++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2552

..พี่ชาย... (Good Story)

เรื่องนี้เป็น forwardmail ที่ได้รับจากเพื่อนคนนึง เนื้อเรื่องมันอาจจะยาวววว มากไปสักหน่อย แต่ถ้าลองอ่านให้จบ คุณจะรู้ว่า...ทำไมเราถึงเอามาโพสต์ให้อ่านกัน... ขอบคุณที่สละเวลามาอ่านนะคะ..
     ชัยวัฒน์เดินออกมาจากห้องพักผู้โดยสารขาเข้า เขาเป็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง ใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนสวมเสื้อนอกสีเดียวกันกับกางเกงสีดำสนิทตัดกับผิวที่ ขาวจัด บอกให้รู้ว่าเจ้าตัวเป็นคนที่อาศัยอยู่ในเมืองหนาวมาเป็นระยะเวลานาน ของที่นำติดตัวมาด้วยมีเพียงกระเป๋าเดินทางใบเล็ก ใส่เสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัว   สองสามชิ้น
ด วงตาเรียวเล็กหลังกรอบแว่นตา มองหาคนที่จะมารับ เห็นหญิงสาวคนหนึ่งรูปร่างสูงเพรียว ผมสีดำยาว  ประบ่าสวมเสื้อยืดสีเขียวอ่อน สองมือซุกอยู่ในกระเป๋ากางเกงยีนส์สีน้ำตาลซีดๆ ยืนอยู่ไม่ไกลปะปนกับ  คนที่มารอรับผู้โดยสารคนอื่นๆ
ใ บหน้าของเธอเหมือนรูปที่เขานำติดตัวมาด้วย ชัยวัฒน์พิมพ์ออกมาเป็นรูปสีอยู่ในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตด้านหน้า ตอนอยู่บนเครื่องก็หยิบขึ้นมาดูหลายครั้ง เมื่อมองจนแน่ใจแล้วว่าใช่คนเดียวกันแน่ จึงเดินเข้าไปหาในใจสงสัยว่า ถ้าพบกันแล้วปานทิพย์จะทำอย่างที่เคยบอกไหม
"ถ้าปานได้เจอกับพี่ชายนะ ปานจะวิ่งเข้าไปกอดพี่ชายเลย จากนั้นก็ค่อยไหว้สวยๆ ให้สมกับเป็นกุลสตรีไทย (อันหลังนี่ทำยากค่ะ อิอิ)"
"555 ขนาดนั้นเลยหรือปาน"
"ปานพูดจริงๆนะคะ"
"แหม...ถ้าปานวิ่งเข้ามากอดพี่คงเขินแย่"
การคุยโต้ตอบกันทางโปแกรมสนทนา MSN ของเธอเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะเห็นข้อความของเธอ ตอบมาว่า
"ปานจะมีโอกาสได้พบตัวจริงของพี่ชายหรือเปล่าคะ ครั้งเดียวในชีวิตก็ยังดี"
เขายิ้มเล็กน้อยก่อนลงมือพิมพ์ข้อความตอบไป
" ถ้าปานเจอตัวจริงของพี่ ปานอาจจะผิดหวังก็ได้นะ อย่างที่พี่เคยบอกปานไว้แล้วว่า ตัวพี่ในชีวิตจริงอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่ปานคิด เพราะการติดต่อกันทางนี้ ปานเห็นพี่ในเพียงด้านเดียวเท่านั้น คือด้านที่พี่แสดงออกมา"
"ปานเข้าใจดีค่ะ"  เธอตอบและส่งข้อความต่อมาว่า
" แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร พี่ชายก็จะยังเป็นพี่ชายของปานเสมอ ไม่มีอะไรมาทำให้ปานเปลี่ยนความรู้สึกที่ปานมีต่อพี่ชายได้หรอกค่ะ ในความคิดของปาน คนเราทุกคนใช่ว่าจะดีพร้อมหมด ทุกคนมีทั้งด้านมืดและด้านสว่างเหมือนกันทั้งนั้น ปานเองก็กลัวเหมือนกันว่าหากพี่ชายได้พบกับตัวจริงของปาน พี่ชายอาจจะ    ผิดหวังในตัวปานก็ได้ แต่ถึงอย่างไร ปานก็ยังอยากเจอพี่ชายอยู่ดี"
จ ากถ้อยคำยาวเหยียดของอีกฝ่าย ทำให้เขานิ่งคิดครู่หนึ่ง หยิบเอาสมุดบันทึกตารางการทำงานและ     หมายกำหนดการต่างๆมาเปิดดู ก่อนตัดสินใจ พิมพ์บอกไปว่า
" พี่กับปานคงมีโอกาสได้เจอกันแน่จ้า โลกเดี๋ยวนี้มันแคบมาก อเมริกากับไทยไม่ไกลกันเท่าไหร่หรอก    เอาเป็นว่า ในเร็วๆนี้พี่อาจจะบินไปให้ปานเจอตัวได้"
"พี่ชายพูดจริงๆนะคะ"
"จ้า"
เธอนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนถามมาอย่างเกรงใจว่า
"ปานรบกวนพี่ชายมากไปหรือเปล่าคะ"
"ไม่หรอก"
"ปานจะรอพี่ชายนะคะ"
" จ้า" เขารับคำแล้วแซวเล่นว่า "แล้วอย่าทานให้มากนักนะ เดี๋ยวเวลาปานวิ่งเข้ามากอดพี่คงรับไม่ไหว       ยิ่งผอมๆอยู่ด้วย เดี๋ยวกระดูกหัก ;)’
"ฮะๆ"
เ ขาได้รับมอบหมายให้ไปติดต่อเรื่องงานที่กรุงเทพ จากบิดาเลี้ยงชาวอเมริกันเจ้าของบริษัทธุรกิจด้าน    การส่งออก ซึ่งเขาทำงานอยู่ด้วยต้นเดือนหน้า เสร็จงานแล้วบินกลับเลย แต่จากคำพูดของปานทิพย์ ทำให้เขาตัดสินใจลางานสักสองสามวันเพื่อไปพบเธอ
ด ังนั้นเมื่อเสร็จเรื่องงานแล้วเขาก็เข้า MSN บอกเธอว่าตอนนี้อยู่ที่กรุงเทพ จะขึ้นเครื่องบินมาหาที่เชียงใหม่ทำให้เธอประหลาดใจเป็นอย่างมาก และบอกว่าจะไปรับเขาที่สนามบิน
ปานทิพย์เห็นเขาแล้วและเดินเข้ามาหาเช่นกัน เธอมิได้ทำเช่นที่เคยบอก หากแต่ถามอย่างไม่แน่ใจว่า
"พี่ชายของปานใช่ไหมคะ?"
"ครับผม"
ห ญิงสาวยกมือขึ้นไหว้อย่างงดงาม ชัยวัฒน์ก้มศีรษะลงเล็กน้อยเป็นเชิงรับไหว้ แล้วต่างฝ่ายต่างก็เงียบกันไปครู่หนึ่ง จากนั้นเธอก็ยิ้มให้เล็กน้อย
“ยินดีต้อนรับสู่เชียงใหม่ค่ะ”
“พี่นึกว่าปานจะพูดว่า ‘ยินดีต้อนรับสู่เจียงใหม่เจ้า’ เสียอีก”
ช ายหนุ่มลากเสียงประโยคนั้นยาว ช้าๆ เลียนแบบสำเนียงที่เคยได้ยิน หยอกเธอเล่นเพื่อสร้างบรรยากาศความเป็นกันเอง แม้ว่าเขาและปานทิพย์จะรู้จักกันมาเป็นเวลานานได้ปีกว่าๆแล้วก็ตาม แต่ก็เป็นเพียงความสัมพันธ์ในโลกอินเตอร์เน็ตเท่านั้น และเพิ่งมีโอกาสได้พบกันด้วยความที่ต่างก็อยู่ห่างไกลกันคนละทวีป
“ค่ะ” เธอรับคำสั้นๆ แล้วยื่นมือออกมา “จะถือกระเป๋าให้นะคะ”
“ไม่เป็นไร พี่ถือเองดีกว่า”
ข ณะนั่งไปในรถที่มีปานทิพย์เป็นผู้ขับและเขานั่งคู่อยู่ด้านหน้า ชัยวัฒน์รู้สึกว่าเธอดูเงียบขรึม ต่างกับตอนคุยกันทางอินเตอร์เน็ต ที่มักจะจ้อจนเขาพิมพ์ตอบแทบจะไม่ทัน ต้องออกตัวว่า
‘ ปานต้องเห็นใจพี่หน่อยนะ พี่มาอยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว ภาษาไทยก็งูๆ ปลาๆ ใช้คำผิดๆไปบ้าง แล้วอาจจะตอบช้าไปนิดเพราะพิมพ์ไม่ทัน คีย์บอร์ดพี่ไม่มีตัวหนังสือภาษาไทยจ้า’
‘อ้าว แล้วพี่ชายพิมพ์ได้ยังไงล่ะคะ’
‘พี่มีหนังสือคู่มือจ้า เขาบอกหมดว่าตัวไหนอยู่ตรงไหน ต้องจำเอา’
‘พี่ชายเก่งจังเลย...ถ้าเป็นปานคงทำไม่ได้แน่’
‘พี่ไม่ได้เก่งหรอก ก็แค่อาศัยว่าจำได้ แต่บางทีก็จำผิด’
‘งั้นต่อไปนี้ ถ้าพี่ชายพิมพ์ผิด ปานจะไม่ว่าอีกแล้ว ยกประโยชน์ให้จำเลยค่ะ อิอิ’
ช ายหนุ่มเหลือบมองใบหน้าด้านข้างของเธอที่ดูเรียบเฉย ไม่มีเค้าของคนสดใสร่าเริงดังเช่นที่เธอแสดงออกมายามติดต่อกัน ไม่ว่าจะเป็นตอนคุยกันหรือทางอีเมล์
ผ มตัดสั้นในรูปที่ส่งมา และรูปตอนไปงานวันพบปะของสมาชิกชาวเชียงใหม่ของเว็บไชต์ซึ่งเป็นที่ ที่เขาและเธอได้รู้จักกันในโลกอินเตอร์เน็ต ตอนนี้ยาวประบ่าแล้ว
“ผมยาวเร็วดีจังเลยนะ” เขาเอ่ยขึ้นด้วยต้องการที่จะชวนคุย แต่เธอกลับรับคำสั้นๆ
“ค่ะ”
แล้วก็นิ่งเฉยอีก ชัยวัฒน์ลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ อดคิดไม่ได้ว่า
ปานทิพย์ดูห่างเหิน เย็นชา เหมือนคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
อันที่จริงจะเรียกว่าคนแปลกหน้าก็คงจะถูกเพราะรู้จักกันในโลกอินเตอร์เน็ตเท่านั้น
อย่างที่เขาเคยบอกทั้งตนเองและเธอ
โลกในอินเตอร์เน็ตและโลกแห่งความเป็นจริงนั้นแตกต่างกัน
ในโลกแห่งความจริงเขาก็เป็นในอีกแบบหนึ่ง
เธอเองก็เช่นกัน
ชายหนุ่มนึกย้อนไปถึงวันนั้น หลังจากที่ได้รู้จักกับเธอสองสามเดือน
‘จะว่าอะไรไหมคะ ถ้าปานจะขอเป็นน้องสาว ปานอยากจะมีพี่ชาย’
‘ด้วยความยินดีจ้า’
ช ัยวัฒน์เองก็มีน้องสาวอยู่คนหนึ่ง และคิดว่าคงไม่เสียหายอะไร หากเขาจะรับน้องสาวอีกคนในเมื่อเขามองเธอเป็นเหมือนน้องสาวคนหนึ่งเสมอมานับ ตั้งแต่ได้รู้จักกัน รู้สึกเอ็นดู และแลเห็นถึงความจริงใจ และมิตรภาพที่เธอมอบให้ จากช่วงเวลาที่ผันผ่าน น้องสาวในโลกอินเตอร์เน็ตของเขา
แต่ว่าคนที่อยู่ตรงนี้...
ชายหนุ่มเกือบจะเผลอยกมือขึ้นแตะที่กระเป๋าเสื้อเชิ้ต รูปของปานทิพย์ยังคงอยู่ในนั้น หากไม่มีรูปยืนยันเขาคงไม่เชื่อแน่ว่าเป็นเธอ
บางทีเขาอาจจะติดกับภาพพจน์ที่เธอแสดงออกทางโลกอินเตอร์เน็ตจนเกินไปก็เป็นได้
ทั้งๆที่เป็นคนเตือนเธอเองแท้ๆ เขากลับเป็นซะเอง
“หิวไหมคะ?”
เสียงถามดังขึ้น ชัยวัฒน์ที่กำลังคิดอะไรเพลินๆอยู่จึงหันไปตอบว่า
“ไม่หรอก ทานแล้วตอนอยู่บนเครื่องยังอิ่มอยู่เลย”
“คงไม่ว่าอะไรนะคะ ถ้าจะพาไปที่บ้านก่อนไปส่งที่โรงแรมเข้าเช็คอิน?” เธอถาม
“รู้ว่าคงจะเหนื่อยจากการเดินทาง แต่...”  นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวต่อว่า “มีคนที่อยากจะพบค่ะ”
“ครับ?”
ชัยวัฒน์รับคำทั้งๆที่ออกจะงงๆ และไม่เข้าใจ
“อยู่ที่บ้านสวนนอกเมืองค่ะ”
ปานทิพย์พูดขึ้นมาทำให้เขานึกถึง ‘บ้านสวน’ ที่เธอเคยเล่าให้ฟังอยู่บ่อยๆ
‘... บ้านสวนของปานเป็นสวนมะม่วงค่ะ ป๋าทำเป็นงานอดิเรก เน้นมะม่วงแต่ก็มีผลไม้ประเภทอื่นด้วย      ตอนเด็กๆ ปานอยู่ที่นั่น เป็นช่วงเวลาที่ปานมีความสุขมากที่สุดเลย :) ตอนที่ต้องย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองนะปานอยากจะร้องไห้ ไม่อยากไป ถ้าเป็นไปได้นะคะ ปานอยากจะกลับไปที่นั่นอีก ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น อ่านหนังสือ ฟังเพลง แล้วก็คุยกับพี่ชายไงคะ มันสุขสงบแล้วก็เรียบง่ายดี...
... บรรยากาศที่บ้านสวนก็ดีมากเลยนะคะ โดยเฉพาะหน้าหนาว ตอนกลางคืนฟ้าเปิด มองเห็นดวงดาวเต็มท้องฟ้าไปหมดเลย ปานเคยออกไปนอนหน้าชาน หอบหมอนกับผ้าห่มไปด้วย นอนดูดาวจนหลับไปเลยหล่ะค่ะ แต่พอตื่นมา กลับนอนอยู่บนเตียงในห้อง ที่แท้ป๋าเป็นคนอุ้มเข้ามานอน โดนดุแทบแย่ ว่าเดี๋ยวจะ      ไม่สบาย...
...อยากให้พี่ชายได้มาเห็นบ้านสวนของปานจังเลยค่ะ พี่ชายต้องชอบแน่ๆเลย…’
“ปานกลับไปอยู่ที่บ้านสวนแล้วเหรอ?”
“ค่ะ” เธอตอบ “ได้เดือนกว่าๆแล้วค่ะ”
“อ๋อ....” เขารับคำอย่างเข้าใจถามต่อว่า “ช่วงที่ปานบอกว่ายุ่งๆ อาจจะไม่ได้เข้า MSN กับตอบเมล์พี่เหมือนเคยใช่ไหม?”
“ค่ะ”
“ปานเคยบอกพี่ว่ารักบ้านสวนมาก ได้กลับไปอยู่คงดีใจมากเลยละสิ”
“ค่ะ” เธอพยักหน้ารับ “ปานรักบ้านสวนมาก” จากนั้นก็นิ่งเงียบไปและไม่พูดอะไรอีก
ค งเพราะความเงียบและความเพลียจากการนั่งเครื่องบินนานๆ บวกกับไอเย็นช่ำจากเครื่องปรับอากาศทำให้ชัยวัฒน์รู้สึกง่วงจึงพิงศีรษะลงกั บพนักพิงและหลับไปในที่สุด
ห ญิงสาวละสายตาจากทางข้างหน้า หันมามองคนที่นอนหลับสนิทแล้วถอนหายใจยาวออกมา มือขาวบาง  ทั้งสองข้างกำพวงมาลัยรถยนต์แน่น คล้ายกับจะสะกดกั้นความรู้สึกบางอย่าง
“ปานดีใจมากเลยนะคะ ที่พี่ชายมา”
มือซึ่งยื่นมาเขย่าที่ต้นแขนเบาๆพร้อมกับเสียงเรียก ทำให้ชัยวัฒน์ลืมตาตื่นขึ้น
“ถึงแล้วค่ะ บ้านสวนของปาน”
ช ายหนุ่มมองขณะรถแล่นผ่านประตูที่ทำด้วยไม้ไผ่ไปตามถนน ได้เห็นบ้านสวนกับตาของตัวเอง ภาพที่เห็นเป็นเหมือนอย่างที่เธอเคยเล่ามาทางอีเมล์
‘… เป็นเนินเขาย่อมๆสองเนิน (นึกเอาเองนะคะว่าเนินเขาย่อมๆเป็นยังไง อิอิ) เนินใหญ่กับเนินเล็ก จากประตูสวนผ่านเข้าไปเป็นถนน (ไม่ได้ราดยางค่ะ ไม่มีงบประมาณ ฮะๆ) จากที่ราบเริ่มสูงขึ้นไปเรื่อยๆ วนขึ้นไปยังตัวบ้านที่ตั้งอยู่ตรงกลางของเนินใหญ่ (วนขวาหรือวนซ้ายนะ ไม่แน่ใจ) สองข้างทางหม่ามี๊ให้เขาปลูกไม้ดอกออกดอกสีเหลืองๆ ปานก็จำไม่ได้แล้วว่าเรียกว่าต้นอะไร เวลาออกดอกจะสวยมากเลย แล้วก็จะเป็นพวกไม้ผลที่ปลูกไว้เรียงเป็นแนวยาว....
อ ้อ...ผ่านแปลงกุหลาบของหม่ามี๊ด้วยนะคะ มีหลายพันธุ์หลายสี ที่ปานชอบมากที่สุดก็คงเป็นดอกกุหลาบ   สีม่วงดอกใหญ่นั่นแหล่ะค่ะ ป่านนี้คงตายหมดแล้วมั้ง เพราะทิ้งไว้ไม่มีคนดูแลคอยรดน้ำ ถ้าจะปลูกใหม่ปานจะปลูกสีม่วงให้หมดทั้งแปลงเลย...’
มองผ่านหน้าต่างรถออกไป ชัยวัฒน์ก็เห็นตรงบริเวณที่เป็นแปลงกุหลาบ มีต้นกุหลาบปลูกอยู่เรียงราย
“กุหลาบต้นใหม่หรือต้นเก่านะ?”
“ ต้นเก่ามันตายหมดแล้วค่ะ เลยลงใหม่เป็นพันธุ์สีม่วงหมดเลยแบบที่ปานชอบ…ไม่รู้ว่าจะทันได้อยู่ดูตอนที่มันออกดอกไหม”
ป ระโยคสุดท้ายคล้ายรำพึงกับตัวเอง น้ำเสียงของเธอฟังดูเศร้าๆพิกล แต่ชายหนุ่มไม่ทันได้สังเกตเพราะมัวแต่มองดูข้างทางที่เรียงรายด้วยต้นไม้จน กระทั่งรถแล่นมาถึงตัวบ้าน
‘... บ้านเป็นบ้านไม้ ด้านนอกทำด้วยไม้ที่เรียกว่า ‘ไม้ปีก’ ปานคิดว่าเขาคงเรียกไม้ที่ไม่ได้ไสเอาเปลือกนอกออก ทำให้ดูสวยไปอีกแบบ ทาสีน้ำตาลไหม้มีชานยืนออกมาตรงหน้าบ้าน ห้องของปานอยู่ด้านที่ติดกับถนนค่ะ เมื่อก่อนตรงหน้าต่างมีที่ปลูกดอกไม้ด้วยนะคะ แต่พังไปแล้วคงเป็นเพราะปานชอบใช้เป็นที่เหยียบตอนปีนเข้าหน้าต่าง พื้นมันลาดเอียงหน่ะค่ะ จากหน้าบ้านเป็นชานสูงก็จริงแต่ห้องปานไม่สูงจากพื้นมากนัก ตอนลงก็กระโดดลงไปได้สบายเลย (แหะๆ ตอนเด็กๆ ปานซนมากเลยค่ะ แล้วก็ดื้อที่สุดไม่น่ารักเหมือนพี่ปิ่นพี่สาวปานหรอกค่ะ)...
“บรรยากาศดีมากอย่างที่ปานเคยเล่าให้พี่ฟังเลย”
เ ขากล่าวหลังจากที่เปิดประตูรถลงมายืนสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด รู้สึกได้ถึงความแตกต่างของอากาศ    ในเมืองกับที่นี่ ซึ่งเขียวชอุ่มไปด้วยต้นไม้ให้บรรยากาศที่สดชื่น
“เชิญเข้าบ้านเลยค่ะ”
ห ญิงสาวพาขึ้นบันไดหน้าชานด้านหน้าที่มีอ่างเลี้ยงปลาตั้งอยู่ มองเห็นปลาหางนกยูงสีสวยแหวกว่ายไปมาหลายตัว ผ่านประตูพาเข้าสู่ห้องโถงด้านหน้า มีชุดโต๊ะเก้าอี้รับแขกทำด้วยไม้สักเคลือบเงาตั้งอยู่
“รอสักครู่นะคะ”
เธอบอกแล้วทิ้งให้เขาอยู่ตรงนั้นและเดินเข้าไปด้านใน
ร ะหว่างที่รอ ชัยวัฒน์มองดูรอบๆ ทั้งห้องจัดตกแต่งอย่างเรียบง่าย ไม่มีอะไรมากนัก เครื่องเรือนชิ้นใหญ่ก็มีชุดโต๊ะเก้าอี้ไม้สักและตั่งตัวใหญ่ตั้งติดกับหน้า ต่าง ที่มองออกไปแล้วเห็นทิวทัศน์เป็นภูเขาที่มีต้นไม้ปกคลุมอยู่เต็มเห็นเป็นสีเ ขียวอยู่ไกลๆ ทอดเป็นแนวยาวออกไปจนสุดสายตา ลมเย็นพัดผ่านบานหน้าต่างที่เปิดกว้างเข้ามาเอื่อยๆ เสียงนกร้องแว่วดังมาเข้าหู
บรรยากาศของบ้านสวนดีจริงๆอย่างที่ปานทิพย์บอก...
เงียบสงบเหมาะที่จะใช้เป็นที่พักผ่อนสร้างโลกส่วนตัวอยู่กับการอ่านหนังสือและฟังเพลง
ที่เขาและเธอเข้ากันได้ดีคงเพราะมีรสนิยมคล้ายๆกัน
ชัยวัฒน์คิดเพลินๆแล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อมีเสียงดังขึ้นข้างหลัง
“เชิญเจ้า”
ช ายหนุ่มหันมาเห็นหญิงวัยกลางคนผู้เป็นแม่บ้านใส่เสื้อแขนสั้นสีเข้มนุ่งผ้าซ ิ่นยาวกรอมเท้า ผมที่รวบขึ้นเกล้านั้นมีสีเทาจางๆ แซมอยู่ประปรายยืนอยู่ข้างหลังจึงถามอย่างไม่เข้าใจ
“อะไรครับ?”
“นายหญิงรอพบคุณผู้ชายอยู่ในห้องเจ้า”
ได้ฟังแล้วก็ทำให้ชัยวัฒน์รู้สึกงง นายหญิงนี่ใครกัน
เป็นคนที่ปานทิพย์บอกว่าอยากจะพบเขาอย่างนั้นหรือ ?
แ ต่นายหญิงที่ว่าคงจะไม่ใช่มารดาของเธอแน่ เพราะปานทิพย์เคยเล่าให้เขาฟังว่าบิดาและมารดาของเธอเสียชีวิตด้วยอุบัติเหต ุทางรถยนต์ก่อนหน้าที่เขาจะได้รู้จักกับเธอสองเดือน
‘ พี่ชายเข้ามาในชีวิตของปานในช่วงเวลาที่ปานกำลังเคว้งคว้างอยู่พอดีเลยค่ะ เป็นเหมือนแสงสว่างในชีวิตของปาน เป็นสมบัติล้ำค่าที่พระเจ้ามอบให้...’
นายหญิงอาจจะเป็นญาติผู้ใหญ่ของเธอก็ได้
แต่ทำไมถึงอยากจะพบเขาด้วย
ยิ่งคิดก็ยิ่งงง ชัยวัฒน์จึงเลิกคิดและเดินตามแม่บ้านเข้าไปด้านใน
เดี๋ยวได้เจอก็รู้เอง
แม่บ้านเดินนำชายหนุ่มไปตามทางเดินและหยุดที่ประตูบานหนึ่ง นางเคาะสองครั้งแล้วเปิดเข้าไป
ภ ายในห้องจัดคล้ายกับห้องนั่งเล่น มีชุดโซฟาและโทรทัศน์ตั้งอยู่รวมทั้งชั้นหนังสือแต่มีผนังไม้กั้นอยู่คล้ายแ บ่งส่วนมีช่องทางเดินกว้างพอประมาณ นางเดินนำเข้าไปอีก
ห ้องด้านในเป็นห้องนอนและห้องน้ำอยู่ในตัว เตียงใหญ่ตั้งอยู่ใกล้กับหน้าต่างที่มีม่านปิด หญิงคนหนึ่งนอนอยู่บนนั้นร่างแทบจะถูกกลืนหายไปในผ้าห่มผืนหนาที่คลุมเหลือใ ห้เห็นแต่ศีรษะนอนตะแคงข้างหันเข้าหาหน้าต่าง ผมบางสีดำตัดสั้นแผ่สยายอยู่บนหมอน
ปานทิพย์นั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้างเตียงลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นเขาเข้ามา บอกกับแม่บ้านว่า
“แม่คำออกไปก่อน”
“เจ้า”
แม่บ้านรับคำแล้วเดินออกไป หญิงสาวเดินอ้อมไปอีกฝากหนึ่งของเตียงทรุดตัวลงนั่งที่ขอบเตียงเอื้อมมือไปแตะคนที่นอนอยู่ก้มลงบอก
ชัยวัฒน์เห็นหญิงที่นอนอยู่นั้นเริ่มขยับและพลิกตัวนอนหงายหันศีรษะมา...
แทบจะไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเมื่อเห็นใบหน้านั้น.......
เขาลากสายตาไปยังปานทิพย์ คนที่ไปรับเขาที่สนามบิน ใบหน้าเดียวกับในรูปในกระเป๋าเสื้อของเขาและคนที่นอนอยู่ตรงนั้น
เขามองหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงและมองปานทิพย์ที่นั่งอยู่กลับไปกลับมา
เ หมือนกันไม่ผิดเพี้ยน ไม่ว่าจะเป็นใบหน้า ดวงตา จมูกและริมฝีปาก เหมือนกันราวกับฝาแฝดจะต่างกันก็ตรงที่คนที่นอนอยู่นั้นมีใบหน้าซีดเซียวเหม ือนคนที่ป่วยมาเป็นแรมปี
ใช่ ! ฝาแฝด
เขาไม่รู้มาก่อนเลยว่าปานทิพย์มีฝาแฝด เธอไม่เคยเอ่ยให้เขารู้เลย
“พี่ชายคะ....”
เ สียงเรียกแผ่วเบาจากคนที่นอนอยู่ทำให้ชัยวัฒน์รู้สึกสับสนยิ่งขึ้นไปอีก ได้แต่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นทำอะไรไม่ถูก จนกระทั่งเสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง
“พี่ชายคะ...ปานเอง”
เ สียงเรียกของเธอทำให้ความสงสัยของเขาจางหายไปและเรียกสติกลับคืนมา พอจะเข้าใจอะไรบางอย่างได้บ้างแล้ว ชัยวัฒน์ก้าวเท้าเข้าไปที่เตียงอีกฝากทรุดตัวลงนั่งข้างๆ บนพื้นที่ว่าง
มือเล็กบางที่ผอมจนเหลือแต่กระดูกยื่นออกมาจากใต้ผ้าห่ม ชายหนุ่มจับมือนั้นไว้กุมกระชับมั่น
“ปาน...” เขาเรียกชื่อเธออย่างอ่อนโยน
“พี่ชาย...”
ใบหน้าเรียวนั้นเกลื่อนด้วยรอยยิ้ม ดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่ดูอิดโรยฉายประกายแห่งความสุขและสมหวัง
“ในที่สุด...ปานก็ได้พบกับพี่ชายของปานแล้ว”
เ ธอขยับตัวเหมือนพยายามที่จะลุกขึ้นนั่ง ปิ่นมณีพี่สาวฝาแฝดซึ่งชัยวัฒน์คิดว่าเป็นปานทิพย์เข้ามาประคองอย่างรู้ใจว่ าน้องสาวต้องการทำอะไร โดยมีชายหนุ่มช่วยด้วย เขาสอดหมอนไว้ด้านหลังให้หญิงสาวได้พิง
เมื่อลุกขึ้นนั่งได้เธอก็ยิ้มน้อยๆ ถามเขาว่า
“พี่ชายจำที่ปานเคยบอกได้ไหมคะ?”
“จำได้สิ” เขารับคำ “ปานบอกพี่ว่าจะวิ่งเข้ามากอดพี่ใช่ไหมจ้ะ”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้านั้นอีกครั้งครู่เดียวแล้วเลือนหายบอกอย่างเศร้าๆว่า
“...แต่สภาพของปานในตอนนี้คงวิ่งเข้าไปกอดพี่ชายไม่ได้แล้วหล่ะค่ะ”
เ มื่อสิ้นเสียงของเธอ ชัยวัฒน์ก็เป็นฝ่ายยกวงแขนรวบตัวเธอเข้ามากอดเสียเอง ปานทิพย์ตัวจริงซบหน้าเข้ากับอ้อมอกกว้างยกแขนขึ้นกอดพี่ชายเท่าเรี่ยวแรงที ่มีอยู่จะทำได้ ครู่หนึ่งเขาก็คลายอ้อมแขนออก เธอยกมือขึ้นไหว้แล้วก้มกราบที่อกของชายหนุ่ม จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นยิ้มนิดๆ
“พี่ชายเขินหรือเปล่าคะ?”
น้ำเสียงที่หยอกถามของเธอทำให้ชัยวัฒน์คลี่ยิ้มออกมา
นี่แหล่ะ...ปาน น้องสาวของเขาตัวจริงแน่นอน
“ก็ไม่เขินเท่าไหร่หรอก...แต่ถ้ามีคนเยอะๆอย่างที่สนามบินก็คงเขินอยู่เหมือนกัน”
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นหลุบลงต่ำเล็กน้อยก่อนเจ้าตัวจะเอ่ยออกมา
“ ปานต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้ไปรับพี่ชายด้วยตัวเอง...แล้วก็ขอโทษด้วยที่...” ดวงตาคู่นั้นแลขึ้นสบตาเขา “ที่ปานโกหกพี่ชายมาตลอด...ปานขอโทษ...ขอโทษที่หลอกลวง...”
หยาดน้ำตาร่วงรินลงมา เขาเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบสองข้างแก้ม
“อย่าร้องไห้ไปเลยนะปาน พี่ไม่โกรธ ไม่โทษปานหรอก” เขาบอกกับเธอ “จำได้ไหมที่พี่เคยบอกปาน พี่เข้าใจปานเสมอ”
“ ปานคงจะทำให้พี่ชายต้องผิดหวังมากใช่ไหมคะ...” เธอถาม น้ำตาหยดลงมาอีก “...ที่ไม่ได้เป็นเหมือนอย่างที่พี่ชายคิดว่าปานจะเป็น ปานในโลกอินเตอร์เน็ตเป็นคนร่าเริงแจ่มใส ไปทำอะไรๆ มีเรื่องมาเล่ามาบ่นให้พี่ชายฟังตั้งมากมาย แต่ปานในโลกแห่งความเป็นจริงกลับเป็นเพียงคนป่วยที่ตอนนี้ได้แต่นอนซมอยู่บน เตียงเท่านั้น”
“ ไม่หรอกปาน” เขาบอกกับเธอด้วยความรู้สึกแท้จริงที่กลั่นออกมาจากใจ “ ปานบอกพี่ว่า ต่อให้ตัวจริงของพี่จะเป็นอย่างไร พี่ก็จะยังเป็นพี่ชายของปานเสมอ พี่เองก็เหมือนกันไม่ว่าปานจะเป็นอย่างไร ปานก็จะยังคงเป็นน้องสาวของพี่...พี่ไม่รู้สึกเสียใจหรือผิดหวังเลยที่ได้รู ้จักกับปาน”
“พี่ชายคะ...”
เธอซบหน้าเข้ากับอ้อมอกของเขาอีกครั้ง ชัยวัฒน์กอดน้องสาวคนนี้ไว้ในอ้อมแขนถ่ายทอดความอบอุ่มความห่วงใยและความรักที่มีให้
ป านทิพย์หลับไปแล้ว เธอเพลียมากเหลือเกิน ชัยวัฒน์นั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงจนกระทั่งน้องน้อยของเขาหลับสนิท ชายหนุ่มนึกย้อนไปว่า เขาไม่ตั้งใจจะรักและผูกพันกับเธอมากเกินกว่าคนที่รู้จักกันทางอินเตอร์เน็ต เลย
ห ากทว่าสิ่งที่เธอแสดงออกเสมอมา ทุก ๆ อย่าง เขารู้สึกได้ถึงความจริงใจ น้ำใจ ความรักและความห่วงใยที่เธอเองมีให้เขาเสมอมา มันทำให้เขายอมรับเธอเป็นน้องสาวอย่างเต็มหัวใจ
การที่เธอปิดบังถึงสภาพร่างกายของตัวเองนั้น เขาไม่ถือว่ามันเป็นการหลอกลวง ไม่เลย...
“ถ้าไม่เป็นการรบกวนมากจนเกินไป อยากจะให้คุณช่วยพักอยู่ที่นี่ได้ไหมคะ แค่ช่วงเวลาที่คุณมาอยู่เชียงใหม่ก็พอ”
ปิ่นมณีผู้เป็นพี่สาวฝาแฝดเอ่ยปากขอร้องชัยวัฒน์ขณะคุยกันที่ห้องนั่งเล่นด้านหน้า
“ฉันอยากจะให้ปานได้มีความทรงจำที่ดี มีช่วงเวลาแห่งความสุขก่อนที่เธอจะ...” น้ำเสียงของเธอขาดหายไปก่อนที่จะพูดจบ
“หมายความว่า...” เขาไม่กล้าถามคำถามนั้นออกไปและหวังให้เธอปฏิเสธ
แต่...
“ค่ะ”
คำตอบสั้นๆ ของอีกฝ่ายทำให้ชายหนุ่มตัวชาวูบไปตลอดทั้งร่าง...
“ปานเป็นมะเร็ง ระยะสุดท้ายแล้วคะ…” เธอบอกเสียงเศร้าและเริ่มเล่า...
“ ปานเขาเป็นคนแข็งแรง แต่อยู่ๆก็อ่อนแอลง พอไปตรวจถึงได้รู้ว่าปานเป็นอะไร แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว หมอก็พยายามรักษาเต็มที่แต่ก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะหาย ทำได้เพียงแค่ใช้ยารักษาและควบคุมไม่ให้ลุกลามเท่านั้น ปานก็ยังอยู่ได้เหมือนคนปกติและปานก็เข้มแข็งที่จะต่อสู้จนกระทั่งป๋ากับหม่ ามี้เสีย มันเป็นเรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจของปานมาก ตอนนั้นปานเริ่มทรุดลง ยาก็ไม่ยอมกิน ถ้าเผลอเป็นแอบเอาทิ้ง แล้วก็มีอยู่ครั้งหนึ่งที่...”
คนเล่านิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเล่าต่อทำเอาเขาใจหายมากยิ่งขึ้น
" ปานเคยพยายามฆ่าตัวตายค่ะ ปานไม่อยากจะต้องมีชีวิตอยู่ด้วยยาอีกแล้ว ปานไม่กลัวการฉีดยา แต่ยาฉีดใช้รักษาไม่ได้ผลกับปาน ต้องทนกินยาทั้งๆที่เกลียดการกินยาที่สุด วันนั้นปานกินยาเข้าไปหวังจะฆ่าตัวตายแต่พวกเราช่วยกันไว้ได้"
น้ำตาคลออยู่ในดวงตาของปิ่นมณีเมื่อนึกย้อนถึงวันนั้น
ภาพที่น้องสาวฝาแฝดร่ำไห้ปานจะขาดใจ ด้วยความสิ้นหวังต่อชีวิต
‘ ทำไมต้องช่วย ทำไมไม่ปล่อยปานตายไปให้พ้นๆ ปานจะได้ไปอยู่กับป๋ากับหม่ามี้ จะให้ปานอยู่ทนทุกข์กับเจ้าโรคบ้าๆนี่ไปถึงไหนกัน มันทั้งเจ็บ ทั้งทรมาน...พี่ปิ่น ให้ปานตายเถอะ’
ต ่างฝ่ายต่างนิ่งเงียบ ชายหนุ่มเองก็อึ้งพูดอะไรไม่ออก เขาไม่รู้เลยว่าปานทิพย์ในโลกอินเตอร์เน็ตผู้ร่าเริงชอบหยอกล้อเขาเล่น ไต่ถามและเป็นห่วงกังวลกับสุขภาพของเขาเสมอๆ ในโลกแห่งความจริงเธอเองกลับต้องทนทุกข์ทรมานถึงเพียงนี้
“จนกระทั่งปานได้รู้จักกับคุณทางอินเตอร์เน็ต” เธอมองหน้าเขาด้วยแววตาที่เหมือนจะขอบคุณ
“ คุณทำให้ปานเปลี่ยนไป จากคนที่สิ้นหวัง ท้อแท้ อยากจะตาย ปานกลับเป็นปานคนเดิมที่เข้มแข็ง ยอมที่จะต่อสู้ ปานร่าเริงขึ้นและมีความสุขเวลาที่ปานคุยกับคุณผ่านทางอินเตอร์เน็ต เวลาที่อ่านหรือเขียนอีเมล์ถึงคุณ ใบหน้าที่เกลื่อนด้วยรอยยิ้มและแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง ปานกลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง...ปานบอกฉันว่า
‘พี่ปิ่น ตอนนี้ปานไม่อยากตายแล้ว ปานจะอยู่...อยู่จนกว่าจะได้พบกับพี่ชายของปาน’
เ พราะคุณทำให้ปานเข้มแข็งอยู่ต่อมาได้จนถึงตอนนี้ นานเกินกว่าที่ใครๆจะคิดว่าปานจะอยู่ได้ ปานเพิ่งจะอาการหนักทรุดตัวลงเมื่อเดือนกว่าๆที่ผ่านมา มะเร็งมันลามเกินกว่าจะควบคุมได้ หมอบอกว่าหมดหวังแล้ว เวลาของปานเหลืออีกไม่มากนัก ฉันถึงได้ตัดสินใจย้ายปานกลับมาอยู่บ้านสวนที่ปานรัก”
หญิงสาวหยุดถอนหายใจยาวก่อนกล่าวต่อว่า
“ พอปานอาการทรุดหนัก เรี่ยวแรงก็ถดถอยลง จนช่วงสัปดาห์ก่อนที่คุณจะมาปานใช้คอมพิวเตอร์ไม่ได้แล้วแต่ปานก็ยังคงต้องก ารติดต่อกับคุณต้องให้ฉันพิมพ์ให้ ตอนที่ปานรู้ว่าคุณจะมาปานดีใจมาก เพราะสิ่งที่ปานหวังมากที่สุดก็คืออยากจะพบคุณ”
ช ัยวัฒน์กลับเข้าไปนั่งเฝ้าปานทิพย์ที่ยังคงนอนหลับอยู่ ปิ่นมณีขับรถออกไปในเมืองเพื่อจัดการเรื่องการเข้าพักในโรงแรมของเขาที่ต้อง ยกเลิก
สายตาเหลือบเห็นสิ่งที่ตั้งอยู่บนโต๊ะเล็กข้างเตียงทำให้เขาเกิดความรู้สึกซาบซึ้งในหัวใจ
ร ูปของเขาที่ส่งมาให้ทางอีเมลล์ถูกพิมพ์ออกมาใส่กรอบตั้งอยู่ตรงนั้นพร้อมกับ หนังสือที่เขาส่งมาให้รวมทั้งซองพัสดุไปรษณีย์ที่ถึงไม่ต้องเปิดออกก็พอจะรู ้ว่าอะไรอยู่ข้างใน
กระดาษข้อความที่เขียนด้วยลายมือของเขาและแผ่นซีดีรวมเพลงลูกกรุงที่อัดเป็นไฟล์ MP3
‘ในบรรดาเพลงที่พี่ชายส่งมาให้ ปานชอบเพลง “จงรัก” มากที่สุด’
‘เพลงนี้พี่ก็ชอบเหมือนกัน’
โปรดอย่าถาม...
ว่าฉันเป็นใคร เมื่อในอดีต
และไม่ต้องถาม...
ว่าอดีต...ฉันเคย รักใคร
รู้ไว้อย่างเดียว
เดี๋ยวนี้รักเธอ และรักตลอดไป
รักมากเพียงไหน
กำหนดวัดได้ เท่าดวงใจฉัน
อย่า เพียรถาม...
ว่าฉันจะรัก เธอนานเท่าใด..
ฉันตอบไม่ได้
ว่าฉันจะรัก ชั่วกาล นิรันดร์
เพราะชีวิตฉัน คงไม่ยืนยาว ไปถึงปานนั้น..
รู้แต่เพียงฉัน หมดสิ้นรักเธอ
เมื่อฉันหมดลม... *
‘ปานว่า ฟังแล้วรู้สึกเศร้าๆ ยังไงก็ไม่รู้นะคะ ฟังทีไรน้ำตาซึมทุกทีเลย’
เธอเคยบอกเมื่อได้เปิดฟังแล้ว
‘ คงเพราะประโยคสุดท้าย “...รู้แต่เพียงฉัน หมดสิ้นรักเธอ เมื่อฉันหมดลม” เลยทำให้ดูเศร้ามั้งคะ คุณสุเทพร้อง ปานฟังแล้วเหมือนคนที่ใกล้จะตายร้องเลยค่ะ’
บ ัดนี้เขารู้แล้วว่า ทำไมปานทิพย์จึงรู้สึกเช่นนี้ เข้าใจความรู้สึกที่แท้จริงของเธอและสิ่งที่เธอเผชิญกับมันอยู่ ทั้งๆที่ตอนแรกคิดว่าเธอเป็นเพียงคนอารมณ์อ่อนไหวง่ายเท่านั้น
ชายหนุ่มนึกย้อนถึงเรื่องราวต่างๆที่ผ่านเลย
นึกถึงตอนที่คุยกันเรื่องงานพบปะของเว็บไซต์ที่จัดให้มีขึ้นเมื่อไม่นานมานี้
‘ปานจะไปไหม?’
‘แล้วพี่ชายจะไปไหมละคะ?’ เธอย้อนถาม
‘แหม...จะให้พี่ไปได้ยังไงล่ะ’ แล้วเขาก็บอกทีเล่นทีจริงว่า ‘ปานไปแทนพี่สิ แล้วกลับมาเล่าให้ฟังว่าเป็นยังไง’
เธอนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนรับคำ ‘ค่ะ ปานจะไป’
หลังงานวันพบปะผ่านไป เธอก็มาเล่าให้เขาฟังรวมทั้งแสกนรูป ส่งมาให้เขาดู และจากนั้นเธอก็ถามเขาแปลกๆ
‘พี่ชายคะ ถ้าปานจะบอกว่าในรูปที่ปานส่งไปให้พี่ชายดูไม่ใช่ปาน พี่ชายจะว่ายังไง’
เขาหัวเราะออกมาเบาๆ คิดว่าเธอพูดเล่น ตอบไปว่า ‘ปานอย่ามาอำพี่เลยจ้า’
ชัยวัฒน์เพิ่งรู้ก็ตอนนี้นี่เองว่าเธอถามเขาจริงๆ
คนที่ไปงานพบปะในวันนั้นคือปิ่นมณี ปานทิพย์ให้พี่สาวฝาแฝดไปแทนตัวก็เพราะคำพูดของเขาที่บอกให้เธอไป สภาพของเธอในตอนนั้น...
ต้องนั่งอยู่บนล้อเข็นจะทำอะไรก็ต้องให้คนช่วย
สิ่งที่เธอยังคงทำได้ก็คือติดต่อกับเขาทางอินเตอร์เน็ต อ่านหนังสือและฟังเพลงที่เธอชอบเท่านั้น
ร ูปที่เป็นรูปถ่ายจริงๆของเธอก็คือรูปปานทิพย์ที่มีผมสีดำยาวสลวยซึ่งส่งมาให ้เขาเป็นรูปแรก รูปที่ก่อนจะป่วยจนต้องตัดสั้นและผมเริ่มบางลงจากการรักษาด้วยยา รูปที่ด้วยความบังเอิญ ลางสังหรณ์หรืออะไรก็ตามแต่ทำให้เขาเลือกหยิบมันใส่กระเป๋าเสื้อเชิ้ตตัวเอง จากรูปอื่นๆที่เป็นรูปของปิ่นมณี
ด วงหน้าเรียวยาวแย้มยิ้มของหญิงสาวในวัยที่เปรียบเสมือนกุหลาบกำลังเบ่งบานแต ่ดอกกุหลาบดอกนี้กลับต้องร่วงโรยก่อนถึงเวลาอันควร ปานทิพย์จะมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกเพียงแค่ครึ่งเดือนหรืออาจจะน้อยกว่านั้น เวลาของเธอเหลือน้อยเต็มที
และคนที่เธอต้องการมากที่สุด...
เขามองใบหน้ายามหลับของปานทิพย์อีกครั้งก่อนตัดสินใจ...
ฟ ้าจวนค่ำแล้ว อากาศเริ่มเย็นลง ชัยวัฒน์กดรีโมทคอนโทรลปรับลดความเย็นของเครื่องปรับอากาศให้อุณหภูมิสูงขึ้ นด้วยเกรงจะเย็นเกินไป กลัวว่าปานทิพย์จะหนาว
ร่างบางที่นอนอยู่นั้นขยับน้อยๆและลืมตาขึ้น ดวงตาของหญิงสาวหรี่ปรือ ชัยวัฒน์เอื้อมมือไปกุมมือเธอไว้
“ปานตื่นแล้วเหรอจ้ะ”
เมื่อได้ยินเสียงเขา แววตาที่ดูพร่าเลือนคล้ายถูกเมฆหมอกบดบังก็จางหายไป
“พี่ชาย...ปานนึกว่าฝันไปเสียอีก” เธอเอ่ยเสียงเบา “พี่ชายยังอยู่กับปานใช่ไหมคะ?”
“ จ้ะ...” เขาบอกเธอ “พี่จะอยู่กับปานจนกว่า…” น้ำเสียงเขาแผ่วเบาลงและกลืนเก็บท้ายประโยคไว้ในใจของตัวเอง มันยากเกินกว่าที่จะเอ่ยออกมา
...จนกว่าปานจะจากพี่ไป"
ม ีรอยยิ้มน้อยๆผุดขึ้นที่มุมปาก เจ้าตัวกระพริบตาเป็นเชิงรับรู้ แล้วดวงตาสีน้ำตาลเข้มก็หลุบลงต่ำและปิดสนิทอย่างเหนื่อยอ่อนหลับไปอีกครั้ง
เขาบีบมือขาวบางนั้นเบาๆ ดั่งให้คำมั่นสัญญา
เวลาแสนสั้นโบยบินผ่านไปราวติดปีก...
ต ้นกุหลาบที่ชัยวัฒน์อาสารับดูแลเอง ออกดอกสีม่วงผลิบานสะพรั่งงดงาม ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆยั่วยวนมวลหมู่แมลงให้มาดอมดม ยังอีกนานนักกว่ามันจะร่วงโรยแต่ทว่า...
ร ่างผอมบางของปานทิพย์นอนนิ่งอยู่บนเตียงใหญ่ ใบหน้าเรียวยาวที่ซีดขาวนั้นสงบนิ่งดูผิวเผินคล้ายคนนอนหลับ หากแต่เป็นการนอนหลับที่จะไม่มีวันตื่นขึ้นมาอีก
ช ัยวัฒน์อยู่กับปานทิพย์มาตลอด เขาโทรศัพท์ไปขอลาหยุดงานจากบิดาเลี้ยงเพื่ออยู่กับเธอ เฝ้าอยู่เคียงข้างจนกระทั่งลมหายใจสุดท้ายของน้องน้อยจากไปพร้อมกับสายลมที่ พัดผ่าน ดอกกุหลาบสีม่วงดอกใหญ่ที่เขาตัดมาให้เธอวางอยู่ใกล้ๆ รอยยิ้มสุดท้ายเมื่อเธอเห็นมันยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำ แจ่มชัดและสดใสดุจพระอาทิตย์กลางฤดูร้อนที่เขาจะจดจำไปนานแสนนาน
‘สวยจังเลยค่ะพี่ชาย…ขอบคุณค่ะ.... ปานรักพี่ชายที่สุด’
เ ขาปล่อยมือขาวบางที่กุมไว้จนวินาทีสุดท้าย วางดอกกุหลาบแนบอกให้สองมือเธอเกาะกุมเอาไว้ ใช้มือเกลี่ยผมที่มาปรกหน้าผาก โน้มใบหน้าลงจุมพิตอย่างแผ่วเบาที่หน้าผากเนียนสัมผัสได้ถึงไออุ่นที่ยังไม่ จางหายไป จากนั้นก็ลุกขึ้นและเดินออกจากห้องไปเงียบๆ
ให้ปิ่นมณีและคนอื่นๆเป็นคนจัดการกับ ‘ร่าง’ ของเธอ...
ใบไม้ปลิดปลิวร่วงลงมา
น้องข้าจากลาร้างไกล
โอ้ใจ...แสนเศร้าหนักหนา
น้ำตาข้าไหลหลั่งริน
ร่างกายกลับคืนสู่ธุลี
มีเพียงความหลังให้ถวิล
ความรักยังคงโบยบิน
ไม่สิ้นเยื่อใยผูกพัน
‘พี่ชายคะ...พี่ชายว่าชาติหน้ามีจริงไหม?’
เ สียงของเธอที่เคยถามคล้ายแว่วลอยมากับสายลมขณะที่ชัยวัฒน์ออกมายืนอยู่เพียง ลำพังใต้ต้นไม้แดงต้นใหญ่แหงนหน้ามองท้องฟ้าที่แสงแห่งชีวิตของสรรพสิ่งในโล กกำลังจะลาลับ มีน้ำใสๆคลออยู่ในดวงตาเรียวเล็กหลังกรอบแว่นตาคู่นั้น
‘ถ้าหากชาติหน้ามีจริง ปานคงได้เกิดมาเป็นน้องสาวจริงๆของพี่ชายนะคะ’
‘ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน...ปานก็จะเป็นน้องสาวของพี่ตลอดไป’

Story by : +*+ loonlin +*+
Date : 17 May 2004

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น