++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ขับรถช่วยโลกร้อนมากกว่าการเดินจริงหรือ?

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 6 สิงหาคม 2552 12:16 น.

"การเดินไปซื้อของตามห้างร้านจะเป็นการทำร้ายโลกมากกว่าการขับรถไปเสียอีก"

"การใช้ถุงกระดาษเป็นเหตุให้เกิดภาวะโลกร้อนมากกว่าการใช้ถุงพลาสติก"

"การเผาเศษไม้ให้เป็นเชื้อเพลิงดีกว่าการนำมารีไซเคิล"

คำกล่าวเหล่านี้คงยังสร้างความแปลกประหลาดใจให้ใครหลายคนและอาจจะขัด
กับกระแสการรณรงค์ให้ประหยัดพลังงานเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก
ตลอดจนการชะลอภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน

ด้วย เหตุผลนี้ ดร. อธิคม บางวิวัฒน์
บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ได้ชี้แจงข้อสงสัยว่า
คำกล่าวนี้เป็นอีกมุมมองหนึ่งของนักสิ่งแวดล้อม ชื่อ คริส กูเดิล (Chris
Goodall) ซึ่งได้อธิบายเหตุผลที่สนับสนุนความคิดของเขาเหล่านี้ในหนังสือที่ชื่อ
"How to Live a Low-Carbon Life, based on the green house gases created
by intensive beef production"

"ในหนังสือได้อธิบายถึงหลัก การขับรถในระยะทาง 3 ไมล์ หรือ 4.8
กิโลเมตร จะทำให้มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นในชั้นบรรยากาศเป็นปริมาณราว
0.87 กิโลกรัม เมื่อเปรียบเทียบกับการเดินในระยะทางเท่ากัน
ซึ่งจะสูญเสียพลังงานที่ใช้ในการเดินราว 180 แคลอรี่
ทำให้ต้องทานอาหารเพื่อชดเชยพลังงานเทียบเท่ากับเนื้อวัว หนัก 100 กรัม
ในกระบวนการผลิตเนื้อวัวเพื่อเป็นอาหารมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ตั้งแต่การเลี้ยง การแปรรูป การขนส่ง การเก็บรักษา ปริมาณเนื้อวัว 100
กรัม มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ราว 3.6 กิโลกรัม หรือ 4 เท่า
ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการขับรถ

ถุงกระดาษให้ผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมมากกว่าถุงพลาสติก
เพราะการผลิตต้องใช้พลังงานมากกว่า ถุงกระดาษมีความหนากว่า
และมีน้ำหนักมากกว่าถุงพลาสติก
ดังนั้นการเก็บและการขนส่งจึงต้องใช้พลังงานมากกว่า
เศษไม้จากเฟอร์นิเจอร์เก่า
ถ้านำมารีไซเคิลต้องมีการขนย้ายจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง
ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องใช้พลังงาน
ดังนั้นถ้าเผาเศษไม้เหล่านั้นเป็นเชื้อเพลิง ณ ตรงนั้น
และนำพลังงานที่ได้มาใช้ประโยชน์ จะเป็นการทำร้ายสิ่งแวดล้อมที่น้อยกว่า"

ดร. อธิคม กล่าวต่อว่า
แม้ว่าตัวอย่างเปรียบเทียบระหว่างการเดินกับการขับรถอาจจะไม่ใช่ตัวอย่างที่
ดีนัก เพราะอาจมีความเห็นแย้งได้ว่าการทานอาหารเป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิตอยู่
แล้ว การที่มนุษย์เดินมากขึ้นบ้าง
ทานอาหารมากขึ้นอีกเล็กน้อยเป็นเรื่องที่พอจะอธิบายได้ ถ้าจะเปรียบเทียบ
ควรเอาอาหารส่วนที่เพิ่มเท่านั้นมาคำนวณและเปรียบเทียบ

"ประเด็นของตัวอย่างเหล่านี้อยู่ที่การคำนวณผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
และการใช้เชื้อเพลิง ควรต้องคำนวณอย่างครบวงจร ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ
หรือที่เรียกกันว่า "การวิเคราะห์ครบวงจร" (Life Cycle Analysis)
ซึ่งคิดตั้งแต่"เกิดจนตาย" (Cradle to Grave)
โดยทั่วไปผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดต้องใช้พลังงานและมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมต่างกันในแต่ละช่วงอายุของผลิตภัณฑ์นั้นๆ
ซึ่งมักจะแบ่งออกเป็น 3 ช่วง คือ ช่วงการผลิต
ช่วงการใช้งานและช่วงการทำลายหรือกำจัดทิ้ง คริส กูเดิล
ยังได้คำนวณไว้ว่าคนอังกฤษจะทานเนื้อวัวโดยเฉลี่ย 12 กิโลกรัมในหนึ่งปี
ซึ่งการผลิตเนื้อวัวในปริมาณขนาดนั้นทำให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 0.4
ตัน
เราไม่ได้ต้องการ สนับสนุนให้คนหันมาขับรถยนต์กันมากขึ้น
หรือสวนกระแสการรณรงค์ลดภาวะโลกร้อนแต่อย่างใด
เพียงแต่ต้องการแสดงให้เห็นว่าวิธีการสมัยใหม่ซึ่งทำให้ได้อาหารมานั้น
มีการใช้พลังงานมากขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นการผลิต การขนส่ง
การเก็บรักษา และมีการใช้ปุ๋ยซึ่งมีส่วนประกอบของไนโตรเจนที่ทำให้เกิดก๊าซไนโตรเจน
ออกไซด์มากขึ้น ในบรรดาก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ที่เกิดขึ้นมีก๊าซไนตรัสออกไซด์(N2O)
ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีความร้ายแรงราว 310
เท่าของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์รวมอยู่ด้วย"



ทั้งนี้ ดร. อธิคม
ได้ตัวอย่างของผลิตภัณฑ์ที่ใช้พลังงานปริมาณต่างกันในแต่ละช่วงอายุ
นั่นคือ เซลล์แสงอาทิตย์ ว่า
ในระหว่างการใช้งานเซลล์แสงอาทิตย์จะให้กระแสไฟฟ้า
โดยการเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์ไปเป็นพลังงานไฟฟ้า
เซลล์แสงอาทิตย์ไม่ต้องการเชื้อเพลิง
พลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy)
ที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
ราวกับว่าพลังงานไฟฟ้าที่ได้จากเซลล์แสงอาทิตย์เป็นพลังงานที่ได้มาฟรี
ไม่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

จากการศึกษาในวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกของบัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้าน
พลังงานและสิ่งแวดล้อมเรื่อง Energy Chains Analysis for Comparative
Assessment of Electricity Generation Expansion Planning And Emission
Reduction Creator โดย น.ส. ภาวิณี ศักดิ์สุนทรศิริ ซึ่งมี รศ.ดร. บัณฑิต
ลิ้มมีโชคชัย เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาพบว่า

"กระบวนการผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ต้องมีการใช้พลังงานปริมาณมาก
และมีการปล่อยก๊าซเป็นมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม
ไม่เพียงแต่เท่านั้นหลังจากเลิกใช้งานแล้ว
กระบวนการทำลายหรือกำจัดทิ้งก็ต้องการพลังงานและมีการปล่อยก๊าซมลพิษเช่นกัน
ตลอดอายุของเซลล์แสงอาทิตย์มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งสิ้นเทียบเท่าก๊าซ
คาร์บอนไดออกไซด์ 842 กรัมต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง
ในขณะที่โรงไฟฟ้าที่ใช้น้ำมันเตาเป็นเชื้อเพลิงปล่อยก๊าซเรือนกระจกเทียบ
เท่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 353-443 กรัมต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง

ในการขนส่งวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเพื่อนำไปใช้เป็นพลังงาน
โดยการ นำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเหล่านี้ไปเผาเพื่อให้ได้พลังงาน
แม้ว่าจะมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
แต่ถือว่าเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่พืชเหล่านั้นดึงดูดไปใช้ในการปรุง
อาหารโดยกระบวนการสังเคราะห์แสง
จึงไม่ถือว่าเป็นการเพิ่มก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้กับบรรยากาศ
เป็นผลดีกับภาวะโลกร้อนเสียอีกเมื่อเปรียบเทียบกับการนำเชื้อเพลิงฟอสซิลมา
เผาไหม้เป็นพลังงาน แต่ถ้าต้องมีการขนย้ายวัสดุเหลือใช้ทางการ
เกษตรเหล่านี้ด้วยรถบรรทุกซึ่งใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง
ย่อมมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา

รถบรรทุกสิบล้อคันหนึ่งๆพร้อมรถพ่วงสามารถบรรทุกได้ราว 30 ตัน
ถ้าต้องขนย้ายวัสดุเหลือใช้เหล่านี้เป็นระยะทาง 100 กิโลเมตร
และถ้าอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเป็น 4 กิโลเมตรต่อลิตร ทุกๆ 100
กิโลเมตรจะต้องใช้น้ำมัน 25 ลิตร และมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา
2.67 กิโลกรัมต่อลิตร (www.epa.gov) หรือประมาณ 67 กิโลกรัม
นั่นหมายความว่าวัตถุประสงค์ในการ
นำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาใช้เป็นเชื้อเพลิงเพื่อลดการปลดปล่อยก๊าซ
คาร์บอนไดออกไซด์ ก็ถูกบิดเบือนไป
จึงน่าจะดีกว่ามากถ้าวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเหล่านี้ถูกเผาหรือแปรรูปเป็น
พลังงาน ณ. จุดกำเนิดแทนการขนย้ายเป็นระยะทางไกล"

ทิ้งท้ายด้วยข้อสงสัยที่ว่า
"การเผาเศษไม้ให้เป็นเชื้อเพลิงดีกว่าการนำมารีไซเคิล" ดร. อธิคม
ชี้แจงว่า การนำเศษวัสดุมาใช้ประโยชน์
หรือการนำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาเป็นเชื้อเพลิง
กำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก เพราะจะเป็นการช่วยลดปริมาณขยะ
ลดการนำเข้าน้ำมัน ซึ่งเป็นการประหยัดเงินตราต่างประเทศ
และลดการพึ่งพาพลังงานจากนอกประเทศ
แต่การรวบรวมและนำวัสดุเหลือใช้เหล่านี้มาใช้ประโยชน์
ย่อมหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องจักรในการเก็บรวบรวม
ขนส่งไปยังโรงงานรีไซเคิลหรือโรงไฟฟ้าไม่ได้
เครื่องจักรและรถบรรทุกเหล่านี้ใช้น้ำมันซึ่งเป็นพลังงานฟอสซิลที่นำเข้าจาก
ต่างประเทศ

"การขนย้ายเป็นระยะทางไกลมากขึ้น ต้องใช้น้ำมันมากขึ้น
คงไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวว่าควรขนย้ายวัสดุเหลือใช้เหล่านี้ได้ไม่เกินระยะทาง
เท่าใด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับต้นทุนการผลิตส่วนที่เป็นพลังงานของแต่ละโรงงาน
ถ้าราคาของวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรบวกกับค่าใช้จ่ายในการขนย้ายแล้วยัง
ถูกกว่าต้นทุนพลังงานที่ใช้อยู่ โรงงานนั้นก็จะยินดีที่จะจ่าย
แต่ถ้าวัสดุเหลือใช้เหล่านี้ถูกใช้ประโยชน์โดยไม่ต้องมีการขนย้ายไกลๆ
เราก็ไม่ต้องสูญเสียพลังงานเพื่อการขนส่งโดยไม่จำเป็น
ประสิทธิภาพการใช้พลังงานของประเทศก็จะดีขึ้น เหมือนกับที่ คริส กูเดิล
แนะนำไว้ในหนังสือของเขาว่า "อย่าซื้อสินค้าที่เดินทางมาไกลจนเกินไป"


http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9520000089119

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น