์ใช้เป็นยาสลบก่อนการผ่าตัด มีทั้งเป็นผง น้ำ หรือ ผลึก กรณีผง
นักเสพยาจะใช้วิธีดมผงเล็กๆเหล่านี้เข้าทางระบบทางเดินหายใจ
หลังเสพยาจะรู้สึกเคลิบเคลิ้ม ล่องลอย ตาพร่ามัว เสียสติ ประสาทหลอน
น่ากลัวที่สุดคือกดการหายใจได้
อาการประสาทหลอนอาจเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกได้แม้ไม่ใช้ยาเรียกว่า Flashback

ชนิดอม ที่นิยมใช้กันบ่อยและคุ้นหูกันดีคือ เมจิก เปเปอร์ส (Magic papers)
มีลักษณะเป็นแผ่นบางๆคล้ายแสตมป์ สารเสพติดคือ LSD
เดิมทีเดียวใช้เป็นยารักษาคนไข้โรคจิตบางประเภท
แต่ปัจจุบันเลิกใช้เนื่องจากมีฤทธิ์หลอนประสาทรุนแรง ก้าวร้าว
เพ้อฝันในสิ่งเป็นไปไม่ได้เช่น คิดว่าตนเองเก่ง เหาะได้
กล้ากระทำในสิ่งที่คาดไม่ถึง อย่างกรีดแขนทำร้ายตนเอง ฆ่าตัวตาย
สารเสพติดชนิดนี้สังเกตได้ไม่ยาก
หากคนแปลกหน้าหยิบยื่นสิ่งที่ดูแปลกตาให้เป็นแผ่นบางเพื่ออมแล้วละก็
ต้องปฏิเสธไว้ก่อนเป็นดีครับ

ชนิดกิน มีหลายชนิดครับพบบ่อยในขณะนี้นอกจากยาบ้า ก็มียาอี ยาเลิฟ นี่เอง
ยาอี
(E=Ecstasy) กับยาเลิฟ
เป็นยาในกลุ่มเดียวกันแต่แตกต่างกันในแง่โครงสร้างทางเคมี
ผู้เสพอาจเรียกชื่ออื่นตามรุ่นหรือรูปแบบของยาเช่น Enjoy , Adam , Batman ,
Yin
Yang ยามีสีสันอ่อนๆและรูปภาพต่างๆบนเม็ดยาเช่น รูปนก รูปคน รูปหัวใจ
ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์กระตุ้นประสาทในช่วงเวลาสั้นๆ ออกฤทธิ์หลังเสพประมาณ 30-45
นาทีและอยู่ได้นาน 6-8 ชั่วโมง มองเห็นภาพและเสียงผิดปรกติ รู้สึกเคลิบเคลิ้ม
ควบคุมตัวเองไม่ได้ จนเป็นสาเหตุให้เกิดพฤติกรรมมั่วเพศ
ฤทธิ์ยาสั้นทำให้หัวใจเต้นเร็ว เกิดอาการสั่น
ชักได้ในบางรายกรณีรุนแรงทำให้การหายใจล้มเหลวจนตายได้
ผู้เสพยากลุ่มนี้ต่อเนื่องนานๆ
ทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าและมีแนวโน้มการฆ่าตัวตายสูงครับ

อีกชนิดที่อยากเล่าสู่กันฟัง หลายปีก่อนผมเป็นแพทย์ใช้ทุนอยู่ที่เกาะสมุย
เป็นที่ทราบกันว่าในคืนพระจันทร์เต็มดวงจะมีงานปาร์ตี้นักท่องเที่ยวที่หาดริน
เกาะพงัน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเกาะสมุยมากนัก ใช้เวลาเดินเรือเพียงค่อนชั่วโมง
งานปาร์ตี้นี้เรียกว่า "Full Moon Party"
นักท่องเที่ยวจะมีการละเล่นที่ริมหาดร่วมกัน แลกของกัน นั่งดื่มกินกันจนเช้า
และมีฝรั่งขี้ยาบางกลุ่มใช้ยาเสพติดเพื่อกระตุ้นให้ตาสว่าง
หวังสนุกได้ทั้งคืนยันเช้า เช้าวันรุ่งขึ้นทีไรต้องมีเคสฝรั่งคลั่งอาละวาด
นำส่งโรงพยาบาลเสียทุกที ที่พบบ่อยคือผลของเมจิก เปเปอร์ส
และยาม้านี่แหละครับ
แต่บางรายไม่ได้เสพยาเหล่านี้
เพียงทานเช้ากับไข่เจียวแต่มีอาการคล้ายเมายาเอะอะโวยวาย
ทราบว่าไข่เจียวนั้นมีเห็ดขี้ควายผสมอยู่ นักท่องเที่ยวเรียกว่า Magic
Mushroom
เป็นเห็ดพิษขึ้นตามมูลควายแห้ง รู้จักกันในชื่อ เห็ดขี้ควาย
เห็ดชนิดนี้มีสารพิษหลอนประสาท เกิดอาการมึนเมาได้เช่นกัน

ชนิดดื่ม คงหนีไม่พ้นยานอนหลับ ตัวยาที่ถูกนำมาใช้อย่างผิดๆ
จนมีข่าวคึกโครมคือ
Triazolam ผสมกับน้ำดื่มเพื่อให้หลับม่อยเป็นนกกระจอกในเวลาอันสั้น
เกิดคดีรูดทรัพย์ ข่มขืน มากมาย
ต่อมามีรายงานว่ายานี้ทำให้เกิดการหลงลืมจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้(Amnesia)
จึงมีการควบคุมอย่างเคร่งครัดห้ามวางจำหน่าย
สำหรับแพทย์เองก็เลี่ยงไปใช้ยาตัวอื่นแทนเก็บยาชนิดนี้ใช้ในบางกรณีเท่านั้น

นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งในหลายวิธีที่มิจฉาชีพใช้ในการมอมยา
ทุกวันนี้เศรษฐกิจตกต่ำ
จริยธรรมถดถอย มิหนำซ้ำยังมีการแพร่ระบาดยาเสพติดแบบสวนกระแส
การป้องกันตัวเองเป็นสิ่งดีที่สุดอย่าไว้ใจคนแปลกหน้าจำให้ขึ้นใจนะครับว่า "
JUST SAY NO! "

/_/_/_/_/_/_/_/_/_/_/_/_/_/_/_/_/_/_/_/_/_/_/_/_/_/_/_/_/_/_/_/_/

โดยคุณ : น.พ.โกสินทร์ แจ่มเพ็ชรรัตน์

ยกโทษให้ตัวเอง ช่วยรักษาแผลใจ


ยกโทษให้ตัวเอง
ช่วยรักษาแผลใจ

เศรษฐกิจไม่ดี มีคนมากมายบ่นโทษว่า เป็นเพราะปัจจัยภายนอกมันเฮงซวย จึงทำให้ ประชาชนตาดำๆ ต้องตกกระไดพลอยโจนชีช้ำกะหล่ำปลี ขณะยังมีคนไม่น้อยเช่นกันที่พอ สิ้นเนื้อประดาตัว กลับหันมาโทษตัวเองว่าเล่นหุ้นผิดบ้าง มือเติบบ้าง หรือไม่ชำนาญในการวางแผนทางการเงิน พอฟองสบู่แตก กระเป๋าสตางค์ก็เลยแฟบตาม

ดังนั้น ขอเขียนเรื่อง คนที่ชอบโทษตัวเองว่าเป็นต้นเหตุนำพาความทุกข์กาย และไม่สบายใจมาสู่ตัวเองเสียเลย

ว่ากันว่า การโทษ ตัวเอง เป็นสิ่งบ่อนทำลายจิตใจอย่างหนึ่ง

ซึ่งตัวเราอาจเป็นต้นเหตุจริงๆ หรือไม่จริงก็ได้ เรื่องนี้คงไม่มีใครรู้ดีไปกว่าบุคคลนั้นเอง อย่างไรก็ตาม ขอขัดจังหวะชี้ประเด็นให้เห็นกันหน่อยว่า บางคนเวลาทำผิดขึ้นมาจริง อาจไม่เคยโทษตัวเองเลยก็มี แต่ชอบโยนไปให้ผู้อื่น...อย่างนี้ก็เป็นความผิดปกติทางจิตเหมือนกัน อย่านึกว่าไม่ใช่

วกกลับมาเรื่องเดิม เอาเป็นว่า การโทษตัวเองเกิดขึ้นได้ ไม่เฉพาะแต่กับเรื่องปากท้องหรือเศรษฐกิจในครัวเรือนเท่านั้น เรายังพบได้ว่า เรื่องสัพเพเหระ เช่น อกหักก็โทษตัวเองได้ หรือเรียนหนังสือไม่เป็นสับปะรด พอสอบวิชาใดๆ แล้ว เกรดออกมาไม่สวย ก็โทษตัวเองได้อีก, มีแฟนไม่ดี ก็บอกได้ว่า ตัวเองตาถั่ว หรือไม่ก็มั่วนิ่มไปรักคนแบบนั้นได้อย่างไรนะ โอ้ย...จิปาถะให้อธิบายเจ็ดวันก็ไม่จบ

เหตุนี้จึงขอเชิญชวนพ่อแม่พี่น้องหันมารู้จักกับการยกโทษให้ตัวเอง ใน How to forgive yourself หรือทำอย่างไรถึงจะยกโทษให้ตัวเองและเยียวยาแผลใจ มีตั้งแต่

1. เปิดใจนำสิ่งที่คุณพลาดพลั้งไปแล้ว กลับมาทบทวน หาทางออกใหม่ๆ ให้สิ่งนั้นอีกครั้ง

ไม่ทราบเคยสังเกตกันหรือเปล่าว่า เวลารู้สึกผิดหวังหรือเศร้าใจ มนุษย์มักปิดการรับรู้ของตัวเอง แบบอัตโนมัติ บางคนก็ว่าเป็นเพราะไม่อยากช้ำซ้ำซ้อน แต่ถ้าไม่หัดเปิดใจ คุณก็จะไม่รู้ถึงความสุขใหม่ๆ นะ

2. เลือกที่จะรักตัวเองอีกครั้ง แล้วปล่อยเรื่องที่ผ่านไปแล้วให้แล้วกันไป

3. ถ้าเอาแต่พร่ำโทษตัวเอง แสดงว่าคุณตกอยู่ในความกลัว ต้องสลัดมันทิ้งไปให้ได้

4. ส่วนหนึ่งของขั้นตอนการยกโทษให้ตัวเองก็คือ การสร้างความเข้าใจให้ได้ว่า คุณไม่จำเป็นต้องทำโทษตัวเอง

5. การยกโทษให้ตัวเองเท่ากับ ยุติการสร้างความเจ็บใจ

แล้วค่อยๆ เริ่มต้นชีวิตใหม่ อนาคตยังมีสิ่งสดใสรอให้คุณเก็บเกี่ยวอีกตั้งเยอะ.

คนสมถะ

วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2548

เทคนิคการเลือกสถิติวิเคราะห์ในงานวิจัยพฤติกรรมสุขภาพ

มณีรัตน์ ธีระวิวัฒน์. วารสารเพื่อนสุขภาพ ปีที่ 12 ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2543

การเลือกสถิติวิเคราะห์ข้อมูลเป็นขั้นตอนที่สำคัญขั้นตอนหนึ่งของการวิจัย หลังจากที่ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลและตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลเพื่อ เตรียมนำไปทำการวิเคราะห์ ในขั้นตอนของการวิเคราะห์ข้อมูลผู้วิจัยจะต้องพิจารณาตัดสินใจเลือกใช้สถิติ ที่เหมาะสมสำหรับงานวิจัยนั้นโดยข้อสำคัญที่ช่วยให้สามารถเลือกใช้สถิติที่ เหมาะสมได้ ผู้วิจัยต้องวิเคราะห์งานวิจัยที่วางแผนไว้ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงวัตถุ ประสงค์ สมมติฐาน ตัวแปรที่ศึกษาวิจัย และประโยชน์ของการนำข้อมูลไปใช้ รวมทั้งต้องมีความเข้าใจเทคนิคการวิเคราะห์ของสถิติประเภทต่างๆ ก่อนการตัดสินใจเลือกใช้สถิติตัวใดสำหรับวิเคราะห์ข้อมูลการวิจัยเรื่อง นั้นๆ

ประเภทของสถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลการวิจัย
สถิติวิเคราะห์ข้อมูลการวิจัยพฤติกรรมสุขภาพ โดยทั่วไป อาจแบ่งเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ
1. สถิติพรรณา (Descriptive Statistics) เป็นสถิติเบื้องต้นที่ใช้วิเคราะห์เพื่อบรรยายสรุปลักษณะของประชากรหรือตัว อย่างที่ศึกษา ตามข้อมูลที่รวบรวมได้จากตัวแปรที่กำหนด ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้การแจกแจงความถี่ (Frequencies) ของกลุ่มย่อยในแต่ละตัวแปร ค่าเฉลี่ย (mean) ค่ามัธยฐาน (median) หรือ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation) เป็นต้น
2. สถิติวิเคราะห์ (Analytical Statistics) เป็นสถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐานการวิจัย เพื่ออธิบายข้อพิสูจน์หรือข้อค้นพบที่ได้จากการวิจัย สถิติวิเคราะห์ที่ใช้ในการวิจัยพฤติกรมสุขภาพส่วนใหญ่ เป็นสถิติที่ใช้เพื่อทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร ทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย สถิติที่ใช้เพื่ออธิบายตัวแปรที่ศึกษา เช่น สถิติ t-test, F-test, ANOVA เป็นต้น ซึ่งจะได้กล่าวถึงการเลือกใช้สถิติแต่ละประเภทต่อไป

จำนวนตัวแปรและระดับการวัด

ตัวแปร (Variables) คือ คุณสมบัติของประชากรที่ศึกษา เช่น ตัวแปรด้านคุณลักษณะประชากร ได้แก่ เพศ อายุ การศึกษา อาชีพ เป็นต้น หรือตัวแปรด้านพฤติกรรมสุขภาพได้แก่ ความรู้ทางสุขภาพ การรับรู้ทางสุขภาพและความเชื่อและค่านิยมเกี่ยวกับสุขภาพ หรือการปฏิบัติพฤติกรรมสุขภาพด้านต่างๆ เป็นต้น

การวิเคราะห์ข้อมูลในงานวิจัยพฤติกรรมสุขภาพ ควรจะทำการวิเคราะห์เป็นขั้นๆ ตามลำดับตั้งแต่การวิเคราะห์ตัวแปรครั้งละ 1 ตัวแปร (Univariate Analysis) การวิเคราะห์ตัวแปรครั้งละ 2 ตัว (Bivariate Analysis) และการวิเคราะห์ตัวแปรมากกว่า 2 ตัวแปร ขึ้นไป (Multivariate Analysis)

การวิเคราะห์ตัวแปรครั้งละ 1 ตัวแปร จะทำให้ทราบลักษณะทั่วๆไปของตัวแปรนั้นๆ เช่น การกระจาย ค่าเฉลี่ย, ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเป็นต้น การที่ทราบลักษณะเบื้องต้นของตัวแปรแต่ละตัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระจายของ ข้อมูลจะทำให้การจัดกระทำข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูลในขั้นตอนต่อๆไปถูก ต้องเหมาะสมยิ่งขึ้น ส่วนการวิเคราะห์ตัวแปรครั้งละ 2 ตัวแปรจะเป็นการวิเคราะห์เพื่อพิจารณาความแตกต่างหรือความสัมพันธ์ระหว่าง ตัวแปรทั้งสอง อย่างไรก็ตามในงานวิจัยพฤติกรรมสุขภาพจะมีตัวแปรหรือปัจจัยที่เกี่ยวข้อง สัมพันธ์กับพฤติกรรมาสุขภาพมากกว่า 1 ตัวแปรขึ้นไป ดังนั้นการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพหุหรือ Multivariate Analysis จึงมีความหมายและมีความสำคัญต่อการวิจัยเป็นอย่างมาก แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า การวิเคราะห์ตัวแปรครั้งละ 1 หรือ 2 ตัวแปรไม่มีความสำคัญเพราะการวิเคราะห์ดังกล่าวจะช่วยให้เข้าใจลักษณะตัวแปร และเป็นพื้นฐานในการวิเคราะห์เชิงพหุต่อไป

ข้อสำคัญอีกประการหนึ่งที่นักวิจัยทางพฤติกรรมสุขภาพต้องทำความเข้าใจ วางแผนตั้งแต่ขั้นตอนแรกๆก่อนที่จะสร้างเครื่องมือรวบรวมข้อมูลตามตัวแปร คือ ระดับการวัดของตัวแปรซึ่งมีความแตกต่างกันและเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือก สถิติวิเคราะห์ข้อมูล เพราะสถิติทุกตัวมีข้อจำกัดเกี่ยวกับระดับการวัดของตัวแปรทั้งสิ้น อย่างไรก็ตามสถิติบางตัวก็มีความยืดหยุ่นในเรื่องการวัดระดับของตัวแปร แต่สถิติบางตัวมีความเข้มงวดมาก

ระดับการวัดของตัวแปร แบ่งได้เป็น 4 กลุ่มดังนี้

1) การวัดระดับกลุ่ม (Categorical / Nominal scale) การวัดในระดับนี้เป็นคุณสมบัติที่ต่ำที่สุดในการวัดทางคณิตศาสตร์ผู้วิจัย เพียงแต่พิจารณาคุณสมบัติของตัวแปรและแบ่งเป็นประเภทย่อยๆตามคุณลักษณะที่ แตกต่างหรือเหมือนกัน เช่น ตัวแปรเพศ แบ่งได้เป็นสองกลุ่ม คือ ชาย และหญิง สถานภาพสมรส แบ่งเป็น โสด คู่ ม่าย/หย่า/แยก เป็นต้น

2) การวัดระดับอันดับ (Ordinal scale) เป็นระดับการวัดที่สูงขึ้นกว่าระดับกลุ่ม กล่าวคือ นอกจากจะสามารถระบุความแตกต่าง/ความเหมือนกันของตัวแปรได้แล้ว ยังสามารถจัดเรียงอันดับที่ต่อเนื่องกันได้อย่างมีเหตุผล เช่น คะแนนความรู้ จาก 20 คะแนน อาจแบ่งเป็น 1-5, 6-10, 11-15, และ 16-20 คะแนน เป็นต้น

3) การวัดระดับช่วง (Interval scale) เป็นระดับการวัดที่บอกค่าของสิ่งที่วัดได้ละเอียดขึ้น สามารถบอกปริมาณความแตกต่างได้ เช่น อุณหภูมิ คะแนนความรู้ในเรื่องต่างๆ คะแนนทัศนคติ เป็นต้น (โดยที่คะแนนการวัดในด้านต่างๆ เป็นคะแนนจริงที่ยังไม่ได้นำไปจัดอันดับ หรือแบ่งเกรดยกตัวอย่างเช่น คนๆหนึ่งได้คะแนนความรู้เรื่องโรคเอดส์ 12 จาก 20 คะแนน)

4) การวัดอัตราส่วน (Ratio scale) เป็นระดับการวัดที่สามารถวัดได้ละเอียดที่สุดที่มีค่าจากจุดเริ่มต้นที่เป็น ศูนย์แท้ คือ ถ้าการวัดนั้นมีค่าตัวเลขที่ได้เป็นศูนย์ แสดงว่าสิ่งที่วัดนั้นมีค่าเป็นศูนย์เช่นกัน นอกจากนี้การวัดอัตราส่วนยังบอกความแตกต่างของสิ่งที่วัดได้เช่นเดียวกับการ วัดระดับช่วงตัวแปรที่มีการวัดในระดับนี้เช่น น้ำหนัก ความเร็ว ความสูง เป็นต้น

หลักในการเลือกใช้สถิติที่เหมาะสม
นักวิจัยบางท่านอาจมีคำถามว่าจะเลือกใช้สถิติอะไรในการวิเคราะห์ข้อมูลจึงจะ ถูกต้องเหมาะสม หลายท่านนำข้อมูลที่รวบรวมได้ไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือนักสถิติว่าจะใช้ สถิติอะไรดี เพราะผู้วิจัยไม่ได้วางแผนการวิเคราะห์ข้อมูลไว้ตั้งแต่ต้น ซึ่งนักสถิติเองก็คงตอบไม่ได้จนกว่าจะทราบรายละเอียดของเป้าหมาย วัตถุประสงค์และสมมติฐานของการวิจัยที่ท่านทำ รวมทั้งทราบรายละเอียดของข้อมูลที่รวบรวม ลักษณะการวัดของตัวแปรว่าเป็นอย่างไร จึงสามารถให้คำแนะนำได้

อย่างไรก็ตาม ผู้วิจัยควรจะวางแผนการใช้สถิติวิเคราะห์ข้อมูล โดยอาจพิจารณาเลือกสถิติจากการตอบคำถามต่อไปนี้ให้ได้อย่างชัดแจ้ง
1. ท่านต้องการวิเคราะห์ตัวแปรครั้งละกี่ตัว
2. ข้อมูลที่รวบรวมได้นั้นเป็นข้อมูลที่ได้จากการวัดตัวแปรในระดับใด พิจารณาจากระดับการวัดของตัวแปรตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น เนื่องจากข้อมูลที่ได้จากการวัดในระดับที่แตกต่างกัน จะต้องใช้สถิติที่อยู่ในระดับไม่เกินของระดับการวัดนั้นๆ เช่น

ถ้า คำตอบ คือ

กลุ่มสถิติที่ใช้ ได้แก่

- 1 ตัว

Univariate Analysis Statistics

- 2 ตัว

Bivariate Analysis Statistics

- 3 ตัว

Multivariate Analysis Statistics



A. Univeriate Analysis (การวิเคราะห์ตัวแปรครั้งละ 1 ตัวแปร) สถิติที่ใช้จะเป็นสถิติพรรณา เช่น การวัดการกระจาย การวัดแนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลาง เป็นต้น

Scale of Measurement

(ระดับการวัดตัวแปร)

Statistics (สถิติ)

Measures of central Tendency

(การวัดแนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลาง)

Measures of Descripsion

(การวัดระดับการกระจาย)

Frequencies

(การแจกแจงความถี่) (ค่าร้อยละ)

Categorical Nominal scale

(การวัดระดับกลุ่ม)

Mode

ฐานนิยม

Relative frequency of model value

(ค่าความถี่ของฐานนิยม)

- Relative frequencies

e.q. percentages

Ordinal scale

(การวัดระดับอันดับ)

Median

ค่ามัธยฐาน

Inter-quartile deviation

( ส่วนเบี่ยงเบนควอไทล์)

- Relative frequencies

e.q. percentages

Interval scale*

(การวัดระดับช่วง)

Mean **

ค่าเฉลี่ย

-(standard deviation)

(ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน)

- Relative frequencies

e.q. percentages



* นอกจากนี้ยังมีสถิติเกี่ยวกับ Symmetry Peakedness, Normality
* * ในกรณีที่ข้อมูลมีการกระจายในลักษณะโค้ง เบ้มาก ควรใช้ Median แทนหรือไม่รวม Case ที่มีค่าต่ำสุด หรือสูงสุดที่ห่างจากกลุ่ม เป็นต้น

B. Bivariate Analysis (การวิเคราะห์ตัวแปรครั้งละ 2 ตัวแปร)

ในกรณีที่ทำการวิเคราะห์ตัวแปรครั้งละ 2 ตัวแปร หรือมากกว่า จะต้องตอบคำถามต่อไปนี้ คือ
1) ในการวิจัยครั้งนี้ แผนการวิเคราะห์ได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนหรือไม่ว่าตัวแปรใดเป็นตัวแปรอิสระ และตัวแปรใดเป็นตัวแปรตาม เนื่องจากจะมีกลุ่มสถิติแยกออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ คือ Symmetric Analysis เป็นกลุ่มสถิติสำหรับวิเคราะห์ในกรณีที่ไม่กำหนดว่าตัวแปรใดเป็นตัวแปรอิสระ และตัวแปรใดเป็นตัวแปรตาม ส่วน Asymmetric Analysis ควรจะใช้สถิติสำหรับการวิเคราะห์ เมื่อกำหนดตัวแปรอิสระและตัวแปรตามการพิจารณาว่าตัวแปรใดเป็นตัวแปรอิสระ หรือตัวแปรตามนั้น อาจพิจารณาได้จากสมมติฐานของการวิจัย หรือกรอบแนวคิดในการวิจัย

2) จะต้องตอบคำถามว่า ต้องการจะวิเคราะห์อะไร ซึ่งได้แก่ Test of Significance เช่น ความแตกต่างของค่าเฉลี่ยหรือ Strength of Relationship เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรดังได้กล่าวมาแล้ว ตัวอย่างสถิติที่ใช้มีข้อสังเกตเบื้องต้นว่าสถิติแต่ละตัวที่จะนำมาใช้ในการ วิเคราะห์นั้นมีข้อบ่งใช้หรือข้อตกลงเบื้องต้นหรือพูดง่ายๆว่า ข้อจำกัดในการใช้อยู่ด้วย ดังนั้น จึงต้องแน่ใจว่าในการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติแต่ละตัวไม่ขัดกับข้อตกลง เบื้องต้นของสถิตินั้นๆ มิฉะนั้นแล้วจะทำให้ผลที่ได้จากการวิเคราะห์ผิดพลาดหรือมีความเที่ยงลดลง ตัวอย่างเช่น ข้อมูลที่มีความสัมพันธ์เชิงเส้นโค้งสูงเมื่อทำการวิเคราะห์ด้วยสถิติ Regression เชิงเส้นตรงจะไม่พบความสัมพันธ์กันเป็นต้น สถิติหลายตัวที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลต้องมาจากกลุ่มประชากรที่มีการกระจายแบบ โค้งปกติ (Observations are drawn from a population normally distributed on the interval scaled variables)

ตัวอย่าง
1. ในกรณีที่ตัวแปรทั้งสองตัว ที่นำมาวิเคราะห์ในระดับ Interval
1) เมื่อตัวแปรหนึ่งเป็นตัวแปรอิสระและอีกตัวแปรเป็นตัวแปรตาม (Asymmetric analysis) จะมีสถิติที่สำคัญ คือ
1.1 ) Regression coefficient ใช้วิเคราะห์ความสำคัญของตัวแปรอิสระที่มีต่อตัวแปรตาม โดยพิจารณาจากค่า Beta ซึ่งมีข้อตกลงเบื้องต้นว่าความสัมพันธ์ของตัวแปรทั้ง 2 จะต้องเป็นความสัมพันธ์แบบเส้นตรงถ้าทดสอบลักษณะของความสัมพันธ์แล้วพบว่า เป็นแบบเส้นโค้งควรใช้สถิติในข้อที่ 2 คือ
1.2 ) Coefficient from Curvilinear Regression
2. ถ้าหากการวิจัยนั้นไม่ได้กำหนดว่าตัวแปรใดเป็นตัวแปรอิสระและตัวแปรใดเป็นตัวแปรตาม (Symmetric Analysis) พิจารณาจาก
2.1) ถ้าต้องการทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย ควรใช้สถิติ t-test for paired observations (Samples paired t-test)
2.2) ถ้าต้องการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของตัวแปร โดยที่ความสัมพันธ์มีลักษณะเป็นเส้นตรง ควรใช้สถิติในกลุ่ม Correlation คือ
- Pearson's product moment correlation
- Biserial correlation ในกรณีที่ตัวแปรหนึ่งวัดในระดับ Interval แต่ได้จัดกระทำข้อมูลใหม่ให้เหลือเพียง 2 คำ คือ 1 กับ 0 (dichotomous variable) และต้องการคาดคะเนความสัมพันธ์ของตัวแปรในระดับ Interval (ก่อนมีการจัดกระทำข้อมูล)
- Tetrachoric correlation มีลักษณะคล้าย Biserial correlation โดยที่ตัวแปรทั้งสองมีการจัดกระทำให้อยู่ในลักษณะ dichotomous
2. ตัวแปรหนึ่งวัดในระดับ Interval อีกตัวแปรวัดในระดับ Nominal
1) ตัวแปรที่วัดในระดับ Interval เป็นตัวแปรตาม
1.1 ) ต้องการทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยใช้ Analysis of Variance (F-test) ถ้าตัวแปรที่วัดในระดับ Nominal แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ใช้ Student' s t-test แต่ถ้าต้องการทดสอบความแตกต่างของความแปรปรวนใช้สถิติ ANOVA (Bartlett's t-test)
1.2) ถ้าต้องการประเมิน Strength of relationship ระหว่างตัวแปรทั้งสองใช้พิจารณาจาก Etan2 หรือ Omega2 ซึ่งได้จากการวิเคราะห์ ANOVA
2) ในกรณีที่ตัวแปรที่วัดในระดับ Interval เป็นตัวแปรอิสระและตัวแปรตาม Nominal เป็น two-point variable ให้อนุโลมใช้สถิติในข้อ 1) ได้
3. ตัวแปรทั้ง 2 ตัว วัดในระดับ Ordinal
1) ตัวแปรหนึ่งเป็นตัวแปรอิสระและอีกตัวแปรเป็นตัวแปรตาม สถิติที่เหมาะสม คือ Somern' d ซึ่งเป็นการวัดความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร 2 ตัว ที่วัดในระดับ Ordinal
2) ไม่กำหนดว่าตัวแปรใดเป็นตัวแปรอิสระ และตัวแปรใดเป็นตัวแปรตาม
2.1) ถ้าต้องการพิจารณาอันดับของข้อมูลคล้ายการวัดในระดับ Interval ใช้สถิติ Spearman' s rho ซึ่งไม่สามารถใช้ได้อย่างเหมาะสมหลายกรณี
2.2) สถิติที่เหมาะสมกว่า Spearman' s rho คือ
- Kendall, s tau a , Kendall's tau หรือ Kendall, s tau c
- Goodman and Kruskal, s gamma
- Kim' s d เป็นต้น

4. ตัวแปรหนึ่งวัดในระดับ Ordinal และอีกตัวแปรวัดในระดับ Nominal
1) ตัวแปรที่วัดในระดับ Ordinal เป็นตัวแปรตามและตัวแปรที่วัดในระดับ Nominal เป็น two-point variable อนุโลมให้ใช้ Somer' s d ได้ นอกจากนี้ในการทดสอบความแตกต่างอาจใช้ Median test , Mann-Whitney U test เป็นต้น อย่างไรก็ตามถ้าการทดลองเป็นลักษณะ "Matched samples" ซึ่งหมายถึงตัวอย่างในกลุ่มหนึ่ง Match กับอีกกลุ่มหนึ่งของลักษณะของตัวแปรที่วัดในระดับ Nominal ควรใช้ Sign test หรือ Wilcoxon signed rank test
2) ในกรณีที่ไม่ได้กำหนดว่าตัวแปรใดเป็นตัวแปรอิสระและตัวแปรใดเป็นตัวแปรตาม แล้ว จะพบว่ายังไม่มีสถิติที่เหมาะสมกับการวัดในระดับนี้ ผู้วิจัยจะต้องตัดสินใจเลือกใช้สถิติในระดับที่สูงกว่าหรือต่ำกว่าต่อไป ในทางปฏิบัติอาจเลือกใช้สถิติในระดับที่ต่ำกว่า เช่น ในระดับ Nominal ทั้งตัวแปร เช่นในกรณีตัวอย่างในข้อ 5 ต่อไปนี้
5. ตัวแปรทั้ง 2 ตัวแปรวัดในระดับ Nominal
1) มีการกำหนดว่าตัวแปรใดเป็นตัวแปรอิสระและตัวแปรใดเป็นตัวแปรตาม ซึ่งมีสถิติที่เหมาะสมคือ
- Goodman and Kendall' s tau b และ
- Asymmetric lambda

2) ไม่มีการกำหนดว่าตัวแปรใดเป็นตัวแปรอิสระหรือตัวแปรตาม สถิติที่เหมาะสมได้แก่
- Symmetric lambda
- Cramer' d
- Contingency Coefficient ซึ่งไม่นิยมใช้เนื่องจากค่า Coefficient ที่ได้อาจมีค่าสูงสุด (Upper limit) น้อยกว่า 1 ได้ ทำให้แปรผลยากเมื่อต้องการเปรียบเทียบกับงานวิจัยอื่นๆ หรือสถิติอื่นๆที่มีค่าสูงสุดเท่ากับ 1
- Chi-square ใช้พิจารณานัยสำคัญทางสถิติของความสัมพันธ์ของตัวแปรที่ทำการวิเคราะห์ เป็นต้น

3) ในกรณีที่ตัวแปรทั้งสองตัว เป็น two-point scales variable และไม่กำหนดว่าตัวแปรใดเป็นตัวแปรอิสระและตัวแปรใดเป็นตัวแปรตาม การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรควรใช้สถิติ
- Yule' s Q หรือ
- Phi เป็นต้น

C. Multivariate Analysis (การวิเคราะห์ตัวแปรมากกว่า 2 ตัวแปรขึ้นไป)
1. ในกรณีที่มีตัวแปรตามมากกว่า 1 ตัว วัดในระดับ Interval และตัวแปรอิสระมากกว่า 1 ตัววัดในระดับ Interval เช่นเดียวกัน สถิติที่ควรเลือกใช้ คือ
- Multiple regression หรือ
- Multiple curvilinear regression แล้วแต่กรณี
2. กรณีที่ไม่ได้กำหนดตัวแปรอิสระและตัวแปรตามควรใช้สถิติ
- Multiple correlation
3. อย่างไรก็ตามในการวิจัยพฤติกรรมสุขภาพหรือสุขศึกษา ตัวแปรอิสระส่วนมากจะวัดในระดับต่ำกว่า Interval ดังนั้นในกรณีที่ตัวแปรตาม 1 ตัว วัดในระดับ Interval และ ตัวแปรอิสระมากกว่า 1 ตัว วัดในระดับที่ต่ำกว่า Interval หรือวัดในระดับต่างๆกัน ควรใช้การสถิติวิเคราะห์ที่เรียกว่า Multiple Classification Analysis (MCA) หรือสถิติที่เหมาะสม
ปัญหาการใช้สถิติวิเคราะห์ข้อมูลในการวิจัยพฤติกรรมสุขภาพ
ปัญหาเกี่ยวกับการใช้สถิติวิเคราะห์ข้อมูลในการวิจัยพฤติกรรมสุขภาพ ที่มักพบเสมอมี ซึ่งนักวิจัยพึงระวัง คือ
1. ขาดการวางแผนการเลือกสถิติในการวิจัย และการวิเคราะห์ข้อมูลตั้งแต่ต้น ทำให้ผู้วิจัยสร้างแบบสอบถามที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลโดยไม่ได้คำนึงถึงการ แปลผลข้อมูลที่ได้ให้อยู่ในรูปของคะแนน โดยเฉพาะคำถามในส่วนของตัวแปรด้านพุทธิพิสัย เจตพิสัย และการปฏิบัติพฤติกรรมสุขภาพ ดังนั้นคำถามแต่ละข้อใน 1 หมวดตัวแปรดังกล่าวจึงพบว่ามีความหลากหลายในการตอบ ซึ่งทำให้เกิดปัญหาในการกำหนดคะแนนเพื่อนำไปวิเคราะห์ในขั้นตอนต่อไป

ตัวอย่าง การถามพฤติกรรมการปฏิบัติ บางข้อมีคำตอบให้เลือก 3 คำตอบคือ
1= ปฏิบัติทุกวัน 2=ปฏิบัติเป็นบางวัน 3=ไม่เคยปฏิบัติ
แต่คำถามบางข้อซึ่งอยู่ในการถามพฤติกรรมการปฏิบัติเช่นกัน มีคำตอบให้เลือก 4 คำตอบ คือ
1= ปฏิบัติบ่อยครั้ง 2= ปฏิบัตินานๆครั้ง 3= ปฏิบัติน้อยครั้ง 4= ไม่เคยปฏิบัติเลย เป็นต้น
ซึ่งปัญหาในลักษณะเช่นนี้พบบ่อยมาก ดังนั้นนักวิจัยจะต้องวางแผนการเลือกสถิติในการวิจัย และการวิเคราะห์ข้อมูลให้เหมาะสมกับสมมติฐานการวิจัยตั้งแต่ต้นและสร้างแบบ สอบถามการวิจัยอย่างรอบคอบโดยพิจารณาตัวแปรและระดับการวัดให้สอดคล้องกับ สถิติที่เลือกใช้ให้เหมาะสมก่อนที่จะนำแบบสอบถามไปใช้เก็บข้อมูลจริง

2. การเลือกใช้สถิติโดยไม่คำนึงถึงข้อตกลงเบื้องต้นของสถิตินั้นๆ เช่น การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระกับตัวแปรตาม และใช้สถิติ X2-test โดยที่การกระจายของข้อมูลที่เป็นตัวแปรตามเบ้ไปทางซ้ายมาก ทำให้มี cell ใด cell หนึ่งหรืออาจมากกว่าไม่มีข้อมูลเลย หรือการใช้ Z-test โดยไม่ทราบความแปรปรวนของประชากร (Population Variance) การใช้การวิเคราะห์ความแปรปรวน (ANOVA) ของข้อมูลที่วัดเป็นความถี่ เป็นต้น ดังนี้การอ่านผลการวิเคราะห์จะไม่ถูกต้องและไม่น่าเชื่อถือ

3. ขาดความสอดคล้องกันระหว่างวัตถุประสงค์และสมมติฐานของการวิจัย กับสถิติที่ใช้ ทำให้ผลการวิเคราะห์จึงไม่สนองตอบต่อสมมติฐาน และคำถามการวิจัย เช่น ต้องการศึกษาปัจจัยต่างๆที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการปฏิบัติเกี่ยวกับ สุขภาพ แต่ผู้วิจัยเลือกสถิติ ANOVA ทำให้การสรุปผลการวิจัยเกิดข้อผิดพลาดในการใช้ประโยชน์จากผลการวิจัยเป็นต้น

4. การวิเคราะห์เน้นเฉพาะประเด็นย่อยของตัวแปร โดยไม่วิเคราะห์ผลในภาพรวมของตัวแปร เช่น การเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของความรู้เป็นรายข้อ ใช้สถิติ t-test และไม่มีการวิเคราะห์ผลจากค่าเฉลี่ยรวมของความรู้ทุกข้อ หรือการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างประชากรหลายกลุ่มตามตัวแปรอิสระทีละ ตัวโดยใช้การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) แทนที่จะใช้การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบหลายทาง (Factorial ANOVA) ซึ่งสามารถศึกษาปฏิสัมพันธ์ร่วมระหว่างตัวแปรได้ด้วย หรือการเปรียบเทียบตามตัวแปรตามหลายตัว แต่ทำการแยกวิเคราะห์ทีละตัว (Univariate) แทนที่น่าจะใช้การเปรียบเทียบตัวแปรตามหลายตัวไปพร้อมกัน (Multivariate) เป็นต้น

โดยสรุปแล้วนักวิจัยทางพฤติกรรมสุขภาพ จะต้องวางแผนการเลือกใช้สถิติและการวิเคราะห์ข้อมูลให้เหมาะสมและถูกต้อง โดยการเลือกสถิติในการวิจัยเรื่องหนึ่งๆ จะต้องพิจารณากันให้สอดคล้องกันตั้งแต่ รูปแบบการวิจัย วัตถุประสงค์ สมมติฐานการวิจัยตัวแปรในการวิจัย ระดับการวัดตัวแปร และเครื่องมือในการรวบรวมข้อมูล เพราะในทุกขั้นตอนของการวิจัยจะมีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกันทั้งสิ้น ดังนั้นในกรณีที่ผู้วิจัยไม่ทราบหรือไม่แน่ใจว่าจะใช้สถิติอะไรจึงจะเหมาะสม ก็ควรขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ หรือนักสถิติเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดในการวิจัย

วิธีสะสมพลังสมองที่มิได้นำออกมาใช้

จาก HOW TO BE TWICE AS SMART
โดย สก๊อตต์ วิทท์

เราเป็นหนี้นักประดิษฐ์คิดค้น และนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย ซึ่งได้ทำคุณประโยชน์ และทำให้ความเป็นอยู่ในชีวิตของเราดีขึ้นอย่างมาก

photo001แต่ทว่า ก็ยังเป็นที่น่าเสียดาย ที่เขาประสบความล้มเหลว ในเรื่อง สำคัญเรื่องหนึ่งในทางปฏิบัติ

บุคคลเหล่านี้ ประสบความสำเร็จอันน่าทึ่ง สามารถทำให้เรามีเครื่องใช้ไม้สอยในครัวเรือน เช่น เครื่องทำอาหาร หรือยานพาหนะ ที่ทำให้เราไปถึงที่นัดหมายได้ตามกำหนดเวลา

แต่กระนั้น เขามิได้ให้อะไรอันเป็นเครื่องส่งเสริม หรือพัฒนาสภาพจิตใจของเราเลย

จริงอยู่ ขณะนี้เรามีคอมพิวเตอร์ ซึ่งสามารถจะเล่นหมากรุกกับคุณได้ มีเครื่องคำนวณ ที่จะทำให้คุณสามารถถอดรูทได้ภายในเสี้ยววินาที แต่แล้ว ในเรื่องของการเรียนรู้ ความทรงจำ และการแก้ปัญหา ที่เราแต่ละคนจะต้องพบอยู่เป็นประจำวันเล่า?

เมื่อ คุณจะเข้ารับการพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องการสมัครเข้าทำงาน หรือการเลื่อนตำแหน่งนั้น ผู้สัมภาษณ์ มีความสนใจในสิ่งที่คุณสามารถจะทำได้ มากกว่าที่จะสนใจว่า เครื่องคำนวณทำอะไรได้อย่างแน่นอน

คุณจะต้องมีความพอใจอย่างยิ่ง ที่จะได้รู้ว่า แม้คุณจะไม่มีนักวิทยาศาสตร์หรือนักประดิษฐ์ทั้งหลาย ยื่นมือเข้ามาช่วย คุณก็สามารถจะทำสิ่งต่างๆได้เป็นอย่างดี...

ซึ่ง ถ้าจะพูดกันตามความเป็นจริงแล้ว คุณสามารถจะทำได้ ดีกว่าที่คุณกำลังทำอยู่ในเวลานี้เสียด้วยซ้ำ โดยไม่ต้องพูดถึงระดับความสำเร็จ ที่คุณได้รับอยู่ในปัจจุบัน

เทคนิคที่ได้พิสูจน์แล้ว เพื่อเพิ่มพลังสมองให้เฉียบแหลมยิ่งขึ้น


    ถ้าครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่คุณจะได้รู้จักกับระบบที่เรียกว่า "อิทธิพลทางด้านจิตใจ" คุณก็จะต้องพบกับความตื่นใจ เพราะคุณกำลังจะได้พบกับแนวทางใหม่ๆ ที่จะ
  • ทำให้ความทรงจำเฉียบแหลมขึ้น
  • เรียนรู้ได้เร็วขึ้น
  • อ่านได้เร็วขึ้น และซึมซับความรู้ได้มากขึ้น
  • สามารถคำนวณได้ง่ายขึ้น
  • สามารถแก้ปัญหาต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว
  • เพิ่มความคิดในทางสร้างสรรค์
  • สามารถเพิ่มอำนาจในการปกครองได้ดีขึ้น
  • มีความเข้าใจอันลึกซึ้ง ในสิ่งที่คุณได้อ่านหรือได้ฟัง
  • เป็นบุคคลที่มีข้อมูลอย่างดีอยู่ในมือ

ความหมายใหม่ของคำว่าอิทธิพล


อิทธิพลของด้านจิตใจ ก็เช่นเดียวกับอิทธิพลประเภทอื่นๆ ที่ถูกคุณนำออกมาใช้อยู่ตลอดชีวิต

ด้วยความสับสนของอิทธิพลทางด้านร่างกาย กล้ามเนื้อของคุณ สามารถจะเคลื่อนวัตถุ ซึ่งแต่ก่อนนี้ อาจจะเคลื่อนไม่ได้ อิทธิพลทางด้านการเงิน อนุญาตให้คุณใช้เงินจำนวนน้อยเช่น เงินดาวน์ ในการซื้อสิ่งของที่มีราคาแพง เช่น บ้าน รถ หรือ ธุรกิจต่างๆ

ในรูปแบบต่างๆของอิทธิพลที่กล่าวมานี้ สิ่งที่มีความสำคัญ มิได้ขึ้นอยู่กับ จำนวนของกล้ามเนื้อ หรือจำนวนเงินที่คุณมีอยู่

แต่ขึ้นอยู่กับว่า คุณนำมันเข้ามาประยุกต์ใช้ในโอกาสไหน และด้วยวิธีใด

ก็เช่นเดียวกับอิทธิพลทางด้านจิตใจ มันมิได้ขึ้นอยู่กับว่า คุณใช้ความคิดมากน้อยประการใด หรือคุณมีระดับการศึกษาระดับไหน มีความทรงจำดีอย่างไร ... แต่ขึ้นอยู่กับวิธีการ ที่คุณนำมันออกมาใช้

ในเอกสารฉบับนี้ จะแสดงให้เห็นถึงสูตรที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว ในการนำอิทธิพลของพลังสมอง ซึ่งประกอบด้วยเทคนิคออกมาใช้ ซึ่งมีผู้ได้รับความสำเร็จอย่างมากมาย ประโยชน์อันมหาศาลของมัน ทำให้บุคคลเหล่านั้นได้รับสิ่งต่อไปนี้

  • เหมาะสมที่จะได้ทำงานในตำแหน่งที่ดีกว่า และได้รับเงินเดือนสูง
  • สามารถสร้างธุรกิจที่ประสพความสำเร็จ
  • ประสพความสำเร็จทางด้านการขายแผนใหม่
  • สามารถควบคุมบุคคลที่สร้างความยุ่งยากได้
  • มีความก้าวหน้าทางด้านการเมือง
  • เป็นที่ยอมรับนับถือว่า เป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาการต่างๆ
บุคคลที่ไม่เคยเรียนรู้ ถึงวิธีการนำอิทธิพลทางด้านจิตใจออกมาใช้ มักจะพบกับความยุ่งยากในการที่จะจดจำ และพยายามต่อสู้ดิ้นรน ที่จะแก้ปัญหาในรูปแบบต่างๆที่เกิดขึ้น เท่ากับเป็นการสร้างขอบเขตอันจำกัด ขึ้นกับตนเอง หน้าที่การงาน และความสัมพันธ์ระหว่างตนกับบุคคลอื่น โดยมิได้ตระหนักว่า ศักยภาพทางด้านจิตใจที่แท้จริงแล้ว เป็นอย่างไร...

จิตใจเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง


เทคนิคในการนำอิทธิพลทางด้านจิตใจ ออกมาใช้ในรูปแบบต่างๆนั้น เป็นที่รู้จักกันดี ในบุคคลที่ประสพความสำเร็จทางด้านงานธุรกิจ ประสบการณ์สอนให้คนเหล่านั้น กระทำไปตามหลักการ...

photo001เขา ได้เรียนรู้ถึงพลังแห่งอิทธิพล ในการที่จะนำเงินไปลงทุน ทำเงิน 1 เหรียญ ให้มีค่าเป็น 10 เท่า หรือมากกว่านั้น ในระยะแรก คนเหล่านี้ ได้ตระหนักว่า ศักยภาพของตนในอันที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จ มีขอบเขตจำกัดอยู่เพียงแค่ความคิดสร้างสรรค์ และความสามารถในการแก้ปัญหาเท่านั้น

และแล้ว เขาก็เห็นด้วยกับคำกล่าวของ "แดเนียล เวบสเตอร์" ที่ว่า จิตใจเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง

เขาก็ได้ปฏิภาณที่เพิ่มพลังอำนาจในด้านนี้ ในลักษณะเดียวกันกับที่เพิ่มพลังอำนาจทางด้านการเงินขึ้นมา ซึ่งเทคนิคส่วนใหญ่ในเอกสารนี้ มีพื้นฐานมาจาก "พลัง" ที่บุคคลผู้ประสพความสำเร็จเหล่านี้ ได้พัฒนาขึ้น ซึ่งนักธุรกิจชายหญิงเหล่านี้ จะกำหนดเป้าหมายขึ้นมาว่า ในหน่วยงานใดที่เขาต้องการใช้พลังนี้มากที่สุด

ในขณะที่เซลล์แมน อาจจะต้องการพัฒนาความทรงจำ เกี่ยวกับเรื่องชื่อลูกค้าที่ไปติดต่อ คุณภาพของสินค้า และราคานั้น , ผู้จัดการบริษัท อีเลคโทรนิคส์ อาจจะต้องการเพิ่มความเร็ว ในการอ่านของตน ขึ้นอีก 3 เท่า เพื่อที่จะให้ตนได้มีความรู้ทัดเทียมกับวิทยาการสมัยใหม่ที่ก้าวหน้าไป... และบุคคลทั้ง 2 อาชีพนี้ ก็อาจจะได้รับผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่ จากการไขกุญแจ เคล็ดลับ ความสามารถในทางสร้างสรรค์ เพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งแนวทางแปลกๆ ใหม่ๆ ในด้านธุรกิจอันน่าตื่นใจ

นอกเหนือจากความจำเป็นแล้ว บุคคลผู้ประสพความสำเร็จอย่างแท้จริงในโลกธุรกิจ ยังได้พัฒนาหลักสูตรไปสู่ความสำเร็จที่เหนือกว่านั้น ซึ่งคุณจะได้พบสูตรสำเร็จที่ดีที่สุด จากเอกสารนี้..

วิธีกระทำตนให้เด่นเหนือผู้อื่น ด้วยการเพิ่มไอคิวของคุณเอง


"กฏแห่งอัตราเฉลี่ย" กล่าวไว้ว่า ถ้า คุณจะต้องนั่งลง และรับการทดสอบร่วมกับบุคคลกลุ่มหนึ่ง ซึ่งบางคนในกลุ่มนั้น อาจจะมีคะแนนสูงกว่าคุณ แต่จงอย่าให้ความรู้นั้น เข้ามาเป็นสิ่งที่รบกวนจิตใจของคุณได้ เพราะเมื่อถึงเวลาที่จะต้องแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงแล้ว คุณอาจจะดีกว่าเขามากก็ได้

ที่เป็นเช่นนี้ เพราะ
  1. ไม่มีผู้ใด ที่จะกระทำหน้าที่ตน ในระดับที่ใกล้เคียงความสามารถทางด้านจิตใจ
  2. การที่คุณจะแข่งขันกับใครก็ตาม แม้ว่าบุคคลนั้น จะ "เก่ง" กว่าคุณ สิ่งที่คุณจะต้องทำ ก็คือ คุณจะเพิ่มอัตราส่วน " การปฏิบัติทางด้านจิตใจ" หรือ MPR ขึ้น ซึ่งปฏิบัติการทางด้านจิตใจนี้ ถ้าจะพูดให้ง่ายเข้า ก็คือ จำนวนเปอร์เซ็นต์ของความสามารถทางด้านจิตใจทั้งหมด ที่คุณนำออกมาใช้นั่นเอง

ถ้าคุณเป็นเช่นคนอื่นๆ คุณก็จะใช้พลังสมองเพียงแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ แต่เมื่อคุณประยุกต์อิทธิพลทางด้านจิตใจเข้าไป การปฏิบัติงานของจิตใจ ซึ่งคิดออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์แล้ว จะสูงมาก

ยกตัวอย่าง เช่น ถ้าความทรงจำของคุณ ตามปกติ จะทำหน้าที่ของมันเพียงแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ของความสามารถ เมื่อคุณนำเทคนิคในการประยุกต์อิทธิพลทางด้านจิตใจเข้าไปใช้ เพื่อพัฒนาความทรงจำให้ดีขึ้น ปฏิบัติการทางด้านจิตใจของคุณ จะเพิ่มขึ้นเหนืออัตรา 10 เปอร์เซ็นต์นั้น เมื่อคุณเพิ่มความสามารถขึ้นมาเป็นสองเท่า เพื่อทบทวนความทรงจำทางด้านข้อมูล และตัวเอง MPR ของคุณ จะเพิ่มขึ้นเป็น 20 เปอร์เซ็นต์ แทนที่จะเป็น 10 เปอร์เซ็นต์

แต่บุคคลซึ่งมีชัยชนะเหนือคุณ ในการทดสอบไอคิว พลังสมองของเขายังทำงานเพียงแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ตามปรกติ เมื่อเป็นเช่นนี้ คุณก็จะสามารถเอาชนะเขาได้อยู่แล้ว

คราวนี้ ขอให้เราลองมาดูกันว่า สมมุติว่า แทนที่คุณจะเพิ่มความสามารถขึ้นเป็นสองเท่า คุณเพิ่มขึ้นอีกเพียงแค่ 1 ใน 5 MPR ของคุณ จะเพิ่มเป็น 12 เปอร์เซ็นต์ แทนที่จะเป็นเพียงแค่ 10 เปอร์เซ็นต์

สมมติว่า จอห์น โจนส์ มีไอคิว 140 ในขณะที่คุณมีไอคิวเพียงแค่ 120 ซึ่งภายใต้สภาพปรกติ เขาย่อมเรียนได้เร็วกว่าคุณ แต่ทว่า นี่มิใช่สภาพปรกติ เพราะคุณได้เพิ่มอิทธิพลทางด้านจิตใจ เข้าไปในกระบวนการของการเรียน ซึ่งจะต้องทำให้คุณเก่งกว่า มิสเตอร์ โจนส์แน่ เราจึงสามารถจะคิดออกมาเป็นตัวเลขง่ายๆ ดังนี้ คือ

อัตราไอคิว x MPR = ความสามารถในการเรียน
ของคุณคือ 120 x 0.12 = 14.4
ของ จอห์น โจนส์ คือ 140 x 0.10 = 14.0

เนื่องจากความสามารถในการเรียนของคุณ เหนือ จอห์น โจนส์ อยู่ดัลกว่า คุณย่อมสามารถเอาชนะเขาได้อย่างง่ายดาย

ISO - แบบฝึกหัดของจิตใจ ที่ช่วยสติปัญญาเฉียบแหลมขึ้น


photo001คุณ อาจจะคิดว่า เทคนิคในเอกสารนี้ คือแบบฝึกหัดที่วัดความเท่าเทียมกันของสมอง หรือ ISOMETRIC EXECISE ซึ่งคุณก็คงจะมีความรู้กันมาบ้างแล้วว่า แบบฝึกหัดดังกล่าวนี้ ได้มีการค้นพบ โดยนักวิทยาศาสตร์ในเยอรมัน ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับการทำงานของกล้ามเนื้อ

..คือ วันหนึ่ง เขาได้เอาเชือกผูกขากบข้างหนึ่ง ไว้กับโต๊ะในห้องทดลอง อีกขาหนึ่งปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้ผูก กบตัวนั้น มันไม่รู้ว่า ไม่มีทางที่จะทำให้ขาข้างที่ผูกไว้เป็นอิสระได้ ก็พยายามจะดึงขาข้างนั้นให้หลุดออก ซึ่งย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่หลังจากนั้นไม่นาน นักวิทยาศาสตร์ผู้นั้น ก็ได้พบว่า ขากบข้างที่ผูกไว้นั้น ได้มีการสร้างกล้ามเนื้อพิเศษเกิดขึ้น และขยายใหญ่ขึ้นทุกที เพื่อต่อสู้กับวัตถุที่เคลื่อนไหวไม่ได้ นักวิทยาศาสตร์ผู้นั้น จึงบังเกิดความสงสัยขึ้นมาว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว จะใช้หลักเดียวกันนี้ พัฒนากล้ามเนื้อของมนุษย์ได้หรือไม่
และนี่คือ การนำ ISO มาใช้

บุคคลใดก็ตาม ที่ต้องการเพิ่มกล้ามเนื้อส่วนแขน จะเอามือทั้งสองข้างประสานกันไว้ และเพิ่มพลังในการดึงมือทั้งสองข้างนั้น อย่างน้อยครั้งละ 10 วินาที หรือผู้ที่ต้องการเพิ่มกล้ามเนื้อตรงกน้าท้อง ก็จะใช้วิธีกลั้นลมหายใจ ไว้ตามอัตราที่กำหนดขึ้น อาจจะใช้ขาทั้งสองยันไว้กับขอบโต๊ะ เพื่อสร้างกล้ามเนื้อให้เกิดขึ้น และแม้แต่กล้ามเนื้อบนใบหน้า ก็เคยมีคนทำได้มาแล้ว

เคล็ดลับในการเรียนได้เร็วกว่า และจำได้มากขึ้น


ความสำเร็จของแบบฝึกหัด ISO นี้ เกิดจากความจริงประการหนึ่ง คือ คุณใช้กล้ามเนื้อในตัว เพิ่มพลังให้กับตัวมันเอง ซึ่งสิ่งนี้ ให้ผลดีกว่าการยกน้ำหนักในระยะเวลาเดียวกัน ที่ได้กำหนดขึ้นไว้ ในการยกน้ำหนักขึ้น พลังที่นำมาใช้ อาจจะหนักกว่า แต่มันมิใช่สิ่งที่เคลื่อนไหวไม่ได้

ทั้งนี้ เพราะน้ำหนักหลีกทางให้กับความกดดันของกล้ามเนื้อ จึงทำให้ได้ผลน้อยกว่าการใช้วิธีต่อสู้ กับสิ่งที่ไม่อาจหลีกทาง ให้ความกดดันของกล้ามเนื้อได้
ผลที่เกิดขึ้นจากการนี้ ก็คือ ถ้าบุคคลใด ต้องการจะเพิ่มกล้ามเนื้อส่วนพิเศษขึ้น เขาสามารถจะใช้เวลาเพียงแค่วันละไม่กี่นาที จนถึง 30 นาทีต่อวัน ก็สามารถจะกระทำได้ ... ความสามารถในการเรียน และการจำของคุณ ก็สามารถจะพัฒนาให้เกิดขึ้นมาได้ โดยวิธีการเดียวกัน

เคล็ด ลับในการที่จะเรียนให้ได้เร็ว และสามารถจดจำได้มากขึ้นนั้น อยู่ที่ว่า คุณจะต้องนำเทคนิคที่ได้ให้ไว้ในเอกสารนี้ ไปทดลองปฏิบัติอย่างต่อเนื่องกันจึงจะได้ผล คุณจะต้องทำทุกๆวัน เช่นเดียวกับการสร้างกล้ามเนื้อ ตามแบบฝึกหัด ISO ซึ่งต้องทำจนเป็นกิจวัตร ซึ่งแต่ละแบบฝึกหัด ใช้เวลาไม่มากเลย

    ขอให้คุณพิจารณาความคล้ายคลึงกัน ระหว่างการลับสติปัญญาให้แหลมคม ด้วยการนำอิทธิพลทางด้านจิตใจเข้ามาใช้ กับการสร้างพละกำลังให้เกิดขึ้นกับร่างกายตามหลัก ISO ดัง นี้
  • การใช้เวลาเพียงวันละไม่กี่นาที สามารถจะให้ผลได้ เช่นเดียวกับการฝึกฝน วันละหนึ่งชั่วโมง
  • การปฏิบัติ สามารถทำไปได้พร้อมๆกันในขณะที่ทำสิ่งอื่นอยู่
  • เช่นเดียวกับการใช้กล้ามเนื้อ ในการพัฒนาตัวของมันเอง อิทธิพลทางด้านจิตใจ ก็ใช้สมอง ในการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
photo001

ใช้เพียงชั่วเวลานาทีในการสร้างสภาพจิตใจ


เพื่อนของผมคนหนึ่ง ชื่อ ยีน อาร์ ทำงานอยู่ในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีระดับสูง แต่เนื่องจากเขาใช้พลังสมองเพียงแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ เขาจึงไม่สามารถจะปรับตัวให้ทันกับวิทยาการสมัยใหม่ ที่พัฒนาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เขาต้องพบกับเรื่องใหม่ๆ ที่จะต้องเรียนรู้อยู่ทุกวัน
"มันดูเหมือนกับว่า ทุกวัน ผมจะต้องได้รับเอกสารเกี่ยวกับข้อมูลใหม่ๆเป็นตั้งๆ ทีเดียว " ยีนร้องทุกข์ " ซึ่งผมก็ไม่มีเวลามากพอที่จะอ่าน ไม่ต้องพูดถึงไอ้เรื่องการทำความเข้าใจกันละ"
ผมถามยีนว่า เขาอยากจะอ่านหนังสือ ให้ได้เร็วขึ้นเป็นสองเท่าหรือไม่ ซึ่งเขาก็ตอบว่า "ถ้าทำอย่างนั้นได้จริง มันก็ดีน่ะสิ"

แล้วถ้าเขาสามารถจะลดเวลาในการเรียนรู้ข้อมูลใหม่ๆ สักครึ่งหนึ่งเล่า ? " โอ.. ถ้าอย่างนั้น ก็ยิ่งดีใหญ่" เขาตอบ

เมื่อผมเล่าให้ยีนฟัง มีเทคนิคง่ายๆที่จะช่วยเพิ่มความเร็วในการอ่านและการเรียนรู้ ความสนใจของเขา ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น แต่มันก็เป็นไปเพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น หลังจากที่เขาใช้เวลาทบทนความคิดแล้ว ก็พูดกับผมว่า " เวลานี้ผมกำลังยุ่งมากทีเดียว ไม่รู้จะหาเวลาที่ไหนมาศึกษาเทคนิคในการเรียนรู้ หรือวิธรการอ่านหนังสือ ให้ได้เร็วขึ้นอย่างที่คุณว่า"

และจากนั้น ผมก็ได้อธิบายให้ยีนฟัง ดังเช่นที่ได้อธิบายให้คุณฟังมาแล้ว เทคนิค เกือบจะทุกแบบ ที่มีอยู่ในเอกสารนี้ สามารถจะพัฒนาไปใช้ได้ ด้วยการอุทิศเวลาให้มันเพียงวันละเล็กละน้อย และแบบฝึกหัดส่วนใหญ่ ก็สามารถจะกระทำได้ พร้อมๆกับการประกอบธุรกิจของคุณ

ทำใจให้สบาย - เพื่อทดลองทำแบบฝึกหัดนั้น


"เอาอย่างนี้ดีกว่าครับ" ผมบอกกับยีน "ในแต่ละสัปดาห์นับจากนี้ เราควรจะทานอาหารกลางวันด้วยกัน สัปดาห์ละครั้ง และแต่ละครั้งนั้น ผมจะแนะนำเทคนิคใหม่ๆ เพื่อให้คุณเพิ่มสมรรถภาพในการอ่าน หรือการทำความเข้าใจ และอีก 7 วันต่อจากนั้น คุณก็ฝึกฝนเทคนิคที่ผมให้ไปเรื่อยๆ ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องจัดสรรเวลาพิเศษขึ้นมาเลย คุณสามารถจะปฏิบัติไปในขณะเดียวกับกันที่ทำงานอยู่ ซึ่งคุณพอจะทำได้ใช่ไหมล่ะ ? "
ยีนตอบว่า เขาสามารถจะทำได้

ดังนั้น ในการรับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน ผมก็ได้แนะนำเทคนิคศึ่งคุณจะได้เรียนรู้ในย่อหน้าต่อๆไป ให้กับเขา และในการพบกันครั้งที่สอง ผมก็ถามยีนว่า การทดลองปฏิบัติในสัปดาห์แรกเป็นอย่างไร
"วิเศษจริงๆ" เขาตอบ " ผมไม่ได้ทดลองทำแต่เฉพาะในช่วง 10 วินาที ตามที่คุณแนะนำผมไว้เท่านั้นนะ ผมเอามันมาประยุกต์ใช้ในงานทีเดียวย และมันก็ได้ผลอย่างดีมากด้วย"

ในอีกหลายๆสัปดาห์ต่อจากนั้น ยีนก็ค่อยๆล่วงพ้นจากสถานะที่ลำบากออกมาเรื่อยๆ เขาได้ใช้สูตรใหม่อันน่าตื่นใจ ในการอ่านเอกสารต่างๆและสามารถจะนำมาใช้ประโยชน์ได้ในทันทีที่อ่านจบ และไม่จำเป็นจะต้องหงุดหงิดใจ กับการเรียกร้องของงาน ที่ต้องการเวลาจากเขาอย่างมากแต่อย่างใด " เวลานี้ผมสามารถจะจัดการกับปัญหาทุกอย่างได้ ชนิดที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลย" ยีนเล่า

ซึ่งเป็นที่เห็นได้ชัดว่า บุคคลที่อยู่รอบตัวเขา ต่างก็ได้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในทัศนคติ และการทำงานของเขาด้วยเช่นกัน หลังจากที่เขาได้เรียนรู้เทคนิค 3 ประการ ของอิทธิพลทางด้านจิตใจ ที่สามารถนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ เขาก็ได้รับการเล่อนตำแหน่งถึง 2 ครั้ง เทคนิคที่เขาได้เรียนรู้ไปนั้น สามารถจะทำให้เขา ไม่เพียงแต่จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น แต่เขายังสามารถรับผิดชอบในงานได้อย่างดีอีกด้วย และเขาก็กลายเป็น "คนเด่น" ของบริษัทไป

หลักในการวิเคราะห์เหตุผล


ถ้าคุณต้องการจะให้ตัวเอง เป็นผู้ที่ประสพความสำเร็จอย่างแท้จริง คุณจะต้องเป็นยิ่งกว่านักอ่าน ที่สามารถซึมซับเรื่องราวได้อย่างรวดเร็ว เป็นนักศึกษาที่สามารถเข้าใจอะไรได้ในเวลาอันสั้น หรือเป็นผู้มีความทรงจำที่ดี คุณย่อมได้รับประโยชน์ในความก้าวหน้า จากคุณสมบัติประการต่างๆ เหล่านี้
แต่แล้ว ในเรื่องที่เกี่ยวกับปัญหาซึ่งงอกเงยอยู่เล่า ?

คนเราทุกคน จำเป็นจะต้องเผชิญกับปัญหาประจำวัน ในรูปแบบต่างๆกัน ปัญหาเหล่านี้ ทำให้เราต้องสุญเสียทั้งเวลา และพลังงานของร่างกาย และในบางครั้งก็เกิดความแห้งแล้งในจิตใจด้วย คนเป็นจำนวนมาก ใช้เวลาส่วนใหญ่ให้หมดไปกับการใช้ความคิด ความวิตกกังวล เกี่ยวกับปัญหาหลากหลาย จนกระทั่ง เหลือพลังอันน้อยนิดที่จะจัดการกับปัญหาต่างๆเหล่านั้น

การเร่งวิเคราะห์ในเหตุผล เป็นสิ่งที่จะสามารถช่วยคุณไว้ได้ การวิเคราะห์เหตุผลที่กล่าวในเอกสารนี้ จะทำให้คุณสามารถจัดการกับปัญหาสำคัญๆ และขจัดมันให้ออกไปให้พ้นทางได้ในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งจะสร้างความมหัศจรรย์ให้กับชีวิตของคุณ บุคคลที่ได้ทดลองปฏิบัติ ในเรื่องการวิเคราะห์ในเหตุผลนี้ จะได้รับประโยชน์ทางด้านความมีชื่อเสียง ในฐานะผู้มีความสามารถในการตัดสินใจ เขาจะสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ หรืออ่านปัญหาออก เพียงแค่การมองดูปัญหานั้นๆ ชั่วแวบเดียว และสามารถที่จะตัดสินใจ หรือแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้อง

คุณคงจะเคยได้อ่าน เคยได้ฟัง เกี่ยวกับผู้ที่มีความสามารถในการตัดสินใจมาแล้ว ทังในข่ายงานของรัฐบาลและในโลกธุรกิจ คุณมองเห็นว่า บุคคลที่มีความสามารถเช่นนั้น เป็นผู้ที่มีภูมิปัญญา
แต่ความเป็นจริงก็คือ
เขาได้ทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสินใจในปัญหาต่างๆ ก่อนที่จะก้าวขึ้นมาสู่ระดับสุดยอดเช่นนี้

ในระหว่างช่วงเวลาหยุดพักของการประชุมครั้งหนึ่ง ซึ่งผมได้เข้าร่วมประชุมด้วย ประธานบริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง ก็ได้คุยกับผม เกี่ยวกับเรื่องการทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสินใจนั้น "มันเหมือนกับปัญหาที่ถามว่า ไก่เกิดก่อนไข่ หรือไข่เกิดก่อนไก่ ไม่มีผิด" จิมกล่าว "เพราะมันมีการถกเถียงกันอยู่เสมอว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารในระดับสูง จะต้องมีความสามารถในการตัดสินใจอย่างฉับไวเสียก่อน หรือว่า ภายหลังที่ก้าวมาสู่ตำแหน่งบริหารแล้ว ผมมีความเชื่อว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารระดับสูงส่วนมาก ประสพความสำเร็จในตำแหน่งหน้าที่ของตน ด้วยความสามารถในการเป็นผู้ตัดสินใจทั้งสิ้น"
ประการแรก เขาจะต้องแสดงให้เห็นว่า เขามีความสามารถที่จะตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง ในเวลาอันรวดเร็ว และแล้ว จึงจะได้ตำแหน่งมาเป็นรางวัล หรือไม่ ก็ได้รับมอบหมายให้มีความรับผิดชอบ ในหน้าที่การงานเพิ่มขึ้น

จิมกล่าวว่า บุคคลซึ่งได้แสดงออกถึงความสามารถ ในการตัดสินใจนั้น ย่อมมีความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน แต่ขณะเดียวกัน เขาก็มีความเห็นว่า มันมิได้เป็นการสายเกินไปเลย สำหรับการที่จะกระทำตน ให้เป็นที่รู้จัก ในฐานะของผู้ที่มีความสามารถในการตัดสินใจ

เหตุใด การรู้จักวิเคราะห์ในเหตุผล จึงช่วยคุณได้ในเรื่องการงาน


ผมเคยได้ยินจิม เล่าเรื่องอะไรต่อมิอะไรให้ฟังมาหลายครั้งหลายหน และผมก็ไม่เคยนึกเบื่อหน่ายทีจะฟังเลย และผมก็เชื่อว่า คุณคงจะเป็น่นเดียวกัน รู้ถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการเรียนรู้ วิธีที่บุคคลอื่นประสพความสำเร็จในหน้าที่การงานของตน ดังนั้น ผมจึงขออนุญาตจิม เอาบางเรื่องมาเล่าต่อให้คุณฟัง

จิมได้เล่าให้ผมฟังถึงเรื่องผู้ชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง ซึ่งทำงานอยู่บริษัทเดียวกันกับเขา คนๆนี้ เป็นผู้ที่แทบจะไม่เคยได้รับการเลื่อนตำแหน่งเลย ส่วนใหญ่แล้วคนหนุ่มคนสาว ซึ่งทำงานกับบริษัทในระยะเวลาที่สั้นกว่า กลับได้รับการเลื่อนตำแหน่งเหนือเขาทั้งนั้น และหลายต่อหลายครั้งที่เขาได้พบว่า ตัวเองต้องเป็นลูกน้อง ของบุคคลที่เคยเป็นลูกน้องของตนมาก่อน

"แน่นอน คนๆนั้น มีตำแหน่งหน้าที่ที่จะต้องรับผิดชอบ แต่ก็เป็นเพียงหน้าที่ระดับต่ำในบริษัท เขาเป็นพนักงานชั้นผู้น้อย ที่ไม่รู้ว่าจะก้าวไปทางไหน"
วันหนึ่ง ขณะที่กำลังรับประทานอาหารกลางวันอยู่กับเพื่อนร่วมงาน เขาก็ปรารภออกมาดังๆอย่างแปลกใจว่า ทำไมหน้าที่การงานของเขา จึงมีแต่ทางตันเช่นนี้ และเขาก็ต้องแปลกใจ เมื่อได้ยินเสียงเพื่อนคนหนึ่งให้เหตุผลกับเขา
เพื่อนคนนั้นกล่าวว่า แม้ว่าเขาจะมีคุณสมบัติมาก พอที่จะทำงานตำแหน่งสำคัญๆในบริษัทได้ แต่เขาก็ขาดคุณสมบัติประการสำคัญประการหนึ่งไป นั่นก็คือ - ความเด็ดขาด เพื่อนของเขาบอกกับเขาตามตรงเช่นนี้ ซึ่งทำให้เขาต้องยุติความคิด ที่จะเดินเข้าไปหาเจ้าหน้าที่ระดับสูง แ ละเริ่มต้นทำอะไรบางอย่าง ที่จะต้องตัดสินใจด้วยตนเอง สิ่งที่เขาจะต้องกระทำเป็นประการแรก ก็คือ จะต้องแสดงให้ผู้บังคับบัญชาเห็นว่า เขามีความสามารถในการตัดสินใจอยู่ ทั้งนี้ เพราะนั่นคือสิ่งที่ผู้บังคับบัญชาต้องการ

เพื่อนของเขาได้อธิบายถึงว่า ทำไมจึงต้องทำเช่นนั้น ทั้งนี้ เนื่องมาจากเขาไม่เคยแสดงความสามารถในการตัดสินใจให้ประจักษ์เลย

หลังจากที่นำเรื่องที่เพื่อนพูด ไปคิดทบทวนแล้ว เขาก็ตัดสินใจว่า จะต้องทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาจึงพยายามอ่านหนังสือทุกเล่ม ที่เกี่ยวกับเรื่องของ การตัดสินใจ วิธีการแก้ปัญหา และ การสร้างความคิดในทางสร้างสรรค์ และในที่สุด เขาก็ได้พบว่า มันเป็นความรู้ที่ใครทุกคนก็สามารถจะพัฒนาให้เกิดขึ้น มันมิใช่สิ่งที่จะต้องติดตัวมาแต่กำเนิดแต่อย่างใด ผลที่เกิดตามมาก็คือ ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไป ทั้งผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงานที่แม้จะอยู่ในวัยอ่อนกว่า ก็เริ่มจะสังเกตเห็นในความสามารถแบบใหม่ของเขา และเนื่องจากการตัดสินใจส่วนใหญ่ ที่เขาได้กระทำลงไปถูกต้องตรงต่อเป้าหมาย คนเหล่านั้น ก็ยิ่งมีความประทับใจในตัวเขามากยิ่งขึ้น

แม้จะเข้าวัยกลางคนแล้ว แต่เขาก็เริ่มได้รับการเลื่อนตำแหน่ง ซึ่งไม่เคยได้รับมาก่อนในปีที่ผ่านมา แต่ขณะนี้ เขากำลังขึ้นหน้าคนที่เคยได้รับตำแหน่งก่อนหน้าเขาแล้ว ยิ่งกว่านั้น ก็ยังมีบริษัทอื่นๆให้ความสนใจในตัวเขา โดยเฉพาะบริษัทที่อยู่ในเครือข่ายอุตสาหกรรมเดียวกัน และในที่สุด ก็มีบริษัทหนึ่ง ได้ว่าจ้างเขาให้เข้ารับตำแหน่งประธานกรรมการบริษัท

บางทีคุณอาจจะเดาได้ว่า บุคคลที่ผมกำลังพูดถึงอยู่นี้คือใคร ซึ่งเขาคนนั้นก็คือ ตัวผมเอง ซึ่งชีวิตได้ผันแปรไปในวัยกลางคนแล้ว ด้วยความรวดเร็วในการแก้ปัญหา
คุณอาจจะไม่มีโอกาสอย่างจิม ที่ได้ก้าวขึ้นสู่ความเป็นประธานของบริษัท แต่ผมเชื่อว่า คุณจะต้องเห็นด้วยว่า ถ้าสิ่งนั้นคือปัจจัยอันสำคัญที่ทำให้เขา ประสพความสำเร็จได้แล้ว มันก็ย่อมจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้คุณประสพความสำเร็จตามเป้าหมานที่ตั้งไว้ได้ เช่นกัน

วิธีปลดปล่อยความคิดในทางสร้างสรรค์


คงไม่มีผู้ใดสงสัย ถ้าเราจะกล่าวว่า สมองของมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่มีพลังอันยิ่งใหญ่เหนือส่วนอื่นใดในร่างกาย น้ำหนักของมันเพียงแค่ 3 ปอนด์เท่านั้น แต่ทว่า เป็นศูนย์รวมที่มีอิทธิพลอย่างที่สุด เป็นส่วนของร่างกาย ที่รับข้อมูลเข้ามาเก็บไว้ และส่งต่อไปยังส่วนอื่นๆ ด้วยการทำงานเช่นเดียวกับเครือข่ายของเครื่องอีเล็คโทรเคมีคัล ซึ่งก็มีลักษณะคล้ายคลึงกับการที่เครื่องคอมพิวเตอร์จำเป็นจะต้องใช้สาย และระบบการพิมพ์เพื่อสรรค์สร้างข้อมูลให้เกิดขึ้น แต่ทว่า ไม่มีคอมพิวเตอร์เครื่องใด ที่จะทำงานได้เป็นสองเท่าเช่นสมองมนุษย์ได้

ตลอดชั่วชีวิตของคุณ สมองจะทำหน้าที่รับ และเก็บรักษาข้อมูลต่างๆที่ถูกส่งเข้ามาทางดวงตา หู จมูก นิ้ว และส่วนอื่นๆที่เปรียบเสมือนเครื่องมืออันสำคัญของมัน ซึ่งข้อมูลนับพันๆล้านชิ้น ซึ่งได้ถูกซึมซับไว้ด้วยสมองนั้น ถ้าจะเขียนเป็นหนังสือขึ้นมา ก็คงจะกว่า 90 ล้านเล่ม

ถ้าจะเปรียบเทียบสมองมนุษย์กับคอมพิวเตอร์ เราจะได้พบว่า สมองนั้นทำหน้าที่ของมัน ในรูปแบบของผู้บันทึกข้อมูล และความสามารถอันมหัศจรรย์ทำให้มันสามารถถอนข้อมูล ออกมาจากธนาคารแห่งความทรงจำได้อีกด้วย และเมื่อมันถอนข้อมูลต่างๆออกมาผนวกกันเข้าแล้ว ก็จะทำให้เกิดสิ่งใหม่ๆขึ้นมา

เมื่อครั้งที่คุณยังเด็ก ความสามารถนี้ถูกเรียกว่า จินตนาการ แต่เมื่อโตขึ้น เราเต็มใจจะเรียกมันว่า ความคิดสร้างสรรค์ มากกว่า ในวัยเด็กมันถูกใช้ไปในเรื่องของการสรรหาของเล่นแปลกๆ แต่เมื่อเจริญวัยขึ้น มันถูกนำมาใช้ในการแก้ปัญหา สร้างความก้าวหน้าให้กับอนาคต รักษาโรคภัยไข้เจ็บ และใช้มันเป็นเครื่องมือในการสร้างชัยชนะเหนือคู่แข่งขัน

การตั้งโปรแกรมเพื่อการสร้างสรรค์


มีคนเป็นจำนวนมากที่มีความเชื่อว่า การสร้างสรรค์นั้น คือ อัจฉริยะที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด ซึ่งถ้าคุณมิได้มีสิ่งนั้นมากพอแล้ว คุณก็ไม่มีทางที่จะเสริมสร้างมันขึ้นมาอีกได้ แต่ความเป็นจริง ที่ผมไพิสูจน์มาแล้วนั้น มันเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง

ผมได้เห็นด้วยอย่างมากมาย ที่คนเราได้ตั้ง "โปรแกรม" ขึ้นในจิตใจตนเองในการที่จะหาทางแก้ปัญหา ให้เป็นไปในลักษณะของการสร้างสรรค์ และมีตัวอย่างมากมายอีกเช่นกัน ซึ่งผลที่เกิดจากการนี้ เป็นไปในลักษณะที่สมบูรณ์แบบที่สุด และต่อไปนี้เป็นบางตัวอย่าง ที่เกิดขึ้นจากสิ่งที่ผมเรียกว่า " การตั้งโปรแกรมเพื่อการสร้างสรรค์

  • พนักงานธนาคาร ได้คิดประดิษฐ์ระบบที่จะช่วยป้องกันความผิดพลาดของเครื่องคอมพิวเตอร์ อันจะทำให้เกิดการฉ้อโกงเงินขึ้นมาได้ และในที่สุด เขาก็กลายเป็นมหาเศรษฐี
  • แม่บ้านคนหนึ่ง ซึ่งเบื่อหน่ายที่จะต้องโยกย้ายติดตามสามีไปในที่ต่างๆอยู่เรื่อยๆ ได้คิดแผนการ ที่จะเจรจากับทางบริษัทว่า สามีของเธอ เป็นผู้เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะทำงานต่อไปในที่เดิม
  • ผู้สมัครเข้ารับการแต่งตั้งเป็นวุฒิสมาชิก ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ของตน ดึงดูดใจผู้ลงคะแนนเสียงให้ตน
  • เลขานุการผู้หนึ่ง ซึ่งรู้ว่า ตนเองมีความสำคัญต่องานในหน้าที่อย่างยิ่ง สามารถจะละจากเครื่องพิมพ์ดีดได้ หลังจากที่ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ ในการที่จะทำให้เจ้านายของเธอ จัดตั้งกองเลขานุการขึ้น
และยังมีตัวอย่างอื่นๆอีกจำนวนมาก ซึ่งแต่ละบุคคลได้หยิบยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างในที่นี้ มิได้มีผู้ใดที่มีความคิดสร้างสรรค์มาแต่กำเนิดเลย แต่กระนั้น ทุกคนก็สามารถแก้ปัญหาของตน และให้ได้ผลเป็นที่น่าพอใจได้

บทเรียนในการศึกษา


"มันสร้างความงุนงงให้กับผมเป็นที่สุด " โฮเวิร์ด ดับลิว กล่าว " มันไม่น่าเชื่อเลยว่า คนงานในตำแหน่งบริหารของบริษัทใหญ่ๆ อย่างเพื่อนร่วมงานทั้งผู้ชาย ผู้หญิงในบริษัทของผม เกิดกลัวไอ้กล่องที่ผมเอาไปตั้งให้บนโต๊ะทำงาน" เหตุการณ์เช่นนี้ ได้เกิดขึ้น หลังจากที่โฮเวิร์ด ได้มองเห็นแนวทางที่จะเอาอุปกรณ์เข้ามาช่วยในการทำงาน ทั้งนี้เพราะบริษัทของเขา ต้องทำงานเกี่ยวกับการวางแผน ในการใช้เงินทุนอยู่มาก และนักการบัญชีทั้งหลายในบริษัท ก็ใช้ทั้งชาร์ท กราฟ และบัญชีแยกประเภทต่างๆ กันมาเป็นปี

เอกสารเหล่านั้น ขึ้นมากองสุมกันอยู่บนโต๊ะ คนเหล่านั้น ต้องกรอกตัวเลขลงไปในบัญชีประเภทต่างๆกันเป็นชั่วโมงๆ

"วันหนึ่ง ผมเกิดไปอ่านแม๊กกาซีนธุรกิจฉบับหนึ่งเข้า แล้วก็ได้ความรู้เกี่ยวกับการตั้งโปรแกรมง่ายๆในเครื่องคอมพิวเตอร์ชนิดตั้ง โต๊ะ ซึ่งจะใช้เวลาเพียงแค่นาทีเดียว ทำงานที่นักบัญชีทั้งหลายในบริษัทผม ทำกันด้วยมือเป็นชั่วโมงๆ ซึ่งโปรแกรมนั้น คุณจะใช้กับบัญชีแยกประเภทชนิดไหนก็ได้ สามารถตั้งตัวเลขได้ทั้งคอลัมภ์ และเป็นแถว และเหมาะสมกับการที่จะนำมาใช้กับงานบริษัทเป็นอย่างยิ่ง คุณสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเลขได้โดยง่าย ตั้งแต่หนึ่งตัวขึ้นไป"

"สำหรับผลที่เกิดขึ้นก็คือ ตัวเลขจำนวนใดก็ตาม ที่เกี่ยวข้องอยู่กับตัวเลขที่คุณเปลี่ยน มันจะเปลี่ยนจำนวนไปได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งคุณจะเห็นว่า ความรวดเร็วในการทำงานที่เกิดขึ้น จะทำให้อนาคตของบริษัทเป็นอย่างไร"

"ยกตัวอย่างเช่น คุณตั้งโครงการไว้สำหรับการใช้เงินจำนวนหนึ่ง ซึ่งยกประโยชน์ให้กับภาวะการลดค่าเงินลงปีละ 9 เปอร์เซ็นต์ แต่คุณอยากจะรู้ว่า ถ้าค่าเงินถูกลดลง 12 เปอร์เซ็นต์ บริษัทจะต้องจ่ายเงินจำนวนเท่าไร คุณเพียงแต่ใส่ตัวเลขลงไปแล้วกดคีย์บอร์ด คุณก็จะได้ผลลัพธ์ออกมา ซึ่งก่อนหน้านี้ คุณจะต้องคิดคำนวณตัวเลขมากมายบนหน้ากระดาษ "

"และก่อนหน้าที่ผมจะยกคอมพิวเตอร์พวกนี้ มาตั้งลงบนโต๊ะของเจ้าหน้าที่ฝ่ายการบัญชีทั้งหลาย ผมก็ได้ตัดสินใจว่า ควรจะทำการทดลองด้วยตนเอง ผมก็เลยเอากลับไปบ้าน เพื่อทดลองใช้เครื่องดูในวันหยุด แล้วผมก็ได้พบว่า คอมพิวเตอร์นั้นใช้ได้ผลดีจริงๆ เมื่อผมทดลองดูด้วยตนเองแล้ว ผมก็ให้ลูกชายอายุ 12 ขวบ ลองเล่นดูด้วย ปรากฏว่า แกสามารถจะทำได้ทันที แกเรียนรู้วิธีการใช้เครื่องได้อย่างรวดเร็ว เพราะมันง่ายมาก "

"หลังจากนั้น ผมก็สั่งซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะชนิดนี้ มา 6 เครื่อง เพื่อให้ฝ่ายวางแผนทางด้านการเงินใช้ และแล้ว ผมก็ต้องพบกับความแปลกใจอย่างที่สุด คือ เจ้าหน้าที่พวกนั้น กลัวไอ้เครื่องคอมพิวเตอร์นี่กันเป็นแถวเลย ผมต้องใช้เวลาอยู่นาน พยายามสอนให้ทุกคนรู้จักการตั้งโปรแกรม"

บลูพเพอโฟเบี่ย ก่อให้เกิดอะไรกับผู้เจริญวัยบ้าง ?


หลังจากที่หงุดหงิดใจอยู่เป็นอาทิตย์ โฮเวิร์ดจึงได้รู้ว่า มันมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นกับเจ้าหน้าที่ของเขา คนพวกนี้ เป็นโรคชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า " บลูพเพอโฟเบี่ย" ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว มักจะเป็นกับคนที่เจริญวัยแล้ว
"ตอนนี้ ผมก็มานั่งคิดพิจารณาว่า ทำไมลูกชายผม ถึงเรียนรู้วิธีการใช้คอมพิวเตอร์แบบนั้นได้อย่างรวดเร็ว แล้วทำไม มันถึงลำบากยากเย็นเสียเหลือเกิน สำหรับคนที่โตเป็นหนุ่มเป็นสาวขนาดนั้นแล้ว และผมก็คิดขึ้นมาได้ว่า เด็กๆนั้น แกไม่กลัว ว่าตัวเองจะทำอะไรผิด ทั้งนี้เพราะแกไม่เคยได้เรียนรู้ว่า การทำผิดนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ดี.. แต่คนที่โตแล้ว โดยเฉพาะเมื่อเข้ามาทำงาน ในตำแหน่งที่ต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับการเงิน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ จำเป็นที่จะต้องให้ตัวเองมีความรู้สึกว่า ตนเองเป็นผู้ที่มีความสามารถ เขามีความเห็นว่า การกระทำอะไรที่มันผิดพลาดไป เท่ากับว่า คนๆนั้น ไร้ความสามารถ "

แต่ในความเป็นจริง ก็คือ ถ้าคนเราจะเรียนรู้อะไรก็ตามที่มันเป็นสิ่ง ใหม่ๆ มันจำเป็นจะต้องให้มีความผิดพลาดเกิดขึ้นเสียก่อน ซึ่งมันก็เหมือนกับการขับรถ พอเราสตาร์ทเครื่องขึ้น ก็ตั้งท่าจะแล่นออกไปนอกถนนเลยทีเดียว ซึ่งนับว่า เป็นความผิดพลาด เราจะต้องหมุนพวงมาลัยให้เลี้ยวไปทางขวาทีละน้อย และต่อๆไป เราก็จะรู้ได้เองว่า การปรับพวงมาลัยที่บังคับล้อรถอย่างชนิดค่อยๆเป็นค่อยๆไปนั้น มันทำให้รถวิ่งทางตรง แล้วก็ตีวงแคบได้

"เมื่อผมรู้อย่างนี้แล้ว คุณก็คงจะสงสัยว่า ผมทำอย่างไรกับ โรคกลัวความผิดพลาด ของบรรดาเจ้าหน้าที่ในบริษัท? "
" ผมใช้วิธีง่ายๆ คือ แสร้งทำเป็นไม่สนใจเลย และผมก็บอกกับพวกเขาว่า การใช้เครื่องนี้ อาจมีความผิดพลาดเกิดขึ้น และผมต้องการจะให้มันเกิด เพราะอยากรู้ว่า ผลที่ออกมาจะเป็นอย่างไร และผมก็ยังบอกให้ทุกคน เอาเครื่องคอมพิวเตอร์นั้น กลับไปทดลองใช้ที่บ้านด้วย ซึ่งผมรู้ว่า ทุกคนต้องการจะทดลองเครื่องเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว เพราะจะทำผิดทำถูกอย่างไร ก็ไม่มีใครมาเห็น"

ผลน่ะรึ เพียงแค่สัปดาห์เดียว เจ้าหน้าที่แต่ละคน ก็ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์นั่นกันอย่างมีความสุข ยิ่งในตอนหลังๆนี่ด้วย ถึงกับพูดออกมาดังๆเลยว่า ถ้าไม่มีไอ้เครื่องนี่ ก็ยังไม่รู้จะทำงานกันได้อย่างไร

photo001

จงอย่าให้ "โรคกลัวความผิดพลาด" ฉุดรั้งคุณไว้


มันเป็นเรื่องที่รู้กันอยู่แก่ใจว่า เราซึ่งถือว่าตัวเองเป็นคนโตแล้วนั้น ไม่ชอบที่จะเห็นตนเองกระทำในสิ่งที่ผิดพลาด เพราะเราถูกสั่งสอนอบรมมาอย่างนั้น ครูที่โรงเรียน พร้อมจะให้รางวัล เมื่อเรากระทำในสิ่งที่ถูกต้อง และจะลงโทษ ถ้าเราสอบได้เกรดไม่ดี หรือเมื่อเราทำผิด พ่อแม่ของเรา ก็อบรมสั่งสอนเราด้วยวิธีการเดียวกันนี้ ซึ่งก็เช่นเดียวกันกับนายจ้างของเราทุกคน ซึ่งปัจจุบัน เป็นที่เข้าใจกันดีอยู่ว่า นั่นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง...

ที่ว่าไม่ถูกต้อง ก็เพราะว่า การเรียนรู้เพื่อหาประสบการณ์อย่างแท้จริงนั้น มันเกี่ยวข้องอยู่กับช่วงเวลาแห่งการทดลอง และการกระทำที่ผิดพลาด สิ่งที่มีความสำคัญกว่านั้น มิใช่เพียงแค่การเรียน เพื่อจะรู้จักวิธีการใช้เครื่องเท่านั้น แต่จะต้องแสวงหาความเชี่ยวชาญ ในสิ่งใหม่ๆด้วย

ถ้าคุณได้ให้คำปรึกษากับตัวเองในที่นี้ และขณะนี้ และพยายามรักษาคำปฏิญาณนั้นต่อไป จนถึงวันเวลาในอนาคต ผมยืนยันได้เลยว่า คุณจะมีความรู้มากกว่า และเรียนรู้ได้เร็วขึ้น คำปฏิญาณดังกล่าวนั้น ก็คือ

"จะหลีกเลี่ยงกับการต่อสู้กับความผิดพลาด อันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ ในการที่เราจะหาความรู้ความเชี่ยวชาญในสิ่งใหม่ๆ" ถ้าคุณทำได้เช่นนี้ โรคกลัวความผิดพลาด ก็จะกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยลงเรื่อยๆ และในที่สุด คุณก็จะไม่นึกถึงวันอีกเลย

เคล็ดลับแห่งความสำเร็จ


กว่า 10 ปีมาแล้ว ที่ผมเริ่มเขียนหนังสือ และแสดงปาฐกถาในหัวข้อที่เกี่ยวกับความสำเร็จของบุคคล ผมได้พยายามทำการวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ซึ่งมีผลต่อเนื่องมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ในการทำงานของผมนั้น ผมได้พบปะและสนทนากับบุคคลผู้ประสพความสำเร็จ ในงานประเภทต่างๆ อาทิ
  • นักธุรกิจ
  • นักการเมือง
  • เจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์และต้อนรับ
  • ข้าราชการ
  • ผู้ที่อยู่ในวงการศาสนา
  • ผู้ที่เกี่ยวข้องในวงการศึกษา
จากการที่ได้สนทนา ทำงานร่วมกันกับเขา และเขียนหนังสือที่เกี่ยวกับบุคคลเหล่านั้น ผมได้พบองค์ประกอบมากมาย อันนำไปสู่ความสำเร็จ แต่ทว่า น้อยนักที่แต่ละคนจะมีวิธรการ หรือใช้วิธีการที่เหมือนกัน ยกตัวอย่าง เช่น

นายเอ ที่เป็นนักธุรกิจ อาจจะก้าวขึ้นไปสู่ความสำเร็จ เนื่องจากเขามีความสามารถในการเจรจา - ต่อรอง ในขณะที่นายบี ซึ่งเป็นนักการเมือง สามารถจะก้าวขึ้นไปสู่ตำแหน่งสูงๆได้ เพราะความเป็นผู้ที่มีบุคลิกลักษณะดี อย่างไรก็ตาม ในระหว่างบุคคลที่ประสบความสำเร็จนั้น เขาจะมีสิ่งที่เหมือนกันอยู่ 2 ประการ นั่นก็คือ
- ความปรารถนาอย่างลึกซึ้งที่จะก้าวขึ้นไปสู่ความสำเร็จ
- และความพยายาม ที่จะใชัพลังสมองให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้

บุคคลเหล่านี้ เป็นนักคิด เป็นผู้ที่มีความก้าวหน้าในทางความคิด และเป็นผู้ที่ประสพความสำเร็จ แต่การที่เขาเป็นเช่นนั้น มิได้หมายความว่า เขาเป็นบุคคลที่มีสติปัญญาเฉียบแหลมเกินกว่าคนอื่นๆ ส่วนใหญ่แล้ว แทบจะไม่มีคุณสมบัติเช่นนั้นด้วยซ้ำ

แต่เนื่องจากความปรารถนาอันลึกซึ้ง ที่ต้องการจะประสบความสำเร็จ ทำให้เขาพยายามเรียนรู้วิธีการต่างๆ ที่จะทำให้เขามีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น และใช้สิ่งที่สำคัญที่สุดที่มีอยู่ในตัวเองให้เป็นประโยชน์ สิ่งนั้นก็คือ มันสมอง ดังนั้น การที่คุณตกลงใจอ่านเอกสารฉบับนี้ ก็เท่ากับคุณได้แสดงให้เห็นว่า คุณก็เช่นเดียวกันกับเขา คือ

มีความปรารถนาอย่างลึกซึ้ง ที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จ และขณะนี้ คุณก็กำลังจะได้รับประโยชน์จากขั้นตอนที่ 2 ของการก้าวไปสู่ความสำเร็จนั้นแล้ว นั่นก็คือ คุณจะได้เรียนรุ้ถึงวิธีนำพลังสมอง มาใช้ให้เป็นประโยชน์



กลวิธีเพิ่มพูนความทรงจำ



อาจจะมีบางครั้ง ที่คุณคิดขึ้นมาว่า คุณเกิดมาในโลกนี้พร้อมกับความจำที่เลวที่สุด ข้อมูลที่เคยรู้ ก็ถูกหลงลืมไป โดยเฉพาะในเวลาที่คุณเกิดต้องการใช้ขึ้นมา บางครั้งก็รู้สึกว่า เป็นการยากยิ่งอย่างเหลือเกิน ที่จะจดจำวันที่ หรือตัวเลข
แล้วเรื่องชื่อเล่า ? ในบางครั้ง คุณอาจรู้สึกขัดเขินอยู่เป็นครู่ เมื่อมีบุคคลที่คุณนึกไม่ถึงเดินเข้ามาทักทาย เขาผู้นั้นสามารถเรียกชื่อคุณได้อย่างถูกต้อง แต่ปรากฏว่า คุณนึกชื่อเขาไม่ออกเอาเสียเลย

และกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ที่คุณไม่อาจจะสรรหาคำพูดที่อยากพูดออกมาได้ คุณไม่รู้ว่ามันหายไปไหนหมด กว่าจะนึกออกก็อีกตั้งครึ่งชั่วโมง ซึ่งก็เลยเวลาที่ต้องการใช้ไปแล้ว อย่ากังวลใจไปเลย ความทรงจำของคุณ ดีกว่าที่คุณคิดไว้มากนัก...

แต่ที่มันเป็นเช่นนี้ ก็เพราะว่า คุณเองก็เช่นเดียวกับคนอีกนับล้าน ที่ไม่เคยได้เรียนรู้ถึงวิธีการที่จะใช้มัน อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งข้อมูลต่างๆ ตัวเลข ชื่อ และถ้อยคำเหล่านี้ คุณสามารถจะนึกออกได้ในทันใด พร้อมที่จะหลั่งไหลออกมาให้คุณได้ใช้ ในทุกครั้งที่คุณต้องการ..
ขอแต่เพียงให้คุณรู้จักที่จะดัดแปลงอีกเล็กน้อยให้เหมาะสม หรือให้เข้ากับความทรงจำในตอนแรกเสียก่อนเท่านั้น

กุญแจดอกที่จะไขเข้าไปสู่ความทรงจำที่ดี


ในหัวข้อนี้ คุณจะได้พบกับสูตร 4 ประการ อันจะช่วยให้ความทรงจำของคุณมีประสิทธิภาพขึ้น จะทำให้คุณเรียกข้อมูลต่างๆออกมา ได้มากกว่าที่มันเคยเป็น ซึ่งสูตรดังกล่าว เกี่ยวข้องอยู่กับ
  1. ข้อมูลทั่วไป
  2. ข้อมูลทางตัวเลข
  3. ชื่อของบุคคล
  4. ถ้อยคำใหม่ๆ
เป็นธรรมดา ที่คุณต้องการจะขยายความทรงจำ ในความสำคัญทั้ง 4 ประการนี้ ตามลำดับ ซึ่งถ้าคุณทำได้เช่นนั้น การที่คุณจะติดต่อกับคนอื่นๆ ก็ย่อมสามารถทำได้ดีขึ้น และดูคุณจะมีไหวพริบปฏิภาณสูงขึ้น แต่จะผิดหรือถูกก็ตาม คนส่วนมาก มักมีความตั้งใจที่จะเพิ่มสติปัญญาของตนเอง ไปในเรื่องของความทรงจำ มากกว่าความสามารถในความมีเหตุผล

แม้ว่า หลัก 4 ประการที่กล่าวมานี้ จะมีรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป แต่ทุกประการ จะมีสิ่งที่เหมือนกันอยู่ประการหนึ่ง คือ ความเป็นอิสระ ในการกระทำที่เชื่อมต่อกัน ซึ่งหมายความว่า ด้วยทางใดทางหนึ่ง มันจะทำให้คุณจดจำข้อมูลใหม่ๆ ได้ ด้วยการประสาน หรือเชื่อมเข้ากับอะไรบางสิ่ง ที่คุณมีความรู้ดีอยู่แล้ว

ก่อนที่เราจะเลยไปพูดกันถึ งสูตรดังกล่าว มีหลักสำคัญอยู่ 2 ประการที่คุณจะต้องจดจำไว้ คือ

  1. ข้อมูลใดก็ตาม ที่คุณต้องการจะจดจำ จะต้องผ่านเข้ามาทางความเข้าใจ
  2. คุณจะต้องแน่ใจแล้วว่า มันเป็นสิ่งที่คุณต้องการจดจำอย่างแท้จริง
คุณจะจดจำสิ่งที่คุณไม่รู้ได้อย่างไร
คำตอบก็คือ
คุณย่อมทำไม่ได้
และนั่นคือเหตุผลที่ว่า ทำไมคุณจึง ประสบความยุ่งยาก ในการจดจำชื่อบุคคลที่พบปะ....
ทั้งนี้ เพราะคุณมิได้รู้ชื่อเขามาก่อนนั่นเอง แม้แต่ในบางครั้งที่คุณทราบชื่อเขาอย่างถูกต้อง คุณก็จะไม่มีหวังที่จะจดจำชื่อเขาไว้ได้นาน นอกเสียจากคุณจะมีความตั้งใจที่จะทำเช่นนั้น
ผมขอถามว่า
คุณสามารถจะจดจำหมายเลขโทรศัพท์ 3 ตัวสุดท้าย ในขณะที่หมุนหมายเลขอยู่ได้หรือไม่ ?
แน่นอน ที่คุณย่อมจะจำไม่ได้ เพราะคุณไม่มีความต้องการที่จะจดจำ ในขณะที่หมุนหมายเลยนั้นอยู่ การที่คุณจะมีเพียงแค่ความรู้ กับความต้องการนั้น ยังมิใช่สิ่งที่พอเพียง แต่เมื่อใดก็ตาม ที่คุณตัดสินใจแน่วแน่ว่า จะต้องจดจำข้อมูล หรือ กลุ่มของข้อมูลดังกล่าวให้ได้แล้ว คุณก็จะต้องมีสูตร...

ซึ่งสูตรนั้น จะต้องทั้งง่าย และไม่ผิดพลาด ซึ่งมีดังนี้

สูตรในการสร้างดัชนีข้อมูล เพื่อการนแก้ปัญหา และทบทวนข้อมูลที่ต้องการ


ประการแรก ขอให้เราได้มาปลดภาระ ลงจากบ่าคุณเสียก่อน โดยความเป็นจริง คุณไม่จำเป็นจะต้องจดจำให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้ เช่นที่คุณคิดว่า ควรจะจำ
ในหลายๆกรณี สิ่งที่คุณจำเป็นต้องจดจำจริงๆ มีเพียงแค่ว่า จะหาข้อมูลที่คุณต้องการ ได้จากที่ไหน และอย่างไรเท่านั้น
เมื่อไอน์สไตน์ ถูกถามว่า ใน 1 ไมล์มีกี่ฟุต นักคณิตศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ ยอมรับตามตรงว่า เขาไม่ทราบ เขาอธิบายว่า มันไม่มีเหตุผลที่จะต้องเอาข้อมูล ที่จะสามารถหาอ่านได้ในหน้าหนังสือคู่มือ ไปเก็บสะสมไว้ในสมอง

photo001 เมื่อหนังสือพิมพ์ ชิคาโก้ ทรีบูน ตีพิมพ์บทความซึ่งมีข้อความทำนองว่า เฮนรี่ ฝอร์ด เป็นคนโง่เขลาเบาปัญญานั้น เขาก็จัดการส่งเรื่องขึ้นฟ้องศาล ซึ่งบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ จะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า นักประดิษฐ์ผู้นี้ เป็นคนที่โง่เขลาเบาปัญญา เช่นที่บทความนั้นกล่าวประณามไว้หรือไม่
ทนายความของหนังสือพิมพ์นั้น ได้ตั้งคำถามต่างๆนานา ในเรื่องที่ ถ้าเป็นคนอื่นก็อาจจะตอบได้ เช่น ชื่อของประธานาธิบดี วันสำคัญในประวัติศาสตร์อเมริกัน เป็นต้น
เฮนรี่ ฝอร์ด ไม่สามารถจะตอบคำถามเหล่านั้นได้ทั้งหมด แต่ขณะเดียวกัน เขาก็แจ้งแก่ศาลว่า แม้เขาจะไม่รู้ในคำตอบเหล่านั้น เขาก็ยังสามารถจะหาใครสักคนหนึ่งมาให้ข้อมูลกับเขาได้โดยง่าย

ไอน์สไตน์ กับ ฝอร์ด มีความคล้ายคลึงกันน้อยมาก แต่เขามีความรู้ในสิ่งหนึ่งเหมือนกัน ซึ่งคนส่วนมากมักจะมองข้ามไป สิ่งนั้น คือ กฏแห่งอิทธิพลทางด้านจิตใจ ที่กล่าวว่า "มันเป็นการง่ายที่จะจดจำว่าจะหาข้อมูลจากที่ไหน เมื่อเรามีความจำเป็นจะต้องใช้ มากกว่าที่จะจดจำข้อมูลนั้นด้วยตนเอง"
นี่คือรากฐานของสิ่งที่ง่ายที่สุด แต่เป็นระบบในเรื่องของความทรงจำ ที่มีอิทธิพลอย่างมาก ซึ่งทั้งประธานธนาคาร เซลส์แมน และนักการเมือง ต่างก็นำมาใช้กันทั้งนั้น

และเราสามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากว่า จะมีก็แต่บุคคลที่ไม่ประสพความสำเร็จเท่านั้น ที่จะไม่นำมันออกมาใช้ และเราเรียกสิ่งนี้ว่า...

สูตรในการสร้างดรรชนีข้อมูล เพื่อการเก็บรักษา และทบทวนข้อมูลที่ต้องการ
เมื่อไม่นานมานี้ ในรายการสารคดีประจำสัปดาห์ ซึ่งเสนอผ่านทางโทรทัศน์ช่องหนึ่ง ซึ่งได้มีการสัมภาษณ์ นายธนาคารผู้มีชื่อเสียงที่สุดในอเมริกา ขณะที่เขาเดินทางจากเมืองหนึ่งไปยังอีกเมืองหนึ่ง ซึ่งจำเป็นจะต้องพบปะกับบุคคลสำคัญทั้งทางราชการ และในวงการธุรกิจ
เป็นที่เห็นได้ชัดว่า บุคคลที่เขาได้ไปพบปะด้วยนั้น ให้ความเคารพนับถือใตัวเขาอย่างจริงใจ นั่นมิใช่เป็นเพราะตำแหน่งหน้าที่ของเขาเท่านั้น แต่มีอะไรบางอย่างที่สำคัญกว่านั้น ซึ่งเขาได้บอกกล่าวถึงเคล็ดลับนี้ แก่ผู้ชมโทรทัศน์ว่า ก่อนที่เขาจะออกเดินทางมานี้ เขาได้ให้เจ้าหน้าที่ทำรายงานย่อๆ เป็นประวัติของแต่ละบุคคล ซึ่งเขาจะต้องเข้าพบ เมื่อถึงตอนขึ้นเครื่องบิน เขาก็เอารายงานเหล่านี้ ซึ่งมีข้อมูลต่างๆมากมาย เกี่ยวกับบุคคลเหล่านี้ขึ้นมาทบทวน

ถ้าคุณจะคิดว่า บุคคลที่เขาได้ไปพบ มีความประทับใจในตัวเขาอย่างยิ่ง เนื่องจากเขาสามารถจดจำเรื่องราวเกี่ยวกับตนเองได้อย่างมากมาย คุณก็คิดถูกแล้ว และถ้าคุณจะคิดว่า ทางธนาคารจะต้องได้รับผลประโยชน์ทางด้านธุรกิจ จากบุคลเหล่านั้นเกินกว่าที่คาดหวังไว้ คุณก็คิดถูกอีกอยู่ดี

เซลส์แมนชั้นนำ จดจำลูกค้าของเขาด้วยวิธีใด


รอน อาร์ เป็นเซลส์แมนชั้นนำ ทำงานอยู่ในบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง ไม่มีเซลส์แมนคนใด ที่มีความสามารถทัดเทียมเขาได้เลย และเซลส์แมน ซึ่งเคยมีโอกาสร่วมเดินทางไปพบปะลูกค้าพร้อมกับเขา ก็ได้ยืนยันถึงความสำเร็จของเขาว่า เนื่องมาจาก "ความทรงจำอันเป็นเลิศ" ที่เกี่ยวกับลูกค้าของเขานั่นเอง

เพื่อนร่วมงานของรอนคนหนึ่ง ได้เล่าให้ผมฟังว่า "ความทรงจำของรอน เกี่ยวกับเรื่องผู้คนที่เขาได้พบปะ ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องทางครอบครัว และเรื่องส่วนตัวต่างๆของลูกค้า เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์อย่างเหลือเกิน ในวันหนึ่งๆ เขาสามารถจะพบกับลูกค้าได้มากกว่า 12 ราย และแต่ละราย เขาก็จะสอบถามเกี่ยวกับความเป็นไปในครอบครัว เอ่ยชื่อญาติสนิทมิตรสหาย รวมไปถึง ครอบครัวของบุคคลเหล่านั้นได้อย่างถูกต้อง นอกจากเรื่องส่วนตัวแล้ว เขาก็ยังรู้ไปถึงงานอดิเรก และความสำเร็จในหน้าที่การงานของลูกค้าแต่ละคนอีกด้วย เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมลูกค้าจึงชอบเขามาก..."

เมื่อผมได้พบกับรอน ผมก็หาความรู้จากเขา เกี่ยวกับเรื่อง "ระบบของความจำ" ซึ่งเขาก็อธิบายให้ผมฟังว่า "ในตอนค่ำของทุกวัน ผมจะใช้เวลาประมาณ 20 นาที บันทึกเรื่องราวต่างๆที่น่าสนใจ ของลูกค้าแต่ละคนที่ผมได้พบในวันนั้น ลงไว้ในการ์ดเล็กๆ ผมบันทึกข้อมูลอันจำเป็นเกี่ยวกับบุคคลต่างๆไว้ เป็นการเตรียมตัวล่วงหน้า สำหรับการพบกันในครั้งต่อไป จากนั้นในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น ก่อนที่ผมจะออกไปเยี่ยมลูกค้า ผมก็จะเอาการ์ดของคนที่ผมจะต้องไปพบในวันนั้น ออกมาศึกษา"

" การที่ผมต้องบันทึกข้อมูลทั้งหลายของลูกค้าลงไว้ ก็เพราะผมต้องการจะให้เขาได้รับรู้ว่า ผมมีความสนใจในตัวเขาอย่างแท้จริง และความสนใจนั้น มีมากพอที่จะทำให้ผมต้องจดจำในสิ่งที่เขาเคยพูดไว้กับผม และนี่คือ เคล็ดลับในการทำงานของผม"

คุณจะนำสูตรดรรชนีข้อมูลมาใช้ได้ด้วยวิธีใด


ก่อนอื่น ผมใคร่จะขอร้องก่อนว่า คุณไม่จำเป็นจะต้องทำตามอย่างนายธนาคารผู้นั้น ซึ่งจะต้องมีรายงานเกี่ยวกับประวัติบุคคลที่จะพบปะ ติดตัวไว้เสมอ หรือไม่จำเป็นจะต้องเป็นเช่น รอน ที่ทำการ์ดเล็กๆ กรอกข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าที่จะไปพบไว้เลย

การที่ผมนำประสบการณ์ต่างๆ มาแสดงไว้ในที่นี้ ก็เพียงแต่ต้องการจะชี้ให้คุณเห็นว่า สิ่งที่ไอน์สไตน์กล่าวมานั้น เป็นความถูกต้องแล้ว คือ ไม่จำเป็นที่คุณจะต้องเอาข้อมูล ที่สามารถจะหาอ่านได้ในหนังสือคู่มือ ไปเก็บไว้ให้รกสมอง

มันจะเป็นการดีกว่ามาก ที่จะนำความทรงจำของคุณ มาใช้ให้เป็นประโยชน์ในระบบเดียวกับดรรชนี ซึ่งจะบอกให้คุณรู้ได้ว่า คุณจะหาข้อมูลที่ต้องการได้จากที่ใด ซึ่งวิธีนี้ ดีกว่าที่คุณจะต้องจดจำข้อมูลแต่ละอย่าง ไว้ด้วยตนเอง ซึ่งถ้าจะอธิบายให้คุณสามารถเข้าใจได้ง่ายขึ้น ก็คือ

ในหนังสือคู่มือต่างๆ คุณจะเห็นว่า ดรรชนีที่มีอยู่ในหนังสือนั้น จะมีประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์ของหน้าหนังสือทั้งหมด ดังนั้น ในดรรชนีแต่ละหน้า จะให้ข้อมูลหนังือไว้ถึง 33 หน้า เพราะฉะนั้น คุณคิดว่า วิธีใดจะดีกว่ากัน

การจดจำดรรชนีเพียง 1 หน้า หรือข้อความในหนังสือถึง 33 หน้า คำตอบก็คือ คุณจะต้องอยากจดจำดรรชนีมากกว่า เพราะเหตุนี้ ในปัจจุบัน บุคคลในระดับบริหารทั้งในด้านธุรกิจ ด้านการศึกษา และด้านการวิทยาศาสตร์ จึงหันมาใช้สูตรดรรชนีข้อมูลกันเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะมันช่วยในการสร้างเสริมความทรงจำ สามารถทำให้เขารู้ข้อมูลได้ถึง 33 หน้า หรือมากกว่านั้น

วิธีบรรลุถึงความต้องการด้านความทรงจำ


น้อยคนนักที่จะปฏิบัติเช่น รอน อาร์ คนส่วนมากจะไม่มีการทำการ์ดข้อมูล ของบุคคลที่ตนต้องการจะจดจำเก็บไว้ เพราะคุณอาจมิใช่เซลส์แมน ที่มีความจำเป็นจะต้องพบปะกับลูกค้ามากมายในแต่ละสัปดาห์ และคุณก็ไม่จำเป็นจะต้องเก็บแฟ้มข้อมูลไว้ เพื่อสร้างความประทับใจให้เกิดขึ้นกับใคร

ถ้าคุณเป็นเช่นคนอื่นๆ สิ่งที่เป็นความจำเป็นของคุณ คือ วิธีการที่จะเพิ่มความสามารถ ในการที่จะเรียกความจำเกี่ยวกับข้อมูลที่สำคัญ ซึ่งคุณได้เก็บสะสมมาจากการอ่านประจำวัน

สูตรที่ผมจะอธิบายต่อไปนี้ ได้ถูกนำไปใช้ โดยบุคคลที่ประสบความสำเร็จมากมายทั่วโลก บุคคลเหล่านั้น คือ ผู้ที่จะต้องได้รับรายงาน บันทึก ตัวอย่างการโฆษณา หนังสือ ประกาศ และ ฯลฯ อยู่เป็นประจำวัน คุณคิดว่า เขาจะจดจำสิ่งที่อ่านได้ทั้งหมดหรือ ?

คำตอบก็คือ ไม่ได้แน่ แต่เมื่อใดก็ตาม ที่เขาต้องการข้อมูลที่มีความสำคัญ เขาจะสามารถรู้ได้ว่า จะหาข้อมูลนั้นได้จากที่ใด ซึ่งถึงแม้ว่าข้อมูลเหล่านั้น อาจจะเก็บรักษาไว้เป็นเวลา 1-2 ปี หรือมากกว่านั้น แต่บุคคลผู้ประสพความสำเร็จเหล่านี้ ก็สามารถค้นหาได้

อย่างไรก็ตาม คุณจะต้องตระหนักว่า สูตรนี้ มิได้คิดขึ้นเพื่อจะให้คุณได้เรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆทั้งหมด แต่สิ่งที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่ในเวลานี้ คือ สูตรดรรชนีข้อมูล ซึ่งหมายถึงการที่เราจะเปิดหาข้อมูล ซึ่งอาจจะมีความจำเป็น ที่จะต้องใช้อ้างอิงในอนาคตได้ ซึ่งข้อมูลนั้น อาจเกี่ยวข้องในเรื่องของธุรกิจ งานอดิเรก หรือเรื่องอื่นใดก็ตาม ที่อยู่ในความสนใจของคุณ

มีคำถามอยู่ว่า สมองของมนุษย์นั้น สามารถจะทำงานแบบดรรชนีของหนังสือเล่มใหญ่ๆในการเก็บข้อมูลได้หรือไม่? คำตอบ ก็คือ ได้
เพียงแต่มิใช่ดรรชนีที่ขึ้นต้นด้วย A และจบลงด้วย Z แบบในหนังสือเท่านั้น ในการใช้สูตรดรรชนีข้อมูลนี้ มิได้เป็นไปในลักษณะ ที่คุณจะเปิดตัวอักษรขึ้นในใจ จนกว่าจะถึงคำที่ต้องการ เพราะจิตใจของคนเรา มิได้ทำงานในลักษณะนั้น

photo001วิธีหนึ่ง ที่จิตใจของคนเราทำงาน ก็คือ " คุณสามารถจะจดจำข้อมูลใหม่ๆได้อย่างขึ้นใจ และตลอดไป ถ้าคุณให้ความสนใจในข้อมูลนั้นอย่างจริงจัง และมีความเกี่ยวพันเป็นพิเศษ กับข้อมูลดังกล่าว" ยกตัวอย่างเช่น ในโรงเรียน เมื่อคุณต้องการจะจำชื่อทะเลสาบใหญ่ๆ คุณอาจจะเอาอักษรตัวหน้าของทะเลสาบนั้นๆ มาผูกกันเข้าเป็นคำ

เช่น คำว่า HOMES ซึ่งหมายถึงทะเลสาป HURON, ONTARID, MICHIGAN, ERIE และ SUPERIOR เป็นต้น
หรือเมื่อเราจะเรียนดนตรี เราอาจจะผูกอักษรตัวแรกของบันไดเสียงต่างๆเข้าด้วยกันเป็นประโยค เช่น Every Good Boy Deserves Fun เช่นนี้ เป็นต้น

ผมมีเพื่อนคนหนึ่ง เป็นนายแพทย์ ซึ่งใช้วิธีการเดียวกันนี้ ในการจดจำข้อมูลทางด้านการใช้ยาต่างๆ ซึ่งเขากล่าวกับผมว่า " มันเป็นเรื่องสนุกมาก ที่ผมจะค้นหาวิธีผูกคำต่างๆ ขึ้นเป็นพิเศษ ให้คล้องจองกัน หลังจากที่ผมผูกคำใหม่ๆขึ้นมาได้ 1 คำ ผมจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ หลับตาลง และพยายามมองให้เห็นภาพของคำที่ผูกขึ้นว่า แต่ละตัวอักษรนั้นแทนความหมายของอะไร วิธีนี้ ผมจะผนึกมันไว้ในความทรงจำและเมื่อใดก็ตาม ที่ผมต้องการจะใช้ข้อมูลดังกล่าว ผมจะรู้ได้ทันทีว่า ผมจะต้องค้นหาจากหนังสือเล่มไหน"

การจดจำชื่อคน ด้วยเทคนิคของการนำตนเองเข้าไปผูกพัน


ถ้าคุณมีความยุ่งยากในการจดจำชื่อของบุคคล เท่ากับคุณได้ทำร้ายตัวเองรุนแรงกว่าที่คาดคิดไว้ โดยธรรมชาติ คนเราชอบที่จะได้ยินชื่อของตนถูกกล่าวออกมา วิธีการที่ง่ายที่สุด ในการผูกความสนใจของใครคนหนึ่งไว้ ก็คือ พยายามเรียกชื่อของเขา หรือเธอ ให้บ่อยครั้งขึ้น

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ
วิธีการที่จะทำให้คนหมดความสนใจในตัวคุณได้เร็ว และง่ายที่สุด ก็คือ จงลืมชื่อเขาเสีย การลืมชื่อของใครก็ตาม เท่ากับคุณลืมสิ่งสำคัญที่สุดซึ่งเขาเป็นเจ้าของอยู่ และเป็นการดูหมิ่นเหยียดหยามเขาอย่างร้ายแรง มันแสดงให้เห็นว่า คุณมิได้มีความสนใจในตัวเขาเลย ซึ่งจะทำให้คุณต้องสูญเสีย
  • มิตรภาพ
  • ความสัมพันธ์ทางด้านธุรกิจ
  • ความเคารพนับถือ
  • โอกาสที่จะได้งานทำ
  • ความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมคนส่วนมาก จึงมักจะลืมชื่อผู้อื่นเสมอ? คำตอบก็คือ เป็นเพราะเขามิได้เรียนรู้ในหลักความจริงที่ว่า อิทธิ พลทางด้านจิตใจนั้น สามารถจดจำชื่อคนได้ง่ายกว่า การที่คุณจะหาทางออกจากสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจที่เกิดขึ้น เมื่อคุณลืมชื่อของใครคนใดคนหนึ่งไป ... หรือที่ร้ายแรงกว่านั้น ก็คือ เรียกชื่อผิด

คุณเคยตกอยู่ในสถานการณ์เช่นที่ว่านี้บ้างหรือไม่ ในบางครั้ง คุณอาจจะไปพบเข้ากับใครคนหนึ่ง โดยมิได้คาดฝัน ทั้งๆที่ชื่อของเขาติดอยู่ตรงปลายลิ้น แต่คุณกลับนึกไม่ออก ซึ่งสิ่งนี้ จะไม่เกิดขึ้นกับคุณอีกเลย ถ้าคุณจะนำระบบบันได 5 ขั้น ซึ่งคุณจะได้เรียนรู้ต่อไปนี้เข้ามาใช้

บันไดขั้นที่ 1 คุณจะต้องตัดสินใจอย่างแน่นอน ว่านับแต่นี้เป็นต้นไป คุณจะเรียนรู้และจดจำชื่อของคนทุกคน ที่คุณได้รับการแนะนำให้รู้จัก คุณจะต้องเตือนใจตนเองเช่นนี้ทุกวัน และทุกครั้งที่คุณได้รับการแนะนำ ให้รู้จักกับใครก็ตาม

บันไดขั้นที่ 2 เมื่อมีการแนะนำเกิดขึ้น คุณจะต้องมั่นใจว่า คุณจดจำชื่อของบุคคลผู้นั้นได้อย่างถูกต้องถ้าจำเป็น คุณสามารถจะย้อนถาม และให้เขาได้กล่าวชื่อของตนเองซ้ำอีกครั้ง และบางครั้ง ให้เขาสะกดให้ฟังด้วยก็ยังได้

บันไดขั้นที่ 3 เมื่อคุณได้รับการแนะนำให้รู้จักเรียบร้อยแล้ว จงย้ำชื่อเขาออกมาและในระหว่างการสนทนา จงเรียกชื่อเขาเสมอ หรือในทุกโอกาสที่ทำได้

บันไดขั้นที่ 4 จงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างชื่อ ให้เข้ากับบุคคลเจ้าของชื่อนั้นๆ หรือลักษณะพิเศษประการใดประการหนึ่งที่ปรากฏอยู่ ซึ่งจะเตือนใจคุณให้นึกถึงเขาได้ เช่น สูง ผอม อ้วน เตี้ย ดำ หรือขาว ฯลฯ เป็นต้น

บันไดขั้นที่ 5 หลังจากเลิกงานในตอนเย็นแล้วทุกวัน จงจดบันทึกสั้นๆเกี่ยวกับบุคคลที่คุณได้พบปะลงไว้ เพื่อเตือนความจำ และจงเอาบันทึกนี้มาอ่านทบทวนในทุกครั้งที่เติมชื่อใหม่ลงไป พร้อมกับใช้เทคนิคของบันใดขั้นที่ 4 เข้ามาประกอบ ซึ่งจะทำให้คุณสามารถเห็นภาพเจ้าของชื่อได้ในทันที

จากบันไดทั้ง 5 ขั้นนี้ มีขั้นใดที่สำคัญที่สุด
ผู้ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในเรื่องการจำชื่อคนกล่าวว่า ทุกข้อมีความสำคัญเท่าเทียมกัน ถ้าขาดข้อใดข้อหนึ่ง ความสามารถในการจำชื่อของคุณจะลดน้อยลง ดังนั้น คุณจึงควรใช้มันทุกข้อ และเราสามารถจะรับประกันในความสำเร็จของคุณได้

ขอให้เราได้มาดูกันว่า ทำไมแต่ละข้อจึงมีความสำคัญ
1. การที่คุณตัดสินใจอย่างแน่วแน่ ที่จะเรียนรู้ และจดจำชื่อบุคคล และพยายามเตือนตัวเอง ถึงการตัดสินใจเช่นนี้อยู่อย่างสม่ำเสมอ จะทำให้คุณสามารถจดจำชื่อบุคคลได้อย่างแม่นยำที่สุด คุณจะนึกชื่อเขาออกได้ในทันที และชื่อนั้น จะผ่านเข้ามาในสมองได้อย่างง่ายดาย ดังนั้น ความตั้งใจที่จะจดจำชื่อทุกคนที่ผ่านเข้ามาให้คุณได้รู้จัก จึงเป็นบันไดขั้นแรก

2. การที่คุณทักทายบุคคลด้วยชื่อผิดๆนั้น ดูจะเป็นการกระทำที่ร้ายแรงกว่า การที่คุณจะไม่เรียกชื่อเขาออกมาเสียเลย ดังนั้น กระบวนการที่สร้างความมั่นใจว่า คุณจะเรียกชื่อเขาได้อย่างถูกต้อง จึงเป็นประโยชน์ประการที่สอง ซึ่งคุณจะได้รับและช่วยให้คุณสามารถบันทึกชื่อเขา ลงในความทรงจำได้ง่ายขึ้น

3. แม้แต่เด็กนักเรียน ก็สามารถจะบอกคุณได้ว่า การที่เราทำอะไรซ้ำๆ นั้น เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อความจำเป็นอย่างยิ่ง การที่คุณเอ่ยชื่อบุคคลที่กำลังสนทนาอยู่ด้วยอย่างสม่ำเสมอ และมองตรงไปยังใบหน้าของเขาตรงๆ จะช่วยให้คุณจำเขาได้ดีขึ้น

4. เทคนิคที่สร้างความสัมพันธ์ ระหว่างชื่อ กับบุคลิกลักษณะ เป็นเทคนิคที่สร้างความจพได้อย่างมีประสิทธิภาพ จงใช้หลักในการบันทึกความทรงจำตามที่ได้แนะนำไว้ แล้วคุณจะพบว่า บางครั้ง แม้คุณจะได้พบใครที่มีลักษณะคล้ายกับเขา คุณก็จะนึกถึงเขา และจำชื่อเขาได้ในทันที

5. การที่คุณใช้เวลาว่างหลังเลิกงานประจำ บันทึกชื่อของบุคคลที่คุณได้พบลงไว้ จะทำให้คุณได้รับประโยชน์ถึง 2 ประการ คือ มันเป็นการทดสอบและขยายภาพในความทรงจำ ให้แจ่มชัดขึ้น และประการที่สอง คุณสามารถจะทบทวนความทรงจำเกี่ยวกับตัวบุคคล ได้เป็นระยะๆ

วิธีการสร้างธนาคาร "ถ้อยคำ" ที่สามารถจะนำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ


มัอยู่ประการหนึ่ง ที่บุคคลจะใช้วิธีการในการตัดสินเรา ก็คือ จากถ้อยคำที่คุณนำมาใช้ และวิธีที่คุณใช้ถ้อยคำหรือคำพูดนั้นๆ ดังนั้น คำศัพท์ทั้งหลาย และความสามารถในการรู้จักใช้ถ้อยคำ จึงมีผลอย่างมากต่อความสำเร็จในชีวิตของคุณ

    มีอะไรหลายสิ่ง ที่คุณควรจะได้รู้ไว้เป็นการล่วงหน้า อาทิ
  • คุณไม่จำเป็นจะต้องใช้ศัพท์สูงๆ เพื่อสร้างความประทับใจให้เกิดขึ้นกับคนอื่นๆ
  • แม้ว่าความรู้ในเรื่องศัพท์ต่างๆของคุณ จะมีจำนวนจำกัด แต่ที่คุณต้องการเพิ่มขึ้นจริงๆ มีอีกไม่เกิน 200 คำ
  • ถ้าคุณสามารถเรียนรู้ในถ้อยคำอย่างถูกต้องแล้ว คุณจะพบว่า คำศัพท์ระหว่าง 100-200 คำนั้น สามารถจะทำให้คุณมีความรู้ แตกแขนงออกไปอีก 1,000 คำ หรือมากกว่านั้น

นี่คืออีกตัวอย่างหนึ่งที่ว่า อิทธิพลทางด้านจิตใจมีประโยชน์ต่อเราอย่างไรมันเป็นสิ่งที่ ที่ปรึกษาทางด้านธุรกิจมากมาย เห็นด้วยและยอมรับ
คุณไม่จำเป็นจะต้องเสียทั้งเงิน และเวลาเพื่อที่จะเข้ารับการอบรมตามหลักสูตรพัฒนาการใช้คำศัพท์ต่างๆเลย คุณไม่จำเป็นจะต้องจดจำคำศัพท์สูงๆไว้ยาวเหยียด เพราะถ้าเราจะพูดกันตามความเป็นจริงแล้ว ในภาษาพูดที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ ไม่จำเป็นจะต้องใช้ศัพท์สูงๆแต่อย่างใดทั้งสิ้น นอกเสียจากศัพท์เทคนิค ที่จำเป็นจะต้องนำมาใช้ในวงงานเท่านั้น

สิ่งที่คุณจำเป็นจะต้องมีก็คือ
ความ สามารถในการรู้จักใช้ถ้อยคำ ที่ขยายความหมาย และความเข้าใจให้กับผู้อื่นได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะทำให้ผู้อื่นรู้ได้ในทันทีว่า คุณเป็นผู้ที่มีสติปัญญา เป็นผู้ที่มีความรู้ โดยไม่จำเป็นต้องแสดงออกถึงความสามารถ ในการใช้ศัพท์สูงๆแต่ประการใด

ผมมีตัวอย่างที่จะยกมาให้คุณฟัง
อลัน วี. เป็นคนหนุ่มที่เรียนไม่จบชั้นไฮสคูลเสียด้วยซ้ำ แต่เขากลับได้รับการเลื่อนตำแหน่ง ขึ้นไปเทียบเท่ากับคนที่ได้รับปริญญามา อลัน เป็นพนักงานคนหนึ่ง ของฝ่ายช่าง ในบริษัทจำหน่ายเครื่องใช้ในสำนักงาน เขากล่าวว่า "ตำแหน่งที่ผมทำอยู่ แม้จะมีชื่อเรียกหรูๆว่า "ฝ่ายบริการงานช่าง" แต่จริงๆแล้วผมก็เป็นแค่ช่างซ่อมคนหนึ่งเท่านั้น ผมซ่อมพิมพ์ดีด และเครื่องอัดสำเนา ให้กับบริษัทผู้ผลิตใหญ่เแห่งหนึ่ง การทำงานในสนาม ก็หมายถึง การทำงานในบริษัทของลูกค้านั่นเอง

ผมมีความสุขกับการทำงานนั้น มาจนกระทั่งวันหนึ่ง ที่ผมได้สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง นั่นคือ ทางบริษัทเรียกค่าบริการในการทำงานของผม จากบริษัทลูกค้า ถึงชั่วโมงละ 50 เหรียญ แต่เขาจ่ายให้ผมไม่ถึง 10 เหรียญ แน่นอน มันก็เป็นที่รู้กันอยู่ว่า บริษัทมีเหตุผลที่จะต้องตั้งราคาขนาดนั้นเพื่อให้ได้กำไร ซึ่งเกิดจากแรงงานของผมนั่นเอง แต่ทว่าผมบังเกิดความสงสัยขึ้นมาว่า แล้วเงินจำนวนที่เหลือมันหายไปไหนหมด? และในทันใดนั้นเอง ผมก็คิดขึ้นมาได้ว่า หยาดเหงื่อของผมกับช่างคนอื่นๆ ที่ทำงานอยู่ในระดับเดียวกันนั่นเอง ที่กลายเป็นเงินเดือนของผู้จัดการฝ่ายช่าง ซึ่งไม่เคยออกไปสู่สนามเหมือนพวกผมเลย

นับตั้งแต่รถยนต์ที่พวกเขาขี่กัน ไปจนถึงบ้านที่เขาอยู่อาศัยนั้น ผมรู้ได้ทันทีว่าบรรดาเจ้าหน้าที่บริหารเหล่านั้น จะต้องได้รับเงินค่าจ้างมากกว่าชั่วโมงละ 10เหรียญเช่นของผมแน่ และผมก็รู้ด้วยว่า ถ้าผมต้องการจะไต่เต้า ขึ้นไปสู่ตำแหน่งที่พวกเขาทำอยู่ ผมจะต้องทำให้พวกเขายอมรับว่า ผมมีความสามารถเกินกว่าที่จะเป็นลูกจ้างรายชั่วโมง

"มีอยู่หนทางเดียว ที่ผมจะสร้างความรู้สึกเช่นนั้นให้เกิดขึ้นมาได้ ก็คือ ผมจะต้องฝึกฝนตนเอง ให้รู้จักวิธีการพูด วิธีการเขียนที่ดีกว่านี้ รวมไปถึงถ้อยคำที่ผมจะนำมาใช้ด้วย"
อลัน รู้ดีว่า การที่จะเข้ารับการอบรม ตามหลักสูตเพื่อความรู้ในการใช้ถ้อยคำ มิใช่หนทางในการแก้ปัญหา เพราะการเรียนโดยเพียงอ่านเอกสาร หรือรับฟังคำบรรยาย มีส่วนที่ทำให้ลืมง่าย ดังนั้น หลังจากที่เขาได้อ่านเรื่องที่ผมเขียนลงในนิตยสารฉบับหนึ่ง เขาก็มองเห็นวิธีการที่ง่ายที่สุด ที่มีประสิทธิภาพที่สุด ในการที่จะสร้างธนาคารถ้อยคำขึ้นมา และต่อไปนี้ เป็นสิ่งที่จำเป็นจำต้องกระทำ

  1. จงมีสมุดบันทึกเล็กๆติดตัวไว้ตลอดเวลา เพื่อที่ว่า เมื่อคุณได้เห็นหรือได้ยินคำใหม่ๆ ที่คุณยังไม่มีความเข้าใจ จะได้จดลงไว้
  2. ต่อจากนั้น เมื่อคุณทำในข้อแรก จนกลายเป็นเรื่องที่ต้องถือปฏิบัติแล้ว จงพยายามหาคำแปลกๆใหม่ๆ ที่คุณได้ยินได้ฟังอยู่เสมอ จดบันทึกลงไว้ หลังจากที่คุณทำความเข้าใจอย่างแน่ชัดแล้วว่า มันหมายถึงอะไร จงพยายามทบทวนถึงวิธีที่จะนำคำนั้นๆมาใช้ ไม่ว่าจะจากการอ่านหรือการฟัง
  3. จงทดลองใช้ถ้อยคำนั้นๆ โดยเสริมเข้าไว้ในประโยคสนทนาของคุณ พยายามใช้มันให้เป็นคำที่ธรรมดาที่สุด ที่จะช่วยให้คุณจดจำมันได้ดีขึ้น
  4. คุณควรจะทบทวนคำเก่าๆ ที่ได้จดบันทึกไว้เป็นครั้งคราว สร้างความสัมพันธ์ และความเคยชิน ให้เกิดขึ้นกับคำสำคัญๆ เพื่อที่คุณจะนำมาใช้ได้อย่างคล่องปาก
"และผมก็ได้พบว่า วิธีการดังกล่าว ได้ผลดีเป็นอย่างยิ่ง" อลันกล่าว "ในแต่ละสัปดาห์ ผมจะได้คำศัพท์และถ้อยคำใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอีกกว่า 12 คำ ในบางครั้งก็มากกว่านั้น และผมก็เอามันเข้าไปใช้ในการสนทนาทุกครั้งที่มีโอกาส แล้วผมก็ยังได้พบประโยชน์อย่างอื่น ที่ตามมาอีกด้วย คือ "

photo001ไม่เพียงแต่ผมจะสามารถพัฒนาในการใช้ศัพท์เท่านั้น แต่ปรากฏว่า ผมยังสามารถสร้างประโยคคำพูด ให้มีพลังขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย การที่ผมให้ความสนใจกับคำพูดของคนอื่น และศึกษาวิธีการใช้ถ้อยคำของเขา ทำให้ผมบังเกิดความตั้งใจ ที่จะทำให้ได้อย่างเขาขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

และการศึกษาในเรื่องการใช้ถ้อยคำของผม ก็เป็นที่สังเกตเห็นของผู้บังคับบัญชา เพราะฉะนั้น เมื่อมีงานในตำแหน่งบริหารว่างลง ผมก็ได้รับเลือกเข้าไป ซึ่งครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี ที่ทางบริษัทเลือกเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารไปจากแผนกช่าง โดยปรกติแล้ว เขาจะรับแต่บุคคลที่มีปริญญาเท่านั้น แต่ในกรณีของผม บางทีอาจจะเป็นเพราะการรู้จักใช้ถ้อยคำของผม เหมือนกับคนที่สำเร็จปริญญามากระมัง ผมจึงมีโอกาสเดินเข้าไปสู่ตำแหน่งนั้น

ไม่ว่าคุณจะเป็นบุคคลที่แสวงหาการเลื่อนตำแหน่งหรือไม่ก็ตาม และไม่ว่า การใช้ถ้อยคำของคุณจะอยู่ในระดับใด คุณสามารถจะทำให้ตัวเอง ประสพความสำเร็จได้อย่างดียิ่ง ด้วยการศึกษา และทดลองปฏิบัติตามโครงการ สร้างถ้อยคำ ซึ่งได้เคยทำให้อลัน ได้พบกับความสำเร็จใหญ่หลวงมาแล้ว ซึ่งวิธีการดังกล่าว ใช้เวลาน้อยมาก และเกือบจะไม่ต้องใช้ความพยายามแต่ประการใดเลย แต่กระนั้น มันก็ยังสร้างผลกำไรกับชีวิตได้อย่างเกินคาด


เคล็ดลับ - สู่การอ่านอย่างมีประสิทธิภาพ



เคล็ดลับ - สู่การอ่านที่มีประสิทธิภาพนั้น มีความหมายถึงว่า... การ ที่คุณใช้ความสามารถ และเวลา ในจำนวนเท่าเทียมกันกับการอ่านในปัจจุบัน แต่ทว่าให้ผล ในทางที่คุณสามารถอ่านได้มากขึ้นเป็นสองเท่า และยังจดจำสิ่งที่คุณอ่านได้ดีขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย

และผู้ซึ่งเคยใช้วิธีการเช่นนี้ (ซึ่งต่อไปในที่นี้ เราจะเรียกว่า HPR หรือ HIGH PERFORMANCE READING ได้พบว่า เขายังได้รับความสนุกเพลิดเพลินในการอ่านอีกด้วย
แน่นอน ที่ดวงตาของเขา จะผ่านไปตามหน้าต่างๆในหนังสือ ด้วยจำนวนเวลาที่ผู้อื่นอาจจะอ่านได้เพียงย่อหน้า แต่กระนั้น เขาก็ยังได้รับความรู้ และความเพลิดเพลิน มากกว่าคนที่อ่านช้าเสียด้วยซ้ำ ซึ่ง ถ้าคุณรู้จักที่จะใช้ HPR นี้แล้ว คุณจะได้รับประโยชน์โดยนัยเดียวกัน

วิธีอ่านให้ได้มาก และเข้าใจให้ได้มากจากสิ่งที่คุณอ่านอยู่


คุณคงจะเคยได้ยิน การที่นักอ่านบางคน สามารถอ่านหนังสือได้ด้วยความเร็ว 1,200 - 1,800 คำต่อนาทีมาบ้างแล้ว และบางที คุณอาจจะเคยทดลองทำดูมาบ้างแล้วก็ได้ มีคนเป็นจำนวนมาก ที่ไม่ต้องการทำตัวเป็นคนแข่งกับความเร็ว เช่น ซุปเปอร์แมนเช่นนั้น และเขามักจะได้พบว่า ตัวเองต้องย้อนกลับไปอ่านในประเด็นที่คิดว่า ตัวเองข้ามไปอีกครั้ง

ดังนั้น ข้อความต่อไปนี้ อาจจะเป็นข่าวดีสำหรับคุณก็ได้ คือ " การอ่านหนังสืออย่างมีประสิทธิภาพ สามารถจะทำให้คุณได้อ่าน และซึมซับในข้อมูลที่สำคัญได้ เช่นเดียวกับผู้ที่อ่านหนังสือเร็ว โดยไม่จำเป็นต้องมีอัตราความเร็ว เท่ากับผู้ที่อ่านหนังสือเร็วทั้งหลาย" หรือถ้าจะกล่าวอีกนัยหนึ่ง ก็คือ คุณไม่จำเป็นจะต้องเป็นผู้อ่านหนังสือเร็ว แต่ก็ได้รับประโยชน์เท่าเทียมกัน... และต่อไปนี้ คือเหตุผล

  • การเพิ่มความเร็วในการอ่านขึ้นเป็นสองเท่า แทนที่จะต้องอ่านทวน 5-6 ครั้ง เป็นการอ่านที่ง่ายกว่า และสร้างความเพลิดเพลินให้มากกว่า เมื่อความเร็วที่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่านี้ ได้นำไปผนวกเข้ากับเทคนิคในการใช้ความสามารถเป็นพิเศษแล้ว การอ่านของคุณย่อมมีประสิทธิภาพยอดเยี่ยม
  • คุณจะใช้ความสามารถในการอ่านเพียงแค่ครึ่งเดียว การที่คุณได้เรียนรู้ที่จะขจัดการเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ จะทำให้คุณเพิ่มปริมาณการอ่านขึ้นเป็นสองเท่า
  • เมื่อคุณผนวกเทคนิคการมองเห็นภาพเข้าไปแล้ว คุณสามารถจะพบประโยค และย่อหน้าอันสำคัญในเอกสารทุกชิ้น คุณควรจะอ่านบทนำ และข้อมูลปลีกย่อย ซึ่งมิใช่สิ่งเสริมทักษะเพียงคร่าวๆก็พอ
ดังนั้น การอ่านอย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยเพิ่มสมรรถภาพในการอ่านได้หลายประการ เช่น
  1. มันจะแสดงให้เห็นว่า คุณสามารถเพิ่มความเร็วในการอ่าน ขึ้นถึง 100 เปอร์เซ็นต์ โดยแทบจะไม่ต้องใช้ความพยายามเลย
  2. มันจะแบ่งส่วนเวลาในการอ่าน เพื่อให้คุณสามารถซึมซับข้อมูลอันสำคัญได้มากที่สุด เช่นเดียวกับนักอ่าน ที่สามารถอ่านได้ด้วยความเร็วถึง 1,500 คำต่อนาที
  3. มันจะช่วยเป็นตัวนำให้คุณได้อ่านถึง เนื้อแท้ ของข้อความที่ถูกเขียนขึ้นทุกชนิด แต่ขณะเดียวกัน คุณก็ยังสามารถตระหนักถึง "ไขมัน" ในอีกหลายๆบรรทัดที่ไม่จำเป็นต้องอ่านเลย
นักอ่านหนังสือเร็ว สามารถอ่านหนังสือขนาดมตรฐานจบเล่มภายใน 2 ชั่วโมง ดังนั้น ใน 1 สัปดาห์ ถ้าเขามีเวลาอ่านหนังสือ 10 ชั่วโมง เขาก็ย่อมอ่านได้ถึง 5 เล่ม แต่นั่นนับว่า เป็นการทำงานที่หนักมาก

แต่สำหรับผู้ที่มีความรู้ใน HPR ก็สามารถจะอ่านได้เท่าเทียมกัน หรือมากกว่า และได้รับความเพลิดเพลินมากกว่าอีกด้วย บุคคลที่เป็นตัวอย่างในเรื่องนี้ ก็คือ เวโรนิก้า ดี. ซึ่งจำเป็นจะต้องอ่านหนังสือเกี่ยวกับเรื่องการลดน้ำหนัก ถึง 20 เล่ม ในเวลาที่น้อยกว่า 1 สัปดาห์

"เมื่อฉันตัดสินใจว่า ถึงเวลาที่จะลดน้ำหนักตัวเองลงได้แล้ว ฉันก็ต้องการความมั่นใจว่า วิธีการลดอาหารที่ฉันจะนำมาใช้นั้น จะต้องได้ผมต่อเนื่องกันไปเป็นเวลาหลายเดือน อันที่จริง มันก็เป็นหนังสือแนะนำวิธีการดีๆ สำหรับการนี้อยู่อย่างมากมายตามร้านขายหนังสือ แต่ใครจะรู้ว่า การแนะนำวิธีการลดน้ำหนักด้วยการลดอาหารในปัจจุบัน จะดีไปกว่า เมื่อสมัย 5 10 หรือ 15 ปีที่แล้ว " เวโรนิก้า กล่าว

เธอจึงตัดสินใจว่า วิธีที่ดีที่สุด ก็คือ จะต้องหาความรู้นี้จากหนังสือในห้องสมุด ซึ่งหลังจากใช้เวลาเลือกสรรแล้ว เธอก็ได้หนังสือมาถึง 20 เล่ม ซึ่งเธอจะต้องอ่านให้ได้ใจความมากที่สุด และใช้เวลาน้อยกว่านักอ่านหนังสือเร็วทั้งหลายด้วย แต่กระนั้น เธอก็ยังได้เรียนรู้ถึงวิธีการลดน้ำหนัก ซึ่งมีอธิบายไว้ในหนังสือต่างๆเหล่านั้นอย่างเต็มที่

เวโรนิก้า เคยเรียนรู้เกี่ยวกับ HPR มาหลายปีแล้ว และได้ใช้เป็นหลักสูตรในการสอนให้กับนักบริหารในบริษัทต่างๆ ซึ่งต้องประสบปัญหาการที่จะต้องอ่านเอกสารจำนวนมากมายมาโดยตลอด มีบริษัทมากมายหลายแห่ง ทั้งเล็กและใหญ่ ได้ว่าจ้างเธอให้จัดการสัมมนาดังกล่าว ให้กับเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริการของตน ซึ่งความสำเร็จของเธอ ได้รับการพิสูจน์มาแล้ว จากการที่บริษัทที่เคยจ้างเธอนั้น ได้เชื้อเชิญให้เธอกลับไปเปิดการอบรมครั้งแล้วครั้งเล่า

เทคนิคของ HPR ในบทนี้ ก็คือสูตรเดียวกันกับที่เวโรนิก้าได้ใช้ในการอบรมมาแล้ว มันย่อมจะให้ประโยชน์กับคุณ เช่นเดียวกับที่เคยให้ประโยชน์กับเธอมาแล้ว รวมทั้งผู้เข้ารับการอบรมอีกนับจำนวนพัน ซึ่งได้พัฒนาความสามารถในการอ่านตามวิธีการของเธอ

เคล็ดลับของการเกี่ยวโยงกัน


เมื่อคุณเอาของ 2 สิ่งมารวมกัน ย่อมหมายความว่า คุณได้เกี่ยวโยงมันเข้าด้วยกันแล้ว เช่น เมื่อคุณเห็นคำว่า "ไป" คุณมิได้คิดถึงว่า มันมีอักษร ป กับสระ ไ เขามาประสมกันอยู่ในคำนั้น แต่คุณคิดถึงมันในลักษณะของคำเพียงคำเดียว ซึ่ง ก็เช่นเดียวกับคำยาวๆทั้งหลาย เมื่อใด้ก็ตาม ที่คุณบังเกิดความคุ้นชินกับมัน คุณก็จะเห็นมันในรูปของกลุ่มคำ มากกว่าที่จะคำนวณว่ามันมีกี่อักษรหรือสระอยู่ในนั้นกี่ตัว ยกตัวอย่าง เช่น คำว่า "CONCATENATION" (ซึ่งแปลว่าการเกี่ยวโยงกัน) คุณมิได้มองคำที่ว่านี้ และเห็นว่ามันมีอักษรผสมสรนะอยู่ด้วยกันถึง 13 ตัว แต่คุณก็รู้ว่า มันเป็นคำ ซึ่งมีตัวอักษร และสระเกี่ยวโยงกันอยู่ ปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้อ่านจำนวนมาก ก็คือ เขามิได้สร้างความสัมพันธ์ หรือความเกี่ยวโยงให้เกิดขึ้น เมื่ออ่านผ่านไปในแต่ละคำ เพราะเราได้รับการสอนมาจากในโรงเรียน ให้กระจายคำออก ดังนั้น เราจึงอ่านหนังสือในรูปแบบเช่นนั้นไปจนตลอดชีวิต

ดังนั้น การอ่านในแบบ HPR ก็คือ การอ่านที่ใช้ความคิดไปพร้อมๆกับประโยค หรือ วลี แทนที่จะอ่านแบบกระจายคำนั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น คำว่า READ FASTER (อ่านเร็วขึ้น)
คุณจะเห็นว่า วลีนี้มีอยู่ด้วยกัน 2 คำ ถ้าคุณมิได้ศึกษาในหลัก HPR คุณก็จะอ่านมันในลักษณะของคำแยก คือคำว่า READ (อ่าน) กับคำว่า FASTER (เร็วขึ้น) อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณได้ฝึกฝนอีกเพียงเล็กน้อย คุณก็จะสามารถมองเห็นมันเป็นคำๆเดียว แทนที่จะเป็น 2 คำได้ คุณจะพบกับความยินดีอันน่าแปลกใจ เมื่อคุณได้เรียนรู้ว่า คุณสามารถจะอ่านหนังสือได้เร็วมากขึ้น ด้วยการสร้างความเกี่ยวโยงให้เกิดขึ้นระหว่างคำ และคุณสามารถจะลงมือทดลองได้ในทันที ขณะที่อ่านบทนี้ไปพลางๆ

โดยปกติแล้ว คนเราส่วนมาก มักจะหยุดเว้นระยะเป็นช่วงสั้นๆ โดยไม่รู้ตัว เมื่ออ่านคำแต่ละคำผ่านไป ซึ่งเท่ากับเราเปิดโอกาสให้สมองหยุดพักเป็นระยะ และซึมซับเอาความหมายของแต่ละคำลงไว้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ทำไมเราจึงไม่เว้นระยะ ภายหลังที่อ่านจนจบประโยค แทนที่จะเป็นทีละคำเล่า?

การหยุดเว้นระยะนั้น เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่สั้น จนเกินกว่าจะสังเกตเห็น และคุณก็มิได้รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย แต่คุณจะพิสูจน์ในสิ่งนี้ให้เห็นเด่นชัดขึ้น ในการเพิ่มอัตราความเร็วในการอ่าน ซึ่งคุณได้พัฒนา เมื่อคุณเริ่มอ่านทีละประโยค แทนที่จะเป็นทีละคำ ใน ขณะที่คุณอ่านนั้น การเกี่ยวโยงในการอ่านคำต่างๆ จะเพิ่มขึ้นจาก 2-3-4 ไปเรื่อยๆ จนถึง 5-6 คำ ซึ่งคุณสามารถอ่านได้มากคำเท่าไร ในการเหลือบมองเพียงครั้งเดียว อัตราความเร็วของการอ่านก็จะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น

มีคนเป็นจำนวนมาก ที่ตั้งคำถามเอากับผมเกี่ยวกับวลีที่ว่า "การเหลือบมองเพียงครั้งเดียว" เพราะ เขาทึกทักเอาว่า การอ่านทั้งหมดสามารถกระทำได้ด้วย "การเหลือบมองเพียงครั้งเดียว" มันเป็นความจริงที่ว่า คุณอาจจะอ่านได้หลายย่อหน้า หรืออาจจะหลายๆหน้า ก่อนที่คุณจะถอนสายตาขึ้นจากหนังสือ แต่ในขณะที่คุณกำลังอ่านอยู่นั้น คุณอาจจะเหลือบตาขึ้นนับเป็นร้อยๆครั้ง นั่นคือ ช่วงเวลาที่ดวงตาคุณหยุดพัก แม้จะเป็นช่วงสั้นๆอย่างเหลือเกินก็ตาม

photo001ใน แต่ละครั้งที่ดวงตาของคุณหยุดการอ่านต่อไว้ เราเรียกว่า "การเหลือบมอง" ดังนั้น เป้าหมายแรกของคุณ ในการพัฒนาความเชี่ยวชาญตามหลักของ HPR ก็คือ "พยายามให้ช่วงระยะเวลาในการเหลือบมอง ห่างจากกันมากที่สุดเท่าที่จะมากได้" ตามปกติแล้ว ขณะที่คุณเริ่มลงมืออ่าน การเหลือบตาในแต่ละครั้ง จะทำให้คุณยังเห็นตัวหนังสืออยู่อย่างน้อยอีก 2 คำ แต่เมื่อคุณได้ฝึกฝนกรรมวิธี HPR คุณจะสามารถเห็นตัวหนังสือได้มากคำกว่านั้น และอัตราความเร็วของการอ่านก็จะเพิ่มขึ้น

จงจำไว้ว่า เป้าหมายของคุณ มิใช่การเป็นนักอ่านหนังสือเร็ว คุณไม่จำเป็นจะต้องเพิ่มอัตราจากที่อ่านอยู่ในปกติ ขึ้นเป็น 1,000 คำต่อนาที หรือ 1,500 คำต่อนาทีเลยแม้แต่น้อย

อกาธา คริสตี้ นักเขียนนิยายลึกลับ


นักเขียนนิยายลึกลับ เช่น อกาธา คริสตี้ นั้น มักจะแฝงเงื่อนงำต่างๆไว้ในนิยายที่เธอเขียนขึ้น บางอย่างก็ออกจะสำคัญ แต่บางอย่างก็เป็นการเขียนขึ้นเพื่อลวงผู้อ่าน ถ้าคุณอ่านเงื่อนงำเหล่านั้นโดยตลอด แล้วเลือกอันที่ถูกต้องออกมารวมกันเข้า คุณก็อาจจะได้บทสรุป เช่นเดียวกันกับผู

วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2548

Mum Effect คืออะไร

มัม เอฟเฟ็กต์ (Mum Effect) คือผลการสื่อสารของคนเราที่มีแนวโน้มจะปิดปากนิ่ง ไม่พูด
หรือไม่เผยข่าวร้าย ข่าวที่ไม่ชวนปรารถนาทั้งหลายเอาไว้ แต่ชอบที่จะเผยข่าวดีมากกว่า
พูดได้ว่า “เก็บข่าวร้าย กระจาย ข่าวดี) อาจดูคล้าย ๆ ไม่ตรงกับความจริงที่เห็น ๆ
อยู่ คือชอบพูด อ่าน หรือฟังข่าวร้ายมากกว่า ชอบแจ้งข่าวร้ายมากกว่า ชอบแจ้งข่าวร้ายแต่มักไม่กระจายข่าวดี
และคนก็ชอบบริโภคข่าวร้ายมากกว่าเสียด้วย มีนักจิตวิทยา 2 คน ชื่อ อับบราฮัม
เทสเซอร์ และ ซิดนีย์ โรเซ่น ได้ทดลองเรื่องการสื่อสารของคนเราในรูปแบบต่าง ๆ
และได้พบปรากฏการณ์อย่างหนึ่งที่เรียกว่า มัม เอฟเฟ็กต์ กล่าวคือ
คนเรามีแนวโน้มที่จะไม่พูดข่าวร้ายแต่ชอบพูดข่าวดีมากกว่าการทดลองทำขึ้นโดยให้
ข่าวดี และข่าวร้ายสลับกันหลาย ๆ ข่าว และหลาย ๆ
ครั้งแก่คน(กลุ่มตัวอย่าง) จำนวนมาก โดยบอกว่ามีบุคคลที่สามกำลังคอยรับฟัง
หรือรับรู้ข่าวเหล่านี้อยู่คำบอกนั้นมีเพียงเท่านี้ การตามเช็คผลปรากฏการณ์ข่าวในเวลาต่อมาพบว่า
สิ่งที่เรียกว่าข่าวร้าย ได้รับการบอกเล่าต่อหรือกระจายไปน้อยกว่าข่าวดี
ทั้งปริมาณและความถี่ เทสเซอร์และโรเซ่น เรียกมันว่า มัม เอฟเฟ็กต์ (มัม ในที่นี้ไม่ใช่ แม่
แต่น่าที่จะหมายถึงเงียบ หรือปิดปากนิ่ง-ปิดปากร้าย เปิดปากดี)มากกว่าข่าวดี ๆ
การค้นพบเพิ่มเติมก็คือ สตรี ถ่ายทอดข่าวได้ดีกว่า บุรุษ ไม่ว่าจะเป็นข่าวดี หรือ
ข่าวร้าย และคนที่มีอารมณ์เศร้ามักจะบริโภคข่าว (ทั้งดีและร้าย)
ได้มากกว่าคนมีอารมณ์สุข พร้อมกับพบว่า ข่าวบางข่าวช่วยคนอารมณ์เศร้าได้ด้วย
และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งพบว่า สตรีมีใจจะกระจายข่าวมากกว่าบุรุษ
ถ้าท่านอยากจะรู้ว่า ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่เรียกว่า มัม เอ๊ฟเฟ็กต์
ดังกล่าวนั้นหรือไม่ ก็จงตอบคำถาม ถูก หรือ ผิด จำนวน 6 ข้อต่อไปนี้
อย่างจริงใจดูก็ได้
1. คนเราโดยทั่วไปมักมีแนวโน้มอ่านข่าวร้าย ๆ มากกว่าข่าวดี ๆ
2. คนบางคน ชอบอ่านข่าวดี ๆ พอ ๆ กับข่าวร้าย ๆ
3. คนส่วนมาก จะชอบอ่านข่าวดี แต่จะไม่ทำเช่นนั้นกับข่าวร้ายเลย
4. ทั้งหญิง ทั้งชาย ชอบจะอ่านข่าวร้าย ๆ เกี่ยวกับหญิงมากกว่าข่าวร้าย ๆ
เกี่ยวกับชาย
5. คนทั่วไปมีแนวโน้มจะสื่อข่าวร้ายกับคนอารมณ์เศร้ามากกว่าคนอารมณ์สุข
6. สตรี จะรู้สึกกระตือรือร้น การสื่อข่าว (ดีหรือร้าย) และชอบจะกระจายข่าวมากกว่าบุรุษ

ถ้าท่านตอบข้อ 1 และข้อ 2 ว่าผิด และตอบข้อที่เหลือว่าถูก
ท่านตกอยู่ในสถานการณ์ มัม เอฟเฟ็กต์ แล้วล่ะจะบอกให้

HACCP สิ่งดีดี..เพื่อปากท้องคนไทย

ระบบ HACCP หรือ Hazard Analysis and Critical Control Point System
หรือ ระบบการวิเคราะห์อันตราย ณ จุดวิกฤติที่ต้องควบคุมในการผลิตอาหาร เป็นระบบคุณภาพที่สามารถ รับประกันความปลอดภัย ให้แก่ผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี
ในประเทศที่พัฒนาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา หรือกลุ่มประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป ได้เริ่มบังคับใช้กันบ้างแล้ว อย่างอเมริกา บังคับใช้เป็นกฎหมายเลยทีเดียว อาหารที่จะผ่านเข้าสู่ประเทศเหล่านี้ได้ โรงงานที่ผลิตจะต้องผ่าน HACCP เสียก่อน

"มันมากับอาหาร" เลยอยากจะนำสิ่งดีๆ เหล่านี้มาบอกกล่าวเพื่อปากท้องของคนไทยกันบ้าง
HACCP เป็นการวิเคราะห์อันตรายกันแบบลงลึก ในทีละจุดของการผลิต ว่าจุดใดบ้างในการผลิต ที่อาจจะก่อให้เกิดอันตรายในอาหาร หลังจากนั้นก็หาวิธี ที่จะป้องกันอันตรายดังกล่าว
โดยจะดูกันตั้งแต่ วัตถุดิบ จนกระทั่งขั้นตอนการขนส่งถึงมือผู้บริโภค ขณะนี้หลายๆ หน่วยงานได้เร่งกระตุ้น ให้ผู้ประกอบการอาหารเข้าใจระบบ HACCP
ก็หวังจะให้อุตสาหกรรมอาหารบ้านเรา แข่งขันกับต่างประเทศได้...
สถาบัน อาหารเอง เป็นหน่วยงานที่มีภารกิจในการพัฒนา และยกระดับอุตสาหกรรมอาหารบ้านเราอยู่แล้ว ก็จะขอรณรงค์ เพื่อปากท้องคนไทย พร้อมกันไปด้วยเลยทีเดียว
แหม...ก็เจ้า HACCP เนี่ย เป็นระบบที่การันตีความปลอดภัยของอาหาร จนฝรั่งมังค่ายังเชื่อถือ ก็ถึงเวลาแล้ว ที่โรงงานผลิตอาหารทั้งส่งออก และผลิตให้คนไทย น่าจะยกขบวนเข้าสู่ระบบนี้
เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทย...