มนุษย์
มนุษย์
ตี๋ เป็นชายหนุ่มวัยกลางคน ร่างกายกายบึกบึน หนาปึ้ก ดูเป็นผู้ใหญ่ที่แข็งแรงมาก ตั้งแต่วัยเด็กสู่วัยหนุ่มเขาเป็นคนห้าวออกจะเกเรด้วยซ้ำ เพราะชอบมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับคนอื่นบ่อยๆ อาศัยความหนาของตัวเองทำให้คนอื่นดูเหมือนบางลงไป เมื่อมีเรื่องทุกครั้ง ผู้คนจะมองดูว่าตี่เป็นคนหาเรื่องข่มเหงรังแกคนอื่นเสมอ แม้บางเรื่องหรือทั้งหมดจะไม่ใช่เช่นนั้นจริงก็ตาม จนแม่ของตี๋กลัวว่าตี๋จะติดคุกตอนหนุ่มเพราะความห้าวของเขา
วันนี้แม้ตี๋ยังคงความห้าวไว้เล็กน้อย แต่ท่าทีที่สุภาพมาก อ่อนโยน กลบความห้าวของเขาได้เกือบหมด ทิ้งคราบชายหนุ่มจอมชกต่อยออกไปอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งพูดจามีเหตุมีผล สนับสนุนความสุภาพของเขาให้ดูดีขึ้น แตกต่างกับเมื่อก่อนเหมือนฟ้ากับเหวเลยทีเดียว
ตี๋เกิดมาในครอบครัวขนาดใหญ่มาก เพราะนอกจากจะมีพ่อ แม่ พี่ๆแล้วยังมีน้าๆกับหลานๆอีกหลายคนและลูกชายวัยซนของเขาอีกคนหนึ่งในตอนนี้ ลองนึกภาพดูนะครับกับห้องแถวสองชั้นสองห้องติดกันในตลาด แต่เป็นที่อยู่อาศัยของคนสิบกว่าคน
พ่อของตี๋ตายไปนานหลายสิบปีแล้วเนื่องจากป่วยหนัก จึงนำไปส่งโรงพยาบาลของรัฐ และแพทย์วินิจฉัยโรคผิด ก็เลยตายจากไป ตั้งแต่นั้นมาเวลาคนที่บ้านเจ็บหนักไม่มีใครกล้าส่งโรงพยาบาลของรัฐเลยเพราะไปเจอแพทย์ฝึกหัด
แม่ของตี๋เป็นคนโอบอ้อมอารีมาก มีอาชีพขายหมูหน้าบ้าน ขายดีเพราะมีคนติดใจแกไม่น้อย ทำให้ฐานะของที่บ้านของเขาค่อนข้างดีมีหลักฐานเป็นปึกแผ่น จนอายุได้เกือบเจ็บสิบปีแม่ของตี๋ก็ล้มป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับทางสมอง ซึ่งหาแพทย์รักษายากในสมัยแรก จนเวลาผ่านไปกว่ายี่สิบปีแม่ของเขาก็ยังป่วยอยู่เป็นอัมพาตมาแสนนาน พี่ๆของเขาและเขาก็พยายามจะดูแแลแม่ให้ดีที่สุด
แม้กระทั่งทุกวันนี้ที่บ้านของเขามีเครื่องมือแพทย์เต็มไปหมด เช่นเครื่องให้อ็อกซิเจน เครื่องดูดเสมหะเป็นต้น อีกทั้งยังต้องจ้างพยาบาลมาดูแลแม่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง คอยระวังป้องกันไม่ให้ติดเชื้อ ตี๋เล่าให้ฟังอีกว่าค่ารักษาพยาบาลของแม่ที่ผ่านมาหมดไปกว่าสิบหรือยี่สิบล้านบาทได้แล้ว เพราะไม่ได้จดหรือจำไว้ มีพี่ๆและเขาช่วยกันออก และพูดอย่างหนักแน่นว่าไม่มีใครเกี่ยงหรือชักช้าเลยเพื่อยื้อชีวิตน้อยนิดของแม่ให้อยู่รอดจากการตามหาของพญามัจจุราช
พี่แต๋ว พี่สาวคนโตของตี๋รับราชการอยู่กระทรวงศึกษาธิการ จนได้เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่แต่ก็เกษียณมาหลายปีแล้ว
หลังจากนั้นก็มาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในอาชีพขายผักหน้าบ้านแทนขายหมูที่ทำมานานตั้งแต่รุ่นแม่ พี่แต๋วเป็นคนเอื้อเฟื้อเหมือนแม่ ชอบช่วยเหลือคนทั้งที่ทำงาน ที่บ้านและเพื่อนบ้าน จนเป็นที่รักของทุกที่ๆเธออยู่ ความใจดีของพี่แต๋วที่พอจะยกตัวอย่างได้เรื่องหนึ่งในหลายเรื่องที่เล่ากันไม่หมดก็คือ
มีแม่กับลูกสาวสองคนเดินทางจากจันทบุรี มาพบพี่แต๋วทั้งๆที่ไม่ได้รู้จักกันมาก่อนเลย ตามคำแนะนำของเพื่อน ให้มาฝากเอาลูกเข้าเรียนต่อที่กรุงเทพฯ โดยคนโตจะเข้าชั้นมัธยมศึกษาปีที่สี่ และคนเล็กจะเข้าเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาปีที่สอง ซึ่งในช่วงขณะนั้นผลการคัดเลือกได้ผ่านไปแล้ว แต่ด้วยความช่วยเหลืออย่างเต็มที่และเต็มใจ ทำให้เด็กสองคนนั่นได้เข้าเรียนต่อที่โรงเรียนมัธยมราชวินิตจนสำเร็จ จนขณะนี้คนโตเข้าเรียนคณะนิติ ศาสตร์และคนเล็กเข้าเรียนที่คณะวิทยาศาสตร์ที่จุฬาฯ ตามความชอบของเธอ พี่แต๋วได้แต่ยิ้มและถ่อมตนว่าไม่ได้ช่วยอะไรมากมาย
ตี๋เล่าให้ฟังต่อว่าภายหลังเกษียณของพี่แต๋ว พี่ก็อยู่แต่หน้าบ้านขายผัก บำนาญก็เอามาเป็นค่าใช้จ่ายในบ้านทั้งหมดและเหลือก็เป็นค่าใช้จ่ายของแม่ ส่วนเงินได้จากขายผักก็เอามาเป็นกองกลางให้หลานๆเรียนหนังสือเท่าที่จะเรียนได้ แม้จะเป็นโรงเรียนดีแค่ไหน หากรักเรียนพี่แต๋วเขาช่วยส่งเต็มที่ยิ่งกว่าพ่อแม่ของเขาทำให้ด้วยซ้ำ (บ้านนี้ส่วนใหญ่เป็นโสด)
เขายังบอกอีกว่าพี่แต๋วเป็นตัวอย่างและต้นแบบของเขาเลย อย่างเช่นการกินข้าวพี่แต๋วจะเป็นคนกินคนสุดท้าย คือเก็บของเหลือจาก น้าๆ น้องๆ หลานๆกิน จะเรียกว่ากินเศษกับข้าวก็ได้ ซึ่งแต่ก่อนตี๋กินไม่ลง แต่เดี๋ยวนี้ไม่เคยเกี่ยงเลยและชินกับมันแล้ว
พี่อี๊ด พี่สาวคนสวยของตี๋ที่มีคนมาติดพันกันมากในสมัยก่อนแต่ต่างก็เดินหนีจากไปเมื่อมาเห็นภาระในเรื่องแม่ที่พี่อี๊ดช่วยดูแลอยู่อย่างเต็มที่ เธอมีอาชีพเป็นแอร์โฮสเตสของสายการบินชื่อดังระดับประเทศ บินไปต่างประเทศไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพราะเงินทุกบาททุกสตางค์ทุ่มไปกับการต่อลมหาย ใจของแม่เป็นหลัก แม้ตอนนี้จะมีอายุกว่าห้าสิบปีแล้วก็ตาม
ทั้งพี่แต๋วและพี่อี๊ดต่างไม่มีเงินเก็บกันเลยหามาได้ก็หมดไปกับแม่ น้า และน้องในการรักษาพยาบาล
อย่างเช่น
เมื่อสองสามเดือนก่อนอ้วนพี่สาวคนถัดไปของตี๋ อยู่ๆก็แน่นเจ็บหน้าอก ต้องหามเข้าโรงพยาบาล ผลการตรวจพบว่ามีเส้นเลือดอุดตันที่หัวใจเกือบทุกเส้น แพทย์ให้ทำบายพลาสเส้นเลือดหัวใจทันที หมดเงินไปกว่าล้านบาท และทุกวันนี้ต้องกินยาคุ้มกันโรคอีกเดือนละหลายหมื่นบาท
ก่อนหน้านี้น้าของตี๋ ติดเชื้อในกระแสเลือด หมดค่ารักษาพยาบาลไปกว่าล้านบาทและก็ล้มหายตายจากไป หมดหน้าที่ในการดำรงอยู่ในโลกนี้ด้วยวัยเจ็ดสิบห้าปี
เมื่อสองอาทิตย์ก่อนแม่ของตี๋ติดเชื้อเข้าโรงพยา บาลหมดเงินไปกว่าเจ็ดแสนบาท ทำให้คราวนี้ทุกคนได้คิดว่าต้องย้ายแม่ไปอยู่ลำลูกกาเป็นทาวน์เฮ้าส์ของพี่อี๊ด เพื่อให้ได้อากาศบริสุทธิ์แทนที่จะกลัวว่าจะอยู่ไกลหมอ
ตี๋มีอาชีพขายผักสลัด ธุรกิจก็ไปได้ดีมีลูกค้าประจำมากพอสมควรเป็นอาชีพหลัก เหลือก็เอามาทำสลัดให้เมียขายในตลาดเป็นงานประจำ ส่วนงานอดิเรกคือเข้าออกโรงพบาบาล เนื่องจากความเจ็บป่วยของแม่ น้า ที่อยู่ในวัยชรา และพี่สาวที่เริ่มมีปัญหาสุขภาพ
เขาเล่าอย่างปลงๆว่าเคยมีความฝันที่จะปลูกบ้านเดี่ยวในที่ดินที่ซื้อไว้ แต่เงินเก็บทั้งหมดหายไปหมดกับค่ารักษาพยาบาล แม้จะมีเงินก้อนใหม่ในขณะนี้ แต่ก็ไม่กล้าใช้ดังตั้งใจ เพราะเลิกคิดเลิกฝันแล้ว เก็บเงินก้อนไว้ดูแลคนในบ้านหรือน้าที่แยกตัวออกไปอยู่ที่บ้านอื่นดีกว่า
ทุกวันนี้พอมีโทรศัพท์เข้ามาดังขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการแจ้งขอความช่วยเหลือในเรื่องเจ็บป่วยของแม่ น้าและพี่ นี่แหละเป็นสาเหตุให้เขาเครียดว่าใครจะเป็นอะไรไปแล้ววิตกกังวล
เขาเล่าให้ฟังว่าตอนนี้เขา
เองเป็นโรควิตกจริต เมื่อได้ยินเสียงโทรศัทพ์ จะรู้สึกผวาทันที นอนไม่หลับ
จนต้องไปพบจิตแพทย์ที่โรงพยาบาล แพทย์จ่ายยากล่อมประสาทมาให้สามอย่าง ทุกครั้งแพทย์จะพูดใส่เขาว่าต้องกินยาให้สม่ำเสมอไม่งั้นจะเป็นมากกว่านี้ เป็นเพราะแพทย์เห็นยาเหลือเยอะ เนื่องจากเขาไม่ได้กินยาตามแพทย์สั่ง ภายหลังจากไปออกกำลังกายและนอนหลับได้ดีขึ้น
มีเพื่อนๆหลายคนบอกให้เขาปล่อยวางและปล่อยเป็นเรื่องของใครของมันกับเรื่องนี้บ้าง ตี๋บอกว่าถูกแม่และพี่ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ยากจะปล่อยให้ใครเป็นอะไรโดยไม่ช่วยเหลือ เพราะทุกคนช่วยกันเต็มที่ไม่อยู่นิ่ง แล้วเขาจะเป็นอย่างอื่นได้อย่างไร โดยเฉพาะพี่แต๋วจะเป็นคนกำกับและเลือกหมอเฉพาะทางที่เก่งที่สุดและดีที่สุดที่รู้จักให้กับทุกคน
แม้ทุกวันนี้รายได้จะลดลงก็ตาม แต่มีตัวหารเยอะ เขาจึงไม่สามารถหนีเอาตัวรอดไปกับครอบครัวได้ (มีสามคนพ่อ แม่ ลูก)
แล้วตี๋ก็พูดว่าจะไปออกกำลังกายให้หายเครียดเพราะทุกครั้งจะนอนหลับดี จึงเดินจากไป
ท่านผู้อ่านที่รัก เห็นด้วยกับผู้เขียนหรือเปล่าครับว่าพี่แต๋ว พี่อี๊ด และตี๋รวมทั้งเมียของตี๋ อีกทั้งพี่น้องคนอื่นๆในบ้านหลังนี้ เป็นบุคคลที่เรียกตัวเองได้เต็มปากว่า"มนุษย์" ซึ่งแปลว่าเป็นผู้มีใจสูง ได้อย่างเต็มคำ
หากพิจารณาในเชิงลึกทางธรรม มนุษย์ทั้งสามคนดังกล่าวข้างต้นแทบจะเป็นอริยชนกันแล้วก็ได้
เพราะห่างจากความยึดมั่นจากตัวกูของกูมากระดับหนึ่ง ซึ่งยากจะหาได้ที่คนเราจะยอมลำบากกับตัวเองเลือดตาแทบกระเด็นเพื่อผู้อื่น
และผู้เขียนเห็นว่าตี๋เป็นบุคคลที่ไม่ได้เป็นโรควิตกจริตอะไร แต่สถานการณ์บังคับ หากคิดจะดูแลครอบครัวใหญ่ทั้งหมดก็คงต้องลำบากกันไปทั้งชาตินี้ เพราะทุกคนเริ่มแก่ไปตามๆกัน
จากการสอบถามน้องๆที่รู้เรื่องของตี๋ ทุกคนยืนยันว่าจริง ขอกราบใจของทั้งสามคนมาณ.ที่นี้และขออภัยที่นำเรื่องส่วนตัวมาเล่าให้ฟังในเชิงธรรมเป็นธรรมทาน
ธรรมะสวัสดี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น