++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ยอมเป็นก็เย็นได้

แม่

คำๆแรกที่คนเราทุกคนมักจะพูดถึงบ่อยที่สุดตั้งแต่หัดพูด และเป็นคำพูดเดียวที่ซึ้งกินใจที่สุดในโลก ไม่ว่าชาติใด ภาษาใดก็ตาม แม้จะต่างอักขระแต่ถ้าเป็นความหมายเดียวกันแล้วละก็ ใช่เลย
มีคนจำนวนมากพูดและเขียนถึงแม่ได้ลึกซึ้งกว่าเม้า แต่ที่ยังเขียนถึงแม่ของเม้าให้ท่านผู้อ่านได้อ่านอีกครั้งด้วยความระลึกถึง และรักแม่มากที่สุดในโลกจริงๆ
เผื่อว่าทุกคนจะร่วมระลึกถึงมือสองข้างที่โอบอุ้มพวกเรามาแต่ฝาหอย ประคบประหงมเลี้ยงดูอย่างแสนรัก
มีอะไรที่ดีที่สุดสำหรับแม่ก็จะให้พวกเราก่อน อย่างไม่ต้องคิดหรือนึกให้เสียเวลาแม้แต่น้อย เพราะหัวใจของแม่มีแต่พวกเราอยู่เต็มหัวใจ
เคยเล่าเรื่องของเม้าในวัยเด็กในตามหาแก่นธรรมมาหลายครั้งแล้ว และเม้าเองก็เคยพูดถึงแม่ไปบ้าง วันนี้มีโอกาสก็เลยเขียนมาเล่าให้ท่านผู้อ่านได้ฟังอีกครั้งหนึ่ง แต่ตอนที่เล่าแล้วจะไม่ขอเล่าซ้ำ จะขอผ่านไป
แม่ของเม้าเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง กล้าหาญ ซื่อสัตย์ รักษาคำพูดเป็นที่สุด ใจดีต่อทุกคน เป็นนักคิดและนักพัฒนาอย่างเหลือเชื่อ
ด้วยที่ว่ามีลูกเยอะจึงทำให้แม่แบกภาระหนักอึ้ง เพราะมีแต่งานให้ทำไม่รู้จักจบจักสิ้น ตั้งแต่เช้ายันดึก จนกระทั่งพวกเราพี่น้องจบการศึกษาในระดับปริญญาตรีและทำงานกันแล้ว ภาระทางกายของแม่จึงเริ่มทุเลาเบาบางลง
ด้วยลักษณะของแม่ที่เม้าเล่าให้ฟังข้างต้น แม่ก็จะถ่ายทอดให้ลูกแต่ละคนไป แล้วแต่ว่าใครจะรับได้มากน้อยแค่ไหน
ทุกครั้งที่เม้านั่งกระเทาะเปลือกบัวกับแม่ ก็จะได้ยินได้ฟังเรื่องราวของพี่ๆ แต่ละคนว่าไปทำอะไรมา แล้วทำได้ผลเป็นอย่างไรแค่ไหน
เม้าจึงรู้เรื่องราวลูกทุกคนของแม่เป็นอย่างดี และรู้ว่าแม่ห่วงใครมากน้อยแค่ไหน แม้แม่จะไม่พูดอะไรสักคำในเรื่องนี้
แม่มักจะเน้นเสมอเกี่ยวกับความซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาและจริงใจกับผู้คน จนเพื่อนๆหลายคนที่รักและที่ไม่รักเม้า ต่างพูดที่หลังว่าเม้าใจดีและจริงใจกับทุกๆคน
แม่มักพร่ำสอนให้รู้จักคำว่าช่างมันเถอะและยอม ตอนนั้นเม้าก็ได้แต่รับปากรับคำแม่ แต่เพิ่งมาเข้าใจในภายหลัง ซึ่งมันทำให้เม้ามีเพื่อนมากและคลายทุกข์ไปได้เยอะ แม่สอนเม้าหลายต่อหลา ยเรื่องรวมทั้งเรื่องการจัดการ
พอมาได้เรียนหนังสือในภายหลัง จึงสงสัยว่าสิ่งที่แม่สอนทำไมล้วนแล้วแต่อยู่ในหลักสูตรปริญญาโทการบริหารของมหาวิทยาลัยแทบทั้งนั้น ทั้งๆที่แม่นั่งเรือสำเภามาจากเมืองจีน พูดไทยไม่ค่อยได้
ด้วยความเป็นคนรักษาคำพูดเป็นที่่สุด แม่ของเม้าจึงมีเครดิตดีมาก เอ่ยปากกับใครในเรื่องหยิบยืมเงิน ไม่เคยผิดหวัง จนพวกเราผ่านสภาวะนั้นกันมาได้ และที่น่าประหลาดใจเป็นที่สุดก็คือคนที่แม่ไปหยิบยืมเงินมาล้วนกลายเป็นเพื่อนสนิทของแม่กันทั้งนั้น
แม่เป็นคนใจเย็นและมักจะมีคำตอบดีๆเสมอ จึงมีเพื่อนๆของแม่มานั่งปรับทุกข์ด้วยบ่อยๆ และก็หายกลุ้มกลับไป
แม่พูดให้ฟังเสมอว่าในวัยเด็กของแม่ แม่เป็นนักเล่นการพนันที่เก่งคนหนึ่ง แม่จึงเป็นคนกล้าได้กล้าเสีย แต่แม่ก็สอนไม่ให้ลูกๆเล่นการพนัน และด้วยลักษณะเช่นนี้จึงเห็นแม่แสดงความกล้าหาญอยู่บ่อยครั้ง เวลาจะออกหน้าเรื่องใดๆอย่างมีสติ
แม่สอนเม้าแทบทุกเรื่อง ตั้งแต่การคบเพื่อนจนถึงการตัดสินใจจะทำอะไรสักอย่าง แม่คงเป็นต้นแบบในความกล้าหาญของเม้าที่กล้าคิดกล้าทำ เมื่อคิดถี่ถ้วนแล้วจนทุกวันนี้
แม่มีเรื่องสะเทือนใจเข้ามาในชีวิตหลายต่อหลายครั้ง อย่างเช่นตอนที่แม่เล่าว่าได้ข่าวยายเสียแล้ว และแม่เก็ล่าให้เม้าฟังเพียงครั้งเดียวอย่างซึมๆบ่นเสียดายที่ไม่ได้กลับไปดูใจยายที่เมืองจีน ตั้งแต่นั้นมา แม่จึงตั้งความหวังว่าจะกลับเมืองจีนสักครั้ง
พี่ยีพี่ชายแสนดีของเม้ารู้เรื่องนี้ดี จึงได้ลางานหนึ่งอาทิตย์เพื่อพาแม่กลับไปพบญาติที่เมืองจีนในวัยใกล้ๆหกสิบปี
ตอนแรกแม่ตื่นเต้นมากที่จะได้ไปเยี่ยมญาติที่โน่น แม่เล่าให้ฟังว่ามีป้าคนหนึ่งที่เป็นพี่สาวของพ่ออายุกว่าเก้าสิบปีแล้ว รักแม่มาก อุตส่าห์เดินข้ามภูเขาตั้งสามลูกเพื่อมาพบแม่ทุกวันในตอนที่แม่กับพี่ยีอยู่เมืองจีน
และที่แม่ดีใจมากก็คือได้จัดโต๊ะจีนราคาเจ็ดร้อยบาทเลี้ยงพวกญาติๆที่มาให้การต้อนรับอย่าง อบอุ่น นี่เป็นสิ่งที่แม่มีความสุขมากอย่างหนึ่งในชีวิต แม่จึงเล่าได้หลายๆครั้งไม่รู้จักเบื่อ
เมื่อครั้งที่พี่ยีประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต แม่น้ำตาซึมเงียบมาหลายปี และทุกๆครั้งที่พูดถึงพี่ยี น้ำตาของแม่ก็ร่วงออกมาจากหัวใจ เพราะพี่ยีเป็นลูกชายแสนดีของแม่ที่ไม่เคยพูดคำว่าไม่กับแม่เลยสักครั้งเดียว อีกทั้งพี่ยียังเป็นที่รักในหมู่เพื่อนๆที่เรียกพี่ยีว่าเซอร์วิสแมน แม้กาลเวลาจะผ่านมากว่ายี่สิบปีแล้วก็ตาม เพื่อนๆของพี่ยีก็ยังพูดถึงและเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องของเขา คล้ายๆว่าพี่ยีเป็นตำนานของพวกเพื่อนๆ
จนมาถึงจุดหนึ่งแม่ก็หยุดร้องไห้ให้ดู เมื่อเม้าเป็นตัวแทนของพี่ยีได้ แม้จะไม่เทียบเท่าสักครึ่งหนึ่งของพี่ยีก็ตาม
แม่จะเป็นหลักของคนทั้งครอบครัว และทุกคนก็จะมารวมตัวกันในวันเกิดของแม่ทุกๆปีนอกเหนือการแวะมาเยี่ยมบ่อยครั้ง แม่จะมีความสุขมากในวันนั้น ถึงแม้เวลาลูกๆหลานๆจะทยอยกลับไปกันจนหมด แต่แม่ก็ไม่เคยนั่งซึมเซาเหมือนคนแก่บางคน เพราะแม่เข้าใจความจริงของการแยกย้ายจากกันดี
ทุกๆคำถามจะมีคำตอบดีๆจากแม่เสมอ แม้จะเป็นเรื่องที่นึกไม่ถึงเช่นการลาออกจากงาน ของเม้า แม่จะพูดสั้นๆว่าเมื่อคิดดีถี่ถ้วนแล้วก็ตัดสินใจเถอะ แล้วแต่ลูก แม่เชื่อลูกนะ
แม่เป็นอดทนมากแม้ยามเจ็บป่วย แม่ก็ยังนิ่งเฉยเสมอ แถมยังพูดอวดบ่อยๆกับเม้าว่าแม่คุม เบาหวานได้ดี จนหมอชม และขอดื่มเป็บซี่ที่แม่ชอบตั้งแต่ไหนแต่ไรหน่อยหนึ่ง
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่แม่ตกเตียง แม่เล่าให้เม้าฟัง แล้วแม่ก็บอกว่าไม่เป็นไร พอเม้าได้ฟังเช่นนั้นก็เลยขอเปิดดูข้างหลังของแม่ เม้าเห็นเนื้อตรงสะโพกเป็นสีม่วงจนตกใจ ก็พยายามชักชวนแม่ให้ไปหาหมอ แต่แม่ไม่ยอมและบอกว่าไม่มีอะไร แข็งแรงดี ภายหลังจากทายาให้แม่แล้วเม้าก็เชื่่อแม่และรอดูอาการก่อน เพราะแม่รู้ตัวเองดีที่สุด
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่แม่เจ็บตรงหัวไหล่แทบทนไม่ไหวและทำให้แม่ยกแขนไม่ขึ้น แม่จึงยอมให้เม้าพาไปหาหมอ ทำกายภาพอยู่หลายเดือนจึงหาย แต่แม่ไม่เคยปริปากบ่นสักคำ
ในวัยเจ็ดสิบสองปีแม่มีอาการเหนื่อยหอบ เม้าพาแม่ไปหาหมอที่ไว้ใจที่คลีนิคใกล้บ้าน หมอบอกว่าแม่ไม่เป็นไร หัวใจยังดี
อีกสักสิบนาทีแม่หมดแรงคอตก เม้าจึงรีบพาแม่ส่งไปโรงพยาบาล ภายหลังจากหาหมอแล้ว หมอจะให้แม่นอนในโรงพยาบาล แต่แม่ปฏิเสธ เม้าต้องให้พี่ชายคนถัดไปเกลี้ยกล่อมแม่เพราะเม้ามีประชุมด่วนใกล้โรงพยาบาล
สักพักแม่มีอาการหัวใจวายแบบนึกไม่ถึงแต่หมอช่วยไว้ทันเพราะรู้อาการดีอยู่แล้ว แม่จึงมีอายุยืนยาวเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของลูกมาถึงอายุแปดสิบหกปี
ในปีที่แปดสิบห้าของแม่ แม่บอกเม้าว่าจะอยู่กับเม้าอีกปีหนึ่งเท่านั้นเพราะร่างกายของแม่ มันไปไม่ไหวแล้ว หมดสภาพที่จะอยู่ต่อ แม่พูดอย่างหน้าตาเฉย แถมยังขอบใจเม้าที่จะอยู่กับแม่จนตายจากไป แม่ยังชมเม้าอีกนะว่าเป็นลูกที่ดีมากที่สุดคนหนึ่งและหาได้ยาก
วันที่เจ็ดเดือนเมษายนสองพันห้าร้อยสี่สิบห้า แม่มีอาการเดินเซ จะพาไปหาหมอ แต่แม่ว่าไม่เป็นไร พร่งนี้ค่อยไป
วันรุ่งขึ้นเม้าจึงอุ้มแม่ไปหาหมอ หมอบอกให้นอนในโรงพยาบาล แม่บอกไม่เป็นไร และแล้วก็เป็นวันสุดท้ายที่แม่จะคุยกับเม้าในชีวิตนี้
แม่มีอาการเส้นเลือดในสมองตีบในตอนแรก และติดเชื้อในกระแสเลือดในตอนหลัง อันเป็นระยะสุดท้ายในชีวิตของแม่ เม้าได้ป้อนน้ำส้มให้แม่ในวันที่เก้าและได้คุยกับแม่ฝ่ายเดียวว่าเม้ารักแม่แค่ไหนอย่างไร
ถึงแม่จะไม่รู้สึกตัวแล้วก็ตาม แต่แม่ก็ยังรับน้ำส้มจากมือของเม้าอย่างช้าๆ
ในวันที่สิบเดือนเมษายนแม่ก็จากไป ทุกระบบในร่างกายของแม่หยุดทำงาน แม่ของเม้าสอนลูกทุกอย่าง แม้กระทั่งการตายอย่างงดงาม แม่จ๋า...เม้ารักแม่ที่สุดในโลกเลยนะจ๊ะ

เม้า

คงหายคิดถึงเม้ากันบ้างที่ห่างหายไปจากแก่นธรรม แม้จะไม่ได้ไปไหน เรื่องที่เม้าเล่าเป็นเรื่องที่งดงามที่สุด และมีแม่เป็นอาจารย์คนแรกที่ดีที่สุด แม้กระทั่งลาจาก แม่ยังเป็นบุคคลที่แสดงธรรมได้อย่างงดงามในเรื่องของความไม่เที่ยงแท้แน่นอน พระพุทธองค์จึงทรงยกย่องว่าแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก พร้อมให้และให้อภัยลูกเสมอ และยังเป็นบุคคลที่แสดงความหมายแห่งคำว่ารักแท้ตรงความหมายที่สุด หากจะเกิดในชาติใดภพใดขอให้เม้ามีแม่เป็นกัลญาณมิตรทุกภพทุกชาติไป
สะมะชัยโย
ใบโพธิ์แก่นธรรม หลวงป๋ชา สุภัทโท (สัมมาทิฐิที่เยือกเย็น)

แต่ก่อนผมเคยอยู่กับพวกพระมาก ผมก็ไม่สบายรวนเรหนีไปตามป่าตามเขา หนีจากพวก จากเพื่อน เห็นไปว่าภิกษุสามเณรก็ไม่เหมือนใจเรา ปฏิบัติไม่เก่งเหมือนเรา มีความประมาท คนโน้นเป็นอย่างนี้ คนนี้เป็นอย่างนั้น ก็เป็นเหตุอย่างหนึ่งให้เราวุ่นวาย เป็นเหตุให้หนีไปเรื่อยๆไปอยู่องค์เดียวก็มี สององค์ก็มี ก็ไม่มีความสบาย ไปอยู่องค์เดียวก็ไม่สบายไปอยู่หลายองค์ก็ไม่สบาย ไปอยู่ที่เอกลาภมาก เยอะแยะก็ไม่สบาย ไปอยู่ที่เอกลาภไม่มากไม่น้อยก็ไม่สบาย ความไม่สบายนี้เราก็นึกว่ามันเป็นเพราะเพื่อน เป็นเพราะอารมณ์ เป็นเพราะที่อยู่ เป็นเพราะอาหาร เป็นเพราะอากาศ เป็นเพราะนั้น เป็นเพราะนี้ เราคิดว่ามันเป็นเช่นนั้น เราก็แสวงหาไปตามเรื่องของเราเรื่อยๆ

แต่ก่อนเป็นพระธุดงค์ ธุดงค์ไปแล้วก็ไม่สบาย ภาวนาไป พิจารณาไป ทำอย่างไรจึงจะสบายหนอ พิจารณาอยู่อย่างนี้ อยู่มากคนก็ไม่สบาย อยู่อากาศเย็นก็ไม่สบาย อากาศร้อนก็ไม่สบาย เพราะอะไรหนอ ไม่เห็นเสียแล้ว ทำไมมัน จึงไม่สบาย? ก็เพราะมันเป็นมิจฉาทิฐิมีความเห็นผิด เพราะตัวเรานี้ยังยึดธรรมอันมีพิษอยู่นั่นเอง ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่สบาย ว่าตรงนั้นไม่ดี ตรงนี้ไม่ดีอยู่เรื่อยไป มันไปให้โทษคนอื่นเขา มันไปให้โทษอากาศ มันไปให้โทษความร้อน มันไปให้โทษความเย็น มันไปให้โทษทุกสารพัดอย่าง เหมือนกับหมาบ้า หมาบ้ามันทันอะไรมันก็กัด เพราะมันเป็นบ้า เป็นเช่นนี้แหละ

ฉะนั้น เมื่อพวกเราทั้งหลายปฏิบัติ จึงมีจิตกระสับ-กระส่ายอยู่เรื่อยไป วันนี้สบาย พรุ่งนี้ไม่สบาย มันก็เป็นของมันอยู่เช่นนี้เรื่อยไป ไม่ได้ความสบายไม่ได้ความสงบ มานึกถึงพระพุทธเจ้าท่านประทับอยู่ที่แห่งหนึ่ง ประชุมภิกษุสงฆ์ตอนบ่าย ตอนเย็นมาท่านเห็นหมาป่าตัวหนึ่ง วิ่ง ออกมาจากป่า มายืนอยู่แล้วก็วิ่งเข้าไปในพุ่มไม้ แล้วก็วิ่ง ออกมา แล้ววิ่งเข้าไปในโพรงไม้ เข้าไปอยู่ในโพรงไม้สักประเดี๋ยว ก็วิ่งออกมาแล้วก็เข้าไปอยู่ในถ้ำ ประเดี๋ยวก็วิ่ง ออกมา เดี๋ยวก็ยืนอยู่เดี๋ยวก็วิ่งไป เดี๋ยวก็นอนเดี๋ยวก็ลุก เพราะหมาป่าตัวนั้นเป็นขี้เรื้อนมันเป็นโรคเรื้อน ยืนอยู่ก็ถูกตัวเรื้อนมันไชกินเนื้อกินหนัง มันยืนอยู่ประเดี๋ยวก็ไม่สบาย วิ่งไปไม่สบายก็หยุดอยู่ หยุดอยู่ไม่สบายก็นอน นอนไม่สบายก็ลุกขึ้น ลุกขึ้นแล้วก็เข้าไปในพุ่มไม้ไปนอนอยู่ ประเดี๋ยวเดียวแล้วก็วิ่งหนี ว่าพุ่มไม้นั้นไม่ดี แล้วก็เข้าไปในโพรงไม้ สักพักหนึ่ง ตัวขี้เรื้อนมันก็ใชก็กินเนื้อกินหนังมันอยู่เรื่อย แล้วก็ลุกไปอีก วิ่งเข้าไปในถ้ำ

พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ท่านเห็นไหมว่าเมื่อตอนเย็นวันนี้หมาป่าตัวหนึ่งมันเดินอยู่ที่นี่ เห็นไหม? มันจะยืนอยู่มันก็เป็นทุกข์ มันจะวิ่งไปมันก็เป็นทุกข์ มันจะนั่งอยู่ก็เป็นทุกข์ มันจะนอนอยู่ก็เป็นทุกข์ มันจะเข้าไปอยู่ในพุ่มไม้ก็เป็นทุกข์ เข้าไปในโพรงไม้มันก็เป็นทุกข์ จะเข้าไปอยู่ในถ้ำก็ไม่สบาย มันก็เป็นทุกข์ เพราะมันเห็นว่าการยืนอยู่นี้ไม่ดี การนั่งไม่ดี การนอนไม่ดี พุ่มไม้นี้ ไม่ดี โพรงไม้นี้ไม่ดี ถ้ำนี้ไม่ดีมันก็วิ่งอยู่ตลอดเวลานั้น ความเป็นจริงหมาป่าตัวนั้นมันเป็นขี้เรื้อน มันไม่ใช่เป็นเพราะพุ่มไม้ หรือโพรงไม้ หรือถ้ำ หรือการยืน การเดิน การนั่ง การนอน มันไม่สบายเพราะมันเป็นขี้เรื้อน

พระภิกษุทั้งหลายนี้ก็เหมือนกัน ความไม่สบายนั้นคือความเห็นผิด ที่มีอยู่ ไปยึดธรรมที่มีพิษไว้มันก็เดือดร้อนไม่สำรวมสังวรอินทรีย์ทั้งหลาย แล้วก็ไปโทษแต่สิ่งอื่น ไม่รู้เรื่องของเจ้าของเอง ไปอยู่วัดหนองป่าพงก็ไม่สบาย ไปอยู่อเมริกาก็ไม่สบาย ไปอยู่กรุงลอนดอนก็ไม่สบาย ไปอยู่วัดป่าบุ่งหวายก็ไม่สบาย ไปอยู่ทุกๆสาขาก็ไม่สบาย ที่ไหนก็ไม่สบายนี่ก็คือความเห็นผิดนั้นยังมีอยู่ในตัวเรานั้นเอง มีความเห็นผิดยังไปยึดมั่นถือมั่นในธรรมอันมีพิษไว้ในใจของเราอยู่ อยู่ที่ไหนก็ไม่สบายทั้งนั้น นั่นคือเหมือนกันกับสุนัขนั้น ถ้าหากโรคเรื้อนมันหายแล้ว มันจะอยู่ที่ไหนมันก็สบาย อยู่ในกลางแจ้งมันก็สบาย อยู่ในป่ามันก็สบายอย่างนี้ ผมนึกอยู่บ่อยๆแล้วผมก็นำมาสอนพวกท่านทั้งหลายอยู่เรื่อย เพราะธรรมดาตรงนี้มันเป็นประโยชน์มาก


หมายเหตุแก่นธรรม

ผ้าป่าสามัคคีแก่นธรรมสามกอง โปรดอย่าลืมนะครับ ถ้าคิดจะร่วมกันในกองบุญสามกองนี้ใกล้กำหนดทอดผ้าป่าแล้วครับ เหลือเวลาอีกไม่ถึงสองอาทิตย์เท่านั้น หากเลยกำหนดก็สา มารถไปทำบุญต่อโดยตรงได้ที่วัดและที่โรงพยาบาลนะครับ เพราะเราจะปิดกองกันวันที่กำหนดทอดครับ
กองแรก ซ่อมโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ที่วัดแค นางเลิ้งหรือวัดสุนทรธรรมทาน ที่สร้างกับมือโดยพระเดชพระคุณหลวงปู่ธูป เขมสิริ (อดีตพระราชธรรมวิจารณ์) ที่ท่านปีนหลังคา ก่ออิฐโบกปูนเอง ขณะนี้ทรุดโทรมไปตามกาลมากแล้ว
กองที่สองและกองที่สาม บริจาคเงินให้แก่ผู้ป่วยอนาถาโรงพยาบาลจุฬาฯและโรงพยาบาลรามาฯ
กำหนดทอดที่วัดแคนางเลิ้ง ในวันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม 2554 นี้ เวลา10.00น.ที่กุฎิท่านเจ้าอาวาสและถวายเพลพระภิกษุ 3 รูปอย่างเรียบง่าย
นอกจากนี้ยังเป็นการแสดงมุทิตาจิตต่ออาจารย์หลวงตาช้วน (พระครูวิจารณ์วรกิจ)เจ้าอาวาสที่จะมีอายุครบ 82 ปีในวันที่ 19 พฤษภาคม 2554นี้ ผู้ที่เป็นลูกศิษย์หรือท่านผู้อ่านท่านใดอยากกราบพระสุปฏิปันโนอีกรูปหนึ่ง เชิญนะครับ
ขอเชิญผู้มีจิตศรัทธามาร่วมงานด้วยหรือจะบริจาคเงินเข้าบัญชีกระแสรายวันของคุณสมชาย สเวกกุลชล ธนาคารกรุงเทพ ซอยอารีเลขที่ 127-3-09083-5 ก็ได้นะครับ และหากท่านใดมีความประสงค์จะได้รับใบเสร็จหรือใบอนุโมทนาบัตร ได้โปรดแจ้งมายังคุณสมชายด้วยนะครับ
บุญกุศลใดที่ได้ร่วมกันทอดผ้าป่าในครั้งนี้ ขออัญเชิญคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก จงดลบันดาลให้ท่านทั้งหลายและครอบครัวมีความสุขกายและสุขใจ มีปัญญารู้รอบ และเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น