++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2552

ยุทธศาสตร์สามก๊กการเมืองไทย

โดย สิริอัญญ


หลังจากนายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้นำเสนอแนวคิดการเมืองเรื่องของสี
ทางเอเอสทีวีแล้ว
ก็มีการกล่าวขวัญกันถึงเรื่องการเมืองไทยในสถานการณ์ปัจจุบันว่าได้แบ่งออก
เป็นสามก๊กชัดเจนแล้ว

นายสนธิ ลิ้มทองกุล
ได้พูดถึงกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่าเป็นกลุ่มสีเหลือง
เพราะได้ใช้สีเหลืองเป็นสัญลักษณ์ในการเคลื่อนไหวตลอดมา
ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ใช้สัญลักษณ์สีฟ้า
และพรรคภูมิใจไทยใช้สัญลักษณ์สีน้ำเงิน

ส่วนอีกก๊กหนึ่งใช้สีแดง
ซึ่งมีทั้งพรรคการเมืองและกลุ่มพลังมวลชนคนเสื้อแดง
โดยหัวหน้าก๊กตัวจริงร่อนเร่พเนจรอยู่ในต่างประเทศ

จึงเป็นที่มาของการเมืองไทยที่ถูกกล่าวขวัญว่ากำลังเป็นสามก๊กคือก๊ก
เหลือง ก๊กแดง และก๊กฟ้าบวกน้ำเงิน
และดูไปแล้วสถานการณ์ที่เป็นจริงในขณะนี้ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เสียด้วย

เพราะพรรคการเมืองอื่นที่เหลือนั้นเป็นได้แค่ไม้ประดับ
หรือบางทีก็เรียกว่าพรรคกระดาษ หรือ Paper Company
ซึ่งเป็นคำที่เลียนมาจากบริษัทกระดาษที่ไม่ได้ดำเนินธุรกรรมหรือธุรกิจกัน
อย่างจริงๆ จังๆ ตั้งขึ้นเพื่อการเฉพาะกิจ เฉพาะครั้ง เฉพาะคราวเท่านั้น

แต่ทว่าในทางการเมืองนั้นจะว่าพรรคไม้ประดับไร้ราคาค่างวดเสียที
เดียวก็ไม่ได้เพราะบางครั้งก็กลายเป็นตัวแปร
เพราะเมื่อใดก็ตามที่เสียงก้ำกึ่งกันเป็นสองฝ่าย
กลุ่มไม้ประดับนี่แหละจะกลายเป็นกลุ่มชี้ขาดหรือเป็นผู้ถือดุลทางการเมืองไป
ก็ได้

ไม่ เห็นหรือพรรคกิจสังคมของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ซึ่งมีแค่ 18
เสียง แต่เมื่อกลายเป็นผู้ถือดุลแล้วก็สามารถเป็นพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลได้

สภาพเช่นนี้แม้จะเรียกว่าเป็นยุคสามก๊กของการเมืองไทย
แต่แท้จริงแล้วก็ยังมีปัจจัยประกอบแวดล้อมอื่นๆ
อยู่อีกมากทั้งที่มีสีและไม่มีสี จึงเป็นเรื่องที่ดูแคลนไม่ได้

แต่ละก๊กการเมืองไทยต่างก็มีจุดอ่อนจุดแข็งไม่เหมือนกัน
และมีเป้าหมายปลายทางไม่เหมือนกัน มีลักษณะที่จะต้องร่วมมือกัน
มีลักษณะที่จะต้องขับเคี่ยวล้างผลาญกัน
และยังมีปรากฏการณ์ที่มิตรเป็นศัตรู หรือศัตรูมาเป็นมิตรแฝงฝังอยู่ด้วย

สภาพ เหล่านี้จึงทำให้การเมืองไทยสลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนกว่าทุกระยะที่ผ่านมา
เพราะแค่การปรากฏตัวของคนสีเหลืองและคนสีแดงสองสี
บ้านเมืองก็สับสนปั่นป่วนวุ่นวายเต็มทีแล้ว
เมื่อเพิ่มสีน้ำเงินเข้ามาอีกก็คงดูไม่จืดเป็นแน่

ก๊กเหลืองนั้นมีกำลังมวลมหาประชาชนที่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์
ชูธงพิทักษ์การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขขึ้น
สูงเด่น ได้ผ่านการต่อสู้สามฤดูอันยาวนานด้วยความเสียสละกล้าหาญ
มีพลังมวลมหาชนเข้าร่วมร่วม 20 ล้านคน
จึงต้องถือว่าเป็นก๊กหลักก๊กหนึ่งที่ดูแคลนไม่ได้

ก๊กเหลืองชูแนวทางการเมืองใหม่เพื่อจะนำเข้ามาแทนที่การเมืองเก่าที่
เน่าเฟะ และไม่เป็นที่พึ่งพาของประชาชนได้อีกต่อไป
แต่กลับไม่มีพรรคการเมืองเป็นของตนที่จะทำหน้าที่เป็นกองหน้าในการปฏิบัติ
การทางการเมืองในระบอบรัฐสภา

ดังนั้นแม้ก๊กเหลืองจะต่อสู้ด้วยความเสียสละ ต้องบาดเจ็บ ล้มตาย
สักเท่าใดก็ไม่มีทางได้อำนาจรัฐเพราะไม่มีเครื่องมือทางการเมืองในระบอบ
รัฐสภา

ดังนั้นหากหวังจะได้มาซึ่งอำนาจรัฐเพื่อนำการเมืองใหม่เข้าแทนที่การ
เมืองน้ำเน่าแบบเก่า
ก๊กเหลืองก็ต้องสร้างกลไกสำคัญขึ้นเป็นกองทัพหลักในการช่วงชิงอำนาจรัฐ
ไม่อย่างใดอย่างหนึ่งก็ทั้งสองอย่างต่อไปนี้คือ

ต้อง มีพรรคการเมืองของประชาชนที่แท้จริงขึ้นมาพรรคหนึ่งเพื่อช่วงชิงอำนาจรัฐใน
ระบอบรัฐสภา หรือไม่ก็ต้องปรับขบวนมวลมหาประชาชนให้เป็นกองกำลังมหาประชาชนที่มีการจัด
ตั้ง เพื่อช่วงชิงอำนาจรัฐโดยการปฏิวัติประชาชาติที่อาศัยพลังประชาชนเป็นหลัก

ซึ่งถึงวันนี้ก็ไม่รู้ว่ากลุ่มพันธมิตรฯ
จะตัดสินใจในเรื่องนี้อย่างไร ก็ต้องเฝ้าติดตามดูกันต่อไป
แต่โดยสรุปก็คือก๊กเหลืองในวันนี้ไม่มีอำนาจรัฐ ไม่มีพรรคการเมือง
แต่มีพลังมวลมหาประชาชนที่รอการจัดตั้งเป็นกองกำลังหลัก
เพื่อรับมือกับก๊กอื่นๆ ต่อไป

ส่วนก๊กแดงนั้นเคยครองอำนาจรัฐมาก่อน แต่บัดนี้เสียอำนาจรัฐไป
มีทั้งพรรคการเมืองเป็นเครื่องมือในการช่วงชิงอำนาจรัฐในระบอบรัฐสภา
และมีกองกำลังมวลชนที่มีการจัดตั้งเบื้องต้นแล้ว
แม้ว่าจะเป็นการจัดตั้งโดยใช้อามิสเป็นตัวขับเคลื่อน
แต่ก็ถือว่าเป็นการจัดตั้งชนิดหนึ่ง
ซึ่งหากขยายตัวเป็นกองกำลังปฏิบัติการทางการเมืองแล้ว
ก็มีวิสัยที่จะถูกใช้ไปช่วงชิงอำนาจรัฐโดยการปฏิวัติประชาชาติด้วยเช่นเดียว
กัน

แต่ ก๊กแดงกลับมีจุดอ่อนที่ไม่สอดคล้องกับวัฒนธรรมประเพณีของประชาชนไทย
เพราะได้เผยแนวทางการเมืองที่ต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่ระบอบ
สังคมนิยม และมีปฏิบัติการหลายอย่างที่เกี่ยวข้องต่อเนื่องกับการละเมิดสถาบันเบื้อง
สูง กระทั่งในอดีตก็เคยถูกศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ
เป็นภัยต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ก๊กแดงมีจุดแข็งตรงที่มีพลังเงินมหาศาล
มีเครือข่ายสื่อทั้งในประเทศและต่างประเทศ
และมีพื้นฐานมวลชนรากหญ้าจำนวนหนึ่งซึ่งดูแคลนไม่ได้

ส่วนก๊กฟ้าบวกน้ำเงินนั้นมีลักษณะพิลึกพิลั่น
คือมีลักษณะเป็นเทพอสูร ภาพหนึ่งเป็นเทพ ภาพหนึ่งเป็นอสูร
จึงกลายเป็นเทพอสูร

ก๊กนี้ได้ประกาศจุดยืนทางการเมืองเช่นเดียวกับก๊กเหลือง
คือมุ่งปกป้องสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์
ซึ่งนับว่าเป็นจุดแข็งเหนือกว่าก๊กแดง

แต่ทว่าก๊กฟ้าบวกน้ำเงินนั้นเป็นคนละเนื้อเป็นคนละธาตุที่ผสมกันแบบหยาบๆ
คือธาตุเทพผสมกับธาตุอสูร

โดยธาตุเทพมีภาพลักษณ์ที่ดีที่ยึดมั่นในความจงรักภักดีเป็นที่ตั้ง
แต่ก็มีความเฉื่อยชาแสวงหาแต่ภาพลักษณ์โดยไม่คำนึงถึงผลที่แท้จริง
ในขณะที่ธาตุอสูรมีลักษณะที่ฉ้อราษฎร์บังหลวงติดตัวมา
เป็นสาขาวิญญาณร้ายที่เพิ่งออกจากร่างก๊กแดงเข้ามาแฝงสิงร่วมอยู่กับก๊กฟ้า

ดังนั้นพันธมิตรฯ ฟ้าน้ำเงินจึงมีลักษณะชั่วคราว
ไม่มีทางที่จะจีรังยั่งยืนได้
ขึ้นอยู่กับว่าจะแตกหักแยกตัวกันไปในวันใดเท่านั้น

ก๊กฟ้าไม่มีมวลมหาประชาชนเป็นพื้นฐาน
มีแค่ผู้สนับสนุนทางการเมืองที่มีบทบาทแค่การไปหย่อนบัตรลงคะแนนเสียงเลือก
ตั้ง จึงโดดเดี่ยวเดียวดาย ถูกก๊กแดงล้อมกรอบอยู่เป็นประจำ
ในขณะที่ก๊กน้ำเงินมีแผนการที่จะสร้างกลุ่มคนสีน้ำเงินขึ้น
โดยจับเอาคนเสื้อแดงเก่ามาถอดเสื้อเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน
หวังจะตั้งกองกำลังมวลชนเช่นเดียวกับก๊กแดง

สถานการณ์ในขณะนี้ก๊กฟ้าน้ำเงินถือตนว่ามีบทบาทในการเปลี่ยนขั้วการ
เมือง ทำให้สถาบันต่างๆ ปลอดภัยและเกิดความสงบสุขขึ้น
จึงรู้สึกสำนึกเป็นหนี้บุญคุณของก๊กน้ำเงิน
ในขณะที่ลืมบุญคุณของก๊กเหลือง

จน น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ
ต้องออกมาเตือนสติว่าคนกินข้าวแล้วคิดแต่บุญคุณของคนเสิร์ฟข้าว
แต่กลับไม่คิดถึงบุญคุณของชาวนาและโรงสี ย่อมเป็นการเนรคุณ
ยิ่งเป็นชาวนาที่ไถหว่านด้วยความเสียสละกล้าหาญมาถึง 193 วันด้วยแล้ว
หากไม่คำนึงถึงบุญคุณนี้ก็กลายเป็นคนอกตัญญู

สถานการณ์ล่าสุด
ก๊กเหลืองชักไม่พอใจก๊กฟ้าน้ำเงินเพราะมีปฏิบัติการที่ไม่สอดคล้องกับคำพูด
จา เนื่องจากสมรู้หรือยินยอมหรือเพิกเฉยให้กลุ่มฆาตกรที่เข่นฆ่าประชาชนใน
เหตุการณ์ 7 ตุลามาทำหน้าที่สอบสวน 21 พันธมิตรฯ
กลายเป็นจำเลยสอบสวนโจทก์ ซึ่งไม่มีประเทศนิติรัฐที่ไหนเขาทำกัน

ก็ต้องดูกันว่าก๊กฟ้าจะว่าอย่างไร เพราะถ้าปากพูดอย่าง
แต่ทำอีกอย่าง กรรมก็ย่อมเป็นเครื่องส่อเจตนา
ในไม่ช้าก็จะเกิดการปะทะกันระหว่างก๊กฟ้าน้ำเงินกับก๊กเหลืองเป็นมั่นคง
ซึ่งเมื่อนั้นก็จะเป็นโอกาสของก๊กแดงที่จะเข้ายึดอำนาจรัฐกลับคืน
จากนั้นก็คงเป็นเรื่องก๊กเหลืองฟาดกับก๊กแดงต่อไปจนกลายเป็นสงครามกลางเมือง
ในที่สุด

ใน ขณะที่ก๊กเหลืองกินแหนงอยู่กับก๊กฟ้าน้ำเงิน
ก๊กแดงก็เปิดยุทธการด้านสภาโดยการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ
แต่คงไม่เกิดผลประการใด
อย่างมากก็แค่ช่วยรัฐบาลปรับคณะรัฐมนตรีเอารัฐมนตรีที่ไม่เข้าท่าออกไปเท่า
นั้น

แต่ของจริงไม่ใช่อยู่ในสภาดอก หากอยู่นอกสภา
เพราะกองกำลังมวลชนเสื้อแดงกำลังยกระดับการจัดตั้งเป็น "กองทัพแดง"
อย่างกว้างขวางอยู่ในขณะนี้

ยุทธศาสตร์สามก๊กของการเมืองไทยคือศักราชใหม่ทางการเมืองที่นับแต่นี้ไปน่าจับตาอย่างยิ่ง.

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000029658


สีเหลืองไม่ใช่ก๊กครับ
สีเหลืองเป็นการรวมพลังของหลายส่วน
ดังนั้นจึงเป็นพันธมิตรเหลือง
หนึ่งในพลังของพันธมิตรเหลือง ก็คือพลังของก๊กสีฟ้า
ทั้งสองฝ่ายจึงเป็นแนวร่วมกัน

ถ้าสีเหลืองตั้งพรรค ก็จะทำให้มีสภาพเป็นก๊ก
สภาพของพลังร่วมถ้าในกรณีที่ดีที่สุดคือยังมีพลังเท่าเดิม
แต่แน่นอนว่าเมื่อสีเหลืองเป็นก๊ก
พลังของสีฟ้าจะไม่เหมือนเดิม
จากพลังของแนวร่วมอันบริสุทธิ์จะเปลี่ยนสภาพ
เป็นทั้งคู่แข่งและแนวร่วม
สุดท้ายทำให้สีแดงซึ่งอ่อนแอลงมากแล้ว
ร่วมกับสีน้ำเงินและหัวเมืองเล็กๆกลับมามีพลังอีกครั้ง

ผมอยากทำนายล่วงหน้าไว้ตรงนี้
พันธมิตรตั้งพรรคเมื่อไร ทักษิณจะกลับมา
แล้วสิ่งที่เราสู้ด้วยกันมานานจะสลายกลายเป็นอากาศธาตุ

พันธมิตรที่แตกแยกย่อมเป็นผลดีกับศัตรู
การวิเคราะห์ตัวเองไม่ถ่องแท้จะทำให้ดำเนินยุทธศาสตร์ผิดพลาด
สุดท้ายนำมาซึ่งความพ่ายแพ้

ความเห็นของผมอาจแตกต่างจากท่านอื่น
แต่มั่นใจว่าแสดงไปด้วยความหวังดีจริงๆ
3701818

1 ความคิดเห็น:

  1. คนรักชาติ รักท่านพ่อ12 มกราคม 2553 เวลา 16:07

    เมืองไทยคงจะย่อยยับแน่ หากเป็นเช่นดั่งสามก๊ก คือ
    อ้างจงรักภักดีสถาบันเหมือนกัน
    เกิดจากชนชาติเดียวกัน
    เกิดจากคนพูดจาภาษาเดียวกัน
    เกิดจากแย่งชิงอำนาจซึ่งกันและกัน
    เกิดจากการแย่งมวลชนซึ่งกันและกัน
    เกิดจากคนที่อิจฉาริษยากัน
    แยกก๊กแยกเหล่า แยกขุนนาง และแยกขุนพล อ้างสถาบันอยู่เนืองๆ
    สงสารประเทศจัง
    ทางแก้ไขนั้นยังพอมีหาก ท่านบุคคลเหล่านั้นที่เล่นเป็นตัวละครสามก๊กฉบับการเมืองอยู่ในขณะนี้ ได้ร่วมมือร่วมใจ เลิกรบรา อาฆาตเข่นฆ่ากัน ไป สักสิบปี ทุกอย่างเลิกแล้วต่อกันสักพัก หันหลังให้อดีตสักพัก
    เลิกเล่นการเมืองแบบสามก๊กไปก่อน มาเล่นการเมืองแบบพัฒนาบ้านพัฒนาเมืองเหมือนบ้านอื่นเมืองอื่น หากเจริญทันเขาแล้วค่อยมาว่ากันใหม่ จะดีไหม
    สงสารก็แต่ท่านพ่อของเรา ท่านรับรู้ทุกเรื่อง แต่ท่านได้แต่แค่เตือนเรา หากท่านทำอะไรมากไปกว่านี้ก็จะเสียความเที่ยงธรรม เราน่าจะรู้อยู่แก่ใจ
    ขอพระสยามเทวาธิราชคุ้มครอง

    ตอบลบ