1. ทำให้บรรดานักการเมืองอ้างไม่ได้ว่ามาจากคะแนนเสียงของประชาชนส่วนใหญ่
2. พรรคไหนเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลได้ก็อ้างว่ามาจากคะแนนเสียงประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้
3. การบริหารราชการต่าง ๆ ก็ต้องทำด้วยความระมัดระวังมากขึ้น เพราะอ้างอะไรไม่ได้อีกแล้ว มีประชาชนจำนวนมากที่ไม่เห็นด้วยรออยู่แล้ว
4. ทักษิณหากมองเห็นชัดว่าเงินไม่สามารถเอาชนะได้แล้วจะทิ้งพวกควายแดงทันที เพราะจ่ายไปก็เข้ากระเป๋าพวกแกนนำเสื้อแดงเท่านั้น
5. พวกแกนนำเสื้อแดงตัวเล็ก ๆ จะโดนถีบหัวส่งอาจติดคุกคดีเก่า ๆ ด้วย ไม่เช่นนั้นจะเอาชื่อไปใส่ปาร์ตี้ลิสต์หลอก ๆ ไว้ทำไม
6. การโหวตโนจะทำให้เสื้อแดงจำนวนมากเริ่มเห็นความจริงว่ากำลังหลงทางและเชื่อผิดคนที่คิดว่าจะช่วยตัวเองได้
7. จะเกิดการปรับเปลี่ยนทางการเมืองขนาดใหญ่
8. ต่อไปประชาชนคือผู้เลือก สส. ไม่ใช่พรรคเลือกส่ง
9. ระบบพรรคการเมืองจะเปลี่ยนแปลงไป
10. ประชาชนคือเสียงของประชาธิปไตยตัวจริง
แค่นี้ก็เกินคุ้มแล้วที่จะออกมาโหวตโน ให้พ่อแม่พี่น้องรักษาสิทธิ์เอาไว้และออกไปเลือกตั้งด้วยการ กา โหวตโนนะครับ
เราคือคนไทย
Theขี้ฝุ่นริมทาง
วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
ครั้งนี้ถึงจะได้น้อย แต่เราจะพยายามต่อไปครับ
ผมว่า จำนวนเป็นเรื่องของการให้ปัญญา ต้องค่อยๆ ทำไปครับ ที่สำคัญคือ อย่าท้อ
เมื่อไรที่เรายอมแพ้ต่อความชั่ว เราก็จะแพ้ตลอดกาล เหมือนพวกที่ศิโรราบต่อนักการเมืองในตอนนี้ สังเกตุสิครับ พวกมันพูดอะไรกันไม่ค่อยได้เรื่อง คุณธรรม ศีลธรรม พูดเรื่องเดียวคือ จะสู้กันอย่างไร ไม่ให้อีกฝ่ายเ้ป็นรัฐบาล
ตรงๆ คือ "นรกอยู่ในใจ" ของพวกมันทั้งนั้นแหล่ะครับ พอพูดเรื่อง คุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม มันจะแสลงใจักันทั้งนั้น
ยกตัวอย่าง
สาวกแมลงสาบ จะไม่พูดเรื่องรักชาติ รักแผ่นดิน วาจาสัตย์
ควายแดง จะไม่พูดเรื่องจงรักภักดี ความดี ความงาม ซื่อสัตย์สุจริต
ครั้งแรกเราอาจได้น้อย แต่ครั้งต่อไปจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ครับ เราต้องให้ความรู้กับคนทั่วไปที่ไม่รู้ข้อมูลให้เพิ่มขึ้น
พวก แมลงสาบ และ เผาไทย มันได้เปรียบ เพราะมันคุมสื่อสาธารณะ และผู้มีอิทธิพลตามพื้นที่ต่างๆ
เราก็มีแต่ ASTV และ manager เท่านั้น แต่แค่นี้เราก็สู้ได้ขนาดนี้ ผมก็เห็นว่า ประสบความสำเร็จในระดับสูงมากแล้วนะครับ
เราต้องยอมรับนะครับว่า คนเสพสื่อพันธมิตรฯ มีไม่ถึง 5 ล้านคน ถ้าเขาไม่รู้ว่าเราทำอะไรอยู่ เขาจะนึกว่าเราสร้างความวุ่นวาย แต่ถ้าเขารู้ เขาจะเข้าร่วมกับเราอย่างแน่นอนครับ เอาแค่แถวบ้านผม มีบ้านผมบ้านเดียวที่ดู ASTV แต่ผมก็เอาข้อมูลไปพูดกับเพื่อนบ้าน เขาก็ vote no กับแทบหมดแหล่ะครับ ถ้าเราพยายามสื่อสารด้วยวิธีที่ดีครับ
ต่อไป เราควรทำ Rodemap เพื่อให้เกิดเป็นรูปธรรมขึ้นมาถึงแนวทางที่เราจะร่วมกันปฏิบัติ และสิ่งที่เราต้องการ
เมื่อถึงตอนนั้น ข่าวเรื่อง voteno และ rodemap จะทำให้พลังการ vote no ในครั้งต่อไปสูงขึ้นมาอย่างแน่นอนครับ
"ใครครอบครองสื่อ = ปกครองแผ่นดิน"
เมื่อสื่อชี้นำให้เป็นกลางระหว่าง ดี และ ชั่ว ประเทศชาติถึงได้เป็นเช่นนี้ เมื่อคนไม่สามารถวัดอะไรดี อะไรชั่วได้ จึงได้ไม่สนใจทั้ง 2 ฝ่าย ไม่สนใจข้อมูล ซึ่งเหตุการณ์เช่นนี้ นักการเมืองเลวๆ ชอบมาก เพราะจะเข้าโกงกินอย่างไรก็ได้ เพราะประชาชน ไม่ออกมาปกป้องแผ่นดินของตนเอง
พธม.ยุคก่อตั้ง
เมื่อไรที่เรายอมแพ้ต่อความชั่ว เราก็จะแพ้ตลอดกาล เหมือนพวกที่ศิโรราบต่อนักการเมืองในตอนนี้ สังเกตุสิครับ พวกมันพูดอะไรกันไม่ค่อยได้เรื่อง คุณธรรม ศีลธรรม พูดเรื่องเดียวคือ จะสู้กันอย่างไร ไม่ให้อีกฝ่ายเ้ป็นรัฐบาล
ตรงๆ คือ "นรกอยู่ในใจ" ของพวกมันทั้งนั้นแหล่ะครับ พอพูดเรื่อง คุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม มันจะแสลงใจักันทั้งนั้น
ยกตัวอย่าง
สาวกแมลงสาบ จะไม่พูดเรื่องรักชาติ รักแผ่นดิน วาจาสัตย์
ควายแดง จะไม่พูดเรื่องจงรักภักดี ความดี ความงาม ซื่อสัตย์สุจริต
ครั้งแรกเราอาจได้น้อย แต่ครั้งต่อไปจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ครับ เราต้องให้ความรู้กับคนทั่วไปที่ไม่รู้ข้อมูลให้เพิ่มขึ้น
พวก แมลงสาบ และ เผาไทย มันได้เปรียบ เพราะมันคุมสื่อสาธารณะ และผู้มีอิทธิพลตามพื้นที่ต่างๆ
เราก็มีแต่ ASTV และ manager เท่านั้น แต่แค่นี้เราก็สู้ได้ขนาดนี้ ผมก็เห็นว่า ประสบความสำเร็จในระดับสูงมากแล้วนะครับ
เราต้องยอมรับนะครับว่า คนเสพสื่อพันธมิตรฯ มีไม่ถึง 5 ล้านคน ถ้าเขาไม่รู้ว่าเราทำอะไรอยู่ เขาจะนึกว่าเราสร้างความวุ่นวาย แต่ถ้าเขารู้ เขาจะเข้าร่วมกับเราอย่างแน่นอนครับ เอาแค่แถวบ้านผม มีบ้านผมบ้านเดียวที่ดู ASTV แต่ผมก็เอาข้อมูลไปพูดกับเพื่อนบ้าน เขาก็ vote no กับแทบหมดแหล่ะครับ ถ้าเราพยายามสื่อสารด้วยวิธีที่ดีครับ
ต่อไป เราควรทำ Rodemap เพื่อให้เกิดเป็นรูปธรรมขึ้นมาถึงแนวทางที่เราจะร่วมกันปฏิบัติ และสิ่งที่เราต้องการ
เมื่อถึงตอนนั้น ข่าวเรื่อง voteno และ rodemap จะทำให้พลังการ vote no ในครั้งต่อไปสูงขึ้นมาอย่างแน่นอนครับ
"ใครครอบครองสื่อ = ปกครองแผ่นดิน"
เมื่อสื่อชี้นำให้เป็นกลางระหว่าง ดี และ ชั่ว ประเทศชาติถึงได้เป็นเช่นนี้ เมื่อคนไม่สามารถวัดอะไรดี อะไรชั่วได้ จึงได้ไม่สนใจทั้ง 2 ฝ่าย ไม่สนใจข้อมูล ซึ่งเหตุการณ์เช่นนี้ นักการเมืองเลวๆ ชอบมาก เพราะจะเข้าโกงกินอย่างไรก็ได้ เพราะประชาชน ไม่ออกมาปกป้องแผ่นดินของตนเอง
พธม.ยุคก่อตั้ง
พวกหลง ปชป. ช่วยโหวตโนเถอะ เรามาเปลี่ยนประเทศให้ดีขึ้นด้วยกัน
พวกที่บอกว่าโหวตโนแล้วจะได้เพื่อไทยเลยเลือก ปชป. ดีกว่าน่ะ เพื่อไทย-เผาเมือง ปชป.-ขายแผ่นดิน สรุปมันเลวทั้งคู่ แล้วนึกเหรอว่าคนเลวอนาคตมันจะไม่ทำอย่างอื่นอีก ปชป. จะเผาเมืองก็ได้ ส่วนเพื่อไทยจะขายแผ่นดินก็ได้
โหวตโนทั้งหมดเพราะมันเลวทั้งคู่ ถ้ามันได้เลือกเข้ามาแล้วทำเลวอีก ก็ประท้วงอีก จนกว่าคนเลวจะกลับใจ หรือคนดีจะตื่นตัวออกมาช่วยกันปฏิวัติประเทศ มันยังพอมีลุ้นกว่าให้คนเลวกลับมาทำลายบ้านทำลายเมืองต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด
ไปจนชั่วลูกชั่วหลานมันมันก็ยังพูดประโยคเดิมว่ามันเลวน้อยกว่าเพื่อไทย แล้วเมื่อไหร่ประเทศชาติจะเจริญ
พวกหลง ปชป. ช่วยโหวตโนเถอะ เรามาเปลี่ยนประเทศให้ดีขึ้นด้วยกัน
000000......000000.....000000000........000000000000..000000000000...........................000000.......00000...0000000000
000000......000000..000000000000....000000000000..000000000000...........................0000000....00000..000000000000
....0000.......0000.....0000...........0000...000..0000..000.....000..000000.............................0000000....000.....0000............0000
......0000....0000.....0000.............0000...........0000..............0000000...................................00000000..000....0000..............0000
.......0000..0000......0000.............0000...........0000..............0000000..00.............................0000..0000000....0000..............0000
.........0000000.........0000............0000...........0000..............000..000000.............................0000....000000.....0000............0000
...........00000.............000000000000.........0000000.........000000000000..........................000000....00000.....000000000000
...........00000................0000000000..........0000000.........000000000000...........................000000......0000.......0000000000
ขึ้นจอเหลืองให้ด้วย ผมจะโพสท์ไปทุกข่าวการเมือง ใครไม่เห็นก็ช่วยผมโพสท์ด้วยนะ
http://xat.com/puntamit1
โหวตโนทั้งหมดเพราะมันเลวทั้งคู่ ถ้ามันได้เลือกเข้ามาแล้วทำเลวอีก ก็ประท้วงอีก จนกว่าคนเลวจะกลับใจ หรือคนดีจะตื่นตัวออกมาช่วยกันปฏิวัติประเทศ มันยังพอมีลุ้นกว่าให้คนเลวกลับมาทำลายบ้านทำลายเมืองต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด
ไปจนชั่วลูกชั่วหลานมันมันก็ยังพูดประโยคเดิมว่ามันเลวน้อยกว่าเพื่อไทย แล้วเมื่อไหร่ประเทศชาติจะเจริญ
พวกหลง ปชป. ช่วยโหวตโนเถอะ เรามาเปลี่ยนประเทศให้ดีขึ้นด้วยกัน
000000......000000.....000000000........000000000000..000000000000...........................000000.......00000...0000000000
000000......000000..000000000000....000000000000..000000000000...........................0000000....00000..000000000000
....0000.......0000.....0000...........0000...000..0000..000.....000..000000.............................0000000....000.....0000............0000
......0000....0000.....0000.............0000...........0000..............0000000...................................00000000..000....0000..............0000
.......0000..0000......0000.............0000...........0000..............0000000..00.............................0000..0000000....0000..............0000
.........0000000.........0000............0000...........0000..............000..000000.............................0000....000000.....0000............0000
...........00000.............000000000000.........0000000.........000000000000..........................000000....00000.....000000000000
...........00000................0000000000..........0000000.........000000000000...........................000000......0000.......0000000000
ขึ้นจอเหลืองให้ด้วย ผมจะโพสท์ไปทุกข่าวการเมือง ใครไม่เห็นก็ช่วยผมโพสท์ด้วยนะ
http://xat.com/puntamit1
ต้องเขียนเขียนเขียนเขียนเขียน หรือเผยแพร่ เรื่องเหล่านี้อีกมากมาย
ผมไม่รู้ว่าจะต้องให้ นักวิชาการ นักเขียนหรือนักข่าว สื่อหรือผู้ใหญ่ ใครต่อใครอีกมากมาย ต้องเขียนเขียนเขียนเขียนเขียน หรือเผยแพร่ เรื่องเหล่านี้อีกมากมาย กี่ครั้ง กี่หน ในการที่จะให้คนไทยเจ้าของประเทศนี้เอง...รับรู้...คิด...และแม้แต่ ทำ...หน้าที่....ของพลเมืองไทย ที่สมบูรณ์บนพื้นฐานของวิจารณญานที่เหมาะสม ได้เสียที
ผมไม่ทราบว่า คุณลุงจำลอง, แกนนำ และพี่น้องพันธมิตรฯ ทั้งอาวุโสและไม่อาวุโส ทั้งหลาย ท่านจะต้องตรากตรำ เสียสละความสุขสบาย ทนลำบาก ต่อการชุมนุม และการให้ความรู้อย่างต่อเนื่องและ เข้มข้น ชัดเจนในข้อมูล ผ่านเวทีกลางแจ้ง ทำเอง ตากแดดตากลม ตากฝน ไปอีกนานนนนนนนนนน เท่าไหร่ครับ ประชาชน พลเมืองไทยผู้เป็นเจ้าของสิทธิทั้งหลาย ที่จะทำให้บ้านเมือง Ship หาย หรือเจริญรุดก้าวหน้า อย่างใดอย่างหนึ่ง
จะรู้ซึ้ง สำนึก คิดอ่าน เรื่องความเข้าใจพื้นฐานมากมากแบบนี้ อย่างใส่ใจ ในหน้าที่เรื่องนี้ของตน ได้เสียที
เราเป็นพลเมืองไทย แบบไหนกันบ้างครับ
แล้วต่อให้เรามีความแตกต่างในเรื่องใดใด ก็ตาม เรื่องประเทศชาติบ้านเมือง เราไม่ได้ต้องการสิ่งที่ดี ถูกต้อง และสร้างความปลอดสิ่งเลวร้าย อำนาจฝ่ายไม่ดี ให้แก่บ้านเมืองของเราเอง..กันหรือครับ
แค่นี้ ไม่ชัดเจนพอหรือครับ ที่จะทำสิ่งที่ดี สิ่งที่ถูกต้อง ควรทำ ในชีวิตของตนเอง สักครั้งนึง เพื่อประเทศของเราในวันนี้
choayo1@gmail.com
ผมไม่ทราบว่า คุณลุงจำลอง, แกนนำ และพี่น้องพันธมิตรฯ ทั้งอาวุโสและไม่อาวุโส ทั้งหลาย ท่านจะต้องตรากตรำ เสียสละความสุขสบาย ทนลำบาก ต่อการชุมนุม และการให้ความรู้อย่างต่อเนื่องและ เข้มข้น ชัดเจนในข้อมูล ผ่านเวทีกลางแจ้ง ทำเอง ตากแดดตากลม ตากฝน ไปอีกนานนนนนนนนนน เท่าไหร่ครับ ประชาชน พลเมืองไทยผู้เป็นเจ้าของสิทธิทั้งหลาย ที่จะทำให้บ้านเมือง Ship หาย หรือเจริญรุดก้าวหน้า อย่างใดอย่างหนึ่ง
จะรู้ซึ้ง สำนึก คิดอ่าน เรื่องความเข้าใจพื้นฐานมากมากแบบนี้ อย่างใส่ใจ ในหน้าที่เรื่องนี้ของตน ได้เสียที
เราเป็นพลเมืองไทย แบบไหนกันบ้างครับ
แล้วต่อให้เรามีความแตกต่างในเรื่องใดใด ก็ตาม เรื่องประเทศชาติบ้านเมือง เราไม่ได้ต้องการสิ่งที่ดี ถูกต้อง และสร้างความปลอดสิ่งเลวร้าย อำนาจฝ่ายไม่ดี ให้แก่บ้านเมืองของเราเอง..กันหรือครับ
แค่นี้ ไม่ชัดเจนพอหรือครับ ที่จะทำสิ่งที่ดี สิ่งที่ถูกต้อง ควรทำ ในชีวิตของตนเอง สักครั้งนึง เพื่อประเทศของเราในวันนี้
choayo1@gmail.com
เศร้าใจระบบคิดของคนไทย
เสื้อแดง แม้จะเห็นแกนนำ หมิ่นพ่อหลวงของแผ่นดิน เผาบ้านเผาเมือง ขัดขวางการบริหารบ้านเมืองทุกอย่าง ก็ยังจะเลือกพรรคเพื่อไทย
เสื้อเหลือง แก้ปัญหาเขาพระวิหารไม่ตรงกับแนวทาง พธม ก็หาว่าเค้าขายชาติ ทั้งๆที่ ทั้งคัดค้านการขึ้นมรดกโลก ปะทะกับเขมร ตอกหน้าฮุนเซนที่อาเซียน ก็ยังไม่วายถูกกล่าวหาว่า สมคบกับเขมร เอาศาลโลกเป็นที่ขายชาติแบบถูกกฏหมาย แล้วมารณรงค์โหวตโน สบายโก๋เพื่อไทยจริงๆ
พธม มี สโลแกน รักที่สุดคือในหลวง หวงที่สุดคือแผ่นดิน
แต่ยอมโหวตโน ทั้งๆที่รู้ว่า จะได้พรรคที่เป็นอันตรายต่อสถาบันมาบริหารแระเทศ และฮุนเซนก็กำลังรอ พรรคเพื่อไทย เพื่อมาเจรจาความชายแดน เพราะ ปชป ไม่ยอมเขมรทุกเรื่อง แล้วอย่างนี้ ขอบอกว่า " โหวตโน โหวตโง่ๆ" จะได้ไหม
คนไทย
เสื้อเหลือง แก้ปัญหาเขาพระวิหารไม่ตรงกับแนวทาง พธม ก็หาว่าเค้าขายชาติ ทั้งๆที่ ทั้งคัดค้านการขึ้นมรดกโลก ปะทะกับเขมร ตอกหน้าฮุนเซนที่อาเซียน ก็ยังไม่วายถูกกล่าวหาว่า สมคบกับเขมร เอาศาลโลกเป็นที่ขายชาติแบบถูกกฏหมาย แล้วมารณรงค์โหวตโน สบายโก๋เพื่อไทยจริงๆ
พธม มี สโลแกน รักที่สุดคือในหลวง หวงที่สุดคือแผ่นดิน
แต่ยอมโหวตโน ทั้งๆที่รู้ว่า จะได้พรรคที่เป็นอันตรายต่อสถาบันมาบริหารแระเทศ และฮุนเซนก็กำลังรอ พรรคเพื่อไทย เพื่อมาเจรจาความชายแดน เพราะ ปชป ไม่ยอมเขมรทุกเรื่อง แล้วอย่างนี้ ขอบอกว่า " โหวตโน โหวตโง่ๆ" จะได้ไหม
คนไทย
Vote No ชอบแล้วด้วยกฏหมาย
Vote No ชอบแล้วด้วยกฏหมาย
Vote No ชอบแล้วที่ไม่ตกเป็นทาสของคนชั่ว
Vote No ชอบแล้วที่ไม่ต้องทำบาปเพราะสนับสนุนคนชั่ว
Vote No ชอบแล้วที่ไม่ทำให้คนชั่วมีอำนาจVote No ชอบแล้วที่ทำให้คนดีรู้สึกว่ามีทางออก
Vote No ชอบแล้วสำหรับผู้มีปัญญา
ขอความเจริญจงมีแก่ ผู้มีสติ สมาธิและ ปัญญา
เพราะ Vote No คือทางออกของคนดีที่ถูกคนชั่วล้อมกรอบ
Vote No ดีแน่
Vote No ชอบแล้วที่ไม่ตกเป็นทาสของคนชั่ว
Vote No ชอบแล้วที่ไม่ต้องทำบาปเพราะสนับสนุนคนชั่ว
Vote No ชอบแล้วที่ไม่ทำให้คนชั่วมีอำนาจVote No ชอบแล้วที่ทำให้คนดีรู้สึกว่ามีทางออก
Vote No ชอบแล้วสำหรับผู้มีปัญญา
ขอความเจริญจงมีแก่ ผู้มีสติ สมาธิและ ปัญญา
เพราะ Vote No คือทางออกของคนดีที่ถูกคนชั่วล้อมกรอบ
Vote No ดีแน่
จะโหวตโนกันไปเพื่ออะไร โดย สุรวิชช์ วีรวรรณ
โพลเกือบทุกโพลบอกว่าประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเลือกใคร โพลเกือบทุกโพลบอกว่า พรรคเพื่อไทยของทักษิณจะชนะพรรคประชาธิปัตย์
บ่งชี้ว่า มีแนวโน้มว่าการเลือกตั้งในระบบที่กำลังเกิดขึ้นนั้นพรรคประชาธิปัตย์จะแพ้พรรคเพื่อไทยอย่างแน่นอน และมีแนวโน้มว่า พรรคประชาธิปัตย์รวมกับพรรคภูมิใจไทยแล้วยังแพ้พรรคเพื่อไทยด้วย ซึ่งตอกย้ำว่า พรรคประชาธิปัตย์จะแพ้เกมในสภาและประทับตราความชอบธรรมให้กับพรรคเพื่อไทย
ถ้าสู้กันแค่นี้ไม่มีเหตุพลิกผัน นั่นหมายความว่า เราจะต้องจำนนอยู่ภายใต้การบริหารของพรรคเพื่อไทยไปอีก 4 ปี และเราจะมีนายกฯ หญิงคนแรกชื่อ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
และวันนั้นโลกก็คงต้องจารึกว่า เรามีนายกฯ หญิงที่แปลกที่สุดในโลกประชาธิปไตย เพราะเธอเสนอตัวต่อประชาชนและได้รับการคัดเลือกมา โดยที่ไม่เคยมีเกียรติประวัติในการต่อสู้ทางการเมืองมาก่อน ไม่เคยมีประวัติในการทำงานเพื่อสังคมและสาธารณะ แต่อวตารมาจากร่างทรงของพี่ชาย คล้ายกับการสืบทอดอำนาจในเกาหลีเหนือ เพียงแต่ของเรานั้นอ้างว่ามาจากระบอบประชาธิปไตยและมาจากการเลือกตั้ง
ถ้าจะว่าไปแล้วอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะก็ไม่ได้ต่างกับยิ่งลักษณ์มากนักในฐานะที่มา เพราะเป็นนักเรียนนอกจบมาแล้วก็มาเล่นการเมืองสมัคร ส.ส.เป็นรมต.ไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน เป็นหัวหน้าพรรคและก็เป็นนายกรัฐมนตรีที่เราเห็นการบริหารงานแล้วว่าเป็นอย่างไรตลอดเกือบ 3 ปีที่ผ่านมา บ้านเมืองถูกเผาไป 2 ครั้ง และคนเผาบ้านเผาเมืองก็ถูกปล่อยออกมาโดยมาตรการและนโยบายของรัฐบาล
การที่ประชาชนจำนวนมากยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเลือกใคร คนกลุ่มนี้เป็นคนกลุ่มใหญ่ เมื่อเทียบกับกลุ่มที่จงรักภักดีต่อพรรคการเมืองคนเสื้อแดงส่วนใหญ่นั้นเลือกพรรคเพื่อไทยแน่ เช่นเดียวกับบรรดาพ่อยกแม่ยกพรรคประชาธิปัตย์ส่วนหนึ่ง และคนจำนวนหนึ่งอย่างน้อย คือ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมีเจตจำนงมุ่งหมายชัดเจนแล้วว่าจะไปกาช่องไม่ประสงค์จะเลือกใครหรือโหวตโน
แล้วคนกลุ่มใหญ่ที่ยังไม่ตัดสินใจจะไปทางไหน
แต่คำตอบที่เราพอจะเห็นเค้าลางอยู่แล้วว่า ถ้าเราเลือกพรรคไหนเป็นรัฐบาลระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทยของทักษิณนั้น ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร
พรรคเพื่อไทยนั้นประกาศชัดเจนแล้วว่า ถ้าได้เป็นรัฐบาลจะเอาทักษิณกลับประเทศและออกกฎหมายนิรโทษกรรมและสร้างบรรยากาศปรองดอง รวมไปถึงเหตุการณ์ทางการเมืองหลัง 19 ก.ย. 2549 ทั้งหมด ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องมีคนออกมาต่อต้าน พันธมิตรฯ เองก็บอกแล้วว่า ไม่เอานิรโทษฯ และพร้อมจะเดินหน้าสู้ในกระบวนการยุติธรรม นั่นหมายความว่า จะทำให้สถานการณ์บ้านเมืองไม่สามารถปรองดองได้อย่างที่คาดหวัง
ถ้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล นอกจากเราเห็นประสิทธิภาพการบริหารงานของอภิสิทธิ์ตลอดเกือบ 3 ปีแล้วว่า เป็นอย่างไร คนเสื้อแดงซึ่งต้องการให้ทักษิณกลับบ้านก็จะลุกขึ้นมาก่อหวอดอีกครั้ง พวกเขาจะมีประสิทธิภาพในการทำลายล้างมากขึ้น เพราะแกนนำหลายคนจะมีเอกสิทธิ์ในสภาในฐานะ ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย
ความไม่สงบสุขและฝันร้ายของคนไทยในการเผาบ้านเผาเมืองที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว และปีก่อนจะย้อนมาหลอกหลอนคนไทยอีกครั้ง
ไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์หรือพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล เรื่องจึงไม่จบ ไม่สงบ และไม่มีวันปรองดอง
แล้วทางไหนคือทางออกของประเทศไทย ข้อเสนอโหวตโนของพันธมิตรฯ เป็นทางออกหรือไม่ และเมื่อโหวตโนไม่ได้มีผลในทางกฎหมายคะแนนโหวตโนจะเป็นคะแนนที่สูญเปล่าหรือไม่
ก่อนจะตอบคำถามนี้เราต้องถามตัวเองก่อนว่า เราเชื่อใช่ไหมว่า เลือกตั้งครั้งนี้พรรคที่มีแนวโน้มชนะเลือกตั้งแน่คือพรรคเพื่อไทย แล้วลองนึกต่อไปว่า บ้านเมืองจะมีสภาพเป็นอย่างไร
เมื่อพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล คะแนนที่เลือกพรรคประชาธิปัตย์จะเป็นคะแนนที่มีค่าเป็นเพียงการประทับความชอบธรรมให้กับพรรคเพื่อไทยใช่หรือไม่ เลือกพรรคประชาธิปัตย์เพื่อไปเป็นผู้พ่ายแพ้ในระบบรัฐสภาใช่หรือไม่
และถ้าเราได้พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล ต้องถามตัวเองว่า เราจะยอมรับการนิรโทษกรรมเพื่อทำลายกระบวนการยุติธรรมหรือไม่
ตอบคำถามให้ได้ว่า ถ้าเราไม่เอาโหวตโน การเลือกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งหรือผู้สมัครคนใดคนหนึ่งมีผลต่อบ้านเมืองอย่างไร เลือกไปแล้วได้อะไรขึ้นมาบ้าง
แม้ว่า โหวตโนจะไม่มีผลทางกฎหมายแล้วการเลือกพรรคการเมืองใด พรรคการเมืองหนึ่งหรือผู้สมัครคนใดคนหนึ่งมีผลอะไรที่เป็นบวกต่อบ้านเมืองขึ้นมาบ้าง
คำตอบก็คือ เราได้นักการเมืองชุดใดชุดหนึ่งเข้ามาบริหารประเทศและกอบโกยโกงกินหาประโยชน์จากการบริหารบ้านเมืองต่อไป
ถามว่า ถึงเราจะโหวตโนกันมากเท่าไหร่ เพราะต่อให้ชนะพรรคที่ได้คะแนนเสียงเป็นอันดับหนึ่ง พรรคการเมืองพรรคนั้นก็ได้เป็นรัฐบาลอยู่ดี
คำถามนี้แม้จะเป็นไปได้ยาก เราคงไม่คาดหวังเสียงโหวตโนมากขนาดนั้น ขอเพียงแต่ให้เสียงโหวตโนมากกว่าเที่ยวที่แล้วสัก 1 เท่า จาก 1.5 ล้านเป็น 3 ล้านก็พอ แต่ถ้าเป็นจริงถามว่า เมื่อมีคะแนนเสียงโหวตโนจำนวนมาก พลังของเสียงโหวตโนจะสามารถกดดันให้เกิดการปฏิรูปการเมืองหรือไม่ แล้วถามกลับไปว่า ถ้าพรรคใดพรรคหนึ่งเข้ามาบริหารประเทศในขณะที่ประชาชนมีเสียงเรียกร้องให้ปฏิรูปการเมืองมาก เขาจะบริหารประเทศไปโดยไม่รับฟังเสียงเรียกร้องของประชาชนได้หรือไม่
ในทางกลับกัน ถ้าเราไม่กล้าที่จะเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในบ้านเมือง และคิดไปว่าโหวตโนจะสูญเปล่ายอมจำนนอยู่กับระบอบการเมืองที่เป็นอยู่ ถามว่า เราจะรอให้นักการเมืองเปลี่ยนแปลงตัวเอง และสร้างระบบการเมืองที่ป้องกันการทุจริตคอร์รัปชัน และสร้างระบบริหารประเทศที่มีประสิทธิภาพขึ้นมาหรือไม่
และถ้าเป็นเช่นนั้น หน้าที่ของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย ก็จะมีเพียงการออกไปเลือกตั้ง 4 ปีครั้งหนึ่งใช่หรือไม่ เมื่อได้รับการเลือกตั้งแล้วเราก็ยอมที่จะให้นักการเมืองบริหารประเทศอย่างไรก็ได้ใช่หรือไม่ เราจะยอมเป็นพลเมืองของประเทศที่เดินไปตามระบอบและระบบอย่างเชื่องๆ
หรือเราคิดว่า เราควรจะมีส่วนในการกำหนดชะตากรรมของบ้านเมืองด้วยตัวเราเอง
การออกมาเรียกร้องเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในบ้านเมืองภายใต้ระบอบประชาธิปไตยนั้น เป็นเพียงภาระหน้าที่ของพันธมิตรฯ หรือควรจะเป็นของคนไทยทุกคน
เราต้องตอบตัวเองให้ได้ว่า การทุจริตคอร์รัปชันของนักการเมืองนั้น มันมีผลกระทบต่อประชาชนที่เป็นพันธมิตรฯ เท่านั้นหรือ คำตอบ ย่อมไม่ใช่ เมื่อเป็นเช่นนั้น เราจะยอมให้บ้านเมืองเป็นขุมทรัพย์ที่นักการเมืองผลัดกันเข้าไปหาผลประโยชน์เท่านั้นหรือ ทำไมเราไม่ลุกขึ้นมาพร้อมที่จะร่วมกันสร้างกติกาของประเทศขึ้นมาใหม่เพื่อหยุดวิกฤตของบ้านเมือง
เราต้องถามตัวเองซิครับว่า ปัญหาของบ้านเมืองทุกวันนี้ ที่ประชาชนแบ่งฝักแบ่งฝ่ายนั้น มาจากปัญหาของนักการเมืองหรือของประชาชน ถ้านักการเมืองไม่โกงบ้านโกงเมืองจะเกิดวิกฤตการณ์การแบ่งสีเสื้ออย่างทุกวันนี้ไหม
เราจะยอมจำนนต่อนักการเมืองด้วยการทำหน้าที่เข้าคูหากาบัตรเลือกพรรคใดพรรคหนึ่งหรือคนใดคนหนึ่ง หรือจะเข้าคูหาไปกาช่อง “ไม่ประสงค์จะเลือกใคร”เพื่อบอกพวกเขาว่าเราต้องการการเปลี่ยนแปลง
บ่งชี้ว่า มีแนวโน้มว่าการเลือกตั้งในระบบที่กำลังเกิดขึ้นนั้นพรรคประชาธิปัตย์จะแพ้พรรคเพื่อไทยอย่างแน่นอน และมีแนวโน้มว่า พรรคประชาธิปัตย์รวมกับพรรคภูมิใจไทยแล้วยังแพ้พรรคเพื่อไทยด้วย ซึ่งตอกย้ำว่า พรรคประชาธิปัตย์จะแพ้เกมในสภาและประทับตราความชอบธรรมให้กับพรรคเพื่อไทย
ถ้าสู้กันแค่นี้ไม่มีเหตุพลิกผัน นั่นหมายความว่า เราจะต้องจำนนอยู่ภายใต้การบริหารของพรรคเพื่อไทยไปอีก 4 ปี และเราจะมีนายกฯ หญิงคนแรกชื่อ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
และวันนั้นโลกก็คงต้องจารึกว่า เรามีนายกฯ หญิงที่แปลกที่สุดในโลกประชาธิปไตย เพราะเธอเสนอตัวต่อประชาชนและได้รับการคัดเลือกมา โดยที่ไม่เคยมีเกียรติประวัติในการต่อสู้ทางการเมืองมาก่อน ไม่เคยมีประวัติในการทำงานเพื่อสังคมและสาธารณะ แต่อวตารมาจากร่างทรงของพี่ชาย คล้ายกับการสืบทอดอำนาจในเกาหลีเหนือ เพียงแต่ของเรานั้นอ้างว่ามาจากระบอบประชาธิปไตยและมาจากการเลือกตั้ง
ถ้าจะว่าไปแล้วอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะก็ไม่ได้ต่างกับยิ่งลักษณ์มากนักในฐานะที่มา เพราะเป็นนักเรียนนอกจบมาแล้วก็มาเล่นการเมืองสมัคร ส.ส.เป็นรมต.ไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน เป็นหัวหน้าพรรคและก็เป็นนายกรัฐมนตรีที่เราเห็นการบริหารงานแล้วว่าเป็นอย่างไรตลอดเกือบ 3 ปีที่ผ่านมา บ้านเมืองถูกเผาไป 2 ครั้ง และคนเผาบ้านเผาเมืองก็ถูกปล่อยออกมาโดยมาตรการและนโยบายของรัฐบาล
การที่ประชาชนจำนวนมากยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเลือกใคร คนกลุ่มนี้เป็นคนกลุ่มใหญ่ เมื่อเทียบกับกลุ่มที่จงรักภักดีต่อพรรคการเมืองคนเสื้อแดงส่วนใหญ่นั้นเลือกพรรคเพื่อไทยแน่ เช่นเดียวกับบรรดาพ่อยกแม่ยกพรรคประชาธิปัตย์ส่วนหนึ่ง และคนจำนวนหนึ่งอย่างน้อย คือ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมีเจตจำนงมุ่งหมายชัดเจนแล้วว่าจะไปกาช่องไม่ประสงค์จะเลือกใครหรือโหวตโน
แล้วคนกลุ่มใหญ่ที่ยังไม่ตัดสินใจจะไปทางไหน
แต่คำตอบที่เราพอจะเห็นเค้าลางอยู่แล้วว่า ถ้าเราเลือกพรรคไหนเป็นรัฐบาลระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทยของทักษิณนั้น ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร
พรรคเพื่อไทยนั้นประกาศชัดเจนแล้วว่า ถ้าได้เป็นรัฐบาลจะเอาทักษิณกลับประเทศและออกกฎหมายนิรโทษกรรมและสร้างบรรยากาศปรองดอง รวมไปถึงเหตุการณ์ทางการเมืองหลัง 19 ก.ย. 2549 ทั้งหมด ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องมีคนออกมาต่อต้าน พันธมิตรฯ เองก็บอกแล้วว่า ไม่เอานิรโทษฯ และพร้อมจะเดินหน้าสู้ในกระบวนการยุติธรรม นั่นหมายความว่า จะทำให้สถานการณ์บ้านเมืองไม่สามารถปรองดองได้อย่างที่คาดหวัง
ถ้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล นอกจากเราเห็นประสิทธิภาพการบริหารงานของอภิสิทธิ์ตลอดเกือบ 3 ปีแล้วว่า เป็นอย่างไร คนเสื้อแดงซึ่งต้องการให้ทักษิณกลับบ้านก็จะลุกขึ้นมาก่อหวอดอีกครั้ง พวกเขาจะมีประสิทธิภาพในการทำลายล้างมากขึ้น เพราะแกนนำหลายคนจะมีเอกสิทธิ์ในสภาในฐานะ ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย
ความไม่สงบสุขและฝันร้ายของคนไทยในการเผาบ้านเผาเมืองที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว และปีก่อนจะย้อนมาหลอกหลอนคนไทยอีกครั้ง
ไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์หรือพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล เรื่องจึงไม่จบ ไม่สงบ และไม่มีวันปรองดอง
แล้วทางไหนคือทางออกของประเทศไทย ข้อเสนอโหวตโนของพันธมิตรฯ เป็นทางออกหรือไม่ และเมื่อโหวตโนไม่ได้มีผลในทางกฎหมายคะแนนโหวตโนจะเป็นคะแนนที่สูญเปล่าหรือไม่
ก่อนจะตอบคำถามนี้เราต้องถามตัวเองก่อนว่า เราเชื่อใช่ไหมว่า เลือกตั้งครั้งนี้พรรคที่มีแนวโน้มชนะเลือกตั้งแน่คือพรรคเพื่อไทย แล้วลองนึกต่อไปว่า บ้านเมืองจะมีสภาพเป็นอย่างไร
เมื่อพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล คะแนนที่เลือกพรรคประชาธิปัตย์จะเป็นคะแนนที่มีค่าเป็นเพียงการประทับความชอบธรรมให้กับพรรคเพื่อไทยใช่หรือไม่ เลือกพรรคประชาธิปัตย์เพื่อไปเป็นผู้พ่ายแพ้ในระบบรัฐสภาใช่หรือไม่
และถ้าเราได้พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล ต้องถามตัวเองว่า เราจะยอมรับการนิรโทษกรรมเพื่อทำลายกระบวนการยุติธรรมหรือไม่
ตอบคำถามให้ได้ว่า ถ้าเราไม่เอาโหวตโน การเลือกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งหรือผู้สมัครคนใดคนหนึ่งมีผลต่อบ้านเมืองอย่างไร เลือกไปแล้วได้อะไรขึ้นมาบ้าง
แม้ว่า โหวตโนจะไม่มีผลทางกฎหมายแล้วการเลือกพรรคการเมืองใด พรรคการเมืองหนึ่งหรือผู้สมัครคนใดคนหนึ่งมีผลอะไรที่เป็นบวกต่อบ้านเมืองขึ้นมาบ้าง
คำตอบก็คือ เราได้นักการเมืองชุดใดชุดหนึ่งเข้ามาบริหารประเทศและกอบโกยโกงกินหาประโยชน์จากการบริหารบ้านเมืองต่อไป
ถามว่า ถึงเราจะโหวตโนกันมากเท่าไหร่ เพราะต่อให้ชนะพรรคที่ได้คะแนนเสียงเป็นอันดับหนึ่ง พรรคการเมืองพรรคนั้นก็ได้เป็นรัฐบาลอยู่ดี
คำถามนี้แม้จะเป็นไปได้ยาก เราคงไม่คาดหวังเสียงโหวตโนมากขนาดนั้น ขอเพียงแต่ให้เสียงโหวตโนมากกว่าเที่ยวที่แล้วสัก 1 เท่า จาก 1.5 ล้านเป็น 3 ล้านก็พอ แต่ถ้าเป็นจริงถามว่า เมื่อมีคะแนนเสียงโหวตโนจำนวนมาก พลังของเสียงโหวตโนจะสามารถกดดันให้เกิดการปฏิรูปการเมืองหรือไม่ แล้วถามกลับไปว่า ถ้าพรรคใดพรรคหนึ่งเข้ามาบริหารประเทศในขณะที่ประชาชนมีเสียงเรียกร้องให้ปฏิรูปการเมืองมาก เขาจะบริหารประเทศไปโดยไม่รับฟังเสียงเรียกร้องของประชาชนได้หรือไม่
ในทางกลับกัน ถ้าเราไม่กล้าที่จะเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในบ้านเมือง และคิดไปว่าโหวตโนจะสูญเปล่ายอมจำนนอยู่กับระบอบการเมืองที่เป็นอยู่ ถามว่า เราจะรอให้นักการเมืองเปลี่ยนแปลงตัวเอง และสร้างระบบการเมืองที่ป้องกันการทุจริตคอร์รัปชัน และสร้างระบบริหารประเทศที่มีประสิทธิภาพขึ้นมาหรือไม่
และถ้าเป็นเช่นนั้น หน้าที่ของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย ก็จะมีเพียงการออกไปเลือกตั้ง 4 ปีครั้งหนึ่งใช่หรือไม่ เมื่อได้รับการเลือกตั้งแล้วเราก็ยอมที่จะให้นักการเมืองบริหารประเทศอย่างไรก็ได้ใช่หรือไม่ เราจะยอมเป็นพลเมืองของประเทศที่เดินไปตามระบอบและระบบอย่างเชื่องๆ
หรือเราคิดว่า เราควรจะมีส่วนในการกำหนดชะตากรรมของบ้านเมืองด้วยตัวเราเอง
การออกมาเรียกร้องเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในบ้านเมืองภายใต้ระบอบประชาธิปไตยนั้น เป็นเพียงภาระหน้าที่ของพันธมิตรฯ หรือควรจะเป็นของคนไทยทุกคน
เราต้องตอบตัวเองให้ได้ว่า การทุจริตคอร์รัปชันของนักการเมืองนั้น มันมีผลกระทบต่อประชาชนที่เป็นพันธมิตรฯ เท่านั้นหรือ คำตอบ ย่อมไม่ใช่ เมื่อเป็นเช่นนั้น เราจะยอมให้บ้านเมืองเป็นขุมทรัพย์ที่นักการเมืองผลัดกันเข้าไปหาผลประโยชน์เท่านั้นหรือ ทำไมเราไม่ลุกขึ้นมาพร้อมที่จะร่วมกันสร้างกติกาของประเทศขึ้นมาใหม่เพื่อหยุดวิกฤตของบ้านเมือง
เราต้องถามตัวเองซิครับว่า ปัญหาของบ้านเมืองทุกวันนี้ ที่ประชาชนแบ่งฝักแบ่งฝ่ายนั้น มาจากปัญหาของนักการเมืองหรือของประชาชน ถ้านักการเมืองไม่โกงบ้านโกงเมืองจะเกิดวิกฤตการณ์การแบ่งสีเสื้ออย่างทุกวันนี้ไหม
เราจะยอมจำนนต่อนักการเมืองด้วยการทำหน้าที่เข้าคูหากาบัตรเลือกพรรคใดพรรคหนึ่งหรือคนใดคนหนึ่ง หรือจะเข้าคูหาไปกาช่อง “ไม่ประสงค์จะเลือกใคร”เพื่อบอกพวกเขาว่าเราต้องการการเปลี่ยนแปลง
รำลึกการชุมนุมพันธมิตรฯ 193 วัน ครบรอบ 3 ปี โดย ประพันธ์ คูณมี
บนเวทีการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และกลุ่มประชาชนไทยผู้รักชาติ ภายใต้การนำของคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย ได้มีการจัดงานรำลึกครบรอบ 3 ปีของการชุมนุมพันธมิตรฯ 193 วัน เมื่อ 25 พฤษภาคม 2554 การชุมนุมของประชาชนที่ยืดเยื้อยาวนานที่สุดในประเทศไทย หรืออาจเป็นที่สุดระดับโลกก็ว่าได้นี้ ได้เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2551 บนถนนราชดำเนินตั้งต้นที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และเคลื่อนขบวนมาปักหลักอยู่ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ยืดเยื้อไปจนถึงในทำเนียบรัฐบาล เคลื่อนขบวนดาวกระจายไปหลายแห่ง โดยไม่จบลงและประกาศยุติการชุมนุมเมื่อ 3 ธันวาคม 2551 ณ บริเวณด้านหน้าอาคารสนามบินสุวรรณภูมิ
การชุมนุมอันยืดเยื้อยาวนานที่สุดของการชุมนุมการเมืองภาคประชาชนครั้งนี้ ได้สร้างประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศไทยขึ้น อย่างยากที่จะหาใครหรือเหตุการณ์การชุมนุมใดๆ มาลบล้างได้ยากอีกนานเท่านาน เหตุปัจจัยสำคัญที่เป็นแรงบันดาลใจให้ประชาชนเรือนแสนเรือนล้านมาร่วมชุมนุมเพื่อต่อต้านคัดค้านรัฐบาลทักษิณ หรือตัวแทนหุ่นเชิดของเขาอย่างกล้าหาญ เสียสละ และทรหดอดทนนั้น จึงเป็นบทเรียนที่น่าศึกษาอย่างยิ่ง เมื่อทบทวนถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้ว น่าจะพิจารณาถึงมูลเหตุได้ดังนี้คือ
1. รัฐบาลทักษิณโดยสมุนหุ่นเชิด ไม่ว่าจะเป็นนายสมัคร สุนทรเวช หรือนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นรัฐบาลตัวแทนของกลุ่มทุนนิยมสามานย์ และทุนผูกขาดขนาดใหญ่ของประเทศไทย ที่เข้ายึดกุมอำนาจรัฐ โดยผูกขาดรวบอำนาจทางการเมืองแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดไว้ที่ตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่เพียงผู้เดียว
2. ทักษิณ และครอบครัวญาติพี่น้องกับสมุนบริวาร ต่างเข้ายึดกุมอำนาจทางเศรษฐกิจ ฮุบเอาผลประโยชน์ทางธุรกิจไว้ในกำมือแทบทุกด้าน ขยายอำนาจอิทธิพลไปจนถึงการยึดหรือแปรรูปเอากิจการสำคัญๆ ของรัฐ รัฐวิสาหกิจที่เป็นแหล่งผลประโยชน์ขนาดมหึมา มาเป็นของตนเองและพวกพ้อง อาทิ แปรรูปกิจการการปิโตรเลียม (ปตท.), การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ, การขนส่งทางเรือ, อากาศ ฯลฯ
3. ทักษิณกับพวกยึดกุมกลไกอำนาจรัฐ คือ ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ครอบงำสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และสื่อสารมวลชนครบวงจร ทั้งหมดเพื่อสนองอำนาจของตน โดยการทุจริตคอร์รัปชัน และปกปิดการกระทำความผิดของเขา และคณะรัฐมนตรี
4. กลไกการตรวจสอบ และบรรดาองค์กรอิสระทั้งหลายถูกแทรกแซง ครอบงำ ไม่สามารถทำหน้าที่ควบคุมตรวจสอบการบริหารประเทศที่ผิดพลาด ล้มเหลว และเต็มไปด้วยการโกง ทุจริต และประพฤติมิชอบทั้งหลายของรัฐบาลขณะนั้นได้ จนองค์กรเหล่านั้นกลายเป็นเสือกระดาษ ง่อยเปลี้ยไร้ประสิทธิภาพโดยสิ้นเชิง
5. ภายใต้การปกครองของทักษิณ และรัฐบาลหุ่นเชิดของเขา สถาบันพระมหากษัตริย์ถูกคุกคามท้าทายอย่างหนัก ด้วยความเหิมเกริมในอำนาจ เหลิงอำนาจที่ได้มาแบบเบ็ดเสร็จทำให้ทักษิณ ถูกมองและตั้งข้อสงสัยถึงปัญหาความจงรักภักดีอย่างมาก เพราะพฤติกรรมและคำพูดหลายอย่างของเขา ทำให้ประชาชนผู้จงรักภักดี ไม่พอใจ และไม่เชื่อมั่นในตัวทักษิณในเรื่องนี้
ด้วยเหตุปัจจัยหลักสำคัญทั้ง 5 ประการดังกล่าว ได้กลายเป็นเชื้อไฟที่ทำให้ประชาชนลุกขึ้นมาต่อต้านคัดค้านทักษิณ และ “ระบอบทักษิณ” ลุกลามไปในขอบข่ายทั่วประเทศ ผ่านการก่อตัวจากเล็กสู่ใหญ่ และขยายตัวไปเรื่อยๆ โดยเริ่มจากการเกิดขึ้นของ “ชมรมคนรู้ทัน” เมื่อ 8 สิงหาคม 2547 ภายใต้การนำของ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ที่ปรึกษา พล.ท.เจริญศักดิ์ เที่ยงธรรม เป็นประธานชมรม พล.ท.อณุ สุมิตร เป็นรองประธาน ประพันธ์ คูณมี รับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางกฎหมาย โดยมีบุคคลในวงสังคมชั้นสูงมากมายเข้าร่วมเป็นสมาชิก
จากชมรมดังกล่าว ก็พัฒนาเป็นคณะประชาชนเพื่อชาติ ราชบัลลังก์ จัดให้มีการชุมนุมที่สนามหลวงเพื่อต่อต้าน และคัดค้านรัฐบาลทักษิณ เมื่อ 25 กันยายน 2547 การเคลื่อนไหวในช่วงแรกนี้ แม้จะยังไม่ประสบผลสำเร็จสามารถโค่นล้มขับไล่รัฐบาลทักษิณได้ก็ตาม แต่ก็เป็นการจุดประกายไฟของการต่อสู้ และเป็นหน่ออ่อนให้แก่การเกิดของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในเวลาต่อมา
เมื่อการเคลื่อนไหวของประชาชนรุ่นบุกเบิกได้มาบรรจบกับการเกิดขึ้นทางรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ครั้งที่ 1 เมื่อ 23 กันยายน 2548 ที่ทำและดำเนินรายการโดย คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้จุดเทียนแห่งธรรม จัดรายการให้ปัญญา สาระความรู้ เปิดโปงการทุจริต คดโกงของทักษิณและพวก ผ่านการถ่ายทอดของ ASTV ทีวีของประชาชน ทำให้การต่อสู้ของภาคประชาชนพัฒนากลายเป็นกระแสคลื่นลูกใหม่ ถาโถมเข้าใส่รัฐบาลทักษิณ และสมุนหุ่นเชิดของเขาอย่างหนัก สุดที่จะต้านทานได้ การเกิดขึ้นของปรากฏการณ์สนธิ “ผู้นำและผู้ปลุกให้ประชาชนตื่น” หรือจะเรียกว่า “ผู้นำการต่อสู้ของประชาชนยุคดิจิตอล” ก็ว่าได้ เขาคือผู้ทำให้ก่อเกิดขบวนการภาคประชาชนที่ชื่อ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย”
หลังจากรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร เกิดขึ้นหลายสิบครั้ง จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขยายตัวสู่สวนลุมพินี มีผู้คนเข้าร่วมมากมายล้นหลามนับหมื่นหรือเรือนแสน รวมถึงผู้รับชมทางหน้าจออีกนับล้านๆ คน พลังของประชาชนที่ไหลมารวมกัน ด้วยจิตใจมุ่งมั่นต่อสู้ในเป้าหมายเดียวกัน คือ ไล่รัฐบาลทักษิณ จึงเกิดขึ้นด้วยการนำเดี่ยวของ สนธิ ลิ้มทองกุล ในช่วงแรก ด้วยการเคลื่อนพลออกจากสวนลุมพินีสู่ลานพระบรมรูปทรงม้า เมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2549 หลังจากนั้น 9 กุมภาพันธ์ 2549 จึงกำเนิด “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” อย่างเป็นทางการ และเมื่อเกิดเหตุการณ์ยึดอำนาจ 19 กันยายน 2549 จึงปิดฉากการต่อสู้และการชุมนุมพันธมิตรฯ ภาคที่ 1 ลงนับแต่นั้น
การชุมนุมของพันธมิตรฯ ในวันที่ 25 พฤษภาคม 2551 และที่มีการจัดงานรำลึกในปีนี้ ครบรอบ 3 ปีนั้น ถือเป็นการชุมนุมพันธมิตรฯ ภาคที่ 2 ซึ่งเป็นภาคที่ยืดเยื้อยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ ตลอดระยะเวลา 7 ปีของการเมืองไทย จึงเป็นหน้าประวัติศาสตร์การเมืองที่เขียนโดยภาคประชาชน คำถามก็คือ พันธมิตรฯ ต่อสู้กับอะไร และอนาคตจะมุ่งไปทิศทางใด จึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจ และติดตามอย่างยิ่ง ในฐานะที่ผู้เขียนเป็นหนึ่งในหัวขบวนของการต่อสู้นี้ อยากจะบอกว่า
1. พันธมิตรฯ คือ ประชาชนผู้มีความคิดก้าวหน้า รักชาติ รักความเป็นธรรม
2. เขาคือพลเมืองที่อาสาปกป้องสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ด้วยชีวิต
3. พวกเขารังเกียจและต่อต้านนักการเมืองที่ทุจริต ฉ้อฉล คดโกงประเทศชาติ ประชาชน
4. เขาคือกลุ่มคนที่พร้อมเสียสละ อุทิศตนเพื่อส่วนรวม และผลประโยชน์ของชาติ โดยมิได้เรียกร้องผลประโยชน์ใดๆ ตอบแทน
5. เขาคือกลุ่มประชาชนผู้มีพลัง และความสามัคคีเพื่อต่อสู้กับความไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรมทั้งหลายในบ้านเมือง
ด้วยคุณลักษณะสำคัญที่ดีงามดังกล่าว พันธมิตรฯ จึงเป็นพลเมืองผู้เป็นกำลังของแผ่นดิน เขาคือประชาชนที่ทรงคุณค่า ด้วยคารวะ
การชุมนุมอันยืดเยื้อยาวนานที่สุดของการชุมนุมการเมืองภาคประชาชนครั้งนี้ ได้สร้างประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศไทยขึ้น อย่างยากที่จะหาใครหรือเหตุการณ์การชุมนุมใดๆ มาลบล้างได้ยากอีกนานเท่านาน เหตุปัจจัยสำคัญที่เป็นแรงบันดาลใจให้ประชาชนเรือนแสนเรือนล้านมาร่วมชุมนุมเพื่อต่อต้านคัดค้านรัฐบาลทักษิณ หรือตัวแทนหุ่นเชิดของเขาอย่างกล้าหาญ เสียสละ และทรหดอดทนนั้น จึงเป็นบทเรียนที่น่าศึกษาอย่างยิ่ง เมื่อทบทวนถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้ว น่าจะพิจารณาถึงมูลเหตุได้ดังนี้คือ
1. รัฐบาลทักษิณโดยสมุนหุ่นเชิด ไม่ว่าจะเป็นนายสมัคร สุนทรเวช หรือนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นรัฐบาลตัวแทนของกลุ่มทุนนิยมสามานย์ และทุนผูกขาดขนาดใหญ่ของประเทศไทย ที่เข้ายึดกุมอำนาจรัฐ โดยผูกขาดรวบอำนาจทางการเมืองแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดไว้ที่ตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่เพียงผู้เดียว
2. ทักษิณ และครอบครัวญาติพี่น้องกับสมุนบริวาร ต่างเข้ายึดกุมอำนาจทางเศรษฐกิจ ฮุบเอาผลประโยชน์ทางธุรกิจไว้ในกำมือแทบทุกด้าน ขยายอำนาจอิทธิพลไปจนถึงการยึดหรือแปรรูปเอากิจการสำคัญๆ ของรัฐ รัฐวิสาหกิจที่เป็นแหล่งผลประโยชน์ขนาดมหึมา มาเป็นของตนเองและพวกพ้อง อาทิ แปรรูปกิจการการปิโตรเลียม (ปตท.), การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ, การขนส่งทางเรือ, อากาศ ฯลฯ
3. ทักษิณกับพวกยึดกุมกลไกอำนาจรัฐ คือ ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ครอบงำสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และสื่อสารมวลชนครบวงจร ทั้งหมดเพื่อสนองอำนาจของตน โดยการทุจริตคอร์รัปชัน และปกปิดการกระทำความผิดของเขา และคณะรัฐมนตรี
4. กลไกการตรวจสอบ และบรรดาองค์กรอิสระทั้งหลายถูกแทรกแซง ครอบงำ ไม่สามารถทำหน้าที่ควบคุมตรวจสอบการบริหารประเทศที่ผิดพลาด ล้มเหลว และเต็มไปด้วยการโกง ทุจริต และประพฤติมิชอบทั้งหลายของรัฐบาลขณะนั้นได้ จนองค์กรเหล่านั้นกลายเป็นเสือกระดาษ ง่อยเปลี้ยไร้ประสิทธิภาพโดยสิ้นเชิง
5. ภายใต้การปกครองของทักษิณ และรัฐบาลหุ่นเชิดของเขา สถาบันพระมหากษัตริย์ถูกคุกคามท้าทายอย่างหนัก ด้วยความเหิมเกริมในอำนาจ เหลิงอำนาจที่ได้มาแบบเบ็ดเสร็จทำให้ทักษิณ ถูกมองและตั้งข้อสงสัยถึงปัญหาความจงรักภักดีอย่างมาก เพราะพฤติกรรมและคำพูดหลายอย่างของเขา ทำให้ประชาชนผู้จงรักภักดี ไม่พอใจ และไม่เชื่อมั่นในตัวทักษิณในเรื่องนี้
ด้วยเหตุปัจจัยหลักสำคัญทั้ง 5 ประการดังกล่าว ได้กลายเป็นเชื้อไฟที่ทำให้ประชาชนลุกขึ้นมาต่อต้านคัดค้านทักษิณ และ “ระบอบทักษิณ” ลุกลามไปในขอบข่ายทั่วประเทศ ผ่านการก่อตัวจากเล็กสู่ใหญ่ และขยายตัวไปเรื่อยๆ โดยเริ่มจากการเกิดขึ้นของ “ชมรมคนรู้ทัน” เมื่อ 8 สิงหาคม 2547 ภายใต้การนำของ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ที่ปรึกษา พล.ท.เจริญศักดิ์ เที่ยงธรรม เป็นประธานชมรม พล.ท.อณุ สุมิตร เป็นรองประธาน ประพันธ์ คูณมี รับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางกฎหมาย โดยมีบุคคลในวงสังคมชั้นสูงมากมายเข้าร่วมเป็นสมาชิก
จากชมรมดังกล่าว ก็พัฒนาเป็นคณะประชาชนเพื่อชาติ ราชบัลลังก์ จัดให้มีการชุมนุมที่สนามหลวงเพื่อต่อต้าน และคัดค้านรัฐบาลทักษิณ เมื่อ 25 กันยายน 2547 การเคลื่อนไหวในช่วงแรกนี้ แม้จะยังไม่ประสบผลสำเร็จสามารถโค่นล้มขับไล่รัฐบาลทักษิณได้ก็ตาม แต่ก็เป็นการจุดประกายไฟของการต่อสู้ และเป็นหน่ออ่อนให้แก่การเกิดของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในเวลาต่อมา
เมื่อการเคลื่อนไหวของประชาชนรุ่นบุกเบิกได้มาบรรจบกับการเกิดขึ้นทางรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ครั้งที่ 1 เมื่อ 23 กันยายน 2548 ที่ทำและดำเนินรายการโดย คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้จุดเทียนแห่งธรรม จัดรายการให้ปัญญา สาระความรู้ เปิดโปงการทุจริต คดโกงของทักษิณและพวก ผ่านการถ่ายทอดของ ASTV ทีวีของประชาชน ทำให้การต่อสู้ของภาคประชาชนพัฒนากลายเป็นกระแสคลื่นลูกใหม่ ถาโถมเข้าใส่รัฐบาลทักษิณ และสมุนหุ่นเชิดของเขาอย่างหนัก สุดที่จะต้านทานได้ การเกิดขึ้นของปรากฏการณ์สนธิ “ผู้นำและผู้ปลุกให้ประชาชนตื่น” หรือจะเรียกว่า “ผู้นำการต่อสู้ของประชาชนยุคดิจิตอล” ก็ว่าได้ เขาคือผู้ทำให้ก่อเกิดขบวนการภาคประชาชนที่ชื่อ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย”
หลังจากรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร เกิดขึ้นหลายสิบครั้ง จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขยายตัวสู่สวนลุมพินี มีผู้คนเข้าร่วมมากมายล้นหลามนับหมื่นหรือเรือนแสน รวมถึงผู้รับชมทางหน้าจออีกนับล้านๆ คน พลังของประชาชนที่ไหลมารวมกัน ด้วยจิตใจมุ่งมั่นต่อสู้ในเป้าหมายเดียวกัน คือ ไล่รัฐบาลทักษิณ จึงเกิดขึ้นด้วยการนำเดี่ยวของ สนธิ ลิ้มทองกุล ในช่วงแรก ด้วยการเคลื่อนพลออกจากสวนลุมพินีสู่ลานพระบรมรูปทรงม้า เมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2549 หลังจากนั้น 9 กุมภาพันธ์ 2549 จึงกำเนิด “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” อย่างเป็นทางการ และเมื่อเกิดเหตุการณ์ยึดอำนาจ 19 กันยายน 2549 จึงปิดฉากการต่อสู้และการชุมนุมพันธมิตรฯ ภาคที่ 1 ลงนับแต่นั้น
การชุมนุมของพันธมิตรฯ ในวันที่ 25 พฤษภาคม 2551 และที่มีการจัดงานรำลึกในปีนี้ ครบรอบ 3 ปีนั้น ถือเป็นการชุมนุมพันธมิตรฯ ภาคที่ 2 ซึ่งเป็นภาคที่ยืดเยื้อยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ ตลอดระยะเวลา 7 ปีของการเมืองไทย จึงเป็นหน้าประวัติศาสตร์การเมืองที่เขียนโดยภาคประชาชน คำถามก็คือ พันธมิตรฯ ต่อสู้กับอะไร และอนาคตจะมุ่งไปทิศทางใด จึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจ และติดตามอย่างยิ่ง ในฐานะที่ผู้เขียนเป็นหนึ่งในหัวขบวนของการต่อสู้นี้ อยากจะบอกว่า
1. พันธมิตรฯ คือ ประชาชนผู้มีความคิดก้าวหน้า รักชาติ รักความเป็นธรรม
2. เขาคือพลเมืองที่อาสาปกป้องสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ด้วยชีวิต
3. พวกเขารังเกียจและต่อต้านนักการเมืองที่ทุจริต ฉ้อฉล คดโกงประเทศชาติ ประชาชน
4. เขาคือกลุ่มคนที่พร้อมเสียสละ อุทิศตนเพื่อส่วนรวม และผลประโยชน์ของชาติ โดยมิได้เรียกร้องผลประโยชน์ใดๆ ตอบแทน
5. เขาคือกลุ่มประชาชนผู้มีพลัง และความสามัคคีเพื่อต่อสู้กับความไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรมทั้งหลายในบ้านเมือง
ด้วยคุณลักษณะสำคัญที่ดีงามดังกล่าว พันธมิตรฯ จึงเป็นพลเมืองผู้เป็นกำลังของแผ่นดิน เขาคือประชาชนที่ทรงคุณค่า ด้วยคารวะ
เสริมสร้างภาพลักษณ์ใหม่ หนุนเด็กไทยเรียนอาชีวศึกษา
หลังการประกาศผลแอดมิดชั่นกลาง บางคนสมหวังที่สอบติดในมหาวิทยาลัยที่ตัวเองใฝ่ฝัน แต่เด็กอีกจำนวนไม่น้อยที่ผิดหวังกับผลสอบ จะว่าไปแล้วประเทศไทยมีสถาบันการศึกษาอีกจำนวนมาก ทั้งของรัฐและเอกชน นอกจากสายสามัญแล้วยังมีวิทยาลัยสายอาชีพอีกมากมายที่เปิดรั้วต้อนรับน้องใหม่ไฟแรงทั้งหลาย หนึ่งในนั้นคือวิทยาลัยอาชีวศึกษา ที่ถือว่าเป็นต้นแบบการผลิตแรงงานสายอาชีพ
วิทยาลัยอาชีวศึกษาจึงถือเป็นสถาบันสำคัญในการผลิตบุคลากรภาคแรงงานออกมาในสังคมปีละไม่น้อย แถมคุณภาพของนักศึกษาที่จบออกมาก็ไม่ด้อยไปกว่าเด็กที่จบจากสายสามัญ โดยแนวโน้มความต้องการแรงงานสายอาชีวศึกษาในระยะ 5 ปี ข้างหน้า พบว่ามีความต้องการกำลังคนในสายอาชีวศึกษาสูงกว่าระดับปริญญา ถึงร้อยละ 100 เลยทีเดียว
ดร.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กล่าวว่า ขณะนี้วิทยาลัยอาชีวศึกษาทั่วประเทศกำลังอยู่ในช่วงของการปฏิรูปการศึกษา ซึ่งวิทยาลัยอาชีวศึกษาเองมีความโดดเด่นในหลายเรื่อง โดยเฉพาะในเรื่องของการเรียนการสอนในสายอาชีพโดยเฉพาะคหกรรม พาณิชยกรรม ศิลปกรรม ฯลฯ ในการปฏิรูปการศึกษาทศวรรษที่ 2 ทางสำนักงานก็พยายามปรับปรุงมาเรื่อยๆ นอกจากในเรื่องของการบริหารจัดการและหลักสูตรแล้ว ครูและนักศึกษาก็ต้องปรับตัวตามให้ทัน
"เรากำลังปรับในเรื่องการเรียนการสอนให้เด็กมีการไปทดสอบสมรรถนะเพิ่มเติม และพยายามปรับให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน โดยเราจะเพิ่มให้มีสาขาแม่พิมพ์ ยานยนต์ ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และเกษตรกรรม ตอนนี้อาชีวศึกษากำลังปรับปรุงองค์กร การเรียนการสอน และการบริหารจัดการครั้งใหญ่ ว่าต่อไปนี้จะผลิตให้ตรงกับความต้องการโดยเฉพาะภาคเอกชน ดังนั้น วิทยาลัยอาชีวศึกษาธนบุรีและเสาวภาก็เป็นสองสถาบันแรกๆที่จะเข้ามาดำเนินการตามรูปแบบนี้ ในส่วนของวิทยาลัยอาชีวศึกษาธนบุรีจะเด่นสาขาเทคโนโลยี และสาขาพาณิชยการ ส่วนวิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภาจะเด่นในสาขาคหกรรม และออกแบบตัดเย็บเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย"
ด้าน ดร.ณพสร สวัสดิบุญญา ผู้อำนวยการวิทยาลัยอาชีวศึกษาธนบุรี เปิดเผยว่า วิทยาลัยอาชีวศึกษาธนบุรีเป็นหนึ่งในวิทยาลัยที่ให้ความสำคัญในการปรับเปลี่ยนสถานศึกษาให้มีความทันสมัย โดยดึงเอาเทคโนโลยี Video Conference เข้ามาใช้ในการเรียนการสอนตั้งแต่ปีพ.ศ. 2552 เพื่อแก้ปัญหาครู-อาจารย์ขาดแคลน และแก้ปัญหาการประชุมต่างๆที่มีคนจำนวนมากๆ แต่เราไม่มีห้องใหญ่พอที่จะรองรับคนได้หมด ก็จะนเทคโนโลยีตรงนี้เข้ามาช่วย โดยแบ่งผู้เข้าร่วมประชุมไปตามห้องต่างๆ แล้วเชื่อมสัญญาณภาพต่อเข้ากับทีวีของทุกห้องให้สามารถร่วมประชุมพร้อมกันหลายๆห้องได้ เป็นต้น
"เราได้เชิญวิทยากรเก่งๆ มาสอนนักศึกษาด้วยระบบนี้ได้อีกด้วย ในกรณีที่วิทยากรไม่สะดวกในการเดินทางมาสอนได้ด้วยตัวเอง จึงทำให้นักศึกษาได้รับความรู้จากผู้ชำนาญการในสายงานต่างๆเพื่อประโยชน์สูงสุดในการนำความรู้นั้นไปประกอบวิชาชีพ เช่น ได้เชิญวิทยากรจากสำนักงานปราบปรามยาเสพติด มาให้ความรู้แกนักศึกษา เป็นต้น คือใช้ระบบนี้ให้เป็นประโยชน์ทั้งเรื่องการบริหารจัดการ ทั้งเรื่องการเรียนการสอนด้วย"
ขณะที่ อาจารย์วสุมดี อิ่มแก้ว ผู้อำนวยการวิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา กล่าวว่า วิทยาลัยชีวศึกษาเสาวภาเป็นแหล่งเรียนรู้ทางวิชาชีพต้นแบบด้านศิลปกรรม คหกรรม และอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ มีมาตรฐานและเป็นเครือข่ายความรู้เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงานระดับประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาได้ผลิตบุคลากรที่มีความสามารถจนได้รับรางวัลแชมป์แกะสลักน้ำแข็งระดับโลกมาแล้ว
"ตอนนี้แรงงานสายอาชีพกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานทั้งในและต่างประเทศ กระทรวงศึกษาธิการเองจึงอยากผลักดันให้คนรุ่นใหม่หันมาสนใจศึกษาต่อในวิทยาลัยอาชีวศึกษามากขึ้น พร้อมกันนี้ทางวิทยาลัยอาชีวศึกษาเองก็ต้องมีการปรับปรุงคุณภาพให้มีความเป็นเลิศเพื่อผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพออกสู่สังคม รวมทั้งต้องสร้างภาพลักษณ์ใหม่เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการศึกษาในสถาบันอาชีวะและสร้างการยอมรับจากสังคมให้มากขึ้น"
ผอ.วิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา กล่าวอีกว่า การปรับภาพลักษณ์ใหม่นี้ ต้องเริ่มจากความเข้าใจของผู้เรียน ผู้ปกครอง และคนในสังคม โดยชี้ให้เห็นว่าช่างฝีมือไม่ได้เป็นเพียงความรู้พื้นฐานเท่านั้น แต่คือผู้ที่มีความรู้ในสายวิชาชีพอย่างถ่องแท้ สามารถประกอบอาชีพและต่อยอดสู่การเป็นเจ้าของกิจการหรือผู้ประกอบการระดับ SMEs ได้ โดยมีจรรยาบรรณของสายอาชีพนั้นๆคอยกำกับดูแล สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งนักศึกษาจะได้รับจากสถาบัน
วิทยาลัยอาชีวศึกษาจึงถือเป็นสถาบันสำคัญในการผลิตบุคลากรภาคแรงงานออกมาในสังคมปีละไม่น้อย แถมคุณภาพของนักศึกษาที่จบออกมาก็ไม่ด้อยไปกว่าเด็กที่จบจากสายสามัญ โดยแนวโน้มความต้องการแรงงานสายอาชีวศึกษาในระยะ 5 ปี ข้างหน้า พบว่ามีความต้องการกำลังคนในสายอาชีวศึกษาสูงกว่าระดับปริญญา ถึงร้อยละ 100 เลยทีเดียว
ดร.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กล่าวว่า ขณะนี้วิทยาลัยอาชีวศึกษาทั่วประเทศกำลังอยู่ในช่วงของการปฏิรูปการศึกษา ซึ่งวิทยาลัยอาชีวศึกษาเองมีความโดดเด่นในหลายเรื่อง โดยเฉพาะในเรื่องของการเรียนการสอนในสายอาชีพโดยเฉพาะคหกรรม พาณิชยกรรม ศิลปกรรม ฯลฯ ในการปฏิรูปการศึกษาทศวรรษที่ 2 ทางสำนักงานก็พยายามปรับปรุงมาเรื่อยๆ นอกจากในเรื่องของการบริหารจัดการและหลักสูตรแล้ว ครูและนักศึกษาก็ต้องปรับตัวตามให้ทัน
"เรากำลังปรับในเรื่องการเรียนการสอนให้เด็กมีการไปทดสอบสมรรถนะเพิ่มเติม และพยายามปรับให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน โดยเราจะเพิ่มให้มีสาขาแม่พิมพ์ ยานยนต์ ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และเกษตรกรรม ตอนนี้อาชีวศึกษากำลังปรับปรุงองค์กร การเรียนการสอน และการบริหารจัดการครั้งใหญ่ ว่าต่อไปนี้จะผลิตให้ตรงกับความต้องการโดยเฉพาะภาคเอกชน ดังนั้น วิทยาลัยอาชีวศึกษาธนบุรีและเสาวภาก็เป็นสองสถาบันแรกๆที่จะเข้ามาดำเนินการตามรูปแบบนี้ ในส่วนของวิทยาลัยอาชีวศึกษาธนบุรีจะเด่นสาขาเทคโนโลยี และสาขาพาณิชยการ ส่วนวิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภาจะเด่นในสาขาคหกรรม และออกแบบตัดเย็บเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย"
ด้าน ดร.ณพสร สวัสดิบุญญา ผู้อำนวยการวิทยาลัยอาชีวศึกษาธนบุรี เปิดเผยว่า วิทยาลัยอาชีวศึกษาธนบุรีเป็นหนึ่งในวิทยาลัยที่ให้ความสำคัญในการปรับเปลี่ยนสถานศึกษาให้มีความทันสมัย โดยดึงเอาเทคโนโลยี Video Conference เข้ามาใช้ในการเรียนการสอนตั้งแต่ปีพ.ศ. 2552 เพื่อแก้ปัญหาครู-อาจารย์ขาดแคลน และแก้ปัญหาการประชุมต่างๆที่มีคนจำนวนมากๆ แต่เราไม่มีห้องใหญ่พอที่จะรองรับคนได้หมด ก็จะนเทคโนโลยีตรงนี้เข้ามาช่วย โดยแบ่งผู้เข้าร่วมประชุมไปตามห้องต่างๆ แล้วเชื่อมสัญญาณภาพต่อเข้ากับทีวีของทุกห้องให้สามารถร่วมประชุมพร้อมกันหลายๆห้องได้ เป็นต้น
"เราได้เชิญวิทยากรเก่งๆ มาสอนนักศึกษาด้วยระบบนี้ได้อีกด้วย ในกรณีที่วิทยากรไม่สะดวกในการเดินทางมาสอนได้ด้วยตัวเอง จึงทำให้นักศึกษาได้รับความรู้จากผู้ชำนาญการในสายงานต่างๆเพื่อประโยชน์สูงสุดในการนำความรู้นั้นไปประกอบวิชาชีพ เช่น ได้เชิญวิทยากรจากสำนักงานปราบปรามยาเสพติด มาให้ความรู้แกนักศึกษา เป็นต้น คือใช้ระบบนี้ให้เป็นประโยชน์ทั้งเรื่องการบริหารจัดการ ทั้งเรื่องการเรียนการสอนด้วย"
ขณะที่ อาจารย์วสุมดี อิ่มแก้ว ผู้อำนวยการวิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา กล่าวว่า วิทยาลัยชีวศึกษาเสาวภาเป็นแหล่งเรียนรู้ทางวิชาชีพต้นแบบด้านศิลปกรรม คหกรรม และอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ มีมาตรฐานและเป็นเครือข่ายความรู้เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงานระดับประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาได้ผลิตบุคลากรที่มีความสามารถจนได้รับรางวัลแชมป์แกะสลักน้ำแข็งระดับโลกมาแล้ว
"ตอนนี้แรงงานสายอาชีพกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานทั้งในและต่างประเทศ กระทรวงศึกษาธิการเองจึงอยากผลักดันให้คนรุ่นใหม่หันมาสนใจศึกษาต่อในวิทยาลัยอาชีวศึกษามากขึ้น พร้อมกันนี้ทางวิทยาลัยอาชีวศึกษาเองก็ต้องมีการปรับปรุงคุณภาพให้มีความเป็นเลิศเพื่อผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพออกสู่สังคม รวมทั้งต้องสร้างภาพลักษณ์ใหม่เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการศึกษาในสถาบันอาชีวะและสร้างการยอมรับจากสังคมให้มากขึ้น"
ผอ.วิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา กล่าวอีกว่า การปรับภาพลักษณ์ใหม่นี้ ต้องเริ่มจากความเข้าใจของผู้เรียน ผู้ปกครอง และคนในสังคม โดยชี้ให้เห็นว่าช่างฝีมือไม่ได้เป็นเพียงความรู้พื้นฐานเท่านั้น แต่คือผู้ที่มีความรู้ในสายวิชาชีพอย่างถ่องแท้ สามารถประกอบอาชีพและต่อยอดสู่การเป็นเจ้าของกิจการหรือผู้ประกอบการระดับ SMEs ได้ โดยมีจรรยาบรรณของสายอาชีพนั้นๆคอยกำกับดูแล สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งนักศึกษาจะได้รับจากสถาบัน
รอยบุญรอยบาป
ผู้ที่ทานมังสวิรัติ น่าจะมีสาเหตุต่างๆ ดังนี้
1. เหม็นเนื้อสัตว์ ได้กลิ่นแล้วเหม็น คลื่นไส้
2. ชอบกินผัก ไม่ชอบกินเนื้อสัตว์
3. สงสารสัตว์
4. หาทานมังสวิรัติสะดวก
5. ได้ฟังธรรมทางพุทธมหายาน เรื่องการงดเนื้อสัตว์แล้วกินไม่ลง
6. กินตามคนที่บ้าน
7. กินตามเพื่อน เพราะเห็นดี
8. กินตามเพื่อน เพราะกลัวเข้ากลุ่มไม่ได้
9. รักษาสุขภาพ
10. แพ้เนื้อสัตว์
11. กินผักแล้วรู้สึกอร่อย
12. มีความพอใจที่จะกิน
13. ไม่กินก็ไม่มีอะไรให้กิน
14. ถูกห้ามไม่ให้กินเนื้อสัตว์
15. อยากฝึกความอดทน งดเนื้อสัตว์ กินแต่ผัก
16. กลัวเป็นบาป
17. เป็นประเพณีห้ามกินเนื้อสัตว์
18. อยากลอง
19. ไม่รู้จะกินอะไร
20. เจอแม่ครัวที่ทำอาหารเจแสนอร่อย
21. อยากผอม
22. เห็นประโยชน์มากกว่า
23. กลัวบาป
ส่วนคนที่ไม่กินเขาก็มีเหตุผลเหมือนกัน เช่น
1. ไม่สะดวก
2. กินไม่เป็น
3. กินแล้วไม่อิ่ม
4. ผักเมืองไทยมียาฆ่าแมลงมาก เรามีญาติปลูกผักขาย เขาบอกเองว่าไม่กล้ากินผักที่เขาปลูกเพราะมีสารฆ่าแมลงมาก สำหรับคนที่มีความรู้สึกไวที่ลิ้น ทำให้เวลากินผักจะรู้สึกได้ถึงความขม คาดว่าเป็นความขมของยาฆ่าแมลง
5. ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่าจงเป็นผู้เลี้ยงง่าย
เกริ่นเยอะเลย เราขอออกความเห็นในลักษณะเป็นกลาง ไม่เชียร์ให้กินเจ หรือเชียร์ให้กินเนื้อสัตว์ เราว่าเรื่องความสะดวกนี่สำคัญที่สุดในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเรื่องกิน เรื่องสถานที่เรียน เรื่องที่อยู่อาศัย จะได้ไม่เดือดร้อน
อาหารมังสวิรัติกับอาหารเจ ต่างกันอย่างไร
แม้อาหารเจและอาหารมังสวิรัติ จะเป็นอาหารงดเนื้อสัตว์เช่นเดียวกัน แต่ก็ยังคงมีข้อแตกต่างกันบ้างเล็กน้อย คือ อาหารเจจะมีการปรุงอาหาร และการเตรียมอาหารที่เข้มงวดกว่า เพราะนอกจากจะงดเนื้อสัตว์ทุกชนิดแล้ว ยังงดอาหารรสจัด งดผัก-เครื่องเทศกลิ่นแรง เช่น ผักชี กุ้ยช่าย หัวหอม ต้นหอม กระเทียม เพราะเชื่อว่าผัก และเครื่องเทศกลิ่นแรง จะเป็นสมุนไพรกระตุ้นอารมณ์ ซึ่งเป็นกิเลสในการนั่งสมาธิ อันเป็นประเพณีปฏิบัติในการถือศีล-กินเจ
ส่วนอาหารมังสวิรัติ นั้นเป็นการงดบริโภคเนื้อสัตว์ทุกชนิดอย่างเดียว
ชาวจีน กินอาหารเจมาเป็นเวลานานมากแล้ว จนปฏิบัติเป็นประเพณี "เทศกาลกินเจ" ในวันขึ้น 1 ค่ำ ถึง 9 ค่ำ เดือน 9 (ปฏิทินจีน) ซึ่งมักจะตรงกับเดือน ตุลาคม ในปฏิทินสากล
ในช่วงเทศกาลกินเจนี้ผู้ปฏิบัติจะต้องปฏิบัติดังนี้
งดเว้นเนื้อสัตว์ หรือทำอันตรายต่อสัตว์
งดนม เนย และน้ำมันที่มาจากสัตว์
งดอาหารรสจัด
งดผัก-เครื่องเทศกลิ่นแรง เช่น ผักชี กระเทียม หัวหอม ต้น หอม กุ้ยช่าย
รักษาศีลห้า และรักษาพรหมจรรย์
รักษาจิตใจให้บริสุทธ์-รักษาอารมณ์
ทำบุญทำทาน
นุ่งขาวห่มขาว
ส่วนมังสวิรัติ หมายถึง การไม่รับประทานเนื้อสัตว์ ซึ่งตรงกับคำ ในภาษาอังกฤษว่า Vegetarianism มีรากศัพท์มาจากภาษาลาติน คือ Vegetus (เวเจตัส) แปลว่า "สมบูรณ์ดีพร้อม สดชื่น เบิกบาน" มังสวิรัติเป็นที่นิยมกันมาช้านานหลายพันปีแล้ว ส่วนมากผู้ปฏิบัติคือ ผู้อยู่ในศาสนา เช่น ศาสนาเชน ศาสนาฮินดูบางนิกาย ศาสนาโซโรแอสเตอร์ ศาสนาพุทธ และศาสนาอื่น ๆ อีกมาก
ต่อมาได้มีการรวมกลุ่ม เพื่อจัดตั้งสมาคมมังสวิรัติขึ้นเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ.1874 ที่เมืองแมนเชสเตอร์ และมีสมาคมในเครือเพิ่มขึ้น เรื่อย ๆ ส่วน ในประเทศไทยที่เห็นเด่นชัดก็คือ ประเพณีกินเจของชาวจีน กลุ่มศาสนาพุทธ และกลุ่มผู้สนับสนุนการกินอาหารมังสวิรัติ คือ ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ รวมทั้งไข่ นม เนย และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เพิ่มขึ้น เรื่อย ๆ จนเป็นที่นิยมแพร่หลายในปัจจุบันนี้
ประโยชน์ของอาหารเจและอาหารมังสวิรัติ
สุขภาพจิตดี สร้างกำลังใจ เพราะรู้สึกถึงความเมตตา เพราะ จิตใจลดความรุนแรง และความดุร้ายลง ชีวิตจึงพบความสุข สะอาด และสงบร่มเย็น
ช่วยให้สุขภาพดีมีอายุยืน เพราะทำให้ปราศจากโรคร้าย ต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน โรคเก๊าต์ โรคลำไส้ โรคตับ ฯลฯ เมื่อได้รับอาหารธรรมชาติที่มีประโยชน์
เป็นยารักษาโรคที่ดี เพราะผู้ป่วยที่มีโรคร้ายแรง หรือโรค ประจำตัว หากรับประทานพืชผักผลไม้ และงดเนื้อสัตว์ ก็เท่ากับเป็นการถ่ายถอนพิษของโรคออกจากตัว แพทย์แผนปัจจุบันหลายท่านแนะนำวิธีนี้
ให้พลังเย็น หมายถึงการเพิ่มพละกำลังจากฟรุคโตส ในพืชผัก ผลไม้ ซึ่งเพิ่มพลังงานให้ร่างกาย
ประหยัด สามารถช่วยโลกประหยัดได้อย่างดีที่สุด เพราะเคย มีคนคำนวณได้ว่า คนที่กินสัตว์ต้องใช้พื้นที่ทำกันถึง 5 ไร่ ในขณะที่คนกินมังสวิรัติหรือเจใช้พื้นที่เพียง 1 ไร่ครึ่งเท่านั้น ถ้าเปรียบเทียบพื้นที่ 1 ไร่ เท่า ๆ กัน ให้ปลูกพืชถั่วเหลือง 1 ไร่ เลี้ยงวัว ควาย ไก่ ฯลฯ อีก 1 ไร่ แปลงที่ปลูกถั่วเหลือง จะได้โปรตีนมากกว่าเนื้อสัตว์ถึง 8 เท่า
ส่วนประกอบของอาหารเจและมังสวิรัติ
โปรตีนเกษตร หรือโปรตีนถั่วเหลือง ทำ จากแป้งถั่วเหลือง ปราศจากไขมัน มีคุณค่าทางอาหารสูง ราคาถูก เก็บง่ายไม่ต้องใส่ตู้เย็น ใช้สะดวก ใช้แทนเนื้อสัตว์ได้หลายชนิด ปัจจุบันมีหลายรูปแบบ เช่น
ชนิดใหญ่พิเศษ ใช้ใส่แกงเขียวหวาน พะโล้ สะเต๊ก น้ำตก ฯลฯ
ชนิดเกล็ดขนาดกลาง ใช้ผัดกระเพรา แกงเขียวหวาน แกงเผ็ด ผัดพริกขิง ฯลฯ
ชนิดเกล็ดขนาดเล็ก ใช้ทำลาบ แทนเนื้อหมูหรือหมูสับ
ชนิดป่นละเอียด ใช้ทำขนมจีนน้ำยา แกงเลียง ซุป ฯลฯ ช่วยผสมในน้ำแกง ทำให้น้ำแกงข้นขึ้น
เต้าหู้ เป็นผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง มีหลายชนิด เต้าหู้ขาวชนิดแข็ง เต้าหู้ขาวชนิดอ่อน เต้าหู้เหลืองชนิดแข็ง เต้าหู้เหลืองชนิดอ่อน เต้าหู้หลอด ฟองเต้าหู้ เป็นอาหารที่มีสารอาหาร ประเภทโปรตีน และสารอาหารอื่น ๆ ครบถ้วน ย่อยง่าย ไม่มีคอเลสเตอรอล
ข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือ มี คุณค่าทางโภชนาการสูง ประกอบด้วยโปรตีน 7-12% มีวิตามิน และแร่ธาตุมากกว่า 20 ชนิด มีกากใยสูงช่วยในการขับถ่าย ป้องกันโรคเหน็บชา โรคปากนกกระจอก บำรุงสมอง ช่วยให้กระดูกแข็งแรง ป้องกันโรคโลหิตจาง
เห็ด ใช้แทน เนื้อสัตว์ได้ และเป็นแหล่งโปรตีนที่มีรสดี เห็ดมีหลายชนิด และมีกรดอะมิโนรวมทั้งวิตามิน แร่ธาตุหลายชนิด เป็นอาหารปราศจากแป้ง มีแคลอรีต่ำ ย่อยง่าย นอกจากจะใช้แทนเนื้อสัตว์แล้วเห็ดยังสามารถใช้แทนผักได้ มีรสอร่อยดีอีกด้วย เห็ดมีหลายชนิด เช่น เห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า เห็ดหอม เห็ดหูหนูดำ ฯลฯ แต่ เห็ดหอม เป็นเห็ดที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในอาหารเจ เพราะปรุงได้หลายอย่าง มีขายทั้งชนิดต่างแห้ง และชนิดสด เห็ดหอมส่วนใหญ่จะนำเข้าจากต่างประเทศ แม้จะปลูกได้ในประเทศไทย แต่ก็ยังมีปริมาณน้อย และคุณภาพยังไม่ดีเท่าของต่างประเทศ
ถั่วเหลือง เนื่อง จากถั่วเหลืองเป็นพืชที่มีโปรตีนมาก จึงใช้แทนเนื้อสัตว์ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ในถั่วเหลืองยังมีวิตามิน และแร่ธาตุอื่น ๆ ด้วย ถั่วเหลืองมีไขมันที่ไม่อิ่มตัว ช่วยละลายคอเลสเตอรอล มีธาตุเหล็กสูง จึงช่วยบำรุงโลหิต บำรุงประสาท ป้องกันโรคตับและช่วยละลายนิ่วในถุงน้ำดี ถั่วเหลืองที่ใช้ในอาหารเจ มีทั้งใช้เป็นส่วนผสมโดยตรง หรือแปรรูปเป็นอย่างอื่น เช่น เต้าหู้ ฟองเต้าหู้ โปรตีนเกษตรชนิดต่าง ๆ ฯลฯ
แป้งหมี่กึง ทำจากแป้งสาลี โดยการนวดแป้ง 3 กิโลกรัม กับน้ำ 3 ถ้วย นวดประมาณ 5 นาที พอแป้งปั้นเป็นก้อน แล้วนำไปล้างน้ำ ทำอย่างนี้ 8 ครั้ง จนเหลือแต่กากแป้ง ซึ่งจะมีความเหนียมนุ่มคล้ายเนื้อสัตว์ การทำแป้งหมี่กึง อาจเป็นเรื่องยุ่งยากสักหน่อย แต่ในปัจจุบันนี้แป้งหมี่กึงมีขายทั่ว ๆ ไป เพียงแต่หาซื้อแป้งหมี่กึงมาแล้วผสมกับน้ำ ปรุงรสตามต้องการ หมักทิ้งไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง ก็สามารถนำมาประกอบอาหารได้ และถ้าต้องการความสะดวกกว่านี้ หมี่กึงสำเร็จที่ทำเป็นลูกชิ้น กุ้ง ปลาหมึก ไส้หมู หมูแดง เป็ดพะโล้ เป็ดย่าง ฯลฯ ก็ยังมีขาย โดยเฉพาะแถวตลาดเก่าเยาวราช
ทั้งนี้เพราะผู้คนทั่ว ๆ ไปหันมานิยมรับประทานอาหารเจเพิ่มขึ้น เครื่องปรุงเครื่องใช้ในการทำอาหารเจ จึงมีให้เลือกซื้อมากมาย หมี่กึงสำเร็จจึงเป็นการพัฒนาการอีกอย่างหนึ่งของอาหารเจ
เมล็ดพืช ประกอบด้วยไขมันที่มีประโยชน์ มีโปรตีนประมาณ 20% พร้อมทั้งเกลือแร่ และวิตามินมาก เช่น ฟอสฟอรัส วิตามิน เอ ซี และอี มีประโยชน์ในการป้องกัน และลดความเสี่งต่อการเป็นมะเร็ง เมล็ดพืช มีหลายชนิด เช่น เมล็ดดอกทานตะวัน เมล็ดฟักทอง เมล็ดแตงโม เม็ดบัว ถั่วเมล็ดแห้งต่าง ๆ เช่น มะม่วงหิมพานต์ เมล็ดอัลมอนด์ วอลนัท เกาลัด ฯลฯ
ผลิตภัณฑ์อาหารมังสวิรัติเพื่อสุขภาพ ซึ่ง เป็นที่น่ายินดีสำหรับผู้ที่นิยมอาหารเจ และอาหารมังสวิรัติ เพราะมีบริษัทในประเทศไทยชื่อบริษัท นูทรีชั่น เฮ้าส์ ผลิตภัณฑ์อาหารมังสวิรัติเพื่อสุขภาพ (ผลิตภัณฑ์ เจ.วี) ในรูปลักษณ์ต่าง ๆ ให้ผู้บริโภคได้มีทางเลือกในการประกอบอาหารเพิ่มขึ้น ผลิตภัณฑ์ที่มีในท้องตลาดขณะนี้ มีกลิ่น รสอร่อย และมีรูปร่างคล้ายเนื้อสัตว์มาก อาทิ เช่น เบคอน, ปลาหมึก, ปลาสาหร่าย, ปลาเค็ม, ลูกชิ้น, ลูกชิ้นสาหร่าย, ลูกชิ้นเห็ดหอม, เป็ดพะโล้รมควัน, ไก่รมควัน, กุนเชียง, ไส้อั่ว, ห่อยจ้อ, ไส้กรอก, หมูไก่-พิซซ่า, หมูแดง, เป็ดย่าง, แคปหมู เป็นต้น
ประโยชน์และคุณค่าทางอาหาร ที่ได้รับจากอาหารเจ-อาหารมังสวิรัติ
ข้าวกล้อง คือข้าวที่สีเอาเปลือก หรือแกบลออกเท่านั้น แต่ไม่ได้ขัดสีรำออก ข้าวขาว คือ ข้าวที่ขัดสีเอารำออก เหลือแต่เมล็ดข้าวที่ขาว ซึ่งมีแต่แป้งเป็นส่วนใหญ่
โรคภัยที่เกิดจากการกินข้าวขาว
โรคโลหิตจาง เพราะขาดธาตุเหล็ก (พบคนไทย 40% เป็นโรค นี้)
โรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ เพราะขาดธาตุฟอสฟอรัสและ อื่น ๆ (เป็นมากในภาคเหนือและอิสาน โดยเฉพาะเด็กอายุ 6 ขวบ)
โรคขาดโปรตีน เพราะขัดสีข้าวจนขาว ทำให้โปรตีนสูญหาย ประมาณ 30%
โรคเหน็บชา
โรคปากนกกระจอก
โรคท้องผูก เพราะได้รับกากอาหารน้อย ข้าวกล้องมีกากมาก กว่าข้าวขาวถึง 133% กินเพียง 3 ครั้ง/สัปดาห์
โรคปลายประสาทอักเสบ และโรคที่เกี่ยวกับระบบประสาท หลายชนิด
โรคชัก ขาดวิตามินบีหก ซึ่งมีมากในข้าวกล้อง
มีแป้งมากทำให้เป็นโรคอ้วน และเบาหวาน
ประโยชน์ของข้าวกล้อง
มีโปรตีนชั้นดี (ประมาณ 7-12%) ที่เรียกว่ากรดอะมิโนจำเป็น (ESSENTIAL AMINO ACID)
มีกลุ่มวิตามินบีมาก ตั้งแต่ บีหนึ่ง = โรคเหน็บชา
บีสอง = โรคปากเปื่อยหรือปากนกกระจอก
บีสาม = บำรุงผิวหนังและเส้นประสาท
บีห้า = ช่วยในการรักษาแผล โรคอักเสบต่าง ๆ
บีหก = บำรุงประสาท กล้ามเนื้อ แพ้ท้อง
อุดมด้วยแร่ธาตุ โปแตสเซียม = ช่วยให้ร่างกายไม่เพลีย
แคลเซียม = บำรุงกระดูก ป้องกันตะคริว ทำให้เลือดแข็งตัว หัวใจเต้นสม่ำเสมอ
ฟอสฟอรัส = บำรุงกระดูกและฟัน บำรุงสมอง
ซิลิเนียม = บำรุงกล้ามเนื้อหัวใจ ป้องกันการอุดตันในเส้นเลือด
ทองแดง = สร้างเม็ดเลือดแดง และสารฮีโมโกลบินในเลือด
เหล็ก = ป้องกันและรักษาโรคโลหิต
แมกนีเซียม = ทำให้ต่อมอวัยวะสมบูรณ์ และขจัดพิษบางอย่างได้
มีพวกไขมันที่ดี ทำให้ร่างกายไม่อ้วนเทอะทะ แต่แข็งแรงดี
น้ำ จะช่วยให้เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายสดชื่น และช่วยขับเหงื่อ ขับของเสียออกจากร่างกาย คนเราโดยทั่ว ๆ ไปแล้วควรดื่มน้ำบริสุทธิ์อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
ถั่ว ทุกชนิดเป็นอาหารกลุ่มโปรตีน โดยเฉพาะถั่วเหลือง เป็น พืชที่ให้โปรตีนสูง และมีไขมัน (กรดไลโนเลอิก) ช่วยให้ไขมันในเลือดลดลง และผนังเส้นเลือดมีความยืดหยุ่น ไม่แข็งตัว อันเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจ เบาหวาน โรคความดัน และยังมี Lacitine เป็นองค์ประกอบในเซลล์ของมนุษย์ และสัตว์ ช่วยป้องกันการตีบตันของหลอดเลือดแดง (เป็นสารละลายคอเลสเตอรอล) ฯลฯ
ถั่วเหลืองแห้ง 100 กรัม มีโปรตีน 40 กรัม ไขมัน 18.7 กรัม คาร์โบไฮเดรต 26.7 กรัม
ผู้ที่มีคอเลสเตอรอลในเลือดสูง ควรทานถั่วเหลืองประจำวันละ ประมาณ 5 ช้อนโต๊ะ
โปรตีนถั่วเหลือง 1 กก. (17 บาท) = เนื้อวัว 2.4 กก. (ราคาสูงประมาณ 6-7 เท่า) ไข่ไก่ = 66 ฟอง นมวัว = 13 ลิตร = แป้งสาลี 3.2 กก.
ถั่วเหลืองต้มสุก 1 ถ้วย = ไข่ไก่ 2 ฟอง +หมูเนื้อแดง 1 ขีด
งา ให้ไขมันที่ดี คือ กรดอะมิโนเมทไธโอนีน หากทำงานร่วมกัน
โปรตีนจากถั่วเหลืองและข้าวกล้อง จะทำให้ร่างกายได้โปรตีนครบถ้วน
ถ้าร่างกายขาดไขมัน จะไม่สามารถดูดซึมวิตามิน เอ ดี อี เค (วิตามินที่ละลายไขมันได้)
ช่วยให้เส้นเลือดไม่หนา ไม่แข็ง ไม่ตีบตัน จึงทำให้เลือดไหล เวียนได้ดี
มีแคลเซียมสูง และมีวิตามินอี
การกินงาต้องตำ ถ้ากินทั้งเมล็ดโดยไม่เคี้ยว ร่างกายจะไม่ สามารถดูดซึมได้
ควรกินงา วันละ 1-2 ช้อนโต๊ะ
ผัก อุดมด้วยเกลือแร่ เอนไซม์ วิตามินครบถ้วน และโปรตีน โดยเฉพาะผักใบเขียว พืช ผัก ผลไม้ มีเส้นใย (Fibers = ส่วนผนังของพืชไม่มีในเนื้อสัตว์) ใยอาหารมีลักษณะเป็นกากมาก ผ่านกระเพาะช้า จึงสามารถจับสารต่างๆ เช่นสารพิษ คอเลสเตอรอล และสามารถดึงน้ำใช้ในลำไส้ได้เป็นจำนวนมาก จึงเป็นการเพิ่มปริมาณอุจจาระ และเกิดการกระตุ้นให้มีการถ่ายอุจจาระสม่ำเสมอ
ถ้าร่างกายไม่ขับถ่ายของเสีย ร่างกายจะดูดซึมของเสียเข้า ระบบเลือด เลือดเสียไหลเวียนในร่างกาย ทำให้เกิดเจ็บเล็กน้อย อาหารที่มีเส้นใยต่ำ หรือไม่มีเส้นใย เป็นที่มาของโรคภัยต่าง ๆ คนที่กินเส้นใยพืชมากกว่า 35 กรัมต่อวัน จะลดอัตราเสี่ยงต่อ การเป็นโรคหัวใจได้ถึง 36% เส้นใยจากผัก ผลไม้ สามารถจับสารก่อมะเร็ง ทำลายไนเตรท และต้านฤทธิ์ก็กลายพันธุ์ได้ พืชผักที่มีเบต้าแคโรทีน (ผักใบเขียวจัด แดง ส้ม) สามารถต่อสู้ และป้องกันมะเร็งได้ ทั้งยังลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคของหลอดเลือดหัวใจ และต้อกระจกด้วย
เส้นใยของพืช ผัก ผลไม้ มีประโยชน์ต่อสุขภาพดังนี้
เพคติน ป้องกันโรคหัวใจ นิ่วถุงน้ำดี (มีมากใน กล้วย ส้ม องุ่น มัน แครอต)
กัมส์และมิวซิเลท ป้องกันโรคเบาหวาน โรคหัวใจ (มีมากใน ซอสมะเขือเทศ ข้าวโอ๊ต)
เซลลูโลส ป้องกันโรคท้องผูก (มีมากใน มะละกอ มะขาม พวก นัท เมล็ดพืช)
เฮมิเซลลูโลส ป้องกันโรคอ้วน โรคท้องผูก (มีมากในหัวบุก)
ลิกนิน ป้องกันโรคริดสีดวง นิ่วในถุงน้ำดี เส้นเลือดขอด (มีมาก ในข้าวกล้อง ถั่วงอก กะหล่ำปลี มะเขือเทศ เป็นต้น)
ขอบคุณนิตยสาร fitness ที่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่
1. เหม็นเนื้อสัตว์ ได้กลิ่นแล้วเหม็น คลื่นไส้
2. ชอบกินผัก ไม่ชอบกินเนื้อสัตว์
3. สงสารสัตว์
4. หาทานมังสวิรัติสะดวก
5. ได้ฟังธรรมทางพุทธมหายาน เรื่องการงดเนื้อสัตว์แล้วกินไม่ลง
6. กินตามคนที่บ้าน
7. กินตามเพื่อน เพราะเห็นดี
8. กินตามเพื่อน เพราะกลัวเข้ากลุ่มไม่ได้
9. รักษาสุขภาพ
10. แพ้เนื้อสัตว์
11. กินผักแล้วรู้สึกอร่อย
12. มีความพอใจที่จะกิน
13. ไม่กินก็ไม่มีอะไรให้กิน
14. ถูกห้ามไม่ให้กินเนื้อสัตว์
15. อยากฝึกความอดทน งดเนื้อสัตว์ กินแต่ผัก
16. กลัวเป็นบาป
17. เป็นประเพณีห้ามกินเนื้อสัตว์
18. อยากลอง
19. ไม่รู้จะกินอะไร
20. เจอแม่ครัวที่ทำอาหารเจแสนอร่อย
21. อยากผอม
22. เห็นประโยชน์มากกว่า
23. กลัวบาป
ส่วนคนที่ไม่กินเขาก็มีเหตุผลเหมือนกัน เช่น
1. ไม่สะดวก
2. กินไม่เป็น
3. กินแล้วไม่อิ่ม
4. ผักเมืองไทยมียาฆ่าแมลงมาก เรามีญาติปลูกผักขาย เขาบอกเองว่าไม่กล้ากินผักที่เขาปลูกเพราะมีสารฆ่าแมลงมาก สำหรับคนที่มีความรู้สึกไวที่ลิ้น ทำให้เวลากินผักจะรู้สึกได้ถึงความขม คาดว่าเป็นความขมของยาฆ่าแมลง
5. ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่าจงเป็นผู้เลี้ยงง่าย
เกริ่นเยอะเลย เราขอออกความเห็นในลักษณะเป็นกลาง ไม่เชียร์ให้กินเจ หรือเชียร์ให้กินเนื้อสัตว์ เราว่าเรื่องความสะดวกนี่สำคัญที่สุดในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเรื่องกิน เรื่องสถานที่เรียน เรื่องที่อยู่อาศัย จะได้ไม่เดือดร้อน
อาหารมังสวิรัติกับอาหารเจ ต่างกันอย่างไร
แม้อาหารเจและอาหารมังสวิรัติ จะเป็นอาหารงดเนื้อสัตว์เช่นเดียวกัน แต่ก็ยังคงมีข้อแตกต่างกันบ้างเล็กน้อย คือ อาหารเจจะมีการปรุงอาหาร และการเตรียมอาหารที่เข้มงวดกว่า เพราะนอกจากจะงดเนื้อสัตว์ทุกชนิดแล้ว ยังงดอาหารรสจัด งดผัก-เครื่องเทศกลิ่นแรง เช่น ผักชี กุ้ยช่าย หัวหอม ต้นหอม กระเทียม เพราะเชื่อว่าผัก และเครื่องเทศกลิ่นแรง จะเป็นสมุนไพรกระตุ้นอารมณ์ ซึ่งเป็นกิเลสในการนั่งสมาธิ อันเป็นประเพณีปฏิบัติในการถือศีล-กินเจ
ส่วนอาหารมังสวิรัติ นั้นเป็นการงดบริโภคเนื้อสัตว์ทุกชนิดอย่างเดียว
ชาวจีน กินอาหารเจมาเป็นเวลานานมากแล้ว จนปฏิบัติเป็นประเพณี "เทศกาลกินเจ" ในวันขึ้น 1 ค่ำ ถึง 9 ค่ำ เดือน 9 (ปฏิทินจีน) ซึ่งมักจะตรงกับเดือน ตุลาคม ในปฏิทินสากล
ในช่วงเทศกาลกินเจนี้ผู้ปฏิบัติจะต้องปฏิบัติดังนี้
งดเว้นเนื้อสัตว์ หรือทำอันตรายต่อสัตว์
งดนม เนย และน้ำมันที่มาจากสัตว์
งดอาหารรสจัด
งดผัก-เครื่องเทศกลิ่นแรง เช่น ผักชี กระเทียม หัวหอม ต้น หอม กุ้ยช่าย
รักษาศีลห้า และรักษาพรหมจรรย์
รักษาจิตใจให้บริสุทธ์-รักษาอารมณ์
ทำบุญทำทาน
นุ่งขาวห่มขาว
ส่วนมังสวิรัติ หมายถึง การไม่รับประทานเนื้อสัตว์ ซึ่งตรงกับคำ ในภาษาอังกฤษว่า Vegetarianism มีรากศัพท์มาจากภาษาลาติน คือ Vegetus (เวเจตัส) แปลว่า "สมบูรณ์ดีพร้อม สดชื่น เบิกบาน" มังสวิรัติเป็นที่นิยมกันมาช้านานหลายพันปีแล้ว ส่วนมากผู้ปฏิบัติคือ ผู้อยู่ในศาสนา เช่น ศาสนาเชน ศาสนาฮินดูบางนิกาย ศาสนาโซโรแอสเตอร์ ศาสนาพุทธ และศาสนาอื่น ๆ อีกมาก
ต่อมาได้มีการรวมกลุ่ม เพื่อจัดตั้งสมาคมมังสวิรัติขึ้นเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ.1874 ที่เมืองแมนเชสเตอร์ และมีสมาคมในเครือเพิ่มขึ้น เรื่อย ๆ ส่วน ในประเทศไทยที่เห็นเด่นชัดก็คือ ประเพณีกินเจของชาวจีน กลุ่มศาสนาพุทธ และกลุ่มผู้สนับสนุนการกินอาหารมังสวิรัติ คือ ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ รวมทั้งไข่ นม เนย และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เพิ่มขึ้น เรื่อย ๆ จนเป็นที่นิยมแพร่หลายในปัจจุบันนี้
ประโยชน์ของอาหารเจและอาหารมังสวิรัติ
สุขภาพจิตดี สร้างกำลังใจ เพราะรู้สึกถึงความเมตตา เพราะ จิตใจลดความรุนแรง และความดุร้ายลง ชีวิตจึงพบความสุข สะอาด และสงบร่มเย็น
ช่วยให้สุขภาพดีมีอายุยืน เพราะทำให้ปราศจากโรคร้าย ต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน โรคเก๊าต์ โรคลำไส้ โรคตับ ฯลฯ เมื่อได้รับอาหารธรรมชาติที่มีประโยชน์
เป็นยารักษาโรคที่ดี เพราะผู้ป่วยที่มีโรคร้ายแรง หรือโรค ประจำตัว หากรับประทานพืชผักผลไม้ และงดเนื้อสัตว์ ก็เท่ากับเป็นการถ่ายถอนพิษของโรคออกจากตัว แพทย์แผนปัจจุบันหลายท่านแนะนำวิธีนี้
ให้พลังเย็น หมายถึงการเพิ่มพละกำลังจากฟรุคโตส ในพืชผัก ผลไม้ ซึ่งเพิ่มพลังงานให้ร่างกาย
ประหยัด สามารถช่วยโลกประหยัดได้อย่างดีที่สุด เพราะเคย มีคนคำนวณได้ว่า คนที่กินสัตว์ต้องใช้พื้นที่ทำกันถึง 5 ไร่ ในขณะที่คนกินมังสวิรัติหรือเจใช้พื้นที่เพียง 1 ไร่ครึ่งเท่านั้น ถ้าเปรียบเทียบพื้นที่ 1 ไร่ เท่า ๆ กัน ให้ปลูกพืชถั่วเหลือง 1 ไร่ เลี้ยงวัว ควาย ไก่ ฯลฯ อีก 1 ไร่ แปลงที่ปลูกถั่วเหลือง จะได้โปรตีนมากกว่าเนื้อสัตว์ถึง 8 เท่า
ส่วนประกอบของอาหารเจและมังสวิรัติ
โปรตีนเกษตร หรือโปรตีนถั่วเหลือง ทำ จากแป้งถั่วเหลือง ปราศจากไขมัน มีคุณค่าทางอาหารสูง ราคาถูก เก็บง่ายไม่ต้องใส่ตู้เย็น ใช้สะดวก ใช้แทนเนื้อสัตว์ได้หลายชนิด ปัจจุบันมีหลายรูปแบบ เช่น
ชนิดใหญ่พิเศษ ใช้ใส่แกงเขียวหวาน พะโล้ สะเต๊ก น้ำตก ฯลฯ
ชนิดเกล็ดขนาดกลาง ใช้ผัดกระเพรา แกงเขียวหวาน แกงเผ็ด ผัดพริกขิง ฯลฯ
ชนิดเกล็ดขนาดเล็ก ใช้ทำลาบ แทนเนื้อหมูหรือหมูสับ
ชนิดป่นละเอียด ใช้ทำขนมจีนน้ำยา แกงเลียง ซุป ฯลฯ ช่วยผสมในน้ำแกง ทำให้น้ำแกงข้นขึ้น
เต้าหู้ เป็นผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง มีหลายชนิด เต้าหู้ขาวชนิดแข็ง เต้าหู้ขาวชนิดอ่อน เต้าหู้เหลืองชนิดแข็ง เต้าหู้เหลืองชนิดอ่อน เต้าหู้หลอด ฟองเต้าหู้ เป็นอาหารที่มีสารอาหาร ประเภทโปรตีน และสารอาหารอื่น ๆ ครบถ้วน ย่อยง่าย ไม่มีคอเลสเตอรอล
ข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือ มี คุณค่าทางโภชนาการสูง ประกอบด้วยโปรตีน 7-12% มีวิตามิน และแร่ธาตุมากกว่า 20 ชนิด มีกากใยสูงช่วยในการขับถ่าย ป้องกันโรคเหน็บชา โรคปากนกกระจอก บำรุงสมอง ช่วยให้กระดูกแข็งแรง ป้องกันโรคโลหิตจาง
เห็ด ใช้แทน เนื้อสัตว์ได้ และเป็นแหล่งโปรตีนที่มีรสดี เห็ดมีหลายชนิด และมีกรดอะมิโนรวมทั้งวิตามิน แร่ธาตุหลายชนิด เป็นอาหารปราศจากแป้ง มีแคลอรีต่ำ ย่อยง่าย นอกจากจะใช้แทนเนื้อสัตว์แล้วเห็ดยังสามารถใช้แทนผักได้ มีรสอร่อยดีอีกด้วย เห็ดมีหลายชนิด เช่น เห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า เห็ดหอม เห็ดหูหนูดำ ฯลฯ แต่ เห็ดหอม เป็นเห็ดที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในอาหารเจ เพราะปรุงได้หลายอย่าง มีขายทั้งชนิดต่างแห้ง และชนิดสด เห็ดหอมส่วนใหญ่จะนำเข้าจากต่างประเทศ แม้จะปลูกได้ในประเทศไทย แต่ก็ยังมีปริมาณน้อย และคุณภาพยังไม่ดีเท่าของต่างประเทศ
ถั่วเหลือง เนื่อง จากถั่วเหลืองเป็นพืชที่มีโปรตีนมาก จึงใช้แทนเนื้อสัตว์ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ในถั่วเหลืองยังมีวิตามิน และแร่ธาตุอื่น ๆ ด้วย ถั่วเหลืองมีไขมันที่ไม่อิ่มตัว ช่วยละลายคอเลสเตอรอล มีธาตุเหล็กสูง จึงช่วยบำรุงโลหิต บำรุงประสาท ป้องกันโรคตับและช่วยละลายนิ่วในถุงน้ำดี ถั่วเหลืองที่ใช้ในอาหารเจ มีทั้งใช้เป็นส่วนผสมโดยตรง หรือแปรรูปเป็นอย่างอื่น เช่น เต้าหู้ ฟองเต้าหู้ โปรตีนเกษตรชนิดต่าง ๆ ฯลฯ
แป้งหมี่กึง ทำจากแป้งสาลี โดยการนวดแป้ง 3 กิโลกรัม กับน้ำ 3 ถ้วย นวดประมาณ 5 นาที พอแป้งปั้นเป็นก้อน แล้วนำไปล้างน้ำ ทำอย่างนี้ 8 ครั้ง จนเหลือแต่กากแป้ง ซึ่งจะมีความเหนียมนุ่มคล้ายเนื้อสัตว์ การทำแป้งหมี่กึง อาจเป็นเรื่องยุ่งยากสักหน่อย แต่ในปัจจุบันนี้แป้งหมี่กึงมีขายทั่ว ๆ ไป เพียงแต่หาซื้อแป้งหมี่กึงมาแล้วผสมกับน้ำ ปรุงรสตามต้องการ หมักทิ้งไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง ก็สามารถนำมาประกอบอาหารได้ และถ้าต้องการความสะดวกกว่านี้ หมี่กึงสำเร็จที่ทำเป็นลูกชิ้น กุ้ง ปลาหมึก ไส้หมู หมูแดง เป็ดพะโล้ เป็ดย่าง ฯลฯ ก็ยังมีขาย โดยเฉพาะแถวตลาดเก่าเยาวราช
ทั้งนี้เพราะผู้คนทั่ว ๆ ไปหันมานิยมรับประทานอาหารเจเพิ่มขึ้น เครื่องปรุงเครื่องใช้ในการทำอาหารเจ จึงมีให้เลือกซื้อมากมาย หมี่กึงสำเร็จจึงเป็นการพัฒนาการอีกอย่างหนึ่งของอาหารเจ
เมล็ดพืช ประกอบด้วยไขมันที่มีประโยชน์ มีโปรตีนประมาณ 20% พร้อมทั้งเกลือแร่ และวิตามินมาก เช่น ฟอสฟอรัส วิตามิน เอ ซี และอี มีประโยชน์ในการป้องกัน และลดความเสี่งต่อการเป็นมะเร็ง เมล็ดพืช มีหลายชนิด เช่น เมล็ดดอกทานตะวัน เมล็ดฟักทอง เมล็ดแตงโม เม็ดบัว ถั่วเมล็ดแห้งต่าง ๆ เช่น มะม่วงหิมพานต์ เมล็ดอัลมอนด์ วอลนัท เกาลัด ฯลฯ
ผลิตภัณฑ์อาหารมังสวิรัติเพื่อสุขภาพ ซึ่ง เป็นที่น่ายินดีสำหรับผู้ที่นิยมอาหารเจ และอาหารมังสวิรัติ เพราะมีบริษัทในประเทศไทยชื่อบริษัท นูทรีชั่น เฮ้าส์ ผลิตภัณฑ์อาหารมังสวิรัติเพื่อสุขภาพ (ผลิตภัณฑ์ เจ.วี) ในรูปลักษณ์ต่าง ๆ ให้ผู้บริโภคได้มีทางเลือกในการประกอบอาหารเพิ่มขึ้น ผลิตภัณฑ์ที่มีในท้องตลาดขณะนี้ มีกลิ่น รสอร่อย และมีรูปร่างคล้ายเนื้อสัตว์มาก อาทิ เช่น เบคอน, ปลาหมึก, ปลาสาหร่าย, ปลาเค็ม, ลูกชิ้น, ลูกชิ้นสาหร่าย, ลูกชิ้นเห็ดหอม, เป็ดพะโล้รมควัน, ไก่รมควัน, กุนเชียง, ไส้อั่ว, ห่อยจ้อ, ไส้กรอก, หมูไก่-พิซซ่า, หมูแดง, เป็ดย่าง, แคปหมู เป็นต้น
ประโยชน์และคุณค่าทางอาหาร ที่ได้รับจากอาหารเจ-อาหารมังสวิรัติ
ข้าวกล้อง คือข้าวที่สีเอาเปลือก หรือแกบลออกเท่านั้น แต่ไม่ได้ขัดสีรำออก ข้าวขาว คือ ข้าวที่ขัดสีเอารำออก เหลือแต่เมล็ดข้าวที่ขาว ซึ่งมีแต่แป้งเป็นส่วนใหญ่
โรคภัยที่เกิดจากการกินข้าวขาว
โรคโลหิตจาง เพราะขาดธาตุเหล็ก (พบคนไทย 40% เป็นโรค นี้)
โรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ เพราะขาดธาตุฟอสฟอรัสและ อื่น ๆ (เป็นมากในภาคเหนือและอิสาน โดยเฉพาะเด็กอายุ 6 ขวบ)
โรคขาดโปรตีน เพราะขัดสีข้าวจนขาว ทำให้โปรตีนสูญหาย ประมาณ 30%
โรคเหน็บชา
โรคปากนกกระจอก
โรคท้องผูก เพราะได้รับกากอาหารน้อย ข้าวกล้องมีกากมาก กว่าข้าวขาวถึง 133% กินเพียง 3 ครั้ง/สัปดาห์
โรคปลายประสาทอักเสบ และโรคที่เกี่ยวกับระบบประสาท หลายชนิด
โรคชัก ขาดวิตามินบีหก ซึ่งมีมากในข้าวกล้อง
มีแป้งมากทำให้เป็นโรคอ้วน และเบาหวาน
ประโยชน์ของข้าวกล้อง
มีโปรตีนชั้นดี (ประมาณ 7-12%) ที่เรียกว่ากรดอะมิโนจำเป็น (ESSENTIAL AMINO ACID)
มีกลุ่มวิตามินบีมาก ตั้งแต่ บีหนึ่ง = โรคเหน็บชา
บีสอง = โรคปากเปื่อยหรือปากนกกระจอก
บีสาม = บำรุงผิวหนังและเส้นประสาท
บีห้า = ช่วยในการรักษาแผล โรคอักเสบต่าง ๆ
บีหก = บำรุงประสาท กล้ามเนื้อ แพ้ท้อง
อุดมด้วยแร่ธาตุ โปแตสเซียม = ช่วยให้ร่างกายไม่เพลีย
แคลเซียม = บำรุงกระดูก ป้องกันตะคริว ทำให้เลือดแข็งตัว หัวใจเต้นสม่ำเสมอ
ฟอสฟอรัส = บำรุงกระดูกและฟัน บำรุงสมอง
ซิลิเนียม = บำรุงกล้ามเนื้อหัวใจ ป้องกันการอุดตันในเส้นเลือด
ทองแดง = สร้างเม็ดเลือดแดง และสารฮีโมโกลบินในเลือด
เหล็ก = ป้องกันและรักษาโรคโลหิต
แมกนีเซียม = ทำให้ต่อมอวัยวะสมบูรณ์ และขจัดพิษบางอย่างได้
มีพวกไขมันที่ดี ทำให้ร่างกายไม่อ้วนเทอะทะ แต่แข็งแรงดี
น้ำ จะช่วยให้เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายสดชื่น และช่วยขับเหงื่อ ขับของเสียออกจากร่างกาย คนเราโดยทั่ว ๆ ไปแล้วควรดื่มน้ำบริสุทธิ์อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
ถั่ว ทุกชนิดเป็นอาหารกลุ่มโปรตีน โดยเฉพาะถั่วเหลือง เป็น พืชที่ให้โปรตีนสูง และมีไขมัน (กรดไลโนเลอิก) ช่วยให้ไขมันในเลือดลดลง และผนังเส้นเลือดมีความยืดหยุ่น ไม่แข็งตัว อันเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจ เบาหวาน โรคความดัน และยังมี Lacitine เป็นองค์ประกอบในเซลล์ของมนุษย์ และสัตว์ ช่วยป้องกันการตีบตันของหลอดเลือดแดง (เป็นสารละลายคอเลสเตอรอล) ฯลฯ
ถั่วเหลืองแห้ง 100 กรัม มีโปรตีน 40 กรัม ไขมัน 18.7 กรัม คาร์โบไฮเดรต 26.7 กรัม
ผู้ที่มีคอเลสเตอรอลในเลือดสูง ควรทานถั่วเหลืองประจำวันละ ประมาณ 5 ช้อนโต๊ะ
โปรตีนถั่วเหลือง 1 กก. (17 บาท) = เนื้อวัว 2.4 กก. (ราคาสูงประมาณ 6-7 เท่า) ไข่ไก่ = 66 ฟอง นมวัว = 13 ลิตร = แป้งสาลี 3.2 กก.
ถั่วเหลืองต้มสุก 1 ถ้วย = ไข่ไก่ 2 ฟอง +หมูเนื้อแดง 1 ขีด
งา ให้ไขมันที่ดี คือ กรดอะมิโนเมทไธโอนีน หากทำงานร่วมกัน
โปรตีนจากถั่วเหลืองและข้าวกล้อง จะทำให้ร่างกายได้โปรตีนครบถ้วน
ถ้าร่างกายขาดไขมัน จะไม่สามารถดูดซึมวิตามิน เอ ดี อี เค (วิตามินที่ละลายไขมันได้)
ช่วยให้เส้นเลือดไม่หนา ไม่แข็ง ไม่ตีบตัน จึงทำให้เลือดไหล เวียนได้ดี
มีแคลเซียมสูง และมีวิตามินอี
การกินงาต้องตำ ถ้ากินทั้งเมล็ดโดยไม่เคี้ยว ร่างกายจะไม่ สามารถดูดซึมได้
ควรกินงา วันละ 1-2 ช้อนโต๊ะ
ผัก อุดมด้วยเกลือแร่ เอนไซม์ วิตามินครบถ้วน และโปรตีน โดยเฉพาะผักใบเขียว พืช ผัก ผลไม้ มีเส้นใย (Fibers = ส่วนผนังของพืชไม่มีในเนื้อสัตว์) ใยอาหารมีลักษณะเป็นกากมาก ผ่านกระเพาะช้า จึงสามารถจับสารต่างๆ เช่นสารพิษ คอเลสเตอรอล และสามารถดึงน้ำใช้ในลำไส้ได้เป็นจำนวนมาก จึงเป็นการเพิ่มปริมาณอุจจาระ และเกิดการกระตุ้นให้มีการถ่ายอุจจาระสม่ำเสมอ
ถ้าร่างกายไม่ขับถ่ายของเสีย ร่างกายจะดูดซึมของเสียเข้า ระบบเลือด เลือดเสียไหลเวียนในร่างกาย ทำให้เกิดเจ็บเล็กน้อย อาหารที่มีเส้นใยต่ำ หรือไม่มีเส้นใย เป็นที่มาของโรคภัยต่าง ๆ คนที่กินเส้นใยพืชมากกว่า 35 กรัมต่อวัน จะลดอัตราเสี่ยงต่อ การเป็นโรคหัวใจได้ถึง 36% เส้นใยจากผัก ผลไม้ สามารถจับสารก่อมะเร็ง ทำลายไนเตรท และต้านฤทธิ์ก็กลายพันธุ์ได้ พืชผักที่มีเบต้าแคโรทีน (ผักใบเขียวจัด แดง ส้ม) สามารถต่อสู้ และป้องกันมะเร็งได้ ทั้งยังลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคของหลอดเลือดหัวใจ และต้อกระจกด้วย
เส้นใยของพืช ผัก ผลไม้ มีประโยชน์ต่อสุขภาพดังนี้
เพคติน ป้องกันโรคหัวใจ นิ่วถุงน้ำดี (มีมากใน กล้วย ส้ม องุ่น มัน แครอต)
กัมส์และมิวซิเลท ป้องกันโรคเบาหวาน โรคหัวใจ (มีมากใน ซอสมะเขือเทศ ข้าวโอ๊ต)
เซลลูโลส ป้องกันโรคท้องผูก (มีมากใน มะละกอ มะขาม พวก นัท เมล็ดพืช)
เฮมิเซลลูโลส ป้องกันโรคอ้วน โรคท้องผูก (มีมากในหัวบุก)
ลิกนิน ป้องกันโรคริดสีดวง นิ่วในถุงน้ำดี เส้นเลือดขอด (มีมาก ในข้าวกล้อง ถั่วงอก กะหล่ำปลี มะเขือเทศ เป็นต้น)
ขอบคุณนิตยสาร fitness ที่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่
วิธีป้องกันอกุศลวิตก
วิ ธี ป้ อ ง กั น อ กุ ศ ล วิ ต ก
พระพรหมมุนี (จุนท์ พฺรหฺมคุตฺโต)* วัดบวรนิเวศวิหาร
วิธีป้องกัน อกุศลวิตก ก็คือป้องกันที่ทวารเหล่านี้
คือ ป้องกันที่ทวารหู ตาจมูก ลิ้น กาย และใจ
ป้องกันมิให้สิ่งเหล่านี้ผ่านเข้ามา
เหมือนกับตั้งป้อมปราการไว้ที่ประตูทั้ง ๖ เหล่านี้
ปิดประตูใส่ลิ่มสลักไม่ให้อะไรผ่านเข้ามาถึงจิตได้ด้วย
สลักคือสติ เอาสติไปคุมไว้ที่ประตู
สติ เตสํ นิวารณํ สติเป็นเครื่องกั้นกระแสทั้งหลาย
กระแสรูป กระแสเสียง กระแสกลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่จะผ่านเข้ามา
เอาสติกันไว้ คือให้รู้ตัวอยู่ว่า สิ่งเหล่านี้มันจะเข้ามา
มันกระทบนั้นกระทบแน่
ตามันต้องกระทบรูป
รูปต้องกระทบตาตามปกติอยู่แล้ว
แต่ว่าเห็นแล้วนี้จะเข้ามาทำลายเราหรือเปล่า
เอาสติไปกั้นไว้ รู้ตัวอยู่เสมอว่าสิ่งเหล่านี้
เมื่อเราไปยินดีรักใครชอบใจแล้ว
เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ รู้ตัวอยู่
แต่ว่าตัวพิจารณาให้เห็นว่าเป็นตัวให้เกิดทุกข์นั้น
ก็คือตัวปัญญา ปิดกั้นกระแสเหล่านั้นได้ด้วยปัญญา
ปัญญเยเต ปิถิยฺยเร ปิดกั้นกระแสเหล่านั้นได้ด้วยปัญญา
คือ สติ นั้นให้รู้ตัวอยู่ แล้วก็เอา ปัญญา ไปพิจารณา
คือ ความเห็นชอบ สัมมาทิฏฐินั้นคือมีสติรู้ตัว
และมีปัญญาพิจารณาให้เห็นโทษของ
รูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ เหล่านั้น
และมีขันติอดใจอดกลั้น
กระแสของกิเลสที่มันทำให้อยากได้
รูป เสียง กลิ่น รส อยากได้สัมผัส
อดใจให้ได้ รู้ตัวและใช้ปัญญาแล้ว
พิจารณาให้เห็นแล้ว มีขันติระงับจิตระงับใจให้อยู่
และใช้วิริยะคือความเพียร
คือสังวรประธาน คือ ความสำรวม
ที่เรียกว่าประธาน ๔ นั้น
ที่สังวรประธานเป็นข้อต้น
คือความเพียรในสังวรมิให้กิเลสเกิดขึ้น
ในขณะที่ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส
กายถูกต้องโผฏฐัพพะ คือสัมผัส
อันนี้เป็นวิธีการป้องกัน
ใช้สติ ใช้ปัญญา ใช้สติ ใช้สังวรประธานในความเพียร ๔ ข้อ
ข้อแรกสังวรประธาน เพียรระวังมิให้กิเลสมันเกิดขึ้น
กามคุณทั้ง ๕ นี้ทุกคนต้องประสบหมายความว่า
มีตาเราก็ต้องเห็นรูป มีหูก็ต้องได้ยินเสียง
มีจมูกก็ต้องได้กลิ่น มีลิ้นก็ต้องลิ้มรส มีกายก็ต้องได้สัมผัส
สิ่งเหล่านั้นย่อมมีเป็นธรรมดาเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว
แต่ว่าเมื่อมันมากระทบแล้ว
ตากระทบรูปแล้ว หูได้ยินเสียงแล้ว เป็นต้นนี้
ทำอย่างไรจึงจะไม่ให้ก่อทุกข์เกิดขึ้น
ทำอย่างไรถึงจะไม่เกิดโทษแก่เรา
อันนี้ก็คือ ใช้ สติ ใช้ ปัญญา ใช้ ขันติ ใช้ สังวรประธาน
ความจริงนั้นเราไม่อยากได้
ทุกข์โศกนั้นเราไม่อยากได้
เมื่อไม่อยากได้แล้วก็ต้องทำมันไม่ให้เกิด
อันนี้นับเป็นข้อสำคัญ
หมายความว่าเราไม่อยากได้ แต่เราไม่ทำ
ไม่ทำเหตุที่มันจะทำให้เกิดทุกข์
คือเอากิเลสเข้าไปจับในรูป รส กลิ่นเสียง ในสัมผัส
มันก็เลยก็ให้เกิดทุกข์
อันนี้ที่พูดหมายความว่ามันผิดปกติ
ว่าตามปกติของชาวบ้านเป็นของธรรมดา
ที่อยู่ในโลกก็ต้องมีบ้างล่ะ
เป็นไปบ้างตามธรรมดา
ที่พูดนี้ก็สำหรับในชีวิตประจำวันที่มันเกินไป ที่อยากเกินไป
ที่ว่ามันก่อให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆ
ถ้าเรามีสติ มีปัญญา มีขันติ มีสังวรประธานแล้ว
อย่างนี้มันก็ก็ไม่เกิด นี้เป็นเรื่องป้องกัน
พระพรหมมุนี (จุนท์ พฺรหฺมคุตฺโต)* วัดบวรนิเวศวิหาร
วิธีป้องกัน อกุศลวิตก ก็คือป้องกันที่ทวารเหล่านี้
คือ ป้องกันที่ทวารหู ตาจมูก ลิ้น กาย และใจ
ป้องกันมิให้สิ่งเหล่านี้ผ่านเข้ามา
เหมือนกับตั้งป้อมปราการไว้ที่ประตูทั้ง ๖ เหล่านี้
ปิดประตูใส่ลิ่มสลักไม่ให้อะไรผ่านเข้ามาถึงจิตได้ด้วย
สลักคือสติ เอาสติไปคุมไว้ที่ประตู
สติ เตสํ นิวารณํ สติเป็นเครื่องกั้นกระแสทั้งหลาย
กระแสรูป กระแสเสียง กระแสกลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่จะผ่านเข้ามา
เอาสติกันไว้ คือให้รู้ตัวอยู่ว่า สิ่งเหล่านี้มันจะเข้ามา
มันกระทบนั้นกระทบแน่
ตามันต้องกระทบรูป
รูปต้องกระทบตาตามปกติอยู่แล้ว
แต่ว่าเห็นแล้วนี้จะเข้ามาทำลายเราหรือเปล่า
เอาสติไปกั้นไว้ รู้ตัวอยู่เสมอว่าสิ่งเหล่านี้
เมื่อเราไปยินดีรักใครชอบใจแล้ว
เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ รู้ตัวอยู่
แต่ว่าตัวพิจารณาให้เห็นว่าเป็นตัวให้เกิดทุกข์นั้น
ก็คือตัวปัญญา ปิดกั้นกระแสเหล่านั้นได้ด้วยปัญญา
ปัญญเยเต ปิถิยฺยเร ปิดกั้นกระแสเหล่านั้นได้ด้วยปัญญา
คือ สติ นั้นให้รู้ตัวอยู่ แล้วก็เอา ปัญญา ไปพิจารณา
คือ ความเห็นชอบ สัมมาทิฏฐินั้นคือมีสติรู้ตัว
และมีปัญญาพิจารณาให้เห็นโทษของ
รูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ เหล่านั้น
และมีขันติอดใจอดกลั้น
กระแสของกิเลสที่มันทำให้อยากได้
รูป เสียง กลิ่น รส อยากได้สัมผัส
อดใจให้ได้ รู้ตัวและใช้ปัญญาแล้ว
พิจารณาให้เห็นแล้ว มีขันติระงับจิตระงับใจให้อยู่
และใช้วิริยะคือความเพียร
คือสังวรประธาน คือ ความสำรวม
ที่เรียกว่าประธาน ๔ นั้น
ที่สังวรประธานเป็นข้อต้น
คือความเพียรในสังวรมิให้กิเลสเกิดขึ้น
ในขณะที่ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส
กายถูกต้องโผฏฐัพพะ คือสัมผัส
อันนี้เป็นวิธีการป้องกัน
ใช้สติ ใช้ปัญญา ใช้สติ ใช้สังวรประธานในความเพียร ๔ ข้อ
ข้อแรกสังวรประธาน เพียรระวังมิให้กิเลสมันเกิดขึ้น
กามคุณทั้ง ๕ นี้ทุกคนต้องประสบหมายความว่า
มีตาเราก็ต้องเห็นรูป มีหูก็ต้องได้ยินเสียง
มีจมูกก็ต้องได้กลิ่น มีลิ้นก็ต้องลิ้มรส มีกายก็ต้องได้สัมผัส
สิ่งเหล่านั้นย่อมมีเป็นธรรมดาเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว
แต่ว่าเมื่อมันมากระทบแล้ว
ตากระทบรูปแล้ว หูได้ยินเสียงแล้ว เป็นต้นนี้
ทำอย่างไรจึงจะไม่ให้ก่อทุกข์เกิดขึ้น
ทำอย่างไรถึงจะไม่เกิดโทษแก่เรา
อันนี้ก็คือ ใช้ สติ ใช้ ปัญญา ใช้ ขันติ ใช้ สังวรประธาน
ความจริงนั้นเราไม่อยากได้
ทุกข์โศกนั้นเราไม่อยากได้
เมื่อไม่อยากได้แล้วก็ต้องทำมันไม่ให้เกิด
อันนี้นับเป็นข้อสำคัญ
หมายความว่าเราไม่อยากได้ แต่เราไม่ทำ
ไม่ทำเหตุที่มันจะทำให้เกิดทุกข์
คือเอากิเลสเข้าไปจับในรูป รส กลิ่นเสียง ในสัมผัส
มันก็เลยก็ให้เกิดทุกข์
อันนี้ที่พูดหมายความว่ามันผิดปกติ
ว่าตามปกติของชาวบ้านเป็นของธรรมดา
ที่อยู่ในโลกก็ต้องมีบ้างล่ะ
เป็นไปบ้างตามธรรมดา
ที่พูดนี้ก็สำหรับในชีวิตประจำวันที่มันเกินไป ที่อยากเกินไป
ที่ว่ามันก่อให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆ
ถ้าเรามีสติ มีปัญญา มีขันติ มีสังวรประธานแล้ว
อย่างนี้มันก็ก็ไม่เกิด นี้เป็นเรื่องป้องกัน
จงทำกับเพื่อนมนุษย์โดยคิดว่า...
เขาเป็นเพื่อน เกิด แก่เจ็บ ตาย ของเรา.
เขาเป็นเพื่อน เวียนว่ายอยู่ในวัฎฎสงสารด้วยกันกะเรา.
เขาก็ตกอยู่ใต้ อำนาจกิเลส เหมือนเรา ย่อมพลั้งเผลอไปบ้าง.
เขาก็มีราคะ โทสะ โมหะ ไม่น้อยไปกว่าเรา.
เขาย่อมพลั้งเผลอบางคราว เหมือนเรา.
เขาก็ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม เหมือนเรา ไม่รู้จักนิพพานเหมือนเรา.
เขาโง่ในบางอย่าง เหมือนที่เราเคยโง่.
เขาก็ตามใจ ตัวเองในบางอย่าง เหมือนที่เราเคยกระทำ.
เขาก็อยากดี เหมือนเรา ที่อยาก ดี-เด่น-ดัง.
เขาก็มักจะกอบโกย และ เอาเปรียบ เมื่อมีโอกาสเหมือนเรา.
เขามีสิทธิที่จะบ้า ดี-เมาดี-หลงดี-จมดี เหมือนเรา.
เขาเป็น คนธรรมดา ที่ยึดมั่น ถือมั่น อะไรต่างๆ เหมือนเรา.
เขาไม่มี หน้าที่ ที่จะเป็นทุกข์ หรือตายแทนเรา.
เขาเป็น เพื่อน ร่วมชาติ ร่วมศาสนา กะเรา.
เขาก็ ทำอะไร ด้วย ความคิดชั่วแล่น และ ผลุนผลัน เหมือนเรา.
เขามี หน้าที่ รับผิดชอบ ต่อครอบครัวของเขา มิใช่ของเรา.
เขามีสิทธิ ที่จะมีรสนิยม ตามพอใจของเขา.
เขามีสิทธิ ที่จะเลือก ( แม้ศาสนา ) ตามพอใจของเขา.
เขามีสิทธิ ที่จะใช้ สมบัติ สาธารณะ เท่ากันกับเรา.
เขามีสิทธิ ที่จะเป็นโรคประสาท หรือเป็นบ้า เท่ากับเรา.
เขามีสิทธิ ที่จะขอความช่วย เหลือ เห็นอกเห็นใจ จากเรา.
เขามีสิทธิ ที่จะได้รับอภัย จากเรา ตามควรแก่กรณี.
เขามีสิทธิ ที่จะเป็นสังคมนิยม หรือ เสรีนิยม ตามใจเขา.
เขามีสิทธิ ที่จะเห็นแก่ตัว ก่อนเห็นแก่ผู้อื่น.
เขามีสิทธิ แห่งมนุษย์ชน เท่ากัน กับเรา , สำหรับจะอยู่ในใลก.
....ถ้าเราคิดกันอย่างนี้ จะไม่มีการ ขัดแย้งใดๆเกิดขึ้น.
***********************************************
พุทธทาส ภิกขุ
สวนโมกขพลาราม อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี
เขาเป็นเพื่อน เวียนว่ายอยู่ในวัฎฎสงสารด้วยกันกะเรา.
เขาก็ตกอยู่ใต้ อำนาจกิเลส เหมือนเรา ย่อมพลั้งเผลอไปบ้าง.
เขาก็มีราคะ โทสะ โมหะ ไม่น้อยไปกว่าเรา.
เขาย่อมพลั้งเผลอบางคราว เหมือนเรา.
เขาก็ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม เหมือนเรา ไม่รู้จักนิพพานเหมือนเรา.
เขาโง่ในบางอย่าง เหมือนที่เราเคยโง่.
เขาก็ตามใจ ตัวเองในบางอย่าง เหมือนที่เราเคยกระทำ.
เขาก็อยากดี เหมือนเรา ที่อยาก ดี-เด่น-ดัง.
เขาก็มักจะกอบโกย และ เอาเปรียบ เมื่อมีโอกาสเหมือนเรา.
เขามีสิทธิที่จะบ้า ดี-เมาดี-หลงดี-จมดี เหมือนเรา.
เขาเป็น คนธรรมดา ที่ยึดมั่น ถือมั่น อะไรต่างๆ เหมือนเรา.
เขาไม่มี หน้าที่ ที่จะเป็นทุกข์ หรือตายแทนเรา.
เขาเป็น เพื่อน ร่วมชาติ ร่วมศาสนา กะเรา.
เขาก็ ทำอะไร ด้วย ความคิดชั่วแล่น และ ผลุนผลัน เหมือนเรา.
เขามี หน้าที่ รับผิดชอบ ต่อครอบครัวของเขา มิใช่ของเรา.
เขามีสิทธิ ที่จะมีรสนิยม ตามพอใจของเขา.
เขามีสิทธิ ที่จะเลือก ( แม้ศาสนา ) ตามพอใจของเขา.
เขามีสิทธิ ที่จะใช้ สมบัติ สาธารณะ เท่ากันกับเรา.
เขามีสิทธิ ที่จะเป็นโรคประสาท หรือเป็นบ้า เท่ากับเรา.
เขามีสิทธิ ที่จะขอความช่วย เหลือ เห็นอกเห็นใจ จากเรา.
เขามีสิทธิ ที่จะได้รับอภัย จากเรา ตามควรแก่กรณี.
เขามีสิทธิ ที่จะเป็นสังคมนิยม หรือ เสรีนิยม ตามใจเขา.
เขามีสิทธิ ที่จะเห็นแก่ตัว ก่อนเห็นแก่ผู้อื่น.
เขามีสิทธิ แห่งมนุษย์ชน เท่ากัน กับเรา , สำหรับจะอยู่ในใลก.
....ถ้าเราคิดกันอย่างนี้ จะไม่มีการ ขัดแย้งใดๆเกิดขึ้น.
***********************************************
พุทธทาส ภิกขุ
สวนโมกขพลาราม อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี
...ทุกข์นั่นแหล่ะดี...จะได้มีทาง..."
สวัสดี ...วันพระแรม ๘ ค่ำ เดือน ๒ ทางแห่งธรรม...นั้นอยู่ไม่ สำหรับเรื่องทุกข์นี้มันก็ดี เมื่อใดมีทุกข์....เมื่อทุกข์ (สัจจะ = ความจริง, ธรรม = ธรรมชาติ + คือ ความจริงที่เกิดตามธรรมชาติ) เมื่อใดสภาวะที่เกิดทุกข์ จงตระหนักเลยว่าเรากำลังจะเห็น “ธรรม” (มองแบบในแง่ดีซะบ้าง...) ในมุมของทุกข์..มันมักจะมีสุ (เพราะว่า...มีแต่เรื่องโน่น เรื่องนี้ตลอดเวลา ไม่มีเวลาพิจารณาตัวเอง...แม้ มันเป็นเรื่องธรรมดา... พระพุทธองค์สอนให้พิจารณา....คื และวิธีปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ (อริยสัจ ๔ ....ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) ๑.ทุกข์ จากการเกิด การป่วย การแก่ การตาย การพลัดพรากจากสิ่งที่ตนได้แล้ว การพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นของรั ๒.สาเหตุแห่งการเกิดทุกข์ ก็คือ ความอยากทั้งหลาย ทั้งปวง ได้แก่ ความอยากไม่อยากป่วย ความอยากไม่อยากแก่ ฯลฯ ๓.ดับซะ...”รู้แล้ว...ก็ละ” เสมือนหนึ่งว่า “นี่คือไฟจากไฟฟ้า หรือนี่คือไฟจากเทียนไข” จะได้ดับให้ถูก.... ๔.พิจารณา หรือหาวิธีปฏิบัติในการดับทุกข์ (แต่ละคนไม่เหมือนกัน) ฉะนั้น วันพระนี้... ขอให้เธอทั้งหลาย สำรวจกาย...สำรวจวาจา...สำรวจใจ ในวันพระนี้ หรือวันใด ๆ ตามแต่เธอสะดวก เพื่อว่า....หยุดทุกข์สักครู่.. นี่แหล่ะ "...เมื่อหมดทุกข์...สุขย่อมเกิ |
Download พระไตรปิฎกฉบับ Ebook
พระไตรปิฎก ฉบับ E-Book (ฉบับมหามกุฎราชวิทยาลัย 91 เล่ม)
พระไตรปิฎกเอาไว้อ่านบนในโทรศัพท์มือถือ (บางท่านอาจจะเดินทางบ่อยหรือมีเวลาก็สามารถอ่านได้ทันที)
วิธีใช้
โทรศัพท์อื่นๆ ที่สามารถอ่านไฟล์ .txt ได้
- ใช้ไฟล์นามสกุล .txt เท่านั้น
โทรศัพท์โนเกีย ระบบปฏิบัติการ Symbian
- ติดตั้งไฟล์ RepliGo2.1_Viewer_S60.sis ในโทรศัพท์มือถือ (Symbian OS)
- นำไฟล์นามสกุล .rgo ใส่ไว้ที่ไฟล์ Document ใน Memory Card
PDA ระบบปฏิบัติการ window
- ใช้ไฟล์นามสกุล .rtf เท่านั้น
Download
ไฟล์ rgo
เล่มที่ 1-10 http://www.samyaek.com/fileload/mobile/rgo/book01_10.rar
เล่มที่ 11-30 http://www.samyaek.com/fileload/mobile/rgo/book11_30.rar
เล่มที่ 31-50 http://www.samyaek.com/fileload/mobile/rgo/book31_50.rar
เล่มที่ 51-74 http://www.samyaek.com/fileload/mobile/rgo/book51_74.rar
เล่มที่ 75-91 http://www.samyaek.com/fileload/mobile/rgo/book75_91.rar
ไฟล์ rtf
เล่มที่ 1-10 http://www.samyaek.com/fileload/mobile/rtf/book01_10.rar
เล่มที่ 11-30 http://www.samyaek.com/fileload/mobile/rtf/book11_30.rar
เล่มที่ 31-50 http://www.samyaek.com/fileload/mobile/rtf/book31_50.rar
เล่มที่ 51-74 http://www.samyaek.com/fileload/mobile/rtf/book51_74.rar
เล่มที่ 75-91 http://www.samyaek.com/fileload/mobile/rtf/book75_91.rar
ไฟล์ txt
เล่มที่ 1-10 http://www.samyaek.com/fileload/mobile/txt/book01_10.rar
เล่มที่ 11-30 http://www.samyaek.com/fileload/mobile/txt/book11_30.rar
เล่มที่ 31-50 http://www.samyaek.com/fileload/mobile/txt/book31_50.rar
เล่มที่ 51-74 http://www.samyaek.com/fileload/mobile/txt/book51_74.rar
เล่มที่ 75-91 http://www.samyaek.com/fileload/mobile/txt/book75_91.rar
พจนานุกรมพุทธศาสน์ http://www.samyaek.com/fileload/mobile/dic_rtf.rar
อนุโมทนาบุญแก่คุณเกศรินทร์ แสงประสิทธิ์ ผู้จัดทำด้วยครับ สาธุ
และอนุโมทนาผู้สนใจอ่านพระไตรปิฎก ขอให้เจริญในธรรมครับ
ส่งต่อให้เพื่อนๆได้ทราบข่าวด้วยนะครับ
ที่มา : http://www.mattaiya.org/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%8E%E0%B8%81-Ebook.html
--
พระไตรปิฎกเอาไว้อ่านบนในโทรศัพท์มือถือ (บางท่านอาจจะเดินทางบ่อยหรือมีเวลาก็สามารถอ่านได้ทันที)
วิธีใช้
โทรศัพท์อื่นๆ ที่สามารถอ่านไฟล์ .txt ได้
- ใช้ไฟล์นามสกุล .txt เท่านั้น
โทรศัพท์โนเกีย ระบบปฏิบัติการ Symbian
- ติดตั้งไฟล์ RepliGo2.1_Viewer_S60.sis ในโทรศัพท์มือถือ (Symbian OS)
- นำไฟล์นามสกุล .rgo ใส่ไว้ที่ไฟล์ Document ใน Memory Card
PDA ระบบปฏิบัติการ window
- ใช้ไฟล์นามสกุล .rtf เท่านั้น
Download
ไฟล์ rgo
เล่มที่ 1-10 http://www.samyaek.com/fileload/mobile/rgo/book01_10.rar
เล่มที่ 11-30 http://www.samyaek.com/fileload/mobile/rgo/book11_30.rar
เล่มที่ 31-50 http://www.samyaek.com/fileload/mobile/rgo/book31_50.rar
เล่มที่ 51-74 http://www.samyaek.com/fileload/mobile/rgo/book51_74.rar
เล่มที่ 75-91 http://www.samyaek.com/fileload/mobile/rgo/book75_91.rar
ไฟล์ rtf
เล่มที่ 1-10 http://www.samyaek.com/fileload/mobile/rtf/book01_10.rar
เล่มที่ 11-30 http://www.samyaek.com/fileload/mobile/rtf/book11_30.rar
เล่มที่ 31-50 http://www.samyaek.com/fileload/mobile/rtf/book31_50.rar
เล่มที่ 51-74 http://www.samyaek.com/fileload/mobile/rtf/book51_74.rar
เล่มที่ 75-91 http://www.samyaek.com/fileload/mobile/rtf/book75_91.rar
ไฟล์ txt
เล่มที่ 1-10 http://www.samyaek.com/fileload/mobile/txt/book01_10.rar
เล่มที่ 11-30 http://www.samyaek.com/fileload/mobile/txt/book11_30.rar
เล่มที่ 31-50 http://www.samyaek.com/fileload/mobile/txt/book31_50.rar
เล่มที่ 51-74 http://www.samyaek.com/fileload/mobile/txt/book51_74.rar
เล่มที่ 75-91 http://www.samyaek.com/fileload/mobile/txt/book75_91.rar
พจนานุกรมพุทธศาสน์ http://www.samyaek.com/fileload/mobile/dic_rtf.rar
อนุโมทนาบุญแก่คุณเกศรินทร์ แสงประสิทธิ์ ผู้จัดทำด้วยครับ สาธุ
และอนุโมทนาผู้สนใจอ่านพระไตรปิฎก ขอให้เจริญในธรรมครับ
ส่งต่อให้เพื่อนๆได้ทราบข่าวด้วยนะครับ
ที่มา : http://www.mattaiya.org/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%8E%E0%B8%81-Ebook.html
--
วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
จิตOมตะ ลุงหวีด บัวเผื่อน
การปฏิบัติของคุณลุงหวีดเริ่มต้นจากการมีสติสัมปชัญญะ
ท่าน ว่าถึงจะออกมาจากการภาวนาแล้วก็ “ต้องมีสติสัมปชัญญะคุ้มครองจิตใจของตนอยู่ตลอดเวลา ยืน เดิน นั่ง นอน ไม่ให้ปรุงแต่งใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อเผลอสติ (การลืมตัว) ก็พยายามทำความรู้สึกหรือรู้ตัวทั่วพร้อมกันใหม่ เป็นอย่างนี้อยู่ตลอดเวลาโดยมีความเพียรเป็นหลักไม่ท้อถอยอ่อนแอ ไม่ไหลไปตามอารมณ์…”
แรกๆ ก็ทำไม่ได้แต่อาศัยความมุ่งมั่นและความพยายามที่จะปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้นให้จงได้ จึงมีมานะพยายามที่จะเอาชนะใจของตนเอง
ด้วย วิธีนี้ “จึงสามารถครองสติไว้ได้ยาวนานขึ้นจากนาที เป็นสองสามนาที เป็นสิบนาที เป็นครึ่งชั่วโมง เป็นชั่วโมง เป็นวันโดยใช้เวลาไม่นานปีนัก”
ที่ ทำได้เพราะท่านมุ่งมั่นโดยตั้งปฏิญาณไว้กับตนเองว่า ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ก็ควรจะต้องมีสติอยู่ด้วย แต่ถ้าขาดจากสติสัมปชัญญะเสียแล้ว ก็ขออย่าได้มีชีวิตอยู่ต่อไปอีกเลย เพราะถ้าเราเอาชนะตนเองไม่ได้แล้วจะเอาชนะสิ่งอื่นๆ ได้อย่างไร…คนเราถ้าอยู่อย่างขาดสติสัมปชัญญะแล้วก็เหมือนกับเรือที่ขาดหาง เสือ
ท่านคอยเตือนตัวเอง คอยควบคุมให้มีสติคุ้มครองจิตใจไม่ให้ฟุ้งซ่าน
“ให้ จิตเป็นปกติ คือ เป็นตัวของตัวเอง ไม่ตกเป็นธาตุแห่งอารมณ์ดีหรือชั่วทั้งหลาย พยายามไม่พูดในจิต ไม่คิดในใจ เมื่อตาเห็นรูปให้สักแต่ว่าเห็น เช่น เห็นป้ายโฆษณาก็ไม่อ่านในใจ มีสติอยู่กับสมาธิให้จิตเป็นอุเบกขา วางเฉยอยู่อย่างเบาๆ ไม่เดือดร้อนในสิ่งที่มากระทบใดๆ ทั้งสิ้น
วันหนึ่งๆ ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ให้มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมตลอดเวลา หากเผลอตัวไหลไปตามอารมณ์นั้นๆ เมื่อรู้ตัวก็หยุดคิด หยุดปรุงแต่ง หยุดแสวงหา ให้จิตใจอยู่อย่างสบาย ไม่กังวล หยุดโกรธ หยุดโลภ หยุดปรารถนา”
ผลของการปฏิบัติเช่นว่า ในที่สุด จิตของก็เป็นสมาธิขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์
กล่าว คือ ภายในจิตใจไม่มีสังขารความคิดหรืออารมณ์ดีชั่วใดๆ มาก่อกวนเลย…บางครั้งจะคิดเรื่องการงานบ้าง แต่จิตกลับนิ่งเฉยเสีย ไม่ออกทำงานเลย ติดว่างอยู่อย่างนั้น ถึงกับต้องบังคับให้จิตออกมาคิดเรื่องอื่นๆ บ้าง ไม่เช่นนั้นจิตจะหยุดนิ่งเป็นสมาธิอยู่ตลอดเวลา…”
ท่านว่าตอนนั้นนอนใจคิดว่าที่เป็นอยู่ถูกต้องแล้ว ไม่รู้ว่า นี่คือการติดสมาธิ ผลคือ ติดความว่างอยู่ถึง 2 ปีเต็มๆ
แม้ จะส่งผลเช่นนั้น แต่คุณลุงก็ยืนยันว่า “อย่างไรก็ดีการปฏิบัติให้จิตเป็นสมาธินั้นเป็นทางเดินเบื้องต้นที่ถูกต้อง ท่านให้ชี่อว่า สมถกรรมฐาน เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในการปฏิบัติ”
ท่าน ว่า การปฏิบัติต้องมีความเพียรเป็นหลัก ทุ่มเทกันด้วยชีวิตจิตใจไม่ท้อถอย ปฏิบัติดังนี้แล้ว จิตจะเกิดความชุ่มชื้นสงบเย็น ความภาคภูมิใจและความปีติสุขอย่างบอกไม่ถูก
จากสมถะก็เข้าสู่วิปัสสนากรรมฐาน คือ การพิจารณากายที่ยาววาหนาคืบนี้ เพื่อให้เห็นตามความเป็นจริง
ใช่ ว่าจะเป็นเรื่องง่าย เพราะ “จิตที่ติดอยู่สมาธิจะเพลินอยู่ในสมาธิ ยากจะออกมาพิจารณาจึงต้องบังคับจิตให้ออกมาทำงานทางด้านปัญญาบ้าง โดยต้องฝืนและบังคับซึ่งก็ไม่เป็นผลนักในตอนแรก แต่ก็จำเป็นต้องออกมาพิจารณาดังที่กล่าวมาแล้ว…”
ท่านแก้โดย ลองเอากรรไกรตัดผมตัวเองออกมาพิจารณาดู ตัดเล็บที่ปลายนิ้วทั้งสิบออกมาวางไว้กับพื้นแล้วพิจารณาดู
“พิจารณา วนเวียนไปวนเวียนมา ก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นเราไปได้…หากเราลอกหนังที่ปิดบังอยู่นี้ออกมาเพื่อ เปิดเผยความจริง เหมือนเราลอกหนังเป็ดหนังไก่หรือหนังกบก็คงจะเห็นเนื้อแดงๆ เลือดไหลซึม ไม่แตกต่างอะไรกับพวกซากศพ ผีเปรต…”
ความ รู้นี้แจกแจงลงไปเป็นธาตุ 4 ค่อยๆ เห็นความจริงขึ้นว่า “…กายคือกาย จิตคือจิต ไม่ใช่อันเดียวกัน แต่เป็นความไม่รู้ของจิตเองที่ไม่รู้ความจริง แล้วก็ไปยึดถือร่างกายเป็นเรา…”
ท่าน พิจารณาจนนับครั้งไม่ถ้วน “จนบางครั้งจิตเป็นคนที่เดินไปเดินมานี้เป็นกระดูกที่ไม่มีเนื้อหนังหุ้ม อยู่ เห็นเพียงกระดูกเปล่าๆ ที่เดินไปเดินมาจึงสรุปได้ว่าจิตกับกายเป็นคนละส่วนกันไม่ปะปนกัน กายเป็นเพียงที่อาศัยชั่วคราวของจิตเท่านั้น จิตก็เริ่มยอมรับตามความเป็นจริงมากขึ้นเรื่อยๆ…”
ท่าน ว่า เมื่อถึงการพิจารณาเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ไปติดอยู่ที่การพิจารณาเวทนาอยู่นานมาก แม้สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจะตรัสไว้ว่า เวทนาก็ไม่ใช่เรา แต่พิจารณาอย่างไร จิตก็ไม่ยอมรับ เพราะรู้สึกอยู่กับตัวว่า ความปวดเมื่อยจากการทำสมาธินั้น “เราเป็นผู้ปวดเมื่อยทุกครั้งไป” หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ยังคิดว่า “เวทนาเป็นเรา เราเป็นเวทนา เป็นเนื้อเดียวกันหมด”
บัดที่จะทะลุขึ้นนี้ไปได้จู่ๆ มันก็เกิดขึ้นดังนี้
“วัน หนึ่งขณะที่จิตกำลังสงสัยอยู่ พิจารณาใคร่ครวญวกไปเวียนมาอยู่หลายรอบ เพื่อหาความจริงว่าเวทนาเป็นเราหรือไม่ ขณะนั้นเอง คล้ายกับเกิดนิมิตขึ้นในจิต เห็นเวทนาได้ลอยออกจากจิตของข้าพเจ้าอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง เวทนานี้ขาดออกจากจิตโดยสิ้นเชิง รู้สึกชัดเจนมาก เหมือนเราเอามีดไปฟันต้นกล้วยขาดกระเด็นออกจากกัน เวทนาเป็นสักแต่ว่าเวทนา เวทนานั้นก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นเวทนา เพราะเวทนา ไม่มีชีวิต ไม่มีจิตใจ เวทนาจึงเป็นเพียงขันธ์ๆ หนึ่งปรากฏขึ้นมา เป็นคนละส่วนกันกับธาตุรู้หรือจิต…”
คุณ ลุงจึงเปรียบเทียบไว้ว่า ธาตุรู้หรือจิตเป็น กระจก เวลาเวทนาเกิดขึ้น กระจกจะไปเจ็บได้อย่างไร เพราะธาตุรู้หรือจิตเป็นเพียงผู้เห็น แต่ไม่ใช่ผู้เจ็บ กระจกกับเวทนามันคนละอัน
ท่าน ว่า จริงๆ แล้วเราไม่ได้เจ็บ จิตไม่ใช่ผู้เจ็บ ความเจ็บมันมาจากสัญญาจำได้ ถ้าเราเป็นกระจก หากเวทนา เหมือนเม็ดพริกขี้หนู เม็ดพริกขี้หนูไม่รู้เลยว่าตัวเองเผ็ด เพราะไม่มีชีวิตไม่มีจิตใจ และไม่มีเจตนาที่จะทำให้ใครเผ็ด ความเจ็บความปวด ก็ไม่มีชีวิตจิตใจเช่นเดียวกัน จึงไม่สามารถทำให้ใครเจ็บปวดได้
“หาก ไม่เข้าใจความจริงนี้ความเจ็บความปวดนั้นก็จะเป็นเรา คือเราเจ็บ โดยไม่สามารถแยกจากกันได้ แต่หากเข้าใจความจริงนี้แล้ว เนื้อ หนัง เอ็น กระดูก ก็เป็นความจริงอันหนึ่ง อาการเจ็บก็เป็นเพียงอาการและความจริงอันหนึ่ง และธาตุรู้หรือจิตก็เป็นผู้รู้ซึ่งเป็นความจริงอีกอันหนึ่งเช่นกัน ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นว่าความเจ็บความปวดเราเป็นของเราแต่อย่างใด”
สัญญา ก็ไม่แตกต่างจากเวทนา
สัญญา ก็เป็นสิ่งถูกรู้ ไม่มีชีวิตไม่มีจิตใจเหมือนกัน เป็นของตาย คือ เกิดๆ ดับๆ แล้วจะ ไปยึดมั่นถือมั่นอะไรกัน สิ่งที่ติดตาติดใจ ก็คงจำได้นานหน่อยถ้าเป็นสิ่งที่ไม่ติดใจก็ดับเร็วลืมเร็ว
สัญญาจึงไม่ใช่เราเหมือนกับเวทนานั่นเอง
สังขาร ความคิดความปรุงแต่ง ก็เป็นอาการและความจริงของตนอีกอันหนึ่งเช่นกัน คือคิดแล้วดับไป ปรุงแล้วดับไป
ปัญหา ของคุณลุงในข้อนี้ก็คงเหมือนกับนักปฏิบัติทั่วไปที่เข้าวัดแล้วบางทีก็อด ตำหนิติเตียนครูบาอาจารย์อยู่ในใจ แม้จะห้ามไม่ให้คิดแล้วบางทียิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ เมื่อนำปัญหานี้ไปปรึกษาครูบาอาจารย์ ท่านก็ได้แก้ไขปัญหาด้วยประโยคเดียว
ทันที ที่ครูบาอาจารย์ตอบว่า “ไม่เป็นไรหรอกโยม เพียงแต่โยมอย่าไปคิดว่าสังขารความคิดเป็นโยมก็แล้วกัน” คุณลุงว่า “ความรู้สึกของข้าพเจ้าในขณะนั้นเหมือนยกภูเขาออกจากอกโล่งไปหมด เข้าใจได้ในทันทีว่า สังขารความคิดมีอาการและความจริงเช่นนี้ บังคับไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งถูกรู้ เป็นคนละอันกับจิต เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นไตรลักษณ์อยู่อย่างนั้น”
เรื่อง ของวิญญาณ ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้ลิ้มรส กายได้รับการสัมผัส ใจสัมผัสอารมณ์ เมื่อมีการกระทบกันทางอายตนะทั้ง 6 ดังกล่าวข้างต้น อาการของวิญญาณก็จะรับทราบการกระทบนั้นเป็นครั้งๆ เป็นเรื่องๆ ไป กระทบครั้งหนึ่งรับทราบครั้งหนึ่งแล้วก็ดับไป รับทราบแล้วดับ รับทราบแล้วดับ ไม่ใช่ธาตุรู้หรือจิต เป็นเพียงสิ่งถูกรู้เช่นเดียวกัน
ทั้ง หมดนี้สรุปได้ว่า “ขันธ์ 5 ทั้งหมดมิใช่เรามิใช่ของเรา เป็นเพียงอาการของจิต มีธรรมชาติเป็นไตรลักษณ์ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ทั้ง 5 ขันธ์ 5 เป็นเพียงสิ่งถูกรู้ และเราเป็นผู้รู้สิ่งเหล่านี้เท่านั้น”
เมื่อเข้าใจว่าขันธ์ 5 ไม่ใช่ตัวเราของเรา ปัญหาสำคัญตามมาคือ แล้วเราคืออะไรล่ะ?
คุณลุงว่าค้นอยู่นาน ที่สุดเมื่อถามครูบาอาจารย์ก็ได้คำตอบว่า “เราคือความรู้สึกหรือธาตุรู้”
“ธาตุ รู้นี้ไม่ใช่ความรู้ทั่วไปที่เราเรียนมาจากหนังสือไม่ใช่สิ่งที่เราเห็นด้วย ตา ได้ยินด้วยหู สัมผัสด้วยจมูก ลิ้มรสด้วยลิ้น และสัมผัสด้วยกาย สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งถูกรู้ทั้งหมด จึงไม่ใช่ธาตุรู้ ธาตุรู้นี้มีอยู่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นในสามแดนโลกธาตุนี้ สิ่งอื่นๆ ทั้งหมดไม่ใช่ธาตุรู้ แม้แต่อารมณ์ที่สัมผัสได้ด้วยใจของเรานี้ ก็ยังไม่ใช่ธาตุรู้ แต่เป็นเพียงสิ่งถูกรู้เท่านั้น นี่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่เราจำเป็นจะต้องพิจารณาให้เห็นธาตุรู้นี้ให้ได้ เพราะธาตุรู้นี้แหละคือเรา ไม่ใช่รูป เวทนา สัญญา สังขาร หรือวิญญาณ ที่ก่อนหน้านี้เห็นว่าเป็นเรา
ธาตุ รู้หรือจิตนี้ เราเกิดมานับอสงไขยไม่ถ้วน แต่กลับไม่เคยเห็นธาตุรู้ที่เป็นธรรมธาตุนี้มาก่อนเลย ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวไว้ว่า “นกไม่เห็นฟ้า ปลาไม่เห็นน้ำ หนอนไม่เห็นอาจม”
“จาก นั้นมาข้าพเจ้าจึงพยายามอยู่กับธาตุรู้ ถึงแม้ในตอนแรกจะขาดๆ หายๆ อยู่ได้เพียงหนึ่งนาทีสองนาทีก็หายไป เมื่อได้สติก็พยายามดึงกลับมาอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา ยกเว้นเวลาหลับ ในที่สุดด้วยความเพียรอย่างยิ่งของข้าพเจ้าทำให้สามารถอยู่กับผู้รู้ได้มาก ขึ้นเรื่อยๆ จนอยู่ได้ครบ 100% และสามารถอยู่กับธาตุรู้ได้อย่างอัตโนมัติ
ท่านว่า ติดอยู่กับผู้รู้เป็นเวลาสองปีเต็มๆ ในที่สุดพระอาจารย์ของคุณลุงก็มาเทศน์โปรดให้ปล่อยธาตุรู้
“โยมจะจับไว้ทำไมกันปล่อยไปเสียนะโยม ไม่มีสิ่งใดที่จะหนักเท่ารู้อีกแล้ว โยมจะจับไว้ทำไมกัน”
พอ ว่า “ผมปล่อยไม่เป็นหรอกครับอาจารย์ ปล่อยไม่ได้ ไม่รู้จะปล่อยอย่างไร” พระอาจารย์ก็หยิบหนังสือขึ้น แล้วก็ปล่อยลงมา “ปล่อยอย่างนี้แหละโยม ปล่อยได้ไหม”
แม้ ครูบาอาจารย์จะช่วยโปรดหลายหนมาที่บ้านถึง 7 ครั้ง ไปกราบที่สำนัก 3-4 หนก็ไม่ได้ผล เพราะปรารภกับตัวเองว่า “ธาตุรู้นี้เป็นชีวิตจิตใจแล้วเราจะปล่อยวางได้อย่างไร”
ครั้ง สุดท้ายเมื่อวันที่ 3 พ.ย. 2536 ขณะที่คุณลุงเตรียมตัวออกจากสำนักพระอาจารย์กลับบ้านในเวลา 4 โมงเย็น โดย “คิดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจว่าชาตินี้คงไม่มีวาสนาที่จะสามารถปล่อยรู้ได้ ทันใดนั้นอาจารย์ได้กล่าวขึ้นว่า “โยม เวลามีสิ่งกระทบโยมก็ปล่อยรู้แล้วมาจับสิ่งที่มากระทบ แต่ในขณะที่ไม่มีสิ่งกระทบ โยมก็มาอยู่กับธาตุรู้อีก เอาอย่างนี้ได้มั้ยโยม เมื่อมีสิ่งกระทบ โยมก็ปล่อยทั้งสองอย่างไปเลย เวลานี้โยมเปรียบเหมือนหนอนคืบ เมื่อมาจับที่หัวก็ปล่อยหาง เมื่อจับหางก็ปล่อยหัว ให้โยมปล่อยทั้งสองอย่างไปเลยได้มั้ย”
“เท่า นั้นเอง ข้าพเจ้าถึงกับตะลึง สะดุ้งขึ้นในใจและขณะเดียวกันนั้น ทั้งธาตุรู้และสิ่งถูกรู้เหมือนมีพลังหนึ่งมาสะบัดอย่างรุนแรงธาตุรู้ และสิ่งถูกรู้นั้นกระเด็นออกไปทันที และเกิดธาตุรู้อีกตัวหนึ่งซึ่งเป็นรู้ภายใน คือตัวที่มองธาตุรู้ตัวแรกและสิ่งถูกรู้ที่กระเด็นออกไป ปรากฏเป็นรู้ปัจจุบันขึ้นมาทันที เป็นธาตุรู้ที่ไม่ต้องประคองไม่ต้องจับ ไม่ต้องกำหนด
“ธาตุ รู้นี้ไม่มีหาย ไม่มีเกิด ไม่มีดับ ธาตุรู้ตัวใหม่นี้เป็นอิสรเสรี โดยที่ไม่มีเราเป็นเจ้าของเหมือนแต่ก่อน เป็นธาตุรู้ที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง เป็นปัจจุบันธรรม เป็นกลางๆ ไม่มีที่อยู่ ไม่มีที่อาศัย ไม่กินเนื้อที่ ปราศจากการยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดทั้งสิ้น ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนมาก สมมติที่ฝังจมอยู่ในจิต คือธาตุรู้ตัวแรกนั้นดับไป ภพชาติทั้งหลายที่ติดแน่นอยู่ในจิตนานแสนนานได้ดับลงพร้อมกันในขณะนั้น อวิชชาดับไปโดยสิ้นเชิง พร้อมทั้งประกาศชัยชนะเหนือกิเลสทั้งหลายอย่างขาวสะอาด ในสามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีกิเลสที่จะก่อกวนอีกต่อไป ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นกลับตัวเป็นธรรมพร้อมกันหมดทั้งภายในและภายนอก
“ความ เป็นกลาง ความสะอาด ความบริสุทธิ์นั้น ก็หมายถึงจิตดวงนี้เอง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็คือ จิตดวงนี้ ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ซึ่งก็คือ การเห็นจิตที่บริสุทธิ์ ณ ปัจจุบันนั่นเอง
“จิต ที่บริสุทธิ์จึงเป็นจิตที่อยู่นอกเหตุเหนือผล เหนือสมมติ เหนือบัญญัติ เหนือเกิด เรียกว่า เป็นวิมุตติ หมดภาระ หมดสิ้นการงาน หมดคำพูด จึงหยุดแล้วปล่อยคำว่าหยุดลงเสียด้วย สมกับที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ‘ไม่มีธรรมใดที่ไม่เป็นโมฆะ’ นั่นหมายความว่า สมมติทั้งหลายที่เคยติดแน่นในจิตเมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นกับสมมตินั้นแล้ว สมมติก็เป็นโมฆะหรือหมดความหมายไป”
คุณ ลุงหวีด บัวเผื่อน เพิ่งละสังขารไปแล้วเมื่อวันที่ 26 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยมีพิธีประชุมเพลิง ณ วัดเขากระแจะ อ.เมือง จ.จันทบุรี ทิ้ง “จิตที่พ้นจากทุกข์” ไว้เป็นหลักไมล์และป้ายบอกทางให้แก่ผู้ปรารถนาจะพ้นทุกข์ไว้ข้างหลังได้ ศึกษา
ท่าน ว่าถึงจะออกมาจากการภาวนาแล้วก็ “ต้องมีสติสัมปชัญญะคุ้มครองจิตใจของตนอยู่ตลอดเวลา ยืน เดิน นั่ง นอน ไม่ให้ปรุงแต่งใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อเผลอสติ (การลืมตัว) ก็พยายามทำความรู้สึกหรือรู้ตัวทั่วพร้อมกันใหม่ เป็นอย่างนี้อยู่ตลอดเวลาโดยมีความเพียรเป็นหลักไม่ท้อถอยอ่อนแอ ไม่ไหลไปตามอารมณ์…”
แรกๆ ก็ทำไม่ได้แต่อาศัยความมุ่งมั่นและความพยายามที่จะปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้นให้จงได้ จึงมีมานะพยายามที่จะเอาชนะใจของตนเอง
ด้วย วิธีนี้ “จึงสามารถครองสติไว้ได้ยาวนานขึ้นจากนาที เป็นสองสามนาที เป็นสิบนาที เป็นครึ่งชั่วโมง เป็นชั่วโมง เป็นวันโดยใช้เวลาไม่นานปีนัก”
ที่ ทำได้เพราะท่านมุ่งมั่นโดยตั้งปฏิญาณไว้กับตนเองว่า ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ก็ควรจะต้องมีสติอยู่ด้วย แต่ถ้าขาดจากสติสัมปชัญญะเสียแล้ว ก็ขออย่าได้มีชีวิตอยู่ต่อไปอีกเลย เพราะถ้าเราเอาชนะตนเองไม่ได้แล้วจะเอาชนะสิ่งอื่นๆ ได้อย่างไร…คนเราถ้าอยู่อย่างขาดสติสัมปชัญญะแล้วก็เหมือนกับเรือที่ขาดหาง เสือ
ท่านคอยเตือนตัวเอง คอยควบคุมให้มีสติคุ้มครองจิตใจไม่ให้ฟุ้งซ่าน
“ให้ จิตเป็นปกติ คือ เป็นตัวของตัวเอง ไม่ตกเป็นธาตุแห่งอารมณ์ดีหรือชั่วทั้งหลาย พยายามไม่พูดในจิต ไม่คิดในใจ เมื่อตาเห็นรูปให้สักแต่ว่าเห็น เช่น เห็นป้ายโฆษณาก็ไม่อ่านในใจ มีสติอยู่กับสมาธิให้จิตเป็นอุเบกขา วางเฉยอยู่อย่างเบาๆ ไม่เดือดร้อนในสิ่งที่มากระทบใดๆ ทั้งสิ้น
วันหนึ่งๆ ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ให้มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมตลอดเวลา หากเผลอตัวไหลไปตามอารมณ์นั้นๆ เมื่อรู้ตัวก็หยุดคิด หยุดปรุงแต่ง หยุดแสวงหา ให้จิตใจอยู่อย่างสบาย ไม่กังวล หยุดโกรธ หยุดโลภ หยุดปรารถนา”
ผลของการปฏิบัติเช่นว่า ในที่สุด จิตของก็เป็นสมาธิขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์
กล่าว คือ ภายในจิตใจไม่มีสังขารความคิดหรืออารมณ์ดีชั่วใดๆ มาก่อกวนเลย…บางครั้งจะคิดเรื่องการงานบ้าง แต่จิตกลับนิ่งเฉยเสีย ไม่ออกทำงานเลย ติดว่างอยู่อย่างนั้น ถึงกับต้องบังคับให้จิตออกมาคิดเรื่องอื่นๆ บ้าง ไม่เช่นนั้นจิตจะหยุดนิ่งเป็นสมาธิอยู่ตลอดเวลา…”
ท่านว่าตอนนั้นนอนใจคิดว่าที่เป็นอยู่ถูกต้องแล้ว ไม่รู้ว่า นี่คือการติดสมาธิ ผลคือ ติดความว่างอยู่ถึง 2 ปีเต็มๆ
แม้ จะส่งผลเช่นนั้น แต่คุณลุงก็ยืนยันว่า “อย่างไรก็ดีการปฏิบัติให้จิตเป็นสมาธินั้นเป็นทางเดินเบื้องต้นที่ถูกต้อง ท่านให้ชี่อว่า สมถกรรมฐาน เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในการปฏิบัติ”
ท่าน ว่า การปฏิบัติต้องมีความเพียรเป็นหลัก ทุ่มเทกันด้วยชีวิตจิตใจไม่ท้อถอย ปฏิบัติดังนี้แล้ว จิตจะเกิดความชุ่มชื้นสงบเย็น ความภาคภูมิใจและความปีติสุขอย่างบอกไม่ถูก
จากสมถะก็เข้าสู่วิปัสสนากรรมฐาน คือ การพิจารณากายที่ยาววาหนาคืบนี้ เพื่อให้เห็นตามความเป็นจริง
ใช่ ว่าจะเป็นเรื่องง่าย เพราะ “จิตที่ติดอยู่สมาธิจะเพลินอยู่ในสมาธิ ยากจะออกมาพิจารณาจึงต้องบังคับจิตให้ออกมาทำงานทางด้านปัญญาบ้าง โดยต้องฝืนและบังคับซึ่งก็ไม่เป็นผลนักในตอนแรก แต่ก็จำเป็นต้องออกมาพิจารณาดังที่กล่าวมาแล้ว…”
ท่านแก้โดย ลองเอากรรไกรตัดผมตัวเองออกมาพิจารณาดู ตัดเล็บที่ปลายนิ้วทั้งสิบออกมาวางไว้กับพื้นแล้วพิจารณาดู
“พิจารณา วนเวียนไปวนเวียนมา ก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นเราไปได้…หากเราลอกหนังที่ปิดบังอยู่นี้ออกมาเพื่อ เปิดเผยความจริง เหมือนเราลอกหนังเป็ดหนังไก่หรือหนังกบก็คงจะเห็นเนื้อแดงๆ เลือดไหลซึม ไม่แตกต่างอะไรกับพวกซากศพ ผีเปรต…”
ความ รู้นี้แจกแจงลงไปเป็นธาตุ 4 ค่อยๆ เห็นความจริงขึ้นว่า “…กายคือกาย จิตคือจิต ไม่ใช่อันเดียวกัน แต่เป็นความไม่รู้ของจิตเองที่ไม่รู้ความจริง แล้วก็ไปยึดถือร่างกายเป็นเรา…”
ท่าน พิจารณาจนนับครั้งไม่ถ้วน “จนบางครั้งจิตเป็นคนที่เดินไปเดินมานี้เป็นกระดูกที่ไม่มีเนื้อหนังหุ้ม อยู่ เห็นเพียงกระดูกเปล่าๆ ที่เดินไปเดินมาจึงสรุปได้ว่าจิตกับกายเป็นคนละส่วนกันไม่ปะปนกัน กายเป็นเพียงที่อาศัยชั่วคราวของจิตเท่านั้น จิตก็เริ่มยอมรับตามความเป็นจริงมากขึ้นเรื่อยๆ…”
ท่าน ว่า เมื่อถึงการพิจารณาเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ไปติดอยู่ที่การพิจารณาเวทนาอยู่นานมาก แม้สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจะตรัสไว้ว่า เวทนาก็ไม่ใช่เรา แต่พิจารณาอย่างไร จิตก็ไม่ยอมรับ เพราะรู้สึกอยู่กับตัวว่า ความปวดเมื่อยจากการทำสมาธินั้น “เราเป็นผู้ปวดเมื่อยทุกครั้งไป” หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ยังคิดว่า “เวทนาเป็นเรา เราเป็นเวทนา เป็นเนื้อเดียวกันหมด”
บัดที่จะทะลุขึ้นนี้ไปได้จู่ๆ มันก็เกิดขึ้นดังนี้
“วัน หนึ่งขณะที่จิตกำลังสงสัยอยู่ พิจารณาใคร่ครวญวกไปเวียนมาอยู่หลายรอบ เพื่อหาความจริงว่าเวทนาเป็นเราหรือไม่ ขณะนั้นเอง คล้ายกับเกิดนิมิตขึ้นในจิต เห็นเวทนาได้ลอยออกจากจิตของข้าพเจ้าอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง เวทนานี้ขาดออกจากจิตโดยสิ้นเชิง รู้สึกชัดเจนมาก เหมือนเราเอามีดไปฟันต้นกล้วยขาดกระเด็นออกจากกัน เวทนาเป็นสักแต่ว่าเวทนา เวทนานั้นก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นเวทนา เพราะเวทนา ไม่มีชีวิต ไม่มีจิตใจ เวทนาจึงเป็นเพียงขันธ์ๆ หนึ่งปรากฏขึ้นมา เป็นคนละส่วนกันกับธาตุรู้หรือจิต…”
คุณ ลุงจึงเปรียบเทียบไว้ว่า ธาตุรู้หรือจิตเป็น กระจก เวลาเวทนาเกิดขึ้น กระจกจะไปเจ็บได้อย่างไร เพราะธาตุรู้หรือจิตเป็นเพียงผู้เห็น แต่ไม่ใช่ผู้เจ็บ กระจกกับเวทนามันคนละอัน
ท่าน ว่า จริงๆ แล้วเราไม่ได้เจ็บ จิตไม่ใช่ผู้เจ็บ ความเจ็บมันมาจากสัญญาจำได้ ถ้าเราเป็นกระจก หากเวทนา เหมือนเม็ดพริกขี้หนู เม็ดพริกขี้หนูไม่รู้เลยว่าตัวเองเผ็ด เพราะไม่มีชีวิตไม่มีจิตใจ และไม่มีเจตนาที่จะทำให้ใครเผ็ด ความเจ็บความปวด ก็ไม่มีชีวิตจิตใจเช่นเดียวกัน จึงไม่สามารถทำให้ใครเจ็บปวดได้
“หาก ไม่เข้าใจความจริงนี้ความเจ็บความปวดนั้นก็จะเป็นเรา คือเราเจ็บ โดยไม่สามารถแยกจากกันได้ แต่หากเข้าใจความจริงนี้แล้ว เนื้อ หนัง เอ็น กระดูก ก็เป็นความจริงอันหนึ่ง อาการเจ็บก็เป็นเพียงอาการและความจริงอันหนึ่ง และธาตุรู้หรือจิตก็เป็นผู้รู้ซึ่งเป็นความจริงอีกอันหนึ่งเช่นกัน ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นว่าความเจ็บความปวดเราเป็นของเราแต่อย่างใด”
สัญญา ก็ไม่แตกต่างจากเวทนา
สัญญา ก็เป็นสิ่งถูกรู้ ไม่มีชีวิตไม่มีจิตใจเหมือนกัน เป็นของตาย คือ เกิดๆ ดับๆ แล้วจะ ไปยึดมั่นถือมั่นอะไรกัน สิ่งที่ติดตาติดใจ ก็คงจำได้นานหน่อยถ้าเป็นสิ่งที่ไม่ติดใจก็ดับเร็วลืมเร็ว
สัญญาจึงไม่ใช่เราเหมือนกับเวทนานั่นเอง
สังขาร ความคิดความปรุงแต่ง ก็เป็นอาการและความจริงของตนอีกอันหนึ่งเช่นกัน คือคิดแล้วดับไป ปรุงแล้วดับไป
ปัญหา ของคุณลุงในข้อนี้ก็คงเหมือนกับนักปฏิบัติทั่วไปที่เข้าวัดแล้วบางทีก็อด ตำหนิติเตียนครูบาอาจารย์อยู่ในใจ แม้จะห้ามไม่ให้คิดแล้วบางทียิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ เมื่อนำปัญหานี้ไปปรึกษาครูบาอาจารย์ ท่านก็ได้แก้ไขปัญหาด้วยประโยคเดียว
ทันที ที่ครูบาอาจารย์ตอบว่า “ไม่เป็นไรหรอกโยม เพียงแต่โยมอย่าไปคิดว่าสังขารความคิดเป็นโยมก็แล้วกัน” คุณลุงว่า “ความรู้สึกของข้าพเจ้าในขณะนั้นเหมือนยกภูเขาออกจากอกโล่งไปหมด เข้าใจได้ในทันทีว่า สังขารความคิดมีอาการและความจริงเช่นนี้ บังคับไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งถูกรู้ เป็นคนละอันกับจิต เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นไตรลักษณ์อยู่อย่างนั้น”
เรื่อง ของวิญญาณ ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้ลิ้มรส กายได้รับการสัมผัส ใจสัมผัสอารมณ์ เมื่อมีการกระทบกันทางอายตนะทั้ง 6 ดังกล่าวข้างต้น อาการของวิญญาณก็จะรับทราบการกระทบนั้นเป็นครั้งๆ เป็นเรื่องๆ ไป กระทบครั้งหนึ่งรับทราบครั้งหนึ่งแล้วก็ดับไป รับทราบแล้วดับ รับทราบแล้วดับ ไม่ใช่ธาตุรู้หรือจิต เป็นเพียงสิ่งถูกรู้เช่นเดียวกัน
ทั้ง หมดนี้สรุปได้ว่า “ขันธ์ 5 ทั้งหมดมิใช่เรามิใช่ของเรา เป็นเพียงอาการของจิต มีธรรมชาติเป็นไตรลักษณ์ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ทั้ง 5 ขันธ์ 5 เป็นเพียงสิ่งถูกรู้ และเราเป็นผู้รู้สิ่งเหล่านี้เท่านั้น”
เมื่อเข้าใจว่าขันธ์ 5 ไม่ใช่ตัวเราของเรา ปัญหาสำคัญตามมาคือ แล้วเราคืออะไรล่ะ?
คุณลุงว่าค้นอยู่นาน ที่สุดเมื่อถามครูบาอาจารย์ก็ได้คำตอบว่า “เราคือความรู้สึกหรือธาตุรู้”
“ธาตุ รู้นี้ไม่ใช่ความรู้ทั่วไปที่เราเรียนมาจากหนังสือไม่ใช่สิ่งที่เราเห็นด้วย ตา ได้ยินด้วยหู สัมผัสด้วยจมูก ลิ้มรสด้วยลิ้น และสัมผัสด้วยกาย สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งถูกรู้ทั้งหมด จึงไม่ใช่ธาตุรู้ ธาตุรู้นี้มีอยู่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นในสามแดนโลกธาตุนี้ สิ่งอื่นๆ ทั้งหมดไม่ใช่ธาตุรู้ แม้แต่อารมณ์ที่สัมผัสได้ด้วยใจของเรานี้ ก็ยังไม่ใช่ธาตุรู้ แต่เป็นเพียงสิ่งถูกรู้เท่านั้น นี่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่เราจำเป็นจะต้องพิจารณาให้เห็นธาตุรู้นี้ให้ได้ เพราะธาตุรู้นี้แหละคือเรา ไม่ใช่รูป เวทนา สัญญา สังขาร หรือวิญญาณ ที่ก่อนหน้านี้เห็นว่าเป็นเรา
ธาตุ รู้หรือจิตนี้ เราเกิดมานับอสงไขยไม่ถ้วน แต่กลับไม่เคยเห็นธาตุรู้ที่เป็นธรรมธาตุนี้มาก่อนเลย ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวไว้ว่า “นกไม่เห็นฟ้า ปลาไม่เห็นน้ำ หนอนไม่เห็นอาจม”
“จาก นั้นมาข้าพเจ้าจึงพยายามอยู่กับธาตุรู้ ถึงแม้ในตอนแรกจะขาดๆ หายๆ อยู่ได้เพียงหนึ่งนาทีสองนาทีก็หายไป เมื่อได้สติก็พยายามดึงกลับมาอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา ยกเว้นเวลาหลับ ในที่สุดด้วยความเพียรอย่างยิ่งของข้าพเจ้าทำให้สามารถอยู่กับผู้รู้ได้มาก ขึ้นเรื่อยๆ จนอยู่ได้ครบ 100% และสามารถอยู่กับธาตุรู้ได้อย่างอัตโนมัติ
ท่านว่า ติดอยู่กับผู้รู้เป็นเวลาสองปีเต็มๆ ในที่สุดพระอาจารย์ของคุณลุงก็มาเทศน์โปรดให้ปล่อยธาตุรู้
“โยมจะจับไว้ทำไมกันปล่อยไปเสียนะโยม ไม่มีสิ่งใดที่จะหนักเท่ารู้อีกแล้ว โยมจะจับไว้ทำไมกัน”
พอ ว่า “ผมปล่อยไม่เป็นหรอกครับอาจารย์ ปล่อยไม่ได้ ไม่รู้จะปล่อยอย่างไร” พระอาจารย์ก็หยิบหนังสือขึ้น แล้วก็ปล่อยลงมา “ปล่อยอย่างนี้แหละโยม ปล่อยได้ไหม”
แม้ ครูบาอาจารย์จะช่วยโปรดหลายหนมาที่บ้านถึง 7 ครั้ง ไปกราบที่สำนัก 3-4 หนก็ไม่ได้ผล เพราะปรารภกับตัวเองว่า “ธาตุรู้นี้เป็นชีวิตจิตใจแล้วเราจะปล่อยวางได้อย่างไร”
ครั้ง สุดท้ายเมื่อวันที่ 3 พ.ย. 2536 ขณะที่คุณลุงเตรียมตัวออกจากสำนักพระอาจารย์กลับบ้านในเวลา 4 โมงเย็น โดย “คิดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจว่าชาตินี้คงไม่มีวาสนาที่จะสามารถปล่อยรู้ได้ ทันใดนั้นอาจารย์ได้กล่าวขึ้นว่า “โยม เวลามีสิ่งกระทบโยมก็ปล่อยรู้แล้วมาจับสิ่งที่มากระทบ แต่ในขณะที่ไม่มีสิ่งกระทบ โยมก็มาอยู่กับธาตุรู้อีก เอาอย่างนี้ได้มั้ยโยม เมื่อมีสิ่งกระทบ โยมก็ปล่อยทั้งสองอย่างไปเลย เวลานี้โยมเปรียบเหมือนหนอนคืบ เมื่อมาจับที่หัวก็ปล่อยหาง เมื่อจับหางก็ปล่อยหัว ให้โยมปล่อยทั้งสองอย่างไปเลยได้มั้ย”
“เท่า นั้นเอง ข้าพเจ้าถึงกับตะลึง สะดุ้งขึ้นในใจและขณะเดียวกันนั้น ทั้งธาตุรู้และสิ่งถูกรู้เหมือนมีพลังหนึ่งมาสะบัดอย่างรุนแรงธาตุรู้ และสิ่งถูกรู้นั้นกระเด็นออกไปทันที และเกิดธาตุรู้อีกตัวหนึ่งซึ่งเป็นรู้ภายใน คือตัวที่มองธาตุรู้ตัวแรกและสิ่งถูกรู้ที่กระเด็นออกไป ปรากฏเป็นรู้ปัจจุบันขึ้นมาทันที เป็นธาตุรู้ที่ไม่ต้องประคองไม่ต้องจับ ไม่ต้องกำหนด
“ธาตุ รู้นี้ไม่มีหาย ไม่มีเกิด ไม่มีดับ ธาตุรู้ตัวใหม่นี้เป็นอิสรเสรี โดยที่ไม่มีเราเป็นเจ้าของเหมือนแต่ก่อน เป็นธาตุรู้ที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง เป็นปัจจุบันธรรม เป็นกลางๆ ไม่มีที่อยู่ ไม่มีที่อาศัย ไม่กินเนื้อที่ ปราศจากการยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดทั้งสิ้น ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนมาก สมมติที่ฝังจมอยู่ในจิต คือธาตุรู้ตัวแรกนั้นดับไป ภพชาติทั้งหลายที่ติดแน่นอยู่ในจิตนานแสนนานได้ดับลงพร้อมกันในขณะนั้น อวิชชาดับไปโดยสิ้นเชิง พร้อมทั้งประกาศชัยชนะเหนือกิเลสทั้งหลายอย่างขาวสะอาด ในสามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีกิเลสที่จะก่อกวนอีกต่อไป ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นกลับตัวเป็นธรรมพร้อมกันหมดทั้งภายในและภายนอก
“ความ เป็นกลาง ความสะอาด ความบริสุทธิ์นั้น ก็หมายถึงจิตดวงนี้เอง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็คือ จิตดวงนี้ ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ซึ่งก็คือ การเห็นจิตที่บริสุทธิ์ ณ ปัจจุบันนั่นเอง
“จิต ที่บริสุทธิ์จึงเป็นจิตที่อยู่นอกเหตุเหนือผล เหนือสมมติ เหนือบัญญัติ เหนือเกิด เรียกว่า เป็นวิมุตติ หมดภาระ หมดสิ้นการงาน หมดคำพูด จึงหยุดแล้วปล่อยคำว่าหยุดลงเสียด้วย สมกับที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ‘ไม่มีธรรมใดที่ไม่เป็นโมฆะ’ นั่นหมายความว่า สมมติทั้งหลายที่เคยติดแน่นในจิตเมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นกับสมมตินั้นแล้ว สมมติก็เป็นโมฆะหรือหมดความหมายไป”
คุณ ลุงหวีด บัวเผื่อน เพิ่งละสังขารไปแล้วเมื่อวันที่ 26 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยมีพิธีประชุมเพลิง ณ วัดเขากระแจะ อ.เมือง จ.จันทบุรี ทิ้ง “จิตที่พ้นจากทุกข์” ไว้เป็นหลักไมล์และป้ายบอกทางให้แก่ผู้ปรารถนาจะพ้นทุกข์ไว้ข้างหลังได้ ศึกษา
ทำงานวันละ 11 ชั่วโมงเสี่ยง "หัวใจวาย"
ผลศึกษาล่าสุดพบว่า คนที่ทำงานเกินวันละ 11 ชั่วโมงมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 2 ใน 3 ที่จะเกิดอาการหัวใจวาย
พร้อมกับแนะแพทย์ให้ซักประวัติคนไข้ให้ครอบคลุมถึงระยะเวลาของการทำงานแต่ละวันด้วย นอกเหนือจากเรื่องการดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่
นักวิจัยของมหาวิทยาลัยคอลเลจ ลอนดอน ได้ศึกษาข้าราชการกว่า 7,000 คนที่ทำงานกับรัฐบาลอังกฤษโดยใช้เวลาติดตามสุขภาพของคนเหล่านี้นาน 11 ปี โดยเก็บข้อมูลสภาพของหัวใจของคนเหล่านี้จากประวัติคนไข้และการตรวจสุขภาพ ในช่วงเวลาดังกล่าว มี 192 รายเกิดอาการหัวใจวาย
รายงาน ซึ่งตีพิมพ์ใน Annals of Internal Medicine พบว่า คนที่ทำงานเกินวันละ 11 ชั่วโมงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 67% ที่จะเกิดอาการนี้เมื่อเทียบกับคนที่ทำงานตามเวลาราชการ
นักวิจัยบอกว่า ผลการศึกษาชิ้นนี้แนะว่าคนที่มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ เช่น โรคอ้วน สูบบุหรี่ ควรลดชั่วโมงการทำงานของตัวเอง
ศาสตราจารย์มิกา กีวีมากิ หัวหน้าทีม บอกว่า คนที่ทำงานตลอดทั้งวันมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นที่จะเป็นโรคหัวใจ ข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจเกี่ยวกับการจ่ายยาโรคหัวใจ
ชาวอังกฤษ 2.6 ล้านคนเป็นโรคหัวใจ ไขมันที่สะสมในหลอดเลือดได้ปิดกั้นเลือดที่จะไปเลี้ยงหัวใจ โรคหัวใจคร่าชีวิตประชาชนมากที่สุด แต่ละปีมีคนตายเพราะโรคนี้ 101,000คน
อาการ หัวใจวายเกิดขึ้นเมื่อหลอดเลือดหัวใจเกิดการอุดตันโดยสิ้นเชิง หากเลือดไม่สามารถไปหล่อเลี้ยงหัวใจได้ หัวใจในส่วนที่เชื่อมกับหลอดเลือดนั้นก็จะตาย
คนที่เสี่ยงเป็นโรคนี้คือคนที่สูบบุหรี่ มีความดันโลหิตสูง คอเลสเตอรอลสูง มีน้ำหนักตัวมาก หรือไม่ออกกำลังกาย
ขอบคุณบทความจาก : หนังสือพิมพ์ ไทยโพสต์
พร้อมกับแนะแพทย์ให้ซักประวัติคนไข้ให้ครอบคลุมถึงระยะเวลาของการทำงานแต่ละวันด้วย นอกเหนือจากเรื่องการดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่
นักวิจัยของมหาวิทยาลัยคอลเลจ ลอนดอน ได้ศึกษาข้าราชการกว่า 7,000 คนที่ทำงานกับรัฐบาลอังกฤษโดยใช้เวลาติดตามสุขภาพของคนเหล่านี้นาน 11 ปี โดยเก็บข้อมูลสภาพของหัวใจของคนเหล่านี้จากประวัติคนไข้และการตรวจสุขภาพ ในช่วงเวลาดังกล่าว มี 192 รายเกิดอาการหัวใจวาย
รายงาน ซึ่งตีพิมพ์ใน Annals of Internal Medicine พบว่า คนที่ทำงานเกินวันละ 11 ชั่วโมงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 67% ที่จะเกิดอาการนี้เมื่อเทียบกับคนที่ทำงานตามเวลาราชการ
นักวิจัยบอกว่า ผลการศึกษาชิ้นนี้แนะว่าคนที่มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ เช่น โรคอ้วน สูบบุหรี่ ควรลดชั่วโมงการทำงานของตัวเอง
ศาสตราจารย์มิกา กีวีมากิ หัวหน้าทีม บอกว่า คนที่ทำงานตลอดทั้งวันมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นที่จะเป็นโรคหัวใจ ข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจเกี่ยวกับการจ่ายยาโรคหัวใจ
ชาวอังกฤษ 2.6 ล้านคนเป็นโรคหัวใจ ไขมันที่สะสมในหลอดเลือดได้ปิดกั้นเลือดที่จะไปเลี้ยงหัวใจ โรคหัวใจคร่าชีวิตประชาชนมากที่สุด แต่ละปีมีคนตายเพราะโรคนี้ 101,000คน
อาการ หัวใจวายเกิดขึ้นเมื่อหลอดเลือดหัวใจเกิดการอุดตันโดยสิ้นเชิง หากเลือดไม่สามารถไปหล่อเลี้ยงหัวใจได้ หัวใจในส่วนที่เชื่อมกับหลอดเลือดนั้นก็จะตาย
คนที่เสี่ยงเป็นโรคนี้คือคนที่สูบบุหรี่ มีความดันโลหิตสูง คอเลสเตอรอลสูง มีน้ำหนักตัวมาก หรือไม่ออกกำลังกาย
ขอบคุณบทความจาก : หนังสือพิมพ์ ไทยโพสต์
อัตตา ญาติโก ลูกหนี้ และบ้านเมือง โดย ว.ร. ฤทธาคนี
ก่อนที่จะเขียนเรื่องร้ายๆ ก็ควรพูดถึงเรื่องดีเป็นมงคล ซึ่งทุกคนจะเพิ่งได้รับกันมาจากวันวิสาขบูชา วันที่ 17 พฤษภาคม คือ ข่าวดีที่สุดจากคุณยงยุทธ ศรจิตติหรือพี่นิด บุตรชายวีรบุรุษสงครามอินโดจีน รุ่นพี่นักเรียนประจำกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย สถานศึกษาก่อนอุดมศึกษาที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของภูมิภาคนี้ และสอนให้เยาวชนไทยเป็นพลเมืองดีมาหลายชั่วอายุคนแล้ว และคำสอนที่ควรถ่ายทอดต่อๆ กันไป คือ “อย่าเห็นแก่ตัว” “จงรักชาติบ้านเมืองยิ่งชีวิต” สีประจำโรงเรียนคือสีม่วงกับสีทอง ซึ่งอาจารย์อารีย์ เสมประสาท อธิบายว่า สีม่วง คือการผสมของแม่สี 2 สี คือ น้ำเงินกับสีแดง สีน้ำเงินเป็นสัญลักษณ์สากลของโลก หมายถึงพระมหากษัตริย์และสีแดงหมายถึงชาติ ส่วนสีทองนั้นเป็นสีแห่งคุณงามความดี ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวตามคุณสมบัติทอง
กรุงเทพคริสเตียนฯ โดยเฉพาะเด็กประจำตั้งแต่ประถม 1 ถึงมัธยมปีที่ 8 ในสมัยยุค 60 บวก ลบ หรือยุค 2,500 บวก ลบ ได้เรียนรู้ระบบการเลือกตั้งประธาน และรองประธานนักเรียน ตามหลักประชาธิปไตย และเปิดเผย พี่นิดได้รับเป็นประธานหลายสมัย ส่วนน้องฝาแฝด พี่หน่อย - ชัยยง อดีตอาจารย์โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าฯ เป็นรองประธาน เพราะเสน่หาบารมีที่เด็กๆ ก็ศรัทธา
นอกจากนี้ กรุงเทพคริสเตียนฯ สอนถึงความเสมอภาคตามนัยสังคม ไม่มีการแบ่งชั้นตามฐานะทางสังคมของพ่อแม่ ไม่จำเป็นต้องเรียกพี่ แต่เป็นความสมัครใจ เด็กๆ สามารถเรียกรุ่นพี่ธรรมดาๆ ก็ได้ หรืออาจจะมีคำนำหน้าก็ได้หากพี่ไม่ดีพอ
วันนี้พี่นิดเล่าว่าได้ข่าวจากเพื่อนที่อิ่มเอิบและเบิกบานใจอย่างที่สุด จึงต้องเล่าต่อกันไปให้ฟังว่า ขณะนี้ในหลวงทรงพระสำราญดี พระองค์เสวยไวน์ 1 แก้ว และทรงฟังวงดนตรีด้วยความเบิกบานพระราชหฤทัย
ทำไมผมเชื่อข่าวนี้ ก็เพราะว่าผมสวดมนต์ภาวนาทุกวัน เพื่อให้พระองค์ทรงพระเกษมสำราญ และอีกประการหนึ่ง พี่นิดเป็นผู้มีสัจจะ จงรักภักดี เป็นข้าราชการ รพช.ที่ไม่เคยทุจริตแม้แต่ตังค์แดงเดียว จึงเป็นเรื่องดีๆ สำหรับพวกเราทุกคน
เรื่องร้ายก็คือ เรื่องของบัญชีรายชื่อปาร์ตี้ลิสต์พรรคเพื่อไทย ที่ผมจะต้องบอกว่าเกิดอาเพศขึ้นในแผ่นดินนี้ เมื่อเห็นชื่อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนายเหวง โตจิราการ อยู่ในลำดับ 1 - 20 ของบัญชีรายชื่อ
สองคนแรกเป็นนักการเมืองอาชีพปลุกระดม การชุมนุมเรียกร้องสิทธิ หรือประท้วงต่อต้าน ก็เป็นสิทธิอันชอบธรรมของคนไทยตามระบอบประชาธิปไตย ไม่มีใครโต้แย้งขัดขวาง แต่การบงการด้วย วาทะพิสดารให้คนเผาบ้านเผาเมือง ยึดพื้นที่สาธารณะ และปิดกั้นเขตเสมือนเป็นอาณาจักรเฉพาะ สถาปนากฎหมู่ของพวกตนปกครอง เขาต้องรับรู้พฤติกรรมความรุนแรง การใช้อาวุธปืน ระเบิด เครื่องยิงลูกระเบิด สังหารนายทหาร แต่ไม่ได้ห้ามปราม บอกว่าเรื่องทั้งหมดเหนือการควบคุม และนี่หรือคือคำตอบของคนมีความรับผิดชอบต่อสังคม
นอกเสียจากว่าเป็นคนที่ได้รับคำสั่งตรงจากทักษิณ หรือนายใหญ่ตัวจริง เหตุการณ์พฤษภาคมหฤโหด 2553 จึงเป็นบาดแผลของคนไทยอย่างเราๆ ท่านๆ
ความสามานย์ของนายจตุพร นักการเมืองอาชีพปลุกระดมนั้นอยู่ที่ปากของเขา เพราะไม่นานมานี้เองก็สร้างความเลวร้ายด้วยวาทะอัปรีย์เมื่อเขาพูดถึง “กระสุนพระราชทาน”
วลีนี้ไม่ต้องตีความ เพราะมีการใช้ราชาศัพท์จึงหวังกระทบสถาบันอย่างชัดเจน การพาดพิงถึงกองทัพส่งทหารเข้าสลายมวลชนที่สมัครใจหรือจัดตั้งก็แล้วแต่ แต่คำพูดการใช้กระสุนพระราชทานทำร้ายประชาชนนั้นเป็น การสร้างจินตนาการให้คนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ซึ่งมักจะคล้อยตาม เราพบอยู่เป็นประจำจากกรณีที่มีการสร้างข่าวลือต่างๆ ในกลุ่มชนที่ไม่มีระบบวิเคราะห์ในสมองและมักจะเชื่อทันที
การที่ทักษิณบงการให้จัด นายจตุพร และนาย ณัฐวุฒิ อยู่ลำดับแรกๆ ในบัญชีรายชื่อปาร์ตี้ลิสนั้น ก็เห็นเป็นเพียงแผนอุบาทว์ที่ทักษิณหวังใช้การเมืองเป็นเกราะกำบังคน 2 คนนี้ เพราะเห็นจากห้วงเลวร้ายที่ผ่านมา นายจตุพรใช้ตำแหน่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อรอดคุกมาตลอด
ทหารเป็นกลุ่มคนที่น่าสงสาร เพราะหากไม่ทำตามหน้าที่ก็ถูกด่า หากทำตามหน้าที่ก็ถูกด่า เพราะทหารเป็นคนที่ได้รับการฝึกมาให้ใช้อาวุธ ไม่ได้ใช้ปาก เมื่อรับคำสั่ง ทหารก็ต้องปฏิบัติตามกรอบกฎหมาย แต่ทหารต้องมีอาวุธ ใช้ปากรบไม่ได้
แต่ทหารมีสิทธิในการแสดงความในใจได้เหมือนกับคนทั้งหลาย ในกรณีหมิ่นสถาบันทหารรับไม่ได้เพราะได้สาบานไว้แล้วที่จะปกป้องสถาบัน ต่างกับคนหลายคนที่ไม่รักษาคำสาบานทุจริต คดโกงชาติบ้านเมืองอย่างไร้ยางอาย
พฤษภาคมหฤโหด ทหารจึงเป็นเบี้ยล่างมาตลอด เป็นจำเลยสังคม และทหารอีกนั่นแหละที่คนเสื้อแดง สร้างภาพให้เห็นว่าเป็นคนฆ่าประชาชน เพราะพวกอนาธิปไตย พวกรักความรุนแรงบิดเบื้อนความจริง ไม่เคยยอมรับว่าบรรดาพวกอันธพาลที่ออกมายิงระเบิด ยิงบ้องไฟ เผาอาคารบ้านเรือน ทำร้ายและฆ่าทหาร ตลอดเมษายนและพฤษภาคม 2553 แต่อย่างน้อยคนทั้งโลกได้เห็นไอ้โม่งถือปืนอาร์กาอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมายเป็นพวกเขาเอง
ผู้บังคับหน่วยทหารทุกระดับไม่มีวันสามารถที่จะปิดปากทหารได้ทุกคน หากว่ามีการสั่งการให้ฆ่าประชาชนจริง นอกเหนือจากคำสั่งให้ใช้อาวุธป้องกันตัวเอง เพราะถึงเวลาก็จะมีทหารคนหนึ่งกล้าออกมาเปิดเผยให้สาธารณะชนได้รับรู้ว่ามีการสั่งฆ่าประชาชนจริง นี่เป็นสัจธรรมเกิดขึ้นในโลก โดยเฉพาะยุคนาซีเยอรมนี มีนายทหารหลายคนออกมาให้การเป็นพยานเล่าถึงพฤติกรรมความโหดของผู้รับผิดชอบสั่งฆ่าประชาชน
อีกคนหนึ่งที่ต้องกล่าวถึง คือ นายเหวง โตจิราการ อดีตพวกหัวรุนแรงซ้ายในซ้ายของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ที่ต่อต้านกรรมการพรรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มนิยมจีน ซึ่ง นายเหวง เห็นว่าอ่อนแอ ไม่สามารถที่จะล้มระบอบการปกครองในประเทศไทยได้ และได้เขียนเรื่องราวเหล่านี้ไว้ในหนังสือชื่อ “ป่าแตก”
ประเด็นสำคัญในเรื่องความแตกแยกของพรรคคอมมิวนิสต์ ได้แก่มีกลุ่มหัวรุนแรงที่หวังจะใช้กองกำลังต่างชาติ เข้ามาปลดแอกระบอบการปกครองของชาติไทย มีข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับกองกำลังติดอาวุธของพรรคคอมมิวนิสต์ ภายใต้การนำของลุงคำตัน หรือพันโทพโยม จุลานนท์ อดีตเสนาธิการกองกำลังปลดแอกประชาชนชาวไทย ที่นำทหารป่าปกป้องแผ่นดินเกิดของท่านจากการรุกรานของต่างชาติ
เรื่องนี้ได้ยินจากปากสหายเติม หรือมะลิ สาคร แห่งสมรภูมิช่องช้าง สุราษฎร์ธานี ที่เล่าให้ฟังว่า “การที่สหายและพรรคพวกคอมมิวนิสต์ออกจากป่า ก็เพราะไม่รู้ว่าหากปฏิวัติสำเร็จแล้ว ใครจะเข้ามาปกครองประเทศไทย”
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้รับเลือกโดยทักษิณพี่ชาย ให้เป็นผู้มีชื่อในบัญชีรายชื่ออันดับ 1 หวังเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย แม้นว่าวุฒิการศึกษาของเธอจะดูดี และเป็นทายาทนักการเมืองชื่อ นายเลิศ เดิมแซ่คู เชื้อสายจีนแคะ ทำธุรกิจหลากหลาย และได้ถ่ายทอดให้ทายาทจนเป็นนักธุรกิจและนักการเมืองแต่ไม่เคยบริหารประเทศ
จึงเกิดคำถามสำคัญว่าคนไทยเป็นหนูลองยาของเธอ หรือเธอเป็นหนูลองยาของคนไทย หากได้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิง
แต่ที่แน่นอนคือ เธอเป็นคนที่ทักษิณไว้ใจมากที่สุด โดยเฉพาะเรื่องการเล่นและแปลงหุ้น รวมทั้งยังเป็นผู้หนึ่งที่ทักษิณสามารถใช้งานด้านการเงินได้อย่างแนบเนียน
ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนเงินเพื่อการปฏิวัติพฤษภาหฤโหด 2553 เพราะเธอถอนเงินในวันที่ 28 เมษายน 2554 ถึง 140 ล้านบาท
หากเธอได้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิง ทักษิณก็เป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริงที่บริหารจากนอกประเทศ เพราะทักษิณอกหักจากนายสมัคร สุนทรเวช นายเนวิน ชิดชอบ และผิดหวังต่อความอ่อนแอของ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์น้องเขย
การเลือกตั้งวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 นี้จะเป็นวันสำคัญยิ่งของทักษิณ เพราะว่าชะตาชีวิตของเขาขึ้นอยู่กับการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่ชะตาชีวิตคนกรุงเทพฯ คงจะกลับไปเป็นอย่างเมื่อปี 2548 จนถึงปัจจุบัน หากเสื้อแดงครองเมือง และเงินเป็นพลังของทักษิณ และอย่างที่มีคำกล่าวข้างถนนว่า “มีเงินซะอย่าง ทำอะไรก็ไม่น่าเกลียด” แต่สงสารประเทศไทยครับ
กรุงเทพคริสเตียนฯ โดยเฉพาะเด็กประจำตั้งแต่ประถม 1 ถึงมัธยมปีที่ 8 ในสมัยยุค 60 บวก ลบ หรือยุค 2,500 บวก ลบ ได้เรียนรู้ระบบการเลือกตั้งประธาน และรองประธานนักเรียน ตามหลักประชาธิปไตย และเปิดเผย พี่นิดได้รับเป็นประธานหลายสมัย ส่วนน้องฝาแฝด พี่หน่อย - ชัยยง อดีตอาจารย์โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าฯ เป็นรองประธาน เพราะเสน่หาบารมีที่เด็กๆ ก็ศรัทธา
นอกจากนี้ กรุงเทพคริสเตียนฯ สอนถึงความเสมอภาคตามนัยสังคม ไม่มีการแบ่งชั้นตามฐานะทางสังคมของพ่อแม่ ไม่จำเป็นต้องเรียกพี่ แต่เป็นความสมัครใจ เด็กๆ สามารถเรียกรุ่นพี่ธรรมดาๆ ก็ได้ หรืออาจจะมีคำนำหน้าก็ได้หากพี่ไม่ดีพอ
วันนี้พี่นิดเล่าว่าได้ข่าวจากเพื่อนที่อิ่มเอิบและเบิกบานใจอย่างที่สุด จึงต้องเล่าต่อกันไปให้ฟังว่า ขณะนี้ในหลวงทรงพระสำราญดี พระองค์เสวยไวน์ 1 แก้ว และทรงฟังวงดนตรีด้วยความเบิกบานพระราชหฤทัย
ทำไมผมเชื่อข่าวนี้ ก็เพราะว่าผมสวดมนต์ภาวนาทุกวัน เพื่อให้พระองค์ทรงพระเกษมสำราญ และอีกประการหนึ่ง พี่นิดเป็นผู้มีสัจจะ จงรักภักดี เป็นข้าราชการ รพช.ที่ไม่เคยทุจริตแม้แต่ตังค์แดงเดียว จึงเป็นเรื่องดีๆ สำหรับพวกเราทุกคน
เรื่องร้ายก็คือ เรื่องของบัญชีรายชื่อปาร์ตี้ลิสต์พรรคเพื่อไทย ที่ผมจะต้องบอกว่าเกิดอาเพศขึ้นในแผ่นดินนี้ เมื่อเห็นชื่อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนายเหวง โตจิราการ อยู่ในลำดับ 1 - 20 ของบัญชีรายชื่อ
สองคนแรกเป็นนักการเมืองอาชีพปลุกระดม การชุมนุมเรียกร้องสิทธิ หรือประท้วงต่อต้าน ก็เป็นสิทธิอันชอบธรรมของคนไทยตามระบอบประชาธิปไตย ไม่มีใครโต้แย้งขัดขวาง แต่การบงการด้วย วาทะพิสดารให้คนเผาบ้านเผาเมือง ยึดพื้นที่สาธารณะ และปิดกั้นเขตเสมือนเป็นอาณาจักรเฉพาะ สถาปนากฎหมู่ของพวกตนปกครอง เขาต้องรับรู้พฤติกรรมความรุนแรง การใช้อาวุธปืน ระเบิด เครื่องยิงลูกระเบิด สังหารนายทหาร แต่ไม่ได้ห้ามปราม บอกว่าเรื่องทั้งหมดเหนือการควบคุม และนี่หรือคือคำตอบของคนมีความรับผิดชอบต่อสังคม
นอกเสียจากว่าเป็นคนที่ได้รับคำสั่งตรงจากทักษิณ หรือนายใหญ่ตัวจริง เหตุการณ์พฤษภาคมหฤโหด 2553 จึงเป็นบาดแผลของคนไทยอย่างเราๆ ท่านๆ
ความสามานย์ของนายจตุพร นักการเมืองอาชีพปลุกระดมนั้นอยู่ที่ปากของเขา เพราะไม่นานมานี้เองก็สร้างความเลวร้ายด้วยวาทะอัปรีย์เมื่อเขาพูดถึง “กระสุนพระราชทาน”
วลีนี้ไม่ต้องตีความ เพราะมีการใช้ราชาศัพท์จึงหวังกระทบสถาบันอย่างชัดเจน การพาดพิงถึงกองทัพส่งทหารเข้าสลายมวลชนที่สมัครใจหรือจัดตั้งก็แล้วแต่ แต่คำพูดการใช้กระสุนพระราชทานทำร้ายประชาชนนั้นเป็น การสร้างจินตนาการให้คนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ซึ่งมักจะคล้อยตาม เราพบอยู่เป็นประจำจากกรณีที่มีการสร้างข่าวลือต่างๆ ในกลุ่มชนที่ไม่มีระบบวิเคราะห์ในสมองและมักจะเชื่อทันที
การที่ทักษิณบงการให้จัด นายจตุพร และนาย ณัฐวุฒิ อยู่ลำดับแรกๆ ในบัญชีรายชื่อปาร์ตี้ลิสนั้น ก็เห็นเป็นเพียงแผนอุบาทว์ที่ทักษิณหวังใช้การเมืองเป็นเกราะกำบังคน 2 คนนี้ เพราะเห็นจากห้วงเลวร้ายที่ผ่านมา นายจตุพรใช้ตำแหน่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อรอดคุกมาตลอด
ทหารเป็นกลุ่มคนที่น่าสงสาร เพราะหากไม่ทำตามหน้าที่ก็ถูกด่า หากทำตามหน้าที่ก็ถูกด่า เพราะทหารเป็นคนที่ได้รับการฝึกมาให้ใช้อาวุธ ไม่ได้ใช้ปาก เมื่อรับคำสั่ง ทหารก็ต้องปฏิบัติตามกรอบกฎหมาย แต่ทหารต้องมีอาวุธ ใช้ปากรบไม่ได้
แต่ทหารมีสิทธิในการแสดงความในใจได้เหมือนกับคนทั้งหลาย ในกรณีหมิ่นสถาบันทหารรับไม่ได้เพราะได้สาบานไว้แล้วที่จะปกป้องสถาบัน ต่างกับคนหลายคนที่ไม่รักษาคำสาบานทุจริต คดโกงชาติบ้านเมืองอย่างไร้ยางอาย
พฤษภาคมหฤโหด ทหารจึงเป็นเบี้ยล่างมาตลอด เป็นจำเลยสังคม และทหารอีกนั่นแหละที่คนเสื้อแดง สร้างภาพให้เห็นว่าเป็นคนฆ่าประชาชน เพราะพวกอนาธิปไตย พวกรักความรุนแรงบิดเบื้อนความจริง ไม่เคยยอมรับว่าบรรดาพวกอันธพาลที่ออกมายิงระเบิด ยิงบ้องไฟ เผาอาคารบ้านเรือน ทำร้ายและฆ่าทหาร ตลอดเมษายนและพฤษภาคม 2553 แต่อย่างน้อยคนทั้งโลกได้เห็นไอ้โม่งถือปืนอาร์กาอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมายเป็นพวกเขาเอง
ผู้บังคับหน่วยทหารทุกระดับไม่มีวันสามารถที่จะปิดปากทหารได้ทุกคน หากว่ามีการสั่งการให้ฆ่าประชาชนจริง นอกเหนือจากคำสั่งให้ใช้อาวุธป้องกันตัวเอง เพราะถึงเวลาก็จะมีทหารคนหนึ่งกล้าออกมาเปิดเผยให้สาธารณะชนได้รับรู้ว่ามีการสั่งฆ่าประชาชนจริง นี่เป็นสัจธรรมเกิดขึ้นในโลก โดยเฉพาะยุคนาซีเยอรมนี มีนายทหารหลายคนออกมาให้การเป็นพยานเล่าถึงพฤติกรรมความโหดของผู้รับผิดชอบสั่งฆ่าประชาชน
อีกคนหนึ่งที่ต้องกล่าวถึง คือ นายเหวง โตจิราการ อดีตพวกหัวรุนแรงซ้ายในซ้ายของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ที่ต่อต้านกรรมการพรรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มนิยมจีน ซึ่ง นายเหวง เห็นว่าอ่อนแอ ไม่สามารถที่จะล้มระบอบการปกครองในประเทศไทยได้ และได้เขียนเรื่องราวเหล่านี้ไว้ในหนังสือชื่อ “ป่าแตก”
ประเด็นสำคัญในเรื่องความแตกแยกของพรรคคอมมิวนิสต์ ได้แก่มีกลุ่มหัวรุนแรงที่หวังจะใช้กองกำลังต่างชาติ เข้ามาปลดแอกระบอบการปกครองของชาติไทย มีข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับกองกำลังติดอาวุธของพรรคคอมมิวนิสต์ ภายใต้การนำของลุงคำตัน หรือพันโทพโยม จุลานนท์ อดีตเสนาธิการกองกำลังปลดแอกประชาชนชาวไทย ที่นำทหารป่าปกป้องแผ่นดินเกิดของท่านจากการรุกรานของต่างชาติ
เรื่องนี้ได้ยินจากปากสหายเติม หรือมะลิ สาคร แห่งสมรภูมิช่องช้าง สุราษฎร์ธานี ที่เล่าให้ฟังว่า “การที่สหายและพรรคพวกคอมมิวนิสต์ออกจากป่า ก็เพราะไม่รู้ว่าหากปฏิวัติสำเร็จแล้ว ใครจะเข้ามาปกครองประเทศไทย”
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้รับเลือกโดยทักษิณพี่ชาย ให้เป็นผู้มีชื่อในบัญชีรายชื่ออันดับ 1 หวังเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย แม้นว่าวุฒิการศึกษาของเธอจะดูดี และเป็นทายาทนักการเมืองชื่อ นายเลิศ เดิมแซ่คู เชื้อสายจีนแคะ ทำธุรกิจหลากหลาย และได้ถ่ายทอดให้ทายาทจนเป็นนักธุรกิจและนักการเมืองแต่ไม่เคยบริหารประเทศ
จึงเกิดคำถามสำคัญว่าคนไทยเป็นหนูลองยาของเธอ หรือเธอเป็นหนูลองยาของคนไทย หากได้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิง
แต่ที่แน่นอนคือ เธอเป็นคนที่ทักษิณไว้ใจมากที่สุด โดยเฉพาะเรื่องการเล่นและแปลงหุ้น รวมทั้งยังเป็นผู้หนึ่งที่ทักษิณสามารถใช้งานด้านการเงินได้อย่างแนบเนียน
ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนเงินเพื่อการปฏิวัติพฤษภาหฤโหด 2553 เพราะเธอถอนเงินในวันที่ 28 เมษายน 2554 ถึง 140 ล้านบาท
หากเธอได้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิง ทักษิณก็เป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริงที่บริหารจากนอกประเทศ เพราะทักษิณอกหักจากนายสมัคร สุนทรเวช นายเนวิน ชิดชอบ และผิดหวังต่อความอ่อนแอของ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์น้องเขย
การเลือกตั้งวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 นี้จะเป็นวันสำคัญยิ่งของทักษิณ เพราะว่าชะตาชีวิตของเขาขึ้นอยู่กับการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่ชะตาชีวิตคนกรุงเทพฯ คงจะกลับไปเป็นอย่างเมื่อปี 2548 จนถึงปัจจุบัน หากเสื้อแดงครองเมือง และเงินเป็นพลังของทักษิณ และอย่างที่มีคำกล่าวข้างถนนว่า “มีเงินซะอย่าง ทำอะไรก็ไม่น่าเกลียด” แต่สงสารประเทศไทยครับ
ตรวจสอบความบกพร่องในความรักที่ไม่สมบูรณ์แบบของเรา
ถ้าใครได้สัมผัสกับพวกคาทอลิก เขามักจะบอกว่า ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ พวกเขาจะมีการเรียนเรื่องราวในคัมภีร์ทุกสัปดาห์ จะมีการประชุมจะมีการศึกษาข้อความในคัมภีร์และมีการแบ่งปันเรื่องที่ไปศึกษาว่า หมายถึงอะไร
ตรวจสอบความบกพร่องในความรักที่ไม่สมบูรณ์แบบของเรา
มี คำกล่าวที่ว่า ความรักทำให้เป็นทุกข์ จริงๆลองคิดดูให้ดีว่า ความจริงแล้วเป็นอย่างนั้นจริงหรือ ความรักทำให้เรามีความสุขมากกว่า แต่สิ่งที่ทำให้เราต้องเป็นทุกข์อยู่ เป็นเพราะเรามีความรักในแบบที่ไม่ถูกต้องอยู่หรือเปล่า
ความรักมีหลากหลายรูปแบบ รักแบบเพื่อน รักแบบแฟน ผูกพันแบบสามี-ภรรยา รักแบบลูก รักญาติพี่น้อง มิตรสหาย และ รักปราศจากเงื่อนไข
จากนิยามในหนังสือพระคริสตธรรมคัมภีร์ ได้นิยามความรักไว้ได้อย่างงดงามว่า
“ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ความรักไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่ทำสิ่งที่ไม่บังควร ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีในความชั่วช้า แต่ชื่นชมยินดีในความจริง ไม่แคะไค้คุ้ยเขี่ยความผิดของเขา และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และเพียรทนเอาทุกอย่าง”
จากนิยามนี้เราจะเห็นได้ว่า ความรัก ไม่ได้ทำให้เกิดความทุกข์เลย มาดูกันว่าที่เราทุกข์เพราะรักอยู่นั้น เพราะเรามีเงื่อนไขหรือเปล่า
1. ความรักนั้นก็อดทนนาน และกระทำคุณให้
คุณ รักเขาจริงหรือไม่ ที่จะอดทนกับการกระทำของเขาที่คุณเห็นว่าไม่เข้าท่า ไม่เข้าตา ไม่ถูกใจ ไม่ดีพอ ไม่ดีพร้อม ไม่สมบูรณ์ เขายังทำในสิ่งที่คุณไม่ชอบบ่อยๆ ครั้ง เขายังมีความคิดเป็นของตัวเอง ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง หรือไม่แคร์ความรู้สึกของคุณ คุณยังอดทนกับเขาได้หรือไม่ เขาชอบในบางสิ่งบางอย่างที่ไม่เหมือนคุณ ต่างกับคุณสุดขั้วโลก คุณยังทนกับพฤติกรรมเหล่านั้นได้หรือไม่
คุณ คาดหวังอะไรในชีวิตของเขา อยากเห็นเขาเป็นในสิ่งที่คุณต้องการเพียงเพราะว่า ถ้าเขาเป็นอย่างนั้นแล้วจะดี เป็นอย่างนั้นเขาน่าจะดีนะ หวังดีต่อเขาด้วยการพาเขาเข้ามาอยู่ในความต้องการของคุณ ถ้าคุณยังมีคำว่า “ถ้า” อยู่ ละก็ คุณก็ยังไม่อดทนในสิ่งที่เขาเป็น คุณไม่ได้รักเขาเลย แต่คุณ ยังรักตัวเองอยู่มาก มองกลับมาที่คนรักของคุณเลือกที่รักในสิ่งที่เขาเป็นและลองอดทนกับคนที่คุณ บอกว่ารักนักหนาในแบบของเรา ไม่ดี ไม่ชอบก็ค่อยๆ ปรับตัว คุยกันอย่างละมุนละม่อม แต่ถ้าคิดว่า เราอดทนไม่ได้ รับไม่ได้ แสดงว่าความอดทนของคุณไม่มากพอ หรือมีความรักที่ไม่มากเพียงพอที่จะรักอีกต่อไป
2. ความรักไม่อิจฉา ความรักไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง
ใช่ แล้วคะ มาเช็คข้อที่ 2 กันดู ความรักที่ปราศจากเงื่อนไข แท้จริงแล้วคุณต้องปราศจากสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่กับเพียงคนรักของคุณเท่านั้น กับคนอื่นๆ ที่อยู่รอบข้าง ข้างกายของคุณ คุณยังรู้สึกถึงสิ่งเหล่านี้หรือเปล่า ไม่อิจฉา ที่เขาจะได้รับสิ่งที่ดีกว่า ได้รับสิ่งที่คุณควรจะได้รับ เช่น เพื่อนร่วมงานของคุณได้เงินเดือนขึ้นมากกว่าคุณ ทั้งที่คุณทำงานมากกว่าเขาเหนื่อยกว่า และนั้นน่าจะเป็นของคุณ คุณรู้สึกเปรียบเทียบอยู่หรือเปล่า คนนั้นช่างไม่คู่ควรเลย ไม่หมายถึงเพื่อนร่วมงาน แต่กับทุกคนที่คุณใกล้ชิด คุณรู้สึกอย่างไร ถ้าเห็นเขาได้รับสิ่งที่ดีกว่าคุณ และคุณควรจะเป็นคนนั้นที่ได้รับ แต่กลับเป็นเพื่อนสนิท หรือคนใกล้ชิดของคุณได้รับไปแทนคุณ
ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง คุณมองเห็นคุณค่าของคนอื่นด้อยกว่าคุณหรือเปล่า หรือเท่ากัน คุณกำลังคิดอยู่ภายในใจหรือไม่ว่าเขา (คนนั้น-คนนี้) ไม่ดีพอ คุณดีกว่า คุณเด่นกว่า ฉันเหมาะกว่า ฉันทำสิ่งนั้น สิ่งนี้ได้ดีกว่า คุณอาจจะไม่รู้ตัว แต่คุณได้ทำในสิ่งเหล่านั้นภายในใจหรือเปล่า ลองถามตัวเองดู คุณกำลังตัดสินอีกคนหนึ่งให้มีคุณค่าด้อยกว่าคุณหรือไม่
3. ไม่ทำสิ่งที่ไม่บังควร ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว
อะไรบ้างคือสิ่งที่ไม่บังควร อะไรบ้างที่เห็นแก่ตัวฝ่ายเดียว คุณยังทำให้คนที่เห็นคุณค่าคุณเสียใจอยู่หรือเปล่า การไม่เห็นคุณค่าของอีกฝ่ายหนึ่ง ไม่สนใจใยดี ไม่เห็นความสำคัญ ทำในสิ่งที่อีกฝ่ายหนึ่งเสียใจอยู่เสมอ คิดเสมอว่าเราเป็นฝ่ายที่ถูกต้อง เขาต้องตามใจเราเท่านั้น ห้ามเสนอความคิดเห็น ข่มเหง ทำร้ายจิตใจ ทุบตีตามร่างกาย ไม่พอใจก็ด่า-ว่า ตามใจชอบ อารมณ์ร้ายก็กระโดดเข้าใส่ คุณยังคิดว่าสิ่งเหล่านี้ หรือสิ่งที่คุณกระทำ เรียกมันว่าเป็นความรักหรือไม่
4. ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่แคะไค้คุ้ยเขี่ยความผิดของเขา // ไม่ชื่นชมยินดีในความชั่วช้า แต่ชื่นชมยินดีในความจริง
ข้อนี้สำคัญมากๆ คุณเป็นหนึ่งคนนั้นที่ชอบจด และจำในความผิดของเขาหรือไม่ เมื่อเขาทำผิดกับคุณเมื่อ 1 วันที่แล้ว 2 วันที่แล้ว 3 สัปดาห์ที่แล้ว 4 เดือนที่แล้ว 5 ปีที่แล้ว คุณลืมและลบมันหมดไปจากใจของคุณหรือยัง แม้มันจะเป็นความผิดเพียงเล็กน้อย หรือร้ายแรง คุณยินดีที่จะรับเขาได้ในวันปัจจุบันที่เขายืนอยู่ตรงหน้าคุณได้หรือไม่ คำขอโทษของเขามีความหมายสำหรับคุณแค่ไหน
การไม่แคะ ไม่คุ้ยเขี่ยความผิด จะทำให้ชีวิตของคุณมีความสุขขึ้นแน่นอน หลายๆ คู่รักต้องแยกทางกันไปเพราะเลือกที่จะขุดคุ้ยความผิดเดิมๆ โดยไม่มองในสิ่งที่เกิดขึ้นปัจจุบัน การปรับปรุงแก้ไขในปัจจุบัน โอกาสสำคัญมาก สำหรับการเริ่มต้นใหม่ แต่คุณเป็นหนึ่งคนนั้นที่ยอมรับและลบสิ่งผิดออกจากใจเขาด้วยหรือเปล่า เรื่องของเมื่อวานก็ให้จบไป เป็นเรื่องของเมื่อวาน ดูวันนี้ การกระทำวันนี้ที่เกิดขึ้น คุณเป็นหนึ่งคนนั้นที่ชอบพูดประชด ประชัน ถึงความผิดพลาดของคนรักของคุณหรือเปล่า ประชด ประชัน เอาชนะ เพื่อให้รำลึกถึงความผิดพลาดของเขา มองโดยปราศจากความเข้าใจในตัวของอีกฝ่ายหรือเปล่า....
5. ไม่ชื่นชมยินดีในความชั่วช้า แต่ชื่นชมยินดีในความจริง
ชีวิตของคุณจะมีความสุขหรือทุกข์เพราะรัก ก็เพราะคุณได้รักในสิ่งที่ถูกต้องด้วยหรือไม่ ลองเช็คตัวเองดู คุณตามใจลูกหลานของคุณในทางที่ถูกต้องหรือไม่ ตามใจโดยให้เล่นเกมส์ทั้งวัน การบ้านไม่ต้องทำ งานบ้านไม่ต้องแตะ ไม่ให้ช่วยเหลือตัวเอง อาบน้ำป้อนข้าวจนโต ดูแลตัวเองไม่ได้ ต้องมีคนดูแลประคบประหงมตลอดเวลา ไม่สอนเขาในทางที่ควรจะเดิน ในทางที่ควรจะเป็น เช่น การเลือกคบเพื่อน การปลูกฝังสิ่งดีงาม ไม่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่มีเมตตาจิต คุณเป็นหนึ่งคนนั้นที่คอยตามใจทุกอย่างเพราะรักลูกหลานของคุณหรือเปล่า คุณกล้าที่จะอบรมบุตรหลานของคุณในความจริงหรือไม่ ?
หรือ ยกตัวอย่างเช่น คุณมีสามี หรือภรรยา เล่นการพนัน ใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็น ทำในสิ่งที่ไม่ดี คุณกล้าเพียงพอหรือไม่ที่จะตักเตือน และกล้ายืนหยัดทำในสิ่งที่ถูกต้องเสมอ...
6. เชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และเพียรทนเอาทุกอย่าง
แม้สามี –ภรรยา บุตรหลานของเรา เคยทำผิด และเราเลือกที่จะให้โอกาสแล้ว เราต้องเป็นหนึ่งคนที่เชื่อในการกระทำดีของเขาที่เขาทำอยู่เสมอ ไม่คอยดูหมิ่น ดูแคลน หรือตำหนิในอดีตที่ผิดพลาดของเขา เราต้องเป็นคนหนึ่งที่อยู่เคียงข้างเขา แม้เขาทำผิดพลาด แต่เราก็พร้อมที่จะอุ้มชู จูงมือ ประคอง ให้เขาไปให้ได้ตลอดรอดฝั่ง คือ การเป็นกำลังใจให้ทุกอย่าง และอดทนด้วยความรักเสมอ
ให้เราหมั่นตรวจสอบตัวเราเองเสมอ ให้มีความรักที่สมบูรณ์ และรอบคอบนะคะ
โดย ริมธานน้ำ
ตรวจสอบความบกพร่องในความรักที่ไม่สมบูรณ์แบบของเรา
มี คำกล่าวที่ว่า ความรักทำให้เป็นทุกข์ จริงๆลองคิดดูให้ดีว่า ความจริงแล้วเป็นอย่างนั้นจริงหรือ ความรักทำให้เรามีความสุขมากกว่า แต่สิ่งที่ทำให้เราต้องเป็นทุกข์อยู่ เป็นเพราะเรามีความรักในแบบที่ไม่ถูกต้องอยู่หรือเปล่า
ความรักมีหลากหลายรูปแบบ รักแบบเพื่อน รักแบบแฟน ผูกพันแบบสามี-ภรรยา รักแบบลูก รักญาติพี่น้อง มิตรสหาย และ รักปราศจากเงื่อนไข
จากนิยามในหนังสือพระคริสตธรรมคัมภีร์ ได้นิยามความรักไว้ได้อย่างงดงามว่า
“ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ความรักไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่ทำสิ่งที่ไม่บังควร ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีในความชั่วช้า แต่ชื่นชมยินดีในความจริง ไม่แคะไค้คุ้ยเขี่ยความผิดของเขา และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และเพียรทนเอาทุกอย่าง”
จากนิยามนี้เราจะเห็นได้ว่า ความรัก ไม่ได้ทำให้เกิดความทุกข์เลย มาดูกันว่าที่เราทุกข์เพราะรักอยู่นั้น เพราะเรามีเงื่อนไขหรือเปล่า
1. ความรักนั้นก็อดทนนาน และกระทำคุณให้
คุณ รักเขาจริงหรือไม่ ที่จะอดทนกับการกระทำของเขาที่คุณเห็นว่าไม่เข้าท่า ไม่เข้าตา ไม่ถูกใจ ไม่ดีพอ ไม่ดีพร้อม ไม่สมบูรณ์ เขายังทำในสิ่งที่คุณไม่ชอบบ่อยๆ ครั้ง เขายังมีความคิดเป็นของตัวเอง ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง หรือไม่แคร์ความรู้สึกของคุณ คุณยังอดทนกับเขาได้หรือไม่ เขาชอบในบางสิ่งบางอย่างที่ไม่เหมือนคุณ ต่างกับคุณสุดขั้วโลก คุณยังทนกับพฤติกรรมเหล่านั้นได้หรือไม่
คุณ คาดหวังอะไรในชีวิตของเขา อยากเห็นเขาเป็นในสิ่งที่คุณต้องการเพียงเพราะว่า ถ้าเขาเป็นอย่างนั้นแล้วจะดี เป็นอย่างนั้นเขาน่าจะดีนะ หวังดีต่อเขาด้วยการพาเขาเข้ามาอยู่ในความต้องการของคุณ ถ้าคุณยังมีคำว่า “ถ้า” อยู่ ละก็ คุณก็ยังไม่อดทนในสิ่งที่เขาเป็น คุณไม่ได้รักเขาเลย แต่คุณ ยังรักตัวเองอยู่มาก มองกลับมาที่คนรักของคุณเลือกที่รักในสิ่งที่เขาเป็นและลองอดทนกับคนที่คุณ บอกว่ารักนักหนาในแบบของเรา ไม่ดี ไม่ชอบก็ค่อยๆ ปรับตัว คุยกันอย่างละมุนละม่อม แต่ถ้าคิดว่า เราอดทนไม่ได้ รับไม่ได้ แสดงว่าความอดทนของคุณไม่มากพอ หรือมีความรักที่ไม่มากเพียงพอที่จะรักอีกต่อไป
2. ความรักไม่อิจฉา ความรักไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง
ใช่ แล้วคะ มาเช็คข้อที่ 2 กันดู ความรักที่ปราศจากเงื่อนไข แท้จริงแล้วคุณต้องปราศจากสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่กับเพียงคนรักของคุณเท่านั้น กับคนอื่นๆ ที่อยู่รอบข้าง ข้างกายของคุณ คุณยังรู้สึกถึงสิ่งเหล่านี้หรือเปล่า ไม่อิจฉา ที่เขาจะได้รับสิ่งที่ดีกว่า ได้รับสิ่งที่คุณควรจะได้รับ เช่น เพื่อนร่วมงานของคุณได้เงินเดือนขึ้นมากกว่าคุณ ทั้งที่คุณทำงานมากกว่าเขาเหนื่อยกว่า และนั้นน่าจะเป็นของคุณ คุณรู้สึกเปรียบเทียบอยู่หรือเปล่า คนนั้นช่างไม่คู่ควรเลย ไม่หมายถึงเพื่อนร่วมงาน แต่กับทุกคนที่คุณใกล้ชิด คุณรู้สึกอย่างไร ถ้าเห็นเขาได้รับสิ่งที่ดีกว่าคุณ และคุณควรจะเป็นคนนั้นที่ได้รับ แต่กลับเป็นเพื่อนสนิท หรือคนใกล้ชิดของคุณได้รับไปแทนคุณ
ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง คุณมองเห็นคุณค่าของคนอื่นด้อยกว่าคุณหรือเปล่า หรือเท่ากัน คุณกำลังคิดอยู่ภายในใจหรือไม่ว่าเขา (คนนั้น-คนนี้) ไม่ดีพอ คุณดีกว่า คุณเด่นกว่า ฉันเหมาะกว่า ฉันทำสิ่งนั้น สิ่งนี้ได้ดีกว่า คุณอาจจะไม่รู้ตัว แต่คุณได้ทำในสิ่งเหล่านั้นภายในใจหรือเปล่า ลองถามตัวเองดู คุณกำลังตัดสินอีกคนหนึ่งให้มีคุณค่าด้อยกว่าคุณหรือไม่
3. ไม่ทำสิ่งที่ไม่บังควร ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว
อะไรบ้างคือสิ่งที่ไม่บังควร อะไรบ้างที่เห็นแก่ตัวฝ่ายเดียว คุณยังทำให้คนที่เห็นคุณค่าคุณเสียใจอยู่หรือเปล่า การไม่เห็นคุณค่าของอีกฝ่ายหนึ่ง ไม่สนใจใยดี ไม่เห็นความสำคัญ ทำในสิ่งที่อีกฝ่ายหนึ่งเสียใจอยู่เสมอ คิดเสมอว่าเราเป็นฝ่ายที่ถูกต้อง เขาต้องตามใจเราเท่านั้น ห้ามเสนอความคิดเห็น ข่มเหง ทำร้ายจิตใจ ทุบตีตามร่างกาย ไม่พอใจก็ด่า-ว่า ตามใจชอบ อารมณ์ร้ายก็กระโดดเข้าใส่ คุณยังคิดว่าสิ่งเหล่านี้ หรือสิ่งที่คุณกระทำ เรียกมันว่าเป็นความรักหรือไม่
4. ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่แคะไค้คุ้ยเขี่ยความผิดของเขา // ไม่ชื่นชมยินดีในความชั่วช้า แต่ชื่นชมยินดีในความจริง
ข้อนี้สำคัญมากๆ คุณเป็นหนึ่งคนนั้นที่ชอบจด และจำในความผิดของเขาหรือไม่ เมื่อเขาทำผิดกับคุณเมื่อ 1 วันที่แล้ว 2 วันที่แล้ว 3 สัปดาห์ที่แล้ว 4 เดือนที่แล้ว 5 ปีที่แล้ว คุณลืมและลบมันหมดไปจากใจของคุณหรือยัง แม้มันจะเป็นความผิดเพียงเล็กน้อย หรือร้ายแรง คุณยินดีที่จะรับเขาได้ในวันปัจจุบันที่เขายืนอยู่ตรงหน้าคุณได้หรือไม่ คำขอโทษของเขามีความหมายสำหรับคุณแค่ไหน
การไม่แคะ ไม่คุ้ยเขี่ยความผิด จะทำให้ชีวิตของคุณมีความสุขขึ้นแน่นอน หลายๆ คู่รักต้องแยกทางกันไปเพราะเลือกที่จะขุดคุ้ยความผิดเดิมๆ โดยไม่มองในสิ่งที่เกิดขึ้นปัจจุบัน การปรับปรุงแก้ไขในปัจจุบัน โอกาสสำคัญมาก สำหรับการเริ่มต้นใหม่ แต่คุณเป็นหนึ่งคนนั้นที่ยอมรับและลบสิ่งผิดออกจากใจเขาด้วยหรือเปล่า เรื่องของเมื่อวานก็ให้จบไป เป็นเรื่องของเมื่อวาน ดูวันนี้ การกระทำวันนี้ที่เกิดขึ้น คุณเป็นหนึ่งคนนั้นที่ชอบพูดประชด ประชัน ถึงความผิดพลาดของคนรักของคุณหรือเปล่า ประชด ประชัน เอาชนะ เพื่อให้รำลึกถึงความผิดพลาดของเขา มองโดยปราศจากความเข้าใจในตัวของอีกฝ่ายหรือเปล่า....
5. ไม่ชื่นชมยินดีในความชั่วช้า แต่ชื่นชมยินดีในความจริง
ชีวิตของคุณจะมีความสุขหรือทุกข์เพราะรัก ก็เพราะคุณได้รักในสิ่งที่ถูกต้องด้วยหรือไม่ ลองเช็คตัวเองดู คุณตามใจลูกหลานของคุณในทางที่ถูกต้องหรือไม่ ตามใจโดยให้เล่นเกมส์ทั้งวัน การบ้านไม่ต้องทำ งานบ้านไม่ต้องแตะ ไม่ให้ช่วยเหลือตัวเอง อาบน้ำป้อนข้าวจนโต ดูแลตัวเองไม่ได้ ต้องมีคนดูแลประคบประหงมตลอดเวลา ไม่สอนเขาในทางที่ควรจะเดิน ในทางที่ควรจะเป็น เช่น การเลือกคบเพื่อน การปลูกฝังสิ่งดีงาม ไม่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่มีเมตตาจิต คุณเป็นหนึ่งคนนั้นที่คอยตามใจทุกอย่างเพราะรักลูกหลานของคุณหรือเปล่า คุณกล้าที่จะอบรมบุตรหลานของคุณในความจริงหรือไม่ ?
หรือ ยกตัวอย่างเช่น คุณมีสามี หรือภรรยา เล่นการพนัน ใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็น ทำในสิ่งที่ไม่ดี คุณกล้าเพียงพอหรือไม่ที่จะตักเตือน และกล้ายืนหยัดทำในสิ่งที่ถูกต้องเสมอ...
6. เชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และเพียรทนเอาทุกอย่าง
แม้สามี –ภรรยา บุตรหลานของเรา เคยทำผิด และเราเลือกที่จะให้โอกาสแล้ว เราต้องเป็นหนึ่งคนที่เชื่อในการกระทำดีของเขาที่เขาทำอยู่เสมอ ไม่คอยดูหมิ่น ดูแคลน หรือตำหนิในอดีตที่ผิดพลาดของเขา เราต้องเป็นคนหนึ่งที่อยู่เคียงข้างเขา แม้เขาทำผิดพลาด แต่เราก็พร้อมที่จะอุ้มชู จูงมือ ประคอง ให้เขาไปให้ได้ตลอดรอดฝั่ง คือ การเป็นกำลังใจให้ทุกอย่าง และอดทนด้วยความรักเสมอ
ให้เราหมั่นตรวจสอบตัวเราเองเสมอ ให้มีความรักที่สมบูรณ์ และรอบคอบนะคะ
โดย ริมธานน้ำ
มายาแห่งหลอดด้าย....โดยท่าน ว . วชิรเมธี
ชีวิตเหมือนด้ายในหลอดด้าย !
มายาแห่งหลอดด้าย....โดยท่าน ว . วชิรเมธี
สองสัปดาห์ก่อน ผู้เขียนจาริกปฏิบัติศาสนกิจในฐานะพระธรรมทูต ที่มหานครนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา วันหนึ่งหลังจบการเสวนาธรรม สตรีสูงอายุคนหนึ่งขอโอกาสเข้ามานั่งคุยกับผู้เขียน ระหว่างการสนทนา ผู้เขียนสังเกตเห็นว่า น้ำตาเธอคลอหน่วย
เมื่อสอบถามถึงสาเหตุ เธอจึงตอบว่า ที่น้ำตาคลอหน่วย เพราะรู้สึกดีใจที่ได้มาฟังธรรม แต่พร้อมกันนั้นก็เสียใจจนสะเทือนใจ ที่สะเทือนใจก็เพราะเธอรู้สึกว่า ตนเองได้พบกับ ธรรมะเมื่ออายุมากแล้ว จึงรู้สึกเสียดายวันเวลาที่ผ่านมา เธอเล่าว่า
"ชีวิตคนเรา ก็เหมือนกับเส้นด้ายที่ถูกดึงออกมาจากหลอดด้ายทีละนิดๆ ขณะที่ดึงด้ายออกมาจากหลอดด้ายนั้น บางทีเราก็รู้สึกกระหยิ่มว่า ยังมีด้ายเหลืออยู่อีกมากมาย จึงชะล่าใจที่จะดึงด้ายออกมาใช้อย่างฟุ่มเฟือย แต่พบว่าแท้จริงแล้ว มีด้ายอยู่เพียงนิดเดียว เย็บผ้าได้เพียงนิดหน่อยก็หมด หากแต่ที่เราเห็นว่า ยังคงมีด้ายเหลืออยู่เยอะแยะนั่นเป็นเพราะว่า
แกนด้ายมันใหญ่ต่างหาก...แกนด้ายมันหลอกตาให้ เราพลอยชะล่าใจ... "
พลันที่เธอเล่าจบ ผู้เขียนก็รู้สึกสว่างโพลงขึ้นมาในใจ
ผู้หญิงคนนี้ เธอไม่ได้มาฟังเทศน์เสียแล้ว แต่เธอมาเทศน์ต่างหาก
เธอกำลังเทศน์เรื่อง "ความสำคัญของเวลา" และ " คุณค่าของชีวิต"
เคยได้ยินคำพูดในทำนองนี้บ่อยๆ ว่า เรามีเวลา ๒๔ ชั่วโมงต่อหนึ่งวันเท่ากัน ทว่า
เราได้ประโยชน์จากเวลาไม่เคยเท่ากัน
สำหรับบางคนเวลา ๒๔ ชั่วโมงช่างแสนสั้น แต่สำหรับบางคน ๒๔ ชั่วโมง ช่าง
เป็นเวลายาวนานเหลือแสน
ผู้หญิงคนนี้เธอบอกว่า เธอเสียดายที่มีเวลาเหลืออีกไม่มาก อยากจะปฏิบัติธรรม
ให้ถึงที่สุดก็เกรงว่าเวลาจะมีไม่พอ
ผู้เขียนจึงบอกว่า การปฏิบัติธรรมนั้นไม่สำคัญที่เวลา แต่สำคัญที่ "ปัญญา" สำหรับคนมีปัญญากล้าแข็ง อย่าว่าเป็นวันเลย บางที นาทีเดียวก็บรรลุธรรมได้ สำหรับคนเขลา ต่อให้ภาวนาทั้งชีวิต บางทีก็ยังไม่เห็นผล คนที่อยู่ในวัยสนธยา จึงไม่ควรน้อยใจว่า เรามีเวลาไม่พอ แต่ควรจะบอกตัวเองว่า เรายัง " พอมีเวลา" ต่างหาก
แต่คนที่คิดว่าเรายัง "พอมีเวลา" ก็ต้องระวังด้วยเหมือนกัน เพราะบางทีการคิดด้วย ท่าทีที่เป็นบวกอย่างนี้ ก็ทำให้ประมาท และเป็นเหตุให้พลาดโอกาสที่จะเร่งรัดทำสิ่งดีๆ
ดังนั้น นอกจากจะคิดว่ายังพอมีเวลาแล้ว ก็ควรจะคิดเพิ่มอีกอย่างหนึ่งว่า " วันนี้เป็น วันสุดท้ายของชีวิต" ด้วย เพราะหากเราคิดว่า วันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต เราจะเริ่มคิดถึงสิ่งที่ต้องทำแข่งกับเวลา และนั่นจะทำให้ เวลา กลายเป็นสิ่งที่มีค่าสูงสุด ของชีวิตได้ในทุกๆ วัน
เราเคยได้ยินพระท่านสอนอยู่บ่อยๆ ว่า การฆ่าสัตว์เป็นบาป แต่ผู้เขียนอยากบอกว่า การฆ่าเวลาต่างหากที่เป็นบาปมหันต์ยิ่งกว่า เพราะเมื่อคุณฆ่าสัตว์ หากสำนึกได้ คุณ ก็อาจจะไปหาสัตว์มาปล่อยเอาบุญ แต่หากคุณฆ่าเวลาด้วยวิธีใดก็ตาม ถึงแม้คุณจะ สำนึกผิด กลับมาเห็นคุณค่าของเวลา ทว่าก็ไม่สามารถย้อนเวลาที่ผ่านไปแล้วให้ หวนคืนกลับมาได้อีก เราทุกคนต่างก็มีเวลาที่ไม่อาจรีไซเคิล ไม่ว่าคุณจะมีเงิน มหาศาลสักกี่ล้านล้านดอลล่าร์ก็ตามที สำหรับเวลานั้น ผ่านแล้ว ผ่านเลยนิรันดร์
ครั้งหนึ่งลีโอ ตอลสตอย เคยเขียนปริศนาธรรมไว้ว่า
" ใคร คือ คนสำคัญที่สุด
งานใด คือ งานที่สำคัญที่สุด
เวลาใด คือ เวลาที่ดีที่สุด"
ตอลสตอยตั้งคำถามนี้ผ่านเรื่องสั้นเรื่องหนึ่ง และในที่สุดก็เฉลยว่า
" คนสำคัญที่สุด ก็คือ คนที่อยู่เบื้องหน้าเรา
งานสำคัญที่สุด ก็คือ งานที่เรากำลังทำอยู่ในขณะนี ้
เวลาที่ดีที่สุด ก็คือ เวลาปัจจุบันขณะ"
ทำไมคนที่อยู่เบื้องหน้าเราจึงสำคัญที่สุด คำตอบก็คือ อาจเป็นไปได้ว่า ในชั่วชีวิต อันแสนสั้นนี้ เรากับเขาอาจมีโอกาสพบกันได้เพียงครั้งเดียว ดังนั้น เราจึงควรทำให้ การพบกันทุก ครั้ง เป็นเหมือนการเฉลิมฉลองอันแสนวิเศษที่ต่างฝ่ายต่างควร สร้างความทรงจำแสนงามไว้ให้แก่กันและกันตลอดไป
เราต้องไม่ลืมว่า มนุษย์นั้น รู้เกลียดยาวนานกว่ารู้รัก
หากการพบกันครั้งแรกนำมา ซึ่งความรัก และหากเป็นการพบกันเพียงครั้งเดียวของ ชีวิตในอนันตจักรวาล นั่นก็นับว่า เป็นสิ่งที่คุ้มค่าที่สุดแล้วสำหรับการปฏิสัมพันธ์ ระหว่างคนสองคน
ทำไมงานที่เรากำลังทำอยู่ขณะนี้ จึงเป็นงานสำคัญที่สุด คำตอบก็คือ เพราะทันทีที่คุณ ปล่อยให้งานหลุดจากมือคุณไป งานก็จะกลายเป็นของสาธารณ์ หากคุณทำงานดี มัน ก็คือ อนุสาวรีย์แห่งชีวิต และหากคุณทำงานไม่ดี มันก็คือ ความอัปรีย์แห่งชีวิต
ตอนแรกคุณเป็นผู้สร้างงาน แต่เมื่อปล่อยงานหลุดจากมือไปแล้ว
งานมันจะเป็น ผู้ย้อนกลับมาสร้างคุณ
ทำไมเวลาที่ดีที่สุด จึงควรเป็นปัจจุบันขณะ คำตอบก็คือ เพราะเวลาทุกวินาทีจะไหล ผ่านชีวิตเราเพียงครั้งเดียว ไม่ว่าคุณจะหวงแหนเวลาขนาดไหน มีเงินมากเพียงไร ก็ไม่มีใครสามารถรื้อฟื้นเวลาที่ล่วงไปแล้วให้คืนกลับมาได้
ทุกครั้งที่เวลาไหลผ่านเราไป หากเราไม่ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุด ชีวิตของคุณ ก็พร่องไปแล้วจากปวงประโยชน์มากมายที่คุณควรได้จากห้วงเวลา
เวลาไม่มีตัวตน แต่หากเรามีปัญญา ก็สามารถสร้างคุณค่าที่เป็นรูปธรรมจากเวลาได้อเนกอนันต์
คน...แม้มีตัวตนเห็นกันอยู่ชัดๆ แต่หากปฏิบัติไม่ถูกต่อเวลา ถึงมีตัวตนเป็นคนอยู่แท้ๆ แต่ชีวิตก็อาจว่างเปล่ายิ่งกว่าเวลา
ทุกวันนี้ เราทุกคนกำลังสาวด้ายแห่งเวลาในชีวิตออกมาใช้กันอยู่ทุกขณะจิต เคยคิด กันบ้างหรือไม่ว่า เส้นดายแห่งเวลาในชีวิตของเรา เหลือกันอยู่สักกี่มากน้อย เราถนัด แต่สาวด้ายออกมาใช้ หรือว่าเราใช้เส้นดายแห่งเวลาอย่างมีคุณ ค่าที่สุดแล้ว ?
มายาแห่งหลอดด้าย....โดยท่าน ว . วชิรเมธี
สองสัปดาห์ก่อน ผู้เขียนจาริกปฏิบัติศาสนกิจในฐานะพระธรรมทูต ที่มหานครนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา วันหนึ่งหลังจบการเสวนาธรรม สตรีสูงอายุคนหนึ่งขอโอกาสเข้ามานั่งคุยกับผู้เขียน ระหว่างการสนทนา ผู้เขียนสังเกตเห็นว่า น้ำตาเธอคลอหน่วย
เมื่อสอบถามถึงสาเหตุ เธอจึงตอบว่า ที่น้ำตาคลอหน่วย เพราะรู้สึกดีใจที่ได้มาฟังธรรม แต่พร้อมกันนั้นก็เสียใจจนสะเทือนใจ ที่สะเทือนใจก็เพราะเธอรู้สึกว่า ตนเองได้พบกับ ธรรมะเมื่ออายุมากแล้ว จึงรู้สึกเสียดายวันเวลาที่ผ่านมา เธอเล่าว่า
"ชีวิตคนเรา ก็เหมือนกับเส้นด้ายที่ถูกดึงออกมาจากหลอดด้ายทีละนิดๆ ขณะที่ดึงด้ายออกมาจากหลอดด้ายนั้น บางทีเราก็รู้สึกกระหยิ่มว่า ยังมีด้ายเหลืออยู่อีกมากมาย จึงชะล่าใจที่จะดึงด้ายออกมาใช้อย่างฟุ่มเฟือย แต่พบว่าแท้จริงแล้ว มีด้ายอยู่เพียงนิดเดียว เย็บผ้าได้เพียงนิดหน่อยก็หมด หากแต่ที่เราเห็นว่า ยังคงมีด้ายเหลืออยู่เยอะแยะนั่นเป็นเพราะว่า
แกนด้ายมันใหญ่ต่างหาก...แกนด้ายมันหลอกตาให้ เราพลอยชะล่าใจ... "
พลันที่เธอเล่าจบ ผู้เขียนก็รู้สึกสว่างโพลงขึ้นมาในใจ
ผู้หญิงคนนี้ เธอไม่ได้มาฟังเทศน์เสียแล้ว แต่เธอมาเทศน์ต่างหาก
เธอกำลังเทศน์เรื่อง "ความสำคัญของเวลา" และ " คุณค่าของชีวิต"
เคยได้ยินคำพูดในทำนองนี้บ่อยๆ ว่า เรามีเวลา ๒๔ ชั่วโมงต่อหนึ่งวันเท่ากัน ทว่า
เราได้ประโยชน์จากเวลาไม่เคยเท่ากัน
สำหรับบางคนเวลา ๒๔ ชั่วโมงช่างแสนสั้น แต่สำหรับบางคน ๒๔ ชั่วโมง ช่าง
เป็นเวลายาวนานเหลือแสน
ผู้หญิงคนนี้เธอบอกว่า เธอเสียดายที่มีเวลาเหลืออีกไม่มาก อยากจะปฏิบัติธรรม
ให้ถึงที่สุดก็เกรงว่าเวลาจะมีไม่พอ
ผู้เขียนจึงบอกว่า การปฏิบัติธรรมนั้นไม่สำคัญที่เวลา แต่สำคัญที่ "ปัญญา" สำหรับคนมีปัญญากล้าแข็ง อย่าว่าเป็นวันเลย บางที นาทีเดียวก็บรรลุธรรมได้ สำหรับคนเขลา ต่อให้ภาวนาทั้งชีวิต บางทีก็ยังไม่เห็นผล คนที่อยู่ในวัยสนธยา จึงไม่ควรน้อยใจว่า เรามีเวลาไม่พอ แต่ควรจะบอกตัวเองว่า เรายัง " พอมีเวลา" ต่างหาก
แต่คนที่คิดว่าเรายัง "พอมีเวลา" ก็ต้องระวังด้วยเหมือนกัน เพราะบางทีการคิดด้วย ท่าทีที่เป็นบวกอย่างนี้ ก็ทำให้ประมาท และเป็นเหตุให้พลาดโอกาสที่จะเร่งรัดทำสิ่งดีๆ
ดังนั้น นอกจากจะคิดว่ายังพอมีเวลาแล้ว ก็ควรจะคิดเพิ่มอีกอย่างหนึ่งว่า " วันนี้เป็น วันสุดท้ายของชีวิต" ด้วย เพราะหากเราคิดว่า วันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต เราจะเริ่มคิดถึงสิ่งที่ต้องทำแข่งกับเวลา และนั่นจะทำให้ เวลา กลายเป็นสิ่งที่มีค่าสูงสุด ของชีวิตได้ในทุกๆ วัน
เราเคยได้ยินพระท่านสอนอยู่บ่อยๆ ว่า การฆ่าสัตว์เป็นบาป แต่ผู้เขียนอยากบอกว่า การฆ่าเวลาต่างหากที่เป็นบาปมหันต์ยิ่งกว่า เพราะเมื่อคุณฆ่าสัตว์ หากสำนึกได้ คุณ ก็อาจจะไปหาสัตว์มาปล่อยเอาบุญ แต่หากคุณฆ่าเวลาด้วยวิธีใดก็ตาม ถึงแม้คุณจะ สำนึกผิด กลับมาเห็นคุณค่าของเวลา ทว่าก็ไม่สามารถย้อนเวลาที่ผ่านไปแล้วให้ หวนคืนกลับมาได้อีก เราทุกคนต่างก็มีเวลาที่ไม่อาจรีไซเคิล ไม่ว่าคุณจะมีเงิน มหาศาลสักกี่ล้านล้านดอลล่าร์ก็ตามที สำหรับเวลานั้น ผ่านแล้ว ผ่านเลยนิรันดร์
ครั้งหนึ่งลีโอ ตอลสตอย เคยเขียนปริศนาธรรมไว้ว่า
" ใคร คือ คนสำคัญที่สุด
งานใด คือ งานที่สำคัญที่สุด
เวลาใด คือ เวลาที่ดีที่สุด"
ตอลสตอยตั้งคำถามนี้ผ่านเรื่องสั้นเรื่องหนึ่ง และในที่สุดก็เฉลยว่า
" คนสำคัญที่สุด ก็คือ คนที่อยู่เบื้องหน้าเรา
งานสำคัญที่สุด ก็คือ งานที่เรากำลังทำอยู่ในขณะนี ้
เวลาที่ดีที่สุด ก็คือ เวลาปัจจุบันขณะ"
ทำไมคนที่อยู่เบื้องหน้าเราจึงสำคัญที่สุด คำตอบก็คือ อาจเป็นไปได้ว่า ในชั่วชีวิต อันแสนสั้นนี้ เรากับเขาอาจมีโอกาสพบกันได้เพียงครั้งเดียว ดังนั้น เราจึงควรทำให้ การพบกันทุก ครั้ง เป็นเหมือนการเฉลิมฉลองอันแสนวิเศษที่ต่างฝ่ายต่างควร สร้างความทรงจำแสนงามไว้ให้แก่กันและกันตลอดไป
เราต้องไม่ลืมว่า มนุษย์นั้น รู้เกลียดยาวนานกว่ารู้รัก
หากการพบกันครั้งแรกนำมา ซึ่งความรัก และหากเป็นการพบกันเพียงครั้งเดียวของ ชีวิตในอนันตจักรวาล นั่นก็นับว่า เป็นสิ่งที่คุ้มค่าที่สุดแล้วสำหรับการปฏิสัมพันธ์ ระหว่างคนสองคน
ทำไมงานที่เรากำลังทำอยู่ขณะนี้ จึงเป็นงานสำคัญที่สุด คำตอบก็คือ เพราะทันทีที่คุณ ปล่อยให้งานหลุดจากมือคุณไป งานก็จะกลายเป็นของสาธารณ์ หากคุณทำงานดี มัน ก็คือ อนุสาวรีย์แห่งชีวิต และหากคุณทำงานไม่ดี มันก็คือ ความอัปรีย์แห่งชีวิต
ตอนแรกคุณเป็นผู้สร้างงาน แต่เมื่อปล่อยงานหลุดจากมือไปแล้ว
งานมันจะเป็น ผู้ย้อนกลับมาสร้างคุณ
ทำไมเวลาที่ดีที่สุด จึงควรเป็นปัจจุบันขณะ คำตอบก็คือ เพราะเวลาทุกวินาทีจะไหล ผ่านชีวิตเราเพียงครั้งเดียว ไม่ว่าคุณจะหวงแหนเวลาขนาดไหน มีเงินมากเพียงไร ก็ไม่มีใครสามารถรื้อฟื้นเวลาที่ล่วงไปแล้วให้คืนกลับมาได้
ทุกครั้งที่เวลาไหลผ่านเราไป หากเราไม่ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุด ชีวิตของคุณ ก็พร่องไปแล้วจากปวงประโยชน์มากมายที่คุณควรได้จากห้วงเวลา
เวลาไม่มีตัวตน แต่หากเรามีปัญญา ก็สามารถสร้างคุณค่าที่เป็นรูปธรรมจากเวลาได้อเนกอนันต์
คน...แม้มีตัวตนเห็นกันอยู่ชัดๆ แต่หากปฏิบัติไม่ถูกต่อเวลา ถึงมีตัวตนเป็นคนอยู่แท้ๆ แต่ชีวิตก็อาจว่างเปล่ายิ่งกว่าเวลา
ทุกวันนี้ เราทุกคนกำลังสาวด้ายแห่งเวลาในชีวิตออกมาใช้กันอยู่ทุกขณะจิต เคยคิด กันบ้างหรือไม่ว่า เส้นดายแห่งเวลาในชีวิตของเรา เหลือกันอยู่สักกี่มากน้อย เราถนัด แต่สาวด้ายออกมาใช้ หรือว่าเราใช้เส้นดายแห่งเวลาอย่างมีคุณ ค่าที่สุดแล้ว ?
การเลือกตั้ง... พิธีกรรมทางการเมือง เพื่อต้มตุ๋นประชาชน โดย ประพันธ์ คูณมี
นับตั้งแต่ประเทศไทย มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ประเทศไทยได้ผ่านการเลือกตั้ง ด้วยรูปแบบ และวิธีการเลือกตั้งที่เหมือนและแตกต่างกัน ตามบทบัญญัติของกฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และกฎหมายที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งในแต่ละยุคสมัย เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2476 มาจนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยมีการเลือกตั้งมาแล้วทั้งหมด 26 ครั้ง ดังนี้ ครั้งที่ 1 (15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476) ครั้งที่ 2 (7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2480) ครั้งที่ 3 (12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481) ครั้งที่ 4 (6 มกราคม พ.ศ. 2489)
ครั้งที่ 5 (5 สิงหาคม พ.ศ. 2489) ครั้งที่ 6 (29 มกราคม พ.ศ. 2491) ครั้งที่ 7 (5 มิถุนายน พ.ศ. 2492) ครั้งที่ 8 (26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495) ครั้งที่ 9 (26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500) ครั้งที่ 10 (15 ธันวาคม พ.ศ. 2500) ครั้งที่ 11 (10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512) ครั้งที่ 12 (26 มกราคม พ.ศ. 2518) ครั้งที่ 13 (4 เมษายน พ.ศ. 2519) ครั้งที่ 14 (22 เมษายน พ.ศ. 2522) ครั้งที่ 15 (18 เมษายน พ.ศ. 2526) ครั้งที่ 16 (27 กรกฎาคม พ.ศ. 2529) ครั้งที่ 17 (24 กรกฎาคม พ.ศ. 2531) ครั้งที่ 18 (22 มีนาคม พ.ศ. 2535) ครั้งที่ 19 (13 กันยายน พ.ศ. 2535) ครั้งที่ 20 (2 กรกฎาคม พ.ศ. 2538) ครั้งที่ 21 (17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539) ครั้งที่ 22 (6 มกราคม พ.ศ. 2544) ครั้งที่ 23 (6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548) ครั้งที่ 24 (2 เมษายน พ.ศ. 2549) ครั้งที่ 25 (23 ธันวาคม พ.ศ. 2550) ครั้งที่ 26 (3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554)
การเลือกตั้งในประเทศไทยที่กล่าวมาทั้งหมด รวมถึงปัจจุบันที่กำลังจะมีขึ้น ในวันที่ 3 ก.ค. 2554 ซึ่งถือเป็นการเลือกตั้งครั้งที่ 26 พอจะแบ่งได้เป็น 3 ยุคสมัย คือ (1) เป็นการเลือกตั้งในยุคภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เพื่อถ่ายโอนอำนาจการปกครองที่มีมาแต่เดิมอันเป็นอำนาจของพระมหากษัตริย์จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่มือของบรรดาขุนนาง อำมาตย์ และตัวแทนราษฎร (ตั้งแต่ปี 2476-2500) คือการเลือกตั้งครั้งที่ 1-10
(2) เป็นการเลือกตั้งในยุคอำนาจเผด็จการทหาร โดยนับตั้งแต่ยุค จอมพล ป. พิบูลสงคราม จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และจอมพลถนอม กิตติขจร สลับกับการเลือกตั้งยุคประชาธิปไตยแตกหน่อ (ตั้งแต่ปี 2500-2535) คือการเลือกตั้งครั้งที่ 11-19 (3) เป็นการเลือกตั้งในยุคทุนนิยมผูกขาดกับขุนนางนักการเมือง ที่เติบโต และเข้มแข็งภายหลังการล่มสลายของอำนาจขุนนาง อำมาตย์ และเผด็จการทหาร (ตั้งแต่ปี 2538 ถึงปัจจุบัน) คือการเลือกตั้งครั้งที่ 20-26
การเลือกตั้งในยุคที่ (1) - (2) เป็นการเลือกตั้งเพื่อแย่งชิงอำนาจการปกครองที่พระมหากษัตริย์ ได้สละอำนาจการปกครองแก่ราษฎรเป็นการทั่วไป การใช้อำนาจ และอิทธิพลทางการเงินเป็นเครื่องมือเพื่อเอาชนะการเลือกตั้ง และเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครอง แม้จะมีการใช้อำนาจก็ยังมิได้รุนแรง การทุจริตคอร์รัปชัน และการใช้อำนาจทางการเมืองเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ ก็ยังมิได้หนักหน่วงรุนแรงเทียบเท่าปัจจุบัน การเมืองและการเลือกตั้ง มุ่งไปในการต่อสู้ เพื่อยึดกุมอำนาจการปกครองเป็นหลัก การแข่งขันในเชิงนโยบาย ยังเป็นไปในลักษณะเสนอแนวทางเพื่อการพัฒนาบ้านเมือง ไม่มีนโยบายประชานิยมที่ลด แลก แจก แถม ผลาญงบประมาณแผ่นดินมโหฬารอย่างปัจจุบัน แม้จะมีการโกงการทุจริตก็ยังอยู่ในวงเงิน และมูลค่าไม่สูงเหมือนยุคนี้ ไม่ค่อยมีโครงการที่เป็นเมกะโปรเจกต์นับหมื่นนับแสนล้านล้านบาท อย่างมากก็อยู่ในวงเงินร้อยล้าน
การเลือกตั้งที่ (3) ถึงปัจจุบัน เป็นการเลือกตั้งที่มีความตกต่ำ และสามานย์ที่สุด เพราะเป็นการเข้าสู่ยุคที่กลุ่มทุนผูกขาดขนาดใหญ่ มีอำนาจครอบงำการเมือง การเลือกตั้งของประเทศอย่างเป็นระบบและครบวงจร ภายใต้ข้ออ้างของระบอบประชาธิปไตยสมัยใหม่ มีการใช้เงินจำนวนมหาศาลเพื่อจัดการเลือกตั้ง พรรคการเมือง และนักการเมือง นักเลือกตั้ง ต่างทุ่มเงินมหาศาลเพื่อให้ได้ชัยชนะในการเลือกตั้งเหนือคู่แข่งขัน การเมืองการเลือกตั้งกลายเป็นการลงทุน และเป็นธุรกิจการเมืองที่ให้ผลกำไรทันตาเห็น ขอเพียงให้ได้เป็นรัฐบาล และยึดกุมอำนาจการปกครองได้ เมื่อการเมืองระบอบนี้ต้องอาศัยมือของ ส.ส.ในสภายกมือสนับสนุนการเป็นนายกฯ และจัดตั้งรัฐบาลทุกพรรคจึงต้องทุ่มสรรพกำลังเพื่อให้ได้จำนวน ส.ส.มากที่สุด การลงทุนเพื่อการเลือกตั้งจึงเกิดขึ้นมาตลอดยุคสมัยของการเลือกตั้งในยุคที่ 3 นี้
ทักษิณ ชินวัตร ตัวแทนของกลุ่มทุนผูกขาดคนแรก ที่ก้าวเข้าสู่การเมืองการเลือกตั้ง โดยการตั้งพรรคการเมืองของตนเองขึ้นมา แทนการเป็นผู้สนับสนุนพรรคการเมือง และนักการเมืองอยู่เบื้องหลังเหมือนในอดีต ได้กลายเป็นต้นแบบของการเมือง การเลือกตั้งแบบธนาธิปไตย คือใช้เงินเป็นใหญ่ เอาเงินซื้ออำนาจ และเอาอำนาจไปแสวงหาเงิน และผลประโยชน์ การโกงการทุจริตในยุคสมัยปัจจุบัน จึงมีมูลค่านับหมื่นแสนล้าน นักการเมือง นักเลือกตั้ง ที่เข้ามามีอำนาจในยุคต่อจากทักษิณ จึงเลียนแบบ และหากินกับการโกง การทุจริตในโครงการใหญ่ๆ ดังที่เห็นและเป็นอยู่ในปัจจุบัน
พิจารณาจากพัฒนาการของการเมือง และการเลือกตั้งในประเทศไทยจาก พ.ศ. 2476 มาจนถึงปัจจุบัน จึงเป็นพัฒนาการที่เลวลง การเลือกตั้งเป็นเพียงรูปแบบ และวิธีการเพื่อสร้างความชอบธรรมในการเข้าสู่อำนาจของนักการเมือง ตัวแทนของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ นักการเมืองประเภทโกงกิน ทุจริต คอร์รัปชันที่ไร้ซึ่งอุดมการณ์ประชาธิปไตย หาคนดีที่มีคุณธรรม ความรู้ ความสามารถ และความซื่อสัตย์สุจริต ที่จริงใจต่อชาติบ้านเมืองไม่ได้เลย และการเลือกตั้งยังเต็มไปด้วยการทุจริต คดโกง ไม่มีความโปร่งใสหนักหน่วงกว่าเดิม ได้บุคลากรที่ผ่านการเลือกตั้งก็ไร้คุณภาพ จึงนับว่าเป็นความล้มเหลวของประเทศไทย ในรอบ 79 ปี ของการเมืองการเลือกตั้งในประเทศไทย
การเลือกตั้งครั้งนี้ก็ไม่แตกต่างจากการเลือกตั้งที่ผ่านมา ไม่มีอนาคตและเป็นความหวังให้กับประเทศชาติได้เลย ไม่ใช่ทางเลือก และไม่ใช่คำตอบที่ดีแก่ประชาชน มันเป็นเพียงพิธีกรรมทางการเมืองอันสามานย์ที่หลอกลวงต้มตุ๋นประชาชนไทยให้เคลิบเคลิ้ม หลงใหลไปกับระบอบประชาธิปไตยจอมปลอมเท่านั้นเอง
ครั้งที่ 5 (5 สิงหาคม พ.ศ. 2489) ครั้งที่ 6 (29 มกราคม พ.ศ. 2491) ครั้งที่ 7 (5 มิถุนายน พ.ศ. 2492) ครั้งที่ 8 (26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495) ครั้งที่ 9 (26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500) ครั้งที่ 10 (15 ธันวาคม พ.ศ. 2500) ครั้งที่ 11 (10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512) ครั้งที่ 12 (26 มกราคม พ.ศ. 2518) ครั้งที่ 13 (4 เมษายน พ.ศ. 2519) ครั้งที่ 14 (22 เมษายน พ.ศ. 2522) ครั้งที่ 15 (18 เมษายน พ.ศ. 2526) ครั้งที่ 16 (27 กรกฎาคม พ.ศ. 2529) ครั้งที่ 17 (24 กรกฎาคม พ.ศ. 2531) ครั้งที่ 18 (22 มีนาคม พ.ศ. 2535) ครั้งที่ 19 (13 กันยายน พ.ศ. 2535) ครั้งที่ 20 (2 กรกฎาคม พ.ศ. 2538) ครั้งที่ 21 (17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539) ครั้งที่ 22 (6 มกราคม พ.ศ. 2544) ครั้งที่ 23 (6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548) ครั้งที่ 24 (2 เมษายน พ.ศ. 2549) ครั้งที่ 25 (23 ธันวาคม พ.ศ. 2550) ครั้งที่ 26 (3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554)
การเลือกตั้งในประเทศไทยที่กล่าวมาทั้งหมด รวมถึงปัจจุบันที่กำลังจะมีขึ้น ในวันที่ 3 ก.ค. 2554 ซึ่งถือเป็นการเลือกตั้งครั้งที่ 26 พอจะแบ่งได้เป็น 3 ยุคสมัย คือ (1) เป็นการเลือกตั้งในยุคภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เพื่อถ่ายโอนอำนาจการปกครองที่มีมาแต่เดิมอันเป็นอำนาจของพระมหากษัตริย์จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่มือของบรรดาขุนนาง อำมาตย์ และตัวแทนราษฎร (ตั้งแต่ปี 2476-2500) คือการเลือกตั้งครั้งที่ 1-10
(2) เป็นการเลือกตั้งในยุคอำนาจเผด็จการทหาร โดยนับตั้งแต่ยุค จอมพล ป. พิบูลสงคราม จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และจอมพลถนอม กิตติขจร สลับกับการเลือกตั้งยุคประชาธิปไตยแตกหน่อ (ตั้งแต่ปี 2500-2535) คือการเลือกตั้งครั้งที่ 11-19 (3) เป็นการเลือกตั้งในยุคทุนนิยมผูกขาดกับขุนนางนักการเมือง ที่เติบโต และเข้มแข็งภายหลังการล่มสลายของอำนาจขุนนาง อำมาตย์ และเผด็จการทหาร (ตั้งแต่ปี 2538 ถึงปัจจุบัน) คือการเลือกตั้งครั้งที่ 20-26
การเลือกตั้งในยุคที่ (1) - (2) เป็นการเลือกตั้งเพื่อแย่งชิงอำนาจการปกครองที่พระมหากษัตริย์ ได้สละอำนาจการปกครองแก่ราษฎรเป็นการทั่วไป การใช้อำนาจ และอิทธิพลทางการเงินเป็นเครื่องมือเพื่อเอาชนะการเลือกตั้ง และเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครอง แม้จะมีการใช้อำนาจก็ยังมิได้รุนแรง การทุจริตคอร์รัปชัน และการใช้อำนาจทางการเมืองเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ ก็ยังมิได้หนักหน่วงรุนแรงเทียบเท่าปัจจุบัน การเมืองและการเลือกตั้ง มุ่งไปในการต่อสู้ เพื่อยึดกุมอำนาจการปกครองเป็นหลัก การแข่งขันในเชิงนโยบาย ยังเป็นไปในลักษณะเสนอแนวทางเพื่อการพัฒนาบ้านเมือง ไม่มีนโยบายประชานิยมที่ลด แลก แจก แถม ผลาญงบประมาณแผ่นดินมโหฬารอย่างปัจจุบัน แม้จะมีการโกงการทุจริตก็ยังอยู่ในวงเงิน และมูลค่าไม่สูงเหมือนยุคนี้ ไม่ค่อยมีโครงการที่เป็นเมกะโปรเจกต์นับหมื่นนับแสนล้านล้านบาท อย่างมากก็อยู่ในวงเงินร้อยล้าน
การเลือกตั้งที่ (3) ถึงปัจจุบัน เป็นการเลือกตั้งที่มีความตกต่ำ และสามานย์ที่สุด เพราะเป็นการเข้าสู่ยุคที่กลุ่มทุนผูกขาดขนาดใหญ่ มีอำนาจครอบงำการเมือง การเลือกตั้งของประเทศอย่างเป็นระบบและครบวงจร ภายใต้ข้ออ้างของระบอบประชาธิปไตยสมัยใหม่ มีการใช้เงินจำนวนมหาศาลเพื่อจัดการเลือกตั้ง พรรคการเมือง และนักการเมือง นักเลือกตั้ง ต่างทุ่มเงินมหาศาลเพื่อให้ได้ชัยชนะในการเลือกตั้งเหนือคู่แข่งขัน การเมืองการเลือกตั้งกลายเป็นการลงทุน และเป็นธุรกิจการเมืองที่ให้ผลกำไรทันตาเห็น ขอเพียงให้ได้เป็นรัฐบาล และยึดกุมอำนาจการปกครองได้ เมื่อการเมืองระบอบนี้ต้องอาศัยมือของ ส.ส.ในสภายกมือสนับสนุนการเป็นนายกฯ และจัดตั้งรัฐบาลทุกพรรคจึงต้องทุ่มสรรพกำลังเพื่อให้ได้จำนวน ส.ส.มากที่สุด การลงทุนเพื่อการเลือกตั้งจึงเกิดขึ้นมาตลอดยุคสมัยของการเลือกตั้งในยุคที่ 3 นี้
ทักษิณ ชินวัตร ตัวแทนของกลุ่มทุนผูกขาดคนแรก ที่ก้าวเข้าสู่การเมืองการเลือกตั้ง โดยการตั้งพรรคการเมืองของตนเองขึ้นมา แทนการเป็นผู้สนับสนุนพรรคการเมือง และนักการเมืองอยู่เบื้องหลังเหมือนในอดีต ได้กลายเป็นต้นแบบของการเมือง การเลือกตั้งแบบธนาธิปไตย คือใช้เงินเป็นใหญ่ เอาเงินซื้ออำนาจ และเอาอำนาจไปแสวงหาเงิน และผลประโยชน์ การโกงการทุจริตในยุคสมัยปัจจุบัน จึงมีมูลค่านับหมื่นแสนล้าน นักการเมือง นักเลือกตั้ง ที่เข้ามามีอำนาจในยุคต่อจากทักษิณ จึงเลียนแบบ และหากินกับการโกง การทุจริตในโครงการใหญ่ๆ ดังที่เห็นและเป็นอยู่ในปัจจุบัน
พิจารณาจากพัฒนาการของการเมือง และการเลือกตั้งในประเทศไทยจาก พ.ศ. 2476 มาจนถึงปัจจุบัน จึงเป็นพัฒนาการที่เลวลง การเลือกตั้งเป็นเพียงรูปแบบ และวิธีการเพื่อสร้างความชอบธรรมในการเข้าสู่อำนาจของนักการเมือง ตัวแทนของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ นักการเมืองประเภทโกงกิน ทุจริต คอร์รัปชันที่ไร้ซึ่งอุดมการณ์ประชาธิปไตย หาคนดีที่มีคุณธรรม ความรู้ ความสามารถ และความซื่อสัตย์สุจริต ที่จริงใจต่อชาติบ้านเมืองไม่ได้เลย และการเลือกตั้งยังเต็มไปด้วยการทุจริต คดโกง ไม่มีความโปร่งใสหนักหน่วงกว่าเดิม ได้บุคลากรที่ผ่านการเลือกตั้งก็ไร้คุณภาพ จึงนับว่าเป็นความล้มเหลวของประเทศไทย ในรอบ 79 ปี ของการเมืองการเลือกตั้งในประเทศไทย
การเลือกตั้งครั้งนี้ก็ไม่แตกต่างจากการเลือกตั้งที่ผ่านมา ไม่มีอนาคตและเป็นความหวังให้กับประเทศชาติได้เลย ไม่ใช่ทางเลือก และไม่ใช่คำตอบที่ดีแก่ประชาชน มันเป็นเพียงพิธีกรรมทางการเมืองอันสามานย์ที่หลอกลวงต้มตุ๋นประชาชนไทยให้เคลิบเคลิ้ม หลงใหลไปกับระบอบประชาธิปไตยจอมปลอมเท่านั้นเอง
ห้องที่ ชื่อว่า " ใจ "
ใจ ของเรานั้น ไม่ ต่าง อะไรกับห้องที่ว่างเปล่า
เมื่อ เราใส่อะไรเข้าไปในห้องที่ว่างเปล่านั้น
สถานภาพของห้องก็จะเปลี่ยนไปทันที เป็นต้นว่า
เรามีห้องว่าง เปล่า อยู่ห้องหนึ่ง
เมื่อ - -
เราใส่น้ำเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องน้ำ
เราใส่พระพุทธรูปเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องพระ
เราใส่เครื่องมือปรุงอาหารเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องครัว
เราใส่เครื่องนอนเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องนอน
เราใส่ชุดรับแขกเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องรับแขก
เราใส่บุคคลสำคัญเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องวีไอพี
ห้องแห่งหัวใจของเรา
ก็ไม่ต่างอะไรกับห้องว่างเปล่าที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเลย
ทุกครั้งที่เราบรรจุอะไรเข้าไปในใจ
ใจของเรา ก็จะเปลี่ยนสถานภาพเหมือนกัน
เราใส่ความ เมตตาเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจดี
เราใส่ธรรมะเข้า ไป ก็จะกลายเป็นคนใจบุญ
เราใส่ความโกรธเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจร้อน
เราใส่ความเลวเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจทราม
เราใส่ความกลัว เข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจเสาะ
เราใส่ความเป็นนัก สู้เข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจสู้
เราใส่ความขาดสติ เข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจลอย
เห็นด้วยหรือไม่ว่า
ใจ ของ เรานั้นเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลเหนือกาย
เป็นสิ่งที่คอยออกแบบชีวิตของเราให้เป็นไปอย่างไรก็ได้
พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า
ใจเป็นนาย ใจเป็นผู้นำ ใจเป็นผู้สร้างสรรค์ ...
หรือบางทีก็ตรัสว่า จิตฺเตน นียติ โลโก
แปล ว่า โลกหมุนไปตามใจสั่งการ
โลกในที่นี้ หมายถึง ชีวิตของเรานั่นเอง
โลก คือ ชีวิต จะหมุนซ้าย หมุนขวา หมุนตรงหรือหมุนเอียง หมุนไปข้างหน้า หรือว่าหมุนไปข้างหลัง
ทั้งหลายทั้งปวงนั้นขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของใจทั้งหมดทั้งสิ้น
ใจของเราไม่ต่างอะไรกับห้องที่ว่างเปล่า
เรา บรรจุ อะไรลงไป
ชีวิตของเราก็เป็นไปตามสิ่งที่บรรจุนั้น
ทุกวันนี้ เราเคยถามตัวเองบ้างไหมว่า เราบรรจุ อะไร ลงไปในห้องแห่งหัวใจของเราบ้าง
ความ รู้ ความงมงาย
ความรัก ความโกรธ ความเกลียด
ความ โลภ ความดี ความชั่ว
ความริษยา ความหน้าด้าน ความสะอาด
สว่าง สงบ หรือความตื่นรู้
ชีวิตจะเป็นอย่างไร รุ่งโรจน์ หรือร่วงโรย
ขึ้นสูงหรือลงต่ำ สำคัญ ที่ เราบรรจุอะไรลงไปในใจของเราเอง ...
ว.วชิรเมธี
เมื่อ เราใส่อะไรเข้าไปในห้องที่ว่างเปล่านั้น
สถานภาพของห้องก็จะเปลี่ยนไปทันที เป็นต้นว่า
เรามีห้องว่าง เปล่า อยู่ห้องหนึ่ง
เมื่อ - -
เราใส่น้ำเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องน้ำ
เราใส่พระพุทธรูปเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องพระ
เราใส่เครื่องมือปรุงอาหารเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องครัว
เราใส่เครื่องนอนเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องนอน
เราใส่ชุดรับแขกเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องรับแขก
เราใส่บุคคลสำคัญเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องวีไอพี
ห้องแห่งหัวใจของเรา
ก็ไม่ต่างอะไรกับห้องว่างเปล่าที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเลย
ทุกครั้งที่เราบรรจุอะไรเข้าไปในใจ
ใจของเรา ก็จะเปลี่ยนสถานภาพเหมือนกัน
เราใส่ความ เมตตาเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจดี
เราใส่ธรรมะเข้า ไป ก็จะกลายเป็นคนใจบุญ
เราใส่ความโกรธเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจร้อน
เราใส่ความเลวเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจทราม
เราใส่ความกลัว เข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจเสาะ
เราใส่ความเป็นนัก สู้เข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจสู้
เราใส่ความขาดสติ เข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจลอย
เห็นด้วยหรือไม่ว่า
ใจ ของ เรานั้นเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลเหนือกาย
เป็นสิ่งที่คอยออกแบบชีวิตของเราให้เป็นไปอย่างไรก็ได้
พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า
ใจเป็นนาย ใจเป็นผู้นำ ใจเป็นผู้สร้างสรรค์ ...
หรือบางทีก็ตรัสว่า จิตฺเตน นียติ โลโก
แปล ว่า โลกหมุนไปตามใจสั่งการ
โลกในที่นี้ หมายถึง ชีวิตของเรานั่นเอง
โลก คือ ชีวิต จะหมุนซ้าย หมุนขวา หมุนตรงหรือหมุนเอียง หมุนไปข้างหน้า หรือว่าหมุนไปข้างหลัง
ทั้งหลายทั้งปวงนั้นขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของใจทั้งหมดทั้งสิ้น
ใจของเราไม่ต่างอะไรกับห้องที่ว่างเปล่า
เรา บรรจุ อะไรลงไป
ชีวิตของเราก็เป็นไปตามสิ่งที่บรรจุนั้น
ทุกวันนี้ เราเคยถามตัวเองบ้างไหมว่า เราบรรจุ อะไร ลงไปในห้องแห่งหัวใจของเราบ้าง
ความ รู้ ความงมงาย
ความรัก ความโกรธ ความเกลียด
ความ โลภ ความดี ความชั่ว
ความริษยา ความหน้าด้าน ความสะอาด
สว่าง สงบ หรือความตื่นรู้
ชีวิตจะเป็นอย่างไร รุ่งโรจน์ หรือร่วงโรย
ขึ้นสูงหรือลงต่ำ สำคัญ ที่ เราบรรจุอะไรลงไปในใจของเราเอง ...
ว.วชิรเมธี
เรียนเชิญเข้าร่วมงานพิธีเปิดนิทรรศการ
เรียน คณาจารย์และกัลยาณมิตรทุกท่าน
สิ่งที่ส่งมาด้วย โปสเตอร์กำหนดการและบัตรเชิญ
เรียนเชิญคณาจารย์และกัลยาณมิตรทุกท่าน
เข้าร่วมงานเพื่อเป็นเกียรติในพิธีเปิดนิทรรศการ เมืองพาน : พื้นที่ ตำนาน และความทรงจำ
ณ ห้องโถงชั้น ๑ อาคารยุพราชฯ (สำนักหอสมุด) มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
วันศุกร์ที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ตั้งแต่เวลา ๑๓.๐๐ น. เป็นต้นไป
ขอเชิญลงทะเบียนรับของที่ระลึกได้ที่หน้างาน
ด้วยความเคารพ
คณะวิจัยโครงการประวัติศาสตร์วัฒนธรรมชุมชนเวียงห้าวและเมืองพานฯ
ทุนอุดหนุนการวิจัย กรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ) กระทรวงวัฒนธรรม ประจำปี ๒๕๕๓
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
นายชาญคณิต อาวรณ์ ๐๘๓ ๒๔๘ ๙๑๘๔
สิ่งที่ส่งมาด้วย โปสเตอร์กำหนดการและบัตรเชิญ
เรียนเชิญคณาจารย์และกัลยาณมิตรทุกท่าน
เข้าร่วมงานเพื่อเป็นเกียรติในพิธีเปิดนิทรรศการ เมืองพาน : พื้นที่ ตำนาน และความทรงจำ
ณ ห้องโถงชั้น ๑ อาคารยุพราชฯ (สำนักหอสมุด) มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
วันศุกร์ที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ตั้งแต่เวลา ๑๓.๐๐ น. เป็นต้นไป
ขอเชิญลงทะเบียนรับของที่ระลึกได้ที่หน้างาน
ด้วยความเคารพ
คณะวิจัยโครงการประวัติศาสตร์วัฒนธรรมชุมชนเวียงห้าวและเมืองพานฯ
ทุนอุดหนุนการวิจัย กรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ) กระทรวงวัฒนธรรม ประจำปี ๒๕๕๓
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
นายชาญคณิต อาวรณ์ ๐๘๓ ๒๔๘ ๙๑๘๔
สธ. เตือนผู้ปกครอง ครู พี่เลี้ยงเด็ก เฝ้าระวังโรคไข้หวัดใหญ่ และโรคมือเท้าปาก
กระทรวงสาธารณสุข ขอความร่วมมือผู้ปกครองและครู เฝ้าระวัง ป้องกันโรคติดต่อที่แพร่ระบาดมากในฤดูฝน 2โรคสำคัญคือไข้หวัดใหญ่และโรคมือเท้าปากหากพบเด็กป่วย ต้องรีบแยกเด็กป่วยออกจากเด็กปกติส่งพบแพทย์ และหยุดเรียนอย่างน้อย 5วัน จนกว่าจะหายกำชับสำนักงานสาธารณสุขทุกจังหวัด เฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ชี้หากมีเด็กป่วยในโรงเรียน อาจเกิดการแพร่ระบาดได้ง่าย
วันนี้(22 พฤษภาคม 2554)นายแพทย์ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้เป็นฤดูฝนสภาพอากาศชื้น เย็นเป็นฤดูกาลที่มีการแพร่ระบาดของโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส ที่พบได้บ่อยในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี คือ โรคไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล(Influenza)และโรคมือเท้าปาก (Hand Foot Mouth Disease )สำหรับโรคไข้หวัดใหญ่ ตั้งแต่มกราคม -8 พฤษภาคม 2554 พบผู้ป่วยแล้ว 10,654 คน ลดลงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปี 2553 เกือบ 3 เท่าตัว โดยร้อยละ 29 เป็นกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ส่วนโรคมือเท้าปากพบผู้ป่วย 949 คน ลดลงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปี 2553 เกือบ 7 เท่าตัว โดยร้อยละ 92 เป็นกลุ่มเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี แม้ว่าจำนวนผู้ป่วยทั้ง 2 โรคในปีนี้จะน้อยกว่าปีที่ผ่านมา แต่เพื่อไม่เป็นการประมาทได้สั่งการให้สำนักงานสาธารณสุขทุกจังหวัด เฝ้าระวังโรคอย่างใกล้ชิด
นายแพทย์ไพจิตร์ กล่าวว่า สถานที่ที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ คือ ศูนย์เด็กเล็กและโรงเรียนอนุบาล เนื่องจากมีเด็กอยู่รวมเป็นกลุ่มใหญ่หากมีเด็กป่วย เชื้อจะสามารถแพระบาดได้อย่างรวดเร็ว โดยเชื้อโรคทั้ง 2ชนิดนี้ติดต่อกันง่าย เชื้อจะอยู่ในเสมหะละอองน้ำมูกน้ำลายที่ไอจามออกมารวมทั้งติดต่อจากการสัมผัสสิ่งของที่มีเชื้อติดอยู่ที่สำคัญ ขอความร่วมมือผู้ปกครองและครูตรวจสุขภาพเด็กนักเรียนทุกวัน หากมีเด็กป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่หรือโรคมือเท้าปาก ให้แยกเด็กป่วยออกจากเด็กปกติ ส่งพบแพทย์ และให้หยุดเรียนพักรักษาตัวที่บ้านอย่างน้อย 5วัน รวมทั้งให้เร่งรณรงค์ ปลูกฝังพฤติกรรมสุขอนามัยส่วนบุคคลที่ดี คือ กินร้อน ช้อนกลาง หมั่นล้างมือ ไม่คลุกคลีใกล้ชิดกินอาหารหรือของใช้ร่วมกับผู้ป่วย รักษาความสะอาดทั่วๆไปเช่น ห้องน้ำ ห้องส้วม ห้องครัวให้ถูกสุขลักษณะ
นายแพทย์ไพจิตร์ กล่าวต่อว่า โรคไข้หวัดใหญ่และโรคมือเท้าปากจะมีอาการคล้ายๆกัน คือ จะมีไข้ ครั่นเนื้อครั่นตัว แต่โรคมือเท้าปากจะพบมีตุ่มใสๆขึ้นในปาก ที่ลิ้น กระพุ้งแก้ม หรือตามง่ามนิ้วมือโดยโรคมือ เท้า และปาก เกิดจากเชื้อเอนเทอโรไวรัส(enterovirus) พบบ่อยในเด็กทารกและเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5ปี ส่วนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล เป็นการติดเชื้ออินฟูเอนซาไวรัส(Influenza virus)ซึ่งสายพันธุ์ไข้หวัดใหญ่ในคนมีหลายสายพันธุ์ แต่ที่บ่อยๆคือ สายพันธุ์ H1N1 และ H3N2 พบได้ทุกอายุโดยเฉพาะในเด็กจะพบมากเป็นพิเศษ
วันนี้(22 พฤษภาคม 2554)นายแพทย์ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้เป็นฤดูฝนสภาพอากาศชื้น เย็นเป็นฤดูกาลที่มีการแพร่ระบาดของโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส ที่พบได้บ่อยในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี คือ โรคไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล(Influenza)และโรคมือเท้าปาก (Hand Foot Mouth Disease )สำหรับโรคไข้หวัดใหญ่ ตั้งแต่มกราคม -8 พฤษภาคม 2554 พบผู้ป่วยแล้ว 10,654 คน ลดลงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปี 2553 เกือบ 3 เท่าตัว โดยร้อยละ 29 เป็นกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ส่วนโรคมือเท้าปากพบผู้ป่วย 949 คน ลดลงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปี 2553 เกือบ 7 เท่าตัว โดยร้อยละ 92 เป็นกลุ่มเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี แม้ว่าจำนวนผู้ป่วยทั้ง 2 โรคในปีนี้จะน้อยกว่าปีที่ผ่านมา แต่เพื่อไม่เป็นการประมาทได้สั่งการให้สำนักงานสาธารณสุขทุกจังหวัด เฝ้าระวังโรคอย่างใกล้ชิด
นายแพทย์ไพจิตร์ กล่าวว่า สถานที่ที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ คือ ศูนย์เด็กเล็กและโรงเรียนอนุบาล เนื่องจากมีเด็กอยู่รวมเป็นกลุ่มใหญ่หากมีเด็กป่วย เชื้อจะสามารถแพระบาดได้อย่างรวดเร็ว โดยเชื้อโรคทั้ง 2ชนิดนี้ติดต่อกันง่าย เชื้อจะอยู่ในเสมหะละอองน้ำมูกน้ำลายที่ไอจามออกมารวมทั้งติดต่อจากการสัมผัสสิ่งของที่มีเชื้อติดอยู่ที่สำคัญ ขอความร่วมมือผู้ปกครองและครูตรวจสุขภาพเด็กนักเรียนทุกวัน หากมีเด็กป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่หรือโรคมือเท้าปาก ให้แยกเด็กป่วยออกจากเด็กปกติ ส่งพบแพทย์ และให้หยุดเรียนพักรักษาตัวที่บ้านอย่างน้อย 5วัน รวมทั้งให้เร่งรณรงค์ ปลูกฝังพฤติกรรมสุขอนามัยส่วนบุคคลที่ดี คือ กินร้อน ช้อนกลาง หมั่นล้างมือ ไม่คลุกคลีใกล้ชิดกินอาหารหรือของใช้ร่วมกับผู้ป่วย รักษาความสะอาดทั่วๆไปเช่น ห้องน้ำ ห้องส้วม ห้องครัวให้ถูกสุขลักษณะ
นายแพทย์ไพจิตร์ กล่าวต่อว่า โรคไข้หวัดใหญ่และโรคมือเท้าปากจะมีอาการคล้ายๆกัน คือ จะมีไข้ ครั่นเนื้อครั่นตัว แต่โรคมือเท้าปากจะพบมีตุ่มใสๆขึ้นในปาก ที่ลิ้น กระพุ้งแก้ม หรือตามง่ามนิ้วมือโดยโรคมือ เท้า และปาก เกิดจากเชื้อเอนเทอโรไวรัส(enterovirus) พบบ่อยในเด็กทารกและเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5ปี ส่วนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล เป็นการติดเชื้ออินฟูเอนซาไวรัส(Influenza virus)ซึ่งสายพันธุ์ไข้หวัดใหญ่ในคนมีหลายสายพันธุ์ แต่ที่บ่อยๆคือ สายพันธุ์ H1N1 และ H3N2 พบได้ทุกอายุโดยเฉพาะในเด็กจะพบมากเป็นพิเศษ
วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
คีโมกับมะเร็งและการดำรงชีวิต ( ดีมาก ๆ)
ขอขอบคุณ ภาพจากอินเตอร์เน็ท
หลังจากหลายปีที่พูดกันว่าการทำคีโมเป็นทางเลือกเดียวที่จะ ลอง และใช้ในการกำจัดโรคมะเร็ง ในที่สุดโรงพยาบาลจอห์น ฮอพกินส์ก็เริ่มแนะนำถึงทางเลือกอื่นๆอีก
ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับโรคมะเร็งจาก รพ.จอห์น ฮอพกินส์
1. ทุกๆคนมีเซลมะเร็งอยู่ในร่างกาย เซลมะเร็งเหล่านี้จะไม่ปรากฎด้วยวิธีการตรวจสอบตามมาตรฐาน จนกระทั่งมันขยายตัวเพิ่มขึ้นในระดับพันล้านเซล(1,000,000,000 เซล เมื่อแพทย์บอกว่าไม่มีเซลมะเร็งในร่างกายผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับการรักษาแล้ว มันหมายถึงว่าระบบไม่สามารถตรวจสอบเซลมะเร็งได้เพราะว่าจำนวนของมันยังไม่มากพอ จนถึงระดับที่สามารถตรวจจับได้เท่านั้น
2. เซลมะเร็งเกิดขึ้นระหว่าง 6 ถึงมากกว่า 10 ครั้งในช่วงอายุของคนๆหนึ่ง
3. เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงเพียงพอ เซลมะเร็งจะถูกทำลายและป้องกันไม่ให้เกิดการขยายตัวและกลายเป็นเนื้องอก
4. เมื่อใครก็ตามเป็นมะเร็ง มันกำลังบอกว่าคนๆนั้นมีความบกพร่องหลายประการเกี่ยว
กับโภชนาการ ซึ่งอาจเกิดจากยีน สิ่งแวดล้อม อาหารและปัจจัยอื่นๆในการดำรงชีวิต
5. เพื่อเอาชนะภาวะบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับโภชนาการ การเปลี่ยนแปลงประเภทของอาหารรวมทั้งสารอาหารบางอย่างจะช่วยให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น
6. การทำคีโมคือการให้สารเคมีที่มีความเป็นพิษกับเซลมะเร็งที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ขณะเดียวกัน มันก็จะทำลายเซลที่ดีที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในไขกระดูก ทำลายระบบทางเดินอาหาร ฯลฯ และเป็นสาเหตุทำให้อวัยวะบางส่วนถูกทำลาย เช่น ตับ ไต หัวใจ ปอด ฯลฯ
8. การบำบัดโดยคีโม และการฉายรังสีมักจะช่วยลดขนาดของเนื้องอกได้ในช่วงแรกๆ อย่างไรก็ตามถ้าทำไปนานๆพบว่ามักไม่ส่งผลต่อการทำลายเซลเนื้องอก
9. เมื่อร่างกายได้รับสารพิษจากการทำคีโมหรือการฉายรังสีมากเกินไป ระบบภูมิคุ้มกันอาจปรับตัวเข้ากันได้หรือไม่ก็อาจถูกทำลายลง ดังนั้นคนๆนั้นจึงอาจตกอยู่ในอันตรายจากการติดเชื้อหลายชนิดและทำให้โรคมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น
10. การทำคีโมและการฉายรังสีอาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกลาย พันธุ์ ดื้อยา และยากต่อการทำลาย การผ่าตัดก็อาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกระจายไปทั่วร่างกาย
11. วิธีที่ดีที่สุดในการทำสงครามกับมะเร็ง คือการไม่ให้เซลมะเร็งได้รับอาหารเพื่อนำไปใช้ในการขยายตัว
อะไรคืออาหารที่ป้อนให้กับเซลมะเร็ง
a. น้ำตาลคืออาหารของมะเร็ง การตัดน้ำตาลคือการตัดแหล่งอาหารสำคัญที่จ่ายให้กับเซลมะเร็ง สารทดแทนน้ำตาลอย่างเช่น "" นิวตร้าสวีต "" "" อีควล "" "" สปูนฟูล "" ฯลฯ ล้วนทำมาจากสารให้ความหวาน ซึ่งเป็นอันตราย สารทดแทนซึ่งเป็นกลางที่ดีกว่าคือน้ำผึ้งมานูคา (จากนิวซีแลนด์) หรือน้ำอ้อย แต่ในปริมาณน้อยๆเท่านั้น เกลือสำเร็จรูปก็ใช้สารเคมีในการฟอกขาว ควรหันไปเลือกใช้ "" แบรก อมิโน "" หรือเกลือทะเลแทน
b. นมเป็นสาเหตุทำให้ร่างกายผลิตเมือก โดยเฉพาะในระบบทางเดินอาหาร เซลมะเร็งจะได้รับอาหารได้ดีในสภาวะที่มีเมือก การใช้นมถั่วเหลืองชนิดไม่หวานแทนนม จะทำให้เซลมะเร็งไม่ ได้รับอาหาร
c. เซลมะเร็งเติบโตได้ดี ในภาวะแดล้อมที่เป็นกรด อาหารจำพวกเนื้อจะสร้างสภาวะกรดขึ้น ดังนั้นจึงควรหันไปรับประทานปลาจะดีที่สุด รองลงไปคือรับประทานไก่แทนเนื้อและหมู ในเนื้ออาจมียาฆ่าเชื้อ ฮอร์โมนที่สร้างการเจริญเติบโตในสัตว์ และเชื้อปรสิตบางประเภทตกค้างอยู่ ซึ่งล้วนเป็นอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เป็นมะเร็ง
d. อาหารที่ประกอบด้วยผักสด 80% และน้ำผลไม้ พืชจำพวกหัว เมล็ด ถั่วเปลือกแข็ง และผลไม้จำนวนเล็กน้อย จะช่วยทำให้ร่างกายมีสภาวะเป็นด่าง อาหารอีก20% อาจได้มาจากการทำอาหารร่วมกับพืชจำพวกถั่ว น้ำผักสดจะให้เอ็นไซม์ซึ่งสามารถดูดซึมได้ง่ายและซึมทราบสู่ระดับเซลภายใน 1 นาที เพื่อบำรุงร่างกายและส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลที่ดี เพื่อให้ได้เอ็นไซม์ในการสร้างเซลที่ดี ให้พยายามดื่มน้ำผักสด ( ผักส่วนใหญ่รวมทั้งถั่วที่มีหน่อหรือต้นอ่อน) และรับประทานผักสดดิบ2-3 ครั้งต่อวัน เอ็นไซม์จะถูกทำลายได้ง่ายที่อุณหภูมิ140 องศา F ( ประมาณ 4 องศา C)
e. ให้หลีกเลี่ยงกาแฟ น้ำชา และช๊อ กโกแลต ซึ่งมีคาเฟอีนสูง ชาเขียวถือเป็นทางเลือกที่ดีและมีคุณสมบัติในการต้านมะเร็ง น้ำดื่มให้เลือกดื่มน้ำบริสุทธิ์ หรือที่ผ่านการกรอง เพื่อหลีกเลี่ยงท๊อกซินและโลหะหนักในน้ำประปา น้ำกลั่นมักมีสภาพเป็นกรด ให้หลีกเลี่ยง
12. โปรตีนจากเนื้อจะย่อยยาก และต้องการเอ็นไซม์หลายชนิดมาช่วยในการย่อย เนื้อสัตว์ที่ไม่สามารถย่อยได้ในระบบทางเดินอาหารจะเกิดการบูดเน่าและมีความเป็นพิษมากขึ้น
13. ผนังของเซลมะเร็งจะมีโปรตีนห่อหุ้มไว้ การงดหรือการรับประทานเนื้อสัตว์น้อยลง จะทำให้มีเอ็นไซม์เหลือมากพอมาใช้โจมตีกำแพงโปรตีนที่ห่อหุ้มเซลมะเร็ง และช่วยให้เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น
14. สารอาหารบางอย่างอาจช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ( สารIP6 [inositol hexaphosphate หรือ phyti acid],สาร Flor-essence, สาร Essiac, สารแอนตี้-อ๊อกซิแดนส์ , วิตามิน , เกลือแร่ , EFAs ฯลฯ) เพื่อช่วยให้เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น สารอาหารอื่นๆเช่น วิตามินอี เป็นที่ทราบกันดีว่าทำให้เกิดการตายลงของเซล หรือ กำหนดระยะเวลาการตายของเซล ซึ่งเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกายในการกำจัดเซลที่ถูกทำลาย ซึ่งไม่เป็นที่ต้องการ หรือไม่มีประโยชน์ออกไป
15. มะเร็งเป็นโรคที่สัมพันธ์กับจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณ การป้องกันเชิงรุกและการคิดในเชิงบวกจะช่วยให้เราสามารถอยู่รอดจากการทำสงครามกับมะเร็ง.... ความโกรธ การไม่รู้จักให้อภัย และความขมขื่นใจ จะทำให้ร่างกายเกิดความตึงเครียดและมีสภาวะเป็นกรดเพิ่มขึ้น ให้เรียนรู้ที่จะมีความรักและ
จิตวิญญาณแห่งการให้อภัย เรียนรู้ที่จะผ่อนคลายและมีความสุขกับชีวิต
16. เซลมะเร็งไม่สามารถเจริญเติบโตได้ในสภาวะที่มีอ๊อกซิเจนเป็นจำนวนมาก การออกกำลังกายทุกวัน และการหายใจลึกๆจะช่วยให้ร่างกายได้รับอ๊อกซิเจนเพิ่มขึ้นลงไปจนระดับเซล การบำบัดด้วยอ๊อกซิเจนถือเป็นวิธีการอีกอย่างที่ใช้ในการทำลายเซลมะเร็ง
หลังจากหลายปีที่พูดกันว่าการทำคีโมเป็นทางเลือกเดียวที่จะ ลอง และใช้ในการกำจัดโรคมะเร็ง ในที่สุดโรงพยาบาลจอห์น ฮอพกินส์ก็เริ่มแนะนำถึงทางเลือกอื่นๆอีก
ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับโรคมะเร็งจาก รพ.จอห์น ฮอพกินส์
1. ทุกๆคนมีเซลมะเร็งอยู่ในร่างกาย เซลมะเร็งเหล่านี้จะไม่ปรากฎด้วยวิธีการตรวจสอบตามมาตรฐาน จนกระทั่งมันขยายตัวเพิ่มขึ้นในระดับพันล้านเซล(1,000,000,000 เซล เมื่อแพทย์บอกว่าไม่มีเซลมะเร็งในร่างกายผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับการรักษาแล้ว มันหมายถึงว่าระบบไม่สามารถตรวจสอบเซลมะเร็งได้เพราะว่าจำนวนของมันยังไม่มากพอ จนถึงระดับที่สามารถตรวจจับได้เท่านั้น
2. เซลมะเร็งเกิดขึ้นระหว่าง 6 ถึงมากกว่า 10 ครั้งในช่วงอายุของคนๆหนึ่ง
3. เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงเพียงพอ เซลมะเร็งจะถูกทำลายและป้องกันไม่ให้เกิดการขยายตัวและกลายเป็นเนื้องอก
4. เมื่อใครก็ตามเป็นมะเร็ง มันกำลังบอกว่าคนๆนั้นมีความบกพร่องหลายประการเกี่ยว
กับโภชนาการ ซึ่งอาจเกิดจากยีน สิ่งแวดล้อม อาหารและปัจจัยอื่นๆในการดำรงชีวิต
5. เพื่อเอาชนะภาวะบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับโภชนาการ การเปลี่ยนแปลงประเภทของอาหารรวมทั้งสารอาหารบางอย่างจะช่วยให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น
6. การทำคีโมคือการให้สารเคมีที่มีความเป็นพิษกับเซลมะเร็งที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ขณะเดียวกัน มันก็จะทำลายเซลที่ดีที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในไขกระดูก ทำลายระบบทางเดินอาหาร ฯลฯ และเป็นสาเหตุทำให้อวัยวะบางส่วนถูกทำลาย เช่น ตับ ไต หัวใจ ปอด ฯลฯ
8. การบำบัดโดยคีโม และการฉายรังสีมักจะช่วยลดขนาดของเนื้องอกได้ในช่วงแรกๆ อย่างไรก็ตามถ้าทำไปนานๆพบว่ามักไม่ส่งผลต่อการทำลายเซลเนื้องอก
9. เมื่อร่างกายได้รับสารพิษจากการทำคีโมหรือการฉายรังสีมากเกินไป ระบบภูมิคุ้มกันอาจปรับตัวเข้ากันได้หรือไม่ก็อาจถูกทำลายลง ดังนั้นคนๆนั้นจึงอาจตกอยู่ในอันตรายจากการติดเชื้อหลายชนิดและทำให้โรคมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น
10. การทำคีโมและการฉายรังสีอาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกลาย พันธุ์ ดื้อยา และยากต่อการทำลาย การผ่าตัดก็อาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกระจายไปทั่วร่างกาย
11. วิธีที่ดีที่สุดในการทำสงครามกับมะเร็ง คือการไม่ให้เซลมะเร็งได้รับอาหารเพื่อนำไปใช้ในการขยายตัว
อะไรคืออาหารที่ป้อนให้กับเซลมะเร็ง
a. น้ำตาลคืออาหารของมะเร็ง การตัดน้ำตาลคือการตัดแหล่งอาหารสำคัญที่จ่ายให้กับเซลมะเร็ง สารทดแทนน้ำตาลอย่างเช่น "" นิวตร้าสวีต "" "" อีควล "" "" สปูนฟูล "" ฯลฯ ล้วนทำมาจากสารให้ความหวาน ซึ่งเป็นอันตราย สารทดแทนซึ่งเป็นกลางที่ดีกว่าคือน้ำผึ้งมานูคา (จากนิวซีแลนด์) หรือน้ำอ้อย แต่ในปริมาณน้อยๆเท่านั้น เกลือสำเร็จรูปก็ใช้สารเคมีในการฟอกขาว ควรหันไปเลือกใช้ "" แบรก อมิโน "" หรือเกลือทะเลแทน
b. นมเป็นสาเหตุทำให้ร่างกายผลิตเมือก โดยเฉพาะในระบบทางเดินอาหาร เซลมะเร็งจะได้รับอาหารได้ดีในสภาวะที่มีเมือก การใช้นมถั่วเหลืองชนิดไม่หวานแทนนม จะทำให้เซลมะเร็งไม่ ได้รับอาหาร
c. เซลมะเร็งเติบโตได้ดี ในภาวะแดล้อมที่เป็นกรด อาหารจำพวกเนื้อจะสร้างสภาวะกรดขึ้น ดังนั้นจึงควรหันไปรับประทานปลาจะดีที่สุด รองลงไปคือรับประทานไก่แทนเนื้อและหมู ในเนื้ออาจมียาฆ่าเชื้อ ฮอร์โมนที่สร้างการเจริญเติบโตในสัตว์ และเชื้อปรสิตบางประเภทตกค้างอยู่ ซึ่งล้วนเป็นอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เป็นมะเร็ง
d. อาหารที่ประกอบด้วยผักสด 80% และน้ำผลไม้ พืชจำพวกหัว เมล็ด ถั่วเปลือกแข็ง และผลไม้จำนวนเล็กน้อย จะช่วยทำให้ร่างกายมีสภาวะเป็นด่าง อาหารอีก20% อาจได้มาจากการทำอาหารร่วมกับพืชจำพวกถั่ว น้ำผักสดจะให้เอ็นไซม์ซึ่งสามารถดูดซึมได้ง่ายและซึมทราบสู่ระดับเซลภายใน 1 นาที เพื่อบำรุงร่างกายและส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลที่ดี เพื่อให้ได้เอ็นไซม์ในการสร้างเซลที่ดี ให้พยายามดื่มน้ำผักสด ( ผักส่วนใหญ่รวมทั้งถั่วที่มีหน่อหรือต้นอ่อน) และรับประทานผักสดดิบ2-3 ครั้งต่อวัน เอ็นไซม์จะถูกทำลายได้ง่ายที่อุณหภูมิ140 องศา F ( ประมาณ 4 องศา C)
e. ให้หลีกเลี่ยงกาแฟ น้ำชา และช๊อ กโกแลต ซึ่งมีคาเฟอีนสูง ชาเขียวถือเป็นทางเลือกที่ดีและมีคุณสมบัติในการต้านมะเร็ง น้ำดื่มให้เลือกดื่มน้ำบริสุทธิ์ หรือที่ผ่านการกรอง เพื่อหลีกเลี่ยงท๊อกซินและโลหะหนักในน้ำประปา น้ำกลั่นมักมีสภาพเป็นกรด ให้หลีกเลี่ยง
12. โปรตีนจากเนื้อจะย่อยยาก และต้องการเอ็นไซม์หลายชนิดมาช่วยในการย่อย เนื้อสัตว์ที่ไม่สามารถย่อยได้ในระบบทางเดินอาหารจะเกิดการบูดเน่าและมีความเป็นพิษมากขึ้น
13. ผนังของเซลมะเร็งจะมีโปรตีนห่อหุ้มไว้ การงดหรือการรับประทานเนื้อสัตว์น้อยลง จะทำให้มีเอ็นไซม์เหลือมากพอมาใช้โจมตีกำแพงโปรตีนที่ห่อหุ้มเซลมะเร็ง และช่วยให้เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น
14. สารอาหารบางอย่างอาจช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ( สารIP6 [inositol hexaphosphate หรือ phyti acid],สาร Flor-essence, สาร Essiac, สารแอนตี้-อ๊อกซิแดนส์ , วิตามิน , เกลือแร่ , EFAs ฯลฯ) เพื่อช่วยให้เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น สารอาหารอื่นๆเช่น วิตามินอี เป็นที่ทราบกันดีว่าทำให้เกิดการตายลงของเซล หรือ กำหนดระยะเวลาการตายของเซล ซึ่งเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกายในการกำจัดเซลที่ถูกทำลาย ซึ่งไม่เป็นที่ต้องการ หรือไม่มีประโยชน์ออกไป
15. มะเร็งเป็นโรคที่สัมพันธ์กับจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณ การป้องกันเชิงรุกและการคิดในเชิงบวกจะช่วยให้เราสามารถอยู่รอดจากการทำสงครามกับมะเร็ง.... ความโกรธ การไม่รู้จักให้อภัย และความขมขื่นใจ จะทำให้ร่างกายเกิดความตึงเครียดและมีสภาวะเป็นกรดเพิ่มขึ้น ให้เรียนรู้ที่จะมีความรักและ
จิตวิญญาณแห่งการให้อภัย เรียนรู้ที่จะผ่อนคลายและมีความสุขกับชีวิต
16. เซลมะเร็งไม่สามารถเจริญเติบโตได้ในสภาวะที่มีอ๊อกซิเจนเป็นจำนวนมาก การออกกำลังกายทุกวัน และการหายใจลึกๆจะช่วยให้ร่างกายได้รับอ๊อกซิเจนเพิ่มขึ้นลงไปจนระดับเซล การบำบัดด้วยอ๊อกซิเจนถือเป็นวิธีการอีกอย่างที่ใช้ในการทำลายเซลมะเร็ง
บารมี ๓๐ ทัศ
บารมีทั้ง ๑๐ ประการอันเป็นองค์บารมีของพุทธการกธรรม สามารถแตกเป็น ๓ ระดับ คือ
๑. (สามัญ)บารมี หรือบารมีต้น
๒. อุปบารมี หรือบารมีกลาง
๓. ปรมัตถบารมี หรือบารมีปลาย
การจำแนกระดับของบารมีนี้มีหลายประการ เช่น
จำแนกด้วยการกระทำ
บารมีต้น เป็นการอนุโมทนาการกระทำของผู้อื่น
อุปบารมี เป็นการให้ผู้อื่นทำ
ปรมัตถบารมี เป็นการกระทำด้วยตนเอง
จำแนกด้วยธรรม
บารมีต้น เป็นธรรมขาวเจือด้วยธรรมดำ
อุปบารมี เป็นธรรมขาวไม่เจือด้วยธรรมดำ
ปรมัตถบารมี เป็นธรรมไม่ดำไม่ขาว
จำแนกด้วยกาล
บารมีต้น บำเพ็ญในกาลตั้งความปราถนาทางใจ
อุปบารมี บำเพ็ญในกาลตั้งความปราถนาทางวาจา
ปรมัตถบารมี บำเพ็ญในกาลตั้งความปราถนาทางกาย
จำแนกด้วยความยาก
บารมีต้น เนื่องด้วยวัตถุและทรัพย์นอกกาย
อุปบารมี เนื่องด้วยอวัยวะและเลือดเนื้อ
ปรมัตถบารมี เนื่องด้วยชีวิต
(อรรถกถาพระไตรปิฎก เล่มที่ ๗๔ อรรถกถา จาริยาปิฏก)
บารมีทั้งสิบอย่างที่เป็นบารมีต้น รวมกันเรียกว่า บารมี ๑๐ ทัศ
บารมีทั้งสิบอย่างที่เป็นอุปบารมี รวมกันเรียกว่า อุปบารมี ๑๐ ทัศ
บารมีทั้งสิบอย่างที่เป็นปรมัตถบารมี รวมกันเรียกว่า ปรมัตถบารมี ๑๐ ทัศ
ผู้ปรารถนาสาวกภูมิ ต้องบำเพ็ญบารมี ๑๐ ทัศ
ผู้ปรารถนาปัจเจกภูมิ ต้องบำเพ็ญบารมี ๒๐ ทัศ คือ บารมีและอุปบารมี
ผู้ปรารถนาพุทธภูมิ ต้องบำเพ็ญบารมี ๓๐ ทัศ คือ บารมี อุปบารมี และปรมัตถบารมี
เมื่อแจกแจงบารมีทั้ง ๓๐ ทัศ ตามความยาก จะได้ดังนี้
๑. ทานบารมี
บารมี สละธนสารสมบัติ บุตร ภริยา ให้เป็นทาน
อุปบารมี สละอวัยวะและเลือดเนื้อ ให้เป็นทาน
ปรมัตถบารมี สละชีวิต ให้เป็นทาน
๒. ศีลบารมี
บารมี ยอมสละธนสารสมบัติ บุตร ภริยา เพื่อรักษาศีล
อุปบารมี ยอมสละอวัยวะและเลือดเนื้อ เพื่อรักษาศีล
ปรมัตถบารมี ยอมสละชีวิต เพื่อรักษาศีล
๓. เนกขัมมบารมี
บารมี ถือบวช โดยไม่อาลัยในธนสารสมบัติ บุตร ภริยา
อุปบารมี ถือบวช โดยไม่อาลัยในอวัยวะและเลือดเนื้อ
ปรมัตถบารมี ถือบวช โดยไม่อาลัยในชีวิต
๔. ปัญญาบารมี
บารมี ใช้ปัญญารักษา ธนสารสมบัติ บุตร ภริยา ของผู้อื่น
อุปบารมี ใช้ปัญญารักษา อวัยวะและเลือดเนื้อ ของผู้อื่น
ปรมัตถบารมี ใช้ปัญญารักษา ชีวิต ของผู้อื่น
๕. วิริยะบารมี
บารมี มีความเพียร ไม่อาลัยใน ธนสารสมบัติ บุตร ภริยา
อุปบารมี มีความเพียร ไม่อาลัยใน อวัยวะและเลือดเนื้อ
ปรมัตถบารมี มีความเพียร ไม่อาลัยใน ชีวิต
๖. ขันติบารมี
บารมี อดทนต่อผู้ที่จะทำร้ายต่อ ธนสารสมบัติ บุตร ภริยา
อุปบารมี อดทนต่อผู้ที่จะทำร้ายต่อ อวัยวะและเลือดเนื้อ
ปรมัตถบารมี อดทนต่อผู้ที่จะทำร้ายต่อ ชีวิต
๗. สัจจบารมี
บารมี ยอมสละธนสารสมบัติ บุตร ภริยา เพื่อรักษาสัจจะ
อุปบารมี ยอมสละอวัยวะและเลือดเนื้อ เพื่อรักษาสัจจะ
ปรมัตถบารมี ยอมสละชีวิต เพื่อรักษาสัจจะ
๘. อธิษฐานบารมี
บารมี ไม่หวั่นไหวแม้ต้องสูญเสีย ธนสารสมบัติ บุตร ภริยา
อุปบารมี ไม่หวั่นไหวแม้ต้องสูญเสีย อวัยวะและเลือดเนื้อ
ปรมัตถบารมี ไม่หวั่นไหวแม้ต้องสูญเสีย ชีวิต
๙. เมตตาบารมี
บารมี มีเมตตาแม้ต่อผู้ที่จะทำร้าย ธนสารสมบัติ บุตร ภริยา
อุปบารมี มีเมตตาแม้ต่อผู้ที่จะทำร้าย อวัยวะและเลือดเนื้อ
ปรมัตถบารมี มีเมตตาแม้ต่อผู้ที่จะทำร้าย ชีวิต
๑๐. อุเบกขาบารมี
บารมี วางเฉยได้ต่อผู้ที่จะทำร้าย ธนสารสมบัติ บุตร ภริยา
อุปบารมี วางเฉยได้ต่อผู้ที่จะทำร้าย อวัยวะและเลือดเนื้อ
ปรมัตถบารมี วางเฉยได้ต่อผู้ที่จะทำร้าย ชีวิต
http://larndham.net/index.php?showtopic=22628&st=0
๑. (สามัญ)บารมี หรือบารมีต้น
๒. อุปบารมี หรือบารมีกลาง
๓. ปรมัตถบารมี หรือบารมีปลาย
การจำแนกระดับของบารมีนี้มีหลายประการ เช่น
จำแนกด้วยการกระทำ
บารมีต้น เป็นการอนุโมทนาการกระทำของผู้อื่น
อุปบารมี เป็นการให้ผู้อื่นทำ
ปรมัตถบารมี เป็นการกระทำด้วยตนเอง
จำแนกด้วยธรรม
บารมีต้น เป็นธรรมขาวเจือด้วยธรรมดำ
อุปบารมี เป็นธรรมขาวไม่เจือด้วยธรรมดำ
ปรมัตถบารมี เป็นธรรมไม่ดำไม่ขาว
จำแนกด้วยกาล
บารมีต้น บำเพ็ญในกาลตั้งความปราถนาทางใจ
อุปบารมี บำเพ็ญในกาลตั้งความปราถนาทางวาจา
ปรมัตถบารมี บำเพ็ญในกาลตั้งความปราถนาทางกาย
จำแนกด้วยความยาก
บารมีต้น เนื่องด้วยวัตถุและทรัพย์นอกกาย
อุปบารมี เนื่องด้วยอวัยวะและเลือดเนื้อ
ปรมัตถบารมี เนื่องด้วยชีวิต
(อรรถกถาพระไตรปิฎก เล่มที่ ๗๔ อรรถกถา จาริยาปิฏก)
บารมีทั้งสิบอย่างที่เป็นบารมีต้น รวมกันเรียกว่า บารมี ๑๐ ทัศ
บารมีทั้งสิบอย่างที่เป็นอุปบารมี รวมกันเรียกว่า อุปบารมี ๑๐ ทัศ
บารมีทั้งสิบอย่างที่เป็นปรมัตถบารมี รวมกันเรียกว่า ปรมัตถบารมี ๑๐ ทัศ
ผู้ปรารถนาสาวกภูมิ ต้องบำเพ็ญบารมี ๑๐ ทัศ
ผู้ปรารถนาปัจเจกภูมิ ต้องบำเพ็ญบารมี ๒๐ ทัศ คือ บารมีและอุปบารมี
ผู้ปรารถนาพุทธภูมิ ต้องบำเพ็ญบารมี ๓๐ ทัศ คือ บารมี อุปบารมี และปรมัตถบารมี
เมื่อแจกแจงบารมีทั้ง ๓๐ ทัศ ตามความยาก จะได้ดังนี้
๑. ทานบารมี
บารมี สละธนสารสมบัติ บุตร ภริยา ให้เป็นทาน
อุปบารมี สละอวัยวะและเลือดเนื้อ ให้เป็นทาน
ปรมัตถบารมี สละชีวิต ให้เป็นทาน
๒. ศีลบารมี
บารมี ยอมสละธนสารสมบัติ บุตร ภริยา เพื่อรักษาศีล
อุปบารมี ยอมสละอวัยวะและเลือดเนื้อ เพื่อรักษาศีล
ปรมัตถบารมี ยอมสละชีวิต เพื่อรักษาศีล
๓. เนกขัมมบารมี
บารมี ถือบวช โดยไม่อาลัยในธนสารสมบัติ บุตร ภริยา
อุปบารมี ถือบวช โดยไม่อาลัยในอวัยวะและเลือดเนื้อ
ปรมัตถบารมี ถือบวช โดยไม่อาลัยในชีวิต
๔. ปัญญาบารมี
บารมี ใช้ปัญญารักษา ธนสารสมบัติ บุตร ภริยา ของผู้อื่น
อุปบารมี ใช้ปัญญารักษา อวัยวะและเลือดเนื้อ ของผู้อื่น
ปรมัตถบารมี ใช้ปัญญารักษา ชีวิต ของผู้อื่น
๕. วิริยะบารมี
บารมี มีความเพียร ไม่อาลัยใน ธนสารสมบัติ บุตร ภริยา
อุปบารมี มีความเพียร ไม่อาลัยใน อวัยวะและเลือดเนื้อ
ปรมัตถบารมี มีความเพียร ไม่อาลัยใน ชีวิต
๖. ขันติบารมี
บารมี อดทนต่อผู้ที่จะทำร้ายต่อ ธนสารสมบัติ บุตร ภริยา
อุปบารมี อดทนต่อผู้ที่จะทำร้ายต่อ อวัยวะและเลือดเนื้อ
ปรมัตถบารมี อดทนต่อผู้ที่จะทำร้ายต่อ ชีวิต
๗. สัจจบารมี
บารมี ยอมสละธนสารสมบัติ บุตร ภริยา เพื่อรักษาสัจจะ
อุปบารมี ยอมสละอวัยวะและเลือดเนื้อ เพื่อรักษาสัจจะ
ปรมัตถบารมี ยอมสละชีวิต เพื่อรักษาสัจจะ
๘. อธิษฐานบารมี
บารมี ไม่หวั่นไหวแม้ต้องสูญเสีย ธนสารสมบัติ บุตร ภริยา
อุปบารมี ไม่หวั่นไหวแม้ต้องสูญเสีย อวัยวะและเลือดเนื้อ
ปรมัตถบารมี ไม่หวั่นไหวแม้ต้องสูญเสีย ชีวิต
๙. เมตตาบารมี
บารมี มีเมตตาแม้ต่อผู้ที่จะทำร้าย ธนสารสมบัติ บุตร ภริยา
อุปบารมี มีเมตตาแม้ต่อผู้ที่จะทำร้าย อวัยวะและเลือดเนื้อ
ปรมัตถบารมี มีเมตตาแม้ต่อผู้ที่จะทำร้าย ชีวิต
๑๐. อุเบกขาบารมี
บารมี วางเฉยได้ต่อผู้ที่จะทำร้าย ธนสารสมบัติ บุตร ภริยา
อุปบารมี วางเฉยได้ต่อผู้ที่จะทำร้าย อวัยวะและเลือดเนื้อ
ปรมัตถบารมี วางเฉยได้ต่อผู้ที่จะทำร้าย ชีวิต
http://larndham.net/index.php?showtopic=22628&st=0
บำบัดอาการป่วยด้วย “พิษผึ้ง”ทางเลือกรักษาสุขภาพจาก มฟล.
มฟล. นำความรู้ด้านสุขภาพมอบสู่ชุมชน จัดทีมผู้เชี่ยวชาญ รักษาอาการป่วยด้วย “พิษผึ้ง” ผลการรักษาชี้สามารถบำบัดได้ 3 กลุ่มอาการ พร้อมเปิดรักษาฟรี 2 เดือนนี้
เมื่อเร็วๆนี้ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) โดยสำนักวิทยาศาสตร์สุขภาพ และโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ร่วมกับนายประเสริฐ นพคุณขจร ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการบำบัดโดยใช้ผึ้ง และผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตรจังหวัดชุมพร ออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ เพื่อให้การรักษาด้วย ‘พิษผึ้ง’ โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ณ บริเวณ หน้าสวนตุงและโคม ถนนคนเดินจังหวัดเชียงราย โดยมีประชาชนชาวเชียงรายและนักท่องเที่ยวที่เดินผ่านไปมาให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก และลงเบียนเพื่อรับการรักษาด้วยอาการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นไมเกรน นิ้วล็อค หรือเข่าเสื่อม ทั้งนี้ผู้ที่ไม่สามารถลงทะเบียนเพื่อรับการรักษาได้ ต่างให้ความสนใจชมการรักษาก่อนรับเอกสารรายละเอียดกลับไป โดยมีความตั้งใจจะเดินทางไปรักษาด้วยวิธีดังกล่าว ณ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
ทั้งนี้ สำหรับโรคที่เหมาะแก่การรักษาด้วยผึ้งบำบัด แบ่งเป็น 3 กลุ่มด้วยกัน คือ กลุ่มแรกเป็นกลุ่มอาการปวด และอาการชา ได้แก่ ปวดศีรษะเรื้อรัง ไมเกรน ปวดเอว ปวดไหล่ ปวดขา ปวดต้นคอ ปวดประจำเดือน คอตกหมอน อาการมือชา เท้าชา
กลุ่มต่อมาคือกลุ่มอาการไขข้อ ไขข้ออักเสบรูมาตอยต์ ไขข้ออักเสบ โรคข้อเข่าเสื่อม นิ้วล็อค เส้นเอ็นอักเสบ โรคเกาต์
กลุ่มสุดท้ายคือโรคและอาการอื่นๆ เช่น ริดสีดวง ตะคริวน่อย ไซนัสอักเสบ นอนกรน เลิกบุหรี่ อัมพฤก อัมพาต ผู้มีบุตรยาก โรคอัลไซเมอร์
อย่างไรก็ตามการรักษาด้วยพิษผึ้งดังกล่าว ไม่ได้เหมาะสมกับบุคคลทุกประเภท โดยกลุ่มอาการที่ไม่เหมาะต่อการรักษาด้วยผึ้งบำบัด ได้แก่ ผู้ป่วยโรคหัวใจและไต, กระดูกหัก, หญิงตั้งครรภ์, สตรีระหว่างมีประจำเดือน, ผู้มีบาดแผลมีเลือดออกมา, เด็กที่มีอายุต่ำว่า 10 ขวบ, ท้องเสียเฉียบพลัน, โรคติดเชื้อเฉียบพลัน, สุขภาพไม่แข็งแรง, ไม่อยู่ในอาการหิวหรืออิ่มจนเกินไป และผู้ดื่มเหล้าหรือสูบบุหรี่
ด้าน นพ.สำเริง กาญจนเมธากุล คณบดีสำนักวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เปิดเผยว่า สำนักวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ ร่วมกับโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เปิดให้บริการรักษาโรคด้วยพิษผึ้ง หรือ ‘ผึ้งบำบัด’ (Apitherapy) โดยทีมแพทย์ซึ่งได้รับการอบรมเพิ่มการรักษาด้วยพิษผึ้งจากประเทศจีนจัดให้มีการรักษาด้วยวิธีดังกล่าว ซึ่งขณะนี้กำลังเปิดให้การรักษาด้วยพิษผึ้งโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เป็นเวลา 2 เดือน (พฤษภาคม-มิถุนายน) ในวันจันทร์, พุธ และศุกร์ 9.00-12.00 น.
ก่อนหน้านี้ได้ร่วมกับนายประเสริฐ นพคุณขจร ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการบำบัดโดยใช้ผึ้ง และผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตรจังหวัดชุมพร จัดอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่องผึ้งบำบัด ให้แก่บุคลากรด้านสุขภาพ จากทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย นักศึกษา และประชาชนทั่วไป รวมถึงได้จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกไปทำการรักษาด้วยพิษผึ้ง ณ บริเวณ สวนตุงและโคม ถนนคนเดินจังหวัดเชียงราย ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้สนใจจำนวนมากลงเบียนรับการรักษาในเวลาดังกล่าว นอกจากนี้ยังมีผู้สนใจเดินทางมารับการรักษา ณ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง อย่างต่อเนื่อง โดยมีผู้เจ็บป่วยในหลายอาการ แต่ที่มีมากเป็นพิเศษคือกลุ่มผู้มีอาการปวดข้อ ปวดเข่า และไมเกรน
“การใช้พิษผึ้งรักษาเป็นแนวทางการรักษาทางเลือกหนึ่ง โดยฝังเหล็กในลงตามหลักการของการฝังเข็ม และพิษผึ้งเองมีฤทธิ์รักษาหลายอาการโดยเฉพาะ แก้ปวด ช่วยปรับภูมิคุ้มกัน ลดการอักเสบ เป็นต้น ความสำเร็จในการรักษานั้นก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล บางคนใช้ผึ้งต่อยครั้งเดียวก็หายเลย บางคนต้องรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง หรืออาจต้องมองหาแนวทางอื่นที่เหมาะสมกับตัวเองมากกว่าต่อไป”คณบดีสำนักวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ กล่าว
คณบดีสำนักวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ กล่าวต่อว่า นอกจากการเปิดทำการรักษาด้วยผึ้งบำบัดแล้ว ยังมีความตั้งใจที่จะทำการศึกษาวิจัยการนำผลิตภัณฑ์จากผึ้ง, น้ำผึ้ง เกสรผึ้ง นมผึ้ง พรอพอลิส ไขผึ้ง และ พิษผึ้ง เพื่อใช้ในการรักษา โดยขณะนี้เริ่มต้นหารือถึงทิศทางการทำวิจัยแล้ว
ผู้สนใจข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อ สำนักวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ 0-5391-6822-3 หรือ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง 0-5391-7581
เมื่อเร็วๆนี้ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) โดยสำนักวิทยาศาสตร์สุขภาพ และโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ร่วมกับนายประเสริฐ นพคุณขจร ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการบำบัดโดยใช้ผึ้ง และผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตรจังหวัดชุมพร ออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ เพื่อให้การรักษาด้วย ‘พิษผึ้ง’ โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ณ บริเวณ หน้าสวนตุงและโคม ถนนคนเดินจังหวัดเชียงราย โดยมีประชาชนชาวเชียงรายและนักท่องเที่ยวที่เดินผ่านไปมาให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก และลงเบียนเพื่อรับการรักษาด้วยอาการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นไมเกรน นิ้วล็อค หรือเข่าเสื่อม ทั้งนี้ผู้ที่ไม่สามารถลงทะเบียนเพื่อรับการรักษาได้ ต่างให้ความสนใจชมการรักษาก่อนรับเอกสารรายละเอียดกลับไป โดยมีความตั้งใจจะเดินทางไปรักษาด้วยวิธีดังกล่าว ณ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
ทั้งนี้ สำหรับโรคที่เหมาะแก่การรักษาด้วยผึ้งบำบัด แบ่งเป็น 3 กลุ่มด้วยกัน คือ กลุ่มแรกเป็นกลุ่มอาการปวด และอาการชา ได้แก่ ปวดศีรษะเรื้อรัง ไมเกรน ปวดเอว ปวดไหล่ ปวดขา ปวดต้นคอ ปวดประจำเดือน คอตกหมอน อาการมือชา เท้าชา
กลุ่มต่อมาคือกลุ่มอาการไขข้อ ไขข้ออักเสบรูมาตอยต์ ไขข้ออักเสบ โรคข้อเข่าเสื่อม นิ้วล็อค เส้นเอ็นอักเสบ โรคเกาต์
กลุ่มสุดท้ายคือโรคและอาการอื่นๆ เช่น ริดสีดวง ตะคริวน่อย ไซนัสอักเสบ นอนกรน เลิกบุหรี่ อัมพฤก อัมพาต ผู้มีบุตรยาก โรคอัลไซเมอร์
อย่างไรก็ตามการรักษาด้วยพิษผึ้งดังกล่าว ไม่ได้เหมาะสมกับบุคคลทุกประเภท โดยกลุ่มอาการที่ไม่เหมาะต่อการรักษาด้วยผึ้งบำบัด ได้แก่ ผู้ป่วยโรคหัวใจและไต, กระดูกหัก, หญิงตั้งครรภ์, สตรีระหว่างมีประจำเดือน, ผู้มีบาดแผลมีเลือดออกมา, เด็กที่มีอายุต่ำว่า 10 ขวบ, ท้องเสียเฉียบพลัน, โรคติดเชื้อเฉียบพลัน, สุขภาพไม่แข็งแรง, ไม่อยู่ในอาการหิวหรืออิ่มจนเกินไป และผู้ดื่มเหล้าหรือสูบบุหรี่
ด้าน นพ.สำเริง กาญจนเมธากุล คณบดีสำนักวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เปิดเผยว่า สำนักวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ ร่วมกับโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เปิดให้บริการรักษาโรคด้วยพิษผึ้ง หรือ ‘ผึ้งบำบัด’ (Apitherapy) โดยทีมแพทย์ซึ่งได้รับการอบรมเพิ่มการรักษาด้วยพิษผึ้งจากประเทศจีนจัดให้มีการรักษาด้วยวิธีดังกล่าว ซึ่งขณะนี้กำลังเปิดให้การรักษาด้วยพิษผึ้งโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เป็นเวลา 2 เดือน (พฤษภาคม-มิถุนายน) ในวันจันทร์, พุธ และศุกร์ 9.00-12.00 น.
ก่อนหน้านี้ได้ร่วมกับนายประเสริฐ นพคุณขจร ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการบำบัดโดยใช้ผึ้ง และผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตรจังหวัดชุมพร จัดอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่องผึ้งบำบัด ให้แก่บุคลากรด้านสุขภาพ จากทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย นักศึกษา และประชาชนทั่วไป รวมถึงได้จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกไปทำการรักษาด้วยพิษผึ้ง ณ บริเวณ สวนตุงและโคม ถนนคนเดินจังหวัดเชียงราย ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้สนใจจำนวนมากลงเบียนรับการรักษาในเวลาดังกล่าว นอกจากนี้ยังมีผู้สนใจเดินทางมารับการรักษา ณ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง อย่างต่อเนื่อง โดยมีผู้เจ็บป่วยในหลายอาการ แต่ที่มีมากเป็นพิเศษคือกลุ่มผู้มีอาการปวดข้อ ปวดเข่า และไมเกรน
“การใช้พิษผึ้งรักษาเป็นแนวทางการรักษาทางเลือกหนึ่ง โดยฝังเหล็กในลงตามหลักการของการฝังเข็ม และพิษผึ้งเองมีฤทธิ์รักษาหลายอาการโดยเฉพาะ แก้ปวด ช่วยปรับภูมิคุ้มกัน ลดการอักเสบ เป็นต้น ความสำเร็จในการรักษานั้นก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล บางคนใช้ผึ้งต่อยครั้งเดียวก็หายเลย บางคนต้องรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง หรืออาจต้องมองหาแนวทางอื่นที่เหมาะสมกับตัวเองมากกว่าต่อไป”คณบดีสำนักวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ กล่าว
คณบดีสำนักวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ กล่าวต่อว่า นอกจากการเปิดทำการรักษาด้วยผึ้งบำบัดแล้ว ยังมีความตั้งใจที่จะทำการศึกษาวิจัยการนำผลิตภัณฑ์จากผึ้ง, น้ำผึ้ง เกสรผึ้ง นมผึ้ง พรอพอลิส ไขผึ้ง และ พิษผึ้ง เพื่อใช้ในการรักษา โดยขณะนี้เริ่มต้นหารือถึงทิศทางการทำวิจัยแล้ว
ผู้สนใจข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อ สำนักวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ 0-5391-6822-3 หรือ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง 0-5391-7581
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)