Theขี้ฝุ่นริมทาง
วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
__..."10 อาหารที่ไม่ควรกินบ่อย"...__
... 1. ไข่เยี่ยวม้า..ไข่เยี่ยวม้ามีตะกั่วค่อนข้างสูง ตะกั่วทำให้การดูดซึมแคลเซียมน้อยลง กินบ่อยๆ จะเสี่ยงโรคกระดูกโปร่งบางและอาจได้รับพิษตะกั่วเช่น สมองเสื่อม เป็นหมัน ฯลฯ
2. ปาท่องโก๋..กระบวนการทำปาท่องโก๋มีการใช้สารส้ม ซึ่งมีตะกั่วปนเปื้อน ตะกั่วทำให้ไตทำงานหนักในการขับสารนี้ออกไปนอกจากนั้นยังทำให้คอแห้ง เจ็บคอง่าย โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคร้อนในได้ง่าย...
3. เนื้อย่าง..กระบวนการรมไฟ ย่างไฟทำให้เกิดสารเบนโซไพรีนซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง
4. ผักดอง..ผักดองและของหมักเกลือทำให้ร่างกายได้รับเกลือโซเดียมสูง ถ้ากินบ่อยเกินหรือมากเกินจะทำให้หัวใจทำงานหนักเกิดความดันเลือดสูงและโรคหัวใจได้ง่าย นอกจากนั้นกระบวนการหมักดองยังทำให้เกิดสารแอมโมเนียมไนไตรด์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง
5. ตับหมู..ตับหมูมีโคเลสเตอรอลสูง การกินตับหมูบ่อยเกินหรือมากเกินทำให้เสี่ยงต่อโรคหัวใจ เส้นเลือดสมอง (อัมพฤกษ์อัมพาต) และโรคมะเร็งเพิ่มมากขึ้น
6. ผักโขม,ปวยเล้ง.. ผักโขมและปวยเล้งมีสารอาหารสูง ทว่า...มีกรดออกซาเลตมาก ทำให้เกิดการขับสังกะสี และแคลเซียมออกจากร่างกายมาก การกินบ่อยเกินหรือมากเกินอาจทำให้เกิดภาวะขาดแคลเซียมหรือสังกะสีได้
7. บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป..บะหมี่สำเร็จรูปมีสารกัดบูด สารแต่งรสค่อนข้างสูง และมีคุณค่าทางอาหารต่ำ การกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมากเกิน หรือบ่อยเกินอาจทำให้เสี่ยงต่อโรคขาดอาหารและการสะสมสารพิษได้
8. เมล็ดทานตะวัน..เมล็ดทานตะวันมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงทว่า... การกินมากเกินหรือบ่อยเกินอาจทำให้กระบวนการเคมี (metabolism) ในร่างกายผิดปกติ ทำให้เกิดการสะสมไขมันในตับภาวะไขมันในตับสูงอาจทำให้เสี่ยงต่อโรคตับ เช่น ตับแข็ง ฯลฯเพิ่มขึ้น
9. เต้าหู้หมัก,เต้าหู้ยี้..กระบวนการหมักเต้าหู้อาจมีการปนเปื้อนเชื้อโรคได้ง่าย... ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อคนสูงอายุ หรือเด็กเล็กได้ นอกจากนี้กระบวนการผลิตยังทำให้เกิดไฮโดรเจนซัลไฟด์ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่าง กาย
10. ผงชูรส..คนเราไม่ควรกินผงชูรสเกินวันละ 6 กรัม หรือประมาณ 1 ช้อนชา... การกินผงชูรสมากเกิน หรือบ่อยเกิน ทำให้เกิดภาวะกรดกลูตามิกในเลือดสูงอาจทำให้ปวดหัว ใจสั่น คลื่นไส้และมีผลเสียต่ออวัยวะสืบพันธุ์
...ปล. อะไรที่มันน้อยไป หรือมากไปก็ไม่ดีทั้งนั้น ทางสายกลางคือความพอดี กินอย่างพอดี ออกกำลังกายอย่างพอดี พักผ่อนอย่างพอดี รับรองว่าแข็งแรง แน่นอน ...ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย รักษาสุขภาพกันด้วยนะครับ..
ที่มา...http://www.thaihealth.or.th/
จากใจผู้บริหารที่มองคุณสมบัติของน้องๆที่จะมาร่วมทำงานที่บริษัท
จากใจผู้บริหารที่มองคุณสมบัติของน้องๆที่จะมาร่วมทำงานที่บริษัท คงไม่น่าจะเป็นบริษัทผมอย่างเดียวมีดังนี้
1 ส่วนตัวไม่สนผลสอบโอเน็ต พีเน็ต บ้าบออะไรนั่น มันไม่ได้บอกว่าน้องเก่งอะไร แม้เพียงนิด มันอยู่ที่สมัครทำงานอะไรแอบเซ็งแทน
2 ขอให้เป็น ex...cel , word มันช่วยงานให้ง่ายขึ้นมาก ไม่ต้องไปกวนคนอื่น ถ้าไม่เป็นเลยนี่ผมมึน และชีวิตน้องจะลำบาก
3 ถ้าน้องมาฟังคำสั่งอย่างเดียว ไม่เคยเสนอทางออกใหม่ นำเสนอสิ่งใหม่ๆให้องค์กร น้องไม่มีวันก้าวหน้า ฝึกความเป็นผู้นำไว้ ร่วมกิจกรรมต่างๆด้วย
4 ผลการเรียนกับความเก่งในการทำงานคนละเรื่อง สอบได้ 4 จบเมืองนอก แต่เป็นใบ้ในที่ทำงานจะไม่มีใครได้ประโยชน์
5 ถ้าสถาบันที่น้องเรียนยังไม่ช่วยทำให้น้องรู้สึกเก่งขึ้น จงขวนขวายเพิ่มเติมเอง เพื่อตัวเองนะจ๊ะ
6 การเรียนรู้เพื่อออกไปประกอบอาชีพ สถาบันการศึกษามีส่วนช่วยได้ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด น้องต้องฝึกตัวเองแล้วจะทำข้อสอบตอนสัมภาษณ์ได้ดี ตอบฉะฉาน
7 ผู้สัมภาษณ์จะทึ่งน้องๆ ไม่ใช่ผลสอบจากสถาบัน แต่อยู่ที่ผลทดสอบหลายอย่าง และตัวตัดสินน้องคือการตอบคำถามอย่างชาญฉลาด
8 อย่ารอปฏิรูปการศึกษาของประเทศไทย มันอีกนาน ปฏิรูปตนเองก่อนเพื่อความสำเร็จ
9 อย่าฝันสูงถ้าตนเองเฉื่อยแฉะ แล้วเที่ยวหวังคนอื่นมาป้อนข้าวป้อนน้ำ ชีวิตจริงการทำงานไม่มีเช่นนั้นดอก
10 ปัจจุบันนี้โลกจะก้าวหน้าเร็วมากกว่าอดีตมากมาย ถ้าน้องยังอยู่ยุค 2475 คนที่ลำบากคือน้องเอง อยากสำเร็จต้องพึ่งตนเองนะจ๊ะครับ
สุดท้ายพึงระลึกเสมอว่าคนในองค์กรมีความหลากหลาย ไม่มีองค์กรใด perfect เขาจึงอยากได้น้องมาเติมเต็ม ปฏิรูปตนเองวันนี้ อย่ารอประเทศปฏิรูปเรื่องการศึกษาให้น้องๆ มันจะช้าไป
ด้วยรัก
สุหฤท สยามอยากได้คนเก่งไม่สนโอ-ยูเน็ต
เทคนิคจัดการกับมนุษย์แซงคิว
1 พึงจำไว้ว่าไม่ว่าอายุขนาดไหนก็ไม่มีสิทธิ์แซงคิว เราจะให้เด็ก คนชรา คนท้อง คนพิการแซงก็เป็นสิ่งที่เราคิดจะให้ด้วยความปรารถนาดี ไม่มีสิทธิ์ฉวยโอกาส
2 เมื่อโดนแซงคิวแล้วให้หายใจลึก ๆ เอานิ้วกลางสกิดที่หัวไหล่ พูดอย่างไพเราะว่า "คุณมึงครับ คุณมึงแซงคิว ชีวิตคุณกูเดือดร้อนครับ คุณกูรอคิวจนลูกจะคลอดแล้ว"
3 เมือโดนแซงคิวให้ร้องเพลงบัวลอยว่า "วันหนึ่งมีเสียงปืนคำรามบัวลอยถูก...หามมาในเปลผ้าใบ ยังละเมอห่วงว่าใครมาแซงคิว คือคำพูดสุดท้ายของชายชื่อบัวลอย"
4 โปรดร่วมกันประชาสัมพันธ์ว่า การแซงคิวเป็นภัยต่อความมั่นคงและความเจริญของประเทศ เรื่องเล็กแค่นี้ทำไม่ได้ไม่ต้องหวังปฏิรูปเรื่องอื่นที่ยิ่งใหญ่
5 ถ้ากลัวจะก้าวร้าว ให้นึกถึงแฟนที่ชั่วที่สุด ร้องไห้ออกมาสุดเสียง ตบเท้าไปมา "โฮมันแซงคิว สูดหายใจและสั่งขี้มูกป้ายมันแล้วร้องต่อ ว่า โฮมันแซงคิวมันเอาอนาคตหนูไป ฮือ"
6 ผู้ที่ควบคุมคิวต้องไม่ยอมให้ผุ้แซงคิวได้สิทธิืไปเช่น ต่อคิวรถตู้คนแซงคิวได้ที่นั่งไอ้เราทนต่อไป ผู้ควบคุมต้องช่วยลากมันลงมาแล้วให้เราขึ้นไปให้จงได้
7 ถ้าโดนแซงคิวในเซเว่น ให้ทิ้งของที่จะซื้อบนเคาน์เตอร์แล้วบอกว่าฉันไม่เห็นด้วยกับการโดนแซงคิว แล้วเดินจากไปซื้อเซเว่นสาขาหน้า
8 อย่าเป็นคนโดนแซงคิวแล้วแซงคิวอีก จงเจ็บแค้นและไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอีกในชีวิต มันไม่ใช่เรื่องก้าวร้าว มันเป็นสิทธิ์ที่พึงมีและอยู่ร่วมกันในสังคม
9 ถ้ารีบและต้องแซงคิวจริง ๆ โปรดถามผุ้อยู่ข้างหน้าอย่างตรงไปตรงมา ขอโทษและขอบคุณ แต่อย่ามาดราม่าแสดงทุกครั้งไป มันเลว!
10 การต่อคิวหมายถึงการแสดงถึงการเคารพสิทธิผุ้อื่นขั้นพื้นฐาน คนที่แซงคิวเป็นคนที่เห็นแก่ได้ส่วนตน ไม่สนความเดือดร้อนผู้อื่นและเป็นผู้ที่จะเจริญรุ่งเรืองยาก อย่าปล่อยเขาไป
สุหฤท สยามโนว์คิวโนว์ไลฟ์โนว์ชิต
8 วิธี การบริหารสมอง ให้ปลอดโปร่ง
ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นักศึกษา คนทำงาน หรือไม่ว่าวัยไหนๆก็ตาม คงจะเคยรู้สึกว่าสมองตื้อ มึนๆ ด้วย้หตุผลต่างๆกันไป ไม่ว่าจะเพราะการเรียน การทำงาน หรือปัญหาส่วนตัวต่างๆ ซึ่งแน่นอนครับพอมีอาการอย่างนี้เกิดขึ้นมา มันไม่ดีแน่ๆ เพราะฉะนั้นเรามารู้จักวิธีที่ทำให้สมองปลอดโปร่ง สดชื่นกันดีกว่าครับ
1. ประสานงานสมอง การเขียนเลข 8 ในอากาศด้วยมือทั้ง 2 ข้างๆ ละ 5 ครั้ง โดยเริ่มจากด้านซ้ายของเลขก่อน แล้วเขียนวนไปให้เป็นเลข 8 วิธีนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการอ่าน และการทำความเข้าใจดีขึ้นและทำให้สมองด้านซ้ายและด้านขวาประสานงานกัน
2. น้ำเปล่าหล่อเลี้ยงสมอง วาง ขวดน้ำไว้ใกล้ๆ โต๊ะของคุณเป็นประจำ และคอยจิบทีละน้อย วิธีนี้จะช่วยให้จิตใจและร่างกายของคุณตื่นตัวตลอดเวลา และสมองก็จะเปิดว่าง สามารถรับสารหรือข้อมูลได้ดี เพราะน้ำจะช่วยปรับสารเคมีที่สำคัญในสมองและระบบประสาท ถ้าเวลาที่รู้สึกเครียด เพราะขาดน้ำ จึงควรจิบน้ำเพื่อให้ร่างกายได้รับน้ำเพื่อไปหล่อเลี้ยงระบบของร่างกาย
3. นวดจุดเชื่อมสมอง วาง มือข้างหนึ่งไว้บนสะดือ มืออีกข้างหนึ่งใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้วางบนกระดูกหน้าอกบริเวณใต้ กระดูกไหปลาร้า และค่อยๆ นวดทั้ง 2 ตำแหน่งประมาณ 10 นาที วิธีนี้จะช่วยลดความงงหรือสับสน กระตุ้นพลังงานและช่วยให้มีความคิดแจ่มใส
4. บริหารกล้ามเนื้อหัวไหล่ ให้มือซ้ายจับไหล่ขวา บีบกล้ามเนื้อให้แน่นพร้อมหายใจเข้า จากนั้นหายในออกและหันไปทางซ้ายจนสามารถมองไหล่ซ้ายของตัวเอง จากนั้นสูดลมหายใจลึกๆ วางแขนซ้ายลงบนไหล่ขวา พร้อมกับห่อไหล่ ค่อยๆ หันศีรษะกลับไปตรงกลางและเลยไปด้านขวา จนกระทั่งสามารถมองข้ามไหล่ของคุณได้ ยืดไหล่ทั้ง 2 ข้างออก ก้มคางลงจรดหน้าอกพร้อมกับสูดลมหายใจลึกๆ เพื่อให้กล้ามเนื้อของคุณได้ผ่อนคลาย เปลี่ยนมา ใช้มือขวาจับไหล่ซ้ายบ้างและทำซ้ำกันข้างละ 2 ครั้ง วิธีนี้จะช่วยบริหารกล้ามเนื้อตรงส่วนลำคอและไหล่ การได้ยิน, การฟัง และช่วยลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อที่เกิดจากการนั่งโต๊ะทำงานเป็นเวลานาน อีกด้วย
5. นวดใบหูกระตุ้นความเข้าใจ วิธีนี้ทำได้โดยการนั่งพักสบายๆแตะปลายนิ้วทั้ง 2 ข้างที่ใบหู เคลื่อนนิ้วไปยังส่วนบนของหู จากนั้นบีบนวดและคลี่รอยพับของใบหูทั้ง 2 ข้างออก ค่อยๆ เคลื่อนนิ้วลงมานวดบริเวณอื่นๆ ของใบหู ดึงเบาๆ เมื่อถึงติ่งหู ดึงลง ให้ทำซ้ำกัน 2 ครั้ง วิธีนี้จะช่วยกระตุ้นการได้ยิน และทำให้ความเข้าใจดีขึ้น เพราะเป็นการคลายเส้นประสาทบริเวณใบหูที่เชื่อมสมอง
6. บริหารขา โดย การยืนตรงให้เท้าชิดกัน ถอยเท้าซ้ายไปข้างหลัง โดยยกส้นเท้าขึ้น งอเข่าขวาเล็กน้อย แล้วโน้มไปข้างหน้าเล็กน้อย ก้นของคุณจะอยู่ในแนวเดียวกับส้นเท้าขวา สูดลมหายใจเข้าและผ่อนออก ในขณะที่ปล่อยลมหายใจออกนี้ ค่อยๆ กดส้นเท้าซ้ายให้วางลงบนพื้นพร้อมกับงอเข่าขวาเพิ่มขึ้น หลังเหยียดตรง สูดลมหายใจเข้าแล้วกลับไปตั้งต้นใหม่อีกครั้ง เปลี่ยนจากขาข้างซ้ายเป็นข้างขวา โดยออกกำลังในท่านี้ทั้งหมด 3 ครั้งด้วยกัน การบริหารท่านี้เหมาะสำหรับการปรับปรุงสมาธิ รวมทั้งช่วยเพิ่มความเร็วในการอ่านหนังสือ และยังช่วยให้กล้ามเนื้อต้นขา และกล้ามเนื้อน่องผ่อนคลายอีกด้วย
7. กดจุดคลายเครียด ใช้นิ้ว 2 นิ้ว กดลงบนหน้าผากทั้ง 2 ด้าน ประมาณกึ่งกลางระหว่างขนคิ้ว และตีนผม กดค้างไว้ประมาณ 3-10 นาที วิธีนี้จะช่วยคลายความตึงเครียดและเพิ่มการหมุนเวียนโลหิตเข้าสู่สมอง
8. บริหารสมองด้วยการเขียน เขียนเส้นขยุกขยิกด้วยมือทั้ง 2 ข้าง พร้อมๆ กัน ลายเส้นที่เขียนอาจจะดูเพี้ยนๆ แต่ได้ผลดีต่อระบบสมองเป็นอย่างดีทีเดียว วิธีนี้จะช่วยให้เกิดการปรับปรุงการประสานงานของสมอง ด้วยการทำให้สมองทั้ง 2 ซีกทำงานพร้อมกัน และเพิ่มความชำนาญด้านการสะกดคำและคำนวณดีและรวดเร็วขึ้นอีก
นับว่าเป็นวิธีที่แปลก แต่น่าลองนำไปใช้มากเลยนะครับ
20 วิธีเริ่มต้นวันอย่างสดชื่น
เพื่อให้เช้าวันใหม่เป็นไปอย่างสดชื่น พร้อมเริ่มต้นทำงานอย่างมีความสุขในทุกวัน มีวิธีดีๆ มาแนะนำให้ไปเลือกใช้กันครับ
1. อย่าใช้วิธีตั้งปลุกแบบ Snooze
เพราะการที่คุณได้ลุกขึ้นมากดปุ่มแล้วครั้งหนึ่ง ก่อนไปนอนต่อนั้น ร่างกายของคุณเหมือนถูกปลุกขึ้นมาแล้ว พอคุณกลับไปนอนต่ออีก 10 นาที และตื่นขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ร่างกายคุณจะรู้สึกว่าพึ่งนอนพักผ่อนไปได้ไม่นานก่อนที่จะตื่น ทำให้คุณจะรู้สึกเพลียไปทั้งวัน เหมือนคนอดหลับอดนอนมาทั้งคืน ดังนั้นกำหนดเวลาที่อยากจะตื่นให้ชัดเจน แล้วก็ตื่นตอนที่นาฬิกาปลุกเลยทีเดียวจะดีกว่า
2. แสงแดดยามเช้าช่วยกระตุ้นการตื่นได้
นอนหลับโดยเปิดม่านหรือมู่ลี่ไว้เศษ 1 ส่วน 3 ของบาน จะช่วยให้แสงสว่างจากภายนอกในตอนเช้า ช่วยกระตุ้นให้คุณรู้สึกตื่นได้ง่ายขึ้นกว่าห้องที่มืดสนิท
3. ยืดเส้นยืดสายก่อนลุกจากเตียง
บิดขี้เกียจ หรือแค่ยืดเส้นยืดสายสัก 15-30 วินาที ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียง กล้ามเนื้อและข้อต่อต่างๆ ได้ยืดจากการไม่ได้ขยับมาหลายชั่วโมง เพื่อให้เลือดลมสูบฉีดดีขึ้นอีกด้วย
4. ออกกำลังกายตอนเช้า
การออกกำลังกายตอนเช้าจะช่วยกระตุ้นเอนดรอฟินในร่างกายของคุณ เพื่อให้เริ่มต้นวันอย่างมีพลัง ไม่จำเป็นต้องไปออกกำลังกายในฟิตเนส หรือออกกำลังกายจริงจัง แค่ยืดเส้นยืดสายร่างกายสักหน่อย แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
5. อาบน้ำทันทีที่คุณตื่นนอน
ถ้าคุณอาบน้ำทันทีที่ตื่นขึ้นมาแล้ว ร่างกายของคุณก็จะปรับจากโหมดนอนหลับ เข้าสู่โหมดการใช้ชีวิตทันที ซึ่งมันจะทำให้ร่างกายของคุณตื่นตัวในการออกไปพบเจอสิ่งใหม่ และแน่นอนจะทำให้คุณรู้สึกเริ่มต้นวันอย่างสดชื่นอีกด้วย
6. นวดยามเช้าด้วยน้ำจากฝักบัว
คุณลองหาซื้อเก้าอี้พลาสติกที่สำหรับใช้ในห้องน้ำ มีขายอยู่ทั่วไปตามห้างสรรพสินค้าหรือห้างที่เกี่ยวกับของตกแต่งบ้าน นั่งหันหลังให้ฝักบัว ปล่อยให้น้ำลงกระทบแผ่นหลังของคุณสัก 1-2 นาที วิธีนี้จะช่วยให้คุณรู้สึกสบายเนื้อตัวมากขึ้น ใช้น้ำในการนวดตัว เพื่อผ่อนคลาย จากนั้นก็อาบน้ำในแบบของคุณต่อได้เลย
7. ใช้เวลากับดนตรี
คนเรามักใช้เวลาในการอาบน้ำเฉลี่ย 12 นาที ในระหว่างนั้นคุณอาจจะร้องเพลง หรือฟังเพลงไปด้วย การฟังเพลงในตอนเช้าอย่างน้อย 5-10 นาที จะช่วยให้สมองคุณปลอดโปร่งยิ่งขึ้น พร้อมรับสิ่งใหม่ที่จะเกิดขึ้นในระหว่างวัน
8. แปรงลิ้นของคุณในตอนเช้าด้วย
เพื่อให้เช้าของคุณรู้สึกสดชื่น คุณควรจะแปรงลิ้นในทุกเช้า อย่างน้อยก็เพื่อขจัดแบคทีเรียกว่า 300 ชนิดที่เกิดขึ้นในระหว่างที่คุณนอนหลับ และทำให้คุณรู้สึกโล่งสบายในปากสดชื่นได้ทั้งวัน
9. เลือกเสื้อผ้าที่คุณพอใจ
เลือกเสื้อผ้าที่จะสวมใส่ในตอนเช้าให้เรียบร้อยตั้งแต่กลางคืน เตรียมแผนสำรองสำหรับเสื้อผ้าเอาไว้ อย่างเตรียมชุดที่สามารถใส่ทดแทนเสื้อผ้าที่เตรียมไว้ในทุกโอกาส เพื่อให้ช่วงเช้าของคุณไม่มีเรื่องวุ่นวายให้หงุดหงิดแต่เช้า
10. ทานอาหารเช้าให้เป็นนิสัย
เป็นเรื่องที่คุณรู้อยู่แล้วว่าอาหารเช้าเป็นมื้อที่สำคัญสำหรับสมองในการเริ่มต้นวัน อาหารเช้านับเป็นความประทับใจแรกของร่างกายในแต่ละวัน ถ้าเลือกอาหารเช้าที่ดีก็เท่ากับเป็นการสร้างความประทับใจที่ดีให้กับร่างกายของคุณตั้งแต่เริ่มต้นวัน เลือกทานอาหารที่มีโปรตีนและแคลเซียมสำหรับมื้อเช้าจะดีที่สุด
11. เครื่องดื่มกับวิตามินยามเช้า
ดื่มน้ำเปล่า เมื่อตื่นนอน จะทำให้คุณรู้สึกสดชื่นขึ้น เพราะคุณขาดน้ำไปหลายชั่วโมงในระหว่างนอนหลับ การดื่มน้ำจะช่วยให้คุณสดชื่นจากภายในร่างกายขึ้นได้ทันที และหลังจากเสร็จภารกิจในห้องน้ำแล้วจะดื่มกาแฟดีๆ สักแก้ว หรือน้ำส้มคั้นก็ได้เช่นกัน และเปลี่ยนมาทานวิตามินที่คุณทานประจำในตอนกลางคืน มาทานในตอนเช้าแทนบ้าง
12. ทักทายคนในบ้านก่อนออกจากบ้านเสมอ
ทักทายคนในบ้านทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นคนที่คุณรัก พ่อแม่ ลูก หรือแม้แต่หมาแมวที่คุณเลี้ยงไว้ กอด หอมแก้ม หรือแค่ทักทายกันบ้างก็พอ
13. อย่าทำอะไรแบบเร่งรีบ
ก่อนนอนควรแพลนชีวิตตอนเช้าไว้ล่วงหน้าเลยว่าน่าจะใช้เวลาเท่าไหร่ในการ อาบน้ำ แต่งตัว เผื่อเวลาก่อนออกจากบ้านไว้สำหรับภารกิจยามเช้าต่างๆ คิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นระหว่างวันในแง่ดี หากคุณเริ่มต้นวันด้วยการมองสิ่งที่จะเกิดขึ้นในแง่ร้าย ชีวิตคุณก็จะรู้สึกแย่ไปทั้งวัน
14. หากรู้สึกเร่งรีบเกินไป ก็หยุดหายใจลึกๆ
สูดหายใจลึกๆ ช้าๆ ค่อยบอกร่างกายให้ช้าลง ให้เวลาร่างกายได้หยุดพักหายใจลึกๆ สักนิด ก่อนจะใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบในตอนเช้าเหมือนเคย สูดอ็อกซิเจนเข้าร่างกายเพื่อให้ระบบหมุนเวียนในร่างกายได้ทำงานปรกติบ้าง
15. ตั้งเป้าว่าวันนี้ต้องทำอะไร
ถ้าได้ตั้งเป้าไว้แล้วตั้งแต่เช้า คุณก็จะมีจุดมุ่งหมายในชีวิตให้รู้สึกคึกคักที่จะทำสิ่งนั้นให้เสร็จให้ได้ วางไทม์ไลน์ในการทำงานของคุณไว้ในหัวตั้งแต่เช้า แล้วมุ่งมั่นที่จะทำมันให้เสร็จ คุณก็จะรู้สึกมีพลังไปทั้งวัน และอย่าว่าต้องไปให้ทันนัดเสมอ เพื่อให้คุณไม่รู้สึกแย่กับตัวคุณเองไปตลอดวัน ทิ้งเรื่องขุ่นข้องใจเมื่อวานออกไปก่อน และเริ่มจัดการชีวิตในวันนี้เสียใหม่ เรียงลำดับสิ่งที่ต้องทำก่อนหลังในวันนี้ เพื่อที่จะได้มีเป้าหมายในการทำงาน ทำ To-Do-List ขึ้นมา ปรับลำดับการทำงานตามเหตุผลที่มันจำเป็นได้ ถ้าเป็นไปได้จัดโต๊ะทำงาน หมั่นดูแลโต๊ะให้สะอาด เตือนตนเองอีกครั้งว่าวันนี้ต้องทำอะไรให้เสร็จบ้าง
16. อ่านข้อความดีๆ ที่สร้างกำลังใจในตอนเช้า
ถ้าคุณติดมือถือที่จะต้องเช็คก่อนจะลงมือทำอะไร ให้ลองติดตามบทความหรือข้อความดีๆ ที่จะช่วยสร้างกำลังใจได้ เพื่อให้เริ่มต้นวันโดยมีทัศนคติที่ดี
17. ตั้งสมาธิก่อนจมอยู่หน้ากองอีเมล์หรือวุ่นกับโทรศัพท์
หลังจากจบภารกิจภาคเช้าแล้ว ก็เริ่มเข้าสู่โหมดการทำงาน ไม่ว่าจะทำงานที่บ้านหรือจะที่ออฟฟิศ อย่าพึ่งจมตัวเองอยู่ในอีเมล์อินบ็อกซ์ตั้งแต่เช้า เรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องที่ยากที่สุดสำหรับหลายๆ คน ถ้าไม่มีทางให้เลือกจริงๆ ก็เลือกอ่านหรือเลือกตอบเฉพาะที่สำคัญและจำเป็นก่อนก็ได้ และควรลุกขึ้นจากหน้าจอขยับตัวบ้าง
18. ทักทายผู้ร่วมงาน
ใส่ใจเรื่องเล็กน้อย สบตา ส่งยิ้ม ทักทายบ้าง อาจถามถึงว่าเมื่อคืนเป็นอย่างไรนอนหลับสบายดีมั้ย เพียงเท่านี้ก็ทำให้บรรยากาศในการทำงานของคุณมีรอยยิ้มขึ้นมาทันที ทีมของคุณก็จะรู้สึกดีและสร้างพลังในการทำงานให้กับพวกเขาอีกด้วย ระงับอารมณ์หงุดหงิดใจในตอนเช้าเสมอ ดื่มกาแฟสักแก้วก่อนก็ได้ หากมันจะทำให้คุณหายหงุดหงิดได้บ้าง
19. พลังแห่งสมองครีเอทีฟยามเช้า
ใช้พลังของสมองในตอนเช้าให้คุ้มค่าที่สุด เนื่องจากตอนเช้ายังไม่มีเรื่องอะไรในความคิดของคุณมากนัก เป็นช่วงที่สมองกำลังปลอดโปร่ง ควรใช้สมองในช่วงเช้านี้ไปกับงานครีเอทีฟ การใช้ความคิดต่างๆ จัดการเรื่องยากที่สุดก่อนในแต่ละวัน เพื่อให้ส่วนที่เหลือกลายเป็นเรืองง่ายสำหรับคุณ
20. ยิ้มให้กับตัวเอง
และวิธีที่ง่ายที่สุดในการเริ่มต้นวันของคุณก็คือการยิ้ม ยิ้มให้กับตัวเอง หรืออาจจะยิ้มให้กับอากาศดีๆ ยิ้มรับวันดีๆ ที่จะเกิดขึ้น เมื่อคุณยิ้มสมองของคุณก็จะสึกปลอดโปร่งและโล่งขึ้น นั่นเพราะคุณไม่มีเรื่องให้สมองเครียดอยู่นั่นเอง
คุณลักษณะการเป็นพนักงานมืออาชีพ
ผู้เขียนได้มีโอกาสอ่านบทความของ ดร.เกศรา รักชาติ ผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างองค์การแก่งการเรียนรู้ท่านหนึ่งของบ้านเรา ในเรื่อง “เรียนรู้การเป็นมืออาชีพ Being Professional” โดยเป็นกรณีศึกษาจากโปรแกรมการปฐมนิเทศพน...ักงานใหม่ของ ปตท. ซึ่งได้ให้แนวคิดในข้อสำคัญว่าการที่จะเป็นพนักงานมืออาชีพที่ประสบความสำเร็จในการทำงานจะต้องทำตัวหรือประพฤติปฏิบัติอย่างไร ทั้งในเรื่องงานและที่สัมพันธ์กับการใช้ชีวิตตามปกติ ผู้เขียนเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดี น่าที่จะได้นำมาถ่ายทอดกันต่อ ๆ ไป แต่คงไม่ต้องถึงขนาดบอกต่อกันไป 20 คน จะเป็นอานิสงค์ให้ชีวิติคุณรุ่งเรืองสืบไป เพียงแต่ ต่างคนต่างทำ โดยจิตมุ่งมั่น ลำนึกรับผิดชอบที่ดี ก็เชื่อว่า ที่ทำงานของเราก็จะเป็น Healthy Workplace ในท้ายที่สุด นอกเหนือจากนี้ จากฐานคิดของโปรแกรมปฐมนิเทศพนักงานใหม่ของ ปตท. ยังสะท้อนให้เห็นถึงการที่องค์การสื่อสารวิสัยทัศน์ พันธกิจ ทิศทางขององค์การให้พนักงานได้ทราบตั้งแต่ต้นมือ รวมทั้งปลูกฝังวิธีคิดวิธีปฏิบัติที่จะนำมาซึ่งความเป็นพนักงานที่เก่ง สร้างสรรค์ เป็นคนดีและมีความสุขในการทำงาน โดยประเด็นที่สำคัญควบคู่กันไปก็คือที่เล็งมาที่ผู้บริหารให้ต้องมาพบปะสร้างสัมพันธ์กับพนักงานใหม
ดร. เกศรา กล่าวไว้ว่า การจะเป็นมืออาชีพนั้น พนักงานใหม่ของ ปตท. ได้นำเสนอประเด็นต่าง ๆ ที่เป็นข้อสรุปร่วมกัน รวม 40 ข้อ ดังนี้
1) พนักงานแต่ละคนต้องมีความฝันที่ชัดเจนในตัวเอง ฝันอยากเห็นตัวเองประสบความสำเร็จในอาชีพที่เลือกเข้ามา
2) พนักงานต้องมีใจรักในสิ่งที่ทำ รักในอาชีพของตนเอง มีความตั้งใจจริงที่จะทำอาชีพของตนเอง
3) มีจุดมุ่งหมาย เป้าหมายที่ชัดเจน ในการทำงานแต่ละวัน
4) วางแผนการทำงาน
5) ทำงานหนัก อดทน ทุ่มเท ขยัน
6) เตรียมตัวเอง เตรียมงานตัวเองให้พร้อมก่อนทำงานร่วมกับผู้อื่น
7) รับผิดชอบสูงต่อตนเอง และต่อทีม
8) แข่งขันกับตนเอง
9) ซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่น
10) ทำงาน 150% ของที่วางแผนไว้
11) มีระเบียบวินัยและตรงต่อเวลา รู้จักรักษาเวลา
12) ใส่ใจในรายละเอียดของงาน
13) ใฝ่เรียนใฝ่รู้ หาความรู้เพิ่มเติม
14) เป็นคนน่ารัก ไม่หยิ่งไม่ถือตัว มีความเป็นกันเอง
15) มีความอ่อนน้อมถ่อมตน
16) เอาชนะใจตนเองโดยควบคุมอารมณ์ (Self Management)
17) มีความมั่นใจในตนเอง
18) เปิดใจยอมรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง
19) ให้เกียรติ และรักษาสัญญากับตัวเองและผู้อื่นอย่างสม่ำเสมอ
20) กล้าพูดในสิ่งที่เป็นความจริง ด้วยวิธีการที่เหมาะสม
21) มีความสม่ำเสมอในการหมั่นหาความรู้ ความเข้าใจในงาน ในธุรกิจขององค์กร
22) มีความมุ่งมั่น (Commitment)
23) รู้จักบริหารเวลา (Time Management)
24) มีสมาธิในการทำงาน
25) กำจัดจุดอ่อนตัวเอง และเรียนรู้จุดแข็งที่จะสร้างเสริมให้เด่นขึ้น
26) เรียนรู้จากการเป็น “มืออาชีพ” กับมืออาชีพ หาความรู้จากผู้ที่เก่งกว่า เพื่อพัฒนาตนเอง
27) หาประสบการณ์ แลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ กับเพื่อนร่วมวิชาชีพต่างองค์กร
28) มีความคิดสร้างสรรค์ เปิดโลกทัศน์
29) มีรูปแบบการทำงานที่หลากหลาย ไม่ยึดติด
30) กล้ายอมรับผิด จากการกระทำของตนเอง โดยไม่กล่าวโทษสถานการณ์ หรือบุคคลอื่น และนำเอาความผิดพลาดมาเป็นบทเรียน
31) เตรียมตัวให้พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอๆ
32) ทำทุกบทบาทและหน้าที่ให้ดีที่สุด
33) มีต้นแบบ หรือ Role Model เพื่อจะได้มีแรงบันดาลใจ
34) Trust ในตัวผู้นำและเพื่อนร่วมงาน
35) มีการถ่ายทอด แบ่งปันความรู้ต่อเพื่อนร่วมงาน
36) Life Long Learning
37) พัฒนาศักยภาพของตนเองอยู่เสมอ (Continuous Improvement)
38) ยึดถือค่านิยมร่วมและวัฒนธรรมขององค์กร
39) ผนึกพลังประสานความต่าง (Synergy)
40) มีความภูมิใจในตัวเองและองค์กร
เพื่อมิให้ความผิดหวังเป็นพิษแก่จิตใจของเรา
เพื่อมิให้ความผิดหวังเป็นพิษแก่จิตใจของเรา
ขอให้สร้างนิสัยเป็นนักศึกษาขึ้น
คือมองเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นแก่เรา
ให้แง่ของการศึกษาเรียนรู้
เพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนาชีวิต
จะสังเกตได้ว่าเหตุการณ์เดียวกัน
ถ้ามองในแง่ร้ายอาจให้ทุกข์แก่เราอย่างมาก
แต่ถ้ามองในแง่ดี
และแง่ของการศึกษาเรียนรู้แล้ว
อาจให้ความสุขความพอใจแก่เราได้
สิ่งที่เราเห็นว่าดีในเบื้องต้น
อาจกลายเป็นร้ายในบั้นปลาย
ตรงกันข้ามสิ่งที่เราเห็นว่าร้ายกาจ
กลายเป็นดีได้
╭✿╯
"เพื่อชีวิตที่ดี" : #ท่านอาจารย์วศิน_อินทสระ
ขอให้สร้างนิสัยเป็นนักศึกษาขึ้น
คือมองเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นแก่เรา
ให้แง่ของการศึกษาเรียนรู้
เพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนาชีวิต
จะสังเกตได้ว่าเหตุการณ์เดียวกัน
ถ้ามองในแง่ร้ายอาจให้ทุกข์แก่เราอย่างมาก
แต่ถ้ามองในแง่ดี
และแง่ของการศึกษาเรียนรู้แล้ว
อาจให้ความสุขความพอใจแก่เราได้
สิ่งที่เราเห็นว่าดีในเบื้องต้น
อาจกลายเป็นร้ายในบั้นปลาย
ตรงกันข้ามสิ่งที่เราเห็นว่าร้ายกาจ
กลายเป็นดีได้
╭✿╯
"เพื่อชีวิตที่ดี" : #ท่านอาจารย์วศิน_อินทสระ
ฟังรายการวิทยุรักพ่อ ตอนที่ 135 รักพ่อ รักในหลวง โดย กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ - เอกองค์กษัตริย์ไทย
รายการรักพ่อ135 เอกองค์กษัตริย์ไทย
พบกับสารคดีพระเมตตาดั่งสายธาร ตอน บุรีรัมย์ ตำน้ำกิน, จดหมายน้อย, เพลง "คำพ่อสอน" นาย จิรเสฏฐ์ ว่องกตัญญู จากโครงการเพลงเฉลิมพระเกียรติคำพ่อสอน ๘๔ พรรษา ,ทำไมเรารักพระเจ้าอยู่หัว,
ช่วงในหลวงในดวงใจ 35, กลเม็ดเคล็ดลับกับการพึ่งตนเอง,บทกวี ฉันรักเธอ จากคุณไอฝน หยาดน้ำพราวจากราวฟ้า, คำกลอนสอนธรรมะ - โลกกลียุค ฟังเพลงฟิฟทีนมูฟ, พระภูมิพล
http://www.youtube.com/watch?v=EohmuqlRAcg
มาแล้วครับรายการรักพ่อ ช่วยสายต่อ ให้ระบือ ส่งสื่อสาร
เหมือนคนที่มีจิตร่วมกัน ร่วมปกป้องสถาบัน ให้มั่นคง
ช่วงเวลาต่อจากนี้ไป ขอนำท่านผู้ฟังเข้าสู่รายการรักพ่อ
รายการวิทยุดีๆที่ตั้งใจทำในแนวจิตอาสา
ผู้ดำเนินรายการ : สุเวศน์ ภู่ระหงษ์
ทีมงาน ห้องบันทึกเสียง สิงหา ต.ท่าช้าง อ.เมือง จ.จันทบุรี
- กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ
งานเลี้ยงรุ่น
งานเลี้ยงรุ่น
..................
- หลังจบ 5 ปี
คนที่แต่งงานแล้ว...โต๊ะนึง
คนที่ยังไม่แต่ง...อีกโต๊ะนึง
...
- หลังจบ10 ปี
มีลูก...โต๊ะนึง
ไม่มีลูก...โต๊ะนึง
- หลังจบ15 ปี
ผัวเมียคนเดิม...โต๊ะนึง
แต่งงานใหม่...โต๊ะนึง
- หลังจบ 20 ปี
คอทองแดง...โต๊ะนึง
คอธรรมดา...โต๊ะนึง
- หลังจบ 25 ปี
ในประเทศ...โต๊ะนึง
มาจากนอก...โต๊ะนึง
- หลังจบ 30 ปี
กินทุกอย่าง...โต๊ะนึง
มังสวิรัติ...โต๊ะนึง
- หลังจบ 35 ปี
เกษียณแล้ว...โต๊ะนึง
ยังไม่เกษียณ...โต๊ะนึง
- หลังจบ 40 ปี
มีฟัน...โต๊ะนึง
ไม่มีฟัน...โต๊ะนึง
- หลังจบ 45 ปี
มาเอง...โต๊ะนึง
คนพยุงมา...โต๊ะนึง
- หลังจบ 50 ปี
บอกจะมาแล้วมาได้...โต๊ะนึง
บอกจะมาแต่มาไม่ได้...โต๊ะว่างโต๊ะนึง
- หลังจบ 55 ปี
มาได้...โต๊ะนึง
มาไม่ได้วางแต่รูปถ่าย...โต๊ะนึง
- หลังจบ 60 ปี
โต๊ะเดียว...มาได้ไม่ครบ...
"Live everyday
like its your last."
..................
- หลังจบ 5 ปี
คนที่แต่งงานแล้ว...โต๊ะนึง
คนที่ยังไม่แต่ง...อีกโต๊ะนึง
...
- หลังจบ10 ปี
มีลูก...โต๊ะนึง
ไม่มีลูก...โต๊ะนึง
- หลังจบ15 ปี
ผัวเมียคนเดิม...โต๊ะนึง
แต่งงานใหม่...โต๊ะนึง
- หลังจบ 20 ปี
คอทองแดง...โต๊ะนึง
คอธรรมดา...โต๊ะนึง
- หลังจบ 25 ปี
ในประเทศ...โต๊ะนึง
มาจากนอก...โต๊ะนึง
- หลังจบ 30 ปี
กินทุกอย่าง...โต๊ะนึง
มังสวิรัติ...โต๊ะนึง
- หลังจบ 35 ปี
เกษียณแล้ว...โต๊ะนึง
ยังไม่เกษียณ...โต๊ะนึง
- หลังจบ 40 ปี
มีฟัน...โต๊ะนึง
ไม่มีฟัน...โต๊ะนึง
- หลังจบ 45 ปี
มาเอง...โต๊ะนึง
คนพยุงมา...โต๊ะนึง
- หลังจบ 50 ปี
บอกจะมาแล้วมาได้...โต๊ะนึง
บอกจะมาแต่มาไม่ได้...โต๊ะว่างโต๊ะนึง
- หลังจบ 55 ปี
มาได้...โต๊ะนึง
มาไม่ได้วางแต่รูปถ่าย...โต๊ะนึง
- หลังจบ 60 ปี
โต๊ะเดียว...มาได้ไม่ครบ...
"Live everyday
like its your last."
วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
ทั้งสุขและทุกข์เป็นปัญหา
ทั้งสุขและทุกข์เป็นปัญหา
คุณค่าทางภูมิปัญญาของชาวพุทธน่ะมันสูงสุดเท่าไร ก็มุ่งหมายจะกำจัดความเห็นแก่ตัว...ทุกศาสนามุ่งหมายจะสอนความไม่เห็นแก่ตัว แต่ไม่มีใครปฏิบัติ สมาชิกแห่งศาสนาไม่ปฏิบัติ มันเห็นแก่ตัวเสียเรื่อย บางทีเห็นแก่ตัวจนเอาศาสนาเป็นเครื่องมือแสวงหาประโยชน์ เอาศาสนาเป็นเครื่องมือข่มขี่ศาสนาอื่น
ทีนี้ชาวพุทธ พอรู้ รู้ รู้ รู้ รู้ มันจึงถูกต้องตามหลักที่สำคัญสูงสุดคือ กฎของธรรมชาติ ทั้งสากลจักรวาล ก็มีกฎอันนี้ ถูกต้องตามกฎของสากลจักรวาล มันทำผิดอะไรๆ ไม่ได้ มันก็อยู่เหนือปัญหาโดยประการทั้งปวง...
พูดว่าเหนือปัญหาทั้งปวง นี่มันดีกว่าที่จะพูดว่า เหนือความทุกข์ เพราะว่าความสุขก็เป็นปัญหานะ
อย่าเป็นคนโง่ เห็นแต่ว่าความทุกข์เป็นปัญหา แม้ความสุขมันก็เป็นปัญหา ให้เราอยู่เหนือปัญหาเสียดีกว่า โลกไม่เป็นปัญหาแก่เรา ไม่ว่ามันจะมาในแง่บวกหรือแง่ลบ โพซิทีป หรือ เนกาทีฟ ไม่เป็นปัญหาแก่เรา
ไม่หัวเราะ ไม่ร้องไห้ ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ เสียใจไม่ไหว มันจะตายเอา ถึงดีใจมันก็กระหืดกระหอบเหมือนกันแหละ ดีใจเกินไปมันก็นอนไม่หลับ กินข้าวไม่ลง ฉะนั้นอย่าดีใจ อย่าเสียใจ คือ ปกติ ปกติ ปกติ ไม่หัวเราะ ไม่ร้องไห้ เพราะว่าอยู่เหนือปัญหาโดยประการทั้งปวง ชีวิตนี้ไม่เป็นปัญหา ชีวิตนี้ไม่กัดเจ้าของ
คนไม่มีธรรมะอันถูกต้อง คือไม่ตื่น ไม่เบิกบาน ชีวิตมันกัดเจ้าของ ไปดูเอาเองเถอะ ไม่ต้องเชื่ออาตมา คนโง่มันถูกชีวิตเองแหละกัดตัวเอง เดี๋ยวความรักกัด เดี๋ยวความโกรธกัด เดี๋ยวความเกลียดกัด เดี๋ยวความกลัวมากัด เดี๋ยวความตื่นเต้น ตื่นเต้นนั่นนี่กัด เดี๋ยววิตกกังวลกัด เดี๋ยวอาลัยอาวรณ์กัด เดี๋ยวอิจฉาริษยากัด เดี๋ยวความหวงกัด เดี๋ยวความหึงกัด นี่ชีวิตมันกัดเจ้าของ ผู้ไม่มีภูมิปัญญาแห่งพุทธะ
พุทธทาสภิกขุ
บรรยายเรื่อง ภูมิปัญญาแบบพุทธ ปี ๒๕๓๔
คุณค่าทางภูมิปัญญาของชาวพุทธน่ะมันสูงสุดเท่าไร ก็มุ่งหมายจะกำจัดความเห็นแก่ตัว...ทุกศาสนามุ่งหมายจะสอนความไม่เห็นแก่ตัว แต่ไม่มีใครปฏิบัติ สมาชิกแห่งศาสนาไม่ปฏิบัติ มันเห็นแก่ตัวเสียเรื่อย บางทีเห็นแก่ตัวจนเอาศาสนาเป็นเครื่องมือแสวงหาประโยชน์ เอาศาสนาเป็นเครื่องมือข่มขี่ศาสนาอื่น
ทีนี้ชาวพุทธ พอรู้ รู้ รู้ รู้ รู้ มันจึงถูกต้องตามหลักที่สำคัญสูงสุดคือ กฎของธรรมชาติ ทั้งสากลจักรวาล ก็มีกฎอันนี้ ถูกต้องตามกฎของสากลจักรวาล มันทำผิดอะไรๆ ไม่ได้ มันก็อยู่เหนือปัญหาโดยประการทั้งปวง...
พูดว่าเหนือปัญหาทั้งปวง นี่มันดีกว่าที่จะพูดว่า เหนือความทุกข์ เพราะว่าความสุขก็เป็นปัญหานะ
อย่าเป็นคนโง่ เห็นแต่ว่าความทุกข์เป็นปัญหา แม้ความสุขมันก็เป็นปัญหา ให้เราอยู่เหนือปัญหาเสียดีกว่า โลกไม่เป็นปัญหาแก่เรา ไม่ว่ามันจะมาในแง่บวกหรือแง่ลบ โพซิทีป หรือ เนกาทีฟ ไม่เป็นปัญหาแก่เรา
ไม่หัวเราะ ไม่ร้องไห้ ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ เสียใจไม่ไหว มันจะตายเอา ถึงดีใจมันก็กระหืดกระหอบเหมือนกันแหละ ดีใจเกินไปมันก็นอนไม่หลับ กินข้าวไม่ลง ฉะนั้นอย่าดีใจ อย่าเสียใจ คือ ปกติ ปกติ ปกติ ไม่หัวเราะ ไม่ร้องไห้ เพราะว่าอยู่เหนือปัญหาโดยประการทั้งปวง ชีวิตนี้ไม่เป็นปัญหา ชีวิตนี้ไม่กัดเจ้าของ
คนไม่มีธรรมะอันถูกต้อง คือไม่ตื่น ไม่เบิกบาน ชีวิตมันกัดเจ้าของ ไปดูเอาเองเถอะ ไม่ต้องเชื่ออาตมา คนโง่มันถูกชีวิตเองแหละกัดตัวเอง เดี๋ยวความรักกัด เดี๋ยวความโกรธกัด เดี๋ยวความเกลียดกัด เดี๋ยวความกลัวมากัด เดี๋ยวความตื่นเต้น ตื่นเต้นนั่นนี่กัด เดี๋ยววิตกกังวลกัด เดี๋ยวอาลัยอาวรณ์กัด เดี๋ยวอิจฉาริษยากัด เดี๋ยวความหวงกัด เดี๋ยวความหึงกัด นี่ชีวิตมันกัดเจ้าของ ผู้ไม่มีภูมิปัญญาแห่งพุทธะ
พุทธทาสภิกขุ
บรรยายเรื่อง ภูมิปัญญาแบบพุทธ ปี ๒๕๓๔
มรณสติที่สมบูรณ์
มรณสติมีสองส่วน หนึ่ง คือ การระลึกถึงความจริงว่าเราจะต้องตายอย่างแน่นอน และอาจจะตายในวันนี้พรุ่งนี้ก็ได้ สอง การถามตัวเองว่าเราพร้อมตายหรือยัง เราทำความดีมาพอหรือยัง ส่วนที่สองนี้จะโยงสู่การปฏิบัติ คือทบทวนว่าเราได้ทำสิ่งที่ควรทำแล้วหรือยัง
ส่วนนี้หากพิจารณาถูกต้องจะกระตุ้นให้เราขวนขวายทำความดี ไม่ผัดผ่อนในการทำหน้าที่ที่สำคัญ ไม่ว่ากับตัวเอง กับครอบครัว กับพ่อแม่ ลูกหลาน หรือกับส่วนรวมด้วย หากเราทำหน้าที่เหล่านี้ครบถ้วน คือทำทั้งงานภายนอก และงานภายใน เราก็พร้อมสำหรับการพลัดพราก นั้นคือพร้อมจะไปอย่างสงบได้
มรณสติในพระพุทธศาสนาจะต้องมีสองส่วนเสมอ เพียงแค่การระลึกถึงความตายอย่างเดียว ยังไม่ใช่มรณสติที่สมบูรณ์ จะต้องโยงมาสู่การปฏิบัติ หรือใช้ความจริงของชีวิตนั้น เป็นเครื่องกระตุ้นให้เกิดการปฏิบัติ ทั้งทำความดีและฝึกใจให้เรียนรู้ที่จะปล่อยวาง
พระไพศาล วิสาโล
พิการและโรคซึมเศร้า ทำอย่างไรจึงจะหาย
ปุจฉา - กราบนมัสการเจ้าค่ะพระอาจารย์ ตัวสีกาเองตอนนี้ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าเนื่องจากปัญหาครอบครัวที่ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็น และไม่ยอมเข้าใจสีกาเลย รวมทั้งคำดูถูกของคนที่ว่า สีกาใช้ความพิการทางการมองเห็นและการเคลื่อนไหวของตนเองเป็นเครื่องมือหากิน ทั้งนี้ก็เพราะสีกาพยายามขอความช่วยเหลือจากสื่อสาธารณะ และขอให้คนในสังคมอันเป็นผู้ใจบุญ ช่วยกันบริจาคเงินเข้าบัญชีของสีกา ทั้งนี้เพื่อเป็นค่าเดินทางเข้าพบจิตแพทย์ทุกๆ เดือน
เนื่องจากที่บ้านเห็นว่าสีกาไม่จำเป็นต้องใช้จ่ายจึงไม่ให้เงินมาหลายปีแล้ว ดังนั้น สีกาจึงพยายามขอทุนการศึกษาจากองค์กรต่างๆ รวมทั้งปัจจุบันนี้สีกาได้ออกมาอยู่หอพักในมหาวิทยาลัย และให้เพื่อนสอนงานบ้านทุกอย่างให้ เพื่อที่จะได้สามารถดูแลตัวเองได้ เพราะในอนาคตสีกาคิดจะไปเรียนและทำงานที่กรุงเทพฯ หรือจังหวัดอื่นละแวกนั้น
ไม่ทราบว่าสีกาคิดถูกหรือไม่ที่จะพึ่งตนเอง และไม่ทราบว่า นอกจากทานยาแล้ว สีกาควรมีแนวคิดอย่างไร เพื่อช่วยให้หายจากโรคซึมเศร้าได้เร็วขึ้นเจ้าคะ หากเขียนคำใดผิดต้องขออภัยอย่างสูงเจ้าค่ะ ขอบพระคุณสำหรับคำตอบที่จะได้รับเจ้าค่ะ
พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา - แม้คุณประสบทุกข์ แต่ก็ไม่ยอมแพ้ พยายามช่วยเหลือตนเอง โดยไม่ให้คนอื่นเดือดร้อน นับว่าเป็นสิ่งที่น่าอนุโมทนา โรคซึมเศร้านั้นสามารถบรรเทาหรือหายได้ คุณจึงไม่ควรท้อแท้ แต่ก็อย่าหวังพึ่งยาอย่างเดียว การบริหารและฝึกจิตนั้นสามารถช่วยคุณได้ อย่างน้อย ๆ ก็เริ่มด้วยการไม่ปล่อยใจให้ตกอยู่ในความซึมเศร้าอย่างต่อเนื่อง เช่น ไม่นั่งเจ่าจุกครุ่นคิดหรืออยู่เฉย ๆ จนฟุ้งซ่าน แต่ควรหากิจกรรมทำ โดยเฉพาะงานประเภทที่ใช้มือหรือร่างกาย เช่น งานฝีมือ เย็บผ้า ถักโครเชต์ ปลูกต้นไม้ รวมทั้ง การวาดรูป งานศิลปะ โดยทำเป็นงานอดิเรกก็ได้
ที่ขาดไม่ได้อีกอย่างคือ การออกกำลังกาย กิจกรรมเหล่านี้จะมีผลดีต่อจิตใจของคุณด้วย เมื่ออาการดีขึ้น ก็ลองทำสมาธิภาวนา โดยเฉพาะการเจริญสติ ซึ่งจะช่วยให้ไม่จมดิ่งอยู่ในความคิดหรืออารมณ์ที่เป็นลบ
แยกทางกับสามี ทำให้ลูกมีปัญหาเรื่องการเงิน
ปุจฉา - กราบเรียนท่านพระอาจารย์ค่ะ ดิฉันได้แยกทางกับสามีมานานเกือบ 9 ปีนะค่ะ แยกกันอย่างสันติ และมีลูกด้วยกัน 1 คน เป็นหญิงค่ะ ต่างคนก็มีครอบครัวใหม่ แต่ดิฉันไม่มีลูกใหม่ แต่สามีเก่ามีลูกใหม่ 2 คน จึงมีภาระและหน้าที่มากมาย รวมลูกสาวอีกเป็น 3 คน ซึ่งลูกเก่ากำลังเรียนมหาลัย ปี 3
ดิฉันทุกข์ใจเกี่ยวกับลูกสาวค่ะ มีปัญหากับพ่อตลอด ไมค่อยได้เจอพ่อสักเท่าไร ถ้าจะเจอก็ต้องอ้อนวอนให้มารับ จะขอเงิน หรือ สิ่งของต่างๆๆ จนสงสารลูก พ่อชอบอ้างว่า "ไม่มีเงิน " แต่พ่อจะไปเที่ยวทั้งต่างประเทศและในประเทศบ่อย จนลูกรู้ว่าพ่อพูดไม่จริง เวลาลูกขอไปเที่ยวบ้างพ่อกลับไม่ให้ อ้างว่าส่งเสียค่าใช้จ่ายในเรืองการเรียนแล้วลูกไม่มีสิทธิขอเพิ่ม ทุกครั้งที่พ่อไปเที่ยวลูกไม่มีโอกาสไปกับพ่อเพราะพ่อไปกับครอบครัวใหม่ มีญาติพี่น้องไปมากมาย
บางครั้งวัตถุเงินทองไม่สามารถแลกกับความสุขได้เลย แต่ดิฉันก็ส่งเสียให้ลูกเช่นกันนะค่ะไม่ใช่ให้พ่อส่งเสียผู้เดียว การเรียนลูกก็ดี อุปนิสัยดี มีสัมมาคาระวะ รู้ถูกผิด แต่สำหรับพ่อแล้ว ลูกเหนื่อยมากค่ะ ร้องไห้กับแม่มาตลอด จนดิฉันทุกข์ไปกับลูก พ่อมีโรงงานมีฐานะทางสังคมพอประมาณ แต่บีบคั้นการเงินกับลูกมาก เวลาลูกไม่มีคนเป็นแม่ก็ทุกข์นะค่ะ เราจะทานอิ่มทานเต็มได้อย่างไรในเมือลูกต้องลำบาก เราจะเที่ยวสนุกทำไมในเมื่อลูกไม่ได้ไปกับเขาเลย พระอาจารย์ช่วยกรุณา ตอบปัญหาในสิ่งที่ดิฉันข้องใจด้วยนะค่ะ
1. พ่อแม่ส่งเสียเลี้ยงดุลูกไม่เต็มที่ไม่ทำด้วยใจที่บริสุทธิ์บาปไหมคะ
2. ในกรณีนี้ดิฉันควรจะช่วยลูกให้พ้นทุกข์ได้อย่างไรบ้างคะ
3. ดิฉันได้แต่เพียงสอนลูกว่าให้เข้มแข็งอดทนไว้เพื่ออนาคตของลูกแม่จะอยู่เพื่อลูกตลอดไป แต่ใจดิฉันนั้นทุกข์มากมายค่ะ ถูกต้องไหมคะที่สอนลูกแบบนั้น
4. ความรู้สึกของดิฉันที่คิดว่าเป็นเพราะเราที่เลิกกับพ่อเขาลูกถึงได้เป็นเช่นนี้คือสิ่งที่ถูกหรือผิดคะ
ท้ายนี้ขอกราบรบกวนพระอาจารย์ให้ความกระจ่างกับลูกและดิฉันด้วยนะคะ ขอให้พระอาจาร์ยมีสุขภาพแข็งแรง อยู่คู่ความดีและพระพุทธศาสนาตลอดไปนานแสนนานนะค่ะ
พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา - พ่อแม่ควรมีความรักความเมตตาต่อลูก พยายามช่วยเหลือเกื้อกูลให้ลูกมีความสุขความเจริญ คำนึงถึงประโยชน์สุขของลูกมากกว่าของตน หากพ่อแม่ไม่มีสิ่งนี้ ก็ถือว่าไม่ทำหน้าที่ ไม่ถูกต้องทั้งทางโลกและทางธรรม
สามีเก่าของคุณคงทำเช่นนี้มานานจนไม่รู้ว่ามันส่งผลเสียต่อลูกสาวอย่างไร แต่ก่อนเธอเป็นเด็ก อาจไม่คิดอะไรมาก แต่พอโตเป็นวัยรุ่น ก็จะเป็นทุกข์เพราะเรื่องนี้ สามีเก่าของคุณอาจจะคิดว่าแกยังเป็นเด็กอยู่ หรือติดอยู่กับภาพเก่า ๆ จนลืมไปว่าลูกโตเป็นสาวแล้ว มีความรู้สึกนึกคิดแต่งต่างจากตอนเป็นเด็ก หากคุณมีโอกาส น่าจะเตือนสติหรือขอร้องเขาให้สนใจความรู้สึกของลูกสาวบ้าง
ขณะเดียวกันก็พยายามให้กำลังใจลูกสาว ชวนเขามองเห็นสิ่งที่มีบ้าง อย่ามองเห็นแต่สิ่งที่ขาดหรือไม่มีเหมือนคนอื่น เช่น ชี้ให้เห็นว่าเธอยังโชคดีที่ได้เรียนหนังสือ วิชาความรู้ที่ได้มานี้แหละจะเป็นที่พึ่งสำคัญ ควรแนะนำให้เธอขยันเรียน ถือเอาอุปสรรคปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเครื่องกระตุ้นให้เกิดความพากเพียรพยายาม จะได้พึ่งตนเองได้ ต่อไปอยากได้อะไร ก็ไม่ต้องขอใคร อีกไม่นานเธอก็จะจบการศึกษา มีอาชีพการงานของตนเอง หากพึ่งตนเองได้ ความสุขก็จะหาได้ไม่ยาก
หมายเหตุ คำถามได้ถูกปรับทอนให้สั้นลง เพื่อให้ง่ายต่อการอ่าน
ความเป็นหนี้ และความไม่เป็นหนี้ ปี ๒๕๓๐
อย่ารู้จักกันแต่เพียงว่าเราไม่ติดหนี้ใครตามกฎหมาย ให้รู้เสียว่าเรายังเป็นหนี้ หรือติดหนี้คนอื่น หรืออะไรอีกเป็นอันมาก เป็นอันมาก แต่ว่าไม่ใช่ตามกฎหมายแต่ว่าเป็นตามธรรมชาติ
เกิดมาลืมตาขึ้นมาในโลกมันก็เป็นหนี้แล้ว คิดดูเองมองเห็นได้ง่าย พอเกิดออกมาก็เป็นหนี้บุญคุณบิดามารดาที่ให้เกิดมา แล้วก็เป็นหนี้อะไรอีกหลาย ๆ อย่างที่เขาทำไว้ดี ทำไว้ถูกต้อง เราเกิดมาก็ได้อาศัยไอ้ความรู้ หยูกยา การบำบัดโรคภัยไข้เจ็บ พอเกิดมาเราก็ได้ใช้ได้กิน ได้ใช้ ก็เป็นหนี้บุคคลผู้ได้คิดค้นสิ่งเหล่านั้นขึ้นมา ใส่ไว้ในโลก
พอทารกเกิดมาจากท้องมารดาก็ได้ใช้ ได้กินได้ใช้ ก็เป็นหนี้ไปแล้ว ก็เป็นหนี้บุญคุณของบิดามารดาไปแล้ว และมันก็ได้รับการคุ้มครองดูแลรักษาเรื่อยมา ๆ เช่นว่าประเทศชาติมีระบบการปกครองดี มีกฎหมายดี มีการทำหน้าทีดี มีความปลอดภัย เราก็อยู่อย่างปลอดภัย ถ้ามันไม่มีสิ่งเหล่านี้ก็มีคนมาฆ่าตายเมื่อไรก็ได้ จะมีคนมาบุกรุก จะมีคนมาเหยียบย่ำ มาปล้นมาชิงมาอะไรก็ได้ นี่ก็เรียกว่ามันก็เป็นหนี้โดยไม่รู้ตัวแล้ว และบางคนก็ไม่อาจจะรู้หรือไม่คิดไม่คิดไม่ยอมรับรู้ก็มี มันก็มี มีไปตามแบบอันธพาล
เราควรจะระลึกถึงข้อที่ว่า มันอยู่คนเดียวไม่ได้ในโลกนี้ มันจะต้องอาศัยซึ่งกันและกันไปลองคิดอยู่คนเดียวดู ลองคิดอยู่คนเดียวในโลกนี้ดูจะอยู่ได้ไหม จะอยู่ได้อย่างไร ในโลกนี้คนเดียว ไม่ว่าเขาจะยกโลกทั้งโลกนี้ให้เราเป็นเจ้าของครอง คนเดียวมันก็อยู่ไม่ได้นั่นแหละ นี่เรียกว่ามันก็ต้องสัมพันธ์กันทุกอย่าง แล้วจะรู้จักบุญคุณของสิ่งต่าง ๆ ที่เราได้อาศัย คำว่าอาศัยนี่ก็ได้อาศัยกิน ได้อาศัยใช้สอย ได้อาศัยร่มเงา ได้อาศัยเพื่อความปลอดภัย ความสะดวกสบาย คนโบราณเขาจึงมีการสั่งสอนอบรมให้รู้บุญคุณไปเสียหมด แล้วก็จะได้ไม่ทำผิดกับสิ่งเหล่านั้น
พุทธทาสภิกขุ
ธรรมเทศนา ความเป็นหนี้ และความไม่เป็นหนี้ ปี ๒๕๓๐
เกิดมาลืมตาขึ้นมาในโลกมันก็เป็นหนี้แล้ว คิดดูเองมองเห็นได้ง่าย พอเกิดออกมาก็เป็นหนี้บุญคุณบิดามารดาที่ให้เกิดมา แล้วก็เป็นหนี้อะไรอีกหลาย ๆ อย่างที่เขาทำไว้ดี ทำไว้ถูกต้อง เราเกิดมาก็ได้อาศัยไอ้ความรู้ หยูกยา การบำบัดโรคภัยไข้เจ็บ พอเกิดมาเราก็ได้ใช้ได้กิน ได้ใช้ ก็เป็นหนี้บุคคลผู้ได้คิดค้นสิ่งเหล่านั้นขึ้นมา ใส่ไว้ในโลก
พอทารกเกิดมาจากท้องมารดาก็ได้ใช้ ได้กินได้ใช้ ก็เป็นหนี้ไปแล้ว ก็เป็นหนี้บุญคุณของบิดามารดาไปแล้ว และมันก็ได้รับการคุ้มครองดูแลรักษาเรื่อยมา ๆ เช่นว่าประเทศชาติมีระบบการปกครองดี มีกฎหมายดี มีการทำหน้าทีดี มีความปลอดภัย เราก็อยู่อย่างปลอดภัย ถ้ามันไม่มีสิ่งเหล่านี้ก็มีคนมาฆ่าตายเมื่อไรก็ได้ จะมีคนมาบุกรุก จะมีคนมาเหยียบย่ำ มาปล้นมาชิงมาอะไรก็ได้ นี่ก็เรียกว่ามันก็เป็นหนี้โดยไม่รู้ตัวแล้ว และบางคนก็ไม่อาจจะรู้หรือไม่คิดไม่คิดไม่ยอมรับรู้ก็มี มันก็มี มีไปตามแบบอันธพาล
เราควรจะระลึกถึงข้อที่ว่า มันอยู่คนเดียวไม่ได้ในโลกนี้ มันจะต้องอาศัยซึ่งกันและกันไปลองคิดอยู่คนเดียวดู ลองคิดอยู่คนเดียวในโลกนี้ดูจะอยู่ได้ไหม จะอยู่ได้อย่างไร ในโลกนี้คนเดียว ไม่ว่าเขาจะยกโลกทั้งโลกนี้ให้เราเป็นเจ้าของครอง คนเดียวมันก็อยู่ไม่ได้นั่นแหละ นี่เรียกว่ามันก็ต้องสัมพันธ์กันทุกอย่าง แล้วจะรู้จักบุญคุณของสิ่งต่าง ๆ ที่เราได้อาศัย คำว่าอาศัยนี่ก็ได้อาศัยกิน ได้อาศัยใช้สอย ได้อาศัยร่มเงา ได้อาศัยเพื่อความปลอดภัย ความสะดวกสบาย คนโบราณเขาจึงมีการสั่งสอนอบรมให้รู้บุญคุณไปเสียหมด แล้วก็จะได้ไม่ทำผิดกับสิ่งเหล่านั้น
พุทธทาสภิกขุ
ธรรมเทศนา ความเป็นหนี้ และความไม่เป็นหนี้ ปี ๒๕๓๐
บาดหมางกับน้องชายเรื่องธุรกิจ ควรเลิกทำไม
ปุจฉา - กราบนมัสการค่ะ หนูมีปัญหาอยากถามท่านค่ะ หนูทำงานกับน้องชาย เป็นธุรกิจส่วนตัวเล็กๆ เดิมทีหนูทำของหนูอยู่แล้ว เป็นธุรกิจที่ทำแบบเดียวกันกับน้องชาย ธุรกิจของหนูกำลังไปได้ดี แต่พ่อกับแม่บอกให้หนูปิดร้านของหนูมาช่วยน้องชาย เพราะน้องชายหนูเค้าทำธุรกิจหลายอย่าง ไม่มีคนดูแล หนูก็เลยปิดร้านหนูมาช่วยน้องชายดูแลแทนเค้า
แต่ทำงานร่วมกันมาเกือบ 2 ปี มีปัญหากันตลอดค่ะ ความคิดเห็นไม่ตรงกัน หนูกับน้องชายเราเข้ากันไม่ได้เลยในเรื่องของงาน เวลาเค้าโมโหก็อารมณ์รุนแรง พูดจาดูถูกหนูหลายเรื่อง ว่าหนูมาเอาเปรียบเค้า ทำงานไม่คุ้มกับเงินที่ได้ ในสายตาน้องชายหนูเค้าเห็นหนูเป็นลูกน้อง เค้ามองหนูว่าหนูไม่มีคุณค่า ไม่ให้เกียรติหนูเลย ทั้งๆ ที่หนูเป็นพี่สาวเค้า คำพูดที่เค้าใช้ว่าหนู หนูเสียความรู้สึกมาก เวลามีปัญหาเรื่องงาน แรกๆ ก็ทะเลาะกัน แต่มาช่วงหลังหนูเบื่อ หนูไม่ทะเลาะกับเค้า นิ่งๆ เงียบๆ และก็บอกกับน้องชายว่ายอมรับผิดทุกอย่าง ขายของไม่ดี ยอดตก เค้าก็โทษหนู ถ้าทำดีก็เสมอตัว ทำไม่ดีก็จะโดนเค้าว่าค่ะ
ที่หนูทนทุกวันนี้ก็อยากให้พ่อกับแม่สบายใจ แต่ครั้งนี้หนูคิดว่าหนูพอแล้วค่ะ กับการทนอยู่ในสภาพแบบนี้ หนูเลยตัดสินใจว่าจะไม่ทำงานกับเค้าแล้ว ออกมาทำอะไรด้วยตัวเองดีกว่า น้องชายหนูเค้าเป็๋นคนเก่งค่ะ ทำธุรกิจหลายอย่างประสบความสำเร็จ พวกอีโก้สูงค่ะ
หนูตัดสินใจถูกแล้วใช่ไหมคะ หนูอยากให้ความเป็นพี่น้องของเรายังอยู่ ไม่อยากให้เสียความรู้สึกกันไปมากกว่านี้ค่ะ หนูกับน้องชายหนู เราก็เสียความรู้สึกด้วยกันทั้งคู่ค่ะ
ขอบพระคุณท่านมากค่ะ
พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา - มีคำพูดว่า เงินไม่เข้าใครออกใคร ใครก็ตาม ไม่ว่ารักกันแค่ไหน พอมาทำธุรกิจด้วยกัน ก็มักมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจกัน เพื่อนรักแตกคอกัน พี่น้องบาดหมางกันเพราะเหตุนี้ก็มาก ทั้งนี้เนื่องจากเงินนั้นมักกระตุ้นความเห็นแก่ตัวให้ออกมาได้ง่าย หรือทำให้กำไร-ขาดทุนกลายเป็นเรื่องใหญ่กว่าความสัมพันธ์ฉันมิตรหรือพี่น้อง เรื่องนี้คุณคงเห็นชัดด้วยตัวคุณเองแล้ว หากเกรงว่าพ่อแม่จะเป็นทุกข์กับการตัดสินใจของคุณ คุณควรชี้แจงท่านให้เข้าใจ เชื่อว่าถ้าท่านเห็นปัญหา ท่านย่อมยอมรับการตัดสินใจของคุณได้
ทำงานอย่างมีความสุขได้อย่างไร เมื่อเจ้านายไม่เป็นกัลยาณมิตร
ปุจฉา - กราบนมัสการ พอจ. อยากทราบว่าจะวางใจและปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อต้องทำงานภายใต้บรรดาเจ้านายที่ไม่มีคุณธรรม ชอบหักหลัง ทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของธุรกิจตัวเอง ในที่ทำงานมีการเมืองภายในเยอะ โยมต้องสื่อสารกับระดับหัวหน้าทุกแผนก แต่ปัญหาคือคนที่อยู่ในตำแหน่งหัวหน้าเหล่านั้นไม่มีความรู้ในงานที่รับผิดชอบ จึงทำให้เกิดปัญหากระทบมาถึงโยมให้ต้องคอยแก้ไขให้เสมอๆ จนโยมเบื่อ อยากหางานใหม่ พอจ.ช่วยชี้แนะวิธีทำใจให้เป็นสุขในการทำงานด้วยค่ะ
พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา - การทำงานจะมีความสุขหากคุณเห็นคุณค่าของงาน อีกทั้งมีกัลยาณมิตรที่คอยช่วยเหลือให้กำลังใจกัน ไม่คิดเอาเปรียบเบียดเบียนกัน ประการหลังนั้นเป็นสิ่งสำคัญสำหรับงานที่ต้องทำเป็นหมู่คณะ หากคนระดับเจ้านายหรือหัวหน้าไม่สามารถเป็นกัลยาณมิตรได้ ก็ควรหาจากเพื่อนร่วมงานหรือลูกน้อง แต่ถ้าหาไม่ได้ คุณก็ควรทุ่มเทไปที่งานของคุณ หากเห็นว่างานที่ตนทำนั้นมีประโยชน์ ก็จะทำให้คุณมีฉันทะในงาน ฉันทะช่วยให้ทำงานอย่างมีความสุข แม้มีปัญหาแต่ถ้ามองว่าเป็นเรื่องท้าทาย ก็จะรู้สึกสนุกกับการแก้ปัญหา หาไม่ก็ต้องรู้จักทำใจปล่อยวาง ทำเต็มกำลัง แต่ถ้าไม่ได้ผล ก็ไม่เสียใจ เพราะทำเต็มที่แล้ว
การเอาความสุขของเราไปผูกติด กับสิ่งใด ๆ ก็ตาม
การเอาความสุขของเราไปผูกติด กับสิ่งใด ๆ ก็ตาม...มักตามมาด้วยความทุกข์ เพราะทุกสิ่งก็ล้วนพึ่งพาสิ่งอื่น ไม่เป็นอิสระหรือเที่ยงแท้ยั่งยืน พูดอีกอย่างหนึ่ง มันเป็นอนัตตา ดังนั้น จึงแปรเปลี่ยนอยู่เสมอ มิอาจเป็นไปดังใจได้
การพึ่งตัวเอง ไม่หวังพึ่งพาความสุขจากสิ่งใด ๆ จะช่วยให้เราเป็นอิสระอย่างแท้จริง และเป็นสุขในทุกหนแห่ง ไม่ว่าสิ่งต่าง ๆ จะผันผวนปรวนแปรอย่างใด
พระไพศาล วิสาโล
การพึ่งตัวเอง ไม่หวังพึ่งพาความสุขจากสิ่งใด ๆ จะช่วยให้เราเป็นอิสระอย่างแท้จริง และเป็นสุขในทุกหนแห่ง ไม่ว่าสิ่งต่าง ๆ จะผันผวนปรวนแปรอย่างใด
พระไพศาล วิสาโล
วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
น้ำตะไคร้
น้ำตะไคร้
สรรพคุณ : บรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอเปรี้ยว หอบเหนื่อย ช่วยขับปัสสาวะ ขับลมในลำไส้
วิธีทำ : ใช้รากและลำต้น หั่นเป็นฝอยบางๆ ๒๐๐ กรัม ต้มกับน้ำ ๑ ลิตร เติมน้ำตาลกรวด ๒๐๐ กรัม ระหว่างที่ต้มให้คอยตักฟองทิ้งด้วย ต้มนาน ๕ นาที พอเดือดแล้วยกลงได้ อย่าต้มเคี่ยวไว้นานเกินไป เพราะน้ำจะเปลี่ยนสีไม่น่ากิน เสร็จแล้วทิ้งไว้ให้เย็น นำผ้าขาวบางมากรองแล้วแช่ตู้เย็นเก็บไว้เป็นเครื่องดื่มได้เลย
เครดิต หมอชาวบ้าน
สรรพคุณ : บรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอเปรี้ยว หอบเหนื่อย ช่วยขับปัสสาวะ ขับลมในลำไส้
วิธีทำ : ใช้รากและลำต้น หั่นเป็นฝอยบางๆ ๒๐๐ กรัม ต้มกับน้ำ ๑ ลิตร เติมน้ำตาลกรวด ๒๐๐ กรัม ระหว่างที่ต้มให้คอยตักฟองทิ้งด้วย ต้มนาน ๕ นาที พอเดือดแล้วยกลงได้ อย่าต้มเคี่ยวไว้นานเกินไป เพราะน้ำจะเปลี่ยนสีไม่น่ากิน เสร็จแล้วทิ้งไว้ให้เย็น นำผ้าขาวบางมากรองแล้วแช่ตู้เย็นเก็บไว้เป็นเครื่องดื่มได้เลย
เครดิต หมอชาวบ้าน
น้ำดอกคำฝอย
น้ำดอกคำฝอย
สรรพคุณ : ช่วยลดไขมัน บำรุงเลือด แก้ลมขึ้นเบื้องสูง ชุ่มคอ
วิธีทำ : ใช้ดอกคำฝอยแห้ง ๓๐๐ กรัมห่อผ้าขาวไว้ นำมาต้มกับน้ำ ๒ ลิตร ต้มนาน ๕ นาที (ไม่ต้องใส่น้ำตาล เพราะใช้ดื่มแบบน้ำชาได้) เสร็จแล้วอาจกรองให้สะอาดอีกครั้ง ใช้ดื่มตอนอุ่นๆ
เครดิต หมอชาวบ้าน
สรรพคุณ : ช่วยลดไขมัน บำรุงเลือด แก้ลมขึ้นเบื้องสูง ชุ่มคอ
วิธีทำ : ใช้ดอกคำฝอยแห้ง ๓๐๐ กรัมห่อผ้าขาวไว้ นำมาต้มกับน้ำ ๒ ลิตร ต้มนาน ๕ นาที (ไม่ต้องใส่น้ำตาล เพราะใช้ดื่มแบบน้ำชาได้) เสร็จแล้วอาจกรองให้สะอาดอีกครั้ง ใช้ดื่มตอนอุ่นๆ
เครดิต หมอชาวบ้าน
เมฆแผ่นดินไหว เมฆเกล็ดปลา
เมฆแผ่นดินไหว เมฆเกล็ดปลา
เมฆแผ่นดินไหว? ตามทฤษฎีของ Zhonghao Shou นักเคมีชาวจีนที่ศึกษามานานมาก จนยืนยันว่า 70% ของก้อนเมฆที่ถ่ายรูปไว้ มีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นตามมา ในเหตุการณ์นี้ก็เหมือนกัน มีนักถ่ายภาพคนหนึ่งถ่ายรูปเมฆเอาไว้เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2551 ก็คือ 2 วันก่อนแผ่นดินไหว ในบริเวณ Linyi มณฑฉาตง (Shandong) จากนั้นเขาเอาภาพเหล่านี้ไปแปะไว้ในเวบไซต์ http://www.daqi.comและวิเคราะห์กันว่า/ เมฆประเภทคลื่นนี้ เป็นเมฆแผ่นดินไหวที่ชัดเจนที่สุดภาพหนึ่งทีเดียว มันมีลักษณะการเรียงตัวเป็นคลื่นและมีเส้นแสงบนเมฆแปลกๆ ดังภาพ(สวยแต่น่ากลัว - -)
เมฆแผ่นดินไหว? ตามทฤษฎีของ Zhonghao Shou นักเคมีชาวจีนที่ศึกษามานานมาก จนยืนยันว่า 70% ของก้อนเมฆที่ถ่ายรูปไว้ มีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นตามมา ในเหตุการณ์นี้ก็เหมือนกัน มีนักถ่ายภาพคนหนึ่งถ่ายรูปเมฆเอาไว้เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2551 ก็คือ 2 วันก่อนแผ่นดินไหว ในบริเวณ Linyi มณฑฉาตง (Shandong) จากนั้นเขาเอาภาพเหล่านี้ไปแปะไว้ในเวบไซต์ http://www.daqi.comและวิเคราะห์กันว่า/ เมฆประเภทคลื่นนี้ เป็นเมฆแผ่นดินไหวที่ชัดเจนที่สุดภาพหนึ่งทีเดียว มันมีลักษณะการเรียงตัวเป็นคลื่นและมีเส้นแสงบนเมฆแปลกๆ ดังภาพ(สวยแต่น่ากลัว - -)
@ คิดอย่างไรไม่ให้ทุกข์
@ คิดอย่างไรไม่ให้ทุกข์
ความคิด เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้คนเราเกิดความทุกข์ยิ่งคิดมากก็ทุกข์มาก หากรู้จักคิดให้เป็นก็
จะช่วยให้ลดความทุกข์ไปได้มาก
วิธีคิดที่เหมาะสมได้แก่
1. คิดในแง่ยืดหยุ่นให้มาก
อย่าเอาแต่เข้มงวด จับผิด หรือตัดสินผิดถูกตัวเองและผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา จงละวางผ่อนหนัก
ผ่อนเบา ลดทิฐิมานะ รู้จักให้อภัยไม่ถือโทษโกรธเคือง หัดลืมเสียบ้าง ชีวิตจะมีความสุขมากขึ้น
2. คิดอย่างมีเหตุผล
อย่าด่วนเชื่ออะไรง่ายๆ แล้วเก็บเอามาคิดวิตกกังวล ให้พยายามใช้เหตุผลตรวจสอบหาข้อ
เท็จจริง ไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อนนอกจากจะไม่ต้องตกเป็นเหยื่อให้ใครหลอกได้ง่ายๆ แล้วยังตัดความกังวลได้ด้วย
3. คิดหลาย ๆ แง่มุม
ลองคิดหลายๆ ด้าน ทั้งด้านดีและด้านไม่ดี เพราะไม่ว่าคนหรือไม่ว่าเหตุการณ์อะไร ก็ตามย่อม
มีทั้งส่วนดี และไม่ดีประกอบกันทั้งนั้นอย่ามองเพียงด้านเดียวให้ใจเป็นทุกข์ นอกจากนี้ควรหัดคิดในมุมของคนอื่นบ้าง เช่น สามีจะคิดอย่างไร ลูกจะรู้สึกอย่างไร เจ้านายจะแก้ปัญหานี้อย่างไร เป็นต้น จะช่วยให้มองอะไรได้กว้างไกลกว่าเดิม
4. คิดแต่เรื่องดี ๆ
ถ้าคอยคิดถึงแต่เรื่องร้ายๆ เรื่องความล้มเหลว ผิดหวังหรือเรื่องไม่เป็นสุขทั้งหลายก็ ยิ่งทุกข์ไป
ใหญ่ ควรคิดถึงเรื่องดีๆ ให้มากขึ้น เช่น คิดถึงประสบการณ์ที่เป็นสุขในอดีต ความสำเร็จในชีวิตที่ผ่านมา คำชมเชยที่ได้รับความดีของคู่สมรส ความมีน้ำใจของเพื่อน ฯลฯ จะช่วยให้สบายใจมากขึ้น
5. คิดถึงคนอื่นบ้าง
อย่าคิดหมกมุ่นอยู่กับตัวเองเท่านั้น เปิดใจให้กว้าง รับรู้ความเป็นไปของคนใกล้ชิด และใส่ใจที่
จะช่วยเหลือ สนใจปัญหาของผู้คนในสังคมบ้างบางทีคุณอาจจะพบว่าปัญหาที่คุณ กำลังเป็นทุกข์อยู่นี้ ช่างเล็กน้อยเหลือเกิน เมื่อเทียบกับปัญหาของคนอื่นๆ คุณจะรู้สึกดีขึ้นและยิ่งถ้าคุณช่วยเหลือคนอื่นได้ คุณจะสุขใจขึ้นเป็นทวีคูณด้วย
ที่มาของข้อมูล : จากคู่มือดูแลตนเอง เรื่อง ทำอย่างไรเมื่อใจเป็นทุกข์ หน้า 9-17 โดย.กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข
ความคิด เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้คนเราเกิดความทุกข์ยิ่งคิดมากก็ทุกข์มาก หากรู้จักคิดให้เป็นก็
จะช่วยให้ลดความทุกข์ไปได้มาก
วิธีคิดที่เหมาะสมได้แก่
1. คิดในแง่ยืดหยุ่นให้มาก
อย่าเอาแต่เข้มงวด จับผิด หรือตัดสินผิดถูกตัวเองและผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา จงละวางผ่อนหนัก
ผ่อนเบา ลดทิฐิมานะ รู้จักให้อภัยไม่ถือโทษโกรธเคือง หัดลืมเสียบ้าง ชีวิตจะมีความสุขมากขึ้น
2. คิดอย่างมีเหตุผล
อย่าด่วนเชื่ออะไรง่ายๆ แล้วเก็บเอามาคิดวิตกกังวล ให้พยายามใช้เหตุผลตรวจสอบหาข้อ
เท็จจริง ไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อนนอกจากจะไม่ต้องตกเป็นเหยื่อให้ใครหลอกได้ง่ายๆ แล้วยังตัดความกังวลได้ด้วย
3. คิดหลาย ๆ แง่มุม
ลองคิดหลายๆ ด้าน ทั้งด้านดีและด้านไม่ดี เพราะไม่ว่าคนหรือไม่ว่าเหตุการณ์อะไร ก็ตามย่อม
มีทั้งส่วนดี และไม่ดีประกอบกันทั้งนั้นอย่ามองเพียงด้านเดียวให้ใจเป็นทุกข์ นอกจากนี้ควรหัดคิดในมุมของคนอื่นบ้าง เช่น สามีจะคิดอย่างไร ลูกจะรู้สึกอย่างไร เจ้านายจะแก้ปัญหานี้อย่างไร เป็นต้น จะช่วยให้มองอะไรได้กว้างไกลกว่าเดิม
4. คิดแต่เรื่องดี ๆ
ถ้าคอยคิดถึงแต่เรื่องร้ายๆ เรื่องความล้มเหลว ผิดหวังหรือเรื่องไม่เป็นสุขทั้งหลายก็ ยิ่งทุกข์ไป
ใหญ่ ควรคิดถึงเรื่องดีๆ ให้มากขึ้น เช่น คิดถึงประสบการณ์ที่เป็นสุขในอดีต ความสำเร็จในชีวิตที่ผ่านมา คำชมเชยที่ได้รับความดีของคู่สมรส ความมีน้ำใจของเพื่อน ฯลฯ จะช่วยให้สบายใจมากขึ้น
5. คิดถึงคนอื่นบ้าง
อย่าคิดหมกมุ่นอยู่กับตัวเองเท่านั้น เปิดใจให้กว้าง รับรู้ความเป็นไปของคนใกล้ชิด และใส่ใจที่
จะช่วยเหลือ สนใจปัญหาของผู้คนในสังคมบ้างบางทีคุณอาจจะพบว่าปัญหาที่คุณ กำลังเป็นทุกข์อยู่นี้ ช่างเล็กน้อยเหลือเกิน เมื่อเทียบกับปัญหาของคนอื่นๆ คุณจะรู้สึกดีขึ้นและยิ่งถ้าคุณช่วยเหลือคนอื่นได้ คุณจะสุขใจขึ้นเป็นทวีคูณด้วย
ที่มาของข้อมูล : จากคู่มือดูแลตนเอง เรื่อง ทำอย่างไรเมื่อใจเป็นทุกข์ หน้า 9-17 โดย.กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข
ภาวะทางจิตใจที่ทำให้เกิดโรคทางกาย
@ ภาวะทางจิตใจที่ทำให้เกิดโรคทางกาย โดย ผศ. นพ. ปราโมทย์ สุดคนิชย์ คณะแพทย์ศาสตร์ รามาธิบดี
โรคภาวะทางจิตใจสามารถทำให้เกิดโรคทางกายได้หลายชนิดมักผ่านการทำงานของระบบประสาท
อัตโนมัติและฮอร์โมน โรคทางกายที่พบบ่อยได้แก่่
1. ปวดศีรษะ ถือเป็นอาการที่พบบ่อยมากที่สุด อาการหนึ่ง
เนื่องมาจากมีสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการนี้ได้มากมาย แต่การตรวจ
ร่างกายแล้วพบสาเหตุนั้น กลับพบ ไม่บ่อย ซึ่งทำให้ทั้งแพทย์และผู้ป่วยไม่สบายใจ เชื่อว่าสาเหตุ ส่วนใหญ่เกิดจากอารมณ์และความเครียด เช่น ภาวะวิตก กังวล หรือภาวะซึมเศร้า มากระตุ้นให้เกิดอาการขึ้นอย่างไร ก็ตาม อาการปวดศีรษะนี้ นอกจากจะเป็นการแสดงออก ของอารมณ์ภายในแล้ว ยังอาจมาจากความเชื่อแบบหลงผิด (delusion) หรือเป็นการสื่อให้บุคคลภายนอกรอบตัวผู้ป่วย ให้ความสนใจกับผู้ป่วยมากขึ้น ซึ่งแพทย์ควรให้ความสนใจ กับผลของอาการนี้ต่อชีวิตทั่วไปของผู้ป่วยและครอบครัวด้วย
ชนิดของโรคปวดศีรษะที่สัมพันธ์กับจิตใจคือ
1.1 ไมเกรน มีปัจจัยทางพันธุกรรมมาเกี่ยวข้องด้วยกว่า 2 ใน 3 ของผู้ป่วยและมักพบในผู้มี
อาการมีบุคลิกภาพแบบพยายามควบคุมทุกอย่างในชีวิตให้ดี มีระเบียบ ไม่แสดงความโกรธ แต่ไม่พบว่าจะมีเหตุการณ์ใดที่เจาะจงให้เกิดอาการนี้อาศัยการรักษาด้วยยาเพื่อควบคุมอาการ และใช้จิตบำบัดเพื่อแก้ไขบุคลิกดังกล่าวในระยะยาว
1.2 ปวดศีรษะจากความตึงเครียด (Tension headache) ส่วนใหญ่มีอาการในช่วงบ่ายหรือเย็นหลังการงานที่ทำให้เครียด หรือบางรายก็มีปัญหากับครอบครัว โรคทางจิตเวชเกือบทุกโรคทำให้เกิดอาการชนิดนี้ได้ โดยเฉพาะกับผู้ที่จริงจังและแข่งขัน ควรค้นหาว่ามีโรคทางจิตเวชหรือไม่ โดยถามถึงอาการร่วมอื่นๆ อาจให้ยาคลายกังวล ในระยะยาว นอกจากนี้ การฝึกผ่อนคลาย การทำจิตบำบัดจะช่วยป้องกันอาการเป็นซ้ำได้
2. โรคที่เกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน
มีข้อสังเกตมานานแล้วว่า เมื่อบุคคลมีความเครียด จะเกิดการเจ็บป่วยได้ง่ายและบ่อยขึ้นจากโรคต่างๆ ไม่ว่าโรคติดเชื้อหรือโรคภูมิแพ้ ปัจจุบันจึงมีการศึกษาทางการแพทย์ในเรื่องดังกล่าวให้ชัดเจนมากขึ้น แม้การศึกษาจะไม่บ่งชี้ชัดนักในแง่การวัดปริมาณเม็ดเลือดหรือสารภูมิคุ้มกัน เช่น มีเส้นใยประสาทในไขกระดูก หรือต่อมไทมัสหรือหากไฮโปทาลามัส ถูกทำลายจะทำให้ปฏิกิริยาภูมิแพ้ต่างไปจากเดิม
นอกจากนี้ การทำงานของเม็ดเลือดขาว ก็ขึ้นกับสื่อประสาทและฮอร์โมนหลายชนิด หรือโรคที่
เกี่ยวกับภูมิคุ้มกันบางอย่าง รวมทั้งผู้ป่วยเอดส์ มีอาการรุนแรงมากน้อยตามความเครียด มีผู้พบว่าผู้ป่วยวัณโรคที่ได้รับการช่วยเหลือทางจิตใจจะฟื้นตัวได้ดียิ่งขึ้น
3. ปวดหลัง
เช่นเดียวกับอาการปวดศีรษะ กว่าร้อยละ 95 ของผู้มีอาการปวดหลังไม่สามารถตรวจพบความผิดปกติที่ชัดเจนได้ นอกจากนั้นพบว่าผู้มีอาการนี้ไม่น้อยมีความกังวลหรือซึมเศร้าร่วมอยู่ด้วย การรักษาจึงอาจให้ยารักษาภาวะดังกล่าวร่วมกับยาแก้ปวด รวมทั้งให้คำแนะนำ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ และสนับสนุนให้กลับไปทำหน้าที่เดิม
4. ไขข้ออักเสบรูมาตอยด์
มีผู้สนใจในบุคลิกภาพของผู้ป่วยด้วยโรคนี้ว่า มักมีลักษณะเสียสละ ทำตนให้ลำบาก อดกลั้น
และต้องพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด โดยไม่แสดงความรู้สึก และมีบางรายพบว่า อาการกำเริบตามความเครียดทางจิตใจ ผู้ป่วยเหล่านี้มีโอกาสเกิดความซึมเศร้าอันเป็นผลมาจากความพิการจากโรคได้ง่ายกว่าคนทั่วไป
5. โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด
โรคหัวใจขาดเลือด เกิดอาการได้เสมอหากผู้ป่วยเกิดความเครียดหรือโกรธ มีผู้เสนอว่า ผู้ที่
ป่วยโรคเหล่านี้มักมีบุคลิกภาพที่แข่งขัน รุนแรง ทะเยอทะยาน ไขว่คว้า แต่อารมณ์ฉุนเฉียว โดยจะพบระดับโปรตีนในเลือด, คลอเลสเตอรอล หรือไตรกลีเซอไรด์ ในเลือดสูงด้วย จนเสี่ยงต่อภาวะดังกล่าว
โรคความดันโลหิตสูงที่ไม่ทราบสาเหตุ คนเหล่านี้มักมีท่าทีเป็นมิตร เชื่อฟังเคร่งครัดตามกฎ และเก็บงำความโกรธไว้ไม่แสดงออก ร่วมกับมีประวัติครอบครัวของการป่วยโรคนี้
การรักษาทั้ง 2 โรค ได้แก่ การทำจิตบำบัดเพื่อเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิต แนวคิดมุ่งหวัง ให้รู้จักผ่อนคลาย ทำเทคนิคคลายเครียดอย่างมีหลักการร่วมกับการใช้ยาควบคุมโรคดังกล่าวโดยตรง
6. โรคระบบทางเดินอาหาร
โรคแผลในกระเพาะอาหารและอาการท้องอืด เป็นที่ยอมรับมานานแล้วว่า อาการและโรคนี้
สัมพันธ์ใกล้ชิดกับโรควิตกกังวลเรื้อรัง โดยเฉพาะแผลในกระเพาะอาหารมากกว่าแผลในลำไส้เล็กมีการศึกษาด้วยว่า ความกังวลทำให้มีการเคลื่อนไหวบีบตัวของกระเพาะอาหารผิดปกติ ร่วมกับรายงานที่ว่า เมื่อบุคคลต้องเผชิญกับเหตุการณ์เครียดที่รุนแรง เช่น การสูญเสียคนใกล้ชิด จะมีอาการท้องอืดมากกว่าคนทั่วไป การรักษาด้วยยารักษาโรคกระเพาะเท่านั้น จึงอาจไม่เพียงพอในการรักษาหรือป้องกันในระยะยาว การฝึกผ่อนคลาย การแก้ปัญหา และจิตบำบัดร่วมไปด้วย จะทำให้ผู้ป่วยปลอดจากอาการดังกล่าวได้นานกว่าผู้รับประทานยารักษาโรคกระเพาะเพียงอย่างเดียว
ภาวะกลุ่มอาการท้องผูกสลับกับท้องเสีย (Irritable bowel syndrome) มักมีอาการทองผูกสลับท้องเสียปวดท้องมีลมในทางเดินอาหารมากอย่างเรื้อรัง โดยไม่สัมพันธ์กับชนิดของมื้ออาหาร หรือการติดเชื้อ หรือการใช้ยาในสหรัฐอเมริกา พบว่าผู้ไปพบแพทย์ระบบทางเดินอาหารมากกว่าร้อยละ 50 มีอาการนี้ และกว่าร้อยละ 32 มีสมาชิกในครอบครัวที่มีอาการนี้เช่นกัน การทดสอบด้วยแบบทดสอบทางจิตวิทยาพบว่า ผู้ป่วยจะมีความกังวล ขาดความเชื่อมั่น โทษตนเอง และอาจบอกอาการเจ็บป่วยอื่นๆ อีกคล้ายในโรคความผิดปกติทางจิตใจที่แสดงอาการออกทางร่างกาย (กลุ่ม somatization disorder) และเมื่อมีความเครียด ผู้ป่วยจะเกิดอาการมากขึ้น คนรอบข้างจะให้ความสนใจผู้ป่วยมากขึ้นด้วย การรักษาจึงต้องอาศัยหลายวิธี ทั้งการใช้ยารักษาอาการท้องผูก ท้องเสีย การควบคุมชนิดของอาหาร การฝึกผ่อนคลาย การทำจิตบำบัด ให้ให้ยาต้านเศร้า กลุ่ม tricyclic ร่วมกับการเปลี่ยนการสนองต่อการของครอบครัวของผู้ป่วยด้วย
7. อาการของระบบทางเดินหายใจ
ที่พบบ่อยมากในห้องฉุกเฉินของทุกโรงพยาบาล คืออาการของระบบทางเดินหายใจชนิดหนึ่ง
(hyperventilation syndrome) ที่มีอาการคล้ายหอบหืด โดยผู้ป่วยจะมีอาการหายใจหอบเร็ว หัวใจเต้นแรง บ่นแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก มือเท้าชา เกร็ง บางรายจะมีนิ้วมือจีบร่วมด้วย
โรคหอบหืด แม้ว่าจะมีการพิสูจน์แล้วว่าอาการของโรคเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันแต่มีข้อสังเกตว่า
ผู้ป่วยมักมีลักษณะเก็บความโกรธ ไม่สามารถแสดงความอยากพึ่งพิงผู้อื่นออกได้ และอารมณ์ดังกล่าวถูกส่งผ่านระบบประสาทอัตโนมัติและระบบภูมิคุ้มกันจนเกิดอาการ ดังนั้น เมื่อพบผู้ป่วยที่มีอาการเป็นประจำ การมองหาปัจจัย ทางจิตใจและแก้ไขนอกเหนือไปจากการให้ยาขยายหลอดลมอาจช่วยให้อาการของโรคดีขึ้นสำหรับความสัมพันธ์ ระหว่างสภาพจิตใจกับการเกิดมะเร็งนั้น ยังไม่อาจสรุปได้แน่ชัดว่าเป็นเหตุและผลต่อกันได้อย่างชัดเจน เนื่องจากมีปัจจัยอื่นอีกหลายประการที่เข้ามามีบทบาทในการเกิดมะเร็ง เช่น พันธุกรรม การใช้ชีวิต การได้เผชิญกับสารต่างๆ ตลอดจนภาวะภูมิคุ้มกันของบุคคลนั้นๆ อย่างไรก็ตาม พบว่าสภาพจิตใจมีผลต่อการดำเนินโรคของมะเร็งอยู่ไม่น้อย
จะเห็นได้ว่า โรคทางกายที่เป็นผลจากจิตใจดังกล่าว แม้จะมีพยาธิสภาพทางกายหรือ
พยาธิสรีระ ที่เกิดขึ้นจริง แต่การใช้ยารักษาอาการทางกายโดยไม่สนใจสภาพจิตใจ จะทำให้ประสิทธิภาพการรักษาด้อยลง ดังนั้นจึงควรคำนึงถึงการรักษาด้านจิตสังคม การเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตของผู้ป่วยควบคู่ไปด้วย
โรคภาวะทางจิตใจสามารถทำให้เกิดโรคทางกายได้หลายชนิดมักผ่านการทำงานของระบบประสาท
อัตโนมัติและฮอร์โมน โรคทางกายที่พบบ่อยได้แก่่
1. ปวดศีรษะ ถือเป็นอาการที่พบบ่อยมากที่สุด อาการหนึ่ง
เนื่องมาจากมีสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการนี้ได้มากมาย แต่การตรวจ
ร่างกายแล้วพบสาเหตุนั้น กลับพบ ไม่บ่อย ซึ่งทำให้ทั้งแพทย์และผู้ป่วยไม่สบายใจ เชื่อว่าสาเหตุ ส่วนใหญ่เกิดจากอารมณ์และความเครียด เช่น ภาวะวิตก กังวล หรือภาวะซึมเศร้า มากระตุ้นให้เกิดอาการขึ้นอย่างไร ก็ตาม อาการปวดศีรษะนี้ นอกจากจะเป็นการแสดงออก ของอารมณ์ภายในแล้ว ยังอาจมาจากความเชื่อแบบหลงผิด (delusion) หรือเป็นการสื่อให้บุคคลภายนอกรอบตัวผู้ป่วย ให้ความสนใจกับผู้ป่วยมากขึ้น ซึ่งแพทย์ควรให้ความสนใจ กับผลของอาการนี้ต่อชีวิตทั่วไปของผู้ป่วยและครอบครัวด้วย
ชนิดของโรคปวดศีรษะที่สัมพันธ์กับจิตใจคือ
1.1 ไมเกรน มีปัจจัยทางพันธุกรรมมาเกี่ยวข้องด้วยกว่า 2 ใน 3 ของผู้ป่วยและมักพบในผู้มี
อาการมีบุคลิกภาพแบบพยายามควบคุมทุกอย่างในชีวิตให้ดี มีระเบียบ ไม่แสดงความโกรธ แต่ไม่พบว่าจะมีเหตุการณ์ใดที่เจาะจงให้เกิดอาการนี้อาศัยการรักษาด้วยยาเพื่อควบคุมอาการ และใช้จิตบำบัดเพื่อแก้ไขบุคลิกดังกล่าวในระยะยาว
1.2 ปวดศีรษะจากความตึงเครียด (Tension headache) ส่วนใหญ่มีอาการในช่วงบ่ายหรือเย็นหลังการงานที่ทำให้เครียด หรือบางรายก็มีปัญหากับครอบครัว โรคทางจิตเวชเกือบทุกโรคทำให้เกิดอาการชนิดนี้ได้ โดยเฉพาะกับผู้ที่จริงจังและแข่งขัน ควรค้นหาว่ามีโรคทางจิตเวชหรือไม่ โดยถามถึงอาการร่วมอื่นๆ อาจให้ยาคลายกังวล ในระยะยาว นอกจากนี้ การฝึกผ่อนคลาย การทำจิตบำบัดจะช่วยป้องกันอาการเป็นซ้ำได้
2. โรคที่เกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน
มีข้อสังเกตมานานแล้วว่า เมื่อบุคคลมีความเครียด จะเกิดการเจ็บป่วยได้ง่ายและบ่อยขึ้นจากโรคต่างๆ ไม่ว่าโรคติดเชื้อหรือโรคภูมิแพ้ ปัจจุบันจึงมีการศึกษาทางการแพทย์ในเรื่องดังกล่าวให้ชัดเจนมากขึ้น แม้การศึกษาจะไม่บ่งชี้ชัดนักในแง่การวัดปริมาณเม็ดเลือดหรือสารภูมิคุ้มกัน เช่น มีเส้นใยประสาทในไขกระดูก หรือต่อมไทมัสหรือหากไฮโปทาลามัส ถูกทำลายจะทำให้ปฏิกิริยาภูมิแพ้ต่างไปจากเดิม
นอกจากนี้ การทำงานของเม็ดเลือดขาว ก็ขึ้นกับสื่อประสาทและฮอร์โมนหลายชนิด หรือโรคที่
เกี่ยวกับภูมิคุ้มกันบางอย่าง รวมทั้งผู้ป่วยเอดส์ มีอาการรุนแรงมากน้อยตามความเครียด มีผู้พบว่าผู้ป่วยวัณโรคที่ได้รับการช่วยเหลือทางจิตใจจะฟื้นตัวได้ดียิ่งขึ้น
3. ปวดหลัง
เช่นเดียวกับอาการปวดศีรษะ กว่าร้อยละ 95 ของผู้มีอาการปวดหลังไม่สามารถตรวจพบความผิดปกติที่ชัดเจนได้ นอกจากนั้นพบว่าผู้มีอาการนี้ไม่น้อยมีความกังวลหรือซึมเศร้าร่วมอยู่ด้วย การรักษาจึงอาจให้ยารักษาภาวะดังกล่าวร่วมกับยาแก้ปวด รวมทั้งให้คำแนะนำ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ และสนับสนุนให้กลับไปทำหน้าที่เดิม
4. ไขข้ออักเสบรูมาตอยด์
มีผู้สนใจในบุคลิกภาพของผู้ป่วยด้วยโรคนี้ว่า มักมีลักษณะเสียสละ ทำตนให้ลำบาก อดกลั้น
และต้องพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด โดยไม่แสดงความรู้สึก และมีบางรายพบว่า อาการกำเริบตามความเครียดทางจิตใจ ผู้ป่วยเหล่านี้มีโอกาสเกิดความซึมเศร้าอันเป็นผลมาจากความพิการจากโรคได้ง่ายกว่าคนทั่วไป
5. โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด
โรคหัวใจขาดเลือด เกิดอาการได้เสมอหากผู้ป่วยเกิดความเครียดหรือโกรธ มีผู้เสนอว่า ผู้ที่
ป่วยโรคเหล่านี้มักมีบุคลิกภาพที่แข่งขัน รุนแรง ทะเยอทะยาน ไขว่คว้า แต่อารมณ์ฉุนเฉียว โดยจะพบระดับโปรตีนในเลือด, คลอเลสเตอรอล หรือไตรกลีเซอไรด์ ในเลือดสูงด้วย จนเสี่ยงต่อภาวะดังกล่าว
โรคความดันโลหิตสูงที่ไม่ทราบสาเหตุ คนเหล่านี้มักมีท่าทีเป็นมิตร เชื่อฟังเคร่งครัดตามกฎ และเก็บงำความโกรธไว้ไม่แสดงออก ร่วมกับมีประวัติครอบครัวของการป่วยโรคนี้
การรักษาทั้ง 2 โรค ได้แก่ การทำจิตบำบัดเพื่อเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิต แนวคิดมุ่งหวัง ให้รู้จักผ่อนคลาย ทำเทคนิคคลายเครียดอย่างมีหลักการร่วมกับการใช้ยาควบคุมโรคดังกล่าวโดยตรง
6. โรคระบบทางเดินอาหาร
โรคแผลในกระเพาะอาหารและอาการท้องอืด เป็นที่ยอมรับมานานแล้วว่า อาการและโรคนี้
สัมพันธ์ใกล้ชิดกับโรควิตกกังวลเรื้อรัง โดยเฉพาะแผลในกระเพาะอาหารมากกว่าแผลในลำไส้เล็กมีการศึกษาด้วยว่า ความกังวลทำให้มีการเคลื่อนไหวบีบตัวของกระเพาะอาหารผิดปกติ ร่วมกับรายงานที่ว่า เมื่อบุคคลต้องเผชิญกับเหตุการณ์เครียดที่รุนแรง เช่น การสูญเสียคนใกล้ชิด จะมีอาการท้องอืดมากกว่าคนทั่วไป การรักษาด้วยยารักษาโรคกระเพาะเท่านั้น จึงอาจไม่เพียงพอในการรักษาหรือป้องกันในระยะยาว การฝึกผ่อนคลาย การแก้ปัญหา และจิตบำบัดร่วมไปด้วย จะทำให้ผู้ป่วยปลอดจากอาการดังกล่าวได้นานกว่าผู้รับประทานยารักษาโรคกระเพาะเพียงอย่างเดียว
ภาวะกลุ่มอาการท้องผูกสลับกับท้องเสีย (Irritable bowel syndrome) มักมีอาการทองผูกสลับท้องเสียปวดท้องมีลมในทางเดินอาหารมากอย่างเรื้อรัง โดยไม่สัมพันธ์กับชนิดของมื้ออาหาร หรือการติดเชื้อ หรือการใช้ยาในสหรัฐอเมริกา พบว่าผู้ไปพบแพทย์ระบบทางเดินอาหารมากกว่าร้อยละ 50 มีอาการนี้ และกว่าร้อยละ 32 มีสมาชิกในครอบครัวที่มีอาการนี้เช่นกัน การทดสอบด้วยแบบทดสอบทางจิตวิทยาพบว่า ผู้ป่วยจะมีความกังวล ขาดความเชื่อมั่น โทษตนเอง และอาจบอกอาการเจ็บป่วยอื่นๆ อีกคล้ายในโรคความผิดปกติทางจิตใจที่แสดงอาการออกทางร่างกาย (กลุ่ม somatization disorder) และเมื่อมีความเครียด ผู้ป่วยจะเกิดอาการมากขึ้น คนรอบข้างจะให้ความสนใจผู้ป่วยมากขึ้นด้วย การรักษาจึงต้องอาศัยหลายวิธี ทั้งการใช้ยารักษาอาการท้องผูก ท้องเสีย การควบคุมชนิดของอาหาร การฝึกผ่อนคลาย การทำจิตบำบัด ให้ให้ยาต้านเศร้า กลุ่ม tricyclic ร่วมกับการเปลี่ยนการสนองต่อการของครอบครัวของผู้ป่วยด้วย
7. อาการของระบบทางเดินหายใจ
ที่พบบ่อยมากในห้องฉุกเฉินของทุกโรงพยาบาล คืออาการของระบบทางเดินหายใจชนิดหนึ่ง
(hyperventilation syndrome) ที่มีอาการคล้ายหอบหืด โดยผู้ป่วยจะมีอาการหายใจหอบเร็ว หัวใจเต้นแรง บ่นแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก มือเท้าชา เกร็ง บางรายจะมีนิ้วมือจีบร่วมด้วย
โรคหอบหืด แม้ว่าจะมีการพิสูจน์แล้วว่าอาการของโรคเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันแต่มีข้อสังเกตว่า
ผู้ป่วยมักมีลักษณะเก็บความโกรธ ไม่สามารถแสดงความอยากพึ่งพิงผู้อื่นออกได้ และอารมณ์ดังกล่าวถูกส่งผ่านระบบประสาทอัตโนมัติและระบบภูมิคุ้มกันจนเกิดอาการ ดังนั้น เมื่อพบผู้ป่วยที่มีอาการเป็นประจำ การมองหาปัจจัย ทางจิตใจและแก้ไขนอกเหนือไปจากการให้ยาขยายหลอดลมอาจช่วยให้อาการของโรคดีขึ้นสำหรับความสัมพันธ์ ระหว่างสภาพจิตใจกับการเกิดมะเร็งนั้น ยังไม่อาจสรุปได้แน่ชัดว่าเป็นเหตุและผลต่อกันได้อย่างชัดเจน เนื่องจากมีปัจจัยอื่นอีกหลายประการที่เข้ามามีบทบาทในการเกิดมะเร็ง เช่น พันธุกรรม การใช้ชีวิต การได้เผชิญกับสารต่างๆ ตลอดจนภาวะภูมิคุ้มกันของบุคคลนั้นๆ อย่างไรก็ตาม พบว่าสภาพจิตใจมีผลต่อการดำเนินโรคของมะเร็งอยู่ไม่น้อย
จะเห็นได้ว่า โรคทางกายที่เป็นผลจากจิตใจดังกล่าว แม้จะมีพยาธิสภาพทางกายหรือ
พยาธิสรีระ ที่เกิดขึ้นจริง แต่การใช้ยารักษาอาการทางกายโดยไม่สนใจสภาพจิตใจ จะทำให้ประสิทธิภาพการรักษาด้อยลง ดังนั้นจึงควรคำนึงถึงการรักษาด้านจิตสังคม การเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตของผู้ป่วยควบคู่ไปด้วย
เทคนิคดูไข่ไก่ฟัก ได้เพศอะไร - ข่าวสาร เคล็ดลับน่ารู้จาก FarmerInfo
เทคนิคดูไข่ไก่ฟัก ได้เพศอะไร - ข่าวสาร เคล็ดลับน่ารู้จาก FarmerInfo
- เทคนิคการดูไข่ไก่ฟักออกมาได้เพศอะไร หากไข่รูปทรงกลม มน ฟักออกมาเป็นไก่ตัวเมีย หากไข่เป็นทรงรี ปลายแหลม ฟักออกมาเป็นไก่ตัวผู้
- ผู้ที่เตรียมดินเพื่อปลูกพืช ควรยกร่องแปลงปลูกให้สูง ทำทางระบายน้ำออกจากพื้นที่เพาะปลูก เพื่อป้องกันน้ำท่วมขังเมื่อมีฝนตกหนักในระยะต่อไป
- บำรุงสุขภาพโคกระบือ นำน้ำส้มควันไม้ 2 ช้อนโต๊ะ กากน้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 10 ลิตร เติมเกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ คนให้ละลาย แล้วรดฟางแห้ง /หญ้าสด
- แก้อาการคัน ระคายคอ กระแอม มีเสมหะให้หายขาด ด้วยมะแว้งผลเขียวแก่ 10 ผล บดคั้นน้ำ + น้ำอุ่น 150CC + น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ดื่มเมื่อมีอาการ
- ลดความคาวของไข่เค็ม เพียงนำใบเตยและตะไคร้หอม อย่างละ 2-3 ต้น ต้มพร้อมกับเกลือที่แช่ไข่ ไข่เค็มที่ได้จะรสชาติดี ไม่คาวและหอมกลิ่นสมุนไพร
- วิธีนำไข่มดแดงมาปรุงอาหาร ต้องล้างให้สะอาดก่อนนำมาปรุง โดยควรต้มหรือลวกให้สุกทุกครั้ง โดยใส่ใบรางจืดลงไปด้วยเพื่อช่วงล้างสารพิษ
- เทคนิคการดูไข่ไก่ฟักออกมาได้เพศอะไร หากไข่รูปทรงกลม มน ฟักออกมาเป็นไก่ตัวเมีย หากไข่เป็นทรงรี ปลายแหลม ฟักออกมาเป็นไก่ตัวผู้
- ผู้ที่เตรียมดินเพื่อปลูกพืช ควรยกร่องแปลงปลูกให้สูง ทำทางระบายน้ำออกจากพื้นที่เพาะปลูก เพื่อป้องกันน้ำท่วมขังเมื่อมีฝนตกหนักในระยะต่อไป
- บำรุงสุขภาพโคกระบือ นำน้ำส้มควันไม้ 2 ช้อนโต๊ะ กากน้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 10 ลิตร เติมเกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ คนให้ละลาย แล้วรดฟางแห้ง /หญ้าสด
- แก้อาการคัน ระคายคอ กระแอม มีเสมหะให้หายขาด ด้วยมะแว้งผลเขียวแก่ 10 ผล บดคั้นน้ำ + น้ำอุ่น 150CC + น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ดื่มเมื่อมีอาการ
- ลดความคาวของไข่เค็ม เพียงนำใบเตยและตะไคร้หอม อย่างละ 2-3 ต้น ต้มพร้อมกับเกลือที่แช่ไข่ ไข่เค็มที่ได้จะรสชาติดี ไม่คาวและหอมกลิ่นสมุนไพร
- วิธีนำไข่มดแดงมาปรุงอาหาร ต้องล้างให้สะอาดก่อนนำมาปรุง โดยควรต้มหรือลวกให้สุกทุกครั้ง โดยใส่ใบรางจืดลงไปด้วยเพื่อช่วงล้างสารพิษ
@ ตำนานคาถาพระอุปคุตผูกมาร
@ ตำนานคาถาพระอุปคุตผูกมาร ~แชร์มาปันกัน(ตามความเชื่อแต่โบราณกาล)
~ คาถาพระอุปคุตผูกมารนี้ นับเป็นคาถาที่มีอานุภาพมากที่สุด ดังปรากฏในประวัติของท่าน ตอนพระอุปคุตเถระผูกมารโดยบริกรรมคาถาเนรมิตเป็นซากสุนัข เน่าเหม็นมีหนอนชอนไชยั้วเยี้ยไปผูกติดกับคอพญามาร แล้วเปล่งวาจาสิทธิ์ว่า แม้เทวดาและพรหมไม่สามารถปลดเปลื้องได้ และ พระอุปคุต ยังเอาผ้ารัดอกของท่านออกมาพันคอพญามารผูกติดกับภูเขาอยู่นานถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วันจนกระทั้งพระเจ้าอโศกมหาราชทำการฉลองสมโภชพระสถูปเสร็จสิ้นแล้ว พระอุปคุตเถระจึงค่อยแก้พันธนาการออกจากคอพญามาร ให้เป็นอิสระกลับสูวิมานของตน คาถาพระมหาอุปคุตผูกมารมีอานุภาพความ ศักดิ์สิทธิ์มาก เสกด้วยสายสิญจน์ทำเป็นมงคลสวมคอ หากปลุกเสกครบ ๑๐๘ ครั้ง สามารถป้องกันภูตผีปีศาจทั้งปวง และป้องกันอุปัทวะอันตรายต่างๆ.....
...................." ตั้งนโม3จบ "...............
"มหาอุปะคุตโต มหาอุปะคุตตัง กายะพันทะนัง อมยิสะ พุทธังทะเถโร ธัมมัง ทะเถโร
สังฆังทะเถโร ปะอัยยะสุตัง อุปัจสะอิ อิมังกายะพันทะนัง อะทิถามิ ฯ"
~ คาถาพระอุปคุตผูกมารนี้ นับเป็นคาถาที่มีอานุภาพมากที่สุด ดังปรากฏในประวัติของท่าน ตอนพระอุปคุตเถระผูกมารโดยบริกรรมคาถาเนรมิตเป็นซากสุนัข เน่าเหม็นมีหนอนชอนไชยั้วเยี้ยไปผูกติดกับคอพญามาร แล้วเปล่งวาจาสิทธิ์ว่า แม้เทวดาและพรหมไม่สามารถปลดเปลื้องได้ และ พระอุปคุต ยังเอาผ้ารัดอกของท่านออกมาพันคอพญามารผูกติดกับภูเขาอยู่นานถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วันจนกระทั้งพระเจ้าอโศกมหาราชทำการฉลองสมโภชพระสถูปเสร็จสิ้นแล้ว พระอุปคุตเถระจึงค่อยแก้พันธนาการออกจากคอพญามาร ให้เป็นอิสระกลับสูวิมานของตน คาถาพระมหาอุปคุตผูกมารมีอานุภาพความ ศักดิ์สิทธิ์มาก เสกด้วยสายสิญจน์ทำเป็นมงคลสวมคอ หากปลุกเสกครบ ๑๐๘ ครั้ง สามารถป้องกันภูตผีปีศาจทั้งปวง และป้องกันอุปัทวะอันตรายต่างๆ.....
...................." ตั้งนโม3จบ "...............
"มหาอุปะคุตโต มหาอุปะคุตตัง กายะพันทะนัง อมยิสะ พุทธังทะเถโร ธัมมัง ทะเถโร
สังฆังทะเถโร ปะอัยยะสุตัง อุปัจสะอิ อิมังกายะพันทะนัง อะทิถามิ ฯ"
ฟังรายการวิทยุรักพ่อ ตอนที่ 134 รักพ่อ รักในหลวง โดย กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ - นวมินทร์มหาราชา
รายการรักพ่อ134 นวมินทร์มหาราชา
พบกับสารคดีพระเมตตาดั่งสายธาร ตอน สะพานปลา สู่กี่ทอผ้า, เช้าวันหนึ่ง ที่หนองแข้, เพลง "มหัศจรรย์คำพ่อสอน" นาย วิรัตน์ หะริตา จากโครงการเพลงเฉลิมพระเกียรติคำพ่อสอน ๘๔ พรรษา ,ทำไมเรารักพระเจ้าอยู่หัว,
ช่วงในหลวงในดวงใจ 34, กลเม็ดเคล็ดลับกับการพึ่งตนเอง,บทกวี อาลัยรัก จากคุณไอฝน หยาดน้ำพราวจากราวฟ้า, คำกลอนสอนธรรมะ - ยามจะมียามจะใช้ ฟังเพลง ป่าสายใย, ฟิฟทีนมูฟ, ผนึกแรงแสดงพลัง
http://www.youtube.com/watch?v=KB6GSbvX67E
มาแล้วครับรายการรักพ่อ ช่วยสายต่อ ให้ระบือ ส่งสื่อสาร
เหมือนคนที่มีจิตร่วมกัน ร่วมปกป้องสถาบัน ให้มั่นคง
ช่วงเวลาต่อจากนี้ไป ขอนำท่านผู้ฟังเข้าสู่รายการรักพ่อ
รายการวิทยุดีๆที่ตั้งใจทำในแนวจิตอาสา
ผู้ดำเนินรายการ : สุเวศน์ ภู่ระหงษ์
ทีมงาน ห้องบันทึกเสียง สิงหา ต.ท่าช้าง อ.เมือง จ.จันทบุรี
- กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ
ทำน้ำพริกกะปิรสชาติอร่อย - ข่าวสาร เคล็ดลับน่ารู้จาก FarmerInfo
- เพียงแค่นำกะปิห่อใบตอง ปิ้งไฟให้หอม แล้วจึงนำมาตำน้ำพริกกะปิ จะได้น้ำพริกกะปิรสชาติอร่อยล้ำ มีกลิ่นหอมฟุ้งและไม่ฉุนกลิ่นกระเทียม
- คืนผิวหน้าที่ผ่านริ้วรอยแห่งวัยให้กลับเต่งตึง ด้วยคุณประโยชน์จากกล้วยหอมปั่นละเอียด พอกหน้า 10 นาที แล้วล้างออก สัปดาห์ละครั้ง
- เสริมอาหารกบ เร่งให้กบโตเร็ว น้ำหนักดี ใช้เลือดสด (หมู/วัว/เป็ด/ไก่) 300กรัม ผสมคลุกเคล้ากับอาหารกบ 1 กก. ทิ้งไว้ 5 นาที ใช้เลี้ยงกบตามปกติ
- หั่นใบยี่โถ 1 กก. เทใส่เครื่องปั่น ใส่น้ำ 1 ลิตร ปั่นจนละเอียด กรองเอาน้ำ ฉีดพ่นป้องกันแมลง - เพลี้ยในพืช ไม้ดอก ช่วงเช้าหรือเย็น ทุกๆ 7 วัน
- ขจัดเมือกปลาหมึกด้วย การใช้น้ำมะขามเปียก ขยำตัวปลาหมึก แล้วล้างน้ำสะอาด ทำซ้ำ 2 รอบ จะได้ปลาหมึกเนื้อขาวเด้ง สะอาด ปราศจากเมือก
- หนูนาก จะเข้ากัดกินต้นปาล์มน้ำมัน ปลูกใหม่ไม่ได้ หากใช้ปี๊บน้ำมันเครื่องเก่าที่เจาะด้านหัว - ท้ายครอบไว้ แล้วทาน้ำมันเครื่องที่ปี๊บเป็นประจำ
- ควรตรวจสอบ สภาพโรงเรือน อย่าให้ชำรุดและมีรอยรั่วซึม ระยะต่อไปจะเข้าสู่ฤดูฝน หากหลังคามีรอยรั่ว จะทำให้สัตว์เปียกชื้นและเป็นโรคได้ง่าย
วันพุธที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
โอ้! กระทรวงศึกษาฯไทย
มาถึงขณะนี้แล้วอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ทุกชีวิตย่อมเปลี่ยนไปตามกรรมสุดแต่สถานการณ์จะนำไป แต่อย่างน้อย ภายใต้ภาวการณ์ของการเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองในขณะนี้ ต้องยอมรับว่า การศึกษาย่อมมีส่วนได้รับผลกระทบอย่างมิต้องสงสัย
ผลนั้นเนื่องมาจากการเปลี่ยนตัวบุคคลเข้ามารับผิดชอบกระทรวงศึกษาธิการกันใหม่อีกรอบ ซึ่งแน่นอนว่า บุคคลที่จะเข้ามานั่งเก้าอี้ในตำแหน่งเสนาบดีการศึกษานั้น ย่อมเป็นความสำคัญยิ่งต่อการสร้างคนคุณภาพของประเทศ รอบนี้น่าจะมีเสียง ยี้ น้อยที่สุด
คนที่กระทรวงศึกษาธิการอยากได้มากที่สุด ขอเป็นคนที่เข้ามาแล้วมีความมุ่งมั่นตั้งใจทำงานและเข้าใจ เข้าถึงการศึกษา มีวิสัยทัศน์อันกว้างไกล พอจะเห็นผลงานให้เป็นที่ประจักษ์กันบ้างก็แล้วกัน
ไม่อยากได้นักการเมืองประเภทไม่เคยคิดงานสานต่อสิ่งดีๆ ที่คนการศึกษาทำไว้ มองแค่ตัวเอง พวกและพรรค จนหาผลงานเป็นแก่นไม่ได้ นั่นอาจเป็นเพราะต่างรู้ดีว่า เป็นเพียงแค่ทางผ่านช่วงสั้นๆ เท่านั้น
ก็มาลองไล่เรียงช่วงเวลาของ 7 ปีที่ผ่านมา กระทรวงศึกษาธิการเปลี่ยนรัฐมนตรีว่าการไปแล้วกี่คน
ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน รัฐมนตรีว่าการ พ.ศ.2549-2551
นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รัฐมนตรีว่าการ พ.ศ.2551-2551
นายศรีเมือง เจริญศิริ รัฐมนตรีว่าการ พ.ศ.2551-2551
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการ พ.ศ.2551-2553
นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการ พ.ศ.2553-ก.ย.2554
นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีว่าการ ต.ค.2554-17 ม.ค.2555
ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการ 18 ม.ค.2555-26 ต.ค.2555
นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการ 27 ต.ค.2555 - 29 มิ.ย.2556
นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการ 30 มิ.ย.2556-22 พ.ค.2557
บางคนอยู่เพียงไม่กี่เดือน บางคนมาอยู่ได้ไม่ถึงปี บางปีเปลี่ยนรัฐมนตรีถึง 3 คน แล้วนี่ก็รอรับคนใหม่กันอีกแล้ว โอ้กระทรวงศึกษาฯไทย
คอลัมน์ เลาะเลียบคลองผดุงฯ
ตุลย์ ณ ราชดำเนิน tulacom@gmail.com
ข่าวสดออนไลน์, 26 พ.ค.2557
พูดก่อนคิด
เวทีประกวด "มิสยูนิเวิร์ส ไทยแลนด์ 2014" โดยสาวงามที่คว้ามงกุฎไปคือ "ฝ้าย" เวฬุรีย์ ดิษยบุตร ยังคงมีกระแสถูกใจและไม่ถูกใจใครหลายคน
นับจากประกาศผลว่า "ฝ้าย" เวฬุรีย์ ดิษยบุตร คว้าตำแหน่งมิสยูนิเวิร์ส ไทยแลนด์ 2014 ไม่ทันข้ามคืน ก็มีกระแสต่อต้านออกมาจนน่าตกใจ
ส่งผลให้กองประกวดมิสยูนิเวิร์ส ไทยแลนด์ ต้องออกมาชี้แจงอยากให้ทุกคนเคารพคำตัดสินของคณะกรรมการ และกองประกวดที่มีการคัดเลือกผู้เข้าประกวดอย่างถี่ถ้วน ไม่มีคำว่าเด็กเส้นปรากฏบนเวทีมิสยูนิเวิร์สฯ แน่นอน
ชัดเจนที่ว่านี่คือการตัดสินของคณะกรรมการที่มองว่า "ฝ้าย-เวฬุรีย์" เหมาะกับมงกุฎ "มิสยูนิเวิร์ส ไทยแลนด์ 2014" ไม่ใช่ตัวสาวงามเอง
และอีกเวทีที่น่าจับตามองนั่นคือ เวทีการประกวด "มิสไทยแลนด์เวิลด์ 2014" ที่ทางช่อง 3 จัดขึ้น และเพิ่งปิดรับสมัครไป
ซึ่งเวทีนี้รายการข่าว "เรื่องเล่าเช้านี้" นำเสนอข่าวการรับสมัครตั้งแต่วันเปิดรับสมัครจนถึงวันปิดรับสมัคร
และในวันสุดท้ายของการรับสมัคร "ดีเจ.พล่ากุ้ง" วรชาติ ธรรมวิจินต์ ได้รับหน้าที่มานั่งจ้อข่าวคู่ในช่วงครอบครัวบันเทิงของรายการ พูดถึงเรื่องการประกาศรับสมัครมิสไทยแลนด์เวิลด์ 2014 วันสุดท้าย
โดยช่วงท้ายรายการ ดีเจ.พล่ากุ้งพูดปิดท้ายว่า "ฝากไว้นิด ใครที่ตกรอบจากมิสยูนิเวิร์ส ไทยแลนด์ เมื่อวานก็มาสมัครต่อที่นี่ได้เลยถ้าไม่เหนื่อย"
ด้าน "สรยุทธ สุทัศนะจินดา" ที่นั่งข้างๆ พูดแทรกขึ้นทันทีว่า "แต่ว่าก็ต้องแล้วแต่จังหวะและโอกาสของคน"
ฟังผ่านๆ อาจจะไม่คิดอะไร เพราะสิ่งที่พูดนั้นไม่ผิดกติกาของการสมัคร แต่การที่คุณคะนองปากพูดเอาฮา อาจจะทำให้ฟังแล้วมาตรฐานของเวทีนั้นลดน้อยลงก็เป็นได้
หมายเหตุมายา/นิมิต ประชาชื่น
ข่าวสดออนไลน์, 27 พ.ค.2557
เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร
ใครๆ ก็คิดว่าการรัฐประหารในปี 2549 คงจะเป็นครั้งสุดท้าย เพราะการรัฐประหารคราวนั้น ทำให้มีปัญหาตามมามากมาย ประเทศไทยต้องหยุดตัวเองอยู่กับที่ ไม่ก้าวหน้าไปถึงไหน แต่ในที่สุดเราก็หนีวงจรนี้ไม่พ้น จนในที่สุดรัฐประหารก็กลับมาอีกครั้ง
มักมีข้ออ้างเสมอว่า ต้นเหตุก็มาจากนักการเมืองไร้วุฒิภาวะ ทุกคนคิดถึงพรรคและพวกรวมทั้งตัวเอง ต่างฝ่ายไม่มีใครยอมใคร ไม่มีใครยอมถอย ต่างฝ่ายคิดว่าตัวเองจะชนะได้
และมักมีข้ออ้างเสมอว่า พรรคการเมืองใช้นโยบายประชานิยมทำให้กับคนชั้นกลางไม่พอใจที่เสียภาษี ที่เอาเงินไปทุ่มเทกับเรื่องนี้ นำไปสู่ปัญหาการทุจริต-คอร์รัปชั่น
ส่วนข้ออ้างในครั้งนี้ที่ใช้ถล่มล้มรัฐบาล คือนโยบายจำนำข้าว ที่พูดกันว่าทุจริตมหาศาล
ขณะที่อีกพรรคก็ถูกอ้างว่า สร้างความไม่พอใจกับคนชั้นล่างคนระดับรากหญ้าที่มองว่าเป็นพรรคอนุรักษนิยม "คิดไม่ทัน ทำไม่เป็น" วันๆ คิดแต่เรื่องเล่นเกมการเมืองเอาชนะคะคานฝ่ายตรงข้ามอย่างเดียว เคยเป็นรัฐบาลก็ไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน ตลอด 20 กว่าปีแพ้เลือกตั้งตลอด
เมื่อเอาชนะด้วยการเลือกตั้งไม่ได้ ก็ไม่พยายามคิดนโยบายที่ดีกว่า หรือสู้ด้วยการเลือกตั้ง คาถาของฝ่ายนี้คือ กล่าวหาฝ่ายตรงข้ามทุจริตคอร์รัปชั่นต้องล้างระบอบทักษิณ ทั้งที่ในสมัยตัวเองเป็นรัฐบาลก็ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน
ฝ่ายหนุนรัฐประหารครั้งนี้อ้างว่า ไม่เคยมียุคไหนที่เกิด "วิกฤตศรัทธานักการเมือง" ในสภามากเท่ายุคนี้ มีตั้งแต่ทะเลาะวิวาท มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ทำแต่เรื่องน่าอับอายขายหน้า เวลาประชุมก็ไม่ครบองค์ประชุม กฎหมายต่างๆ ค้างเติ่งเข็นออกมาไม่ได้
จนถึงขั้นนำมวลชนที่สนับสนุนออกมาประจันหน้ากัน อันอาจนำไปสู่การปะทะกันเป็นสงครามกลางเมืองได้
ข้ออ้างอมตะคือ หากนักการเมืองเรามีคุณภาพ มีวุฒิภาวะ ยึดประโยชน์ของชาติบ้านเมืองเป็นหลัก และเล่นกันตามกติกาแล้ว จะไม่เป็นเงื่อนไขหรือข้ออ้างให้ทหารทำรัฐประหารได้
ทั้งที่วิธีการสั่งสอนและคัดกรองนักการเมืองที่ดีที่สุดคือ การเลือกตั้ง ที่แม้จะต้องใช้เวลานาน แต่ก็เคลื่อนไหวไปตามระบอบประชาธิปไตย ที่ทุกๆ ประเทศในโลกประชาธิปไตย ล้วนใช้เวลาเรียนรู้กันมาแล้วทั้งนั้น
เพราะทำให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมกับการเมืองและเศรษฐกิจได้โดยตรง ทั้งจัดการกับปัญหาคอร์รัปชั่นที่แทรกซึมอยู่ในระบบราชการมาช้านานได้ ด้วยกฎหมายที่มีคุณภาพ
คอลัมน์ เมืองไทย 25 น./ทวี มีเงิน
ข่าวสดออนไลน์, 27 พ.ค.2557
คติแห่งรัก...
"...ความรักเป็นของมีอำนาจยิ่งยวด แม้บุรุษผู้ทรงไว้ซึ่งอำนาจก็ไม่พ้นความข่มขี่แห่งความรักไปได้ ชายบางคนมียศมีเกียรติมีทรัพย์ แลมีคุณความดีทุกประการ เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งความเป็นไทแก่ตน จะประพฤติอย่างไรประพฤติได้ที่ไม่ผิดคลองธรรม จะทำอะไรทำได้ที่ไม่ผิดกฎหมาย
ชายเช่นนี้จะเลือกมิตรเลือกสหาย ก็เลือกได้ตามใจชอบ หรือเมื่อเลือกไม่ได้ดังนึก ก็คงจะเป็นด้วยฝ่ายโน้นปราศจากลักษณะที่จะเป็นเพื่อนสนิทกันได้ ไม่มีอันใดเป็นเครื่องเสื่อมเสียความเป็นไทแก่ตน
ชายที่มีอิสระเช่นนี้ เมื่อความรักเข้ามาครอบงำก็กลายหมด ความเป็นไทแก่ตนก็เสื่อมถอย เพราะหัวใจไปถูกมัดตรึงตราเสียแล้ว
แม้คนที่ไม่กลัวเทวดา แลไม่เกรงเดชพระอินทร์ เพราะไม่ได้ทำอะไรที่พระสวรรคบดีจะตำหนิโทษได้ ก็กลับมากลัวสตรีตัวนิดเดียว ซึ่งเป็นที่รักของตน
ไม่ใช่เพราะหญิงมีอำนาจวาสนายิ่งกว่าเทวดาแลพระอินทร์ เป็นเพราะตกเป็นทาสแห่งความรัก หัวใจถูกล่ามโซ่ไว้แน่นหนา ตัวเป็นไทใจเป็นทาสเสียแล้ว คติแห่งความรักมีเช่นนี้"
นิทานเวตาลเรื่องที่ ๘/น.ม.ส.
การพูดแสดงความคิดเห็นตามลักษณะเนื้อหาแบ่งออกเป็น 4 ประเภท
การพูดแสดงความคิดเห็นตามลักษณะเนื้อหาแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้...
1.การแสดงความคิดเห็นในเชิงสนับสนุน ที่เป็นการพูดเพื่อสนับสนุนความคิดเห็นของผู้อื่น ซึ่งผู้พูดอาจจะพิจารณาแล้วว่า ความคิดเห็นที่ตนสนับสนุนมีสาระและประโยชน์ต่อหน่วยงานและส่วนรวม หรือถ้าเป็นการแสดงความคิดเห็นเชิงวิชาการ จะต้องเป็นความคิดเห็นที่เป็นองค์ความรู้สัมพันธ์กับเนื้อเรื่องที่กำลังพูดกันอยู่ ทั้งในระหว่างบุคคลหรือในที่ประชุม
2.การแสดงความคิดเห็นในเชิงขัดแย้ง การพูดลักษณะดังกล่าวเป็นการพูดแสดงความคิดเห็นในกรณีที่มีความคิดไม่ตรงกัน และเสนอความคิดอื่น ๆ ที่ไม่ตรงกับผู้อื่น การพูดแสดงความคิดเห็นในเชิงขัดแย้งดังกล่าว ข้อนี้ผู้พูดควรระมัดระวังเรื่องการใช้ภาษาและการนำเสนอ ความขัดแย้งควรเป็นไปในเชิงสร้างสรรค์ อันจะก่อประโยชน์ต่อหน่วยงานหรือสาธารณชน
3.การแสดงความคิดเห็นในเชิงวิจารณ์ เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งผู้วิจารณ์อาจจะแสดงความคิดเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย และวิจารณ์ในเชิงสร้างสรรค์ ผู้วิจารณ์จะต้องวางตัวเป็นกลาง ไม่อคติต่อผู้พูดหรือสิ่งที่เห็น
4.การแสดงความคิดเห็นเพื่อนำเสนอความคิดใหม่ เป็นการพูดในกรณีที่ไม่เห็นด้วยกับการแสดงความคิดเห็นของผู้อื่น และนำเสนอความคิดเห็นใหม่ของตนที่คิดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ซึ่งลักษณะหรือคุณสมบัติของผู้แสดงความคิดเห็น ควรมีดังนี้...
- จะต้องมีความรู้ในเรื่องที่จะแสดงความคิดเห็นเป็นอย่างดี
- การแสดงความคิดเห็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ควรมีหลักการแสดงความคิดเห็นในเชิงขัดแย้งและเชิงวิจารณ์
- ใช้ภาษาสุภาพเหมาะสมกับโอกาส โดยเฉพาะการแสดงความคิดเห็นในเชิงขัดแย้งและเชิงวิจารณ์ เพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่ดีต่อผู้พูดและผู้ฟัง
- การแสดงความคิดเห็นใด ๆ ก็ตาม ควรแสดงความคิดเห็นในเชิงสร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม
คอลัมน์ เรื่องเล่าซีอีโอ
ประชาชาติธุรกิจ, 23 พ.ค.2557
1.การแสดงความคิดเห็นในเชิงสนับสนุน ที่เป็นการพูดเพื่อสนับสนุนความคิดเห็นของผู้อื่น ซึ่งผู้พูดอาจจะพิจารณาแล้วว่า ความคิดเห็นที่ตนสนับสนุนมีสาระและประโยชน์ต่อหน่วยงานและส่วนรวม หรือถ้าเป็นการแสดงความคิดเห็นเชิงวิชาการ จะต้องเป็นความคิดเห็นที่เป็นองค์ความรู้สัมพันธ์กับเนื้อเรื่องที่กำลังพูดกันอยู่ ทั้งในระหว่างบุคคลหรือในที่ประชุม
2.การแสดงความคิดเห็นในเชิงขัดแย้ง การพูดลักษณะดังกล่าวเป็นการพูดแสดงความคิดเห็นในกรณีที่มีความคิดไม่ตรงกัน และเสนอความคิดอื่น ๆ ที่ไม่ตรงกับผู้อื่น การพูดแสดงความคิดเห็นในเชิงขัดแย้งดังกล่าว ข้อนี้ผู้พูดควรระมัดระวังเรื่องการใช้ภาษาและการนำเสนอ ความขัดแย้งควรเป็นไปในเชิงสร้างสรรค์ อันจะก่อประโยชน์ต่อหน่วยงานหรือสาธารณชน
3.การแสดงความคิดเห็นในเชิงวิจารณ์ เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งผู้วิจารณ์อาจจะแสดงความคิดเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย และวิจารณ์ในเชิงสร้างสรรค์ ผู้วิจารณ์จะต้องวางตัวเป็นกลาง ไม่อคติต่อผู้พูดหรือสิ่งที่เห็น
4.การแสดงความคิดเห็นเพื่อนำเสนอความคิดใหม่ เป็นการพูดในกรณีที่ไม่เห็นด้วยกับการแสดงความคิดเห็นของผู้อื่น และนำเสนอความคิดเห็นใหม่ของตนที่คิดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ซึ่งลักษณะหรือคุณสมบัติของผู้แสดงความคิดเห็น ควรมีดังนี้...
- จะต้องมีความรู้ในเรื่องที่จะแสดงความคิดเห็นเป็นอย่างดี
- การแสดงความคิดเห็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ควรมีหลักการแสดงความคิดเห็นในเชิงขัดแย้งและเชิงวิจารณ์
- ใช้ภาษาสุภาพเหมาะสมกับโอกาส โดยเฉพาะการแสดงความคิดเห็นในเชิงขัดแย้งและเชิงวิจารณ์ เพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่ดีต่อผู้พูดและผู้ฟัง
- การแสดงความคิดเห็นใด ๆ ก็ตาม ควรแสดงความคิดเห็นในเชิงสร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม
คอลัมน์ เรื่องเล่าซีอีโอ
ประชาชาติธุรกิจ, 23 พ.ค.2557
จ่ายหนี้ชาวนา แค่ยกแรก
โครงการรับจำนำข้าว 1.5 หมื่นบาทต่อตัน เป็นแรงจูงใจสำคัญให้ลูกจ้างในเมือง ต่างพร้อมใจกันกลับบ้านไปทำนา เอาข้าวเข้าโครงการรับจำนำ ส่งผลกระทบต่อธุรกิจต้องขาดแคลนแรงงาน
แต่วันนี้กระแสตีกลับ หลังยุบสภา รัฐบาลรักษาการของ "อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์" ถูกสกัดเงินจ่ายหนี้ชาวนาไม่ได้ ข้าวฤดูใหม่ราคาก็ตก จึงต้องตัดสินใจทิ้งนาเข้ามาหางานทำในเมืองกรุง
ตลาดแรงงานที่เคยขาดกลับมาอยู่สภาพเกือบๆ จะเหมือนเดิม ตลาดโบ๊เบ๊ สำเพ็งตอนนี้คึกคัก ร้านค้าที่ขาดคนทำงานตอนนี้กลับมาเหมือนเดิม
ล่าสุดคณะรักษาความสงบแห่งชาติ "คสช." ประเดิมงานชิ้นแรกเร่งหาเงินมาใช้หนี้ชาวนาที่ยังค้างอีก 9.2 หมื่นล้านบาท จำนวน 8 แสนราย และจะเริ่มจ่ายได้ภายในสัปดาห์นี้
เท่าที่ได้คุยกับแหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังยืนยันหนักแน่น ว่าแหล่งเงินมีพร้อม แต่รัฐบาลที่แล้วทำไม่ได้เพราะเป็นรัฐบาลรักษาการ ไม่มีใครเชื่อมั่น ว่ารัฐบาลจะอยู่รับผิดชอบจึงไม่มีใครปล่อยกู้ แต่เที่ยวนี้ไม่น่ามีปัญหาอะไร
ส่วนจะเป็นกุศโลบายทางการเมืองหวังจะซื้อใจชาวนาหรือไม่ก็ตาม ถ้าทำได้จริงๆ และทำได้เร็วเท่าไหร่ ก็จะยิ่งช่วยเยียวยาชาวนาไม่ต้องทิ้งนาเข้ามาหางานทำลำบากลำบนในเมือง นอกจากนี้ ยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจระดับรากหญ้าให้มีเงินหมุนเวียนในชุมชน จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ไม่น้อย
ที่อยากจะฝากให้ช่วยดูให้ดีๆ คือ อย่าให้มี "ชาวนาผี" ส่วนใหญ่เป็นพวกพ่อค้านักการเมืองท้องถิ่น ที่เอาข้าวจากเขมรและพม่ามาสวมสิทธิ์โครงการรับจำนำ
ชาวนาที่ยังไม่ได้รรับเงินแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือชาวนาที่มีใบประทวนพร้อม กลุ่มที่ 2 ชาวนาที่เอาข้าวไปจำนำแต่ยังไม่ได้รับใบประทวน มีแต่หลักฐานเป็นกระดาษแผ่นเดียวที่ท่าข้าวออกให้ กลุ่มที่ 3 น่าสงสารที่สุดเนื่องจากเอาข้าวมาจำนำกับท่าข้าวแล้ว แต่ยังไม่ได้มีการออกหลักฐานอะไรให้ มีความเสี่ยงจะไม่ได้เงิน ฝากดูแลคนกลุ่มที่สองและที่สามด้วย
โจทย์ต่อไปที่รอการแก้ทั้งราคาข้าวในตลาดตกต่ำ การเร่งระบายข้าว การทุจริตจากการรับจำนำและในระยะยาวจะมีนโยบายช่วยเหลือชาวนาอย่างไร
เมืองไทย 25 น./ทวี มีเงิน
ข่าวสดออนไลน์, 28 พ.ค.2557
“ค่านิยมไทย(ใหม่)”
จำได้ว่ารัฐเคยมีความคิดจะปลูกฝังค่านิยมอันพึงประสงค์ให้เข้าไปสถิตในสำนึกของคนไทย โดยหวังว่าจะทำให้บ้านเมืองของเรามีทางจิตสำนึกเทียมหน้าเทียมตากับนานาอารยประเทศเขา
ทว่าวันนี้ เจ้าสิ่งที่เคยคิดว่าดีและควรจะปลูกฝังไว้ในนิสัย ก็ไม่รู้ว่าไปงอกงามอยู่กันอยู่ที่ไหน หรือว่าล้มหายตายไปหมดแล้วก็ไม่รู้ เพราะมิเช่นนั้น ทางเว็บไซต์ซีเอ็นเอ็น คงไม่เขียนเป็นบทความเชิงเสียดสี เผยถึง 10 วิธีที่ต่างชาติควรจะทำให้ได้เพื่อให้กลมกลืนเหมือนกับว่าเป็นคนไทย ซึ่งอ่านดูแล้วก็ให้เจ็บและคันในอารมณ์อยู่ไม่น้อย เพราะจะปฏิเสธไปก็ใช่ที่ หรือจะยินดีก็ใช่เรื่อง
เว็บไซต์ดังกล่าวระบุไว้ว่า ชาวต่างชาติมักมีความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับคนไทย ว่าคนไทยนิยมทำงานตามแหล่งบันเทิง ในขณะเดียวกันคนไทยก็ไม่ได้เป็นชาวพุทธที่เคร่งศาสนา และไม่ได้ยิ้มตลอดเวลาดังที่มักเข้าใจกัน
เจ้า 10 วิธีที่ว่านั้น ก็เน้นที่จะช่วยให้ชาวต่างชาติที่มาเยือนไทยเข้าใจวิถีคนกรุงเทพฯ มากขึ้น เริ่มตั้งแต่
แต่งตัว วัยรุ่นชาย ไม่ว่าจะไปเดินชายหาด หรือโรงแรมหรู ต้องใส่เสื้อโปโลแบรนด์ดัง ตั้งปกคอเสื้อขึ้นคู่กับกางเกงขาสั้น แถมชอบคีบรองเท้าแตะ ส่วนวัยรุ่นหญิง ก็ถอดแบบจากสาวเคป๊อปออกมาทุกระเบียดนิ้ว ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าหน้าผม แต่ถ้าทำยังไงก็ไม่เหมือนก็หันไปพึ่งศัลยกรรมเอา ส่วนเครื่องประดับประจำกายที่ขาดไม่ได้เลย คือกระเป๋าถือแบรนด์ดังราคาเท่ากับค่าเช่าคอนโด 6 เดือน และถือไอแพดสีชมพูสด
เลือกร้านอาหาร กลุ่มที่เป็นเด็กนักเรียน หรือพนักงานบริษัทที่มีเวลาพักแค่ 1 ชม. ก็นิยมร้านอาหารริมทาง ส่วนพวกที่เมาตอนดึก ก็ต้องเฟ้นหาร้านราคาแพง หรูหรา ตกแต่งดีเหมือนส่งตรงมาจากประเทศต้นกำเนิด ร้านเหล่านี้มีอยู่ตามย่านธุรกิจชื่อดัง เช่น แถวๆ ทองหล่อ
ใช้รถไฟฟ้า BTS แม้รู้ว่าเข้าแถวหลังเส้นเหลืองอย่างเป็นระเบียบ แต่เมื่อรถไฟฟ้าจอดเทียบชานชาลา ต้องแทรกเข้าไปในรถไฟฟ้าให้ได้เร็วที่สุดซึ่งเป็นวิธีที่ใช้กับลิฟท์ด้วย เมื่อเข้ามาในรถไฟฟ้าแล้วไม่มีที่นั่งให้หาที่โล่งๆ แล้วเอนตัวทั้งตัวพิงไป โดยไม่ต้องสนใจว่าตรงนั้นจะเป็นเสาที่มีคนจับหรือไม่ แต่อย่าแกล้งหลับ เพราะต้องลุกให้เด็ก สตรีตั้งครรภ์ คนชรา รวมถึงสาวหุ่นดีสวมรองเท้าส้นเข็มนั่งด้วย เพราะคนกรุงเทพไม่ใช่คนแล้งน้ำใจ
มีผิวขาวสว่าง จะเป็นที่ยอมรับ ดังนั้นควรพกร่มเพื่อบังแดด หรือไม่มีให้ใช้กระเป๋าสตางค์และหนังสือปิดหน้าแทน ที่สำคัญลงทุนครีมกันแดดและครีมปรับผิวขาว และสวมปลอกแขนเพื่อป้องกันแสงแดดตอนขับรถด้วย นอกจากนี้อย่าลงเล่นน้ำในสระว่ายน้ำของโรงแรม จนกว่าพระอาทิตย์จะตกดินอีกด้วย
วัฒนธรรม ดื่มกิน แม้คนกรุงเทพจะไม่มีความรู้เรื่องไวน์แต่ชอบสั่ง โดยเฉพาะไวน์ที่ชื่อแปลกๆ และเมื่อถือแก้วแล้วให้แกว่งแก้วเบาๆ ก่อนจิบ แล้วก็สั่งให้เอาไวน์ไปแช่ในตู้แช่เย็น แต่หากดื่มเบียร์ก็ให้ใส่น้ำแข็งด้วย สิ่งที่ขาดเสียไม่ได้ในวันนี้ก็คือให้ถ่ายรูปร้านอาหาร และอาหารทุกจานที่สั่ง แล้วอัพโหลดขึ้นโซเชียลเน็ตเวิร์ค เพื่อประกาศให้โลกรู้ด้วย
รอยยิ้มในวันนี้ จะทำหน้าที่กลบเกลื่อนการจัดการกับความผิดพลาดในการแก้สถานการณ์ที่ยุ่งยากในที่ทำงาน และยากที่จะยอมรับผิด
การสื่อสาร คนไทยทุกๆ คนในสังคม ยังถือว่าทุกคนเป็นสมาชิกในครอบครัวเดียวกัน ดังนั้นการเรียกแบบนับญาติยังคงจำเป็น หากจะเรียกคนแปลกหน้าตามท้องถนน เช่น คนขายกับข้าว เด็กเสิร์ฟ ก็ให้เรียกเป็น พี่ น้อง ป้า ลุง และลงท้ายประโยคสนทนาด้วย ครับ/ค่ะ เพื่อแสดงความสุภาพ แม้ว่าประโยคเหล่านั้นจะเสียดสีหรือฟังดูแย่แค่ไหน มันจะดูน่าฟังขึ้นมาทันที นอกจากนี้การ พิมพ์ตัวเลข 5 หลายๆ ตัวต่อกัน เป็นการแสดงอาการขบขันเมื่อสนทนาในโลกออนไลน์ ทั้งๆ ที่ไม่สามารถสื่ออารมณ์เหล่านี้ได้กับคนต่างชาติ
คนไทยมัก เรียกคนอื่นด้วยชื่อเล่น ให้ลองหาชื่อเล่นแปลกหูแทน โดยชื่อเล่นยอดฮิต อาจตั้งเลียนแบบชื่อรถยนต์ ผลไม้ หรืออะไรก็ได้ เช่น เบนซ์ แอปเปิล เพราะเด็กไทยสมัยนี้ก็มีชื่อแปลกๆ เช่น “เบิร์ดเดย์” หรือ “แตงกิ้ว”
การเดินทาง ของคนไทยเน้นใช้รถยนต์เป็นยานพาหนะหลัก เพื่อหลีกเลี่ยงอากาศร้อน แม้ว่าจะต้องเผชิญรถติดนานกว่า 2 ชม.ก็ตาม และหากเรียกแท็กซี่แล้วไม่ยอมไป ไม่ต้องแปลกใจโดยเฉพาะในย่านธุรกิจ เพราะแท็กซี่เหล่านี้มักอ้างว่าต้องส่งรถคืน จึงไม่สามารถขับไปส่งไกลๆ ได้ และหากไม่ต้องแบกถุงใหญ่ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้รถสามล้อ หรือตุ๊กตุ๊ก อาจใช้รถไฟฟ้าบีทีเอส แม้ว่าสถานีจะอยู่ไกลมาก
สุดท้าย การใช้บันไดเลื่อน เขาว่าคนไทยลืมกฎการใช้บันไดเลื่อนแบบสากล ที่ผู้คนจะยืนอยู่ด้านใดด้านหนึ่งของบันไดเลื่อน เพื่อหลีกทางให้กลุ่มคนที่กำลังเร่งรีบเดินผ่านไปได้อย่างรวดเร็ว เพราะที่นี่ประเทศไทย คงไม่มีใครรีบ จึงสามารถยืนตรงกลางของบันไดเลื่อนได้เลย และถ้าหากมีใครร้องขอให้หลีกทาง อย่าลืมกรอกตาแสดงความไม่พอใจกลับไปด้วย
เมื่ออ่านดูโดยภาพรวมแล้วผู้เขียนบทความชิ้นนี้ คงมีเจตนาเขียนขึ้นเพื่อความสนุกสนานและตลกขบขัน ในสิ่งที่ได้พบเห็นพฤติกรรมของคนไทยเท่านั้น ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะสื่อไว้เป็นคำแนะนำสำหรับชาวต่างชาติจริงจังสักเท่าไร
แต่เมื่อมองในมุมกลับแล้ว มันตะขิดตะขวงใจในสิ่งที่เคยภูมิใจเรื่องมารยาทไทยยังไงก็ไม่รู้
คอลัมน์ ปล้ำผีลุก ปลุกผีนั่ง
วัฒนรักษ์ watanarax@yahoo.com
สยามรัฐออนไลน์, 25 พ.ค.2557
บางส่วนจาก 'บทเรียนถอดรากระบอบนาซี'
"...เยอรมนียอมแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 1945 อยู่ภายใต้การควบคุมครอบครองของสหรัฐอเมริกา รัสเซีย อังกฤษ และฝรั่งเศส ซึ่งใช้เวลาถึง 4 ปี กว่าจะให้มีรัฐธรรมนูญและเลือกตั้งในปี 1949 และได้คอนราด อาเดเนาว์ เป็นนายกรัฐมนตรี
พันธมิตรกลัวว่า ถ้าไม่ใช้เวลาถอดเขี้ยวเล็บของอินทรีย์เหล็กเยอรมันอย่างจริงจัง อาจจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ดังบทเรียนหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่เยอรมันแพ้แต่ "ไม่ตาย" กลับฟื้นขึ้นมาทำให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มีคนตายไปมากกว่า 60 ล้านคน คนเยอรมันเองตายไปกว่า 7.5 ล้านคน
นี่คือผลของประชาธิปไตยที่ได้แต่ "เลือกตั้ง" จึงได้ฮิตเลอร์มาจากการเลือกตั้ง สร้างฐานอุดมการณ์นาซีจนฝังรากลึกในสังคมเยอรมัน ลุแก่อำนาจ ออกฏหมายให้ประโยชน์แก่ตนเอง พรรคนาซี กลายเป็นเผด็จการ
แต่ฟ้ายังปรานี นรกส่งฮิตเลอร์มาเกิด สวรรค์ส่ง คอนราด อาเดเนาว์ มาเกิด เพื่อฟื้นฟูชาติที่ล่มสลายให้กลายเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่มาจนถึงวันนี้"
บางส่วนจาก 'บทเรียนถอดรากระบอบนาซี'
เสรี พงศ์พิศ, สยามรัฐรายวัน (25 ธ.ค.2556)
พันธมิตรกลัวว่า ถ้าไม่ใช้เวลาถอดเขี้ยวเล็บของอินทรีย์เหล็กเยอรมันอย่างจริงจัง อาจจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ดังบทเรียนหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่เยอรมันแพ้แต่ "ไม่ตาย" กลับฟื้นขึ้นมาทำให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มีคนตายไปมากกว่า 60 ล้านคน คนเยอรมันเองตายไปกว่า 7.5 ล้านคน
นี่คือผลของประชาธิปไตยที่ได้แต่ "เลือกตั้ง" จึงได้ฮิตเลอร์มาจากการเลือกตั้ง สร้างฐานอุดมการณ์นาซีจนฝังรากลึกในสังคมเยอรมัน ลุแก่อำนาจ ออกฏหมายให้ประโยชน์แก่ตนเอง พรรคนาซี กลายเป็นเผด็จการ
แต่ฟ้ายังปรานี นรกส่งฮิตเลอร์มาเกิด สวรรค์ส่ง คอนราด อาเดเนาว์ มาเกิด เพื่อฟื้นฟูชาติที่ล่มสลายให้กลายเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่มาจนถึงวันนี้"
บางส่วนจาก 'บทเรียนถอดรากระบอบนาซี'
เสรี พงศ์พิศ, สยามรัฐรายวัน (25 ธ.ค.2556)
เกาะติดการเมือง 28 พค 2557
- 12.12น.วัชระชงรก.ผบ.ตร.จี้ถอดยศทักษิณรื้อคดีเอกยุทธ-สุเทพย้ำไม่หนีคดี...sms INN
- แจ้งเปลี่ยนเวลา! รถไฟฟ้าใต้ดิน แจ้ง เปิดให้บริการ 6 โมงเช้าถึง 5ทุ่ม นับตั้งแต่วันนี้ (28พ.ค.)เป็นต้นไป ใกล้เคียงเวลาเคอร์ฟิวใหม่ ของ คสช.
- ไอซีทีปิดแล้ว 219 เว็บไซต์ พร้อมประสานเฟซบุ๊ก-ไลน์-ยูทูป ระงับเนื้อหาที่ขัดกับประกาศ คสช.
- คสช.สรุปเรียกบุคคลรวม253ราย,รายงานตัวแล้ว200ก่อนปล่อย124,เร่งตามที่หนี
12.55น.ทีมโฆษกคสช.ระบุหากสถานการณ์เรียบร้อยจริงจะยกเลิกเคอร์ฟิว วอนปชช.ให้ความร่วมมือจนท. ย้ำลดเวลาเพื่อผ่อนปรนผู้ประกอบการ/ร้านอาหาร
13.00 ลับลวงพราง!! ทหารคุมตัว"จาตุรนต์"ออกไปแล้ว!! เดิมบอกจะไป สำนักปลัดกลาโหม แจ้งวัฒนะ ... จู่ๆแจ้งยกเลิกบอกคุมตัว ไปเซฟเฮ้าท์กองทัพภาค1 @Chu_SpringNews 56 นา
13.10น.ทีมโฆษกคสช.นำภาพความเป็นอยู่ของแกนนำนปช.-อี้แทนคุณ-พล.ต.อ.ประชา มาฉายซ้ำให้สื่อดู ยันทุกคนอยู่สุขสบาย
13.12น.ทีมโฆษกคสช.เผย124คนที่ถูกปล่อยตัว เซ็นรับทราบว่าปล่อยตัวแล้ว และขอที่อยู่ไว้แล้วเพื่อติดต่อได้สะดวก
13.20น. ทีมโฆษกคสช. ชี้ผู้ที่เชิญมารายงานตัว-ถูกควบคุมตัว มีส่วนสำคัญในกระบวนการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ตามที่คสช.ตั้งศูนย์ฯปรองดอง
13.30น. ทีมโฆษกคสช.ขอบคุณปชช.ที่ให้กำลังใจกองทัพ แต่ขอความร่วมมืออย่าชุมนุมเกิน5คนตามประกาศคสช. เพื่อรักษากติกาและความสงบเรียบร้อย
13.35น.ธกส. สำรองจ่ายเงินให้ชาวนาแล้วไม่เกิน 4หมื่นล้านบาท
13.40 จับตา!! คสช. จ่อพิจารณาปล่อยแกนนำ นปช. วันนี้หรือไม่??
- ศาลทหารเผยชัด!! ขั้นตอนพิจารณาคดี "จาตุรนต์" -ยันฝากขังได้ครั้งละ 12 วันจนครบ 84 วัน !!
- 13.54 ศูนย์เอราวัณ แจ้ง!! เหตุชุมนุมที่ผ่านมา เสียชีวิตแล้ว 25 ราย เจ็บ 782 ราย
ข้อคิดยามบ่าย 28 พค2557
- อย่ากลัวความฝันของคุณ เพราะหากคุณจะทำตามฝัน มันก็ง่ายกว่าที่คิด.
- ทุกคนที่บอกให้คุณพูดความจริง เพราะต้องการจะรู้ว่าคุณรู้เท่าไหน แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะรับความจริงได้
- "อัตตา" สนใจแค่ว่า ถูกใจ หรือ ไม่ถูกใจ...ส่วน "ปัญญา" สนใจว่า ถูกต้อง หรือ ไม่ถูกต้อง
- บางที "ความสำเร็จ" ในชีวิต ก็มีความหมายง่ายๆว่า คือ การที่เราสามารถใช้ชีวิตของเราได้ตามทางที่เราปรารถนา
- อะไรที่ทำด้วยใจ..ยิ่งใหญ่เสมอ
- ทุกคนที่บอกให้คุณพูดความจริง เพราะต้องการจะรู้ว่าคุณรู้เท่าไหน แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะรับความจริงได้
- "อัตตา" สนใจแค่ว่า ถูกใจ หรือ ไม่ถูกใจ...ส่วน "ปัญญา" สนใจว่า ถูกต้อง หรือ ไม่ถูกต้อง
- บางที "ความสำเร็จ" ในชีวิต ก็มีความหมายง่ายๆว่า คือ การที่เราสามารถใช้ชีวิตของเราได้ตามทางที่เราปรารถนา
- อะไรที่ทำด้วยใจ..ยิ่งใหญ่เสมอ
วันอังคารที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
***13 วิธีสร้างสุขให้ทุกวันของชีวิต/ดร.สุภาพร เทพยสุวรรณ***
***13 วิธีสร้างสุขให้ทุกวันของชีวิต/ดร.สุภาพร เทพยสุวรรณ***
ชีวิตของมนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาความสุขและต่างก็แสวงหาความสุขด้วยกันทั้งสิ้น วันนี้ผู้เขียนมีวิธีที่ช่วยเพิ่มความสุขให้ตัวเองที่ทำได้ไม่ยากมาฝากกัน
1.อยู่กับคนที่ทำให้เรายิ้มได้ จากการศึกษาพบว่าเราจะมีความสุขที่สุดเมื่ออยู่ท่ามกลางคนที่มีความสุขเหมือนกัน ให้เราอยู่กับคนที่ยิ้มแย้มแจ่มใส สร้างอารมณ์สุนทรีย์เพราะคนเหล่านั้นจะพลอยพาให้เราหัวเราะและมีความสุขไปด้วย
2.ยึดถือคุณค่าในตัวเอง อะไรคือความเชื่อของเรา อะไรคือสิ่งที่ยึดถือ เช่น ความเมตตากรุณา ความซื่อสัตย์ ความยุติธรรม หากเราให้ความสำคัญต่อคุณค่าเหล่านี้มากเท่าไหร่ เราจะมีความรู้สึกที่ดีต่อตัวเองและคนที่เรารักมากขึ้นเท่านั้น
3.ยอมรับสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน แม้ว่าจะเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม อย่าผลักไสสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นและคิดว่าสิ่งนั้นไม่สมบูรณ์แบบ ให้เรายอมรับสิ่งดีที่เกิดขึ้นแม้ว่าจะเป็นสิ่งน้อยนิดก็ตาม
4.จินตนาการถึงการประสบความสำเร็จ อย่ากลัวว่าสิ่งที่เราคาดหวังไว้นั้นเราจะไปไม่ถึง ให้เราวาดภาพความสำเร็จของตัวเอง หลายคนไม่กล้าวาดภาพความสำเร็จของตัวเอง เพราะกลัวว่าจะทำให้ตัวเองผิดหวัง แต่ในความจริงการจินตนาการถึงความสำเร็จของตัวเองเป็นสิ่งที่สำคัญที่จะทำให้เราไปถึงจุดนั้น
5.ทำในสิ่งที่เรารัก แม้ว่าเราไม่สามารถไปนั่งชมวิวชายทะเลทุกวัน หรือดำน้ำดูปะการังที่เราชอบได้บ่อยๆ แต่การได้ทำในสิ่งที่เรารักบ้างนานๆครั้ง จะช่วยเพิ่มความสุขให้แก่เราอย่างไม่น่าเชื่อ
6.มีเป้าหมายในชีวิต คนที่มีเป้าหมายในชีวิตจะพยายามไปถึงจุดนั้นและจะมีความรู้สึกที่ดีต่อตัวเองและต่อชีวิต
7.ทำตามใจของเรา เราเป็นคนเดียวเท่านั้นที่สามารถบอกตัวเราเองได้ว่าอะไรจะเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความสุข ไม่ใช่สิ่งที่ครอบครัวหรือเพื่อนๆบอก แต่เป็นสิ่งที่รู้อยู่แก่ใจตัวเอง
8.ผลักดันตัวเองไม่ใช่กดดันผู้อื่น เป็นการง่ายที่เราจะรู้สึกว่าความสำเร็จของเรานั้นขึ้นอยู่กับคนอื่น แต่ความเป็นจริงแล้วสิ่งนี้ขึ้นอยู่กับเรา เมื่อเราเข้าใจและตระหนักในสิ่งนี้แล้ว ในทางกลับกันสิ่งเหล่านี้จะมีอำนาจผลักดันให้เราไปถึงจุดหมายได้ ให้เราหยุดตำหนิโลกนี้และคนอื่น อย่าเปรียบเทียบตัวเราเองกับคนอื่น และเราจะค้นพบคำตอบในไม่ช้า
9.เต็มใจรับการเปลี่ยนแปลง แม้ว่าอาจจะยาก แต่ให้เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงทำให้เราได้เรียนรู้ประสบการณ์แปลกๆใหม่ๆในชีวิต และจะทำให้เราก้าวไปสู่ความสำเร็จอีกขั้นหนึ่ง
10.พอใจกับชิวิตง่ายๆ คิดทางบวกอยู่เสมอ เช่น เรามีคนที่รักเรา เรามีความทรงจำที่ดี เรามีเพื่อนที่ดี วันนี้รถติดน้อยกว่าเมื่อวาน สิ่งง่ายๆ เหล่านี้ทำให้ชีวิตของเราดำเนินต่อไปได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไร
11.ทำดีกับทุกคน การทำดีกับผู้อื่นจะช่วยสร้างความสุขให้แก่ตัวเรา ไม่ว่าความดีที่เราทำนั้นจะเล็กน้อยเพียงใด แต่จะช่วยสร้างความรู้สึกที่ดีต่อตัวเราได้ งานวิจัยพบว่า เด็กอายุ 9-11 ขวบที่ให้ทำสิ่งที่ดีเป็นเวลาหลายสัปดาห์ติดต่อกัน ไม่เพียงแต่มีความสุขเพิ่มมากขึ้นแต่ยังเป็นที่ยอมรับในกลุ่มเพื่อนๆอีกด้วย
12.มีความเพียงพอ รู้จักประหยัด การมีหนี้สินหรือการใช้จ่ายเกินตัว ทำให้เราเป็นทุกข์ สิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิตนั้นมีไม่กี่อย่าง แต่สิ่งที่เราต้องการมีมากจนไม่รู้จบ ให้เรารู้จักพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่ ว่าเรามีเพียงพอแล้ว ความละโมบทำให้เราเกิดความทุกข์ จากการไม่รู้จักพอ
13.เป็นพ่อแม่คน สิ่งนี้หลายคนอาจไม่เห็นด้วย แต่การจากศึกษาพบว่าการเป็นพ่อแม่หรือผู้ปกครองทำให้เรามีประสบการณ์อีกขั้นหนึ่งในชีวิตที่คนที่ไม่มีลูกไม่ได้รับ แต่ไม่ได้หมายความว่าการเป็นพ่อแม่คนทำให้เรามีความสุขแต่การเป็นพ่อแม่เป็นการเชื่อมต่อของความสุขและเป็นสิ่งที่มีความหมาย จากการศึกษาของ Lyubomirsky ในปี 2012 พบว่า การเป็นพ่อ แม่ของลูกเป็นประสบการณ์ที่ทำให้มีความสุขอีกขั้นหนึ่งของชีวิตและทำให้เรารู้จักความหมายของชีวิตมากขึ้น
ความสุขเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเราและหาได้ไม่ยาก แค่เพียงเริ่มต้นจากการเข้าใจตัวเอง มองเห็นคุณค่าในตัวเอง พอใจกับชีวิตง่ายๆ รู้จักพอ และพร้อมจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อรับความเปลี่ยนแปลงและประสบการณ์แปลกๆ ใหม่ๆ ในชีวิตเสมอ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน
ข้อมูลอ้างอิงจาก http://m.psychologytoday.com/ —
ชีวิตของมนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาความสุขและต่างก็แสวงหาความสุขด้วยกันทั้งสิ้น วันนี้ผู้เขียนมีวิธีที่ช่วยเพิ่มความสุขให้ตัวเองที่ทำได้ไม่ยากมาฝากกัน
1.อยู่กับคนที่ทำให้เรายิ้มได้ จากการศึกษาพบว่าเราจะมีความสุขที่สุดเมื่ออยู่ท่ามกลางคนที่มีความสุขเหมือนกัน ให้เราอยู่กับคนที่ยิ้มแย้มแจ่มใส สร้างอารมณ์สุนทรีย์เพราะคนเหล่านั้นจะพลอยพาให้เราหัวเราะและมีความสุขไปด้วย
2.ยึดถือคุณค่าในตัวเอง อะไรคือความเชื่อของเรา อะไรคือสิ่งที่ยึดถือ เช่น ความเมตตากรุณา ความซื่อสัตย์ ความยุติธรรม หากเราให้ความสำคัญต่อคุณค่าเหล่านี้มากเท่าไหร่ เราจะมีความรู้สึกที่ดีต่อตัวเองและคนที่เรารักมากขึ้นเท่านั้น
3.ยอมรับสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน แม้ว่าจะเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม อย่าผลักไสสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นและคิดว่าสิ่งนั้นไม่สมบูรณ์แบบ ให้เรายอมรับสิ่งดีที่เกิดขึ้นแม้ว่าจะเป็นสิ่งน้อยนิดก็ตาม
4.จินตนาการถึงการประสบความสำเร็จ อย่ากลัวว่าสิ่งที่เราคาดหวังไว้นั้นเราจะไปไม่ถึง ให้เราวาดภาพความสำเร็จของตัวเอง หลายคนไม่กล้าวาดภาพความสำเร็จของตัวเอง เพราะกลัวว่าจะทำให้ตัวเองผิดหวัง แต่ในความจริงการจินตนาการถึงความสำเร็จของตัวเองเป็นสิ่งที่สำคัญที่จะทำให้เราไปถึงจุดนั้น
5.ทำในสิ่งที่เรารัก แม้ว่าเราไม่สามารถไปนั่งชมวิวชายทะเลทุกวัน หรือดำน้ำดูปะการังที่เราชอบได้บ่อยๆ แต่การได้ทำในสิ่งที่เรารักบ้างนานๆครั้ง จะช่วยเพิ่มความสุขให้แก่เราอย่างไม่น่าเชื่อ
6.มีเป้าหมายในชีวิต คนที่มีเป้าหมายในชีวิตจะพยายามไปถึงจุดนั้นและจะมีความรู้สึกที่ดีต่อตัวเองและต่อชีวิต
7.ทำตามใจของเรา เราเป็นคนเดียวเท่านั้นที่สามารถบอกตัวเราเองได้ว่าอะไรจะเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความสุข ไม่ใช่สิ่งที่ครอบครัวหรือเพื่อนๆบอก แต่เป็นสิ่งที่รู้อยู่แก่ใจตัวเอง
8.ผลักดันตัวเองไม่ใช่กดดันผู้อื่น เป็นการง่ายที่เราจะรู้สึกว่าความสำเร็จของเรานั้นขึ้นอยู่กับคนอื่น แต่ความเป็นจริงแล้วสิ่งนี้ขึ้นอยู่กับเรา เมื่อเราเข้าใจและตระหนักในสิ่งนี้แล้ว ในทางกลับกันสิ่งเหล่านี้จะมีอำนาจผลักดันให้เราไปถึงจุดหมายได้ ให้เราหยุดตำหนิโลกนี้และคนอื่น อย่าเปรียบเทียบตัวเราเองกับคนอื่น และเราจะค้นพบคำตอบในไม่ช้า
9.เต็มใจรับการเปลี่ยนแปลง แม้ว่าอาจจะยาก แต่ให้เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงทำให้เราได้เรียนรู้ประสบการณ์แปลกๆใหม่ๆในชีวิต และจะทำให้เราก้าวไปสู่ความสำเร็จอีกขั้นหนึ่ง
10.พอใจกับชิวิตง่ายๆ คิดทางบวกอยู่เสมอ เช่น เรามีคนที่รักเรา เรามีความทรงจำที่ดี เรามีเพื่อนที่ดี วันนี้รถติดน้อยกว่าเมื่อวาน สิ่งง่ายๆ เหล่านี้ทำให้ชีวิตของเราดำเนินต่อไปได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไร
11.ทำดีกับทุกคน การทำดีกับผู้อื่นจะช่วยสร้างความสุขให้แก่ตัวเรา ไม่ว่าความดีที่เราทำนั้นจะเล็กน้อยเพียงใด แต่จะช่วยสร้างความรู้สึกที่ดีต่อตัวเราได้ งานวิจัยพบว่า เด็กอายุ 9-11 ขวบที่ให้ทำสิ่งที่ดีเป็นเวลาหลายสัปดาห์ติดต่อกัน ไม่เพียงแต่มีความสุขเพิ่มมากขึ้นแต่ยังเป็นที่ยอมรับในกลุ่มเพื่อนๆอีกด้วย
12.มีความเพียงพอ รู้จักประหยัด การมีหนี้สินหรือการใช้จ่ายเกินตัว ทำให้เราเป็นทุกข์ สิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิตนั้นมีไม่กี่อย่าง แต่สิ่งที่เราต้องการมีมากจนไม่รู้จบ ให้เรารู้จักพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่ ว่าเรามีเพียงพอแล้ว ความละโมบทำให้เราเกิดความทุกข์ จากการไม่รู้จักพอ
13.เป็นพ่อแม่คน สิ่งนี้หลายคนอาจไม่เห็นด้วย แต่การจากศึกษาพบว่าการเป็นพ่อแม่หรือผู้ปกครองทำให้เรามีประสบการณ์อีกขั้นหนึ่งในชีวิตที่คนที่ไม่มีลูกไม่ได้รับ แต่ไม่ได้หมายความว่าการเป็นพ่อแม่คนทำให้เรามีความสุขแต่การเป็นพ่อแม่เป็นการเชื่อมต่อของความสุขและเป็นสิ่งที่มีความหมาย จากการศึกษาของ Lyubomirsky ในปี 2012 พบว่า การเป็นพ่อ แม่ของลูกเป็นประสบการณ์ที่ทำให้มีความสุขอีกขั้นหนึ่งของชีวิตและทำให้เรารู้จักความหมายของชีวิตมากขึ้น
ความสุขเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเราและหาได้ไม่ยาก แค่เพียงเริ่มต้นจากการเข้าใจตัวเอง มองเห็นคุณค่าในตัวเอง พอใจกับชีวิตง่ายๆ รู้จักพอ และพร้อมจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อรับความเปลี่ยนแปลงและประสบการณ์แปลกๆ ใหม่ๆ ในชีวิตเสมอ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน
ข้อมูลอ้างอิงจาก http://m.psychologytoday.com/ —
มีเรื่องใด น่าโกรธ อย่าโทษใคร
มีเรื่องใด น่าโกรธ อย่าโทษใคร
โทษที่ใจ เราผิด ไม่คิดยั้ง
พยาบาท โกรธแค้น และชิงชัง
ในใจสั่ง สมไฟ ไร้ปัญญา
ไม่พึงใจ พอใจ ใครก็มี
ความไม่ดี ต่างย่อมรู้ คู่กันหนา
โลภ โกรธ หลง มีกิเลสธรรมดา
แต่อย่าให้..เดินหน้า..นำพาไป
อภัยได้..อภัย..ให้เขานะ
เลิกลดละ ฝึกให้ เป็นนิสัย
อย่าเอาโกรธ นำหน้า จะมีภัย
จองเวรไป ไม่มีสุข ทุกข์ใจฟรี..
เราก็ร้อน เขาก็ร้อน ทั้งสองฝ่าย
โมโหร้าย เหมือน ไฟลามไล่ที่
ถอยก่อนได้ ยอมก่อน เถอะคนดี
ใจเย็นมี ค่อยกลับ ปรับเข้าใจ
เพราะหนึ่งครั้ง..ที่เรา..ให้อภัย
คือปลดไฟ..หนึ่งกอง..ออกไปได้..
ไฟโกรธเกลียด เผาผลาญ สุมทรวงใจ
ฉ่ำเย็นได้ ด้วยกระแส เมตตาธรรม..
ใจที่เคย ร้อนรุ่ม กระวนกระวาย
ดับสลาย คลายเป็น น้ำเย็นฉ่ำ
ดวงใจที่ มืดมิด สนิทดำ
ไม่ได้นำ สุขก่อ ต่อตนเลย...
ตราชั่งสีขาว
โทษที่ใจ เราผิด ไม่คิดยั้ง
พยาบาท โกรธแค้น และชิงชัง
ในใจสั่ง สมไฟ ไร้ปัญญา
ไม่พึงใจ พอใจ ใครก็มี
ความไม่ดี ต่างย่อมรู้ คู่กันหนา
โลภ โกรธ หลง มีกิเลสธรรมดา
แต่อย่าให้..เดินหน้า..นำพาไป
อภัยได้..อภัย..ให้เขานะ
เลิกลดละ ฝึกให้ เป็นนิสัย
อย่าเอาโกรธ นำหน้า จะมีภัย
จองเวรไป ไม่มีสุข ทุกข์ใจฟรี..
เราก็ร้อน เขาก็ร้อน ทั้งสองฝ่าย
โมโหร้าย เหมือน ไฟลามไล่ที่
ถอยก่อนได้ ยอมก่อน เถอะคนดี
ใจเย็นมี ค่อยกลับ ปรับเข้าใจ
เพราะหนึ่งครั้ง..ที่เรา..ให้อภัย
คือปลดไฟ..หนึ่งกอง..ออกไปได้..
ไฟโกรธเกลียด เผาผลาญ สุมทรวงใจ
ฉ่ำเย็นได้ ด้วยกระแส เมตตาธรรม..
ใจที่เคย ร้อนรุ่ม กระวนกระวาย
ดับสลาย คลายเป็น น้ำเย็นฉ่ำ
ดวงใจที่ มืดมิด สนิทดำ
ไม่ได้นำ สุขก่อ ต่อตนเลย...
ตราชั่งสีขาว
"Secret of old age"
"Secret of old age"
1. Before middle age - Do not fear!
"ก่อนวัยกลางคน ไม่มีอะไรที่จะต้องกลัว (น่ากลัว)!"
2. After middle age - Do not regret!
"หลังวัยกลางคน ก็ไม่มีอะไรที่น่าเสียใจอีกแล้ว"
2. Enjoy your life while you can.
"หาความสุขให้กับชีวิต เมื่อคุณยังมีความสามารถอยู่"
3. Do not wait till you cannot even walk just to be sorry and to regret.
"อย่ารอจนกว่า...คุณเดินไม่ไหวแล้วต้องมานั่งเสียดายและเสียใจ"
4. As long as it is physically possible, visit places you wish to visit.
"ตราบใดที่ร่างกายคุณยังไหวอยู่ ก็ขอให้คุณไปเยี่ยมเยียนในสถานที่ที่คุณอยากไปเถอะ"
5. When there is an opportunity, get together with old classmates, old colleagues & friends.
"เมื่อเรายังมีโอกาส หาเวลาร่วมสังสรรค์กับเพื่อนร่วมชั้นเรียน สหายรักและเพื่อนเก่า (แก่)"
6. The gathering is not just about eating; it's just that there is not much time left.
"การสังสรรค์นั้นมิใช่เพื่อสนุกกับการกินเท่านั้น หากแต่เพราะเราต่างเหลือเวลาที่จะอยู่ด้วยกันน้อยลงแล้ว..."
7. Money kept in the banks may not be really your.
"เงินที่คุณนำไปฝากไว้ที่ธนาคารนั้น อาจจะไม่ได้เป็นของคุณโดยแท้..."
8. When it is time to spend, just spend, treat yourself well as you're getting old.
"เมื่อถึงเวลาที่จะใช้ จงใช้มันหาความสุขให้ตัวเอง ในขณะที่วันเวลาของชีวิตเหลือน้อยลงแล้ว (ขณะที่คุณกำลังชราภาพมากขึ้น)"
8. Whatever you feel like eating, just eat! It is most important to be happy.
"เมื่อคุณอยากจะกิน ก็จงกินเถอะ เพราะสิ่งสำคัญที่สุด คือ การทำตนให้มีความสุข"
9. Food which are good for health - eat often and more but that is not everything.
"อาหารที่ดีต่อสุขภาพก็ทานเยอะและบ่อยสักหน่อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า คุณจะทานได้ทุกอย่าง"
10. Things which are not good for health - eat less once in a while but do not abstain from them totally.
"อะไรที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ก็ทานให้น้อยลงสักหน่อย หรือทานเป็นบางครั้งบางคราว แต่อย่าให้ถึงกับอดอยากเลยทีเดียว"
11. Treat sickness with optimism. Whether you are poor or rich.
"มองการเจ็บป่วยแบบคนมองโลกในแง่ดี ไม่ว่าคุณจะรวยหรือจน ก็มีโอกาสเจ็บป่วยได้ทั้งนั้น"
12. Do not be afraid or worried when you are sick.
"อย่ากลัวหรือวิตกกังวลใจเมื่อคุณต้องเจ็บป่วย"
13. Everyone has to go through the birth, aging, sickness and death. There is no exception, that's life.
"มนุษย์ทุกรูปทุกนามล้วนแล้วแต่ต้องผ่านการเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมด ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ เพราะนั่นคือ..ชีวิต"
14. Settle all the outstanding issues before hand and you will be able to leave without regret.
"จัดการปัญหาต่างๆ ที่สำคัญทั้งหมดทั้งมวลเสียก่อน แล้วคุณก็จะสามารถที่จะจากไปโดยปราศจากความเสียใจใดๆ"
15. Let the doctors handle your body, God handle your life, but be in charge of your own mood.
"ปล่อยให้หมอเป็นผู้ดูแลสุขภาพของคุณ พระเจ้าดูแลชีวิตของคุณ แต่คุณต้องจัดการกับอารมณ์ของคุณเอง"
16. If worries can cure your sickness, then go ahead and worry.
"ถ้าหากความวิตกกังวลช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บของคุณได้ ก็ปล่อยให้ใจมันกังวลต่อไป"
17. If worries can prolong your life, then go ahead and worry.
"ถ้าหากความวิตกกังวลช่วยให้คุณมีชีวิตที่ยืนยาว ก็ขอจงวิตกกังวลใจต่อไป"
18. If worries can exchange for happiness, then go ahead and worry.
"ถ้าหากความวิตกกังวลสามารถแลกเปลี่ยนเป็นความสุขได้...ก็ขอให้คุณจงวิตกกังวลต่อไป"
19. Our kids will make their own fortune.
"ลูกหลานเราจะสร้างสรรค์โชคลาภ ด้วยตัวของเขาเอง (อย่าได้กังวลใจเลย)"
20. Your old body - pay more attention to health, you can only rely on yourself in this.
"สำหรับร่างกายที่แก่เฒ่าของคุณ คุณต้องให้ความสนใจต่อสุขภาพของคุณมากขึ้น คุณเท่านั้นที่จะวางใจตัวคุณเองได้"
21. Your old companion - treasure every moment with your other half, one of you will leave first.
"คู่ชีวิตที่แก่เฒ่า - ขุมทรัพย์ทุกขณะจิต ที่เป็นหุ้นส่วนหนึ่งของชีวิต อาจจะทิ้งคุณไปก่อน"
22. Retirement funds - money that you have earned, it is best to keep them yourself.
"เงินเกษียณ เป็นเงินที่คุณหามาตลอดชีวิต ดีที่สุดก็คือ...เก็บไว้กับตัวคุณเอง"
23. Your old friends - seize every opportunities to meet up with your friends, such opportunities will become rare as time goes by.
"สำหรับเพื่อนเก่าทั้งหลาย จงแสวงหาทุกโอกาสที่จะพบกับพวกเขาเหล่านั้น โอกาสเช่นนั้นนับวันจะหาได้ยากมากขึ้น เมื่อเวลาผ่านไป"
24. Everyday you MUST smile and laugh.
"ทุกๆ วัน คุณต้องยิ้มและหัวเราะให้ได้"
25. Running water does not flow back. So is life, make it happy!
"สายน้ำนั้นไม่สามารถไหลย้อนกลับ เช่นเดียวกับชีวิตของเรา ดังนั้นจงทำชีวิตให้มีความสุข"
26. Cry louder if you want to cry.
"จงร้องไห้ให้เสียงดังขึ้น ถ้าหากคุณต้องการจะร้อง"
27. Life ends; when you stop DREAMING.
"ชีวิตสิ้นสุด เมื่อคุณเลิกฝัน"
28. Hope ends; when you stop BELIEVING.
"ความหวังสิ้นสุด เมื่อคุณหยุดเชื่อ"
29. Love ends; when you stop CARING.
"ความรักสิ้นสุด เมื่อคุณหยุดที่จะใส่ใจ"
30. And Friendship ends; when you stop SHARING.
"และมิตรภาพจะสิ้นสุด เมื่อคุณหยุดการแบ่งปัน!"
..............
Credit to "Secret of old age"
From HWP line
1. Before middle age - Do not fear!
"ก่อนวัยกลางคน ไม่มีอะไรที่จะต้องกลัว (น่ากลัว)!"
2. After middle age - Do not regret!
"หลังวัยกลางคน ก็ไม่มีอะไรที่น่าเสียใจอีกแล้ว"
2. Enjoy your life while you can.
"หาความสุขให้กับชีวิต เมื่อคุณยังมีความสามารถอยู่"
3. Do not wait till you cannot even walk just to be sorry and to regret.
"อย่ารอจนกว่า...คุณเดินไม่ไหวแล้วต้องมานั่งเสียดายและเสียใจ"
4. As long as it is physically possible, visit places you wish to visit.
"ตราบใดที่ร่างกายคุณยังไหวอยู่ ก็ขอให้คุณไปเยี่ยมเยียนในสถานที่ที่คุณอยากไปเถอะ"
5. When there is an opportunity, get together with old classmates, old colleagues & friends.
"เมื่อเรายังมีโอกาส หาเวลาร่วมสังสรรค์กับเพื่อนร่วมชั้นเรียน สหายรักและเพื่อนเก่า (แก่)"
6. The gathering is not just about eating; it's just that there is not much time left.
"การสังสรรค์นั้นมิใช่เพื่อสนุกกับการกินเท่านั้น หากแต่เพราะเราต่างเหลือเวลาที่จะอยู่ด้วยกันน้อยลงแล้ว..."
7. Money kept in the banks may not be really your.
"เงินที่คุณนำไปฝากไว้ที่ธนาคารนั้น อาจจะไม่ได้เป็นของคุณโดยแท้..."
8. When it is time to spend, just spend, treat yourself well as you're getting old.
"เมื่อถึงเวลาที่จะใช้ จงใช้มันหาความสุขให้ตัวเอง ในขณะที่วันเวลาของชีวิตเหลือน้อยลงแล้ว (ขณะที่คุณกำลังชราภาพมากขึ้น)"
8. Whatever you feel like eating, just eat! It is most important to be happy.
"เมื่อคุณอยากจะกิน ก็จงกินเถอะ เพราะสิ่งสำคัญที่สุด คือ การทำตนให้มีความสุข"
9. Food which are good for health - eat often and more but that is not everything.
"อาหารที่ดีต่อสุขภาพก็ทานเยอะและบ่อยสักหน่อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า คุณจะทานได้ทุกอย่าง"
10. Things which are not good for health - eat less once in a while but do not abstain from them totally.
"อะไรที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ก็ทานให้น้อยลงสักหน่อย หรือทานเป็นบางครั้งบางคราว แต่อย่าให้ถึงกับอดอยากเลยทีเดียว"
11. Treat sickness with optimism. Whether you are poor or rich.
"มองการเจ็บป่วยแบบคนมองโลกในแง่ดี ไม่ว่าคุณจะรวยหรือจน ก็มีโอกาสเจ็บป่วยได้ทั้งนั้น"
12. Do not be afraid or worried when you are sick.
"อย่ากลัวหรือวิตกกังวลใจเมื่อคุณต้องเจ็บป่วย"
13. Everyone has to go through the birth, aging, sickness and death. There is no exception, that's life.
"มนุษย์ทุกรูปทุกนามล้วนแล้วแต่ต้องผ่านการเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมด ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ เพราะนั่นคือ..ชีวิต"
14. Settle all the outstanding issues before hand and you will be able to leave without regret.
"จัดการปัญหาต่างๆ ที่สำคัญทั้งหมดทั้งมวลเสียก่อน แล้วคุณก็จะสามารถที่จะจากไปโดยปราศจากความเสียใจใดๆ"
15. Let the doctors handle your body, God handle your life, but be in charge of your own mood.
"ปล่อยให้หมอเป็นผู้ดูแลสุขภาพของคุณ พระเจ้าดูแลชีวิตของคุณ แต่คุณต้องจัดการกับอารมณ์ของคุณเอง"
16. If worries can cure your sickness, then go ahead and worry.
"ถ้าหากความวิตกกังวลช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บของคุณได้ ก็ปล่อยให้ใจมันกังวลต่อไป"
17. If worries can prolong your life, then go ahead and worry.
"ถ้าหากความวิตกกังวลช่วยให้คุณมีชีวิตที่ยืนยาว ก็ขอจงวิตกกังวลใจต่อไป"
18. If worries can exchange for happiness, then go ahead and worry.
"ถ้าหากความวิตกกังวลสามารถแลกเปลี่ยนเป็นความสุขได้...ก็ขอให้คุณจงวิตกกังวลต่อไป"
19. Our kids will make their own fortune.
"ลูกหลานเราจะสร้างสรรค์โชคลาภ ด้วยตัวของเขาเอง (อย่าได้กังวลใจเลย)"
20. Your old body - pay more attention to health, you can only rely on yourself in this.
"สำหรับร่างกายที่แก่เฒ่าของคุณ คุณต้องให้ความสนใจต่อสุขภาพของคุณมากขึ้น คุณเท่านั้นที่จะวางใจตัวคุณเองได้"
21. Your old companion - treasure every moment with your other half, one of you will leave first.
"คู่ชีวิตที่แก่เฒ่า - ขุมทรัพย์ทุกขณะจิต ที่เป็นหุ้นส่วนหนึ่งของชีวิต อาจจะทิ้งคุณไปก่อน"
22. Retirement funds - money that you have earned, it is best to keep them yourself.
"เงินเกษียณ เป็นเงินที่คุณหามาตลอดชีวิต ดีที่สุดก็คือ...เก็บไว้กับตัวคุณเอง"
23. Your old friends - seize every opportunities to meet up with your friends, such opportunities will become rare as time goes by.
"สำหรับเพื่อนเก่าทั้งหลาย จงแสวงหาทุกโอกาสที่จะพบกับพวกเขาเหล่านั้น โอกาสเช่นนั้นนับวันจะหาได้ยากมากขึ้น เมื่อเวลาผ่านไป"
24. Everyday you MUST smile and laugh.
"ทุกๆ วัน คุณต้องยิ้มและหัวเราะให้ได้"
25. Running water does not flow back. So is life, make it happy!
"สายน้ำนั้นไม่สามารถไหลย้อนกลับ เช่นเดียวกับชีวิตของเรา ดังนั้นจงทำชีวิตให้มีความสุข"
26. Cry louder if you want to cry.
"จงร้องไห้ให้เสียงดังขึ้น ถ้าหากคุณต้องการจะร้อง"
27. Life ends; when you stop DREAMING.
"ชีวิตสิ้นสุด เมื่อคุณเลิกฝัน"
28. Hope ends; when you stop BELIEVING.
"ความหวังสิ้นสุด เมื่อคุณหยุดเชื่อ"
29. Love ends; when you stop CARING.
"ความรักสิ้นสุด เมื่อคุณหยุดที่จะใส่ใจ"
30. And Friendship ends; when you stop SHARING.
"และมิตรภาพจะสิ้นสุด เมื่อคุณหยุดการแบ่งปัน!"
..............
Credit to "Secret of old age"
From HWP line
I don't know the key to success,
I don't know the key to success,
but the key to failure is...
trying to please everybody.
ผมไม่รู้หรอกว่าอะไรเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จ
แต่กุญแจสู่ความล้มเหลว คือ...
การพยายามที่จะเอาใจทุกคน
Bill Cosby (born July 12, 1937)
บิล คอสบี, นักแสดงตลกชาวอเมริกัน
but the key to failure is...
trying to please everybody.
ผมไม่รู้หรอกว่าอะไรเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จ
แต่กุญแจสู่ความล้มเหลว คือ...
การพยายามที่จะเอาใจทุกคน
Bill Cosby (born July 12, 1937)
บิล คอสบี, นักแสดงตลกชาวอเมริกัน
ยิ่งประเทศพัฒนามากขึ้น ผู้หญิงกลับได้โอกาสน้อยลง
ข้อมูลน่าสนใจจาก The Global Gender Gap Report - 2013 จัดทำโดย World Economic Forum พบว่า...
- จากจำนวนประชากรหญิงทั่วโลก มีเพียง 35% เท่านั้นที่อยู่ในตลาดแรงงาน
- จากจำนวนหญิงชายทั่วโลกที่ทำงานอยู่ในองค์กรต่างๆ มีผู้หญิงเพียง 24% เท่านั้นที่ดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงหรือระดับอาวุโส (แปลว่าในโลกนี้มีผู้บริหารเป็นชายถึง 76%)
...
ข้อมูลจาก Grant Thornton พบว่า 10 ประเทศที่มีผู้หญิงทำงานในตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงมากที่สุดในโลก เรียงตามลำดับได้ดังนี้
1) สาธารณรัฐประชาชนจีน (51%)
2) โปแลนด์ (48%)
3) แลตเวีย (43%)
4) เอสโทเนีย (40%)
5) ลิธัวเนีย (40%)
6) ฟิลิปปินส์ (37%)
7) จอร์เจีย (37%)
8) ไทย (36%)
9) เวียดนาม (33%)
10) บอสวานา (32%)
ส่วนประเทศที่มีผู้หญิงเป็นผู้บริหารน้อยที่สุดในโลก ได้แก่
1) สเปน (21%)
2) ไอร์แลนด์ (21%)
3) สหรัฐอเมริกา (20%)
4) สหราชอาณาจักร (19%)
5) อินเดีย (19%)
6) อาร์เจนตินา (18%)
7) สวิตเซอร์แลนด์ (14%)
8) เนเธอร์แลนด์ (11%)
9) สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ (11%)
10) ญี่ปุ่น (7%)
ถ้าดูรายชื่อประเทศทั้ง 2 Lists แล้ว ... สิ่งที่น่าสังเกตุคือ "ยิ่งประเทศพัฒนามากขึ้น ผู้หญิงกลับได้โอกาสน้อยลง" ... น่าแปลกใจไหมครับ ??
เครดิต Apiwut Pimolsaengsuriya
- จากจำนวนประชากรหญิงทั่วโลก มีเพียง 35% เท่านั้นที่อยู่ในตลาดแรงงาน
- จากจำนวนหญิงชายทั่วโลกที่ทำงานอยู่ในองค์กรต่างๆ มีผู้หญิงเพียง 24% เท่านั้นที่ดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงหรือระดับอาวุโส (แปลว่าในโลกนี้มีผู้บริหารเป็นชายถึง 76%)
...
ข้อมูลจาก Grant Thornton พบว่า 10 ประเทศที่มีผู้หญิงทำงานในตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงมากที่สุดในโลก เรียงตามลำดับได้ดังนี้
1) สาธารณรัฐประชาชนจีน (51%)
2) โปแลนด์ (48%)
3) แลตเวีย (43%)
4) เอสโทเนีย (40%)
5) ลิธัวเนีย (40%)
6) ฟิลิปปินส์ (37%)
7) จอร์เจีย (37%)
8) ไทย (36%)
9) เวียดนาม (33%)
10) บอสวานา (32%)
ส่วนประเทศที่มีผู้หญิงเป็นผู้บริหารน้อยที่สุดในโลก ได้แก่
1) สเปน (21%)
2) ไอร์แลนด์ (21%)
3) สหรัฐอเมริกา (20%)
4) สหราชอาณาจักร (19%)
5) อินเดีย (19%)
6) อาร์เจนตินา (18%)
7) สวิตเซอร์แลนด์ (14%)
8) เนเธอร์แลนด์ (11%)
9) สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ (11%)
10) ญี่ปุ่น (7%)
ถ้าดูรายชื่อประเทศทั้ง 2 Lists แล้ว ... สิ่งที่น่าสังเกตุคือ "ยิ่งประเทศพัฒนามากขึ้น ผู้หญิงกลับได้โอกาสน้อยลง" ... น่าแปลกใจไหมครับ ??
เครดิต Apiwut Pimolsaengsuriya
ชีวิตที่ท้อแท้มีแต่พ่าย
" ชีวิตที่ท้อแท้มีแต่พ่าย
สิ่งใดหมายพลาดผิดอย่าคิดหมอง
ผิดเป็นครูรู้ซึ้งจึงต้องลอง
สู้ครั้งสองอย่าหมดความอดทน
เราจึงต้องรู้พยายามตามที่คิด
...
สู้ชีวิตเพื่อชนะกิเลสประสบผล
ลงมืออย่ายอมแพ้ให้อายคน
ตนพึ่งตนชีวิตแกร่งด้วยแรงใจ "
สิ่งใดหมายพลาดผิดอย่าคิดหมอง
ผิดเป็นครูรู้ซึ้งจึงต้องลอง
สู้ครั้งสองอย่าหมดความอดทน
เราจึงต้องรู้พยายามตามที่คิด
...
สู้ชีวิตเพื่อชนะกิเลสประสบผล
ลงมืออย่ายอมแพ้ให้อายคน
ตนพึ่งตนชีวิตแกร่งด้วยแรงใจ "
ฟังรายการวิทยุรักพ่อ ตอนที่ 133 รักพ่อ รักในหลวง โดย กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ - บ้านเราบ้านพ่อ
รายการรักพ่อ133 บ้านเราบ้านพ่อ
พบกับสารคดีพระเมตตาดั่งสายธาร ตอน ชายแดนบ้านของเรา, ป่ารักน้ำ เพลง "พรของพ่อ" นาย ปาณัสม์ ชูช่วย จากโครงการเพลงเฉลิมพระเกียรติคำพ่อสอน ๘๔ พรรษา ,ทำไมเรารักพระเจ้าอยู่หัว,
, ทีนพลัสรักพ่อ จากชมรมวิทยุเด็ก เยาวชน และครอบครัว จ.ชลบุรี กลเม็ดเคล็ดลับกับการพึ่งตนเอง,บทกวี มนต์ดำ จากคุณไอฝน หยาดน้ำพราวจากราวฟ้า, คำกลอนสอนธรรมะ - เปิดเปิดเปิด ปิดปิดปิด
http://www.youtube.com/watch?v=1IErHckP1YU
มาแล้วครับรายการรักพ่อ ช่วยสายต่อ ให้ระบือ ส่งสื่อสาร
เหมือนคนที่มีจิตร่วมกัน ร่วมปกป้องสถาบัน ให้มั่นคง
ช่วงเวลาต่อจากนี้ไป ขอนำท่านผู้ฟังเข้าสู่รายการรักพ่อ
รายการวิทยุดีๆที่ตั้งใจทำในแนวจิตอาสา
ผู้ดำเนินรายการ : สุเวศน์ ภู่ระหงษ์
ทีมงาน ห้องบันทึกเสียง สิงหา ต.ท่าช้าง อ.เมือง จ.จันทบุรี
- กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ
รถแสนรักโดนชน
รถแสนรักโดนชน โกรธมาก พออีกฝ่ายเดินลงมาและกล่าวขอโทษจริงๆ เขาเป็นคนงานก่อสร้างมากับภรรยาและลูก 1 ขวบไม่ใช่รถเขาและไม่มีประกัน ระหว่างรอประกัน เขาเล่นกับลูกของเขาตลอดเวลา ภรรยาไปซื้อน้ำและซื้อมาฝากผมด้วย เราไปโรงพักและเขาต้องจ่าย 400 บาทค่าปรับทั้งกระเป๋าเขามีเงินสี่ร้อยบาทเช่นกัน เขาก้มหน้าและจ่ายค่าปรับ เมื่อเดินออกจากโรงพักผมก็ให้เงินค่าปรับ 400 บาทคืนให้เขาและบอกว่าขับรถระวังหน่อย ชายคนนั้นรับเงินสี่ร้อยบาทนั้นแล้วส่งให้ลูกเขาพร้อมทั้งบอกให้ขอบคุณผม เด็กน้อยน่ารักยกมือขอบคุณตามประสาเด็ก ผมลูบหัวน้องแล้วเดินจากไป ทำไมหนอรถถูกชนแต่ใจรู้สึกอิ่มอย่างบอกไม่ถูก ผมกลับรู้สึกสบายใจบอกไม่ถูกครับ
สุหฤท
วิธีกำจัดหนอนหลอดหอม - ข่าวสาร เคล็ดลับน่ารู้จาก FarmerInfo
- วิธีกำจัดหนอนหลอดหอม สับรากหนอนตายหยากเป็นชิ้นเล็กๆ 200 กรัม หมักในน้ำ 1 ลิตร ทิ้งไว้ 1 คืน กรองน้ำหมัก 200 ซีซี / น้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นช่วงเย็น
- ช่วงส้มโอแก่ 60-70% นำเกลือมาโรยรอบโคนต้น 2 กำมือ / ต้น จากนั้นรดน้ำตามทันที ทำเพียงครั้งเดียว จะได้ส้มโอที่เนื้อฉ่ำ ไม่แข็งและรสชาติดี
- แร่ธาตุผล (เกลือ4ส่วน+ไดแคลเซียม4ส่วน+พรีมิกส์2ส่วน) 1 ส่วน + รำข้าว / ฟางแห้ง 200 ส่วน ให้สัตว์ทุกชนิดกินได้ ช่วยให้โตเร็วและผสมติดง่าย
- กรมส่งเสริมฯ เร่งของบช่วยภาคเกษตร 43 จังหวัดประสบภัยแล้ง ข้าว 1,113 บ. พืชไร่ 1,148 บ. พืชสวน/ อื่นๆ 1,690บาท (อัตราต่อไร่) หวังบรรเทาทุกข์
- ร้อนจัด ราคามะนาวไทยแพงสุดขีด ลพบุรีพุ่งสูง 13บ/ลูก (ใหญ่) แม่บ้านและผู้ประกอบการโอดครวญ หันพึ่งน้ำมะขาม - น้ำมันขวด ลดภาระต้นทุน
- ผู้ทีเลี้ยงสัตว์ควรดูแลโรงเรือนให้อากาศถ่ายเทสะดวก จัดหาน้ำดื่มให้กับสัตว์เลี้ยงอย่างเพียงพอ เพื่อป้องกันสัตว์เครียด อ่อนแอและเป็นโรค
- การเปิดเพลงคลาสลิคให้เป็ดฟังทุกวัน เวลา 11.00-14.00 น. (เวลานี้เป็ดจะมีความเครียดมากที่สุด เพราะอุณหภูมิสูง) สามารถกระตุ้นให้เป็ดออกไข่ได้ดี
วันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
เราต้องพยายามพิจารณาทุกเช้าทุกเย็น
เราต้องพยายามพิจารณาทุกเช้าทุกเย็น
ว่าเราต้องมีความพลัดพรากจากคนที่เรารักทุกคน
ไม่วันใดก็วันหนึ่ง เราไม่ตายจากเขา ๆ ก็ตายจากเรา
อันนี้ไม่ใช่เพื่อทำให้เรารู้สึกกลุ้มใจหรือเศร้าใจ
แต่เป็นการเปิดจิตใจให้กว้างออกไปรับความจริง
ซึ่งปกติเราชอบพยายามประคับประคองอารมณ์ที่สบายของเราไว้
โดยการกลบเกลื่อนความจริงบางแง่บางมุมบางประการ
คือสิ่งที่จะลดรสชาติของอารมณ์นั้น
เพราะว่าธรรมชาติของคนเรานี้
ชอบเพลิดเพลินในอารมณ์ เพลิดเพลินในความรัก
ถ้าเราเพลิดเพลินในสิ่งใดแล้ว
ความเพลิดเพลินนั้นแหละเป็นความยึดมั่นถือมั่น
เกิดภพ เกิดชาติ เกิดความไม่มั่นคง เกิดความหวั่นไหว
เพราะว่าอารมณ์ทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง
เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย
ผู้ยึดมั่นในอารมณ์ย่อมฝืนธรรมชาติไม่ให้เปลี่ยนแปลง
แต่มนุษย์เราจะสู้ธรรมชาติไม่ได้
มันเป็นการฝืนลม ๆ แล้ง ๆ เป็นการฝืนที่จะทำให้รู้สึกระทมขมขื่น
รู้สึกเซ็ง หมดหวัง สิ้นหวัง
นักปฏิบัติผู้ปรารภธรรมะ
จะคำนึงถึงความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่เสมอ
สำนึกปวงไม่เที่ยง
รู้ว่ายึดมั่นในสิ่งที่ไม่เที่ยงเมื่อไร ก็ต้องเป็นทุกข์ทันที
คิดอย่างนี้ได้ความรักมันไม่หายหรอก
ความรักของเราไม่ใช่ว่ามันจะจืดชืด หมดรสชาติ
แต่จะเป็นความรักที่สุกงอม เป็นความรักของผู้ใหญ่
ความรักไม่มีโทษ
เรื่องความรักนี้จะต้องสังเกตว่า
มันจะเปลี่ยนสภาพ - - -
ตามความรู้และความเข้าใจในธรรมะของผู้รัก
หมายความว่าถ้าพวกเราไม่มีสติปัญญาเป็นที่พึ่งภายในใจ
ไม่มีตัวผู้รู้คอยคุ้มครองการดำเนินชีวิต
คอยดูแลสิ่งที่เราทำ คำที่เราพูด
เราย่อมมีความรู้สึกขาดความมั่นคง
ซึ่งจะอยู่ลึก ๆ ในใจตลอดเวลา
รู้สึกว่า--ขาดอะไรสักอย่าง มีความรู้สึกอย่างนี้แล้ว
เรามักจะพยายามลบความรู้สึกนี้โดยความรัก
จึงแสวงหาความรักอย่างดิ้นรน กระสับกระส่าย กระวนกระวาย
ความรักของเรานั้นจะประกอบด้วยความเห็นแก่ตัว
เพราะเกิดจากความอยาก
แต่ผู้มีที่พึ่งภายในแล้ว มีความมั่นคงภายในใจแล้ว
จะมีความรู้สึกพอดี ไม่มีอะไรขาดไม่มีอะไรเกิน พอดี ๆ
ผู้ที่รู้สึกพอดีนั่นแหละสามารถให้ความรักด้วยความอิสระ
มีความรู้สึกไวต่อคนอื่น ต่อความต้องการของเขา
ความกลัว ความวิตกกังวลของเขา
สามารถสังเกตเห็นสิ่งแวดล้อม
หรือบุคคลรอบข้างอย่างลึกซึ้ง
เพราะเดี๋ยวนี้คนเราก็พอแล้ว ไม่มีความห่วงอะไร
จิตที่เต็มไปด้วยธรรมะแล้วเป็นจิตที่สร้างสรรค์มาก
เพราะว่าไม่มีอะไรบกพร่องพร้อมที่จะช่วยคนอื่นได้
พร้อมที่จะให้ความรัก ให้ความรักโดยไม่หวังอะไรตอบแทน
คือเขาจะรักหรือไม่รักเรื่องของเขา
แต่ว่าเราจะให้ เราพอใจกับการให้
แต่ไม่มีความต้องการในความรักเพื่อความรู้สึกเปล่าเปลี่ยว
หรือว่างเปล่าในใจของตัวเอง มีธรรมะเป็นที่พึ่ง
ความรักเป็นที่พึ่งไม่ได้ แต่ธรรมะเป็นที่พึ่งได้
ธรรมะเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในชีวิตมนุษย์
ڪے
โดย #พระอาจารย์ชยสาโร
ว่าเราต้องมีความพลัดพรากจากคนที่เรารักทุกคน
ไม่วันใดก็วันหนึ่ง เราไม่ตายจากเขา ๆ ก็ตายจากเรา
อันนี้ไม่ใช่เพื่อทำให้เรารู้สึกกลุ้มใจหรือเศร้าใจ
แต่เป็นการเปิดจิตใจให้กว้างออกไปรับความจริง
ซึ่งปกติเราชอบพยายามประคับประคองอารมณ์ที่สบายของเราไว้
โดยการกลบเกลื่อนความจริงบางแง่บางมุมบางประการ
คือสิ่งที่จะลดรสชาติของอารมณ์นั้น
เพราะว่าธรรมชาติของคนเรานี้
ชอบเพลิดเพลินในอารมณ์ เพลิดเพลินในความรัก
ถ้าเราเพลิดเพลินในสิ่งใดแล้ว
ความเพลิดเพลินนั้นแหละเป็นความยึดมั่นถือมั่น
เกิดภพ เกิดชาติ เกิดความไม่มั่นคง เกิดความหวั่นไหว
เพราะว่าอารมณ์ทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง
เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย
ผู้ยึดมั่นในอารมณ์ย่อมฝืนธรรมชาติไม่ให้เปลี่ยนแปลง
แต่มนุษย์เราจะสู้ธรรมชาติไม่ได้
มันเป็นการฝืนลม ๆ แล้ง ๆ เป็นการฝืนที่จะทำให้รู้สึกระทมขมขื่น
รู้สึกเซ็ง หมดหวัง สิ้นหวัง
นักปฏิบัติผู้ปรารภธรรมะ
จะคำนึงถึงความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่เสมอ
สำนึกปวงไม่เที่ยง
รู้ว่ายึดมั่นในสิ่งที่ไม่เที่ยงเมื่อไร ก็ต้องเป็นทุกข์ทันที
คิดอย่างนี้ได้ความรักมันไม่หายหรอก
ความรักของเราไม่ใช่ว่ามันจะจืดชืด หมดรสชาติ
แต่จะเป็นความรักที่สุกงอม เป็นความรักของผู้ใหญ่
ความรักไม่มีโทษ
เรื่องความรักนี้จะต้องสังเกตว่า
มันจะเปลี่ยนสภาพ - - -
ตามความรู้และความเข้าใจในธรรมะของผู้รัก
หมายความว่าถ้าพวกเราไม่มีสติปัญญาเป็นที่พึ่งภายในใจ
ไม่มีตัวผู้รู้คอยคุ้มครองการดำเนินชีวิต
คอยดูแลสิ่งที่เราทำ คำที่เราพูด
เราย่อมมีความรู้สึกขาดความมั่นคง
ซึ่งจะอยู่ลึก ๆ ในใจตลอดเวลา
รู้สึกว่า--ขาดอะไรสักอย่าง มีความรู้สึกอย่างนี้แล้ว
เรามักจะพยายามลบความรู้สึกนี้โดยความรัก
จึงแสวงหาความรักอย่างดิ้นรน กระสับกระส่าย กระวนกระวาย
ความรักของเรานั้นจะประกอบด้วยความเห็นแก่ตัว
เพราะเกิดจากความอยาก
แต่ผู้มีที่พึ่งภายในแล้ว มีความมั่นคงภายในใจแล้ว
จะมีความรู้สึกพอดี ไม่มีอะไรขาดไม่มีอะไรเกิน พอดี ๆ
ผู้ที่รู้สึกพอดีนั่นแหละสามารถให้ความรักด้วยความอิสระ
มีความรู้สึกไวต่อคนอื่น ต่อความต้องการของเขา
ความกลัว ความวิตกกังวลของเขา
สามารถสังเกตเห็นสิ่งแวดล้อม
หรือบุคคลรอบข้างอย่างลึกซึ้ง
เพราะเดี๋ยวนี้คนเราก็พอแล้ว ไม่มีความห่วงอะไร
จิตที่เต็มไปด้วยธรรมะแล้วเป็นจิตที่สร้างสรรค์มาก
เพราะว่าไม่มีอะไรบกพร่องพร้อมที่จะช่วยคนอื่นได้
พร้อมที่จะให้ความรัก ให้ความรักโดยไม่หวังอะไรตอบแทน
คือเขาจะรักหรือไม่รักเรื่องของเขา
แต่ว่าเราจะให้ เราพอใจกับการให้
แต่ไม่มีความต้องการในความรักเพื่อความรู้สึกเปล่าเปลี่ยว
หรือว่างเปล่าในใจของตัวเอง มีธรรมะเป็นที่พึ่ง
ความรักเป็นที่พึ่งไม่ได้ แต่ธรรมะเป็นที่พึ่งได้
ธรรมะเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในชีวิตมนุษย์
ڪے
โดย #พระอาจารย์ชยสาโร
ซ่อนความสุข..ไว้ที่ไหน
มีมาร 3 ตน... แอบมาขโมยเอาความสุขของมนุษย์ไป...
แล้วก็ปรึกษากันว่าจะเอาไปซ่อนที่ไหนดี...
มารตนที่ 1 ว่าควรเอาไปซ่อนไว้ที่ภูเขา... ที่สูงที่สุดในโลก......
แต่มารตนที่ 2 ว่าเพื่อนเอ๋ย มนุษย์นั้นไม่กลัวความสูง...
แต่กลัวหายใจไม่ออก... เพราะสังเกตุได้ว่า...
ดำน้ำได้นิดเดียวก็ทะลึ่งพรวดขึ้นมาแล้ว... เพราะกลัวหายใจไม่ออก...
แต่บนภูเขาอากาศดี... มนุษย์ชอบไปเที่ยวภูเขา...
เอาไปซ่อนไว้ใต้บาดาลจะดีกว่า...
มารตนที่ 3 แย้งว่า... อย่าเลยเพื่อนเอ๋ย... มนุษย์มันเก่ง...
สร้างเครื่องมือหาของในทะเล...ในอากาศได้... เดี๋ยวมันก็หาเจอ...
แต่สังเกตุได้ว่าตามนุษย์มองไปข้างนอก... หูก็ชอบฟังเสียงข้างนอก...
ชอบไปเที่ยวข้างนอก... เราควรแอบเอาไปซ่อนไว้ที่ใจมันดีกว่า...
มนุษย์หาไม่เจอแน่... เพราะว่ามนุษย์ชอบมองหา... ความผิดของคนอื่น...
ไม่ชอบขัดใจตัวเอง... ไม่ชอบดูจิตใจตัวเอง...
มารทั้ง 3 ตน... ก็ตกลงความเห็นเป็นเช่นเดียวกัน...
ตั้งแต่นั้นมามารทั้ง 3 ตน... ก็เอาความสุขมาซ่อนไว้ที่ใจ...
มนุษย์ผู้โง่เขลาจึงออกไปหาความสุขที่อื่น... ที่ภูเขา... ที่ชายทะเล...
ตามที่ต่างๆ... ก็ยังหาความสุขไม่เจอ...
พยายามออกไปหาความสุขข้างนอกอยู่เสมอ...
ทั้งๆ ที่ความสุขที่ตามหาอยู่นั้น... ซ่อนอยู่ที่ใจตัวเองตลอดเวลา
อัตตามี 5 อย่าง
1) การยึดติดอยู่กับความเก่งของตัวเอง -- หลายคนเป็นแบบนี้เลยครับ โดยเฉพาะคนที่ประสบความสำเร็จเร็ว แถมอายุยังน้อย ความเก่งเป็นปัจจัยสำคัญแห่งความสำเร็จ แต่การยึดติดว่าตัวเองเก่ง จนไม่ฟังใคร กลับกลายเป็นโทษ
2) การยึดติดอยู่กับความด...ีที่ตัวเองทำ -- บางคนทำความดีแล้ว ก็รีบป่าวประกาศว่า "ฉันทำความดี" จากนั้นก็หลงไหลอยู่ในความดีที่ได้ทำ พูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกลายเป็นคน "ลำเลิกบุญคุณ"
3) การยึดติดอยู่กับครูอาจารย์ -- ในการทำงาน หลายคนติดนาย ติดหัวหน้า พอเปลี่ยนหัวหน้าก็อยู่ไม่ได้ เพราะไม่ยอมปรับตัว ตั้งหน้าตั้งตาจะเปรียบเทียบกับคนเดิม โบราณจึงมีคำสอนว่า "อย่าเป็นกบเลือกนาย"
4) การยึดติดอยู่กับคนที่รัก -- จนกลายเป็นว่าคนอื่นทำแบบนั้น...ไม่ถูก แต่คนของเรา ทำได้ ไม่เป็นไร สังคมที่วุ่นวายทุกวันนี้ เพราะเราเลือกข้าง เลยมีแต่ "พวกข้า" กับ "พวกเอ็ง" ลืมคำว่า "พวกเรา" ไปซะแล้ว
5) การยึดติดอยู่กับสิ่งที่เคยเป็นมา -- ภาษาอังกฤษมีคำว่า Status Quo แปลว่าคนที่ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง โหยหาและใช้เวลาอยู่ในอดีตที่เปลี่ยนไปแล้ว ใครอยากเข้าใจเรื่องนี้ให้มากขึ้น ต้องไปอ่าน "Who Moved My Cheese ?" (ใครเอาเนยแข็งของฉันไป) แล้วจะเข้าใจเลยครับว่า คนที่ยึดติดอยู่กับอดีต เป็นอย่างไร
เทคนิคจัดการกับมนุษย์แซงคิว
1 พึงจำไว้ว่าไม่ว่าอายุขนาดไหนก็ไม่มีสิทธิ์แซงคิว เราจะให้เด็ก คนชรา คนท้อง คนพิการแซงก็เป็นสิ่งที่เราคิดจะให้ด้วยความปรารถนาดี ไม่มีสิทธิ์ฉวยโอกาส
2 เมื่อโดนแซงคิวแล้วให้หายใจลึก ๆ เอานิ้วกลางสกิดที่หัวไหล่ พูดอย่างไพเราะว่า "คุณมึงครับ คุณมึงแซงคิว ชีวิตคุณกูเดือดร้อนครับ คุณกูรอคิวจนลูกจะคลอดแล้ว"
3 เมือโดนแซงคิวให้ร้องเพลงบัวลอยว่า "วันหนึ่งมีเสียงปืนคำรามบัวลอยถูกหามมาในเปลผ้าใบ ยังละเมอห่วงว่าใครมาแซงคิว คือคำพูดสุดท้ายของชายชื่อบัวลอย"
4 โปรดร่วมกันประชาสัมพันธ์ว่า การแซงคิวเป็นภัยต่อความมั่นคงและความเจริญของประเทศ เรื่องเล็กแค่นี้ทำไม่ได้ไม่ต้องหวังปฏิรูปเรื่องอื่นที่ยิ่งใหญ่
5 ถ้ากลัวจะก้าวร้าว ให้นึกถึงแฟนที่ชั่วที่สุด ร้องไห้ออกมาสุดเสียง ตบเท้าไปมา "โฮมันแซงคิว สูดหายใจและสั่งขี้มูกป้ายมันแล้วร้องต่อ ว่า โฮมันแซงคิวมันเอาอนาคตหนูไป ฮือ"
6 ผู้ที่ควบคุมคิวต้องไม่ยอมให้ผุ้แซงคิวได้สิทธิืไปเช่น ต่อคิวรถตู้คนแซงคิวได้ที่นั่งไอ้เราทนต่อไป ผู้ควบคุมต้องช่วยลากมันลงมาแล้วให้เราขึ้นไปให้จงได้
7 ถ้าโดนแซงคิวในเซเว่น ให้ทิ้งของที่จะซื้อบนเคาน์เตอร์แล้วบอกว่าฉันไม่เห็นด้วยกับการโดนแซงคิว แล้วเดินจากไปซื้อเซเว่นสาขาหน้า
8 อย่าเป็นคนโดนแซงคิวแล้วแซงคิวอีก จงเจ็บแค้นและไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอีกในชีวิต มันไม่ใช่เรื่องก้าวร้าว มันเป็นสิทธิ์ที่พึงมีและอยู่ร่วมกันในสังคม
9 ถ้ารีบและต้องแซงคิวจริง ๆ โปรดถามผุ้อยู่ข้างหน้าอย่างตรงไปตรงมา ขอโทษและขอบคุณ แต่อย่ามาดราม่าแสดงทุกครั้งไป มันเลว!
10 การต่อคิวหมายถึงการแสดงถึงการเคารพสิทธิผุ้อื่นขั้นพื้นฐาน คนที่แซงคิวเป็นคนที่เห็นแก่ได้ส่วนตน ไม่สนความเดือดร้อนผู้อื่นและเป็นผู้ที่จะเจริญรุ่งเรืองยาก อย่าปล่อยเขาไป
สุหฤท สยามโนว์คิวโนว์ไลฟ์โนว์ชิต
กว่ารู้สึกตัวก็สายเสียแล้ว..
สำนักข่าว Daily Mail อังกฤษ ออกสัมภาษณ์คนอายุเกิน 60 ปีว่า ในช่วงชีวิตที่ผ่านมา รู้สึกเสียใจ เสียดาย อะไรมากที่สุด
และหากย้อนเวลากลับได้จะ ทำตัวใหม่ให้ต่างจากเดิม
คำตอบมากที่สุดมี 7 คำตอบ เรียงตามลำดับคำตอบที่มีคน ตอบมากที่สุดดังนี้
1. ถ้าย้อนเวลากลับได้ จะเชื่อฟังพ่อแม่มากกว่านี้ เพราะพ่อแม่รู้จักเราดีและ หวังดีต่อเรา แม้เมื่อเราโตแล้ว สิ่งที่พ่อแม่พูดก็มีค่าควรฟัง
2. จะทำสิ่งที่อยากทำ เพร่ะเสียดายเวลาและโอกาส มากที่ตอนมีกำลังวังชากลับ ไม่กล้าทำ เพราะกลัวล้มเหลว พออายุ 60 แล้วถึงตระหนักว่า ความล้มเหลวหนักที่สุดของ มนุษย์คือการไม่ทำ
3. การเดินทาง คนอายุเกิน 60 ทั้งหมดพูดเหมือนกันว่า ตอนที่ไปไหนได้คล่อง ดันไม่ไป ไม่มีเวลาบ้าง ไม่มีเงินบ้าง แล้วแต่จะอ้างกัน มาวันนี้มีเงิน มีเวลา แต่จะไปไหนๆก็ไม่สะดวก เหมือนก่อนแล้วยิ่งแก่ยิ่ง
ไปยากใครที่ยังไหวจึง ควรไปเที่ยวเสีย คนที่ยังหนุ่มสาวก็ควรไป เพราะจะคล่องตัวและทำ กิจกรรมต่างๆได้ดีกว่า ตอนแก่เยอะเลย
4. จะพูดคำว่ารักให้มากขึ้น ไม่ว่าจะบอกรักพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ป้าน้าอาลุง หลานเหลน โดยเฉพาะลูก และสามี ภรรยา บางที่เรานึกเองว่าเราทำ อะไรให้ตั้งเยอะ น่าจะรู้ แล้วว่ารักแต่ที่จริงถ้าเรา ไม่เอ่ยคำว่ารักก็เหมือนกับ หัวใจไม่ยอมเปิดและคน รอบข้างเขาจะขาดความมั่น ใจโดยเฉพาะลูกที่พ่อแม่ ไม่เคยบอกว่ารักจะขาด ความมั่นใจมาก ๆ
5.จะเป็นตัวของตัวเอง มากกว่าที่เคยเป็นตอนหนุ่ม สาว และตอนทำงาน บางทีต้องทำเป็นชอบอะไร ตามสมัยให้เหมือนคนอื่น บางทีไม่กล้าแปลกแยก พอแก่แล้วถึงเข้าใจได้ว่า คนเราไม่สามารเหมือนคน อื่นและเหมือนตัวเองได้ พร้อมกันและเมื่อมองย้อน อดีต จะเห็นชัดเจนว่า คนเงินเดือนสูงและประสบ ความสำเร็จนั้นมักจะเป็นคนที่ไม่พยายามทำตัวให้เหมือนคนอื่น
6.เปลี่ยนงานหากงานที่ทำมันบั่นทอนจิตใจ มันหนักไป ถูกเอาเปรียบมากไป หรือมีปัญหาอื่น คนวัยเกิน60บอกว่า นึกไม่ออกว่าทำไมไม่หางาน ใหม่ ไปทนทำอยู่ทำไม
7. ถ้าย้อนเวลากลับได้ คนวัยเกษียณบอกว่าจะกังวล กับเรื่องต่างๆให้น้อยลง เพราะที่ผ่านมามัวไปกังวล เรื่องบ้าบอคอแตกมากมาย โดยไม่เกิดผลอะไรเลย กังวลแล้วทุกเรื่องก็จบลงได้ โดยที่ความกังวลไม่ได้ทำให้ จบลงดีหรือเลวกว่าเดิม
❥
εїз︷‧:(¯`v´¯)︷‧:✿
Thk U.k.#ณัฐวุฒิ_รุ่งวงษ์
ครึ่งชีวิตกับแนวคิด 13 เรื่อง ของ Steve Jobs
1.เราไม่เสียใจกับเรื่องที่ได้ทำ ไม่ว่าผลจะเป็นยังไงก็ตาม แต่เราจะเสียใจกับเรื่องที่ไม่ได้ทำมากกว่า
2.เราเห็นโลกในแบบที่เราเป็น ไม่ใช่แบบที่มันเป็น : คนมองโลกบวก จะเห็นทุกอย่างเป็นโอกาส ชีวิตจะเต็มไปด้วยความสุข มันเป็นแบบนั้นจริงๆ...
3.เราต้องทุ่มพลังไปกับเรื่องที่เราถนัดจริงๆ ให้เราเป็น expert ในเรื่องนั้น แล้วงานที่ออกมาจะชั้นหนึ่ง
4.อย่ากลัวการเปลี่ยนแปลง ผลของมันมักจะดีเสมอ ถึงตอนแรกๆจะดูไม่ออกก็เหอะ
5. ทุกคำล้อเล่นจากเพื่อน มีความจริงครึ่งนึง เราพึ่งมาเห็นกันตอนโตๆนี่เอง
6. เวลาคือ commodity ที่มีค่ามากที่สุด
7.พัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ วินัยในการพัฒนาตัวเองเป็นสิ่งที่แยกระหว่างคนที่สำเร็จกับคนที่ล้มเหลว
8. การลงทุนในครอบครัวเป็นสิ่งที่คุ้มค่าที่สุด : พ่อแม่ไม่อยู่ให้ดูแลตลอดไป ลูกก็ไม่ไร้เดียงสาตลอดไป
9. สะสมเรื่องราวให้มากกว่าสิ่งของ : เมื่อเวลายิ่งผ่านไปสิ่งของจะมีค่ากับเราน้อยลง แต่เรื่องราวจะมีค่ากับเรา
มากขึ้น
10. เลือกคนที่จะอยู่รอบตัวเราให้ดี เพราะยิ่งนานวันนิสัย
ของเราและคนเหล่านี้จะค่อยๆกลมกลืนเข้าหากัน
11. การออมและการลงทุนเป็นเรื่องสำคัญ ควรเริ่มให้เร็วและทำให้เป็นนิสัย : คนเริ่มซื้อหุ้นด้วยเงินหลักแสนเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ทุกวันนี้มีพอร์ตแปดหลักอ้วนๆ
12. อย่าหวังอะไรใหม่ๆจากพฤติกรรมเก่า
13. ยิ่งความฝันครอบคลุมคนอื่นมากเท่าไร เมื่อความสำเร็จมาถึงมันจะยิ่งใหญ่มากเท่านั้น
Steve Jobs
ฟังรายการวิทยุรักพ่อ ตอนที่ 132 รักพ่อ รักในหลวง โดย กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ - ใต้ฟ้าพระราชา
รายการรักพ่อ132 ใต้ฟ้าพระราชา
พบกับสารคดีพระเมตตาดั่งสายธาร ตอน ฟ้าดินเดียวกัน, สุดหล้าฟ้าใกล้, เพลง "บทกวีความพอเพียง" นางสาว ธัชปภา ศรีสังข์ จากโครงการเพลงเฉลิมพระเกียรติคำพ่อสอน ๘๔ พรรษา ,ทำไมเรารักพระเจ้าอยู่หัว,
ช่วงในหลวงในดวงใจ 33 กลเม็ดเคล็ดลับกับการพึ่งตนเอง,บทกวี ฝันฝัน จากคุณไอฝน หยาดน้ำพราวจากราวฟ้า, คำกลอนสอนธรรมะ - บางทีท่านมีมัน
http://www.youtube.com/watch?v=U0hfMzpf2qQ
มาแล้วครับรายการรักพ่อ ช่วยสายต่อ ให้ระบือ ส่งสื่อสาร
เหมือนคนที่มีจิตร่วมกัน ร่วมปกป้องสถาบัน ให้มั่นคง
ช่วงเวลาต่อจากนี้ไป ขอนำท่านผู้ฟังเข้าสู่รายการรักพ่อ
รายการวิทยุดีๆที่ตั้งใจทำในแนวจิตอาสา
ผู้ดำเนินรายการ : สุเวศน์ ภู่ระหงษ์
ทีมงาน ห้องบันทึกเสียง สิงหา ต.ท่าช้าง อ.เมือง จ.จันทบุรี
- กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ
บุคลิกภาพ 5 แบบของพนักงานที่มักจะได้รับการเลื่อนขั้น
คนทำงานแบบมนุษย์เงินเดือนส่วนมากล้วนอยากจะได้รับการโปรโมตเลื่อนตำแหน่งกันเป็นธรรมดา (แต่ผมขอไม่บอกว่าทุกคนแล้วกัน เพราะบางคนก็ไม่อยากเลื่อนขั้นอะไร) แน่นอนว่าทั่วไปนั้นเราก็มักคิดว่าคนที่จะได้เลื่อนขั้นคือคนเก่ง มีความรู้ มีความสามารถ ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากความสามารถแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นที่ทำให้แต่ละคนเป็นที่ “ต้องตา” และมีโอกาสได้รับการเลื่อนขั้น (เราไม่ได้กำลังพูดถึงเรื่องเลียแข้งเลียขาหรอกนะครับ) นั่นคือเรื่องของอุปนิสัยและบุคลิกภาพของแต่ละคนนั่นเอง ซึ่ง Mashable นั้นก็รวบรวมเคสต่างๆ รวมทั้งงานวิจัยมาสรุปว่าบุคลิกภาพที่มีแนวโน้มจะได้รับโปรโมตเลื่อนขั้นนั้นมีอะไรบ้าง
1. คนที่ “เป็นที่รัก”
แน่นอนว่าลูกค้า เพื่อนร่วมงาน ตลอดจนเจ้านายย่อมชอบคนประเภทนี้ บุคคลประเภทนี้มักมีบุคลิกสนุกสนาน เข้ากับคนต่างๆ ได้ง่าย และทำให้คนรอบข้างอารมณ์ดี คนแบบนี้นั้นมักจะถูกโปรโมตเพราะถูกมองว่าเป็นหัวหน้างานและผู้นำที่ดีได้
2. คนที่มักขอเป็นตัวแทน
ในการทำงานต่างๆ ที่มีการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มนั้น เรามักจะเจออย่างน้อยหนึ่งคนที่ลุกขึ้นมาเป็นหัวหน้าทีม หรือเป็นคนซึ่งรับเป็นตัวแทนของกลุ่ม คนเหล่านี้มักรู้วิธีการให้คอมเมนต์คนอื่นและวิธีการแจกจ่ายงานให้กับคนในทีมโดยดูตามความเหมาะสมต่างๆ ได้
3. คนที่ปรับตัวเก่ง
คนประเภทนี้มักเป็นคนที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆ ได้รวดเร็ว เป็นพวกประเภทที่เรียนรู้เร็ว ซึ่งคุณสมบัตินี้จะถูกมองว่าจะสามารถรู้ได้ว่าตัวเองจะสามารถรับมือกับตำแหน่งใหม่ได้อย่างไร
4. คนที่เป็นพวกชอบตัดสินใจ
คนที่มีความมั่นใจและกล้าที่จะตัดสินใจอะไรนั้นมักจะมีความเป็นผู้นำอยู่ในตัวเป็นทุนเดิม แน่นอนว่าคนประเภทนี้คือคนที่ถูกมองว่าจะสามารถตัดสินใจเรื่องสำคัญต่างๆ ได้ดีและมีประสิทธิภาพ (อย่าลืมว่าพอตำแหน่งสูงขึ้น สิ่งที่ตามมาคือการตัดสินใจสำคัญๆ หลายอย่าง)
5. คนที่มีจรรยาบรรณ
ไม่ว่างานจะเป็นอย่างไร หนึ่งในพื้นฐานสำคัญที่หลายองค์กรมองหาคือคนที่มีจรรยาบรรณและจริยธรรมเป็นสำคัญ เพราะคนเหล่านี้คือคนที่จะไม่คิดเอาเปรียบ ทั้งกับองค์กรและกับเพื่อนร่วมงาน รวมทั้งไม่ตัดสินใจอะไรที่เสี่ยงต่อเรื่องที่ผิดจรรยาบรรณอันนำมาซึ่งความเสี่ยงหลายๆ อย่าง
ที่สรุปมา 5 อย่างนี้ อาจจะเป็นบุคลิกพื้นฐานที่บางคนมีอยู่แล้ว บางคนอาจจะยังไม่มี แต่ถ้าใครอยากจะก้าวหน้าและประสบความสำเร็จ ผมว่าลองพิจารณาและสร้างบุคลิกดังกล่าวไว้น่าจะดีนะครับ
เรียบเรียงจาก Mashable
วันศุกร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
คะแนนชีวิต
ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่เด็กๆ กำลังเตรียมสอบเพื่อศึกษาต่อ บางคนก็ได้รู้แล้วว่าจะเรียนที่ไหน บางคนก็ยังรอลุ้นผลสอบอยู่ แม้การสอบนั้นอาจวัดความสามารถและทักษะที่สั่งสมมา แต่ไม่ได้หมายความว่าจะวัดคุณค่าความดีไม่ได้
มีบททดสอบทางจิตวิทยาอย่างหนึ่งที่ต่างประเทศ โดยให้เด็กอายุระหว่าง 4-6 ขวบ อยู่ในห้องกับขนมชิ้นหนึ่งแล้วตั้งกติกาว่า ถ้าเด็กคนใดอยู่ได้ตามเวลาที่กำหนด จะได้ขนมเพิ่มอีกชิ้นหนึ่ง บททดสอบนี้ไม่ได้วัดความสามารถหรือทักษะอย่างใดเลย เป็นแค่วัดความอดทนเท่านั้น เพราะถ้าเราอาจคิดว่าเด็กที่อดทนรอได้เพราะหวังขนมอีกชิ้นเท่านั้นก็อาจเป็นไปได้ แต่เราต้องไม่ลืมว่าขณะที่เด็กอยากได้นั้น เขาได้ฝึกความอดทน การรอคอยและการไม่ทำผิดกฎกติกาที่วางไว้เพียงเพื่อจะได้สิ่งนั้นมา
เช่นเดียวกับชีวิตเราที่ต้องเผชิญหน้ากับบททดสอบระหว่างการรอคอยสุขในอนาคต กับการรีบหาความสุขเฉพาะหน้าว่าเราจะเลือกแบบไหน คำตอบขึ้นอยู่กับความอดทนของแต่ละคนว่ามีมากน้อยแค่ไหน
หลายครั้งเวลาผู้เขียนต้องทำหน้าที่สอนและให้คะแนนเด็กๆ โดยเฉพาะคะแนนจิตพิสัยจะคิดเสมอว่า คะแนนนี้ไม่ใช่คะแนนความสามารถ หรือความรู้ความเข้าใจในวิชาที่เรียน
แต่เป็นคะแนนของความตั้งใจ เอาใจใส่ ความขยัน การตรงต่อเวลา ความรับผิดชอบ และคุณธรรมอื่นๆ ที่เด็กคนนั้นแสดงต่อคนอื่น เป็นคะแนนไม่มากนักแค่ 10 คะแนนจาก 100 โดย 90 คะแนนนั้นอาจวัดว่าเด็กคนนั้นมีความรู้ความสามารถ ความจดจำได้มากน้อยแค่ไหน และวัดว่าเด็กคนนั้นจะได้เกรดอะไร และเกรดนั้นอาจมีผลต่อการเรียนในชั้นอื่นๆ อาจรวมถึงการได้ทำงานที่ดีๆ
แต่อาจไม่ได้บอกว่าเด็กคนนั้นจะมีความสุข มีชีวิตที่ดีและสร้างสังคมให้เต็มไปด้วยคุณธรรม เพราะคะแนนที่จะทำให้เด็กมีพร้อมทั้งความรู้และความสุขนั้น กลับไม่ได้อยู่ที่ 90 คะแนนแต่อย่างใด แต่กลับอยู่ที่ 10 คะแนนที่เล็กน้อยนั้นต่างหาก
ลองคิดดูว่าถ้าเด็กคนนั้นทำได้เต็ม 10 คะแนน อย่างน้อยก็รับรู้ได้ว่าเขาได้ทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายด้วยความตั้งใจ เอาใจใส่ มีความอดทน รักษาระเบียบวินัย และถ้าทำอย่างนี้ตลอดเวลา มีหรือที่จะไม่ได้ผลการเรียนที่ดีขึ้น หรือแม้จะได้เกรดไม่ดีนัก แต่อย่างน้อยเราก็รับรู้ได้ว่า เด็กคนนั้นจะโตขึ้นและใช้ชีวิตได้โดยคุณธรรมที่ตนเองได้สั่งสมมา เพราะอย่างน้อยเขาก็คงไม่คิดทำผิดทุจริตจนต้องติดคุกติดตะราง
คะแนนชีวิตที่เราสั่งสมทุกวันนี้ก็ไม่ต่างกัน ถ้าเราวัดว่า 90 คะแนน ชี้วัดถึงความเก่ง แต่ 10 คะแนน ชี้วัดถึงความเป็นคนดี การตัดสินใจว่าอะไรสำคัญในชีวิตคงไม่ได้วัดที่ว่าเราได้คะแนนมากน้อยแค่ไหน แต่วัดจากความสุขที่เราได้จากคะแนนที่มีต่างหาก
พระอาจารย์อัคภูมิ อัคคจิตโต
สำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมฯ วัดสระเกศ
#หน้าต่างศาสนา ข่าวสดออนไลน์, 3 พ.ค.2557
รักคนอื่นหรือรักตัวเอง? วินทร์ เลียววาริณ
เมื่อเปิดกระเป๋าสตางค์เพื่อจ่ายเงินค่าสินค้าหรือบริการ พบเห็นธนบัตรสองใบ ใบหนึ่งใหม่เอี่ยม ใบหนึ่งเก่า คุณหยิบใบใหม่หรือใบเก่าออกมาจ่าย? ทุกคนที่ผมถามตอบเหมือนกันว่า "ใบเก่าน่ะซี" (ไม่น่าถาม) ทุกปีในช่วงเทศกาลตรุษจีน ธนาคารทุกแห่งเตรียมสำรองธนบัตรใหม่เอี่ยมสำหรับให้ลูกค้าแลก เพื่อแจกอั่งเปาแก่คนที่รัก
ทำไม? ใช่ไหมว่านี่เป็นสัญชาตญาณเห็นแก่ตัวอย่างหนึ่ง? ของไม่ดีเพื่อคนอื่น ของดีเพื่อคนที่รัก? บางทีมันบอกว่า โดยส่วนลึกเราทุกคนเป็นคนเห็นแก่ตัว จริงหรือ? แล้วเราจะอธิบายการที่คนทำอาหารอย่างดีที่สุดไปทำบุญอย่างไร? หรือว่าการทำบุญก็เพื่อตัวเองนั่นเอง?
พ่อแม่หลายคนบอกว่า "ฉันรักลูกของฉันมาก ถึงขนาดยอมตายแทนลูกได้" ผมเชื่อว่าพวกเขาพูดจริงและทำจริง แต่ในสถานการณ์คับขันที่อาจเกิดอันตรายกับตัวเอง ปฏิกิริยากับความเชื่ออาจสวนทางกับสัญชาตญาณเอาตัวรอด ยกตัวอย่างเช่น หากมีงูสองตัวตกลงมาบนตัวคุณกับลูกพร้อม ๆ กัน คุณจะปัดงูตัวไหนออกก่อน?
ความเห็นแก่ตัวในระดับสัญชาตญาณไม่ใช่เรื่องเลวร้าย เป็นการเอาชีวิตรอดตามกฎธรรมชาติ โปรแกรมนี้ฝังในตัวเราแต่แรกปฏิสนธิ แม้การพัฒนาของสิ่งที่เรียกว่าความรัก ของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน อาจช่วยขัดเกลาสัญชาตญาณดิบออกไปได้บ้าง แต่ความเห็นแก่ตัวยังคงอยู่ บางครั้งซ่อนอยู่ในเปลือกของความรัก
พ่อแม่จำนวนมากอยากให้ลูกของตนเรียนวิชาที่ตนเองต้องการ โดยไม่สนใจว่าลูก(ที่ตนรัก) คิดอย่างไร เหตุผลคลาสสิกที่บอกลูกคือ "เพราะพ่อแม่รักลูกมาก อยากให้ลูกได้ดิบได้ดี" แต่บางทีอาจแฝงความเห็นแก่ตัวของตนอยู่ลึกๆ
ชีวิตในโลกปัจจุบันเอื้อให้มนุษย์เราเห็นแก่ตัวได้ง่ายขึ้นทุกที และเป็นความเห็นแก่ตัวที่ดูน่าเกลียดน้อยลง ข้ออ้างคือความเร่งรีบของชีวิต ความมั่นคงของชีวิต ฯลฯ นักการตลาดเข้าใจเรื่องนี้ดี และนิยมใช้คำกระตุ้นเชิงจิตวิทยาย้อนศรว่า "จำกัดให้ซื้อเพียงคนละสองชิ้น"
ชาวพุทธใช้การกำจัดความเห็นแก่ตัวเป็นหนทางไปสู่การลดทุกข์ เครื่องมือลดละความเห็นแก่ตัวก็คือ การทำทานทั้งกายทั้งใจ สะท้อนในวิถีชีวิตของคนไทยโบราณ ตั้งแต่การทำบุญ การวางภาชนะใส่น้ำหน้าบ้านสำหรับผู้ผ่านทางที่กระหาย การแบ่งปันอาหารแก่เพื่อนบ้าน ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งละ เลิก ปล่อยวางเท่าใด ก็ยิ่งมีความสุข
เมื่อหย่อนเหรียญในขันของขอทานริมทาง คุณถือโอกาสกำจัดเหรียญสลึงที่รกกระเป๋าไปด้วยหรือไม่?
วินทร์ เลียววาริณ, 11 มิถุนายน 2548
#ข่าวหน้าหนึ่ง www.winbookclub.com
Illustration: Apocalypto (2006)
มาสาย-กลับดึก วินทร์ เลียววาริณ
วันแรกที่เข้าเรียนในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผมพบเรื่องอัศจรรย์อย่างหนึ่ง เมื่อรุ่นพี่บางคนบอกว่า "การอดนอนเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเรียนในคณะนี้"
วันสุดท้ายในคณะนี้ ผมพบว่าตั้งแต่เรียนมาห้าปี ไม่เคยต้องอดนอนเลย ยกเว้นเมื่อต้องทำงานกลุ่ม ทั้งนี้มิใช่เพราะผมทำงานเร็วกว่าคนอื่น แต่เพราะผมไม่เชื่อในทัศนคตินั้น จึงพยายามพิสูจน์ว่ามันไม่จริง และพบว่าการวางแผนที่ดีแก้ปัญหาได้ทั้งหมด แม้แต่การสร้างสรรค์งานศิลปะ ที่น่าขันก็คือ น้อยคนที่อดนอนได้คะแนนดี
ผมเป็นมนุษย์เงินเดือนมานานร่วมสามสิบปี ห้าปีในนั้นผมทำงานในต่างประเทศ เมื่อกลับมาเมืองไทย ผมพบเรื่องอัศจรรย์อีกเรื่องหนึ่ง นั่นคือหลายคนมองการก้าวเท้าออกจากสำนักงานตรงเวลาเป็นเรื่องประหลาดที่สุดในโลก (มิพักเอ่ยถึงการออกก่อนเวลาเมื่องานเสร็จแล้ว)
ผมรู้ความจริงภายหลังว่า คนจำนวนมากไม่ยอมออกจากสำนักงานตรงเวลา เพื่อแสดงให้เจ้านายเห็นว่า ตนเองขยันขันแข็ง ยิ่งอยู่ดึก ยิ่งเป็นพนักงานตัวอย่าง เสียสละเพื่อองค์กร น่ายกย่องชมเชย บ่อยครั้งมีผลถึงการได้รับโบนัสตอนท้ายปี เนื่องจากเจ้านายมักเห็นหน้าเห็นตาใครคนนั้นหลังเวลาเลิกงานแล้วเสมอ
หากไม่เคยทำงานในต่างประเทศมาก่อน ผมอาจเข้าร่วมวงไพบูลย์ "มาสายกลับดึก" ด้วย แต่หลายปีในชีวิตการทำงานในประเทศ ที่มีประสิทธิภาพในการจัดการที่สุด ทำให้เห็นค่าเวลาทุกนาทีในชีวิต
ผมกลับมองว่าคนที่อยู่ดึกเป็นประจำคือ พวกไร้ประสิทธิภาพ ไม่สามารถทำงานให้เสร็จทันเวลา จึงต้องอยู่ดึก ยิ่งทำงานมากชั่วโมง ยิ่งแสดงถึงการทำงานโดยไม่มีการวางแผน ไม่มองภาพรวม
ลองคิดดู การอยู่ดึกเพื่อทำงานพิเศษหนึ่งคืน หมายถึงค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น เครื่องปรับอากาศทำงานมากขึ้น ค่าทะนุบำรุงสูงขึ้น ผลกระทบต่อคนทำงานคือ พักผ่อนน้อยกว่าที่ควรเป็น ยิ่งอยู่ดึกประสิทธิภาพของงานในวันถัดไปยิ่งตกต่ำลง
มือกระบี่ชั้นหนึ่งในแผ่นดิน มองท่วงทีของศัตรูอย่างระวัง ตวัดกระบี่ในมือเพียงฉับเดียว ก็เข่นฆ่าฝ่ายตรงข้าม มือกระบี่ชั้นรองต้องประกระบี่ดังโคร้งเคร้ง นานนับชั่วโมง ราวกับอยากบอกโลกว่า ข้าก็ใช้กระบี่นะโว้ย โลกรับรู้แต่คมกระบี่ก็บิ่น ต้องเสียเวลาลับกระบี่อีกหลายวัน
งานดีอย่างเดียวไม่พอ ต้องตรงเวลาด้วย งานดีไม่มีทางเกิดขึ้นตามยถากรรม หรืออารมณ์ขึ้นลง ไปจนถึงความหนาแน่นรัดกุมของกฎเกณฑ์ "ตอกบัตร"
ปริมาณเวลาในการทำงานชิ้นหนึ่ง ไม่ได้เป็นสัดส่วนกับคุณภาพของผลงานเสมอไป บ่อยครั้งเป็นปฏิภาคกัน หลายครั้งงานที่ให้เวลาน้อย กลับออกมาดีกว่างานที่ให้เวลามาก
คนเก่งไม่เรื่องมาก คนฉลาดจริงไม่มากเรื่อง ทำงานเสร็จแล้วก็เลิก ไม่ต้องรอเทวดาบนสวรรค์วิมานมารับรู้ เพราะถึงเวลานั้นเทวดาก็กลับบ้านไปแล้ว
วินทร์ เลียววาริณ
#ข่าวหน้าหนึ่ง www.winbookclub.com
illustration: Dear Galileo (2009)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)