++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ลูกผู้ชายชื่อสนธิ ลิ้มทองกุล โดย วิทยา วชิระอังกูร


       การเดี่ยวไมโครโฟนรายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์” ภาคพิเศษ ที่สวนลุมพินีเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2555 ที่ผ่านมาของสนธิ ลิ้มทองกุล นอกจากมวลชนคนไทยจะได้รับฟังข้อมูลการปล้นชาติของขบวนการ ปตท.อย่างถึงพริกถึงขิงจุใจกันแล้ว ในช่วงท้ายรายการ ยังได้รับฟังความในใจของลูกผู้ชายคนหนึ่ง ที่บอกกล่าวต่อมวลชนอย่างเปิดใจหมดเปลือกว่า “ผมดูชาติบ้านเมืองทุกวันนี้แล้ว ผมรู้สึกท้อแท้และหมดหวัง ครั้งนี้ (30 พ.ค. 55) จะเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของผม ซึ่งจะยืนหยัดเคียงข้างมวลชนจนถึงที่สุด ถ้าแพ้และแม้จะต้องตายด้วยกระสุนปืน ก็พร้อมจะยอมตาย และถ้าชนะ ผมจะล้างมือขอลาออกจากแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ส่งมอบให้คนอื่นรับผิดชอบบ้านเมืองต่อไป โดยจะขอไปใช้ชีวิตเงียบๆ ตามลำพัง เพราะตลอดเวลา 8 ปีที่ต่อสู้มา ไม่เคยมีชีวิตอย่างปกติธรรมดาเลย ความขมขื่น เจ็บช้ำน้ำใจมากเกินกว่าจะบอกให้ใครรับรู้ได้”
      
       คนอื่นที่ได้รับฟังจะรู้สึกต่อคุณสนธิอย่างไร คงไม่อาจคาดเดาได้ แต่ผมเป็นผู้หนึ่งที่เข้าใจและยอมรับว่ารู้สึกสะทกสะเทือนใจอย่างบอกไม่ถูก เข้าใจความในใจของคนคนหนึ่งที่เสียสละทุ่มเททั้งกายและใจต่อสู้กับความไม่ชอบธรรมของสังคมไทยอย่างอาจหาญมาโดยตลอด คนคนหนึ่งที่กู่ตะโกนนับครั้งไม่ถ้วนว่า ไม่เข้าใจว่าคนไทยทนนิ่งเฉยอยู่ได้อย่างไรในสังคมอันแสนบัดซบและสามานย์ที่ดำรงอยู่เยี่ยงทุกวันนี้ 
      
       และยิ่งมองย้อนกลับไปถึงประวัติชีวิตการทำงานของคุณสนธิ ซึ่งถือได้ว่าเป็นผู้หนึ่งที่ทำธุรกิจการงานประสบความสำเร็จ และฐานะอยู่ในขั้นระดับเศรษฐีมีอันจะกินคนหนึ่งของเมืองไทย แต่หลังจากประกาศกู้ชาติต่อสู้กับระบอบทักษิณตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 เป็นต้นมา ด้วยม็อตโต้ “ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง” สถานะทางเศรษฐกิจของเครือข่ายธุรกิจก็ถดถอยมาเป็นลำดับ เพราะการสร้างประวัติศาสตร์การชุมนุมประท้วง ด้วยการถ่ายทอดสดทางทีวี ตลอด 24 ชั่วโมง เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทยนั้น ต้องลงทุนใช้จ่ายเงินแต่ละครั้งแต่ละวันเป็นเงินจำนวนมากมายมหาศาล
      
       โดยเฉพาะการชุมนุมยืดเยื้อถึง 193 วันและ 158 วัน ที่ค่าใช้จ่ายมากมายจนคำนวณนับไม่ได้ แม้จะมีเงินบริจาคจากมวลชนเท่าใด ก็ไม่เพียงพอ ทำให้เขาต้องควักเงินส่วนตัว และทยอยขายทรัพย์สินส่วนตัวตลอดมาเพื่อมาพยุงสมทบค่าใช้จ่ายในการชุมนุม ขณะเดียวกันที่สภาวะการเป็นฝ่ายต่อต้านอำนาจรัฐ ก็ทำให้ธุรกิจในเครือข่ายทั้งหมดถูกกระทบกระเทือนด้วยอิทธิพลและอำนาจทางการเมือง พนักงานในสังกัดที่ได้รับเงินเดือนค่าจ้างแบบกะพร่องกะแพร่ง ไม่ตรงตามงวดเงินเดือน บางส่วนเริ่มทยอยตีจากไป เหลือเพียงคนอีกส่วนหนึ่งที่กัดฟันยืนหยัดอยู่กับคุณสนธิด้วยใจเท่านั้นเอง
      
       ไหนจะต้องประคับประคองลูกเรือในสังกัดที่เทใจเคียงข้างอยู่ ไหนจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในฐานะแกนนำมวลชน เหล่านี้มีแต่คนที่จิตใจแข็งแกร่งเยี่ยงเขาเท่านั้น ที่ทนทานอยู่ได้
      
       มิหนำซ้ำการดำรงชีวิตอยู่ก็ไม่อาจเป็นปกติเยี่ยงสามัญชนคนธรรมดาทั่วไป ไม่เป็นปกติสุขทั้งในเรื่องความปลอดภัย ซึ่งเคยถูกกระหน่ำยิงด้วยอาวุธสงครามเป็นร้อยๆ นัดและถูกติดตามปองร้ายนับครั้งไม่ถ้วน และไม่เป็นปกติสุขทั้งในด้านคดีความที่ถูกฟ้องร้องกลั่นแกล้งนับร้อยคดี หลายคดีถูกพิพากษาจำคุกไปแล้ว รวมๆ กันมากกว่า 100 ปี และอีกหลายคดีความอยู่ระหว่างการต่อสู้ในชั้นตำรวจ อัยการ และศาล ที่เหนื่อยยากแสนเข็ญสำหรับคนที่ต้องแบกรับภาระที่เกินกำลัง
      
       และผมเข้าใจว่าสิ่งที่บั่นทอนและทำร้ายจิตใจเขาอยู่ตลอดเวลา ก็คือสภาวะยอมจำนนของสังคมไทย ที่พลังเงียบส่วนใหญ่ยังเพิกเฉย ยากจะปลุกให้คนไทยตื่นตัวลุกขึ้นมาต่อสู้กับความไม่ถูกต้องและความไม่เป็นธรรมของสังคม คนไทยส่วนใหญ่ยังอยู่นิ่งเฉย เป็นทองไม่รู้ร้อน ต่อความเลวร้ายของระบอบการเมืองและนักการเมือง ที่ฉ้อฉลปล้นชาติอย่างเมามัน จนเขาต้องร้องตะโกนด้วยความคับข้องใจเสมอมาว่า คนไทยนิ่งเฉยอยู่ได้อย่างไร กับการใช้น้ำมันสองลิตรต่อร้อยบาท นิ่งเฉยอยู่ได้อย่างไรกับความร่ำรวยผิดปกติของนักการเมืองและข้าราชการที่ซื้อขายตำแหน่งกันแทบทุกกระทรวงทบวงกรม นิ่งเฉยอยู่ได้อย่างไรกับการใช้เสียงข้างมากลากไปเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการเสนอกฎหมายการปรองดองแห่งชาติเพื่อนิรโทษล้างผิด ทุกความผิดในบ้านเมืองชนิดทำลายล้างระบบนิติรัฐ นิติธรรมอย่างสิ้นเชิง  และท้ายที่สุดคือนิ่งเฉยอยู่ได้อย่างไร ที่ปล่อยให้มีการจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันจนถึงขั้นมุ่งล้มล้างทำลาย
      
       เหล่านั้นคือความในใจที่คับข้องและฉงนสนเท่ห์ของเขา ในท่ามกลางการเสียสละทุ่มเทต่อสู้จนสุดชีวิตของตนเองและครอบครัว
      
       ยังดีที่ความเป็นคนถือธรรมนำหน้าตามคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ ทำให้เขามีหลักธรรมชุบชูใจ และตั้งสติได้คงมั่นด้วยการสวดมนต์บูชาคุณพระศรีรัตนตรัยทุกเช้าค่ำวันละหลายชั่วโมง
      
       บทความนี้เขียนขึ้นล่วงหน้าก่อนวันที่ 30 พ.ค. 55 การนำพามวลชนเคลื่อนขบวนจากลานพระบรมรูปทรงม้าไปที่รัฐสภา เพื่อยื่นคัดค้านการพิจารณาร่างพ.ร.บ ว่าด้วยการปรองดองแห่งชาติ จะประสบผลสำเร็จหรือไม่? จะมีมวลชนคนเสื้อเหลือง และพลังเงียบคนไทยอื่นๆ เข้าร่วมขบวนมากเพียงพอจะเป็นพลังกดดันรัฐสภาได้หรือไม่? การชุมนุมจะสิ้นสุดภายในวันเดียว หรือจะต้องยืดเยื้อต่อไป ก็คงยากที่ผู้เขียนจะคาดเดาได้ 
      
       แต่วันที่บทความนี้ออนไลน์ (31 พ.ค. 55) ทุกอย่างก็คงปรากฏผลแล้วว่า การต่อสู้ของมวลชนการเมืองภาคประชาชน โดยการนำของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล จะถูกจารึกในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยเยี่ยงใด
      
       และผลของการต่อสู้จะแพ้หรือชนะก็ตาม ประวัติศาสตร์การเมืองไทย จะต้องบันทึกชื่อของลูกผู้ชายไทยคนหนึ่งที่ชื่อสนธิ ลิ้มทองกุล ให้เป็นผู้นำทางการเมืองภาคประชาชนที่มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลง และพัฒนาการสังคมไทยในห้วงระยะเวลาหนึ่ง ที่ประเทศไทยและคนไทยทุกคนต้องเรียนรู้และจดจำอีกนานเท่านานตลอดไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น