++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2554

มหาอานิสงส์ของการปฏิบัติธรรม

«


จากหนังสือกฏแห่งกรรมเล่มที่ ๗ภาคธรรมบรรยาย-ธรรมปฏิบัติ เรื่อง คติกรรมฐาน หน้า ๓๐๓ -๓๐๔


๑. มีวินัยในตัวเอง 3 ประการคือ
·๑ รู้จักระวังตัว
·๒ รู้จักควบคุมตัวได้
·๓ รู้จักเชื่อฟังผู้ใหญ่ถ้าเป็นเด็กจะไม่เถียงผู้ใหญ่

๒. มีกิจนิสัย ๔ประการ
·๑ ขยันไม่จับจด รักงานสู้งาน
·๒ ประหยัดรู้จักใช้ชีวิตและทรพย์สินอย่างถูกต้องและคุ้มค่า
·๓ พัฒนา รู้จักพัฒนาตัวเองและอาชีพให้ดีขึ้น
·๔ สามัคคี รักครอบครัว รักหมู่คณะและรักประเทศชาติ

๓. มีลักษณะนิสัย ๔ประการ
·๑ มีสัมมาคารวะ
·๒ อุตสาหะพยายาม
·๓ ปฏิบัติตามระเบียบวินัย
·๔ รู้จักเด็ก รู้จักผู้ใหญ่วางตัวได้เหมาะสม

๔.มีความรู้คู่กับคุณธรรมเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ๔ ประการได้
·๑ รู้จักคิด
·๒ รู้จักปรับตัว
·๓ รู้จักแก้ปัญหา
·๔ มีทักษะในการทำงานและค่านิยมที่ดีงามในอนาคต เจ้านายทิ้งลูกน้องไม่ได้ลูกน้องทิ้งเจ้านายไม่ได้ เข้าหลักที่ว่า ผู้ใหญ่ดึง ผู้น้อยดันคนเสมอกันจะได้อุปถัมภ์ค้ำจุนต่อไป

๕.อานิสงส์ในการเดินจงกรม
·๑. อดทนต่อการเดินทางไกล
·๒. อดทนต่อความเพียร
·๓. มีอาพาธน้อย
·๔. ย่อยอาหารได้ดี

·๕. สมาธิที่ได้ขณะเดินตั้งอยู่ได้นาน

(ในปัญจกนิบาต อังคุตตรนิกาย เล่ม ๓๒)


ก่อน ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้นั้นศีลก็มีอยู่แล้วในโลกนี้ทานก็มีอยู่ สมาบัติเหาะเหินเดินอากาศก็มีอยู่ก่อนแล้วมีผู้ที่เขาทำกันอยู่แล้ว พระพุทธเจ้ายังมาสร้างบารมีอยู่กับเขาสิ่งที่ยังไม่มีเวลานั้นก็คือสติ ปัฏฐาน 4 มรรค 8 ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ก็คือธรรมะอย่างเดียวนั่นเองวิสุทธิ 7 ไม่มีสติปัฏฐานไม่มีมรรค 8 ไม่มีวิปัสสนาไม่มี ( ถ้าทำถูกต้องแล้วธรรมเหล่านี้จะเข้าหมดเลย )ธรรมเหล่านี้ยังไม่มีจนกระทั่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วคนทั้งหลายใน สมัยนั้นไม่มีโอกาสเลยสัตว์โลกทั้งหลายไม่มีโอกาสที่จะได้สร้างกุศลอย่างนี้ เลย

เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วจึงได้ประกาศกุศลอย่างนี้ (ทางไปนิพพานจึงได้ปรากฏขึ้นในโลกพุทธศาสนาสิ้นแล้วหนทางนี้ก็สิ้นด้วย )

ท่าน จึงได้กล่าวว่าผู้ใดมาเกิดพบพระพุทธศาสนาแล้วเป็นลาภอันประเสริฐมีอานิสงส์ มากเหลือเกินเป็นลาภอย่างไรเป็นลาภก็เพราะว่าจะได้สร้างกุศลอย่างนี้เพื่อ เป็นปัจจัยที่จะพ้นจากสังสารทุกข์กุศลอย่างอื่นไม่มีพ้นได้เลยจึงได้กล่าว ว่าเป็นลาภอันประเสริฐ

เราทั้งหลายก็ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนาแต่ว่า เราไม่เคยรู้จักเลยกุศลอย่างนี้ไม่เคยได้สร้างเลยเมื่อเป็นอย่างนี้แล้วการ พบพระพุทธศาสนาก็เป็นหมันหาประโยชน์ไม่ได้เราก็มัวแต่จะมาสร้างทานสร้างศีล อะไรต่ออะไรซึ่งนอกพระพุทธศาสนาก็ได้เพราะว่าเขาก็มีมาก่อนแล้วประจำโลกอัน นี้นะซีไม่มีที่กล่าวว่าเป็นลาภอันประเสริฐนั้นก็คือได้มีโอกาสสร้างกุศล อย่างนี้ถือว่าเป็นอานิสงส์มากนัก

เพราะฉะนั้นเราควรสร้างเราจะได้ หรือไม่ได้ก็ช่างแต่กุศลวิปัสสนานี้เราต้องสร้าง เพราะว่าเรามีโอกาสแล้วที่จะสร้างได้เราก็ต้องสร้าง เพื่อให้เป็นปัจจัยต่อไปเพราะว่าถ้าตายแล้วสูญเราก็ไม่ต้องทำอะไรทั้งหมดแต่ นี่เราเชื่อแล้วว่า ตายแล้วไม่สูญสังสารวัฏมีอยู่เพราะฉะนั้นเราก็สร้างไว้ให้เป็นปัจจัยอันนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้เคยเทศนาแก่พระอานนท์ว่าตถาคตคงยังอยู่ก็ตาม หรือจะล่วงลับไปแล้วก็ตามจะเป็นอุบาสก อุบาสิกาภิกษุภิกษุณี คนใดคนหนึ่งก็ตามถ้าตั้งอยู่ในธรรมอันนี้แล้วตถาคตก็ยกย่องว่าบุคคลนั้นเป็น ผู้ประเสริฐ

อะไรตั้งอยู่จิตตั้งอยู่ในธรรมอันนี้คือพิจารณากายเวทนา เป็นต้นได้แก่สติปัฏฐานพระองค์ก็ทรงยกย่องว่าผู้นั้นเป็นผู้ประเสริฐแล้วยัง ได้ทรงตรัสว่าอานนท์จงมีตนเป็นที่พึ่งของตนอย่าเอาสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งจงเอา ตนเป็นที่พึ่งและเอาธรรมเป็นที่พึ่งด้วยเอาตนเป็นที่พึ่งนั้นอย่างไร ?


ผู้ เชื่อว่า มีตนเป็นที่พึ่งของตนคือ ผู้ที่พิจารณากายพิจารณาเวทนาพิจารณาจิตพิจารณาธรรมสติปัฏฐานอันใดอันหนึ่ง ผู้ที่นำจิตของตนไปตั้งอยู่ในสติปัฏฐานได้ชื่อว่าผู้นั้นมี ตนเป็นที่พึ่งและมี ธรรม เป็นที่พึ่งด้วยและผู้ที่จะนำจิตมาตั้งอยู่ในสติปัฏฐานได้ชื่อว่าผู้นั้นมี ตนเป็นที่พึ่งและมี ธรรม เป็นที่พึ่งด้วยและผู้ที่จะนำจิตมาตั้งอยู่ในสติปัฏฐานได้ถ้าเป็นผู้ที่ไม่ มีกำลังใจที่จะต่อสู้กับกิเลสจริงๆ แล้วคือผู้ที่ไม่มีตนเป็นที่พึ่งแล้วมาไม่ได้มาไม่ได้หรือมีอุปสรรคอย่าง นู้นอย่างนี้

คนที่จะเอาจิตมาตั้งอยู่ในสติปัฏฐานได้จะต้องเป็นคนที่ ชนะกิเลสได้ชนะกิเลสมาแล้วก็มีปัจจัยของกุศลที่จะให้โอกาสให้จิตมาตั้งอยู่ ได้จึงจะมาได้จะต้องชนะกิเลสมาชั้นหนึ่งแล้วมิฉะนั้นมันไม่ยอมกิเลสมันจะลาก ไปทีเดียวนรกน่ะไม่มีกุศลลากไปเลย มีแต่กิเลสลากไปทั้งนั้นถ้าไปสวรรค์ก็ต้องกุศลนั่นแหละเป็นผู้ลาก

ถ้า คนที่ชนะกิเลสไม่ได้ก็ไม่สามารถที่จะตั้งอยู่ในธรรมอันนี้ได้เพราะฉะนั้นคน ที่ตั้งอยู่ได้ชื่อว่ามีตนเป็นที่พึ่งมีอำนาจสามารถจะทำตนให้เป็นที่พึ่งได้ สามารถจะได้ธรรมเป็นที่พึ่งอีกประการหนึ่งในมหาปรินิพพานสูตรพระพุทธเจ้า ใกล้จะปรินิพพานแล้วขณะนั้นเทวดาทั้งหลายก็รู้ว่าพระพุทธเจ้าประชวรมาก วันนี้ บอกว่าเวลานั้นทีเดียวจะเข้าสู่ปรินิพพานแล้วก็พากันบอกกล่าวว่าเราจะพากัน ไปบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสียในวันนี้เถอะต่อไปจะไม่ได้บูชาอีกแล้ว

ดัง นั้นต่างก็พากันโปรยดอกมณฑารพอันเป็นดอกไม้ทิพย์ที่เหล่าเทวดวพากันบูชาพระ พุทธเจ้าพระพุทธเจ้าก็ตรัสแก่พระอานนท์ว่าอานนท์เทวดาเหล่านั้นบูชาตถาคต ด้วยดอกไม้อันเป็นทิพย์มากมายเหลือเกินเต็มไปหมดทั้งป่าแต่ถึงเช่นนั้นก็ยัง ไม่ชื่อว่าตถาคตรับบูชาของพวกเทวดาเหล่านั้นถ้าเราเอาของไปให้ใครแล้วเขาไม่ รับจะชื่อว่าให้เขาไหม ? ก็ไม่ชื่อว่าให้ถูกไหม ?
การที่เราบูชาก็เหมือน กันถ้าพระองค์ไม่รับ ก็ไม่ชื่อว่าบูชา ต่อเมื่อใดผู้ใดผู้หนึ่งก็ตามมาเห็นภัยในวัฏฏะแล้วก็ทำความเพียรเพื่อออกจาก สังสารวัฏนั่นแหละการกระทำของบุคคลเช่นนั้นชื่อว่าตถาคตรับบูชาเห็นไหมที่ เรามาปฏิบัตินี้เป็นหารบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ใดมาพิจารณาเพื่อตัวจะได้ พ้นทุกข์ คือ สังสารทุกข์นี่แหละชื่อว่า ตถาคตรับบูชาเราน่ะเป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนาด้วยกันทั้งนั้นทำไมเราจะบูชา พระตถาคตสักเจ็ดวัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น