Saknarong Mongkol
ผมเห็นด้วยกับความเห็นและความเป็นห่วงของอาจารย์ศาสตราต่อผลทางการเมืองที่ฝ่ายคุณทักษิณจะเอาคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญเมื่อ ๑ มิ.ย.๕๕ ที่ให้รัฐสภารอการดำเนินการเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ก่อนจนกว่าศาลจะวินิจฉัยไปใช้ประโยชน์ อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการช่วยกันมองหลายๆ มุม ผมจะขอแยกแยะและลองเดาใจ-ความคิดศาลรัฐธรรมนูญดังต่อไปนี้นะครับ
๑. กรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญต่างจากกรณีร่างกฎหมายปรองดอง เพราะหากร่างกฎหมายปรองดองซึ่งมีเนื้อหาขัดต่อรัฐธรรมนูญ (จะว่าให้ครบก็ขัดต่อหลักนิติรัฐและหลักประชาธิปไตยด้วย) อย่างรุนแรงผ่านรัฐสภาแล้ว ก็ยังมีขั้นตอนให้มีการร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ นั่นหมายความว่า โดยระบบแล้ว เรายังมีองค์กรที่เป็นกลไกระงับ ยับยั้งการละเมิดรัฐธรรมนูญที่คาดหวังผลได้สูง มีความชอบธรรม และไม่ก่อผลกระทบมากนักในกรณีนี้อยู่
๒.แต่สำหรับกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งโดยพฤติการณ์ที่ผ่านมาและที่แสดงออกผ่านเนื้อหาของร่างกฎหมายปรองเองแล้ว มีแนวโน้มที่จะบรรจุเนื้อหาที่ขัดต่อหลักนิติรัฐและหลักประชาธิปไตยอย่างสูงไว้ในร่างรัฐธรรมนูญด้วย ในกรณีนี้หากพิจารณาตลอดกระบวนการจัดทำตั้งแต่การยกร่าง-ลงมติโดยส.ส.ร. การนำไปให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบ ไปจนถึงการลงประชามติ จะไม่มีองค์กรหรือกลไกใดที่มีโอกาสทำการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนุญได้ยกเว้นศาลรัฐธรรมนูญโดยใช้ช่องทางที่จำกัดอย่างมากซึ่งรวมถึงช่องทางตามมาตรา ๖๘ ซึ่งเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในขณะนี้นั่นเอง
แต่การตรวจสอบโดยศาลรัฐธรรมนูญหลังกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้เริ่้มต้นขึ้นแล้วจะเป็นเรื่องที่กระทบและเสียดสีกันอย่างรุนแรงระหว่างการใช้อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญกับรัฐสภา ส.ส.ร.และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประชาชนผู้ใช้สิทธิเลือกส.ส.ร. หรือลงประชามติ การตรวจสอบโดยศาลรัฐธรรมนูญหลังจากนี้จึงอาจมีปัญหาความชอบธรรมและผลกระทบทางการเมืองอย่างกว้างขวางตามมามากขึ้น
๓. กลไกการให้ยื่นคำร้องเฉพาะโดยอัยการสูงสุดไร้ประสิทธิภาพแน่นอนเมื่อพิจารณาจากพฤติกรรมที่ผ่านมา ซึ่งที่สุดเจตนารมณ์มาตรา ๖๘ ที่ต้องการให้มีการปกป้องรัฐธรรมนูญ หลักนิติรัฐและหลักประชาธิปไตยจะไม่มีทางบรรลุ และกระบวนการยับยั้งรัฐธรรมนูญใหม่ที่น่าจะก่อผลอันตรายและผลเสียจะกลายเป็นเรื่องต้องอาศัยการปะทะกันระหว่างมวลชนและ/หรือรัฐประหารในที่สุด
๔.ศาลรัฐธรรมนูญอาจจะเห็นว่ามีความจำเป็นต้องขยายบทบาทตัวเองเข้าไปรับวินิจฉัยในเรื่องนี้(มีสภาษิตกฎหมายว่า "ความจำเป็นย่อมเป็นกฎหมาย" )โดยเข้าใจว่า กระบวนการไต่สวน การแถลงยืนยันของฝ่ายผู้ถูกร้องจะเป็น "การรับรองและรับประกัน" ว่าจะไม่มีเนื้อหารัฐธรรมนูญใหม่ที่ขัดต่อหลักข้างต้น ซึ่งเป็นบทบาทในลักษณะการป้องปราม(ตามที่ประธานศาลรัฐธรรมนูญแถลง) เพื่อหลีกเลี่ยงผลเสียร้ายแรงจากการเนื้อหารัฐธรรมนูญใหม่และการปะทะระหว่างมวลชน และหรือการรัฐประหาร นอกจากนี้คำแถลงยืนยันนี้่จะเป็นสิ่งผูกมัดที่ศาลนำมาใช้วินิจฉัยในภายหลังได้ชัดเจนขึ้นหากมีการร้องเรื่องนี้ขึ้นมาอีกในภายหลัง(เรื่องนี้ฝ่ายผู้ถูกร้องคงจะบอกศาลว่าเนื้อหารัฐธรรมนูญใหม่เป็นเรื่องของส.ส.ร.ไม่เกี่ยวกับพวกตน)
อย่างไรก็ตาม แม้ผมจะเห็นด้วยกับการตีความแบบไม่เคร่งครัดให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ แต่ผมก็ยังเชื่อว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยให้กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญเดินหน้าต่อไปได้ สิ่งที่ต้องรอดูต่อไปคือผลได้กับผลเสียจากการออกแรงของศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้ อย่างไหนจะมากกว่ากัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น