-1-
ตอนสายวานซืน (24 พ.ค.) ตื่นจากนอนซมไข้ อ.ปานเทพ ณ สันปันน้ำ โทรศัพท์ถามว่าพี่ไปอยู่พรรคมาตุภูมิของ “บิ๊กบัง” แล้วเหรอ ตอบแบบงงๆ ทันทีว่าเปล่า อ.ปานเทพแจ้งว่านสพ.คมชัดลึกลงข่าวว่าพี่ไปเปิดตัวเข้าพรรคมาตุภูมิที่โคราช ผมเลยถึงบางอ้อ...
หลังอ.ปานเทพวางสาย มีหลายสายโทรศัพท์สอบถาม บางรายไม่ทันได้ชี้แจงก็แสดงความเห็นด้วยไม่เห็นด้วย ทำเอาผมมึนตึ้บไปเหมือนกัน นึกๆ คิดๆ ก็ได้แต่ส่ายหน้าอยากรู้จริงๆ ว่าน้องนักข่าว “คมชัดลึก” ที่รายงายข่าวนี้ไปทำข่าวจริงๆ หรือฟังเพื่อนๆ เล่าข่าวแล้วจับมาเขียน....เพราะในเนื้อข่าวยังเพี้ยนไปถึงขั้นระบุว่าผมเป็นโฆษกพรรคมาตุภูมิอีกต่างหาก
วันนั้นมันไม่มีอะไรมากไปกว่าผมไปมอบดอกไม้ให้กำลังใจคุณพิเชฐ พัฒนโชติ ที่ลาออกจากพรรคการเมืองใหม่ไปตั้งแต่ 26 เม.ย. 54 และตัดสินใจลงสมัครในนามพรรคมาตุภูมิ มอบดอกไม้ให้ในฐานะเพื่อนมิตร มอบเสร็จคุณพิเชฐยื่นไมโครโฟนให้ผมพูดอะไรนิดหน่อย ก็เท่านั้น...
ต้องขออภัยที่ใช้พื้นที่นี้ชี้แจงเรื่องส่วนตัว ผมได้บอกผ่านทางเฟสบุ๊คไปแล้วว่า ยังอยู่ที่พรรคการเมืองใหม่แต่จะเว้นวรรค ไม่สมัครรับเลือกตั้งในรอบนี้
-2-
ไหนๆ เริ่มต้นด้วยเรื่องการเมืองการเลือกตั้งก็อยากจะร่วมวงเสวนาพยากรณ์ทิศทางการเมืองการเลือกตั้งด้วยการเก็บตกข่าวมาจากวงสภากาแฟต่างๆ เพื่อเป็นข้อสังเกตข้อถกเถียงกันต่อไปในวันหน้า...โดยผมขอสรุปเป็น 7 ข้อสังเกตเลือกตั้ง 54 ดังนี้
1) การเลือกตั้งหนนี้จะเป็นการเลือกตั้งที่ใช้เงินทุนมหาศาลเพื่อบรรลุชัยชนะ ดังที่ทราบกันว่าศึกครั้งนี้เดิมพันอนาคตอดีตนักโทษชายและ “ระบอบทักษิณ” ที่อยากจะกลับมายึดพื้นที่อำนาจคืนโดยมี “การเลือกตั้ง” เป็นเครื่องมือและข้ออ้างแห่งความชอบธรรม
กฎหมายการเลือกตั้งอนุญาตให้ผู้สมัครใช้เงินหาเสียงได้ไม่เกินคนละ 1.5 ล้านบาท ถ้าผู้สมัครทุกระบบมีประมาณ 4 พันคน คิดเล่นๆ ถ้าทุกคนใช้เงินคนละ1.5 ล้านบาทก็จะเป็นเงิน 6,000 ล้านบาท แต่ในชีวิตจริงใครๆ ก็รู้ว่ามันไม่ใช่เช่นนั้น ขนาดปี 2544 พระรักเกียรติ สุขธนะ อดีตนักการเมืองดังระบุว่าในสนามภาคเหนือ ภาคอีสานพรรคใหญ่อัดฉีดผู้สมัครด้วยสูตร 20-30-40 ล้านบาท/คนกันแล้ว
เชื่อกันว่าเลือกตั้งหนนี้บางรายบางกรณีจะอัดฉีดกันสูงถึง 70-80 ล้านบาท เฉพาะพรรคใหญ่สองพรรคค่าใช้จ่ายจะสูงกว่า 20,000 ล้านบาท...ลูกพรรคคนสำคัญของพรรคใหญ่พรรคหนึ่งบอกผมว่าเที่ยวนี้ขี้หมูขี้หมา “นายห้าง” ต้องควักไม่ต่ำกว่า 15,000 ล้านบาท 3 ก.ค. 2554 จึงเป็นการเลือกตั้งภายใต้ระบอบ “ธนาธิปไตย”สมบูรณ์แบบ
2) มีแนวโน้มน่าเชื่อว่า เพื่อกอบกู้เกียรติภูมิให้กลับคืนมาบ้าง คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะชักใบเหลืองใบแดงมากกว่าครั้งก่อน แต่ถึงยังไงก็ไม่สามารถตามทันกลโกงการเลือกตั้งสารพัดรูปแบบได้ ถ้าการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 26 ก.พ. 2500 เป็นต้นตำรับของการเลือกตั้งสกปรก มีทั้งพลร่ม, ไพ่ไฟ, เปลี่ยนหีบเลือกตั้ง การเลือกตั้งปี 2554 น่าจะเป็นต้นตำรับของการซื้อเสียงแบบไร้ร่องรอยและแบบไม่กลัวบาป...เป็นวิชามารขั้นสูง
3) นโยบายการหาเสียงในการเลือกตั้งครั้งนี้ กระแสหลักยังจะเป็นการโฆษณาขายรูปธรรมนโยบายประชานิยมขนาดต่างๆ
กรณีของ “ทักษิณ ชินวัตร” จะเป็นประเด็นสำคัญประเด็นหนึ่งที่พรรคใหญ่สองพรรคคือเพื่อไทยและประชาธิปัตย์นำมาหาเสียง ในขณะที่เพื่อไทยบอกว่า “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” สุดท้ายประชาธิปัตย์ก็อาจจะใช้สูตรสำเร็จบอกว่า “ไม่เลือกมาร์ค แม้วมาแน่” อะไรประมาณนั้น
ขณะเดียวกันประเด็น “ปรองดอง” ก็เป็นประเด็นสำคัญที่แทบทุกพรรคหยิบมาหาเสียงแต่ไม่มีพรรคใดเลยที่อธิบายคำว่า ปรองดองได้อย่างเป็นรูปธรรม
และเป็นที่น่าเสียดายว่านโยบายเรื่องอธิปไตยเรื่องดินแดน และกรณีปราสาทพระวิหารไม่มีพรรคใดพูดถึง...
4) “โหวตโน” หรือการไปลงเลือกตั้งแต่กาช่อง “ไม่ประสงค์จะลงคะแนน” กลายเป็นทางเลือกสำคัญของประชาชนที่เบื่อการเมืองแบบเก่าๆ และต้องการสร้างแรงสั่นสะเทือนให้สังคมตระหนักว่าจะต้อง “ปฏิรูปการเมือง-ปฏิรูปประเทศ” ครั้งใหญ่ คำถามก็คือจำนวนประชาชนที่โหวตโนครั้งนี้จะเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนเท่าใด จากเดิมเมื่อปี 2550 ที่อยู่ในระดับ 1 ล้านคะแนน
ณ จุดออกสตาร์ท นักสังเกตการณ์ทั่วๆ ไปคาดหมายว่าโหวตโนน่าจะโตขึ้นเป็น 100 เปอร์เซ็นต์ คือจาก 1 ล้านจะกลายเป็น 2 ล้านคะแนน แต่สุดท้ายหลายคนบอกว่ายังไม่แน่..ต้องดูเหตุปัจจัยตอนใกล้ๆ เลือกตั้งอีกครั้ง
5) ณ จุดออกสตาร์ทเลือกตั้งเช่นกัน ไม่เพียงโพลหลายสำนักเท่านั้น นักสังเกตการณ์ทั่วๆ ไปก็เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะพรรคประชาธิปัตย์ และไม่ใช่แพ้ชนะแบบสูสี 3-5 เสียงอย่างที่วงในของพรรคประชาธิปัตย์เชื่อกัน หากแต่จะชนะกันเป็นสิบๆ หรืออย่างน้อย 10 เสียงขึ้นไป ที่น่าจับตาก็คือ ถ้าแนวโน้มนี้เป็นจริงประชาธิปัตย์จะใช้อะไรเป็น “ตัวช่วย”
6) เลือกตั้งครั้งนี้ได้พิสูจน์ว่า บรรดานักการเมืองหรือกรรมการบริหารพรรคที่ถูกเว้นวรรคทางการเมืองอันเนื่องจากการยุบพรรคทั้งชุด 11 คน และ 109 คน ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ทรงบทบาทอยู่เบื้องหลังในการกำหนดทิศทางการเมืองในแต่ละพรรค เช่นเดียวกับบทบาทในก่อนหน้านี้ ดังนั้นบทบัญญัติของกฎหมายในกรณีนี้ยังจะถูกท้าทายและถกเถียงกันต่อไปว่า..ความหมายของการ “เว้นวรรค” เพราะถูกตัดสิทธิ 5 ปีนั้น จะนิยามกันอย่างไรแค่ไหน..??
7) คาดหมายกันว่านอกจากรายทางระหว่างการรณรงค์หาเสียงจะเกิดเหตุการณ์รุนแรงพอประมาณแล้ว กว่าจะประกาศผลเลือกตั้งก็คงมีการร้องเรียนกันมากเป็นประวัติการณ์และกกต.ก็คงต้องแสดงใบเหลือง-ใบแดงเป็นผลงาน ต้องมีการเลือกกันใหม่ในบางพื้นที่บางเขต...นี่คือยกที่หนึ่ง
และถ้าทุกอย่างว่าด้วยการเลือกตั้งผ่านไปได้ ยกที่สองยกสำคัญก็จะเกิดขึ้นนั่นคือศึกแย่งชิงการจัดตั้งรัฐบาล ถ้าแพ้ชนะกันสูสีระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับเพื่อไทยความร้อนแรงระดับปรอทแตกก็อาจจะเกิดขึ้น แต่ถ้าพรรคเพื่อไทยชนะขาดในระดับ20-30 เสียงก็คงจะหยุดพรรคเพื่อไทยลำบาก...ประเทศไทยก็จะเดินหน้าต่อไป และมีนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกชื่อ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ถ้าไม่มีอะไรสะดุด!?
-ฯลฯ-
-3-
อันที่จริงถ้าจะหมายเหตุถึงการเลือกตั้ง 3 ก.ค. 2554 กันจริงๆ ก็สามารถจับได้อีกหลายประเด็น เอาไว้เลือกตั้งเสร็จค่อยมาว่ากันให้เป็นกิจจะลักษณะอีกครั้งก็ยังไม่สายเกินไป
ผมต้องเรียนย้ำว่าผมไม่เคยปฏิเสธระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทนหรือการเลือกตั้ง คำถามมีเพียงว่าเราจะหยุดยั้งระบอบ “ธนาธิปไตย” ที่นำไปสู่ระบอบ “โจราธิปไตย” ปล้นบ้านปล้นเมืองได้อย่างไร และเปิดพื้นที่ให้กลุ่มสาขาอาชีพต่างๆ เข้าไปมีบทบาทได้บ้างอย่างไร?
วันนี้..นักการเมืองที่เคยต่อต้านระบอบ “ธนาธิปไตย” ต่อต้านคำว่า “ธุรกิจการเมือง” ได้ถูกกลืนหายตายคาระบบระบอบอันชั่วร้ายที่ว่าไปแทบหมดสิ้นแล้ว!!
samr_rod@hotmail.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น