โดย คำนูณ สิทธิสมาน 20 กันยายน 2552 12:36 น.
การเคลื่อนไหวของภาคประชาชนกดดันให้รัฐบาลดำเนินมาตรการที่เด็ดขาดในการทวง
ดินแดนอาณาเขตของประเทศไทย ส่วนหนึ่งของ 4.6
ตารางกิโลเมตรบริเวณปราสาทพระวิหาร คืนจากกัมพูชา เมื่อวันเสาร์ที่ 19
กันยายน 2552 นำโดยคุณวีระ สมความคิด
เป็นประเด็นสำคัญที่รัฐบาลจะนิ่งนอนใจไม่ได้
และจะชี้แจงเพียงเท่าที่ทำมาไม่ได้
แม้ว่าผมจะไม่ได้ไปร่วมด้วย และมีความเห็นบางประการในเชิง
"เข้าใจ" รัฐบาล และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงการต่างประเทศ
ตามที่เขียนไว้ ณ ที่นี้เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2552
แต่ก็ย้ำไปแล้วอย่างชัดเจนว่าคำว่า "เข้าใจ" ไม่ได้แปลว่า
"เห็นด้วย" (กับกระทรวงการต่างประเทศ) !
ผมยังคงมีจุดยืนเดิมเหมือนที่เคยเขียนไว้ ณ
ที่นี้เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2551 !!
และได้แสดงจุดยืนนั้นไปในฐานะสมาชิกวุฒิสภา
ปฏิบัติหน้าที่สมาชิกรัฐสภา ในการอภิปรายคัดค้านไม่เห็นด้วยกับการอนุมัติ
(1) กรอบการเจรจาข้อตกลงชั่วคราวไทย-กัมพูชาเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนบริเวณเขา
พระวิหาร และ (2)
กรอบการเจรจาสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกไทย-กัมพูชาตลอดแนวในกรอบของคณะ
กรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชาและกลไกอื่น ๆ ภายใต้กรอบนี้
ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภาเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2551
น่าเสียดายว่าความสามารถผมไม่มากพอที่จะโน้มน้าวความเห็นของสมาชิกรัฐสภาได้
เสียงโหวตคัดค้านจึงมีเพียง 7 และ 8 เสียง
ขณะที่เสียงโหวตเห็นด้วยมีถึง 409 และ 406 เสียงตามลำดับ
ต่อกรณีบันทึกการประชุมที่ทำไปตามกรอบที่ (1)
ที่จะเข้ามาขออนุมัติต่อรัฐสภาเร็ว ๆ นี้
ผมก็ยืนยันมาโดยตลอดว่าจะลงมติคัดค้าน
การพูดจาเป็นการภายในกับรัฐบาลว่าให้ตั้งคณะกรรมาธิการร่วมขึ้นมาก่อนลงมติก็เป็นการทำงานการเมืองในระบบสถานหนึ่ง
ผลก็คือจะยังไม่มีการอนุมติบันทึกข้อตกลงที่เป็นปัญหา !
ผมเชื่อว่ายุทธวิธีการต่อสู้นั้นมีได้หลากหลายตามฐานานุรูป
และการรับฟังความเห็นที่แตกต่าง ข้อมูลที่กว้างขวางสลับซับซ้อน
ไม่ได้สั่นคลอนหลักการที่ยึดมั่นไว้แต่เดิม
ตรงกันข้ามหลักการนั้นกลับยิ่งจะลงหลักปักฐานให้แน่นขึ้นด้วยซ้ำด้วยราย
ละเอียดที่มากขึ้น
ความผิดพลาดของรัฐบาลคือไม่พยายามใช้การเคลื่อนไหวของภาคประชาชนให้เป็นประโยชน์ต่อการเจรจาความเมืองระหว่างประเทศ
ถ้าจะมีการจับเข่าคุยกันไว้ล่วงหน้าให้ประชาชนส่งตัวแทนจำนวนหนึ่ง
ขึ้นไปประกาศเจตนารมณ์ได้ เหมือนที่ในที่สุดก็เกิดขึ้นในวันที่ 20
กันยายน 2552 แทนที่จะไปเจรจากันหน้าเหตุการณ์ หลังเกิดการปะทะกับชาวบ้าน
สถานการณ์อาจจะดีกว่านี้
เงื่อนไขของภาคประชาชนนั้นไม่ได้ขึงตึงเกินไป
ขอเพียงรัฐบาลประกาศมาตรการบางประการออกมานอกเหนือจากที่พร่ำบอกว่าที่ทำมา
นั้นถูกต้องแล้วพอแล้ว พวกเขาก็พร้อมที่จะรับฟัง
มาตรการที่ว่านี้ไม่จำเป็นต้องถึงขนาดบอกว่าจะใช้กำลังทหาร !
ผมมีข้อเสนอ 2 - 3 ประการ
ประการแรกสุด ในเมื่อมีความเห็นที่แตกต่างกัน
มีข้อมูลที่แต่ละฝ่ายอาจจะไม่ได้รับรู้มาก่อน
และต้องยอมรับความจริงกันว่าข้อมูลเหล่านี้ไม่อาจเปิดเผยต่อสาธารณะหรือพูด
จาเปิดใจหมดเปลือกต่อสาธารณะได้ทั้งหมด
เพราะจะทำให้ประเทศคู่กรณีจับทางได้
และนำไปใช้ประโยชน์ในการดำเนินมาตรการต่าง ๆ ในทางการเมืองระหว่างประเทศ
และกรรมาธิการร่วมของรัฐสภาก็มีข้อจำกัดอยู่ไม่น้อยที่ภาคประชาชนไม่
อาจเข้าไปร่วมด้วยได้เต็มที่
รวมทั้งองค์ประกอบของคณะกรรมาธิการร่วมก็ต้องเป็นไปตามสัดส่วนทางการเมือง
รัฐบาลตั้ง "คณะกรรมการอิสระ" ขึ้นมาศึกษากรณีปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชาดีไหม ?
ตั้งเฉพาะตัวประธานที่จะเป็นที่ยอมรับมากที่สุดของทุกฝ่าย
แล้วให้ประธานตั้งกรรมการและกำหนดเงื่อนไขในการทำงานขึ้นมาเอง
แต่จะไม่มีอำนาจไปกำหนดนโยบายได้
เพราะสุดท้ายก็ให้เสนอความเห็นต่อรัฐบาลและรัฐสภา
เวทีนี้จะเป็นที่ถกเสวนาและเปิดให้ทุกฝ่ายรับรู้ข้อมูลเท่า ๆ กัน
อะไรที่เปิดเผยได้ก็เปิดเผย อะไรที่ต้องลับก็ไม่ต้องเปิดเผย
คุณวีระ สมความคิดควรจะต้องเป็นหนึ่งในคณะกรรมการอิสระนี้
และจะต้องมีผู้เชี่ยวชาญด้านการระหว่างประเทศ
ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง เข้ามาร่วมด้วย
ประการต่อมาที่จะต้องดำเนินไปพร้อม ๆ กัน....
รัฐบาลต้องเร่งปรับกลไกในกระทรวงการต่างประเทศเพื่อรองรับปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชา
!
เป็นไปได้ไหมที่จะต้องปรับกำลังกันใหม่ เพื่อให้เกิด
"โต๊ะพระวิหาร" ขึ้นในกระทรวงการต่างประเทศ
เรื่องนี้มีความเป็นมายาวนาน ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5
ครั้งเราเสียดินแดน ครอบคลุมสนธิสัญญาและอนุสัญญาหลากหลาย
รวมถึงคำพิพากษาศาลโลก เท่าที่ผมทราบ คนเก่ง ๆ
ในกรมสนธิสัญญาที่ยังกระตือรือร้นมีไฟอยู่มีเพียง 30 - 40 คน งานล้นมือ
งานด้านชายแดนบริเวณปราสาทพระวิหารเป็นเพียง "งานฝาก" เท่านั้น
และได้ยินมาว่าความผันผวนทางการเมืองในช่วง 3 ปีมานี้
ทำให้กรมสนธิสัญญาอยู่ในสภาพหวั่นไหวมากพอสมควร
ไม่เพียงแต่จะต้องเร่งรวบรวมข้อมูล สร้างผู้เชี่ยวชาญ
ยังต้องเริ่มต้น "ล็อบบี้"
นานาชาติด้วยในขณะที่เรื่องนี้ยังไม่ขึ้นสู่โต๊ะเจรจาระดับพหุภาคี
รวมถึงการจ้างผู้เชี่ยวชาญต่างชาติเพื่อการเหล่านี้ด้วย
อย่าลืมว่าแม้เราจะรบ
แต่ในที่สุดไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรเราก็ต้องกลับสู่โต๊ะเจรจาอยู่ดี
และบนโต๊ะนั้นเป็นอีกกติกาหนึ่งที่เราจำเป็นจะต้องมีทีมแบ็คอัพที่สมบูรณ์
ในประเด็นนี้กัมพูชามี
แต่เราจะมีมากน้อยแค่ไหนเพียงพอหรือไม่ผมไม่อาจยืนยัน
การจ้างผู้เชี่ยวชาญต่างชาตินี้ยังรวมไปถึงภารกิจ "ล็อบบี้"
ในรูปแบบต่าง ๆ ด้วย
แม้แต่การเขียนบทความลงในวารสารกฎหมายระดับโลกที่วงการกฎหมายระหว่างประเทศ
ยอมรับ เพื่อให้เกิดกระแสผลักดันไปในทางที่เราได้ประโยชน์
หากเรื่องนี้ขึ้นสู่โต๊ะเจรจาระดับพหุภาค หรือกลับไปสู่ศาลโลกอีกครั้ง
โดยเฉพาะในประเด็นการตีความคำพิพากษาปี 2505 ตามมาตรา 60 ธรรมนูญศาลโลก
ประการสุดท้ายที่อยากเสนอ ณ ที่นี้คือ
ยกระดับคณะกรรมการเขตแดนขึ้นมาเป็นคณะกรรมการระดับชาติ
เพื่อที่จะบูรณาการทุกประการที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดนเข้ามาอยู่ในความรับรู้
และการตัดสินใจของคณะกรรมการ
ยังมีอีกหลายประการครับที่ทำได้
แต่วันนี้นึกออกเพียงแค่ให้พอเหมาะกับเนื้อที่
แต่ทั้งสิ้นทั้งปวงจะต้องเริ่มจากการปรับทัศนคติของรัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศที่มีต่อประชาชนที่เขาเห็นต่างกับท่านเสียก่อน
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000109751
บอกตรงๆ ว่านั่งดูข่าวไป ดูภาพที่เพื่อนเราโดนรังแก
แล้วน้ำตามันใหลมาจากไหนไม่รู้ ป้าเองอยู่ต่างประเทศ อยากไปช่วยเพื่อน
แต่จนปัญญา
พวก เรา "ร่วมทุกข์ร่วมสุข" ด้วยกันมาหลายวัน ผ่านทั้งความทุกข์
ผ่านทั้งความเจ็บปวด ผ่านทั้งความกดดัน ผ่านทั้งความกลัว จนวันนี้
แน่ใจเหลือเกินว่า "เราไม่กลัว" อะไรอีกแล้ว เพราะหากเราแพ้
มันคือความแพ้ของประเทศชาติบ้านเมืองด้วยเช่นเดียวกัน
วันที่ 7 ตุลา ที่เราโดนทั้งลูกระเบิด แก๊สน้ำตา ระเบิดมือ ปืน และกระบอง
เราบาดเจ็บทางกายขนาดใหน แต่พวกเรายังสู้ ไม่ถอย !!! ป้ายังจำได้
เมื่อเห็นทหารผูกผ้าพันคอสีฟ้า พร้อมกับที่โฆษกบนรถตระโกนบอกว่า ...
"นี่เป็นทหารของพระราชินี นี่เป็นทหารพระราชทาน ... "
มัน เหมือนกับว่าความกลัวทั้งหมดถูดปัดเป่าหายไปหมด
น้ำตามาจากไหนก้อไม่รู้ ใหลไม่หยุดเลย ที่ร้องไม่ได้ร้องเพราะมีคนมาช่วย
แต่ร้องเพราะความรู้สึกว่า ...
แม่เห็นเราเสมอ !!! แม่ช่วยเราได้เสมอยามที่เราเจ็บปวด
ยามที่เราสู้อย่างหลังชนฝา ยามที่ "สองมือเปล่า" สู้กับปืน ... ระเบิดมือ
... แก๊สน้ำตา ... และกระบอง
วันนี้ ก็เหมือนกัน เพื่อนของเราสู้เรื่องประสาทเขาพระวิหาร
สู้เพื่อทวงดินแดนที่เป็นของประเทศไทย 100% ให้กับคนไทยทั้งชาติ
ยามที่เพื่อนเราสู้ท่านกลางเสียงด่า เสียงตำหนิ ท่ามกลางคำโกหกหลอกลวง
ท่ามกลางคำเท็จเป่าหู
เราตัวเล็กๆ เอาความจริงเข้าต่อกรกับคนตัวใหญ่ๆ อย่างกองทัพ
อย่างกระทรวงการต่างประเทศ และ ... รัฐบาล !!!
สองมือเราสู้ไปปากเราก็ร้องตระโกนเพื่อบอกความจริงแก่สังคม และแล้ว ....
แม่ ก็เห็นเราอีกครั้ง แม่ส่งของพระราชทานให้กับ "ทหารชั้นผู้น้อย"
ผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ตรงชายแดนพระวิหาร
น้ำพระราชหฤทัยที่ฉ่ำเย็นเสมือนน้ำทิพย์นี้
รดลงสู่หัวใจที่อ่อนล้าของเราให้กลับมามีพลังอีกครั้ง
ให้เรามีพลังใตที่จะสู้ต่อไปท่านกลางอำนาจที่จ้องจะบิดเบือนและทำลายเรา
ป้าเชื่อเหลือเกินว่าเพื่อนพันธมิตรหลายคน คงรู้สึกไม่ต่างอะไรกับป้า
คน "ตัวเล็กๆ" ที่ทำสิ่งที่ "ยิ่งใหญ่" ให้แก่ชาติบ้านเมือง
คน "ตัวเล็กๆ" ที่จะให้บริเวณประสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบจะยังคงปรากฏอยู่ใน
"แผนที่ประเทศไทย"
ป้าเนียน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น