รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ปี 2540 ร่างโดยสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ 99
คน ซึ่งผ่านการคัดสรรจากสภาผู้แทนราษฎร ถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน
โดยจุดประสงค์หลักก็เพื่อปฏิรูปการเมือง
อันเนื่องมาจากปัญหาทางการเมืองที่สังคมเผชิญอยู่ขณะนั้น 5 ประการด้วยกัน
ประการแรก ระบบการเมืองไทยก่อนมีรัฐธรรมนูญปี 2540
มักจะเป็นรัฐบาลที่มาจากหลายพรรคที่เรียกว่ารัฐบาลผสม
มีการต่อรองทางการเมืองสูง แต่ก็มีการออมชอมในหลายส่วน
ส่งผลทางลบในทางการเมืองอย่างสำคัญคือ
"นายกรัฐมนตรีไม่สามารถแสดงความเป็นผู้นำทางการเมืองได้"
ทั้งนี้เนื่องจากอำนาจต่อรองและแรงกดดันจากภายในพรรคของตนเองและพรรคร่วม
รัฐบาล นายกรัฐมนตรีจึงทำหน้าที่เป็นเพียงผู้ประสานผลประโยชน์ของฝ่ายต่างๆ
ส่งผลให้การบริหารราชการแผ่นดินไม่สามารถดำเนินไปได้อย่างแข็งขันและเข้มข้น
รัฐธรรมนูญปี 2540
จึงมีจุดประสงค์หลักที่จะทำให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีมีลักษณะเป็นฝ่าย
บริหารที่แข็งแกร่ง
โดยนายกรัฐมนตรีสามารถบริหารราชการแผ่นดินได้อย่างมีประสิทธิภาพและมี
ประสิทธิผล แทนที่จะมีลักษณะเป็นรัฐบาลเป็ดง่อย (lame duck)
ที่ไม่สามารถใช้อำนาจและแสดงความเป็นผู้นำได้อย่างเต็มที่
ประการที่สอง รัฐธรรมนูญปี 2540
มุ่งเน้นในการแก้ไขปัญหาหลักซึ่งทำลายความชอบธรรมของระบอบการปกครองแบบ
ประชาธิปไตย นั่นคือ
ปรากฏการณ์ที่มีการใช้เงินซื้อเสียงอย่างดาษดื่นในการเลือกตั้งทุกครั้ง
การเลือกตั้งทำให้ความศักดิ์สิทธิ์ของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอ่อนลง
และแทนที่จะเป็นการเลือกตั้งตามหลักสากลอันเป็นสิ่งที่พึงปรารถนากลับกลาย
เป็นการประกอบพิธีกรรมทางการเมืองเพื่อให้ครบถ้วนกระบวนวิธี
ประการที่สาม รัฐ ธรรมนูญฉบับ ส.ส.ร. ปี 2540
มีจุดประสงค์เพื่อป้องกันการฉ้อราษฎร์บังหลวงซึ่งเกิดขึ้นอย่างดาษดื่นใน
หลายรัฐบาล แต่เนื่องจากการขาดองค์กรที่สามารถจะป้องกันและปรามปบรามการฉ้อราษฎร์บัง
หลวงดังกล่าว ทำให้เกิดการรั่วไหลของทรัพยากร
การฉ้อราษฎร์บังหลวงที่กล่าวมานั้นกระทำโดยการใช้งบประมาณแผ่นดินโดยมีผล
ประโยชน์เป็นเชิงร้อยละจากการจัดซื้อจัดจ้างและก่อสร้าง เช่น ร้อยละ 20
ของโครงการ
ประการที่สี่ มีการละเมิดกฎหมายและการกระทำที่ขัดต่อหลักนิติธรรม
ด้วยการแทรกแซงการบริหารงานของข้าราชการประจำในการโยกย้ายแต่งตั้ง
การเล่นพรรคเล่นพวก ฯลฯ
ทำให้เกิดการเสียขวัญและกำลังใจในหมู่ข้าราชการประจำซึ่งก็มีปัญหาทางการ
เมืองภายในองค์กรของตนเองอยู่แล้ว
ประการที่ห้า ปัญหาเรื่องการช่วงชิงตำแหน่งบริหารในคณะรัฐมนตรี
จนเกิดการต่อรอง การออมชอม
ต่างมุ่งหมายตาจ้องเอากระทรวงสำคัญที่จะนำผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมาให้
เช่น กระทรวงคมนาคม อุตสาหกรรม พาณิชย์ และกระทรวงที่มีอำนาจ เช่น กลาโหม
มหาดไทย ต่างประเทศ จนแบ่งกระทรวงออกเป็นระดับต่างๆ
เสมือนหนึ่งการแยกแยะคุณภาพสินค้า
จากปัญหาต่างๆ
ที่กล่าวมาแล้วนั้นผู้ร่างรัฐธรรมนูญพยายามจัดทำรัฐธรรมนูญที่จะแก้ไขหรือบรรเทาปัญหาต่างๆ
โดย
1) กรณีนายกรัฐมนตรีได้มีระบบการเลือก ส.ส.
แบบสัดส่วนตามบัญชีรายชื่อ
ทำให้พรรคที่ได้คะแนนสูงสุดจะได้หัวหน้าพรรคดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี
ในแง่ Party List กลายเป็นการเลือกนายกรัฐมนตรีโดยตรงแบบอ้อม
ก) การเสนอชื่อและการลงมติผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในสภา
เป็นการประกาศให้ทราบถึงการสนับสนุนของประชาชนผ่านตัว ส.ส. ผู้ลงมติ
เมื่อรวมทั้งจำนวนเสียงที่พรรคการเมืองนั้นได้รับ
บวกกับจำนวนเสียงที่ลงมติในสภา ซึ่งสะท้อนถึงจำนวนประชากรที่เลือก ส.ส.
ผู้นั้น นายกรัฐมนตรีก็จะมีเสียงท่วมท้นจากประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย
ข) ข้อกำหนดที่ว่า นายกรัฐมนตรีต้องมาจาก ส.ส.
และนายกรัฐมนตรีที่มาจาก ส.ส.
ต้องลาออกจากสมาชิกภาพในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ทำให้อำนาจการต่อรองทางการเมืองอยู่ที่ตัวนายกรัฐมนตรี
เพราะยุบสภาเมื่อใดบุคคลที่เป็นรัฐมนตรีซึ่งหมดสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทน
ราษฎรจะไม่เหลือตำแหน่งทางการเมือง ยกเว้นตำแหน่งในพรรคเท่านั้น
อำนาจสูงสุดจึงตกอยู่ที่ตัวนายกรัฐมนตรีซึ่งมีอำนาจในการยุบสภา
ค) การกำหนดให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องสังกัดพรรคการเมือง 90
วันนั้น ทำให้อำนาจการต่อรองของหัวหน้าพรรค
รวมทั้งผู้ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีมีมาก
เพราะอาจจะประกาศยุบสภาโดยอาจจะไม่ส่ง ส.ส. คนเดิม ในขณะที่อดีต ส.ส.
ผู้นั้นก็ไม่มีโอกาสเปลี่ยนพรรคและลงสมัครรับเลือกตั้ง เพราะข้อกำหนด 90
วันซึ่งทำให้เปลี่ยนพรรคไม่ได้
และนี่คือการให้อำนาจนายกรัฐมนตรีคุมไม่ให้ลูกพรรคและ ส.ส.
บีบคั้นนายกรัฐมนตรี
ง) การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี ต้องใช้คะแนนเสียง 2
ใน 5 จากจำนวน ส.ส. ซึ่งในกรณีของรัฐมนตรีใช้เพียง 1 ใน 5
และในกรณีที่มีพฤติกรรมร่ำรวยผิดปกติ ส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ราชการ
หรือจงใจฝ่าฝืนบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย
การยื่นเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจจะกระทำได้โดยต้องยื่นเพื่อการดำเนินการถอด
ถอนนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีด้วย
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ทำให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจล้นเหลือ
โดยจะอยู่ภายใต้การควบคุมโดย ป.ป.ช. ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลยุติธรรม
และวุฒิสภาเท่านั้น
2. รัฐธรรมนูญปี 2540
ได้มีการตั้งคณะกรรมการการเลือกตั้งขึ้นเพื่อให้การเลือกตั้งบริสุทธิ์และ
เที่ยงธรรม นอกจากนั้นก็ยังมีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
ศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน
ซึ่งเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญหรือที่เรียกว่าองค์กรอิสระ
ทั้งหลายทั้งปวงดังกล่าวก็คือการแก้ปัญหาการซื้อเสียง
การทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง การละเมิดกฎหมาย การลุแก่อำนาจรังแกประชาชน
3. ได้มีการส่งเสริมให้มีการเมืองภาคประชาชนมากยิ่งขึ้น
โดยเริ่มต้นจากการให้สิทธิเสรีภาพกับประชาชนอย่างเต็มที่ในระดับสากล
ให้ประชาชนมีส่วนร่วมเสนอร่างกฎหมายในหมวด 3 และ 5 ของรัฐธรรมนูญ
มีสิทธิการเริ่มต้นกระบวนการการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
มีการกระจายอำนาจ ฯลฯ
รัฐธรรมนูญปี 2540 มีการนำมาปฏิบัติเป็นเวลาเกือบ 10 ปี
จนกระทั่งมีการยึดอำนาจทางการเมืองเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549
และจากนั้นก็มีการแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ ในรัฐธรรมนูญปี 2540
ออกมาเป็นรัฐธรรมนูญปี 2550 โดยในการร่างนั้นใช้รัฐธรรมนูญปี 2540
เป็นหลัก มีการเพิ่มเติมหมวดที่เกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพของประชาชน
และมีการเพิ่มเติมเพื่อให้นักการเมืองอยู่ในกรอบมากยิ่งขึ้น
มีการเน้นถึงหลักธรรมาภิบาลและจริยธรรม
แต่โดยทั่วไปก็ยังมีลักษณะคล้ายกับรัฐธรรมนูญปี 2540
มีการแก้ไขระบบการเลือกตั้ง ส.ส. จากเขตเดียวคนเดียวมาเป็นเขตละ 3 คน
และวุฒิสมาชิกมีการเลือกตั้งส่วนหนึ่งและสรรหาส่วนหนึ่ง ฯลฯ
อันเป็นที่ทราบอยู่แล้ว ภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2550
มีรัฐบาลภายใต้พรรคพลังประชาชน โดยมีนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย
วงศ์สวัสดิ์ มาในปัจจุบันเป็นรัฐบาลผสมโดยมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ
ข้อที่ต้องพิจารณาก็คือ กว่าสิบปีที่ผ่านมาภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2540
และต่อมารัฐธรรมนูญปี 2550
ปัญหาที่พยายามแก้ไขมาตั้งแต่ต้นได้แก้ไขเยียวยาสัมฤทธิผลมากน้อยเพียงใด
ซึ่งเจ้าของอำนาจอธิปไตยต้องพิจารณาและวิเคราะห์อย่างวัตถุวิสัยดังต่อไปนี้
คือ
1. นายกรัฐมนตรีสามารถแสดงความเป็นผู้นำทางการเมืองได้หรือไม่
เป็นตัวของตัวเองได้อย่างเต็มที่ได้หรือไม่
อยู่ภายใต้อำนาจการต่อรองของพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่อย่างไร
อยู่ภายใต้การกดดันของสมาชิกในพรรคเดียวกันมากน้อยเพียงใด
2. การเลือกตั้งเป็นไปโดยบริสุทธิ์และเที่ยงธรรมหรือไม่
หรือการใช้เงินซื้อเสียง หรือการซื้อสิทธิขายเสียงยังเป็นอยู่เช่นเดิม
3. การละเมิดกฎหมาย ลุแก่อำนาจ ยังมีการกระทำอยู่หรือเลิกโดยเด็ดขาด
4. การฉ้อราษฎร์บังหลวงจากงบประมาณแผ่นดิน และจากโครงการใหญ่ๆ
หมดไปจากสังคมไทยหรือยังมีอยู่เช่นเดิม
5. กระบวนการทางการเมืองเป็นไปโดยผลประโยชน์เพื่อชาติและสังคมเป็นใหญ่
หรือมีการใช้กลเม็ดเด็ดพรายเอาชนะคะคานทางการเมืองโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์
ส่วนรวม
คำ ถามที่กล่าวมาทั้งหมด
คือคำถามเพื่อทดสอบว่าการปฏิรูปการเมืองและการแก้ไขปัญหาต่างๆ
จากรัฐธรรมนูญปี 2540 และปี 2550 ประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น