++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2549

เตือนแม่ไทยอย่าทําตัวเป็นเลนต้องเลี้ยงดูฟูมฟักแม้น้อยนิดก็มีค่า

ด้วยความที่แม่ เปรียบเสมือนโคลนตม ที่เป็นทั้งแหล่งกำเนิด และแหล่งอาหาร หล่อเลี้ยงชีวิตลูกๆ กิจกรรม เติมเต็มที่ต้นตม ที่ช่อง 3 จัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ณ รร.รอยัล ออคิด เชอราตัน จึงคลาคล่ำไปด้วยแม่ๆ ที่มาร่วมกันทำกิจกรรม เพื่อเติมเต็มความเป็นแม่ ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยมี 3 วิทยากร พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี, นางสุพัตรา สุภาพ และ ภัทราวดี มีชูธน ร่วมกันสร้างสีสันในการเสวนาเรื่อง ตม : แหล่งกำเนิดชีวิตที่แท้ หรือแค่โคลนเลน

พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี พระผู้ทำให้ธรรมะเป็นเรื่องง่ายแก่การเข้าใจ กล่าวถึงแม่ว่าเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก ขนาดพระพุทธศาสนายังพูดถึงแม่ก่อนพ่อ ซึ่งในมดลูกของแม่นั้นจะสร้างลูกออกมาเป็น ยอดคน หรือ ยอดโจร ก็ได้!! แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแม่ต้องทำหน้าที่กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูลูกให้ดีที่สุด ทุกวันนี้เรามีลูก แต่เวลาในการเลี้ยงลูกกลับไม่มี เราให้คนอื่นเลี้ยงลูก แต่อยากให้ลูกเป็นเหมือนเรา แม่จึงต้องหันมาทบทวนบทบาทของตัวเอง พระมหาวุฒิชัยกล่าวด้วยว่า การเป็นแม่สิ่งสำคัญสุดคือ อย่าสร้างกำแพงกั้นระหว่างความเป็นแม่กับลูก กำแพงกั้นที่ว่านี้คือ ฐิติ กล่าวคือเวลาอยู่กับลูกต้องอย่าทำให้กระบวนการที่ลูกจะเข้าหาแม่เป็นเรื่องยาก ในกระบวนการฟูมฟักรักษาลูก แม่ต้องทำตัวเป็นเพื่อนเป็นมิตรกับลูก แม่ต้องทำตัวเป็น ตม ที่ดีคอยฟูมฟักดูแลลูก อย่าทำตัวเป็น เลน ที่ไม่ใส่ใจดูแลลูก เมื่อให้กำเนิดลูกแล้วก็ต้องให้ความรักแก่ลูกด้วย

นางสุพัตรา สุภาพ อาจารย์ผู้มากด้วยประสบการณ์ในการ ให้คำปรึกษาปัญหาชีวิตแก่ลูกศิษย์ลูกหา กล่าวถึงการที่จะเป็น ตม หรือเป็น แม่ ว่า ต้องเริ่มจากการทำความเข้าใจว่า เราพร้อมที่จะเป็น แม่ หรือไม่ เพราะแม่นั้นต้องมีความรัก ความเข้าใจในลูก และรู้จักสอนลูกให้เป็นไปตามวัย แม่ควรทำตัวเป็นคนแนะนำ เป็นพี่เลี้ยงของลูก ไม่ใช่คอยจับผิดลูก ต้องเป็นที่พึ่งของลูก มีเวลาอยู่กับลูก อย่าบอกว่าไม่มีเวลาให้ลูก แม้จะเป็นช่วงเวลาน้อยๆที่มีอยู่ ก็ควรใช้เวลานั้นให้เป็นประโยชน์ ด้วยการพูดคุยโอบกอดสัมผัสลูก ดีกว่ามีเวลาอยู่กับลูกทั้งวัน แต่ไม่เคยพูดคุยหรือโอบกอดลูกเลย

ภัทราวดี มีชูธน นักแสดงและเจ้าของบทประพันธ์ เรื่อง ตม ซึ่งกำลังออนแอร์ทางช่อง 3 บอกว่า เธอเป็นแม่เลี้ยงลูกมา 4 คน ตลอดเวลาเธอไม่ทราบหรอกว่าตัวเองทำอะไรไม่ดีไว้ เราคิดว่าเราถูกตลอดเวลา และโทษสิ่งรอบด้าน จนกระทั่งลูกโต บางคนก็ดีงาม บางคนก็มีปัญหา แต่เราก็ยังโทษเขาอีก จนกระทั่งมาเลี้ยงหลาน จึงเข้าใจว่าอะไรที่ใส่เขาไป นั่นแหละคือสิ่งที่ลูกรับมาทั้งนั้น ภัทราวดีบอกด้วยว่าที่ผ่านมาในอดีต เธอไม่เคยมีเวลาให้ลูกหรือแม้ กระทั่งแม่เลย มัวทำแต่งาน กระทั่งวันที่สูญเสียแม่ นั่นแหละ! เธอจึงเริ่มคิดได้ จึงอยากเตือนแม่ทั้งหลายว่าต้องเลี้ยงลูกเอง อย่าขี้เกียจที่จะทำอะไรให้ลูก เวลานิดหน่อยที่แบ่งให้ลูกนั้นมีค่ามาก.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น