คติธรรม 18 พระอาจารย
๑. หลวงปูเสาร กนฺตสีโล
วิปสสนานี้ มีผลอานิสงสใหญยิ่งกวาทาน ศีล พรหม
วิหารภาวนา ยอมทําใหผูเจริญนั้นมีสติไมหลงเมื่อทํา
กาลกิริยา มีสุคติภพ คือ มนุษยและโลกสวรรคเปนไป
ในเบื้องหนา หากยังไมบรรลุผลทําใหแจงซึ่งพระ
นิพพาน ถาอุปนิสัยมรรคผลมี ก็ยอมทําใหผูนั้นบรรลุ
มรรคผล ทําใหแจงซึ่งพระนิพพานไดในชาตินี้นั่น
เทียว
อนึ่ง ยากนักที่จะไดเกิดเปนมนุษย เพราะตองตั้งอยูใน
ธรรมของมนุษย คือ ศีล ๕ และกุศลกรรมบท ๑๐ จึง
จะไดเกิดมาเปนมนุษย ชีวิตที่เปนมานี้ ก็ไดดวยยาก
ยิ่งนักเพราะอันตรายชีวิตทั้งภายใน ภายนอกมีมาก
ตางๆ การที่ไดฟงธรรมของสัตตบุรุษคือ พระสัมมาสัม
พุทธเจานี้ก็ไดยากยิ่งนัก เพราะกาลที่วางเปลาอยู ไม
มีพระพุทธเจาเกิดขึ้นในโลกยืดยาวนานนัก บางคาบ
บางสมัย จึงจะมีพระพุทธเจาเกิดขึ้นในโลกสักครั้งสัก
คราวหนึ่ง เหตุนั้นเราทั้งหลายพึงอยูดวยความไมประมาทเถิด อยาใหเสียทีที่ไดเกิดมาเปน
มนุษยพบพระพุทธศาสนานี้เลย
๒. หลวงปูมั่น ภูริทตฺโต
การบํารุงรักษาสิ่งใดๆ ในโลก...การบํารุงรักษาตนคือ ใจ
เปนเยี่ยม จุดที่เยี่ยมยอดของโลกคือ ใจ ควรบํารุงรักษา
ดวยดี
ไมวาธรรมสวนใด ถาสําคัญ ...ตน...วาเสวยเปนอันผิด
ทั้งนั้น
ติดดี นี่แกยากกวาติดชั่วเสียอีก
Page 2
๓. หลวงปูดูลย อตุโล
สวนธรรมะ ใหดูที่จิตของตัวเอง ปฏิบัติที่จิต เมื่อเขาใจ
จิตแลว อยางอื่นก็เขาใจเอง หลักธรรมที่แทจริงนั้นคือ
จิต ใหกําหนดดูจิต ใหเขาใจจิตตัวเองสึกซึ้งแลว นั่น
แหละไดแลวซึ่งหลักธรรม
ถึงจิตไมสงบก็ไมควรใหมันออกไปไกลใชสติระลึกไป
แตในภายในกายนี้ ดูใหเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อสุภ
สัญญา หาสาระ แกนสารไมได เมื่อจิตมองเห็นชัดแลว
จิตก็เกิดความสลดสังเวช เกิดนิพพิทา ความหนาย
คลายกําหนัด ยอมตัดอุปาทานขันธไดเชนเดียวกัน
การศึกษาธรรมดวยการอานการฟง สิ่งที่ไดก็คือ สัญญา
(ความจําได) การศึกษาธรรมดวยการลงมือปฏิบัติ สิ่งที่
เปนผลของการปฏิบัติคือ ภูมิธรรม
การปฏิบัติ ใหมุงปฏิบัติเพื่อสํารวม เพื่อความละ เพื่อ
ความคลายกําหนัดยินดี เพื่อความดับทุกข ไมใชเพื่อเห็นสวรรควิมาน หรือแมพระนิพพานก็ไม
ตองตั้งเปาหมายเพื่อจะเห็นทั้งนั้น ใหปฏิบัติไปเรื่อยๆ ไมตองอยากเห็นอะไร เพราะนิพพานมัน
เปนของวาง ไมมีตัวตน หาที่ตั้งไมมี หาที่เปรียบไมได ปฏิบัติไปจึงจะรูเอง
ผูที่ปฏิบัติที่แทจริงนั้น ไมจําเปนตองคํานึงถึงชาติหนาชาติหลัง หรือนรก สวรรคอะไรก็ได ให
ตั้งใจปฏิบัติใหตรงศีล สมาธิ ปญญา อยางแนวแนก็พอ ถาสวรรคมีจริงถึง ๑๖ ชั้นตามมตํารา ผู
ปฏิบัติดีแลวยอมไดเลื่อนฐานะของตนโดยลําดับ หรือถาสวรรคนิพพานไมมีเลย ผูปฏิบัติดีแลว
ในขณะนี้ก็ยอมไมไรประโยชน ยอมอยูเปนสุข เปนมนุษยชั้นเลิศ
๔. หลวงปูเทสก เทสฺรํสี
ตามกระแสพระธรรมเทศนาของสัมมาสัมพุทธเจาวา
ทุกขเปนของไมควรละ แตเปนของควรตอสู ความ
ทะยานอยากไดสุขหรือไมอยากใหมีทุกขตางหาก เปน
ของควรละ ผูที่จะพนจากทุกขไดในโลกนี้ ก็ลวนแลวแต
ยกทุกขขึ้นมาเปนเหตุทั้งนั้น
ทุกขกับความเพียรเทานั้นที่มีคามากในโลกนี้ หากไมมี
ทุกขกับความเพียรเสียแลว ใครๆ ในโลกนี้ จะไมทํา
ความดีเพื่อพนทุกขในโลกนี้และโลกหนา ตลอดถึงพระ
นิพพาน
แทจริงความนึกคิดไมใชทุกข แตการไปยึดความนึกคิด
มาเปนของตน จึงเปนทุกข
หลักอนัตตา ในทางพระพุทธศาสนาที่พระพุทธเจาตรัสรู
ดวยปญญาอันชอบ พระองคมิไดตรัสวาอนัตตาเปนของ
ไมมีตนไมมีตัว เปนของวางเปลา พระองคตรัสวา ตนตัวคือ รางกายของคนเรา อันไดแกขันธทั้ง
๕ นี้ มันมีอยูแลว แตจะหาสิ่งเปนสาระในขันธ ๕ นั้นไมมี ดังนี้ตางหาก
การเห็นความฟุงซานของจิตนั้นคือ ...ปญญาชั้นตน...
คนใดวาตนดี คนนั้นยังไมดี ใครวาตนวิเศษวิโส หรือฉลาดเฉียบแหลม คนนั้นคือ คนโง
Page 3
๕. หลวงปูขาว อนาลโย
สติเปนแกนของธรรม แกนของธรรมแทอยูที่สติ ใหพา
กัน หัดทําใหดี ครั้นมีสติแกกลาดีแลว ทําก็ไมพลาด
คิดก็ไมพลาด กุศลธรรมทั้งหลายจะเกิดขึ้น เมื่อบุคคล
อยูกับสติแลว สติเปนใหญ สติมีกําลังดีแลว จิตมันรวม
เพราะสติคุมครองจิต
๖. หลวงปูแหวน สุจิณฺโณ
เวลากิเลสมันเกิดขึ้น เกิดขึ้นทางกาย เกิดขึ้นทางวาจา
เกิดขึ้นทางใจ รูทันมันเดี๋ยวนี้ มันก็ดับไปเดี๋ยวนี้แหละ
ตัวสติมันปกครองอยูเสมอ ถามีสติอยูทุกเมื่อ มันบได
คุบมันหละ ครั้นเกิดขึ้น รูทันมันก็ดับ รูทันก็ดับ รูทันก็
ดับ คิดผิดก็ดับ คิดถูกก็ดับ พอไจไมพอไจก็ดับลงทันที
ที่ตัวสติ
๗. ทานพอลี ธมฺมธโร
เมื่อมนุษยเปนคนไมดี แมวัตถุเหลานั้นจะเปนของดีก็ตาม
มันจะกลับกลายเปนโทษแกปวงชนไดเหมือนกัน
ถามนุษยมีธรรมประจําใจ สิ่งทั้งหลายที่ใหโทษก็จะ
กลายเปนประโยชน
พวกเราทั้งหลายไมมีความสัตยความจริงตอดัวเอง จึง
มิไดประสบสุขอันแทจริงเหมือนอยางพระพุทธองค เรา
บอกกับตัวเองวา อยากไดความสุข แตเราก็โดดเขาไปสู
กองไฟรอน เรารูวาสิ่งนั้นๆ เปนยาพิษ แตเราก็ดื่มมันเขา
ไป นี่แหละเปนการทรยศตอตัวเอง
Page 4
๘. ทานเจาคุณนรรัตนราชมานิต
คําวา ...ไมสบายใจ... อยาใช และอยาใหมีขึ้นในใจตอไป
...Let it go, and get it out !... กอนมันจะเกิด ตอง ...Let it
go...ปลอยใหมันผานไป อยารับเอาความไมสบายใจไว
ที่จะทําอะไรไมผิดนั้น ขอสําคัญอยูที่สติถามีสติคุมครองกาย
วาจา ใจ อยูทุกขณะ จะทําอะไรไมผิดพลาดเลย ที่ผิดพลาด
เพราะขาดสติคือ เผลอ เหมอ เลินเลอ ประมาท ระเริง หลงลืม
จึงผิดพลาด จงนึกถึงคติพจนวา ...กุมสติตางโลปอง อาจ
แกลวกลางสนาม...
ตองฝกหัดแกไขปรับปรุงจิตใจเสียใหมทั้งกอนที่จะทําอะไร
หรือกําลังกระทําอยู และเมื่อเวลากระทําเสร็จแลว ตองหัดให
จิตใจ แชมชื่นรื่นเริง เกิดปติปราโมทย เปนสุขสบายอยูเสมอ
เปนเหตุใหเกิดกําลังกาย กําลังใจ ...Enjoy living...มีชีวิตอยู
ดวยความเบิกบาน สมองจึงจะเบิกบาน จะศึกษาเลาเรียนก็เขาใจงายเหมือนดอกไมที่แยมบาน
ตองรับหยาดน้ําคาง และอากาศอันบริสุทธิ์ฉะนั้น
...จงเลือกทําแตกรรมที่ดีๆ นะ...เปนคําแทนคําอวยพรอยางสูงสุด ประกอบดวยเหตุผล เมื่อทํา
กรรมดีแลว ไมใหพรก็ตองดี เมื่อทําชั่วแลว จะมาเสกสรรปนแตงอวยพรอยางไร ก็ดีไมได ทําชั่ว
เหมือนกอนหินจะตองจมทันที ไมมีผูวิเศษใดๆ จะเสกเปาอวยพร ขอรองใหหินลอยขึ้นมาได ทํา
กรรมชั่วตองลนจมปน???เสียราศีเกียรติคุณชื่อเสียง เหมือนกอนหินหนักจมลงไปอยูกับโคลนใต
น้ํา
๙. หลวงปูฝน อาจาโร
เราเปนผูกอกรรม กอเวร กอภัย ไมมีใครกอให ไมใช
เทวบุตร เทวธิดาสรางให พี่นองสรางให บิดามารดา
สรางให เราสรางเอง
Page 5
๑๐. หลวงปูคําดี ปภาโส
ความจริงจิตใจของเราเองเปนตัวกอทุกข สังเกตได
จากพระอรหันตสาวกทั้งหลาย เมื่อทานมีความรู มี
ปญญาคุมครองรักษาใจทานดีแลว ทานก็ไมมีทุกข
เพราะทานไมปรารถนาในสิ่งตางๆ เมื่อเราประสบกับ
รูป กลิ่น เสียง หรืออื่นๆ ก็เพราะใจเรามีตัณหา
ปรารถนา ทะเยอทะยาน ยินดียินรายในสิ่งเหลานั้น
ทําใหเราเปนทุกข
ไมใชวารูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ หรือสิ่งอื่นๆ ที่
จะไดมาเผาเราใหรอนเปนทุกข ตัวของเราเองที่เปน
ไฟมาคอยเผาตัวเอง
การภาวนา ทานตองการใหเราปราบกิเลสของเรา
เทานั้น คือเห็นความโลภ เห็นความโกรธของตน เห็น
ความหลงของตน เห็นราคะตัณหาของตน เห็น
มานะทิฏฐิของตน
นี่แหละ บรรดาสิ่งสมมติที่เราไปยึดถือวาเปนกรรมสิทธิ์ของเรานั้น ก็จะไดเพียงชีวิตหนึ่งๆ
เทานั้น ไมวาจะเปนสามีภรรยา หรือสมบัติตางๆ เมื่อเราตายไปแลว เราจะยึดถือเปนกรรมสิทธิ์
ของเราอีกไมได เราจะเอาสิ่งตางๆ เหลานั้นติดตามไปสวรรค นรก หรือที่ไหนๆ ก็ไมได ตรงกับ
คําวา ...สมบัติของโลก ก็ตองอยูในโลก...
๑๑. หลวงพอดู พฺรหฺมปฺโญ
...โลกเทาแผนดิน ธรรมเทาปลายเข็ม...
เรื่องโลกมีแตเรื่องยุงของคนอื่นทั้งนั้น ไมมีที่สิ้นสุด เรา
ไปแกไขเขาไมได
สวนเรื่องธรรมนั้นมีที่สุด มาจบที่ตัวเรา ใหมาไลดูตัวเอง
แกไขตัวเราเอง ตนของตนเตือนตนดวยตนเอง
ถาเปนโลกแลว จะมีแตสงออกไปขางนอกตลอดเวลา
แตถาคิดสิ่งที่เปนธรรมแลว ตองวกกลับเขามาหาตัวเอง
เพราะธรรมแทๆ ยอมเกิดในตัวของเรานี่ทั้งนั้น
รอใหแกเฒาหรือจวนตัวแลวจึงสนใจภาวนา ก็เหมือน
คนหัดวายน้ําเอาตอนเรือหรือแพใกลแตก มันจะไมทัน
การณ
Page 6
๑๒. หลวงปูสิม พุทฺธาจาโร
เมื่อสิ่งที่ไมเที่ยงนั้นแหละมาถึงบุคคลใด บุคคลนั้น
จะตองรูเทาทัน อยาไปยึดเอาถือเอา เมื่อไปยึดสิ่งได
ถือสิ่งไดสิ่งนั้นไมเปนไปตามใจหวัง ก็เกิดความทุกข
ขึ้นมา ถาไมยึดเอาถือเอา เห็นวา ทุกสิ่งทุกอยางยอมมี
ความไมเที่ยงอยางนี้ มีความเกิดขึ้น ตั้งอยูแลวดับไป
เกิดขึ้นใหม ตั้งอยู ก็ดับไป เกิดขึ้นแลวก็ดับไป เปนอยู
อยางนี้ทุกสิ่งทุกอยาง ไมวาคน สัตว วัตถุธาตุทั้งหลาย
มีความไมเที่ยงแทแนนอนอยางนี้
วันเวลาที่หมดไปสิ้นไป โดยไมไดทําอะไรที่เปน
คุณประโยชนแกตัวเองบางในชีวิตที่เกิดมาในโลก และ
ไดพบพระพุทธศาสนานี้ชางเปนชีวิตที่นาเสียดายยิ่งนัก
เวลาแมเพียงหนึ่งนาทีที่ผานไปนั้น แมวาจะทุมเงิน
จํานวนมหาศาลสักสิบลาน รอยลานบาท ก็ไมสามารถ
ซื้อกลับคืนมาได ฉะนั้น สิ่งที่นาเสียดายในโลกนี้ จะมี
อะไรนาเสียดายเทากับปลอยวันเวลาผานเลยไปโดย
เปลาประโยชน แมวาจะเพียงแคนาทีเดียว
...มรณกรรมฐาน... นี้เปนยอดกรรมฐานก็วาได คนเราเมื่ออาศัยความประมาทมัวเมา ไมได
มองเห็นภัยอันตรายจะมาถึงตน คิดเอาเอง หมายเอาเองวา เราคงไมเปนอะไรงายๆ เราสบายดี
อยูเรายังเด็กยังหนุมอยู ความตายคงไมกล้ํากรายไดงาย อันนี้เปนความประมาทมัวเมา
๑๓. ทานอาจารยพระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน
ธัมมะทานสอนใหดูตัวเอง ระวังตัวเอง จะไดเห็นความ
บกพรองของตัวเอง แลวแกไขตัวเองไปเรื่อยๆ จนสมบูรณ
ได
Page 7
๑๔. ทานพอเฟอง โชติโก
กอนที่จะพูดอะไร ใหถามตัวเองวาที่จะพูดนี้จําเปนหรือ
เปลา ถาไมจําเปนก็อยาพูด นี่เปนขั้นตนของการอบรม
ใจ เพราะถาเราควบคุมปากตัวเองไมได เราจะควบคุมใจ
ไดอยางไร
ไปกี่วัดกี่วัด รวมแลวก็วัดเดียวนั่นหละคือ วัดตัวเรา
จิตเปรียบเหมือนพระราชา อารมณทั้งหลายเปรียบ
เหมือนเสนา เราอยาเปนพระราชาที่หูเบา
มัวแตนึกถึงวันเกิด ใหนึกถึงวันตายเสียบาง
ของดีจริงไมตองโฆษณา คนชอบขายความดีตัวเอง ที่
จริงขายความโงของตัวเองมากกวา คมใหมีในฝก ใหถึง
เวลาที่จะตองใชจริงๆ จึงคอยชักออกมา จะไดไมเสียคม
สักวันหนึ่งความตายจะมาถึงเรา มาบีบบังคับใหเราปลอยทุกสิ่งทุกอยาง ฉะนั้น เราตองหัดปลอย
วางลวงหนาใหมันเคย ไมอยางนั้น พอถึงเวลาไปจะลําบาก
เวลาเราทํางานอะไรอยู ถาเราสังเกตวาใจเราเสีย ก็ใหหยุดทันที แลวกลับมาดูใจของตนเอง เรา
ตองรักษาใจของเราไวเปนงานอันดับแรก
คนอื่นเขาดาเรา เขาก็ลืมไป แตเราไปเก็บมาคิด เหมือนเขาคายเศษอาหารทิ้งไปแลว เราไปเก็บ
มากิน แลวจะวาใครโง
๑๕. หลวงพอชา สุภทฺโท
ผูไปยึดอารมณจะเปนทุกข เพราะอารมณมันไมเที่ยง
ดูซิ...เราขามกันไปหมด พากันทําบุญ แตวาไมพากันละ
บาป ผาสกปรกไมฟอก แตอยากจะรับน้ํายอมนะ
ที่เรามาปฏิบัติกันอยูทุกวันนี้ ก็เพื่อใหเห็นจิตเดิม เราคิดวา
จิตเปนสุขจิตเปนทุกข แตความจริงจิตไมไดสรางสุขสราง
ทุกข อารมณมาหลอกลวงตางหาก มันจึงหลงอารมณ
ฉะนั้น เราจึงตองมาฝกจิตใจใหฉลาดขึ้น ใหรูจักอารมณ
ไมใหเปนไปตามอารมณ จิตก็สงบ
การทําจิตใจของเราใหมีกําลัง กับการทํากายของเราใหมี
กําลัง มันตางกัน การทํากายใหมีกําลังก็คือ การออกกําลัง
กายทํากายบริหาร มีการกระโดด การวิ่ง นี่คือการทํากาย
ใหมีกําลัง การทําจิตใจใหมีกําลังก็คือ ทําจิตใหสงบ ไมใชทําจิตใหคิดนั่น คิดนี่ไปตางๆ ใหอยู
ในขอบเขตของมัน เพราะวาจิตของเรานั้นไมเคยไดสงบ ไมเคยมีกําลัง มันจึงไมมีกําลังทางดาน
สมาธิภายใน
Page 8
๑๖. หลวงปูหลา เขมปตฺโต
มองตัวเองใหมากจึงจะกลายเปนคนดีได มัวแตมอง
ทานผูอื่นแลวไซร ก็กลายเปนคนพาลไป ไมรูตัว
เพราะนิสัยคนพาลยอมเพงโทษผูอื่นเปนวัตร โบราณ
ทานกลาววา อุจจาระของตนนั่งดมอยูก็พอดม
อุจจาระทานผูอื่นเลา มากระทบจมูกเขาก็เกิดเปนพิษ
เปนภัยขึ้น (โลกทั้งปวงยอมเปนแบบนี้เปนสวนมาก)
ถาหากโลกทั้งปวงหนักไปทางสอนตนเองเปนชั้นหนึ่ง
และเปนของจําเปนมากกวาสิ่งใดๆ แลว การโตเถียง
เกี่ยงงอนรังเกียจเบียดสีกัน ก็คงสงบไปในตัว
เทาที่ควร และพุทธศาสนาก็ยืนยันวา ...สอนตนดีแลว
จึงสอนทานผูอื่น...จึงไมเดือดรอนในภายหลัง
เรื่องอุปสรรคในโลกทั้งปวง และก็เปนยาวิเศษทั้งปวง
ไปในตัว เปนเหตุใหเข็ดหลาบโลกทั้งปวงไปในตัว
แบบถี่ถวนแยบคายดวยซ้ํา
มุงดีในโลกียเปนทางวนเวียน มุงดีในทางโลกุตตระเปนทางพนทุกข
๑๗. พระอาจารยบุญกู อนุวฑฺฒโน
เราไปเขาโรงเรียน เพียรศึกษาวิชาการ แลวมุงทํางาน
อาชีพ เรายอมไดเงินทองเพื่อมาเลี้ยงรางกาย เราเขาวัด
เพียรศึกษาธรรมะ แลวมุงทําบุญกุศล เรายอมเสียเงิน
ทองเพื่อเลี้ยงจิตใจ ผูใดมุงเลี้ยงแตรางกาย หรือบํารุงแต
จิตใจเพียงอยางเดียว ความเจริญของชีวิตยอมขาดตก
บกพรองไป หากผูใดเขาใจเลี้ยงทั้งรางกายและบํารุง
จิตใจพรอมกัน ความเจริญของชีวิตยอมเพิ่มพูนยิ่งขึ้น ยัง
มีชีวิตอยูก็สบาย ตายไปก็ตองเปนสุข
Page 9
๑๘. พุทธทาสภิกขุ
วิธีชุบชีวิตยามมีทุกข คนเราเกิดมาชาติหนึ่ง ถารูจักแต
ทํามาหากินเลี้ยงรางกายอยางเดียว ไมรูจักแสวงหา
ธรรมะมาหลอเลี้ยงจิตใจใหสุขสงบเย็นดวยแลว การ
เกิดมานั้น ก็จะเปนการเกิดมาเพื่อทนทุกขทรมานติดคุก
ติดตาราง ในทางวิญญาณชนิดหนึ่งไปจนตาย ทุกๆ
ชาติทีเดียว เพราะถาไมรูจักทําจิตใจใหสงบตามธรรม
บางแลว แมคนรวยที่อยูตึกก็มีความสุขสูคนจนที่อยู
กระทอมซอมซอไมได
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น