เมื่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว...กษัตริย์มัลละแห่งกุสินารานครพร้อมข้าราชบริพารทั้งหลายได้จัดการห่อพระบรมศพพุทธสรีระ ตกแต่งมณฑล คาดเพดานผ้า..ประดับประดาด้วย ระเบียยดอกไม้และของหอมทรงกำหนดหมายให้มีการสักการะพระพุทธสรีระด้วยการฟ้อนรำ ขับร้องประคมดนตรีเป็นเวลา ๗ วัน ๗ คืน เมื่อถึงวันที่ ๘ จึงได้อัญเชิญพระบรมศพของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยตั้งใจหมายว่า จักอัญเชิญพระบรมศพเข้าประตูเมืองทางด้านทิศใต้ ครั้นได้เวลาอัญเชิญพระบรมศพเพื่อขึ้นราชรถ..เจ้ามัลลปาโมกข์ เจ้าพิธีทั้ง ๘ ท่าน ได้ช่วยกันยกพระสรีระ..แต่ก็ไม่สามารถที่จักยกขึ้นได้...ต่างตกพระทัยว่าเพราะมีเหตุปัจจัยอะไรหนอที่เป็นเหตุไม่ให้พระสรีระเคลื่อนที่ จึงได้ถามท่านพระอนุรุทธเถระว่า... ท่านพระอนุรุทธะเถระเจ้า มีอะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัยที่ทำให้พวกข้าพเจ้าผู้เป็นประมุขแห่งกรุงกุสินาราทั้ง ๘ องค์นี้จะอัญเชิญยกพระพุทธสรีระขึ้น แต่ก็ไม่อาจขยับเขยื้อนยกได้เลย...ช่างเป็นเหตุน่าอัศจรรย์จริง ...ท่านพระอนุรุทธะ.ตอบว่า..ขอถวายพระพร มหาบพิตร.มีพระประสงค์อย่างหนึ่ง แต่พวกเทวดามีความประสงค์อีกอย่างหนึ่ง.. พวกเจ้ามัลละตรัสถามว่า...พวกเทวดามีความประสงค์อย่างไรหรือ ท่านพระอนุรุทธะ..ได้ทราบความประสงค์ของเทวดาด้วยทิพยจักษุและทิพยโสต จึงตอบว่า เทวดามีความประสงค์จักเคลือนพระสรีระไปทางทิศเหนือ..แล้วเข้าสู่ประตูเมืองด้านทิศเหนือ..แล้วผ่านใจกลางนครกุสินาราแล้วอัญเชิญพระสรีระออกประตูเมืองทางด้านทิศตะวันออก จึงจะถวายเพลิงพระบรมศพของพระพุทธองค์ที่มกุฎพันธนเจดีย์.ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของพระนคร..
เมื่อกษัตริย์ ทราบความประสงค์ของเทวดาเช่นนั้นแล้ว..ก็ได้จัดให้เป็นไปตามความประสงค์ของเทวดา.. ก็เมื่อเจ้ามัลละปาโมกข์เจ้าพิธีได้กระทำการยกพระศพอีกครั้งก็เป็นไปด้วยความง่ายดาย..ช่างเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก..
ขบวนแห่งพร้อมคลื่นมหาชนที่มาจากทิศทั้งสี่ ก็ได้แห่เข้าประตูเมืองด้านทิศเหนือของพระนคร...ผ่านใจกลางเมืองแล้วออกทางประตูทางด้านทิศตะวันออกแห่งพระนคร...
ระหว่างนั้นเอง..ฝนโบกขรพรรษ..สีแดง..ก็โปรยตกมาจากฟากฟ้า...ด้วยพุทธานุภาพอันยิ่งใหญ่...เทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่..ได้บรรดาลให้ดอกมณฑารพอันเป็นทิพย์ ตกลงมาจากสวรรค์ตลอดเวลา..ทั่วทั้งพระนครดาดาษเต็มปฐพีและมีกลิ่นหอมได้ด้วยดอกไม้สวรรค์นี้...
เมื่อขบวนผ่านมายังบ้านของ..นางมัลลิกา ภรรริยาแห่งพันธุละเสนาบดีนครสาวัตถี..ผู้มีเครื่องประดับมหาลัดดาประสาธน์อันมีค่ายีง...ได้กราบอนุญาตพระอานนท์นำเครื่องประดับนี้..มาถวายบูชาพระพุทธสรีระ..พระอานนท์ได้นำเครื่องประดับนี้ไปคลุมพระพุทธสรีระ...ขณะนั้นก็ปรากฎสิ่งมหัศจรรย์..เกิดขึ้น คือ พระพุทธสรีระเกิดมีแสงโอภาสประกายเจิดจ้า..เป็นที่เจริญตา เจริญใจแก่มหาชน..ผู้ร่วมขบวนเป็นอันมากต่างพากันแซ่ซ้องสาธุการ เสียงดังกระหึ่งก้องทั่วทั้งนครกุสินารา
กษัตริย์มัลละได้จัดพิธีถวายพระพุทธสรีระ..ตามที่พระอานนท์แนะนำโดย ให้จัดเช่นกับที่จัดให้กับพระเจ้าจักรพรรดิ์...กล่าวคือ ห่อด้วยสำลีบริสุทธิ์แล้วจึงพันด้วยผ้าใหม่สีขาวเนื้อละเอียดรวม ๕๐๐ คู่ แล้วอันเชิญพระบรมศพลงสู่รางเหล็กเติมด้วยน้ำมันหอมใช้รางเหล็กอีกอันหนึ่งครอบไว้..ทำจิตราธานหนุนขึ้นเป็นชั้น ๆ ด้วยไม้หอมทุกชนิดแล้วจึงถวายเพลิง... หลังพิธีแล้วให้สร้างพระสถูปเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ที่ทางสี่แพร่ง..เพื่อมหาชนจักได้กระทำสักการะบูชา อันจักยังประโยชน์เกื้อกูล สุขสวัสดิ์แก่ชนเหล่านั้นตลอดกาลนาน...ฯ
เมื่อทุกอย่างจัดพร้อมแล้ว...เจ้ามัลละปาโมกข์เจ้าพิธี ๔ องค์ ยืนในทิศทั้งสี่..เมื่อได้เวลาในช่วงบ่ายคล้อย จึงถือโคมไฟแล้วจุดไฟตรงเชื้อที่จะทำให้เกิดเพลิง..แต่ มหัศจรรย์อีกครั้งก็เกิดขึ้น..ก็คือ..ไฟไม่ติด แม้พยายามอยู่ถึงสามครั้ง...ต่างเปล่งอุทานออกมาว่าง.น่าอัศจรรย์จริง..เหตุการณ์เช่นนี้ไม่เคยปรากฎมาก่อน..
กษัตริย์มัลละ..จึงได้กราบเรียนถาม ท่านพระอนุรุทธะอีกครั้ง ว่า..น่าอัศจรรย์จริง เพราะเหตุใดหนอพวกข้าพเจ้าจึงไม่อาจจุดไฟให้ติดได้เล่า.... ท่านถวายพระพรว่า... เหตุที่ไฟถวายพระเพลิงจุดไม่ติดได้นั้น..เป็นเพราะพวกเทวดาแสดงฤทธิ์มิให้ไฟลุกขึ้น เทวดามีความประสงค์อย่างหนึ่ง..พวกเจ้ามัลละถามว่า..เทวดามีความประสงคต์อย่างไรหรือพระคุณเจ้า... ท่านพระอนุรุทธะ..ตอบว่าเทวดามีความประสงค์ว่า...ให้รอพระมหากัสสปะพร้อมด้วยพระภิกษุหมู่ใหญ่จำนวน ๕๐๐ รูปเป็นประมาณ ซึ่งขณะนี้กำลังเดินทางมายังไม่ถึง มาเพื่อกราบเคารพบูชา พระบรมศพพุทธสรีระของพระพุทธองค์เป็นครั้งสุดท้าย...เมื่อทราบเช่นนั้น กษัตริย์มัลละจึงรอก่อน...
เมื่อพระมหากัสสปะเถระ ...พร้อมสงฆ์บริวารเดินทางมาถึงได้กระทำประทักษิณเวียนรอบพุทธสรีระ ๓ รอบ ท่านได้น้อมอฐิษฐานว่า... ขอพระบรมพุทธบาททั้งคู่ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงเมตตาตั้งประทานอุปสมบทด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา ทรงยกย่องข้าพระพุทธเจ้าผุ้มีนามว่ากัสสปะ..ด้วยการแลกห่มประทานมหาบังสกุลจีวรของพระองค์ ที่พระองค์กำลังทรงครองอยู่ ทรงยกย่องเกียรติยศแห่งธุดงค์คุณ และคุณธรรมอื่น ๆ ที่เป็นเอนกปริยาย บัดนี้เป็นโอกาสสุดท้ายของข้าพเจ้าจะได้กระทำการบูชาเหนือเศียรเกล้า ขอมหาพุทธานุภาพแห่งพระองค์ จงได้ปรากฎพระพุทธบาทให้ประทับบนศรีษะของข้าพระพุทธเจ้าเถิด..ฯ
หลังจบคำอฐิษฐาน..ทันใดนั้นก็ปรากฎพระบาททั้งคู่ยื่นออกมาเกยบนศรีษะของพระมหาเถระ..ดุจแสงแห่งดวงอาทิตย์ที่แลบออกมาจากกลีบเมฆ พุทธบริษัททั้งหลายต่างได้เห็นสิ่งอัศจรรย์เกิดขึ้นโดยทั่วกันเป็นที่อัศจรรย์ใจยิ่งนัก..
เมื่อพระมหากัสสปะ...ได้กราบที่พระบาทแล้วถอยออกมา.. ก็ปรากฎว่าเกิดไฟลุกไหม้ขึ้นเอง..โดยเทวดาเป็นผู้จุด..มนุษย์ไม่ได้จุดเพลิงนั้นเลย... ขณะที่เพลิงไหม้อยู่นั้น ก็เกิดเสียงดนตรีทิพย์ดังกังวาลในท่ามกลางนภาอากาศ เสียงนั้นทุ้มน่มนวลลุ่มลึก กลับเป็นเสียโหยหวน..สะอื้นร่ำไห้ชวนติดตรึงโสตประสาท และประทับแน่นในกระแสจิตของทุกคนยากที่จะลืมเลือนไปได้เลย..ไฟที่ลุกไหม้นั้น มีสิแดงเพลิงภายนอก..และมีแสงขาวนวนภายใน ไม่มีเขม่า ไม่มีควัน เปรียบได้กับไฟไหม้เนยใสและน้ำมันจึงปราศจากเขม่าเหลืออยู่.. นี่เป็นเหตุมหัศจรรย์ ปรากฎเฉพาะในวันถวายเพลิงพุทธสรีระเท่านั้น..ฯ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น