++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2554

6 คนดีที่ช่วยเหลือโลกโดยเราไม่รู้ตัว

มันน่าสนใจที่ ว่าครั้งหนึ่งโลกเคยถูกช่วยไว้ด้วยบุคคลกลุ่มหนึ่งที่เราไม่ รู้มาก่อนว่าเขาเป็นใคร ช่วยเหลือโลกยังไง หลายคนแทบหลงลืมด้วยซ้ำ โชคดีที่ประวัติศาสตร์ไม่ ได้หลงลืมพวกเขา และได้บันทึกเรื่องราวของพวกเขาไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ในฐานชายและหญิงที่ ช่วยชีวิตคนนับล้าน(รวมทั้งคุณ)โดยไม่รู้ตัว





6. Vasili Alexandrovich Arkhipov(30 มกราคม 1926-1999)

คุณรู้หรือไม่ว่าหากโลกปราศจากบุคคลนี้ สงครามโลกครั้งที่ 3ในช่วงสงครามเย็นระหว่างสหรัฐและโซเวียตได้เกิดขึ้นแน่ เรื่องของเรื่องมาอยู่ว่าในวันที่ 27 ตุลาคม 1962 ซึ่งช่วงวิกฤตขีปนาวุธคิวบาซึ่งเป็นช่วงอ่อนไหวมากๆ ที่จะเสี่ยงเกิดสงครามโลกอยู่นั้น เรือดำน้ำขีปนาวุธลาดชั้น Foxtrot B-59 ของโซเวียตที่ปฏิบัติการอยู่ที่คิวบากำลังฝึกซ้อมการทำงานอยู่นั้น เรือได้ถูกล้อมโดยเรือของกองทัพสหรัฐฯ และถูกโจมตีโดยระเบิดน้ำลึกอย่างหนักหน่วง จนกระทั้งกัปตันเรือของโซเวียตลงความเห็นว่าควรยิงตอร์ปิโตติดหัวเรือ นิวเคลียร์ไปที่สหรัฐ ฯ เพื่อตอบโต้ ซึ่งหากทำแบบนี้เท่ากับว่าสงครามโซเวียตและสหรัฐนั้นเกิดขึ้นแน่นอน

แต่กระนั้นตามกฎจะยิงตอร์ปิโตนั้นจำเป็นต้องอาศัยการโหวดเจ้าหน้าที่สามคน ที่ประจำเรือ ซึ่งในกลุ่มนั้นมีเพียงพระเอกของเราคือวาซิลิ อเล็กซานเดอร์ อาร์คิปอพ เท่านั้นที่คัดค้านการยิงและเกลี้ยกล่อมให้กัปตันนำเรือดำน้ำขึ้นเหนือผิว น้ำเพื่อรอคำสั่งจากมอสโคว์ ซึ่งเขาก็ทำได้สำเร็จ ส่งผลทำให้สงครามนิวเคลียร์ไม่เกิด โลกพ้นหายนะได้อีกครั้ง

แต่อนิจจาเรื่องราวของ วาซิลิ อเล็กซานเดอร์ อาร์คิปอพ ที่ช่วยโลกไว้นั้นไม่เป็นที่เปิดเผยแต่สาธารณะชนเท่าใดนัก รู้แต่ว่าเขาเกิดในครอบครัวชาวนาใกล้กรุงมอสโก ได้รับการศึกษาโรงเรียนทหารเรือและมีส่วนร่วมในสงครามโซเวียตกับญี่ปุ่นใน ต่างประเทศในปี1945ต่อมาในปี 1961 ได้รับแต่งตั้งเป็นรองบังคับการในเรือดำน้ำขีปนาวุธนำวิถี K-19 และได้อุบัติเหตุและเขาก็ได้รับรังสีจากเหตุการณ์ดังกล่าว(เหตุการณ์ดัง กล่าวถูกดัดแปลงเป็นภาพยนตร์K-19) และหลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นก็ได้เลื่อนเป็นพลเรือตรีและได้ตำแหน่งมากมาย ก่อนที่จะพ้นตำแหน่งในช่วงกลางทศวรรษที่ 1980 และได้รับขนามนามว่า "วาซิลิ อาร์คิปอพผู้ช่วยเหลือโลก" และเรื่องราวของเขาได้รับแรงบันดาลใจในภาพยนตร์เรื่อง Crimson Tide (1995)





5. James Harrison, GoldenArm

เจมส์ แฮร์ริสันได้รับฉายาว่า "GoldenArm" หรือแขนทองคำ เป็นนักบริจาคเลือด ชาวออสเตรเลีย เขาได้รับบันทึกสถิตโลกว่าเป็นบุคคลบริจาคโลกที่ช่วยทารกกว่าสองล้านของจาก โรครีซัส (Rhesus disease = โรคที่เกิดจากกลุ่มเลือด Rh ไม่เข้ากัน)

เจมส์ แฮร์ริสันเกิดในปี 1935 หรือ 1936 ตอนเขาเขาอายุ 14 เคยได้รับการผ่าตัดรวงอกครั้งใหญ่ ใช้เลือดคนอื่นไปถึง 13 ลิตร ในช่วงการพักรักษานานกว่าสามเดือน และได้ตระหนักว่าเขารอดชีวิตมาได้เพราะเลือดคนอื่นบริจาค และเขาก็ได้ปฏิญาณว่าทั้งชีวิตของเขาจะอุทิศในการบริจาคเลือด และแล้วนับจากนั้นเป็นต้นมาเมื่อเขาอายุ 18 ปีก็บริจาคเลือดมาโดยตลอด จนถึงปัจจุบันเขาบริจาคกว่าพันครั้งจนได้รับบันทึกเป็นสถิตโลก และหลังจากนั้นก็มีการค้นพบว่าเลือดของเขามีแอนติบอดีหายากที่จะช่วยป้องกัน ไม่ให้ทารกที่ได้รับเลือดของเขาเสียชีวิตจากโรครีซัสซึ่งเป็นชนิดร้ายแรงของ โรคโลหิตจาง ซึ่งทางทีมแพทย์ได้นำเลือดดังกล่าวไปรักษาผู้หญิงตั้งครรภ์นับแสนๆ คน แถมยังมีการใช้รักษาทารกอีกต่างหาก รวมแล้วก็ช่วยชีวิตทารกไปแล้ว 2.2 ล้านคนในช่วงการบริจาคติดต่อกัน 56 ปี โดยนอกจากบริจาคเลือดแล้วเขายังเป็นอาสาสมัครคนสำคัญที่มีส่วนร่วมในการ พัฒนาวัคซีน (Anti-D vaccine) เพื่อป้องกันโรคนี้ด้วย และปัจจุบันเขาก็ยังบริจาคเลือดเป็นประจำโดยเขากล่าวว่า "ผมไม่เคยคิดจะหยุดบริจาคเลือด ไม่เคย แม้แต่ในความคิด" และด้วยเกียรติประวัตินี้เองทำให้เขาได้เครื่องราชอิสริยาภรณ์ของออสเตรเลีย และเคยถูกเสนอชื่อเขาชิง บุคคลแห่งปีของออสเตรเลียแม้เขาไม่ได้ชนะก็ตาม





4.Viktor เกิด1928-ปัจจุบัน)

นอกจากสงครามก่อการร้ายที่โลกสมัยใหม่ต้องเผชิญแล้ว สงครามระหว่างมนุษย์และ เชื้อโรคก็ถือว่าเป็นสงครามที่เกิดขึ้นมาช้านานและไม่มีวันจบ โลกต้องเผชิญเชื้อโรคระบาดมากมาย ไม่ว่าจะเป็นกาฬโรค เอดส์ โรคพิษสุนัขบ้า และในช่วงเวลาเหล่านี้ย่อมเกิดวีรบุรุษขึ้น อย่างหลุยส์ ปาสเตอร์ แต่ใครจะรู้บ้างว่ายังมีบุคคลสองคนที่ครั้งหนึ่งได้ช่วยโลกไว้จากเชื้อโรค สุดอันตรายเอาไว้

คนแรกคือวิคเตอร์เป็นนักไวรัสวิทยา เขาพยายามรณรงค์ให้ทั่วโลกกำจัดโรคฝีดาษ โดยเขาเกิดในหมู่บ้านเล็กๆ ในยูเครน จบการศึกษาจากโรงเรียนแพทย์ในปี 1936 จ่อมาก็ทำงานเป็นแพทย์ทหารบกและเริ่มสนใจวิชาระบาดวิทยาและศึกษาเรื่อยมาจน ได้รับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีผู้ช่วยสาธารณสุขของสหภาพโซเวียตในปี 1958 และเริ่มริเริ่มดำเนินการให้ทั่วโลกให้ความสำคัญในการกำจัดไข้ทรพิษซึ่งเป็น โรคเก่าแก่ที่สุดในประวัติมนุษย์ชาติ ที่อันตรายและน่ากลัวที่สุด โดยเสนองานวิจัยทางวิทยาสตร์ด้วยการฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน ซึ่งความจริงแล้ววัคซีนดังกล่าวสร้างเสร็จมานานตั้งแต่ ปี 1796 แล้ว เอ็ดวาร์ด เจนเนอร์ เป็นคนสร้างวัคซีน หากแต่วัคซีนดังกล่าวยังไม่ได้เผยแพร่ ทำให้ไข้ทรพิษระบาดไปทั่วโลก ซึ่งวิคเตอร์ได้เห็นปัญหาดังกล่าวเขาเลยเสนอต่อสมัชชาอนามัยโลก ที่ต่อมาก็ถูกยอมรับโยหัวหน้าแพทย์อเมริกันโดนัลด์ เฮนเดอสัน ซึ่งมีความคิดที่จะทำสงครามกับไข้ทรพิษมานานแล้ว โดยแผนการดังกล่าวได้ถูกนำไปใช้จนเกิดประโยชน์สูงสุด โดยผลงานเด่นคือในปี 1966 การรณรงค์กำจัดโรคฝีดาษที่ระบาดในบราซิล, แอฟริกา และเอเชียใต้ และปี 1972ช่วยกันปราบปรามไข้ทรพิษในยุโรป จนไข้ทรพิษแทบหายสาบสูญจากโลก ประเทศปากีสถาน อินเดีย และเนปาลที่ครั้งหนึ่งเคยเกิดโรคนี้ระบาดอย่างร้ายแรง ปัจจุบัน ได้ประกาศว่าประเทศทั้งสามเป็นดินแดนปลอดฝีดาษ 100% และเมื่อวันที่ 17 เมษายน 1978 โลกได้รับรายงานว่ามีคนป่วยด้วยโรคฝีดาษเป็นคนสุดท้ายในโซมาเลีย และก็ได้รับการรักษาจนหาย นับถึงวันนี้ไม่มีใครป่วยเป็นโรคฝีดาษอีกเลย จนเราอาจกล่าวได้ว่า โลกไม่ถูกฝีดาษรบกวนในระยะเวลา 25 ปีที่ผ่านมา




3. Henrietta Lacks(18 สิงหาคม 1920 – 4 ตุลาคม 1951)

เรื่องราวของเธอที่ได้กลายเป็นผู้ช่วยเหลือโลกโดยไม่รู้ตัวนั้น เริ่มต้นขึ้นในปี 1951 เมื่อ เฮนเรียตต้า หญิงชาวอเมริกันแอฟริกันอายุ 30ปี ซึ่งมีฐานะยากจน อาศัยอยู่ใน บัลติมอร์ สหรัฐอเมริกาได้เข้ารับการรักษาในมะเร็งปากมดลูก ที่ รพ.จอห์น ฮอปกินส์ ในแผนก ผู้ป่วย(ผิวดำ)อนาถาหากแต่ก็สายไปเสียแล้วเพราะโรคมะเร็งของเธอได้ลุกลาม อย่างรวดเร็วและรุนแรง เธอเสียชีวิตในเวลา 8เดือนต่อมา

แต่.....เรื่องราวของเฮนเรียตต้ายังไม่จบ เพราะเธอได้รับขนามนามว่า "อมตะ" เนื่องจากหลังจากที่เธอตายแพทย์ได้สังเกตว่าชิ้นส่วนเนื้อเยื่อเซลล์มะเร็ง ที่หลงเหลือระหว่างการผ่าตัดของเธอยังคงมีชีวิตอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ มันยังคงดำเนินกิจกรรมภายในเซลล์อย่างปกติ เจริญเติบโตและแบ่งตัวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด—จวบจนเวลาปัจจุบัน…… เซลล์ของเธอถูกตั้งชื่อว่า "HeLa Cell" ซึ่งมาจากชื่อย่อของเธอ ต่อมาถูกเรียกว่า "เซลล์อมตะเซลล์แรกของโลก"โดยมีการคำนวณอย่างคร่าวๆว่า เซลล์ของเธอที่เพาะขึ้นใหม่ ได้มีจำนวนมากกว่าจำนวนของเซลล์ในร่างกายของเธอเองเสียอีก และอาจจะเอามาแผ่คลุมโลกได้ทั้งใบอีกด้วย

ในสมัยนั้นยังไม่มีกฎหมายการยินยอมอย่างเป็นทางการจากผู้ป่วยที่เอาอวัยวะ หลังเสียชีวิตไปทดลองหรือเพื่อก้าวหน้าในวงการแพทย์(หรืออาจมีแต่ไม่เข้ม งวด) เซลล์ของเธอนั้นได้ถูกนำวิจัยเพื่อความก้าวกระโดดทางการแพทย์ โดยเซลล์ดังกล่าวเพราะในสถาวะแวดล้อมที่เหมาะสมและมีอาหารหล่อเลี้ยงเพียงพอ เพื่อศึกษากระบวนการทางชีวิวิทยาของเซลล์มะเร็ง นำไปสู่การรักษามะเร็งในอนาคตข้างหน้า นอกจากนี้เซลล์ดังกล่าวถูกแบ่งไปให้นักวิจับทั่วโลก จนสามารถนำมาใช้ประโยชน์มากมาย เป็นต้นว่า รู้กลไกการเกิดเซลล์มะเร็ง กลไกติดเชื้อเอดส์ ผลของรังสีและสารพิษของเซลล์ นอกจากนี้ยังมีประโยชน์อย่างมหาศาลต่อการพัฒนาองค์ความรู้ทางชีวะวิทยา และวิทยาศาสตร์การแพทย์ เซลล์ของเธอยังมีส่วนในการพัฒนาวัคซีนโปลิโอ ซึ่งทำให้ช่วยคนทั่วโลกได้มหาศาล และที่สำคัญเซลล์ของเธอยังเป็นนำมาใช้เป็นแนวทางผลิตอาวุธนิวเคลียร์อีกด้วย

แต่อนิจจา(อีกแหละ) เฮนเรียตต้าไม่ได้เครดิตแม้แต่น้อยว่าเป็นเจ้าของเซลล์ ประเด็นดังกล่าวถูกนำมาพิจารณาครั้งหนึ่งในศาลแห่งรัฐแคลิฟอร์เนียและได้รับ การตัดสินว่า "ชิ้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น