++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

วันอัฏฐมีบูชา วันสำคัญ ที่ชาวพุทธเริ่มลืมเลือน

วันอัฏฐมีบูชา


ปีนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน พุทธศักราช 2553

วันอัฏฐมีบูชา คือวันอะไร ตรงกับวันที่เท่าไหร่
ปัจจุบันแทบไม่เห็นปรากฎบนปฏิทิน ทำให้ วันอัฏฐมีบูชา นับวันยิ่งถูกลืม
ทั้งที่ วันอัฏฐมีบูชา เป็น วันสำคัญทางพุทธศาสนา ที่นับจาก วันวิสาขบูชา
ไปเพียง 8 วัน หรือกล่าวคือ วันอัฏฐมีบูชา ตรงกับวันแรม 8 ค่ำ เดือน 6
ทั้งนี้ หากปีใดมีอธิกมาส หรือมี 366 วัน วันอัฏฐมีบูชา
ก็จะถูกเลื่อนไปตรงกับวันแรม 8 ค่ำ เดือน 7 แทน นั่นเอง

ปีนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน พุทธศักราช 2553

วันอัฏฐมีบูชา คือวันอะไร มีความสำคัญอย่างไร

สำหรับ วันอัฏฐมีบูชา หรือ วันอัฏฐมี คือ
วันคล้ายวันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระของพระพุทธเจ้า
หลังจากเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานได้ 8 วัน โดยมีการทำพิธี ณ
มกุฏพันธนเจดีย์ เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ ประเทศอินเดีย
ซึ่งเมื่อครั้งโบราณกาล วันอัฏฐมีบูชา
นับเป็นวันที่ชาวพุทธมีความโศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง
เนื่องจากต้องสูญเสียพระบรมสรีระแห่งองค์พระบรมศาสดา
ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะอย่างสูง

ด้วยเหตุนี้ เมื่อ วันอัฏฐมีบูชา เวียนมาบรรจบในแต่ละปี
พุทธศาสนิกชนจึงพร้อมใจกันประกอบพิธีบูชาขึ้นเป็นการเฉพาะเมื่อวันสำคัญนี้
เพื่อระลึกถึงพระพุทธคุณ

ประวัติ วันอัฏฐมีบูชา

ตามประวัติ วันอัฏฐมีบูชา ระบุไว้ว่า
หลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานใต้ต้นสาละ ในราตรี 15 ค่ำ เดือน 6
พวกเจ้ามัลลกษัตริย์ก็จัดพิธีบูชาด้วยของหอม ดอกไม้
และเครื่องดนตรีทุกชนิด ที่มีอยู่ในเมืองกุสินาราตลอด 7 วัน
และให้เจ้ามัลละระดับหัวหน้า 8 คน สรงเกล้า นุ่งห่มผ้าใหม่
อัญเชิญพระสรีระไปทางทิศตะวันออก ของพระนคร เพื่อถวายพระเพลิง

จากนั้น ก็ให้พวกเจ้ามัลละระดับหัวหน้า 4 คน
พยายามจุดไฟที่เชิงตะกอน แต่ก็ไม่อาจให้ไฟติดได้
ทั้งที่ได้ทำตามคำของพระอานนท์เถระ
ที่ให้ห่อพระสรีระพระพุทธเจ้าด้วยผ้าใหม่แล้วซับด้วยสำลี
แล้วใช้ผ้าใหม่ห่อทับอีก ทำเช่นนี้จนหมดผ้า 500 คู่
แล้วเชิญลงในรางเหล็กที่เติมด้วยน้ำมัน แล้วทำจิตกาธานด้วยดอกไม้จันทน์
และของหอมทุกชนิด

ในการนี้ พระอนุรุทธะ จึงแจ้งว่า
"เพราะเทวดามีความประสงค์ให้รอพระมหากัสสปะ และภิกษุหมู่ใหญ่ 500 รูป
ผู้กำลังเดินทางมาเพื่อถวายบังคมพระบาทเสียก่อน ไฟก็จะลุกไหม้" ทั้งนี้
เนื่องจากเทวดาเหล่านั้น เคยเป็นโยมอุปัฏฐากของพระเถระ
และพระสาวกผู้ใหญ่มาก่อน จึงไม่ยินดีที่ไม่เห็นพระมหากัสสปะอยู่ในพิธี
ในวันนั้นเองพระมหากัสสปพร้อมด้วยภิกษุ 500 รูป
กำลังเดินทางจะไปเฝ้าพระพุทธองค์ พอถึงกลางทางก็ได้ทราบความจากอาชีวกว่า
สมเด็จพระบรมศาสดาได้เสด็จดับขันธปรินิพพาน 7 วันแล้ว
บรรดาพระภิกษุที่เป็นปุถุชนเมื่อได้ฟังบอกเล่าของอาชีวก
ต่างก็ล้มกลิ้งเกลือกร้องไห้ร่ำไร รำพันว่า
"โอ้พระศาสดาด่วนดับขันธปรินิพพานเสียแล้ว
ดวงประทีปแก้วส่องโลกดับสูญสิ้นเสียแล้ว"
ฝ่ายท่านที่เป็นขีณาสพก็บังเกิดธรรมสังเวช
ขณะนั้นมีภิกษุแก่รูปหนึ่งชื่อ "สุภัททะ"
กล่าวห้ามปรามพระสงฆ์ว่า ท่านทั้งหลายจะเศร้าโศกร้องไห้ร่ำไรไปทำไม ?
บัดนี้เราพ้นจากอำนาจพระมหาสมณะแล้ว พระมหาสมณะเมื่อยังมีพระชนม์อยู่
ย่อมว่ากล่าวตักเตือนจู้จี้ บัดนี้ท่านนิพพานแล้ว
พวกเราปรารถนาจะทำอะไรก็ทำได้ตามชอบใจ ไม่มีผู้ใดบังคับบัญชาห้ามปรามแล้ว
พระมหากัสสปได้กล่าวธรรมกถา ระงับความโศกของพระสงฆ์ทั้งปวง
แล้วพาหมู่ภิกษุรีบเดินทางไปยังมกุฏพันธนเจดีย์ ใกล้เมืองกุสินารา
เข้าไปยังพระเชิงตะกอนถวายนมัสการกระทำประทักษิณพระเชิงตะกอน 3 รอบ
เสร็จแล้วเข้าไปยืนทางเบื้องพระบาทพระบรมศพ แล้วถวายอภิวาทกราบทูลว่า
"ข้าแต่พระบรมครู ข้าพระพุทธเจ้าชื่อมหากัสสป
เป็นสาวกของพระองค์
พระองค์ทรงตั้งข้าพระพุทธเจ้าไว้ในที่อันเลิศฝ่ายธุดงคปฏิบัติ
ข้าพระพุทธองค์มีความเคารพต่อพระองค์อย่างที่สุดแล้ว
ด้วยคำสัตย์ของข้าพระองค์นี้
ขอให้พระบาทยุคลจงเหยียดยื่นออกมาจากพระหีบทองรับหัตถ์ทั้งสองของข้าพระองค์ผู้ชื่อกัสสป
อันประนมน้อมนบอภิวาทอยู่ในบัดนี้" ทันใดนั้นพระบาททั้งคู่ได้ชำแรกผ้า 2
ชั้นซึ่งหุ้มห่อพระวรกายอยู่ถึง 500 ชั้น ออกมาปรากฏ ณ ภายนอก
พระมหากัสสปก็เหยียดหัตถ์ทั้งสองออกรับพระพุทธบาท แล้วกราบทูลว่า
"ข้าแต่พระบรมครู ตั้งแต่ข้าพระพุทธเจ้าดำรงอยู่ในอริยภูมิ
ข้าพระพุทธเจ้ามิได้ทำความผิดแม้แต่น้อยหนึ่งในพระบรมศาสดา
ข้าพระพุทธเจ้ามิได้ล่วงพระพุทธโอวาท ปฏิบัติตามธรรมของพระองค์ตลอดมา
อนึ่ง พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาแก่ข้าพระบาทเป็นอย่างมาก
แต่ข้าพระบาทมิได้อยู่ปฏิบัติพระองค์
ขอพระองค์จงทรงพระมหากรุณาโปรดอภัยแก่ข้าพระพุทธเจ้าในบัดนี้เถิด"
เมื่อพระมหากัสสปกล่าวเสร็จแล้วถวายนมัสการพระบาทยุคล
ทันใดนั้นพระบาททั้งสองก็กลับคืนเข้าสู่พระหีบทองดังเดิม
พระเพลิงก็บันดาลติดพวยพุ่งขึ้นบนเชิงตะกอน ณ บัดนั้น โดยไม่ต้องมีใครจุด

หลังจากที่พระเพลิงเผาไหม้พระพุทธสรีระพระบรมศาสดาดับมอดลงแล้วได้
7 วัน บรรดากษัตริย์มัลละทั้งหลายจึงได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุทั้งหมด
ใส่ลงในหีบทองแล้วนำไปรักษาไว้ภายในนครกุสินารา
ประดิษฐานบนรัตนบัลลังก์ภายใต้เศวตฉัตร จัดให้มีมหรสพสมโภชพระบรมธาตุ 7
วัน ส่วนเครื่องบริขารต่าง ๆ
ของพระพุทธเจ้าได้มีการอัญเชิญไปประดิษฐานตามที่ต่าง ๆ อาทิ ผ้าไตรจีวร
อัญเชิญไปประดิษฐานที่แคว้นคันธาระ บาตร
อัญเชิญไปประดิษฐานที่เมืองปาตลีบุตร เป็นต้น

และเมื่อบรรดากษัตริย์จากแคว้นต่าง ๆ
ได้ทราบว่าพระพุทธเจ้าได้เสด็จดับขันธปรินิพพานที่นครกุสินารา
จึงได้ส่งตัวแทนไปขอแบ่ง พระบรมสารีริกธาตุ
เพื่อนำกลับมาสักการะยังแคว้นของตน แต่ก็ถูกกษัตริย์มัลละปฏิเสธ
จึงทำให้ทั้งสองฝ่ายขัดแย้งและเตรียมทำสงครามกัน
แต่ในสุดเหตุการณ์ก็มิได้บานปลาย เนื่องจาก "โทณพราหมณ์"
พราหมณ์ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งได้เข้ามาเป็นตัวกลางเจรจาไกล่เกลี่ย
เพื่อยุติความขัดแย้งโดยประกาศว่า

"พระผู้มีพระภาคเจ้าของเรา ทรงสรรเสริญขันติ
สรรเสริญสามัคคีธรรม การที่เราจะมาประหัตประหารเพราะแย่งชิง
พระบรมสารีริกธาตุ ของพระองค์ผู้ประเสริฐ ย่อมไม่สมควร
ดังนั้นขอให้ท่านทั้งหลาย จงยินดีในการที่จะแบ่งกันไปเป็น 8 ส่วน
และนำไปบูชายังบ้านเมืองของท่านทั้งหลายเถิด
เพราะผู้ศรัทธาในพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นมีมาก"

เมื่อ โทณพราหมณ์ ได้เสนอให้แบ่งพระบรมสารีริกธาตุออกเป็น 8
ส่วนเท่า ๆ กัน กษัตริย์แต่ละเมืองก็ยอมรับแต่โดยดี
และกลับไปสร้างเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ตามเมืองของตัวเอง ดังนี้

1. กษัตริย์ลิจฉวี ทรงสร้างเจดีย์บรรจุไว้ที่เมืองเวสาลี

2. กษัตริย์ศากยะ ทรงสร้างเจดีย์บรรจุไว้ที่เมืองกบิลพัสดุ์

3. กษัตริย์ถูลิยะ ทรงสร้างเจดีย์บรรจุไว้ที่เมืองอัลลกัปปะ

4. กษัตริย์โกลิยะ ทรงสร้างเจดีย์บรรจุไว้ที่เมืองรามคาม

5. มหาพราหมณ์ สร้างเจดีย์บรรจุไว้ที่เมืองเวฏฐทีปกะ

6. กษัตริย์มัลละแห่งเมืองปาวา ทรงสร้างเจดีย์บรรจุไว้ที่เมืองปาวา

7. พระเจ้าอชาตศัตรู ทรงสร้างเจดีย์บรรจุไว้ที่เมืองราชคฤห์

8. มัลลกษัตริย์แห่งกุสินารา ทรงสร้างเจดีย์บรรจุไว้ที่เมืองกุสินารา

9. กษัตริย์เมืองโมริยะ ทรงสร้างสถูปบรรจุพระอังคาร
(อังคารสถูป) ที่เมืองปิปผลิวัน

10. โทณพราหมณ์ สร้างสถูปบรรจุทะนานตวงพระบรมสารีริกธาตุ
ที่เมืองกุสินารา (ทะนานตวงพระบรมสารีริกธาตุแจก, คำว่า ตุมพะ แปลว่า
ทะนาน, บางทีเรียกสถูปนี้ว่า ตุมพสถูป)

การประกอบพิธี วันอัฏฐมีบูชา

ปัจจุบันการประกอบพิธี วันอัฏฐมีบูชา ในประเทศไทย
มีเพียงบางวัดเท่านั้นที่จะที่จัดให้มีการทำพิธีบำเพ็ญกุศลในวันนี้ เช่น
วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์ เป็นต้น โดยการบำเพ็ญกุศลในวัน อัฏฐมีบูชา
จะปฏิบัติอย่างเดียวกันกับการประกอบพิธีในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาวันอื่น
ๆ ที่มีการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา และมีการเวียนเทียนในตอนค่ำ

อย่างไรก็ดี บางวัดในบางจังหวัด
ยังมีการนิยมบำเพ็ญกุศลเนื่องใน วันอัฎฐมีบูชา นี้อยู่บ้าง
บางแห่งถึงกับจัดเป็นงานใหญ่
มีการจำลองเหตุการณ์วันถวายพระเพลิงพุทธสรีระ
เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งพุทธกาลด้วย เช่น วัดพระบรมธาตุทุ่งยั้ง
จ.อุตรดิตถ์ ซึ่งในทุก ๆ ปี
จะมีประชาชนชาวจังหวัดอุตรดิตถ์และจังหวัดใกล้เคียงเข้าชมเป็นจำนวนมาก

คำถวายดอกไม้ธูปเทียนใน วันอัฏฐมีบูชา

ยะ มัมหะ โข มะยัง, ภะคะวันตัง สะระณัง คะตา, โย โน ภะคะวา
สัตถา, ยัสสะ จะ มะยัง, ภะคะวะโต ธัมมัง โรเจมะ, อะโหสิ โข โส ภะคะวา,
มัชฌิเมสุ ชะนะปะเทสุ, อะริยะเกสุ มะนุสเสสุ อุปปันโน, ขัตติโย ชาติยา,
โคตะโม โคตเตนะ, สักยะปุตโต สักยะกุลา ปัพพะชิโต, สะเทวะเก โลเก สะมาระเก
สะพรัหมะเก, สัสสะมะณะพราหมะณิยา ปะชายะ สะเทวะมะนุสสายะ, อะนุตตะรัง
สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ, นิสสังสะยัง โข โส ภะคะวา,

อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ, วิชชาจะระณะสัมปันโน, สุคะโต
โลกะวิทู, อนุตตะโร ปุริสทัมมะสาระถิ, สัตถา เทวะมะนุสสานัง, พุทโธ
ภะคะวา สวากขาโต โข ปะนะ, เตนะ ภะคะวา ธัมโม, สันทิฏฐิโก, อะกาลิโก,
เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก, ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ. สุปะฏิปันโน โข
ปะนัสสะ, ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,
ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต
สาวะกะสังโฆ, ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ, อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา, เอสะ
ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, อาหุเนยโย, ปาหุเนยโย, ทักขิเนยโย อัญชลีกะระณีโย.
อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสะ.

อะยัง โข ปะนะ ถูโป(ปฏิมา) ตัง ภะคะวันตัง อุททิสสะ กโต
(อุททิสสิ กตา) ยาวะเทวะ ทัสสะเนนะ, ตัง ภะคะวันตัง อะนุสสะริตวา,
ปะสาทะสังเวคะปะฏิลาภายะ, มะยัง โข เอตะระหิ, อิมัง วิสาขะปุณณะมิโตปะรัง
อัฏฐะมีกาลัง, ตัสสะ ภะคะวะโต สรีรัชฌาปะนะกาละสัมมะตัง ปัตวา, อิมัง
ฐานัง สัมปัตตา, อิเม ทัณฑะทีปะธูปะ-, ปุปผาทิสักกาเร คะเหตวา, อัตตะโน
กายัง สักการุปะธานัง กะริตวา, ตัสสะ ภะคะวะโต ยะถาภุจเจ คุเณ
อะนุสสะรันตา, อิมัง ถูปัง(ปะฏิมาฆะรัง) ติกขัตตุง ปะทักขิณัง กะริสสามะ,
ยะถาคะหิเตหิ สักกาเรหิ ปูชัง กุรุมานา.

สาธุ โน ภันเต ภะคะวา, สุจิระปะรินิพพุโตปิ, ญาตัพเพหิ
คุเณหิ, อะตีตารัมมะณะตายะ ปัญญายะมาโน, อิเม อัมเหหิ คะหิเต, สักกาเร
ปะฏิคคัณหาตุ, อัมหากัง, ฑีฆะรัตตัง, หิตายะ, สุขายะ

ปัจฉิมโอวาท
ปัจฉิมโอวาทของพระพุทธเจ้า
พระองค์ทรงตรัสกับภิกษุ เหล่านั้นเป็นครั้งสุดท้ายว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้
เราขอเตือนท่านทั้งหลายว่าสังขารทั้งหมดล้วนมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
ท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงอันเป็นประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นให้บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด"

พระโอวาทนี้จัดว่าพระพุทธองค์ทรงรวบรวมเอาพระโอวาทที่ประทานไว้แล้วตลอด
๔๕ พรรษา นั้นมารวมลงไว้ในความไม่ประมาท จากนั้น
พระองค์ก็มิได้ตรัสอะไรออกมาอีกเลย พระองค์ทรงทำปรินิพพาน
ด้วยพระอาการสงบไม่ไหวติง สัญญาและเวทนาของพระองค์ดับไป รวมพระชนม์มายุ
๘๐ พรรษาพอดี

วิธีที่ควรปฏิบัติของชาวพุทธในวันอัฏฐมีบูชา

เหมือนกับวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาโดยทั่วไป
วันนี้มีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าโดยตรงในปัจจุบันนิยมมีพิธีปฏิบัติคล้ายคลึงกันกับวันวิสาขบูชา
กล่าวคือ

1.การใส่บาตรทำบุญที่วัดหรือที่บ้านในเวลาเช้า
2.การสมาทานศีล 5 หรือศีลอุโบสถ
3.การปล่อยนกปล่อยปลาหรือสัตว์มีชีวิตอื่นๆ
4.การงดเว้นการดื่มสุราเมรัย และเล่นอบายมุขทุกชนิด เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาด้วย
5.การไปนมัสการไหว้พระ สวดมนต์ และทำบุญตามวัดวาอารามต่างๆ
6.การฟังพระธรรมเทศนา และปฏิบัติสมาธิภาวนา
7.การสนทนาธรรมกับพระภิกษุหรือผู้ทรงคุณทางศาสนา
8.การเวียนเทียนที่วัด โดยพุทธศาสนิกชนจะเตรียมดอกไม้ธูป เทียน
ไปวัดเมื่อถึงกำหนดเวลาเวียนเทียน (ส่วนมากจะเป็นตอนกลางคืน ช่วง
19.00-20.00 น.)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น