เวียนมาอีกครั้ง สำหรับเทศกาลของความอิ่มอก อิ่มใจ และ อิ่มบุญ
อย่างเทศกาลกินเจ ซึ่งตลอดช่วงวันที่ 18-26 ตุลาคมนี้
ถือเป็นช่วงเวลาอันสำคัญ ที่ไม่ว่าจะหันไปทางไหน ตามร้านค้า ร้านอาหาร
ตลาดสด ก็จะพบเห็นแต่ธงสามเหลี่ยมสีเหลืองตัวอักษรสีแดง
อันเป็นสัญลักษณ์ว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องพักการกินเนื้อสัตว์
แล้วหันมากินพืชผัก ผลไม้ ธัญพืชทดแแทน
ต้องยอมรับว่า การกินเจนั้นทำให้ร่างกาย และจิตใจได้รับแต่สิ่งดีๆ
แต่การกินไม่ว่าสิ่งใดก็ตามย่อมส่งผลต่อสุขภาพของเราทั้งสิ้น
และเพื่อให้แน่ใจว่าอาหารเจนั้นได้ให้ประโยชน์กับเราอย่างแท้จริง
และการกินเจที่ถูกวิธี ถูกหลักโภชนาการ จะต้องปฏิบัติอย่างไรนั้น
"อ.สง่า ดามาพงษ์" ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ กรมอนามัย
กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้คำอธิบายว่า
สำหรับเทศกาลกินเจต้องมองให้ครอบคลุมทั้งด้านร่างกายและจิตใจ คือ
กินอย่างไรให้ได้บุญและไม่กระทบต่อสุขภาพของตนเอง
ซึ่งการกินเจที่ถูกหลักต้องยึดหลัก ดังนี้
1.กินเจต้องมั่นใจว่าได้โปรตีนอย่างเพียงพอ
เพราะปกติจะได้โปรตีนมาจากเนื้อสัตว์
แต่เมื่อไม่ได้กินก็ต้องมั่นใจว่าอาหารที่กินไปนั้นรับโปรตีนทดแทนอย่างเต็ม
ที่ หลายคนเข้าใจผิดว่าการกินเห็ดสามารถทดแทนเนื้อสัตวได้
แต่ความจริงโปรตีนจากเห็ดมีน้อยมากเมื่อเทียบกับ ถั่วเมล็ดแห้ง
ฟองเต้าหู้ โปรตีนเกษตร ที่ต้องนำมาเป็นส่วนประกอบของอาหารเจ
ซึ่งนี่จะได้โปรตีนจากพืชที่มีประโยชน์อย่างแน่นอน
2.กินเจต้องระวังกินแป้งเยอะ จะทำให้อ้วน คือ
กินผักมากก็จริงแต่ก็กินแป้งมากเช่นกัน จึงควรระวังการกินแป้ง
โดยเปลี่ยนจากการกินข้าวขาว มาเป็นข้าวกล้อง
ซึ่งจะมีกากใยอาหารที่มีคุณสมบัติในการดูดซึมได้ดี
ข้าวกล้องจะเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาลได้ช้ากว่าข้าวขาว
ช่วยลดการดูดซึมน้ำตาลสู่กระแสเลือดของร่างกายได้
ทั้งนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน
3.กินเจต้องระวังของมัน
เนื่องจากอาหารเจหลายอย่างเลือกวิธีการปรุงด้วยการใช้น้ำมัน เน้นการผัด
ทอด ซึ่งควรลดแล้วหันมากินอาหารที่ปรุงโดยวิธีต้ม ย่าง อบ นึ่งแทน
4.กินเจต้องระวังเรื่องเค็มก่อนปรุงอาหารต้องชิมก่อนทุกครั้ง
นอกจากนี้อาหารเจหลายอย่างจะมีการปรุงใส่หม้อใหญ่ เพื่อไว้กินหลายวัน
ซึ่งต้องผ่านการอุ่นซ้ำแล้วซ้ำอีก ทำให้น้ำระเหยจนหมดเหลือแต่ความเค็ม
เมื่อกินเข้าไปแล้วจะเสี่ยงต่อความดันโลหิตสูง และ
5.กินเจต้องปลอดภัย
สิ่งสำคัญคือผักที่รู้อยู่แล้วว่าต้องผ่านการใช้สารเคมีจำนวนมาก
ดังนั้นก่อนนำไปปรุงอาหารต้องล้าง
ทำความสะอาดเพื่อลดการปนเปื้อนของสารเคมีให้มากที่สุด
อ.สง่า แนะนำอีกว่า
การกินเจกับมังสวิรัตเหมือนกันในเรื่องของจนุดประสงค์การกิน
แต่กินเจจะห้ามกินอยู่ 5 อย่าง คือ กระเทียม, ลักเกียว, หอมแดง, ใบยาสูบ
และ คื่นช่าย ที่ห้ามเพราะผักเหล่านี้มีกลิ่นฉุน
เกิดการกระตุ้นต่อมความรู้สึกทางเพศ ส่งผลให้จิตใจไม่บริสุทธิ์ ไม่สงบ
"อยาก ฝากถึงผู้ที่กินเจว่าควรกินอย่างมีความรู้
กินได้ถูกต้องตามหลักโภชนาการ อย่ากินตามแฟชั่น กินตามเพื่อน
เห้นคนอื่นกินก็กินตาม และเมื่อกินแล้วรู้สึกทรมานตัวเองก็ขอให้เลิก
อย่าฝืนเพราะจะทำให้จิตใจไม่มีความสุข
และมีผลต่อสุขภาพร่างกายตามมาอีกด้วย" อ.สง่า ทิ้งท้าย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น