ทุกวันที่ 3 เดือน 1 ของจีน ที่ฮ่องกง จะมีบางบ้านไหว้พระจี้กง
จี้กง เป็นเจ้าองค์หนึ่งที่โดดเด่นด้วยความไม่เหมือนใครในชุดนักบวชเต๋า
แต่ดูซอมซ่อ ปุปะ มือถือพัดขาดๆ อีกมืออาจถือขวดเหล้าหรือรองเท้าข้าง
หนึ่ง ปรากฏว่าจี้กงมีตำนานว่าเป็นพระนักพรตในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ (พ.ศ.
1670-1822) มีเอกลักษณ์นิสัยที่แปลกจากพระ-เจ้าทำไปคือดื่มสุรา สนุก
สนานเฮฮา ไม่มีภาพของพระที่ควรสำรวมหรือสันโดดเลย แต่มีคุณสมบัติ
พิเศษตรงรักษาคนไข้ได้ระดับหมอเทวดา จึงชอบรักษาคนเจ็บ ช่วย เหลือคน
จนและให้ทานคนหิว จี้กงมีประวัติว่าบิดาเป็นขุนนาง (ชื่อหลี่เมี่ยชุน)
จนอายุมากเข้าวัยกลางคนก็ยังไม่มีบุตร สืบสกุล หลี่เมี่ยชุน เริ่มกังวลกลัวว่าแก่ตัวลง ไปจะไม่มีใครดูแลตนและ
ภรรยา จึงไปไหว้เจ้าขอลูกกับศาลเจ้าที่ ตกกลางคืนภรรยาหลี่เมี่ยชุนฝันเห็นพระ
โพธิสัตว์ทรงชุดยาว พักตร์ยิ้มผ่องใส พระโพธิสัตว์เสด็จมาหานางพร้อม
ประทานดอกบัวหลาก สีแสนสวยงาม
ในฝัน...พระโพธิสัตว์ตรัสแก่นางว่า... คำอธิษฐานของสามีเจ้าจะเป็นจริง
เมื่อเจ้ากลืนดอกบัวสวรรค์นี้
นางขอบคุณแล้วกลืนดอกบัวลงไปได้ อย่างอัศจรรย์ นางรู้สึกได้ถึงการ
เคลื่อนของดอกบัวขณะไหลเลื่อนในกายลงไปสู่กลางท้องนาง นางสะดุ้งตื่นทันที
ต่อมานางก็ท้อง 10 เดือน ต่อมาได้คลอดเด็กชายหน้าตาน่ารักมากให้
ชื่อเด็กนี้ว่า ซุยหยวน หลี่ซุยหยวนได้โตขึ้นมาท่ามกลางความรักและอบอุ่น
แต่แปลกจัง เด็กน้อยฝักใฝ่ลัทธิเต๋ามาก อายุ 7 ขวบก็ขอบวชแล้วเรียน
อ่านตำราทางเต๋าจนรู้แตกฉานเมื่ออายุได้ 14 ปี ต่อมาบิดาตาย หลังจากนั้น 2
ปีมารดาก็เสียชีวิตจากไป หลี่ซุยหยวน
จึงมุ่งไปทางเต๋าเต็มที่ ด้วยการไปอยู่วัดเป็นนักพรตเต๋าที่เคร่ง ได้ฉายาว่า เต๋าจี้
เต๋าจี้คร่ำเคร่งใฝ่ศึกษา แถมเรียนรู้ไว้ ภายในชั่วไม่นานก็รอบ รู้หมด
และเนื่องจากลัทธิเต๋าฝักใฝ่ใน การปรุงยา, การแสวงหาวิธีเป็นอมตะ จึงมี
ตำราทางยา, และวิธีการรักษาโรคประมาณหนึ่ง เต๋าจี้ที่เรียนรู้จนแตกฉานจึง
สามารถรักษาคนป่วยได้ แล้วก็อุทิศตนเพื่อชาวบ้านเต็มที่
แต่ในขณะเดียวกันก็มีเรื่องแปลกว่า เต๋าจี้เหมือนเริ่มเพี้ยน กินจุมากขึ้น
มาก ดื่มสุรา ได้มาก และเริ่มติงต๊องและรักสันโดดมากขึ้นๆ แต่ชาวบ้านก็ยัง
นับถือเต๋าจี้มาก เพราะรักษาโรคเก่ง พร้อมเริ่มเรียก เต๋าจี้ว่า จี้กง
วันหนึ่งขณะจี้กงเดินออกจากวัด ท่านเกิดเห็น ชายคนหนึ่งกำลังจะผูก
คอตายใต้ต้นไม้ ทำเงื่อนเชือกทุกอย่างเรียบ ร้อยหมดแล�ว เหลือเพียงชายนี้
โดดลงมาเพื่อให้เชือกรัดคอ จี้กงเห็นแล้วก็ตะโกนเสียงดังสุดๆว่า...โอ้ย...บ้าแล้ว...ฉันอยากตาย...
ปรากฏว่าชายที่กำลังจะผูกคอตายเอาเชือกออกจากคอ แล้ววิ่งมาหาจี้
กง ถามอย่างเป็นห่วงว่า...เกิดอะไรขึ้นทำไมจึงอยากฆ่าตัวตาย จี้กงบอกว่า
เพราะเราทำเงินที่ญาติโยมนำมาบริจาคหาย ชายนั้นก็บอกว่า เราพอจะยก
สมบัติที่เรามีให้ท่าน จะช่วยให้ท่านหายอยากตายไป
จี้กงถามชายคนนี้ว่า...อะไร...แล้วท่าน ล่ะ...อยากฆ่าตัวตายทำไม
ชายบอกว่า เราชื่อ ต๋งซิหง มีปัญหาว่าเราเป็นหนี้จึงขายลูกสาวไปเป็น
ทาสให้เศรษฐี หนี้ของเราเกิดจากการต้องนำเงินไปรักษาแม่ที่ป่วยหนัก บัดนี้
แม่ก็ตายแล้ว เราก็พยายามทำงานรวบรวมเงินจะไปไถ่ตัวลูกสาว คาดไม่ถึง
ว่า บ้านเศรษฐีได้ย้ายออกไป ไม่มีใครทราบว่าไปไหน แล้วลูกสาวของเราก็
ต้องเป็นทาสเขาตลอดไป แล้วระหว่างนี้เราก็ถูกขโมยเงิน
ชีวิตที่รันทดอย่างนี้...เราไม่อยากอยู่เลย ตายเสียยังดีกว่า
จี้กงมองชายอย่างเมตตาแล้วบอกว่า
"เราสัญญาว่า ท่านกับลูกจะต้องได้เจอกันในไม่ช้านี้"
เหมือนมีอะไรดลใจให้เชื่อ ต๋งซิหงติดตามจี้กงไปยังอีกเมือง จี้กงบอกให้
ต๋งซิหงนั่งคอยอยู่ใต้ต้นไม้หนึ่ง สั่งไว้ว่า ถ้ามีใครมาถามวันเดือนป•เกิด
ก็ให�บอกไปตามจริง แล้วก็ตรงไปยังบ้านใหญ่หลังหนึ่ง
ที่บ้านหลังใหญ่ จี้กงตบประตูเรียกคนในบ้านมาเปิด แล้วถามว่าที่นี้มี
มารดาของเจ้าของบ้านกำลังป่วยหนักใช่หรือไม่ เรารักษาได้ ก็พอดีเจ้าของ
บ้านที่ออกไปนอกบ้านมา ถึงพอดี เจ้าของบ้านซึ่งแซ่อิ๋วบอกจี้กงว่าใช่แม่เรา
ป่วย และนี่เราก็ได้ซินแสมารักษาแล้ว ว่าแล้วก็พาซินแสเข้าบ้านไปรักษาแม่
ปรากฏว่า ซินแสที่พามาเมื่อเห็นมารดาผู้ป่วย จับชีพจรแล้วก็ส่ายศีรษะ
ว่า หมดหวัง ไม่มีทางรักษาแล้วก็ขอลาไป
ชายเศรษฐีแซ่อิ๋วโศกเศร้ากลุ้มใจ นั่งเอามือกุมหัวแล้วก็คิดได้รีบเดินออก
มาที่หน้าประตู พบจี้กงกำลังอร่อยอยู่กับอาหารที่คนในบ้านเอามาให้ เศรษฐี
ไหว้ จี้กงแล้วขอร้องให้เข้าไปช่วยตรวจอาการมารดา
ภายในเวลาไม่กี่นาที จี้กงก็สามารถจัดการให้ผู้ป่วยอาการดีขึ้นจาก
โคม่าในชั่วเวลาเพียงครู่เดียว โดยที่เศรษฐีแซ่อิ๋ว ก็มองไม่ออกว่าจี้กงทำอะไรบ้าง
แต่เขาก็ดีใจมากที่แม่หายป่วย แล้วก็สารภาพต่อ ว่า... เขามีลูกชายที่กำลัง
ป่วยมากเช่นกัน อยากจะขอให้จี้กงช่วยดูแลและตรวจรักษา
จี้กงดูอาการลูกชายแล้วส่ายหัว ปากบอกว่า คนนี้รักษายากเพราะเป็น
มากอาการอย่างนี้ต้องให ้ดื่มน้ำตาของคน 2 คน ที่เกิดในวันเดือนปีเกิดนี้
ว่าแล้วจี้กงก็บอก ไป มันคือวันเกิดของต๋งซิหงและลูกสาว
เศรษฐีอิ๋วส่งคนไปหาเจ้าของวันเกิดทันที การหาตัวต๋งซิหงนั้นไม่ยาก
เพราะจี้กงบอกให้ว่า ชายนี้คือใครนั่งรออยู่ที่ไหน ส่วนลูกสาวต๋งซิหงก็ยิ่งไม่
ยากใหญ่ เพราะนางยืนอยู่ตรงนั้น นางยกมือบอกว่านางเกิด วันนี้ตามวัน
เดือนปีที่จี้กงบอก
เมื่อต๋งซิหงถูกพามาที่ห้องคนเจ็บ เขาคาดไม่ถึงว่าจะได้พบลูกสาว ลูก
สาว คิด ไม่ถึงเช่นกันว่าจะได้พบพ่อ ทั้งสองโผ เข้าหากันพร้อมด้วยน้ำ
ตาแห่งความปีติยินดี ที่ไหลอาบแก้มทั้งสอง จี้กงรีบหยิบยาขวด หนึ่งออก
จากกระเป๋า เอาขวดรองน้ำตาแห่งความยินดีของสองพ่อลูก แล้วกรอกยาใส่
ปากคนเจ็บ
อัศจรรย์นัก...คนเจ็บรู้สึกตัวในชั่วไม่นาน
นิทานเรื่องนี้จึงจบแฮปปี้แบบดับเบิ้ล แฮปปี้ ครอบครัวเศรษฐีอิ๋วก็แฮป
ปี้ ครอบ-ครัวต๋งซิหงก็แฮปปี้ ต๋งซิหงได้ตัวลูกสาวกลับไปอยู่ด้วยแม้จะไม่มี
เงินมาไถ่ตัว แต่เศรษฐีอิ๋วยินดียกหนี้ให้เพื่อตอบแทนคุณ
นี่คือตัวอย่างตำนานหนึ่ง การช่วยเหลือคนอย่างมีอภินิหารของจี้กง
พระเพี้ยนหรือเจ้าแปลกๆ ที่ใครๆ ก็จำได้ติดตาเมื่อเห็นภาพหรือรูปปั้น
ของเจ้าจี้กง
โดยคุณ : จิตรา ก่อนันทเกียรต
Theขี้ฝุ่นริมทาง
วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2547
ถุงใส่น้ำไล่แมลงวัน
แมลงวัน พาหะนำโรคตัวฉกาจ แขกผู้ไม่มีใครอยากเชื้อเชิญ
ซึ่งมักมาเยือนในทุกที่ที่มีอาหาร เลือด และกลิ่นคาวปลา
ตามร้านอาหารและตลาดสดจึงเป็นแหล่งที่แมลงวันมารวมตัวกัน
รุมตอมและกินเศษเลือดอย่างชุกชุม แม้แต่ในบ้านเรือน ก็มีแมลงวันให้เห็นอยู่เป็นประจำ
หลากหลายวิธีที่เรางัดออกมาใช้ จัดการกับแมลงวัน ไม่ว่าจะเป็นการโบกมือไล่ การฉีดยาฆ่าแมลง
การใช้ที่ตีแมลงวันตี การใช้ถุงพลาสติกดักจับ และการใช้กาวลักษณะคล้ายก้านธูปดัก
ก็ได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง
แต่ในระยะหลังๆ นี้ถ้าใครสังเกตจะเห็นว่า
ตามแผงขายของสดเนื้อสัตว์ในตลาดและตามร้านอาหาร จะมีถุงพลาสติกใสบรรจุน้ำจนเต็ม
มัดให้ตึง ผูกเชือกแขวนไว้สูงเหนืออาหารหรือวางไว้บนโต๊ะอาหาร
สอบถามพ่อค้าแม่ค้าก็ได้ความว่าเขาห้อยถุงพลาสติกเหล่านี้ไว้
เพื่อไล่แมลงวันพร้อมทั้งยืนยันว่าเป็นวิธีการที่ใช้ได้ผลดี
ซึ่งเป็นที่น่าแปลกใจว่าทำไมถุงพลาสติกธรรมดาๆ จึงช่วยขับไล่แมลงวันได้
ร.ศ.ดร.เนาวรัตน์ ศุขะพันธุ์ อาจารย์และนักวิจัย ของภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์
มหาวิทยาลัยมหิดล คือ ผู้ริเริ่มถุงน้ำไล่แมลงวันที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ในขณะนี้
โดยเริ่มจากงานทดลองที่ทำให้อาจารย์เห็นว่า
แมลงวันเป็นพาหะและสื่อนำโรคร้ายมาสู่มนุษย์และสัตว์ พร้อมทั้งก่อความรำคาญ
ทำให้สูญเสียสุขภาพอนามัยทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะทางด้านปศุสัตว์
ซึ่งในสหรัฐอเมริกาและในยุโรป ต้องสูญเสียรายได้ทางเศรษฐกิจเป็นจำนวนหลายร้อยล้านดอลลาร์
สาเหตุจากการที่สัตว์เศรษฐกิจถูกแมลงวันดูดกินเลือด และทำให้เกิดโรคล้มตายมากมาย
โรคร้ายแรงต่างๆ ที่แมลงวันนำมาสู่คนและสัตว์นั้น ได้แก่ โรคอหิวาตกโรค โปลิโอ คุดทะราด
แอนแทรกซ์ การติดเชื้อโปรโตซัวชนิดต่างๆ โรคพยาธิแส้ม้า โรคเซอร์ร่า โรคลาวเอียซีส ฯลฯ
รวมทั้งการติดเชื้อโดยทางบาดแผล เป็นต้น อาจารย์จึงได้ทำการศึกษาแมลงวันในเชิงการดำรงชีวิต
และความเป็นอยู่ในแหล่งที่มีแมลงวันเพาะขยายพันธุ์ ทั้งด้านกายวิภาคและสรีรวิทยาของแมลงวัน
มาเป็นเวลานานกว่า 10 ปี เพื่อค้นหาวิธีควบคุมและปราบแมลงวันที่ให้ผลดีที่สุด
แต่เสียค่าใช้จ่ายน้อย และไม่มีผลกระทบต่อสภาวะแวดล้อมของธรรมชาติ
หลักการใช้ถุงน้ำพลาสติกใสใส่น้ำมัดให้ตึง ผูกห้อยแขวนไว้ไล่แมลงวันนี้
ใช้วิธีทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์
และการใช้ประสาทรับภาพในการมองเห็นของตาแมลงวันมาผสมผสานกัน ตาของแมลงวันมีอยู่ 2
ชนิด คือ ตารวม 2 ตา และตาเดี่ยวอีก 3 ตา
ตาเดี่ยวจะอยู่เหนือตารวมตรงหัวส่วนบนระหว่างตารวม 2 ตา
เรียงตัวกันเป็นรูปสามเหลี่ยมกลับหัวลง ตาเดี่ยวสามตานี้
จะช่วยให้แมลงวันสามารถมองเห็นในระยะที่ไกล ส่วนตารวม 2 ตาที่นูนออก 2 ข้าง
ใหญ่กว่าหัวและลำตัวของแมลงวัน เป็นตารวมพิเศษ ซึ่งแต่ละข้างของตารวมประกอบด้วยตาเล็กๆ
รูปหกเหลี่ยมหลายหมื่นแสนตาเรียงต่อเนื่องกันเต็มลูกตาทั้ง 2 ข้าง และตาเล็กๆ
รูปหกเหลี่ยมของตารวมนี้ สามารถที่จะรับแสงสว่างได้ทุกมุมมอง
ผ่านเสนส์และผลึกรูปกรวยรองรับแสง ซึ่งสามารถที่จะยืด
และหดได้เพื่อปรับจอรับภาพที่มองเห็นทั้งในที่มืดและสว่าง
ตารวมทำให้แมลงวันสามารถมองเห็นภาพได้กว้างกว่า 180 องศา
จากจุดนี้เอง หากเรานำถุงพลาสติกใสใส่น้ำเปล่า ไปไว้ในบริเวณแสงแดด
หรือแสงไฟที่มีลำแสงกระทบ
ถุงพลาสติกที่บรรจุน้ำก็จะเสมือนหนึ่งลำแสงหักมุมสะท้อนออกเข้าตาแมลงวัน
เลนส์รับภาพของตาแมลงวันเมื่อได้รับแสงก็จะสะท้อนแสง
กลับมาที่ถุงน้ำพลาสติกนั้นเกิดเป็นแสงมุมตก
มุมสะท้อนกับเลนส์รับภาพของตาแมลงวันสะท้อนกลับไปกลับมา
ทำให้การปรับจุดรวมแสงที่จะส่งให้เกิดภาพบนจอรับภาพ (retina) ไม่ชัดเจน
จะทำให้เกิดตาพร่ามัวแมลงวันจึงบินเข้าหาอาหารไม่ถูก ในระยะห่างประมาณ 100
เซนติเมตรขึ้นไป แม้ว่ามันจะได้กลิ่นอาหารก็ตาม
ถุงน้ำไล่แมลงวันนี้ได้ผลดียิ่งขึ้น ถ้าใช้ถุงร้อนซึ่งเป็นพลาสติกใส
น้ำที่บรรจุในถุงควรเป็นน้ำที่ใสสะอาดหรือน้ำฝน น้ำยิ่งใสจะยิ่งสะท้อนแสงได้ดี
และต้องมัดถุงน้ำให้ตึงแน่น และแขวนถุงนั้นให้รับมุมแสงรอบทิศทางกับดวงไฟหรือดวงอาทิตย์
ถ้ามีการแก่วงถุงพลาสติกหมุนเป็นลำแสงเบนไปมา
แถบแสงที่เบนไปมาจะกระทบเลนส์ถูกลูกตาของแมลงวันมากยิ่งขึ้น ทำให้ตาพร่ามัว
เข้าตอมอาหารไม่ถูกจึงบินหนีไปให้พ้นรัศมีลำแสงสะท้อน
ถุงน้ำไล่แมลงวันนี้ยังใช้ได้ผลดีในการไล่แมลงชนิดอื่นๆ ที่มีตารวม เช่น ผึ้ง
และแมลงวันทองที่กัดกินผลไม้ซึ่งทำให้ผลไม้เน่าเสียหาย ฯลฯ อีกด้วย
ปัจจุบันถุงน้ำไล่แมลงวันเป็นวิธีที่นิยมใช้ทั่วไป ตามตลาดสดในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
ทั้งยังแพร่ไปถึงประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย เพราะเป็นวิธีที่ใช้ง่าย สะดวกปลอดภัย
และขณะนี้อาจารย์เนาวรัตน์ กำลังทดสอบหาอุปกรณ์ภาชนะที่จะนำมาใช้บรรจุน้ำแทนถุงพลาสติก
เพื่อให้มั่นคงถาวรและสวยงาม สามารถไล่แมลงวันภายในบ้าน
และเป็นเครื่องประดับบ้านในเวลาเดียวกันได้
[ที่มา..หนังสือ UPDATE ปีที่ 9 ฉบับที่ 99 สิงหาคม 2537]
โดยคุณ : ตรรกะ
ซึ่งมักมาเยือนในทุกที่ที่มีอาหาร เลือด และกลิ่นคาวปลา
ตามร้านอาหารและตลาดสดจึงเป็นแหล่งที่แมลงวันมารวมตัวกัน
รุมตอมและกินเศษเลือดอย่างชุกชุม แม้แต่ในบ้านเรือน ก็มีแมลงวันให้เห็นอยู่เป็นประจำ
หลากหลายวิธีที่เรางัดออกมาใช้ จัดการกับแมลงวัน ไม่ว่าจะเป็นการโบกมือไล่ การฉีดยาฆ่าแมลง
การใช้ที่ตีแมลงวันตี การใช้ถุงพลาสติกดักจับ และการใช้กาวลักษณะคล้ายก้านธูปดัก
ก็ได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง
แต่ในระยะหลังๆ นี้ถ้าใครสังเกตจะเห็นว่า
ตามแผงขายของสดเนื้อสัตว์ในตลาดและตามร้านอาหาร จะมีถุงพลาสติกใสบรรจุน้ำจนเต็ม
มัดให้ตึง ผูกเชือกแขวนไว้สูงเหนืออาหารหรือวางไว้บนโต๊ะอาหาร
สอบถามพ่อค้าแม่ค้าก็ได้ความว่าเขาห้อยถุงพลาสติกเหล่านี้ไว้
เพื่อไล่แมลงวันพร้อมทั้งยืนยันว่าเป็นวิธีการที่ใช้ได้ผลดี
ซึ่งเป็นที่น่าแปลกใจว่าทำไมถุงพลาสติกธรรมดาๆ จึงช่วยขับไล่แมลงวันได้
ร.ศ.ดร.เนาวรัตน์ ศุขะพันธุ์ อาจารย์และนักวิจัย ของภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์
มหาวิทยาลัยมหิดล คือ ผู้ริเริ่มถุงน้ำไล่แมลงวันที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ในขณะนี้
โดยเริ่มจากงานทดลองที่ทำให้อาจารย์เห็นว่า
แมลงวันเป็นพาหะและสื่อนำโรคร้ายมาสู่มนุษย์และสัตว์ พร้อมทั้งก่อความรำคาญ
ทำให้สูญเสียสุขภาพอนามัยทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะทางด้านปศุสัตว์
ซึ่งในสหรัฐอเมริกาและในยุโรป ต้องสูญเสียรายได้ทางเศรษฐกิจเป็นจำนวนหลายร้อยล้านดอลลาร์
สาเหตุจากการที่สัตว์เศรษฐกิจถูกแมลงวันดูดกินเลือด และทำให้เกิดโรคล้มตายมากมาย
โรคร้ายแรงต่างๆ ที่แมลงวันนำมาสู่คนและสัตว์นั้น ได้แก่ โรคอหิวาตกโรค โปลิโอ คุดทะราด
แอนแทรกซ์ การติดเชื้อโปรโตซัวชนิดต่างๆ โรคพยาธิแส้ม้า โรคเซอร์ร่า โรคลาวเอียซีส ฯลฯ
รวมทั้งการติดเชื้อโดยทางบาดแผล เป็นต้น อาจารย์จึงได้ทำการศึกษาแมลงวันในเชิงการดำรงชีวิต
และความเป็นอยู่ในแหล่งที่มีแมลงวันเพาะขยายพันธุ์ ทั้งด้านกายวิภาคและสรีรวิทยาของแมลงวัน
มาเป็นเวลานานกว่า 10 ปี เพื่อค้นหาวิธีควบคุมและปราบแมลงวันที่ให้ผลดีที่สุด
แต่เสียค่าใช้จ่ายน้อย และไม่มีผลกระทบต่อสภาวะแวดล้อมของธรรมชาติ
หลักการใช้ถุงน้ำพลาสติกใสใส่น้ำมัดให้ตึง ผูกห้อยแขวนไว้ไล่แมลงวันนี้
ใช้วิธีทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์
และการใช้ประสาทรับภาพในการมองเห็นของตาแมลงวันมาผสมผสานกัน ตาของแมลงวันมีอยู่ 2
ชนิด คือ ตารวม 2 ตา และตาเดี่ยวอีก 3 ตา
ตาเดี่ยวจะอยู่เหนือตารวมตรงหัวส่วนบนระหว่างตารวม 2 ตา
เรียงตัวกันเป็นรูปสามเหลี่ยมกลับหัวลง ตาเดี่ยวสามตานี้
จะช่วยให้แมลงวันสามารถมองเห็นในระยะที่ไกล ส่วนตารวม 2 ตาที่นูนออก 2 ข้าง
ใหญ่กว่าหัวและลำตัวของแมลงวัน เป็นตารวมพิเศษ ซึ่งแต่ละข้างของตารวมประกอบด้วยตาเล็กๆ
รูปหกเหลี่ยมหลายหมื่นแสนตาเรียงต่อเนื่องกันเต็มลูกตาทั้ง 2 ข้าง และตาเล็กๆ
รูปหกเหลี่ยมของตารวมนี้ สามารถที่จะรับแสงสว่างได้ทุกมุมมอง
ผ่านเสนส์และผลึกรูปกรวยรองรับแสง ซึ่งสามารถที่จะยืด
และหดได้เพื่อปรับจอรับภาพที่มองเห็นทั้งในที่มืดและสว่าง
ตารวมทำให้แมลงวันสามารถมองเห็นภาพได้กว้างกว่า 180 องศา
จากจุดนี้เอง หากเรานำถุงพลาสติกใสใส่น้ำเปล่า ไปไว้ในบริเวณแสงแดด
หรือแสงไฟที่มีลำแสงกระทบ
ถุงพลาสติกที่บรรจุน้ำก็จะเสมือนหนึ่งลำแสงหักมุมสะท้อนออกเข้าตาแมลงวัน
เลนส์รับภาพของตาแมลงวันเมื่อได้รับแสงก็จะสะท้อนแสง
กลับมาที่ถุงน้ำพลาสติกนั้นเกิดเป็นแสงมุมตก
มุมสะท้อนกับเลนส์รับภาพของตาแมลงวันสะท้อนกลับไปกลับมา
ทำให้การปรับจุดรวมแสงที่จะส่งให้เกิดภาพบนจอรับภาพ (retina) ไม่ชัดเจน
จะทำให้เกิดตาพร่ามัวแมลงวันจึงบินเข้าหาอาหารไม่ถูก ในระยะห่างประมาณ 100
เซนติเมตรขึ้นไป แม้ว่ามันจะได้กลิ่นอาหารก็ตาม
ถุงน้ำไล่แมลงวันนี้ได้ผลดียิ่งขึ้น ถ้าใช้ถุงร้อนซึ่งเป็นพลาสติกใส
น้ำที่บรรจุในถุงควรเป็นน้ำที่ใสสะอาดหรือน้ำฝน น้ำยิ่งใสจะยิ่งสะท้อนแสงได้ดี
และต้องมัดถุงน้ำให้ตึงแน่น และแขวนถุงนั้นให้รับมุมแสงรอบทิศทางกับดวงไฟหรือดวงอาทิตย์
ถ้ามีการแก่วงถุงพลาสติกหมุนเป็นลำแสงเบนไปมา
แถบแสงที่เบนไปมาจะกระทบเลนส์ถูกลูกตาของแมลงวันมากยิ่งขึ้น ทำให้ตาพร่ามัว
เข้าตอมอาหารไม่ถูกจึงบินหนีไปให้พ้นรัศมีลำแสงสะท้อน
ถุงน้ำไล่แมลงวันนี้ยังใช้ได้ผลดีในการไล่แมลงชนิดอื่นๆ ที่มีตารวม เช่น ผึ้ง
และแมลงวันทองที่กัดกินผลไม้ซึ่งทำให้ผลไม้เน่าเสียหาย ฯลฯ อีกด้วย
ปัจจุบันถุงน้ำไล่แมลงวันเป็นวิธีที่นิยมใช้ทั่วไป ตามตลาดสดในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
ทั้งยังแพร่ไปถึงประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย เพราะเป็นวิธีที่ใช้ง่าย สะดวกปลอดภัย
และขณะนี้อาจารย์เนาวรัตน์ กำลังทดสอบหาอุปกรณ์ภาชนะที่จะนำมาใช้บรรจุน้ำแทนถุงพลาสติก
เพื่อให้มั่นคงถาวรและสวยงาม สามารถไล่แมลงวันภายในบ้าน
และเป็นเครื่องประดับบ้านในเวลาเดียวกันได้
[ที่มา..หนังสือ UPDATE ปีที่ 9 ฉบับที่ 99 สิงหาคม 2537]
โดยคุณ : ตรรกะ
ต้นไม้ช่วยลดความเครียดในที่ทำงานจริงหรือ
มนุษย์ต่างจากสัตว์ตรงที่เราไม่เพียงพยายาม ที่จะพัฒนาชีวภาพของร่างกาย
เท่านั้น เรายังพยา-ยามที่จะจัดระบบสภาพแวดล้อมให้กลมกลืนและมี
ประโยชน์ต่อความเป็นอยู่มากขึ้นทุกขณะ ซึ่งเรื่องนี้ถ้าดูไปแล้วนั บเป็นเรื่องใหญ่
มากที่เราต้องศึกษาความเป็นไปของสภาพแวดล้อมให้มากเพื่อปรับสภาพ
แวดล้อมให้เข้ากับเราอย่างมีประโยชน์คุ้มค่ามากที่สุด เพราะการพัฒนาความ
เจริญของมนุษย์เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้อง ทำลายสภาพแวดล้อม ครั้งแล้ว
ครั้งเล่า มันเป็นสภาพที่ทุกคนไม่อยากให้เกิดขึ้นแต่ก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ดูตัวอย่างง่ายๆ จากบ้าน ยิ่งพื้นที่บ้านน้อยลง
พื้นที่ปลูกต้นไม้ยิ่งน้อย ลงไปด้วย สมัยก่อนเราอยู่กันในสภาพป่าล้อมเมือง ปัจจุบันกลายเป็น เมือง
ล้อมป่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานที่ทำงาน บางสำนักงานไม่มีที่ที่จะตั้งโต๊ะ
ทำงานอย่างพอเพียงด้วยซ้ำไปเนื่องจากค่าเช่าพื้นที่มีราคาแพง
การจะให้นำต้นไม้เข้าไปประดับให้สวยงามจึงนับเป็นเรื่องที่ไกลเกินฝัน
แต่เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงว่ามีรายงานออกมาเป็นทางการแล้วว่าต้นไม้ใน
อาคารโดยเฉพาะในห้องที่ไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวันเลยนั้น ต้นไม้มีส่วนช่วย
ลดความเครียดจากการทำงานและเพิ่ม ผลผลิตการทำงานให้มากขึ้นด้วย
การศึกษานี้เป็น ผลงานของ Virginia I. Lohr, Caroline H. Pearson-Mims,
and Georgia K. Goodwin แห่ง Department of Horticulture and
Lands cape Architecture Washington State University
บทสรุปของรายงานนี้ได้กล่าวถึงการศึกษาของการนำต้นไม้เข้าไปตก
แต่งในที่ทำงานที่ไม่มีหน้าต่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้องทำงานคอมพิว-เตอร์
ปรากฏว่าปริมาณ การทำงานเพิ่มขึ้น 12% และความดันโลหิตของ ผู้ปฏิบัติ
งานลดลงจากเดิมหนึ่งในสี่การเข้าใจถึงประ- โยชน์ของการนำต้นไม้มาปลูกไว้ในที่ทำงาน ช่วยให้
นักตกแต่งภาย ในมีเหตุผลที่เป็นรูปธรรมมากขึ้นในการออกแบบการตกแต่ง
โดยนำสภาพแวดล้อมที่อำนวยประโยชน์สูง สุดต่อผู้ใช้งานในสถาน ที่นั้นๆ
มากยิ่งขึ้นมาเสนอเป็นทางเลือก ถ้าเจ้าของอาคารหรือผู้บริหารสำนักงานทราบว่าการมีต้นไม้ประดับ
สำนักงานช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการ ทำงานลดความเครียดได้อย่างแท้
จริง เป็น เหตุผลสำคัญมาก กว่าการนำต้นไม้มาประดับเพื่อความสวย งาม
ในสำนักงานเพียงอย่างเดียว มีรายงานมาก่อนหน้านี้หลายฉบับแล้วว่าต้นไม้ในบ้านช่ว
ยลด มลภาวะ ที่เป็นพิษในอากาศลง โดยทั้งใบกิ่ง รากล้วนมีผลต่อการฟอกอากาศโดย
ธรรม ชาติอยู่แล้ว
การทดลองนำต้นไม้มาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นสาธารณะมากขึ้น
เช่น บริเวณสวนสาธารณะ ลานจอดรถ ตลาด ศูนย์การค้า ที่มีคนมากมายหลายประเภทมากขึ้น โดยประเด็นอยู่ที่ว่าสภาพแวดล้อมมีผลต่อมนุษย์ทางอารมณ์หรือร่างกาย
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ผลการศึกษาพบว่าธรรมชาตินั้นมีผลต่อมนุษย์ทั้ง
ทางด้านจิตใจและร่างกายอย่างเห็นได้ชัดเจน ทำให้เกิดข้อสงสัยกันว่าทำไมจึงเป็นเช่น นั้น
คำอธิบายอย่างง่ายๆ คือมนุษย์นั้นเคยอยู่ป่ามาก่อน สภาพของป่าเป็นสภาพแวดล้อมดั้งเดิมที่ฝังลึกเกาะแน่นในจ
ิตใต้สำนึกของมนุษย์ แต่มนุษย์นั้นพร้อมที่จะปรับตัวตลอดเวลา เพื่อความอยู่รอด ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพแวด
ล้อมของป่าหรือสภาพแวดล้อมของเมือง การเข้ามาอยู่ในเมืองแม้จะสบาย
กายแต่ใจก็ยังมีจิตที่คิดถึงธรรมชาติเดิมอยู่ แต่ที่น่าสนใจอีกประเด็นหนึ่งก็คือรายงานการศึกษาของ Prof. Dr.
T?ve Fjeld, Agricultural University of Norway ที่ศึกษาว่าต้นไม้
ในที่ทำงาน ช่วยให้สุขภาพคนดีขึ้นจริงหรือ
จากรายงานพบว่าต้นไม้มีส่วนช่วยโดยแท้จริง โดยการทดลองสภาพ
แวดล้อมของ ห้องผู้ป่วยที่ไม่มีต้นไม้เลยมีแต่หน้าต่างมองไปที่ลานจอดรถ
กับห้องที่มีหน้าต่างมองเห็นต้นไม้เต็มตา พบว่าสุขภาพของคนป่วยในสภาพ
แวดล้อมหลังจะหายเร็วดีกว่าและการทดลองในห้องทำงานที่ไม่มีต้นไม้และ
ห้องที่มีต้นไม้ปรากฏว่า การตรวจสุขภาพหลังจากการทำงานผ่านไปสาม
เดือนเปรียบเทียบกัน คนทำงานในสภาพห้องที่มีต้นไม้มีสุขภาพ ความดัน
โลหิตดีขึ้นจากเดิมและคงที่ ในขณะที่คนทำงานในห้องที่ไม่มีต้นไม้ สุขภาพ
แย่ลง เมื่อมีข้อยืนยันการวิจัยเช่นนี้แล้ว เราจะหาต้นไม้เข้ามาประดับที่ทำงาน
เพิ่มเติมสักต้นสองต้นจะดีไหม โดยคุณ : ลักษณศิริ ศิริวรรณ
เท่านั้น เรายังพยา-ยามที่จะจัดระบบสภาพแวดล้อมให้กลมกลืนและมี
ประโยชน์ต่อความเป็นอยู่มากขึ้นทุกขณะ ซึ่งเรื่องนี้ถ้าดูไปแล้วนั บเป็นเรื่องใหญ่
มากที่เราต้องศึกษาความเป็นไปของสภาพแวดล้อมให้มากเพื่อปรับสภาพ
แวดล้อมให้เข้ากับเราอย่างมีประโยชน์คุ้มค่ามากที่สุด เพราะการพัฒนาความ
เจริญของมนุษย์เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้อง ทำลายสภาพแวดล้อม ครั้งแล้ว
ครั้งเล่า มันเป็นสภาพที่ทุกคนไม่อยากให้เกิดขึ้นแต่ก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ดูตัวอย่างง่ายๆ จากบ้าน ยิ่งพื้นที่บ้านน้อยลง
พื้นที่ปลูกต้นไม้ยิ่งน้อย ลงไปด้วย สมัยก่อนเราอยู่กันในสภาพป่าล้อมเมือง ปัจจุบันกลายเป็น เมือง
ล้อมป่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานที่ทำงาน บางสำนักงานไม่มีที่ที่จะตั้งโต๊ะ
ทำงานอย่างพอเพียงด้วยซ้ำไปเนื่องจากค่าเช่าพื้นที่มีราคาแพง
การจะให้นำต้นไม้เข้าไปประดับให้สวยงามจึงนับเป็นเรื่องที่ไกลเกินฝัน
แต่เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงว่ามีรายงานออกมาเป็นทางการแล้วว่าต้นไม้ใน
อาคารโดยเฉพาะในห้องที่ไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวันเลยนั้น ต้นไม้มีส่วนช่วย
ลดความเครียดจากการทำงานและเพิ่ม ผลผลิตการทำงานให้มากขึ้นด้วย
การศึกษานี้เป็น ผลงานของ Virginia I. Lohr, Caroline H. Pearson-Mims,
and Georgia K. Goodwin แห่ง Department of Horticulture and
Lands cape Architecture Washington State University
บทสรุปของรายงานนี้ได้กล่าวถึงการศึกษาของการนำต้นไม้เข้าไปตก
แต่งในที่ทำงานที่ไม่มีหน้าต่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้องทำงานคอมพิว-เตอร์
ปรากฏว่าปริมาณ การทำงานเพิ่มขึ้น 12% และความดันโลหิตของ ผู้ปฏิบัติ
งานลดลงจากเดิมหนึ่งในสี่การเข้าใจถึงประ- โยชน์ของการนำต้นไม้มาปลูกไว้ในที่ทำงาน ช่วยให้
นักตกแต่งภาย ในมีเหตุผลที่เป็นรูปธรรมมากขึ้นในการออกแบบการตกแต่ง
โดยนำสภาพแวดล้อมที่อำนวยประโยชน์สูง สุดต่อผู้ใช้งานในสถาน ที่นั้นๆ
มากยิ่งขึ้นมาเสนอเป็นทางเลือก ถ้าเจ้าของอาคารหรือผู้บริหารสำนักงานทราบว่าการมีต้นไม้ประดับ
สำนักงานช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการ ทำงานลดความเครียดได้อย่างแท้
จริง เป็น เหตุผลสำคัญมาก กว่าการนำต้นไม้มาประดับเพื่อความสวย งาม
ในสำนักงานเพียงอย่างเดียว มีรายงานมาก่อนหน้านี้หลายฉบับแล้วว่าต้นไม้ในบ้านช่ว
ยลด มลภาวะ ที่เป็นพิษในอากาศลง โดยทั้งใบกิ่ง รากล้วนมีผลต่อการฟอกอากาศโดย
ธรรม ชาติอยู่แล้ว
การทดลองนำต้นไม้มาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นสาธารณะมากขึ้น
เช่น บริเวณสวนสาธารณะ ลานจอดรถ ตลาด ศูนย์การค้า ที่มีคนมากมายหลายประเภทมากขึ้น โดยประเด็นอยู่ที่ว่าสภาพแวดล้อมมีผลต่อมนุษย์ทางอารมณ์หรือร่างกาย
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ผลการศึกษาพบว่าธรรมชาตินั้นมีผลต่อมนุษย์ทั้ง
ทางด้านจิตใจและร่างกายอย่างเห็นได้ชัดเจน ทำให้เกิดข้อสงสัยกันว่าทำไมจึงเป็นเช่น นั้น
คำอธิบายอย่างง่ายๆ คือมนุษย์นั้นเคยอยู่ป่ามาก่อน สภาพของป่าเป็นสภาพแวดล้อมดั้งเดิมที่ฝังลึกเกาะแน่นในจ
ิตใต้สำนึกของมนุษย์ แต่มนุษย์นั้นพร้อมที่จะปรับตัวตลอดเวลา เพื่อความอยู่รอด ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพแวด
ล้อมของป่าหรือสภาพแวดล้อมของเมือง การเข้ามาอยู่ในเมืองแม้จะสบาย
กายแต่ใจก็ยังมีจิตที่คิดถึงธรรมชาติเดิมอยู่ แต่ที่น่าสนใจอีกประเด็นหนึ่งก็คือรายงานการศึกษาของ Prof. Dr.
T?ve Fjeld, Agricultural University of Norway ที่ศึกษาว่าต้นไม้
ในที่ทำงาน ช่วยให้สุขภาพคนดีขึ้นจริงหรือ
จากรายงานพบว่าต้นไม้มีส่วนช่วยโดยแท้จริง โดยการทดลองสภาพ
แวดล้อมของ ห้องผู้ป่วยที่ไม่มีต้นไม้เลยมีแต่หน้าต่างมองไปที่ลานจอดรถ
กับห้องที่มีหน้าต่างมองเห็นต้นไม้เต็มตา พบว่าสุขภาพของคนป่วยในสภาพ
แวดล้อมหลังจะหายเร็วดีกว่าและการทดลองในห้องทำงานที่ไม่มีต้นไม้และ
ห้องที่มีต้นไม้ปรากฏว่า การตรวจสุขภาพหลังจากการทำงานผ่านไปสาม
เดือนเปรียบเทียบกัน คนทำงานในสภาพห้องที่มีต้นไม้มีสุขภาพ ความดัน
โลหิตดีขึ้นจากเดิมและคงที่ ในขณะที่คนทำงานในห้องที่ไม่มีต้นไม้ สุขภาพ
แย่ลง เมื่อมีข้อยืนยันการวิจัยเช่นนี้แล้ว เราจะหาต้นไม้เข้ามาประดับที่ทำงาน
เพิ่มเติมสักต้นสองต้นจะดีไหม โดยคุณ : ลักษณศิริ ศิริวรรณ
จรรยาบรรณนักวิจัย: 9 ประการ
สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติได้กำหนดจรรยาบรรณนักวิจัยไว้ 9 ข้อดังนี้
1. นักวิจัยต้องซื่อสัตย์และมีคุณธรรมในทางวิชาการและการจัดการ
นัก วิจัยต้องมีความซื่อสัตย์ต่อตนเอง ไม่นำผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตน ไม่ลอกเลียนงานของผู้อื่น ต้องให้เกียรติ และอ้างถึงบุคคล หรือแหล่งที่มาของข้อมูล ที่นำมาใช้ในงานวิจัย ต้องซื่อตรงต่อการแสวงหาทุนวิจัย และมีความเป็น ธรรมเกี่ยวกับ ผลประโยชน์ที่ได้จากการวิจัย
2. นักวิจัยต้องตระหนักถึงพันธกรณี ในการทำงานวิจัยตามข้อตกลง ที่ทำไว้กับหน่วยงาน ที่สนับสนุน การวิจัย และต่อหน่วยงานที่ตนสังกัด
นัก วิจัยต้องปฏิบัติตามพันธกรณี และข้อตกลงการวิจัย ที่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายยอมรับร่วมกัน อุทิศเวลาทำงานวิจัย ให้ได้ผลที่ดีที่สุด และเป็นไปตามกำหนดเวลา มีความรับผิดชอบ ไม่ละทิ้งงานระหว่างดำเนินการ
3. นักวิจัยต้องมีพื้นฐานความรู้ในสาขาวิชาการที่ทำวิจัย
นัก วิจัยต้องมีพื้นฐานความรู้ ในสาขาวิชาการที่ทำวิจัยอย่างเพียงพอ และมีความรู้ความชำนาญ หรือมีประสบการณ์ เกี่ยวเนื่องกับเรื่องที่ทำวิจัย เพื่อนำไปสู่งานวิจัยที่มีคุณภาพ และเพื่อป้องกันปัญหาการวิเคราะห์ การตีความ หรือการสรุปที่ผิดพลาดอันอาจก่อ ให้เกิดความเสียหายต่องานวิจัย
4. นักวิจัยต้องมีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ศึกษาวิจัย ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่มีชีวิตหรือไม่มีชีวิต
นัก วิจัยต้องดำเนินการ ด้วยความรอบคอบ ระมัดระวังและเที่ยงตรงในการทำวิจัยที่เกี่ยวข้องกับคน สัตว์ พืช ศิลปวัฒนธรรม ทรัพยากร และสิ่งแวดล้อม มีจิตสำนึกและมีปณิธานที่จะอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม ทรัพยากรและ สิ่งแวดล้อม
5. นักวิจัยต้องเคารพศักดิ์ศรี และสิทธิมนุษย์ที่ใช้เป็นตัวอย่างในการวิจัย
นัก วิจัยต้องไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ทางวิชาการ จนละเลยและขาดความเคารพ ในศักดิ์ศรีของเพื่อนมนุษย์ ต้องถือเป็นภาระหน้าที่ ที่จะอธิบายจุดมุ่งหมาย ของการวิจัยแก่บุคคล ที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง โดยไม่หลอกลวง หรือบีบบังคับและไม่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
6. นักวิจัยต้องมีอิสระทางความคิด โดยปราศจากอคติในทุกขั้นตอนของการทำวิจัย
นัก วิจัยต้องมีอิสระทางความคิด ต้องตระหนักว่าอคติส่วนตน หรือความลำเอียงทางวิชาการ อาจส่งผลให้มีการบิดเบือน ข้อมูล และข้อค้นพบทางวิชาการ อันเป็นเหตุให้เกิดผลเสียหายต่องานวิจัย
7. นักวิจัยพึงนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในทางที่ชอบ
นักวิจัยพึงเผยแพร่ผลงานวิจัยเพื่อประโยชน์ทางวิชาการและสังคม ไม่ขยายผลข้อค้นพบจนเกินความเป็นจริง และไม่ใช้ผลงานวิจัยไปในทางมิชอบ
8. นักวิจัยพึงเคารพความคิดเห็นทางวิชาการของผู้อื่น
นัก วิจัยพึงมีใจกว้าง พร้อมที่จะเปิดเผยข้อมูลและขั้นตอนการวิจัย ยอมรับฟังความคิดเห็นและ เหตุผลทางวิชาการ ของผู้อื่น และพร้อมที่จะปรับปรุงแก้ไขงานวิจัยของตนให้ถูกต้อง
9. นักวิจัยพึงมีความรับผิดชอบต่อสังคมทุกระดับ
นัก วิจัยพึงมีจิตสำนึกที่จะอุทิศ กำลังสติปัญญาในการทำวิจัย เพื่อความก้าวหน้าทางวิชาการ เพื่อความเจริญและ ประโยชน์สุขของสังคมและมวลมนุษยชาติ
เจตนารมณ์ของการออก จรรยาบรรณนักวิจัย คราวนี้เชื่อว่ามิได้หวังว่า จะให้ใช้เฉพาะข้าราชการ ในสังกัดสำนักงาน คณะกรรมการวิจัยแห่งชาติเท่านั้น
หากแต่นักวิจัยจาก ทุกวงการควรจะยึดถือเป็นแนวทางอย่างจริงจัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักวิจัย ที่ชอบสำรวจความคิดเห็น ทางการเมือง ซึ่ง ถูกครหาว่าเป็นมือปืนรับจ้างควรคำนึงให้มากไว้.
โดยคุณ : ซี 12 -
1. นักวิจัยต้องซื่อสัตย์และมีคุณธรรมในทางวิชาการและการจัดการ
นัก วิจัยต้องมีความซื่อสัตย์ต่อตนเอง ไม่นำผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตน ไม่ลอกเลียนงานของผู้อื่น ต้องให้เกียรติ และอ้างถึงบุคคล หรือแหล่งที่มาของข้อมูล ที่นำมาใช้ในงานวิจัย ต้องซื่อตรงต่อการแสวงหาทุนวิจัย และมีความเป็น ธรรมเกี่ยวกับ ผลประโยชน์ที่ได้จากการวิจัย
2. นักวิจัยต้องตระหนักถึงพันธกรณี ในการทำงานวิจัยตามข้อตกลง ที่ทำไว้กับหน่วยงาน ที่สนับสนุน การวิจัย และต่อหน่วยงานที่ตนสังกัด
นัก วิจัยต้องปฏิบัติตามพันธกรณี และข้อตกลงการวิจัย ที่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายยอมรับร่วมกัน อุทิศเวลาทำงานวิจัย ให้ได้ผลที่ดีที่สุด และเป็นไปตามกำหนดเวลา มีความรับผิดชอบ ไม่ละทิ้งงานระหว่างดำเนินการ
3. นักวิจัยต้องมีพื้นฐานความรู้ในสาขาวิชาการที่ทำวิจัย
นัก วิจัยต้องมีพื้นฐานความรู้ ในสาขาวิชาการที่ทำวิจัยอย่างเพียงพอ และมีความรู้ความชำนาญ หรือมีประสบการณ์ เกี่ยวเนื่องกับเรื่องที่ทำวิจัย เพื่อนำไปสู่งานวิจัยที่มีคุณภาพ และเพื่อป้องกันปัญหาการวิเคราะห์ การตีความ หรือการสรุปที่ผิดพลาดอันอาจก่อ ให้เกิดความเสียหายต่องานวิจัย
4. นักวิจัยต้องมีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ศึกษาวิจัย ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่มีชีวิตหรือไม่มีชีวิต
นัก วิจัยต้องดำเนินการ ด้วยความรอบคอบ ระมัดระวังและเที่ยงตรงในการทำวิจัยที่เกี่ยวข้องกับคน สัตว์ พืช ศิลปวัฒนธรรม ทรัพยากร และสิ่งแวดล้อม มีจิตสำนึกและมีปณิธานที่จะอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม ทรัพยากรและ สิ่งแวดล้อม
5. นักวิจัยต้องเคารพศักดิ์ศรี และสิทธิมนุษย์ที่ใช้เป็นตัวอย่างในการวิจัย
นัก วิจัยต้องไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ทางวิชาการ จนละเลยและขาดความเคารพ ในศักดิ์ศรีของเพื่อนมนุษย์ ต้องถือเป็นภาระหน้าที่ ที่จะอธิบายจุดมุ่งหมาย ของการวิจัยแก่บุคคล ที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง โดยไม่หลอกลวง หรือบีบบังคับและไม่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
6. นักวิจัยต้องมีอิสระทางความคิด โดยปราศจากอคติในทุกขั้นตอนของการทำวิจัย
นัก วิจัยต้องมีอิสระทางความคิด ต้องตระหนักว่าอคติส่วนตน หรือความลำเอียงทางวิชาการ อาจส่งผลให้มีการบิดเบือน ข้อมูล และข้อค้นพบทางวิชาการ อันเป็นเหตุให้เกิดผลเสียหายต่องานวิจัย
7. นักวิจัยพึงนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในทางที่ชอบ
นักวิจัยพึงเผยแพร่ผลงานวิจัยเพื่อประโยชน์ทางวิชาการและสังคม ไม่ขยายผลข้อค้นพบจนเกินความเป็นจริง และไม่ใช้ผลงานวิจัยไปในทางมิชอบ
8. นักวิจัยพึงเคารพความคิดเห็นทางวิชาการของผู้อื่น
นัก วิจัยพึงมีใจกว้าง พร้อมที่จะเปิดเผยข้อมูลและขั้นตอนการวิจัย ยอมรับฟังความคิดเห็นและ เหตุผลทางวิชาการ ของผู้อื่น และพร้อมที่จะปรับปรุงแก้ไขงานวิจัยของตนให้ถูกต้อง
9. นักวิจัยพึงมีความรับผิดชอบต่อสังคมทุกระดับ
นัก วิจัยพึงมีจิตสำนึกที่จะอุทิศ กำลังสติปัญญาในการทำวิจัย เพื่อความก้าวหน้าทางวิชาการ เพื่อความเจริญและ ประโยชน์สุขของสังคมและมวลมนุษยชาติ
เจตนารมณ์ของการออก จรรยาบรรณนักวิจัย คราวนี้เชื่อว่ามิได้หวังว่า จะให้ใช้เฉพาะข้าราชการ ในสังกัดสำนักงาน คณะกรรมการวิจัยแห่งชาติเท่านั้น
หากแต่นักวิจัยจาก ทุกวงการควรจะยึดถือเป็นแนวทางอย่างจริงจัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักวิจัย ที่ชอบสำรวจความคิดเห็น ทางการเมือง ซึ่ง ถูกครหาว่าเป็นมือปืนรับจ้างควรคำนึงให้มากไว้.
โดยคุณ : ซี 12 -
ความรู้เรื่องของ "ข้าว"
แป้งเป็นส่วนสำคัญต่อคุณสมบัติของข้าว ทั้งในด้านอาหารและการหุงต้ม
เมล็ดข้าวประกอบด้วยแป้งโดยประมาณ 75% และโปรตีน 15%
แป้งข้าวประกอบด้วย Amylopectin and Amylose
การแบ่งประเภทข้าว เขานิยมพูดเป็น %(น.น) ของ Amylose
ข้าวที่มี *Amylose สูง* จะดูดซืมน้ำได้มาก
ทำให้เมล็ดข้าวขยายตัวเป็น
ข้าวสุกได้มาก ที่เรียกว่า ข้าวหุงขึ้นหม้อ ข้าวสุกมีความแข็ง,นุ่ม
ร่วนเป็นเม็ด
ไม่เหนียวจับตัวเป็นก้อนแบบข้าวที่มี Amylose ต่ำ
ตัวอย่างเช่น ข้าวขาวตาแห้ง, ข้าวเสาไห้ ที่ปลูกตั้งแต่แถวสระบุรี
โคราช,
ข้าวพิจิตร (ไม่ใช่ข้าวจากนาพื้นที่นาลุ่ม แถบอยุธยาหรือแปดริ้ว)
ร้านขายข้าวแกง เกือบทุกร้านใช้ข้าวขาวตาแห้ง
เพราะลักษณะพิเศษเฉพาะตัวของข้าวชนิดนี้ คือ
เมล็ดร่วนแข็งแต่นุ่ม ไม่แฉะ จึงหุงเก็บไว้ได้ทั้งวันไม่บูด
..ผมอนุญาติให้ใช้มุขนี้ไปทายเล่นกับเพื่อนได้
ข้าวเหนียว และข้าวหอมมะลิ มี *Amylose ต่ำ* ดูดน้ำได้น้อย
การหุงจึงไม่ใส่น้ำมาก
ปริมาณอมิโลส [ % นน]
ข้าวเหนียว = ไม่เกิน 0.2 (เหนียว)
ข้าวหอมมะลิชั้นดี =10-19 (นุ่ม เหนียว)
ข้าวหอมมะลิชั้นรอง =20-25 (นุ่มค่อนข้างแข็ง)
ข้าวหอมมะลิเก่า ความหอมลดลง อุณหภูมิแป้งสุกเพิ่มขึ้น
ขาวตาแห้ง = มากถึง 35% (ค่อนข้างแข็ง/นุ่ม ไม่หอม)
ผลผลิตจากข้าวพันธ์เดียวกัน จากที่นาแปลงเดียวกัน
จะมีคุณภาพไม่คงที่ สม่ำเสมอเท่ากันทุกปี
ขึ้นอยู่กับฮวงจุ้ย หมายถึงปัจจัยแวดล้อม เช่น เดียวกับไวน์ :-)
ด้านการค้า เขาหาวิธีตรวจสอบตัวแปรเพื่อควบคุม
โดยวัดค่า hardness ใช้วิธีง่ายๆ เอาตัวอย่างข้าวไปนึ่งให้สุก
แล้วกดวัดค่าความแข็ง ทำนองเดียวกับเครื่องวัดความแข็งของโลหะ
เมื่อวัดเสร็จจะได้ "หัวข้าว" กำหนดแยกแต่ละเบอร์เก็บไว้
เช่น พิจิตรxx, กข105, ปทุมxx, สุพรรณ1
นอกจากนี้เขายังวัดอุณหภูมิแป้งสุก คือ จุดที่แป้งเปลี่ยนสีเป็นสีใส
หรือเยล
อุณหภูมิยิ่งต่ำยิ่งดี ถ้าอุณหภูมิสูง ข้าวจะแข็ง
เมื่อนำหัวข้าวแต่ละเบอร์มาผสมกันตามขนาดที่คำนวณแล้ว
ก็จะได้ ข้าวผสม ที่มีมาตรฐานเดียวกัน ===>ใส่ถุงขาย
โดยวิธีนี้จะทำให้ ข้าวทุกถุง มีคุณสมบัติเหมือนกัน
โรงสีเจี่ยเม้ง หรือหงส์ทอง เขาควบคุมมาตรฐานได้ดี
ส่งออกเป็นที่ยอมรับของต่างประเทศมานานกว่าห้าสิบปี
ไม่ค่อยเห็นวางขายในเมืองไทย
สุพิทย์
IMO: การกินข้าวที่มีปริมาณ Amylose ต่ำ มีผลกับการดูดซึมน้ำน้อย
ทำให้ได้น.น.ข้าว"มากกว่า" vs.
ข้าวที่"หุงขึ้นหม้อ"จะดูดซึมน้ำไว้ก่อนแล้ว
==> กินข้าวเหนียว จึงใช้เวลาย่อยนานกว่า เพราะคนกิน Mass เข้าไป
มากกว่า ทำให้ย่อยนานกว่า อิ่มนาน
ทำให้นึกถึง...เด็กๆที่กินมาม่าดิบๆ แล้วดื่มน้ำตามเข้าไป
อาจเป็นอันตรายได้ ! ....ระวัง ท้องแตก
โดยคุณ : "supit khuna" -
เมล็ดข้าวประกอบด้วยแป้งโดยประมาณ 75% และโปรตีน 15%
แป้งข้าวประกอบด้วย Amylopectin and Amylose
การแบ่งประเภทข้าว เขานิยมพูดเป็น %(น.น) ของ Amylose
ข้าวที่มี *Amylose สูง* จะดูดซืมน้ำได้มาก
ทำให้เมล็ดข้าวขยายตัวเป็น
ข้าวสุกได้มาก ที่เรียกว่า ข้าวหุงขึ้นหม้อ ข้าวสุกมีความแข็ง,นุ่ม
ร่วนเป็นเม็ด
ไม่เหนียวจับตัวเป็นก้อนแบบข้าวที่มี Amylose ต่ำ
ตัวอย่างเช่น ข้าวขาวตาแห้ง, ข้าวเสาไห้ ที่ปลูกตั้งแต่แถวสระบุรี
โคราช,
ข้าวพิจิตร (ไม่ใช่ข้าวจากนาพื้นที่นาลุ่ม แถบอยุธยาหรือแปดริ้ว)
ร้านขายข้าวแกง เกือบทุกร้านใช้ข้าวขาวตาแห้ง
เพราะลักษณะพิเศษเฉพาะตัวของข้าวชนิดนี้ คือ
เมล็ดร่วนแข็งแต่นุ่ม ไม่แฉะ จึงหุงเก็บไว้ได้ทั้งวันไม่บูด
..ผมอนุญาติให้ใช้มุขนี้ไปทายเล่นกับเพื่อนได้
ข้าวเหนียว และข้าวหอมมะลิ มี *Amylose ต่ำ* ดูดน้ำได้น้อย
การหุงจึงไม่ใส่น้ำมาก
ปริมาณอมิโลส [ % นน]
ข้าวเหนียว = ไม่เกิน 0.2 (เหนียว)
ข้าวหอมมะลิชั้นดี =10-19 (นุ่ม เหนียว)
ข้าวหอมมะลิชั้นรอง =20-25 (นุ่มค่อนข้างแข็ง)
ข้าวหอมมะลิเก่า ความหอมลดลง อุณหภูมิแป้งสุกเพิ่มขึ้น
ขาวตาแห้ง = มากถึง 35% (ค่อนข้างแข็ง/นุ่ม ไม่หอม)
ผลผลิตจากข้าวพันธ์เดียวกัน จากที่นาแปลงเดียวกัน
จะมีคุณภาพไม่คงที่ สม่ำเสมอเท่ากันทุกปี
ขึ้นอยู่กับฮวงจุ้ย หมายถึงปัจจัยแวดล้อม เช่น เดียวกับไวน์ :-)
ด้านการค้า เขาหาวิธีตรวจสอบตัวแปรเพื่อควบคุม
โดยวัดค่า hardness ใช้วิธีง่ายๆ เอาตัวอย่างข้าวไปนึ่งให้สุก
แล้วกดวัดค่าความแข็ง ทำนองเดียวกับเครื่องวัดความแข็งของโลหะ
เมื่อวัดเสร็จจะได้ "หัวข้าว" กำหนดแยกแต่ละเบอร์เก็บไว้
เช่น พิจิตรxx, กข105, ปทุมxx, สุพรรณ1
นอกจากนี้เขายังวัดอุณหภูมิแป้งสุก คือ จุดที่แป้งเปลี่ยนสีเป็นสีใส
หรือเยล
อุณหภูมิยิ่งต่ำยิ่งดี ถ้าอุณหภูมิสูง ข้าวจะแข็ง
เมื่อนำหัวข้าวแต่ละเบอร์มาผสมกันตามขนาดที่คำนวณแล้ว
ก็จะได้ ข้าวผสม ที่มีมาตรฐานเดียวกัน ===>ใส่ถุงขาย
โดยวิธีนี้จะทำให้ ข้าวทุกถุง มีคุณสมบัติเหมือนกัน
โรงสีเจี่ยเม้ง หรือหงส์ทอง เขาควบคุมมาตรฐานได้ดี
ส่งออกเป็นที่ยอมรับของต่างประเทศมานานกว่าห้าสิบปี
ไม่ค่อยเห็นวางขายในเมืองไทย
สุพิทย์
IMO: การกินข้าวที่มีปริมาณ Amylose ต่ำ มีผลกับการดูดซึมน้ำน้อย
ทำให้ได้น.น.ข้าว"มากกว่า" vs.
ข้าวที่"หุงขึ้นหม้อ"จะดูดซึมน้ำไว้ก่อนแล้ว
==> กินข้าวเหนียว จึงใช้เวลาย่อยนานกว่า เพราะคนกิน Mass เข้าไป
มากกว่า ทำให้ย่อยนานกว่า อิ่มนาน
ทำให้นึกถึง...เด็กๆที่กินมาม่าดิบๆ แล้วดื่มน้ำตามเข้าไป
อาจเป็นอันตรายได้ ! ....ระวัง ท้องแตก
โดยคุณ : "supit khuna" -
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)