++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2549

งู กับ เริม มะม่วงเหมือนกัน แต่ อกร่องกับ น้ำดอกไม้ ไม่เหมือนกัน

เขียนเรื่อง งูสวัด ไป 2-3 ตอน มีปฏิกิริยาตอบสนองจากคุณผู้อ่าน มากทีเดียวแหละครับ มีทั้งความเห็นและคำแนะนำ ซึ่งรู้สึกสนุกมาก (ขอประทานโทษ สนุกสำหรับคนเขียน เพราะได้ความรู้ใหม่ๆ เพิ่มขึ้น แต่คงไม่สนุกสำหรับผู้ป่วย เพราะเจ็บปวดทรมานพอดู เมื่อถูกเจ้างู ซึ่งไม่ใช่งูจริงตัวนี้กัดเข้า)

จึงอยากจะขออนุญาตเขียนต่อเรื่องงู อีกสักนิด แล้วก็ไปเขียนเรื่อง เริม ซึ่งมีส่วนเกี่ยวกับงูอยู่เหมือนกัน

ก่อนที่จะสรุป ขอคุยกับบรรดาแฟนประจำ ก่อนนะครับ ขอขอบพระคุณ สำหรับคำแนะนำ จากคุณพัชนี ฉิมเอี่ยม แนะนำยาคุณหมอชู และคุณนุชนาถ มุสิกชาติ ที่แนะนำยอดกระโดนกับเมล็ดข้าว และเวลาปรุงยาให้ตั้งนะโม 3 จบ (ขออนุญาตไม่พูดถึงรายละเอียดในการปรุงยา)

ที่ไม่ขอลงรายละเอียดนั้น ก็เพราะผมยังไม่ได้ทดลองยาต่างๆที่แนะนำมาด้วยตนเอง เวลาลงเรื่องยาต่างๆที่จะช่วยแก้อาการป่วยอย่างนั้นอย่างนี้ ผมต้องระวังมากๆ โดยเฉพาะโรคบางอย่างที่ค่อนข้างจะร้ายแรง เมื่อจะแนะนำยาอะไรไป ต้องรับผิดชอบว่าถ้าคุณผู้อ่านนำไปใช้แล้วต้องปลอดภัยและไม่มีอันตรายเกิดขึ้น ในด้านความปลอดภัยนี้ ถ้ามีการพิสูจน์ทางวิชาการมาแล้ว ผมย่อมจะแนะนำได้เต็มที่และอย่างสบายใจด้วย

ที่พูดมานี้อย่านึกว่าผมไม่เชื่อเรื่องเวทมนตร์ คาถาหรือเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์นะครับ ในด้านส่วนตัวแล้ว ผมเชื่อในเรื่องพลังทางจิตและ อำนาจของความบริสุทธิ์ใจ

ความบริสุทธิ์ใจนั้นหมายความว่า ผู้ที่นำเอาพิธีกรรมต่างๆมาใช้ต้องเป็น ตัวจริง ของจริง และ ตั้งใจเอามาใช้เพื่อประโยชน์ของผู้ป่วยด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงๆ

ไม่ใช่อย่าง ตัวจอมปลอมที่ชอบอวดอ้างและหลอกลวงชาวบ้าน เพื่อประโยชน์ของตัวเอง ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็มีกันมากมายเหลือเกิน แบบนี้ผมไม่เชื่อ

แต่อย่างที่เอ่ยถึงคุณพัชนี คุณนุชนาถ และก็ที่ไม่ได้เอ่ยชื่ออีกหลายคน ซึ่งท่านเป็นแฟนประจำทั้งนั้น พอท่านแนะนำหรือติติงอะไรมาผมเชื่อและรับฟังไว้ด้วยความเคารพ เพราะเชื่อในความบริสุทธิ์ใจของท่านจริงๆ คบกันมานานแล้ว

ที่น่าสนใจก็คือ ในระยะ 2-3 อาทิตย์ที่ผ่านมา ผมไปบรรยายตามโรงพยาบาลของรัฐหลายแห่ง (ต่างจังหวัด) พอคุยกันถึงเรื่องงูสวัด หลายท่านก็เล่าให้ฟังว่า มีหมอชาวบ้าน รักษาด้วยการพ่นน้ำมนต์หรือบางทีก็เสกใบไม้สมุนไพร เอามาตำและทาให้แก่คนไข้ แล้วก็หาย อย่างนี้ผมก็เชื่อ

เชื่อแบบนี้มีเหตุผลนะครับ เพราะอย่างที่เคยบอกแล้วว่า ถ้าคุณเป็นงูสวัด แฟกเตอร์สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ ความเครียด ถ้าคุณเครียดมาก ความเครียดจะทำลาย IMMUNE SYSTEM หรือทำลายภูมิชีวิตของคุณ เมื่ออาทิตย์ที่แล้วได้บอกแล้วว่า ศาสตราจารย์นายแพทย์จูลย์ อัลท์แมน ได้ระบุไว้แน่นอนว่า สาเหตุสำคัญอย่างหนึ่ง (ในหลายๆอย่าง) ที่ทำให้ป่วยเป็นงูสวัดก็คือความเครียดนี่เอง

เมื่อผู้ป่วยได้รับน้ำมนต์หรือมีใครมาเสกคาถาให้ เกิดกำลัง ใจหายเครียด นั่นก็คือวิธีรักษางูสวัดแบบหนึ่งได้เหมือนกัน

เอาละครับ มีเรื่องที่จะต้องอธิ-บายต่อเนื่องกับบทความอาทิตย์ที่แล้ว 2 เรื่องครับ เรื่องแรก คุณแฟนท่านหนึ่งโทร.มาบอกว่า ขอให้ร้านยาผสมยาทาแอสไพรินกับโคลโรฟอร์มเพื่อเอาไปใช้ทา แต่ร้านยาไม่ยอมผสมให้

ขอเรียนให้ทราบอีกครั้งนะครับว่า ตำรับนี้เป็นตำรับของนายแพทย์ลีออน ร้อบ ซึ่งได้แนะนำเป็นทางเลือกไว้ และร้านยาต่างๆ เขาก็ยินดีผสมให้ แต่เมื่อบางร้านท่านไม่ยอมทำให้ ก็จนใจแหละครับ

ขอเรียนให้ทราบว่า เรามีให้เลือกหลายตำรับ เมื่อตำรับนี้เขาไม่ยอมทำให้ ก็ลองตำรับอื่นเถอะครับ อย่างเป็นต้นสมุนไพร ใบเสลดพังพอนตัวเมีย ก็ใช้ได้ง่ายๆ ไม่ยากเย็น และไม่มีอันตรายจากผลข้างเคียงด้วย

เรื่องที่สอง เป็นเรื่องขัดแย้งระหว่างนายแพทย์ ด้วยกันเอง เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ผมได้แนะนำตำรับของนายแพทย์ เจมส์ นอร์ลันด์ ซึ่งสำหรับอาการเจ็บปวดจากงูสวัด อาจารย์นอร์ลันด์ก็แนะนำให้ใช้ ผ้าเย็น-น้ำเย็น หรือน้ำแข็งประคบ ห้ามใช้น้ำร้อน หรือของร้อนเป็นอันขาด

เมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เอง ผมไปค้นตำราเก่าสมัยที่ผมยังเรียนอยู่ เจอคำแนะนำของอาจารย์แพทย์ อีกคนหนึ่ง คือ อาจารย์เลสเตอร์ โคลแมน ซึ่งท่านแนะนำไว้ตรงกันข้ามกับอาจารย์นอร์ลันด์เลย ท่านแนะนำว่าให้ใช้ความร้อนประคบ หรือจะใช้ความร้อนจากหลอดไฟ UV ส่องก็ได้ ท่านว่าจะช่วยบรรเทาความปวดและทำให้แผลหายเร็วขึ้น

เอ...ชักจะยุ่งละซี จะเชื่อใครดีล่ะ เป็นอาจารย์ เก่งๆทั้งคู่เลย

ผมขอตอบบ้าง แต่ ไม่ใช่เป็นผู้ตัดสินนะครับ ขอตอบจากประสบการณ์ ของตัวเอง และจากหลักวิชาในด้านการแพทย์ด้วย

เรื่องของความปวด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกระดูก หรือกล้ามเนื้อ จะเป็นเช่นข้อเท้าแพลง เคล็ด ขัด ยอก หรือแม้แต่เป็นตะคริว สมัยก่อนนี้เราใช้ความร้อน จะเป็นผ้าร้อนหรือใช้ความร้อนประคบก็ได้ หรือมิฉะนั้น ยาแก้ปวดประเภทน้ำมันใสๆ หรืออย่างเป็นครีม ก็จะเป็นยาที่ทาแล้วเกิดความร้อน ความซ่า ตรงบริเวณที่ทาทั้งนั้น

เชื่อกันว่า ความร้อนจะทำให้เลือดหมุนเวียนเร็วขึ้น กล้ามเนื้อ เส้นเอ็นจะยืดตัว บรรเทาความเจ็บปวดได้

การเจ็บปวดจากงูสวัด ก็มีลักษณะความปวดคล้ายๆอย่างนี้ อาจารย์โคลแมนจึงให้ใช้ความร้อน และท่านเชื่อด้วยว่า ความร้อนจะทำให้แผลแห้งเร็วขึ้น

แล้วเรื่องอะไรเล่า จึงเปลี่ยนมาใช้ความเย็นเวลาเราปวด และยิ่งมีการอักเสบของกล้ามเนื้อและบริเวณที่ปวดนั้น ทั้งกล้ามเนื้อ ระบบเลือดและระบบประสาทจะต้องรีบเร่งทำงานตามคำสั่งหรือตามกลไกระบบอัตโนมัติของ IMMUNE SYSTEM นั่นคือการรักษาตัวเอง และซ่อมแซมตัวเองโดยที่ไม่ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากภายนอก

การทำงานซ่อมตัวเองของ IMMUNE SYSTEM จะทำให้การอักเสบกระจายไปทั่วบริเวณ เราจะสังเกตเห็นง่ายๆว่า บริเวณที่อักเสบนั้นจะเริ่มมีอาการบวม

ถ้าเราใช้ความเย็นหรือใช้น้ำแข็ง จะทำให้ บริเวณที่ปวดนั้นชา เส้นเลือดจะตีบและเล็กลง เหมือนกับช่วยให้บริเวณที่ปวดนั้นได้หยุดพักไว้ก่อน IMMUNE SYSTEM โดยเฉพาะกลุ่มเลือดขาว ยังไม่ต้องทำงาน เนื้อบริเวณนั้นจึงไม่บวม

ทีนี้จากประสบการณ์ของผมเองนั้น รู้ แน่นอนว่าไวรัสงูสวัดเป็นของร้อน เคยลองอาบน้ำอุ่นหรือน้ำร้อนดู แผลที่เป็นงูสวัดจะเห่อทันที อาการปวดแสบปวดร้อนก็จะเป็นมากขึ้น

แต่เมื่ออาบน้ำเย็น หรือใช้น้ำแข็งประคบ อาการจะปวดน้อยลง แผลก็ไม่อักเสบ ไม่เห่อ

ฉะนั้น ตัวผมเองเอนเอียงไปทางอาจารย์ นอร์ลันด์ครับ ใช้ของเย็น และน้ำเย็นดีกว่า

ขออภัยครับที่คุยกันนานไปนิด เรื่องเริมยังไม่ได้เริ่มเลย อาทิตย์หน้าขาดไม่ได้นะครับ มีเรื่องของพระเอกดาราใหญ่คนหนึ่ง แฟนผู้หญิงแตกฮือ หนีแกเป็นการใหญ่ เพราะแกเป็นเริมที่ริมฝีปาก ปากนกกระจอก นั่นแหละครับ.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น