Theขี้ฝุ่นริมทาง
วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2553
เด็กหนีโรงเรียน และเด็กจรจัดเร่ร่อน
ท่านผู้ปกครองเด็กส่วนมาก และบรรดาครูอาจารย์ทั้งหลาย ต่างก็พากันปวดสมองอยู่เป็นประจำวัน เรื่องเด็กในปกครอง หรือเด็กในโรงเรียนของตนหนีโรงเรียน ปัญหาเด็กหนีโรงเรียนนี้ เป็นปัญหาสากล คือ เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทุกมุมเมือง ทุกประเทศ เด็กหนีโรงเรียนเป็นปัญหาอันแรกที่จะนำไปสู่ปัญหา "เด็กเร่ร่อนจรจัด" ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมปัจจุบัน เพราะเด็กเหล่านี้ นอกจากจะทำให้บิดามารดา ผู้ปกครองและครูทั้งหลาย เกิดความวิตกร้อนใจแล้ว ยังมีความโน้มเอียงที่จะก่ออาชญากรรมอันทำให้เกิดความเดือดร้อนแก่สังคมได้อีก ท่านที่เคยชมสถานพินิจของเด็กก็ดี โรงเรียนฝึกอาชีพหรือเยาวชนสถานบางแห่งของกรมประชาสงเคราะห์ก็ดี ย่อมจะตระหนักในปัญหาข้อนี้เป็นอย่างดี และย่อมจะแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลได้พยายามทุกวิถีทางที่จะป้องกัน และแก้ปัญหาต่างๆ อันจะเกิดจาก "เด็กหนีโรงเรียน" อย่างเต็มที่ ผู้เชี่ยวชาญทางสังคมวิทยา อาชญาวิทยา ตลอดจนจิตวิทยา ได้พยายามศึกษาหาสาเหตุการหนีโรงเรียน และการเร่ร่อนจรจัดของเด็กตลอดมา เพื่อวางแนวทางป้องกัน และแก้ไข ที่จะกล่าวต่อไปนี้เป็นส่วนหนึางของผลที่ศึกษาทางจิตวิทยา และสังคมวิทยา
การหนีโรงเรียนนี้ บิดามารดาหรือผู้ปกครอง ครูหรือเจ้าหน้าที่อื่นๆ อาจจะคิดว่า เป็นความผิดของเด็ก หรือตัวเด็กเองเป็นสาเหตุ แต่ตามหลักจิตวิทยา สังคมวิทยา หรือสังคมสงเคราะห์ ถือว่า ตัวเด็กเองไม่ได้เป็นสาเหตุ หากแต่ว่า บางสิ่งบางอย่างเกิดผิดปกติขึ้น จึงทำให้เด็กหนีโรงเรียน
ตามหลักทั่วไปแล้ว เราสามารถจะพบสาเหตุการหนีโดยแน่ชัด (แต่ก็มีไม่น้อยรายที่สาเหตุคลุมเครือ และต้องใช้เวลาศึกษานานๆ) เด็กที่เรียนไม่ทันเพื่อน โดยที่อาจจะเป็นเพราะเชาวน์ปัญญาต่ำ หรือ รากฐานเบื้องต้นไม่ดี เด็กที่ถูกเย้ยหยัน หรือถูกรังแก เด็กที่กลัวการลงโทษจากครู เด็กที่มีความเชื่อฝังใจว่า ไม่ได้รับความยุติธรรม เหล่านี้เป็นต้น สิ่งที่เด็กเหล่านี้ต้องประสบอยู่ดังกล่าวนั้นเป็นความกดดันทั้งสิ้น และเด็กเหล่านี้ เลือกเอาการ "หนี" แทนที่จะ "ต่อสู้" กับความกดดัน ความจริงใช่ว่า เขาจะพอใจที่จะหนีโรงเรียนก็หาไม่ แต่เขาหนี "ความกดดัน" มากกว่า เพราะเป็นทางเดียวที่จะทำให้เขาได้รับความพอใจ อาหารที่คุณแม่จัดให้ รวมทั้งเงินค่าขนมในกระเป๋าพอเพียง ที่จะทำให้เขาหาความสำราญจากการหลบมุมอยู่ในป่าละเมาะ หรือใต้ร่มไม้แห่งใดแห่งหนึ่ง พอได้เวลาก็อาจจะเข้าไปหย่อนอารมณ์ในโรงภาพยนตร์ได้ จากนั้นก็จะกลับบ้านด้วยคำพูดโกหกอันเตรียมไว้พร้อมแล้วในสมอง ดังนี้ย่อมทำให้เขาได้รับความพอใจยิ่งกว่าที่จะต้องไปเผชิญกับความกดดันต่างๆในโรงเรียน
ในต่างประเทศ เขามีผู้แนะนำปัญหาเด็กนักเรียนประจำโรงเรียน ซึ่งบุคคลเหล่านี้ มีความรู้ความสามารถในการแนะนำแก้ไขปัญหาของนักเรียนโดยเฉพาะ ขอนำเอาตัวอย่างที่เกิดขึ้นในต่างประเทศมาเสนอท่านสัก ๒ ตัวอย่าง
เด็กผู้ชายอายุ ๑๖ ปี ถูกนำไปเรียนวิชาไฟฟ้าเวลากลางคืนในโรงเรียนอาชีพแห่งหนึ่ง เขาไปเข้าเรียนอยู่ ๓ คืน แล้วก็หนีหายไป เมื่อเจ้าหน้าที่พบตัวก็นำมาพบผู้แนะนำปัญหาเด็กนักเรียน และเมื่อได้ทำการทดสอบแล้ว ก็ได้รับรายงานว่า การที่เด็กคนนั้นหนีโรงเรียน ก็เนื่องจากว่า เขาไม่สามารถอ่านหรือเขียนหนังสือได้เลย เขาเป็นคนปัญญาต่ำมาก
เด็กหญิงวัยรุ่นคนหนึ่ง ได้หนีไปจากโรงเรียนกินนอน ที่บิดาของเธอซึ่งเป็นผู้มั่งคั่งมาก ได้นำมาฝากไว้เพื่อให้เรียนวิชาการพาณิชย์ แต่เด็กคนนี้อ่อนภาษามาก จนกระทั่งเรียนชวเลขไม่ได้เลย เธอจึงเกิดความท้อแท้เบื่อหน่าย ในที่สุด ก็ขโมยเงินเพื่อนซื้อเครื่องสำอางแต่งตัวไปเที่ยวงานเลี้ยงกับเพื่อนผู้ชาย บิดาผิดหวังมาก แต่เมื่อได้รับคำแนะนำจากผู้แนะนำปัญหาเด็กนักเรียนก็เปลี่ยนใจ นำเด็กคนนี้ไปฝากเรียนวิชาเลี้ยงเด็ก ซึ่งในที่สุด เธอก็สำเร็จและปฏิบัติงานได้เป็นที่พึงพอใจ
การที่เด็กไม่ยอมไปโรงเรียน (ถ้าบังคับ หรือคะยั้นคะยอให้ไปก็จะหนีโรงเรียน) ก็มีสาเหตุหลายประการ เด็กบางคนกลัวที่จะออกจากบ้านไปอยู่กับคนแปลกหน้า เรื่องนี้สำหรับเด็กที่ถูกนำไปฝากโรงเรียนใหม่ๆ ย่อมเป็นธรรมดาเหลือเกินที่บิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือกระทั่งครู ต้องใช้ลูกไม้แปลกๆ แตกต่างกันให้เด็กไปโรงเรียน เด็กบางคนไม่มีปัญหาทางโรงเรียนเลย แต่ไม่อยากไปโรงเรียนเพราะอยากจะประท้วงพ่อแม่
เด็กหญิงคนหนึ่งบิดามารดาไม่สามารถจะบังคับให้ไปโรงเรียนได้ พอจะออกจากบ้านคราวใด เธอก็มีอาการอาเจียนขึ้นมาทันที จากการศึกษาตัวเด็กคนนี้โดยละเอียด ปรากฏว่า ครั้งหนึ่งมารดาได้ลงโทษเธออย่างหนัก จนกระทั่งเธออาเจียน มารดาจึงหยุดลงโทษ เธอได้ตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่า จะไม่ยอมออกจากบ้านไปไหนเลย ดังนั้น ทุกครั้งที่เธอจะออกจากบ้าน เธอก็จะนึกถึงการลงโทษครั้งนั้นทันที แล้วเกิดมีอาการอาเจียน ดังกล่าว เมื่อทั้งมารดาและเด็กได้รับคำแนะนำและให้ได้รับคำมั่นใจแล้ว ทุกสิ่งก็ตั้งต้นใหม่ด้วยดี การปฏิเสธไม่ยอมไปโรงเรียนนี้ มีอยู่น้อยรายที่แสดงออกด้วยอาการทางร่างกาย เช่น เด็กบ่นว่าไม่สบาย หรือปวดศรีษะ วิงเวียน ปวดท้อง เหล่านี้เป็นต้น ผู้ปกครองส่วนมากมักจะทึกทักเอาว่า เด็กแสร้งทำ แล้วบังคับให้เด็กไปโรงเรียนจนได้ เรื่องนี้ถ้าเป็นผู้ปกครองที่รอบคอบแล้ว ควรจะตระหนักว่า นั่นคือ เด็กไม่อยากไปโรงเรียน และต้องค้นหาสาเหตุต่อไปว่า ทำไมเด็กจึงไม่อยากไปโรงเรียน ทังนี้เพื่อเป็นการตัดไฟแต่หัวลม ขืนบังคับให้เด็กไปโรงเรียน เด็กก็จะหนีโรงเรียน และในที่สุด ก็จะไปทำสิ่งไม่ดีไม่งามขึ้น
เด็กบางคนไม่อยากไปโรงเรียนเพราะเหตุเล็กๆน้อยๆ เช่น อายว่า เสื้อผ้าตนไม่สวย หรือขาดและสกปรก หนังสือหรืออุปกรณ์การเรียนไม่ครบ หรือเด็กบางคนหนีโรงเรียนไปหาเงินพิเศษ เช่น ขายสลากกินแบ่งหรือเชขตรวจสลากกินแบ่ง ฯลฯ อาจจะเป็นได้ แต่สาเหตุเหล่านี้ไม่ค่อยจะมีมากนัก
การที่เด็กอยากจะออกไปเสียให้พ้นบ้าน หรือที่ซึ่งตนอาศัยอยู่ โดยเหตุใดก็ตาม อาจจะเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้เด็กหนีโรงเรียน หรือขาดเรียน ทั้งๆที่เด็กคนนั้นมีสติปัญญาดี และไม่มีปัญหาทางโรงเรียน เช่น เด็กที่มีบิดา มารดาเลี้ยง ถูกทุบตีด่าว่าอย่างไม่เป็นธรรม หรือมีบิดามารดาที่แท้จริง แต่ไม่มีความสงบสุขในครอบครัว มีการทะเลาะวิวาทไม่ปรองดองกัน ทำให้เด็กหมดความสุข เมื่อหมดความสุขแล้วไม่อยากอยู่บ้าน ไม่อยากจะทำอะไรแม้แต่จะเรียนหนังสือ หรือแม้เด็กบางคนอยากจะเรียน แต่ก็ไปไม่รอด เพราะจะทำการบ้านท่องหนังสือคราวใด บิดามารดาเกิดทะเลาะกัน บางทีก็พาลมาถึงตัว หรือบางทีบิดามารดาก็จู้จี้จนเกินควร การบ้านหรือบทเรียนที่ครูกะมาให้ท่องก็ไม่เสร็จ ไปโรงเรียนก็ถูกครูทำโทษ (โดยที่ครูไม่รู้สาเหตุ) บ่อยๆ เข้าก็เลยขาดเรียนเอาเสียเลย กรณีเช่นนี้เด็กจะหนีทั้งบ้านทั้งโรงเรียน เด็กเหล่านี้รวมถึงเด็กกำพร้าบิดามารดา และเด็กที่เป็นบุตรนอกกฎหมาย ซึ่งขาดความรัก ความอบอุ่น ความมั่นคงในชีวิตอนาคตด้วย ไม่ว่าเด็กคนใดก็ตาม ถ้าเขามีความรู้สึกว่า เขาเป็น "คนที่ไม่พึงปรารถนา" ของคนใดคนหนึ่ง ณ ที่นั้นแล้ว เขาก็ต้องพยายามไปจากที่นั้น
ในเมืองไทยนี้เอง เด็กชายคนหนึ่งอายุ ๑๔ ปี หนีจากบ้านและโรงเรียน ขณะที่เรียนอยู่ในชั้นมัธยมปีที่ ๑ เที่ยวเร่ร่อนไปหลายจังหวัด จนกระทั่งถูกจับฐานลักทรัพย์ สาเหตุมีอยู่ว่า เขาอาศัยอยู่กับมารดาในจังหวัดทางภาคเหนือ ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยรู้จักว่า ใครเป็นบิดาของเขา มารดาก็บอกสั้นๆว่า บิดาของเขาตายแล้วเมื่อเขาเรียนถึงชั้น ม.๓ ถูกเพื่อนๆล้อว่า "ลูกไม่มีพ่อ" แต่เขาก็พยายามบอกแก่ตนเองว่า เขามีพ่อและจะต้องพบพ่อสักวันหนึ่ง ตั้งแต่นั้นมา เขาก็พยายามไปพบบรรดาญาติทั้งหลายของเขาเท่าที่เขารู้จัก เพื่อสอบถามว่า บิดาของเขาอยู่ที่ไหน บางคนก็บอกว่า ตายแล้ว แต่บางรายก็บอกว่า ยังมีชีวิตอยู่ และด้วยคำตอบอันหลังนี้ ทำให้เขามีความมั่นใจ และฝั่งใจว่า บิดาของเขายังมีชีวิตอยู่ เขาพยายามสอบถามหาร่องรอย คนนั้นก็ว่า อยู่จังหวัดโน้นจังหวัดนี้ หลายต่อหลายแห่ง ทั้งๆที่เขาเป็นเด็กที่เรียนดีมาก ไม่มีปัญหาอะไรทางโรงเรียนเลย พอขึ้นชั้น ม.๑ เขาก็เริ่มหนีโรงเรียนขาดเรียนครั้งละ ๑๐-๒๐ วัน เดินทางไปตามจังหวัดใกล้เคียง เพื่อสืบหาบิดา นานๆเข้าก็ไปจังหวัดไกลๆ แล้วก็ไม่กลับเลย ในที่สุด บิดาก็ไม่พบ เมื่อท้องหิว และไม่มีเงินก็ต้องลักทรัพย์เขา จนกระทั่งต้องถูกลงโทษ โดยส่งมาฝึกอาชีพ ณ โรงเรียนฝึกอาชีพของกรมประชาสงเคราะห์
เด็กหนีโรงเรียนหรือเร่ร่อนจรจัดหลายรายที่เป็นโรคจิต โรคประสาทเช่น พวกไซโคแพทคิต ฮิสทีเรีย ลมชัก ตลอดจนพวก ฟีเบิ้ลมายเด็ด เหล่านี้ ส่วนมากมักจะเที่ยวเร่ร่อนไปโดยไม่มีความหมาย และในที่สุด ก็กระทำความผิดขึ้น
สาเหตุของการที่เด็กหนีโรงเรียนนี้ ยังมีปลีกย่อยอีกหลายประการ สาเหตุของเด็กแต่ละคนย่อมแตกต่างกันไป การค้นหาสาเหตุที่ดีและถูกต้องที่สุด คือ การศึกษาจากตัวเด็กเป็นรายตัวไป เพราะคนเราแต่ละคนมีปัญหาชีวิตไม่เหมือนกัน ฉะนั้น การที่จะใช้หลักทั่วไปมาเป็นข้อสันนิษฐานแก่เด็กทุกคนย่อมจะคลาดเคลื่อน
เมื่อเด็กหนีโรงเรียนแล้ว ต่อไปก็จะหนีจากบ้าน นั่นก็คือ เป็นเด็กเร่ร่อนจรจัดเที่ยวหลับนอนหนืออาศัยตามสาธารณสถานต่างๆ หากินเลี้ยงท้องทั้งโดยสุจริต และไม่สุจริต แต่ทางไม่สุจริตมักจะง่ายกว่า ฉะนั้น จึงไม่เป็นปัญหาว่าเด็กเหล่านี้ จะกระทำอาชญากรรมโดยความจำเป็นบังคับ กาหนีโรงเรียน คือ จุดเริ่มต้นของอาชญากรรม การป้องกันการหนีโรงเรียนก็คือ การป้องกันอาชญากรรมอย่างหนึ่ง
ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบต่อสังคมในการป้องกันเด็กหนีโรงเรียน คือ บิดา มารดา ผู้ปกครอง ครู สารวัตรศึกษา นักสังคมสงเคราะห์ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ตำรวจ และบุคคลเหล่านี้ จะต้องไม่มองข้ามความสำคัญในทางเสียของการขาดเรียน หรือหนีโรงเรียนของเด็กเป็นอันขาด
บริการอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นเครื่องมืออย่างดีในการป้องกันแก้ไขปัญหาเด็กหนีโรงเรียน และขาดเรียน นั่นคือ สถานแนะนำปัญหาเด็ก (child Guidance Clinic) ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ประกอบด้วยจิตแพทย์ นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ ทำการศึกษาปัญหาต่างๆของเด็ก และให้คำแนะนำแก่ครู และผู้ปกครองของเด็กเป็นรายๆไป สถานแนะนำปัญหาเด็กนี้ โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา ได้ดำเนินการอยู่ตลอดมา และกรมประชาสงเคราะห์ก็ได้เปิดสถานแนะนำปัญหาเด็กขึ้นสำหรับเด็กที่อยู่ในความอุปการะ ซึ่งก็จะได้ขยายบริการสำหรับเด็กภายนอก ต่อไปเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม การป้องกันแก้ไขปัญหาเด็กหนีโรงเรียน และเด็กเร่ร่อนจรจัด เช่นนี้ จะไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร ถ้าหากว่า ไม่ได้รับความร่วมมือจาก บิดา มารดา ผู้ปกครอง ครู เจ้าหน้าที่กระทรวงศึกษาธิการ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ตำรวจ
นายจำเนียร คันธเสวี
กล่าวทางวิทยุกระจายเสียงกรมประชาสัมพันธ์
เมื่อ พ.ศ.2500
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น