++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

@ อย่าปล่อยให้คะแนนกำหนดชีวิตลูก



หลังจากเราสองแม่ลูกลั้นลากับชีวิตอนุบาลมาแล้ว
ปีนี้ ปลาทูเป็นเด็กประถมแล้ว ก็เริ่มเข้าสู่ระบบวัดผลด้วยคะแนน
แต่แม่ยุ้ยเองก็มีแนวคิดที่ค่อนข้าง "แตกต่าง" กับคนอื่นในเรื่องนี้

แม่ไม่เคยคิดว่า "คะแนนจะวัดผลได้ทั้งหมด"
และแม่เองก็ไม่เคยรู้สึกว่า "การได้คะแนนเยอะจะทำให้ชีวิตดีเสมอไป"
สำหรับแม่แล้ว การเป็นเด็กเรียนดี นั่นดูจากการรู้จักคิด รู้จักจัดการเวลา
รู้จักหน้าที่และดูแลเรื่องของตัวเองได้เป็นอย่างดี
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ก็จะแสดงผลออกมาผ่านหลาย ๆ ด้านไม่ใช่แค่คะแนนสอบ
และด้วยระบบการศึกษาบ้านเรา ไม่เคยมานั่งสอบในเรื่องที่ควรจะสอบเลย
ส่วนใหญ่การสอบของบ้านเราคือการทดสอบ "ความจำ"
โดยที่ไม่รู้ว่ามันจะเป็นความจำในระยะสั้น หรือความจำในระยะยาว

พอวันที่ลูกแม่ต้องเริ่มเข้าสู่ระบบนี้ ท่าทีของพ่อและแม่ก็ชัดเจนกับลูกนะ
ว่า ถ้าลูกตั้งใจเรียนในห้องเรียน อะไรไม่เข้าใจก็ถามครู
หรือตรงไหนไม่ทันเพื่อนก็เอากลับมาบอกแม่ แม่จะช่วย
แม่และพ่อวางบทบาทตัวเองไว้ชัดเจนว่า "เราจะช่วยลูกเรียน"
เราจะไม่ "บังคับ" ให้ลูกเรียน ลูกต้องรู้หน้าที่ของตัวเอง

ปลาทู เหลาดินสอ เตรียมอุปกรณ์การเรียน จัดกระเป๋า จัดตารางเรียนเอง
การบ้านจดกลับมา แม่ก็มีหน้าที่คอยดูให้ทำตามให้ครบ
และแม่ก็คอยช่วยทบทวนให้เท่าที่แม่จะสามารถช่วยได้

ปลาทูมี Spelling Test ทุกสัปดาห์ เธอก็จะมีผลทดสอบกลับมาให้แม่ตลอด
สิ่งที่แม่ดีใจ ว่าลูกเข้าใจในสิ่งที่แม่พยายามถ่ายทอดคือ
8/10 ของเธอ กลับมาเล่าว่า แม่หนูผิดแค่ 2 ข้อเองนะ
หนูรู้แล้วว่าหนูผิดเพราะอะไร บางทีหนูก็ยังเขียน b กับ d สลับกัน

นี่คือสิ่งที่แม่ดีใจมาก นั่นคือลูกยอมรับกับสิ่งที่เราต้องปรับปรุงได้
และไม่เสียใจที่เราทำผิด และไม่คาดหวังว่าเราจะได้ 10 เต็ม

ในวันประชุมผู้ปกครอง ครูประจำชั้นเล่าว่า มีเด็กบางคนร้องไห้มากมาย
เพียงเพราะตัวเองได้ 8/10 ร้องเพราะขอจะให้ครูแก้ให้เป็น 10/10

และก็มีหลายครั้งที่ได้ยินหลายบ้าน เครียดกับผลคะแนนสอบของลูก
บางคนก็ส่งไปเรียนพิเศษเพิ่มในวันหยุด เพราะกลัวลูกตามเพื่อนไม่ทัน

อย่าปล่อยให้คะแนนมันตัดสินชีวิตลูกขนาดนั้นเลยนะ
ชีวิตที่จะได้วิ่งเล่น ปั่นจักรยาน ระบายสีในวันหยุดมันหายไปเลย
เพียงเพราะคำว่า "กลัวไม่ทันเพื่อน" หรือ "กลัวลูกไม่เก่ง"

โดยที่หลงลืมคำว่า "กลัวลูกไม่มีความสุข" กันไปหมดเลย
เพราะสิ่งที่ทำ ได้เคยถามลูกกันบ้างไหมว่า "ลูกมีความสุขไหม"

บางครั้งการเป็นเด็กเรียนกลาง ๆ ไม่เลิศ ไม่ท็อป
แต่ยิ้มกว้างออกมาได้เต็มใจ แววตาเป็นประกาย
รอยยิ้มและแววตาแบบนั้น น่าจะมีค่ามากกว่าคะแนนเต็ม

ลองย้อนกลับมามองอีกมุมบ้าง ในวันที่พ่อแม่อย่างเราเป็นเด็ก

เราเรียนขนาดลูกไหม ?
เราเคยกลัวตัวเองไม่ทันเพื่อนรึเปล่า ?
หรือเราเคยกลัวไม่เก่งบ้างไหม ?

ทุกวันนี้เรากลัวแทนลูกไปหมดเลย แล้วก็พยายามแก้ไขความกลัวในใจเรา
โดยการยัดทุกอย่างใส่กลับเข้าไปให้ลูก
สุดท้าย .. คนที่ต้องเหนื่อยคือลูกนั่นเอง
ชีวิตและความสดใสในวัยเด็ก หายไปกับการนั่งเรียนพิเสษ

รู้ไหมว่า แม่ยุ้ยเป็นเด็กเรียนดี ได้ทุนการศึกษาเสมอ
และจบมาพร้อมเกียรตนิยมอันดับสอง จากสถาบันของรัฐ
แนวคิดแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นมาจาก แม่ที่ไม่เรียนหนังสือหรือสอบตกนะ
แนวคิดแบบนี้ เกิดจากประสบการณ์ตรงผ่านตัวแม่เองมาทั้งนั้น

จุดประสงค์ของการเรียนดี ไม่ได้มีแค่คะแนน
ไม่ได้แค่เรียนเก่งแล้วจะได้งานดีทำ
บางคนคะแนนสูงส่ง แต่คิดไม่เป็น แก้ปัญหาไม่ได้ ตัดสินใจไม่เป็น
คะแนนก็ไม่ได้ช่วยอะไร ถ้าคะแนนที่ได้นั้นมาจากการท่องมาสอบ

แม่ยุ้ยมีเพื่อนที่คะแนนไม่ดี แต่ก้าวหน้ามากมาย
แล้วพูดได้เลยว่า เกียรตินิยมที่ได้มา ได้มาเพราะเพื่อน
แม่มีหน้าที่ ทำต้นฉบับให้เพื่อนถ่ายเอกสารไปอ่าน
มีหน้าที่ติวหนังสือให้เพื่อน ๆ ในกลุ่ม จนเราเข้าใจทุกอย่าง
จึงทำให้ผลสอบของเราออกมาได้ดี อย่างไม่คร่ำเคร่ง
แม่ยุ้ยเป็นเด็กเรียนดีที่มีเพื่อนเยอะ
ยังคุยกันเล่น ๆเลยว่า เดี๋ยวจะฉีกเกียรตินิยมแบ่งเพื่อนทุกคน

ที่มา
Cr.
https://www.facebook.com/ThePlatuStory/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น