ถ้า "ไม่รู้"....สิ่งที่ได้สะสมมา
ในแสนโกฏฏ์กัปป์ ที่ผ่านมา
ที่ทำให้เรามีนิสัยเป็นอย่างนี้...มีความคิดเป็นอย่างนี้.
และถ้าหาก "ยังไม่รู้".........ต่อๆไปอีก
ก็จะยิ่งเป็นการสะสมอกุศล ต่อๆไปอีก.
ถ้าขณะนี้....เรากำลัง "สะสมฝ่ายปัญญา"
ที่จะทำให้เราเข้าใจ ในสิ่งซึ่งมีในขณะนี้.
ความเข้าใจนี้ ก็จะ เป็นเหตุปัจจัย
ที่ทำให้เราสามารถเข้าใจ ไปถึงอดีต และ อนาคตด้วย.
คือ ความเข้าใจ ว่า
เดี๋ยวนี้ที่มี เพราะมีเหตุในอดีต ไม่ใช่เพราะใครทำเลย
แต่เป็นเพราะ เหตุในอดีต ทั้งนั้น.
ก็แล้วแต่เหตุปัจจัย.......ซึ่ง จะต้องมีแน่นอน
ตราบใด....ที่ยังไม่ถึงจุติจิต ของพระอรหันต์.
และ "ผล" จะเกินกว่า "เหตุ"........ เป็นไปไม่ได้.!
เช่น คนที่แสนจะดี........ก็มีอาการที่ไม่ดี เกิดขึ้นมา
ส่วนคนที่แสนจะไม่ดี....แล้วเกิดมี อาการที่ดีขึ้นมา
ก็ต้องมาจาก "เหตุ" ที่ได้ทำเอาไว้แล้ว
ตั้งแต่เมื่อไร...ก็ไม่มีใครรู้ได้.
หมายความว่า..............................
สิ่งใดที่หมดไปแล้ว และผ่านไปแล้ว
ก็คือหมดไปแล้ว จริงๆ
และ ถ้าเราจะมีความสบายใจจริงๆ
ก็คือ เรามีความเข้าใจ ว่า ไม่มีอะไรแล้ว
เพราะว่า หมดไปแล้ว.
และตั้งต้นใหม่..........ด้วยกุศลจิต
มิฉะนั้น จิตของเราก็จะเศร้าหมอง
เศร้าหมอง
เพราะไปกังวลกับอกุศลที่ผ่านมาแล้ว
จิตที่เศร้าหมอง
ไม่ใช่ปัญญา และ ไม่มีประโยชน์.
ถ้าเป็น ปัญญา คือ รู้ความจริงในขณะนี้.!
เมื่อรู้ความจริงแล้ว ก็ ตั้งต้นใหม่...ด้วยกุศล.
ก็แสนที่จะเบา สบาย
เพราะว่า อกุศลหมดไปแล้ว
หมดแล้ว หมดเลย.
เพราะฉะนั้น.........การที่เราจะตั้งต้นใหม่
เราจะมั่นคงในกุศลขึ้น....ด้วยสติปัญญา.
และ.....ความเข้าใจในธรรมยิ่งขึ้น
จะทำให้เรา มั่นคงในกุศลธรม ได้.
ถ้าปัญญาของเรา มีน้อย....กุศลของเรา ก็ไม่มั่นคง.
กุศลของเรา จะมั่นคงได้
เพราะเรามีปัญญา รู้สภาพธรรมที่เป็นความจริง เช่น
เรื่องของกรรม เรื่องของวิบาก เรื่องของอนัตตา
เรื่องของนามธรรม และ รูปธรรม.
เพราะที่แล้วมา ก็เป็นผลของกรรม
เดี๋ยวนี้.....ก็กำลังเป็นผลของกรรม
และเดี๋ยวนี้ ก็เป็นเหตุ ที่จะทำให้เกิดผลข้างหน้าด้วย.
เพราะฉะนั้น เราจะมีความมั่นคง ในกุศลธรรม
ถ้าเรารู้ว่า อกุศลกรรม ให้ผล เป็นอกุศลวิบาก.
และจะเป็นเหตุที่ทำให้เรามี หิริ โอตตัปปะ
รังเกียจในอกุศลทั้งหลาย ซึ่งหมายความว่า
สติ เกิดเมื่อไร...........เราก็ไม่เอาอกุศลเลย
เพราะว่า..............สติ ไม่เกิดกับอกุศลจิต.!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น