++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2552

พธม. ภูเก็ต “ลุงทิน ป่าตอง” ตั้งใจเปิด “ป่าตองASTVแฟนคลับ”

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    


รายงาน
       ศูนย์ข่าวภูเก็ต
      
       พันธมิตร ทั่วไทย ได้ต่อสู้
       ทุกคนรู้ พวกเราตาย หลายชีวิต
       การเมืองใหม่ หวังไว้ แก้ไขวิกฤต
       อภิสิทธิ์ นายกใหม่ โปรดไตร่ตรอง
       อย่าทำลาย ความฝัน พันธมิตร
       พันธกิจ ฝากไว้ ไม่เป็นสอง
       การเมืองใหม่ เท่านั้น ฝันเรืองรอง
       เมืองไทยต้อง ประชาภิวัฒน์ ชาติก้าวไกล
      
       น ี่คือบทกลอนที่ “ลุงทิน ป่าตอง” หรือ “อภิเชษฐ์ ช่วยชูวงศ์” พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจังหวัดภูเก็ต อีกหนึ่งพันธมิตรฯที่ร่วมต่อสู้ตั้งแต่เริ่มต้นจนประกาศชัยชนะ ถ่ายทอดผ่านปลายปากกาไปสู่พี่น้องพันธมิตรฯทั่วประเทศ
      
       เป็นเวลากว่า 3 ปี ที่ลุงทิน ร่วมผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านทุกข์ ผ่านสุข กับการก้าวเข้ามาปกป้องประเทศชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักและเ คารพยิ่งของปวงชนชาวไทย แต่มิได้ทำให้ชายวัย 60 กว่าปี ผู้นี้ท้อถอยแม้แต่ก้าวเดียว มิหนำซ้ำยังได้กำลังใจอย่างเปี่ยมล้นจากครอบครัวและบุคคลรอบข้างในการสนับสน ุนต่อสู้เพื่อรักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และร่วมกันขับไล่ระบอบทักษิณ
      
       ลุงทิน เปิดใจถึงก้าวแรกที่เข้าร่วมต่อต้านระบอบทักษิณ ว่า ปกติแล้วตนเป็นคนที่ให้ความสนใจด้านการเมืองมาและได้ติดตามข่าวสารบ้านเมือง มาโดยตลอด จนกระทั่งได้ติดตามชมรายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์” ที่ดำเนินรายการโดย คุณสนธิ ลิ้มทองกุล และคุณสโรชา พรอุดมศักดิ์ ซึ่งเมื่อได้รับทราบข้อมูลด้านต่างๆที่ผ่านการนำเสนอทางรายการฯ ทำให้เห็นว่าเหตุการณ์ต่างๆในบ้านเมืองมันเริ่มจะสับสนและวุ่นวาย ทำให้ภาพความหลังเมื่อเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ ที่ยังฝังลึกอยู่ในความทรงจำ กลับมาตอกย้ำและกลายเป็นแรงกระตุ้นให้เราอยู่เฉยๆไม่ได้อีกแล้ว จะต้องออกมาช่วยเหลือบ้านเมือง
      
       ในส่วนที่เรามีความสามารถจะช่วยได้ จึงได้เริ่มเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯ มาตั้งแต่ปี 2549 ซึ่งเมื่อเข้ามาตอนนั้น ตนได้บอกแก่ทีมงานพันธมิตรฯว่า ตนเป็นมหาเปรียญเก่า พูดไทยเป็นไทยไม่ต้องแปลหรือหากเป็นรถคือพวงมาลัยล็อก ที่จะไม่หันซ้ายหันขวา และถอดเกียร์ถอยหลังทิ้งไปได้เลย มีแต่เดินหน้าอย่างเดียว
      
       ลุงทิน ย้อนถึงความทรงจำของตนตั้งแต่วัยเด็กมาจนกระทั่งมาถึงตอนนี้ ว่า การเข้าร่วมในกิจกรรมต่างๆที่ผ่าน ซึ่งเป็นเรื่องของสาธารณะคือ ตนเป็นคนที่ไม่กลัวตาย ไม่กลัวติดคุกพร้อมที่จะต่อสู้อย่างเต็มที่เพื่อความถูกต้องและเป็นธรรม ในชีวิตคุกก็เคยติดมาแล้วจากเรื่องของเพื่อน สมัยทำงานอยู่โรงแรมก็เป็นประธานกรรมการลูกจ้าง ก็มีปัญหากับทางโรงแรมแต่ก็สามารถไกล่เกลี่ยกันได้ ซึ่งชีวิตในตอนนี้มีความพร้อมทุกอย่างแล้ว ลูกก็เรียนใกล้จบปริญญาโทแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่ต้องเป็นห่วงอีกต่อไป ทำให้เข้าร่วมกับพันธมิตรฯได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่ากิจกรรมนั้นจ เล็กหรือใหญ่ก็จะเข้าร่วมโดยตลอด กระทั่งได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งในทีมงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจังหวั ดภูเก็ตอย่างภาคภูมิใจ
      
       ในระยะแรกถูกเลือกจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจังหวัดภู เก็ต เช่น หากต้องเดินทางไปจัดกิจกรรมต่างจังหวัดก็จะมอบหมายภาระหน้าที่มาให้ตนโดยตลอ ด ซึ่งตนก็ไม่ได้คิดน้อยใจ หรือโกรธแม้แต่น้อย เพราะทุกสิ่งที่ทำไปมาจากความตั้งใจของตัวเอง ส่งผลให้กลุ่มพันธมิตรฯ 14 จังหวัดภาคใต้ ยกย่องให้เป็นบุคคลที่ “บ้าระห่ำ”ที่สุดใน 14 จังหวัดภาคใต้ เมื่อครั้งที่ขับชอปเปอร์ไปถึงนครศรีธรรมราช สงขลา และตรัง เพื่อไปสัมมนากับพันธมิตรฯในจังหวัดอื่นๆ จากที่บางคนติดภารกิจงานส่วนตัว ทำให้ตนต้องรับอาสาหน้าที่นี้เป็นประจำ สร้างความแปลกใจให้แก่กลุ่มพันธมิตรฯ 14 จังหวัดภาคใต้เป็นอย่างมาก บางคนบอกกับตนว่า “แก่ปูนนี้แล้ว ทำไมไม่พักผ่อนอยู่กับบ้าน” ยังขับชอปเปอร์มาไกลถึงขนาดนี้
      
       ไม่เฉพาะกิจกรรมในพื้นที่ภูเก็ตและภาคใต้เท่านั้น การร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯ ส่วนกลางที่กรุงเทพมหานคร ถือเป็นอีกหนึ่งภารกิจหลักที่จะต้องร่วมด้วยเกือบทุกครั้ง ซึ่งลุงทิน เล่าให้ฟังว่า ได้ไปร่วมการชุมนุมทุกเดือน แต่หลังจากเดือนตุลาคมปี 2550 มีข้อจำกัดเรื่องสุขภาพ หลังแพทย์ตรวจพบว่า มีเนื้องอกในลำไส้ใหญ่ หมอบอกว่าลำไส้ยาวเกินไป จะต้องตัดออกบางส่วน และที่สำคัญต้องควบคุมอาหารโดยเฉพาะอาหารจำพวกของดอง ซึ่งหากตนฝืนกินเข้าไปจะเกิดปัญหาคือท้องอืด ทำให้การเดินทางไปชุมนุมที่กรุงเทพฯไม่สามารถอยู่ที่เวทีได้จนสว่างจะต้องไป พักผ่อนที่โรงแรมมากขึ้น
      
       “ผมจะเดินทางไปกับลูกบ้างเป็นบางครั้ง โดยจะพักที่โรงแรมบ้างเป็นครั้งคราวแล้วแต่โอกาส ซึ่งก่อนหน้าที่จะมีการยุติการชุมนุมตนจะอยู่ร่วมเป็นอาทิตย์ ถ้าสุขภาพไม่ไหวก็จะอยู่ร่วมแค่ 3 วัน”
      
       ลุงทินยังได้ชี้แจงรายละเอียดที่มาของเงินที่ได้นำไปบริจาคให้แก่ ASTV ว่า มีผู้สื่อข่าวจากทีวีช่องหนึ่ง มาขอสัมภาษณ์ในกรณีที่มอบเงินเป็นจำนวนหลักแสนในแต่ละครั้งว่า ตนนำเงินมาจากไหน เลยตอบไปว่าถ้าให้ตอบตามความจริง ตนจะเล่าให้ฟังทุกอย่าง แต่ถ้าให้ตอบตามสคริปต์ที่ต้องการให้พูดตามที่ผู้สื่อข่าวคนนั้นนำมาให้ ตนจะไม่พูดเป็นอันขาด ซึ่งภายหลังจากที่ตนพูดออกไป ผู้สื่อข่าวคนนั้นเดินหนีไปและไม่กลับมาสัมภาษณ์ตนอีกเลย
      
       “เงินที่นำไปบริจาค รวมทั้งหมด 8 ครั้ง จำนวน 368,000 บาท ได้บันทึกข้อมูลไว้ในคอมพิวเตอร์ทุกครั้ง ยืนยันได้เลยว่าเงินเหล่านั้นได้จากน้ำพัก น้ำแรง ของพี่น้องพันธมิตรฯในป่าตองและจังหวัดภูเก็ตทั้งสิ้น จากที่ผมไปหาเขา เมื่อเห็นว่าบ้านใดดู ASTV ก็เข้าไปพูดคุยทำความเข้าใจ และถามว่าไม่คิดจะไปชุมนุมกับเขาบ้างหรือ ส่วนใหญ่แล้วจะได้คำตอบเดียวกัน ว่า ไม่มีเวลาบ้าง ยุ่งบ้าง แต่หารู้ไม่ว่าคำตอบเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ผมเตรียมแนวทางที่จะโน้มน้าวใจให้ไ ปร่วมชุมนุมที่ทำเนียบฯ “
      
       ลุงทินเล่าอีกว่า จากนั้น จึงได้แนะไปว่า หากเราติดภารกิจ แล้วพี่น้องที่ไปร่วมชุมนุมอยู่ที่ทำเนียบฯ ต้องตากแดด ตากฝน แต่เขายังไปกันได้ ซึ่งคนเหล่านั้นส่วนใหญ่ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีงานทำ แต่ด้วยจิตใจที่เขาได้เสียสละ เพื่อให้ชาติบ้านเมืองดีขึ้น และเราจะไม่เข้าไปร่วมในประวัติศาสตร์ครั้งนี้เพื่อลูกเพื่อหลานเลยหรือ
       หลายคนได้ฟังและเข้าใจถึงเป้าหมายและอุดมการณ์ของการชุมนุม เพราะคนดีมีมากแต่คนกล้าอย่างคุณสนธิหาได้ยากเป็นอย่างยิ่ง เราเอาเปรียบเขาเกินไป หากเราไม่ช่วยเหลือเขา ซึ่งคนที่ไม่สามารถไปร่วมชุมนุมที่ทำเนียบฯได้ก็จะร่วมบริจาค และนี่คือความเป็นมาของการบริจาค
      
       ลุงทิน ยังบอกความตั้งใจของตัวเองหลังจากการชุมนุมสิ้นสุดลงที่ส่วนกลาง ว่า ตอนนี้ที่คิดไว้อยากจะตั้ง “ป่าตอง ASTV แฟนคลับ” โดยจะรับสมัครสมาชิก ASTV ที่อยู่ในป่าตอง ซึ่งหมายถึงกลุ่มคนที่ติดตามชมรายการของทาง ASTV ประจำ และเป็นคนที่มีศักยภาพด้านการเงิน ให้ร่วมกันบริจาคเพื่อช่วยเหลือ ASTV เดือนละ 500 หรือ 1,000 บาท
      
       เงินที่ได้จากสมาชิกร่วมกันบริจาค อาจจะส่งไปให้ หรือหากมีเวลาก็จะเดินทางนำไปมอบให้ด้วยตัวเอง โดยอยากให้ขึ้นข่าวตัววิ่งว่ามีใครบริจาคเท่าไหร่ เพราะแม้ว่าการต่อสู้ชุมนุมใหญ่จะจบลงไปแล้ว แต่ ASTV ยังมีค่าใช้จ่าย ซึ่งจุดนี้คิดว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พวกเรามีส่วนร่วมให้ ASTV เป็นทีวีของประชาชน เพราะนอกจากจะเป็นการระดมทุนช่วย ASTV แล้ว ยังถือเป็นส่วนหนึ่งในการรวมกลุ่มแฟน ASTV อีกด้วย
      
       ลุงทิน ยังกล่าวถึงความเป็นไปได้ที่จะรวมตัวกันจัดตั้งเป็น “ป่าตอง ASTV แฟนคลับ” ว่า ในขณะนี้ก็มีการรวมกลุ่มกันบ้างแล้ว ซึ่งหากมีกิจกรรมครั้งใดก็จะมาเข้าร่วมทำกิจกรรมและร่วมหารือในเรื่องต่างๆ ซึ่งจะเชิญชวนสมาชิกเข้ามาเสริมทีมเรื่อยๆ เพื่อให้สะดวกในการติดต่อประสานงานในการทำกิจกรรมร่วมกัน และเพื่อสร้างความสัมพันธ์และความเป็นปึกแผ่นในหมู่พันธมิตรฯด้วยกัน
      
       “ที่ป่าตองคนดูเอเอสทีวีที่ป่าตองไม่ต่ำกว่า 70- 90% เพราะเมื่อไปไหนมาไหนจะเห็นแต่ละบ้านเปิด ASTV แม้แต่ชาวต่างชาติก็ติดตามชมเช่นกัน เนื่องจากที่บ้านเปิดกิจการซักรีด จึงต้องพบปะผู้คนมากมาย ตอนเอาผ้าไปส่งได้ไปเจอชาวต่างชาติ บอกว่า “NO GOOD จึงถามกลับไปว่าอะไร NO GOOD ได้คำตอบจากชาวต่างชาติที่อยู่ในป่าตอง ว่า “ทักษิณ NO GOOD”
      
       ลุงทิน บอกอีกว่า หลังจากเลิกการชุมนุม ชีวิตก็ยังเป็นปกติสุข ยังยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงเช่นเดิม บางครั้งนั่งดูทีวีก็มีตบมือตบตามบ้าง แต่ต้องยอมรับว่าเหงาจริงๆ แต่ตอนหลังเหมือนเขารู้ใจ เปิดโอกาสให้คนเข้าไปในห้องส่งได้ด้วย คาดว่าจะชวนชาวป่าตองไปนั่งในห้องส่งสักครั้ง
      
       ว ันนี้ถึงแม้ว่าอายุจะมากแล้วและสุขภาพจะไม่ค่อยจะอำนวยสักเท่าใด แต่หัวใจของลุงทินยังเต็มเปี่ยมที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้ร่วมกับพี่น้องพันธมิตร ฯ หากเกิดอะไรขึ้นกับประเทศชาติในอนาคต
      

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น