บางคำถามคำ ตอบจากรายการคมชัดลึก ( เท่าที่พอจำได้ )
คืนวันที่ 28 เมษายน 2553
ผู้ ดำเนินรายการ : จอมขวัญ หลาวเพ็ชร์
แขกรับเชิญ : ศาสตราจารย์ ดร. ชัยอนันต์ สมุทวณิช
จอมขวัญ : "ท่านคิดเห็นอย่างไร เกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองของเรา ในปัจจุบันนี้คะ
อ.ชัยอนันต์ : " ผมว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่นะ มองเวลาในประวัติศาสตร์แล้ว เหตุการณ์บ้านเราเล็กมาก
เล็กมากกว่าญี่ปุ่นโดนระเบิด คนยิวถูกสังหาร การเหยียดผิวในอเมริกา มันใหญ่โตกว่าเมืองไทยมาก"
จอมขวัญ : "ท่านคิดว่า อะไรที่จะหยุดการชุมนุมของนปช.ได้คะ"
อ.ชัยอนันต์ : " ก็น่าจะเป็นไปได้ 3 อย่าง"
1. นปช. อ่อนล้า
2. รัฐบาลจัดการ
3. อำมาตย์ใหญ่จัดการ
จอม ขวัญ : ( อึ๊งไป 5 วินาที ) :em22:..
" คะ เออ.. อำมาตย์ อำมาตย์ หมาย... หมาย.. ความว่า" ???
อ.ชัยอนันต์ : " ก็อำมาตย์ใหญ่ ไง "
จอมขวัญ : เงียบ อึ้ง .. :em22:
อ.ชัยอนันต์ : " ก็ท่านเจ้าคุณพระยายมราชมาจัดการ.. "
จอมขวัญ : ( งง....) :em23:..... " เออ.. .."
อ.ชัย อนันต์ : "เจ้าคุณพระยายมราช มาจัดการ.. ทักษิณ ตายหนะ.. ทักษิณตาย...
การชุมนุมหายไปแน่นอน...ผมว่าอย่างนั้น "
"คุณว่าคนพวกนี้เขามาด้วยอุดมการณ์ เหรอ...... "
จอมขวัญ : ( อึ้งไป 3 วินาที ) ..... :em22:
จอมขวัญ : " แล้วพวกเค้ามาเรียกร้อง พวกเค้าก็น่าจะมีปัญหานะคะ "
อ.ชัย อนันต์ : " ปัญหาเรื่องเงินยังไง การเมืองไทย ปัญหาใหญ่คือเรื่องเงิน.... หนูว่าใช่ไม๊ "
จอม ขวัญ : อึ้ง..... :em22:
************************************************************
จอม ขวัญ : &nb! sp; &nbs p; " แต่นักวิชาการหลายคน ก็ออกม าบอกว่าควรจะเจรจานะคะ"
อ.ชัยอนันต์ : " นักวิชาการเค้าก็ต้องพูดอย่างนั้น พูดแล้วมันดูดี "
จอม ขวัญ : " แล้วท่านเห็นอย่างไรกับเรื่องกา รเจรจา มันจะเป็นทางออกไม๊คะ"
อ.ชัยอนันต์ : " ทุกวันนี้พื้นฐานของการเจรจามันไม่มี ...คุณทำผิด แล้วมาเจรจาว่าไม่อยากถูก ยึดทรัพย์แล้วรัฐบาลจะไปเจรจาได ้อย่างไร "
จอมขวัญ : :em22:
*************************************************************
จอม ขวัญ : " คุณทักษิณยังจะกลับมาเมืองไทยได้หรือไม่คะ"
อ.ชัย อนันต์ : " ก็อาจจะได้นะ... แต่ห่อผ้ากลับมา ถ้ากลับมาปกติคงกลับมาไม่ได้แล้ว "
จอมขวัญ : :em22:
************* ***********************************
จอม ขวัญ: : การชุมนุมของนปช. มีความชอบธรรมหรือไม่ เปรียบเทียบกับพันธมิตร (ประมาณนี้ )
อ.ชัยอนันต์ : "หนูดูไม่ออกหรือว่า อะไรมันดีมันเลว ... อย่างเพื่อนหนู หรือคนที่หนูรู้จัก หนูดูออกไม๊ว่าคนไหนมันดีมันเลว"..........
จอม ขวัญ : อึ้ง..... :em22:
จอน ลำปาง
Theขี้ฝุ่นริมทาง
วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554
“ประพันธ์” เผยตัวตน “เจิมศักดิ์” เชลียร์รัฐบาล มองข้ามคนโกง
นายประพันธ์ คูณมี วิทยากรเวทีพันธมิตรฯ กล่าวในรายการ “ตอบโจทย์ข่าว” ทางไทยพีบีเอส ว่ากรณีที่นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง บอกว่าตนพูดเท็จ ในเรื่องการชวนมาขึ้นเวทีชุมนุมพันธมิตรฯ โดยระบุว่าในตอนนั้นตนได้ไปชวนนายเจิมศักดิ์มาร่วมกับพันธมิตรฯ ได้ไปทานข้าวกับนายเจิมศักดิที่โรงแรมอิมพีเรียลควีนส์ปาร์ค ได้รู้จักกันตั้งแต่สมัยนายอากร ฮุนตระกูล ซึ่งนายอากรเป็นคนมีน้ำใจชอบช่วยเหลือคน สำนักงานของนายเจิมศักดิ์ที่อิมพีเรียลควีนส์ปาร์คก็ได้นายอากรให้การสนับสนุน ตนและนายเจิมศักดิ์ได้รู้จักกันมาตั้งแต่นายเจิมศักดิ์ทำรายการทีวี เคยลงสมัครสมาชิกวุฒิสภา ตนกับเพื่อนก็เคยไปช่วยนายเจิมศักดิ์หาเสียง ตอนนั้นใช้ออฟฟิศที่อิมพีเรียลควีนส์ปาร์ค มีตน มี น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ไปด้วย ในตอนนั้น พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี
หลังจากนั้นมีการไปทานข้าวกันอีก มีนายการุณ ใสงาม พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ ตนได้แนะนำชักชวนให้มาร่วมกันแก้ปัญหาให้บ้านเมือง นายเจิมศักดิ์ก็มาร่วม แล้วก็ไปร่วมกันที่เวทีที่สวนลุมพินี มีการเดินขบวน ใครๆ ก็มาร่วมเดินขบวนในวันนั้น ส่วนเรื่องขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ในตอนนั้น ตนไม่ได้บอกว่านายเจิมศักดิ์ มาขอขึ้นเวที แต่ในช่วงการชุมนุมแรกๆ ไม่มีรายการเจิมศักดิ์ พอการชุมนุมผ่านไปรายการของนายเจิมศักดิ์ก็มาขึ้นบนเวที ซึ่งก็ลงตัวของความร่วมมือกันในคราวนั้น เพราะนายเจิมศักดิ์รังเกียจทักษิณ แต่อาจจะอยากให้นายอภิสิทธิ์ขึ้นบริหารประเทศ ตอนนั้นเราก็ไม่มีข้อรังเกียจนายอภิสิทธิ์ แต่ภายหลังจากเป็นนายกฯ บริหารประเทศแล้วเรารังเกียจ
ส่วนประเด็นที่บอกว่าเราไปขออะไรเขา แล้วเขาไม่ให้นั้น นายประพันธ์กล่าวว่าไม่เป็นความจริง เราไม่ได้ขออะไร ตอนที่สู้กับทักษิณ เราเปิดกว้าง มีทั้งพรรคประชาธิปัตย์ มีนายเจิมศักดิ์ เข้ามาร่วมต่อสู้ เราไม่ได้รังเกียจ เป็นแนวร่วมกันมากกว่า ไม่ได้รักหลงใหลเป็นการส่วนตัว แต่ตอนนี้มีปัญหาคือความคิดเห็นที่แตกต่างกัน เราไม่ได้ไปขออะไรรัฐบาลนายอภิสิทธิ แต่เนื่องจากการบริหารประเทศ ส่วนการที่รายการนายเจิมศักดิ์ได้มาออกทีวีช่อง 11 รายการของนายเจิมศักดิ์ได้ร่วมกันกับคุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัย์ เพื่อทำรายการโทรทัศน์ ซึ่งได้จัดรายการช่วงรัฐบาลประชาธิปัตย์ และก็หายไปช่วงทักษิณ แล้วตอนนี้ก็กลับมาอีก
รายการของนายเจิมศักดิ์ตอนนี้เชลียร์นายอภิสิทธิ์ ปกป้องนายอภิสิทธิ์ ทำให้คนตั้งข้อสงสัย ว่าไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาเหมือนที่เคยทำ การที่นายเจิมศักดิ์บอกว่าไม่เอาทักษิณ และเลือกข้างอภิสิทธิ์ ตนก็มีทางเลือก แต่เมื่อนายอภิสิทธิ์ทำไม่ถูกต้อง นายเจิมศักดิ์บอกว่าพรรคร่วมรัฐบาลโกง แต่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้โกง นายเจิมศักดิ์อาจมองไม่เห็น เมื่อดวงตาเป็นแบบนี้ก็ต่างกัน การมองไม่เห็น การมีความสัมพันธ์ส่วนตัว จึงทำให้มองข้ามสาระสำคัญไป ก็ได้เผยตัวตนให้เห็น การที่มาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ด้วยกัน การทำรายการมองต่างมุมด้วยกัน ก็เลยทำให้มองข้าม นายอภิสิทธิ์ไม่ได้โกง แต่ปล่อยให้คนอื่นโกง จะมาแก้ตัวแบบนี้ไม่ได้ ถ้าทุกคนแก้ตัวแบบนี้ได้ ตนก็เป็นนายกฯ ได้ จะอ้างว่าถ้าไปว่าเขา เขาก็จะไม่ให้เป็นนายกฯ ซึ่งโดยข้อเท็จจริงก็เห็นแล้วว่ารัฐบาลชุดนี้มีการทุจริตไม่น้อยกว่ารัฐบาลที่แล้ว
ส่วนประเด็นที่ว่าตนชกข้ามรุ่น นายเจิมศักดิ์เอาตนไปเทียบกับนายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่โจมตี พล.อ.เปรม ถ้าเทียบนายอภิสิทธิ์กับตน ถือว่าตนรุ่นใหญ่กว่านายอภิสิทธิ์ เพราะนายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ เพราะมีคนอุปโลกน์ มีการอุ้มสม นายอภิสิทธิ์มีบารมีอะไร มีคุณงามความดีอะไร ถ้าบอกว่าตนชกข้ามรุ่นเพราะวิจารณนายกฯ การที่นายเจิมศักดิ์วิจารณ์ พ.ต.ท.ทักษิณก็ต้องถือว่าชกข้ามรุ่นเหมือนกัน การวิจารณ์นายกฯสามารถทำได้ เพราะเขาเป็นบุคคลสาธารณะ นายกฯ คนไหนก็ตามถ้าบริหารประเทศไม่ดี ตนมีหน้าที่ต้องพูดถึง ไม่ใช่เพราะผลประโยชน์ที่ต่างกัน แต่เรามีจุดยืนต่างกัน นายเจิมศักดิ์อาจจะมองไม่เห็น ในที่สุดสังคมจะตรวจสอบเอง
ตอนนี้คนที่เห็นต่างจากพันธมิตรฯ มีนายเจิมศักดิ์เป็นหัวหอก มีการเชิญคนอื่นมาเป็นแนวร่วม เป็นคนที่ตอนนั้นเคยร่วมกันต่อสู้ แต่ตอนนี้ไปปกป้องนายอภิสิทธิ์ เราต่างกันที่จุดยืนการเมือง ตอนนี้เขาเปลี่ยนจุดยืน เขาพอใจแล้ว ไม่สนใจว่าบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร แต่เราเห็นว่าบ้านเมืองไม่ได้ดีขึ้น
สำหรับกรณีพรรคการเมืองใหม่ นายประพันธ์กล่าวว่า พรรคการเมืองใหม่เป็นพวกเดียวกัน เป็นพี่น้องกัน พรรคการเมืองใหม่เกิดจากพันธมิตร มีพันธมิตรเป็นเจ้าของ เราก็เรียกร้องให้มาร่วมแสดงจุดยืนร่วมกับพันธมิตรฯ เราเรียกร้องให้แสดงจุดยืนร่วมกับประชาชน พรรคก็รับไปพิจารณา การไม่ส่งคนลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นยุทธวิธีการเมืองอย่างหนึ่ง ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ก็เคยใช้ ซึ่งตอนนี้เห็นว่ายังไม่ควรเข้าไปลงเลือกตั้ง ประชาชนเบื่อหน่าย พรรคการเมืองใหม่ควรรณรงค์การปฏิรูปการเมือง การตั้งพรรคเพราะต้องการให้เป็นเครื่องมือของพันธมิตร ไม่ได้หมายความว่าไม่ลงเลือกตั้งคราวนี้ แล้วครั้งหน้าจะไม่ลง การมีพรรคการเมืองไม่ได้มีเรื่องเลือกตั้งเรื่องเดียว แต่ยังมีกิจกรรมอื่นๆ เช่น การให้ความรู้ การรณรงค์ต่างๆ
ส่วนที่กล่าวว่า หลายคนอยากเป็น ส.ส. อยากเป็นหัวหน้าพรรค นายประพันธ์กล่าวว่า ตอนตั้งพรรคก็มีแข่งขันกันเสนอตัวเป็นหัวหน้าพรรคบ้าง แต่ไม่รุนแรง ในตอนเริ่มต้นนายสนธิเป็นหัวหน้าพรรค เพราะเป็นที่ยอมรับกัน ต่อมานายสมศักดิ์ โกศัยสุข อาสาตัว ทางแกนนำพันธมิตรฯ ก็ให้เงื่อนไขว่าควรเป็นแค่ในช่วงที่ไม่มีเลือกตั้ง เมื่อใกล้จะเลือกตั้งนายสมศักดิ์ก็ควรเปิดโอกาสให้คนอื่นมาทำหน้าที่ เพราะนายสมศักดิ์ยังไม่เหมาะสมที่จะเป็นแคนดิเดตนายกฯ ได้ วันนี้ถ้าจะมีเลือกตั้งก็ต้องมาทบทวน แต่ตอนนี้ตนอยากขอให้ร่วมกันปฏิรูปการเมืองก่อน ตอนนี้การเลือกตั้งไม่เอื้อให้คนดีเข้ามาแข่งขัน ลงเลือกตั้งไปก็ไม่ทำให้การเมืองดีขึ้น เราควรทำอะไรที่มีประโยชน์มากกว่า ซึ่งนายสนธิไม่ได้คิดเองส่วนตัว แต่ฟังจากเสียงประชาชน ซึ่งอาจจะมีคนบางส่วนไม่สุกงอมทางความคิด ทำให้มีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน
นายประพันธ์กล่าวในตอนท้ายว่า เราไม่ได้ตั้งใจล้มใคร เราต้องการทำสิ่งถูกต้อง การบริหารประเทศมีการโกงกิน ปกปิดความจริง ในที่สุดก็จะถูกความจริงไล่ล่า บดขยี้ ซึ่งต้องฟังเสียงประชาชน เราไม่ได้ต้องการทำลายล้างใครเป็นส่วนบุคคล
หลังจากนั้นมีการไปทานข้าวกันอีก มีนายการุณ ใสงาม พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ ตนได้แนะนำชักชวนให้มาร่วมกันแก้ปัญหาให้บ้านเมือง นายเจิมศักดิ์ก็มาร่วม แล้วก็ไปร่วมกันที่เวทีที่สวนลุมพินี มีการเดินขบวน ใครๆ ก็มาร่วมเดินขบวนในวันนั้น ส่วนเรื่องขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ในตอนนั้น ตนไม่ได้บอกว่านายเจิมศักดิ์ มาขอขึ้นเวที แต่ในช่วงการชุมนุมแรกๆ ไม่มีรายการเจิมศักดิ์ พอการชุมนุมผ่านไปรายการของนายเจิมศักดิ์ก็มาขึ้นบนเวที ซึ่งก็ลงตัวของความร่วมมือกันในคราวนั้น เพราะนายเจิมศักดิ์รังเกียจทักษิณ แต่อาจจะอยากให้นายอภิสิทธิ์ขึ้นบริหารประเทศ ตอนนั้นเราก็ไม่มีข้อรังเกียจนายอภิสิทธิ์ แต่ภายหลังจากเป็นนายกฯ บริหารประเทศแล้วเรารังเกียจ
ส่วนประเด็นที่บอกว่าเราไปขออะไรเขา แล้วเขาไม่ให้นั้น นายประพันธ์กล่าวว่าไม่เป็นความจริง เราไม่ได้ขออะไร ตอนที่สู้กับทักษิณ เราเปิดกว้าง มีทั้งพรรคประชาธิปัตย์ มีนายเจิมศักดิ์ เข้ามาร่วมต่อสู้ เราไม่ได้รังเกียจ เป็นแนวร่วมกันมากกว่า ไม่ได้รักหลงใหลเป็นการส่วนตัว แต่ตอนนี้มีปัญหาคือความคิดเห็นที่แตกต่างกัน เราไม่ได้ไปขออะไรรัฐบาลนายอภิสิทธิ แต่เนื่องจากการบริหารประเทศ ส่วนการที่รายการนายเจิมศักดิ์ได้มาออกทีวีช่อง 11 รายการของนายเจิมศักดิ์ได้ร่วมกันกับคุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัย์ เพื่อทำรายการโทรทัศน์ ซึ่งได้จัดรายการช่วงรัฐบาลประชาธิปัตย์ และก็หายไปช่วงทักษิณ แล้วตอนนี้ก็กลับมาอีก
รายการของนายเจิมศักดิ์ตอนนี้เชลียร์นายอภิสิทธิ์ ปกป้องนายอภิสิทธิ์ ทำให้คนตั้งข้อสงสัย ว่าไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาเหมือนที่เคยทำ การที่นายเจิมศักดิ์บอกว่าไม่เอาทักษิณ และเลือกข้างอภิสิทธิ์ ตนก็มีทางเลือก แต่เมื่อนายอภิสิทธิ์ทำไม่ถูกต้อง นายเจิมศักดิ์บอกว่าพรรคร่วมรัฐบาลโกง แต่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้โกง นายเจิมศักดิ์อาจมองไม่เห็น เมื่อดวงตาเป็นแบบนี้ก็ต่างกัน การมองไม่เห็น การมีความสัมพันธ์ส่วนตัว จึงทำให้มองข้ามสาระสำคัญไป ก็ได้เผยตัวตนให้เห็น การที่มาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ด้วยกัน การทำรายการมองต่างมุมด้วยกัน ก็เลยทำให้มองข้าม นายอภิสิทธิ์ไม่ได้โกง แต่ปล่อยให้คนอื่นโกง จะมาแก้ตัวแบบนี้ไม่ได้ ถ้าทุกคนแก้ตัวแบบนี้ได้ ตนก็เป็นนายกฯ ได้ จะอ้างว่าถ้าไปว่าเขา เขาก็จะไม่ให้เป็นนายกฯ ซึ่งโดยข้อเท็จจริงก็เห็นแล้วว่ารัฐบาลชุดนี้มีการทุจริตไม่น้อยกว่ารัฐบาลที่แล้ว
ส่วนประเด็นที่ว่าตนชกข้ามรุ่น นายเจิมศักดิ์เอาตนไปเทียบกับนายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่โจมตี พล.อ.เปรม ถ้าเทียบนายอภิสิทธิ์กับตน ถือว่าตนรุ่นใหญ่กว่านายอภิสิทธิ์ เพราะนายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ เพราะมีคนอุปโลกน์ มีการอุ้มสม นายอภิสิทธิ์มีบารมีอะไร มีคุณงามความดีอะไร ถ้าบอกว่าตนชกข้ามรุ่นเพราะวิจารณนายกฯ การที่นายเจิมศักดิ์วิจารณ์ พ.ต.ท.ทักษิณก็ต้องถือว่าชกข้ามรุ่นเหมือนกัน การวิจารณ์นายกฯสามารถทำได้ เพราะเขาเป็นบุคคลสาธารณะ นายกฯ คนไหนก็ตามถ้าบริหารประเทศไม่ดี ตนมีหน้าที่ต้องพูดถึง ไม่ใช่เพราะผลประโยชน์ที่ต่างกัน แต่เรามีจุดยืนต่างกัน นายเจิมศักดิ์อาจจะมองไม่เห็น ในที่สุดสังคมจะตรวจสอบเอง
ตอนนี้คนที่เห็นต่างจากพันธมิตรฯ มีนายเจิมศักดิ์เป็นหัวหอก มีการเชิญคนอื่นมาเป็นแนวร่วม เป็นคนที่ตอนนั้นเคยร่วมกันต่อสู้ แต่ตอนนี้ไปปกป้องนายอภิสิทธิ์ เราต่างกันที่จุดยืนการเมือง ตอนนี้เขาเปลี่ยนจุดยืน เขาพอใจแล้ว ไม่สนใจว่าบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร แต่เราเห็นว่าบ้านเมืองไม่ได้ดีขึ้น
สำหรับกรณีพรรคการเมืองใหม่ นายประพันธ์กล่าวว่า พรรคการเมืองใหม่เป็นพวกเดียวกัน เป็นพี่น้องกัน พรรคการเมืองใหม่เกิดจากพันธมิตร มีพันธมิตรเป็นเจ้าของ เราก็เรียกร้องให้มาร่วมแสดงจุดยืนร่วมกับพันธมิตรฯ เราเรียกร้องให้แสดงจุดยืนร่วมกับประชาชน พรรคก็รับไปพิจารณา การไม่ส่งคนลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นยุทธวิธีการเมืองอย่างหนึ่ง ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ก็เคยใช้ ซึ่งตอนนี้เห็นว่ายังไม่ควรเข้าไปลงเลือกตั้ง ประชาชนเบื่อหน่าย พรรคการเมืองใหม่ควรรณรงค์การปฏิรูปการเมือง การตั้งพรรคเพราะต้องการให้เป็นเครื่องมือของพันธมิตร ไม่ได้หมายความว่าไม่ลงเลือกตั้งคราวนี้ แล้วครั้งหน้าจะไม่ลง การมีพรรคการเมืองไม่ได้มีเรื่องเลือกตั้งเรื่องเดียว แต่ยังมีกิจกรรมอื่นๆ เช่น การให้ความรู้ การรณรงค์ต่างๆ
ส่วนที่กล่าวว่า หลายคนอยากเป็น ส.ส. อยากเป็นหัวหน้าพรรค นายประพันธ์กล่าวว่า ตอนตั้งพรรคก็มีแข่งขันกันเสนอตัวเป็นหัวหน้าพรรคบ้าง แต่ไม่รุนแรง ในตอนเริ่มต้นนายสนธิเป็นหัวหน้าพรรค เพราะเป็นที่ยอมรับกัน ต่อมานายสมศักดิ์ โกศัยสุข อาสาตัว ทางแกนนำพันธมิตรฯ ก็ให้เงื่อนไขว่าควรเป็นแค่ในช่วงที่ไม่มีเลือกตั้ง เมื่อใกล้จะเลือกตั้งนายสมศักดิ์ก็ควรเปิดโอกาสให้คนอื่นมาทำหน้าที่ เพราะนายสมศักดิ์ยังไม่เหมาะสมที่จะเป็นแคนดิเดตนายกฯ ได้ วันนี้ถ้าจะมีเลือกตั้งก็ต้องมาทบทวน แต่ตอนนี้ตนอยากขอให้ร่วมกันปฏิรูปการเมืองก่อน ตอนนี้การเลือกตั้งไม่เอื้อให้คนดีเข้ามาแข่งขัน ลงเลือกตั้งไปก็ไม่ทำให้การเมืองดีขึ้น เราควรทำอะไรที่มีประโยชน์มากกว่า ซึ่งนายสนธิไม่ได้คิดเองส่วนตัว แต่ฟังจากเสียงประชาชน ซึ่งอาจจะมีคนบางส่วนไม่สุกงอมทางความคิด ทำให้มีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน
นายประพันธ์กล่าวในตอนท้ายว่า เราไม่ได้ตั้งใจล้มใคร เราต้องการทำสิ่งถูกต้อง การบริหารประเทศมีการโกงกิน ปกปิดความจริง ในที่สุดก็จะถูกความจริงไล่ล่า บดขยี้ ซึ่งต้องฟังเสียงประชาชน เราไม่ได้ต้องการทำลายล้างใครเป็นส่วนบุคคล
กสม.ผวาเหตุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ญี่ปุ่นรั่ว นัดถกใหญ่
เวที กสม.ถกปัญหาสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ สกพ.ระบุ ทบทวนโครงการก่อสร้างหลังโรงไฟฟ้าญี่ปุ่นรั่วไหล โว พลังงานนิวเคลียร์ใช้ได้นาน 85 ปี ยันปลอดภัย เพราะใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ ด้าน เอ็นจีโอ จวกรัฐตกอยู่ภายใต้อำนาจทุน วอน กสม.ปกป้องไม่ให้ละเมิดสิทธิจากการพัฒนาที่ไร้ขอบเขต
วันนี้ (28 เม.ย.) ที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) คณะอนุกรรมการสื่อสารสาธารณะเพื่อสิทธิมนุษยชน ที่มี นพ.แท้จริง ศิริพานิช กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ทำหน้าที่เป็นประธานได้จัดงานสัมมนา เรื่อง “โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ใครมีสิทธิ ตัดสินใจ” โดยมี นายประสิทธิ์ ศิริทิพย์รัศมี ผู้ชำนาญการพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สกพ.) นายชวลิต พิชาลัย รอง ผอ.สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน น.ส.สมลักษณ์ หุตานุวัตร เลขาธิการเครือข่ายธุรกิจเพื่อสังคม และสิ่งแวดล้อม และแกนนำศูนย์อาสาประชาชนฟื้นฟูภัยพิบัติ (ศอบ.) เข้าร่วม
โดย นายประสิทธิ์ กล่าวว่า การก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ต้องมองด้านสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และความมั่นคง โดยในด้านสังคมจะต้องมองว่าประชาชนจะยอมรับได้หรือไม่ และการตัดสินใจนั้นจะต้องมองในเรื่องของข้อมูลทั้งด้านดีและด้านลบ ส่วนด้านเศรษฐกิจนั้นต้องยอมรับว่าค่าพลังงานถือเป็นต้นทุนทางด้านเศรษฐกิจ ดังนั้น เราจะต้องวิเคราะห์ข้อมูลจริงว่าต้นทุนเท่าไหร่ เพราะพลังงานนิวเคลียร์มีทั้งถูกและแพง รวมทั้งยังมีความเสี่ยง ประเด็นด้านเศรษฐกิจไม่ใช่เพียงแค่จะทำให้ค่าไฟฟ้าถูก แต่ต้องดูถึงแผนงานการก่อสร้างว่าเป็นไปตามแผนหรือไม่ โดยมีพื้นฐานที่สำคัญคือการควบคุมโครงการก่อสร้างให้อยู่ในแผนงานและงบประมาณที่กำหนดไว้ สำหรับด้านสิ่งแวดล้อมนั้นพลังงานนิวเคลียร์เป็นพลังงานที่ไม่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ภาวะเรือนกระจก รวมถึงการควบคุมกากนิวเคลียร์ ซึ่งตรงนี้จะต้องให้ความรู้กับประชาชนในทุกด้าน และสุดท้ายด้านความมั่นคงต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า ประชาชนของเราใช้ไฟอย่างมีความรับผิดชอบหรือไม่ เพราะอัตราการใช้ไฟฟ้าของไทยไม่มีความแน่นอน รวมถึงโรงไฟฟ้าของไทยก็ผลิตกระแสไฟฟ้าได้อย่างมีข้อจำกัด ดังนั้นจะต้องควบคุมอย่างเข้มงวด ในส่วนของ สกพ.ได้มีแผนการการดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ โดยล่าสุด ได้มีการประชุม และทบทวนแผนการดำเนินการดังกล่าว เนื่องจากเกิดเหตุการณ์ขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่น โดยขณะนี้กำลังรับฟังความคิดเห็นและรวบรวมข้อมูลก่อนที่จะดำเนินการตามแผนงานต่อไป
ขณะที่ นายชวลิต กล่าวว่า เหตุผลและความจำเป็นที่กระทรวงพลังงาน ต้องการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ เนื่องจากพลังงานที่ไทยใช้จากก๊าซธรรมชาติจะใช้ได้เต็มที่ไม่เกิน 20 ปี แม้ว่ากระทรวงพลังงานจะมีการหาพลังงานอื่นมาทดแทน แต่ก็ยังไม่เพียงพอ ดังนั้น จึงต้องมองหาพลังงานประเภทใหม่ที่มีประสิทธิภาพและคุ้มค่า จึงได้มองถึงพลังงานนิวเคลียร์ที่จะนำมาใช้ทดแทน เนื่องจากมีประสิทธิภาพสามารถสำรองใช้ได้ถึง 85 ปี โดยไม่ก่อให้เกิดปัญหาโลกร้อน สะดวกปลอดภัยในการขนส่ง และอัตราการเกิดอุบัติเหตุไม่มาก ส่วนข้อเสียของพลังงานนิวเคลียร์ คือ กากนิวเคลียร์จะมีอายุนานนับพันปี ทำให้เกิดผลกระทบในวงกว้าง เช่น กรณีของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ญี่ปุ่น อย่างไรก็ตามล่าสุดได้มีเลื่อนการปรับแผนพัฒนาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ออกไปอีก 3 ปี หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่ญี่ปุ่น ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการศึกษายังไม่ได้ดำเนินการสร้าง ที่สำคัญหากจะมีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าจริงจะใช้เทคโนโลยีรุ่น 3 เป็นรุ่นที่มีความปลอดภัยสูงสุดแตกต่างจากญี่ปุ่น
ด้าน น.ส.สมลักษณ์ กล่าวว่า ที่มีการบอกว่า ไทยขาดแคลนพลังงาน แต่จากข้อมูลที่ตรวจสอบได้จากเว็บไซต์กระทรวงพลังงานนั้น พบว่า ในปี พ.ศ.2530-2552 นั้น ไทยมีการส่งออกด้านพลังงานมากกว่าข้าวและยางพารา โดยไทยติดอันดับที่มีน้ำมันเป็นประเทศที่ 33 ของโลกที่มากกว่าประเทศเยเมน และ บรูไน รวมทั้งมีก๊าซธรรมชาติอยู่ในลำดับที่ 27 ของโลกที่มากกว่าประเทศคูเวต และลิเบีย อีกทั้งเว็บไซต์ของกระทรวงพลังงาน ยังระบุว่า ในเดือน ม.ค.54 ไทยผลิตน้ำมันได้ 6.4 แสนบาร์เรล ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่สูงแต่ทำไมจึงมีการให้ข้อมูลว่าไทยมีพลังงานใช้ไม่เพียงพอหรือเป็นเพราะการที่ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงพลังงานเข้าไปเป็นบอร์ดของรัฐวิสาหกิจ และบริษัทเอกชนที่ประกอบธุรกิจในกิจการพลังงาน ที่มีรายได้รวมแล้วมากกว่าเงินเดือนข้าราชการถึงหลักล้านบาท แต่กลับมีการบอกข้อมูลที่แตกต่างทั้งที่ตนเองเป็นผู้กำกับดูแลนโยบายด้านพลังงานและราคา จึงอยากให้อนุกรรมการของ กสม.ชุดนี้นำเสนอข้อมูลทั้งทางด้านวิชาการและการเมืองให้กับประชาชนได้รับทราบเพื่อประกอบการตัดสินใจ เพราะสิทธิการตัดสินใจว่าจะมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์หรือไม่เป็นของประชาชนโดยชอบด้วยหลักและสิทธิ รวมทั้งให้ข้อมูลครบทั้งสองด้านปกป้องไม่ให้ละเมิดสิทธิจากการพัฒนาที่ไร้ขอบเขต และการที่รัฐตกอยู่ภายใต้อำนาจทุน
วันนี้ (28 เม.ย.) ที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) คณะอนุกรรมการสื่อสารสาธารณะเพื่อสิทธิมนุษยชน ที่มี นพ.แท้จริง ศิริพานิช กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ทำหน้าที่เป็นประธานได้จัดงานสัมมนา เรื่อง “โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ใครมีสิทธิ ตัดสินใจ” โดยมี นายประสิทธิ์ ศิริทิพย์รัศมี ผู้ชำนาญการพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สกพ.) นายชวลิต พิชาลัย รอง ผอ.สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน น.ส.สมลักษณ์ หุตานุวัตร เลขาธิการเครือข่ายธุรกิจเพื่อสังคม และสิ่งแวดล้อม และแกนนำศูนย์อาสาประชาชนฟื้นฟูภัยพิบัติ (ศอบ.) เข้าร่วม
โดย นายประสิทธิ์ กล่าวว่า การก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ต้องมองด้านสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และความมั่นคง โดยในด้านสังคมจะต้องมองว่าประชาชนจะยอมรับได้หรือไม่ และการตัดสินใจนั้นจะต้องมองในเรื่องของข้อมูลทั้งด้านดีและด้านลบ ส่วนด้านเศรษฐกิจนั้นต้องยอมรับว่าค่าพลังงานถือเป็นต้นทุนทางด้านเศรษฐกิจ ดังนั้น เราจะต้องวิเคราะห์ข้อมูลจริงว่าต้นทุนเท่าไหร่ เพราะพลังงานนิวเคลียร์มีทั้งถูกและแพง รวมทั้งยังมีความเสี่ยง ประเด็นด้านเศรษฐกิจไม่ใช่เพียงแค่จะทำให้ค่าไฟฟ้าถูก แต่ต้องดูถึงแผนงานการก่อสร้างว่าเป็นไปตามแผนหรือไม่ โดยมีพื้นฐานที่สำคัญคือการควบคุมโครงการก่อสร้างให้อยู่ในแผนงานและงบประมาณที่กำหนดไว้ สำหรับด้านสิ่งแวดล้อมนั้นพลังงานนิวเคลียร์เป็นพลังงานที่ไม่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ภาวะเรือนกระจก รวมถึงการควบคุมกากนิวเคลียร์ ซึ่งตรงนี้จะต้องให้ความรู้กับประชาชนในทุกด้าน และสุดท้ายด้านความมั่นคงต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า ประชาชนของเราใช้ไฟอย่างมีความรับผิดชอบหรือไม่ เพราะอัตราการใช้ไฟฟ้าของไทยไม่มีความแน่นอน รวมถึงโรงไฟฟ้าของไทยก็ผลิตกระแสไฟฟ้าได้อย่างมีข้อจำกัด ดังนั้นจะต้องควบคุมอย่างเข้มงวด ในส่วนของ สกพ.ได้มีแผนการการดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ โดยล่าสุด ได้มีการประชุม และทบทวนแผนการดำเนินการดังกล่าว เนื่องจากเกิดเหตุการณ์ขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่น โดยขณะนี้กำลังรับฟังความคิดเห็นและรวบรวมข้อมูลก่อนที่จะดำเนินการตามแผนงานต่อไป
ขณะที่ นายชวลิต กล่าวว่า เหตุผลและความจำเป็นที่กระทรวงพลังงาน ต้องการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ เนื่องจากพลังงานที่ไทยใช้จากก๊าซธรรมชาติจะใช้ได้เต็มที่ไม่เกิน 20 ปี แม้ว่ากระทรวงพลังงานจะมีการหาพลังงานอื่นมาทดแทน แต่ก็ยังไม่เพียงพอ ดังนั้น จึงต้องมองหาพลังงานประเภทใหม่ที่มีประสิทธิภาพและคุ้มค่า จึงได้มองถึงพลังงานนิวเคลียร์ที่จะนำมาใช้ทดแทน เนื่องจากมีประสิทธิภาพสามารถสำรองใช้ได้ถึง 85 ปี โดยไม่ก่อให้เกิดปัญหาโลกร้อน สะดวกปลอดภัยในการขนส่ง และอัตราการเกิดอุบัติเหตุไม่มาก ส่วนข้อเสียของพลังงานนิวเคลียร์ คือ กากนิวเคลียร์จะมีอายุนานนับพันปี ทำให้เกิดผลกระทบในวงกว้าง เช่น กรณีของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ญี่ปุ่น อย่างไรก็ตามล่าสุดได้มีเลื่อนการปรับแผนพัฒนาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ออกไปอีก 3 ปี หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่ญี่ปุ่น ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการศึกษายังไม่ได้ดำเนินการสร้าง ที่สำคัญหากจะมีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าจริงจะใช้เทคโนโลยีรุ่น 3 เป็นรุ่นที่มีความปลอดภัยสูงสุดแตกต่างจากญี่ปุ่น
ด้าน น.ส.สมลักษณ์ กล่าวว่า ที่มีการบอกว่า ไทยขาดแคลนพลังงาน แต่จากข้อมูลที่ตรวจสอบได้จากเว็บไซต์กระทรวงพลังงานนั้น พบว่า ในปี พ.ศ.2530-2552 นั้น ไทยมีการส่งออกด้านพลังงานมากกว่าข้าวและยางพารา โดยไทยติดอันดับที่มีน้ำมันเป็นประเทศที่ 33 ของโลกที่มากกว่าประเทศเยเมน และ บรูไน รวมทั้งมีก๊าซธรรมชาติอยู่ในลำดับที่ 27 ของโลกที่มากกว่าประเทศคูเวต และลิเบีย อีกทั้งเว็บไซต์ของกระทรวงพลังงาน ยังระบุว่า ในเดือน ม.ค.54 ไทยผลิตน้ำมันได้ 6.4 แสนบาร์เรล ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่สูงแต่ทำไมจึงมีการให้ข้อมูลว่าไทยมีพลังงานใช้ไม่เพียงพอหรือเป็นเพราะการที่ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงพลังงานเข้าไปเป็นบอร์ดของรัฐวิสาหกิจ และบริษัทเอกชนที่ประกอบธุรกิจในกิจการพลังงาน ที่มีรายได้รวมแล้วมากกว่าเงินเดือนข้าราชการถึงหลักล้านบาท แต่กลับมีการบอกข้อมูลที่แตกต่างทั้งที่ตนเองเป็นผู้กำกับดูแลนโยบายด้านพลังงานและราคา จึงอยากให้อนุกรรมการของ กสม.ชุดนี้นำเสนอข้อมูลทั้งทางด้านวิชาการและการเมืองให้กับประชาชนได้รับทราบเพื่อประกอบการตัดสินใจ เพราะสิทธิการตัดสินใจว่าจะมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์หรือไม่เป็นของประชาชนโดยชอบด้วยหลักและสิทธิ รวมทั้งให้ข้อมูลครบทั้งสองด้านปกป้องไม่ให้ละเมิดสิทธิจากการพัฒนาที่ไร้ขอบเขต และการที่รัฐตกอยู่ภายใต้อำนาจทุน
รองเลขาฯ สรส.ปัดถอนยวงพ้น พธม.ชี้ “สมศักดิ์-สาวิทย์” ออกแกนนำเรื่องส่วนตัว
รองเลขาธิการสมาพันธ์แรงรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เผย “สมศักดิ์-สาวิทย์” ขอถอนตัวแกนนำพันธมิตรฯ เอง ไม่ใช่มติ สรส.ปัดสหภาพถอนยวงพ้นม็อบ ยันยังร่วมชุมนุม
วันนี้ (28 เม.ย.) ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ นายอำนาจ พละมี รองเลขาธิการสมาพันธ์แรงรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) เปิดเผยถึงกรณีที่ สรส.มีมติให้ นายสมศักดิ์ โกศัยสุข หัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ และ นายสาวิทย์ แก้วหวาน เลขาธิการ สรส.ลาออกจากการเป็นแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รุ่นที่ 1 และรุ่นที่ 2 ว่า ที่ผ่านมา สรส.ได้เข้าร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯมาตั้งแต่ปี 49 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน และในการชุมนุมเพื่อปกป้องอธิปไตยเหนือดินแดนไทยครั้งนี้ สรส.ได้มีมติเข้าร่วมชุมนุมร่วมกับพันธมิตรฯ โดยมติของคณะกรรมการกลางเมื่อวันที่ 19 ม.ค.54 ให้เข้าร่วมชุมนุม ตั้งแต่วันที่ 25 ม.ค.เป็นต้นมา จนกระทั่งการประชุมคณะกรรมการกลาง ครั้งที่ 2/54 เมื่อวันที่ 16 ก.พ.ได้มีมติให้กรรมการบริหาร กรรมการกลาง และองค์กรสมาชิก ประกาศเจตนารมณ์บนเวทีการชุมนุมที่สะพานมัฆวาน เมื่อวันที่ 18 ก.พ.และร่วมชุมนุมมาโดยตลอด
นายอำนาจ กล่าวต่อว่า จนเมื่อมีการประชุมคณะกรรมการบริหาร สรส.เมื่อวันที่ 11 เม.ย.ที่ผ่านมา กลับมีมติให้ถอนตัวออกจากการร่วมชุมนุม และได้นำเรื่องนี้แจ้งต่อที่ประชุมคณะกรรมการกลางเพื่อพิจารณาในวันที่ 20 เม.ย.แต่ที่ประชุมคณะกรรมการกลางได้มีมติให้ร่วมกับพันธมิตรฯต่อไป โดยให้ถอยการทำกิจกรรมเพื่อประเมินสถานการณ์ จนกระทั่งเมื่อวันที่ 26 เม.ย.ในการประเมินผลการทำงานของคณะกรรมการบริหาร สรส.ในรอบ 6 เดือน นายสมศักดิ์ ในฐานะที่ปรึกษา สรส.และ นายสาวิทย์ ที่เข้าร่วมประชุมด้วยได้แจ้งความประสงค์ที่จะถอนตัวจากการเป็นแกนนำพันธมิตรฯ รุ่นที่ 1 และรุ่นที่ 2 คณะกรรมการบริหารจึงได้หารือ และให้ความเห็นชอบตามความต้องการของทั้ง 2 คน
“ครั้งนี้ไม่ใช่การประชุม จึงไม่ถือเป็นมติของที่ประชุม แต่ในฐานะที่ สรส.เป็นองค์กร จึงต้องแจ้งให้พันธมิตรฯทราบเป็นลายลักษณ์อักษร ดังนั้น การถอนตัวดังกล่าวไม่ได้หมายถึง สรส.ถอนตัวจากการเป็นพันธมิตรฯ” นายอำนาจ กล่าว
รองเลขาฯ สรส.กล่าวด้วยว่า ตามธรรมนูญของ สรส.หมวดที่ 4 ว่าด้วยการดำเนินงาน ข้อ 13 ระบุถึงองค์ประกอบดำเนินงานของ สรส.โดยเรียงลำดับความสำคัญดังนี้ 1.ที่ประชุมใหญ่สมาชิก สรส.ประจำปี 2.ที่ประชุมคณะกรรมการกลาง 3.ที่ประชุมคณะกรรมการบริหาร 4.ที่ประชุมคณะกรรมการสาขา และ 5.ที่ประชุมคณะกรรมการฝ่ายงานต่างๆ ซึ่งหมายถึงคณะกรรมการบริหารต้องปฏิบัติตามที่คณะกรรมการกลางมีมติให้ดำเนินการ แสดงว่า คณะกรรมการกลางของ สรส.ยังคงมีมติให้ร่วมกับพันธมิตรฯต่อไป ส่วนการถอนตัวจากการเป็นแกนนำพันธมิตรฯของนายสมศักดิ์ และ นายสาวิทย์ ถือเป็นความสมัครใจส่วนบุคคลเท่านั้น อย่างไรก็ตาม สรส.มีความเกี่ยวพันในฐานะที่ให้การรับรองการเข้าร่วมเป็นแกนนำพันธมิตรฯของบุคคลทั้งสอง เมื่อคราวการชุมนุม 193 วัน ดังนั้น เมื่อทั้ง 2 คนแจ้งความประสงค์ดังกล่าว จึงพิจารณาเห็นชอบตามความต้องการ ทั้งนี้ สมาชิก สรส.ส่วนใหญ่ที่เป็นสมาชิกของสหภาพแรงงานต่างๆ ยังร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติและประชาชนเช่นเดิม รวมทั้งการรณรงค์คัดค้านการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ซึ่งพันธมิตรฯได้เห็นพ้องต้องกันในการที่จะรักษาสมบัติของชาติ โดยในปีที่ผ่านมา สรส.ได้รับการสนับสนุนจากพี่น้องพันธมิตรฯ ที่ร่วมกันสนับสนุนงานดนตรีเพื่อนบ้าน สรส.เป็นจำนวนมาก เพื่อนำรายได้ไปสร้างอาคารที่ทำการ จึงขอยืนยันในการร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯต่อไป รวมทั้งการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์กิจกรรมของ สรส.ผ่านทางสื่อมวลชนทุกแขนงมาโดยตลอด
“การมีมติอย่างหนึ่งอย่างใดของ สรส.ต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการกลาง จึงจะมีผลผูกพันธ์องค์กร ซึ่งเป็นหลักการประชาธิปไตยที่จะให้มีการตรวจสอบและคานอำนาจระหว่างกัน ในคณะกรรมการชุดต่างๆ โดยคณะกรรมการกลางมีอำนาจสูงสุด” นายอำนาจ กล่าว
+++++
ความคิดเห็นที่ 8 +11
ดีแล้ว กาลเวลาก็คัดกรองคน ความจริงก็ปรากฏ สุดท้ายก็จะเหลือแต่น้ำดื
คนที่ไม่หวังลาภยศ สรรเสริญ ผลประโยชน์ จะอยู่ยงคงกระพัน
ประเด็นสำคัญเพราะ VOTE NO ใช่ไหม
ซัง
วันนี้ (28 เม.ย.) ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ นายอำนาจ พละมี รองเลขาธิการสมาพันธ์แรงรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) เปิดเผยถึงกรณีที่ สรส.มีมติให้ นายสมศักดิ์ โกศัยสุข หัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ และ นายสาวิทย์ แก้วหวาน เลขาธิการ สรส.ลาออกจากการเป็นแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รุ่นที่ 1 และรุ่นที่ 2 ว่า ที่ผ่านมา สรส.ได้เข้าร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯมาตั้งแต่ปี 49 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน และในการชุมนุมเพื่อปกป้องอธิปไตยเหนือดินแดนไทยครั้งนี้ สรส.ได้มีมติเข้าร่วมชุมนุมร่วมกับพันธมิตรฯ โดยมติของคณะกรรมการกลางเมื่อวันที่ 19 ม.ค.54 ให้เข้าร่วมชุมนุม ตั้งแต่วันที่ 25 ม.ค.เป็นต้นมา จนกระทั่งการประชุมคณะกรรมการกลาง ครั้งที่ 2/54 เมื่อวันที่ 16 ก.พ.ได้มีมติให้กรรมการบริหาร กรรมการกลาง และองค์กรสมาชิก ประกาศเจตนารมณ์บนเวทีการชุมนุมที่สะพานมัฆวาน เมื่อวันที่ 18 ก.พ.และร่วมชุมนุมมาโดยตลอด
นายอำนาจ กล่าวต่อว่า จนเมื่อมีการประชุมคณะกรรมการบริหาร สรส.เมื่อวันที่ 11 เม.ย.ที่ผ่านมา กลับมีมติให้ถอนตัวออกจากการร่วมชุมนุม และได้นำเรื่องนี้แจ้งต่อที่ประชุมคณะกรรมการกลางเพื่อพิจารณาในวันที่ 20 เม.ย.แต่ที่ประชุมคณะกรรมการกลางได้มีมติให้ร่วมกับพันธมิตรฯต่อไป โดยให้ถอยการทำกิจกรรมเพื่อประเมินสถานการณ์ จนกระทั่งเมื่อวันที่ 26 เม.ย.ในการประเมินผลการทำงานของคณะกรรมการบริหาร สรส.ในรอบ 6 เดือน นายสมศักดิ์ ในฐานะที่ปรึกษา สรส.และ นายสาวิทย์ ที่เข้าร่วมประชุมด้วยได้แจ้งความประสงค์ที่จะถอนตัวจากการเป็นแกนนำพันธมิตรฯ รุ่นที่ 1 และรุ่นที่ 2 คณะกรรมการบริหารจึงได้หารือ และให้ความเห็นชอบตามความต้องการของทั้ง 2 คน
“ครั้งนี้ไม่ใช่การประชุม จึงไม่ถือเป็นมติของที่ประชุม แต่ในฐานะที่ สรส.เป็นองค์กร จึงต้องแจ้งให้พันธมิตรฯทราบเป็นลายลักษณ์อักษร ดังนั้น การถอนตัวดังกล่าวไม่ได้หมายถึง สรส.ถอนตัวจากการเป็นพันธมิตรฯ” นายอำนาจ กล่าว
รองเลขาฯ สรส.กล่าวด้วยว่า ตามธรรมนูญของ สรส.หมวดที่ 4 ว่าด้วยการดำเนินงาน ข้อ 13 ระบุถึงองค์ประกอบดำเนินงานของ สรส.โดยเรียงลำดับความสำคัญดังนี้ 1.ที่ประชุมใหญ่สมาชิก สรส.ประจำปี 2.ที่ประชุมคณะกรรมการกลาง 3.ที่ประชุมคณะกรรมการบริหาร 4.ที่ประชุมคณะกรรมการสาขา และ 5.ที่ประชุมคณะกรรมการฝ่ายงานต่างๆ ซึ่งหมายถึงคณะกรรมการบริหารต้องปฏิบัติตามที่คณะกรรมการกลางมีมติให้ดำเนินการ แสดงว่า คณะกรรมการกลางของ สรส.ยังคงมีมติให้ร่วมกับพันธมิตรฯต่อไป ส่วนการถอนตัวจากการเป็นแกนนำพันธมิตรฯของนายสมศักดิ์ และ นายสาวิทย์ ถือเป็นความสมัครใจส่วนบุคคลเท่านั้น อย่างไรก็ตาม สรส.มีความเกี่ยวพันในฐานะที่ให้การรับรองการเข้าร่วมเป็นแกนนำพันธมิตรฯของบุคคลทั้งสอง เมื่อคราวการชุมนุม 193 วัน ดังนั้น เมื่อทั้ง 2 คนแจ้งความประสงค์ดังกล่าว จึงพิจารณาเห็นชอบตามความต้องการ ทั้งนี้ สมาชิก สรส.ส่วนใหญ่ที่เป็นสมาชิกของสหภาพแรงงานต่างๆ ยังร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติและประชาชนเช่นเดิม รวมทั้งการรณรงค์คัดค้านการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ซึ่งพันธมิตรฯได้เห็นพ้องต้องกันในการที่จะรักษาสมบัติของชาติ โดยในปีที่ผ่านมา สรส.ได้รับการสนับสนุนจากพี่น้องพันธมิตรฯ ที่ร่วมกันสนับสนุนงานดนตรีเพื่อนบ้าน สรส.เป็นจำนวนมาก เพื่อนำรายได้ไปสร้างอาคารที่ทำการ จึงขอยืนยันในการร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯต่อไป รวมทั้งการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์กิจกรรมของ สรส.ผ่านทางสื่อมวลชนทุกแขนงมาโดยตลอด
“การมีมติอย่างหนึ่งอย่างใดของ สรส.ต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการกลาง จึงจะมีผลผูกพันธ์องค์กร ซึ่งเป็นหลักการประชาธิปไตยที่จะให้มีการตรวจสอบและคานอำนาจระหว่างกัน ในคณะกรรมการชุดต่างๆ โดยคณะกรรมการกลางมีอำนาจสูงสุด” นายอำนาจ กล่าว
+++++
ความคิดเห็นที่ 8 +11
ดีแล้ว กาลเวลาก็คัดกรองคน ความจริงก็ปรากฏ สุดท้ายก็จะเหลือแต่น้ำดื
คนที่ไม่หวังลาภยศ สรรเสริญ ผลประโยชน์ จะอยู่ยงคงกระพัน
ประเด็นสำคัญเพราะ VOTE NO ใช่ไหม
ซัง
“สนธยา” รับตั้งพรรคพลังชล วาดฝันกวาด ส.ส.12 ที่นั่ง
“สนธยา” บุกทำเนียบฯ นำคณะนักลงทุนจีนคารวะ “เสธ.หนั่น” ยอมรับตั้งพรรคพลังชล สู้ศึกเลือกตั้ง หวัง 12 ที่นั่ง โดยเฉพาะชลบุรีจะกวาดยกจังหวัด เผย เตรียมส่งเมียลงระบบเขตด้วย ยันทำงานการเมืองได้กับทุกฝ่าย ด้าน เลขาฯกกต.เผยรับจดทะเบียนพรรคพลังชลแล้ว
นายสนธยา คุณปลื้ม ในฐานะที่ปรึกษาพรรคพลังชล นำคณะนักลงทุนจากสาธารณรัฐประชาชนจีน เข้าเยี่ยมคารวะ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี และประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา ที่ทำเนียบรัฐบาล โดย นายสนธยา กล่าวถึงการแยกตัวออกมาตั้งพรรคพลังชล ว่า อยู่ระหว่างการจัดตั้ง โดยมี นายเชาวน์ มณีวงศ์ อดีต ส.ว.ชลบรี และอดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยบูรพา เป็นหัวหน้าพรรค ส่วนตน คงจะนั่งเป็นที่ปรึกษาให้กับทางพรรค ซึ่งก็ถือว่าไม่ได้มีข้อห้าม หรือมีปัญหาในเรื่องทางกฎหมายที่ห้ามคนในบ้านเลขที่ 111 หรือ 109 ในการทำงานทางการเมือง
สำหรับ ส.ส.ที่จะมาร่วมงานกับพรรคนั้น นายสนธยา กล่าวว่า ขณะที่มีผู้เสนอตัวเข้าสมัครรับเลือกตั้งทุกภาค ยกเว้นภาคใต้ที่ยังไม่มี ส่วนจะมี ส.ส.จากพรรคอื่นมาร่วมด้วยหรือไม่คงต้องรอให้มีการจัดตั้งพรรคการเมืองเสร็จเรียบร้อยก่อน จากนั้นก็จะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม พรรคเปิดกว้างที่จะรับ ส.ส.ที่ต้องการทำงานทางการเมืองในนามของพรรคอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็นพรรคไหนกลุ่มไหน ทางพรรคเปิดกว้าง และที่ผ่านมามีหลายคนแสดงความจำนงที่จะมาอยู่กับทางพรรคแล้วด้วยทั้งที่เป็น ส.ส.ในปัจจุบัน และที่เป็นอดีตส.ส.
ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้ามีส.ส.จากพรรคชาติไทยพัฒนา มาขอร่วมงานด้วย จะส่งกลับไปพร้อมกับบอกว่าเราไม่เอาหรือไม่ นายสนธยา กล่าวพร้อมหัวเราะเสียงดังว่า " ท่านหัวหน้าบรรหาร ศิลปอาชา ยังบอกเลยว่า อย่ามาเอาของหัวหน้าไปน่ะ"
ส่วนที่ก่อนหน้านี้ไปร่วมทำงานกับพรรคภูมิใจไทยนั้น นายสนธยา กล่าวว่า การร่วมงานทางการเมืองกับทุกพรรคของกลุ่มชลบุรี ไม่มีปัญหา ทำงานได้กับทุกกลุ่ม ทุกพรรคการเมือง เพราะถือว่าการทำงานทางการเมืองของกลุ่ม ทำงานเพื่อบ้านเมือง ดังนั้นการจะทำงานร่วมกับพรรคการเมืองใดก็ถือเป็นเรื่องปกติในเรื่องการประสานงานกับแต่ละพรรค เราทำงานในฐานะที่เป็นนักการเมืองเหมือนกันถือเอาประโยชน์ส่วนรวมของประเทศเป็นหลัก
“กับทางพรรคภูมิใจไทย ก็ไม่มีปัญหาอะไร ถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของการทำงาน เมื่อเรามีการประสานงานกับทุกพรรคในเรื่องการทำงานไม่มีปัญหาอะไร คนละพรรค ก็พวกเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นพรรคไหนในปัจจุบัน ทางกลุ่มชลบุรี เองก็ได้พูดคุยกับทุกพรรคในเรื่องแนวทางการเมืองที่ดำเนินการในครั้งนี้ด้วย”
นายสนธยา กล่าวถึงความคาดหมายในการเลือกตั้ง ว่า น่าจะอยู่ที่ประมาณ 12 ที่นั่ง โดยจะเป็นที่ จ.ชลบุรี และที่นั่งที่เหลือคงไม่เฉพาะภาคตะวันออก เพราะเวลานี้มี ส.ส.จากทุกภาคที่ต้องการมาร่วมกับกับทางพรรค แต่คงไม่ส่งผู้สมัครลงครบทุกภาค เพราะจะต้องดูพื้นที่ที่มีโอกาสทางการเมืองสูง อาทิ ภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคเหนือ
ส่วน จ.ชลบุรี พรรคจะกวาดทุกที่นั่งเลยหรือไม่นั้น นายสนธยา กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับคนจังหวัดชลบุรี เพราะเมื่อมีพรรคการเมืองที่ถือกำเนิดที่ จ.ชลบุรี แล้ว การวมตัวของคนชลบุรีในการที่จะผลักดันให้ก้าวแรกที่จะไปสู่ในการที่จะเป็นพรรคหลักพรรคหนึ่งของประเทศในอนาคต จะร่วมกันในการผลักดันพรรคพลังชล ในการที่จะเข้าไปสู่สนามการเมืองในครั้งนี้เป็นครั้งแรก และพรรคพลังชล ไม่ใช่พรรคชลบุรี อาจจะชื่อพร้องกับชลบุรี แต่เป็นพรรคที่เกิดขึ้นที่จังหวัดชลบุรี ที่แสดงให้เห็นถึงพลังแห่งน้ำ พลังแห่งน้ำใจ ของคนที่จะมาร่วมปรองดองในการพัฒนาประเทศ
นายสนธยา กล่าวว่า ในการลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งนี้ ครอบครัวตนจะมีนางสุกุมล (เบียร์) ภรรยา ลงสมัครรับเลือกตั้งในระบบเขตที่ จ.ชลบุรี ด้วย
เมื่อถามต่อว่า เป็นเพราะกระแสการตอบรับพรรคภูมิใจไทย ในพื้นที่ กทม.ไม่ดีหรืออย่างไรจึงต้องไปลงสมัครในเขตชลบุรี นายสนธยา กล่าวว่า กระแสในการที่สนับสนุนให้เราทำพรรคการเมืองของชลบุรีมากกว่า โดยการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของพรรคนั้น ก็จะเปิดตัวกันที่ จ.ชลบุรี
“ที่ผ่านมา กลุ่มชลบุรี หรือ ผม ที่ทำงานทางการเมืองมานั้น ประชาชนยังมองว่า ปัจจุบันบ้านเมืองเป็นแบบนี้ เราน่าจะทำของเราเอง เรามีความพร้อมที่จะทำของเราเอง จะได้ไม่ต้องไปอยู่ข้างใด เราอยู่ตรงกลาง แล้วทำงานทางการเมือง เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ตรงนี้จึงเป็นแรงผลักดันทำให้ กลุ่มชลบุรี ได้ตั้งพรรคการเมืองขึ้นมา และเป็นความตั้งใจตั้งแต่ต้น ขณะนี้พอได้รับเสียงสนับสนุน และ การผลักดันจากทุกๆ ส่วนในพื้นที่ชลบุรี ทำให้เราจัดตั้งพรรคการเมือง ถือว่าเป็นไปตามการสนับสนุนและข้อเรียกร้อง”
นายสนธยา ยังได้กล่าวถึงนโยบายหลักของพรรคมีเรื่อง การสร้างความสามัคคีปรองดอง การลงทุนทางด้านอุตสาหกรรม ภาคเกษตร ภาคการท่องเที่ยว และเรื่องกีฬาที่เป็นเรื่องเด่นของกลุ่ม เพราะจะเป็นตัวเชื่อมสำหรับประชาชน การสร้างสังคมที่เข้มแข็ง การพัฒนาทางภูมิภาคพื้นที่ภาคตะวันออก ซึ่งขณะนี้ บุคลากรของพรรคกำลังดำเนินการอยู่
นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เปิดเผยว่า วันนี้ที่ประชุม กกต.มีมติเห็นชอบตามที่ นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองตอบรับจดแจ้งจัดตั้งพรรคพลังชล ที่มี นายเชาวน์ มณีวงษ์ เป็นหัวหน้าพรรค และ นายปิลันธน์ดิล จิตรธรรม เลขาธิการพรรค มีกรรมการบริหารพรรคทั้งสิ้น 8 คน
รายงานข่าวแจ้งว่า พรรคพลังชล มี นางสติล คุณปลื้ม มารดา นายสนธยา คุณปลื้ม แกนนำพรรคพลังชล เป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรคในลำดับที่ 1 และมี นายเชาวน์ มณีวงษ์ หัวหน้าพรรคเป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรคลำดับที่ 2 พร้อมกับคณะกรรมการบริหารพรรคพลังชลที่ได้ยื่นขอจดแจ้งจัดตั้งพรรคพลังชลต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง แต่ นางสติล ไม่ได้ร่วมเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารพรรคพลังชลแต่อย่างใด ทั้งนี้พรรคพลังชลได้ใช้สโลแกนพรรค ว่า “เทิดทูนสถาบัน ยึดมั่นประชาชน” โดยมีที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของพรรคอยู่ เลขที่ 36/2 ถนนบางแสนล่าง ต.แสนสุข อ.เมือง จ.ชลบุรี 20130 อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนหลังจากนี้นายทะเบียนพรรคการเมืองจะลงนามในประกาศนายทะเบียนพรรคการเมือง เรื่อง รับการจดแจ้งจัดตั้งพรรคพลังชล เพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
นายสนธยา คุณปลื้ม ในฐานะที่ปรึกษาพรรคพลังชล นำคณะนักลงทุนจากสาธารณรัฐประชาชนจีน เข้าเยี่ยมคารวะ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี และประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา ที่ทำเนียบรัฐบาล โดย นายสนธยา กล่าวถึงการแยกตัวออกมาตั้งพรรคพลังชล ว่า อยู่ระหว่างการจัดตั้ง โดยมี นายเชาวน์ มณีวงศ์ อดีต ส.ว.ชลบรี และอดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยบูรพา เป็นหัวหน้าพรรค ส่วนตน คงจะนั่งเป็นที่ปรึกษาให้กับทางพรรค ซึ่งก็ถือว่าไม่ได้มีข้อห้าม หรือมีปัญหาในเรื่องทางกฎหมายที่ห้ามคนในบ้านเลขที่ 111 หรือ 109 ในการทำงานทางการเมือง
สำหรับ ส.ส.ที่จะมาร่วมงานกับพรรคนั้น นายสนธยา กล่าวว่า ขณะที่มีผู้เสนอตัวเข้าสมัครรับเลือกตั้งทุกภาค ยกเว้นภาคใต้ที่ยังไม่มี ส่วนจะมี ส.ส.จากพรรคอื่นมาร่วมด้วยหรือไม่คงต้องรอให้มีการจัดตั้งพรรคการเมืองเสร็จเรียบร้อยก่อน จากนั้นก็จะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม พรรคเปิดกว้างที่จะรับ ส.ส.ที่ต้องการทำงานทางการเมืองในนามของพรรคอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็นพรรคไหนกลุ่มไหน ทางพรรคเปิดกว้าง และที่ผ่านมามีหลายคนแสดงความจำนงที่จะมาอยู่กับทางพรรคแล้วด้วยทั้งที่เป็น ส.ส.ในปัจจุบัน และที่เป็นอดีตส.ส.
ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้ามีส.ส.จากพรรคชาติไทยพัฒนา มาขอร่วมงานด้วย จะส่งกลับไปพร้อมกับบอกว่าเราไม่เอาหรือไม่ นายสนธยา กล่าวพร้อมหัวเราะเสียงดังว่า " ท่านหัวหน้าบรรหาร ศิลปอาชา ยังบอกเลยว่า อย่ามาเอาของหัวหน้าไปน่ะ"
ส่วนที่ก่อนหน้านี้ไปร่วมทำงานกับพรรคภูมิใจไทยนั้น นายสนธยา กล่าวว่า การร่วมงานทางการเมืองกับทุกพรรคของกลุ่มชลบุรี ไม่มีปัญหา ทำงานได้กับทุกกลุ่ม ทุกพรรคการเมือง เพราะถือว่าการทำงานทางการเมืองของกลุ่ม ทำงานเพื่อบ้านเมือง ดังนั้นการจะทำงานร่วมกับพรรคการเมืองใดก็ถือเป็นเรื่องปกติในเรื่องการประสานงานกับแต่ละพรรค เราทำงานในฐานะที่เป็นนักการเมืองเหมือนกันถือเอาประโยชน์ส่วนรวมของประเทศเป็นหลัก
“กับทางพรรคภูมิใจไทย ก็ไม่มีปัญหาอะไร ถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของการทำงาน เมื่อเรามีการประสานงานกับทุกพรรคในเรื่องการทำงานไม่มีปัญหาอะไร คนละพรรค ก็พวกเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นพรรคไหนในปัจจุบัน ทางกลุ่มชลบุรี เองก็ได้พูดคุยกับทุกพรรคในเรื่องแนวทางการเมืองที่ดำเนินการในครั้งนี้ด้วย”
นายสนธยา กล่าวถึงความคาดหมายในการเลือกตั้ง ว่า น่าจะอยู่ที่ประมาณ 12 ที่นั่ง โดยจะเป็นที่ จ.ชลบุรี และที่นั่งที่เหลือคงไม่เฉพาะภาคตะวันออก เพราะเวลานี้มี ส.ส.จากทุกภาคที่ต้องการมาร่วมกับกับทางพรรค แต่คงไม่ส่งผู้สมัครลงครบทุกภาค เพราะจะต้องดูพื้นที่ที่มีโอกาสทางการเมืองสูง อาทิ ภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคเหนือ
ส่วน จ.ชลบุรี พรรคจะกวาดทุกที่นั่งเลยหรือไม่นั้น นายสนธยา กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับคนจังหวัดชลบุรี เพราะเมื่อมีพรรคการเมืองที่ถือกำเนิดที่ จ.ชลบุรี แล้ว การวมตัวของคนชลบุรีในการที่จะผลักดันให้ก้าวแรกที่จะไปสู่ในการที่จะเป็นพรรคหลักพรรคหนึ่งของประเทศในอนาคต จะร่วมกันในการผลักดันพรรคพลังชล ในการที่จะเข้าไปสู่สนามการเมืองในครั้งนี้เป็นครั้งแรก และพรรคพลังชล ไม่ใช่พรรคชลบุรี อาจจะชื่อพร้องกับชลบุรี แต่เป็นพรรคที่เกิดขึ้นที่จังหวัดชลบุรี ที่แสดงให้เห็นถึงพลังแห่งน้ำ พลังแห่งน้ำใจ ของคนที่จะมาร่วมปรองดองในการพัฒนาประเทศ
นายสนธยา กล่าวว่า ในการลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งนี้ ครอบครัวตนจะมีนางสุกุมล (เบียร์) ภรรยา ลงสมัครรับเลือกตั้งในระบบเขตที่ จ.ชลบุรี ด้วย
เมื่อถามต่อว่า เป็นเพราะกระแสการตอบรับพรรคภูมิใจไทย ในพื้นที่ กทม.ไม่ดีหรืออย่างไรจึงต้องไปลงสมัครในเขตชลบุรี นายสนธยา กล่าวว่า กระแสในการที่สนับสนุนให้เราทำพรรคการเมืองของชลบุรีมากกว่า โดยการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของพรรคนั้น ก็จะเปิดตัวกันที่ จ.ชลบุรี
“ที่ผ่านมา กลุ่มชลบุรี หรือ ผม ที่ทำงานทางการเมืองมานั้น ประชาชนยังมองว่า ปัจจุบันบ้านเมืองเป็นแบบนี้ เราน่าจะทำของเราเอง เรามีความพร้อมที่จะทำของเราเอง จะได้ไม่ต้องไปอยู่ข้างใด เราอยู่ตรงกลาง แล้วทำงานทางการเมือง เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ตรงนี้จึงเป็นแรงผลักดันทำให้ กลุ่มชลบุรี ได้ตั้งพรรคการเมืองขึ้นมา และเป็นความตั้งใจตั้งแต่ต้น ขณะนี้พอได้รับเสียงสนับสนุน และ การผลักดันจากทุกๆ ส่วนในพื้นที่ชลบุรี ทำให้เราจัดตั้งพรรคการเมือง ถือว่าเป็นไปตามการสนับสนุนและข้อเรียกร้อง”
นายสนธยา ยังได้กล่าวถึงนโยบายหลักของพรรคมีเรื่อง การสร้างความสามัคคีปรองดอง การลงทุนทางด้านอุตสาหกรรม ภาคเกษตร ภาคการท่องเที่ยว และเรื่องกีฬาที่เป็นเรื่องเด่นของกลุ่ม เพราะจะเป็นตัวเชื่อมสำหรับประชาชน การสร้างสังคมที่เข้มแข็ง การพัฒนาทางภูมิภาคพื้นที่ภาคตะวันออก ซึ่งขณะนี้ บุคลากรของพรรคกำลังดำเนินการอยู่
นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เปิดเผยว่า วันนี้ที่ประชุม กกต.มีมติเห็นชอบตามที่ นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองตอบรับจดแจ้งจัดตั้งพรรคพลังชล ที่มี นายเชาวน์ มณีวงษ์ เป็นหัวหน้าพรรค และ นายปิลันธน์ดิล จิตรธรรม เลขาธิการพรรค มีกรรมการบริหารพรรคทั้งสิ้น 8 คน
รายงานข่าวแจ้งว่า พรรคพลังชล มี นางสติล คุณปลื้ม มารดา นายสนธยา คุณปลื้ม แกนนำพรรคพลังชล เป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรคในลำดับที่ 1 และมี นายเชาวน์ มณีวงษ์ หัวหน้าพรรคเป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรคลำดับที่ 2 พร้อมกับคณะกรรมการบริหารพรรคพลังชลที่ได้ยื่นขอจดแจ้งจัดตั้งพรรคพลังชลต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง แต่ นางสติล ไม่ได้ร่วมเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารพรรคพลังชลแต่อย่างใด ทั้งนี้พรรคพลังชลได้ใช้สโลแกนพรรค ว่า “เทิดทูนสถาบัน ยึดมั่นประชาชน” โดยมีที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของพรรคอยู่ เลขที่ 36/2 ถนนบางแสนล่าง ต.แสนสุข อ.เมือง จ.ชลบุรี 20130 อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนหลังจากนี้นายทะเบียนพรรคการเมืองจะลงนามในประกาศนายทะเบียนพรรคการเมือง เรื่อง รับการจดแจ้งจัดตั้งพรรคพลังชล เพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
การใช้สาร NAA หรือ แพลนโนฟิกซ์ความเข้มข้น 400 ppm
การใช้สาร NAA หรือ แพลนโนฟิกซ์ความเข้มข้น 400 ppm ฉีดพ่นช่อลางสาดระยะก่อนเก็บเกี่ยว 2 สัปดาห์ จะช่วยลดเปอร์เซ็นต์การหลุดร่วงของผลขณะเก็บได้
จาก SMS FarmerInfo - DTAC - 22 เม.ย.2554- 12.07 น.
จาก SMS FarmerInfo - DTAC - 22 เม.ย.2554- 12.07 น.
ถ้าสัตว์เลี้ยงมีอาการท้องผูก
ถ้าสัตว์เลี้ยงมีอาการท้องผูก ใช้เมล็ดชุมเห็ดไทยแห้ง 180 กรัม บดเป็นผงผสมน้ำ สัตว์ใหญ่ให้กินครั้งเดียวหมด สัตว์เล้กให้กินลดลงไปตามส่วน
จาก SMS FarmerInfo - DTAC - 21 เม.ย.2554 11.06 น.
จาก SMS FarmerInfo - DTAC - 21 เม.ย.2554 11.06 น.
โปรดอย่าคาดหวังให้ลูกฟังทุกสิ่งที่เราบอก
คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายคะ โปรดอย่าคาดหวังให้ลูกๆ ของเรารับฟังทุกสิ่งทุกอย่างที่เราพร่ำบอก... แต่ว่า จงอย่าเบื่อที่จะบอก...
เพราะนั่นฉันเชื่อว่า มันเป็นหน้าที่ของเราโดยตรงเลยนะคะ
ไม่เช่นนั้น พ่อแม่จะมีไว้ทำไมหลังจากคลอดลูกมาแล้ว??
แน่นอนที่สุด นอกเหนือจากมีไว้คอยเลี้ยงดูแล้ว เรายังมีหน้าที่ต้องอบรมบ่มสอนให้ลูกๆ เติบโตไปเป็นคนที่ดีของสังคมของประเทศและของโลกต่อไป เพราะเรื่องเหล่านี้หากพ่อแม่ไม่ได้ทำแล้วใครจะทำ??
ดังนั้น เราต้องสอน ต้องเตือน ต้องห้าม ต้องชี้สิ่งดีสิ่งไม่ดี ให้ลูกรับรู้อยู่ตลอดเวลา...อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย พูดไปแสดงออกไปเถอะค่ะ ทั้งหมดที่เราคิดว่าจะเป็นสิ่งดีหรือไม่ดีสำหรับลูก หรือคิดว่าลูกจะได้รับผลดี หรือเป็นอันตราย เพราะนั่นมันออกมาจากใจ จากความห่วงใย จากความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของเราที่มีต่อเขา
ส่วนลูกนั้นก็อาจจะเบื่อ ไม่อยากรับฟัง ก็เป็นธรรมดา หรือดื้อรั้น ไม่ฟังเรา นั่นก็เป็นธรรมดาอีก หรือแอบดื้อเงียบ ต่อหน้าเราอาจจะแสดงว่าฟังๆๆๆ เข้าใจแล้วๆๆๆ รู้แล้วๆๆๆๆ แต่พอลับตาเราก็พยายามจะทำในสิ่งที่เค้าอยากจะทำ...ก็แสนจะธรรมดาเช่นเดียวกัน เพราะนั่นเป็นการแสดงออกของมนุษย์ในช่วงอายุหรือขั้นตอนต่างๆ ของการเจริญเติบโต การสื่อสารจากพ่อแม่ ต้องทำซ้ำแล้วซ้ำอีก
หากว่าเค้าเกิดไปทำพลาดพลั้งในเรื่องที่เราเตือนไว้แล้ว ก็จงอย่าพูดว่า “เห็นมั๊ย..บอกแล้วไม่เชื่อ” หรือ “บอกแล้วไง ทำไมไม่เชื่อ” “เบื่อแล้วนะ...พูดแล้วไม่ฟัง” ฯลฯ เพราะลูกบางคนเค้าอาจจะเสียใจอยู่แล้ว ก็จะทำให้ยิ่งเสียใจมากขึ้น สิ่งที่เราต้องทำคือ โอบอุ้ม ปลอบขวัญ ให้กำลังใจ ช่วยให้หายเจ็บโดยเร็วที่สุด
และเมื่อใดก็ตามที่เค้าเกิดค้นพบถึงความ “เยี่ยมยอด” ของสิ่งที่เราได้เคยบอกเค้าไว้แล้ว (แต่ไม่ได้ฟัง) และเค้าแสดงออกหรือบอกให้เรารับรู้ ก็จงยิ้มแสดงความยินดีกับเค้า ที่เค้าค้นพบด้วยตัวเอง จงอย่าพูดอย่างทวงบุญคุณว่า “เห็นไหมล่ะ บอกแล้วไม่เชื่อ ...” เก็บถ้อยคำไว้ค่ะ เค้าจะรู้สึกได้เอง
สิ่งที่พ่อแม่จะคาดหวังได้จากการพร่ำสอนลูกๆ ก็คือ เมื่อลูกเกิดพลาดพลั้ง เจอเรื่องร้าย เค้าก็จะได้รู้ และแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดได้อย่างรวดเร็วค่ะ... นั่นเป็นความคาดหวังที่ดีที่สุดสำหรับพ่อแม่ที่ทำหน้าที่ของตนเองอย่างสุดชีวิต จนบางครั้งเกือบกลายเป็น “ผู้ร้าย” ในสายตาของลูก
ไม่ต้องกลัวที่จะทำหน้าที่ของพ่อแม่
แล้วลูกจะรับรู้ได้เองไม่ช้าก็เร็วว่าเราได้ทำหน้าที่ของพ่อแม่ที่รักลูกอย่างแท้จริง...
โชคดีนะคะ
เพราะนั่นฉันเชื่อว่า มันเป็นหน้าที่ของเราโดยตรงเลยนะคะ
ไม่เช่นนั้น พ่อแม่จะมีไว้ทำไมหลังจากคลอดลูกมาแล้ว??
แน่นอนที่สุด นอกเหนือจากมีไว้คอยเลี้ยงดูแล้ว เรายังมีหน้าที่ต้องอบรมบ่มสอนให้ลูกๆ เติบโตไปเป็นคนที่ดีของสังคมของประเทศและของโลกต่อไป เพราะเรื่องเหล่านี้หากพ่อแม่ไม่ได้ทำแล้วใครจะทำ??
ดังนั้น เราต้องสอน ต้องเตือน ต้องห้าม ต้องชี้สิ่งดีสิ่งไม่ดี ให้ลูกรับรู้อยู่ตลอดเวลา...อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย พูดไปแสดงออกไปเถอะค่ะ ทั้งหมดที่เราคิดว่าจะเป็นสิ่งดีหรือไม่ดีสำหรับลูก หรือคิดว่าลูกจะได้รับผลดี หรือเป็นอันตราย เพราะนั่นมันออกมาจากใจ จากความห่วงใย จากความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของเราที่มีต่อเขา
ส่วนลูกนั้นก็อาจจะเบื่อ ไม่อยากรับฟัง ก็เป็นธรรมดา หรือดื้อรั้น ไม่ฟังเรา นั่นก็เป็นธรรมดาอีก หรือแอบดื้อเงียบ ต่อหน้าเราอาจจะแสดงว่าฟังๆๆๆ เข้าใจแล้วๆๆๆ รู้แล้วๆๆๆๆ แต่พอลับตาเราก็พยายามจะทำในสิ่งที่เค้าอยากจะทำ...ก็แสนจะธรรมดาเช่นเดียวกัน เพราะนั่นเป็นการแสดงออกของมนุษย์ในช่วงอายุหรือขั้นตอนต่างๆ ของการเจริญเติบโต การสื่อสารจากพ่อแม่ ต้องทำซ้ำแล้วซ้ำอีก
หากว่าเค้าเกิดไปทำพลาดพลั้งในเรื่องที่เราเตือนไว้แล้ว ก็จงอย่าพูดว่า “เห็นมั๊ย..บอกแล้วไม่เชื่อ” หรือ “บอกแล้วไง ทำไมไม่เชื่อ” “เบื่อแล้วนะ...พูดแล้วไม่ฟัง” ฯลฯ เพราะลูกบางคนเค้าอาจจะเสียใจอยู่แล้ว ก็จะทำให้ยิ่งเสียใจมากขึ้น สิ่งที่เราต้องทำคือ โอบอุ้ม ปลอบขวัญ ให้กำลังใจ ช่วยให้หายเจ็บโดยเร็วที่สุด
และเมื่อใดก็ตามที่เค้าเกิดค้นพบถึงความ “เยี่ยมยอด” ของสิ่งที่เราได้เคยบอกเค้าไว้แล้ว (แต่ไม่ได้ฟัง) และเค้าแสดงออกหรือบอกให้เรารับรู้ ก็จงยิ้มแสดงความยินดีกับเค้า ที่เค้าค้นพบด้วยตัวเอง จงอย่าพูดอย่างทวงบุญคุณว่า “เห็นไหมล่ะ บอกแล้วไม่เชื่อ ...” เก็บถ้อยคำไว้ค่ะ เค้าจะรู้สึกได้เอง
สิ่งที่พ่อแม่จะคาดหวังได้จากการพร่ำสอนลูกๆ ก็คือ เมื่อลูกเกิดพลาดพลั้ง เจอเรื่องร้าย เค้าก็จะได้รู้ และแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดได้อย่างรวดเร็วค่ะ... นั่นเป็นความคาดหวังที่ดีที่สุดสำหรับพ่อแม่ที่ทำหน้าที่ของตนเองอย่างสุดชีวิต จนบางครั้งเกือบกลายเป็น “ผู้ร้าย” ในสายตาของลูก
ไม่ต้องกลัวที่จะทำหน้าที่ของพ่อแม่
แล้วลูกจะรับรู้ได้เองไม่ช้าก็เร็วว่าเราได้ทำหน้าที่ของพ่อแม่ที่รักลูกอย่างแท้จริง...
โชคดีนะคะ
บริการซ่อมรถฟรี 24 ชม.
ผู้ใช้รถ หรือ ผู้ที่ไม่ได้ใช้รถส่วนตัว
จะไปบอกต่อกันก็ ได้
ช่วยกันบอกต่อๆ ไป
รถเสีย กด 1137
ชาวกรุงซึ้งน้ำใจรถเสียช่วยฟรี 24 ชม.
รถเสียกลางกรุงไม่ต้องตกใจ กด 1137
เรียกใช้บริการช่างซ่อมอาสาได้ฟรี
ตลอด 24 ชั่วโมง ตามโครงการ
ช่วยป้องกันทั้งโจรในคราบพลเมืองดีและ
ภัยสุภาพสตรีที่รถเกิดเสียกลางทาง
คนยังเรียกใช้น้อย
เพราะส่วนใหญ่ยังไม่รู้จัก
วอนรัฐช่วยส่งเสริมสนับสนุน
ขณะที่ ผู้คนในสังคมต่างดิ้นรนเอาตัวรอด
ส่งผลให้ผู้คนเห็นแก่ตัวมากขึ้น
เสียสละต่อผู้อื่นน้อยลง
และไม่อยากไปยุ่งเกี่ยวเรื่องของคนอื่น
แต่ก็ยังมีผู้คนจำนวนหนึ่งแม้จะไม่มากนัก
แต่ก็พร้อมจะทำงานที่เสียสละช่วยเหลือ
คนอื่น โดยไม่มุ่งหวังสิ่งตอบแทน
อย่างกลุ่มคนในโครงการ ' ปันน้ำใจช่วยเหลือรถจอดเสียกลางทาง '
นายกฤตวิทย์ ศรีพสุธา เจ้าของโครงการ
' ปันน้ำใจช่วยเหลือรถจอดเสียกลางทาง ' กล่าวถึงที่มาโครงการนี้ ว่า
เห็นข่าวผู้หญิงรถเสียในเวลา
กลางคืนและเกิดปัญหาอาชญากรรมตามมาโดยพวกมิจฉาชีพคอยทำร้ายชิงทรัพย์ รวมไป ถึงทำตัวเป็นพลเมืองดีในคราบโจรแล้ว น่าเป็นห่วง
นอกจากนี้จากการสำรวจดู ยังพบว่า
มีรถเก่าจอดเสียอยู่ข้างทางไกลบ้าน
และไม่มีใครดูแล
จึงได้หารือกับ พล.ต.ต.ภาณุ เกิดลาภผล ผบก.จร. เพื่อหาทางแก้ไขให้ประชาชนมี
ที่พึ่ง เพราะเชื่อว่าในสังคมไทยยังมีคนดี
อยู่อีกจำนวนมาก
บทสรุปที่ได้ คือ
ให้ตำรวจแต่ละท้องที่จัดหาอู่ซ่อมรถ
จัดซื้อรถลากรถยกไว้ให้บริการ
โดยมีตำรวจโครงการพระราชดำริ
มาร่วมด้วยช่วยกัน ปรากฏว่า
เจ้าของอู่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยไม่คิดค่าแรง และบอกว่า ยินดีให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ เพราะต้องการช่วยประชาชนอยู่แล้ว แต่ไม่มีโอกาส
นายกฤตวิทย์ กล่าวว่า เพื่อสร้างความ
เชื่อถือในการปฏิบัติหน้าที่ จึงกำหนดให้
เจ้าหน้าที่ ที่ออกให้บริการต้องติดบัตร
ใส่ชุดฟอร์ม และไม่รับค่าตอบแทน
เพราะทุกคนทำด้วยใจรัก ' บริษัทได้ทำประกันอุบัติเหตุให้เป็นค่าตอบแทน 1 ปี ถึงขณะนี้ การช่วยเหลือยังน้อยอยู่
เดือนหนึ่งประมาณ 50-60 ราย
เฉลี่ยวันละ 4-5 ราย แต่ในช่วงคืนฝนตก
จะมีคนเรียกใช้มากถึงวันละ 10 ราย '
ผู้ริเริ่มโครงการนี้กล่าวและยอมรับว่า โครงการ ' ปันน้ำใจช่วย เหลือรถจอดเสียกลางทาง ' ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย เนื่องจากประชาชนที่ใช้รถใช้ถนน ยังไม่ทราบว่า
มีโครงการนี้ หากมีการประชาสัมพันธ์มากกว่าที่เป็นอยู่ เชื่อว่าจะมีคนที่เดือดร้อนขอใช้บริการมากกว่านี้ และน่าจะมีอู่ซ่อมรถยนต์มาร่วมช่วยเหลือมากขึ้น
' ถ้าผู้ใช้รถ ไม่ฟัง จส. 100 จะไม่รู้ว่า
มีโครงการนี้ อย่างไรก็ดี ยังมีประชาชน
ส่วนหนึ่งยังไม่เชื่อใจว่าจะช่วยเหลือ
จริงหรือเปล่า หวังอะไรหรือไม่ ถ้าทำอย่างโปร่งใส คนจะเชื่อใจและใช้บริการมากขึ้นเราก็พร้อมจะขยายขอบข่ายการช่วยเหลือ ออกไป
เพราะโครงการนี้ตั้งเป้าใช้งบไว้ 4 ล้านบาท แต่ทำจริงๆใช้เงินเพียง 1.69 ล้านบาทเท่านั้น '
นายกฤตวิทย์ กล่าวและย้ำว่า คนที่ต้องการความช่วยเหลือจากรถเสีย
กดโทรศัพท์แจ้งเรื่องได้ที่ 1137
ช่วยกัน forward ข้อความนี้ต่อด้วยนะครับ
อภิชาติ สินาคม
จะไปบอกต่อกันก็ ได้
ช่วยกันบอกต่อๆ ไป
รถเสีย กด 1137
ชาวกรุงซึ้งน้ำใจรถเสียช่วยฟรี 24 ชม.
รถเสียกลางกรุงไม่ต้องตกใจ กด 1137
เรียกใช้บริการช่างซ่อมอาสาได้ฟรี
ตลอด 24 ชั่วโมง ตามโครงการ
ช่วยป้องกันทั้งโจรในคราบพลเมืองดีและ
ภัยสุภาพสตรีที่รถเกิดเสียกลางทาง
คนยังเรียกใช้น้อย
เพราะส่วนใหญ่ยังไม่รู้จัก
วอนรัฐช่วยส่งเสริมสนับสนุน
ขณะที่ ผู้คนในสังคมต่างดิ้นรนเอาตัวรอด
ส่งผลให้ผู้คนเห็นแก่ตัวมากขึ้น
เสียสละต่อผู้อื่นน้อยลง
และไม่อยากไปยุ่งเกี่ยวเรื่องของคนอื่น
แต่ก็ยังมีผู้คนจำนวนหนึ่งแม้จะไม่มากนัก
แต่ก็พร้อมจะทำงานที่เสียสละช่วยเหลือ
คนอื่น โดยไม่มุ่งหวังสิ่งตอบแทน
อย่างกลุ่มคนในโครงการ ' ปันน้ำใจช่วยเหลือรถจอดเสียกลางทาง '
นายกฤตวิทย์ ศรีพสุธา เจ้าของโครงการ
' ปันน้ำใจช่วยเหลือรถจอดเสียกลางทาง ' กล่าวถึงที่มาโครงการนี้ ว่า
เห็นข่าวผู้หญิงรถเสียในเวลา
กลางคืนและเกิดปัญหาอาชญากรรมตามมาโดยพวกมิจฉาชีพคอยทำร้ายชิงทรัพย์ รวมไป ถึงทำตัวเป็นพลเมืองดีในคราบโจรแล้ว น่าเป็นห่วง
นอกจากนี้จากการสำรวจดู ยังพบว่า
มีรถเก่าจอดเสียอยู่ข้างทางไกลบ้าน
และไม่มีใครดูแล
จึงได้หารือกับ พล.ต.ต.ภาณุ เกิดลาภผล ผบก.จร. เพื่อหาทางแก้ไขให้ประชาชนมี
ที่พึ่ง เพราะเชื่อว่าในสังคมไทยยังมีคนดี
อยู่อีกจำนวนมาก
บทสรุปที่ได้ คือ
ให้ตำรวจแต่ละท้องที่จัดหาอู่ซ่อมรถ
จัดซื้อรถลากรถยกไว้ให้บริการ
โดยมีตำรวจโครงการพระราชดำริ
มาร่วมด้วยช่วยกัน ปรากฏว่า
เจ้าของอู่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยไม่คิดค่าแรง และบอกว่า ยินดีให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ เพราะต้องการช่วยประชาชนอยู่แล้ว แต่ไม่มีโอกาส
นายกฤตวิทย์ กล่าวว่า เพื่อสร้างความ
เชื่อถือในการปฏิบัติหน้าที่ จึงกำหนดให้
เจ้าหน้าที่ ที่ออกให้บริการต้องติดบัตร
ใส่ชุดฟอร์ม และไม่รับค่าตอบแทน
เพราะทุกคนทำด้วยใจรัก ' บริษัทได้ทำประกันอุบัติเหตุให้เป็นค่าตอบแทน 1 ปี ถึงขณะนี้ การช่วยเหลือยังน้อยอยู่
เดือนหนึ่งประมาณ 50-60 ราย
เฉลี่ยวันละ 4-5 ราย แต่ในช่วงคืนฝนตก
จะมีคนเรียกใช้มากถึงวันละ 10 ราย '
ผู้ริเริ่มโครงการนี้กล่าวและยอมรับว่า โครงการ ' ปันน้ำใจช่วย เหลือรถจอดเสียกลางทาง ' ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย เนื่องจากประชาชนที่ใช้รถใช้ถนน ยังไม่ทราบว่า
มีโครงการนี้ หากมีการประชาสัมพันธ์มากกว่าที่เป็นอยู่ เชื่อว่าจะมีคนที่เดือดร้อนขอใช้บริการมากกว่านี้ และน่าจะมีอู่ซ่อมรถยนต์มาร่วมช่วยเหลือมากขึ้น
' ถ้าผู้ใช้รถ ไม่ฟัง จส. 100 จะไม่รู้ว่า
มีโครงการนี้ อย่างไรก็ดี ยังมีประชาชน
ส่วนหนึ่งยังไม่เชื่อใจว่าจะช่วยเหลือ
จริงหรือเปล่า หวังอะไรหรือไม่ ถ้าทำอย่างโปร่งใส คนจะเชื่อใจและใช้บริการมากขึ้นเราก็พร้อมจะขยายขอบข่ายการช่วยเหลือ ออกไป
เพราะโครงการนี้ตั้งเป้าใช้งบไว้ 4 ล้านบาท แต่ทำจริงๆใช้เงินเพียง 1.69 ล้านบาทเท่านั้น '
นายกฤตวิทย์ กล่าวและย้ำว่า คนที่ต้องการความช่วยเหลือจากรถเสีย
กดโทรศัพท์แจ้งเรื่องได้ที่ 1137
ช่วยกัน forward ข้อความนี้ต่อด้วยนะครับ
อภิชาติ สินาคม
บทความความรักเพราะๆ… คำว่า “รัก”
คำว่า “รัก” มีอะไรมากมายซุกซ่อนอยู่ในนั้น อาจจะหวานชื่น ขมขื่น หรืออะไรอื่นอีกหลากหลาย ที่จะทำให้คนรู้จัก “รัก” ได้สัมผัสและรู้สึกถึง…
ความรักเริ่มจากความคิด เพราะความคิดเป็นจุดเริ่มต้นของความรัก บางที.. ความรักอาจทำให้คนเราเปลี่ยนแปลงความคิดไปจากเดิม อาจทำให้คนเราต้องปรับปรุงในสิ่งที่เคยทำ เพียงเพื่อให้เข้ากับใครอีกคน
ความรักทำให้เกิดความเคารพ ศรัทธา คุณจะไม่สามารถรักใครได้ ถ้าไม่รู้สึกเชื่อมั่นเสียก่อน และคนแรกที่คุณต้องศรัทธาเชื่อมั่น ก็คือตัวเอง
ความรักคือการให้ ถ้าคุณต้องการที่จะได้ความรัก สิ่งที่คุณต้องทำก็คือการให้ ยิ่งให้.. คุณก็จะยิ่งได้รับ สูตรลับของความสุข และทำให้มิตรภาพยืนยาวที่คุณควรจะจำเอาไว้เสมอก็คือ อย่าถามว่าคนอื่นให้อะไรคุณบ้าง แต่ให้ถามว่าคุณทำอะไรให้คนอื่นบ้างจะดีกว่า
ในความรักมีมิตรภาพซ่อนอยู่ อยากได้รักแท้ ก็ต้องหาเพื่อนแท้ให้ได้เสียก่อน การจะรักกันได้ไม่ใช่แค่มองตา แต่อยู่ที่ว่า.. ต่างคนต่างมีอะไรที่ตรงกันหรือเปล่า หากจะรักใครอย่างจริงใจ คุณควรจะรักในสิ่งที่เขาเป็น ไม่ใช่แค่ภาพที่คุณเห็น มิตรภาพก็เหมือนกับปุ๋ยที่ช่วยทำให้ความรักเบ่งบานเติบโตทุกๆ วันนั่นเอง
การสัมผัส ช่วยสานต่อความรักให้ดีขึ้น เคยรู้สึกดีใช่มั้ยเวลาที่มีใครโอบไหล่หรือกอดคุณ? การสัมผัส.. จึงเป็นการแสดงออกอย่างหนึ่งที่มีพลัง และช่วยทลายกำแพงแห่งความชิงชังไม่เข้าใจได้อีกด้วย น่าแปลกที่การสัมผัสสามารถเปลี่ยนแปลงอารมณ์ และท่าทีที่แข็งกร้าวให้เบาบางลงได้
อยากรักต้องรู้จักปลดปล่อย ถ้าคุณรักใคร.. จงปล่อยให้เขาเป็นอิสระบ้าง เพราะคุณเองคงรู้สึกอึดอัด ถ้ามีใครมาล่ามโซ่คุณ ดังนั้น.. จงเรียนรู้ที่จะให้อภัยและลืมอดีตที่ไม่ดี เรียนรู้ที่จะปลดปล่อยความกลัวภายในใจ เรียนรู้ที่จะยุติธรรม และลดทิฐิ รวมถึงเงื่อนไขต่างๆ ลงบ้าง ลองบอกตัวเองว่า.. นับแต่นี้ คุณจะทิ้งความกลัวทั้งหมด
แล้วอดีตจะไม่มีผลอะไรต่อตัวคุณได้.. นับจากวันนี้ไป คุณก็จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่เสียที
ชีวิตจะเปลี่ยนไป เมื่อเราเรียนรู้ที่จะเปิดใจให้กว้างและซื่อสัตย์ต่อกัน รวมถึง.. คุยกับคนรักอย่างเปิดเผย และกล้าที่จะพูดถ้อยคำวิเศษว่า “ฉันรักเธอ” โดยไม่ปล่อยให้โอกาสดีๆ หลุดลอยไป คุณควรจะบอกรักก่อนจากกันทุกครั้งเสมอ เพราะบางที.. นั่นอาจเป็นครั้งสุดท้ายที่คุณจะพบกัน!
แก่นแท้ของความรัก คือการไว้ใจกัน ถ้าคุณไม่เชื่อใจกัน ใครคนหนึ่งจะรู้สึกระแวง กังวล และหวาดหวั่น ขณะที่อีกคนรู้สึกอึดอัดใจ ที่สำคัญ.. คุณไม่อาจรักใครจริงๆ ได้ ถ้าคุณไม่ไว้ใจเขาคนนั้นอย่างแท้จริง
:: อีเมลนี้ได้รับฟอร์เวิร์ดมาจาก: Jerry Maguire
ความรักเริ่มจากความคิด เพราะความคิดเป็นจุดเริ่มต้นของความรัก บางที.. ความรักอาจทำให้คนเราเปลี่ยนแปลงความคิดไปจากเดิม อาจทำให้คนเราต้องปรับปรุงในสิ่งที่เคยทำ เพียงเพื่อให้เข้ากับใครอีกคน
ความรักทำให้เกิดความเคารพ ศรัทธา คุณจะไม่สามารถรักใครได้ ถ้าไม่รู้สึกเชื่อมั่นเสียก่อน และคนแรกที่คุณต้องศรัทธาเชื่อมั่น ก็คือตัวเอง
ความรักคือการให้ ถ้าคุณต้องการที่จะได้ความรัก สิ่งที่คุณต้องทำก็คือการให้ ยิ่งให้.. คุณก็จะยิ่งได้รับ สูตรลับของความสุข และทำให้มิตรภาพยืนยาวที่คุณควรจะจำเอาไว้เสมอก็คือ อย่าถามว่าคนอื่นให้อะไรคุณบ้าง แต่ให้ถามว่าคุณทำอะไรให้คนอื่นบ้างจะดีกว่า
ในความรักมีมิตรภาพซ่อนอยู่ อยากได้รักแท้ ก็ต้องหาเพื่อนแท้ให้ได้เสียก่อน การจะรักกันได้ไม่ใช่แค่มองตา แต่อยู่ที่ว่า.. ต่างคนต่างมีอะไรที่ตรงกันหรือเปล่า หากจะรักใครอย่างจริงใจ คุณควรจะรักในสิ่งที่เขาเป็น ไม่ใช่แค่ภาพที่คุณเห็น มิตรภาพก็เหมือนกับปุ๋ยที่ช่วยทำให้ความรักเบ่งบานเติบโตทุกๆ วันนั่นเอง
การสัมผัส ช่วยสานต่อความรักให้ดีขึ้น เคยรู้สึกดีใช่มั้ยเวลาที่มีใครโอบไหล่หรือกอดคุณ? การสัมผัส.. จึงเป็นการแสดงออกอย่างหนึ่งที่มีพลัง และช่วยทลายกำแพงแห่งความชิงชังไม่เข้าใจได้อีกด้วย น่าแปลกที่การสัมผัสสามารถเปลี่ยนแปลงอารมณ์ และท่าทีที่แข็งกร้าวให้เบาบางลงได้
อยากรักต้องรู้จักปลดปล่อย ถ้าคุณรักใคร.. จงปล่อยให้เขาเป็นอิสระบ้าง เพราะคุณเองคงรู้สึกอึดอัด ถ้ามีใครมาล่ามโซ่คุณ ดังนั้น.. จงเรียนรู้ที่จะให้อภัยและลืมอดีตที่ไม่ดี เรียนรู้ที่จะปลดปล่อยความกลัวภายในใจ เรียนรู้ที่จะยุติธรรม และลดทิฐิ รวมถึงเงื่อนไขต่างๆ ลงบ้าง ลองบอกตัวเองว่า.. นับแต่นี้ คุณจะทิ้งความกลัวทั้งหมด
แล้วอดีตจะไม่มีผลอะไรต่อตัวคุณได้.. นับจากวันนี้ไป คุณก็จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่เสียที
ชีวิตจะเปลี่ยนไป เมื่อเราเรียนรู้ที่จะเปิดใจให้กว้างและซื่อสัตย์ต่อกัน รวมถึง.. คุยกับคนรักอย่างเปิดเผย และกล้าที่จะพูดถ้อยคำวิเศษว่า “ฉันรักเธอ” โดยไม่ปล่อยให้โอกาสดีๆ หลุดลอยไป คุณควรจะบอกรักก่อนจากกันทุกครั้งเสมอ เพราะบางที.. นั่นอาจเป็นครั้งสุดท้ายที่คุณจะพบกัน!
แก่นแท้ของความรัก คือการไว้ใจกัน ถ้าคุณไม่เชื่อใจกัน ใครคนหนึ่งจะรู้สึกระแวง กังวล และหวาดหวั่น ขณะที่อีกคนรู้สึกอึดอัดใจ ที่สำคัญ.. คุณไม่อาจรักใครจริงๆ ได้ ถ้าคุณไม่ไว้ใจเขาคนนั้นอย่างแท้จริง
:: อีเมลนี้ได้รับฟอร์เวิร์ดมาจาก: Jerry Maguire
“ชะคราม” รสเค็ม เต็มคุณค่า
“108 เคล็ดกิน” ได้ไปลองชิมอาหารอยู่จานหนึ่งที่ชื่อว่ายำชะคราม ฟังดูแล้วชื่อไม่ค่อยคุ้นหูเสียเท่าไหร่ก็เลยลองกลับมาหาความรู้ดูว่า “ชะคราม” ที่ว่านี้คืออะไรกันแน่
“ชะคราม” หรือในบางพื้นที่อาจจะเรียกว่า “ชักคราม” หรือ “ส่าคราม” เป็นไม้ล้มลุก และเป็นวัชพืชที่เจริญเติบโตได้ง่ายในบริเวณที่ดินเค็ม ใบของชะครามจะดูดเอาความเกลือจากดินมาเก็บไว้ จึงทำให้ใบมีรสเค็ม ซึ่งเมื่อใบชะครามแก่ขึ้นเรื่อยๆ ความเค็มก็จะเพิ่มมากขึ้นไปด้วย
ฉะนั้น เวลาจะเลือกชะครามมาปรุงอาหารให้เลือกใช้ใบอ่อน นำมาล้างน้ำให้สะอาด แล้วต้มคั้นน้ำทิ้งไป 2-3 ครั้งเพื่อให้ลดความเค็มลง จากนั้นก็นำไปทำอาหารจานเด็ดได้เลย ซึ่งก็ทำได้หลากหลายเมนู อย่างเช่น ยำชะคราม ใส่ลงไปในแกงเผ็ดกับปูหรือกุ้ง ทำเป็นผักลวกจิ้มราดกะทิกินคู่กับน้ำพริก นำไปใส่ไข่เจียวแทนชะอม หรือเอาใบชะครามไปชุบแป้งทอดก็อร่อยเหมือนกัน
นอกจากจะเป็นส่วนประกอบในอาหารหลายจานแล้ว ชะครามก็ยังมีสารอนุมูลอิสระป้องกันมะเร็ง ที่เริ่มมีผู้สนใจทำวิจัยสาระสำคัญในชะครามเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในภายภาคหน้า
ในส่วนรากของชะคราม ให้กินเป็นยาบำรุงกระดูก แก้พิษฝีภายใน ดับพิษในกระดูก แก้น้ำเหลืองเสีย ผื่นคัน แก้โรคผิวหนังและเส้นเอ็นพิการ
ลำต้นและใบของชะครามก็มีประโยชน์ต่อร่างกายเราเช่นกัน เพราะตัวชะครามดูดเกลือจากดินมาเก็บไว้ ทำให้มีธาตุไอโอดีนสะสมอยู่ ซึ่งสามารถป้องกันโรคคอพอกได้ และยังมีสรรพคุณใช้รักษารากผม แก้ผมร่วงได้ด้วย
ได้รู้จักกับชะครามกันแล้ว คราวหน้าถ้าหากเห็นเมนูที่ทำมาจากชะคราม “108 เคล็ดกิน” คงไม่พลาดที่จะลิ้มลองแน่ๆ
“ชะคราม” หรือในบางพื้นที่อาจจะเรียกว่า “ชักคราม” หรือ “ส่าคราม” เป็นไม้ล้มลุก และเป็นวัชพืชที่เจริญเติบโตได้ง่ายในบริเวณที่ดินเค็ม ใบของชะครามจะดูดเอาความเกลือจากดินมาเก็บไว้ จึงทำให้ใบมีรสเค็ม ซึ่งเมื่อใบชะครามแก่ขึ้นเรื่อยๆ ความเค็มก็จะเพิ่มมากขึ้นไปด้วย
ฉะนั้น เวลาจะเลือกชะครามมาปรุงอาหารให้เลือกใช้ใบอ่อน นำมาล้างน้ำให้สะอาด แล้วต้มคั้นน้ำทิ้งไป 2-3 ครั้งเพื่อให้ลดความเค็มลง จากนั้นก็นำไปทำอาหารจานเด็ดได้เลย ซึ่งก็ทำได้หลากหลายเมนู อย่างเช่น ยำชะคราม ใส่ลงไปในแกงเผ็ดกับปูหรือกุ้ง ทำเป็นผักลวกจิ้มราดกะทิกินคู่กับน้ำพริก นำไปใส่ไข่เจียวแทนชะอม หรือเอาใบชะครามไปชุบแป้งทอดก็อร่อยเหมือนกัน
นอกจากจะเป็นส่วนประกอบในอาหารหลายจานแล้ว ชะครามก็ยังมีสารอนุมูลอิสระป้องกันมะเร็ง ที่เริ่มมีผู้สนใจทำวิจัยสาระสำคัญในชะครามเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในภายภาคหน้า
ในส่วนรากของชะคราม ให้กินเป็นยาบำรุงกระดูก แก้พิษฝีภายใน ดับพิษในกระดูก แก้น้ำเหลืองเสีย ผื่นคัน แก้โรคผิวหนังและเส้นเอ็นพิการ
ลำต้นและใบของชะครามก็มีประโยชน์ต่อร่างกายเราเช่นกัน เพราะตัวชะครามดูดเกลือจากดินมาเก็บไว้ ทำให้มีธาตุไอโอดีนสะสมอยู่ ซึ่งสามารถป้องกันโรคคอพอกได้ และยังมีสรรพคุณใช้รักษารากผม แก้ผมร่วงได้ด้วย
ได้รู้จักกับชะครามกันแล้ว คราวหน้าถ้าหากเห็นเมนูที่ทำมาจากชะคราม “108 เคล็ดกิน” คงไม่พลาดที่จะลิ้มลองแน่ๆ
ทำไม Vote No ดีกว่าเลือกทุกพรรค โดย สุรวิชช์ วีรวรรณ
ถาม -การรณรงค์ให้ประชาชนออกมา “Vote No” หรือกาช่อง “ไม่ลงคะแนนให้ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใด"ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นการทำผิดกฎหมายเลือกตั้งหรือเป็นประชาธิปไตยหรือไม่
ตอบ-ไม่ผิดกฎหมายเลือกตั้ง เพราะพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 ระบุไว้ว่า
มาตรา 67 การลงคะแนนเลือกตั้ง ให้ทำเครื่องหมายกากบาทลงในช่องทำเครื่องหมายของหมายเลขผู้สมัครหรือพรรคการเมืองในบัตรเลือกตั้ง และในกรณีที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่ประสงค์จะลงคะแนนเลือกตั้ง ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งทำเครื่องหมายกากบาทในช่องทำเครื่องหมายไม่ประสงค์ลงคะแนนเลือกตั้งในบัตรเลือกตั้ง
และการที่กฎหมายประกอบการเลือกตั้งบัญญัติสิทธิของประชาชนเอาไว้ตามมาตรา 67 ดังนั้น จึงชี้ช่องให้เห็นว่า ประชาชนไม่จำเป็นต้อง “จำนน” ต่อนักการเมือง แต่ยังมีช่องทาง Vote No หรือการกาช่องไม่เลือกใคร เป็น “สิทธิอันชอบธรรมของประชาชน” ในระบอบประชาธิปไตย
ถาม-ทำไมพันธมิตรฯ ต้องรณรงค์โหวต โน ทำไมพันธมิตรฯ ไม่เล่นตาม “กติกา” ทั้งที่มีฉันทามติให้ตั้งพรรคการเมืองใหม่เพื่อลงไปสู่การเมืองในระบบอยู่แล้ว
ตอบ-คำถามนี้ตอบง่าย เพราะการ Vote No ก็เป็นกติกาตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ส่วนที่พรรคการเมืองใหม่ไม่ควรลงเลือกตั้งก็เพราะพรรคการเมืองอุดมคติแบบพรรคการเมืองใหม่ไม่มีทางได้รับเลือกเข้าสภา ถ้าไม่ซื้อสิทธิขายเสียง เพราะ กกต.ท่านหนึ่งออกมายืนยันว่า การเลือกตั้งครั้งนี้จะมีการซื้อสิทธิขายเสียงกันอย่างมโหฬาร ดังนั้น ถ้าเราเรียกระบบการเมืองที่เป็นอยู่ว่า การเมืองน้ำเน่า การปล่อยปลาดีลงไปว่ายในน้ำเน่าจึงไม่มีประโยชน์อะไร
ถาม-การ “Vote No” คือ การไม่ลงคะแนนให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือพรรคการเมืองใด มีผลดีผลเสียอย่างไรเมื่อเทียบกับการ No Vote หรือการไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง
ตอบ-การ Vote No หรือการไม่ประสงค์จะลงคะแนนให้ใคร เป็นการสะท้อนความไม่พอใจต่อพรรคการเมืองและนักการเมืองไม่ว่าจะเป็นผู้สมัครพรรคใด แต่การ No Vote หรือการไม่ไปลงคะแนนคือ การนอนหลับทับสิทธิ และเป็นการเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองที่ใช้เงินและมีเงินทุนพรรคซื้อเสียงเข้ามาในสภา และเข้ามาทุจริตเพื่อถอนทุนภายหลัง
นอกจากนั้นมาตรา 72 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 บัญญัติไว้ว่า บุคคลมีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง บุคคลซึ่งไปใช้สิทธิหรือไม่ไปใช้สิทธิโดยไม่แจ้งเหตุอันควรที่ทำให้ไม่ไปใช้สิทธิได้ย่อมได้รับสิทธิตามที่กฎหมายกำหนด
ถาม-กลุ่มคนที่นิยมทักษิณหรือกลุ่มคนเสื้อแดงก็จะเลือกพรรคของทักษิณอยู่แล้ว ทำให้คนบางคนกลัวว่า ถ้ายิ่งเลือก ปชป.น้อยลงเท่าไหร่ก็จะเปิดโอกาสให้ระบอบทักษิณและพรรคของทักษิณกลับมาบริหารประเทศจริงหรือไม่
ตอบ-การเลือกตั้งครั้งที่แล้ว มีการใช้อำนาจรัฐและมีการจัดตั้งพรรคการเมืองโดยกลุ่มทหารที่ยึดอำนาจคือ พรรคเพื่อแผ่นดินเพื่อดึงนักการเมืองจากพรรคของทักษิณ แต่ผลการเลือกตั้งยังปรากฏว่า พรรคของทักษิณยังชนะการเลือกตั้ง และเวลานั้นแม้พันธมิตรฯ ส่วนใหญ่จะเลือก ปชป.ก็ยังแพ้พรรคของทักษิณ ส่วนพรรคเพื่อแผ่นดินที่แยกตัวออกมาจากทักษิณได้รับการเลือกตั้งเข้ามาน้อยมาก ทำให้เห็นว่าพรรคภูมิใจไทยซึ่งส่วนใหญ่เป็น ส.ส.หน้าใหม่ ที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาเที่ยวที่แล้วนั้น ล้วนมาจากภาคอีสานซึ่งเป็นฐานของทักษิณ ดังนั้นเลือกตั้งเที่ยวหน้า ส.ส.พรรคภูมิใจมีโอกาสสูงที่จะสอบตกกันระนาวเช่นเดียวกับพรรคอื่นที่แยกตัวออกมาในครั้งที่แล้ว
ส่วน ปชป.เมื่อพันธมิตรฯ รณรงค์ Vote No (หรือถ้า กมม.ลงเลือกตั้ง) ก็เป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่า คะแนนพรรคจะลดน้อยลงไป แต่คะแนนของพรรคทักษิณจะมีความมั่นคงกว่า แม้ว่าเที่ยวที่แล้วคะแนนของ ปชป.จะเป็นรองพรรคของทักษิณไม่มากนัก แต่เมื่อเกิดปัจจัยนี้ชัดเจนว่าคะแนนของ ปชป.จะแพ้อย่างราบคาบ
ถาม-แม้ว่า พรรคของทักษิณชนะการเลือกตั้ง แต่พรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบันอาจรวมตัวกันแล้วได้เสียงมากกว่าและสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ในกรณีที่พรรคของทักษิณหรือพรรคใดพรรคหนึ่งได้คะแนนไม่เกินครึ่งของจำนวน ส.ส.
ตอบ-โอกาสที่พรรคร่วมรัฐบาลจะยังผนึกกำลังกันแน่นมีความเป็นไปได้ แต่ดูจากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา เมื่องพรรคของทักษินชนะเลือกตั้งและมีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลก่อน แม้ว่าขณะนั้นจะอยู่ภายใต้อำนาจของ คมช.แต่กระทั่งพรรคที่ทหารตั้งมาอย่างพรรคเพื่อแผ่นดิน และพรรคของนายบรรหารที่รับปากประชาชนว่าจะจับมือกับขั้ว ปชป.ยังหันไปจับมือกับพรรคของทักษิณ ดังนั้นครั้งนี้จึงไม่มีหลักประกันอะไรเลยที่พรรคร่วมจะรักษาคำมั่นสัญญา เพราะเคยทำลายคำมั่นสัญญามาแล้ว
ถาม-ถ้าอย่างนี้ยิ่งมีคนไป Vote No มาก ยิ่งสร้างความชอบธรรมให้กับพรรคของทักษิณและการ Vote No จะเป็นคะแนนที่เสียเปล่าเหมือนเอาคะแนนไปเททิ้งน้ำหรือปิ้งปลาประชดแม้ว
ตอบ-คำถามนี้ไม่ต้องตอบเลยถ้ามั่นใจว่า ปชป.จะชนะพรรคทักษิณได้แม้ว่าพันธมิตรฯ จะ Vote No และพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบันก็ยังจับมือกันไม่ยอมเปลี่ยนขั้ว แต่คำตอบก็คือ สิ่งเหล่านี้ไม่มีหลักประกันอะไรเลย ดังนั้นระหว่างคะแนนที่จะเลือก ปชป.กับคะแนนโหวต โน คะแนนที่จะเททิ้งน้ำและทำให้ระบอบทักษิณกลับมาอย่างชอบธรรมคือ คะแนนเลือก ปชป.เพราะครั้งที่แล้วพันธมิตรฯ เทคะแนนให้ ปชป.จนได้ ส.ส.ภาคตะวันออกทั้งภาคจากที่เคยได้เลือกแค่ 2-3 คน ก็ยังแพ้พรรคของทักษิณ ดังนั้นเลือกตั้งครั้งนี้ยังไง ปชป.ก็แพ้ คะแนนลงให้ ปชป.ต่างหากที่เสียเปล่าเมื่อเทียบกับการVote No
เพราะเมื่อพรรคทักษิณชนะการเลือกตั้งก็จะอ้างว่า เขามีความชอบธรรมมาจากการเลือกตั้งของประชาชน
ถาม-ทำไมถ้าได้คะแนน Vote No มากจึงทำลายความชอบธรรมของพรรคทักษิณได้ และถ้าได้ Vote No มากหรือน้อยจะเกิดอะไรขึ้น
ตอบ-ถ้าประชาชน Vote No มาก ขอเพียงสัก 5-10 ล้านคน ก็จะทำให้สังคมตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับระบบการเมืองที่เป็นอยู่ (ทั้งที่ทุกคนรู้อยู่แล้วว่ามีแต่นักการเมืองโกงชาติ) และเมื่อนั้นจะเกิดการผลักดันให้เกิดการปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่ เพราะเราต้องยอมรับความจริงว่า ไม่ว่าพรรคไหนเป็นรัฐบาลก็มีการทุจริตไม่แพ้กัน แม้ว่าไม่มีหลักฐานใดยืนยันว่านายอภิสิทธิ์จะทุจริต (แต่ที่เห็นชัดคือ เขาปล่อยให้เขมรมายึดครองแผ่นดิน) อย่างไรก็ตาม ผลการสำรวจของหอการค้าไทยยืนยันว่า 3 ปีที่ผ่านมานั้น มีการทุจริตยิ่งกว่ายุคของทักษิณ
ส่วนถ้าได้ Vote No น้อยก็ไม่เกิดอะไรขึ้น เพราะไม่มีทางที่ ปชป.จะชนะเลย นอกจากพันธมิตรฯ หนีหายแล้ว คนส่วนหนึ่งเริ่มเห็นว่า นายอภิสิทธิ์ไม่มีวุฒิภาวะผู้นำจนโพลสำรวจทุกครั้งจึงยืนยันว่า ได้คนที่ทำงานเป็นแต่ทุจริต ดีกว่าคนที่ทำงานไม่เป็น
ดังนั้น หนทางเดียวที่หยุดการเมืองน้ำเน่า ก่อนปล่อยปลาดีลงสู่การเมืองไทยหยุดยั้งการทุจริตคอร์รัปชัน และหยุดยั้งระบอบทักษิณก็คือ ประชาชนต้องออกมา Vote No หรือไม่ประสงค์ลงคะแนนให้ใครให้มากที่สุด
ตอบ-ไม่ผิดกฎหมายเลือกตั้ง เพราะพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 ระบุไว้ว่า
มาตรา 67 การลงคะแนนเลือกตั้ง ให้ทำเครื่องหมายกากบาทลงในช่องทำเครื่องหมายของหมายเลขผู้สมัครหรือพรรคการเมืองในบัตรเลือกตั้ง และในกรณีที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่ประสงค์จะลงคะแนนเลือกตั้ง ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งทำเครื่องหมายกากบาทในช่องทำเครื่องหมายไม่ประสงค์ลงคะแนนเลือกตั้งในบัตรเลือกตั้ง
และการที่กฎหมายประกอบการเลือกตั้งบัญญัติสิทธิของประชาชนเอาไว้ตามมาตรา 67 ดังนั้น จึงชี้ช่องให้เห็นว่า ประชาชนไม่จำเป็นต้อง “จำนน” ต่อนักการเมือง แต่ยังมีช่องทาง Vote No หรือการกาช่องไม่เลือกใคร เป็น “สิทธิอันชอบธรรมของประชาชน” ในระบอบประชาธิปไตย
ถาม-ทำไมพันธมิตรฯ ต้องรณรงค์โหวต โน ทำไมพันธมิตรฯ ไม่เล่นตาม “กติกา” ทั้งที่มีฉันทามติให้ตั้งพรรคการเมืองใหม่เพื่อลงไปสู่การเมืองในระบบอยู่แล้ว
ตอบ-คำถามนี้ตอบง่าย เพราะการ Vote No ก็เป็นกติกาตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ส่วนที่พรรคการเมืองใหม่ไม่ควรลงเลือกตั้งก็เพราะพรรคการเมืองอุดมคติแบบพรรคการเมืองใหม่ไม่มีทางได้รับเลือกเข้าสภา ถ้าไม่ซื้อสิทธิขายเสียง เพราะ กกต.ท่านหนึ่งออกมายืนยันว่า การเลือกตั้งครั้งนี้จะมีการซื้อสิทธิขายเสียงกันอย่างมโหฬาร ดังนั้น ถ้าเราเรียกระบบการเมืองที่เป็นอยู่ว่า การเมืองน้ำเน่า การปล่อยปลาดีลงไปว่ายในน้ำเน่าจึงไม่มีประโยชน์อะไร
ถาม-การ “Vote No” คือ การไม่ลงคะแนนให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือพรรคการเมืองใด มีผลดีผลเสียอย่างไรเมื่อเทียบกับการ No Vote หรือการไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง
ตอบ-การ Vote No หรือการไม่ประสงค์จะลงคะแนนให้ใคร เป็นการสะท้อนความไม่พอใจต่อพรรคการเมืองและนักการเมืองไม่ว่าจะเป็นผู้สมัครพรรคใด แต่การ No Vote หรือการไม่ไปลงคะแนนคือ การนอนหลับทับสิทธิ และเป็นการเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองที่ใช้เงินและมีเงินทุนพรรคซื้อเสียงเข้ามาในสภา และเข้ามาทุจริตเพื่อถอนทุนภายหลัง
นอกจากนั้นมาตรา 72 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 บัญญัติไว้ว่า บุคคลมีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง บุคคลซึ่งไปใช้สิทธิหรือไม่ไปใช้สิทธิโดยไม่แจ้งเหตุอันควรที่ทำให้ไม่ไปใช้สิทธิได้ย่อมได้รับสิทธิตามที่กฎหมายกำหนด
ถาม-กลุ่มคนที่นิยมทักษิณหรือกลุ่มคนเสื้อแดงก็จะเลือกพรรคของทักษิณอยู่แล้ว ทำให้คนบางคนกลัวว่า ถ้ายิ่งเลือก ปชป.น้อยลงเท่าไหร่ก็จะเปิดโอกาสให้ระบอบทักษิณและพรรคของทักษิณกลับมาบริหารประเทศจริงหรือไม่
ตอบ-การเลือกตั้งครั้งที่แล้ว มีการใช้อำนาจรัฐและมีการจัดตั้งพรรคการเมืองโดยกลุ่มทหารที่ยึดอำนาจคือ พรรคเพื่อแผ่นดินเพื่อดึงนักการเมืองจากพรรคของทักษิณ แต่ผลการเลือกตั้งยังปรากฏว่า พรรคของทักษิณยังชนะการเลือกตั้ง และเวลานั้นแม้พันธมิตรฯ ส่วนใหญ่จะเลือก ปชป.ก็ยังแพ้พรรคของทักษิณ ส่วนพรรคเพื่อแผ่นดินที่แยกตัวออกมาจากทักษิณได้รับการเลือกตั้งเข้ามาน้อยมาก ทำให้เห็นว่าพรรคภูมิใจไทยซึ่งส่วนใหญ่เป็น ส.ส.หน้าใหม่ ที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาเที่ยวที่แล้วนั้น ล้วนมาจากภาคอีสานซึ่งเป็นฐานของทักษิณ ดังนั้นเลือกตั้งเที่ยวหน้า ส.ส.พรรคภูมิใจมีโอกาสสูงที่จะสอบตกกันระนาวเช่นเดียวกับพรรคอื่นที่แยกตัวออกมาในครั้งที่แล้ว
ส่วน ปชป.เมื่อพันธมิตรฯ รณรงค์ Vote No (หรือถ้า กมม.ลงเลือกตั้ง) ก็เป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่า คะแนนพรรคจะลดน้อยลงไป แต่คะแนนของพรรคทักษิณจะมีความมั่นคงกว่า แม้ว่าเที่ยวที่แล้วคะแนนของ ปชป.จะเป็นรองพรรคของทักษิณไม่มากนัก แต่เมื่อเกิดปัจจัยนี้ชัดเจนว่าคะแนนของ ปชป.จะแพ้อย่างราบคาบ
ถาม-แม้ว่า พรรคของทักษิณชนะการเลือกตั้ง แต่พรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบันอาจรวมตัวกันแล้วได้เสียงมากกว่าและสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ในกรณีที่พรรคของทักษิณหรือพรรคใดพรรคหนึ่งได้คะแนนไม่เกินครึ่งของจำนวน ส.ส.
ตอบ-โอกาสที่พรรคร่วมรัฐบาลจะยังผนึกกำลังกันแน่นมีความเป็นไปได้ แต่ดูจากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา เมื่องพรรคของทักษินชนะเลือกตั้งและมีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลก่อน แม้ว่าขณะนั้นจะอยู่ภายใต้อำนาจของ คมช.แต่กระทั่งพรรคที่ทหารตั้งมาอย่างพรรคเพื่อแผ่นดิน และพรรคของนายบรรหารที่รับปากประชาชนว่าจะจับมือกับขั้ว ปชป.ยังหันไปจับมือกับพรรคของทักษิณ ดังนั้นครั้งนี้จึงไม่มีหลักประกันอะไรเลยที่พรรคร่วมจะรักษาคำมั่นสัญญา เพราะเคยทำลายคำมั่นสัญญามาแล้ว
ถาม-ถ้าอย่างนี้ยิ่งมีคนไป Vote No มาก ยิ่งสร้างความชอบธรรมให้กับพรรคของทักษิณและการ Vote No จะเป็นคะแนนที่เสียเปล่าเหมือนเอาคะแนนไปเททิ้งน้ำหรือปิ้งปลาประชดแม้ว
ตอบ-คำถามนี้ไม่ต้องตอบเลยถ้ามั่นใจว่า ปชป.จะชนะพรรคทักษิณได้แม้ว่าพันธมิตรฯ จะ Vote No และพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบันก็ยังจับมือกันไม่ยอมเปลี่ยนขั้ว แต่คำตอบก็คือ สิ่งเหล่านี้ไม่มีหลักประกันอะไรเลย ดังนั้นระหว่างคะแนนที่จะเลือก ปชป.กับคะแนนโหวต โน คะแนนที่จะเททิ้งน้ำและทำให้ระบอบทักษิณกลับมาอย่างชอบธรรมคือ คะแนนเลือก ปชป.เพราะครั้งที่แล้วพันธมิตรฯ เทคะแนนให้ ปชป.จนได้ ส.ส.ภาคตะวันออกทั้งภาคจากที่เคยได้เลือกแค่ 2-3 คน ก็ยังแพ้พรรคของทักษิณ ดังนั้นเลือกตั้งครั้งนี้ยังไง ปชป.ก็แพ้ คะแนนลงให้ ปชป.ต่างหากที่เสียเปล่าเมื่อเทียบกับการVote No
เพราะเมื่อพรรคทักษิณชนะการเลือกตั้งก็จะอ้างว่า เขามีความชอบธรรมมาจากการเลือกตั้งของประชาชน
ถาม-ทำไมถ้าได้คะแนน Vote No มากจึงทำลายความชอบธรรมของพรรคทักษิณได้ และถ้าได้ Vote No มากหรือน้อยจะเกิดอะไรขึ้น
ตอบ-ถ้าประชาชน Vote No มาก ขอเพียงสัก 5-10 ล้านคน ก็จะทำให้สังคมตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับระบบการเมืองที่เป็นอยู่ (ทั้งที่ทุกคนรู้อยู่แล้วว่ามีแต่นักการเมืองโกงชาติ) และเมื่อนั้นจะเกิดการผลักดันให้เกิดการปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่ เพราะเราต้องยอมรับความจริงว่า ไม่ว่าพรรคไหนเป็นรัฐบาลก็มีการทุจริตไม่แพ้กัน แม้ว่าไม่มีหลักฐานใดยืนยันว่านายอภิสิทธิ์จะทุจริต (แต่ที่เห็นชัดคือ เขาปล่อยให้เขมรมายึดครองแผ่นดิน) อย่างไรก็ตาม ผลการสำรวจของหอการค้าไทยยืนยันว่า 3 ปีที่ผ่านมานั้น มีการทุจริตยิ่งกว่ายุคของทักษิณ
ส่วนถ้าได้ Vote No น้อยก็ไม่เกิดอะไรขึ้น เพราะไม่มีทางที่ ปชป.จะชนะเลย นอกจากพันธมิตรฯ หนีหายแล้ว คนส่วนหนึ่งเริ่มเห็นว่า นายอภิสิทธิ์ไม่มีวุฒิภาวะผู้นำจนโพลสำรวจทุกครั้งจึงยืนยันว่า ได้คนที่ทำงานเป็นแต่ทุจริต ดีกว่าคนที่ทำงานไม่เป็น
ดังนั้น หนทางเดียวที่หยุดการเมืองน้ำเน่า ก่อนปล่อยปลาดีลงสู่การเมืองไทยหยุดยั้งการทุจริตคอร์รัปชัน และหยุดยั้งระบอบทักษิณก็คือ ประชาชนต้องออกมา Vote No หรือไม่ประสงค์ลงคะแนนให้ใครให้มากที่สุด
การขึ้นดอกเบี้ยกับภาวะเงินเฟ้อ โดย สุทธิพงษ์ ปรัชญพฤทธิ์
ดอกเบี้ยนโยบายถูกลดต่ำสุดที่ระดับ 1.25 เปอร์เซ็นต์ ระหว่างวันที่ 8 เมษายน 2552 – 13 กรกฎาคม 2553 ประมาณ 10 เดือนที่ผ่านมา มีการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 6 ครั้ง ครั้งละ 0.25 เปอร์เซ็นต์ การขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2553 ดอกเบี้ยขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1.50 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2553 ดอกเบี้ยมาอยู่ที่ระดับ 1.75 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2553 ดอกเบี้ยมาอยู่ที่ระดับ 2.00 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งที่ 4 เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2554 ดอกเบี้ยมาอยู่ที่ระดับ 2.25 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งที่ 5 เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2554 ดอกเบี้ยมาอยู่ที่ระดับ 2.50 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งที่ 6 เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2554 ดอกเบี้ยมาอยู่ที่ระดับ 2.75 เปอร์เซ็นต์
คำอธิบายของการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ
เงินเฟ้อเป็นเรื่องที่สำคัญ ที่ควรมีการปฏิบัติอย่างมีความเข้าใจ หากไม่เข้าใจ จะทำให้เงินเฟ้อสูง จะทำให้ผู้บริโภคเดือดร้อน เงินเฟ้อเกิดได้จากปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน ตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา เงินเฟ้อโลกพุ่งขึ้นแรงมาก เป็นผลมาจากการพังทลายของตลาดแนสแดกซ์ ที่ทำให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐพังทลายตามมา ราคาน้ำมันดิบโลกขึ้นมา 683 เปอร์เซ็นต์ ราคาทองคำขึ้นมา 454 เปอร์เซ็นต์ เป็นตัวบอกว่าเงินเฟ้อโลกพุ่งแรง ตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา ค่าเงินบาทของไทยก็แข็งขึ้นมาโดยตลอด ช่วยให้เงินเฟ้อไทยไม่สูงนัก อัตราเงินเฟ้อของไทยอยู่ที่ระดับ 3.0 – 3.4 เปอร์เซ็นต์ ปี 2554 ธนาคารแห่งประเทศไทยคาดว่าเงินเฟ้อทั่วไปจะขึ้นไปที่ระดับ 5 เปอร์เซ็นต์
เงินเฟ้อของประเทศไทย นอกจากจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกดังกล่าวแล้ว ปัจจัยภายในประเทศ ทำให้เงินเฟ้อก่อตัวได้อย่างมีนัยสำคัญ ปี 2544 และปีต่อๆ มา ได้มีการนำหุ้นปตท.และบริษัทในกลุ่มปตท.เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น การแสวงหากำไรจากอุตสาหกรรมน้ำมันทุกขั้นตอน เอากำไรสูง เพื่อกรรมการ เพื่อพนักงาน และเพื่อผู้ถือหุ้น ทำให้ราคาน้ำมันหน้าปั๊มสูงขึ้นแบบไม่เป็นธรรม ประชาชนรับกรรม
โครงการประชานิยม การขึ้นเงินเดือนระลอกแล้วระลอกเล่า แย่งกันหาเสียงของนักการเมือง ทำให้เงินเฟ้อที่ควรอยู่ที่ระดับต่ำก็สูงขึ้น การโฆษณาสินค้าโดยไม่มีการควบคุม ทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น ก็หมายถึงทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้นเช่นกัน
การแก้ปัญหาอย่างหนึ่ง ทำให้ปัญหาอีกอย่างตามมา การเปิดตลาดอนุพันธ์ การที่ตลาดหุ้นออกไปโรดโชว์ ชักชวนต่างชาติมาลงทุนในตลาดหุ้นไทย ทำให้เงินไหลเข้ามาเก็งกำไรมากขึ้น การขึ้นดอกเบี้ยก็ทำให้เงินทุนไหลเข้าประเทศมากขึ้น การแก้ปัญหาเงินเฟ้อ กลับทำให้เงินท่วมประเทศมากขึ้น เมื่อครั้งประกาศมาตรการ 30 เปอร์เซ็นต์กันสำรองเงินทุนไหลเข้า ซึ่งแสดงว่าสภาพคล่องได้ท่วมระบบแล้ว ทุนสำรองสุทธิอยู่ที่ระดับ 74 พันล้านเหรียญสหรัฐ
วันที่ 15 เมษายน 2554 ทุนสำรองสุทธิอยู่ที่ระดับ 206.86 พันล้านเหรียญสหรัฐ แสดงว่าเงินท่วมระบบถึง132.86 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 4 ล้านล้านบาท สภาพคล่องท่วมระบบ ทำให้ช่วงกว้างของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากกับดอกเบี้ยเงินกู้ถ่างกันมากขึ้นอีก แสดงถึงความผิดปกติของระบบนั่นเอง โรคของระบบเลวร้ายกว่าโรคเฉพาะที่ ฟังรัฐบาลโฆษณาแล้วประชาชนมีความสุข ขอแสดงความยินดีกับประชาชนทุกคนครับ มีความสุขจากการฟัง
indexthai@yahoo.com
http://twitter.com/indexthai
คำอธิบายของการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ
เงินเฟ้อเป็นเรื่องที่สำคัญ ที่ควรมีการปฏิบัติอย่างมีความเข้าใจ หากไม่เข้าใจ จะทำให้เงินเฟ้อสูง จะทำให้ผู้บริโภคเดือดร้อน เงินเฟ้อเกิดได้จากปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน ตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา เงินเฟ้อโลกพุ่งขึ้นแรงมาก เป็นผลมาจากการพังทลายของตลาดแนสแดกซ์ ที่ทำให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐพังทลายตามมา ราคาน้ำมันดิบโลกขึ้นมา 683 เปอร์เซ็นต์ ราคาทองคำขึ้นมา 454 เปอร์เซ็นต์ เป็นตัวบอกว่าเงินเฟ้อโลกพุ่งแรง ตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา ค่าเงินบาทของไทยก็แข็งขึ้นมาโดยตลอด ช่วยให้เงินเฟ้อไทยไม่สูงนัก อัตราเงินเฟ้อของไทยอยู่ที่ระดับ 3.0 – 3.4 เปอร์เซ็นต์ ปี 2554 ธนาคารแห่งประเทศไทยคาดว่าเงินเฟ้อทั่วไปจะขึ้นไปที่ระดับ 5 เปอร์เซ็นต์
เงินเฟ้อของประเทศไทย นอกจากจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกดังกล่าวแล้ว ปัจจัยภายในประเทศ ทำให้เงินเฟ้อก่อตัวได้อย่างมีนัยสำคัญ ปี 2544 และปีต่อๆ มา ได้มีการนำหุ้นปตท.และบริษัทในกลุ่มปตท.เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น การแสวงหากำไรจากอุตสาหกรรมน้ำมันทุกขั้นตอน เอากำไรสูง เพื่อกรรมการ เพื่อพนักงาน และเพื่อผู้ถือหุ้น ทำให้ราคาน้ำมันหน้าปั๊มสูงขึ้นแบบไม่เป็นธรรม ประชาชนรับกรรม
โครงการประชานิยม การขึ้นเงินเดือนระลอกแล้วระลอกเล่า แย่งกันหาเสียงของนักการเมือง ทำให้เงินเฟ้อที่ควรอยู่ที่ระดับต่ำก็สูงขึ้น การโฆษณาสินค้าโดยไม่มีการควบคุม ทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น ก็หมายถึงทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้นเช่นกัน
การแก้ปัญหาอย่างหนึ่ง ทำให้ปัญหาอีกอย่างตามมา การเปิดตลาดอนุพันธ์ การที่ตลาดหุ้นออกไปโรดโชว์ ชักชวนต่างชาติมาลงทุนในตลาดหุ้นไทย ทำให้เงินไหลเข้ามาเก็งกำไรมากขึ้น การขึ้นดอกเบี้ยก็ทำให้เงินทุนไหลเข้าประเทศมากขึ้น การแก้ปัญหาเงินเฟ้อ กลับทำให้เงินท่วมประเทศมากขึ้น เมื่อครั้งประกาศมาตรการ 30 เปอร์เซ็นต์กันสำรองเงินทุนไหลเข้า ซึ่งแสดงว่าสภาพคล่องได้ท่วมระบบแล้ว ทุนสำรองสุทธิอยู่ที่ระดับ 74 พันล้านเหรียญสหรัฐ
วันที่ 15 เมษายน 2554 ทุนสำรองสุทธิอยู่ที่ระดับ 206.86 พันล้านเหรียญสหรัฐ แสดงว่าเงินท่วมระบบถึง132.86 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 4 ล้านล้านบาท สภาพคล่องท่วมระบบ ทำให้ช่วงกว้างของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากกับดอกเบี้ยเงินกู้ถ่างกันมากขึ้นอีก แสดงถึงความผิดปกติของระบบนั่นเอง โรคของระบบเลวร้ายกว่าโรคเฉพาะที่ ฟังรัฐบาลโฆษณาแล้วประชาชนมีความสุข ขอแสดงความยินดีกับประชาชนทุกคนครับ มีความสุขจากการฟัง
indexthai@yahoo.com
http://twitter.com/indexthai
วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2554
สมาธิดี พ่อแม่ฝึกลูกได้
ก่อนการเรียนรู้ที่ดีจะเกิดขึ้นได้นั้นสมองต้องเกิดสมาธิก่อนค่ะ แต่ในปัจจุบันสิ่งเร้าต่างๆ เกิดขึ้นกับลูกมากจนเหมือนกับว่าเด็กสมัยนี้มีสมาธิจดจ่อสั้นไปหมด ขณะที่การเรียนรู้ที่ดีต้องการเด็กมีสมาธิ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ต้องหาแนวทางในการสร้างสมาธิให้กับลูก ค่ะ
สมาธิกับการทำงานของสมอง
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจกับพ่อแม่ว่า สมาธิในเด็กไม่ใช่ Meditation (เข้าฌาน) แต่หมายถึง Better Attention หรือ มีความสนใจ ความจดจ่อ และความมุ่งมั่นให้อยู่กับเรื่องๆ เดียว ตามระยะเวลาที่ต้องการ ซึ่งการที่เด็กมรสมาธิจดจ่อในเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้นั้น ก็จะส่งผลให้เด็กมีการเรียนรู้ที่ดี และมีประสิทธิภาพด้วยค่ะ
ที่ผ่านมามีงานวิจัยหลายชิ้นยืนยันว่าสมาธิมีความสัมพันธ์กับสมอง เพราะเวลาเด็กนิ่ง (Focus) เป็นเวลานานระยะหนึ่ง (Sustain) สมองส่วนเซเรบรัม ซึ่งเป็นสมองส่วนที่ควบคุมดูแลการทำงาน เช่น ความจำ การแสดงออก การมองเห็น วิสัยทัศน์ การมีเหตุมีผล และอารมณ์ความรู้สึกเกิดคลื่นสมองอันหนึ่งที่ทำงานได้ดี ชื่อว่า “อัลฟา” (Alpha) ทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้ได้ดี เข้าใจสิ่งต่างๆ ได้ง่าย และเกิดความจำที่ดีนั่นเอง
9 กิจกรรมส่งเสริมสมาธิลูก
อารมณ์และความสนใจมีผลต่อความจำ สมาธิ การเรียนรู้ สติปัญญาและการทำงานของสมอง เมื่อเด็กมีความสุขและใจจดจ่อกับการทำกิจกรรมแล้ว จะเกิดการกระตุ้นวงจรแห่งความปิติ (Reward Circuit) ให้ทำงานมากขึ้น อันจะช่วยกระตุ้นให้ลูกเกิดภาวะที่นิ่งสงบและจดจ่อกับการทำงานนั้นๆ เรียกว่าเกิดสมาธินั่นเองวิธีการที่คุณแม่จะจัดสิ่งแวดล้อมให้ลูกเกิดสมาธิ ก็สามารถทำได้ไม่ยากจนเกินไปค่ะ
1. ตารางเวลา เริ่มต้นที่บ้านและตัวเองก่อนค่ะ โดยคุณแม่ควรมีการจัดทำตารางเวลาให้ชัดเจน เกี่ยวกับกิจวัตรประจำวันตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงเข้านอนว่าเวลาไหนควรทำอะไร บ้าง เป็นสิ่งแรกที่สัมพันธ์กับสติการรับรู้ อันเป็นบ่อเกิดของสมาธิตามมา
2. จัดหามุมสงบ หากบ้านมีเสียงอึกทึกคุณแม่ควรจัดหามุมสงบที่ลูกสามารถทำการบ้าน อ่านหนังสือ โดยไม่มีเสียงดังรบกวนอยู่ใกล้ๆ ทำให้เด็กสมาเสีย
3. ยืดเส้น เน้นสมาธิ คุณแม่ลองใช้เทปกาวติดที่พื้นเป็น เส้นยาวเป็นทางตรงหรือเลี้ยวไปมาก็ได้ และลองให้ลูกเดินบนเส้นนั้น อาจประยุกต์เป็นการตัดสติกเกอร์เป็นรูปรอยเท้าสัตว์ ให้ลูกเดินตาม เด็กๆ ได้สนุกและมีสมาธิในการเคลื่อนไหวด้วย
4. นิทาน นิทานสร้างสมาธิที่ดีให้เด็กได้เสียด้วย ขณะที่เล่าเด็กๆ จะมีใจจดใจจ่ออยู่กับเรื่องที่เล่า แถมเสริมทักษะการฟังที่ดีเยี่ยมให้ลูกด้วย ถ้าให้ดีอย่าลืมซักถามลูกเกี่ยวกับเรื่องที่เล่าด้วยนะคะ
5. ดนตรี ดนตรีหรือเพลงจังหวะช้า มีผลต่อการทำงานของก้านสมอง ทำให้คลื่นสมองอัลฟาหลั่งออกมาอย่างดีค่ะ
6. วาดรูป ศิลปะกับเด็กเป็นของคู่กันคุณแม่สามารถสร้าง สรรค์กิจกรรมทางศิลปะให้กับลูกได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสีไม้ สีน้ำ สีเทียน แค่จับและขีดเขียนจนเกิดเป็นรูปบิดเบี้ยวหรือสวยงามก็เกิดสมาธิได้แล้ว
7. พับกระดาษ กิจกรรมนี้เป็นที่นิยมกันมากในญี่ปุ่น นอกจากจะทำให้เกิดสมาธิแล้ว ยังทำให้เด็กน้อยเกิดทักษะการทำงานประสานกันระหว่างมือและตาด้วยค่ะ ทีนี้หากลูกคิดจะฉีกกระดาษมาพับเครื่องบิน เต่า นก คุณแม่คงจะยิ้มออกแล้วใช่ไหมคะ
8. งานปั้น เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่ให้ผลคล้ายกับการพับ กระดาษค่ะ แต่ที่มากกว่าก็คือเด็กๆ จะต้องฝึกนวดดิน สิ่งที่เด็กได้ก็คือมือน้อยๆ (กล้ามเนื้อมัดเล็ก) ได้ทำงานรวมถึงจิตใจที่ได้ฝึกความนุ่มนวลและสมาธิที่เกิดไปพร้อมๆ กับดินที่ค่อยๆ นุ่มขึ้น
9. เกมแห่งสติ ขอปิดท้ายด้วยเกมสอดแทรกให้เด็กได้มีสติ เข้าไปด้วย เกมแรกขอตั้งชื่อว่า “สาวเสื้อแดง” แต่มีข้อแม้ว่าต้องชวนเด็กๆ แถวบ้านมารวมตัวกันเล่นแล้วจะสนุกสุดๆ โดยอาจตั้งโจทย์ว่าเด็กทุกคนที่ใส่เสื้อสีแดง ให้แตะหัว 3 ครั้ง กระโดดตบมือ 10 ครั้ง แล้วเดินไปจับเก้าอี้สีแดง แถมให้อีกเกมคือ “ระวัง อย่าขยับ” เกมนี้ให้คุณแม่ลองโยนดินสอหรือตะเกียบหลายๆ อันลงพื้น แล้วให้ลูกลองหยิบดินสอขึ้นมาได้โดยที่ดินสอแท่งอื่นๆ ไม่เขยื้อน เกมนี้ช่วยให้ลูกเริ่มคิดเป็นขั้นตอนอย่างมีสติมากขึ้น
การเลี้ยงดูของพ่อแม่
คุณครูหนูหรือ ดร.วรนาท รักสกุลไทย เล่าว่าการจะดูพฤติกรรม ของลูกว่าจะเป็นเด็กมีสมาธิหรือไม่ขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูของคนเลี้ยงด้วย ค่ะ เด็กบางคนอาจไม่ได้มีสมาธิสั้น แต่คุณแม่เป็นคนเร็ว คิดเร็ว ทำเร็ว ทำให้เด็กเลียนแบบพฤติกรรม ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้จะเรียกว่าสมาธิสั้นเทียม เพราะมาจากสภาพแวดล้อมรอบตัวเด็ก
ถ้าอยากให้ลูกมีสมาธิ นอกจากจะลองทำตามกิจกรรมข้างต้นดู คุณแม่ยังควรค่อยๆ พูดกับลูกและให้คำชมกับเขาบ้างเพื่อจุดประกายให้ลูกมีความสนใจและอยากรู้ อยากเห็น สิ่งสำคัญ คือคุณแม่ควรจัดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม และเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูก
อีกทั้งนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอการนอนไม่พอจะทำให้เด็กสะลึม สะลือและส่งผลกระทบต่อการเรียน พฤติกรรมอารมณ์ของเด็ก โดยเฉพาะทำให้ลูกสมาธิไม่ดี เบี่ยงเบนความสนใจง่าย
คุณแม่คงอยากลองนำกิจกรรมข้างต้นไปปรับใช้ดูบ้างแล้วใช่ไหมคะ แต่ขอบอกว่าอย่าลืมทำอย่างสม่ำเสมอด้วยนะคะเพราะสมาธิที่ดีของลูกเป็นบ่อเกิดของเรื่องดีๆ มากมาย
[ ที่มา.. นิตยสารดวงใจพ่อแม่ Vol.12 No. 138 April 2007]
สมาธิกับการทำงานของสมอง
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจกับพ่อแม่ว่า สมาธิในเด็กไม่ใช่ Meditation (เข้าฌาน) แต่หมายถึง Better Attention หรือ มีความสนใจ ความจดจ่อ และความมุ่งมั่นให้อยู่กับเรื่องๆ เดียว ตามระยะเวลาที่ต้องการ ซึ่งการที่เด็กมรสมาธิจดจ่อในเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้นั้น ก็จะส่งผลให้เด็กมีการเรียนรู้ที่ดี และมีประสิทธิภาพด้วยค่ะ
ที่ผ่านมามีงานวิจัยหลายชิ้นยืนยันว่าสมาธิมีความสัมพันธ์กับสมอง เพราะเวลาเด็กนิ่ง (Focus) เป็นเวลานานระยะหนึ่ง (Sustain) สมองส่วนเซเรบรัม ซึ่งเป็นสมองส่วนที่ควบคุมดูแลการทำงาน เช่น ความจำ การแสดงออก การมองเห็น วิสัยทัศน์ การมีเหตุมีผล และอารมณ์ความรู้สึกเกิดคลื่นสมองอันหนึ่งที่ทำงานได้ดี ชื่อว่า “อัลฟา” (Alpha) ทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้ได้ดี เข้าใจสิ่งต่างๆ ได้ง่าย และเกิดความจำที่ดีนั่นเอง
9 กิจกรรมส่งเสริมสมาธิลูก
อารมณ์และความสนใจมีผลต่อความจำ สมาธิ การเรียนรู้ สติปัญญาและการทำงานของสมอง เมื่อเด็กมีความสุขและใจจดจ่อกับการทำกิจกรรมแล้ว จะเกิดการกระตุ้นวงจรแห่งความปิติ (Reward Circuit) ให้ทำงานมากขึ้น อันจะช่วยกระตุ้นให้ลูกเกิดภาวะที่นิ่งสงบและจดจ่อกับการทำงานนั้นๆ เรียกว่าเกิดสมาธินั่นเองวิธีการที่คุณแม่จะจัดสิ่งแวดล้อมให้ลูกเกิดสมาธิ ก็สามารถทำได้ไม่ยากจนเกินไปค่ะ
1. ตารางเวลา เริ่มต้นที่บ้านและตัวเองก่อนค่ะ โดยคุณแม่ควรมีการจัดทำตารางเวลาให้ชัดเจน เกี่ยวกับกิจวัตรประจำวันตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงเข้านอนว่าเวลาไหนควรทำอะไร บ้าง เป็นสิ่งแรกที่สัมพันธ์กับสติการรับรู้ อันเป็นบ่อเกิดของสมาธิตามมา
2. จัดหามุมสงบ หากบ้านมีเสียงอึกทึกคุณแม่ควรจัดหามุมสงบที่ลูกสามารถทำการบ้าน อ่านหนังสือ โดยไม่มีเสียงดังรบกวนอยู่ใกล้ๆ ทำให้เด็กสมาเสีย
3. ยืดเส้น เน้นสมาธิ คุณแม่ลองใช้เทปกาวติดที่พื้นเป็น เส้นยาวเป็นทางตรงหรือเลี้ยวไปมาก็ได้ และลองให้ลูกเดินบนเส้นนั้น อาจประยุกต์เป็นการตัดสติกเกอร์เป็นรูปรอยเท้าสัตว์ ให้ลูกเดินตาม เด็กๆ ได้สนุกและมีสมาธิในการเคลื่อนไหวด้วย
4. นิทาน นิทานสร้างสมาธิที่ดีให้เด็กได้เสียด้วย ขณะที่เล่าเด็กๆ จะมีใจจดใจจ่ออยู่กับเรื่องที่เล่า แถมเสริมทักษะการฟังที่ดีเยี่ยมให้ลูกด้วย ถ้าให้ดีอย่าลืมซักถามลูกเกี่ยวกับเรื่องที่เล่าด้วยนะคะ
5. ดนตรี ดนตรีหรือเพลงจังหวะช้า มีผลต่อการทำงานของก้านสมอง ทำให้คลื่นสมองอัลฟาหลั่งออกมาอย่างดีค่ะ
6. วาดรูป ศิลปะกับเด็กเป็นของคู่กันคุณแม่สามารถสร้าง สรรค์กิจกรรมทางศิลปะให้กับลูกได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสีไม้ สีน้ำ สีเทียน แค่จับและขีดเขียนจนเกิดเป็นรูปบิดเบี้ยวหรือสวยงามก็เกิดสมาธิได้แล้ว
7. พับกระดาษ กิจกรรมนี้เป็นที่นิยมกันมากในญี่ปุ่น นอกจากจะทำให้เกิดสมาธิแล้ว ยังทำให้เด็กน้อยเกิดทักษะการทำงานประสานกันระหว่างมือและตาด้วยค่ะ ทีนี้หากลูกคิดจะฉีกกระดาษมาพับเครื่องบิน เต่า นก คุณแม่คงจะยิ้มออกแล้วใช่ไหมคะ
8. งานปั้น เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่ให้ผลคล้ายกับการพับ กระดาษค่ะ แต่ที่มากกว่าก็คือเด็กๆ จะต้องฝึกนวดดิน สิ่งที่เด็กได้ก็คือมือน้อยๆ (กล้ามเนื้อมัดเล็ก) ได้ทำงานรวมถึงจิตใจที่ได้ฝึกความนุ่มนวลและสมาธิที่เกิดไปพร้อมๆ กับดินที่ค่อยๆ นุ่มขึ้น
9. เกมแห่งสติ ขอปิดท้ายด้วยเกมสอดแทรกให้เด็กได้มีสติ เข้าไปด้วย เกมแรกขอตั้งชื่อว่า “สาวเสื้อแดง” แต่มีข้อแม้ว่าต้องชวนเด็กๆ แถวบ้านมารวมตัวกันเล่นแล้วจะสนุกสุดๆ โดยอาจตั้งโจทย์ว่าเด็กทุกคนที่ใส่เสื้อสีแดง ให้แตะหัว 3 ครั้ง กระโดดตบมือ 10 ครั้ง แล้วเดินไปจับเก้าอี้สีแดง แถมให้อีกเกมคือ “ระวัง อย่าขยับ” เกมนี้ให้คุณแม่ลองโยนดินสอหรือตะเกียบหลายๆ อันลงพื้น แล้วให้ลูกลองหยิบดินสอขึ้นมาได้โดยที่ดินสอแท่งอื่นๆ ไม่เขยื้อน เกมนี้ช่วยให้ลูกเริ่มคิดเป็นขั้นตอนอย่างมีสติมากขึ้น
การเลี้ยงดูของพ่อแม่
คุณครูหนูหรือ ดร.วรนาท รักสกุลไทย เล่าว่าการจะดูพฤติกรรม ของลูกว่าจะเป็นเด็กมีสมาธิหรือไม่ขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูของคนเลี้ยงด้วย ค่ะ เด็กบางคนอาจไม่ได้มีสมาธิสั้น แต่คุณแม่เป็นคนเร็ว คิดเร็ว ทำเร็ว ทำให้เด็กเลียนแบบพฤติกรรม ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้จะเรียกว่าสมาธิสั้นเทียม เพราะมาจากสภาพแวดล้อมรอบตัวเด็ก
ถ้าอยากให้ลูกมีสมาธิ นอกจากจะลองทำตามกิจกรรมข้างต้นดู คุณแม่ยังควรค่อยๆ พูดกับลูกและให้คำชมกับเขาบ้างเพื่อจุดประกายให้ลูกมีความสนใจและอยากรู้ อยากเห็น สิ่งสำคัญ คือคุณแม่ควรจัดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม และเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูก
อีกทั้งนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอการนอนไม่พอจะทำให้เด็กสะลึม สะลือและส่งผลกระทบต่อการเรียน พฤติกรรมอารมณ์ของเด็ก โดยเฉพาะทำให้ลูกสมาธิไม่ดี เบี่ยงเบนความสนใจง่าย
คุณแม่คงอยากลองนำกิจกรรมข้างต้นไปปรับใช้ดูบ้างแล้วใช่ไหมคะ แต่ขอบอกว่าอย่าลืมทำอย่างสม่ำเสมอด้วยนะคะเพราะสมาธิที่ดีของลูกเป็นบ่อเกิดของเรื่องดีๆ มากมาย
[ ที่มา.. นิตยสารดวงใจพ่อแม่ Vol.12 No. 138 April 2007]
พุทธวิธีเตรียมตัวก่อนตาย โดย พระธรรมสิงหบุราจารย์
พุทธวิธีเตรียมตัวก่อนตาย
โดย พระธรรมสิงหบุราจารย์
(หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม วัดอัมพวัน อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี)
ที่หอประชุม วัดอัมพวัน
๒๘ ส.ค. ๒๕๒๙
โพสท์ในลานธรรมเสวนา หมวดชีวิตกับธรรมะ กระทู้ 15559 โดย: milkyway 24 มิ.ย. 48 - 21:57
“พุทธวิธีเตรียมตัวก่อนตาย” เป็นหัวข้อที่ดีมาก ไม่มีใครคิดขึ้นมา คิดมองกันแต่ข้างหน้า ไม่มองย้อนกลับข้างหลัง ท่านทั้งหลายโปรดพิจารณา โลกกำลังจะแตกแล้ว ขาดความสามัคคี หาความพอดีไม่ได้ เดินสวนทางกันหมดแล้ว ประเทศจะเหมือนเมื่อ พ.ศ.๒๓๑๐ สมัยกรุงศรีอยุธยาราชธานีที่ผ่านมา ปัจจุบันนี้โลกเจริญมาก แต่จิตใจเลวที่สุด เดี๋ยวนี้เด็กติดยาเสพติดกันมาก เด็กไม่เรียนหนังสือกันเป็นเพราะเหตุประการใด
ท่านผู้เป็นบิดามารดาโปรดพิจารณาด้วย ถ้าท่านเป็นบิดามารดาไม่ได้ดูลูกเลยจะเสียใจต่อภายหลัง นี่เป็นความสำคัญของชีวิตในระยะกลาง อย่าให้ลูกอยู่ว่าง อย่าให้ห่างผู้ใหญ่ จะหลงทางได้ง่าย ท่านเตรียมตรงนี้หรือยัง จะไปเตรียมตอนแก่แล้วจึงเข้าวัดจะเกิดประโยชน์ไหม เข้าวัดตอนแก่จะเข้าไปทำไม ควรจะเตรียมตัวตั้งแต่เป็นเด็ก
เตรียมตัวตั้งแต่เด็กเตรียมอย่างไร
พ่อแม่ควรสอนลูกหลานตั้งแต่ยังเด็กจะมีวิธีการสอนอย่างไร เมื่อ ๑๕ ปีมาแล้ว อาตมาไปพูดที่โรงเรียนอนุบาลจังหวัดสระบุรี เด็กเล็ก ๆ ทั้งนั้น เขาก็เกรงว่าเด็กจะสนใจฟังได้แค่ ๕ นาที ถ้าเลยกว่านี้ต้องซนอยู่ไม่ได้ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าทำอย่างไรจึงจะทำให้เด็กอนุบาลอยู่ฟังได้ถึง ๓ ชั่วโมง อาตมาคิดว่า เด็กชอบอะไร เด็กเป็นอะไร นึกได้ว่าเด็กก็เหมือนปลาต้องมีเหยื่อล่อ อาตมาจึงเตรียมพร้อมโดยเตรียมปัจจัยใส่ซองไปห้าพันบาท ซองละ ๑๐ บาท นำทอฟฟี่ไป ๕ ปี๊บ มีเด็กอยู่สามพันคน เริ่มรายการก็แจกทอฟฟี่ก่อน เด็กก็ไม่พูด พอได้ ๕ นาทีก็จุดธูปเทียนบูชาพระแล้วรับศีล อาตมาใช้วิธีบรรยายถาม – ตอบ ไม่ใช้วิธีบรรยายเรื่อยไป เด็กจะจำไม่ได้ ทำให้เด็กอยู่ฟังได้เป็นชั่วโมง
อาตมาถามว่าใครเป็นชาวพุทธยกมือขึ้น ใครเป็นอิสลามยกมือขึ้น ใครเป็นคริสต์ยกมือขึ้น ปรากฏว่ามีทุกศาสนา
อาตมาถามว่า “ศาสนาแปลว่าอะไร” ให้คนที่เป็นพุทธตอบก่อนก็ตอบไม่ได้ ให้คริสต์ตอบ ก็ตอบไม่ได้ อิสลามคนหนึ่งลุกขึ้นยืนตอบทันทีว่า “ศาสนาแปลว่าคำสั่งสอนเจ้าข้า” อาตมาจึงยื่นซองให้ไปหนึ่ง พวกก็ฮากันเลย ถ้าพูดไปเรื่อย ๆ เด็กจะไม่จำ
ข้อต่อไปก็ถามว่า “คำสั่งกับคำสอนแปลว่าอะไร” ให้พุทธตอบก็ตอบไม่ได้ คริสต์ก็ตอบไม่ได้ เด็กอิสลามคนหนึ่งยืนขึ้นบอกว่าหนูตอบเองเจ้าข้า “คำสั่งแปลว่าวินัย คำสอนแปลว่าธรรมะ” อาตมาจึงเรียกให้มารับซองไป ๒ ซอง ผู้ใหญ่ยังตอบไม่ได้ แต่อิสลามตอบได้หมด คำสั่งคือวินัย ผู้บังคับบัญชา ผู้บังคับบัญชาสั่ง นี่คือวินัย คำสอนนั้นเป็นหลักธรรม ถ้าพูดอย่างนี้เด็กจะจำได้ทั้งสามพันคน ทำไมจำได้ก็ได้ของแล้วมันตื่นเต้น เด็กก็ชะเง้อ สนใจ สิ่งนี้เป็นเทคนิคในการสอน
อาตมาถามต่อไปอีก “ศีลคืออะไร” อิสลามตอบได้อีก “ศีลคือปกติเจ้าข้า” ศีลคือปกติ ทั้งสามพันคนจำได้หมด ถ้าเรามีนโยบายชี้แจงอย่างนี้ เด็กก็จำได้และอยู่กับเราได้ถึง ๓ ชั่วโมง คนจะปกติได้เพราะอะไร คนจะปกติได้คนนั้นต้องมีสติสัมปชัญญะ คนที่ขาดสติสัมปชัญญะจะไม่ปกติ พูดไม่มีหูรูด พูดขึ้นห้วยลงเขา นี่ต้องพูดตรงไปตรงมา
ศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ยอดพัฒนาจริง ๆ เริ่มพัฒนาจิตคน พอพัฒนาจิตแล้วคนก็อยากมีการศึกษาอยากจะแสวงหาความรู้ เรียกว่าพัฒนาการศึกษา พอพัฒนาการศึกษาเสร็จแล้ว ทุกคนก็อยากจะประกอบอาชีพการงาน พัฒนาเศรษฐกิจ ให้เศรษฐกิจดีขึ้น
ถ้าจิตใจแล้วก็จะพัฒนาอย่างนั้น สุดท้ายก็พัฒนาสังคมอยู่ด้วยความเมตตาปรานี อารีเอื้อเฟื้อ ขาดเหลือคอยดูกัน ถ้าพัฒนาผิดที่ก็เอาดีไม่ได้ ถ้าสร้างความดีถูกสถานที่ ถูกตัวบุคคล ถูกกาลเทศะและเสมอต้นเสมอปลาย รับรองผู้นั้นดีแน่
ปัญหาของชีวิตคือกฎแห่งกรรม
ขอเจริญพรพี่น้องทุกคนว่า ปัญหาชีวิตของแต่ละคนคือกฎแห่งกรรม แก้ให้กันไม่ได้ ตัวใครตัวมัน ต้องแก้ด้วยตัวเอง คนอื่นจะไปแก้ไขเขาก็ไม่ได้ พระพุทธเจ้าจบ ๑๘ ด๊อกเตอร์ ๑๘ ศาสตร์ เรียนมาหมดทุกอย่างแล้ว เพราะเหตุจึงต้องเสด็จบรรพชา ท่านต้องการไปหาวิชาแก้ปัญหาชีวิต วิชาแก้ทุกข์ ต้องใช้เวลาไปเรียนวิชานี้ถึง ๖ ปี กว่าจะได้วิชานี้มาให้เรา วิชาแก้ปัญหาชีวิต วิชาแก้ปัญหาทุกข์ แต่เรากลับเอาไปทิ้ง ไม่เคยมีใครนำมาใช้เลย มีแต่สร้างความทุกข์หาความสนุกในสังคมเท่านั้น
ผู้ที่มีทุกข์มาที่วัดอัมพวันมี ๕ ประการ ได้แก่
๑. ครอบครัวไม่มีความสุข
๒. ผิดหวังในชีวิต แก้ปัญหาไม่ได้ ผูกคอตาย ฆ่าตัวตาย เป็นโรคทันสมัยกันมาก โรคทันสมัยก็คือโรคประสาท
๓. ลูกไม่เรียนหนังสือ อย่างนี้อย่าโทษเด็ก เด็กติดยาเสพติดอย่าไปโทษเด็ก อาตมาโทษแม่ แม่ไม่ดี แม่แบบ แม่แผน แม่แปลนใช้ไม่ได้ แม่บ้านการเรือนเคหศาสตร์ไม่ดี ถ้าแม่บ้านการเรือนเคหศาสตร์ดี สามีจะเจ้าชู้หรือเล่นการพนันก็ไม่เป็นไร แม่บ้านเอาลูกไว้ได้แน่นอน ลูกได้ดีหมดทุกคน อาตมาจึงเขียนขึ้นมาว่า กันอยู่ที่แม่ แก้อยู่ที่พ่อ ก่ออยู่ที่ลูก ปลูกอยู่ที่ครู ความรู้อยู่ที่ศิษย์ จะได้เป็นมิตรกัน
๔. เศรษฐกิจไม่พอปากพอท้อง นี่แหละปัญหามันเกิดขึ้น เป็นหนี้สินกันไม่มีปัญญาจะใช้หนี้ เป็นกฎแห่งกรรม โดนล้มละลายเป็นแถว เพราะอะไร จะแก้อย่างไร เตรียมตัวอย่างไร น่าจะคิดตรงนี้ก่อน
๕. มีแล้วยังไม่พอ ตะเกียกตะกายไปยากจนหมดเงินหมดทองสิ้นเนื้อประดาตัว เดินทางผิด กฎจราจรผิด ก้าวพลาดก้าวผิดตลอดไป ชีวิตจึงไร้สาระมีปัญหาอย่างนี้ ท่านจะแก้อย่างไร
ถ้าท่านไม่ศึกษา ไม่ปฏิบัติธรรม ไม่ใช้ธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านจะแก้ปัญหาไม่ได้นะ อาตมาจึงถามเด็กว่า “หนู มหานิยมอยู่ที่ไหน” แม่ก็ตอบไม่ได้ มหานิยมอยู่ที่มีวิชาความรู้ ถ้าลูกเราเรียนมีวิชาความรู้เป็นด๊อกเตอร์ รับรองมีคนนิยมชมชอบมาก ตรงนี้เป็นมหานิยม ไม่ใช่ไปให้พระเป่าหัว ไปรดน้ำมนต์วัดโน้นวัดนี้ ลงเสน่ห์ ตรงนี้น่าคิดนะ ถ้าลูกของโยมเรียนหนังสือเก่งทุกคน จบปริญญาโท จบปริญญาเอก นี่ซิเป็นมหานิยม มีคนนิยมชมชอบมากมาย น่าจะเตรียมตัวกันตรงนี้ ไม่ใช่ไปเตรียมตัวตอนจะตาย
นอกเหนือจากนั้นแล้ว อะไรหนอที่เป็นเสน่ห์ เสน่ห์อยู่ที่คุณธรรม ถ้าคนไหนไม่มีคุณธรรม ไร้เหตุผล จะมีเสน่ห์ได้อย่างไร ไม่มีใครมองหน้าแน่นอน ถ้าลูกของท่านทั้งหลายไม่เรียนหนังสือเลย ไปไหนก็เก้อเขินไม่มีความรู้ความสามารถ นี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ต้องแก้ปัญหา แต่เราไปแก้ปัญหากันผิดจุด น่าจะแก้ตรงไปตรงมา ปากกับใจตรงกันหน่อยได้ไหม อาตมาจึงได้สรุปความไว้ข้อหนึ่งว่าเรียนให้รู้ ดูให้จำ ทำให้จริง
ลูกนี้สำคัญมาก จะยกตัวอย่างให้เห็น ลูกมีทั้งเมตตามหานิยมที่สิงห์บุรี เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๐ ครอบครัวหนึ่งพ่อเป็นจับกัง แม่รับจ้างซักรีด มีลูกห้าคน เป็นด๊อกเตอร์สามคน เป็นเถ้าแก่เนี้ยขายทองที่เยาวราชสองคน จนแท้ ๆ เพราะเหตุใด เพราะเขามีคุณธรรม มีทั้งเสน่ห์ มีทั้งมหานิยม เรียนให้รู้ ดูให้จำ ทำให้จริง ปฏิบัติพระกรรมฐานเป็นการแก้ปัญหา แก้กรรมของเขาได้ ของเจริญพรว่า คนดีมีปัญหาอยู่ที่ไหนมันก็จะไปถึงที่ได้ คนเศรษฐีมหาเศรษฐีลูกไม่เอาไหนก็เยอะ แก้ปัญหาชีวิตไม่ได้ ทั้งรักทั้งแค้นทั้งแน่นในทรวง ทั้งหึงทั้งหวงหนักหน่วงในหัวใจ จึงฆ่ารันฟันแทงกันได้ง่ายเหมือนผักปลา ขาดสติสัมปชัญญะ ขาดเหตุผล น่าจะเตรียมพร้อมตรงนี้ก่อนตาย
แก้ปัญหาชีวิตด้วยการมีสติยับยั้ง
ความเข้าใจในหลักของธรรมะตามที่พระพุทธเจ้าสอน เป็นบทความที่จะแก้ปัญหาชีวิตได้เป็นอย่างดียิ่ง แต่แล้วเราก็ไม่ทราบว่าปัญหาของเราคืออะไร ปัญหาของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เกิดจากการกระทำและกฎแห่งกรรมไม่เหมือนกัน ลักษณะการเกิดมามีหู มีตา มีจมูก มีปาก มีฟัน มีเพศหญิงเพศชาย เหมือนกันไม่ได้ สืบเนื่องจากการกระทำครั้งอดีตชาติแต่ชาติปางก่อน เราเลือกเกิดไม่ได้ และเลือกตายไม่ได้เหมือนกัน ปราสาทราชวังเขาเปิด ไม่มีใครเข้าไปเกิด บ้านอาเสี่ยมีมากมาย ไม่มีใครเข้าไปเกิด เลือกไม่ได้ แต่ทำไมหนอคุกปิดใส่กุญแจตั้งหลายชั้น เข้าไปกันได้เป็นพัน ไม่ทราบเข้าไปกันได้อย่างไร เป็นกฎแห่งกรรมจากการกระทำของแต่ละท่านไม่เหมือนกัน
ท่านทั้งหลายเอ๋ยเวลาไม่เหมือนกัน เราต้องเตรียมพร้อมเสียแต่วันนี้ เพื่อสัมภาระที่จะต้องทำในวันพรุ่งนี้ พระพุทธเจ้าสอนไว้ชัดเจนมาก กฎแห่งกรรมซ้ำเติมส่งเสริมโทษเหมือนกันไม่ได้ ถ้าท่านเจริญพระกรรมฐาน เจริญสติปัฏฐาน ๔ ท่านจะระลึกชาติได้ รู้กฎแห่งกรรม และแก้ปัญหาที่เกิดเฉพาะหน้าได้ ท่านไม่ต้องไปหาผีเข้าเจ้าทรง แต่ท่านก็ทำไม่ได้ ตรงนี้เป็นหลักสำคัญของชีวิตของแต่ละคน ใครมีบุญวาสนาก็จะเดินไปหาบุญวาสนาเอง แข่งเรือแข่งพายใครก็แข่งได้ แข่งบุญวาสนาไม่ได้ก็จริง แต่อยากถามว่า ท่านพายเรือเป็นไหม พายเรือไม่เป็นจะแข่งได้อย่างไร ท่านต้องฝึกหัด ต้องปฏิบัติ
ยกตัวอย่างสามีภรรยาคู่หนึ่ง สามีเป็นนายแพทย์ เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล ภรรยาเป็นแพทย์หญิง รูปร่างสวยน่ารัก บ้านใหญ่โต ลูกเรียนธรรมศาสตร์เรียนจุฬาทั้งนั้น แต่เป็นที่น่าเสียใจว่า สามีฟ้องหย่าตลอดรายการ เพราะไปชอบลูกจ้างในโรงพยาบาล ต้องการทรัพย์สมบัติไปให้อีกบ้านหนึ่ง แพทย์หญิงก็มาปรึกษาอาตมา อาตมาจึงบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกันตอนนี้พูดกันไม่รู้เรื่อง ให้แพทย์หญิงลาพักร้อนมาเจริญพระกรรมฐาน เจริญสติปัฏฐาน ๔ จะแก้ไขปัญหาชีวิตได้แน่นอน เขาจะได้รู้กฎแห่งกรรม ว่าเขาได้ทำกรรมอะไรไว้ จะได้ไม่ปฏิเสธทุกข้อหา
แพทย์หญิงก็มาปฏิบัติเจริญพระกรรมฐาน ๒ ครั้ง ๆ ละ ๗ วัน จิตเข้าถึง ซึ้งใจ ใฝ่ดีแล้ว บอกหลวงพ่อว่า หนูรู้แล้ว อาตมาจึงบอกว่า ถ้ารู้แล้วจะพูดให้ฟัง ถ้ายังไม่รู้จะพูดให้ฟังไม่ได้ แพทย์ชายเตรียมจะฟ้องหย่าท่าเดียว แพทย์หญิงก็จะหย่าให้ แต่พอมาเจริญพระกรรมฐาน ได้สติ มีปัญญา อ่านหนังสือไม่มีตัวออกชัดเจนแล้ว แพทย์หญิงก็บอกว่า หลวงพ่อให้สติหนูได้แล้วค่ะ หนูจะตั้งใจฟังแล้วเพราะว่าเมื่อก่อนหลวงพ่อบอกหนู หนูไม่ได้ตั้งใจฟังเลย
อาตมาบอกว่า คุณหมอ ขอประทานโทษนะ จะเห็นด้วยหรือไม่ก็ไม่ว่ากัน ลูกเราก็โตแล้ว เรียนถึงปริญญาโทแล้ว คนเล็กเรียนปริญญาตรีอยู่ที่จุฬาฯ ถ้าลูกรู้เข้าจะเสียกลศึกยุทธวิธีในสงคราม จะหมดกำลังใจเรียน แม่กับพ่อแยกกันอย่าให้เขารู้ได้ไหม แพทย์หญิงตกลง ผู้ที่มีสติจะพูดง่าย คนไม่มีสติพูดอย่างไรก็ไม่รู้เรื่อง ถึงมีความรู้สูงก็ไม่รู้เรื่อง ทั้งแพทย์ชายแพทย์หญิงจบปริญญาโทเหมือนกัน แต่หาเรื่องทะเลาะกันเรื่อย อาตมาให้สติไปว่า คุณหมออย่าหย่านะ เขาจะฟ้องก็ฟ้องไป เราไม่ยอมหย่าท่าเดียว จะไปหย่าก็ต่อเมื่อลูกเรียนจบปริญญาเอกแล้ว มีหลักฐานมีงานทำแล้ว จะหย่าก็หย่าได้เลย แพทย์หญิงเห็นด้วย นี่เป็นการเตรียมตัวก่อนตาย เตรียมการให้พร้อมในชีวิตไม่ใช่ไปเข้าวัดตอนแก่
ต่อมาลูกเรียนจะจบปริญญาเอกแล้ว ก็ยังไม่หย่า แพทย์หญิงบอกว่าหย่าไม่ได้หรอกค่ะ เพราะอายลูก ถ้าอาตมาไม่ยับยั้งไว้ก็หย่ากันไปแล้ว ก็ขอฝากข้อความไว้ว่า พูดดีเข้าใจง่าย พูดร้ายเข้าใจยาก ถ้าพูดดี ๆ เพราะ ๆ ไม่มีทางจะทะเลาะกัน ไม่หย่าแน่นอน
มาทำความรู้จักกับความตาย
ชนิดของความตาย
การตายมี ๓ ชนิด ได้แก่
๑. ตายจริง
๒. ตายสมมติ
๓. ตายสูญ
ท่านจะต้องเตรียมอย่างไรบ้าง ต้องเข้าใจความหมายของการตายแต่ละชนิดก่อน
ตายจริงคืออะไร พี่น้องทั้งหลาย ท่านอย่าเข้าใจผิดนะว่าตายจริงคือตายใส่หีบแล้วนำไปเผา ไม่ใช่นะ ตายจริงคือเหมือนอย่างที่ท่านนั่งอยู่นี้ ก็จะตายต่อไปเป็นเฒ่าชะแรแก่ชราไปตามลำดับ จึงต้องเตรียมตั้งแต่เดี๋ยวนี้ก่อน ไม่ใช่รอให้แก่แล้วจึงไปเตรียมในชีวิตบั้นปลาย ต้องเตรียมตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ออกแขก ขอเจริญพรว่า ชีวิตคนเราเหมือนลิเก เหมือนละคร ออกแขกดี บอกเรื่องดี ออกหน้าพาทย์ก็ดี ตลอดชีวิตออกแขกไม่ดี บอกเรื่องไม่ดี จะเล่นไม่ดีตลอดจนตาย นี่คือตายจริง
ตายโดยสมมติคือตายอย่างไร ได้แก่ตายที่หมดลมหายใจนำไปใส่หีบศพ แล้วนำไปฝัง นำไปเผา นี่เป็นสมมติบัญญัติ ทำไมเรียกสมมติบัญญัติ เพราะร่างกายสังขารหมดไปตามกาลเวลา แต่จิตวิญญาณไม่ตาย เกิด ดับตลอด ซับซ้อนอยู่เป็นกฎแห่งกรรม ไม่ใช่ตายจริงนะ ท่านต้องมีความเข้าใจในเรื่องนี้ จึงจะเตรียมตัวก่อนตายได้ถูกต้อง เพราะจิตนี้มันเกิด ดับ เหมือนไดนาโม จิตนี้เป็นธรรมชาติเป็นกระแสไฟ มันเตรียมส่งไฟฟ้าอยู่แล้ว แต่ยังไม่เปิดสวิตซ์ พอเปิดสวิตซ์เข้าก็เตรียมไปติดที่หลอด จิตของท่านเตรียมพร้อม แต่จะไปติดตรงไหน ต้องเปิดสวิตซ์ ร่างกายสังขารอยู่มานานก็ต้องพัง จิตวิญญาณ รูปนาม ขันธ์ห้าเป็นอารมณ์ มันไม่มีตาย มันเกิดดับจนมองไม่เห็น จะไปสู่สถานที่ทำกรรมไว้ทุกประการ
ตายสูญคือตายอย่างไร ได้แก่ตายแล้วไม่เวียนว่ายตายเกิดอีก คือบรรลุนิพพาน หมดกิเลส ตัณหาทั้งปวง ไม่มีโลภ ไม่มีโกรธ ไม่มีหลง ไม่กลับมาในโลกมนุษย์อีกแล้ว นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ความสุขที่ไม่เจือปนด้วยกิเลสนานาประการหรือไฟดับไม่มีเชื้อ เรียกว่า นิพพาน
ประเภทของการตาย
การตายแบ่งเป็น ๒ ประเภท ได้แก่
๑. กาลมรณะ หมายความว่า ถึงเวลาที่จะต้องตาย
๒. อกาลมรณะ หมายความว่า ยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องตาย
ทั้งนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่า ความตายนั้นเมื่อถึงเวลา หรือถึงที่แล้วจึงจะตายลง และเมื่อยังไม่ถึงเวลา ยังไม่ถึงที่แล้วตายลงก็มี
คำว่า มรณุปปัตติ แยกศัพท์ออกเป็น ๒ ประการ มรณะ แปลว่า ตาย , อุปปัตติ แปลว่า เกิด , เกิด ตาย เกิด ดับ หมายถึง ความตายและความเกิดขึ้น มรณุปปัตตินั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ๔ ประการ ได้แก่
อยุกขยะ หมายถึง ตายโดยสิ้นอายุ
กัมมักขยะ หมายถึง ตายโดยสิ้นกรรม
อุภยักขยะ หมายถึง ตายโดยสิ้นอายุและกรรม
อุปัจเฉทกมรณะ หมายถึง ตายโดยอุบัติเหตุต่าง ๆ มาตัดรอน คือยังไม่สิ้นอายุ อาจเป็นตกต้นไม้ตาย หรือโดยฆ่าตาย คือยังไม่สิ้นอายุและยังไม่สิ้นกรรม มาจากเวรกรรมจะต้องโดนรถชนตาย โดยฆ่าตาย เป็นต้น
๑. อยุกขยะ ตายโดยสิ้นอายุ ข้อนี้สัตว์ทั้งหลายต้องตายโดนสิ้นอายุ เพราะสัตว์ทั้งหลายย่อมมีชีวิตอยู่ภายในในขอบเขตของอายุขัย เช่น เต่ามีอายุ ๑๓๐ ปี ช้างมีอายุ ๓๐๐ ปี ยุงมีอายุไม่เกิน๑๕ วัน มนุษย์ในปัจจุบันนี้มีอายุเพียง ๗๕ ปีเท่านั้น แม้จะมีผู้มีอายุสูงกวา ๗๕ ปีบ้างก็มีเพียงเล็กน้อย การที่โลกในปัจจุบันค้นคว้าในเรื่องสรีระของมนุษย์จนมีความรู้ละเอียด ค้นคว้าในเรื่องอาหารและยา เพื่อประสงค์จะให้มนุษย์ปราศจากโรคภัยมาเบียดเบียนและมีอายุยืนยาวนั้น ถึงจะค้นคว้ากันต่อไปสักเพียงใด วิทยาศาสตร์การแพทย์จะเจริญก้าวหน้าสักเพียงไหน ก็เป็นการช่วยได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะการมีอายุยืนหรืออายุสั้น มิได้มีเหตุเพียงในด้านวัตถุเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ความจริงแล้วยังมีสาเหตุอื่นที่สำคัญมากอีกหลายประการ
๒. กัมมักขยะ ตายโดยสิ้นกรรม ข้อนี้หมายถึงการที่สัตว์ทั้งหลายเกิดขึ้นมาและเป็นไปนั้น อาศัยกำลังของกรรมที่หล่อเลี้ยงอยู่หรือสนับสนุนให้ชีวิตดำเนินไปได้อย่างไร อาตมาจะให้เหตุผลข้อเท็จจริงต่อไปในภายหลัง การที่จะต้องกล่าวถึงกรรมก็เพราะว่าเกี่ยวพันไปถึงความตาย
๓. อุภยักขยะ ตายโดยสิ้นอายุและสิ้นกรรม ความตายที่เกิดขึ้นเพราะสิ้นอายุนั้น หมายถึงแก่เฒ่าอายุมากแล้ว ร่างกายก็หมดกำลังที่จะอยู่ต่อไปได้ ทั้งกรรมที่สนับสนุนให้ดำรงชีวิตอยู่ก็หมดลงด้วย บุคคลจึงมักจะถึงความตายด้วยเหตุผลทั้งสองดังกล่าวแล้ว
๔. อุปัจเฉทมรณะ หมายถึงตายด้วยอุบัติเหตุต่าง ๆ มาตัดรอน ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ถึงอายุขัย และยังไม่สิ้นกรรม เช่น ตกต้นไม้ตาย หรือถูกรถทับตาย ความตายในข้อนี้เป็นความตายโดยเหตุต่าง ๆ อันเป็นปัจจุบัน มิได้สิ้นอายุ หรือมิได้มีกรรมแต่อดีตมาตัดรอน แต่อาศัยกรรมแต่อดีตเป็นแรงส่ง เช่น กรรมแต่อดีตเป็นตัวส่งให้เข้าไปอยู่ในเรือนจำ แล้วไปติดโรคระบาดตายในเรือนจำ เป็นต้น
เพื่อความเข้าใจง่ายขึ้นสำหรับความตายทั้งสี่ประการนี้ ท่านได้เปรียบไว้กับดวงประทีปที่ใช้น้ำมันคือ ชีวิตทั้งหลายเปรียบเหมือนประทีปหรือโคมไฟที่อาศัยน้ำมัน ธรรมดาโคมที่อาศัยน้ำมัน จะดับได้ด้วยเหตุสี่ประการคือ
๑. เพราะเหตุที่หมดน้ำมัน เมื่อโคมไฟหมดน้ำมันไฟก็ดับ ข้อนี้หมายถึงชีวิตทั้งหลายจะถึงแก่ความตายเมื่อสิ้นอายุ
๒. เพราะเหตุที่หมดไส้ เมื่อโคมไฟหมดไส้ไฟก็ดับ หมายถึง ชีวิตทั้งหลายเมื่อสิ้นกำลังของกรรมที่สนับสนุนให้ชีวิตคงอยู่แล้ว ก็จะถึงแก่ความตายได้
๓. เพราะเหตุที่หมดน้ำมันและหมดไส้ เมื่อโคมไฟหมดทั้งน้ำมันและหมดทั้งไส้ หมายถึงชีวิตทั้งหลายต้องสิ้นชีวิตไปเพราะหมดอายุและกำลังของกรรม
๔. เพราะเหตุที่มีอุบัติเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น เมื่อโคมไฟถูกลมพัด หมายถึงยามเมื่อยังไม่สิ้นอายุและยังไม่สิ้นกรรม แต่ต้องตายด้วยอุบัติเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง
สำหรับข้อหนึ่ง ข้อสอง และข้อสาม ตายเพราะถึงเวลาที่จะต้องตายแล้ว สำหรับในข้อสี่ ตายเมื่อยังไม่ถึงคราวที่จะต้องตาย แต่ก็ต้องตาย เพราะเหตุในปัจจุบันทุกวันนี้ ซึ่งตายไม่เหมือนกัน บางคนเกิดอุบัติเหตุ บางคนผูกคอตาย บางคนถูกยิงตาย ทำไมต้องผูกคอตาย ทำไมต้องถูกยิงตาย ทำไมต้องฆ่าตัวตายด้วย ด้วยเหตุผลประการใด ทุกคนไม่ทราบ ข้อเท็จจริงมันเกิดอุบัติเหตุ
ยกตัวอย่างอาตมานี้ตายไปแล้ว อาตมารู้ล่วงหน้า ๖ เดือนว่า คอจะหัก รถจะทับ เมื่อ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๑ เวลา ๑๒.๔๕ น. รถจะชนที่หลังตลาดปากบาง สิงห์บุรี รถชนคอหัก รู้ล่วงหน้า ๖ เดือน มีเวลาเตรียมตัวไป นี่คือเตรียมตัวก่อนตาย
ท่านทั้งหลายเอ๋ยจะรู้หรือไม่ว่า พรุ่งนี้รถจะชน หัวจะแตก ถ้าท่านขาดสติ ไม่สะสมหน่วยกิตไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ ท่านจะไม่รู้อะไรเลยนะ ไม่มีความเข้าใจด้วย เพราะว่าจิตใจของเราเป็นธรรมชาติ ต้องคิดอ่านอารมณ์ รับรู้อารมณ์ไว้ได้นานเหมือนเทปบันทึกเสียง ไม่มีตัวตนที่จะคลำได้ ถ้าท่านไม่ใช้หลักพระพุทธศาสนาหรือคุณธรรมที่ประจำตัวแล้ว จะไม่มีความรู้ความเข้าใจอันนี้แน่นอน
เตรียมตัวพึ่งตนเอง
คนเราตายจริงอยู่ตลอดเวลา การเตรียมตัวตายก็ต้องเตรียมตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ต้องสอนลูกสอนหลานให้งอกงามให้ได้ที่เรียกกันว่า เลี้ยงลูกต้องให้โต ปลูกต้นโพธิ์ให้ได้ร่ม ต้องเตรียมตรงนี้สำหรับตายจริง
การเตรียมก่อนตายสมมติ ต้องเตรียมพระกรรมฐานให้แน่น
ตายสูญมาจากการตายสมมติ เมื่อเจริญพระกรรมฐานจิตใจก็เบิกบานหรรษา และหมดกิเลสตัณหา จึงเรียกว่า ตายสูญ
ดังนั้นเราต้องเตรียมสอนเด็ก สอนลูกก่อน เลี้ยงลูกให้โตปลูกต้นโพธิ์ให้ได้ร่ม โตด้วยวิชาการ มีหลักฐานให้ลูกมีงานทำ เลี้ยงลูกให้โตอย่างนี้ มีคู่ครองขอให้เป็นทองแผ่นเดียวกัน มีมนุษยสัมพันธ์ในสังคม ต้องเตรียมตรงนี้
ทำไมหนอจึงต้องเลี้ยงลูกให้โต ปลูกต้นโพธิ์ให้ได้ร่มเพื่ออะไร เลี้ยงลูกเหมือนปลูกต้นโพธิ์ เมื่อใหญ่เมื่อโตจะได้อาศัย ยามเจ็บจะได้ฝากไข้ เวลาตายจะได้ฝากผี ดี ๆ เอาไว้รับใช้สอยทุกกรณีได้
แต่ขอฝากข้อคิดว่า อย่านึกไปพึ่งลูก เลี้ยงลูกเอาบุญ อย่าเอาคุณตอบแทนเลย เดี๋ยวจะเสียใจต่อภายหลัง ให้เขามีโอกาสเป็นด๊อกเตอร์ มีหลักฐาน มีงานทำ เราจะพึ่งใครหรือ จะหวังพึ่งลูกสาวคนเล็ก แต่เขาไม่ได้มาให้เราพึ่ง เราจะเสียใจตลอดชีวิต จะเป็นบาปตายไปตกนรกนะ แล้วจะทำอย่างไร ขอบอกว่า ให้พึ่งตัวเองเถอะ อตฺตาหิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
คนเราพึ่งตนเองมาตั้งแต่เด็ก ๆ แต่เราไม่ค่อยได้ดูกัน เมื่อลูกร้องอุแว้ ๆ แม่ป้อนนมใส่ปาก ถ้าเราไม่ดูด เราก็ตาย แสดงว่าเราช่วยตัวเองตั้งแต่เป็นเด็กแล้วใช่ไหม ลองนึกดูว่าเด็กยังช่วยตัวเองได้ เราแก่จะตายยังช่วยตัวเองไม่ได้หรือ ท่านจะเอาอะไรเป็นหลัก ถ้าไม่พูดจุดนี้ท่านจะไม่ทราบนะ
พอโตขึ้นมาอีก อายุ ๓-๔ ขวบ แม่พาไปฝากโรงเรียนอนุบาล ถ้าเขาไม่ยอมเรียนหรือจะรู้ ไม่ยอมดูหรือจะเห็น ไม่ยอมฟังหรือจะได้ยิน ไม่ยอมทำหรือจะเป็น จะลำเค็ญย่ำแย่จนแก่ตาย เราต้องช่วยตัวเองก่อน ทุกคนต้องช่วยตัวเองทั้งนั้น ถ้าไม่ช่วยตัวเองแล้วแย่มาก อย่าไปพึ่งลูกเลย มันเป็นกฎแห่งกรรมตามที่เราเตรียมไว้ ไม่ต้องไปพึ่งใครหรอก
เตรียมตัวตอนแก่ทันการหรือไม่
อาตมาไปพบสามีภรรยาคู่หนึ่งเป็นคนยากจนมาก อยู่ที่อำเภอน้ำหนาว อาชีพปลูกกะหล่ำปลีขาย ทางราชการเขาให้เดือนละ ๒๐๐ บาท เพราะยากจนมาก ตาแก่อายุ ๘๒ ปี ภรรยาอายุ ๗๖ ปี อยู่กันสองคนตายาย ตาก็มองไม่เห็น ตอนนั้นอาตมาจะไปสร้างส้วมให้คณะสงฆ์ เขารีบวิ่งมาหา อาตมาก็จะรีบไปขอนแก่น อาตมาก็ “เห็นหนอ” ออกมาชัดเลย เดี๋ยวจะต้องให้เงิน ๑,๐๐๐ บาท เขาเล่าให้ฟังเป็นกฎแห่งกรรม
เขาเล่าว่ามีลูก ๗ คน อยู่ที่กรุงเทพฯ ได้เงินเดือนเป็นหมื่น เงินเดือนมาก ๆ ทุกคน แต่เหตุใดหนอไม่เคยกลับไปช่วยพ่อแม่เลย ไม่เคยไปให้พ่อแม่แม้แต่สตางค์แดงเดียว เพราะเหตุใด เราจะมาเตรียมตอนแก่ได้ไหม ประวัติศาสตร์ต้องบันทึกไว้ให้ได้ มันเป็นกฎแห่งกรรม อย่าไปโทษลูก เพราะตาแก่ยายแก่ไม่ได้เตรียมไว้ก่อน ในข้อที่ว่า รักลูกคิดปลูกฝัง ให้ลูกตั้งตนฝึกรีบศึกษา ตาแก่ยายแก่ไม่ได้เตรียมตรงนั้นเลย ลูกต้องไปหากินเอง ต้องไปเรียนหนังสือเองทั้ง ๗ คน เป็นกฎแห่งกรรมของตาแก่เอง
เขาบอกว่าผมอยู่มาร้อยเอ็ดเจ็ดหัวเมือง พ่อแม่เกิดในตระกูลยาจกหาเช้ากินค่ำ ผมเป็นลูกจ้างเขา พอโตขึ้นก็ไปเรียนหนังสือที่วัด อ่านออกเขียนได้ก็ลาพ่อแม่เดินทางต่อไป ไม่ได้กลับไปหาพ่อแม่อีกเลย ไม่เคยให้เงินพ่อแม่ด้วย พ่อแม่ก็ช่วยตัวเอง เดินทางตั้งแต่หนุ่ม ๆ จนแต่งงานกับภรรยา แล้วก็รับจ้างเรื่อยไป จนกระทั่งมาอยู่อำเภอน้ำหนาวมีลูก ๗ คน ลูกก็เรียนวิชาเอง รับจ้างเป็นช่างไม้ ช่างเหล็ก ช่างเชื่อม อยู่อู่รถ แก้รถยนต์ได้ ไม่เคยกลับมาหาพ่อแม่เลย จนพ่ออายุ ๘๐ กว่าแล้ว
อาตมาถามว่าพ่อแม่อยู่ที่ไหน เคยไปช่วยพ่อแม่ไหม เขาตอบว่าผมก็ไม่ทราบเลย ตั้งแต่ออกจากบ้านมาไม่เคยกลับไปเลย แต่ผมก็ไม่รู้ได้ มีลูก ๗ คน ก็ไม่เคยกลับมาหาผมเช่นเดียวกัน แล้วก็ร้องไห้โฮเลย อาตมาให้ไป ๑,๐๐๐ บาท เขากราบแล้วกราบอีก อาตมาบอกว่า โยมไม่ได้เตรียมตัวเลยหรือนี่ จากบ้านเรือนมาก็รุดหน้าไปเรื่อยไม่เคยย้อนกลับมาดูข้างหลังเลย เป็นกฎแห่งกรรม
ตกลงว่าเป็นกฎแห่งกรรมของตาแก่ ทำให้ตกถึงลูก ลูกไม่เอาเงินมาให้ เพราะตัวเองก็ไม่เคยให้เงินพ่อแม่เลย ไม่เคยช่วยพ่อแม่ นี่ชัดเจนมาก ต้องเตรียมตั้งแต่ต้น ไม่ใช่มาเตรียมตอนแก่
ไม่ได้เตรียมตัวไว้ต้องพึ่งตัวเอง
กฎแห่งกรรมอีกเรื่องหนึ่งจะเตรียมตัวอย่างไร โยมหญิงคนหนึ่งอยู่ที่บางระจัน นอนเป็นอัมพาตอยู่คนเดียวช่วยตัวเองไม่ได้ ไปนั่งใกล้ ๆ เหม็นอุจจาระมาก โยมผู้ชายออกไปธุระข้างนอก อาตมาไปธุระแถวนั้นพอดี ก็เลยแวะไปเยี่ยม ตั้งแต่เช้ายังไม่ได้ทานอะไรเลย สักพักหนึ่งมีรถ BMW วิ่งเข้ามาจอดที่บ้าน มีคนห้าคนขึ้นมาบนบ้าน อาตมาถามว่า หนูเป็นใคร เขาบอกว่าเป็นลูก เรียนจบปริญญาโทจุฬาฯ
อาตมาถามอีกว่า “หนูจะไปไหนคะ”
เขาตอบว่า “จะไปอยุธยา แต่แวะมาหาแม่ก่อน จะมาบอกแม่ว่า เดือนหน้าจะมาของเงินสี่หมื่นบาท จะพิมพ์วิทยานิพนธ์”
อาตมาเลยบอกว่า “หนูมาก็ดีแล้ว หนูเป็นลูกใช่ไหม ช่วยซักผ้าให้แม่หน่อย อุจจาระเต็มไปหมด แม่ยังไม่ได้ทานข้าวเลย หนูช่วยก่อน”
เขาบอกว่า “ไม่ได้หรอกค่ะหลวงพ่อ หนูจะรีบไปเผาศพที่อยุธยา”
อาตมาบอกว่า “คนที่อยุธยาเป็นอะไรกับเธอ”
เขาบอกว่า “เป็นญาติของเพื่อน”
อาตมาจึงว่า “นี่แม่ของเธอนะนี่” แม่ร้องไห้เลย อาตมาจึงบอกว่า “หนูนั่งคุยกับหลวงพ่อสักห้านาทีได้ไหม นี่ถ้าเป็นแม่ของหลวงพ่อ จะซักผ้าให้เดี๋ยวนี้ มีวินัยอนุญาต แต่นี่ไม่ใช่แม่ของเรา เป็นแม่เธอนะ เธอทำเธอก็ได้บุญ”
เขาบอกว่า “ไม่ได้ค่ะ จะรีบไป”
แม่ร้องไห้โฮเลย บอกว่า “หลวงพ่อคะ คนนี้หมดนาไป ๔-๕ แปลงแล้ว จะมาเอาอีกแปลงหนึ่งแล้ว รถ BMW ยังส่งไม่หมดเลย”
นี่จะเตรียมตัวตรงไหนกันแน่ โยมคนนี้ไม่ได้เตรียมอะไรเลย
อาตมาถามว่า “โยมมีแม่ไหม”
เขาก็ตอบว่า “แม่ตาย แม่เป็นอัมพาตตาย”
อาตมาถามอีกว่า “โยมเคยซักผ้าให้แม่ไหม”
เขาร้องไห้ทันที บอกว่า “ไม่เคย” ไปอยู่กับยายคนละตำบล แม่ไม่สบายก็มาเยี่ยมแล้วก็ไป ไม่เคยอยู่ปฏิบัติแม่
พอมาถึงตัวเองก็เป็นอย่างนี้แหละหนอ ไม่ได้เตรียมตัวเลยไม่เคยเจริญกุศลภาวนา ไม่เคยสวดมนต์ไหว้พระ ไม่เคยปฏิบัติเจริญพระกรรมฐานแต่ประการใด จึงเป็นดังที่กล่าวมา การเตรียมตัวนี้ต้องเจริญกุศลภาวนา ถึงจะรู้กฎแห่งกรรมจากการกระทำ ถึงจะแก้ปัญหาชีวิตได้อย่างแน่นอน ในที่สุดคนที่จบปริญญาโทไปต่อปริญญาเอกไม่ได้ นาก็หมด บ้านใหญ่โตมโหฬาร ไม่เคยกลับมาช่วยพ่อแม่แต่ประการใด พ่อแม่ต้องขายเอาเงินแจกลูกไป นี่เป็นกฎแห่งกรรม
ขอเจริญพรทุกคนว่า เราต้องพึ่งตนเองช่วยตัวเอง เตรียมตัวก่อนตายเสีย เตรียมสวดมนต์ภาวนา พาหุงมหากาฯ แล้วเจริญพระกรรมฐาน พระกรรมฐานแปลว่า การกระทำให้ฐานะดี ทำให้จิตใจเบิกบาน ทำให้อายุยืน ทำให้ไม่หลงทาง จะมีจิตเป็นกุศล ได้ผลอนันต์ เป็นหลักฐานสำคัญในชีวิตต่อไป ณ โอกาสข้างหน้าแน่ขอเจริญพรว่าไม่มีทางอื่น นอกเหนือจากพระกรรมฐานเท่านั้น พระกรรมฐานแก้กรรมได้แน่ ถ้าท่านทำได้
หายใจยาว ๆ เข้าไว้ อย่าหายใจสั้น จะแก้ปัญหาได้ เวลาโกรธไม่สบายใจ ให้หายใจยาว ๆ กำหนดโกรธหนอที่ลิ้นปี่ ซึ่งอยู่ระหว่างกึ่งกลางจมูกกับสะดือ เป็นการชาร์ทไฟเข้าหม้อแบตเตอรี่ หายใจยาว ๆ อย่าหายใจสั้น ถ้าหายใจสั้นท่านจะแก้ปัญหาไม่ได้ ท่านจะวูบเดียวขาดสติ หายใจช้า ๆ ช้าเพื่อไว เสียเพื่อได้ ถ้าหากท่านโกรธ อย่าให้ความโกรธค้างคืน อารมณ์ค้างจะทำให้มีปัญหาตอนเช้า ถ้าท่านเป็นครูอาจารย์จะสอนไม่ได้ดี ถ้าท่านเป็นนักธุรกิจการค้าท่านจะค้าขายไม่ดี ถ้าท่านผู้พิพากษาจะตัดสินให้เขาติดคุก ไม่มีการลดโทษแต่ประการใด ก่อให้เกิดผลเสีย
วิธีแก้ กำหนดโกรธหนอที่ลิ้นปี่ หายใจยาว ๆ ตั้งสติไว้จะหายโกรธทันที ท่านจะได้คิด ท่านจะมีโอกาสทำงานได้อีก นั่งเขียนหนังสือที่โต๊ะเกิดไม่สบายใจ กำหนด “ไม่สบายใจหนอ” ที่ลิ้นปี่เดี๋ยวนี้เลย ไม่ต้องไปวัด รับรองหายแน่ภายใน ๕ นาที และจะมีสติปัญญาครบด้วย นี่เป็นการเตรียมตัวที่ดีที่สุดในระยะที่ชีวิตใกล้จะตาย
เตรียมตัวก่อนตายด้วยการฝึกเจริญพระกรรมฐาน
คนใกล้จะตายจะมี นิมิตกรรม ขึ้นมาบอกให้เราทราบ เรียกว่า กรรมนิมิต คตินิมิต บางคนก็ชักดิ้นชักงอ บางคนก็ชกโน่นชกนี่ตลอดรายการ บางคนตาเหลือก บางคนยิ้มแย้มแจ่มใสเพราะฝึกสติปัฏฐาน ๔ เขาเตรียมตัวก่อนตายด้วยการฝึกเจริญพระกรรมฐาน ถ้าใครไม่เจริญพระกรรมฐานจะไม่มีทางแน่นอน พูดอย่างไรก็ไม่ได้ผล
อาตมาเคยประสบมาหลายครั้ง เวรกรรมตามสนอง ถ้าใครมีปาณาติบาตติดมา ๖๐ เปอร์เซ็นต์ รับรองว่าเป็นอัมพาตแน่นอน อาตมาเคยหักคอนกเมื่อตอนอยู่ชั้นมัธยม ๓ สติบอกว่า วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๒๑ เวลา ๑๒.๔๕ น. ท่านจะถูกรถชนคอหักตาย ด้วยเดชะที่เป็นพระ อาตมาคอหักแต่ไม่ตาย หายใจทางสะดือได้ ไม่ต้องรอชาติหน้า ชาตินี้เห็นทันตาแล้ว
ท่านอย่าเข้าใจผิดว่า สร้างความดีแล้วเวรกรรมไม่ตามสนอง ยิ่งสร้างความดียิ่งกรรมมาซัด มารไม่มี บารมีไม่เกิด สร้างความดีต้องมีอุปสรรค เพราะเหตุใด ต้องมีอุปสรรคแน่นอน คือ กรรมมาทวงหนี้ สร้างความดีต้องลงทุนความลำบากได้
ท่านสาธุชนทั้งหลาย อาตมาโดนคอหัก แขนหัก ฟ้าผ่าที่กุฏิ รับกรรมไปในชาตินี้ สร้างความดีกรรมมาทวงเลย ถ้าไม่สร้างกรรมดีสร้างแต่กรรมชั่ว จะไปทวงก่อนท่านตาย จะเห็นผลทันตา ตายอย่างกรรมนิมิต นิมิตที่แปลงมาบอกชัดด้วย ท่านที่ไม่ได้เจริญพระกรรมฐานจะไม่ทราบเลยนะว่ากรรมนิมิตมาแล้วจะต้องตาย
ยกตัวอย่าง โยมสุ่ม ทองยิ่ง อาตมารู้ว่าจะต้องตายภายใน ๓ ชั่วโมง เลยเทศน์ให้ฟัง เทศน์จบเขาเดินกลับกุฏิ อาเจียนออกมาเป็นเลือดแล้วก็ตาย เขาเข้าผลสมาบัติไปทันที เพราะเตรียมไว้แล้ว อาตมาเคยสอนพระกรรมฐานแก่โยมคนนี้เมื่อสมัยยังเป็นสาวอายุ ๓๘ ปี ตอนตายอายุ ๘๔ ปี ๖ เดือน เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๖
โยมสุ่มเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้าย จะต้องตาย นายแพทย์บอกว่าหลวงพ่อ ปอดหมดแล้ว อาตมาจึงรับมาอยู่ที่วัด บอกให้เจริญพระกรรมฐานต่อไปก็หายวันหายคืน เขาช่วยตัวเอง อาตมาไม่ได้ไปเสกเป่าแต่ประการใดอยู่มาได้ ๑๕ ปี หมดเวลาแล้วจะต้องเดินทางต่อไป เขาก็รู้ตัว อาตมาก็เทศน์ให้ฟังเรื่องปฐมวัย มัชฌิมวัย ปัจฉิมวัย พอ ๓ ชั่วโมง เขาก็ตายจากโลกไป
ถ้ามีกรรมติดมา เราจะรู้ได้จากการเจริญพระกรรมฐานอทินนาทานติดมา ๖๐ เปอร์เซ็นต์ จะต้องถูกปล้น ถูกไฟไหม้บ้าน โดนจี้ โดนโกง กาเมสุมิจฉาจารติดมา ๖๐ เปอร์เซ็นต์ มีสามีเป็นของเขาหมด มีภรรยามีชู้หมด มีลูกเอาดีไม่ได้ จะเสียหายทั้งครอบครัว ถ้าท่านไม่แก้
แต่ถ้าท่านมาเจริญพระกรรมฐานจะแก้กรรมนี้ได้ มุสาวาท หลอกลวงโลกหวังเอาลาภติดมา ๖๐ เปอร์เซ็นต์ ท่านจะโดนหลอกโดนโกงตลอด สุราเมรัยติดมา ๖๐ เปอร์เซ็นต์ คนนั้นจะประสาทไม่ดี จะเป็นโรคประสาท ท่านเตรียมตัวแก้กรรมก่อนตายหรือยัง ถ้าท่านไม่แก้กรรมนั้นก็ติดค้างสนองท่านไป
โดย พระธรรมสิงหบุราจารย์
(หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม วัดอัมพวัน อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี)
ที่หอประชุม วัดอัมพวัน
๒๘ ส.ค. ๒๕๒๙
โพสท์ในลานธรรมเสวนา หมวดชีวิตกับธรรมะ กระทู้ 15559 โดย: milkyway 24 มิ.ย. 48 - 21:57
“พุทธวิธีเตรียมตัวก่อนตาย” เป็นหัวข้อที่ดีมาก ไม่มีใครคิดขึ้นมา คิดมองกันแต่ข้างหน้า ไม่มองย้อนกลับข้างหลัง ท่านทั้งหลายโปรดพิจารณา โลกกำลังจะแตกแล้ว ขาดความสามัคคี หาความพอดีไม่ได้ เดินสวนทางกันหมดแล้ว ประเทศจะเหมือนเมื่อ พ.ศ.๒๓๑๐ สมัยกรุงศรีอยุธยาราชธานีที่ผ่านมา ปัจจุบันนี้โลกเจริญมาก แต่จิตใจเลวที่สุด เดี๋ยวนี้เด็กติดยาเสพติดกันมาก เด็กไม่เรียนหนังสือกันเป็นเพราะเหตุประการใด
ท่านผู้เป็นบิดามารดาโปรดพิจารณาด้วย ถ้าท่านเป็นบิดามารดาไม่ได้ดูลูกเลยจะเสียใจต่อภายหลัง นี่เป็นความสำคัญของชีวิตในระยะกลาง อย่าให้ลูกอยู่ว่าง อย่าให้ห่างผู้ใหญ่ จะหลงทางได้ง่าย ท่านเตรียมตรงนี้หรือยัง จะไปเตรียมตอนแก่แล้วจึงเข้าวัดจะเกิดประโยชน์ไหม เข้าวัดตอนแก่จะเข้าไปทำไม ควรจะเตรียมตัวตั้งแต่เป็นเด็ก
เตรียมตัวตั้งแต่เด็กเตรียมอย่างไร
พ่อแม่ควรสอนลูกหลานตั้งแต่ยังเด็กจะมีวิธีการสอนอย่างไร เมื่อ ๑๕ ปีมาแล้ว อาตมาไปพูดที่โรงเรียนอนุบาลจังหวัดสระบุรี เด็กเล็ก ๆ ทั้งนั้น เขาก็เกรงว่าเด็กจะสนใจฟังได้แค่ ๕ นาที ถ้าเลยกว่านี้ต้องซนอยู่ไม่ได้ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าทำอย่างไรจึงจะทำให้เด็กอนุบาลอยู่ฟังได้ถึง ๓ ชั่วโมง อาตมาคิดว่า เด็กชอบอะไร เด็กเป็นอะไร นึกได้ว่าเด็กก็เหมือนปลาต้องมีเหยื่อล่อ อาตมาจึงเตรียมพร้อมโดยเตรียมปัจจัยใส่ซองไปห้าพันบาท ซองละ ๑๐ บาท นำทอฟฟี่ไป ๕ ปี๊บ มีเด็กอยู่สามพันคน เริ่มรายการก็แจกทอฟฟี่ก่อน เด็กก็ไม่พูด พอได้ ๕ นาทีก็จุดธูปเทียนบูชาพระแล้วรับศีล อาตมาใช้วิธีบรรยายถาม – ตอบ ไม่ใช้วิธีบรรยายเรื่อยไป เด็กจะจำไม่ได้ ทำให้เด็กอยู่ฟังได้เป็นชั่วโมง
อาตมาถามว่าใครเป็นชาวพุทธยกมือขึ้น ใครเป็นอิสลามยกมือขึ้น ใครเป็นคริสต์ยกมือขึ้น ปรากฏว่ามีทุกศาสนา
อาตมาถามว่า “ศาสนาแปลว่าอะไร” ให้คนที่เป็นพุทธตอบก่อนก็ตอบไม่ได้ ให้คริสต์ตอบ ก็ตอบไม่ได้ อิสลามคนหนึ่งลุกขึ้นยืนตอบทันทีว่า “ศาสนาแปลว่าคำสั่งสอนเจ้าข้า” อาตมาจึงยื่นซองให้ไปหนึ่ง พวกก็ฮากันเลย ถ้าพูดไปเรื่อย ๆ เด็กจะไม่จำ
ข้อต่อไปก็ถามว่า “คำสั่งกับคำสอนแปลว่าอะไร” ให้พุทธตอบก็ตอบไม่ได้ คริสต์ก็ตอบไม่ได้ เด็กอิสลามคนหนึ่งยืนขึ้นบอกว่าหนูตอบเองเจ้าข้า “คำสั่งแปลว่าวินัย คำสอนแปลว่าธรรมะ” อาตมาจึงเรียกให้มารับซองไป ๒ ซอง ผู้ใหญ่ยังตอบไม่ได้ แต่อิสลามตอบได้หมด คำสั่งคือวินัย ผู้บังคับบัญชา ผู้บังคับบัญชาสั่ง นี่คือวินัย คำสอนนั้นเป็นหลักธรรม ถ้าพูดอย่างนี้เด็กจะจำได้ทั้งสามพันคน ทำไมจำได้ก็ได้ของแล้วมันตื่นเต้น เด็กก็ชะเง้อ สนใจ สิ่งนี้เป็นเทคนิคในการสอน
อาตมาถามต่อไปอีก “ศีลคืออะไร” อิสลามตอบได้อีก “ศีลคือปกติเจ้าข้า” ศีลคือปกติ ทั้งสามพันคนจำได้หมด ถ้าเรามีนโยบายชี้แจงอย่างนี้ เด็กก็จำได้และอยู่กับเราได้ถึง ๓ ชั่วโมง คนจะปกติได้เพราะอะไร คนจะปกติได้คนนั้นต้องมีสติสัมปชัญญะ คนที่ขาดสติสัมปชัญญะจะไม่ปกติ พูดไม่มีหูรูด พูดขึ้นห้วยลงเขา นี่ต้องพูดตรงไปตรงมา
ศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ยอดพัฒนาจริง ๆ เริ่มพัฒนาจิตคน พอพัฒนาจิตแล้วคนก็อยากมีการศึกษาอยากจะแสวงหาความรู้ เรียกว่าพัฒนาการศึกษา พอพัฒนาการศึกษาเสร็จแล้ว ทุกคนก็อยากจะประกอบอาชีพการงาน พัฒนาเศรษฐกิจ ให้เศรษฐกิจดีขึ้น
ถ้าจิตใจแล้วก็จะพัฒนาอย่างนั้น สุดท้ายก็พัฒนาสังคมอยู่ด้วยความเมตตาปรานี อารีเอื้อเฟื้อ ขาดเหลือคอยดูกัน ถ้าพัฒนาผิดที่ก็เอาดีไม่ได้ ถ้าสร้างความดีถูกสถานที่ ถูกตัวบุคคล ถูกกาลเทศะและเสมอต้นเสมอปลาย รับรองผู้นั้นดีแน่
ปัญหาของชีวิตคือกฎแห่งกรรม
ขอเจริญพรพี่น้องทุกคนว่า ปัญหาชีวิตของแต่ละคนคือกฎแห่งกรรม แก้ให้กันไม่ได้ ตัวใครตัวมัน ต้องแก้ด้วยตัวเอง คนอื่นจะไปแก้ไขเขาก็ไม่ได้ พระพุทธเจ้าจบ ๑๘ ด๊อกเตอร์ ๑๘ ศาสตร์ เรียนมาหมดทุกอย่างแล้ว เพราะเหตุจึงต้องเสด็จบรรพชา ท่านต้องการไปหาวิชาแก้ปัญหาชีวิต วิชาแก้ทุกข์ ต้องใช้เวลาไปเรียนวิชานี้ถึง ๖ ปี กว่าจะได้วิชานี้มาให้เรา วิชาแก้ปัญหาชีวิต วิชาแก้ปัญหาทุกข์ แต่เรากลับเอาไปทิ้ง ไม่เคยมีใครนำมาใช้เลย มีแต่สร้างความทุกข์หาความสนุกในสังคมเท่านั้น
ผู้ที่มีทุกข์มาที่วัดอัมพวันมี ๕ ประการ ได้แก่
๑. ครอบครัวไม่มีความสุข
๒. ผิดหวังในชีวิต แก้ปัญหาไม่ได้ ผูกคอตาย ฆ่าตัวตาย เป็นโรคทันสมัยกันมาก โรคทันสมัยก็คือโรคประสาท
๓. ลูกไม่เรียนหนังสือ อย่างนี้อย่าโทษเด็ก เด็กติดยาเสพติดอย่าไปโทษเด็ก อาตมาโทษแม่ แม่ไม่ดี แม่แบบ แม่แผน แม่แปลนใช้ไม่ได้ แม่บ้านการเรือนเคหศาสตร์ไม่ดี ถ้าแม่บ้านการเรือนเคหศาสตร์ดี สามีจะเจ้าชู้หรือเล่นการพนันก็ไม่เป็นไร แม่บ้านเอาลูกไว้ได้แน่นอน ลูกได้ดีหมดทุกคน อาตมาจึงเขียนขึ้นมาว่า กันอยู่ที่แม่ แก้อยู่ที่พ่อ ก่ออยู่ที่ลูก ปลูกอยู่ที่ครู ความรู้อยู่ที่ศิษย์ จะได้เป็นมิตรกัน
๔. เศรษฐกิจไม่พอปากพอท้อง นี่แหละปัญหามันเกิดขึ้น เป็นหนี้สินกันไม่มีปัญญาจะใช้หนี้ เป็นกฎแห่งกรรม โดนล้มละลายเป็นแถว เพราะอะไร จะแก้อย่างไร เตรียมตัวอย่างไร น่าจะคิดตรงนี้ก่อน
๕. มีแล้วยังไม่พอ ตะเกียกตะกายไปยากจนหมดเงินหมดทองสิ้นเนื้อประดาตัว เดินทางผิด กฎจราจรผิด ก้าวพลาดก้าวผิดตลอดไป ชีวิตจึงไร้สาระมีปัญหาอย่างนี้ ท่านจะแก้อย่างไร
ถ้าท่านไม่ศึกษา ไม่ปฏิบัติธรรม ไม่ใช้ธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านจะแก้ปัญหาไม่ได้นะ อาตมาจึงถามเด็กว่า “หนู มหานิยมอยู่ที่ไหน” แม่ก็ตอบไม่ได้ มหานิยมอยู่ที่มีวิชาความรู้ ถ้าลูกเราเรียนมีวิชาความรู้เป็นด๊อกเตอร์ รับรองมีคนนิยมชมชอบมาก ตรงนี้เป็นมหานิยม ไม่ใช่ไปให้พระเป่าหัว ไปรดน้ำมนต์วัดโน้นวัดนี้ ลงเสน่ห์ ตรงนี้น่าคิดนะ ถ้าลูกของโยมเรียนหนังสือเก่งทุกคน จบปริญญาโท จบปริญญาเอก นี่ซิเป็นมหานิยม มีคนนิยมชมชอบมากมาย น่าจะเตรียมตัวกันตรงนี้ ไม่ใช่ไปเตรียมตัวตอนจะตาย
นอกเหนือจากนั้นแล้ว อะไรหนอที่เป็นเสน่ห์ เสน่ห์อยู่ที่คุณธรรม ถ้าคนไหนไม่มีคุณธรรม ไร้เหตุผล จะมีเสน่ห์ได้อย่างไร ไม่มีใครมองหน้าแน่นอน ถ้าลูกของท่านทั้งหลายไม่เรียนหนังสือเลย ไปไหนก็เก้อเขินไม่มีความรู้ความสามารถ นี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ต้องแก้ปัญหา แต่เราไปแก้ปัญหากันผิดจุด น่าจะแก้ตรงไปตรงมา ปากกับใจตรงกันหน่อยได้ไหม อาตมาจึงได้สรุปความไว้ข้อหนึ่งว่าเรียนให้รู้ ดูให้จำ ทำให้จริง
ลูกนี้สำคัญมาก จะยกตัวอย่างให้เห็น ลูกมีทั้งเมตตามหานิยมที่สิงห์บุรี เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๐ ครอบครัวหนึ่งพ่อเป็นจับกัง แม่รับจ้างซักรีด มีลูกห้าคน เป็นด๊อกเตอร์สามคน เป็นเถ้าแก่เนี้ยขายทองที่เยาวราชสองคน จนแท้ ๆ เพราะเหตุใด เพราะเขามีคุณธรรม มีทั้งเสน่ห์ มีทั้งมหานิยม เรียนให้รู้ ดูให้จำ ทำให้จริง ปฏิบัติพระกรรมฐานเป็นการแก้ปัญหา แก้กรรมของเขาได้ ของเจริญพรว่า คนดีมีปัญหาอยู่ที่ไหนมันก็จะไปถึงที่ได้ คนเศรษฐีมหาเศรษฐีลูกไม่เอาไหนก็เยอะ แก้ปัญหาชีวิตไม่ได้ ทั้งรักทั้งแค้นทั้งแน่นในทรวง ทั้งหึงทั้งหวงหนักหน่วงในหัวใจ จึงฆ่ารันฟันแทงกันได้ง่ายเหมือนผักปลา ขาดสติสัมปชัญญะ ขาดเหตุผล น่าจะเตรียมพร้อมตรงนี้ก่อนตาย
แก้ปัญหาชีวิตด้วยการมีสติยับยั้ง
ความเข้าใจในหลักของธรรมะตามที่พระพุทธเจ้าสอน เป็นบทความที่จะแก้ปัญหาชีวิตได้เป็นอย่างดียิ่ง แต่แล้วเราก็ไม่ทราบว่าปัญหาของเราคืออะไร ปัญหาของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เกิดจากการกระทำและกฎแห่งกรรมไม่เหมือนกัน ลักษณะการเกิดมามีหู มีตา มีจมูก มีปาก มีฟัน มีเพศหญิงเพศชาย เหมือนกันไม่ได้ สืบเนื่องจากการกระทำครั้งอดีตชาติแต่ชาติปางก่อน เราเลือกเกิดไม่ได้ และเลือกตายไม่ได้เหมือนกัน ปราสาทราชวังเขาเปิด ไม่มีใครเข้าไปเกิด บ้านอาเสี่ยมีมากมาย ไม่มีใครเข้าไปเกิด เลือกไม่ได้ แต่ทำไมหนอคุกปิดใส่กุญแจตั้งหลายชั้น เข้าไปกันได้เป็นพัน ไม่ทราบเข้าไปกันได้อย่างไร เป็นกฎแห่งกรรมจากการกระทำของแต่ละท่านไม่เหมือนกัน
ท่านทั้งหลายเอ๋ยเวลาไม่เหมือนกัน เราต้องเตรียมพร้อมเสียแต่วันนี้ เพื่อสัมภาระที่จะต้องทำในวันพรุ่งนี้ พระพุทธเจ้าสอนไว้ชัดเจนมาก กฎแห่งกรรมซ้ำเติมส่งเสริมโทษเหมือนกันไม่ได้ ถ้าท่านเจริญพระกรรมฐาน เจริญสติปัฏฐาน ๔ ท่านจะระลึกชาติได้ รู้กฎแห่งกรรม และแก้ปัญหาที่เกิดเฉพาะหน้าได้ ท่านไม่ต้องไปหาผีเข้าเจ้าทรง แต่ท่านก็ทำไม่ได้ ตรงนี้เป็นหลักสำคัญของชีวิตของแต่ละคน ใครมีบุญวาสนาก็จะเดินไปหาบุญวาสนาเอง แข่งเรือแข่งพายใครก็แข่งได้ แข่งบุญวาสนาไม่ได้ก็จริง แต่อยากถามว่า ท่านพายเรือเป็นไหม พายเรือไม่เป็นจะแข่งได้อย่างไร ท่านต้องฝึกหัด ต้องปฏิบัติ
ยกตัวอย่างสามีภรรยาคู่หนึ่ง สามีเป็นนายแพทย์ เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล ภรรยาเป็นแพทย์หญิง รูปร่างสวยน่ารัก บ้านใหญ่โต ลูกเรียนธรรมศาสตร์เรียนจุฬาทั้งนั้น แต่เป็นที่น่าเสียใจว่า สามีฟ้องหย่าตลอดรายการ เพราะไปชอบลูกจ้างในโรงพยาบาล ต้องการทรัพย์สมบัติไปให้อีกบ้านหนึ่ง แพทย์หญิงก็มาปรึกษาอาตมา อาตมาจึงบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกันตอนนี้พูดกันไม่รู้เรื่อง ให้แพทย์หญิงลาพักร้อนมาเจริญพระกรรมฐาน เจริญสติปัฏฐาน ๔ จะแก้ไขปัญหาชีวิตได้แน่นอน เขาจะได้รู้กฎแห่งกรรม ว่าเขาได้ทำกรรมอะไรไว้ จะได้ไม่ปฏิเสธทุกข้อหา
แพทย์หญิงก็มาปฏิบัติเจริญพระกรรมฐาน ๒ ครั้ง ๆ ละ ๗ วัน จิตเข้าถึง ซึ้งใจ ใฝ่ดีแล้ว บอกหลวงพ่อว่า หนูรู้แล้ว อาตมาจึงบอกว่า ถ้ารู้แล้วจะพูดให้ฟัง ถ้ายังไม่รู้จะพูดให้ฟังไม่ได้ แพทย์ชายเตรียมจะฟ้องหย่าท่าเดียว แพทย์หญิงก็จะหย่าให้ แต่พอมาเจริญพระกรรมฐาน ได้สติ มีปัญญา อ่านหนังสือไม่มีตัวออกชัดเจนแล้ว แพทย์หญิงก็บอกว่า หลวงพ่อให้สติหนูได้แล้วค่ะ หนูจะตั้งใจฟังแล้วเพราะว่าเมื่อก่อนหลวงพ่อบอกหนู หนูไม่ได้ตั้งใจฟังเลย
อาตมาบอกว่า คุณหมอ ขอประทานโทษนะ จะเห็นด้วยหรือไม่ก็ไม่ว่ากัน ลูกเราก็โตแล้ว เรียนถึงปริญญาโทแล้ว คนเล็กเรียนปริญญาตรีอยู่ที่จุฬาฯ ถ้าลูกรู้เข้าจะเสียกลศึกยุทธวิธีในสงคราม จะหมดกำลังใจเรียน แม่กับพ่อแยกกันอย่าให้เขารู้ได้ไหม แพทย์หญิงตกลง ผู้ที่มีสติจะพูดง่าย คนไม่มีสติพูดอย่างไรก็ไม่รู้เรื่อง ถึงมีความรู้สูงก็ไม่รู้เรื่อง ทั้งแพทย์ชายแพทย์หญิงจบปริญญาโทเหมือนกัน แต่หาเรื่องทะเลาะกันเรื่อย อาตมาให้สติไปว่า คุณหมออย่าหย่านะ เขาจะฟ้องก็ฟ้องไป เราไม่ยอมหย่าท่าเดียว จะไปหย่าก็ต่อเมื่อลูกเรียนจบปริญญาเอกแล้ว มีหลักฐานมีงานทำแล้ว จะหย่าก็หย่าได้เลย แพทย์หญิงเห็นด้วย นี่เป็นการเตรียมตัวก่อนตาย เตรียมการให้พร้อมในชีวิตไม่ใช่ไปเข้าวัดตอนแก่
ต่อมาลูกเรียนจะจบปริญญาเอกแล้ว ก็ยังไม่หย่า แพทย์หญิงบอกว่าหย่าไม่ได้หรอกค่ะ เพราะอายลูก ถ้าอาตมาไม่ยับยั้งไว้ก็หย่ากันไปแล้ว ก็ขอฝากข้อความไว้ว่า พูดดีเข้าใจง่าย พูดร้ายเข้าใจยาก ถ้าพูดดี ๆ เพราะ ๆ ไม่มีทางจะทะเลาะกัน ไม่หย่าแน่นอน
มาทำความรู้จักกับความตาย
ชนิดของความตาย
การตายมี ๓ ชนิด ได้แก่
๑. ตายจริง
๒. ตายสมมติ
๓. ตายสูญ
ท่านจะต้องเตรียมอย่างไรบ้าง ต้องเข้าใจความหมายของการตายแต่ละชนิดก่อน
ตายจริงคืออะไร พี่น้องทั้งหลาย ท่านอย่าเข้าใจผิดนะว่าตายจริงคือตายใส่หีบแล้วนำไปเผา ไม่ใช่นะ ตายจริงคือเหมือนอย่างที่ท่านนั่งอยู่นี้ ก็จะตายต่อไปเป็นเฒ่าชะแรแก่ชราไปตามลำดับ จึงต้องเตรียมตั้งแต่เดี๋ยวนี้ก่อน ไม่ใช่รอให้แก่แล้วจึงไปเตรียมในชีวิตบั้นปลาย ต้องเตรียมตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ออกแขก ขอเจริญพรว่า ชีวิตคนเราเหมือนลิเก เหมือนละคร ออกแขกดี บอกเรื่องดี ออกหน้าพาทย์ก็ดี ตลอดชีวิตออกแขกไม่ดี บอกเรื่องไม่ดี จะเล่นไม่ดีตลอดจนตาย นี่คือตายจริง
ตายโดยสมมติคือตายอย่างไร ได้แก่ตายที่หมดลมหายใจนำไปใส่หีบศพ แล้วนำไปฝัง นำไปเผา นี่เป็นสมมติบัญญัติ ทำไมเรียกสมมติบัญญัติ เพราะร่างกายสังขารหมดไปตามกาลเวลา แต่จิตวิญญาณไม่ตาย เกิด ดับตลอด ซับซ้อนอยู่เป็นกฎแห่งกรรม ไม่ใช่ตายจริงนะ ท่านต้องมีความเข้าใจในเรื่องนี้ จึงจะเตรียมตัวก่อนตายได้ถูกต้อง เพราะจิตนี้มันเกิด ดับ เหมือนไดนาโม จิตนี้เป็นธรรมชาติเป็นกระแสไฟ มันเตรียมส่งไฟฟ้าอยู่แล้ว แต่ยังไม่เปิดสวิตซ์ พอเปิดสวิตซ์เข้าก็เตรียมไปติดที่หลอด จิตของท่านเตรียมพร้อม แต่จะไปติดตรงไหน ต้องเปิดสวิตซ์ ร่างกายสังขารอยู่มานานก็ต้องพัง จิตวิญญาณ รูปนาม ขันธ์ห้าเป็นอารมณ์ มันไม่มีตาย มันเกิดดับจนมองไม่เห็น จะไปสู่สถานที่ทำกรรมไว้ทุกประการ
ตายสูญคือตายอย่างไร ได้แก่ตายแล้วไม่เวียนว่ายตายเกิดอีก คือบรรลุนิพพาน หมดกิเลส ตัณหาทั้งปวง ไม่มีโลภ ไม่มีโกรธ ไม่มีหลง ไม่กลับมาในโลกมนุษย์อีกแล้ว นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ความสุขที่ไม่เจือปนด้วยกิเลสนานาประการหรือไฟดับไม่มีเชื้อ เรียกว่า นิพพาน
ประเภทของการตาย
การตายแบ่งเป็น ๒ ประเภท ได้แก่
๑. กาลมรณะ หมายความว่า ถึงเวลาที่จะต้องตาย
๒. อกาลมรณะ หมายความว่า ยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องตาย
ทั้งนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่า ความตายนั้นเมื่อถึงเวลา หรือถึงที่แล้วจึงจะตายลง และเมื่อยังไม่ถึงเวลา ยังไม่ถึงที่แล้วตายลงก็มี
คำว่า มรณุปปัตติ แยกศัพท์ออกเป็น ๒ ประการ มรณะ แปลว่า ตาย , อุปปัตติ แปลว่า เกิด , เกิด ตาย เกิด ดับ หมายถึง ความตายและความเกิดขึ้น มรณุปปัตตินั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ๔ ประการ ได้แก่
อยุกขยะ หมายถึง ตายโดยสิ้นอายุ
กัมมักขยะ หมายถึง ตายโดยสิ้นกรรม
อุภยักขยะ หมายถึง ตายโดยสิ้นอายุและกรรม
อุปัจเฉทกมรณะ หมายถึง ตายโดยอุบัติเหตุต่าง ๆ มาตัดรอน คือยังไม่สิ้นอายุ อาจเป็นตกต้นไม้ตาย หรือโดยฆ่าตาย คือยังไม่สิ้นอายุและยังไม่สิ้นกรรม มาจากเวรกรรมจะต้องโดนรถชนตาย โดยฆ่าตาย เป็นต้น
๑. อยุกขยะ ตายโดยสิ้นอายุ ข้อนี้สัตว์ทั้งหลายต้องตายโดนสิ้นอายุ เพราะสัตว์ทั้งหลายย่อมมีชีวิตอยู่ภายในในขอบเขตของอายุขัย เช่น เต่ามีอายุ ๑๓๐ ปี ช้างมีอายุ ๓๐๐ ปี ยุงมีอายุไม่เกิน๑๕ วัน มนุษย์ในปัจจุบันนี้มีอายุเพียง ๗๕ ปีเท่านั้น แม้จะมีผู้มีอายุสูงกวา ๗๕ ปีบ้างก็มีเพียงเล็กน้อย การที่โลกในปัจจุบันค้นคว้าในเรื่องสรีระของมนุษย์จนมีความรู้ละเอียด ค้นคว้าในเรื่องอาหารและยา เพื่อประสงค์จะให้มนุษย์ปราศจากโรคภัยมาเบียดเบียนและมีอายุยืนยาวนั้น ถึงจะค้นคว้ากันต่อไปสักเพียงใด วิทยาศาสตร์การแพทย์จะเจริญก้าวหน้าสักเพียงไหน ก็เป็นการช่วยได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะการมีอายุยืนหรืออายุสั้น มิได้มีเหตุเพียงในด้านวัตถุเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ความจริงแล้วยังมีสาเหตุอื่นที่สำคัญมากอีกหลายประการ
๒. กัมมักขยะ ตายโดยสิ้นกรรม ข้อนี้หมายถึงการที่สัตว์ทั้งหลายเกิดขึ้นมาและเป็นไปนั้น อาศัยกำลังของกรรมที่หล่อเลี้ยงอยู่หรือสนับสนุนให้ชีวิตดำเนินไปได้อย่างไร อาตมาจะให้เหตุผลข้อเท็จจริงต่อไปในภายหลัง การที่จะต้องกล่าวถึงกรรมก็เพราะว่าเกี่ยวพันไปถึงความตาย
๓. อุภยักขยะ ตายโดยสิ้นอายุและสิ้นกรรม ความตายที่เกิดขึ้นเพราะสิ้นอายุนั้น หมายถึงแก่เฒ่าอายุมากแล้ว ร่างกายก็หมดกำลังที่จะอยู่ต่อไปได้ ทั้งกรรมที่สนับสนุนให้ดำรงชีวิตอยู่ก็หมดลงด้วย บุคคลจึงมักจะถึงความตายด้วยเหตุผลทั้งสองดังกล่าวแล้ว
๔. อุปัจเฉทมรณะ หมายถึงตายด้วยอุบัติเหตุต่าง ๆ มาตัดรอน ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ถึงอายุขัย และยังไม่สิ้นกรรม เช่น ตกต้นไม้ตาย หรือถูกรถทับตาย ความตายในข้อนี้เป็นความตายโดยเหตุต่าง ๆ อันเป็นปัจจุบัน มิได้สิ้นอายุ หรือมิได้มีกรรมแต่อดีตมาตัดรอน แต่อาศัยกรรมแต่อดีตเป็นแรงส่ง เช่น กรรมแต่อดีตเป็นตัวส่งให้เข้าไปอยู่ในเรือนจำ แล้วไปติดโรคระบาดตายในเรือนจำ เป็นต้น
เพื่อความเข้าใจง่ายขึ้นสำหรับความตายทั้งสี่ประการนี้ ท่านได้เปรียบไว้กับดวงประทีปที่ใช้น้ำมันคือ ชีวิตทั้งหลายเปรียบเหมือนประทีปหรือโคมไฟที่อาศัยน้ำมัน ธรรมดาโคมที่อาศัยน้ำมัน จะดับได้ด้วยเหตุสี่ประการคือ
๑. เพราะเหตุที่หมดน้ำมัน เมื่อโคมไฟหมดน้ำมันไฟก็ดับ ข้อนี้หมายถึงชีวิตทั้งหลายจะถึงแก่ความตายเมื่อสิ้นอายุ
๒. เพราะเหตุที่หมดไส้ เมื่อโคมไฟหมดไส้ไฟก็ดับ หมายถึง ชีวิตทั้งหลายเมื่อสิ้นกำลังของกรรมที่สนับสนุนให้ชีวิตคงอยู่แล้ว ก็จะถึงแก่ความตายได้
๓. เพราะเหตุที่หมดน้ำมันและหมดไส้ เมื่อโคมไฟหมดทั้งน้ำมันและหมดทั้งไส้ หมายถึงชีวิตทั้งหลายต้องสิ้นชีวิตไปเพราะหมดอายุและกำลังของกรรม
๔. เพราะเหตุที่มีอุบัติเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น เมื่อโคมไฟถูกลมพัด หมายถึงยามเมื่อยังไม่สิ้นอายุและยังไม่สิ้นกรรม แต่ต้องตายด้วยอุบัติเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง
สำหรับข้อหนึ่ง ข้อสอง และข้อสาม ตายเพราะถึงเวลาที่จะต้องตายแล้ว สำหรับในข้อสี่ ตายเมื่อยังไม่ถึงคราวที่จะต้องตาย แต่ก็ต้องตาย เพราะเหตุในปัจจุบันทุกวันนี้ ซึ่งตายไม่เหมือนกัน บางคนเกิดอุบัติเหตุ บางคนผูกคอตาย บางคนถูกยิงตาย ทำไมต้องผูกคอตาย ทำไมต้องถูกยิงตาย ทำไมต้องฆ่าตัวตายด้วย ด้วยเหตุผลประการใด ทุกคนไม่ทราบ ข้อเท็จจริงมันเกิดอุบัติเหตุ
ยกตัวอย่างอาตมานี้ตายไปแล้ว อาตมารู้ล่วงหน้า ๖ เดือนว่า คอจะหัก รถจะทับ เมื่อ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๑ เวลา ๑๒.๔๕ น. รถจะชนที่หลังตลาดปากบาง สิงห์บุรี รถชนคอหัก รู้ล่วงหน้า ๖ เดือน มีเวลาเตรียมตัวไป นี่คือเตรียมตัวก่อนตาย
ท่านทั้งหลายเอ๋ยจะรู้หรือไม่ว่า พรุ่งนี้รถจะชน หัวจะแตก ถ้าท่านขาดสติ ไม่สะสมหน่วยกิตไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ ท่านจะไม่รู้อะไรเลยนะ ไม่มีความเข้าใจด้วย เพราะว่าจิตใจของเราเป็นธรรมชาติ ต้องคิดอ่านอารมณ์ รับรู้อารมณ์ไว้ได้นานเหมือนเทปบันทึกเสียง ไม่มีตัวตนที่จะคลำได้ ถ้าท่านไม่ใช้หลักพระพุทธศาสนาหรือคุณธรรมที่ประจำตัวแล้ว จะไม่มีความรู้ความเข้าใจอันนี้แน่นอน
เตรียมตัวพึ่งตนเอง
คนเราตายจริงอยู่ตลอดเวลา การเตรียมตัวตายก็ต้องเตรียมตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ต้องสอนลูกสอนหลานให้งอกงามให้ได้ที่เรียกกันว่า เลี้ยงลูกต้องให้โต ปลูกต้นโพธิ์ให้ได้ร่ม ต้องเตรียมตรงนี้สำหรับตายจริง
การเตรียมก่อนตายสมมติ ต้องเตรียมพระกรรมฐานให้แน่น
ตายสูญมาจากการตายสมมติ เมื่อเจริญพระกรรมฐานจิตใจก็เบิกบานหรรษา และหมดกิเลสตัณหา จึงเรียกว่า ตายสูญ
ดังนั้นเราต้องเตรียมสอนเด็ก สอนลูกก่อน เลี้ยงลูกให้โตปลูกต้นโพธิ์ให้ได้ร่ม โตด้วยวิชาการ มีหลักฐานให้ลูกมีงานทำ เลี้ยงลูกให้โตอย่างนี้ มีคู่ครองขอให้เป็นทองแผ่นเดียวกัน มีมนุษยสัมพันธ์ในสังคม ต้องเตรียมตรงนี้
ทำไมหนอจึงต้องเลี้ยงลูกให้โต ปลูกต้นโพธิ์ให้ได้ร่มเพื่ออะไร เลี้ยงลูกเหมือนปลูกต้นโพธิ์ เมื่อใหญ่เมื่อโตจะได้อาศัย ยามเจ็บจะได้ฝากไข้ เวลาตายจะได้ฝากผี ดี ๆ เอาไว้รับใช้สอยทุกกรณีได้
แต่ขอฝากข้อคิดว่า อย่านึกไปพึ่งลูก เลี้ยงลูกเอาบุญ อย่าเอาคุณตอบแทนเลย เดี๋ยวจะเสียใจต่อภายหลัง ให้เขามีโอกาสเป็นด๊อกเตอร์ มีหลักฐาน มีงานทำ เราจะพึ่งใครหรือ จะหวังพึ่งลูกสาวคนเล็ก แต่เขาไม่ได้มาให้เราพึ่ง เราจะเสียใจตลอดชีวิต จะเป็นบาปตายไปตกนรกนะ แล้วจะทำอย่างไร ขอบอกว่า ให้พึ่งตัวเองเถอะ อตฺตาหิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
คนเราพึ่งตนเองมาตั้งแต่เด็ก ๆ แต่เราไม่ค่อยได้ดูกัน เมื่อลูกร้องอุแว้ ๆ แม่ป้อนนมใส่ปาก ถ้าเราไม่ดูด เราก็ตาย แสดงว่าเราช่วยตัวเองตั้งแต่เป็นเด็กแล้วใช่ไหม ลองนึกดูว่าเด็กยังช่วยตัวเองได้ เราแก่จะตายยังช่วยตัวเองไม่ได้หรือ ท่านจะเอาอะไรเป็นหลัก ถ้าไม่พูดจุดนี้ท่านจะไม่ทราบนะ
พอโตขึ้นมาอีก อายุ ๓-๔ ขวบ แม่พาไปฝากโรงเรียนอนุบาล ถ้าเขาไม่ยอมเรียนหรือจะรู้ ไม่ยอมดูหรือจะเห็น ไม่ยอมฟังหรือจะได้ยิน ไม่ยอมทำหรือจะเป็น จะลำเค็ญย่ำแย่จนแก่ตาย เราต้องช่วยตัวเองก่อน ทุกคนต้องช่วยตัวเองทั้งนั้น ถ้าไม่ช่วยตัวเองแล้วแย่มาก อย่าไปพึ่งลูกเลย มันเป็นกฎแห่งกรรมตามที่เราเตรียมไว้ ไม่ต้องไปพึ่งใครหรอก
เตรียมตัวตอนแก่ทันการหรือไม่
อาตมาไปพบสามีภรรยาคู่หนึ่งเป็นคนยากจนมาก อยู่ที่อำเภอน้ำหนาว อาชีพปลูกกะหล่ำปลีขาย ทางราชการเขาให้เดือนละ ๒๐๐ บาท เพราะยากจนมาก ตาแก่อายุ ๘๒ ปี ภรรยาอายุ ๗๖ ปี อยู่กันสองคนตายาย ตาก็มองไม่เห็น ตอนนั้นอาตมาจะไปสร้างส้วมให้คณะสงฆ์ เขารีบวิ่งมาหา อาตมาก็จะรีบไปขอนแก่น อาตมาก็ “เห็นหนอ” ออกมาชัดเลย เดี๋ยวจะต้องให้เงิน ๑,๐๐๐ บาท เขาเล่าให้ฟังเป็นกฎแห่งกรรม
เขาเล่าว่ามีลูก ๗ คน อยู่ที่กรุงเทพฯ ได้เงินเดือนเป็นหมื่น เงินเดือนมาก ๆ ทุกคน แต่เหตุใดหนอไม่เคยกลับไปช่วยพ่อแม่เลย ไม่เคยไปให้พ่อแม่แม้แต่สตางค์แดงเดียว เพราะเหตุใด เราจะมาเตรียมตอนแก่ได้ไหม ประวัติศาสตร์ต้องบันทึกไว้ให้ได้ มันเป็นกฎแห่งกรรม อย่าไปโทษลูก เพราะตาแก่ยายแก่ไม่ได้เตรียมไว้ก่อน ในข้อที่ว่า รักลูกคิดปลูกฝัง ให้ลูกตั้งตนฝึกรีบศึกษา ตาแก่ยายแก่ไม่ได้เตรียมตรงนั้นเลย ลูกต้องไปหากินเอง ต้องไปเรียนหนังสือเองทั้ง ๗ คน เป็นกฎแห่งกรรมของตาแก่เอง
เขาบอกว่าผมอยู่มาร้อยเอ็ดเจ็ดหัวเมือง พ่อแม่เกิดในตระกูลยาจกหาเช้ากินค่ำ ผมเป็นลูกจ้างเขา พอโตขึ้นก็ไปเรียนหนังสือที่วัด อ่านออกเขียนได้ก็ลาพ่อแม่เดินทางต่อไป ไม่ได้กลับไปหาพ่อแม่อีกเลย ไม่เคยให้เงินพ่อแม่ด้วย พ่อแม่ก็ช่วยตัวเอง เดินทางตั้งแต่หนุ่ม ๆ จนแต่งงานกับภรรยา แล้วก็รับจ้างเรื่อยไป จนกระทั่งมาอยู่อำเภอน้ำหนาวมีลูก ๗ คน ลูกก็เรียนวิชาเอง รับจ้างเป็นช่างไม้ ช่างเหล็ก ช่างเชื่อม อยู่อู่รถ แก้รถยนต์ได้ ไม่เคยกลับมาหาพ่อแม่เลย จนพ่ออายุ ๘๐ กว่าแล้ว
อาตมาถามว่าพ่อแม่อยู่ที่ไหน เคยไปช่วยพ่อแม่ไหม เขาตอบว่าผมก็ไม่ทราบเลย ตั้งแต่ออกจากบ้านมาไม่เคยกลับไปเลย แต่ผมก็ไม่รู้ได้ มีลูก ๗ คน ก็ไม่เคยกลับมาหาผมเช่นเดียวกัน แล้วก็ร้องไห้โฮเลย อาตมาให้ไป ๑,๐๐๐ บาท เขากราบแล้วกราบอีก อาตมาบอกว่า โยมไม่ได้เตรียมตัวเลยหรือนี่ จากบ้านเรือนมาก็รุดหน้าไปเรื่อยไม่เคยย้อนกลับมาดูข้างหลังเลย เป็นกฎแห่งกรรม
ตกลงว่าเป็นกฎแห่งกรรมของตาแก่ ทำให้ตกถึงลูก ลูกไม่เอาเงินมาให้ เพราะตัวเองก็ไม่เคยให้เงินพ่อแม่เลย ไม่เคยช่วยพ่อแม่ นี่ชัดเจนมาก ต้องเตรียมตั้งแต่ต้น ไม่ใช่มาเตรียมตอนแก่
ไม่ได้เตรียมตัวไว้ต้องพึ่งตัวเอง
กฎแห่งกรรมอีกเรื่องหนึ่งจะเตรียมตัวอย่างไร โยมหญิงคนหนึ่งอยู่ที่บางระจัน นอนเป็นอัมพาตอยู่คนเดียวช่วยตัวเองไม่ได้ ไปนั่งใกล้ ๆ เหม็นอุจจาระมาก โยมผู้ชายออกไปธุระข้างนอก อาตมาไปธุระแถวนั้นพอดี ก็เลยแวะไปเยี่ยม ตั้งแต่เช้ายังไม่ได้ทานอะไรเลย สักพักหนึ่งมีรถ BMW วิ่งเข้ามาจอดที่บ้าน มีคนห้าคนขึ้นมาบนบ้าน อาตมาถามว่า หนูเป็นใคร เขาบอกว่าเป็นลูก เรียนจบปริญญาโทจุฬาฯ
อาตมาถามอีกว่า “หนูจะไปไหนคะ”
เขาตอบว่า “จะไปอยุธยา แต่แวะมาหาแม่ก่อน จะมาบอกแม่ว่า เดือนหน้าจะมาของเงินสี่หมื่นบาท จะพิมพ์วิทยานิพนธ์”
อาตมาเลยบอกว่า “หนูมาก็ดีแล้ว หนูเป็นลูกใช่ไหม ช่วยซักผ้าให้แม่หน่อย อุจจาระเต็มไปหมด แม่ยังไม่ได้ทานข้าวเลย หนูช่วยก่อน”
เขาบอกว่า “ไม่ได้หรอกค่ะหลวงพ่อ หนูจะรีบไปเผาศพที่อยุธยา”
อาตมาบอกว่า “คนที่อยุธยาเป็นอะไรกับเธอ”
เขาบอกว่า “เป็นญาติของเพื่อน”
อาตมาจึงว่า “นี่แม่ของเธอนะนี่” แม่ร้องไห้เลย อาตมาจึงบอกว่า “หนูนั่งคุยกับหลวงพ่อสักห้านาทีได้ไหม นี่ถ้าเป็นแม่ของหลวงพ่อ จะซักผ้าให้เดี๋ยวนี้ มีวินัยอนุญาต แต่นี่ไม่ใช่แม่ของเรา เป็นแม่เธอนะ เธอทำเธอก็ได้บุญ”
เขาบอกว่า “ไม่ได้ค่ะ จะรีบไป”
แม่ร้องไห้โฮเลย บอกว่า “หลวงพ่อคะ คนนี้หมดนาไป ๔-๕ แปลงแล้ว จะมาเอาอีกแปลงหนึ่งแล้ว รถ BMW ยังส่งไม่หมดเลย”
นี่จะเตรียมตัวตรงไหนกันแน่ โยมคนนี้ไม่ได้เตรียมอะไรเลย
อาตมาถามว่า “โยมมีแม่ไหม”
เขาก็ตอบว่า “แม่ตาย แม่เป็นอัมพาตตาย”
อาตมาถามอีกว่า “โยมเคยซักผ้าให้แม่ไหม”
เขาร้องไห้ทันที บอกว่า “ไม่เคย” ไปอยู่กับยายคนละตำบล แม่ไม่สบายก็มาเยี่ยมแล้วก็ไป ไม่เคยอยู่ปฏิบัติแม่
พอมาถึงตัวเองก็เป็นอย่างนี้แหละหนอ ไม่ได้เตรียมตัวเลยไม่เคยเจริญกุศลภาวนา ไม่เคยสวดมนต์ไหว้พระ ไม่เคยปฏิบัติเจริญพระกรรมฐานแต่ประการใด จึงเป็นดังที่กล่าวมา การเตรียมตัวนี้ต้องเจริญกุศลภาวนา ถึงจะรู้กฎแห่งกรรมจากการกระทำ ถึงจะแก้ปัญหาชีวิตได้อย่างแน่นอน ในที่สุดคนที่จบปริญญาโทไปต่อปริญญาเอกไม่ได้ นาก็หมด บ้านใหญ่โตมโหฬาร ไม่เคยกลับมาช่วยพ่อแม่แต่ประการใด พ่อแม่ต้องขายเอาเงินแจกลูกไป นี่เป็นกฎแห่งกรรม
ขอเจริญพรทุกคนว่า เราต้องพึ่งตนเองช่วยตัวเอง เตรียมตัวก่อนตายเสีย เตรียมสวดมนต์ภาวนา พาหุงมหากาฯ แล้วเจริญพระกรรมฐาน พระกรรมฐานแปลว่า การกระทำให้ฐานะดี ทำให้จิตใจเบิกบาน ทำให้อายุยืน ทำให้ไม่หลงทาง จะมีจิตเป็นกุศล ได้ผลอนันต์ เป็นหลักฐานสำคัญในชีวิตต่อไป ณ โอกาสข้างหน้าแน่ขอเจริญพรว่าไม่มีทางอื่น นอกเหนือจากพระกรรมฐานเท่านั้น พระกรรมฐานแก้กรรมได้แน่ ถ้าท่านทำได้
หายใจยาว ๆ เข้าไว้ อย่าหายใจสั้น จะแก้ปัญหาได้ เวลาโกรธไม่สบายใจ ให้หายใจยาว ๆ กำหนดโกรธหนอที่ลิ้นปี่ ซึ่งอยู่ระหว่างกึ่งกลางจมูกกับสะดือ เป็นการชาร์ทไฟเข้าหม้อแบตเตอรี่ หายใจยาว ๆ อย่าหายใจสั้น ถ้าหายใจสั้นท่านจะแก้ปัญหาไม่ได้ ท่านจะวูบเดียวขาดสติ หายใจช้า ๆ ช้าเพื่อไว เสียเพื่อได้ ถ้าหากท่านโกรธ อย่าให้ความโกรธค้างคืน อารมณ์ค้างจะทำให้มีปัญหาตอนเช้า ถ้าท่านเป็นครูอาจารย์จะสอนไม่ได้ดี ถ้าท่านเป็นนักธุรกิจการค้าท่านจะค้าขายไม่ดี ถ้าท่านผู้พิพากษาจะตัดสินให้เขาติดคุก ไม่มีการลดโทษแต่ประการใด ก่อให้เกิดผลเสีย
วิธีแก้ กำหนดโกรธหนอที่ลิ้นปี่ หายใจยาว ๆ ตั้งสติไว้จะหายโกรธทันที ท่านจะได้คิด ท่านจะมีโอกาสทำงานได้อีก นั่งเขียนหนังสือที่โต๊ะเกิดไม่สบายใจ กำหนด “ไม่สบายใจหนอ” ที่ลิ้นปี่เดี๋ยวนี้เลย ไม่ต้องไปวัด รับรองหายแน่ภายใน ๕ นาที และจะมีสติปัญญาครบด้วย นี่เป็นการเตรียมตัวที่ดีที่สุดในระยะที่ชีวิตใกล้จะตาย
เตรียมตัวก่อนตายด้วยการฝึกเจริญพระกรรมฐาน
คนใกล้จะตายจะมี นิมิตกรรม ขึ้นมาบอกให้เราทราบ เรียกว่า กรรมนิมิต คตินิมิต บางคนก็ชักดิ้นชักงอ บางคนก็ชกโน่นชกนี่ตลอดรายการ บางคนตาเหลือก บางคนยิ้มแย้มแจ่มใสเพราะฝึกสติปัฏฐาน ๔ เขาเตรียมตัวก่อนตายด้วยการฝึกเจริญพระกรรมฐาน ถ้าใครไม่เจริญพระกรรมฐานจะไม่มีทางแน่นอน พูดอย่างไรก็ไม่ได้ผล
อาตมาเคยประสบมาหลายครั้ง เวรกรรมตามสนอง ถ้าใครมีปาณาติบาตติดมา ๖๐ เปอร์เซ็นต์ รับรองว่าเป็นอัมพาตแน่นอน อาตมาเคยหักคอนกเมื่อตอนอยู่ชั้นมัธยม ๓ สติบอกว่า วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๒๑ เวลา ๑๒.๔๕ น. ท่านจะถูกรถชนคอหักตาย ด้วยเดชะที่เป็นพระ อาตมาคอหักแต่ไม่ตาย หายใจทางสะดือได้ ไม่ต้องรอชาติหน้า ชาตินี้เห็นทันตาแล้ว
ท่านอย่าเข้าใจผิดว่า สร้างความดีแล้วเวรกรรมไม่ตามสนอง ยิ่งสร้างความดียิ่งกรรมมาซัด มารไม่มี บารมีไม่เกิด สร้างความดีต้องมีอุปสรรค เพราะเหตุใด ต้องมีอุปสรรคแน่นอน คือ กรรมมาทวงหนี้ สร้างความดีต้องลงทุนความลำบากได้
ท่านสาธุชนทั้งหลาย อาตมาโดนคอหัก แขนหัก ฟ้าผ่าที่กุฏิ รับกรรมไปในชาตินี้ สร้างความดีกรรมมาทวงเลย ถ้าไม่สร้างกรรมดีสร้างแต่กรรมชั่ว จะไปทวงก่อนท่านตาย จะเห็นผลทันตา ตายอย่างกรรมนิมิต นิมิตที่แปลงมาบอกชัดด้วย ท่านที่ไม่ได้เจริญพระกรรมฐานจะไม่ทราบเลยนะว่ากรรมนิมิตมาแล้วจะต้องตาย
ยกตัวอย่าง โยมสุ่ม ทองยิ่ง อาตมารู้ว่าจะต้องตายภายใน ๓ ชั่วโมง เลยเทศน์ให้ฟัง เทศน์จบเขาเดินกลับกุฏิ อาเจียนออกมาเป็นเลือดแล้วก็ตาย เขาเข้าผลสมาบัติไปทันที เพราะเตรียมไว้แล้ว อาตมาเคยสอนพระกรรมฐานแก่โยมคนนี้เมื่อสมัยยังเป็นสาวอายุ ๓๘ ปี ตอนตายอายุ ๘๔ ปี ๖ เดือน เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๖
โยมสุ่มเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้าย จะต้องตาย นายแพทย์บอกว่าหลวงพ่อ ปอดหมดแล้ว อาตมาจึงรับมาอยู่ที่วัด บอกให้เจริญพระกรรมฐานต่อไปก็หายวันหายคืน เขาช่วยตัวเอง อาตมาไม่ได้ไปเสกเป่าแต่ประการใดอยู่มาได้ ๑๕ ปี หมดเวลาแล้วจะต้องเดินทางต่อไป เขาก็รู้ตัว อาตมาก็เทศน์ให้ฟังเรื่องปฐมวัย มัชฌิมวัย ปัจฉิมวัย พอ ๓ ชั่วโมง เขาก็ตายจากโลกไป
ถ้ามีกรรมติดมา เราจะรู้ได้จากการเจริญพระกรรมฐานอทินนาทานติดมา ๖๐ เปอร์เซ็นต์ จะต้องถูกปล้น ถูกไฟไหม้บ้าน โดนจี้ โดนโกง กาเมสุมิจฉาจารติดมา ๖๐ เปอร์เซ็นต์ มีสามีเป็นของเขาหมด มีภรรยามีชู้หมด มีลูกเอาดีไม่ได้ จะเสียหายทั้งครอบครัว ถ้าท่านไม่แก้
แต่ถ้าท่านมาเจริญพระกรรมฐานจะแก้กรรมนี้ได้ มุสาวาท หลอกลวงโลกหวังเอาลาภติดมา ๖๐ เปอร์เซ็นต์ ท่านจะโดนหลอกโดนโกงตลอด สุราเมรัยติดมา ๖๐ เปอร์เซ็นต์ คนนั้นจะประสาทไม่ดี จะเป็นโรคประสาท ท่านเตรียมตัวแก้กรรมก่อนตายหรือยัง ถ้าท่านไม่แก้กรรมนั้นก็ติดค้างสนองท่านไป
คติเตือนใจคำคมโดยท่าน ว.วชิรเมธี VERSION II
หลักคำสอน....คติเตือนใจคำคมโดยท่าน ว.วชิรเมธี
มีภาพที่เลือกไว้แล้ว แล้วก็มีธรรมะดีๆที่ให้แง่คิดที่งดงามกับชีวิตเลยคิดว่าถ้ามีภาพพอให้พักสายตาขณะอ่านธรรมะก็จะทำให้จิตใจค่อยซึมซับธรรมะเข้าไปได้อย่างที่เราอาจไม่รู้ตัวก็ได้ ^^
อิกคิว
ภาพประกอบ
1. คนธรรมดาทำบุญก็อยากได้บุญ คนมีปัญญาทำบุญหวังจะเกิดในภพใหม่ที่ดีกว่าเดิม แต่ชาวพุทธแท้ทำบุญเพื่อการปล่อยวางกิเลสอย่างสิ้นเชิง
2. สิ่งที่ตาเห็นอย่าเพิ่งสรุปว่ามี สิ่งที่คนยอมรับว่าดีอย่าเพิ่งบอกว่าเห็นด้วย
3. ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี
4. นักปราชญ์ตะวันตกกล่าวว่า อำนาจทำให้คนเสีย ยิ่งมีอำนาจเบ็ดเสร็จยิ่งเสียคนแบบเบ็ดเสร็จ
5. ดาบที่ดีต้องมีฝัก ความสามารถที่ดีต้องมีจริยธรรม
6. พ่อแม่ที่ดีต้องมีพรหมวิหาร 4 หน้า หน้า 1 เมตตา หน้า 2 คือ กรุณา หน้า 3 คือ มุทิตา หน้า 4 คือ อุเบกขา
7. ยามปกติเลี้ยงลูกด้วยเมตตา ยามมีปัญหาคอยช่วยเหลือด้วยกรุณา ยามลูกทำดีคอยส่งเสริมด้วยมุทิตา ยามลูกทำผิดปล่อยให้รับกรรมด้วยตัวเอง คือ อุเบกขา
8. รอยเท้าแรกที่เหยียบบนดวงจันทร์ไม่ใช่รอยเท้าของมนุษย์ แต่เป็นรอยเท้าแห่งจินตนาการ
9. การแก้กรรมคือการแก้ที่ความหลงผิด การแก้กรรมคือการเลิกทำความชั่ว ดังนั้นการแก้กรรมจึงไม่ใช่สำเร็จที่การสะเดาะเคราะห์หรือทำพิธีจากเกจิ
10. คนที่รู้เรื่องกรรมดีที่สุดคือตัวเราเอง คนที่แก้กรรมได้ดี่ที่สุดคือตัวของเรา การแก้กรรมต้องทำด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรม ไม่ใช่ด้วยพิธีกรรมแปลกๆ
11. คนขุดบ่อน้ำก็ลงต่ำอยู่ในดิน คนก่อกำแพงก็ขึ้นสูงตามกำแพงที่ก่อ ฉันนี้ฉันใดคนทั้งหลายก้เป็นเช่นนั้น จะสูงจะต่ำขึ้นอยู่กับการกระทำของตน
12. คนฉลาดชอบแกล้งโง่ คนโง่ชอบเสแสร้งว่าฉลาด ส่วนนักปราชญ์เรียนรู้ที่จะฉลาดและเรียนรู้ที่จะโง่
13. กฎแห่งกรรมไม่ต้องืวีซ่า กฎแห่งกรรมไม่ยกเว้นหน้าอินทร์หน้าพรหม กฎแห่งกรรมไม่มีวันหยุด กฎแห่งกรรมเที่ยงธรรมตลอดกาล
14. บิล เกตต์ เรียนไม่จบแต่พบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เพราะเป็นคนใฝ่เรียนรู้ด้วยตนเอง ปัญญาไม่ได้อยู่ในมหาวิทยาลัยแต่อยู่ในจิตใจที่ใฝ่รู้
15. อย่ายึดติดกับความหลัง อย่าฟังเสียงปาปมิตร (มิตรชั่ว) อย่ามัวคิดริษยา อย่าเสียเวลากับคนเลวทราม
16. คนส่วนใหญ่เรียกร้องสิทธิมนุษยชน แต่คนมีปัญญาเรียกร้องสิทธิที่จะไม่ทุกข์
17. ความไม่รู้เป็นยอดแห่งมลทิน ปัญญาเป็นยอดแห่งสิริมงคลความถ่อมตนเป็นยอดแห่งเสน่ห์
18. รถทุกคันล้วนมีเบรก รถทุกคันล้วนมีท่อไอเสีย คนทุกคนต้องมีเบรกคือสติ ต้องมีท่อไอเสียคือการปล่อยวาง
19. ความทุกข์ไม่เคยยึดติดเรา มีแต่เราต่างหากที่ยึดติดความทุกข์ ความสุขไม่เคยไปจากใจเรา มีแต่เราต่างหากที่ไม่เคยถนอมมันไว้ในใจของเรา
20. ยศ ทรัพย์ อำนาจเป็นเพียงมรรควิธีที่ทำให้ชีวิตนี้มีประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ โปรดอย่าเข้าใจผิดว่าเป็นเป้าหมายในการเกิดเป็นมนุ๋ย์
21. ทำผิดแล้วรู้สึกผิดต่อไปจะเป็นคนดี ทำผิดแล้วรู้สึกว่าเป็นความดีกาลกิณีจะเกิดขึ้นในไม่ช้า
22. ที่สุดของความรักคือรักโดยไม่ครอบครอง ที่สุดของการให้คือให้โดยไม่หวังผล ที่สุดของทานคืออภัยทาน ที่สุดของคนคือการเป็นคนธรรมดาที่มีความสุข
23. ความรักไม่เคยทำให้ใครทุกข์ การไม่รู้จักธรรมชาติของความรักต่างหากที่ทำให้เกิดทุกข์ ธรรมชาติของความรักคือเกิดขึ้นในเบื้องต้น ดำรงอยู่ในท่ามกลาง และแตกดับไปในที่สุด
24. โลกนี้มีผี 6 ตัวที่น่ากลัวกว่าผีไหนๆ 1 ผีสุรา 2ผีเที่ยวกลางคืน 3. ผีมหรสพ (ติดใจในความบันเทิงจนเกินพอดี) 4 ผีการพนัน 5 ผีคบคนชั่วเป็นมิตร (คนชั่วอยู่ไหนชอบเถลไถลไปสนิทสนม) 6 ผีขี้เกียจ ผี 6 ตัวนี้ต้องปราบด้วยปฏิบัติธรรม
มีภาพที่เลือกไว้แล้ว แล้วก็มีธรรมะดีๆที่ให้แง่คิดที่งดงามกับชีวิตเลยคิดว่าถ้ามีภาพพอให้พักสายตาขณะอ่านธรรมะก็จะทำให้จิตใจค่อยซึมซับธรรมะเข้าไปได้อย่างที่เราอาจไม่รู้ตัวก็ได้ ^^
อิกคิว
ภาพประกอบ
1. คนธรรมดาทำบุญก็อยากได้บุญ คนมีปัญญาทำบุญหวังจะเกิดในภพใหม่ที่ดีกว่าเดิม แต่ชาวพุทธแท้ทำบุญเพื่อการปล่อยวางกิเลสอย่างสิ้นเชิง
2. สิ่งที่ตาเห็นอย่าเพิ่งสรุปว่ามี สิ่งที่คนยอมรับว่าดีอย่าเพิ่งบอกว่าเห็นด้วย
3. ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี
4. นักปราชญ์ตะวันตกกล่าวว่า อำนาจทำให้คนเสีย ยิ่งมีอำนาจเบ็ดเสร็จยิ่งเสียคนแบบเบ็ดเสร็จ
5. ดาบที่ดีต้องมีฝัก ความสามารถที่ดีต้องมีจริยธรรม
6. พ่อแม่ที่ดีต้องมีพรหมวิหาร 4 หน้า หน้า 1 เมตตา หน้า 2 คือ กรุณา หน้า 3 คือ มุทิตา หน้า 4 คือ อุเบกขา
7. ยามปกติเลี้ยงลูกด้วยเมตตา ยามมีปัญหาคอยช่วยเหลือด้วยกรุณา ยามลูกทำดีคอยส่งเสริมด้วยมุทิตา ยามลูกทำผิดปล่อยให้รับกรรมด้วยตัวเอง คือ อุเบกขา
8. รอยเท้าแรกที่เหยียบบนดวงจันทร์ไม่ใช่รอยเท้าของมนุษย์ แต่เป็นรอยเท้าแห่งจินตนาการ
9. การแก้กรรมคือการแก้ที่ความหลงผิด การแก้กรรมคือการเลิกทำความชั่ว ดังนั้นการแก้กรรมจึงไม่ใช่สำเร็จที่การสะเดาะเคราะห์หรือทำพิธีจากเกจิ
10. คนที่รู้เรื่องกรรมดีที่สุดคือตัวเราเอง คนที่แก้กรรมได้ดี่ที่สุดคือตัวของเรา การแก้กรรมต้องทำด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรม ไม่ใช่ด้วยพิธีกรรมแปลกๆ
11. คนขุดบ่อน้ำก็ลงต่ำอยู่ในดิน คนก่อกำแพงก็ขึ้นสูงตามกำแพงที่ก่อ ฉันนี้ฉันใดคนทั้งหลายก้เป็นเช่นนั้น จะสูงจะต่ำขึ้นอยู่กับการกระทำของตน
12. คนฉลาดชอบแกล้งโง่ คนโง่ชอบเสแสร้งว่าฉลาด ส่วนนักปราชญ์เรียนรู้ที่จะฉลาดและเรียนรู้ที่จะโง่
13. กฎแห่งกรรมไม่ต้องืวีซ่า กฎแห่งกรรมไม่ยกเว้นหน้าอินทร์หน้าพรหม กฎแห่งกรรมไม่มีวันหยุด กฎแห่งกรรมเที่ยงธรรมตลอดกาล
14. บิล เกตต์ เรียนไม่จบแต่พบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เพราะเป็นคนใฝ่เรียนรู้ด้วยตนเอง ปัญญาไม่ได้อยู่ในมหาวิทยาลัยแต่อยู่ในจิตใจที่ใฝ่รู้
15. อย่ายึดติดกับความหลัง อย่าฟังเสียงปาปมิตร (มิตรชั่ว) อย่ามัวคิดริษยา อย่าเสียเวลากับคนเลวทราม
16. คนส่วนใหญ่เรียกร้องสิทธิมนุษยชน แต่คนมีปัญญาเรียกร้องสิทธิที่จะไม่ทุกข์
17. ความไม่รู้เป็นยอดแห่งมลทิน ปัญญาเป็นยอดแห่งสิริมงคลความถ่อมตนเป็นยอดแห่งเสน่ห์
18. รถทุกคันล้วนมีเบรก รถทุกคันล้วนมีท่อไอเสีย คนทุกคนต้องมีเบรกคือสติ ต้องมีท่อไอเสียคือการปล่อยวาง
19. ความทุกข์ไม่เคยยึดติดเรา มีแต่เราต่างหากที่ยึดติดความทุกข์ ความสุขไม่เคยไปจากใจเรา มีแต่เราต่างหากที่ไม่เคยถนอมมันไว้ในใจของเรา
20. ยศ ทรัพย์ อำนาจเป็นเพียงมรรควิธีที่ทำให้ชีวิตนี้มีประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ โปรดอย่าเข้าใจผิดว่าเป็นเป้าหมายในการเกิดเป็นมนุ๋ย์
21. ทำผิดแล้วรู้สึกผิดต่อไปจะเป็นคนดี ทำผิดแล้วรู้สึกว่าเป็นความดีกาลกิณีจะเกิดขึ้นในไม่ช้า
22. ที่สุดของความรักคือรักโดยไม่ครอบครอง ที่สุดของการให้คือให้โดยไม่หวังผล ที่สุดของทานคืออภัยทาน ที่สุดของคนคือการเป็นคนธรรมดาที่มีความสุข
23. ความรักไม่เคยทำให้ใครทุกข์ การไม่รู้จักธรรมชาติของความรักต่างหากที่ทำให้เกิดทุกข์ ธรรมชาติของความรักคือเกิดขึ้นในเบื้องต้น ดำรงอยู่ในท่ามกลาง และแตกดับไปในที่สุด
24. โลกนี้มีผี 6 ตัวที่น่ากลัวกว่าผีไหนๆ 1 ผีสุรา 2ผีเที่ยวกลางคืน 3. ผีมหรสพ (ติดใจในความบันเทิงจนเกินพอดี) 4 ผีการพนัน 5 ผีคบคนชั่วเป็นมิตร (คนชั่วอยู่ไหนชอบเถลไถลไปสนิทสนม) 6 ผีขี้เกียจ ผี 6 ตัวนี้ต้องปราบด้วยปฏิบัติธรรม
อุปสรรคของชีวิต
เมื่อชีวิตเผชิญอุปสรรค
ต้องรู้จักว่านั่นเป็นธรรมดาของชีวิต
อย่าหวั่นไหว เมื่อเจออุปสรรค
เพราะอุปสรรคช่วยสร้างประสิทธิภาพ
ปัจจัยของความสำเร็จอันน่าภาคภูมิใจ
ไม่มีอะไรเกินกว่าอุปสรรค
ผู้ที่ไม่เคยต่อสู้กับอุปสรรค
ไฉนจะรู้จักความสามารถที่แท้จริงของตนได้
ก้อนหินน้อยขวางทางข้ามได้ก็ข้ามไป
ก้อนหินใหญ่ขวางทางเขยื้อนได้เขยื้อนไป
ภูเขาใหญ่ขวางทาง ถ้าต้องไปก็อ้อมไป
ผู้ที่สู้กับอุปสรรคที่ต้องหลีก
และผู้ท้อแท้ต่ออุปสรรคที่ต้องสู้
คือผู้หันหลังให้กับความจริง
และปิดหนทางแห่งความชอบธรรมเสียสิ้น
ที่เรามีปัญหา
แล้วเป็นทุกข์
ก็เพราะเรา
มัวคิดว่ามันเป็นปัญหา
มากกว่าคิดถึงการลงมือแก้ไข
ต้องรู้จักว่านั่นเป็นธรรมดาของชีวิต
อย่าหวั่นไหว เมื่อเจออุปสรรค
เพราะอุปสรรคช่วยสร้างประสิทธิภาพ
ปัจจัยของความสำเร็จอันน่าภาคภูมิใจ
ไม่มีอะไรเกินกว่าอุปสรรค
ผู้ที่ไม่เคยต่อสู้กับอุปสรรค
ไฉนจะรู้จักความสามารถที่แท้จริงของตนได้
ก้อนหินน้อยขวางทางข้ามได้ก็ข้ามไป
ก้อนหินใหญ่ขวางทางเขยื้อนได้เขยื้อนไป
ภูเขาใหญ่ขวางทาง ถ้าต้องไปก็อ้อมไป
ผู้ที่สู้กับอุปสรรคที่ต้องหลีก
และผู้ท้อแท้ต่ออุปสรรคที่ต้องสู้
คือผู้หันหลังให้กับความจริง
และปิดหนทางแห่งความชอบธรรมเสียสิ้น
ที่เรามีปัญหา
แล้วเป็นทุกข์
ก็เพราะเรา
มัวคิดว่ามันเป็นปัญหา
มากกว่าคิดถึงการลงมือแก้ไข
พิทักษ์สิทธิสมาชิกครอบครัวครบหน้าเทศกาลสงกรานต์ โดย ภาณุเบศร์ มหาเรือนขวัญ
หนึ่งทุกข์ร้อนตลอดปีที่จะทะลุจุดเดือดในเดือนร้อนสุด คือ อุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่แต่ละปีจะมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ทั้งๆ ที่การรณรงค์ป้องกันอุบัติเหตุก็เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ และได้รับการขานรับจากภาคส่วนต่างๆ ทางสังคมในเชิงบูรณาการกันทำงานมากขึ้นด้วยเช่นกัน
กระนั้นการบาดเจ็บล้มตายก็กลายเป็นข่าวคราวสะเทือนใจทางสื่อมวลชนเสมอมา เมื่อสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุทางถนนในห้วงวันครอบครัวในปี 2554 ก็ยังคงเป็นเมาสุราสูงถึงร้อยละ 38.76 ขับรถเร็วเกินกำหนดร้อยละ 20.53 มอเตอร์ไซค์ไม่ปลอดภัยร้อยละ 15.65 และตัดหน้ากระชั้นชิดร้อยละ 13.72
วันครอบครัวซึ่งตรงกับวันสงกรานต์เพราะเป็นห้วงยามที่สมาชิกครอบครัวได้มีโอกาสพบปะสังสรรค์กัน สำหรับหลายครอบครัวจึงกลายเป็น ‘วันจำพรากจากลา’ เสียมากกว่า เนื่องจากว่าสมาชิกบางคนที่เดินทางกลับบ้านเกิดภูมิลำเนาต้องกลับบ้านเก่าหรือไม่ก็โรงพยาบาลกันแทนที่ ดังสงกรานต์เลือดปีนี้ที่มีผู้เสียชีวิต 271 คน บาดเจ็บ (Admit) 3,476 คน จากอุบัติเหตุทั้งสิ้น 3,215 ครั้งตลอดทั้ง 7 วันอันตราย
ทั้งนี้ถึงแม้ตัวเลขความสูญเสียในช่วงการรณรงค์ 11-17 เมษายน 2554 จะลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าในจำนวนที่มากกว่าร้อยละ 5 ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ คืออุบัติเหตุลดลง 301 ครั้ง (ร้อยละ 8.56) ผู้เสียชีวิตลดลง 90 คน (ร้อยละ 24.93) และบาดเจ็บ (Admit) ลดลง 326 คน (ร้อยละ 8.57)
หากแต่ถ้าพินิจตัวเลขความสูญเสียและจำนวนคดีตามมาตรการลดพฤติกรรมเสี่ยง 10 มาตรการ ที่ภาพรวมมีผู้ถูกดำเนินคดีเพิ่มขึ้นถึง 145,244 ราย (ร้อยละ 28.96) เทียบกับการระดมสรรพกำลังและงบประมาณตามแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์โดยศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) ที่มีการใช้เจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่ถึง 193,327 คน อปพร.อีก 80,654 คน และหน่วยงานอื่นๆ อีกมากตลอด 7 วันอันตราย กลับพบว่ายังไม่อาจบรรเทาทุกข์ร้อนของครอบครัวไทยได้
ดังนั้น เทศกาลความสุขโสมนัสจึงยังคงก่อตัวเป็นทุกข์โทมนัสสาหัสสำหรับครอบครัวไทย ตราบใดที่ไม่อาจลดทอน 10 พฤติกรรมเสี่ยงได้ในทางปฏิบัติ ไม่ให้เป็นเช่นดังปีนี้ที่พฤติกรรมเสี่ยงสูงขึ้นจากปีก่อนหน้าทุกด้าน ทั้ง 1) ไม่สวมหมวกนิรภัยเพิ่มขึ้น 43,145 ราย (ร้อยละ 27) รวมเป็น 202,956 ราย 2) ไม่มีใบขับขี่เพิ่มขึ้น 43,241 ราย (ร้อยละ 28.96) รวมเป็น 192,535 ราย 3) ไม่คาดเข็มขัดนิรภัยเพิ่มขึ้น 23,096 ราย (ร้อยละ 37.92) รวมเป็น 84,008 ราย 4) มอเตอร์ไซค์ไม่ปลอดภัยเพิ่มขึ้น 13,713 ราย (ร้อยละ 27.41) รวมเป็น 63,741 ราย 5) ขับรถเร็วเกินกำหนดเพิ่มขึ้น 2,743 ราย (ร้อยละ 13.43) รวมเป็น 23,166 ราย
6) ขับรถย้อนศรเพิ่มขึ้น 1,780 ราย (ร้อยละ 9.17) รวมเป็น 21,190 ราย 7) ฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจรเพิ่มขึ้น 5,576 ราย (ร้อยละ 38.36) รวมเป็น 20,112 ราย 8) ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ขณะขับรถเพิ่มขึ้น 5,007 ราย (ร้อยละ 58.06) รวมเป็น 13,631 ราย 9) เมาสุราเพิ่มขึ้น 2,903 ราย (ร้อยละ 29.17) รวมเป็น 12,855 ราย และ 10) แซงในที่คับขันเพิ่มขึ้น 4,040 ราย (ร้อยละ 46.96) รวมเป็น 12,643 ราย
ภายในการเท่าทวีด้านตัวเลขหลักพันถึงครึ่งแสนเช่นนี้ชี้ชัดว่าถ้าปรารถนาจะให้วันครอบครัวอวลอุ่นสุขสันต์จากการครบหน้าสมาชิก ไม่ให้ครอบครัวใดต้องกล้ำกลืนกับการขาดสมาชิกในภาพถ่ายที่จะจัดเก็บใส่อัลบั้มหรือติดฝาผนังในปีถัดไป รัฐจักต้องเพิ่มความเข้มข้นในการบังคับใช้กฎหมายมากขึ้น (Law enforcement) เพราะการบัญญัติกฎหมายที่ดีจะทำให้การบังคับใช้มีประสิทธิภาพ และการไม่เลือกปฏิบัติทั้ง 10 มาตรการ (3ม 2ข 1ร + 4) ของเจ้าหน้าที่รัฐจักทำให้ความปลอดภัยในชีวิตประชาชนสูงขึ้นด้วย
ด้วย 10 พฤติกรรมเสี่ยงเหล่านี้มีแค่การไม่สวมหมวกนิรภัยและไม่คาดเข็มขัดนิรภัยที่อาจถือได้ว่าเป็น ‘อันตรายระดับปัจเจก’ แต่ 8 พฤติกรรมเสี่ยงที่เหลือไล่ตั้งแต่ไม่มีใบขับขี่ มอเตอร์ไซค์ไม่ปลอดภัย ใช้มือถือ ฝ่าฝืนสัญญาณไฟ ไปจนถึงขับรถย้อนศร ขับรถเร็วเกินกำหนดและเมาแล้วขับ ล้วนแต่กระทบโดยตรงต่อผู้ใช้ถนนอื่นจนถือได้ว่าเป็น ‘อันตรายสาธารณะ’ เพราะนำอันตรายร้ายแรงมาสู่ครอบครัวคนอื่น
การบังคับใช้กฎหมายเพื่อป้องกันอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์จึงเป็นการสร้างเสริมความอบอุ่นเข้มแข็งของครอบครัว ควบคู่กับสามารถที่จะพิทักษ์สิทธิในการมีสมาชิกครอบครัวครบหน้าแม้ต้องเดินทางท่ามกลางความคับคั่งของการจราจรกลับถิ่นเกิดเพื่อกระชับความสัมพันธ์ให้เป็นปึกแผ่นของสถาบันทางสังคมที่เล็กที่สุดที่เวียนมาทุกวันที่ 14 เมษายนด้วย เพราะจะทำให้ในปีถัดไปไม่มีความสูญเสียมากเหมือนดังวันครอบครัวปีนี้ที่มีผู้เสียชีวิตถึง 32 คน บาดเจ็บ (Admit) 556 คน โดยช่วงวัยแรงงานอายุ 20-49 ปีเสียชีวิตสูงสุด รองลงมาอายุต่ำกว่า 20 ปี ที่สำคัญพิการทั้งทางกายและใจตามมามากมาย
สถิติตายและบาดเจ็บที่ลดลงของปีนี้จึงไม่อาจสะท้อนความจริงร้ายแรงของสถานการณ์อุบัติเหตุไทย เทศกาลสงกรานต์คงคับคั่งด้วยเด็กไม่สวมหมวกนิรภัยขับมอเตอร์ไซค์ วัยรุ่นเมาแล้วขับรถกระบะเล่นน้ำ ร้านค้าลักลอบขายสุราบนถนนปลอดสุรากลางเมืองท่องเที่ยว เรื่อยเลยถึงขับเร็วเกินกำหนด แซงคับขัน และเมาแล้วขับ กระทั่งเป็นเหตุให้อุบัติเหตุเกิดบนถนนทุกประเภทไม่จำกัดว่าเป็นทางตรง โค้ง หรือแยก ทั้งทิวาและราตรี โดยช่วง 16.01-20.00 น. หลังเล่นสงกรานต์มาอย่างหนักจะเกิดอุบัติเหตุสูงสุด
การจะอยู่ครบหน้าสมาชิกของหลายครอบครัวช่วงเทศกาลความสุขสงกรานต์จึงพร่องขาดจากพฤติกรรมเสี่ยงของกลุ่มคนที่ไม่เคารพสิทธิในชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่น รวมทั้งยังทำให้ผู้สูงอายุที่รอการเยี่ยมเยือนเพียงปีละครั้งต้องตรอมตรมจากการจากลาก่อนเวลาของลูกหลาน
มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) www.thainhf.org
กระนั้นการบาดเจ็บล้มตายก็กลายเป็นข่าวคราวสะเทือนใจทางสื่อมวลชนเสมอมา เมื่อสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุทางถนนในห้วงวันครอบครัวในปี 2554 ก็ยังคงเป็นเมาสุราสูงถึงร้อยละ 38.76 ขับรถเร็วเกินกำหนดร้อยละ 20.53 มอเตอร์ไซค์ไม่ปลอดภัยร้อยละ 15.65 และตัดหน้ากระชั้นชิดร้อยละ 13.72
วันครอบครัวซึ่งตรงกับวันสงกรานต์เพราะเป็นห้วงยามที่สมาชิกครอบครัวได้มีโอกาสพบปะสังสรรค์กัน สำหรับหลายครอบครัวจึงกลายเป็น ‘วันจำพรากจากลา’ เสียมากกว่า เนื่องจากว่าสมาชิกบางคนที่เดินทางกลับบ้านเกิดภูมิลำเนาต้องกลับบ้านเก่าหรือไม่ก็โรงพยาบาลกันแทนที่ ดังสงกรานต์เลือดปีนี้ที่มีผู้เสียชีวิต 271 คน บาดเจ็บ (Admit) 3,476 คน จากอุบัติเหตุทั้งสิ้น 3,215 ครั้งตลอดทั้ง 7 วันอันตราย
ทั้งนี้ถึงแม้ตัวเลขความสูญเสียในช่วงการรณรงค์ 11-17 เมษายน 2554 จะลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าในจำนวนที่มากกว่าร้อยละ 5 ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ คืออุบัติเหตุลดลง 301 ครั้ง (ร้อยละ 8.56) ผู้เสียชีวิตลดลง 90 คน (ร้อยละ 24.93) และบาดเจ็บ (Admit) ลดลง 326 คน (ร้อยละ 8.57)
หากแต่ถ้าพินิจตัวเลขความสูญเสียและจำนวนคดีตามมาตรการลดพฤติกรรมเสี่ยง 10 มาตรการ ที่ภาพรวมมีผู้ถูกดำเนินคดีเพิ่มขึ้นถึง 145,244 ราย (ร้อยละ 28.96) เทียบกับการระดมสรรพกำลังและงบประมาณตามแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์โดยศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) ที่มีการใช้เจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่ถึง 193,327 คน อปพร.อีก 80,654 คน และหน่วยงานอื่นๆ อีกมากตลอด 7 วันอันตราย กลับพบว่ายังไม่อาจบรรเทาทุกข์ร้อนของครอบครัวไทยได้
ดังนั้น เทศกาลความสุขโสมนัสจึงยังคงก่อตัวเป็นทุกข์โทมนัสสาหัสสำหรับครอบครัวไทย ตราบใดที่ไม่อาจลดทอน 10 พฤติกรรมเสี่ยงได้ในทางปฏิบัติ ไม่ให้เป็นเช่นดังปีนี้ที่พฤติกรรมเสี่ยงสูงขึ้นจากปีก่อนหน้าทุกด้าน ทั้ง 1) ไม่สวมหมวกนิรภัยเพิ่มขึ้น 43,145 ราย (ร้อยละ 27) รวมเป็น 202,956 ราย 2) ไม่มีใบขับขี่เพิ่มขึ้น 43,241 ราย (ร้อยละ 28.96) รวมเป็น 192,535 ราย 3) ไม่คาดเข็มขัดนิรภัยเพิ่มขึ้น 23,096 ราย (ร้อยละ 37.92) รวมเป็น 84,008 ราย 4) มอเตอร์ไซค์ไม่ปลอดภัยเพิ่มขึ้น 13,713 ราย (ร้อยละ 27.41) รวมเป็น 63,741 ราย 5) ขับรถเร็วเกินกำหนดเพิ่มขึ้น 2,743 ราย (ร้อยละ 13.43) รวมเป็น 23,166 ราย
6) ขับรถย้อนศรเพิ่มขึ้น 1,780 ราย (ร้อยละ 9.17) รวมเป็น 21,190 ราย 7) ฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจรเพิ่มขึ้น 5,576 ราย (ร้อยละ 38.36) รวมเป็น 20,112 ราย 8) ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ขณะขับรถเพิ่มขึ้น 5,007 ราย (ร้อยละ 58.06) รวมเป็น 13,631 ราย 9) เมาสุราเพิ่มขึ้น 2,903 ราย (ร้อยละ 29.17) รวมเป็น 12,855 ราย และ 10) แซงในที่คับขันเพิ่มขึ้น 4,040 ราย (ร้อยละ 46.96) รวมเป็น 12,643 ราย
ภายในการเท่าทวีด้านตัวเลขหลักพันถึงครึ่งแสนเช่นนี้ชี้ชัดว่าถ้าปรารถนาจะให้วันครอบครัวอวลอุ่นสุขสันต์จากการครบหน้าสมาชิก ไม่ให้ครอบครัวใดต้องกล้ำกลืนกับการขาดสมาชิกในภาพถ่ายที่จะจัดเก็บใส่อัลบั้มหรือติดฝาผนังในปีถัดไป รัฐจักต้องเพิ่มความเข้มข้นในการบังคับใช้กฎหมายมากขึ้น (Law enforcement) เพราะการบัญญัติกฎหมายที่ดีจะทำให้การบังคับใช้มีประสิทธิภาพ และการไม่เลือกปฏิบัติทั้ง 10 มาตรการ (3ม 2ข 1ร + 4) ของเจ้าหน้าที่รัฐจักทำให้ความปลอดภัยในชีวิตประชาชนสูงขึ้นด้วย
ด้วย 10 พฤติกรรมเสี่ยงเหล่านี้มีแค่การไม่สวมหมวกนิรภัยและไม่คาดเข็มขัดนิรภัยที่อาจถือได้ว่าเป็น ‘อันตรายระดับปัจเจก’ แต่ 8 พฤติกรรมเสี่ยงที่เหลือไล่ตั้งแต่ไม่มีใบขับขี่ มอเตอร์ไซค์ไม่ปลอดภัย ใช้มือถือ ฝ่าฝืนสัญญาณไฟ ไปจนถึงขับรถย้อนศร ขับรถเร็วเกินกำหนดและเมาแล้วขับ ล้วนแต่กระทบโดยตรงต่อผู้ใช้ถนนอื่นจนถือได้ว่าเป็น ‘อันตรายสาธารณะ’ เพราะนำอันตรายร้ายแรงมาสู่ครอบครัวคนอื่น
การบังคับใช้กฎหมายเพื่อป้องกันอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์จึงเป็นการสร้างเสริมความอบอุ่นเข้มแข็งของครอบครัว ควบคู่กับสามารถที่จะพิทักษ์สิทธิในการมีสมาชิกครอบครัวครบหน้าแม้ต้องเดินทางท่ามกลางความคับคั่งของการจราจรกลับถิ่นเกิดเพื่อกระชับความสัมพันธ์ให้เป็นปึกแผ่นของสถาบันทางสังคมที่เล็กที่สุดที่เวียนมาทุกวันที่ 14 เมษายนด้วย เพราะจะทำให้ในปีถัดไปไม่มีความสูญเสียมากเหมือนดังวันครอบครัวปีนี้ที่มีผู้เสียชีวิตถึง 32 คน บาดเจ็บ (Admit) 556 คน โดยช่วงวัยแรงงานอายุ 20-49 ปีเสียชีวิตสูงสุด รองลงมาอายุต่ำกว่า 20 ปี ที่สำคัญพิการทั้งทางกายและใจตามมามากมาย
สถิติตายและบาดเจ็บที่ลดลงของปีนี้จึงไม่อาจสะท้อนความจริงร้ายแรงของสถานการณ์อุบัติเหตุไทย เทศกาลสงกรานต์คงคับคั่งด้วยเด็กไม่สวมหมวกนิรภัยขับมอเตอร์ไซค์ วัยรุ่นเมาแล้วขับรถกระบะเล่นน้ำ ร้านค้าลักลอบขายสุราบนถนนปลอดสุรากลางเมืองท่องเที่ยว เรื่อยเลยถึงขับเร็วเกินกำหนด แซงคับขัน และเมาแล้วขับ กระทั่งเป็นเหตุให้อุบัติเหตุเกิดบนถนนทุกประเภทไม่จำกัดว่าเป็นทางตรง โค้ง หรือแยก ทั้งทิวาและราตรี โดยช่วง 16.01-20.00 น. หลังเล่นสงกรานต์มาอย่างหนักจะเกิดอุบัติเหตุสูงสุด
การจะอยู่ครบหน้าสมาชิกของหลายครอบครัวช่วงเทศกาลความสุขสงกรานต์จึงพร่องขาดจากพฤติกรรมเสี่ยงของกลุ่มคนที่ไม่เคารพสิทธิในชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่น รวมทั้งยังทำให้ผู้สูงอายุที่รอการเยี่ยมเยือนเพียงปีละครั้งต้องตรอมตรมจากการจากลาก่อนเวลาของลูกหลาน
มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) www.thainhf.org
"มหกรรมท่องเที่ยวนครปฐม" : 30 เม.ย.-2 พ.ค. 54 ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย จ.นครปฐม
"มหกรรมท่องเที่ยวนครปฐม" : 30 เม.ย.-2 พ.ค. 54 ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย จ.นครปฐม ภายใต้คอนเซ็ปมาทีเดียวเหมือนเที่ยวทั้งจังหวัด มีการออกร้านของผู้ประกอบการแหล่งท่องเที่ยวและที่พักต่างๆ การแสดงดนตรีลูกทุ่ง พื้นบ้าน ดนตรีโปงลาง อาหารยอดนิยม สาธิตการทำสินค้าของฝากขึ้นชื่อ บริการรถรางนำเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆฟรีวันละ 3 รอบ สอบถามได้ที่ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย โทร. 0-3433-2607 หรือ สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดนครปฐม โทร. 0-3434-0065-6
หมายเหตุ...ก่อนการเลือกตั้ง 2554 โดย สำราญ รอดเพชร
เขาจะเลือกตั้งกันแล้ว ทำไมพรรคการเมืองใหม่ยังเงียบเป็นเป่าสาก ตกลงเอายังไง
- ก็ไม่ได้เงียบซะทีเดียวนะ ทางเวทีชุมนุมก็พูดถึงออกบ่อย พรรค, คนของพรรคก็แถลงข่าวให้ความเห็นผ่านสื่ออยู่บ้าง แต่ยอมรับว่าพรรคยังไม่มีคำตอบสุดท้ายเรื่องการเลือกตั้ง เรื่องการส่งผู้สมัคร ทีนี้ถามว่าจะเอายังไง ก็ต้องบอกว่าคำตอบสุดท้ายอยู่ที่วันอาทิตย์ที่ 24 เม.ย. นี้ ที่สมาคมจีนโผวเล้ง สาธุประดิษฐ์ ซึ่งจะเป็นการประชุมใหญ่สามัญประจำปีตามกฎหมายพรรคการเมือง หลังวาระปกติตามกฎหมายแล้วก็จะให้สมาชิกพรรคที่เข้าประชุมลงมติว่าพรรคควรจะส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งทั่วไปหนนี้หรือไม่
ที่ผ่านมาพรรคไม่เคยมีมติเรื่องส่งผู้สมัครเลยหรือ
- ยังไม่มี วันที่ 22 มี.ค.ที่ผ่านมา เคยมีการรับฟังความคิดเห็นจากตัวแทนสาขาพรรค ศูนย์ประสานงานพรรค 20 กว่าแห่งจากทั่วประเทศ ส่วนใหญ่ 90 กว่าเปอร์เซ็นต์เห็นว่าควรจะส่งผู้สมัคร ต่อมาวันที่ 5 เม.ย.ในการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค หัวหน้าพรรคก็เปิดโอกาสให้คณะกรรมการบริหารพรรคแสดงความเห็นว่าใครคิดยังไง เป็นการเปิดความรู้สึกนึกคิดส่วนตัวไม่ใช่การลงมติ ซึ่งก็มีความเห็นเป็นสองทางสามทาง
บางท่านบอกว่าควรเดินหน้าส่งผู้สมัครแม้จะสวนทางกับมติหรือความเห็นของเวทีการชุมนุม บางท่านบอกว่าควรเว้นวรรคหรืองดส่งควรเดินแนวทางเดียวกับเวทีชุมนุมเพื่อรักษาขบวนใหญ่เอาไว้ บางท่านก็บอกว่าอะไรก็ได้แต่ต้องรักษามวลชนทุกส่วนเอาไว้ แต่จุดร่วมของแทบทุกคนก็คือเห็นว่าในฐานะที่เราเป็นพรรคแนวทางมวลชน เป็นแมส ปาร์ตี้ สมาชิกพรรคเป็นเจ้าของพรรคจริงๆ ก็ควรให้สมาชิกพรรคตัดสินใจในวันประชุมใหญ่ เพราะสมาชิกพรรคมีความเห็นต่างกันมากและจำนวนไม่น้อยที่เร่าร้อนอยากแสดงความเห็นหรือมีส่วนร่วมในการตัดสินใจครั้งนี้
แล้วส่วนตัวคุณในฐานะรองหัวหน้าพรรค/โฆษกพรรค วันนั้นมีความเห็นอย่างไร
- ผมก็บอกกับที่ประชุมว่า แม้โดยส่วนลึกส่วนตัวอยากลงเลือกตั้ง อยากทำงานการเมือง แต่ถ้าลงสมัครรับเลือกตั้งแล้วต้องทำให้พี่น้องประชาชนของเราในนามพันธมิตรฯ ต้องแตกแยกฟาดฟันต่อสู้กันผมไม่สบายใจ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้เว้นวรรค เราต้องเอามวลชนเป็นตัวตั้งก่อน คือ ไม่ว่าเราจะส่งหรือไม่ส่งมันเจ็บปวดทั้งนั้น ผมก็พูดทำนองนั้น แต่ก็บอกว่าต้องให้สมาชิกพรรคตัดสินวันที่ 24 เม.ย.
คุณสมศักดิ์ โกศัยสุข หัวหน้าพรรค คุณสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรคว่าไง
- คุณสมศักดิ์เป็นประธานที่ประชุมก็ไม่ได้แสดงความเห็นอะไร คุณสุริยะใสก็แสดงความเห็นในทิศทางเดียวกับผม ก็บอกว่าไม่ว่าไปทางไหนเจ็บปวดทั้งนั้น แต่ทำยังไงไม่ให้พี่น้องแตกแยก และพรรคก็ต้องไม่บอบช้ำจนเกินไป ต้องรักษาขบวนใหญ่เอาไว้ด้วย เพราะไม่ว่าวันนี้จะเป็นยังไงก็ตาม แต่ประวัติศาสตร์ที่มาของพรรคก็คือพี่น้องพันธมิตรฯ วันนี้พี่น้องของเราจำนวนไม่น้อยก็เสียสละนั่งอยู่หน้าเวที
พอจะคาดหมายได้ไหมว่า วันที่ 24 เม.ย.สมาชิกพรรคจะโหวตไปทางไหน ส่ง-ไม่ส่ง
- ผมก็มีความคาดหมายของผมได้ แต่ไม่อยากจะพูดชี้นำอะไรไป ผมยังเชื่อว่าแม้สมาชิกพรรคจะมีความหลากหลาย มีความเห็นต่าง แต่สุดท้ายทุกคนก็มีวุฒิภาวะ ยึดเอาผลประโยชน์บ้านเมือง ผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก
เคยมีคำกล่าวว่า “ไม่มีคำว่า ประนีประนอมในเรื่องของ..สงคราม ความรัก และการเมือง” วันนี้คุณสำราญน่าจะตาสว่าง...
- คำกล่าวที่ว่าจริงบ้างในบางครั้งเท่านั้นนะ ไม่ใช่สัจธรรมอะไรที่ไหน ยังไงๆ พี่น้องพันธมิตรฯ ก็น่ารักน่าเคารพ ยิ่งพันธมิตรฯ ที่เป็นสมาชิกพรรคถึงที่สุดก็ใจกว้างรับฟังความเห็นต่างกันได้
ถ้าวันนี้ไม่มีคำว่า “โหวต โน” น่าจะทำให้พรรคการเมืองใหม่ราบรื่นกว่านี้ไหม
- ก็ยอมรับว่าน่าจะราบรื่นกว่านี้นะ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรการเลือกตั้งภายใต้กติกา สภาพการณ์การเมืองในวันนี้พรรคเล็กๆ อย่างการเมืองใหม่ หรือพรรคอื่นๆ ที่เดินแนวทางมวลชน อย่างเช่นพรรคธรรมาภิบาลสังคม พรรคเพื่อฟ้าดิน ก็เหนื่อยรากเลือดทั้งนั้น
ทางพรรคคุยกันเรื่อง “โหวต โน” บ้างไหม
- ก็คุยกันบ้าง ความเห็นก็ยังต่างกัน มันก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่นำไปสู่การตัดสินใจในวันที่ 24 เม.ย.
ในฐานะนักวิเคราะห์ข่าวเก่า คุณสำราญเชื่อว่าจะมีการยุบสภา มีการเลือกตั้งหรือเปล่า...ฟันธง..
- ก็ต้องฟันธงว่ามีเลือกตั้งนะ ถ้านายกฯ อภิสิทธิ์ไม่ยุบสภา หรือพยายามยืดเวลาเลือกตั้งก็มีแต่เสียคนเสียรังวัด ตอนนี้ก็เสียรังวัดไปหลายเรื่องแล้วคงไม่อยากเสียอีก แต่ลึกๆ คุณอภิสิทธิ์ พรรคประชาธิปัตย์ยังเชื่อว่าหลังเลือกตั้งพวกเขาจะกลับมาเป็นนายกฯ เป็นรัฐบาลอีก แต่ผมยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นยังงั้นซะทีเดียว
มีการวิจารณ์กันมากการ “โหวต โน” จะเป็นแนวร่วมมุมกลับให้ระบอบทักษิณ เข้าทางพรรคเพื่อไทย คุณคิดยังไง
- คำว่าแนวร่วมมุมกลับใช้กันตอนโน้นนะ ตอนนโยบายต่อสู้เอาชนะคอมมิวนิสต์ตามคำสั่ง 66/2523 สมัยรัฐบาลป๋าเปรม หมายถึงข้าราชการพลเรือน ตำรวจ ทหาร หรือนโยบายใดๆที่ไปผลักไสไล่ส่งให้ประชาชนต้องไปเลือกข้างหรืออยู่ฝ่ายคอมมิวนิสต์ก็จะเรียกข้าราชการหรือนโยบายนั้นว่าเป็นแนวร่วมมุมกลับ (ของฝ่ายตรงข้าม)
ทีนี้ “โหวต โน” ที่เวทีการชุมนุมชูเป็นธงการต่อสู้นี่ก็เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปการเมือง หรืออย่างน้อยก็เป็นการสำแดงพลังต่อต้านการเมืองแบบเก่า ไม่เอาการเมืองเก่า ถ้ามีพลังมากพอก็จะมีนัยสำคัญ ไม่มีใครที่จะคิดโหวต โนเพื่อให้เข้าทางแม้วเข้าทางทักษิณหรอก แต่ก็ต้องยอมรับว่าตอนนี้มีขบวนการที่พยายามดิสเครดิตแกนนำพันธมิตรฯ ดิสเครดิตคำว่า โหวต โน เพราะคะแนนโหวต โนอาจทำให้พรรคของตัวเองได้รับผลกระทบ ทั้งๆ ที่คะแนนโหวต โน ถ้ามันจะกระทบมันก็กระทบกับทุกพรรคแหละไม่เว้นแม้แต่พรรคการเมืองใหม่ ถ้าส่งผู้สมัครก็รับผลกระทบไปเต็มๆ มากกว่าทุกพรรคใช่ไหมครับ แต่บางพรรคอาจรู้สึกเดือดร้อนมาก โดยที่ลืมมองไปว่าตอนที่ตัวเองอยู่ในอำนาจ 2 ปีกว่าไม่เห็นทำอะไรกับระบอบทักษิณเลย ถอดยศทักษิณยังไม่ได้ บางคนถึงขนาดเห็นว่าพรรครัฐบาลปัจจุบันเลี้ยงไข้ระบอบทักษิณเอาไว้เพื่อเอามาหาเสียงให้ตัวเองชนะเลือกตั้งอีกรึเปล่า เพราะสุดท้ายก็จะบอกว่า “ไม่เลือกเราเขามาแน่”
คิดว่าพรรคไหนจะชนะเลือกตั้ง และใครจะเป็นนายกฯ คนต่อไป
- เรียนตรงๆ ไม่ค่อยมีอารมณ์วิเคราะห์เรื่องชาวบ้านเท่าไหร่นะ แต่เอาล่ะถามว่าพรรคไหนจะชนะก็พูดสั้นๆ ว่า ต้องบอกว่ารอให้หน้าไพ่มันนิ่งอีกหน่อย ต้องรอดูว่าพรรคเพื่อไทยจะแตกออกมากี่เสียงเดินตามหลังท่านพลเอกชวลิตมากี่ชีวิต คือ อันตรายของพรรคเพื่อไทยก็คือการถูกทำให้แตกจากภายใน ถ้าไม่แตกมากก็มีโอกาสที่จะชนะเลือกตั้งได้ ตอนนี้ต้องบอกว่าสูสีกับประชาธิปัตย์ พูดกว้างๆ ได้เท่านี้
แล้วนายกฯ คนใหม่ล่ะ
- ก็เช่นเดียวกันยังไม่เห็นหน้าไพ่ โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยยังไม่รู้ใครเป็นหัว นาทีนี้ถ้าเขียนชื่อนายกฯ คนใหม่ต้องเขียนแปะไว้สัก 10 ชื่อมั้ง อภิสิทธิ์, ปุระชัย, มิ่งขวัญ, พล.ต.อ.เพรียวพันธ์, พล.อ.มงคล, ดร.อาทิตย์, คุณกรณ์, คุณยิ่งลักษณ์..โอ๊ย พอแล้ว อันนี้ต้องมีข้อแม้ว่าทุกท่านต้องผ่านเลือกตั้งนะ เพราะผมยังเชื่อว่าจะมีการเลือกตั้ง และอาจจะเป็นการเลือกตั้งที่ซื้อขายกันสนั่นบ้านสนั่นเมืองอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งถ้าเป็นการเลือกตั้งที่สกปรกมากๆ ก็อาจกลายเป็นเงื่อนไขให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนอกระบบได้เหมือนกัน อย่าทำเป็นเล่นไป
samr_rod@hotmail.com
- ก็ไม่ได้เงียบซะทีเดียวนะ ทางเวทีชุมนุมก็พูดถึงออกบ่อย พรรค, คนของพรรคก็แถลงข่าวให้ความเห็นผ่านสื่ออยู่บ้าง แต่ยอมรับว่าพรรคยังไม่มีคำตอบสุดท้ายเรื่องการเลือกตั้ง เรื่องการส่งผู้สมัคร ทีนี้ถามว่าจะเอายังไง ก็ต้องบอกว่าคำตอบสุดท้ายอยู่ที่วันอาทิตย์ที่ 24 เม.ย. นี้ ที่สมาคมจีนโผวเล้ง สาธุประดิษฐ์ ซึ่งจะเป็นการประชุมใหญ่สามัญประจำปีตามกฎหมายพรรคการเมือง หลังวาระปกติตามกฎหมายแล้วก็จะให้สมาชิกพรรคที่เข้าประชุมลงมติว่าพรรคควรจะส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งทั่วไปหนนี้หรือไม่
ที่ผ่านมาพรรคไม่เคยมีมติเรื่องส่งผู้สมัครเลยหรือ
- ยังไม่มี วันที่ 22 มี.ค.ที่ผ่านมา เคยมีการรับฟังความคิดเห็นจากตัวแทนสาขาพรรค ศูนย์ประสานงานพรรค 20 กว่าแห่งจากทั่วประเทศ ส่วนใหญ่ 90 กว่าเปอร์เซ็นต์เห็นว่าควรจะส่งผู้สมัคร ต่อมาวันที่ 5 เม.ย.ในการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค หัวหน้าพรรคก็เปิดโอกาสให้คณะกรรมการบริหารพรรคแสดงความเห็นว่าใครคิดยังไง เป็นการเปิดความรู้สึกนึกคิดส่วนตัวไม่ใช่การลงมติ ซึ่งก็มีความเห็นเป็นสองทางสามทาง
บางท่านบอกว่าควรเดินหน้าส่งผู้สมัครแม้จะสวนทางกับมติหรือความเห็นของเวทีการชุมนุม บางท่านบอกว่าควรเว้นวรรคหรืองดส่งควรเดินแนวทางเดียวกับเวทีชุมนุมเพื่อรักษาขบวนใหญ่เอาไว้ บางท่านก็บอกว่าอะไรก็ได้แต่ต้องรักษามวลชนทุกส่วนเอาไว้ แต่จุดร่วมของแทบทุกคนก็คือเห็นว่าในฐานะที่เราเป็นพรรคแนวทางมวลชน เป็นแมส ปาร์ตี้ สมาชิกพรรคเป็นเจ้าของพรรคจริงๆ ก็ควรให้สมาชิกพรรคตัดสินใจในวันประชุมใหญ่ เพราะสมาชิกพรรคมีความเห็นต่างกันมากและจำนวนไม่น้อยที่เร่าร้อนอยากแสดงความเห็นหรือมีส่วนร่วมในการตัดสินใจครั้งนี้
แล้วส่วนตัวคุณในฐานะรองหัวหน้าพรรค/โฆษกพรรค วันนั้นมีความเห็นอย่างไร
- ผมก็บอกกับที่ประชุมว่า แม้โดยส่วนลึกส่วนตัวอยากลงเลือกตั้ง อยากทำงานการเมือง แต่ถ้าลงสมัครรับเลือกตั้งแล้วต้องทำให้พี่น้องประชาชนของเราในนามพันธมิตรฯ ต้องแตกแยกฟาดฟันต่อสู้กันผมไม่สบายใจ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้เว้นวรรค เราต้องเอามวลชนเป็นตัวตั้งก่อน คือ ไม่ว่าเราจะส่งหรือไม่ส่งมันเจ็บปวดทั้งนั้น ผมก็พูดทำนองนั้น แต่ก็บอกว่าต้องให้สมาชิกพรรคตัดสินวันที่ 24 เม.ย.
คุณสมศักดิ์ โกศัยสุข หัวหน้าพรรค คุณสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรคว่าไง
- คุณสมศักดิ์เป็นประธานที่ประชุมก็ไม่ได้แสดงความเห็นอะไร คุณสุริยะใสก็แสดงความเห็นในทิศทางเดียวกับผม ก็บอกว่าไม่ว่าไปทางไหนเจ็บปวดทั้งนั้น แต่ทำยังไงไม่ให้พี่น้องแตกแยก และพรรคก็ต้องไม่บอบช้ำจนเกินไป ต้องรักษาขบวนใหญ่เอาไว้ด้วย เพราะไม่ว่าวันนี้จะเป็นยังไงก็ตาม แต่ประวัติศาสตร์ที่มาของพรรคก็คือพี่น้องพันธมิตรฯ วันนี้พี่น้องของเราจำนวนไม่น้อยก็เสียสละนั่งอยู่หน้าเวที
พอจะคาดหมายได้ไหมว่า วันที่ 24 เม.ย.สมาชิกพรรคจะโหวตไปทางไหน ส่ง-ไม่ส่ง
- ผมก็มีความคาดหมายของผมได้ แต่ไม่อยากจะพูดชี้นำอะไรไป ผมยังเชื่อว่าแม้สมาชิกพรรคจะมีความหลากหลาย มีความเห็นต่าง แต่สุดท้ายทุกคนก็มีวุฒิภาวะ ยึดเอาผลประโยชน์บ้านเมือง ผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก
เคยมีคำกล่าวว่า “ไม่มีคำว่า ประนีประนอมในเรื่องของ..สงคราม ความรัก และการเมือง” วันนี้คุณสำราญน่าจะตาสว่าง...
- คำกล่าวที่ว่าจริงบ้างในบางครั้งเท่านั้นนะ ไม่ใช่สัจธรรมอะไรที่ไหน ยังไงๆ พี่น้องพันธมิตรฯ ก็น่ารักน่าเคารพ ยิ่งพันธมิตรฯ ที่เป็นสมาชิกพรรคถึงที่สุดก็ใจกว้างรับฟังความเห็นต่างกันได้
ถ้าวันนี้ไม่มีคำว่า “โหวต โน” น่าจะทำให้พรรคการเมืองใหม่ราบรื่นกว่านี้ไหม
- ก็ยอมรับว่าน่าจะราบรื่นกว่านี้นะ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรการเลือกตั้งภายใต้กติกา สภาพการณ์การเมืองในวันนี้พรรคเล็กๆ อย่างการเมืองใหม่ หรือพรรคอื่นๆ ที่เดินแนวทางมวลชน อย่างเช่นพรรคธรรมาภิบาลสังคม พรรคเพื่อฟ้าดิน ก็เหนื่อยรากเลือดทั้งนั้น
ทางพรรคคุยกันเรื่อง “โหวต โน” บ้างไหม
- ก็คุยกันบ้าง ความเห็นก็ยังต่างกัน มันก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่นำไปสู่การตัดสินใจในวันที่ 24 เม.ย.
ในฐานะนักวิเคราะห์ข่าวเก่า คุณสำราญเชื่อว่าจะมีการยุบสภา มีการเลือกตั้งหรือเปล่า...ฟันธง..
- ก็ต้องฟันธงว่ามีเลือกตั้งนะ ถ้านายกฯ อภิสิทธิ์ไม่ยุบสภา หรือพยายามยืดเวลาเลือกตั้งก็มีแต่เสียคนเสียรังวัด ตอนนี้ก็เสียรังวัดไปหลายเรื่องแล้วคงไม่อยากเสียอีก แต่ลึกๆ คุณอภิสิทธิ์ พรรคประชาธิปัตย์ยังเชื่อว่าหลังเลือกตั้งพวกเขาจะกลับมาเป็นนายกฯ เป็นรัฐบาลอีก แต่ผมยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นยังงั้นซะทีเดียว
มีการวิจารณ์กันมากการ “โหวต โน” จะเป็นแนวร่วมมุมกลับให้ระบอบทักษิณ เข้าทางพรรคเพื่อไทย คุณคิดยังไง
- คำว่าแนวร่วมมุมกลับใช้กันตอนโน้นนะ ตอนนโยบายต่อสู้เอาชนะคอมมิวนิสต์ตามคำสั่ง 66/2523 สมัยรัฐบาลป๋าเปรม หมายถึงข้าราชการพลเรือน ตำรวจ ทหาร หรือนโยบายใดๆที่ไปผลักไสไล่ส่งให้ประชาชนต้องไปเลือกข้างหรืออยู่ฝ่ายคอมมิวนิสต์ก็จะเรียกข้าราชการหรือนโยบายนั้นว่าเป็นแนวร่วมมุมกลับ (ของฝ่ายตรงข้าม)
ทีนี้ “โหวต โน” ที่เวทีการชุมนุมชูเป็นธงการต่อสู้นี่ก็เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปการเมือง หรืออย่างน้อยก็เป็นการสำแดงพลังต่อต้านการเมืองแบบเก่า ไม่เอาการเมืองเก่า ถ้ามีพลังมากพอก็จะมีนัยสำคัญ ไม่มีใครที่จะคิดโหวต โนเพื่อให้เข้าทางแม้วเข้าทางทักษิณหรอก แต่ก็ต้องยอมรับว่าตอนนี้มีขบวนการที่พยายามดิสเครดิตแกนนำพันธมิตรฯ ดิสเครดิตคำว่า โหวต โน เพราะคะแนนโหวต โนอาจทำให้พรรคของตัวเองได้รับผลกระทบ ทั้งๆ ที่คะแนนโหวต โน ถ้ามันจะกระทบมันก็กระทบกับทุกพรรคแหละไม่เว้นแม้แต่พรรคการเมืองใหม่ ถ้าส่งผู้สมัครก็รับผลกระทบไปเต็มๆ มากกว่าทุกพรรคใช่ไหมครับ แต่บางพรรคอาจรู้สึกเดือดร้อนมาก โดยที่ลืมมองไปว่าตอนที่ตัวเองอยู่ในอำนาจ 2 ปีกว่าไม่เห็นทำอะไรกับระบอบทักษิณเลย ถอดยศทักษิณยังไม่ได้ บางคนถึงขนาดเห็นว่าพรรครัฐบาลปัจจุบันเลี้ยงไข้ระบอบทักษิณเอาไว้เพื่อเอามาหาเสียงให้ตัวเองชนะเลือกตั้งอีกรึเปล่า เพราะสุดท้ายก็จะบอกว่า “ไม่เลือกเราเขามาแน่”
คิดว่าพรรคไหนจะชนะเลือกตั้ง และใครจะเป็นนายกฯ คนต่อไป
- เรียนตรงๆ ไม่ค่อยมีอารมณ์วิเคราะห์เรื่องชาวบ้านเท่าไหร่นะ แต่เอาล่ะถามว่าพรรคไหนจะชนะก็พูดสั้นๆ ว่า ต้องบอกว่ารอให้หน้าไพ่มันนิ่งอีกหน่อย ต้องรอดูว่าพรรคเพื่อไทยจะแตกออกมากี่เสียงเดินตามหลังท่านพลเอกชวลิตมากี่ชีวิต คือ อันตรายของพรรคเพื่อไทยก็คือการถูกทำให้แตกจากภายใน ถ้าไม่แตกมากก็มีโอกาสที่จะชนะเลือกตั้งได้ ตอนนี้ต้องบอกว่าสูสีกับประชาธิปัตย์ พูดกว้างๆ ได้เท่านี้
แล้วนายกฯ คนใหม่ล่ะ
- ก็เช่นเดียวกันยังไม่เห็นหน้าไพ่ โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยยังไม่รู้ใครเป็นหัว นาทีนี้ถ้าเขียนชื่อนายกฯ คนใหม่ต้องเขียนแปะไว้สัก 10 ชื่อมั้ง อภิสิทธิ์, ปุระชัย, มิ่งขวัญ, พล.ต.อ.เพรียวพันธ์, พล.อ.มงคล, ดร.อาทิตย์, คุณกรณ์, คุณยิ่งลักษณ์..โอ๊ย พอแล้ว อันนี้ต้องมีข้อแม้ว่าทุกท่านต้องผ่านเลือกตั้งนะ เพราะผมยังเชื่อว่าจะมีการเลือกตั้ง และอาจจะเป็นการเลือกตั้งที่ซื้อขายกันสนั่นบ้านสนั่นเมืองอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งถ้าเป็นการเลือกตั้งที่สกปรกมากๆ ก็อาจกลายเป็นเงื่อนไขให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนอกระบบได้เหมือนกัน อย่าทำเป็นเล่นไป
samr_rod@hotmail.com
เริ่มฝึกสมาธิสำหรับเด็ก
เดี๋ยวนี้เวลาเจอผู้ปกครองส่วนใหญ่มักจะบ่นว่าลูกสมาธิสั้น เลยอยากจะขอแนะนำ
วิธีเพิ่มสมาธิสำหรับเด็กๆ ด้วยการนั่งสมาธิกันนะครับ เพราะนอกจากจะช่วยให้เด็ก
ได้ฝึกควบคุมตนเองให้นั่งนิ่งๆ แล้ว ประโยชน์ของการที่ในสงบจิตสงบใจจะช่วยให้ระบบ
การจัดลำดับของสมองได้มีเวลาพักพร้อมการจัดเรียงระบบใหม่อย่างมีขั้นตอน ช่วยเพิ่มศักยภาพมากขึ้น ซึ่งนี่ยังไม่นับเรื่องทางจิตวิญญาณนะครับ เวลาที่เหมาะสมที่สุด
ควรจะเป็นเช้าหลังจากนอนอิ่มมาทั้งคืน แต่ถ้าไม่สะดวกก่อนนอนที่ไม่ดึกเกิน
สามทุ่มครึ่งก็พอจะใช้ได้ครับ ระยะเวลาเด็กชั้นอนุบาลสอง 3-5 นาที อนุบาล 3-ป.1
7-10 นาที ป.2 ขึ้นไปก็น่าจะ 10-15 นาที ถ้าเป็นวัยรุ่นประมาณครึ่งชั่วโมงครับ
แต่ทั้งหมดทุกวัยถ้านั่งได้นานกว่านั้นจะดีมากขึ้นไปอีกครับ ห้องควรจะไม่ร้อน
ไม่หนาวเกินไป ใส่เสื้อผ้านั่งได้สบายไม่อึดอัด มีเบาะรองหน่อยจะช่วยลดอาการ
กดทับของขา ท่านั่งควรจะสำรวมร่างกายจะสมาธิราบ ขัดสมาธิก็ได้ ขอให้สบาย ถนัด
สำรวมมือ หลังตรงตั้งคอตรง เริ่มการนั่งด้วยการสำรวจดูลมหายใจ คุณพ่อคุณแม่จะ
คอยพูดจูงก็ได้ในช่วงเริ่มหัดนั่ง ถ้าเด็กเป็นคนคิดเยอะพูดเยอะอาจใช้การบริกรรม
พุทโธ ยุบหนอก็ได้นะครับ แต่ถ้าไม่บริกรรมจะดีที่สุด หายใจเข้าเบาๆ ออกเบาๆ
แต่ลึก สำรวจลมหายใจว่าลมหายใจเข้าร้อนหรือเย็น ลมหายใจออกเย็นหรือร้อน
เข้าทางจมูกซ้ายหรือขวามากกว่ากัน ออกทางจมูกขวาหรือซ้ายมากกว่ากัน
เข้าไปภายใจจมูกบริเวณไหนด้านบนผนังจมูก ด้านซ้ายของผนังจมูก ด้านขวา
ของผนังจมูก ด้านล่างของผนังจมูก ลมหายใจเข้าช้าหรือเร็วกว่าลมหายใจออก
เข้าไปลึกขนาดไหน พอนั่งไปได้สักระยะก็ควรปล่อยให้เด็กนั่งสำรวจเอง
เวลาออกสมาธิค่อยๆ บอกให้เด็กๆ ลืมตา อย่าลืมสอนให้เค้าแผ่เมตตาด้วยนะครับ
วิธีเพิ่มสมาธิสำหรับเด็กๆ ด้วยการนั่งสมาธิกันนะครับ เพราะนอกจากจะช่วยให้เด็ก
ได้ฝึกควบคุมตนเองให้นั่งนิ่งๆ แล้ว ประโยชน์ของการที่ในสงบจิตสงบใจจะช่วยให้ระบบ
การจัดลำดับของสมองได้มีเวลาพักพร้อมการจัดเรียงระบบใหม่อย่างมีขั้นตอน ช่วยเพิ่มศักยภาพมากขึ้น ซึ่งนี่ยังไม่นับเรื่องทางจิตวิญญาณนะครับ เวลาที่เหมาะสมที่สุด
ควรจะเป็นเช้าหลังจากนอนอิ่มมาทั้งคืน แต่ถ้าไม่สะดวกก่อนนอนที่ไม่ดึกเกิน
สามทุ่มครึ่งก็พอจะใช้ได้ครับ ระยะเวลาเด็กชั้นอนุบาลสอง 3-5 นาที อนุบาล 3-ป.1
7-10 นาที ป.2 ขึ้นไปก็น่าจะ 10-15 นาที ถ้าเป็นวัยรุ่นประมาณครึ่งชั่วโมงครับ
แต่ทั้งหมดทุกวัยถ้านั่งได้นานกว่านั้นจะดีมากขึ้นไปอีกครับ ห้องควรจะไม่ร้อน
ไม่หนาวเกินไป ใส่เสื้อผ้านั่งได้สบายไม่อึดอัด มีเบาะรองหน่อยจะช่วยลดอาการ
กดทับของขา ท่านั่งควรจะสำรวมร่างกายจะสมาธิราบ ขัดสมาธิก็ได้ ขอให้สบาย ถนัด
สำรวมมือ หลังตรงตั้งคอตรง เริ่มการนั่งด้วยการสำรวจดูลมหายใจ คุณพ่อคุณแม่จะ
คอยพูดจูงก็ได้ในช่วงเริ่มหัดนั่ง ถ้าเด็กเป็นคนคิดเยอะพูดเยอะอาจใช้การบริกรรม
พุทโธ ยุบหนอก็ได้นะครับ แต่ถ้าไม่บริกรรมจะดีที่สุด หายใจเข้าเบาๆ ออกเบาๆ
แต่ลึก สำรวจลมหายใจว่าลมหายใจเข้าร้อนหรือเย็น ลมหายใจออกเย็นหรือร้อน
เข้าทางจมูกซ้ายหรือขวามากกว่ากัน ออกทางจมูกขวาหรือซ้ายมากกว่ากัน
เข้าไปภายใจจมูกบริเวณไหนด้านบนผนังจมูก ด้านซ้ายของผนังจมูก ด้านขวา
ของผนังจมูก ด้านล่างของผนังจมูก ลมหายใจเข้าช้าหรือเร็วกว่าลมหายใจออก
เข้าไปลึกขนาดไหน พอนั่งไปได้สักระยะก็ควรปล่อยให้เด็กนั่งสำรวจเอง
เวลาออกสมาธิค่อยๆ บอกให้เด็กๆ ลืมตา อย่าลืมสอนให้เค้าแผ่เมตตาด้วยนะครับ
อิทธิพลของดาวพระเคราะห์ที่สร้างอุบัติภัยให้แก่โลก โดย พล.ต.ต.สุชาติ เผือกสกนธ์
ได้มีท่านผู้อ่านบทความเรื่อง “พลูโตเจ้าการที่สร้างภัยพิบัติให้แก่โลก?” ปรารภมาว่า เนื้อหาสาระที่ได้กล่าวไว้ค่อนข้างสั้นผมยินดียอมรับข้อปรารภดังกล่าว จึงตกลงใจปรับปรุงบทความดังกล่าวใหม่ และขอซ้อมความเข้าใจของท่านผู้อ่านว่า บทความเกี่ยวกับวิชาการโหราศาสตร์ดวงดาวต่างๆ ที่ผมได้เขียนไว้มีลักษณะเป็นกรณีศึกษาเพื่อวิเคราะห์วิจัยเกี่ยวกับอิทธิพลของดาวพระเคราะห์ต่างๆ ที่สร้างผลกระทบแก่โลก และมนุษยชาติ โดยน้อมเอาคำสอนของครูบาอาจารย์ที่มีอยู่ในตำราต่างๆ เป็นเอกสารอ้างอิง มิได้กล่าวอย่างลอยๆ ไม่มีที่มาที่ไป หรือคิดเอาเอง และท่านผู้อ่านจะเข้าใจเนื้อหาสาระของเรื่องได้มากยิ่งขึ้น ถ้าท่านคุ้นเคยกับความหมายของราศีจักร และดาวพระเคราะห์ต่างๆ
หนังสือ The Rulership Book โดย Rex E.Bills เป็นหนังสือคู่มือสำคัญของผมในการเขียนบทความต่างๆ มาโดยตลอด (หนังสือเล่มนี้คงจะหาได้ยากในตลาดหนังสือทั่วไป) ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเหตุภัยพิบัติเกิดแผ่นดินไหวที่ Christchurch,New ประเทศนิวซีแลนด์เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2554 และที่ Miyake ประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นเหตุให้เกิดสึนามิขนาดใหญ่ติดตาม ทำให้อาคารบ้านเรือน รวมเตาผลิตพลังนิวเคลียร์ระเบิดหลายแห่ง มีประชาชนบาดเจ็บล้มตายสูญหายเป็นเรือนหมื่นนั้น ผมได้กล่าวถึงดาวพระเคราะห์ คือ ดาวพลูโต และดาวมฤตยูกับราหูเท่านั้น
แต่เมื่อผมได้ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมจากหนังสือ Planetary Influences on Human Affairs โดย R.V.Raman ท่านผู้นี้เป็นโหราจารย์ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของประเทศอินเดีย ท่านได้กล่าวไว้เป็นสาระสำคัญว่า ดาวพระเคราะห์ต่างๆ ที่มีอิทธิพลเกี่ยวกับเรื่องแผ่นดินไหวได้แก่ ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวมฤตยูและราหู (ท่านไม่ได้กล่าวถึงดาวเนปจูน และพลูโต เนื่องจากดาวทั้งสองนี้เป็นดวงดาวขนาดเล็กที่อยู่ห่างไกลจากโลกมาก อย่างไรวิชาการโหราศาสตร์ฮินดูในยุคสมัยนี้ก็ได้ยอมรับดาวทั้งองนี้แล้ว)
หากดาวพระเคราะห์เหล่านี้ทำมุมสัมพันธ์กัน คือ ทับกัน เล็งกัน ทำมุมเบียนเป็นทุกข์โทษแก่กัน 90 องศา แล้วจะเกิดภัยพิบัติต่างๆ แก่โลก และมนุษยชาติ ลักษณะของภัยพิบัตินั้นขึ้นอยู่กับราศีธาตุซึ่งมี 4 อย่างได้แก่ธาตุน้ำ (ราศีกรกฎ พิจิก และมีน) ซึ่งทำให้เกิดอุทกภัย ธาตุไฟ (ราศีเมษ สิงห์ และธนู) ซึ่งทำให้เกิดเพลิงใหม้ ธาตุลม (ราศีเมถุน ตุลย์ และกุมภ์) ซึ่งทำให้เกิดวายุภัย และธาตุดิน (ราศีพฤษภ กันย์ และมังกร) ซึ่งทำให้เกิดแผ่นดินไหว
ท่าน B.V.Raman ได้กล่าวถึงเรื่องแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2465 (ค.ศ. 1923) เป็นเหตุให้ประชาชนเสียชีวิตมากถึง 1,400,000 คน เมื่อได้ผูกดวงตรวจสอบจุดที่ตั้งของดาวพระเคราะห์ที่สถิตในราศีธาตุต่างๆ แล้ว ได้พบว่า ดาวเสาร์สถิตอยู่ในราศีกันย์ ซึ่งเป็นราศีธาตุดิน จึงเป็นเหตุให้เกิดแผ่นดินไหว ดาวอังคารสถิตอยู่ในราศีสิงห์ ร่วมกับราหู ราศีสิงห์เป็นราศีธาตุไฟจึงเป็นเหตุให้เกิดอัคคีภัยเกิดขึ้นด้วย ดาวพฤหัสบดีสถิตอยู่ในราศีตุลย์ซึ่งเป็นราศีธาตุลม ดาวมฤตยูสถิตในราศีตุลย์ซึ่งเป็นราศีธาตุลม และดาวพลูโตสถิตในราศีเมถุนซึ่งเป็นราศีธาตุลม (ในดวงที่ท่าน B.V.Raman ได้ผูกไว้ไม่มีดาวมฤตยูและดาวพลูโต)
เมื่อได้นำดวงนี้มาเปรียบเทียบกับดวงในวันที่เกิดเหตุแผ่นดินไหวที่ Miyake ประเทศญี่ปุนเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2554 ปรากฏว่า ดาวเสาร์สถิตในราศีกันย์ซึ่งเป็นราศีธาตุดินเช่นกัน มีดาวอังคารสถิตในราศีกุมภ์ซึ่งเป็นราศีธาตุลม ดาวพฤหัสบดี และดาวมฤตยูสถิตในราศีมีนซึ่งเป็นราศีธาตุน้ำจึงเป็นให้เกิดอุทกภัยสึนามิขึ้น ดาวพลูโต และราหูสถิตในราศีธนูซึ่งเป็นราศีธาตุไฟจึงทำให้อาคารบ้านเรือนเกิดอัคคีภัย และเตาผลิตพลังนิวเคลียร์ระเบิดเกิดเพลิงไหม้หลายแห่งดังปรากฏเป็นข่าวประจำวันอยู่ในขณะนี้ ซึ่งผมได้เรียงลำดับดวงทั้งสองไว้เพื่อประกอบการพิจารณาด้วย
นับว่า ทฤษฎีที่ท่าน B.V.Raman ได้เขียนไว้มีความถูกต้องสมควรนำมาประยุกต์ใช้การได้ในโอกาสต่อไป
หนังสือ The Rulership Book โดย Rex E.Bills เป็นหนังสือคู่มือสำคัญของผมในการเขียนบทความต่างๆ มาโดยตลอด (หนังสือเล่มนี้คงจะหาได้ยากในตลาดหนังสือทั่วไป) ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเหตุภัยพิบัติเกิดแผ่นดินไหวที่ Christchurch,New ประเทศนิวซีแลนด์เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2554 และที่ Miyake ประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นเหตุให้เกิดสึนามิขนาดใหญ่ติดตาม ทำให้อาคารบ้านเรือน รวมเตาผลิตพลังนิวเคลียร์ระเบิดหลายแห่ง มีประชาชนบาดเจ็บล้มตายสูญหายเป็นเรือนหมื่นนั้น ผมได้กล่าวถึงดาวพระเคราะห์ คือ ดาวพลูโต และดาวมฤตยูกับราหูเท่านั้น
แต่เมื่อผมได้ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมจากหนังสือ Planetary Influences on Human Affairs โดย R.V.Raman ท่านผู้นี้เป็นโหราจารย์ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของประเทศอินเดีย ท่านได้กล่าวไว้เป็นสาระสำคัญว่า ดาวพระเคราะห์ต่างๆ ที่มีอิทธิพลเกี่ยวกับเรื่องแผ่นดินไหวได้แก่ ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวมฤตยูและราหู (ท่านไม่ได้กล่าวถึงดาวเนปจูน และพลูโต เนื่องจากดาวทั้งสองนี้เป็นดวงดาวขนาดเล็กที่อยู่ห่างไกลจากโลกมาก อย่างไรวิชาการโหราศาสตร์ฮินดูในยุคสมัยนี้ก็ได้ยอมรับดาวทั้งองนี้แล้ว)
หากดาวพระเคราะห์เหล่านี้ทำมุมสัมพันธ์กัน คือ ทับกัน เล็งกัน ทำมุมเบียนเป็นทุกข์โทษแก่กัน 90 องศา แล้วจะเกิดภัยพิบัติต่างๆ แก่โลก และมนุษยชาติ ลักษณะของภัยพิบัตินั้นขึ้นอยู่กับราศีธาตุซึ่งมี 4 อย่างได้แก่ธาตุน้ำ (ราศีกรกฎ พิจิก และมีน) ซึ่งทำให้เกิดอุทกภัย ธาตุไฟ (ราศีเมษ สิงห์ และธนู) ซึ่งทำให้เกิดเพลิงใหม้ ธาตุลม (ราศีเมถุน ตุลย์ และกุมภ์) ซึ่งทำให้เกิดวายุภัย และธาตุดิน (ราศีพฤษภ กันย์ และมังกร) ซึ่งทำให้เกิดแผ่นดินไหว
ท่าน B.V.Raman ได้กล่าวถึงเรื่องแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2465 (ค.ศ. 1923) เป็นเหตุให้ประชาชนเสียชีวิตมากถึง 1,400,000 คน เมื่อได้ผูกดวงตรวจสอบจุดที่ตั้งของดาวพระเคราะห์ที่สถิตในราศีธาตุต่างๆ แล้ว ได้พบว่า ดาวเสาร์สถิตอยู่ในราศีกันย์ ซึ่งเป็นราศีธาตุดิน จึงเป็นเหตุให้เกิดแผ่นดินไหว ดาวอังคารสถิตอยู่ในราศีสิงห์ ร่วมกับราหู ราศีสิงห์เป็นราศีธาตุไฟจึงเป็นเหตุให้เกิดอัคคีภัยเกิดขึ้นด้วย ดาวพฤหัสบดีสถิตอยู่ในราศีตุลย์ซึ่งเป็นราศีธาตุลม ดาวมฤตยูสถิตในราศีตุลย์ซึ่งเป็นราศีธาตุลม และดาวพลูโตสถิตในราศีเมถุนซึ่งเป็นราศีธาตุลม (ในดวงที่ท่าน B.V.Raman ได้ผูกไว้ไม่มีดาวมฤตยูและดาวพลูโต)
เมื่อได้นำดวงนี้มาเปรียบเทียบกับดวงในวันที่เกิดเหตุแผ่นดินไหวที่ Miyake ประเทศญี่ปุนเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2554 ปรากฏว่า ดาวเสาร์สถิตในราศีกันย์ซึ่งเป็นราศีธาตุดินเช่นกัน มีดาวอังคารสถิตในราศีกุมภ์ซึ่งเป็นราศีธาตุลม ดาวพฤหัสบดี และดาวมฤตยูสถิตในราศีมีนซึ่งเป็นราศีธาตุน้ำจึงเป็นให้เกิดอุทกภัยสึนามิขึ้น ดาวพลูโต และราหูสถิตในราศีธนูซึ่งเป็นราศีธาตุไฟจึงทำให้อาคารบ้านเรือนเกิดอัคคีภัย และเตาผลิตพลังนิวเคลียร์ระเบิดเกิดเพลิงไหม้หลายแห่งดังปรากฏเป็นข่าวประจำวันอยู่ในขณะนี้ ซึ่งผมได้เรียงลำดับดวงทั้งสองไว้เพื่อประกอบการพิจารณาด้วย
นับว่า ทฤษฎีที่ท่าน B.V.Raman ได้เขียนไว้มีความถูกต้องสมควรนำมาประยุกต์ใช้การได้ในโอกาสต่อไป
วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2554
มรภ.สุรินทร์ยกย่อง"หงา คาราวาน"เป็นดอกเตอร์ด้านภาษาไทย
‘หงา คาราวาน’ ศิลปินแห่งชาติ ประจำปี 2553 สาขาวรรณศิลป์ เข้ารับพระราชทานปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาภาษาไทย จาก ม.ราชภัฏสุรินทร์
แฟ้มภาพ
วันนี้ 18 เม.ย.54 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ พระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏกลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปีการศึกษา 2552-2553 ณ หอประชุมมหาวชิราลงกรณ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร อ.เมือง จ.สกลนคร
ในโอกาสนี้นายสุรชัย จันทิมาธร หรือ หงา คาราวาน ศิลปินแห่งชาติประจำปี 2553 สาขาวรรณศิลป์ ได้เข้ารับพระราชทานปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาภาษาไทย จากมหาวิทยาลัยราชภัฎสุรินทร์ ด้วยซึ่งนายสุรชัย จันทิมาธร หรือ หงา คาราวาน เปิดเผยความรู้สึก ก่อนเข้ารับพระราชทานปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ว่า รู้สึกเป็นเกียรติและภาคภูมิใจมากที่มหาวิทยาลัยราชภัฎสุรินทร์ ได้พิจารณามอบปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ให้แก่ตนเอง และตนเองเป็นคนจังหวัดสุรินทร์โดยกำเนิด เติบโตมาจากครอบครัวที่ยากจน มีวิถีชีวิตแบบคนบ้านนอก ซึ่งเป็นก็เป็นแรงบันดาลใจให้ตนเอง สร้างสรรค์ผลงานงานวรรณกรรมและบทเพลงของผม ทำให้มีโอกาสได้เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรในครั้งนี้ รู้สึกภาคภูมิใจมาก และนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ต่อ ‘ตระกูลจันทิมาธร’
แฟ้มภาพ
วันนี้ 18 เม.ย.54 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ พระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏกลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปีการศึกษา 2552-2553 ณ หอประชุมมหาวชิราลงกรณ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร อ.เมือง จ.สกลนคร
ในโอกาสนี้นายสุรชัย จันทิมาธร หรือ หงา คาราวาน ศิลปินแห่งชาติประจำปี 2553 สาขาวรรณศิลป์ ได้เข้ารับพระราชทานปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาภาษาไทย จากมหาวิทยาลัยราชภัฎสุรินทร์ ด้วยซึ่งนายสุรชัย จันทิมาธร หรือ หงา คาราวาน เปิดเผยความรู้สึก ก่อนเข้ารับพระราชทานปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ว่า รู้สึกเป็นเกียรติและภาคภูมิใจมากที่มหาวิทยาลัยราชภัฎสุรินทร์ ได้พิจารณามอบปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ให้แก่ตนเอง และตนเองเป็นคนจังหวัดสุรินทร์โดยกำเนิด เติบโตมาจากครอบครัวที่ยากจน มีวิถีชีวิตแบบคนบ้านนอก ซึ่งเป็นก็เป็นแรงบันดาลใจให้ตนเอง สร้างสรรค์ผลงานงานวรรณกรรมและบทเพลงของผม ทำให้มีโอกาสได้เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรในครั้งนี้ รู้สึกภาคภูมิใจมาก และนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ต่อ ‘ตระกูลจันทิมาธร’
ททท.ชวนร่วมงาน“สืบทอดเจตนา สืบชะตาดอนหอยหลอด”
จังหวัดสมุทรสงคราม สภาวัฒนธรรมตำบลบางจะเกร็ง ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานสมุทรสงคราม กำหนดจัดงาน “สืบทอดเจตนา สืบชะตาดอนหอยหลอด” ในวันที่ 22 เมษายน 2554 ณ ศาลกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ตำบลบางจะเกร็ง อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม
นางสาวอังคณา พุ่มผกา ผู้อำนวยการสำนักงาน ททท. สำนักงานสมุทรสงคราม (สมุทรสงคราม นครปฐม สมุทรสาคร) กล่าวว่า หลังจากที่มีการจัดงานในปีที่แล้วส่งผลให้หอยหลอดมีปริมาณเพิ่มมากขึ้น จึงทำให้ชาวบ้านตระหนักถึงการอนุรักษ์ฟื้นฟูดอนหอยหลอด ซึ่งนอกจากจะเป็นแหล่งประมงแล้ว ยังเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่มีคุณค่าและเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของจังหวัดสมุทรสงคราม
การจัดงาน ครั้งนี้นอกจากจะทำให้ประชาชนทั่วไปตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชนและบูรณาการความร่วมมือกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยใช้พิธีกรรมทางศาสนาโน้มนำทัศนคติของประชาชนในชุมชน รวมทั้งนักท่องเที่ยวในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและแหล่งท่องเที่ยวให้คงอยู่สืบต่อไป โดยในปีนี้ภายในงานดังกล่าวมีการทำพิธีเชิญธงราชนาวี พิธีบวงสรวงกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พิธีสืบชะตาดอนหอยหลอด
นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมเพื่อเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา อาทิ พิธีเจริญพระพุทธมนต์โดยพระสงฆ์ จำนวน 85 รูป การมอบทุ่น 84 ทุ่น 84 พรรษา โดยธนาคารออมสิน และการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ 84,000 ตัว บริจาคโดยสมาคมประมงสมุทรสงคราม โดยนักท่องเที่ยวสามารถมาร่วมทำบุญไถ่ชีวิตสัตว์น้ำ ได้ในงานและเชิญสักการะกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ชมโบสถ์ไม้สักทองฝังมุกที่วัดศรัทธาธรรม เลือกรับประทานหรือเลือกซื้ออาหารทะเลทั้งสดและแปรรูปได้ในบริเวณดอนหอยหลอดได้อีกด้วย
ผู้สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สภาวัฒนธรรมตำบลบางจะเกร็ง โทร. 08 1736 2592, 08 9411 9035 หรือที่ ททท. สำนักงานสมุทรสงคราม โทร. 0 3475 2847-8
นางสาวอังคณา พุ่มผกา ผู้อำนวยการสำนักงาน ททท. สำนักงานสมุทรสงคราม (สมุทรสงคราม นครปฐม สมุทรสาคร) กล่าวว่า หลังจากที่มีการจัดงานในปีที่แล้วส่งผลให้หอยหลอดมีปริมาณเพิ่มมากขึ้น จึงทำให้ชาวบ้านตระหนักถึงการอนุรักษ์ฟื้นฟูดอนหอยหลอด ซึ่งนอกจากจะเป็นแหล่งประมงแล้ว ยังเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่มีคุณค่าและเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของจังหวัดสมุทรสงคราม
การจัดงาน ครั้งนี้นอกจากจะทำให้ประชาชนทั่วไปตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชนและบูรณาการความร่วมมือกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยใช้พิธีกรรมทางศาสนาโน้มนำทัศนคติของประชาชนในชุมชน รวมทั้งนักท่องเที่ยวในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและแหล่งท่องเที่ยวให้คงอยู่สืบต่อไป โดยในปีนี้ภายในงานดังกล่าวมีการทำพิธีเชิญธงราชนาวี พิธีบวงสรวงกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พิธีสืบชะตาดอนหอยหลอด
นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมเพื่อเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา อาทิ พิธีเจริญพระพุทธมนต์โดยพระสงฆ์ จำนวน 85 รูป การมอบทุ่น 84 ทุ่น 84 พรรษา โดยธนาคารออมสิน และการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ 84,000 ตัว บริจาคโดยสมาคมประมงสมุทรสงคราม โดยนักท่องเที่ยวสามารถมาร่วมทำบุญไถ่ชีวิตสัตว์น้ำ ได้ในงานและเชิญสักการะกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ชมโบสถ์ไม้สักทองฝังมุกที่วัดศรัทธาธรรม เลือกรับประทานหรือเลือกซื้ออาหารทะเลทั้งสดและแปรรูปได้ในบริเวณดอนหอยหลอดได้อีกด้วย
ผู้สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สภาวัฒนธรรมตำบลบางจะเกร็ง โทร. 08 1736 2592, 08 9411 9035 หรือที่ ททท. สำนักงานสมุทรสงคราม โทร. 0 3475 2847-8
ข่าว : มหาเถรฯจับมือวาติกัน สร้างคนดี-ปลุกสันติภาพโลก
นาย นพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธ ศาสนาแห่งชาติ เปิดเผยว่า ในการประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) ที่วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร เมื่อวันที่ 11 เม.ย. สมณทูตโจวานนี ดานีเอลโล เอกอัครสมณทูตวาติกันประจำประเทศไทย จากนครรัฐวาติกัน ประเทศอิตาลี พร้อมคณะมุขนายก เข้าสักการะสมเด็จพระพุฒาจารย์ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช และกรรมการมหาเถรฯ ซึ่งสมณทูต ได้อ่านสารให้ทางมหาเถรฯ ได้รับทราบว่า ทางนครรัฐวาติกัน
โดยสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ได้จัดงานชุมนุมภาวนาผู้นำศาสนาเพื่อสันติภาพโลกขึ้น จึงได้ประสานขอผู้แทนจากมส.ไปร่วมงานดังกล่าวในช่วงระหว่างวันที่ 26-27 ต.ค. 2554 ด้วย ในขณะเดียวทางคริสตจักร พร้อมที่จะทำงานร่วมกับพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะมส. ในการส่งเสริมประชาชนให้เป็นคนที่มีคุณภาพ เป็นคนดีต่อสังคม ถึงแม้ว่าจะมีหลักคำสอนและมีวิธีการที่แตกต่าง แต่ก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ นำประชาชนให้ไปถึงฝั่งของการเป็นคนดี
นายนพรัตน์กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ คณะสมณทูตจากนคร รัฐวาติกัน ยังได้เน้นย้ำเกี่ยวกับสมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ที่ 16 ซึ่งพระองค์ทรงเห็นว่า การสร้างสันติภาพให้แก่โลก จะทำเพียงศาสนาเดียวไม่ได้ ต้องอาศัยความร่วมมือของศาสนิกสัมพันธ์ทั่วโลก ทุกศาสนา ในการสร้างความสุขให้เกิดขึ้นแก่โลกให้ได้ ซึ่งในส่วนของประเทศไทย มหาเถรฯ ถือว่ามีบทบาทสำคัญในการผลักดันนโยบายด้านศาสนาให้เกิดขึ้นต่อสังคม
และมีส่วนที่จะช่วยให้ประชาชนสนใจที่จะร่วมกันพัฒนาสันติภาพให้เกิดขึ้นใน ทุกสังคมด้วย อย่างไรก็ตาม หากทางมหาเถรฯ ต้องการที่จะให้ทางคริสต์ศาสนาช่วยด้านใดทางคณะสมณทูตพร้อมที่จะร่วมมือ อย่างเต็มที่ "ในการนี้สมเด็จพระพุฒาจารย์ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ได้กล่าวสัมโมทนียกถา มีใจความว่า เราพร้อมที่จะร่วมมือกันในการพัฒนาสันติภาพให้เกิดขึ้นในโลก เรามีความยินดีอย่างยิ่งที่ทางคณะสมณทูตจากนครรัฐวาติกัน ได้มา สักการะมหาเถรสมาคม เราทั้ง 2 ศาสนาจะเดินหน้าร่วมกันเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน พร้อมช่วยกันทำให้ประชา ชนในชาตินำหลักธรรมของแต่ละศาสนาไปสู่การปฏิบัติให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข ต่อไป"
ที่มา : http://www.amulet-buddha.com/%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%96%E0%B8%A3%E0%B8%AF%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99-%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B5-%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81-t5532.0.html
โดยสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ได้จัดงานชุมนุมภาวนาผู้นำศาสนาเพื่อสันติภาพโลกขึ้น จึงได้ประสานขอผู้แทนจากมส.ไปร่วมงานดังกล่าวในช่วงระหว่างวันที่ 26-27 ต.ค. 2554 ด้วย ในขณะเดียวทางคริสตจักร พร้อมที่จะทำงานร่วมกับพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะมส. ในการส่งเสริมประชาชนให้เป็นคนที่มีคุณภาพ เป็นคนดีต่อสังคม ถึงแม้ว่าจะมีหลักคำสอนและมีวิธีการที่แตกต่าง แต่ก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ นำประชาชนให้ไปถึงฝั่งของการเป็นคนดี
นายนพรัตน์กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ คณะสมณทูตจากนคร รัฐวาติกัน ยังได้เน้นย้ำเกี่ยวกับสมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ที่ 16 ซึ่งพระองค์ทรงเห็นว่า การสร้างสันติภาพให้แก่โลก จะทำเพียงศาสนาเดียวไม่ได้ ต้องอาศัยความร่วมมือของศาสนิกสัมพันธ์ทั่วโลก ทุกศาสนา ในการสร้างความสุขให้เกิดขึ้นแก่โลกให้ได้ ซึ่งในส่วนของประเทศไทย มหาเถรฯ ถือว่ามีบทบาทสำคัญในการผลักดันนโยบายด้านศาสนาให้เกิดขึ้นต่อสังคม
และมีส่วนที่จะช่วยให้ประชาชนสนใจที่จะร่วมกันพัฒนาสันติภาพให้เกิดขึ้นใน ทุกสังคมด้วย อย่างไรก็ตาม หากทางมหาเถรฯ ต้องการที่จะให้ทางคริสต์ศาสนาช่วยด้านใดทางคณะสมณทูตพร้อมที่จะร่วมมือ อย่างเต็มที่ "ในการนี้สมเด็จพระพุฒาจารย์ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ได้กล่าวสัมโมทนียกถา มีใจความว่า เราพร้อมที่จะร่วมมือกันในการพัฒนาสันติภาพให้เกิดขึ้นในโลก เรามีความยินดีอย่างยิ่งที่ทางคณะสมณทูตจากนครรัฐวาติกัน ได้มา สักการะมหาเถรสมาคม เราทั้ง 2 ศาสนาจะเดินหน้าร่วมกันเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน พร้อมช่วยกันทำให้ประชา ชนในชาตินำหลักธรรมของแต่ละศาสนาไปสู่การปฏิบัติให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข ต่อไป"
ที่มา : http://www.amulet-buddha.com/%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%96%E0%B8%A3%E0%B8%AF%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99-%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B5-%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81-t5532.0.html
มะเร็งกับการถอดรื้อ มายาคติแห่งการใช้ชีวิต โดย ดร.สุวินัย ภรณวลัย
“เมื่อคนแต่ละคนทำงานเล็กๆ อย่างการดูแลสุขภาพของตนเองให้ดีได้ การทำงานใหญ่ๆ อย่างการดูแลสุขภาวะของคนทุกคนจะเป็นเรื่องที่ทำได้เองอย่างสมบูรณ์แบบโดยอัตโนมัติ”
นายแพทย์โรเจอร์ จาห์นคี
รายงานสำรวจสถานการณ์มะเร็งล่าสุดในประเทศไทย โดยมะเร็งวิทยา สมาคมแห่งประเทศไทย จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข พบว่า ปัจจุบันคนไทยเสียชีวิตจากโรคมะเร็งเป็นอันดับที่ 1 และหากเปรียบเทียบการสำรวจระหว่างปี พ.ศ. 2541-2543 ซึ่งพบผู้ป่วยมะเร็ง 195,780 ราย หรือ 65,260 รายต่อปี กับการสำรวจระหว่างปี พ.ศ. 2544-2546 ซึ่งพบผู้ป่วยมะเร็ง 241,051 ราย หรือ 80,350 รายต่อปีแล้ว อัตราการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็งได้สูงขึ้นถึง 23% โดยมะเร็งที่พบในผู้ชายนั้น มะเร็งตับ และทางเดินน้ำดี พบเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือ มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ตามลำดับ
ขณะที่ผู้หญิงพบมะเร็งเต้านมเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งตับและทางเดินน้ำดี มะเร็งปอด และมะเร็งลำไส้ใหญ่ตามลำดับ อนึ่ง สถิติข้างต้นนี้ ยังสอดคล้องกับจำนวนผู้ป่วยมะเร็งที่เข้ารักษาในโรงเรียนแพทย์ต่างๆ ในปัจจุบันอีกด้วย โดยมะเร็งที่พบบ่อย 3 อันดับแรก คือ มะเร็งเต้านม มะเร็งตับ และมะเร็งปอด ในปี พ.ศ. 2552 คนไทยที่เสียชีวิตจากโรคมะเร็งมีถึง 56,058 ราย หรือ 88.34 รายต่อประชากร 1 แสนราย หรือคิดเป็น 156 รายต่อวัน โดยเพิ่มขึ้นประมาณ 10.7% เมื่อเทียบกับปี พ.ศ. 2548
เมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน ผมมีรุ่นพี่ที่ผมรักและเคารพมากคนหนึ่งเป็นมะเร็งตับในขั้นสุดท้าย หากชีวิตคือละคร การมีคนรู้จักหรือคนที่เรารักเป็นมะเร็งในขั้นสุดท้าย ถือเป็นฉากชีวิตฉากหนึ่งที่แสนรันทดใจ เพราะจากคนที่เคยแข็งแรงมาก สามารถทำงานหนักอย่างหามรุ่งหามค่ำ สูบบุหรี่ กินเหล้าจัด ใช้ชีวิตอย่างสมบุกสมบันได้โดยแทบไม่เคยเจ็บป่วย แม้เป็นแค่ไข้หวัด แต่ภายในเวลาไม่กี่เดือนเท่านั้น กลับกลายมาเป็นคนละคน ร่างกายผ่ายผอม น้ำหนักตัวลดลงฮวบฮาบ ผมหงอกขาวและบางในวัยแค่ต้นสี่สิบ เวลาเดินไร้เรี่ยวแรงราวกับคนแก่อายุสักเจ็ดสิบ ดวงตาไร้ประกาย ขาดความคึกคักดังที่เคยมี และมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรงเป็นพักๆ ใบหน้าที่เคยผ่องใสกลับเป็นสีดำคล้ำ ฝ่ามือทั้งสองข้างเป็นจ้ำๆ สีช้ำเลือดช้ำหนอง เมื่อตัดสินใจไปหาหมอและเช็กร่างกายโดยละเอียด จึงพบว่า เป็นมะเร็งตับในขั้นสุดท้าย
เมื่อผมไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล ผมแทบจำเขาไม่ได้เลย เพราะร่างกายของเขากลายเป็นสีเหลืองทั้งตัว ท้องโตเหมือนเด็กที่เป็นตานขโมย ใบหน้าซูบ ผมแห้งราวกับถูกสูบเลือดจากร่างกายไปจนเหลือแต่โครงกระดูกเท่านั้น ผมถึงกับต้องเบือนหน้าไปทางอื่น และเดินออกไปนอกห้องมิให้ใครเห็นหยาดน้ำตาของผมที่กำลังจะไหลเอ่อออกมาด้วยความสงสารจับใจ เขาเสียชีวิตในเช้าวันรุ่งขึ้น ทอดทิ้งภรรยากับลูกเล็กๆ อีกสองคนไว้เบื้องหลังให้เผชิญกับชีวิตตามลำพัง เขาจบชีวิตเมื่ออายุเพียงสี่สิบต้นๆ ทั้งๆ ที่วัยนี้ เป็นวัยที่ดีที่สุดในแง่ของสติปัญญา ประสบการณ์ และความรู้ที่สามารถทำประโยชน์ให้สังคมได้อีกมากมาย การเสียชีวิตก่อนวัยของเขาจึงเป็นการสูญเสียสำหรับคนรอบข้าง และสังคมโดยรวมอย่างน่าเสียดาย
ผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็งที่ตับในขั้นสุดท้ายนั้น คนไข้จะตัวเหลืองไปทั้งตัว หายใจหอบหนัก นอนก็ไม่ได้ ได้แต่นั่งพิงหมอนสูง หายใจฟืดฟาด ตัวบวมไปหมด นี่เป็นอาการที่ทางการแพทย์เรียกว่า Ascites อันเป็นอาการที่มีปริมาณของน้ำจำนวนมากหมักหมมอยู่ในช่องท้องอย่างผิดปกติ และเพราะอาการนี้เอง คนไข้จึงหายใจหอบ นอนไม่ได้ เพราะน้ำในช่องท้องขึ้นไปดันกระบังลม ดันปอดจนหายใจลำบาก
การบวมของมะเร็งตับเกิดจากตับไม่สามารถจะย่อยโปรตีนได้ ถ้าช่วยย่อยโปรตีนออกไปได้บ้าง โดยการใช้วิธี Detoxification กับการให้เอนไซม์ (ที่อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง แห่งขบวนการสุขภาพชีวจิต เป็นคนแรกๆ ที่นำมาเผยแพร่ในเมืองไทยตั้งแต่เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน) การบวมก็จะลดลง การหายใจก็จะสะดวกขึ้น คนไข้ก็จะนอนได้สบายขึ้น การทรมานก็จะลดลง วิธีการแก้บวมแบบนี้ เป็นวิธีที่ง่าย และไม่มีอันตรายหรือผลข้างเคียง เมื่อเทียบกับการแก้บวมโดยใช้วิธีเจาะเอาน้ำออกแบบที่เรียกว่า Paracentesis ที่มีความเสี่ยง และผลข้างเคียงมากกว่าเพราะอาจทำให้คนไข้เกิดอาการช็อก เพราะเลือดออกมาก หรือเลือดไม่มาเลี้ยงบริเวณช่องท้องได้ (hypovolemic shock)
“มะเร็ง” เป็นโรคภัยไข้เจ็บที่ทำให้ผมคิดว่า ถึงเวลาแล้วที่คนไทยทั้งหลายควร หันมาเปลี่ยนมุมมองใหม่เกี่ยวกับสุขภาพ และวิถีการใช้ชีวิตได้แล้ว ก่อนอื่น เราต้องเริ่มต้นจากการยอมรับความจริงอย่างหนึ่งก่อนว่า คนไทยส่วนใหญ่ดูแลสุขภาพตัวเองไม่ค่อยเป็น และมักขาดองค์ความรู้ที่จะดูแลสุขภาพตัวเองอย่างเป็นองค์รวม หรืออย่างบูรณาการด้วย ไม่เพียงแค่นั้น คนไทยส่วนใหญ่ยังหลงติดอยู่กับ “มายาคติ” ที่ว่าเรื่องสุขภาพเป็นเรื่องของแพทย์ เป็นเรื่องของบุคลากรทางสาธารณสุข มิใช่หน้าที่ของตัวเอง
เพราะฉะนั้น คนไทยส่วนใหญ่จึงยอมยก “อำนาจ” การดูแลสุขภาพของตนไปให้แก่แพทย์ หรือแม้แต่ผู้ที่ไม่ใช่แพทย์ เช่น หมอผี หรือผู้ที่เชื่อกันว่ามีพลังจิตหรือพลังวิเศษในกรณีที่ป่วยหนักจนแพทย์แผนปัจจุบันหมดหวังที่จะรักษาได้ ซึ่ง “มายาคติ” อันนี้แหละที่เป็นสาเหตุหลักที่นำไปสู่การแก้ไขปัญหาสุขภาพที่ปลายเหตุ และอาจขาดประสิทธิภาพเท่าที่ควร เพราะจะว่าไปแล้ว การรักษาการเจ็บป่วยโดยแพทย์นั้น เป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุเท่านั้น เนื่องจาก การเจ็บป่วยจำนวนไม่น้อยกว่า 70-80% นั้น เป็นสิ่งที่สามารถป้องกันได้ ถ้าหากผู้คนมีความเอาใจใส่ และมีองค์ความรู้ในการดูแลสุขภาพตัวเองอย่างเป็นองค์รวมและอย่างบูรณาการ
แต่เพราะคนไทยส่วนใหญ่ยังไปหลงติดอยู่กับมายาคติที่ว่าเรื่องของสุขภาพเป็นเรื่องของแพทย์ และบุคลากรทางสาธารณสุข ไม่ใช่หน้าที่ของตนเอง จึงทำให้ความต้องการบริการทางการแพทย์ของสังคมไทยไม่เคยเพียงพอ และจะไม่มีวันเพียงพอ ตราบใดที่คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ยอมเปลี่ยนมุมมองใหม่เกี่ยวกับสุขภาพ และวิถีการใช้ชีวิต สิ่งนี้ย่อมนำไปสู่ “ปัญหาโลกแตก” ทางสาธารณสุขต่างๆ นานา ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาจำนวนแพทย์ และบุคลากรทางสาธารณสุขไม่เพียงพอต่อการบริหาร ซึ่งนำไปสู่ปัญหาแพทย์ทำงานหนักเกินไป ทำให้คุณภาพในการตรวจรักษาคนไข้ลดลง หรือเกิดความผิดพลาดในการรักษาได้ง่ายขึ้น เป็นต้น
ในขณะเดียวกัน เมื่อจำนวนแพทย์และบริการทางแพทย์ไม่เพียงพอ ขณะที่จำนวนผู้ป่วยเป็นโรคร้ายแรงกลับมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิด “มายาคติ” อีกแบบหนึ่งที่เป็นความเชื่อแบบงมงายแพร่หลายขึ้นมา อย่างเช่น ความเชื่อแบบผิดๆ ที่คิดว่ามีวิธีการหรือขบวนการสำเร็จรูปอย่างใดอย่างหนึ่งแบบเบ็ดเสร็จ หรือแบบอาหารจานด่วนในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บที่ร้ายแรงอย่างได้ผลชะงัด จึงอยากได้หรือมุ่งแสวงหายาวิเศษ สมุนไพรวิเศษ หรืออาหารเสริมวิตามินวิเศษ ที่ไม่ว่าจะมีชื่อหรือตั้งชื่อแปลกๆ อะไรออกมาก็ตามที่กินเข้าไปแล้ว จะทำให้มีสุขภาพดีดังเดิมได้ แต่ “ยาวิเศษ” อย่างนั้น ไม่มีในโลกแห่งความเป็นจริงหรอก
ถ้าจะมี “สิ่งวิเศษ” ใดที่จะทำให้คนเรามีสุขภาพแข็งแรงได้ สิ่งนั้นในความเห็นของผมก็คือ ระบบภูมิชีวิต (Immune System) และพลังปราณ (ชี่) ของคนเราเท่านั้น ซึ่งเป็น “ของฟรี” ที่มีติดตัวคนเราทุกคนอยู่แล้ว เพียงแต่คนเราต้องมี “ภูมิปัญญา” ในการรู้จักนำของวิเศษสองสิ่งนี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด แก่สุขภาพกายสุขภาพใจของเราได้เท่านั้น ซึ่งการจะทำเช่นนั้นได้ เราจะต้องสามารถ “ถอดรื้อ” มายาคติ หรือความหลงผิดจำนวนมากเกี่ยวกับการใช้ชีวิตของคนเราให้ได้เสียก่อน เพื่อที่จะได้มีกระบวนทัศน์ใหม่ หรือมุมมองใหม่เกี่ยวกับสุขภาพและการใช้ชีวิตแบบองค์รวม หรือแบบบูรณาการได้
ผมขอเริ่มจากความเข้าใจเรื่อง “มะเร็ง” ในมุมมองที่กว้างขึ้นกว่าความเข้าใจแบบเดิมๆ ที่มองว่า มะเร็งคือก้อนเนื้อร้าย หรือกลุ่มเซลล์ที่ผิดปกติในร่างกาย โดยที่กลุ่มเซลล์ซึ่งผิดปกตินี้จะเจริญเติบโต และกระจายไปทั่วร่างกายโดยอิสระ ไม่มีสิ่งใดมาควบคุมได้ นอกจากนี้ กลุ่มเซลล์ที่ผิดปกตินี้จะไปรุกรานและทำลายเซลล์ปกติอื่นๆ จนกระทั่งอวัยวะหรือระบบสำคัญต่างๆ ของร่างกายทำงานไม่ได้ ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตในที่สุด นี่คือความหมายของมะเร็งที่เป็นโรคร้ายที่แคบที่สุด ซึ่งมิได้เป็นนิยามที่ผิดแต่ประการใด
เพียงแต่ถ้าเรามองมะเร็งในมุมมองที่กว้างขึ้น เราจะพบว่า มะเร็งเริ่มต้นที่ ความผิดปกติ ต่อจากนั้น ความผิดปกตินี้จะกระจายและไปสร้างความผิดปกติอื่นๆ ต่อไปอีก จนกระทั่งทำลายระบบชีวิตทั้งระบบในที่สุด หากเรามองเช่นนี้ เราก็จะเห็นว่า มะเร็งคือความผิดปกติที่กระจายและขยายตัวได้ เมื่อเรามอง “มะเร็ง” ด้วยมุมมองเช่นนี้ เราย่อมเห็นได้เองว่า “มะเร็ง” มิใช่ความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกายได้เท่านั้น หากยังสามารถเกิดขึ้นกับจิตใจ และจิตวิญญาณของคนเราได้อีกด้วย “มะเร็ง” จึงเกิดขึ้นแล้วก็กระจาย และทำลายร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณของคนเราจนย่อยยับไปในที่สุด
www.suvinai-dragon.com
นายแพทย์โรเจอร์ จาห์นคี
รายงานสำรวจสถานการณ์มะเร็งล่าสุดในประเทศไทย โดยมะเร็งวิทยา สมาคมแห่งประเทศไทย จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข พบว่า ปัจจุบันคนไทยเสียชีวิตจากโรคมะเร็งเป็นอันดับที่ 1 และหากเปรียบเทียบการสำรวจระหว่างปี พ.ศ. 2541-2543 ซึ่งพบผู้ป่วยมะเร็ง 195,780 ราย หรือ 65,260 รายต่อปี กับการสำรวจระหว่างปี พ.ศ. 2544-2546 ซึ่งพบผู้ป่วยมะเร็ง 241,051 ราย หรือ 80,350 รายต่อปีแล้ว อัตราการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็งได้สูงขึ้นถึง 23% โดยมะเร็งที่พบในผู้ชายนั้น มะเร็งตับ และทางเดินน้ำดี พบเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือ มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ตามลำดับ
ขณะที่ผู้หญิงพบมะเร็งเต้านมเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งตับและทางเดินน้ำดี มะเร็งปอด และมะเร็งลำไส้ใหญ่ตามลำดับ อนึ่ง สถิติข้างต้นนี้ ยังสอดคล้องกับจำนวนผู้ป่วยมะเร็งที่เข้ารักษาในโรงเรียนแพทย์ต่างๆ ในปัจจุบันอีกด้วย โดยมะเร็งที่พบบ่อย 3 อันดับแรก คือ มะเร็งเต้านม มะเร็งตับ และมะเร็งปอด ในปี พ.ศ. 2552 คนไทยที่เสียชีวิตจากโรคมะเร็งมีถึง 56,058 ราย หรือ 88.34 รายต่อประชากร 1 แสนราย หรือคิดเป็น 156 รายต่อวัน โดยเพิ่มขึ้นประมาณ 10.7% เมื่อเทียบกับปี พ.ศ. 2548
เมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน ผมมีรุ่นพี่ที่ผมรักและเคารพมากคนหนึ่งเป็นมะเร็งตับในขั้นสุดท้าย หากชีวิตคือละคร การมีคนรู้จักหรือคนที่เรารักเป็นมะเร็งในขั้นสุดท้าย ถือเป็นฉากชีวิตฉากหนึ่งที่แสนรันทดใจ เพราะจากคนที่เคยแข็งแรงมาก สามารถทำงานหนักอย่างหามรุ่งหามค่ำ สูบบุหรี่ กินเหล้าจัด ใช้ชีวิตอย่างสมบุกสมบันได้โดยแทบไม่เคยเจ็บป่วย แม้เป็นแค่ไข้หวัด แต่ภายในเวลาไม่กี่เดือนเท่านั้น กลับกลายมาเป็นคนละคน ร่างกายผ่ายผอม น้ำหนักตัวลดลงฮวบฮาบ ผมหงอกขาวและบางในวัยแค่ต้นสี่สิบ เวลาเดินไร้เรี่ยวแรงราวกับคนแก่อายุสักเจ็ดสิบ ดวงตาไร้ประกาย ขาดความคึกคักดังที่เคยมี และมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรงเป็นพักๆ ใบหน้าที่เคยผ่องใสกลับเป็นสีดำคล้ำ ฝ่ามือทั้งสองข้างเป็นจ้ำๆ สีช้ำเลือดช้ำหนอง เมื่อตัดสินใจไปหาหมอและเช็กร่างกายโดยละเอียด จึงพบว่า เป็นมะเร็งตับในขั้นสุดท้าย
เมื่อผมไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล ผมแทบจำเขาไม่ได้เลย เพราะร่างกายของเขากลายเป็นสีเหลืองทั้งตัว ท้องโตเหมือนเด็กที่เป็นตานขโมย ใบหน้าซูบ ผมแห้งราวกับถูกสูบเลือดจากร่างกายไปจนเหลือแต่โครงกระดูกเท่านั้น ผมถึงกับต้องเบือนหน้าไปทางอื่น และเดินออกไปนอกห้องมิให้ใครเห็นหยาดน้ำตาของผมที่กำลังจะไหลเอ่อออกมาด้วยความสงสารจับใจ เขาเสียชีวิตในเช้าวันรุ่งขึ้น ทอดทิ้งภรรยากับลูกเล็กๆ อีกสองคนไว้เบื้องหลังให้เผชิญกับชีวิตตามลำพัง เขาจบชีวิตเมื่ออายุเพียงสี่สิบต้นๆ ทั้งๆ ที่วัยนี้ เป็นวัยที่ดีที่สุดในแง่ของสติปัญญา ประสบการณ์ และความรู้ที่สามารถทำประโยชน์ให้สังคมได้อีกมากมาย การเสียชีวิตก่อนวัยของเขาจึงเป็นการสูญเสียสำหรับคนรอบข้าง และสังคมโดยรวมอย่างน่าเสียดาย
ผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็งที่ตับในขั้นสุดท้ายนั้น คนไข้จะตัวเหลืองไปทั้งตัว หายใจหอบหนัก นอนก็ไม่ได้ ได้แต่นั่งพิงหมอนสูง หายใจฟืดฟาด ตัวบวมไปหมด นี่เป็นอาการที่ทางการแพทย์เรียกว่า Ascites อันเป็นอาการที่มีปริมาณของน้ำจำนวนมากหมักหมมอยู่ในช่องท้องอย่างผิดปกติ และเพราะอาการนี้เอง คนไข้จึงหายใจหอบ นอนไม่ได้ เพราะน้ำในช่องท้องขึ้นไปดันกระบังลม ดันปอดจนหายใจลำบาก
การบวมของมะเร็งตับเกิดจากตับไม่สามารถจะย่อยโปรตีนได้ ถ้าช่วยย่อยโปรตีนออกไปได้บ้าง โดยการใช้วิธี Detoxification กับการให้เอนไซม์ (ที่อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง แห่งขบวนการสุขภาพชีวจิต เป็นคนแรกๆ ที่นำมาเผยแพร่ในเมืองไทยตั้งแต่เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน) การบวมก็จะลดลง การหายใจก็จะสะดวกขึ้น คนไข้ก็จะนอนได้สบายขึ้น การทรมานก็จะลดลง วิธีการแก้บวมแบบนี้ เป็นวิธีที่ง่าย และไม่มีอันตรายหรือผลข้างเคียง เมื่อเทียบกับการแก้บวมโดยใช้วิธีเจาะเอาน้ำออกแบบที่เรียกว่า Paracentesis ที่มีความเสี่ยง และผลข้างเคียงมากกว่าเพราะอาจทำให้คนไข้เกิดอาการช็อก เพราะเลือดออกมาก หรือเลือดไม่มาเลี้ยงบริเวณช่องท้องได้ (hypovolemic shock)
“มะเร็ง” เป็นโรคภัยไข้เจ็บที่ทำให้ผมคิดว่า ถึงเวลาแล้วที่คนไทยทั้งหลายควร หันมาเปลี่ยนมุมมองใหม่เกี่ยวกับสุขภาพ และวิถีการใช้ชีวิตได้แล้ว ก่อนอื่น เราต้องเริ่มต้นจากการยอมรับความจริงอย่างหนึ่งก่อนว่า คนไทยส่วนใหญ่ดูแลสุขภาพตัวเองไม่ค่อยเป็น และมักขาดองค์ความรู้ที่จะดูแลสุขภาพตัวเองอย่างเป็นองค์รวม หรืออย่างบูรณาการด้วย ไม่เพียงแค่นั้น คนไทยส่วนใหญ่ยังหลงติดอยู่กับ “มายาคติ” ที่ว่าเรื่องสุขภาพเป็นเรื่องของแพทย์ เป็นเรื่องของบุคลากรทางสาธารณสุข มิใช่หน้าที่ของตัวเอง
เพราะฉะนั้น คนไทยส่วนใหญ่จึงยอมยก “อำนาจ” การดูแลสุขภาพของตนไปให้แก่แพทย์ หรือแม้แต่ผู้ที่ไม่ใช่แพทย์ เช่น หมอผี หรือผู้ที่เชื่อกันว่ามีพลังจิตหรือพลังวิเศษในกรณีที่ป่วยหนักจนแพทย์แผนปัจจุบันหมดหวังที่จะรักษาได้ ซึ่ง “มายาคติ” อันนี้แหละที่เป็นสาเหตุหลักที่นำไปสู่การแก้ไขปัญหาสุขภาพที่ปลายเหตุ และอาจขาดประสิทธิภาพเท่าที่ควร เพราะจะว่าไปแล้ว การรักษาการเจ็บป่วยโดยแพทย์นั้น เป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุเท่านั้น เนื่องจาก การเจ็บป่วยจำนวนไม่น้อยกว่า 70-80% นั้น เป็นสิ่งที่สามารถป้องกันได้ ถ้าหากผู้คนมีความเอาใจใส่ และมีองค์ความรู้ในการดูแลสุขภาพตัวเองอย่างเป็นองค์รวมและอย่างบูรณาการ
แต่เพราะคนไทยส่วนใหญ่ยังไปหลงติดอยู่กับมายาคติที่ว่าเรื่องของสุขภาพเป็นเรื่องของแพทย์ และบุคลากรทางสาธารณสุข ไม่ใช่หน้าที่ของตนเอง จึงทำให้ความต้องการบริการทางการแพทย์ของสังคมไทยไม่เคยเพียงพอ และจะไม่มีวันเพียงพอ ตราบใดที่คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ยอมเปลี่ยนมุมมองใหม่เกี่ยวกับสุขภาพ และวิถีการใช้ชีวิต สิ่งนี้ย่อมนำไปสู่ “ปัญหาโลกแตก” ทางสาธารณสุขต่างๆ นานา ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาจำนวนแพทย์ และบุคลากรทางสาธารณสุขไม่เพียงพอต่อการบริหาร ซึ่งนำไปสู่ปัญหาแพทย์ทำงานหนักเกินไป ทำให้คุณภาพในการตรวจรักษาคนไข้ลดลง หรือเกิดความผิดพลาดในการรักษาได้ง่ายขึ้น เป็นต้น
ในขณะเดียวกัน เมื่อจำนวนแพทย์และบริการทางแพทย์ไม่เพียงพอ ขณะที่จำนวนผู้ป่วยเป็นโรคร้ายแรงกลับมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิด “มายาคติ” อีกแบบหนึ่งที่เป็นความเชื่อแบบงมงายแพร่หลายขึ้นมา อย่างเช่น ความเชื่อแบบผิดๆ ที่คิดว่ามีวิธีการหรือขบวนการสำเร็จรูปอย่างใดอย่างหนึ่งแบบเบ็ดเสร็จ หรือแบบอาหารจานด่วนในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บที่ร้ายแรงอย่างได้ผลชะงัด จึงอยากได้หรือมุ่งแสวงหายาวิเศษ สมุนไพรวิเศษ หรืออาหารเสริมวิตามินวิเศษ ที่ไม่ว่าจะมีชื่อหรือตั้งชื่อแปลกๆ อะไรออกมาก็ตามที่กินเข้าไปแล้ว จะทำให้มีสุขภาพดีดังเดิมได้ แต่ “ยาวิเศษ” อย่างนั้น ไม่มีในโลกแห่งความเป็นจริงหรอก
ถ้าจะมี “สิ่งวิเศษ” ใดที่จะทำให้คนเรามีสุขภาพแข็งแรงได้ สิ่งนั้นในความเห็นของผมก็คือ ระบบภูมิชีวิต (Immune System) และพลังปราณ (ชี่) ของคนเราเท่านั้น ซึ่งเป็น “ของฟรี” ที่มีติดตัวคนเราทุกคนอยู่แล้ว เพียงแต่คนเราต้องมี “ภูมิปัญญา” ในการรู้จักนำของวิเศษสองสิ่งนี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด แก่สุขภาพกายสุขภาพใจของเราได้เท่านั้น ซึ่งการจะทำเช่นนั้นได้ เราจะต้องสามารถ “ถอดรื้อ” มายาคติ หรือความหลงผิดจำนวนมากเกี่ยวกับการใช้ชีวิตของคนเราให้ได้เสียก่อน เพื่อที่จะได้มีกระบวนทัศน์ใหม่ หรือมุมมองใหม่เกี่ยวกับสุขภาพและการใช้ชีวิตแบบองค์รวม หรือแบบบูรณาการได้
ผมขอเริ่มจากความเข้าใจเรื่อง “มะเร็ง” ในมุมมองที่กว้างขึ้นกว่าความเข้าใจแบบเดิมๆ ที่มองว่า มะเร็งคือก้อนเนื้อร้าย หรือกลุ่มเซลล์ที่ผิดปกติในร่างกาย โดยที่กลุ่มเซลล์ซึ่งผิดปกตินี้จะเจริญเติบโต และกระจายไปทั่วร่างกายโดยอิสระ ไม่มีสิ่งใดมาควบคุมได้ นอกจากนี้ กลุ่มเซลล์ที่ผิดปกตินี้จะไปรุกรานและทำลายเซลล์ปกติอื่นๆ จนกระทั่งอวัยวะหรือระบบสำคัญต่างๆ ของร่างกายทำงานไม่ได้ ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตในที่สุด นี่คือความหมายของมะเร็งที่เป็นโรคร้ายที่แคบที่สุด ซึ่งมิได้เป็นนิยามที่ผิดแต่ประการใด
เพียงแต่ถ้าเรามองมะเร็งในมุมมองที่กว้างขึ้น เราจะพบว่า มะเร็งเริ่มต้นที่ ความผิดปกติ ต่อจากนั้น ความผิดปกตินี้จะกระจายและไปสร้างความผิดปกติอื่นๆ ต่อไปอีก จนกระทั่งทำลายระบบชีวิตทั้งระบบในที่สุด หากเรามองเช่นนี้ เราก็จะเห็นว่า มะเร็งคือความผิดปกติที่กระจายและขยายตัวได้ เมื่อเรามอง “มะเร็ง” ด้วยมุมมองเช่นนี้ เราย่อมเห็นได้เองว่า “มะเร็ง” มิใช่ความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกายได้เท่านั้น หากยังสามารถเกิดขึ้นกับจิตใจ และจิตวิญญาณของคนเราได้อีกด้วย “มะเร็ง” จึงเกิดขึ้นแล้วก็กระจาย และทำลายร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณของคนเราจนย่อยยับไปในที่สุด
www.suvinai-dragon.com
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)