++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันเสาร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2556

แอบจิต


      แอบจิต

                    หลายๆครั้งที่เราเจอผู้คนที่ทำอะไรไม่ตรงกับใจตนเองหรือที่คิด คือพูดอย่างทำอย่าง ยิ่งในสมัยนี้วัตถุเจริญธรรมถดถอย
                    พฤติกรรมเช่นนี้ก็เลยมีมากขึ้นเป็นธรรมดา จึงไม่ต้องไปคาดหวังหรือหวังผลกับการกระทำของใครๆเหล่านั้นมากนัก เอาสนุกกันไปวันๆที่ล่วงไป จนกว่าจะมีอะไรๆหรือความตายมาหายใจรดต้นคอ
                    การฝึกจิตจำเป็นต้องมีความมั่นคง ศรัทธาในพระรัตนตรัยอย่างจริงใจ ยึดพระพุทธเป็นที่พึ่ง พระธรรมเป็นแผนที่ พระสงฆ์เป็นที่ปรึกษา แล้วก็เดินตามทางสายกลางอย่างตั้งใจแห่งสัมมามรรคที่มีความเห็นถูกเป็นสิ่งแรกที่ต้องมีหรือเห็น ไม่เชนนั้นจะผิดทาง เลือกครูบาอาจารย์ที่ท่านศรัทธาเป็นพระแท้ อย่าไปเสียเวลากับอาจารย์เรี่ยราด โสดาจอมเพื้ยนอยู่เลย
                    หลายๆท่านบอกว่าสมัยนี้กิเลสมันเยอะกว่าสมัยก่อน ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ วัฎฎะมันก็เป็นเช่นเดิม เพียงแต่การปรุงมันมีรายละเอียดมากขึ้น ใจอ่อนไหวขึ้น มันก็เลยเพ้อกันมากขึ้น
                    คำว่าแอบจิตถ้าเป็นสมัยก่อน จะหมายถึงบุคคลที่มีสองเพศแล้วไม่เปิดเผยหรือมีจิตใจเบี่ยงเบนเป็นกระเทย แต่ไม่แสดงออก
                    แต่เดี๋ยวนี้ใครๆที่มีจิตใจเบี่ยงเบนทางเพศกลับแสดงออกมาอย่างเปิดเผย และเป็นที่ยอมรับในรายละเอียดว่าปกติ แม้กระทั่งในทางการแพทย์
                    หลายๆท่านที่มีจิตใจเบี่ยงเบนทางเพศก็มีจิตใจงดงามใฝ่ธรรมมากกว่าพวกแอบจิตทางพุทธศาสนาเหมือนกัน
                    หากเอาคำว่าแอบจิตทางพุทธศาสนามาตีความคือพวกที่มีอัตตามากยึดมั่นในอัตตวาทุปาทานอย่างไม่ลืมหูลืมตา ยึดมั่นในวาทะแห่งตัวตนในใจ เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดทุกข์ในการแสวงหาซึ่งต้องอาศัยความอยากคือกิเลสตัณหา ท่านจึงกล่าวว่าเป็นมูลฐานแห่งความทุกข์ทั้งปวง
                   พวกแอบจิตทางพุทธศาสนายังหมายความความไปถึงพวกที่หลงโน่นหลงนี่หลงพิธี ทำตามกันมาแบบผิดๆที่เรียกว่าสีลัพพตปรามาส ไม่มีความคิดอะไรที่จะหาทางรู้จักตัวตนอย่างแท้จริง เป็นสิ่งหนึ่งที่อริยชนขั้นต้นคือพระโสดาบันต้องละ
                    สาธุ....ท่านสาธุชนทั้งหลายที่ยินดีในธรรม ดื่มด่ำกับศีล สมาธิ ภาวนา
                                                               
                                                          ธรรมะสวัสดี
                                                                              วิเวก

                      ตามหาแก่นธรรมก็มาตามสะดวกเช่นเดิมให้ท่านผู้อ่านได้อ่าน แม้จะถอยห่างไปบ้าง ก็คงจะไม่ว่ากันเเชื่อว่ายังเป็นข้อธรรมดีๆมาฝากัน แม้จะไม่ใช่เรื่องใหม่ใดๆ การยึดมั่นในอุปาทานสี่คือกามุปาทาน ยึดถือหรือถือมั่นกาม ทิฏฐุปาทาน ยึดถือหรือถือมั่นทิฏฐิ สีลัพพตุปาทาน ยึดหรือถือมั่นศีลและวัตร และข้อ ๔ อัตตวาทุปาทาน ถือมั่นหรือยึดถือวาทะว่าตน ในที่นี้ได้แสดงอธิบายมาแล้ว ๓ ข้อข้างต้น จะอธิบายข้อที่ ๔ อัตตวาทุปาทาน ยึดถือหรือถือมั่นวาทะว่าตน ก็ล้วนแล้วแต่เป็นทุกข์ ขอท่านผู้เจริญในธรรมทั้งหลายพึงสดับรับฟังใจตนเอง สาธุธรรม
                                                        แทนสะมะชัยโย
                     ใบโพธิ์แก่นธรรม
                     การปฏิบัติจิตภาวนาจำต้องเป็นผู้ตื่นอยู่เสมอ อารมณ์ต่างๆ ที่ผ่านเข้าออกตามทวารต่างๆ นั้น ต้องได้รับการใคร่ครวญพิจารณาจากสติสัมปชัญญะเสียก่อนทุกครั้ง นอกจากความเป็นผู้มีสติประจำอิริยาบถแล้ว การบริโภคปัจจัย ๔ ก็ต้องพิจารณาโดยอุบายทุกครั้ง การพิจารณาปัจจัย ๔ ก่อนการบริโภคการใช้สอยนั้น เป็นอุบายข่มความทะเยอทะยานอยากของจิตได้ดี

                     หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ

                    เพจ มูลนิธิเสียงธรรมเพื่อประชาชน หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
                     http://www.facebook.com/siangdhamluangta?ref=ts&fref=ts

                    คัดลอกจากคุณจิรเมธ ศรีโยธี

                   
                  หมายเหตุแก่นธรรม
                  ผู้เขียนเป็นผู้เขลาทางปัญญา หากมีข้อผิดพลาดหรือบกพร่องในข้อขียนนี้ ขอน้อมรับไว้ทุกประการ  บุญกุศลอันใดที่เกิดขึ้นกับข้อเขียนนี้ ขอน้อมถวายให้แด่หลวงปู่ หลวงตา หลวงพ่อ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ และอุทิศให้แก่เจ้ากรรมนายเวร บรรพบุรุษอันมีพ่อแม่เป็นปฐมและท่านผู้อ่านทุกท่านอีกทั้งบุคคลที่ผู้เขียนกล่าวถึง ขอให้ทุเลาแก่วิบากและเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น