++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เหตุที่ต้องโหวตโน โดย ราวี เวียงพยัคฆ์

อีกเพียง 2 สัปดาห์ก็จะถึงวันเลือกตั้งทั่วไป 3 กรกฎาคม ที่ กกต.กำหนดให้เป็นวันเลือกตั้งแล้วครับ

นานมาแล้ว (หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516) เราอาจจะตื่นเต้น หลังการเลือกตั้งก็จะมีรัฐบาลใหม่ การเลือกตั้งจะเป็นการแสดงอำนาจของประชาชนที่จะตัดสินใจเลือกใครมาเป็นนายกรัฐมนตรี ใครมาเป็นรัฐบาลบริหารประเทศแทนรัฐบาลทหาร (ถนอม/ ประภาสซึ่งสืบทอดอำนาจมาจากสฤษดิ์ หลังการรัฐประหาร 16 กันยายน 2500)

ตอนนั้นเราคิดแต่ว่าขอเพียงมีรัฐธรรมนูญแทนธรรมนูญการปกครองของทหารซึ่งมีมาตรา 17 ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีเป็นทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร และเป็นศาลเสียเอง จะออกกฎหมายก็เพียงสั่งสภานิติบัญญัติที่แต่งตั้งไว้เองจัดการให้ จะบริหารบ้านเมืองขึ้นเขาลงห้วยอย่างไรก็อยู่ที่ความพอใจของนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีตำแหน่งผู้บัชาการทหารบก หรือผู้บัญชาการทหารสูงสุดอีกตำแหน่งหนึ่ง จะตัดสินประหารชีวิตใคร ก็อยู่ที่ดุลพินิจของคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีอีกนั่นแหละ

เมื่อมีรัฐธรรมนูญ มีการเลือกตั้ง มีนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง (ผ่านการเป็นผู้แทนราษฎร) ก็ต้องตื่นเต้น ดีอกดีใจเป็นธรรมดา

เวลาผ่านไปๆ เราประชาชนก็ค่อยๆ เห็นว่า เผด็จการทหารที่ครองประเทศโดยสฤษดิ์ ถนอม ประภาส ไม่ได้แตกต่างกันสักเท่าไรกับเผด็จการนายทุนที่อาศัยการเลือกตั้งแทนกระบอกปืน รถถังที่สฤษดิ์ ถนอม ประภาส เคยใช้ในช่วงปี 2500-2516 เลย เพียงแต่เผด็จการทหารใช้วิธีการยึดอำนาจด้วยปืน ด้วยรถถัง ด้วยกำลังทหาร แต่เผด็จการทุนใช้การเลือกตั้งให้ประชาชนไปหย่อนบัตรลงคะแนน อาจจะด้วยการชื่นชมนโยบาย วิธีการพูด วิธีการหาเสียง และที่สำคัญคือการซื้อเสียงเข้าสภา อาศัยเสียงข้างมากก็ได้อำนาจรัฐ

และด้วยเสียงข้างมากนี่เอง เราก็เห็นกันชัดเจนว่า หลัง 14 ตุลาคม 2516 เป็นต้นมาที่มีการเลือกตั้งมาตลอด ยกเว้นบ้างก็เมื่อมีการปฏิวัติรัฐประหาร ก็จะเว้นแค่ปีหนึ่งหรือปีเศษๆ ในการร่างรัฐธรรมนูญ การปฏิวัติรัฐประหารจะยึดอำนาจ 5 ปี 10 ปีอย่างที่สฤษดิ์เคยทำนั้นไม่ได้ เพราะโลกทุกวันนี้เป็นโลกของประชาธิปไตย และสิ่งที่บอกให้โลกรู้ว่าเป็นประชาธิปไตยอย่างหนึ่งก็คือการเลือกตั้ง นักเลือกตั้งจึงมีอำนาจรัฐ นักเลือกตั้งจึงพยายามมีอำนาจรัฐให้ได้ด้วยการเข้าร่วมรัฐบาลให้ได้อย่างที่เลขาธิการพรรคการเมืองพรรคหนึ่งบอกลูกพรรคว่า “ เป็นฝ่ายค้านอดอยากปากแห้ง คราวหน้าจะทำให้พรรคได้เข้าร่วมรัฐบาลให้ได้ จะอิ่มหมีพีมันไม่ลำบากอีกต่อไป”

หลัง 14 ตุลาคม 2516 เราจึงเห็นนายบรรหาร ศิลปอาชา นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ นายมนตรี พงษ์พานิช นายสุวิทย์ คุณกิตติ นายชวน หลีกภัย นายบัญญัติ บรรทัดฐาน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ฯลฯ เป็นรัฐมนตรี ไม่ว่าพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ นายชวน หลีกภัย พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ นายบรรหาร ศิลปอาชา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี

แน่ละ ในจำนวนนี้ต้องมีบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ ความเหมาะสมที่จะป็นรัฐมนตรีอยู่บ้าง แต่ก็มีไม่น้อยที่ดิ้นรนเพื่อที่จะเป็นรัฐมนตรีให้ได้ เพราะนี่คือหนทางทำมาหากิน นี่คือหนทางของความร่ำรวย หนทางของอำนาจ

การเลือกตั้ง 3 กรกฎาคมที่จะถึงนี้ก็จะเป็นอย่างนี้ ผู้ที่เคยเป็นรัฐมนตรีมาแล้ว ก็จะเป็นรัฐมนตรีอีก ถ้าหากเป็นไม่ได้ เขาก็อาจจะยกตำแหน่งให้เมีย ให้ลูก ให้ผัว ให้น้อง หรือให้เมียน้อยเป็นแทน

มิใช่ลูก ผัว เมีย น้อง เมียน้อย มีความสามารถเป็นพิเศษในการบริหารบ้านเมือง แต่เพราะการบริหารบ้านเมืองของเราไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ความรู้ความสามารถในการบริหารแต่อย่างใด จะเห็นว่า เอาครูมาเป็นรัฐมนตรีคมนาคม เอาพยาบาลมาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง เอาครูมาเป็นรัฐมนตรีสาธารณสุข เอาเจ้าของอาบอบนวดมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เราก็ทำกันมาแล้ว (บ้านเมืองของเราจึงได้ตกต่ำอย่างที่เห็นทุกวันนี้)

แล้วจะหย่อนบัตรลงคะแนนให้ใครดีละครับ?

กกต.แนะว่า เลือกคนที่รัก เลือกพรรคที่ชอบ ในเขตเลือกตั้งของผมไม่มีใครที่พอจะรักได้ลงคอ ไม่มีพรรคการเมืองใดที่จะชอบได้ลงคอ จะฝืนรัก ฝืนชอบมันก็ทำไม่ลง ทั้งที่มีพรรคลงสมัครรับเลือกตั้ง ตั้ง 30 กว่าพรรค แต่ก็มองไม่เห็นจะเข้าท่าสักพรรคเดียว

เริ่มจากพรรคประชาธิปัตย์พรรคเก่าแก่กว่าใครเพื่อน เป็นรัฐบาลอยู่ 2 ปีกว่าไม่มีผลงานประทับใจเลย ทำท่าว่าอยู่ตรงข้ามกับระบอบทักษิณ แต่ 2 ปีกว่าที่ผ่านมา ปล่อยให้ระบอบทักษิณเผาบ้านเผาเมือง เสร็จแล้วก็เอางบประมาณแผ่นดินไปประกันตัวคนเหล่านี้ออกมา หันไปมองทางเศรษฐกิจ รัฐบาลนี้ก็สร้างหนี้ไว้มหาศาล แถมปล่อยให้ข้าวของแพง ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตปาล์มแท้ๆ แต่ประชาชนต้องเข้าคิวซื้อน้ำมันปาล์ม (มันปล้นประชาชนชัดๆ)

หันไปพรรคเพื่อไทยก็เห็นกันอยู่ว่า หัวหน้าพรรค รองหัวหน้าพรรคเป็นเพียงหุ่น เป็นเพียงนอมินี ทั้งๆ ที่มีภูมิหลังเป็นถึงปลัดกระทรวง ทุกประการในพรรคขึ้นอยู่กับนักโทษหนีคุก ทักษิณ ชินวัตร กำหนดความคิดให้พรรค กำหนดผู้สมัคร ทุกคนต้องยอมรับ เห็นชัดเจนแล้วว่า ต้องการเข้ามามีอำนาจเพื่อที่จะนิรโทษกรรมให้ทักษิณ โดยที่ไม่สนใจศึกษาบทเรียนที่สมัคร สมชาย ขี้ข้าม้าใช้คนก่อนพยายามที่จะทำแต่ไม่สำเร็จเลย

พรรคของนายบรรหาร นายสุวัจน์ นายเนวิน มีอะไรดีที่จะให้ผมและประชาชนทั้งหลายเลือกละครับ ในเมื่อพรรคเหล่านี้คอยดูอยู่ว่า ประชาธิปัตย์หรือเพื่อไทย ใครจะชนะจะได้เข้าไปร่วม และในจำนวนนี้เพื่อไทยก็ประกาศแล้วว่า ไม่คบหาสมาคมด้วย

พรรคคนดีของคุณปุระชัย ก็เห็นกันแล้วตั้งแต่กรณีสนามกอล์ฟอัลไพน์โน่นแล้ว จะให้เชื่อว่าเป็นคนดีได้อย่างไร นอกจากปล่อยให้แกแข่งเอาชนะคุณชูวิทย์ให้ได้เสียก่อน

ไม่มีใครให้เลือกจริงๆ นะครับ คุณสดศรี ผมได้พยายามแล้ว. 30

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น